ใต้ร่มธรรม
แสงธรรมนำใจ => จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก => พระไพศาล วิสาโล => ข้อความที่เริ่มโดย: rain.... ที่ มกราคม 18, 2011, 07:52:45 pm
-
:13: :13: :13: :13:
เป็นสุขทุกขณะจิต เมื่อชีวิตไม่ติดลบ
:19: :19: :19: :19:
ความสงบเย็นภายในหาซื้อไม่ได้ จะได้มาก็จากชีวิตด้านในที่เจริญงอกงาม หรือจากจิตใจที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ผู้ที่เห็นคุณค่าของของชีวิตด้านในย่อมแสวงหาสิ่งดีงามมาบำรุงเลี้ยงจิต ใจ...
โดย พระไพศาล วิสาโล
เวลากินข้าว เราไม่เพียงตักอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะได้บำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย โดยเฉพาะเมื่อเรากินอย่างมีสติ รู้จักประมาณในการกิน กินอย่างรู้คุณค่าที่แท้จริงของอาหาร และด้วยสำนึกในบุญคุณของทุกชีวิตที่นำอาหารมาให้เรา สติและสำนึกดังกล่าวจะช่วยบ่มเพาะจิตใจของเราให้งดงามและเป็นกุศล นำไปสู่ชีวิตที่สงบเย็นและมีเมตตา
เวลาหายใจ เราไม่เพียงดูดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะนำเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงจิตใจด้วย ในยามเครียดหรือเกิดโทสะ ลองหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก 5-10 ครั้ง จิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะพบว่าความเครียดบรรเทาลง และจิตใจหายรุ่มร้อน ยิ่งในยามปกติด้วยแล้ว การหายใจอย่างมีสติจะช่วยให้จิตสงบนิ่ง มั่นคงแต่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม
เวลาเดิน เราไม่เพียงพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะพาใจให้เข้าถึงความผ่อนคลาย เป็นสมาธิ เมื่อเดินอย่างมีสติรู้ตัวในทุกย่างก้าว ไม่กังวลกับจุดหมาย ไม่สนใจว่าต้องเดินอีกไกลเท่าใด ไม่เร่งเร้าว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระจากระยะทางและเวลา การเดินจึงกลายเป็นการพักใจในทุกก้าว แม้กายเหนื่อย แต่ใจหาเหนื่อยไม่
ทุกอิริยาบถ ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของร่างกายล้วนๆ แต่แท้ที่จริงแล้วมีมิติด้านจิตใจมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เป็นมิติที่มากไปกว่าการใช้สมองหรือความคิด หากเป็นมิติที่สัมพันธ์กับความปกติสุข (หรือความทุกข์) ในระดับจิตวิญญาณ ทุกขณะและทุกการกระทำของเราล้วนแยกไม่ออกจากมิติทางจิตใจ กล่าวคือล้วนส่งผลต่อจิตใจ ไม่ว่าในทางบ่มเพาะหรือบั่นทอน หล่อเลี้ยงหรือตัดรอนความสงบเย็นของชีวิตด้านใน
ชีวิต ที่สนใจแต่มิติด้านกายภาพ มุ่งตักตวงความสุขทางกาย หรือความพรั่งพร้อมทางวัตถุ โดยไม่คำนึงถึง มิติด้านจิตใจ เอาแต่ปรนเปรอร่างกาย โดยละเลยการบำรุงเลี้ยงจิตใจ ชีวิตดังกล่าวย่อมเป็นชีวิตที่ยากจะพบกับความสงบสุข มีแต่จะรุ่มร้อนเพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ
ขณะเดียว กันจิตใจก็แส่ส่ายทุรนทุรายเนื่องจากขาดความสุขที่แท้ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาโดยนึกว่าทรัพย์สมบัติจะนำความสุขที่แท้มาให้ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง จึงต้องดิ้นรนแสวงหาต่อไปไม่รู้จบ ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่ติดลบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติท่วมหัวก็ตาม
มนุษย์ ทุกคนย่อมปรารถนาความสงบเย็นภายใน ความสงบเย็นแบบนี้หาซื้อไม่ได้ จะได้มาก็จากชีวิตด้านในที่เจริญงอกงาม หรือจากจิตใจที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ผู้ที่เห็นคุณค่าของของชีวิตด้านในย่อมแสวงหาสิ่งดีงามมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ อยู่เป็นนิตย์
