(http://p3.isanook.com/me/0/ui/0/1686/252606_10150980560958446_447245302_n_1389676182.jpg)
พุทธธรรม ของ หลวงปู่พุทธะอิสระ
ที่มาของสติและสมาธิ
ในคำสอนเรื่องนี้ หลวงปู่พยายามชี้ให้เห็นว่า การบำเพ็ญตบะแบบพุทธแตกต่างจากการบำเพ็ญ ตบะแบบอื่นที่มีมาก่อนพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทางและ วิธีการในการบำเพ็ญตบะ มีความสำคัญมากเป็นประการแรก เพื่อบรรลุความเป็นพุทธะ ตัวผม จึงคัดเลือกคำสอนในเรื่องนี้ของหลวงปู่มาเป็นหัวข้อแรกของบทนี้.....( ต่อไปเป็นคำสอนของหลวง ปู่ล้วน )
ก่อนที่จะพูดถึงการฝึกสติเพื่อให้เกิดสมาธิ พวกเราควรมีความเข้าใจที่ตรงกันก่อนว่า เดิมที ยุคก่อน เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ก็มีคนรู้จักคำว่า " สมาธิ " แล้ว แต่เขาไม่เรียกว่าสมาธิ เขาเรียกว่า การ บำเพ็ญตบะช่วงยุคที่ตบะรุ่งเรืองอย่างยุคก่อน คือ ช่วงที่ผู้คนสนใจแสวงหา " ตบะ " โดยคิดว่า เมื่อมีตบะแล้วจะมีอำนาจเท่าฟ้า มีปัญญาเท่าขุนเขา มีชีวิตยิ่งใหญ่เท่าแผ่นดิน ผู้มีตบะอาจสามารถ เอามือลูบพระจันทร์พระอาทิตย์ได้ อาจสามารถที่จะมีอำนาจเทียบเท่าพระอิศวร พระศิวะ พระ นารายณ์ พระพรหม หรือเทพยาดาทั้งหลายได้
และด้วยความคิดว่า ตบะเป็นเครื่องยังให้มนุษย์สามัญธรรมดากลายเป็นผู้วิเศษเทียมเท่าฟ้า ดัง นั้น คนทั้งหลายจึงพากันออกแสวงหาตบะ สาเหตุที่คนสมัยนั้นพยายามทำตัวเองให้มีอำนาจเท่า ฟ้า มีปัญญาเท่าขุนเขา มีชีวิตยิ่งใหญ่เท่าแผ่นดิน ก็เพราะผู้คนทั้งหลายในสมัยนั้นคิดว่า ดิน ฟ้า เทวดา มาร พรหม มีอำนาจครอบงำชีวิตเขา กลั่นแกล้งเขา ทำให้เขาต้องได้รับทุกขเวทนา เรือก สวนไร่นาเสียหายเพราะน้ำท่วม บ้านช่องพังทลายเพราะไฟใหม้ ญาติทั้งหลายต้องตายจากไป ก็เชื่อว่า เพราะพญามัจจุราชและมารซาตานที่กัดกิน เกิดภัยพิบัติที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความร้อนรุนแรงก็เพราะพระอาทิตย์เผาผลาญ ตัวเองเป็นโรคร้ายที่เกิดจากโรคติดต่อ หรือโรค ที่เกิดจากการดำรงชีวิตก็เชื่อว่า เพราะพระหรหมบันดาล
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัว เมื่อกลัวแล้วก็ต้องหาวิธีแก้ไขความ กลัว แล้วพวกเขาก็คิดว่า วิธีที่จะแก้ไขความกลัวก็คือ ต้องทำตัวเองให้เท่าพรหม เท่ามาร เท่า เทวดา เท่าพระนารายณ์ พระอิศวร เท่าผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่ในโลก ในจักรวาลนี้ และพวกเขาก็เรียนก็ศึกษากันต่าง ๆ มาว่า ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้น มีอำนาจ มีพลัง มีอานิสงค์ มีอาณุภาพยิ่งใหญ่ได้ก็เพราะการบำเพ็ญตบะ เมื่อพวกเขาคิดได้อย่างนั้นแล้ว พวกเขาก็แสวงหา หนทาง วิถีของการบำเพ็ญตบะ เมื่อถึงเวลาก็ออกสู่ป่า สู่ถ้ำ สู่ภูเขา สู่ที่เงียบสงัด เพื่อสะดวกในการ บำเพ็ญตบะ และวิถีทางในการบำเพ็ญตบะของพวกเขาเมื่อไปถึงที่ที่พวกเขาต้องการอยู่แล้วก็เริ่ม จากการภาวนา คำท่องบ่นที่ทำให้ตั้งมั่นในใจที่ได้มาจากพราหมณ์ นักบวช ครูอาจารย์ที่สร้างลัทธิ เพื่อบำเพ็ญตบะที่มีอำนาจเท่าฟ้า มีความยิ่งใหญ่เท่าดิน มีปัญญาเท่าขุนเขา
