(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/856/24856/images/S6003828.gif)
เรื่องย่อในพระธรรมบท (จิตตวรรค)
เรื่องพระเมฆิยเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่ภูเขาจาลิกา ทรงปรารภท่านพระเมฆิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ เป็นต้น
ในขณะนั้น พระเมฆิยเถระเป็นพระอุปัฏฐากพระศาสดา มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากกลับจากบิณฑบาตมา พระเถระเห็นสวนมะม่วงมีความร่มรื่นและสวยงาม มีความคิดว่าเป็นสถานที่เหมาะที่จะปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน พระเถระได้ทูลขอพระอนุญาตจากพระศาสดาที่จะไป ณ ที่นั้น แต่ด้วยว่าขณะนั้นพระศาสดาประทับอยู่ตามลำพัง พระองค์จึงตรัสว่าให้รออยู่ก่อนจนกว่าจะมีภิกษุอื่นเดินทางมาถึง แต่พระเถระรีบร้อนที่จะไปมาก จึงได้ทูลอ้อนวอนขอพระอนุญาตอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดพระศาสดาตรัสบอกให้ไปได้ตามความปรารถนา
จากนั้น พระเมฆิยเถระได้เดินไปที่สวนมะม่วง แล้วไปนั่งเข้าสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง พระเถระไปนั่งอยู่ที่นั่นทั้งวัน แต่จิตของท่านไม่สงบ ทำให้ไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติสมาธิ ท่านจึงเดินทางกลับในตอนเย็น แล้วทูลให้ศาสดาได้ทรงทราบว่า ตลอดเวลาทั้งวันท่านถูกครอบงำโดยวิตกทั้ง 3 คือ กามวิตก(ความตรึกในทางกาม) พยาบาทวิตก(ความตรึกในทางพยาบาท) และวิหิงสาวิตก(ความตรึกในทางเบียดเบียน)
ดังนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะพระเมฆิยเถระว่า จิตดิ้นรน กลับกลอกง่าย บุคคลพึงควบคุมจิตของตนให้ดี
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 33 และพระคาถาที่ 34 ว่า
ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ
ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชํ กโรติ เมธาวี
อุสุกาโรว เตชนํฯ
(อ่านว่า)
ผันทะนัง จะปะลัง จิดตัง
ทุรักขัง ทุนนิวาระยัง
อุชุง กะโรติ เมทาวี
อุสุกาโรวะ เตชะนัง.
(แปลว่า)
จิตดิ้นรน กลับกลอก
รักษายาก ห้ามยาก
ผู้มีปัญญาทำให้ตรงได้
เหมือนช่างศรดัดลูกศร.
วาริโชว ถเล ขิตฺโต
โอกโมกตอุพฺภโต
ปริผนฺทติทํ จิตฺตํ
มารเธยฺยํ ปหาตเวฯ
(อ่านว่า)
วาริโชวะ ถะเล ขิดโต
โอกะโมกะตะอุบพะโต
ปะริผันทะติทัง จิดตัง
มาระเทยยัง ปะหาตะเว.
(แปลว่า)
จิตนี้ย่อมดิ้นรน
เมื่อถูกนำออกจากกามคุณ
เพื่อจะให้ละบ่วงของมาร
เหมือนกับปลาดิ้นรน
เมื่อถูกยกขึ้นจากน้ำมาไว้บนบก
ดิ้นรนเพื่อจะกลับคืนสู่น้ำอีก.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พระเมฆิยเถระได้บรรลุพระโสดปัตติผล ส่วนชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็ได้บรรลุพระอริยผล มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
Pics by : http://www.oknation.net/blog/sarattatham/2010/01/03/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/sarattatham/2010/01/03/entry-1)
(http://travel.sanook.com/story_picture/m/09157_004.jpg) เรื่องพระโสไรยเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภนายโสไรยะ บุตรของเศรษฐีแห่งเมืองโสไรยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น ตํ มาตา ปิตา กยิรา เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง นายโสไรยะพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ได้นั่งรถม้าคันหรูจะไปอาบน้ำกัน ในขณะนั้นเองพระมหากัจจายนเถระได้มาผลัดผ้าสบงจีวรอยู่ที่นอกเมือง ขณะที่ท่านกำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง นายโสไรยะหนุ่มแลเห็นผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองคำของพระเถระแล้วคิดในทางที่ไม่ดีว่า “เราอยากให้พระเถระมาเป็นภรรยาของเรา หรือมิฉะนั้นก็ให้ผิวพรรณของภรรยาของเราเหมือนกับผิวพรรณของพระเถระนี้” ขณะที่ความปรารถนาในทางอกุศลเช่นนี้เกิดขึ้นกับนายโสไรยะ เพศชายของเขาก็ได้หายไป เพศหญิงเกิดขึ้นมาแทนที่ นายโสไรยะมีความละอายจึงลงจากรถม้าวิ่งหนีไปทางถนนที่จะไปสู่เมืองตักกสิลา พวกเพื่อนๆที่มาด้วยเห็นเขาหายไป ก็ได้พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ
ข้างนายโสไรยะ ซึ่งตอนนี้กลายเพศมาเป็นหญิงแล้ว ได้ถอดแหวนที่อยู่ที่นิ้วมือของตนยกให้พวกคนที่กำลังจะเดินทางไปเมืองตักกสิลา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่นางจะได้ขอร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย พอเดินทางไปถึงเมืองตักกสิลา พวกเพื่อนร่วมทางได้แนะนำตัวนางโสไรยะให้รู้จักกับบุตรเศรษฐีที่เมืองตักกสิลาคนหนึ่ง บุตรเศรษฐีเห็นว่านางโสไรยะสะสวยงดงามมากและมีอายุเหมาะสมกับตนจึงได้ขอแต่งงานด้วย เมื่อแต่งงานอยู่กินกันทั้งสองสามีภรรยานี้ก็มีบุตรด้วยกัน 2 คน ส่วนบุตรอีกสองคนของโสไรยะในตอนที่เป็นเพศชายนั้นก็มี 2 คนเท่ากัน
วันหนึ่ง บุตรของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะผู้หนึ่งได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาพร้อมด้วยกองคาราวานเกวียน 500 เล่ม นางโสไรยะจำได้ว่าบุตรเศรษฐีคนนี้ก็คือเพื่อนเก่าของนางในสมัยที่นางเป็นเพศชาย จึงได้ส่งคนไปเชิญเขามาที่บ้าน บุตรเศรษฐีจากเมืองโสไรยะมีความประหลาดใจที่ได้รับเชิญเพราะว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงที่มาเชิญมาก่อน เขาได้บอกกับนางโสไรยะว่าเขาไม่รู้จักกับนางมาก่อน และสอบถามว่านางรู้จักเขามาก่อนหรือไม่ นางโสไรยะตอบว่านางรู้จักเขาและก็ยังได้สอบถามถึงคนในครอบครัวของนางและคนอื่นๆในเมืองโสไรยะด้วย ชายที่มาจากเมืองโสไรยะจึงได้เล่าเรื่องบุตรชายของเศรษฐีได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะนั่งรถจะไปอาบน้ำ พอถึงตอนนี้นางโสไรยะก็ได้บอกว่าตนนี่แหละคือบุตรของเศรษฐีคนนั้น และนางได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่านางมีความคิดที่เป็นอกุศลต่อพระมหากัจจายนะทำให้เพศชายหายไปเพศหญิงเกิดขึ้นแทนที่ นางได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาและได้มาแต่งงานกับบุตรชายเศรษฐีที่เมืองตักกสิลานี้ ชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้แนะนำให้นางโสไรยะไปขอโทษพระมหากัจจายนเถระเสีย ต่อมาพระมหากัจจายนเถระก็ได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารที่บ้านของนางโสไรยะ หลังจากที่พระเถระฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางโสไรยะก็ถูกนำตัวออกมาอยู่เบื้องหน้าของพระเถระ และชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้เรียนพระเถระว่า นางโสไรยะผู้นี้เมื่อครั้งอดีตคือบุตรชายของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะ เขาได้บรรยายความให้พระเถระฟังต่อไปว่า ที่นางโสไรยะกลายเพศมาเป็นหญิงนี้ก็เพราะมีอกุศลจิตต่อพระเถระ จากนั้นนางโสไรยะก็ได้กราบขอขมาพระเถระ พระเถระได้กล่าวขึ้นว่า “จงลุกขึ้นเถิด เราให้อภัยแก่ท่านแล้ว” ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมาจากปากของพระเถระ นางโสไรยะก็มีเพศกลับมาเป็นชายดังเดิม นายโสไรยะเมื่อกลับมามีเพศชายได้เช่นนี้ ก็เกิดความแคลงใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ในชาติเดียวกันนี้คนๆเดียวจะเปลี่ยนเพศได้ และเป็นไปได้อย่างไรที่เขาสามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้ เป็นต้น เขามีความรู้สึกสงสัยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเหล่านี้มาก จึงได้ตัดสินใจสละชีวิตฆราวาสออกบวชเป็นพระภิกษุ โดยมีพระมหากัจจายนเถระเป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากที่พระโสไรยะบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็มักถูกตั้งคำถามเสมอๆว่า “ระหว่างบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นชาย กับบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิง ท่านรักบุตร 2 คนไหน” ท่านได้ตอบคำถามของคนที่มาถามเหล่านี้ว่า ท่านรักบุตรที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิงมากกว่า มีคนถามคำถามนี้กับท่านบ่อยมาก จนท่านรู้สึกรำคาญและละอายใจที่จะตอบ ดังนั้นท่านจึงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงัด และได้มุ่งมั่นปฏิบัติสมณธรรมโดยเพ่งพินิจความเสื่อมและความสลายไปของร่างกาย ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย คราวนี้เมื่อมีคนนำคำถามเดิมๆมาถามท่านอีก ท่านก็ได้ตอบว่า ท่านไม่มีความรักกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อภิกษุอื่นๆได้ฟังท่านพูดเช่นนี้ก็คิดว่าท่านพูดโกหก เมื่อพระภิกษุทั้งหลายนำความที่พระเถระเปลี่ยนแปลงคำพูดมากราบทูล พระศาสดาได้ตรัสว่า “บุตรของเรามิได้กล่าวเท็จ แต่ได้พูดความจริง ที่คำตอบของบุตรของเราต่างไปจากเดิมนั้น ก็เพราะว่าบัดนี้บุตรของเราได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว เพราะฉะนั้นบุตรของเราจึงไม่มีความรักสำหรับผู้ใดโดยเฉพาะอีกต่อไป จิตที่ตั้งไว้ดีแล้วของบุตรของเราก่อให้เกิดผลดีที่บิดาหรือมารดาก็ไม่สามารถนำมาให้ได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 43 ว่า
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา
อญเญ วาปิจ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ
เสยฺยโส นํ ตโต กเรฯ
(อ่านว่า)
นะ ตัง มาตา ปิตา กะยิรา
อันเย วาปิจะ ยาตะกา
สัมมาปะนิหิตัง จิดตัง
เสยยะโส นัง ตะโต กะเร ฯ
(แปลว่า)
มารดา บิดา ก็ทำให้ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้
แต่จิตที่ตั้งไว้โดยชอบแล้ว
ทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้ดีกว่าด้วย.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKFB6lLQkha_NdCJ7sOE_WGl3_MZKgLlh0-5Yd9m08PsHozF4lhg)
นำมาแบ่งปันโดย :
one mind :http://agaligohome.com/index.php?topic=4601.0
Pics by : -http://www.chula-alumni.com/forum/forum_postpop.asp?FID=3&TID=507&PN=1&TPN=1
:Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