ใต้ร่มธรรม
แสงธรรมนำใจ => จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก => พระไพศาล วิสาโล => ข้อความที่เริ่มโดย: rain.... ที่ มกราคม 18, 2011, 07:12:24 pm
-
จะเลือกเงินหรือชีวิต
:13: :13: :13: :13:
เงินเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน
ตำราทุกเล่มบอกเราเช่นนั้น
แต่ในปัจจุบัน เงินเป็นมากกว่านั้น
.............................................
เงินเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน
ตำราทุกเล่มบอกเราเช่นนั้น
แต่ในปัจจุบัน เงินเป็นมากกว่านั้น มันได้ยกระดับจน
กลายเป็นสินค้าที่คนทั้งโลกพากันซื้อขายเพื่อหากำไรจากส่วนต่าง
ทุกวันนี้ตลาดเงินตราระหว่างประเทศมีอิทธิพลอย่างมาก
ต่อเศรษฐกิจโลกและสามารถสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศใดประเทศหนึ่งก็ได้
ดังประเทศไทยได้ประสบมาแล้ว
เงินถูกสถาปนาให้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของสรรพสิ่ง
ตั้งแต่บุคคล ครอบครัว ซุมชน องค์กร ไปจนถึงประเทศ
แม้แต่ความสำเร็จของรัฐบาลก็ดูกันที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ของประเทศยิ่งกว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมหรือ
ดัชนีวัดคุณภาพชีวิตของประชากร
ในระดับบุคคล เงินได้กลายเป็นเครื่องวัดคุณค่าชีวิตไปแล้ว
คนรวยจึงถือว่ามีคุณค่ามากกว่าคนจน
ใครที่มีเงินเดือนน้อยก็รู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าด้อยกว่าเศรษฐี
เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินจึงกลายมาเป็นจุดหมายของชีวิตไปในที่สุด
ผลก็คือ ชีวิตของเราถูกเงินครอบงำและผลักดันในแทบทุกด้าน
ไม่เว้นแม้กระทั่งความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือทัศนะต่อตนเอง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในนามความเจริญก้าวหน้าของชีวิตและการพัฒนาประเทศ
.............................................
เมื่อเราตั้งคำถามกับอิทธิพลของเงินในชีวิตของเรา...
คำถามพื้นฐานก็คือ... เงินทำให้เรามีความสุขจริงหรือ...
การตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน ช่วยให้เราสมหวังกับชีวิตเพียงใด
และสิ่งที่เราสูญเสียไปกับการทำมาหาเงินนั้น
คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้มาหรือไม่
เมื่อเราบวกลบคูณหารด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อเราพบว่า สิ่งที่เราได้มานั้นน้อยกว่าที่คิด
และสิ่งที่เราเสียไปนั้นมากเกินกว่าที่นึกเสียอีก
ที่สำคัญก็คือ สิ่งที่เราเสียไปนั้น เราเอาคืนมาไม่ได้
แม้จะมีเงินมากมายเพียงใด
เพราะสิ่งที่เสียไปนั้น คือเวลาที่เรามีอยู่อย่างจำกัดในโลกนี้
หากเงินทำให้เรามีความสุข ผู้คนทุกวันนี้ย่อมมีความสุขกันถ้วนหน้า
เพราะมีเงินมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่
.............................................
การสำรวจของศูนย์วิจัยทัศนคติแห่งชาติของมหาวิทยาลัยชิคาโกระบุว่า
นับแต่ พ.ศ. 2500 จนถึง พ.ศ.2541
ชาวอเมริกันที่ยอมรับว่าตนมี "ความสุขมาก"
ได้ลดลงจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 30
ทั้งๆที่รายได้เฉลี่ยของประชาชนได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
รายงานดังกล่าวบอกเราว่า
แม้ผู้คนรวยขึ้นเป็น 2 เท่า แต่กลับเป็นสุขน้อยลง
...................................................