แต่ละลัทธิก็อวดอ้างสรรพคุณ บทสวด บทท่อง หรือยัญพิธีของตนว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถ ทำตนให้เทียมทันฟ้าดินได้ ใครเป็นลูกศิษย์ของใครก็นำเอาลัทธิ เอาคำสอนของอาจารย์ผู้นั้น มาบำเพ็ญตบะ เช่น ลัทธิที่บูชาไฟก็จะสอนให้ทำการบูชาไฟ บูชาเพลิง นั่งบำเพ็ญตบะต่อหน้ากอง เพลิง โดยการจุดคบเพลิงหรือกองไฟขึ้นตรงหน้า แล้วก็เอา น้ำมัน น้ำนม เนยข้น เนยใส ถั่ว งา ดอกไม้ เครื่องบูชา ใส่ลงไป ในกองเพลิงแล้วก็สาธยายมนต์ของตนจนจิตรวบรวมเป็นหนึ่ง สามารถ ที่จะบังคับกองไฟนั้นให้ใหญ่ได้เล็กได้ ลอยขึ้นได้ ดับลงได้ ติดใหม่ได้ โดยไม่ต้องไปแตะต้องด้วย มือ เขาก็ถือว่าสำเร็จตบะ มีอำนาจเหนือไฟ
ลัทธิที่บูชาพระอาทิตย์ ก็นั่งเพ่ง ยืนเพ่ง นอนเพ่งพระอาทิตย์ ทั้งยามเช้า ยามเย็น คนที่บูชาพระ จันทร์ ก็นั่งเพ่งพระจันทร์ยามค่ำคืน เพ่งจนเขาสามารถบังคับพระจันทร์หรือทำให้พระจันทร์ หรือ พระอาทิตย์ ปรากฏในนิมิต สูงใหญ่ ยาวกว้าง มีแสงเรือง แสงดับได้ดังใจปรารถนา ก็จะถือว่า เขา สามารถสำเร็จเป็นตบะได้แล้ว
รวม ๆ สรุปก็คือ การบำเพ็ญตบะของแต่ละลัทธิสมัยก่อนพระพุทธศาสนา เป็นการบำเพ็ญตบะที่ ตนคิดว่าจะได้ จะมี จะดี ก็ด้วยการ เคร่งครัด เคร่งเครียด แล้วก็ทำให้จริงจัง จนบางทีบางครั้งก็ ลืมการคิดพิจารณาหาเหตุหาผล ไม่มีเหตุผลใด ๆ มาหักล้างกันได้ ทำเพราะความเชื่อเท่านั้น การบำเพ็ญตบะของคนเมื่อยุคก่อนสองพันห้าร้อยปี ก็เลยทำตามความเชื่อและความกลัว
หลังจากพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นเป็น พระมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แล้วทรง ออกผนวชจนกระทั่งค้นพบวิถีทาง มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ค้นพบมรรคาปฏิปทา คือ มรรค ๘ ประการ เริ่มต้นด้วยการทำความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้อง ในมรรค ๘ อย่าง ข้อ แรกสำคัญที่สุด เมื่อทำความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้องแล้ว ทำให้พระองค์รู้ว่า การปฏิบัติตน ในอัตตกลิมาถา นุโยค หรือการทำตนให้ลำบากด้วยการบูชาไฟ เพ่งพระอาทิตย์ พระจันทร์ เป็นต้น มันไม่ได้เกิดประโยชน์ แล้วพระองค์ก็ทรงรู้ต่อไปว่า การทำตนให้เป็นบุคคลที่มัวเมาอยู่ในกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อีก การบำเพ็ญตบะจะมีประโยชน์ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ การเปลี่ยนแปลงนิสัยและแก้ไขพฤติกรรม โดยการเริ่มตนจากการทำดี ละชั่วและทำใจให้ผ่องใส นั่นคือที่มาของความหมายแห่งหนทาง หรือวิถีทางที่พระองค์ทรงเรียกว่า มรรคาปฏิปทา คือ ทาง สายเอก เป็นทางของบุคคลผู้เป็นเอกบุรุษ เอกสตรีเดิน เป็นหนทางของบุคคลผู้มีปัญญาเดิน ที่ ไม่ได้ทำด้วยความกลัวและความเชื่องมงาย
