ใต้ร่มธรรม

แสงธรรมนำใจ => ดอกบัวโพธิสัตว์ => ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น => ข้อความที่เริ่มโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:47:17 pm

หัวข้อ: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:47:17 pm

                (http://greanpic.com/images/2/db0de-15185.gif)
ยักคิ้ว กระพริบตา เกี่ยวกับ เซนตรงใหน
เริ่มโดย (O - O)


ข้าพเจ้าปล่อยให้เขายักคิ้วและกระพริบตา
ข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้เขายักคิ้วและกระพริบตา
ถูกต้อง ข้าพเจ้าปล่อยให้เขายักคิ้วและกระพริบตา
ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าปล่อยให้เขายักคิ้วและกระพริบตา

มีพระรูปหนึ่ง ฟังแล้วบรรลุธรรม มันงงน่ะ
(O – O)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:48:10 pm

งง ก็งงสิขอรับ

ข้าพเจ้าปล่อยให้เขางง
ข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้เขางง
ถูกต้องข้าพเจ้าปล่อยให้เขางง
ไม่ถูกต้องข้าพเจ้าปล่อยให้เขางง

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:49:24 pm

เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ
ทุกอย่างเราไม่สามารถที่จะบังคับให้ทำตามได้ เพราะยังไงยังไง เค้าก็จะทำอยู่ดี
บางครั้งเราอยู่เฉยๆเค้าก็ทำ บอกกล่าวห้าม เค้าก็ทำ ถ้าห้ามก็ผิด ไม่ห้ามก็ผิด ดังนั้น ปลงซะดีกว่า
ก็เลย บรรลุธรรมมั้งครับ

อิอิ ความคิดส่วนตัว ไม่ได้อ้างอิงจากไหนนะครับ ขอรับผิดชอบเพียงคนเดียว
อ่านอีกที ก็งง ว่าผมเองพิมพ์ ไปได้ไง
ขอบคุณครับ คุณO - O กับ คุณขาจรจัดได้แง่คิด ดี..จัง

ขอบคุณอกาลิโกคร๊าบบ
(facehot)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:50:27 pm

ขอรับ
ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเรา เราไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลย
แม้แต่การยักคิ้ว กระพริบตา

บางคนมีความคิดว่า สามารถบังคับได้ การบังคับให้กระพริบตาหรือยักคิ้วเป็นเพียงความคิดว่าบังคับได้ แต่ความจริงอันเป็นปรมัตถ์แล้วก็บังคับไม่ได้อยู่ดีแม้แต่วินาทีเดียวครับ

เค้าเรา แยกขาดจากกันแต่ใหนแต่ไรเค้า(ร่างกาย) จะเคลื่อนใหวออโตเมติดตามเวลาเท่านั้นครับ
แต่เพราะความคิดครับ จึงคิดว่าบังคับได้
ความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้แม้แต่อย่างเดียวครับ
แม้แต่การพิมพ์มาของคุณ Face
โดยความเป็นจริงแท้ไม่สามารถบังคับร่างกายได้เลย แม้แต่วินาทีเดียว

คุณเห็นความ งงใหมครับ
ความงง เป็นการเห็นและรู้อย่างไม่มีอะไรห่อหุ้มหรือพัวพันเรียกว่าเห็นจริง
งง ก็รู้ว่า งง
ก็เท่านั้น
ไม่คิดไม่ปรุงแต่ง หาสาเหตุ ว่าทำไม ถึง งงไมหาสาเหตุ ว่าทำไงถึงเข้าใจ

เช่น กระพริบตา ก็รู้ไม่ห้ามไม่บังคับ
ยักคิ้ว ก็รู้ ไม่ห้ามไม่บังคับ
งง ก็รู้ไม่ห้ามไม่บังคับ
คิดก็ รู้ไม่ห้าม ไม่บังคับ
ไม่คิด ก็รู้ ไม่ห้ามไม่บังคับ

อยู่กับ รู้ อย่างเดียวคือวิธีที่จะทำให้เข้าถึงพุทธะได้เร็ว แบบฉับพลันครับ
(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:52:12 pm

