-
(https://lh3.googleusercontent.com/-0gq1v0p4raw/U1tvC4GYQrI/AAAAAAAA6lM/syULRPapGp4/w406-h527/20.jpg)
รวมลิ้งค์เรื่องย่อในพระธรรมบท ๑ - ๒๖
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 1 : ยมกวรรค
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 2 : อัปปมาทวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6018.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 3 : จิตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6031.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 4 : ปุปผวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6040.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 5 : พาลวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6046.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 6 : ปัณฑิตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6089.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 7 : อรหันตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6131.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 8 : สหัสสวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6140.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 9 : ปาปวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6179.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 10 : ทัณฑวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6269.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 11: ชราวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6327.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 12 : อัตตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6488.0.html)
ส่วนนี้นำมาจาก >>>
one mind :http://agaligohome.com/index.php?topic=4599.0
(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/56/1d/65/561d654ff98aa84bcb6d5f4c7fc23d6e.jpg)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 13 : โลกวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7313.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 14 :พุทธวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7318.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 15 : สุขวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7333.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 16 : ปิยวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7472.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 17 : โกธวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7497.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 18 : มลวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7507.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 19 : ธัมมัฏฐวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7522.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 20 : มัคควรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7526.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 21 : ปกิณณกวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7551.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 22 : นิรยวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7575.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 23 : นาควรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7597.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 24 : ตัณหาวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7612.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 25 : ภิกขุวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7627.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 26 : พราหมณวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7674.0.html)
ส่วนนี้นำมาจาก >>>
-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/page1
(https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcQSaLKkNUx7R-DHbgzDEQzVTtdsvekk1OhROK7SxwBnuxhYloED)
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * สุขใจดอทคอม
อกาลิโกโฮม.. บ้าน ที่แท้จริง...
กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานเหล่านี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานเหล่านี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ เรียนขออนุญาตใช้ภาพ
ไว้ ณ ที่นี้... นะคะ
อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
(http://4.bp.blogspot.com/-NoDVrDcPy7w/T-KcV8h3b9I/AAAAAAAAAz8/UWPHvg9k7bc/s520/IMG_9353.jpg)
จินตภาพแห่งศรัทธา (Images of Faith) by Ploeng Wattasan
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 1 : ยมกวรรค
เรื่องพระจักขุปาลเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมตามไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจล้ออันหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น.
ครั้งหนึ่ง พระจักขุปาลเถระ ผู้มีจักษุบอดเพราะปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดจนไม่ยอมหลับนอน ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ในคืนหนึ่งขณะที่พระเถระเดินจงกรมอยู่นั้น ก็ได้เหยียบแมงเม่าตายโดยไม่มีเจตนา ในตอนเช้าพวกพระภิกษุที่ไปเยี่ยมพระเถระพบแมงเม่าที่ตายนั้นเข้า มีความคิดว่าพระเถระทำสัตว์ให้ตายโดยเจตนา จึงนำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า เห็นพระเถระฆ่าแมงเม่าเหล่านั้นโดยเจตนาหรือไม่ เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เห็น จึงตรัสว่า “พวกเธอไม่เห็นจักขุปาลฆ่าแมงเม่าฉันใด จักขุปาลก็ไม่เห็นแมงเม่าเหล่านั้นฉันนั้น นอกจากนั้นแล้ว พระจักขุปาลนี้ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์และเป็นผู้บริสุทธิ์” เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พระจักขุปาลเถระนี้เป็นถึงพระอรหันต์ แต่เพราะเหตุใดจึงตาบอด พระศาสดาได้นำเรื่องในอดีตชาติของท่านมาตรัสเล่าว่า
ในอดีตชาติ พระจักขุปาลเคยเกิดเป็นแพทย์ ครั้งหนึ่งไปรักษาตาให้แก่คนไข้หญิงคนหนึ่ง คนไข้หญิงคนนี้ได้ให้สัญญากับนายแพทย์ว่านางกับลูกๆจะยอมเป็นข้าทาสรับใช้หากว่าดวงตาที่บอดทั้งสองข้างของนางแพทย์สามารถรักษาให้หายได้ แต่ต่อมานางกลัวว่านางพร้อมกับลูกๆจะต้องตกเป็นทาสของนายแพทย์จริงๆ จึงได้พูดโกหกนายแพทย์ไปว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางมีอาการแย่ไปกว่าเดิมทั้งๆที่ได้รับการบำบัดจนหายขาดไปแล้ว ข้างนายแพทย์ก็รู้ว่าคนไข้ของเขาหลอกลวงจึงได้แก้เผ็ดด้วยการผสมสารพิษลงในยาหลอดตาให้คนไข้นางนั้นหยอด พอนางหยอดเข้าไปคราวนี้ก็เลยทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง เพราะผลของอกุศลกรรมในครั้งนั้นทำให้นายแพทย์ต้องตาบอดหลายครั้งในภพชาติต่างๆ
เมื่อพระศาสดาได้ตรัสเล่าความในอดีตชาติของพระจักขุปาลเถระจบลงจึงสรุปว่าแพทย์คนนั้นก็คือพระจักขุปาล(โส เวชฺโช จกฺขุปาโล)และตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำแล้วในกาลนั้น ได้ติดตามเธอมาหลายภพหลายชาติ เพราะขึ้นชื่อว่าบาปกรรมนั้น ย่อมติดตามผู้ทำไป เหมือนล้อเกวียนอันหมุนตามรอยเท้าโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้าไปฉะนั้น”
และได้สรุปลงท้ายด้วยการตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 1 นี้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน
ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ
จกฺกํว วหโต ปทํ ฯ
(อ่านว่า)
มะโนปุบพังคะมา ทำมา
มะโนเสดถา มะโนมะยา
มะนะสา เจ ปะทุดเถนะ
พาสะติ วา กะโรติ วา
ตะโต นัง ทุกขะมันนะเวติ
จักกัง วะ วะหะโต ปะทัง.
(แปลว่า)
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น ดุจล้ออันหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น ฯ
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุ 3,000 รูป ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่บริษัทที่มาประชุมกันแล้ว.
(https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcTYt7lbp7buCMeMQHRhsPUpbCSeX962XcK7H28qZEawtYW87RsY)
-
เรื่องมัฏฐกุณฑลี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ใน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลีมาณพ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา เป็นต้น
ในกรุงสาวัตถี ชายหนุ่มชื่อมัฏฐกุณฑลี มีบิดาชื่ออทินนปุพพกะ(แปลว่า ผู้ไม่เคยให้) ซึ่งเป็นเศรษฐีที่มีความตระหนี่ไม่เคยบริจาคทานให้แก่ผู้ใด แม้แต่เครื่องประดับสำหรับบุตรชายเขาก็ทำให้เอง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย(ค่ากำเหน็จ)สำหรับช่างเงินช่างทอง เมื่อบุตรชายคนนี้ล้มเจ็บลง แทนที่ท่านเศรษฐีจะไปจ้างแพทย์มาทำการรักษาเพราะกลัวจะสิ้นเปลืองเงินทอง ก็ใช้ยากลางบ้านมารักษาตามมีตามเกิด จนกระทั่งอาการของบุตรชายเข้าทรุดหนักขั้นโคมา เมื่อรู้ว่าบุตรชายจะต้องตายแน่แล้ว เขาก็นำบุตรชายที่มีอาการร่อแร่ใกล้ตายนั้นออกไปนอนเสียนอกบ้าน เพื่อที่ว่าคนอื่นๆที่มาเยี่ยมลูกชายที่บ้านจะได้ไม่สามารถมองเห็นทรัพย์สมบัติของเขาได้
ในเช้าวันนั้น พระศาสดาทรงใช้ข่ายคือพระญาณของพระองค์(ลักษณะคล้ายๆกับเรดาร์แต่มีสมรรถนะเหนือกว่ามาก) ทำการตรวจจับดูอัธยาศัยของคนที่จะได้เสด็จไปโปรด ก็ได้พบมัฏฐกุณฑลีนี้มาปรากฏอยู่ในข่าย ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี จึงได้ไปประทับยืนอยู่ที่ใกล้ประตูบ้านของอทินนบุพกเศรษฐี พระศาสดาทรงฉายฉัพพรรณรังสีไปยังที่ที่มัฏฐกุณฑลีนอนหันหน้าเข้าหาตัวเรือน มัฏฐกุณฑลีได้หันกลับมามองดูพระศาสดา แต่ตอนนั้นอาการป่วยของเขาร่อแร่จนไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากน้อมใจทำการเคารพพระศาสดา เมื่อมัฏฐกุณฑลีสิ้นชีวิตด้วยจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาต่อพระศาสดา ก็ได้ไปเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในวิมานทอง สูงสามสิบโยชน์ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร
เมื่อไปเกิดอยู่บนสวรรค์แล้ว มัฏฐกุณฑลีมองลงมาด้วยตาทิพย์เห็นบิดาเข้าไปรำพึงรำพันถึงเขาอยู่ในป่าช้า ก็ได้แปลงตัวมาเป็นชายชรามีรูปร่างเหมือนกับมัฏฐกุณฑลีไม่มีผิด ร่างแปลงนั้นได้บอกบิดาของเขาว่าเขาได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว และได้พูดกระตุ้นบิดาให้ไปทูลนิมนต์พระศาสดามารับภัตตาหารที่บ้าน และที่บ้านของอทินนปุพพกเศรษฐีก็มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์เพียงแค่ทำใจให้มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเท่านั้น โดยไม่มีการถวายทาน และรักษาศีลแต่ประการใดทั้งสิ้น
ดังนั้น พระศาสดาจึงทรงอธิษฐานจิตให้มัฏฐกุณฑลีมาปรากฏตัว และมัฏฐกุณฑลีก็ได้มาปรากฏตัวในร่างของเทวดาพร้อมด้วยวิมานและเครื่องประดับตกแต่งกายที่เป็นทิพย์ และได้บอกว่าตนได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริงๆ เมื่อมีหลักฐานพยานปรากฏเช่นนี้แล้ว คนที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้นก็เกิดความมั่นใจว่าบุตรชายของอทินนปุพพกเศรษฐีไปเกิดบนสวรรค์เพียงแค่ทำใจให้มีศรัทธาในพระศาสดาเท่านั้นเองได้จริงๆ
ต่อแต่นั้น พระศาสดาได้ตรัสแก่คนทั้งหลายเหล่านั้นว่า “ในการทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นใหญ่ เพราะว่ากรรมที่ทำด้วยใจอันผ่องใสแล้ว ย่อมไม่ละบุคคลผู้ไปสู่เทวโลกมนุษยโลก ดุจเงาฉะนั้น” (กุสลากุสลกมฺมกรเณ มโน ปุพฺพงฺคโม, มโน เสฏฺโฐ; ปสนฺเนน หิ มเนน กตกมฺมํ เทวโลกํ มนุสฺสโลกํ คจฺฉนฺตํ ปุคฺคลํ ฉายาว น วิชหติ)
จากนั้นได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 2 ว่า
มโนปุพพงฺคมา ธมฺมา
มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน
ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ
ฉายาว อนุปายินี ฯ
(อ่านว่า)
มะโนปุบพังคะมา ทำมา
มะโนเสดถา มะโนมะยา
มะนะสา เจ ปะสันเนนะ
พาสะติ วา กะโรติ วา
ตะโต นัง สุขะมันนะเวติ
ฉายาวะ อะนุปายินี.
(แปลว่า)
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรม ได้มีแล้วแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร และอทินนกปุพพกพราหมณ์ บรรลุพระโสดาบัน.
-
เรื่องพระติสสเถระ
.
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ เป็นต้น
พระติสสเถระ เป็นบุตรพระญาติข้างพระมารดาของพระศาสดา ครั้งหนึ่งได้มาอยู่กับพระศาสดา ติสสเถระอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อตอนชราภาพแล้ว แต่ได้ทำตัวเหมือนกับว่าเป็นพระเถระ และจะแสดงความดีใจเมื่อพระอาคันตุกะขออนุญาตทำกิจวัตรที่พระผู้น้อยสมควรทำแก่พระผู้ใหญ่กับท่าน ตรงกันข้ามท่านติสสเถระนี้ไม่ยอมทำกิจวัตรที่ตนในฐานะที่เป็นพระพรรษาน้อยจะต้องทำแก่พระพรรษามาก ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ยังทะเลาะเบาะแว้งกับพระภิกษุหนุ่มอยู่เป็นประจำ หากมีใครว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตน ท่านก็จะนำเรื่องไปฟ้องกับพระศาสดา แล้วแสร้งบีบน้ำตาร้องไห้แสดงความไม่พอใจและความผิดหวังออกมา พวกพระอื่นๆก็ได้ติดตามพระติสสเถระไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาได้นำเรื่องในอดีตชาติของพระติสสะที่เคยเป็นคนดื้อรั้นไม่ฟังคำของใครมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า มีอยู่ชาติหนึ่ง พระติสสะเคยเกิดเป็นดาบสชื่อว่าเทวละ ได้ล่วงละเมิดดาบสอีกองค์ชื่อนารทะ แล้วแสดงความดื้อรั้นไม่ยอมขอโทษ จนพระราชาต้องเข้ามาจัดการบังคับให้เทวลดาบสขอโทษ ด้วยการให้ก้มลงกราบที่เท้าของนารทดาบส เมื่อทรงนำอดีตนิทานมาเล่าจบ แล้วตรัสสอนพระติสสะว่า “ ติสสะ ก็เมื่อภิกษุคิดอยู่ว่า เราถูกผู้โน้นด่าแล้ว ถูกผู้โน้นประหารแล้ว ถูกผู้โน้นชนะแล้ว ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราไปแล้ว ชื่อว่าเวรย่อมไม่ระงับได้ แต่เมื่อไม่เข้าไปผูกโกรธอยู่อย่างนั้นแล เวรย่อมระงับได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 3 และพระคาถาที่ 4 ว่า
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ
อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสํ น สัมมติฯ
(อ่านว่า)
อักโกดฉิ มัง อะวะทิ มัง
อะชินิ มัง อะหาสิ เม
เย จะ ตัง อุปะนัยหันติ
เวรัง เตสัง นะ สัมมะติ.
(แปลว่า)
ก็ชนเหล่าใด เข้าไปผูกความโกรธนั้นว่า
ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา
ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว
เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่ระงับได้.
อกฺโกจฉิ มํ อวธิ มํ
อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสูปสมฺมติฯ
(อ่านว่า)
อักโกดฉิ มัง อะวะทิ มัง
อะชินิ มัง อะหาสิ เม
เย จะ ตัง นูปะนัยหันติ
เวรัง เตสูปะสัมมะติ.
(แปลว่า)
ส่วนชนเหล่าใด ไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า
ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา
ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว
เวรของชนเหล่านั้น ย่อมระงับได้.
เมื่อพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุหนึ่งแสนรูป ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนาเกิดประโยชน์แก่มหาชน พระติสสเถระ ที่เคยเป็นคนว่ายาก ก็กลายเป็นคนว่าง่าย.
-
เรื่องนางกาลียักษิณี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงที่เป็นหมันคนหนึ่ง
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น หิ เวเรน เวรานิ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง มีคฤหบดีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาคนอายุมากนำยาแท้งลูกมาให้ภรรยาคนอายุน้อยกิน จนกระทั่งภรรยาอายุน้อยตกเลือดเสียชีวิตไปในที่สุด ในชาติต่อมา หญิงทั้งสองคนนี้ก็ตามล้างตามผลาญกันอีก โดยหญิงคนหนึ่งเกิดเป็นไก่ ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งเกิดเป็นแมว อีกชาติต่อมาเมื่อหญิงคนหนึ่งเกิดเป็นเนื้อสมัน หญิงอีกคนหนึ่งเกิดเป็นนางเสือดาว และในที่สุดคนหนึ่งมาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ส่วนอีกคนหนึ่งมาเกิดเป็นทางยักษิณี นางยักษิณีตนนี้มีชื่อว่านางกาลียักษิณี ได้ไล่ติดตามหญิงบุตรสาวของเศรษฐีที่อุ้มบุตรอยู่ในวงแขน เมื่อนางผู้ถูกไล่ติดตามนี้ทราบว่าพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ที่วัดพระเชตวัน จึงวิ่งหนีไปทางนั้น แล้วนำบุตรที่อุ้มมาไปวางลงที่เบื้องบาทของพระศาสดา นางกาลียักษิณีถูกเทวดาผู้รักษาประตูพระเชตวันสกัดไว้ที่ประตูไม่ยอมให้เข้าไป แต่ต่อมาพระศาสดาได้อนุญาตให้นางเข้าไปได้ และทั้งสองคนคือหญิงที่เป็นมนุษย์กับหญิงที่เป็นยักษ์ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระศาสดา โดยพระศาสดาได้ตรัสเล่าเรื่องที่ทั้งสองเคยล้างผลาญกันมาในในอดีตชาติ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นภรรยาของสามีคนเดียวกัน เป็นแมว เป็นแม่ไก่ เป็นเนื้อสมัน และเป็นนางเสือดาวตามลำดับ พระศาสดาทรงตรัสอบรมนางยักษิณีและนางกุลธิดาว่า “เหตุไร เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้า จักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับด้วยเวรไม่”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 5 ว่า
น หิ เวเรน เวรานิ
สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ
เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฯ
(อ่านว่า)
นะ หิ เวเรนะ เวรานิ
สัมมันตีทะ กุทาจะนัง
อะเวเรนะ จะ สัมมันติ
เอสะ ทำโม สะนันตะโน.
(แปลว่า)
ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้
ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย
ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความ
ไม่มีเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า.
เมื่อพระศาสดาทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณีได้บรรลุพระโสดาบัน.
อนึ่ง ในพระคัมภีร์เล่าต่อไปว่า พระศาสดาได้ทรงสงเคราะห์นางยักษิณี ด้วยการแนะนำให้นางกุลธิดานำนางยักษิณีไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน และในแต่ละปีนางยักษิณีก็ได้คอยแนะนำนางกุลธิดา เช่นว่า “ในปีนี้ จะมีฝนดี ท่านจงปลูกข้าวในที่ดอนเถิด ในปีนี้ฝนจะแล้ง ท่านจงปลูกข้าวในที่ลุ่มเถิด” ซึ่งก็ส่งผลให้การทำนาของนางกุลธิดาในแต่ละปีได้ผลดี ไม่เสียหายตายแล้งหรือน้ำท่วม เหมือนนาของพวกเพื่อนบ้าน นางกุลธิดาก็ได้ตอบแทนบุญคุณของนางยักษิณีด้วยการนำอาหารการกินไปเลี้ยงดูนางยักษิณีทุกวัน เมื่อพวกชาวบ้านรู้ว่าที่นางกุลธิดาทำการเกษตรประสบความสำเร็จเป็นเพราะคำแนะนำของนางยักษิณีเช่นนั้น ก็ได้มาขอความช่วยเหลือให้นางยักษิณีช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านการเกษตรให้แก่พวกตนบ้าง นางยักษิณีก็ได้ให้ความอนุเคราะห์เต็มความสามารถ จนพวกชาวบ้านทำการเกษตรได้ผลดีกันถ้วนหน้าในทุกปี ทำให้นางยักษิณีได้รับความเคารพนับถือ มีคนมาห้อมล้อมและได้ข้าวปลาอาหารอย่างเหลือเฟือจากพวกชาวบ้าน และนางยักษิณีนี้เองก็ยังเป็นต้นแบบของผู้ถวายสลากภัตเป็นคนแรก ซึ่งการถวายสลากภัตนี้ยังมีการปฏิบัติสืบต่อกันมาในหมู่ของชาวพุทธจวบจนกระทั่งทุกวันนี้.