สิ่งดีงามนั้นได้แก่ความปรารถนาดี (เมตตา) การเผื่อแผ่และเสียสละ (จาคะ) ความตั้งมั่นและความสงบใจ (สมาธิ) ความรู้และไม่หลงลืม (สติ) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตจิตใจ (ปัญญา) เป็นต้น
เพียงแค่หยุดคิดแล้วหันมามองดูตน เราย่อมเห็นได้ไม่ยากว่า อะไรคือสิ่งที่ชีวิตจิตใจของเราปรารถนาอย่างแท้จริง
แต่ในยุคนี้ดูเหมือนว่าทำเพียงเท่านี้ก็นับว่ายากแล้ว เพราะนอก จากจะมีชีวิตเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาว่างแล้ว แม้ในยามที่มีเวลาว่าง อะไรต่ออะไรก็พากันแย่งเวลาเราไปจนหมด ไม่ว่าโทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตหรือสถานบันเทิง
ยิ่งกว่านั้นคือกระแสเงินตราที่ไหล่บ่ามาแรง โดยเฉพาะสังคมไทยใน พ.ศ.นี้และ พ.ศ.หน้าไม่เพียงสินทรัพย์จะถูกแปรเป็นวัฒนธรรมเชิงท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ กาสิโนและโต๊ะพนันบอลก็ทำท่าจะเดินตามหวยคือถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อเป็น ขุมเงินขุมทองให้รัฐ เงินกำลังกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนในชาติ และกลายเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จและความเจริญของทุกสิ่งตั้งแต่บุคคล องค์กร ชุมชนไปจนถึงประเทศชาติ
ใช่แต่เท่านั้นเงินยังทำท่าแพร่สะพัดสุดแต่ว่าใครจะไขว่คว้าได้แค่ไหน ไม่ว่าเงินกู้ในรูปเครดิตการ์ดที่ธนาคารแข่งกันออก เงินล้านที่หลั่งไหลสู่ชุมชนเพื่อเอาชนะความยากจน และเงินลงทุนอีกหลายแสนล้านของรัฐบาลในโครงการนับไม่ถ้วน
ในยุคที่เงินตราเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง รวมทั้งความถูกต้อง จนแฟชั่น นมหก กลายเป็นเรื่องธรรมดาเพราะจำเป็นสำหรับการเมืองไทยให้เป็นตลาดแฟชั่นชั้นนำ ของโลก การที่ผู้คนจะแลเห็นอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าวัตถุเงินตรา ย่อมเป็นเรื่องยาก อย่าว่าแต่เรื่องจิตวิญญาณเลย แม้กระทั่งศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นเรื่องโลกย์ๆ ก็แทบไม่มีความหมายเสียแล้วเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งหรือการเติบโตทาง เศรษฐกิจ
ในยามที่เงินเป็นพระเจ้านี้ สิ่งสำคัญก่อนอื่นใดคือการมีสติยั้งคิด ไม่หลงใหลไปตามกระแสและหรือลุ่มหลงกับมายาภาพ จนลืมไปว่า มีเงินมากเท่าไหร่ก็ไม่มีความหมายหากชีวิตติดลบ ติดลบเพราะหิวโหยความสงบเย็นภายใน ชีวิตเช่นนี้ว่างเปล่าเพราะหาสาระที่แท้ของชีวิตไม่เจอ ใช่หรือไม่ว่าในที่สุดชีวิตเช่นนี้ย่อมกลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ
ทุกวันนี้ถึงแม้เงินจะปลิวว่อนในอากาศมากกว่าเดิม ก็อย่าหลงเพลินกับการไขว่คว้าเงินจนลืมชีวิตด้านในของตนเอง พึงตระหนักว่าทุกขณะและทุกอิริยาบถล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตด้านใน ลึกลงไปในทุกกิจกรรมคือโอกาสแห่งการบ่มเพาะจิตใจและการนำความสงบเย็นมาสู่ จิตวิญญาณ
พยายามใช้ทุกกิจกรรมเพื่อการสร้างความไพบูลย์งดงามแก่จิตใจ แทนที่จะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อให้กับการแสวงหาเงินตราและวัตถุสถานเดียว
ที่ ขาดไม่ได้ก็คือการหาเวลาสงบๆ ให้แก่ตนเอง เพื่อไตร่ตรองมองตนและปล่อยวางจากสิ่งข้องขัดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน เวลาดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเติมความสงบเย็นให้แก่จิตใจ
ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตย่อมเต็มอิ่มและนำความสุขใจมาให้ทุกขณะจิต
__________________________________________________
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย http://budnet.info
มติชน วันที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 26 ฉบับที่ 9431
ขอบคุณโพสจาก http://www.carefor.org/content/view/966/153/
-
:45: ขอบคุณครับน้องฝน