ตอบกระทู้ขอรับ

เกี่ยวกับเซนนิดนึงขอรับ
แต่ไม่เกี่ยวกับจิตเดิมแท้เลยขอรับเพราะจิตเดิมแท้ ปราศจากเครื่องเกี่ยว เครืองร้อยรัด ทั้งปวงขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:56:48 pm

สาธุค่ะ
ที่คุณขาจรจัดโพสต์
หาคนที่อธิบายอย่างเซน แบบนี้ได้ยากแท้

งง ก็ งง สิ

เห็น งง โดยไม่มีสิ่งห่อหุ้มพัวพัน เรียกว่าเห็นจริง
งง ก็รู้เพียงว่า งง

เห็น งง โดยไม่มีสิ่งห่อหุ้มหรือพัวพัน เห็น งง เป็นเฉกเช่นความว่าง
ไม่ได้เห็นความแตกต่างว่า งง หรือ ว่าง
ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่า งง หรือว่าง เรียกว่าเห็นแจ้ง
เห็น งง จึงไม่เห็น งง
เห็น งง จึงเห็น ว่าง
งง และ ว่าง เป็นสิ่งๆเดียวกัน นั่นคือเห็นแจ้ง

การยักคิ้วและการกระพริบตา การเคลื่อนใหวทั้งหมดเป็นอัตโนมัติ อย่างแท้จริง
การเคลื่อนใหวของขันธ์ห้าทั้งหมดเป้นอัตโนมัติอย่างแท้จริง
จิต เจตสิก ย่อมเคลื่อนใหวเป็นอัตโนมัติอย่างแท้จริง
ไม่มีสักอย่างเดียวที่จะสามารถบังคับบัญชาได้แม้แต่น้อย

เพราะความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ที่ยึดถือและหลง จึงเพียรพยายาม
ที่จะบังคับในสิ่งที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้แม้แต่น้อย

พฤติกรรมทางจิตทั้งหมดจึงทำให้หล่นสู่ความผิดพลาดและถอยห่าง
ออกจากความเข้าใจในสิ่งสูงสุดมีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 12:59:56 pm

ปลุกจิต กระแทกจิต ชี้เข้าไปที่จิต
คือ ไม่ต่างกับ พระอาจารย์เซน ใช้ตีนถีบแล้วบรรลุธรรมหรอกขอรับ
แต่แทนที่จะใช้ตีนถีบ แกใช้ ประโยค คำ วลี ถีบแทน

ประโยคผกผันหลุดโลก คิดต่อไม่ได้ ทุบสันหลังศิษย์ จิตหยุดกึก
เหมือน เจอเสาเหล็กแท่งโต ขวางหน้า ความคิดไปต่อไม่ได้

ถ้าศิษย์พร้อม ก็ จิตตื่นโพลง บรรลุธรรม
ถ้าไม่พร้อม หงายหลังผึ่ง

เช่น
ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : แมวกำลังปีนเสา

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : ต้นสนในสวน

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : นั่งนานก็เหนื่อยนะ

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : ไม่พูด แต่ ใช้ไม้ตี

(มดเอ๊ก)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:02:35 pm

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : ไม่พูด แต่ ใช้ไม้ตี
 :39:
แล้วศิษย์ก็ถามต่ออีกนะถามต่อนะขอรับ

ศิษย์ก็ถามต่อ : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ :

ศิษย์ก็กามต่ออีก : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ :

ตอบว่าอะไรขอรับ
(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:08:48 pm

ความแตกต่างของคณาจารย์เซนทั่วไป และท่านสังฆปรินายก ที่ผู้ศึกษา และสอนเซน
หรือกล่าวถึงเซนควรทำความเข้าใจ ให้ชัดแจ้ง

"ออหลุนมีวิธีและเครื่องมือ
ที่จะกั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง
เมื่ออารมณ์ต่างๆมิได้กลุ้มรุมจิต
ต้นโพธิ์จะงอกงามอย่างเป็นล่ำสัน"

-ออหลุน-
................................................

