(http://i277.photobucket.com/albums/kk56/thaihithot/unseen/rainbows-1.jpg)
สมัยก่อนผมไปอยู่เหนือ ไปอยู่กับพระหลายองค์ พระแก่ๆ แบบหลวงพ่อหลวงตา ๒-๓ พรรษา ผมนั้น ๑๐ พรรษา แล้วอยู่กับพวกคนแก่ก็ตั้งใจปฏิบัติเลย รับบาตร ซักจีวร เทกระโถนสารพัดอย่าง ไม่ได้คิดว่าอันนี้ทำให้องค์นั้น ไม่ได้คิด ทำข้อปฏิบัติของเรา ใครไม่ทำเราก็ทำเป็นกำไรของเรา เป็นเรื่องสบายใจภูมิใจถึงวันอุโบสถ เราก็รู้จัก เราเป็นพระหนุ่มไปจัดโรงอุโบสถ ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน สารพัดอย่างสบาย พวกนั้นไม่รู้จักกิจวัตรก็เฉย เราก็ไม่ว่าให้เขา เพราะเขาไม่รู้จัก อันนี้เรามาปฏิบัติ เราทำแล้วก็ภูมิใจถึงเวลาห่มผ้าเดินจงกรมสบาย มันภูมิใจเหลือเกิน มันดีมันมีกำลังข้อวัตรทั้งหลายมีกำลังมาก ที่ไหนในวัดที่มันจะทำได้ ในกุฏิของเรา ในกุฏิคนอื่นก็ดีที่มันสกปรกรกรุงรัง ทำเลย ไม่ต้องทำให้ใคร ไม่ต้องทำเอาหน้าเอาตาจากใคร ทำเพื่อข้อปฏิบัติของเรากวาดกุฏิกวาดเสนาสนะให้มันสะอาด ถ้าเราทำเช่นนั้น ก็เหมือนเรากวาดของสกปรกออกจากใจของเรา เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติอันนี้ให้มันมีอยู่ในใจของพวกเราทุกคน
ความสามัคคีนั้นไม่ต้องเรียกร้องหรอก เป็นเลย ให้มันเป็นธรรมะ สงบระงับ พยายามทำใจให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรมันจะขัดแย้งเรา อะไรที่เป็นงานหนักงานหนาช่วยกันทำ อะไรถ้าเราช่วยกันทำ ไม่นานหรอกก็เสร็จ ช่วยกันง่ายๆ แล้วก็แล้วไป มันดีที่สุด ผมก็เคยพบเหมือนกัน แต่ว่าผมมีกำไร คือ ไปอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งพระ ทั้งเณร "เอ้า วันนี้ย้อมผ้ากันนะ" ย้อมผ้า...เราไปต้มแก่นขนุน มีพระบางองค์ให้เพื่อนต้มแก่นขนุนเสร็จ แล้วก็เอาผ้ามาชุบๆ ย้อม แล้วก็หนีไปตากผ้าอยู่กุฏินอนสบาย ไม่ต้องต้มแก่นขนุน ไม่ต้องมาล้างหม้อ ไม่ต้องจัดทำอะไร เขานึกว่าเขาสบาย เขาดี อันนั้นคือโง่ที่สุดแล้ว สร้างความโง่ใส่ตัวเอง เพราะเขาไม่ได้ทำ เพื่อนเขาทำถึงเวลาไม่ต้องทำอะไรเลย ง่าย นี้ยิ่งเพิ่มความโง่ขึ้น ดูเถอะอันนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์แก่เขาเลย นี่คือความคิดโง่ของคน กิจที่จะต้องทำก็ไม่ทำ คือถ้าไม่ทำได้ละเป็นดีที่สุด นั่นแหละมันโง่ที่สุดถ้าเรามีความเห็นอย่างนั้นในใจอยู่ เราอยู่ไม่ได้
ฉะนั้น จะพูดอะไร จะทำอะไร ก็ให้รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี้ อยากกินดี นั่งดี นอนดี อะไรทั้งหลายนั้น ไม่ได้ ที่เรามาเรามาทำอะไร? ถ้าเราคิดอย่างนี้อยู่เสมอ มันก็จะผูกใจเราตลอดเวลาไม่เผลอ ผูกใจเสมอ แม้ท่านจะยืนอยู่ท่านก็จะปรารภความเพียรจะเดินอยู่ก็ปรารภความเพียร จะนอนอยู่ก็ปรารภความเพียร ถ้าไม่ได้ปรารภความเพียรไม่ได้เป็นอย่างนั้น นั่งอยู่ก็นั่งในบ้าน เดินก็ไปเดินในบ้าน จะไปเล่นอยู่ในบ้าน เล่นกับประชาชนเขา ใจมันไปอย่างนั้น ไม่ได้ปรารภความเพียร ไม่ได้หักห้ามใจของเราอีกเสียด้วย ก็ยิ่งปล่อยมันไปตามลมตามอารมณ์ นี่เรียกว่าตามอารมณ์ก็เหมือนเด็กในบ้าน เราไปตามใจมัน มันจะดีไหม? พ่อแม่ตามใจเด็กในบ้านมันจะดีไหม? ถ้าไปตามใจมันตั้งแต่เป็นเด็ก พอมันรู้ภาษาเขาก็จะเฆี่ยนมันเท่านั้นแหละ กลัวมันจะโง่ การฝึกจิตของเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องรู้จักตัว รู้จักฝึกจิตของเรา ถ้าเราไม่รู้จักฝึกจิตของตัวเอง จะคอยคนอื่นมาฝึกให้ ลำบากมาก ลำบากมากทีเดียวล่ะ