-
(http://www.cpdesigntrading.com/art/bv000085.jpg)
เรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปเร จ น วิชานนฺติ เป็นต้น
พวกภิกษุที่วัดโฆสิตาราม เมืองโกสัมพี มีข้อวิวาทบาดหมาง อันมีสาเหตุเกิดจากการเข้าใจผิดกัน ด้วยเรื่องที่เล็กน้อย คือ พระที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเชี่ยวชาญธรรมะ(ธรรมกถึก) เข้าส้วมแล้ว ใช้น้ำชำระแล้วยังเหลือน้ำล้างไว้ในภาชนะใส่น้ำ แล้วออกมาจากส้วม ต่อมาพระที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเชี่ยวชาญทางวินัย(วินยธร)เข้าไปใช้ส้วมทีหลังเห็นเข้าก็สอบถาม เมื่อทราบว่าเป็นการกระทำของพระที่เป็นหัวหน้าของฝ่ายพระธรรมกถึก ก็ได้บอกไปว่า เป็นการกระทำที่ผิดวินัยบัญญัติ แต่ถ้าไม่เจตนาก็เป็นไร ไม่ต้องอาบัติ ซึ่งเรื่องก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะพระหัวหน้าฝ่ายวินัยธรกลับไปขยายความโดยไปบอกลูกศิษย์ของตนว่า พระหัวหน้าฝ่ายธรรมกถึก ต้องอาบัติแล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าต้องอาบัติ ข้างพวกลูกศิษย์ของพระฝ่ายวินัยธรก็ได้ไปบอกกล่าวกับพวกลูกศิษย์ของพระธรรมธรว่า อาจารย์ของพวกท่านต้องอาบัติแล้วยังไม่รู้ตัวว่าต้องอาบัติ ฝ่ายลูกศิษย์ของพระธรรมธรก็ได้นำเรื่องที่พูดนั้นไปบอกอาจารย์ของพวกตนบ้าง พระที่หัวหน้าฝ่ายธรรมกถึกก็เลยพูดว่า พระวินัยธรเมื่อก่อนพูดว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ตอนนี้มาบอกว่าเป็นอาบัติ เป็นการกล่าวเท็จอย่างชัดๆ จากนั้นแต่ละฝ่ายก็กล่าวหากันว่าอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวเท็จ และทั้งสองฝ่ายได้มีปากมีเสียงทะเลาะกันอยู่เสมอๆ แม้ว่าพระศาสดาจะห้ามปรามมิให้ทะเลาะกันอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด จนพระศาสดาเอือมระอาเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ที่รักขิตวัน โดยมีพระช้าง ช้างปาลิไลยยกะและลิงอีกตัวหนึ่งคอยเฝ้าอุปัฏฐาก
พระคัมภีร์เล่าถึงพระยาช้างและลิงสองตัวนี้ว่า พระยาช้างปาลิไลยกะตัวนี้แต่เดิมก็อยู่ในโขลงช้าง แต่เกิดความเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่ในโขลงช้าง จึงได้แยกตัวออกมาอยู่ตัวเดียวในป่ารักขิตวัน เมื่อพระยาช้างพบพระศาสดา ก็เข้าไปคุกเข่า ทำความเคารพ มองไปมองมา เห็นว่าไม่มีใครทำหน้าที่อุปัฏฐาก ก็จึงได้รับหน้าที่นั้น โดยใช้เท้ากระทืบปรับพื้นที่ใต้ต้นรังใหญ่ให้ราบเรียบ ใช้งวงจับกิ่งไม้มาปัดกวาดพื้นดิน ใช้งวงจับหม้อน้ำไปตักน้ำมาเพื่อถวายพระศาสดาทรงใช้เป็นน้ำอุปโภคและน้ำบริโภค เมื่อเห็นว่าพระศาสดามีความจำเป็นต้องใช้น้ำร้อน ช้างก็จัดการต้มน้ำร้อนถวาย กรรมวิธีในการต้มน้ำร้อนของช้างกระทำอย่างนี้ คือ ใช้งวงจับไม้แห้งมาสีกันจนเกิดเป็นไฟ จากนั้นนำฟืนมาใส่ให้ลุกขึ้นเป็นไฟกองโต นำหินมาเผาที่กองไฟจนร้อนมากๆ แล้วเอาฟืนพลิกหินให้กลิ้งไปที่สระน้ำเล็กๆที่หมายตาเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ใช้งวงหย่อนลงไปในสระน้ำเล็กๆนั้น เมื่อรู้ว่าน้ำร้อนพอเหมาะดีแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระศาสดา เพื่อทรงลงสรง
นอกจากนั้นแล้วช้างตัวนี้ก็ยังไปหาผลไม้ต่างๆมาถวายพระศาสดา เมื่อพระศาสดาจะเสด็จเข้าเขตหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต พระยาช้างก็ยกบาตรและจีวรขึ้นวางไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระศาสดาไป เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าเขตหมู่บ้านแล้ว รับสั่งว่า “ปาลิไลยกะ ตั้งแต่นี้ เจ้าเข้าไปไม่ได้ เจ้าจงเอาบาตรจีวรของเรามา” เมื่อพระยาช้างเอาบาตรและจีวรมาถวายแล้ว ก็เสด็จเข้าหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ส่วนพระยาช้างนั้นก็ยืนคอยอยู่ตรงจุดนั้น จนกว่าพระศาสดาจะเสด็จกลับออกมา ในเวลาพระศาสดาเสด็จกลับมา พระยาช้างก็ทำการต้อนรับ ใช้งวงรับบาตรและจีวรขึ้นไว้บนตระพอง เดินกลับนำไปวางลงยังที่ประทับ คอยคุกเข่าถวายงานพัดด้วยกิ่งไม้ ในช่วงกลางคืน พระยาช้างนั้นก็เอางวงถือท่อนไม้ คอยลาดตระเวนในป่ารอบๆที่ประทับของพระศาสดากว่าอรุณจะขึ้น เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายมิให้กล้ำกรายเข้ามาทำร้ายพระศาสดา พอถึงช่วงเช้าก็ทำวัตรปฏิบัติแด่พระศาสดา มีการถวายน้ำสรงพระพักตร์เป็นต้น
(http://i1239.photobucket.com/albums/ff517/phoozaza/Buddha/Buddha_picture/1246626492.jpg)
นอกจากพระยาช้างตัวนี้แล้ว ในช่วงที่พระศาสดาประทับอยู่ในป่ารักขิตวันนั้น ก็ยังมีลิงอีกตัวหนึ่ง คอยช่วยพระยาช้างอุปัฏฐากพระศาสดาด้วย ลิงตัวนี้จะคอยตระเวนหารวงผึ้งที่ร้างตัวผึ้งแล้วนำมาถวายพระศาสดา โดยใช้ใบตองรองถวาย ครั้งแรกๆเห็นพระศาสดานิ่งเฉยไม่ยอมฉันรวงผึ้งนั้น ก็นำรวงผึ้งนั้นมาพลิกดู เห็นตัวอ่อน จึงค่อยๆนำตัวอ่อนเหล่านั้นออก และนำเข้าไปถวายใหม่ เมื่อพระศาสดาเสวยเท่านั้น ก็เกิดความปีติยินดีเป็นล้นพ้น กระโดดขึ้นจับกิ่งไม้กระโดดโลดต้นไปมา จนกิ่งไม้นั้นหัก ลิงนั้นตกลงมาถูกตอไม้เบื้องล่างทิ่มแทงจนตาย ด้วยอานิสงส์ที่อุปัฏฐากพระศาสดา พระคัมภีร์บอกว่า เพราะ “มีจิตเลื่อมใส (ลิง)ทำกาลกิริยา(ตาย)แล้ว ไปเกิดในวิมานทองสูง 30 โยชน์ ในภพดาวดึงส์ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร”
ในส่วนของพระยาช้างนั้น พระคัมภีร์เล่าต่อไปว่า ในช่วงที่พระอานนท์ถูกชาวบ้านอาราธนาให้นำคณะพระสงฆ์ไปทูลเชิญพระศาสดาเสด็จคืนสู่นครสาวัตถีนั้น พอพระยาช้างเห็นพระอานนท์เถระ ก็เอางวงคว้าท่อนไม้วิ่งเข้าไปหา พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสว่า “หลีกไปเสีย ปาลิไลยกะ อย่าห้ามเลย ภิกษุนั่น เป็นพุทธอุปัฏฐาก” พระยาช้างจึงทิ้งท่อนไม้ลงที่พื้นดิน แล้วเข้าไปคุกเข่าใช้งวงรับบาตรและจีวรของพระอานนท์ เมื่อพระคณะพระสงฆ์ที่ไปพร้อมกับพระอานนท์เดินทางเข้ามาสมทบยังที่ประทับของพระศาสดา พระยาช้างก็เข้าป่าไปเก็บผลไม้มีขนุนและกล้วยเป็นต้น มามากมายจนเพียงพอที่จะถวายพระสงฆ์จำนวน 500 รูปเหล่านั้น
ในช่วงที่พระศาสดาจะเสด็จกลับนครสาวัตถีพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์นั้น พระยาช้างก็ได้เดินตามไปส่ง แต่ในที่สุดก็ได้เดินขวางทางเสด็จของพระศาสดา เป็นการส่งสัญญาณให้ทรงทราบว่า ชวนให้พระศาสดาเสด็จกลับไปประทับที่ป่าดังเดิม พระศาสดาจึงตรัสว่า “ ปาลิไลยกะ นี้เป็นความไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มีแก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด ” พระยาช้างได้ฟังรับสั่งเช่นนั้นแล้ว ก็สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามหลังคณะพระสงฆ์และพระศาสดาไป ด้วยหมายใจว่าหากพระศาสดาเสด็จกลับ ตนก็จะได้อุปัฏฐากพระศาสดาแบบเดิมจนตลอดชีวิต ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงอาณาเขตหมู่บ้านแล้ว ได้ตรัสว่า “ปาลิไลยกะ จำเดิมแต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, หากแต่เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์ มีอันตรายเบียดเบียนอยู่รอบข้าง เจ้าจงหยุดอยู่เถิด” พระยาช้างได้ยินก็ยืนร้องไห้อยู่ที่จุดนั้น ครั้นเมื่อพระศาสดาเสด็จลับตาไป ก็หัวใจแตกสลายตาย พระคัมภีร์บรรยายว่า พระยาช้าง “มีหัวใจแตกทำกาละแล้ว เกิดในท่ามกลางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง 30 โยชน์ ในภพดาวดึงส์ เพราะความเสื่อมใสในพระศาสดา. ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า ปาลิไลยกเทพบุตร”
ย้อนกลับไปกล่าวถึงชาวเมืองโกสัมพี เมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้พระศาสดาต้องเสด็จไปเช่นนั้น ก็พากันใช้มาตรการคว่ำบาตรกล่าวคือไม่ใส่บาตร ไม่ให้การกราบไหว้ เป็นต้นแก่พวกภิกษุที่ทะเลาะกันทั้งหมด ข้อนี้ทำให้พวกภิกษุทั้งหลายตระหนักถึงความผิดของพวกตนและเริ่มหันมามีความสามัคคีปรองดองระหว่างกัน แต่พวกชาวบ้านก็ยังไม่ยอมปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นด้วยความเคารพเหมือนเดิม จะต้องให้ไปขอขมาโทษพระศาสดาเสียก่อน แต่ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงกลางพรรษาพวกภิกษุจึงไปขอขมาโทษมิได้ ดังนั้นพวกภิกษุจึงอยู่จำพรรษานั้นด้วยความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อออกพรรษาแล้ว พระอานนท์และภิกษุ 500 รูปได้ไปเฝ้าพระศาสดาและได้กราบทูลถึงคำอัญเชิญของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีและอุบาสกอุบาสิกาอื่นๆที่ขอให้พระองค์เสด็จกลับ ต่อมาพระศาสดาก็ได้เสด็จกลับวัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี พวกภิกษุทั้งหลายได้พร้อมกันไปหมอบลงที่เบื้องพระบาทและขอขมาโทษต่อพระศาสดา พระศาสดาได้ทรงตำหนิภิกษุเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อฟังพระโอวาทของพระองค์ ได้ตรัสบอกให้พวกภิกษุเหล่านั้นให้จดจำใส่ใจไว้ว่า จะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน ไม่สร้างความแตกแยกในหมู่คณะ และให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา ให้ทำตัวเหมือนกับพวกคนดีในอดีตอย่างเช่น ทีฆาวุกุมาร (ในทีฆาวุชาดก)ที่ทำตามโอวาทของมารดาบิดาผู้ต้องโทษประหารชีวิต แม้ว่ามารดาบิดานั้นจะถูกสังหารไปแล้ว ก็ไม่ละเมิดโอวาทนั้น จนภายหลังได้ครองราชย์สมบัติในแคว้นกาสีและแคว้นโกศลพร้อมกันทั้งสองแคว้น”
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 6 นี้ว่า
ปเร จ น วิชานนฺติ
มยเมตฺถ ยมามเส
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ
(อ่านว่า)
ปะเร จะ นะ วิชานันติ
มะยะเมดถะ ยะมามะเส
เย จะ ตัดถะ วิชานันติ
ตะโต สัมมันติ เมทะคา ฯ
(แปลว่า)
ก็ชนเหล่าอื่นไม่รู้ตัวว่า พวกเราพากันฉิบหาย
เพราะการทะเลาะวิวาทอยู่ในท่ามกลางหมู่คณะนี้
ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่คณะนั้นย่อมรู้ชัด
การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ย่อมสงบ
เพราะการปฏิบัติของชนพวกนั้น.
เมื่อพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง พระภิกษุที่มาประชุมกันทั้งหมด ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
(http://2.bp.blogspot.com/-w2SugSCzLNo/T4F9N-QH7mI/AAAAAAAAAAs/-VJAQjHmLoM/s1600/429863_309454872449429_100001547567616_847184_304866971_n.jpg)
-
เรื่องจุลกาลและมหากาล
พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยเสตัพยนคร ประทับอยู่ในป่าไม้ประดู่ลาย ทรงปรารภจุลกาล และมหากาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ เป็นต้น
ที่เมืองเสตัพยนคร มีกุฎุมพี 3 พี่น้อง คือ จุลกาล มัชฌิมกาล และมหากาล ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้านำกองคาราวานเกวียนบรรทุกสิ่งของตระเวนไปขายตามเมืองต่างๆ ทั้งนี้โดยคนที่ชื่อจุลกาล ซึ่งเป็นพี่คนโต และ มหากาล ซึ่งเป็นน้องคนเล็ก เป็นผู้ควบคุมกองคาราวานเกวียนไป
ครั้งหนึ่ง ทั้งมหากาลและจุลกาล เมื่อเดินทางไปค้าขาย ก็ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระศาสดา หลังจากสดับพระสัทธรรมเทศนาแล้ว ฝ่ายมหากาลได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา ส่วนจุลกาลก็ได้บรรพชาอุปสมบทเหมือนกัน แต่เป็นการบวชเพียงเพื่อจะสึกแล้วชวนให้พี่ชายสึกตามไปด้วยเท่านั้นเอง
มหากาลนั้นมีความตั้งใจในการปฏิบัติสมณธรรมมาก ได้ไปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าช้าตามแบบ โสสานิกธุดงค์(ธุดงค์ที่เข้าไปปฏิบัติอยู่ในป่าช้า) และพิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ตามหลักของคำสอนในพระพุทธศาสนาว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา
อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฌนฺติ
เตสํ วูปสโม สุโข ฯ
(แปลว่า)
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้น
และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไป
ความสงบแห่งสังขารเหล่านั้นเป็นสุข.
จนในที่สุดได้บรรลุความรู้แจ้งเห็นจริง ได้เป็นพระอรหันต์
ต่อมา พระศาสดาและสาวกทั้งหลาย รวมทั้งภิกษุมหากาลและจุลกาลนี้ด้วย ได้เข้าไปอยู่ในป่าสิงสปาวัน(ป่าประดู่ลาย) ใกล้เมืองเสตัพยะ ในช่วงนั้นเองพวกอดีตภรรยาของพระจุลกาล ได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกทั้งหลายไปที่บ้านของพวกตน พระจุลกาลได้เดินทางล่วงหน้าไปที่บ้านภรรยา เพื่อตระเตรียมปูอาสนะที่ประทับสำหรับพระศาสดาและสาวกทั้งหลาย พอพระจุลกาลเดินทางไปถึงที่บ้านพวกภรรยาก็ได้บังคับให้พระจุลกาลสึกโดยให้เปลี่ยนชุดแต่งกายจากผ้ากาสาวพัสตร์มาเป็นชุดคฤหัสถ์
ในวันรุ่งขึ้น พวกอดีตภรรยาของพระมหากาล ได้อาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกไปที่บ้านของพวกตนบ้าง โดยมีวัตถุประสงค์จะทำการสึกพระมหากาลอย่างเดียวกับที่ภรรยาของอดีตพระจุลกาลเคยทำกับพระจุลกาล หลังจากเสร็จสิ้นถวายภัตตาหาร พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้ทูลพระศาสดาขอให้พระมหากาลอยู่ก่อน โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ “กล่าวอนุโมทนา” ดังนั้นพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจึงได้กลับคืนสู่วิหาร
หลังจากที่เดินทางมาถึงประตูหมู่บ้าน พวกภิกษุทั้งหลายได้แสดงหวาดวิตก ที่พวกภิกษุเหล่านี้หวาดวิตกก็เพราะพระมหากาลได้รับพุทธานุญาตให้อยู่ที่บ้านอดีตภรรยาแต่โดยลำพัง ซึ่งเป็นที่น่าหวาดกลัวว่าจะเป็นเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับพระจุลกาลพระน้องชาย คือจะถูกอดีตภรรยาจับสึกนั่นเอง พระศาสดาตรัสว่าพระสองพี่น้องนี้ไม่เหมือนกัน คือ พระจุลกาลยังฝักใฝ่ในกามคุณ มีความเกียจคร้านและอ่อนแอ ราวกับต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ตรงกันข้ามมหากาล มีความบากบั่น ขยันหมั่นเพียร มีจิตในเด็ดเดี่ยว และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มีลักษะเหมือนเหมือนภูเขาศิลาล้วน
จากนั้นพระศาสดาตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่ 8 ว่า
สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
อินฺทริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญญุ
กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว ปสหตี มาโร
วาโต รุกขํว ทุพพลํ ฯ
(อ่านว่า)
สุพานุปัสสิง วิหะรันตัง
อินทะริเยสุ อะสังวุตัง
โพชะนัมหิ อะมัตตันยุง
กุสีตัง หีนะวีริยัง
ตัง เว ปะสะหะตี มาโร
วาโต รุกขังวะ ทุบพะลัง.