"เว่ยหล่างไม่มีวิธีและเครื่องมือ
ที่จะกั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง
อารมณ์ต่างๆย่อมกลุ้มรุมจิตข้าพเจ้าอยู่เสมอ
และข้าพเจ้าสงสัยว่าต้นโพธิ์จะงอกงามได้อย่างไรกัน"

-เว่ยหล่าง- ท่านสังฆปรินายก
...........................................................

โศลกนี้จะให้เห็นความแกต่างที่ชัดเจน
นี่คือความแตกต่างอันมหาศาลระหว่างการสอนของคณาจารย์เซนทั่วๆไป
กับ ท่านสังฆปรินายก

โดยธรรมดาแล้ว ผู้คนทั้งหมด ผู้ที่เอ่ยอ้างเซนทั้งหมดมักจะเข้าใจกันว่า
 เป็นเซนเหมือนกันซึ่ง เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์

ท่านสังฆปรินายกทุกพระองค์ไม่มีวิธีอื่นใด ไม่มีแบบใดๆนอกจาก
ถ่ายทอดจากจิตสู่จิตเท่านั้น
อาจเรียกว่าแบบฉับพลัน แต่โดยความจริง ไม่ได้มีแบบใดๆ

และ จากคำพูดคำว่า "จิตสู่จิตนี้ " หลายๆคน จึงคิดกันไปเองว่า เป้นวิธีหรือมีวิธี
จึงมีการสร้างวิธีต่างๆออกมาอีก 84000 วิธี เนื่องจากไม่เข้าใจในคำพูดนั้น

การถ่ายทอดจิตสู่จิตนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับวิธีใดๆ การปลุกจิตการะชี้ไปที่จิต หรือการกระแทกจิต
จัดว่าเป็นวิธี ดังนั้นท่านสังฆปรินายกจึงกล่าวว่า
พฤติกรรมทางจิตทั้งหมดจะยิ่งทำให้หล่นไปสู่ความผิดพลาด

มีวิธีเดียวเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น

(น้องมารน้อย)

หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:16:38 pm

สาธุๆๆ ขอรับครับคุณน้องมารน้อย

ผมเองก็ศึกษาปฎิบัติตามแนวหลวงปู่ดุลย์ และวัดสนามในกับทับมิ่งขวัญของหลวงพ่อเทียนมานาน
อยู่ในแวดวงของเซน และมหายานมา หลายสิบปี
เคยเข้าไปประลองยุทธมาหลายเวป ทั้งลานธรรม พลังจิต หรือที่ต่างๆ
มานานจนกระทั่งถูกอัปเปหิออกมา เลยหยุดแสดงความเห็นมานาน
มาได้เจอคุณมารน้อยและคุณน้องมารน้อยรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาในคำตอบ
หลายๆข้อที่ได้โพสต์มาทั้งหมด รู้สึกอึ้งไปที่เห็นการโพสต์คำตอบสั้นๆ
ที่แสดงออกมา ในความเป็นปรมัตถ์จนต้องออกปากชมอยู่ในใจว่า ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

โศลกนี้ ผมได้อ่านผ่านหูผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วนขอรับ
แต่ก็ไม่เคยได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ของสังฆปรินายก และคณาจารย์เซนแบบนี้
ไม่เคยเจอบทความบทวิเคราะห์ใดๆของใครเลยที่ชี้ความแตกต่างเรื่องนี้ได้ชัดเจน
เพียงแค่ไม่กี่บรรทัดที่แสดงมาความสับสนของคำสอน หายมั่วไปโล่งเลยขอรับ
ทำให้แยกได้ชัดเจนเลยขอรับ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เคยพบเห็นมา ขอรับ
สอดคล้องแนวของหลวงปู่ดุลย์และหลวงพ่อเทียนได้อย่างเห็นได้ชัดเลยขอรับ

มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:21:57 pm

ขออนุญาตค่ะคุณขาจรจัด

แวดวงใหนหรือสำนักใหน ก็ไม่พ้นขอบเขตแห่งพุทธะไปได้
สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการศึกษาเซน ก้อแค่สมมุติว่าสำคัญที่สุด
ถึงจะมีเพียงแต่เข้าใจก็ไม่มีอะไรเลย
มีเพียงจิตหนึ่งเท่านั้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:23:18 pm

ขออนุโมทนาสาธุกับ คุณน้องมารน้อยคุณ ขาจรจัด ด้วยครับ
พูดอะไรที่ลึกซึ้งให้เข้าใจได้ยังไง ? งงจังเลย

เลยไปกราบมนัสการถามหลวงพ่อที่วัดข้างบ้านว่า
จิตหนึ่งคืออะไร? ครับหลวงพ่อ?
หลวงพ่อตอบว่า บ้า
เลยยิ่ง งงใหญ่ เลยครับ

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:30:44 pm

ถูกแล้วที่ครูเว่ยหล่างกลับไม่มีวิธีอันใด แล้วต้นโพธิจะงอกได้อย่างไร พระพุทธองค์ก็ใช้วิธีนี้ในการตรัสรู้เหมือนกัน อย่าลืมสิหนทางหลุดพ้นมี"ทางเดียว"เท่านั้น พวกอริยชนทั้งหลายต่างก็เดินบนเส้นทางนี้กันถ้วนหน้า พวกเซนหากมองดูแบบผิวเผิน อาจมองดูเหมือนพวกเล่นลิ้นแต่ที่จริงของแท้ทั้งนั้น เป็นเพราะ "ความไม่ตกผลึกในธรรม" ของคุณมากกว่าถึงไม่ได้ชิมแกงรสชาดกระแสพระนิพพาน "กระแสพระนิพพาน" ก็คือกระบวนการคลายกำหนัดอย่างแท้จริง ออหลุนยังติดลูกเอาจิตไปสาละวนปรุงแต่งในธรรมอยู่ ก็เหมือนชินเชาที่คอยปรุงแต่งว่า "มีเรา มีกาย มีจิต มีความเพียรคอยหมั่นเช็ดถูกระจก แถมยังเอาจิตลงไปบัญญัติอีกว่า มันจะมีฝุ่นละอองที่ใหนลงมาจับกระจก"

ทั้งปวงก็คือจิตที่ยังปรุงแต่งในธรรมว่า "มีเรา" เรามีวิธีหลุดพ้น เรามีสติสมาธิ ปัญญาดูดีนะแต่สอบตก เป็นได้แค่กัลยาณชนผู้ที่เดินทางมาถึงประตูแห่งพระนิพพาน แต่ไม่มีปัญญาก้าวข้ามประตูเข้าไป หมดสิทธิ์เข้าถึงสภาวะของอริยชนทั้งหลาย มันเป็น "อวิชชาซ้อน" การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรมล้วนแต่เป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น หากเข้าใจหลักที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ก็จะตัดลูกลังเลสงสัยออกได้ทันที ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็น "ลัทธิแว่นส่องสมาธิและปัญญาไป" เหมือนกับที่ครูฮวงโปเคยกล่าวไว้ กว่าจะดับได้กว่าจะว่างได้จะต้องเข้าไปปรุงแต่งลูบๆคลำๆก่อนทำไมว่ามันคืออะไรกับอะไรและต้องใช้วิธีอะไรเข้าไปจัดการ ฮวงโปท่านเปรียบเปรยไว้ว่า "เหมือนสุนัขที่มันเห่าแม้กระทั้งใบตองที่มันกระดิกเพราะถูกลมพัดมาเล็กน้อย" สาธุ (จาก... อสูรแก่สุชัมบดี)

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:34:56 pm

เก่งจริงๆคุณน้อง"มารน้อย" ขอชมจากใจจริง ขอให้หมดจดในชาตินี้เลยนะ เห็นชื่อคุณแล้วนึกถึง "นางสุชาดามารอสูร" ธิดาของเจ้าอสูรเวปจิตติ นางผู้มีปัญญาซึ่งนางได้เป็นคู่อธิษฐานของท่านท้าวสักกะ อยู่ด้วยกันที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นด้วยนะที่การที่เอาจิตเข้าไปตกแต่งเป็นความผิดพลาดทั้งปวง นักภาวนายุคนี้ส่วนใหญ่ติดปรุงแต่งในธรรม เหมือนเส้นผมบังภูเขาอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า "การพิจารณา การตั้งใจ การจงใจ การเด็ดเดี่ยวฯลฯ" ก็อย่าให้มี ถึงมีก็ไม่เที่ยง ดับในตัวมันเอง ทั้งนี้เป็นการปรับไปสู่กระบวนการ "ความหยุดโดยสมบูรณ์" ของจิตโดยแท้จริงเป็นความดับสนิทแบบไม่มีเหลือ นี่แหละคือ "จิตหนึ่งหรือจิตเดิมแท้" อีกนัยหนึ่งก็คือ "ตถตา" มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง แต่อย่าเข้าไปแบกอีกนะว่ามันคือ ตถตา กลับคืนสู่ธรรมชาติล้วนๆ (มารน้อยช่วยติดต่อผมทางอีเมล์ด้วย อยากได้ไว้เป็นกัลยาณมิตรทางธรรมจาก....อสูรแก่สุชัมบดี)

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 07, 2011, 01:43:15 pm

สวัสดีขอรับทุกๆท่าน
สวัสดีขอรับคุณเม็ดทราย

ยิ่งคิดยิ่งบ้า ยิ่งคิดยิ่ง งง
ฟังเฉยๆ เห็นเฉยๆ รู้เฉยๆ ได้ยินเฉยๆ ไม่สำคัญมั่นหมาย ทั้งดี หรือร้ายไม่คิดตาม ไม่ปรุงแต่งตาม ก็ไม่บ้า ไม่ งง ขอครับ

(ขาจรจัด)

(http://a1.l3-images.myspacecdn.com/images01/89/657655c53d34bfd08643444c3c8f043b/l.gif)
(http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2008/12/Y7275355/Y7275355-10.gif): http://agaligohome.com/index.php?topic=4466.0 (http://agaligohome.com/index.php?topic=4466.0)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 07, 2011, 10:54:21 pm
จำได้ตอนอยู่อกาลิโก ไม่คิดว่า จะได้อ่านอีกครั้งครับ ขอบคุณครับพี่แป๋ม :06:
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:16:07 pm

....................
....................
....................
....................
(หุบปากให้สนิท ไม่ต้องกล่าวอะไรเลยก็ได้ หากเข้าใจ... เซน)

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:30:06 pm

ที่จริงหุบปากก็ดีขอรับ

วันนี้จะมาเล่าเรื่องจิตหนึ่งขอรับ
โน้มน้าวเป็นวิธีเหมือนกัน เพื่อให้ผู้ไม่เคยเห็นและรู้จักจิตหนึ่งได้พอเห็นชัดขึ้นขอรับ

ทิ้งความคิดเก่าๆลงก่อนทำใจว่างๆก่อนนะขอรับเปิดใจฟังสบายๆนะขอรับ

ชาวโลกขี้สงสัยกัน ก็ยังไม่เข้าใจ คิดกัน ว่ามีอะไรอย่างอื่น มีวิธีอื่นๆเป็นตุเป็นตะ
เป็นเพราะความคิด เป็นความปรุงแต่งที่ตนเองไม่เคยรู้เลย


สมมุติว่าเย็บปากให้สนิท หรือเอาปลาสเตอร์ปิดปากใว้ ปิดปากเงียบลืมตาก็ได้หลับตาก็ได้ แล้วเฝ้ามองแต่จิต นะขอรับ เหมือนการดูจิต หรือการเจริญสติ แบบความเคลื่อนใหว หรือนั่งสมาธิสมถะ หรือวิปัสสนา ทั่วๆไป

จะเห็นจิตที่คอยเปิดปากพูดคอยเปิดปากแสดงความคิดเห็น คอยเปิดปากแสดงความรู้ทั้งหมด แสดงความเห็นต่างๆ ชัดขึ้น