ฉะนั้น อย่าเข้าใจว่าอยู่นี้ไม่ได้ทำความเพียร การทำเพียรไม่ได้ขีดขั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ได้หมดทั้งนั้น แม้กวาดลานวัดอยู่ก็บรรลุธรรมะได้ แม้มองไปเห็นแสงพยับแดดเท่านั้นก็บรรลุธรรมะได้ จะต้องให้สติมีพร้อมอยู่เสมอ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? เพราะมันมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมะอยู่ทุกเวลา อยู่ทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจอยู่ พิจารณาอยู่
ฉะนั้น เราจึงอย่าประมาท ให้ระวัง ให้รู้ เดินไปบิณฑบาตอย่างนี้มีความรู้สึกตั้งหลายอย่าง กว่าเราจะกลับถึงวัดเรา เออเอาซีธรรมะดีๆ มันจะเกิดขึ้น เมื่อมาถึงวัดมานั่งฉันบิณฑบาตแหม มันมีธรรมะดีๆ ที่เกิดขึ้นมาให้เรารู้จัก มันต้องเกิดอยู่อย่างนี้ถ้าเราปรารภความเพียรอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นอะไรนะ มันมีข้อคิด มันมีปัญหา มันมีธรรมะ มันเป็นธรรมวิจยะ สอดส่องธรรมะอยู่ตลอดเวลา มันเป็นโพชฌงค์ ถ้าเราศึกษาอยู่เป็นพหูสูตรศึกษาอะไร? ศึกษาอารมณ์นี้ ธรรมะมันเกิดที่จิต ไม่ต้องไปศึกษากับใครที่ไหน ศึกษาอยู่ที่เมื่อเรามีสติอยู่ มันมีข้อศึกษา โพชฌังโค สติสังขาโต ธรรมานังวิจโย...มีสติมันก็มีธรรมวิจยะ มันติดต่อกันเสมอ มันเป็นองค์ตรัสรู้ธรรม ถ้าเรามีสติอยู่ มันมีธรรมวิจยะไม่ได้อยู่เฉยๆ เป็นองค์ธรรมตรัสรู้ ถ้าอยู่ในระบบนี้ ตรัสรู้ธรรมะอยู่ตรงนี้ ภายในจิตของเรานี้ การปฏิบัติไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีเวลา ไม่มีเรื่องอื่นมาปน ปนก็ให้รู้จักว่ามันปน มีธรรมวิจยะอยู่ในใจเสมอ คือ ซอกธรรม เฟ้นธรรมอยู่เสมอ มีสติวิจัยธรรมอยู่ตลอดเวลา เรื่องจิตมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันตกกระแสของมันแล้วไม่ใช่วิจัยไปอย่างอื่น "จะไปเที่ยวตรงโน้น จะไปทางนี้ทางนั้น สนุกจังหวัดนี้ จังหวัดนั้น" อันนั้นมันหลงโลก เดี๋ยวก็ตายละ
ฉะนั้น จงพากันตั้งใจ ไม่ใช่ว่านั่งหลับตาอย่างเดียวจึงเกิดปัญญา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีอยู่เสมอ ตื่นอยู่เสมอศึกษาตลอดเวลา เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ต่างๆ ก็ได้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา น้อมเข้ามาเป็นโอปนยิกะธรรม ให้เห็นชัดในตัวของเราเป็นปัจจัตตัง จะมีอารมณ์ภายนอกกระทบกระทั่งเข้ามา มันก็เป็นปัจจัตตังสม่ำเสมอ มันไม่ทิ้ง พูดง่ายๆ เหมือนเขาเผาถ่าน เผาอิฐเตาถ่าน เตาอิฐ เคยเห็นไหม? ก่อไฟขึ้นหน้าเตาสัก ๒ ศอกหรือ เมตรหนึ่ง มันจะดูดควันไฟเข้าไปในเตาหมดเลย ดูอันนั้นก็ได้ มันเห็นชัดอย่างนั้น อันนี้มันเป็นรูปเปรียบเทียบ ถ้าทำเตาเผาถ่าน เผาอิฐ ให้ถูกเรื่อง ถูกลักษณะของมัน ก่อไฟอยู่หน้าเตาสัก ๒-๓ ศอก เมื่อมีควันขึ้นมามันจะดูดเข้าไปในเตาหมด ไม่มีเหลือเลย ความร้อนก็จะเข้าไปบรรจุในเตาหมด ไม่หนีไปไหนความร้อนจะเข้าไปทำลายเร็วที่สุด นี่มันเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของผู้ประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จะมีความรู้สึกดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งนั้น ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสทั้งหลาย มันจะดูดเข้าไปให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งนั้น จะเป็นสัมผัสที่เกิดปัญญาอย่างนั้นสม่ำเสมอ ตลอดเวลา
นำมาจาก http://www.ajahnchah.org/thai/sensingTo_knowing.php