ผู้คนมีความสุขน้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเวลาว่างน้อยลงที่จะแสวงหาความสุข
นับวันเราจะหมดเวลาไปกับการหาเงินมากขึ้นเรือยๆ จนไม่มีเวลา
แม้แต่จะใช้เงินที่ได้มาด้วยซ้ำ มิพักต้องพูดถึงการมีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงิน
เช่น การนอน หรือ การสังสรรค์กับคนในครอบครัว
ซึ่งผู้คนสมัยนี้ให้เวลาน้อยลง ...
เพราะยิ่งมีเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่า เวลามีค่ามากเท่านั้น
ดั้งนั้นจึงต้องใช้เวลาให้ "คุ้มค่า" มากที่สุด
ซึ่งก็มักจะหมายถึงการมีผลตอบแทนเป็นตัวเงินเยอะๆ
ในขณะที่การพักผ่อนอยู่กับบ้าน หรือกับคนในครอบครัว
ถือเป็นการใช้เวลาที่ไม่คุ้มค่า หรือ "ไม่สมเหตุสมผล"
ด้วยเหตุนี้ เราจึงตั้งหน้าตั้งตา "หาเงิน" กันไม่เลิกราเสียที...
------------------------------------------------------
โดย พระไพศาล วิสาโล. บทนำจากหนังสือ "เงินหรือชีวิต".
โดมิงเกซ, โจ. "จะเลือกเงินหรือชีวิต : เปลี่ยนทัศนคติต่อเงินสู่อิสรภาพของชีวิต".
กรุงเทพฯ : มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2546.
ขอขอบคุณโพสจาก http://www.carefor.org/content/view/2/153/
-
ข้อคิดจากอ.วศิน อินทสระ
คนส่วนมากมุ่งเอาความร่ำรวยเป็นจุดหมายชีวิต
จึงมักกระเสือกกระสนเพื่อความมั่งคั่งทางทรัพย์สิน
โดยไม่เลือกทางใด คนทุจริตคดโกงจึงมีอยู่ดกดื่นในบ้านเมืองเรา
ตามความเป็นจริงแล้วเราพอยืนยันได้ว่า
สังคมที่เห็นว่าความมั่งคั่งเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตหรือการงานนั้น
คือสังคมที่มีพลเมืองโง่เขลา ไม่รู้จุดหมายที่แท้จริงของชีวิต
และไม่รู้ว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร เขาแทบไม่รู้จักศิลปะในการมีชีวิตอยู่
หรือรู้ก็น้อยเหลือเกิน พวกเขามัววุ่นวายอยู่กับการหาทางแห่งความมั่งคั่ง
หรือดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดีทางสังคม จนลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต
เพราะได้สละเวลาของชีวิตให้กับการแสวงหนทางแห่งความมั่งคั่ง
และทางแห่งความมีชีวิตที่ดีทางสังคมเสียแล้ว
คนที่ได้รับการพัฒนาทางจิตและปัญญาอย่างสูงแล้ว
ไม่มีใครสักคนเดียวที่ต้องการความมั่งคั่งเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต
จึงพูดได้ว่า สังคมที่เห็นความมั่งคั่งเป็นจุดหมายของชีวิตหรือการงานนั้น
คือสังคมที่มีพลเมืองโง่เขลา คนยิ่งใช้เวลาหมกมุ่นหาเงินมากเท่าใด
ก็ยิ่งโง่มากเท่านั้น นอกจากนั้น เมื่อได้เงินมาแล้วเขาก็ไม่ได้ใช้ไปในทางที่ถูกต้อง
ส่วนมากใช้ไปในทางมัวเมา อันเป็นเหตุให้สูญเสียจิตใจ
ซึ่งเป็นการสูญเสียที่สำคัญสำหรับมนุษย์ นอกจากเขามัวเมาด้วยตนเองแล้ว
ยังสร้างสถานยั่วยวนทางกามารมณ์บ้าง ทางอบายมุขบ้าง
ให้คนอื่นลุ่มหลงมัวเมาไปด้วย เหมือนคนขุดร่องน้ำไว้เป็นทางปลา
แล้วนำไซหรือลอบไปดักไว้เพื่อความฉิบหายวายวอดของปลา
ส่วนคนที่มั่งคั่งแล้วใช้เงินให้เป็นประโยชน์แก่ประชาคมก็พอมีอยู่บ้าง
เราขอสรรเสริญบุคคลประเภทนี้ โดยนัยที่กล่าวมานั้น
จะเห็นว่าโดยตัวมันเองแล้วเงินหรือความมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งดีในตัวมันเอง
มันจะดีก็ต่อเมื่อเจ้าของใช้ไปในทางที่ดี
และจะชั่วอย่างมากถ้าเจ้าของใช้ไปในทางที่ชั่ว
ขอบพระคุณที่มาจากคุณ นริศรา
-
ข้อคิดจากหนังสือของอ.วศิน อินทสระ
เงินและเวลาอันยาวนานของชีวิตเป็นสิ่งน่ากลัวและน่าเบื่อหน่าย
แต่มนุษย์เราก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะกลัวมัน ยังแสวงหา 2 สิ่งนี้อยู่
ด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงจัง จะเห็นได้จากธุรกิจต่างๆ
อันสามารถทำเงินได้มากและยาอายุวัฒนะที่คนพากันแสวงหา
รวมทั้งคำอวยพร การขอพรเพื่อให้มีอายุยาว
ซึ่งอันที่จริงก็คือการเจ็บป่วยอันยาวนานนั่นเอง
คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่มีเงินมากหรืออายุยืนยาว
แต่อยู่ที่ได้ทำอะไรอันเป็นประโยชน์แก่ตน
แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ร่วมโลกอื่นๆ
การมีอายุยืนโดยไร้ประโยชน์นั้น
ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติไปมาก
ซึ่งคนมีประโยชน์ควรจะได้โดยชอบธรรม
ส่วนการมีเงินมากโดยไม่เป็นประโยชน์แกใคร
ก็เป็นการเบียดเบียนสังคมและเบียดเบียนตนเองด้วย
มนุษย์ได้เสียเวลาของชีวิตไปกับ 2 สิ่งนี้เป็นอันมาก
ถ้าเขาไม่ทำชีวิตให้มีคุณค่า มันคุ้มกันหรือ? อย่าโง่นะ
ขอบพระคุณ คุณนริศรา
-
ข้อคิดจากหนังสือของอ.วศิน อินทสระ
เงินนั้นถ้าให้เกียรติมันมากนัก
ถึงกับยอมให้มันเป็นนาย
เราจะลำบากมากเหลือเกิน
เพราะมันเป็นนายที่โง่และทารุณ
จะใช้เราอย่างโง่ๆ และใช้ให้ทำความชั่วได้มาก
คนบางคนเว้นความชั่วบางอย่างได้
เพราะจนอยู่ พอรวยเข้าก็ลืม
เงินใช้มันอย่างทาสก็ไม่ได้
เพราะถ้าใช้มันมากเกินไป
พอมันไปกันหมด เราก็เดือดร้อนเหมือนกัน
จะให้ทำอย่างไร ก็ต้องใช้มันอย่างมิตรสหาย
ใช้มันแต่พอดีๆ เมื่อจำเป็นต้องบอกใช้ไหว้วาน
มันก็จะเป็นมิตรเป็นสหายกับเราตลอดไป
เงินไม่ชอบคนที่ดูถูกมัน
และไม่ชอบคนที่ยกย่องเทิดทูนมันเกินไป
ขอบพระคุณคุณนริศรา
-
:45: ขอบคุณครับน้องฝน ขอบคุณครับพี่เล็ก