*******ขอให้เข้าใจอย่างหนักแน่น ก่อนอื่นว่า
สิ่งที่จิตแสดงออกมาให้เห็น ให้ปรากฎ ทั้งหมด เป็นของไม่จริงทั้งสิ้นแม้จิตที่กำลังวิปัสนากำลังปรากฎอยู่ ก็ไม่จริงทั้งสิ้นขอรับ*********

*****ไม่ว่าจิตจะโน้มน้าวอย่างไร ไม่ว่าจิตจะสวมรอยแสดงความเป็นเราอย่างไรเป็นของปลอม เป็นมายา เกิดขึ้นดับไปทั้งสิ้น บังคับไม่ได้เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ขอรับ *******

แม้นจิตจะพยายามสร้างภาพต่างๆ วิเศษอย่างไร พยายาม หลอกมาว่าเชื่อฟังคำสั่ง ยอมทำตาม ก็ไม่ใช่ เช่นจิตแบบนึงบอกว่าเงียบจิตอีกจิตยอมเงียบตาม แต่ก็พักเดียวเท่านั้น
จิตนึงทำเบื่อออกมา จิตอีกแบบทำท่าปลอบใจ จะสอนจะอธิบายก็ไม่ใช่ทั้งคู่ขอรับ

ผู้ที่ ยิ่งผ่านการฝึกฝนการฎิบัติมามาก มานาน
จิตแบบนึงบอกให้เงียบ จิตอีกแบบก็แสดงความเงียบฉี่นานๆให้หลงไปตามว่าเป็นเพราะการปฎิบัติ ก็ไม่ใช่ขอรับมีอีกจิตนึงแสดงออกมาอีกว่า การปฎิบัติสามารถบังคับจิตได้ ก็ไม่ใช่ขอรับจิตอีกแบบนึงก็สรรหาการปฎิบัติต่างๆนาๆมาหลอก ก็ไม่ใช่อีกขอรับ

แม้นจิตจะแสดงภาพพระพุทธเจ้า สรรพรังสีสวยงามขนาดใหน ก็ไม่ใช่ ขอรับ
จิตของพระโพธิสัตวสุภูติจึงไม่เห็นหรือสำคัญลักษณะใดๆ ของพระพุทธเจ้าเลย

หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของจิตทั้งหลาย คือพยายามทุกวิถีทางที่จะให้หลง และให้ติดอยู่กับจิตให้นานที่สุด
แสดงชั่วให้หลงไม่ได้ ก็แสดงแต่สิ่งดีๆจนหลงไปอีก

คนเย็บปาก ก็ละจิตแบบ ชั่ว ไปติดจิตแบบ ดี อีกก้อถูกหลอกวันยังค่ำจะปฎิบัติอย่างไร ก็ไม่ถึงสักที
เพราะจิตจะพยายามหลอกลวงนอกจากหลอกคนที่เย็บปากแล้วจิตยังหลอกลวงกันเองอีก ขอรับ

จิตแสดงความหลอกลวงตลอดเวลา พยายามอย่างเต็มที่ให้หลงในจิตเช่นหลอกว่าจิตนี้เป็นผู้สอน จิตนี้เป็นผู้ทำตาม จิตนึงคอยเชียร์จิตนึงคอยตัดสิน จิตนึงฟันธง เป็นของปลอมทั้งนั้นขอรับ

บ้างก็หลอกว่าจิตนี้เป็นเรา อีกจิตไม่ใช่เรา จะแสดงบทหักล้างกันเองทะเลาะกันเองบ้าง เห็นดีเห็นงามกันเองบ้าง ชมกันเองบ้างจิตนี้แสดงความเห็นแจ๋วไปเลย ก็ไม่ใช่ ของไม่จริงทั้งนั้น ขอรับ

ให้ดูให้ดีๆนะขอรับจิตหลายๆแบบจะแสดงอย่างไร ทั้งกุศล หรืออกุศลต่างก็ไม่ใช่ของจริงทั้งสิ้น