เพราะฉะนั้น ในมรรคมีองค์ ๘ ประการ ข้อที่ว่า จงทำความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้อง จึงเป็น ที่มาของการบำเพ็ญตบะแบบชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ผิดชนิดผิดประเภทผิดคำสอนที่มาแต่เก่า ก่อนอย่างสิ้นเชิง พระองค์ก็ทรงสอนให้ภิกษุในศาสนาของพระองค์บำเพ็ญตบะเหมือนกัน แต่การ บำเพ็ญตบะของภิกษุในพุทธศาสนาเป็นการบำเพ็ญตบะด้วยการใช้ปัญญาพิจารณา เริ่มต้นตั้งแต่ การปฏิบัติรักษาศีลการบำเพ็ญตบะข้อแรก การรักษาศีล คือ การทำให้กายวาจาของตนเป็นปกติ ไม่ผิดปกติ เมื่อบำเพ็ญศีลแล้วพระองค์ก็ทรงสอน ให้ทำบุญ ให้ทำดี มีความเอื้ออาทร มีความการุณย์ มีความเมตตา มีความอนุเคราะห์ มีน้ำใจ ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข นี่เป็นการบำเพ็ญตบะ ข้อสอง ต่อมาพระองคืก็สอนว่า ให้ทำใจให้ผ่องใสซึ่งเป็นการบำเพ็ญตบะข้อที่สาม และเป็นข้อสุด ท้ายอันเป็นการบำเพ็ญตบะข้อยิ่งใหญ่ เพราะทำให้เราสามารถมีอำนาจเหนือพรหม มีอำนาจเหนือ เทพ เหนือมาร เหนือยักษ์ร้าย ผีห่าซาตานทั้งปวงได้ เพราะเทพ พรหม มาร ก็ยังต้องกราบไหว้เรา ถ้าหากเราบำเพ็ญตบะข้อนี้ได้สำเร็จ นั่นก็คือ รักษาใจไม่ให้พร่อง ไม่ให้กระเพื่อม รักษาอารมณ์ไม่ ให้ปรุงแต่งต่อ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส หรือกายถูกต้องสัมผัส แล้วเราไม่ตกเป็นทาสมัน หรือแม้แต่รักษาจิตของตน อารมณ์ของตน กาย วาจา ใจของตน ไม่ให้เกิดความคิดแตกแยก คืิอไม่ให้ยุ่งฟุ้งซ่าน ไม่ให้หงุดหงิดรำคาญ ไม่ง่วงเหงาหาวนอน รักษาจิตของตนไม่ให้โดนนิวรณ์ครอบงำ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป้นการบำเพ็ญตบะในพุทธศาสนา ผู้ใดที่บำเพ็ญได้แล้วก็จะมีอำนาจเหนือพรหม มาร เทพ ผีห่า ซาตาน ทั้งปวงได้อย่างชนิดที่แม้แต่มัจจุราชก็ยังไม่กล้าเข้าไกล้ ผลประโยชน์สูงสุด ในการบำเพ็ญตบะตามคำสอนของพุทธศาสนา คือ ทำให้ชีวิตเป็นอมตะ ก็คือ นิพพานอันแปลว่า ดับแล้วเย็น พระองค์ทรงเรียกวิถีทางนี้ว่า อมฤตธรรม หรือธรรมยังสัตว์ให้ไม่ตาย ซึ่งดีกว่าคำสอน โบราณดั้งเดิมเก่าแก่ที่สอนก่อนพระองค์ ซึ่งสอนว่า บำเพ็ญตบะแล้วจะมี อำนาจเท่าพรหม เท่าฟ้า เท่าดิน เท่าภูมิเขา เท่าผีห่าซาตาน แต่การบำเพ็ญตบะของพุทธศาสนานั้น มีอำนาจเหนือกว่าฟ้า พรหม มาร ผีห่า ซาตาน ดินและภูเขา เหตุผลก็เพราะว่า พรหม มาร ผีห่า ซาตาน ดิน ฟ้า ภูเขา นั้น ยังต้องผุกร่อน ทำลายและตายหมดอายุขัยในที่สุด แต่ผู้
บำเพ็ญอมฤตธรรมไม่รู้จักคำวว่าตาย นั่น คือ สู่คำว่า นิพพาน ซึ่งแปลว่า ดับแล้วเย็น เป็นชีวิตอมตะที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันตาย