(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img7/58298.jpg)
หากถามชาวพุทธทั่วไปที่เรียนวิชาศีลธรรมในห้องเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คืออริยสัจจ์ 4 ( ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค ) หรือโอวาทปาติโมกข์ ( ไม่ทำชั่ว-ทำดี-ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ) หรือมัชฌิมาปฏิปทา ( ทางสายกลาง ) น้อยคนเหลือเกินจะตอบว่าคือ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท บ้างบอกว่าไม่เคยได้ยินคำนี้เลย
ทั้งที่มันเป็นสาระหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มศรีมหาโพธิ์ในคืนวิสาขบูชา
อิทัปปัจจยตามองว่าโลกเป็นเพียงการไหลต่อเนื่องของเหตุ และผล ( cause-effect ) โลกไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีแพ้ ไม่มีชนะ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก ไม่มีอะไรมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง การมี หรือไม่มี ถือเป็นทิฏฐิทั้งคู่ ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน เหตุทำให้เกิดผล ผลนั้นทำให้เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เกิดผลและเหตุต่อไปไม่สิ้นสุด การไปหลงติดกับความเป็นคู่เป็นความเขลาอย่างหนึ่งเพราะมันเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น
หากใช้คำของพุทธทาสภิกขุที่เขียนไว้ในหนังสือ อิทัปปัจจยตา ก็คือ " หลักอิทัปปัจจยตา มุ่งที่จะขจัดความเห็นผิดสำคัญผิดว่ามีตัวตน สัตว์ บุคคล ตามที่คนเรารู้สึกกันได้เองตามสัญชาตญาณ หรือที่ยิ่งไปว่านั้นอีกก็คือ มุ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย และอื่นๆ ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม เพราะนั่นมนุษย์บัญญัติขึ้นเอง ตามความรู้สึกของมนุษย์ โดยที่แท้แล้วทั้งหมดทุกๆ คู่ ล้วนเป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาเสมอกันหมด "
พูดง่ายๆ คือ สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์นี้เป็นเพียงสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมาเอง
บางคนอาจแย้งว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าโลกนี้ไม่มีบุญ ไม่มีบาป จะมิพากันทำความชั่วทั้งหมดหรือ นี่เป็นการจับความไม่ครบเหมือนตาบอดคลำช้าง ไม่มีบุญ ไม่มีบาป " บอกเราว่า ระวังอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งสมมุติ มิได้แปลว่าคุณต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพราะอิทัปปัจจยตา คือการไหลต่อเนื่องของเหตุและผล ( cause-effect ) ทุกการกระทำ ( action ) ย่อมมีผลต่อเนื่อง ( consequence ) เสมอ และหลายผลต่อเนื่องที่ตามมาก็คือ " กรรมตามสนอง " นั่นเอง
ในโลกยุคที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนขยายตัวจนแทบล้นโลก ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือทำสงคราม จนหลายคนสับสนบทบาทของศาสนา แต่นั่นมิได้หมายความว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป มันเพียงบอกเราว่า ศาสนาก็เช่นระบบอื่นๆ ในโลก จำต้องผ่านการ " รีเอ็นจิเนียริง " ( สังคายนา ) เป็นระยะ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
หากจุดหมายของศาสนายังคงเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราใช้ตาชั่งใดมาวัดว่า การยอมรับความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ การเคารพความจริง ความรักธรรมชาติ การดูแลโลกที่กำลังบาดเจ็บจากมลพิษ การต่อต้านสงคราม ความรักสันติภาพ เหล่านี้ใช้แทนศาสนาไม่ได้ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจทำหน้าที่ได้เหมาะสมกว่าบทบาทของศาสนาเมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อครั้งพลเมืองโลกมีเพียงไม่กี่ล้านคน ไม่ได้เชื่อมต่อแนบสนิทกันเช่นปัจจุบัน และโลกยังไม่ถูกข่มขืนทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นวันนี้
ร่ม ไม่ว่าจะติดยี่ห้อใดก็ใช้กันฝนได้ทั้งนั้น แต่ร่มมิใช่เครื่องมือเดียวที่ใช้กันฝน
ซึ่งอาจจะเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก หรือวัสดุที่หาได้ในท้องที่นั้นๆ
การประนามคนไร้ศาสนาว่าไร้ศีลธรรม ก็เท่ากับการลืมบทบาทของศาสนานั่นเอง
ไม่ต่างจากการพร่ำบ่นว่า
การทำดีคือการไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ขณะที่ยังฆ่าสัตว์มากินทุกวัน
สรรพสิ่งคือการเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา
บทบาทของศาสนาก็เช่นกัน
มองไปในอนาคต บทบาทของศาสนาเพียงเพื่อแค่ให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ
ศาสนาในอนาคต ( อันใกล้ ? )
อาจต้องรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิต ไปจนถึงสิ่งไร้ชีวิตอื่นๆ และจักรวาล
วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com (http://www.winbookclub.com)
12 เมษายน 2551
คมคำคนคม
When I do good, I feel good ; when I do bad, I feel bad,
and that is my religion.
เมื่อข้าพเจ้าทำดี ข้าพเจ้ารู้สึกดี เมื่อข้าพเจ้าทำเรื่องแย่ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่
และนั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า
Abraham Lincoln
อับราแฮม ลินคอล์น
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
(http://www.pajudhai.com/blog/wp-content/uploads/2009/01/53108.jpg)
คมคำคนคม
ผู้ใดที่แสวงหาชื่อเสียงโดยเสี่ยงต่อการสูญเสียตัวตนมิใช่ปราชญ์
จวงจื๊อ
หลักการตลาดทั่วโลกนิยมใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเป็นพรีเซนเตอร์ หรือผู้นำเสนอสินค้า คนเหล่านี้ส่วนมากมักเป็นดาราหนัง นักกีฬาซึ่งชาวบ้านนิยม หลักการของมันคือใช้ความนิยมชมชอบใครคนหนึ่งเป็นผู้ชี้นำความคิดต่อกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อดาราที่ใครคนหนึ่งชื่นชอบบอกว่า “ฉันใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อนี้” คนที่ชอบดาราคนนั้นก็โน้มเอียงที่จะใช้ตามเธอ
เมื่อนักเทนนิสระดับโลกใช้ไม้เทนนิสยี่ห้อใด คนที่ชอบเขาหรือเธอก็เกิดภาพในใจขึ้นมาทันทีว่า ไม้เทนนิสยี่ห้อนั้นน่าจะดี หรือทำให้ตนเอง ‘ใกล้ชิด’ กับคนที่ชอบอีกนิด!
ทว่าโฆษณาที่ผูกสินค้ากับคนมีชื่อเสียงต้องระวังด้านลบของมันด้วย นั่นคือการเสื่อมชื่อเสียงชั่วข้ามคืน
ครั้งหนึ่งสินค้าตัวหนึ่งใช้นักมวยยอดนิยมคนหนึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ วันที่โฆษณาออกนั้น นักมวยผู้นั้นแพ้น็อกกลางเวที เจ้าของสินค้าต้องถอดโฆษณาของเขาออกทันที เพราะคงเป็นเรื่องขบขันอย่างยิ่งที่นักมวยพรีเซนเตอร์บอกว่า “ใช้ (ชื่อสินค้า) สิ แล้วจะเป็นแชมเปี้ยนเหมือนผม”!
ตัวอย่างด้านลบของการอิงกับคนดังในโลกมีอีกมากมาย นักฟุตบอลระดับดาราชกกันกลางสนาม, นักกอล์ฟระดับโลกมีข่าวฉาวนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า, นักมวยตบตีผู้หญิง, นักร้องทำหญิงสาวท้อง, ดาราสาวท้องไม่มีพ่อ ฯลฯ จนกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง
ปรัชญาพุทธสอนเรื่องนี้มาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ ความรุ่งโรจน์กับความเสื่อมเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน คนฉลาดจึงต้องระวังรู้อยู่เสมอว่า ความเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้ในนาทีข้างหน้านี้
ผมลองนึกดูว่ามีดาราภาพยนตร์ไทยสักกี่คนที่เคยโด่งดังในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก
และยังเป็นดาวค้างฟ้าจนถึงวันนี้
นับดูได้ไม่ครบนิ้วทั้งสองมือ โดยเฉพาะนักแสดงสตรี ขึ้นง่าย-ลงง่าย
ดาราหญิงในโลกตะวันออกนั้น หากสามารถรักษาความโด่งดังได้สักยี่สิบปี
ก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
นี่อาจเป็นเหตุผลให้ดาราบ้านเราจำนวนหนึ่งถือคติ ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ บางคนเล่นหนังหนึ่งปีได้จำนวนเรื่องเท่ากับนักแสดงตะวันตกเล่นสองชาติ
คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนหนึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาสถานะของความโด่งดังให้นานที่สุด บ้างยอมกระทั่งรับบทหรือการสร้างข่าวให้คนจำได้ แม้ว่าหมายถึงการแสดงภาพวาบหวิว เพราะไม่อาจละวางสถานะชื่อเสียงของตนได้
ชื่อเสียงก็เหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง หามาไม่ง่าย แต่รักษายิ่งยากกว่า
อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างชื่อเสียงกับชื่อเสีย(ง)
บางคนคิดว่าเมื่อมีคนพูดถึงก็คือมีชื่อเสียง
ทว่าความดังไม่ใช่ชื่อเสียง!
ฝรั่งมีสองคำ famous กับ notorious หรือชื่อเสียงกับชื่อเสีย(ง)
famous คือชื่อเสียงด้านดี
notorious คือความโด่งดังในด้านไม่ดี
ในปี ค.ศ. 1968 จิตรกรอเมริกัน แอนดี วอร์ฮอล กล่าวว่า “ในอนาคต ทุกคนจะมีชื่อเสียงระดับโลกแค่สิบห้านาที” (In the future, everyone will be world-famous for 15 minutes.) วลี 15 Minutes of Fame กลายเป็นสำนวนฮิต หมายถึงความดังช่วงระยะสั้นๆ ดังเหมือนดาวตก สว่างวูบแล้วตกเลย
โลกเราในวันนี้เต็มไปด้วยคนอยากมีชื่อเสียงโดยไม่นำพาวิธีการ ไม่สนใจว่าจะเป็น famous หรือ notorious ขอให้เป็น ‘talk of the town’ สักนาทีสองนาทีก็แล้วกัน รายการโทรทัศน์ ข่าว เรียลิตี โชว์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ผู้คนยอมทำเรื่องบ้าคลั่งเพียงเพื่อให้คนอื่นเห็นและพูดถึงเท่านั้น
ถือคติว่ามีคนพูดถึงในเชิงลบดีกว่าไม่มีคนพูดถึงเลย!
การโชว์เนื้อหนังมังสาและเต้า หากทำได้ถึงใจ ย่อมเป็นที่พูดถึงแน่นอน ทว่าสัจธรรมก็คือไม่เคยมีใครจำเต้าของใครได้ตลอดกาล เพราะคนอยากโชว์มีมากเหลือเกิน อาจมีข้อยกเว้น แต่เป็นกรณีพิเศษจริงๆ เช่นท่ายั่วยวนบางท่าของ มาริลีน มอนโร
ชื่อเสียงก็เหมือนแสงของดาว มีสองประเภทดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์
แสงของดาวเคราะห์เกิดจากแสงจากแหล่งต้นกำเนิดมากระทบ ส่วนแสงที่มาจากดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากภายในตัวตน
คนฉลาดจึงเลือกสถานะของชื่อเสียงเปล่งจากภายใน เพราะมันอยู่ทนนานกว่าล้านๆๆ เท่า จะเอา 15 Minutes of Fame ไปทำไมในเมื่อมันเป็นแสงสว่างชั่วคราวและไม่ใช่ของเราจริงๆ
ชื่อเสียงที่ดีมาจากการทำดีเสมอ
แต่การเป็น ‘ดาวฤกษ์’ ก็ไม่จำเป็นต้องส่องสว่างแบบส่งเสียง สว่างแบบเงียบๆ ก็ได้
เมื่อกระทำดีแล้วเสียใจว่าไม่เป็นที่รู้เห็นหรือพูดถึง ก็ไม่ใช่เรื่องทำดีแล้ว แต่เป็นเพียงการลงทุนชนิดหนึ่ง
การปิดทองหลังพระไม่ใช่เรื่องที่ต้องป่าวประกาศ อยู่ดึกทำงานก็ไม่ต้องประกาศให้ทุกคนในบริษัทรู้
บริจาคเงินช่วยเด็กก็ไม่ต้องลงข่าวคอลัมน์คนดัง
ความสุขมาจากการรู้สึกดีเมื่อทำดี ไม่ใช่เมื่อมีคนรู้ว่าเราทำดี
วินทร์ เลียววาริณ
8 มกราคม 2554
http://www.winbookclub.com/frontpage.php
Pic by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