(แปลว่า)
ผู้ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ไม่ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลาย
ไม่รู้จักประมาณในโภชนาหาร
เกียจคร้าน ขาดความบากบั่น
มารย่อมกำจัดเขาได้
เหมือนลมพัดพาต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงได้ฉะนั้นฯ
อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
อินฺทริเยสุ สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ มตฺตญญํ
สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหตี มาโร
วาโต เสลํว ปพฺพตํฯ
(อ่านว่า)
อะสุพานุปัสสิง วิหะรันตัง
อินทะริเยสุ สุสังวุตัง
โพชะนัมหิ มัตตันยุง
สัททัง อารัดทะวีริยัง
ตัง เว นัปปะสะหะตี มาโร
วาโต เสลังวะ ปับพะตัง.
(แปลว่า)
ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลายได้
รู้จักประมาณในโภชนาหาร
มีศรัทธา ขยันหมั่นเพียร
มารย่อมกำจัดเขาไม่ได้
เหมือนลมพัดพาภูเขาศิลาล้วนไม่ได้ ฉะนั้นฯ
ในขณะพวกอดีตภรรยาของพระมหากาลกำลังจะมาช่วยกันเปลื้องสบงจีวรออกจากร่างกายของพระมหากาลอยู่นั้นเอง พระเถระรู้ทันในวัตถุประสงค์ของอดีตภรรยา จึงได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วเหาะทะยานทะลุทะลวงผ่านหลังคาบ้านขึ้นสู่อากาศด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ แล้วเหาะไปลงที่แทบพระบาทของพระศาสดาในช่วงพอดีกับที่พระศาสดาตรัสพระธรรมบททั้ง 2 พระคาถาข้างต้นจบลง
เมื่อพระพระธรรมเทศนาจบลง พระภิกษุสงฆ์ที่มาประชุมกันอยู่นั้น ก็ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
-
เรื่องเทวทัต
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภการได้ผ้ากาสาวะอันบุคคลนำมาแต่แคว้นคันธาระ ของพระเทวทัต ในกรุงราชคฤห์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อนิกฺกสาโว เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระอัครสวกทั้งสอง คือ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเดินทางจากกรุงสาวัตถีไปที่กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นประชาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุบริวารของท่านจำนวนหนึ่งพันรูปไปฉันภัตตาหารเช้า ในโอกาสนี้เองมีอุบาสกคนหนึ่งถวายผ้ามีมูลค่าหนึ่งแสนกหาปณะให้แก่พวกคนที่ดำเนินการในพิธีถวายภัตตาหารในครั้งนี้ โดยแนะนำพวกเขาว่าควรจะนำผ้านี้ขายแล้วเอาเงินที่ได้จากการขายผ้านี้ไปเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากไม่ขาดแคนเงินก็ให้นำผ้าผืนนี้ถวายพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามแต่จะเห็นสมควร การณ์ปรากฏว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินและจะต้องนำผ้าไปถวายแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เนื่องจากว่าพระอัครสาวกทั้งสองไปที่กรุงราชคฤห์เป็นครั้งคราว ส่วนพระเทวทัตเป็นพระที่อยู่เมืองนี้เป็นประจำ ชาวเมืองจึงถวายผ้าผืนนี้แก่พระเทวทัต
พระเทวทัตรีบนำผ้ามีมูลค่ามากนั้นไปทำเป็นจีวรห่มในทันที เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางจากกรุงราชคฤห์มาที่กรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระศาสดา และได้กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ครั้งแรกที่พระเทวทัตห่มจีวรที่ตนไม่สมควรจะห่ม และพระศาสดาได้นำเรื่องอดีตมาแสดงว่า
พระเทวทัตเป็นพรานล่าช้างในอดีตชาติหนึ่ง ครั้งนั้นมีช้างจำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งนายพรานนั้นสังเกตเห็นพวกช้างคุกเข่าทำความเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่พวกมันพบเห็น เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้แล้วนายพรานล่าช้างนั้นก็ได้ไปขโมยจีวรสีเหลืองของพระปัจเจกพุทธเจ้ามาคลุมกายของตนเอง จากนั้นก็ได้ถือหอกไปคอยพวกช้างอยู่ในเส้นทางสัญจรปกติของพวกช้าง เมื่อพวกช้างมาถึงเห็นนายพรานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คุกเข่าลงทำความเคารพเช่นเคย นายพรานช้างก็ได้ถือโอกาสใช้หอกซัดฆ่าช้างตัวที่อยู่ท้ายสุด และได้กระทำเช่นนี้เรื่อยมาเป็นเวลาหลายวัน
พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างโขลงนั้น สังเกตเห็นว่าช้างบริวารลดจำนวนลงจึงได้ตัดสินใจหาสาเหตุโดยให้ช้างบริวารเดินนำหน้าส่วนพระยาช้างเองเดินตามหลัง พระโพธิสัตว์คอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อนายพรานพุ่งหอกมาก็สามารถหลบหลีกได้ทัน แล้ววิ่งไปใช้งวงรวบนายพรานช้าง กำลังจะฟาดตัวลงที่พื้นดิน แต่เผอิญมองเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ ที่นายพรานช้างนำมาใช้คลุมกายไว้ จึงยับยั้งใจ ไว้ชีวิตแก่นายพรานช้าง เพราะมีความเคารพในผ้ากาสาวพัสตร์ ในพระคัมภีร์พรรณนาความคิดของพระยาช้างในช่วงนั้นว่า “ ถ้าเราจักประทุษร้ายในบุรุษนี้ไซร้, ชื่อว่าความละอายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะ และพระขีณาสพหลายพันองค์ จักเป็นอันเราทำลายแล้ว”
นายพรานถูกตำหนิที่พยายามฆ่าผู้อื่น โดยใช้ผ้ากาสาวพัสตร์มาคลุมกาย มากระทำในสิ่งชั่วช้าเช่นนี้ นายพรานไม่ควรที่จะนำผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มของผู้หมดกิเลสมานุ่งห่ม
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และที่ 10 ว่า
อนิกฺกสาโว กาสาวํ
โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติฯ
(อ่านว่า)
อะนิกกะสาโว กาสาวัง
โย วัดถัง ปะริทะเหดสะติ
อะเปโต ทะมะสัดเจนะ
นะ โส กาสาวะมะหะระติ.
(แปลว่า)
ผู้ใด มีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่ออก
ปราศจากการข่มใจและความสัตย์
จักนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
โย จ วนฺตกสาวสฺส
สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติ ฯ
(อ่านว่า)
โย จะ วันตะกะสาวัดสะ
สีเลสุ สุสะมาหิโต
อุเปโต ทะมะสัดเจนะ
นะ โส กาสาวะมะหะระติ.
(แปลว่า)
ส่วนผู้ใด พึงเป็นผู้มีกิเลสดุจน้ำฝาดอันคลายแล้ว
ตั้งมั่นดีในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วยการข่มใจและความสัตย์
ผู้นั้นแล ย่อมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์.
เมื่อพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุที่มาจากที่ต่างๆ ได้บรรลุพระโสดาบัน ประชาชนจำนวนมาก บรรลุอริยผล มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนาสำเร็จประโยชน์แก่มหาชน.
-
เรื่องสญชัย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภความไม่มาของสญชัยปริพพาชก ซึ่งสองพระอัครสาวกกราบทูลแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อสาเร สารมติโน เป็นต้น
อุปติสสะและโกลิตะเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอุปติสสะและหมู่บ้านโกลิตะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ทั้งสองคนไปชมมหรสพอยู่บนยอดภูเขาแล้ว เกิดความตระหนักถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง จึงได้ตัดสินใจแสวงหาความหลุดพ้น ในเบื้องแรกทั้งสองคนได้เข้าไปเป็นศิษย์ของอาจารย์สญชัย ซึ่งเป็นปริพาชกในกรุงราชคฤห์ แต่ไม่สมใจในคำสอนของสญชัย จึงได้ออกเดินทางตระเวนไปทั่วชมพูทวีป(อินเดีย) แล้วกลับมาที่กรุงราชคฤห์ดังเดิม หลังจากตระเวนหาแล้วไม่พบธรรมะอย่างแท้จริง ทั้งสองจึงได้ทำความตกลงกันว่า หากคนใดคนหนึ่งได้ไปพบธรรมะที่แท้จริง ก็จะต้องบอกแก่กันและกัน
อยู่มาวันหนึ่ง อุปติสสะไปพบพระอัสสชิเถระ และได้เรียนรู้จากท่านถึงแก่นแท้ของธรรมะ
ซึ่งพระอัสสะได้กล่าวเป็นพระคาถาว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา
เตสํ เหตุ(ตุง) ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ
เอวํ วาที มหาสมโณ ฯ
(แปลว่า)
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุ
แห่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น และความดับไปแห่งเหตุทั้งหลายเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้.
เมื่อได้ฟังพระคาถานี้แล้วอุปติสสะก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล จากนั้นก็ได้ทำตามคำที่ให้สัญญากันไว้กับโกลิตะ คือได้ไปบอกกับสหายผู้นี้ว่าตนได้บรรลุถึงความไม่ตายแล้วได้นำพระคาถานั้นมาว่าให้โกลิตะฟัง โกลิตะได้ฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันอีกเช่นกัน ทั้งสองคนรำลึกถึงอาจารย์สญชัยจึงชวนกันไปพบและเรียนท่านว่า “พวกเราได้พบบุคคลที่จะชี้แนะหนทางแห่งความไม่ตายแล้ว บัดนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วในโลก พระธรรมก็เกิดขึ้นมาแล้ว พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นมาแล้ว..มาเถิด จงไปพบกับอาจารย์ท่านนั้นกัน” คนทั้งสองวาดหวังไว้ว่าอดีตอาจารย์ของตนผู้นี้จะตามไปพบกับพระพุทธเจ้าและเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้บรรลุมรรคผล แต่ท่านสญชัยปฏิเสธไม่ยอมตามไปด้วย
ดังนั้นอุปติสสะและโกลิตะพร้อมด้วยบริวารจำนวน 250 คน จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธจ้าที่วัดเวฬุวัน และทั้งสองคนก็ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา อุปติสสะในฐานะเป็นบุตรของนางรูปสารีจึงมีชื่อว่า พระสารีบุตรเถระ ส่วนโกลิตะเป็นบุตรของนางโมคคัลลีจึงมีชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ ในวันที่ 7 หลังจากบวชพระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุอรหัตตผล ส่วนพระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหัตตผลหลังจากอุปสมบทได้ 15 วัน ในวันนั้นเองพระพุทธเจ้าได้สถาปนาท่านทั้งสองไว้ในตำแหน่งอัครสาวกขวาซ้ายคือ พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองได้กราบทูลพระศาสดา เริ่มตั้งแต่เรื่องที่ท่านขึ้นไปชมมหรสพบนภูเขา ไปพบกับพระอัสสชิ และได้บรรลุพระโสดาปัตติผล หลังจากนั้นก็ได้ไปชวนอดีตอาจารย์สญชัยโดยกะว่าจะให้เดินทางมาพร้อมกับพวกตน แต่สญชัยได้กล่าวว่า “เราเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จะให้เรามาเป็นศิษย์คนอื่นนั้นก็จะเหมือนกับการเปลี่ยนตุ่มน้ำให้เป็นถ้วยน้ำชา” นอกจากนั้นแล้วท่านก็ยังบอกด้วยว่า คนที่ฉลาดมีน้อย ส่วนพวกคนโง่มีมาก ก็ให้พวกคนฉลาดไปหาพระสมณโคดมผู้ฉลาด ส่วนพวกคนโง่ก็จะมาหาเราผู้เป็นคนโง่ พวกท่านทั้งสองจงไปตามทางของพวกท่านเถิด”
ดังนั้น พระศาสดาทรงชี้ว่า เพราะทิฐินั้นเองทำให้ท่านสญชัยต้องพลาดจากการได้เห็นธรรมว่าเป็นธรรม เมื่อสญชัยยังเห็นอธรรมว่าเป็นธรรม ก็จะยังไม่สามารถบรรลุถึงธรรมที่แท้จริงได้ จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระ
ธรรมบทพระคาถาที่ 11 และพระคาถาที่ 12 ว่า
อสาเร สารมติโน
สาเร จ อสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉติ
มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ
(อ่านว่า)
อะสาเร สาระมะติโน
สาเร จะ อะสาระทัดสิโน
เต สารัง นาทิคัดฉะติ
มิดจาสังกับปะโคจะรา.
(แปลว่า)
ชนเหล่าใด มีปกติรู้สิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ
มีความดำริผิดเป็นโคจร
ย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ.
สารญฺจ สารโต ญตฺวา
อสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉติ
สมฺมาสงฺกปฺปโคจราฯ
(อ่านว่า)
สารันจะ สาระโต ยัตตะวา
อะสารันจะ อะสาระโต
เต สารัง อะทิคัดฉะติ
สัมมาสังกับปะโคจะโร.
(แปลว่า)
ส่วนชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ
และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ
ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร
ย่อมประสบสิ่งเป็นสาระ.
เมื่อพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง คนเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนาเป็นประโยชน์แก่ชนผู้มาประชุมกันแล้ว.
-
เรื่องพระนันทเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนันทะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระศาสดาประทับที่วัดพระเวฬุวันในกรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาได้ส่งทูตหลายคณะมาทูลเชิญพระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ ในที่สุดพระพุทธองค์จึงได้เสด็จไปพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 20,000 รูป ในวันแรกที่เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์พระองค์ได้ตรัสเวสสันดรชาดกให้พระญาติได้ฟัง ในวันที่ 2 ได้เสด็จเข้าไปในเมืองและได้ตรัสพระคาถาที่เริ่มบาทแรกว่า “อุตฺติฏเฐ นปฺปมชฺเชยฺย” ซึ่งแปลว่า “บุคคลพึงขยัน ไม่พึงประมาท” ซึ่งเมื่อพระราชบิดาทรงสดับแล้วได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และเมื่อเสด็จเข้าไปไปพระราชวังได้ตรัสพระคาถาซึ่งมีความในบาทแรกว่า “ธมฺมํ จเร สุจริตํ” ซึ่งแปลว่า “บุคคลพึงประพฤติธรรมที่สุจริต” ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาพระราชบิดาได้บรรลุพระสกทาคามิผล หลังจากเสวยภัตตาหารแล้วได้ตรัสจันทกินนรีชาดกซึ่งเกี่ยวโยงกับคุณธรรมของพระมารดาของราหุล(พระนางยโสธรา หรือพิมพา)
พอถึงวันที่ 3 ได้มีพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายนันทะพระพุทธอนุชา(พระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตรมี พระน้านาง) พระศาสดาได้เสด็จไปฉันภัตตาหารในพิธีและพอเสด็จกลับก็ได้ทรงส่งบาตรให้เจ้าชายนันทะ แล้วไม่ยอมรับบาตรคืน เจ้าชายนันทะถือบาตรตามเสด็จพระศาสดาไป ข้างฝ่ายเจ้าสาวคือเจ้าหญิงชนบทกัลยาณี เมื่อเห็นเจ้าชายนันทะตามเสด็จพระศาสดาไป ก็ได้รีบไปร้องตะโกนขอให้เจ้าชายนันทะรีบกลับมา เมื่อเสด็จถึงวัดพระเวฬุวัน เจ้าชายนันทะก็ได้ทรงผนวชเป็นภิกษุ
พระศาสดาได้เสด็จออกจากวัดพระเวฬุวันไปประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ขณะที่พระนันทะพำนักอยู่ที่นี่ก็มีความกระวนกระวายใคร่จะลาเพศบรรพชิตออกไปเป็นคฤหัสถ์ เพราะยังจดจำคำสั่งลาของเจ้าหญิงชนบทกัลยาณีที่ทรงตะโกนสั่งไห้รีบกลับมานั้นอยู่เสมอ
พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ ก็ได้ทรงใช้อำนาจฤทธิ์พาพระนันทะไปชมนางเทพธิดารูปร่างสะคราญในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีความสะสวยงดงามกว่าเจ้าหญิงชนบทกัลยาณีมาก พระศาสดาได้ทรงประทานคำมั่นสัญญากับพระนันทะว่า หากพระนันทะปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปโดยไม่สึก พระองค์จะประทานนางเทพธิดาร่างสะคราญเหล่านั้นแก่พระเจ้าชายนันทะ พวกภิกษุทั้งหลายพากันเย้ยหยันพระนันทะว่าเหมือนกับถูกจ้างที่ปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้หญิงงามเป็นค่าจ้าง พระนันทะรู้สึกเดือดร้อนและละอายใจมาก จึงได้ปลีกวิเวกไปมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตตผล เมื่อได้เป็นพระอรหันต์แล้วจิตของท่านก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง และพระศาสดาก็ได้หลุดพ้นจากคำสัญญาที่ได้ประทานแก่เจ้าชายนันทะ ซึ่งเรื่องนี้พระศาสดาทรงหยั่งรู้ด้วยพระญาณพิเศษตั้งแต่แรกแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งแต่เดิมทราบมาว่าพระนันทะมิได้เข้ามาบวชเป็นพระด้วยความเต็มใจ จึงได้สอบถามความรู้สึกของท่านอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระนันทะตอบว่าท่านไม่มีความยึดมั่นในชีวิตฆราวาสต่อไปแล้ว พวกภิกษุก็คิดว่าพระเจ้าชายนันทะพูดไม่จริง จึงได้นำเรื่องนี้ไปทูลพระศาสดา และในขณะเดียวกันก็ได้แสดงความสงสัยในคำพูดของท่าน พระศาสดาจึงได้ตรัสว่า เดิมสภาวะจิตของพระนันทะเป็นเหมือนหลังคาบ้านที่มุงไว้ไม่ดี ฝนก็ย่อมรั่วรดลงมาได้ แต่บัดนี้จิตของท่านมีลักษณะเหมือนบ้านที่มุงหลังคาไว้ดีแล้ว ฝนจึงรั่วรดลงมาไม่ได้
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 13 และพระคาถาที่ 14 ว่า
ยถา อคารํ ทุจฉนฺนํ
วุฏฺฐิ สมติวิชฺฌติ
เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ
ราโค สมติวิชฺฌติฯ
(อ่านว่า)
ยะถา อะคารัง ทุดฉันนัง
วุดถิ สะมะติวิดชะติ
เอวัง อะพาวิตัง จิตตัง
ราโค สะมะติวิดชะติ.
(แปลว่า)
ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดี ฉันใด
ราคะย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ ฉันนั้น.
ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ
วุฏฺฐิ น สมติวิชฺฌติ
เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ
ราโค น สมติวิชฺฌติฯ
(อ่านว่า)
ยะถา อะคารัง สุดฉันนัง
วุดถิ นะ สะมะติวิดชะติ
เอวัง สุพาวิตัง จิดตัง
ราโค นะ สะมะติวิดชะติ.
(แปลว่า)
ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ ฉันใด
ราคะย่อมเสียดแทงจิตที่ไอบรมดีแล้วไม่ได้ ฉันนั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนาเป็นประโยชน์แก่มหาชน.
ต่อมา ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาถึงเรื่องนี้ โดยได้กล่าวเชิดชูพระศาสดาว่าเป็นยอดมนุษย์ที่สามารถใช้กลวิธี “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กับพระนันทะได้สำเร็จ โดยที่ทรงให้คำมั่นสัญญาว่าจะทรงหานางเทพอัปสรที่มีความงดงามยิ่งกว่านางชนบทกัลยาณีให้แก่พระนันทะ หากพระนันทะตั้งใจบวชแล้วบรรลุธรรมขั้นสูงสุด พระศาสดาทรงทราบวาระจิตของพระเหล่านั้นจึงเสด็จมาสอบถาม และได้ตรัสว่า พระองค์เคยทำเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งอดีต และได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น, แม้ในกาลก่อน นันทะนี้เราก็ได้ล่อด้วยมาตุคาม แนะนำแล้วเหมือนกัน”
จากนั้น พระศาสดาทรงเล่าบุรพกรรมของพระนันทะว่า เคยเกิดเป็นลาตัวผู้ที่มีความแข็งแรงมาก สามารถบรรทุกสินค้าหนักๆเดินทางได้ถึงวันละ 7 โยชน์ อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าของให้ขนสินค้าไปขายที่เมืองตักกสิลา แต่พอเจ้าของขายของหมดแล้ว จะเดินทางกลับเมืองพาราณสี เที่ยวเดินตามหาลาผู้นั้นอยู่นาน ไปพบติดลาตัวเมียอยู่ เจ้าของพยายามใช้วิธีการแบบ “ไม้แข็ง” ข่มขู่คุกคามอย่างไร ลาผู้ก็ไม่ยอมออกจากลาตัวเมียนั้น จนในที่สุดเจ้าของต้องใช้วิธีแบบ “ไม้นวม” เข้าล่อว่า จะหานางลาสาวสวยๆมาให้เป็นภรรยา ลานั้นจึงยอมจากนางลาเดินทางกลับ พอถึงเมืองพาราณสีได้สองสามวันเท่านั้น ลาผู้ก็ได้ถามเจ้าของถึงคำมั่นสัญญาที่ว่าจะหานางลาสวยๆมาให้เป็นภรรยา เจ้าของจึงบอกว่าจะรักษาคำมั่นสัญญานั้นอย่างแน่นอน แต่มีเงื่อนไขที่ลาผู้อาจจะยอมรับไม่ได้ คือ เจ้าของจะยังคงให้อาหารแก่ลามีปริมาณเท่าเดิม ซึ่งลาต้องแบ่งอาหารนั้นกับภรรยาสาว และแม้ว่าลาจะมีลูกกับลาสาวมาสักกี่ตัวๆ ก็ตาม เจ้าของก็จะยังคงให้อาหารแก่ลามีปริมาณเท่าเดิม ซึ่งลาผู้จะต้องแบ่งปันส่วนอาหารกับภรรยาและกับลูกๆ พอลาผู้ได้ยินเงื่อนไขอย่างนี้ ก็ถึงกับคอตก กลายเป็นผู้สิ้นหวังไปในที่สุด
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกด้วยพระดำรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย นางลาในคราวนั้น ได้เป็นนางชนบทกัลยาณี ลาผู้ได้เป็นนันทะ พ่อค้าได้เป็นเราเอง แม้ในกาลก่อน นันทะนี้ เราก็ได้ล่อด้วยมาตุคามแนะนำแล้ว ด้วยประการอย่างนี้”
-
เรื่องนายจุนทสูกริก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุรุษชื่อจุนทสูกริก
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ เป็นต้น
ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดพระเวฬุวัน มีชายชำแหละเนื้อสุกรผู้หนึ่งมีจิตใจโหดร้ายทารุณมาก ชื่อว่านายจุนทะ นายจุนทะคนนี้เป็นผู้ชำแหละสุกรมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี วิธีการหาสุกรของเขาใช้วิธีบรรทุกข้าวเปลือกออกไปตามชนบทเพื่อใช้แลกกับลูกสุกร พอได้ลูกสุกรมาแล้วก็นำไปขังไว้ในคอกที่ข้างหลังบ้าน พอขุนลูกสุกรด้วยอาหารประเภทผัก รำข้าว รวมทั้งอุจจาระจนตัวโตได้ที่แล้ว เมื่อจะฆ่าสุกรตัวใดก็จะนำสุกรตัวนั้นมามัดตัวให้แน่นเข้ากับที่ฆ่า จากนั้นก็ใช้ค้อนใหญ่ลักษณะสี่เหลี่ยมทุบ เพื่อให้เนื้อสุกรนั้นพองหนาขึ้น เมื่อรู้ว่าเนื้อหนาดีแล้ว ก็ง้างปากสอดไม้เข้าไประหว่างฟัน ใช้กระบวยเหล็กกรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่านเข้าไปในปาก น้ำร้อนนั้นก็เข้าไปเดือนพล่านในท้อง ขับอุจจาระของสุกรออกมาทางทหารหนักจนหมด จนน้ำที่ไหลออกมาจากท้องสุกรใสสะอาด จากนั้นเขาก็เอาน้ำเดือดพล่านราดหลังของสุกร เพื่อลอกหนังกำพร้าของสุกรออก ต่อไปก็ลนขนสุกรด้วยคบหญ้า ตัดศีรษะมันด้วยดาบที่คมกริบ รองโลหิตที่ไหลออกมาด้วยภาชนะ เคล้าเนื้อด้วยโลหิต แล้วปิ้งรับประทานกับบุตรและภรรยา ส่วนที่เหลือก็ขาย เขาไม่เคยทำบุญให้ทานแม้แต่ครั้งเดียว ต่อมา นายจุนทะเกิดการเจ็บป่วย ก่อนจะตายมีความเจ็บปวดทุรนทุราย ลงคลานส่งเสียงร้องเหมือนเสียงสุกรอยู่เป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน เป็นความทุกข์ก่อนตายที่มีลักษณะคล้ายกับตกนรก พอถึงวันที่ 7 นายจุนทะก็สิ้นชีวิตและได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี มหานรก ความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกนั้น มีความร้อนกว่าไฟปกติมาก พระนาคเสนจึงกล่าวอุปมาถวายพระยามิลินท์ว่า “มหาบพิตร แม้หินเท่าเรือนยอด อันบุคคลทุ่มลงไปในไฟนรก ย่อมถึงความย่อยยับได้ในขณะเดียวฉันใด ส่วนสัตว์ที่เกิดในนรกนั้นเป็นประหนึ่งอยู่ในครรภ์มารดา จะย่อยยับไป เพราะกำลังแห่งกรรม เหมือนฉันนั้น หามิได้”
พวกภิกษุเดินทางผ่านประตูบ้านของนายจุนทะ ได้ยินเสียงนั้นแล้ว เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสียงร้องของสุกร ที่ถูกฆ่าและก็คงเป็นการฆ่าสุกรหลายตัว เพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานมงคลอะไรสักอย่างเป็นแน่ เขาช่างมีความโหดร้ายทารุณผิดกับผู้ฆ่าสุกรรายอื่นๆ เขาจะมีความเมตตากรุณาสงสารสัตว์แม้สักนิดก็ไม่มี จึงได้นำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา ทำให้ได้ทราบว่า มันไม่ใช่เสียงร้องของสุกรที่ถูกนายจุนทะฆ่า แต่ทว่าเป็นเสียงร้องเหมือนสุกรของนายจุนทะขณะคลานอยู่ในบ้านตลอดเวลา 7 วันนั้นต่างหาก
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เขาเศร้าโศกอย่างนี้ในโลกนี้แล้ว ยังจะไปเกิดในฐานะเป็นผู้เศร้าโศกเช่นกันอีกหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ประมาทแล้ว จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสองเป็นแท้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 15 ว่า
อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ
ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ
โส โสจติ โส วิหญฺญติ
ทิสฺวา กมฺมกิลิฏฺฐมตฺตโน ฯ
(อ่านว่า)
อิทะ โสจะติ เปดจะ โสจะติ
ปาปะการี อุภะยัดถะ โสจะติ
โส โสจะดิ โส วิหันยะติ
ทิดสะหวา กัมมะกิลิดถะมัดตะโน.
(แปลว่า)
คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
คือ เศร้าโศกในโลกนี้ และเศร้าโศกในโลกหน้า
เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมเดือดร้อน
เพราะมองเห็นกรรมชั่วของตนเอง.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผล มีพระโสดาบันเป็นต้น
พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.
-
เรื่องธัมมิกอุบาสก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกชื่อธรรมิกอุบาสก
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อธรรมิกะ เป็นผู้ใจบุญใจกุศลชอบทำบุญให้ทาน เขาจะถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์อย่างสม่ำเสมอทุกวัน และในโอกาสสำคัญต่างๆ เขาเป็นหัวหน้าของอุบาสกอีกจำนวน 500 คนซึ่งอยู่ในนครสาวัตถีนี้ เขามีบุตร 7 คน และธิดา 7 คน และบุตรธิดาทุกคนก็เหมือนกับบิดาคือเป็นผู้มีใจบุญใจกุศลชอบถวายทาน อยู่มาวันหนึ่ง ธรรมิกอุบาสกเกิดป่วยหนักมีอาการใกล้จะตาย เขาได้ขอร้องบุตรธิดาให้ส่งคนไปนิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูตร(อ่านว่า สะติปัดถานะสูด) ทีมีข้อความเริ่มต้นว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทธิยา (แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย” ซึ่งกล่าวว่าเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละทิ้ง ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงขณะใกล้จะตาย ขณะที่พระภิกษุสงฆ์กำลังสวดมหาสติปัฏฐานสูตรอยู่นั้น ก็มีรถทิพย์ที่ประดับตกแต่งงดงามมากจำนวน 6 คันจากสวรรค์ชั้นต่างๆ มาจอดรอเขาเพื่อเชิญให้เขาไปอยู่ในสวรรค์ในชั้นต่างๆ ธรรมิกอุบาสกได้บอกรถเหล่านั้นให้รอก่อนสักครู่อย่าได้เพิ่งมารับ เพราะจะรบกวนขัดจังหวะการสวดพระสติปัฏฐานสูตรของพระภิกษุสงฆ์ ข้างพระภิกษุสงฆ์ที่สวดอยู่นั้นเข้าใจว่าธรรมิกอุบาสกต้องการให้พวกท่านหยุดสวดจึงได้เลิกสวดและเดินทางกลับวัด
ชั่วครู่ต่อมา ธรรมิกอุบาสกก็ได้บอกกับพวกบุตรธิดาของตนว่า มีรถทิพย์จำนวน 6 คันมาจอดรอเพื่อรับเขาอยู่อยู่ในอากาศ และในที่สุดเขาได้ตัดสินในเลือกรถที่ส่งมาจากสวรรค์ดุสิต และได้บอกให้ลูกคนหนึ่งโยนพวงมาลัยไปคล้องรถคันที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น พวกลูกๆแลเห็นแต่พวงดอกไม้ แต่แลไม่เห็นรถ ธรรมิกอุบาสกบอกว่า พวงดอกไม้นั้น คล้องที่รถมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต เราจะไปสู่ภพดุสิต พวกเจ้าอย่าวิตกเลย พวกเจ้ามีความปรารถนาจะเกิดในสำนักเรา ก็จงทำบุญทั้งหลาย ตามทำนองที่เราทำแล้วเถิด” พอธรรมิกอุบาสกสิ้นใจตายก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นจริงๆ ซึ่งในพระคัมภีร์พรรณนาว่าธรรมิกอุบาสกนี้พอสิ้นใจจากโลกมนุษย์ “พลันก็มีอัตภาพสูงประมาณ 3 คาวุต ประดับด้วยอลังการ 60 เล่มเกวียน มีนางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม มีวิมานแก้วประมาณ 25 โยชน์” เพราะฉะนั้น คนที่ทำความดีย่อมจะบันเทิงในโลกนี้และในโลกนี้
ต่อมา พระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพระสงฆ์ที่ต้องการทราบว่าธรรมิกอุบากตายจากโลกนี้ไปเกิด ณ ที่ใด ว่าไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต และตรัสว่า “อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เพราะคนผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลาย เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมบันเทิงในที่ทั้งปวงทีเดียว”
ครั้นแล้ว พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 16 ว่า
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ
กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ โส ปโมทติ
ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน ฯ
(อ่านว่า)
อิทะ โมทะติ เปดจะ โมทะติ
กะตะปุนโย อุพะยัดถะ โมทะติ
โส โมทะติ โส ปะโมทะติ
ทิดสะหวา กัมมะวิสุดทิมัดตะโน.
(แปลว่า)
คนทำบุญกุศลไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
คือบันเทิงในโลกนี้ ล่วงลับไปแล้วก็ไปบันเทิงในโลกหน้า
เขาย่อมร่าเริง บันเทิงใจ เพราะมองเห็นกรรมบริสุทธิ์ของตนเอง.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีผลมากแก่มหาชน.
-
เรื่องพระเทวทัต
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระเทวทัตพำนักอยู่กับพระศาสดาที่กรุงโกสัมพี ขณะที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้น พระเทวทัตมีความตระหนักว่าพระศาสดาทรงได้รับความเคารพ ความนับถือและลาภจากประชาชนมาก จึงมีความริษยาพระศาสดาและมีความปรารถนาอยากเป็นประมุขสงฆ์ วันหนึ่ง ขณะที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่วัดพระเวฬุวันนครราชคฤห์ ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า พระองค์ทรงชราภาพแล้วควรจะได้ถ่ายโอนความรับผิดชอบคณะสงฆ์ให้แก่พระเทวทัตเสีย พระศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอของพระเทวทัตโดยตรัสว่า พระเทวทัตเป็นเขฬาสิกวาทะ (บุคคลกลืนกินน้ำลายของผู้อื่น) ต่อมาพระศาสดาได้ทรงขอให้พระสงฆ์ดำเนินการ “ประกาศนียกรรม” (ทำนองลอยแพไม่คบหาสมาคมด้วย) ต่อพระเทวทัต
พระเทวทัตมีความเดือดร้อนและประกาศว่าจะทำการแก้เผ็ดพระศาสดา ท่านได้พยายามสังหารพระศาสดาถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกไปว่าจ้างนายขมังธนูให้มาลอบยิง ครั้งที่สองขึ้นไปกลิ้งหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อจะให้ทับพระศาสดา และครั้งที่สามปล่อยช้างนาฬาคิรีให้เข้าทำร้าย ทว่านายขมังธนูไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาได้และได้เดินทางกลับไปหลังจากที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาจนได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว หินที่กลิ้งลงมาจากเขาคิชฌกูฏไม่สามารถทำร้ายพระศาสดา เพียงแต่มีสะเก็ดหินแตกมากระทบแค่ทำให้พระโลหิตห้อเท่านั้น และเมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งมาจะทำร้าย พระศาสดาได้ทรงแผ่เมตตาให้จนช้างนั้นเชื่อง แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ละความพยายาม ได้พยายามหาเล่ห์เพทุบายอย่างอื่น โดยได้พยายามทำลายสงฆ์ด้วยการแยกพระบวชใหม่จำนวนหนึ่งไปอยู่ที่คยาสีสะ แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดพระเหล่านี้ได้ถูกพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะพากลับมาได้สำเร็จ
ต่อมาพระเทวทัตอาพาธหนัก เมื่อท่านอาพาธอยู่ได้ 9 เดือนก็ได้ขอให้สานุศิษย์พาท่านมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา พวกศิษย์จึงหามท่านขึ้นแคร่มาที่วัดพระเชตวัน เมื่อพระศาสดาได้สดับว่าพระเทวทัตถูกหามมาเฝ้าก็ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่าพระเทวทัตไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้าพระองค์
เมื่อพระเทวทัตและคณะเดินทางมาถึงที่สระในบริเวณพระเชตวัน พวกศิษย์ที่ทำหน้าที่หามได้วางแคร่ลงที่ริมสระและได้ลงไปอาบน้ำกันอยู่นั้น พระเทวทัตได้ลุกขึ้นจากแคร่แล้ววางเท้าลงที่พื้นดิน พลันเท้าทั้งสองข้างของท่านก็ถูกธรณีสูบจมหายลงไปในแผ่นดิน ที่พระเทวทัตไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระศาสดาก็เพราะกรรมชั่วที่ท่านได้กระทำต่อพระศาสดา หลังจากถูกธรณีสูบแล้วพระเทวทัตได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี อันเป็นนรกที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลถามพระศาสดาว่า พระเทวทัตเมื่อถูกธรณีสูบแล้วไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด พระศาสดาตรัสว่า ในอเวจีมหานรก เมื่อพระภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเทวทัตเดือดร้อนในโลกนี้ จะไปเกิดในที่เดือดร้อนในโลกหน้าอีกหรือไม่ พระศาสดาตรัสว่า “เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลาย จะเป็นบรรพชิตก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม มีปกติอยู่ด้วยความประมาท ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสองทีเดียว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 17 ว่า
อิธ ตปฺปติ เปจจ ตปฺปติ
ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ
ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต ฯ
(อ่านว่า)
อิทะ ตับปะติ เปดจะ ตับปะติ
ปาปะการี อุพะยัดถะ ตับปะติ
ปาปัง เม กะตันติ ตับปะติ
พินโย ตับปะติ ทุกคะติง คะโต.
(แปลว่า)
คนทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
คือย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า
เขาเดือดร้อนในขณะมีชีวิตว่าเราทำบาปไว้แล้ว
เมื่อไปสู่ทุคคติก็ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้นอีก.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
-
เรื่องสุมนาเทวี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางสุมนาเทวี
ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ เป็นต้น
ในกรุงสาวัตถี ที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และที่บ้านของนางวิสาขา จะมีพระสงฆ์ได้รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารวันละ 2,000 รูปมิได้ขาด โดยเฉพาะที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี คนที่ทำหน้าที่ควบคุมงานถวายภัตตาหารพระสงฆ์คนแรกได้แก่ธิดาคนโตของท่านเศรษฐี ต่อมาเมื่อธิดาคนโตออกเรือนแล้วก็ให้ธิดาคนรองรับผิดชอบ พอธิดาคนรองออกเรือนก็ให้ธิดาคนสุดท้องคือนางสุมนาเทวีรับผิดชอบ พี่สาวทั้งสองคนของนางสุมนาได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุพระโสดาบัน ขณะที่ทำหน้าที่ถวายอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ ส่วนนางสุมนาเทวีก้าวหน้าไปกว่าพี่สาวคือสามารถบรรลุพระสกทาคามี
ต่อมานางสุมนาเทวีเกิดป่วยหนัก เมื่อใกล้จะสิ้นใจ ได้ขอให้คนไปเชิญบิดามาหา เมื่อท่านเศรษฐีมาแล้วนางสุมนาเทวีได้เรียกบิดาว่า “น้องชาย” จากนั้นไม่นานก็ได้สิ้นใจตาย ข้างเศรษฐีเกิดความสงสัยและเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่ถูกธิดาเรียกว่า “น้องชาย” เพราะเข้าใจว่าธิดาในเวลาจะสิ้นใจตายไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะ ถึงกับเพ้อออกมาเช่นนี้ ดังนั้น เศรษฐีจึงไปเฝ้าพระศาสดา แล้วนำเรื่องนี้กราบทูลถาม พระศาสดาได้ตรัสกับเศรษฐีว่า นางสุมนาเทวีมิได้ขาดสติสัมปชัญญะก่อนที่จะขาดใจตายแต่อย่างใด นางยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พระศาสดาทรงอธิบายว่า ที่นางสุมนาเทวีเรียกบิดาของนางว่า “น้องชาย”นั้น ก็เพราะนางได้บรรลุมรรคผลสูงกว่าบิดา คือขณะที่บิดาของนางบรรลุพระโสดาบัน นางเองบรรลุพระสกทาคามี และพระศาสดายังได้ตรัสบอกเศรษฐีด้วยว่านางสุมนาเทวีได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
อนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงกราบทูลว่า “ธิดาของข้าพระองค์ เที่ยวเพลิดเพลินอยู่ในระหว่างหมู่ญาติในโลกนี้ แม้ไปจากโลกนี้แล้ว ก็เกิดในที่ที่เพลิดเพลินเหมือนกันหรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระศาสดาตรัสว่า “เป็นอย่างนั้น คฤหบดี ธรรมดาผู้ไม่ประมาท จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้และโลกหน้าแท้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 18 ว่า
อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ
กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ
ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนฺทติ
ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต ฯ
(อ่านว่า)
อิทะ นันทะติ เปดจะ นันทะติ
กะตะปุนโย อุพะยัดถะ นันทะติ
ปุนยัง เม กะตันติ นันทะติ
พินโย นันทะติ สุคะติง คะโต.
(แปลว่า)
คนที่ทำดีไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
คือบันเทิงในโลกนี้ และบันเทิงในโลกหน้า
เขาย่อมบันเทิงว่าเราได้ทำบุญไว้แล้ว
เมื่อไปสู่สุคติภพ ยิ่งบันเทิงมากขึ้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
-
เรื่องภิกษุ 2 สหาย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 2 สหาย
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง มีภิกษุสองรูปเป็นสหายกัน บวชจากตระกูลคฤหบดีในกรุงสาวัตถี ในภิกษุสองรูปนี้ รูปหนึ่งศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏก จนมีความเชี่ยวชาญ สามารถท่องจำความในพระคัมภีร์ต่างๆได้มากมาย ท่านรูปนี้ยังได้สอนพระภิกษุอื่นอีกเป็นจำนวน 500 รูป และยังได้เป็นผู้แนะนำภิกษุอื่นๆอีก 18 กลุ่มด้วยกัน ส่วนภิกษุอีกรูปหนึ่งนั้นมีความขยันหมั่นเพียรตามแนวทางของวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนได้บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระภิกษุรูปที่สองนี้มาเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน ก็ได้มาพบกัน พระภิกษุรูปที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกไม่ทราบว่า พระภิกษุอีกรูปหนึ่งได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงดูหมิ่นพระภิกษุรูปที่เป็นพระอรหันต์โดยคิดว่า ท่านเป็นพระภิกษุชรา รู้เรื่องคัมภีร์ต่างๆแต่เพียงเล็กน้อย ไม่มีความรู้เรื่องนิกายต่างๆสักนิกาย หรือไม่มีความรู้เรื่องในปิฎกใดปิฎกหนึ่งในพระไตรปิฎก ดังนั้น ท่านจึงคิดที่จะถามปัญหากับพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ให้เกิดความอับอาย พระศาสดาทรงทราบเจตนาที่เป็นอกุศลของพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก และพระองค์ยังทรงทราบด้วยว่า จากผลของการสร้างความลำบากให้แก่พระภิกษุรูปที่พระอรหันต์จะทำให้พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกไปเกิดในนรกได้
ดังนั้น พระศาสดาทรงมีพระกรุณาต่อพระภิกษุผู้คงแก่เรียน จึงได้เสด็จไปหาพระภิกษุทั้งสองรูปนั้นเพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุรูปที่คงแก่เรียนถามปัญหาพระภิกษุรูปที่เป็นพระอรหันต์ พระศาสดาจึงได้ทรงตรัสถามปัญหาเสียเอง โดยได้ตรัสถามปัญหาที่เกี่ยวกับฌาน และมรรคต่างๆกับพระภิกษุรูปที่คงแก่เรียนที่ชำนาญในพระไตรปิฎก พระภิกษุรูปนี้ไม่สามารถตอบปัญหาของพระศาสดาได้ เพราะตนไม่เคยนำสิ่งที่ตนสอนมาปฏิบัติ สำหรับกับพระรูปที่เป็นพระอรหันต์นั้น ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสามารถตอบคำถามของพระศาสดาได้ทุกข้อ พระศาสดาทรงยกย่องพระที่ปฏิบัติธรรมะ แต่ไม่ทรงยกย่องพระที่คงแก่เรียน
พวกพระที่เป็นสัทธิวิหาริก ไม่เข้าใจสาเหตุที่พระศาสดาทรงยกย่องพระภิกษุชราที่เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ยกย่องพระภิกษุที่คงแก่เรียน พระศาสดาได้ทรงอธิบายเรื่องนี้แก่ภิกษุเหล่านั้นว่า พระภิกษุคงแก่เรียนที่รู้มากแต่ไม่ปฏิบัติตามธรรมะนั้น ก็เหมือนกับคนเลี้ยงโค คอยแต่เลี้ยงโคเพื่อรับค่าจ้าง ในขณะที่พระที่ปฏิบัติธรรมนั้นเหมือนกับเจ้าของโค ที่ได้เสวยผลของผลิตผลห้าอย่างของโค(ปัญจโครส) ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุผู้คงแก่เรียนนั้นได้แต่การอุปัฏฐากจากศิษยานุศิษย์ แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร ส่วนพระภิกษุสายปฏิบัติธรรมนั้น แม้ว่าจะมีความรู้น้อยและท่องจำพระคัมภีร์ได้น้อย แต่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของธรรมะและนำไปปฏิบัติอย่างมุมานะขยันหมั่นเพียร จึงได้ชื่อว่า “อนุธัมมจารี”(ผู้ปฏิบัติตามธรรม) สามารถขจัดราคะ โทสะ และโมหะได้ จิตของท่านจึงปลอดพ้นจากตัณหานุสัยและความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ท่านจึงเป็นผู้ได้เสวยผลประโยชน์ของมรรคและผลจริงๆ
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 19 และพระคาถาที่ 20 ว่า
พหุมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน
น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต
โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ
น ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ
(อ่านว่า)
พะหุมปิ เจ สะหิตัง พาสะมาโน
นะ ตักกะโร โหติ นะโร ปะมัตโต
โคโปวะ คาโว คะณะยัง ปะเรสัง
นะ ภาคะวา สามันยัสสะ โหติ.
(แปลว่า)
คนที่ได้แต่ท่องจำตำราได้มาก
แต่มัวประมาท ไม่ปฏิบัติตามคำสอน
ย่อมไม่ได้รับผลที่ควรจะได้จากการบวช
เหมือนคนเลี้ยงโค ได้นับโคให้คนอื่นเขา.
อปฺปมฺปิ เจ สหิตํ ภาสมาโน
ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี
ราคญจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต
อนุปาทิยา โน อิธ วา หุรํ วา
ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ
(อ่านว่า)
อับปัมปิ เจ สะหิตัง ภาสะมาโน
ทัมมัสสะ โหติ อะนุทัมมะจารี
ราคันจะ โทสันจะ ปะหายะ โมหัง
สัมมับปะชาโน สุวิมุดตะจิดโต
อะนุปาทิยา โน อิทะ วา หุรัง วา
สะ พาคะวา สามันยัสสะ โหติ.
(แปลว่า)
คนที่ท่องจำตำราได้น้อย แต่ประพฤติตามธรรม
ละราคะ โทสะ โมหะได้
รู้แจ้งเห็นจริง มีจิตหลุดพ้น
ไม่ยึดมั่นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
เขาย่อมได้รับผลของการบวช.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผล
มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
(http://a.imageshack.us/img832/4785/2319413348.jpg)
นำมาแบ่งปันโดย :
one mind : http://agaligohome.com/index.php?topic=4599.0
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
-
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/61938_377754408982171_1184148453_n.jpg)
ธรรมบทคือ อะไร? (ตามคำขอ)
ธรรมบท เป็นชื่อของคัมภีร์หนึ่ง ในจำนวน ๑๕ คัมภีร์ ของพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
คำว่า ธรรมบท แปลว่า บทแห่งธรรม คัมภีร์ธรรมบทจึงเป็นคัมภีร์รวบรวมบทธรรมต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธภาษิตแก่บุคคลต่าง ๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างสถานที่ เป็นบทธรรมสั้น ๆ ในรูปคาถา ประพันธ์เป็นบทร้อยกรองหรือบทกวี ตามหลักฉันทลักษณศาสตร์ ผู้อ่านสามารถจดจำได้ง่าย และมีความไพเราะลึกซึ้งมาก ที่สำคัญคือ ธรรมบทแต่ละบทล้วนเป็นสัจจธรรม และ
" ถือว่าเป็นอมตวาจาของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว "
นัยว่า บรรดาคัมภีร์ในพระไตรปิฎก คัมภีร์ธรรมบทเป็นคัมภีร์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุด ธรรมบทจึงเป็นเพชรงามน้ำเอกชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
การศึกษาธรรมบท ควรศึกษาหนังสืออธิบายธรรมบทด้วย ซึ่งเรียกว่า อรรถกถาธรรมบท เป็นหนังสือที่พระภิกษุสามเณรผู้เริ่มต้นเรียนภาษาบาลี จะต้องแปลให้ได้ เพราะเป็นหลักสูตรการศึกษาภาษาบาลีของพระภิกษุสามเณรในปัจจุบัน
ในธรรมบทนี้ มีบทธรรม ๔๒๓ บท โดยนับตามจำนวนคาถา ถ้านับเป็นเรื่อง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงมีจำนวนมากถึง ๓๐๒ เรื่อง เรื่องเหล่านี้ท่านจัดรวมกันเป็นหมวด เรียกว่า วรรค มีจำนวน ๒๖ วรรค ในแต่ละวรรคมีหัวข้อธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก
" หัวข้อธรรมเหล่านี้เป็นพุทธวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สอนบุคคลต่าง ๆ ในต่างสถานที่ ต่างเวลา "
... แต่พึงทราบว่า ธรรมบทนั้นมีความสำคัญทุกบท หากได้นำมาเป็นแนวทางในการทำความดีก็จะได้รับประโยชน์สมดังปรารถนาทุกประการ พุทธวิธีในการสอนตามแนวธรรมบท....
(https://encrypted-tbn3.google.com/images?q=tbn:ANd9GcSyCERnyvtIWkoyybey9n_rF-K3ju02T1pfeH19h-GX9_7h0-Sh)
อ้างถึง :บทความจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เรื่อง ธรรมบท
สวดมนต์ - http://www.facebook.com/ForThai (http://www.facebook.com/ForThai)
หน้าเพจชุมชนเกี่ยวกับ Thailand
-
(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/484188_306992466058366_1960258951_n.jpg)
รวมลิ้งค์เรื่องย่อในพระธรรมบท ๑ - ๒๖
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 1 : ยมกวรรค
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 2 : อัปปมาทวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6018.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 3 : จิตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6031.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 4 : ปุปผวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6040.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 5 : พาลวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6046.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 6 : ปัณฑิตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6089.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 7 : อรหันตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6131.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 8 : สหัสสวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6140.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 9 : ปาปวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6179.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 10 : ทัณฑวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6269.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 11: ชราวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6327.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 12 : อัตตวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6488.0.html)
ส่วนนี้นำมาจาก >>>
one mind :http://agaligohome.com/index.php?topic=4599.0
(http://1.bp.blogspot.com/-5vvdME-Jxlw/T5I7Jz233EI/AAAAAAAAAIQ/3nPhFD8nFew/s320/lord+buddha.jpg)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 13 : โลกวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7313.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 14 :พุทธวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7318.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 15 : สุขวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7333.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 16 : ปิยวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7472.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 17 : โกธวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7497.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 18 : มลวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7507.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 19 : ธัมมัฏฐวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7522.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 20 : มัคควรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7526.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 21 : ปกิณณกวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7551.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 22 : นิรยวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7575.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 23 : นาควรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7597.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 24 : ตัณหาวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7612.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 25 : ภิกขุวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7627.0.html)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 26 : พราหมณวรรค (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7674.0.html)
ส่วนนี้นำมาจาก >>>
-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/page1
(https://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcQSaLKkNUx7R-DHbgzDEQzVTtdsvekk1OhROK7SxwBnuxhYloED)
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * สุขใจดอทคอม
อกาลิโกโฮม.. บ้าน ที่แท้จริง...
กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานเหล่านี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานเหล่านี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ เรียนขออนุญาตใช้ภาพ
ไว้ ณ ที่นี้... นะคะ
อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
-
พุทธวิธีในการสอนตามแนวธรรมบท
พระมหาสุเทพ อคฺคเมธี
เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
กรุงเทพมหานคร 2542 หน้า 165 - 196
ธรรมบท เป็นชื่อของคัมภีร์หนึ่ง ในจำนวน ๑๕ คัมภีร์
ของพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
คำว่า ธรรมบท แปลว่า บทแห่งธรรม คัมภีร์ธรรมบทจึงเป็นคัมภีร์รวบรวมบทธรรมต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธภาษิตแก่บุคคลต่าง ๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างสถานที่ เป็นบทธรรมสั้น ๆ ในรูปคาถา ประพันธ์เป็นบทร้อยกรองหรือบทกวี ตามหลักฉันทลักษณศาสตร์ ผู้อ่านสามารถจดจำได้ง่าย และมีความไพเราะลึกซึ้งมาก ที่สำคัญคือ ธรรมบทแต่ละบทล้วนเป็นสัจจธรรม และถือว่าเป็นอมตวาจาของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว นัยว่า บรรดาคัมภีร์ในพระไตรปิฎก คัมภีร์ธรรมบทเป็นคัมภีร์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุด ธรรมบทจึงเป็นเพชรงามน้ำเอกชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
การศึกษาธรรมบท ควรศึกษาหนังสืออธิบายธรรมบทด้วย ซึ่งเรียกว่า อรรถกถาธรรมบท เป็นหนังสือที่พระภิกษุสามเณรผู้เริ่มต้นเรียนภาษาบาลี จะต้องแปลให้ได้ เพราะเป็นหลักสูตรการศึกษาภาษาบาลีของพระภิกษุสามเณรในปัจจุบัน
ในธรรมบทนี้ มีบทธรรม ๔๒๓ บท โดยนับตามจำนวนคาถา ถ้านับเป็นเรื่อง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงมีจำนวนมากถึง ๓๐๒ เรื่อง เรื่องเหล่านี้ท่านจัดรวมกันเป็นหมวด เรียกว่า วรรค มีจำนวน ๒๖ วรรค ในแต่ละวรรคมีหัวข้อธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก หัวข้อธรรมเหล่านี้เป็นพุทธวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สอนบุคคลต่าง ๆ ในต่างสถานที่ ต่างเวลา จะขอหยิบยกมาอธิบายเป็นตัวอย่างเป็นบางบทเท่านั้น แต่พึงทราบว่า ธรรมบทนั้นมีความสำคัญทุกบท หากได้นำมาเป็นแนวทางในการทำความดีก็จะได้รับประโยชน์สมดังปรารถนาทุกประการ พุทธวิธีในการสอนตามแนวธรรมบทแต่ละวรรคนั้น ดังนี้
๑. ยมกวรรค
หมวดธรรมที่เป็นคู่
ในวรรคนี้ พระพุทธองค์ตรัสสอนธรรมเป็นคู่ ๆ เช่น เรื่องคนใจดีกับคนใจชั่ว เรื่องผู้ผูกเวรกับผู้ไม่ผูกเวร เรื่องความสามัคคีกับความแตกสามัคคี ทรงชี้ให้เห็นคุณของธรรมฝ่ายดี และชี้ให้เห็นโทษของธรรมฝ่ายชั่ว พร้อมทั้งแนวทางในการทำดีละเว้นชั่ว เช่น ทรงสอนให้เห็นผลของการมีความคิดชั่วว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํ
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น
ถ้าคนมีใจชั่ว ก็พูดชั่วหรือทำชั่วตามไปด้วย
เพราะความชั่วนั้น ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป
ในทางตรงกันข้ามก็ทรงสอนให้เห็นผลของการมีความคิดดีว่า
มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายา ว อนุปายินี
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดีหรือทำดีตามไปด้วย
เพราะความดีนั้น สุขย่อมติดตามเขาไป
เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะนั้น
ทรงสอนให้รู้จักเปรียบเทียบระหว่างผลของความดีกับผลของความชั่ว แล้วเลือกปฏิบัติตามธรรมที่คิดว่าจะทำให้ได้รับผลดีที่สุด
อนึ่ง การที่พระพุทธเจ้าตรัสธรรมบทแต่ละบทนั้น ล้วนแต่มีที่มาหรือสาเหตุทั้งนั้น แต่ในคัมภีร์ธรรมบทจริง ๆ จะไม่ปรากฏที่มาของเรื่อง จะปรากฏเพียงคาถาสุภาษิตเท่านั้น หากต้องการทราบรายละเอียดความเป็นมา ควรศึกษาจากอรรถกถา จะยกตัวอย่างธรรมบทอีกบทหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของสุภาษิตไทยที่ว่า “เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร” คือ
น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
เพราะว่า ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้
ย่อมไม่สงบระงับด้วยเวร
แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นธรรมเก่า ถ้าเราได้อ่านอรรถกถา ก็จะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เพราะท่านได้เล่าเรื่องประกอบพุทธภาษิตนี้ไว้ด้วย อ่านแล้วสนุกมากเช่นเรื่องที่เป็นเหตุให้ตรัสธรรมบทบทนี้ ดังจะนำมาเล่าไว้โดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่าง ต่อไปนี้
กำเนิดยักษิณี
มีบุตรของผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง หลังจากที่พ่อตายแล้ว ต้องทำงานคนเดียว มารดาสงสารจึงคิดจะหาหญิงสาวมาเป็นภรรยาให้ แม้เขาจะปฏิเสธอย่างไรมารดาก็ไม่ยอม ในที่สุด จึงต้องแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง บังเอิญหญิงที่เขาแต่งงานด้วยเป็นหมัน มารดากลัวว่าจะไม่มีใครสืบต่อวงศ์ตระกูล จึงบอกว่าจะหาหญิงสาวคนอื่นมาให้ใหม่
ขณะนั้น หญิงหมันได้ยินคำนั้นจึงเกิดความกลัวขึ้นว่า “ถ้าสามีมีภรรยาใหม่และมีลูกให้เขา ภรรยาใหม่จะต้องใช้เราอย่างทาสเป็นแน่ เราควรจะหาสาวน้อยสักคนหนึ่งมาเสียเองจะดีกว่า” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงไปขอสาวน้อยคนหนึ่งมาเป็นภรรยาของสามี
ต่อมา หญิงหมันกลัวว่า ถ้าภรรยาน้อยมีบุตรจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ของสามี (ตามธรรมเนียม) จึงคิดหาอุบายที่จะไม่ให้ภรรยาน้อยมีบุตร วันหนึ่ง จึงไปบอกภรรยาน้อยว่าถ้าตั้งครรภ์เมื่อไรก็ให้บอก พอภรรยาน้อยตั้งครรภ์ก็ได้บอกแก่นาง
ตอนแรก หญิงหมันก็ทำทีเป็นใจดี โดยการนำข้าวน้ำมาเลี้ยงดูอย่างดี พอภรรยาน้อยตายใจก็แอบผสมยาทำแท้งลงไปในอาหาร ในที่สุดครรภ์ก็แท้ง ครั้งที่ ๒ ครรภ์ก็แท้งอีก พวกเพื่อน ๆ ของภรรยาน้อยจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบเรื่องว่าทุกครั้งที่ตั้งครรภ์จะต้องบอกให้หญิงหมันรู้ ทุกคนก็รู้ทันทีว่าหญิงหมันผสมยาทำแท้งให้นางกิน ครั้งต่อไปจึงห้ามมิให้บอกเรื่องตั้งครรภ์แก่หญิงหมัน
ครั้งที่ ๓ หญิงหมันถามอย่างไร ภรรยาน้อยก็ไม่บอก เมื่อครรภ์แก่ขึ้น ๆ หญิงหมันได้โอกาสจึงแอบผสมยาทำแท้งลงไปในอาหาร ภรรยาน้อยซึ่งมีครรภ์แก่กินเข้า ครรภ์ก็แท้งอีก แต่ครั้งนี้ เนื่องจากครรภ์แก่ทำให้นางได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส และถึงแก่ความตายในที่สุด ก่อนตายนางผูกอาฆาตว่า
“เจ้าทำให้ลูกข้าตายถึง ๓ คน ครั้งนี้ข้าเองต้องตาย เกิดชาติหน้า ขอให้ข้าเกิดเป็นนางยักษิณี ได้เคี้ยวกินลูกของเจ้า”
ผูกอาฆาตจองเวรเสร็จนางก็ตายไปเกิดเป็นแมวที่บ้านหลังนั้นนั่นเอง
ฝ่ายสามีทราบเรื่องเข้าก็โกรธจัด จึงทุบตีหญิงหมันลงศอกตอกเข่าจนหญิงหมันตายคาที่ และได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน
ผลัดกันจองเวรคนละชาติ
แม่ไก่ตกฟองทีไร แมวก็ดอดมากินเกลี้ยงถึง ๓ ครั้ง ครั้งสุดท้ายกินแม่ไก่ด้วย
แม่ไก่จึงจองเวรว่า “ตายแล้วขอให้ข้าได้กินลูกของเจ้า” พอตายไปก็ไปเกิดเป็นแม่เสือ ฝ่ายแมวได้ไปเกิดเป็นแม่เนื้อ
พอแม่เนื้อคลอดลูก แม่เสือก็แอบมากินถึง ๓ ครั้ง ครั้งสุดท้ายกินแม่เนื้อด้วย
แม่เนื้อจึงจองเวรว่า “ตายไปขอให้ได้กินลูกของมันบ้าง” แล้วตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายแม่เสือได้ไปเกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี ต่อมานางได้สามี ขณะคลอดบุตรอยู่ในห้อง นางยักษิณีได้แปลงร่างเป็นเพื่อนรักของนางเข้าไปในห้องแล้วจับเด็กกินถึง ๒ ครั้ง
ครั้งที่ ๓ นางได้หนีไปคลอดบุตรที่อื่น ขากลับได้เดินผ่านมาทางวิหารที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ฝ่ายนางยักษิณีก็ตามจองล้างจองผลาญมาถึงวิหารนั้นพอดี แต่เข้าวิหารไม่ได้เพราะมีเทวดาคอยรักษาอยู่ พระพุทธเจ้าจึงให้ท่านพระอานนท์
ไปเรียกนางยักษิณีมาแล้วตรัสสอนไม่ให้ผูกเวรกัน เป็นคาถาหรือบทกวี ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เวรทั้งหลายย่อมไม่สงบระงับด้วยเวร แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร (ขุ.ธ.อ. ภาค ๒ กาลียักขินีวัตถุ)
๒. อัปปมาทวรรค
หมวดความไม่ประมาท
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้ทำความดีตามแนวอัปปมาทธรรม คือ ความไม่ประมาท ความไม่ประมาทนี้ถือว่าเป็นยอดแห่งธรรม เพราะธรรมทั้งหมดรวมลงในความไม่ประมาท เหมือนรอยเท้าของสัตว์ทุกชนิดรวมลงในรอยเท้าช้าง
หน้าที่ที่ควรปฏิบัติต่อความไม่ประมาท คือ รักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนคนรักษาทรัพย์อันประเสริฐไว้ แต่การจะรักษาความไม่ประมาทได้นั้น จะต้องอาศัยปัญญาจึงจะรักษาไว้ได้
ผลจากการไม่ประมาท ผู้ปฏิบัติตามความไม่ประมาทนั้น จะได้รับผลดีมากมาย เช่น
-พระจูฬปันถกท่องหนังสือเพียง ๔ บรรทัดไม่ได้ เมื่อไม่ประมาทก็บรรลุอรหัตตผล พร้อมกับปฏิสัมภิทา มีมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) สามารถเนรมิตกายได้เป็น ๑,๐๐๐ องค์
-ในเรื่องภิกษุสองสหาย คือ รูปหนึ่งขยันไม่ประมาท อีกรูปหนึ่งประมาท ทรงเปรียบเทียบไว้อย่างยอดเยี่ยมว่า
ผู้มีปัญญาดี เป็นผู้ไม่ประมาท ในเมื่อผู้อื่นประมาท
เป็นผู้ตื่นอยู่โดยมาก ในเมื่อผู้อื่นหลับ
ย่อมละทิ้งคนมีปัญญาทรามไปไกล
เหมือนม้าฝีเท้าจัด วิ่งละทิ้งม้าที่หมดแรงไไว้ ฉะนั้น
ความไม่ประมาทย่อมให้ผลไปจนตาย เช่น ครั้งหนึ่ง พระนางสามาวดี พระชายาของพระเจ้าอุเทน พระนางเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ามาก ต่อมา ถูกพระนางมาคันธิยาพระชายาอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าอุเทนสั่งให้จุดไฟเผาตายทั้งเป็นพร้อมกับบริวารอีก ๕๐๐ นาง การตายของพระนางทำให้พระราชาทรงโทมนัสยิ่งนัก ทรงกริ้วมาก จึงรับสั่งให้จับพระนางมาคันธิยาเผาไฟตายทั้งเป็นเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระนางสามาวดีเป็นพระโสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสนิพพาน จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท พระพุทธเจ้าทรงปรารภเรื่องนี้จึงได้ตรัสพระคาถาธรรมบทเพื่อเป็นคติสอนใจว่า
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปท
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯเปฯ
ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งอมตะ (ความไม่ตาย)
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
คนผู้ไม่ประมาท ชื่อว่าย่อมไม่ตาย
คนผู้ประมาท จึงเหมือนคนตายแล้ว ฯลฯ
๓. จิตตวรรค
หมวดจิต
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้ปฏิบัติโดยการควบคุมจิต เพราะธรรมชาติของจิตคือ ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยากต้องควบคุมให้ตรง เหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง จิตนี้มักดิ้นรนไปมาเหมือนปลาที่ถูกจับขึ้นมาไว้บนบก เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในถ้ำ (คือกาย)
วิธีฝึกจิต คือ ต้องมีปัญญา กำจัดราคะ โทสะ มีสติ ในอรรถกถากล่าวว่า ต้องฝึกด้วยอริยมรรค ๔ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค (ขุ.ธ.อ. ๒/๑๐๘) พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า การฝึกจิตเป็นการทำความดีประการหนึ่ง
ผลดีจากการฝึกจิต การฝึกจิตทำให้ได้รับผลมากมาย ดังที่ตรัสไว้ในหลายแห่ง เช่น
จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้
ทูรํคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
คนเหล่าใดสำรวมจิต
ที่เที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว
ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในถ้ำ
คนเหล่านั้น จักพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺเญ วาปิ จ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร
จิตที่ตั้งไว้ชอบ ย่อมอำนวยให้ได้ผลที่ประเสริฐยิ่ง
ที่มารดาบิดาก็ทำให้ไม่ได้
หรือแม้ญาติเหล่าอื่นก็ทำให้ไม่ได้ ผลร้ายจากการไม่ฝึกจิต การปล่อยจิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ ย่อมให้ผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะจิตมักจะใฝ่หาแต่อารมณ์ที่น่าปรารถนา และห้ามได้ยาก การปล่อยจิตเช่นนี้จึงให้ผลร้ายต่าง ๆ ดังที่ตรัสไว้ในธรรมบทว่า
ผู้มีจิตไม่มั่นคง ไม่รู้แจ้งสัทธรรม
มีความเลื่อมใสเลื่อนลอย
ย่อมไม่มีปัญญาสมบูรณ์
จิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำให้ได้รับความเสียหาย
ยิ่งกว่าความเสียหาย ที่โจรเห็นโจร
หรือผู้จองเวรเห็นผู้จองเวร จะพึงทำให้แก่กัน
๔. ปุปผวรรค
หมวดดอกไม้
ในวรรคนี้ ทรงสอนธรรมโดยเปรียบเทียบกับสิ่งธรรมชาติ คือ ดอกไม้ ทรงเปรียบเทียบดอกไม้กับกิเลสบ้าง เปรียบเทียบอาการเก็บดอกไม้กับอาการในการปฏิบัติธรรมบ้าง ธรรมบทแต่ละบทสามารถนำมาเป็นแนวทางในการทำความดีได้อย่างชัดเจน เช่น ทรงสอนว่า
-ให้เลือกบทธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เหมือนช่างดอกไม้ผู้ชาญฉลาดเลือกเก็บดอกไม้
-ตัดพวงดอกไม้ของมารได้แล้ว ก็จะไปถึงสถานที่ที่มัจจุราชหาไม่พบ
-มฤตยูย่อมฉุดคร่านรชน ผู้มีใจติดข้องอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ผู้มัวแต่เลือกเก็บดอกไม้ (คือกามคุณ) เหมือนห้วงน้ำใหญ่พัดพาเอาชาวบ้านที่หลับไหลไป ฉะนั้น
บางบท ทรงสอนให้ภิกษุรู้จักประมาณในการขอ เพราะคนที่จะให้ทาน บางคนก็เป็นคนตระหนี่ ไม่ควรทำให้เขารำคาญ โดยทรงเปรียบเทียบกับแมลงภู่ว่า
ภมรไม่ทำลายดอก สี และกลิ่น
ดูดแต่น้ำหวานแล้วบินไป ฉันใด
มุนีพึงเที่ยวไปในหมู่บ้าน ฉันนั้น
ทรงสอนให้ทำความดีให้มาก เหมือนช่างดอกไม้ร้อยพวงมาลัย และทรงแนะนำให้รักษาศีล เพราะกลิ่นแห่งศีลหอมยิ่งกว่ากลิ่นดอกไม้หรือกลิ่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา กลิ่นดอกอุบล และกลิ่นดอกมะลิ
ถ้าได้อ่านพระไตรปิฎกเล่ม ๑๙ (สํ.ม. (แปล) ๑๙/๑๔๑-๑๔๕/๗๕-๗๖) ก็จะพบว่ากลิ่นจันทน์เป็นต้นล้วนเป็นสุดยอดแห่งกลิ่นหอมทั้งปวง แต่ในธรรมบทนี้ พระองค์ตรัสว่า เป็นกลิ่นหอมเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลิ่นศีล
๕. พาลวรรค
หมวดคนพาล
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องคนพาล คือ คนโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักประโยชน์ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า ไม่รู้จักพระสัทธรรม ทรงเน้นให้เห็นโทษของความเป็นคนพาล และวิธีปฏิบัติต่อคนพาล ทรงเปรียบเทียบระหว่างคนพาลกับบัณฑิต ผู้ประสงค์จะทำความดีตามแนวทางในธรรมบทวรรคนี้ คงจะต้องตรวจสอบว่า เรามีลักษณะของคนพาลอยู่หรือไม่ ถ้าเรามีลักษณะดังกล่าวนั้นก็ต้องรีบแก้ไข จะทำให้เราเป็นบัณฑิตได้บ้าง ดังที่ตรัสไว้บทหนึ่งว่า
คนพาลที่รู้ตัวว่าเป็นคนพาล
ยังเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่คนพาลที่สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต
นั่นแหละ เรียกว่า คนพาลแท้
คำว่า พาล ในที่นี้ มิใช่เฉพาะคนทั่วไปเท่านั้น แม้แต่พระภิกษุ ถ้าปฏิบัติตนไม่ดีก็เป็นคนพาลเช่นกัน ครั้งหนึ่ง ทรงตักเตือนเจ้าอาวาสบางรูปที่ประพฤติไม่เหมาะสม ไม่ให้ระเริงหลงในอำนาจของตนเองจนเกิดความถือตัวว่าดีกว่าคนอื่น ดังความว่า
ภิกษุพาล ปรารถนาการยกย่องที่ตนไม่มี
ปรารถนาให้ภิกษุทั้งหลายตามแวดล้อมตน
ปรารถนาความเป็นใหญ่ในอาวาส
และปรารถนาเครื่องบูชาจากชาวบ้านทั้งหลาย
ภิกษุพาลเกิดความดำริว่า
“ขอให้คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้ง ๒ ฝ่าย จงเข้าใจว่า
เราผู้เดียวทำกิจนี้ได้ เราผู้เดียวพึงมีอำนาจในการงาน
ไม่ว่ากิจการใหญ่หรือเล็ก”
ความริษยา และความถือตัว จึงเกิดพอกพูนขึ้นโทษของความเป็นคนพาล คนพาลแม้จะอยู่ใกล้บัณฑิตชั่วชีวิต ก็ไม่รู้แจ้งธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกง วิญญูชน แม้จะอยู่ใกล้บัณฑิตเพียงชั่วครู่ ก็รู้แจ้งธรรมได้ฉับพลัน เหมือนลิ้นรู้รสแกง
ท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อคนพาล ทรงสอนให้หลบหลีกคนพาล โดยตรัสว่า หากบุคคลเที่ยวหาคนที่ดีกว่าตนหรือเสมอกับตนไม่ได้ ก็ควรถือการเที่ยวไปคนเดียวให้มั่นคง เพราะจะหาความเป็นเพื่อนในคนพาลไม่ได้เลย (นตฺถิ พาเล สหายตา)
๖. ปัณฑิตวรรค
หมวดบัณฑิต
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้เป็นบัณฑิต ให้คบบัณฑิต คำว่า บัณฑิต หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ประการ โดยสรุปก็คือ ผู้คิดดี ทำดี พูดดี ถ้าพบบัณฑิตเช่นนี้ ให้คบท่านไว้ ก็จะมีแต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อมเลย ถึงแม้ท่านจะชี้โทษ ก็ให้ถือว่าท่านเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์
วิธีทำตนให้เป็นบัณฑิต การที่จะเป็นบัณฑิตได้นั้น ทรงแนะนำให้ฝึกฝนตนเอง ดังธรรมบทที่ว่า
คนไขน้ำ ย่อมไขน้ำ
ช่างศร ย่อมดัดลูกศร
ช่างไม้ ย่อมถากไม้
บัณฑิต ย่อมฝึกตน
มีผู้แต่งเป็นบทกวีไว้น่าฟังว่า
ช่างเหมืองย่อม ทดน้ำ ทำระหัด ช่างศรดัด ลูกธนู ให้อยู่ที่
ช่างถากแต่ง ตัวไม้ ให้รูปดี ท่านผู้มีวัตรงาม ปราบปรามตนนอกจากนี้ ทรงแสดงลักษณะของบัณฑิตว่า ต้องไม่ทำบาปเพราะตนหรือเพราะบุคคลอื่น ไม่หาทรัพย์โดยทางมิชอบ แต่ให้มีศีล มีปัญญา ยึดมั่นอยู่ในธรรม เป็นต้น
มีต่อค่ะ
-
๗. อรหันตวรรค
หมวดพระอรหันต์
ในวรรคนี้ ทรงแสดงคุณสมบัติของพระอรหันต์ ซึ่งควรถือเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีและควรปฏิบัติตามแนวทางของท่าน คุณสมบัติของพระอรหันต์ในที่นี้ คือ ไม่มีความเร่าร้อนกระวนกระวาย ไม่ติดอาลัย บรรลุนิพพาน เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา จะอยู่ ณ สถานที่ใด ๆ จะเป็นบ้านหรือป่าก็ตาม สถานที่นั้น ๆ ย่อมเป็นที่รื่นรมย์ เพราะท่านไม่แสวงหากามอีกต่อไป
๘. สหัสสวรรค
หมวดหนึ่งในร้อยในพัน
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้เราทราบว่า อะไรคือสาระของชีวิต อะไรคือความไร้สาระของชีวิต การกระทำอย่างไรมีสาระ อย่างไรไร้สาระ ทรงเปรียบเทียบชีวิตหรือการกระทำที่มีสาระจำนวน ๑ ว่ามีคุณค่ามากว่าชีวิตหรือการกระทำที่ไร้สาระจำนวน ๑,๐๐๐
มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ฉายา “เพชฌฆาตเคราแดง” เขาทำหน้าที่ตัดหัวโจรและคนทำผิดเป็นจำนวนมาก นานถึง ๕๕ ปี ต่อมา ในวัยแก่ เขาหมดแรง ไม่สามารถตัดหัวให้ขาดได้ภายในดาบเดียว ต้องตัดถึง ๒-๓ครั้ง ทำให้คนที่ถูกตัดหัวทรมานมาก จึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง วันที่ถูกปลดมีการฉลอง มีการเตรียมอาหารอย่างดีให้เขาขณะที่เขาจะลงมือรับประทาน สายตาก็เหลือบไปเห็นท่านพระสารีบุตรเดินบิณฑบาตมาพอดี จึงเกิดความเลื่อมใสนำอาหารมาตักบาตรท่าน พระเถระก็อนุโมทนา แต่เขาไม่เข้าใจเพราะมัวแต่นึกถึงบาปกรรมที่ทำไว้ พระเถระจึงพูดให้เขาเข้าใจว่า การกระทำตามหน้าที่ไม่มีบาป เขาก็นึกว่าจริง พอได้ฟังธรรมอีกนิดหน่อยก็เข้าใจธรรม หลังจากพระเถระกลับไปไม่นาน เขาถูกวัวขวิดตาย ได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
ภิกษุหลายรูปทราบเรื่องนี้จากพระพุทธองค์ ต่างก็เกิดความสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ที่คนทำชั่วมานานป่านนี้กลับได้ดี พระพุทธองค์จึงตรัสธรรมบทว่า
คำพูดที่มีประโยชน์คำเดียว
ที่คนฟังแล้วสงบระงับได้
ย่อมดีกว่าคำพูดที่ไร้ประโยชน์ตั้ง ๑,๐๐๐ คำ
อีกบทหนึ่ง ทรงสอนเรื่องการชนะที่แท้จริงว่า
ผู้ชนะข้าศึกจำนวนพันคูณด้วยพัน ในสงคราม
หาชื่อว่าผู้ชนะที่ยอดเยี่ยมไม่
แต่ผู้ชนะตนได้ จึงชื่อว่า ผู้ชนะที่ยอดเยี่ยม
ในเรื่องคุณค่าของชีวิต ทรงสอนไว้ในวรรคนี้ว่า ผู้มีศีล มีปัญญา มีความเพียร
เห็นความเกิดดับ(ของขันธ์ ๕) เห็นทางอมตะ เห็นธรรมขั้นสูงสุด
แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็ประเสริฐกว่าผู้ไม่มีศีล ที่มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี เป็นต้น
๙. ปาปวรรค
หมวดบาป
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้รู้จักบุญและบาป รวมทั้งผลของบุญและบาปว่ามีความแตกต่างกัน
ให้พยายามรีบเร่งทำบุญละเว้นบาป บุญต้องหาบ บาปต้องละ ถ้าทำบุญช้า บาปมักจะเข้ามาแทนที่
ดังที่ตรัสไว้ว่า
อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญฺญํ ปาปสฺมึ รมตี มโน
บุคคลควรรีบเร่งทำบุญ ควรห้ามจิตจากบาป
เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป
มีผู้แต่งเป็นกลอนไว้ดังนี้
พึงเร่งทำ กรรมดี แก่ชีวิต
พึงห้ามจิต จากชั่ว ความมัวหมอง
เพราะถ้าทำ ดีเนิ่น เพลินลำพอง
ใจย่อมปอง ในชั่ว กลั้วมลทิน
อนึ่ง ทรงสอนให้ทำบุญบ่อย ๆ เพราะการสั่งสมบุญนำสุขมาให้ แต่เป็นธรรมดาที่คนเราอาจทำผิดพลาดได้ ในทำนองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความดี เช่น ครั้งหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีทำบุญจนกลายเป็นคนยากจน เทวดาผู้รักษาประตูขอร้องให้ท่านเลิกทำ ท่านเศรษฐีก็ไม่ยอมเลิกทำบุญ ซ้ำยังขับไล่เทวดาให้ออกจากบ้านท่าน เทวดาสำนึกผิด จึงไถ่โทษด้วยการหาขุมทรัพย์ใต้ดินที่ไร้เจ้าของมาให้ท่าน ทำให้ท่านกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธองค์ตรัสธรรมบทเป็นการสอนให้เห็นผลกรรมว่า
ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ ฯเปฯ
ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใด บาปให้ผล
เมื่อนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้
ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใด กรรมดีให้ผล
เมื่อนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้
หลักคำสอนที่สำคัญบทหนึ่ง คือ ทรงสอนไม่ให้ดูหมิ่นบาปหรือบุญว่ามีเพียงเล็กน้อย
ดังที่ตรัสไว้ว่า
มาวมญฺเญถ ปาปสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ ฯเปฯ
บุคคลอย่าสำคัญว่าบาปเล็กน้อยคงจักมาไม่ถึง
แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยน้ำที่ตกลงมาทีละหยาด ๆ ได้ ฉันใด
คนพาลเมื่อสั่งสมบาปทีละเล็กละน้อย
เต็มด้วยบาปได้ ฉันนั้น
ทำบาปแล้วหนีไม่พ้น ผู้ทำบาปแล้วไม่ว่าจะหลบไปอยู่ในที่ใด ๆ ก็ไม่พ้นบาป ได้ ดังที่ตรัสไว้ว่า
น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ ฯเปฯ
คนทำบาปถึงจะเหาะขึ้นไปในอากาศ ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
ถึงจะดำลงไปกลางทะเล ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
ถึงจะเข้าไปหลบตัวในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนหนึ่งที่คนทำบาปยืนอยู่แล้ว จะพ้นจากบาปกรรมได้
มีผู้แต่งเป็นกลอนไว้ว่า
จะซ่อนกาย ในกลีบเมฆ กลางเวหา
ซ่อนกายา กลางสมุทร สุดวิสัย
จะซ่อนตัว กลางป่าเขา ลำเนาไพร
ณ ถิ่นใด พ้นบาปนี้ ไม่มีเลย
คติภพของคนทำบาปหรือทำบุญ คนเราจะเกิดในภพใดคติไหน
ขึ้นอยู่กับบุญที่เราทำกรรมที่เราสร้าง พระองค์ตรัสคติภพของสัตว์ไว้อย่างชัดเจนว่า
สัตว์พวกหนึ่ง ย่อมเกิดในครรภ์
พวกที่ทำบาปกรรม ย่อมไปนรก
พวกที่ทำความดี ย่อมไปสวรรค์
ส่วนผู้ที่ไม่มีอาสวะย่อมนิพพาน
๑๐. ทัณฑวรรค
หมวดอาชญา
ในวรรคนี้ ทรงสอนเกี่ยวกับการลงทัณฑ์ คือ การใช้กำลังทำร้าย เข่นฆ่า หรือเบียดเบียนผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อน หรือพูดวาจาหยาบคายให้ร้ายป้ายสี ทรงชี้ให้เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายรักสุข เกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ควรเบียดเบียนกัน ผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น จะได้รับโทษต่าง ๆ เช่น ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า เสื่อมทรัพย์ ถูกทำร้าย
อนึ่ง ทรงสอนให้เว้นการลงทัณฑ์ ให้อยู่เหมือนพราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สมณะ (ผู้สงบ) ภิกษุ (ผู้ทำลายกิเลส)
ธรรมบทในวรรคนี้ เหมาะสำหรับนักบริหาร ผู้ปกครอง และบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย เพราะทรงชี้ให้เห็นว่า ก่อนจะลงทัณฑ์ลงโทษใคร ต้องคำนึงถึงความถูกต้องเป็นหลัก โดยใช้เมตตาธรรม ถ้าลงโทษโดยไม่ใคร่ครวญ ผู้ลงโทษอาจได้รับโทษเสียเอง พึงระลึกอยู่เสมอว่า แม้ไม่มีการลงทัณฑ์ลงอาชญา ทุกชีวิตก็ต้องถูกความแก่ชราต้อนเข้าไปสู่ความตายทุกคน
ดังธรรมบทในวรรคนี้ที่ว่า
ยถา ทณฺเฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจรํ ฯเปฯ
คนเลี้ยงโคใช้ท่อนไม้ไล่โค ต้อนฝูงโคไปยังที่หากิน ฉันใด
ความแก่และความตาย ก็ไล่ต้อนอายุของสัตว์ทั้งหลายไป ฉันนั้น
๑๑. ชราวรรค
หมวดความชรา
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องความชรา คือ ความแก่ ความทรุดโทรม ซึ่งเป็นเสมือนไฟเผาผลาญชีวิตสรรพสัตว์อยู่เป็นนิตย์ ความแก่ชรานี้ แม้จะเป็นความจริงด้านหนึ่งของชีวิต แต่ก็ไม่เป็นที่น่าปรารถนาของมนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากสอนเรื่องนี้ด้วยวิธีการธรรมดา อาจไม่เป็นที่พอใจของผู้ฟัง และไม่เกิดประโยชน์มากนัก ในธรรมบทวรรคนี้ ทรงใช้วิธีการสอนต่าง ๆ กัน เช่น ทรงสอนนางอุตตราภิกษุณีผู้มีอายุ ๑๒๐ ปีว่า “ร่างกายนี้แก่หง่อมแล้ว เป็นที่อาศัยของโรค แตกทำลายง่าย ร่างกายอันเน่าเหม็นนี้ จักแตกสลายพังพินาศ เพราะชีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย”
ผลจากธรรมบทนี้ ทำให้นางอุตตราภิกษุณีบรรลุเป็นพระโสดาบัน
แก่อย่างมีคุณค่า แม้ชีวิตจะต้องแก่ชราไปตามกาลเวลา
ถ้ารู้จักแสวงหาปัญญา และไม่ประมาท ไม่มัวเมาหลงระเริงอยู่ในโลก
ก็เป็นการแก่อย่างมีคุณค่า ไม่แก่เปล่า ถ้าไม่มีปัญญาย่อมแก่เปล่า
ดังที่ตรัสว่า
“คนที่มีการศึกษาน้อยนี้ ย่อมแก่ไปเปล่า
เหมือนโคพลิพัท (โคผู้ทรงพลัง)เจริญแต่เนื้อหนัง ส่วนปัญญาหาเจริญไม่”
ครั้งหนึ่ง หญิงสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกา แอบพกขวดเหล้าเข้าไปดื่มในวัด พอเมาได้ที่(มารเข้าสิง) ก็เริ่มปรบมือ ฟ้อนรำขับร้องกัน พระศาสดาจึงบันดาลให้เกิดความมืดขึ้น พวกนางตกใจกลัวตายจนหายเมา พระองค์ได้ตรัสสอนธรรมบทเตือนใจว่า
โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ
อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ
เมื่อโลกลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์
ทำไมจึงมัวหัวเราะร่าเริงกันอยู่เล่า
เธอทั้งหลายถูกความมืดปกคลุม
ไฉนไม่แสวงหาดวงประทีปกันเล่า
ผลจากการตรัสธรรมบทนี้ทำให้พวกนางบรรลุเป็นพระโสดาบัน
ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ทรงเห็นสัจธรรมของชีวิตข้อนี้
ถึงกับทรงเปล่งอุทานธรรมว่า
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ ฯเปฯ
เราตามหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ
จึงท่องเที่ยวไปในสงสารเป็นอเนกชาติ
เพราะการเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์
นายช่างเอ๋ย เราพบท่านแล้ว
ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีก
ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักแล้ว
ยอดเรือนเราก็รื้อแล้ว
จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว
เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว
๑๒. อัตตวรรค
หมวดตน
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องตน คำว่า ตน ในที่นี้ หมายถึงผู้กระทำ (สยกตฺตา) โดยทั่วไป
ไม่ได้หมายถึง อัตตา หรืออาตมัน ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์ทรงสอน
ให้รู้จักรักษาตนด้วยการทำดี ให้รู้จักวางจังหวะของชีวิต ในทำนองที่ว่า
วัยแรกเรียนวิชา
วัยต่อมาสร้างหลักฐาน
วัยแก่ทำบุญ จะเกิดคุณตลอดกาล
ทรงสอนให้ฝึกฝนตนและทำตนให้เป็นที่พึ่ง ดังที่ตรัสว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน
บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
การทำหน้าที่ต่อผู้อื่น ไม่ควรทำหน้าที่ของตนให้บกพร่อง
ก่อนจะสอนคนอื่น ควรพยายามสอนตนให้ได้ก่อน
เพื่อป้องกันความเดือดร้อนที่จะเกิดแก่ตน ดังที่ตรัสไว้ว่า
อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม
บุคคลสอนคนอื่นอย่างไร ก็พึงทำตนเองอย่างนั้น
ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว จึงควรฝึกผู้อื่น
เพราะตนนั่นแล ฝึกได้ยากยิ่ง
บางครั้ง ทรงสอนให้ยึดประโยชน์ตนเป็นสำคัญ ดังธรรมบทที่ว่า
อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย ฯเปฯ
บุคคลไม่ควรให้ประโยชน์ตนเสียไป
เพราะประโยชน์คนอื่นแม้มาก
เมื่อรู้ประโยชน์ตนแล้ว
ก็ควรขวนขวายในประโยชน์ตน
ในบทนี้ ไม่ควรเข้าใจผิดโดยคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เห็นแก่ตัว
ความจริง คำว่า ประโยชน์ตน ในที่นี้หมายถึง มรรค ผล นิพพาน เป็นเรื่อง
ความบริสุทธิ์เฉพาะตน ซึ่งคนอื่นทำให้เราไม่ได้ ตนเองเท่านั้นที่จะทำให้แก่ตน
ดังธรรมบทที่ว่า
“สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย
= ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ไม่ได้”
๑๓. โลกวรรค
หมวดโลก
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องเกี่ยวกับโลก คำว่า โลก ในที่นี้มีความหมายหลายอย่าง คือ
โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือแผ่นดิน โลกคือภพนี้และภพหน้า
โลกคือขันธ์ ๕ โลกคือชาวโลก โลกคือวัฏฏทุกข์ (ขุ.ธ.อ. ๖/๓๑-๔๒)
ทรงสอนให้อยู่ในโลกอย่างไม่ประมาท ไม่ควรเป็นคนรกโลก (น สิยา โลกวฑฺฒโน)
ให้อยู่อย่างมีคุณธรรมจึงจะมีความสุข ดังพระดำรัสที่ว่า
ธมฺมจารี สุขํ เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
ทรงสอนให้เห็นความเป็นจริงของโลกว่า
โลกนี้มืดมน คนในโลกนี้ น้อยคนนักจักเห็นแจ้ง
น้อยคนนักจักไปสวรรค์
เหมือนนกติดข่าย น้อยตัวนักที่จะพ้นจากข่าย
ฉะนั้นบางบท ทรงสอนในทำนองว่า การอยู่ในโลกอาจทำผิดพลาดได้
แต่ผู้ที่ทำผิดนั้นต้องแก้ไข เมื่อแก้ไขแล้วก็ทรงยกย่อง เช่น จอมโจรองคุลีมาล
ซึ่งฆ่าคนตายมากกว่า ๙๙๙ คน และคิดจะฆ่ามารดาเป็นคนที่ ๑,๐๐๐
ภายหลังได้พบพระพุทธเจ้าและฟังธรรมจากพระองค์ สามารถกลับใจได้
จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ (ดูเทียบกับ ม.ม. (แปล) ๑๓/๓๕๒/๔๓๐) พระองค์ตรัสว่า
บาปกรรมที่ทำไว้ ผู้ใดละเสียได้ด้วยกุศล
ผู้นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว
ดุจดวงจันทร์พ้นจากเมฆ ฉะนั้น
บทความพระไตรปิฎก
:http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/menu2_4.htm
มีต่อค่ะ
-
๑๔. พุทธวรรค
หมวดพระพุทธเจ้า
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องพระพุทธเจ้า พุทธภาวะ และคำสั่งสอน คำว่า พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง และทรงสามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ดังที่ตรัสว่า “กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท” การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติขึ้น ยากยิ่งนัก
ผู้ที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น ถ้าต้องการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าผู้เลิศทางปัญญา (ปัญญาธิกะ) ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ประการ เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ถ้าต้องการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าผู้เลิศทางศรัทธา (สัทธาธิกะ) ต้องบำเพ็ญบารมีเป็นเวลานานถึง ๘ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัป
ถ้าต้องการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าผู้เลิศทางความเพียร (วิริยาธิกะ) ต้องบำเพ็ญบารมีเป็นเวลานานถึง ๑๖ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัป (ดูเทียบกับ ขุ.อป. (แปล) ๓๒/๑-๘๒/๑-๑๒, วิสุทฺธิ. ๒/๔๙-๕๐)
พุทธภาวะ คือ คุณสมบัติของพระพุทธเจ้า เช่น ทรงกำจัดกิเลสได้เด็ดขาด มีพระญาณหาที่สุดมิได้ ไม่มีร่องรอย ทรงก้าวล่วงมารและเสนามาร สามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ เช่น ยมกปาฏิหาริย์ (การแสดงปาฏิหาริย์เป็นคู่ เช่น เนรมิตสายน้ำกับสายไฟเป็นคู่ ๆ เนรมิตพระพุทธเจ้าเป็น ๒ องค์ ดู ขุ.ธ.อ. ภาค ๒ ยมกปาฏิหาริยวัตถุ) ทรงเป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของมนุษย์ เพราะทำให้ถึงความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
หลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงหลักคำสั่งสอนสำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ในธรรมบทวรรคนี้ว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯเปฯ
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯลฯอนึ่ง พระองค์ตรัสไว้ว่า บุญที่เกิดจากการบูชาพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก ใคร ๆ ไม่สามารถนับได้ว่า เป็นบุญประมาณเท่าไร
๑๕. สุขวรรค
หมวดความสุข
ในวรรคนี้ ทรงสอนวิธีสร้างความสุขที่แท้จริงให้แก่ชีวิต โดยสรุป คือ
๑. ไม่ก่อเวร ๒. ไม่ทำตนให้เดือดร้อน
๓. กำจัดความกังวล ๔. ละความชนะและความพ่ายแพ้
๕. แสวงหาความสงบกับนักปราชญ์ ๖. คบหาพระอริยะ อยู่ร่วม
๗. ไม่คบคนพาล ทรงชี้ให้เห็นว่า การแข่งดีมุ่งจะเอาชนะผู้อื่นทำให้ไม่มีความสุข ก่อให้เกิดภัยเวร ดังที่ตรัสไว้ในธรรมบทที่ว่า
ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยํ ฯ
ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้พ่ายแพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์
ผู้ละทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว
มีใจสงบ ย่อมนอนเป็นสุขธรรมบทที่แสดงถึงสิ่งสุดยอดต่าง ๆ ในวรรคนี้ คือ
ยอดแห่งไฟ : นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ
ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี
ยอดแห่งโทษ : นตฺถิ โทสสโม กลิ
โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี
ยอดแห่งทุกข์ : นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา
ทุกข์เสมอด้วยขันธ์ ๕ ไม่มี
ยอดแห่งสุข : นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ยอดแห่งโรค : ชิคจฺฉา ปรมา โรคา
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง
ยอดแห่งทุกข์ :
(อีกอย่างหนึ่ง) สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ยอดแห่งสุข :
(อีกอย่างหนึ่ง) นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ยอดแห่งลาภ : อาโรคฺยปรมา ลาภา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
ยอดแห่งทรัพย์ : สนฺตุฏฺฐิ ปรมํ ธนํ
ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ยอดแห่งญาติ : วิสฺสาสา ปรมา ญาติ
ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง
๑๖. ปิยวรรค
หมวดสิ่งอันเป็นที่รัก
ในวรรคนี้ ทรงสอนวิธีที่ควรปฏิบัติต่อสิ่งอันเป็นที่รัก คำว่า สิ่งอันเป็นที่รัก มี ๒ ประเภท คือ
๑. ทางโลก หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งที่มากระทบ) และธรรมารมณ์ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือหมายถึงกิเลสตัณหา
๒. ทางธรรม หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา นิพพาน บุญกุศล
วิธีปฏิบัติต่อสิ่งอันเป็นที่รัก
สิ่งอันเป็นที่รักทางโลกเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าโศกและภัยต่าง ๆ ผู้ปราศจาก สิ่งอันเป็นที่รักย่อมไม่มีความเศร้าโศกและภัย ฉะนั้น จึงควรหาทางหลุดพ้น หาทางกำจัดกิเลสตัณหาที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งอันเป็นที่รักเหล่านั้น ดังที่ตรัสสอนไว้ว่า
ปิยโต ชายตี โสโก ปิยโต ชายตี ภยํ
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ
ความโศกเกิดจากสิ่งเป็นที่รัก ภัยก็เกิดจากสิ่งเป็นที่รัก
ผู้พ้นจากสิ่งเป็นที่รักได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
สิ่งอันเป็นที่รักในทางธรรม ทรงสอนให้บำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญา ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้ ย่อมจะเป็นที่รักของทุกคน เมื่อจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าย่อมมีบุญคอยต้อนรับ
๑๗. โกธวรรค
หมวดความโกรธ
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องความโกรธ โทษแห่งความโกรธ วิธีละความโกรธ ประโยชน์ของการละความโกรธ
วิธีละความโกรธ คือ ให้เห็นว่าเป็นโลกธรรม มีมานานแล้ว ทุกยุคทุกสมัย เช่น ความโกรธที่เกิดจากถูกนินทาว่าร้ายทรงสอนว่า “นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต” คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลกหน้าที่ของเราคือ สำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ให้กำเริบ มีศีลมั่นคง ดำรงชีวิตให้ปราศจากข้อที่ควรตำหนิ ถ้ามีคนโกรธ พึงปฏิบัติตามธรรมบทที่ว่า
อกฺโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทินํ
บุคคลพึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์
๑๘. มลวรค
หมวดมลทิน
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องมลทิน คือ
มลทินชองชีวิต ได้แก่ กิเลสและอกุศลกรรม
มลทินของมนต์ ได้แก่ การไม่ท่องบ่น
มลทินของบ้านเรือน ได้แก่ ความไม่ขยัน
มลทินของผิวพรรณ ได้แก่ ความเกียจคร้านชำระร่างกาย
มลทินของผู้รักษา ได้แก่ ความประมาท
มลทินของคู่สามีภรรยา ได้แก่ การนอกใจกันมลทินดังกล่าวมานี้ ย่อมทำลายชีวิตของผู้ที่มีมลทิน เหมือนสนิมที่เกิดจากเหล็กก็กัดกินเหล็กนั้นนั่นเอง ผู้มีปัญญาควรกำจัดมลทินของตนทีละน้อย ทุกขณะ โดยลำดับ เหมือนช่างทองกำจัดสนิมทอง
๑๙. ธัมมัฏฐวรรค
หมวดผู้ตั้งอยู่ในธรรม
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องคุณธรรมที่ทำให้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม โดยทรงแสดงไปตามหน้าที่ของแต่ละบุคคลที่ทรงตรัสถึง ดังนี้
คุณธรรมของผู้พิพากษา คือ วินิจฉัยคดี และสาเหตุแห่งคดี ทั้งฝ่ายที่เป็นจริง และไม่เป็นจริง วินิจฉัยโดยไม่ผลีผลาม เที่ยงธรรม (ถูกต้องตามหลักการ ไม่ลำเอียง) และโดยสม่ำเสมอ (เสมอภาคกับทุกคน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง)
คุณธรรมของบัณฑิต คือ มีความเกษม ไม่มีเวร ไม่มีภัย
คุณธรรมของผู้ทรงธรรม คือ บุคคลไม่ชื่อว่าผู้ทรงธรรม เพียงเพราะพูดมาก ส่วนผู้ใดได้สดับธรรมน้อย แต่พิจารณาเห็นธรรมด้วยนามกาย ทั้งไม่ประมาทธรรมนั้น ผู้นั้นชื่อว่าผู้ทรงธรรม
คุณธรรมของพระเถระ คือ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นเถระ เพียงเพราะมีผมหงอก ผู้ที่แก่แต่วัยเท่านั้น เรียกว่าคนแก่เปล่า ส่วนผู้มีสัจจะ มีธรรม มีความไม่เบียดเบียน มีความสำรวม ฝึกตน ละมลทินได้ เป็นปราชญ์ ชื่อว่า เถระ พระบาลีว่า
น เตน เถโร โหติ เยนสฺส ปลิตํสิโร
ปริปกฺโก วโย ตสฺส โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ ฯเปฯ
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นเถระเพียงเพราะมีผมหงอก
ผู้ที่แแก่แต่วัยเท่านั้น เรียกว่าคนแก่เปล่า
ส่วนผู้มีสัจจะมีธรรม
มีอหิงสา สัญญมะ และทมะ
คายมลทินได้แล้ว เป็นปราชญ์
ชื่อว่าเถระคุณธรรมของคนดี คือ ละความริษยาได้เด็ดขาด กำจัดโทษได้ มีปัญญา
คุณธรรมของสมณะ คือ ผู้ที่ไม่มีวัตร พูดจาเหลาะแหละ แม้มีศีรษะโล้น ก็ไม่ชื่อว่า สมณะ เขาเต็มไปด้วยความปรารถนาและความอยากได้ จะเป็นสมณะได้อย่างไร ส่วนผู้ใดระงับบาปน้อยใหญ่ลงได้โดยสิ้นเชิง ผู้นั้น จึงเรียกว่า สมณะ
คุณธรรมของภิกษุ คือ เป็นผู้ลอยบุญและบาปได้ ประพฤติพรหมจรรย์ มีปัญญา
คุณธรรมของมุนี คือ บุคคลโง่เขลา ไม่รู้อะไร เพียงแต่นั่งนิ่ง ๆ หาชื่อว่ามุนีไม่ ส่วนบุคคลผู้ฉลาด เลือกชั่งเอาแต่สิ่งที่ดี ละทิ้งสิ่งที่ชั่ว เหมือนบุคคลชั่งสิ่งของ จึงจะชื่อว่า มุนี แท้ ผู้ที่รู้โลกทั้งสอง ก็เรียกว่า มุนี เช่นกัน
คุณธรรมของผู้เป็นอริยะ คือ ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง
๒๐. มัคควรรค
หมวดมรรค(ทาง)
ในวรรคนี้ ทรงแสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ ว่าเป็นทางอันประเสริฐที่สุด ทรงย้ำว่า
“ทางเพื่อความหมดจดแห่งทรรศนะ คือทางนี้เท่านั้น มิใช่ทางอื่น
เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แล
เพราะทางนี้เป็นทางลวงมารให้หลง
อนึ่ง เธอทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว
จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
เรารู้วิธีถอนลูกศรคือกิเลสแล้ว
จึงชี้บอกทางนี้แก่เธอทั้งหลาย
เธอทั้งหลายควรทำความเพียรเองเถิด
ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญภาวนา ดำเนินตามทางนี้แล้ว เพ่งพินิจอยู่
จักพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้”
เหตุที่ทำให้ไม่พบทาง (อริยมรรค) คือ ไม่ขยัน เกียจคร้าน มีความคิดใฝ่ต่ำ ปราศจากความเพียร จึงไม่ประสบทางด้วยปัญญา (ปธานกัมมิกติสสเถรวัตถุ)
วิธีที่จะทำให้พบทาง คือ รักษากาย วาจา สำรวมใจ และไม่พึงทำความชั่วทางกาย พึงชำระกรรมบถ(กาย วาจา ใจ) ทั้ง ๓ ทางนี้ ให้หมดจดจึงจะพบทางที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ (สูกรเปตวัตถุ)
ทรงตักเตือนให้เตรียมทางว่า
บุคคลเมื่อถึงคราวจะตาย
บุตรทั้งหลายก็ต้านทานไม่ได้
บิดาก็ต้านทานไม่ได้
พวกพ้องก็ต้านทานไม่ได้
แม้ญาติพี่น้องก็ต้านทานไม่ได้
บัณฑิตผู้สำรวมในศีล รู้ความจริงนี้แล้ว
พึงรีบเร่งชำระทางอันจะนำไปสู่นิพพาน
๒๑. ปกิณณกวรรค
หมวดเบ็ดเตล็ด
ในวรรคนี้ ทรงสอนหลักธรรมทั่วไป เช่น
-ในเรื่องบุรพกรรมของพระองค์ ทรงสอนให้สละสุขเล็กน้อยเพื่อความสุขอันยิ่งใหญ่
-ในเรื่องกุมาริกากินไข่ไก่ ทรงสอนว่า ผู้หาความสุขจากความทุกข์ของผู้อื่น ไม่พ้นจากเวรไปได้
-ในเรื่องภิกษุโอรสของเจ้าวัชชี ผู้เห็นชาวเมืองจัดงานสมโภช คิดจะสึกไปครองเรือน ทรงสอนว่า
การบวชเป็นของยาก
ความยินดีในการบำเพ็ญธรรมก็เป็นของยาก
เรือนที่ครอบครองไม่ดี ก่อให้เกิดทุกข์
การอยู่ร่วมกับคนไม่เสมอกันเป็นทุกข์
การเดินทางไกล (คือ วัฏฏะ) ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรเดินทางไกล
และไม่ควรให้ทุกข์ติดตามได้
-ในเรื่องจูฬสุภัททา ทรงเปรียบเทียบคนดีกับคนชั่วว่า
สัตบุรุษย่อมปรากฏเด่นชัด เหมือนขุนเขาหิมพานต์
ส่วนอสัตบุรุษย่อมไม่ปรากฏ เหมือนลูกศรที่ยิงไปในเวลากลางคืน
๒๒. นิรยวรรค
หมวดเรื่องนรก
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องนรก ซึ่งเป็นสถานที่รองรับคนชั่ว รวมทั้งผู้ที่ต้องตกนรก ซึ่งเป็นผู้ที่ทำกรรมชั่วต่าง ๆ เช่น
๑. ชอบกล่าวคำไม่จริง
๒. ทำความชั่ว ซ้ำยังโกหกว่าไม่ได้ทำ
๓. เป็นภิกษุ แต่มีธรรมเลวทราม ไม่สำรวม ปฏิบัติไม่ดี
๔. ละอายในสิ่งที่ไม่ควรละอาย ไม่ละอายในสิ่งที่ควรละอาย กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ไม่กลัวในสิ่งที่ควรกลัว เห็นสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ เห็นสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ ผู้ที่ทำดีตรงกันข้ามกับความชั่วดังกล่าวมาแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ แนวทางปฏิบัติในเรื่องความดีความชั่ว ตรัสสอนไว้ว่า
อกตํ ทุกฺกตํ เสยฺโย ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกตํ
กตญฺจ สุกตํ เสยฺโย ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะระลึกถึงความชั่ว บุคคลย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
ส่วนความดีทำไว้เถิดดีกว่า
เพราะทำแล้วระลึกถึงภายหลัง บุคคลย่อมไม่เดือดร้อน
๒๓. นาควรรค
หมวดช้าง
ในวรรคนี้ ทรงสอนเรื่องการฝึกตนเปรียบเทียบกับการฝึกช้าง เนื่องจากช้างเป็นสัตว์สำคัญในการสงคราม การเดินทาง และเป็นสัตว์ที่ฝึกง่าย เมื่อได้รับการฝึกดีแล้ว ย่อมเป็นสัตว์ฉลาด มีความอดทนสูง ผู้ที่ฝึกตนได้แล้ว ประเสริฐกว่าช้างที่ฝึกแล้ว
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าถูกใส่ร้าย ถูกด่าว่าด้วยคำหยาบคาย ท่านพระอานนท์กราบทูลให้เสด็จไปเสียจากที่นั้น พระองค์ตรัสว่า
อหํ นาโคว สงฺคาเม จาปาโต ปติตํ สรํ
อติวากฺยนฺติติกฺขิสฺสํ ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน
เราจักอดกลั้นซึ่งคำล่วงเกิน ดุจช้างอดทนซึ่งลูกศร
ที่ออกมาจากแล่งในสงคราม เพราะคนทุศีลมีมาก
ผู้ที่ไม่ฝึกฝนตนพระองค์ได้ตรัสเปรียบเทียบกับหมู ดังนี้
มิทฺธี ยทา โหติ มหคฺฆโส จ
นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี
มหาวราโหว นิวาปปุฏฺโฐ
ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มนฺโท
เมื่อใด บุคคลผู้ถูกความง่วงเหงาครอบงำ บริโภคมาก
ชอบแต่นอนกลิ้งเกลือกไปมา
เมื่อนั้น เขาย่อมมีปัญญาเฉื่อยชา ชอบเข้าห้องเป็นอาจิณ
เหมือนสุกรอ้วนที่เขาขุนด้วยเศษอาหาร ฉะนั้น
วิธีฝึกตน จะแสดงพอเป็นแนวทาง คือ
๑. ให้ฝึกจิตที่ชอบฟุ้งซ่าน เหมือนควาญช้างปราบพยศช้างตกมัน
๒. ฝึกถอนตนออกจากหล่มคือกิเลส เหมือนช้างแก่จมโคลนถอนตัวขึ้นไม่ได้
พอได้ยินเสียงกลองรบก็สามารถถอนตัวขึ้นได้ เพราะเคยฝึกฝนและผ่านสนามรบมาแล้ว
๓. ฝึกคบกับสหายผู้มีปัญญา มีความประพฤติดี เป็นนักปราชญ์
๔. ฝึกเป็นคนมีความสุข ตามวิธีต่าง ๆ ที่ตรัสไว้ว่า
เมื่อมีกิจเกิดขึ้น สหายทั้งหลายนำสุขมาให้
ความยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นำสุขมาให้
ในเวลาสิ้นชีวิต บุญนำสุขมาให้
การละทุกข์ได้ทั้งหมด นำสุขมาให้
ในโลก การเกื้อกูลมารดา นำสุขมาให้
การเกื้อกูลบิดา นำสุขมาให้
การเกื้อกูลสมณะ นำสุขมาให้
การเกื้อกูลท่านผู้ประเสริฐ นำสุขมาให้
ศีลนำสุขมาให้ตราบเท่าชรา
ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้ว นำสุขมาให้
การไม่ทำบาปทั้งหลาย ก็นำสุขมาให้
๒๔. ตัณหาวรรค
หมวดตัณหา
ในวรรคนี้ ทรงสอนให้รู้จักตัณหา (ความทะยานอยาก) ๓ ประการ คือ (๑) กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม (๒) ภวตัณหา ความอยากเป็น (๓) วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็น
ตัณหา ๓ ประการนี้ เกิดขึ้นแก่คนที่ประมาท เหมือนเถาย่านทรายเจริญอยู่ในป่า และเกิดแก่ผู้ที่กำหนัดยินดีด้วยราคะ ดังที่ตรัสไว้ในเรื่องพระนางเขมาเถรีว่า “สัตว์ทั้งหลายผู้กำหนัดยินดีด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่กระแสตัณหา เหมือนแมงมุมติดใยที่ตนถักไว้เอง”
ผลจากการถูกตัณหาครอบงำ ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของตัณหา มีลักษณะ คือ
-เร่ร่อนไปมา เหมือนวานรที่ต้องการผลไม้เที่ยวเร่ร่อนไปมาในป่า
-เกิดความเศร้าโศก เข้าถึงชาติชราร่ำไป เกิดความทุกข์
-เมื่อถูกตัณหาครอบงำ ย่อมสะดุ้ง ดิ้นรน เหมือนกระต่ายติดบ่วง
วิธีกำจัดตัณหา คือ มีปัญญา เจริญฌาน
ผลดีจากการกำจัดตัณหาได้ คือ
-ทำให้ความโศกสิ้นไป เหมือนหยาดน้ำกลิ้งตกไปจากใบบัว
-ละทุกข์ทั้งปวงได้
-ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
-ทำให้สิ้นตัณหา ซึ่งเป็นการชนะทุกข์ทั้งปวง ดังที่ตรัสไว้ว่า
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
-ทานที่ให้แก่คนที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ และตัณหา มีผลมากกว่าทานที่ให้แก่คนที่มีกิเลสเหล่านั้น
๒๕. ภิกขุวรรค
หมวดภิกษุ
ในวรรคนี้ ทรงแสดงเรื่องภิกษุ ทรงสอนว่า สิ่งแรกที่ภิกษุผู้มีปัญญาในศาสนานี้ต้องกระทำคือ สำรวมอินทรีย์ มักน้อยสันโดษ ระมัดระวังในวินัยบัญญัติ คบกัลยาณมิตร ผู้ขยันขันแข็ง มีอาชีพสะอาด ทรงสอนไม่ให้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย มุ่งเจริญกรรมฐาน ไม่ถือมั่นในรูป ไม่ประมาท รู้จักตักเตือนตนเอง รู้จักพึ่งตนเอง ดังพระอมตพจน์ที่ว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
ตสฺมา สญฺญม อตฺตานํ อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโช ฯ
ตนแล เป็นที่พึ่งของตน
ตนแล เป็นคติของตน
เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตนให้ดี
เหมือนพ่อค้าม้าสงวนม้าพันธุ์ดี
ฉะนั้นทรงสอนให้พัฒนาปัญญาว่า
นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส
นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน ฯเปฯ
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ผู้ใดมีทั้งฌานและปัญญานั่นแล
จึงนับว่าอยู่ใกล้นิพพาน
๒๖. พราหมณวรรค
หมวดพราหมณ์
ในวรรคนี้ ทรงแสดงคุณสมบัติของพราหมณ์ ตามพุทธทรรศนะ เดิมที คำว่า พราหมณ์ เป็นคำเรียกวรรณะพราหณ์ของชาวอินเดีย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น พระองค์ทรงบัญญัติคุณสมบัติของพราหมณ์ใหม่ ซึ่งก็คือพระขีณาสพนั่นเอง คุณสมบัติของพราหมณ์หรือพระขีณาสพที่ทรงแสดงไว้ในวรรคนี้ เป็นคุณสมบัติและปฏิปทาของพระสาวกแต่ละท่าน เช่น ไม่มีกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจ มีความสำรวมระวัง มีสัจจะ มีธรรม เป็นผู้สะอาด ทรงแสดงเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างในการนำไปปฏิบัติ มีจำนวนพระสูตรถึง ๓๑ สูตร
ธรรมบทที่นำมากล่าวไว้นี้ ถ้าหากอ่านด้วยความพิจารณาแล้ว แม้บทเดียวก็ให้ประโยชน์มหาศาล คงพอจะเป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติแก่ท่านที่สนใจ ก่อนจบ ขอฝากธรรมบทบทหนึ่งไว้เตือนใจผู้อ่านว่า
วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่ผู้ไม่ทำตาม
เหมือนดอกไม้งาม มีสีสวย (แต่) ไม่มีกลิ่น
วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ทำตามด้วยดี
เหมือนดอกไม้งาม มีทั้งสีและกลิ่น (มีสีสวยกลิ่นหอม) ฉะนั้น ฯ
บรรณานุกรม
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี. กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๐.
คณะกรรมการแผนกตำรา. มหามกุฏราชวิทยาลัย.
พระธัมมปทัฏฐกถาแปลภาค ๑-๘. กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๘.
เสฐียรพงษ์ วรรณปก. พุทธวจนะในธรรมบท. กรุงเทพฯ
: อมรินทร์ปรินท์ติ้ง จำกัด, ๒๕๓๑.
สหภูมิสงฆ์พิจิตร, คาถาพระธรรมบทคำกลอน. กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, ๒๕๓๑.
อักษรย่อชื่อคัมภีร์
ม.ม. มัชฌิมนิกาย มัชฌินปัณณาสก์
สํ.ม. สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
ขุ.ธ.อ. ขุททกนิกาย ธัมมปทัฏฐกถา
วิสุทฺธิ. วิสุทฺธิมคฺค
:http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_11-2.htm
-
http://youtu.be/jV3fosv8Sss (http://youtu.be/jV3fosv8Sss) Sompong Tungmepol Uploaded on Sep 20, 2011
http://metta.exteen.com (http://metta.exteen.com),เมตตาธรรมค้ำจุนโลก