*****แต่มีอย่างหนึ่งจริง อย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ ดูอย่างเดียว เห็นอย่างเดียว ไม่ได้เกี่ยวกับจิตที่แสดงนั้นๆเลย *****

*******สิ่งนั้นจะรู้ตลอดเวลา เงียบก็รู้ จิตอ้าปากแล้วก้รู้จิตทะเลาะกันแล้วก็รู้ จิตปรองดองกันแล้วก็รู้ จิตดีใจกันก็รู้จิตแสดงอัจฉริยะก็รู้ จิตแสดงลามกโง่เง่าก็รู้ แล้วสิ่งนั้นรู้

จิตที่แสดงเหล่านั้นไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล จะเกิดดับและแสดงบทตามเวลาเท่านั้นจะบังคับไม่ได้เลยขอรับ

ที่จิตเหล่านั้นแสดงมาทั้งหมดเพื่อให้หลงเท่านั้น แสดงชั่วหลงไม่ได้ก็แสดงเป็นพระเอก เหมือนเล่นละครให้หลง หน้าที่ทั้งหมดของจิตเหล่านั้นทำทุกกระบวนท่าเพื่อให้หลงเท่านั้น ขอรับ

จิตแบบนึง จะแสดงความคิดว่าบังคับจิตอีกจิตจะแสดงตามคำสั่งทั้งนี้เป็นการหลอกให้หลงทั้งสิ้น
คนที่หลงเพราะไม่เคยเห็นจิตหนึ่งเลยก็เลยคิดว่าบังคับได้เพราะไม่เข้าใจคำว่าอนัตตา จริง

ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่บังคับจิตได้ แม้แต่วินาทีเดียวเหมือนกันกับร่างกาย แม้การกระพริบตาก็ไม่มีใครบังคับได้แม้แต่นิดเดียวจึงดูความเป็นอัตโนมัติที่จิตทั้งหลาย แสดงออกมา อย่างเดียว ขอรับ

เพราะความเป็นอนัตตาของจิตในปรมัตถ์จริงๆ ไม่มีใครบังคับอะไรได้ แม้แต่คนเดียว
ทุกอย่างเป็นเพียงอัตโนมัติ เหมือนโปรแกรมที่รันไปเองเรื่อยๆถึงเวลาก็โหลดไฟล์แบบนึง เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา เป็นไฟล์ที่โหลดมาเองทั้งหมดเป็นอัตโนมัติ ขอรับ

เฝ้าดูไป ว่าเวลานี้ วินาทีนี้ จิตเหล่านั้น แสดงอะไรกันออกมาซึ่งจิตตัวที่แสดงกัน ให้เห็น ถึงจะแสดงสมเหตุสมผลแสดงให้จิตอีกจิตคล้อยตามกันได้ ทั้งหมดก็ไม่เคยเป็นของจริงแม้แต่นิดเดียว

*** มีอย่างเดียวเท่านั้น ที่ดู เห็น และรู้ว่าจิตอื่นๆทำอะไรกันอยู่ ไม่ได้ไปแสดง ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง นั่งดูอยู่เฉยๆ ***

นั่นคือจิตหนึ่งขอรับ

เมื่อรู้จักจิตหนึ่งจริงๆแล้วจิตที่แสดงทั้งหมดจะหลอกอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวขอรับ
เห็นจิตเหล่านั้นบ่อยๆมากๆขึ้น จึงละหลง จิตที่แสดงทั้งหมดได้ ขอรับ
จึงไม่มีอะไรเลยขอรับ
มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นขอรับ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:31:43 pm

น้องมารน้อยพูดขอรับ แปลกดีใหมค่ะ พี่ๆ (หนูไม่ได้เป็นทอมนะ)

ขอบคุณค่ะคุณสุชมบดี
ขออภัยนะค่ะกัลยาณมิตร หาได้จากภายนอก ทางอีเมลล์ แต่พุทธะ หาได้จากจิตหนึ่งเท่านั้นค่ะ

ป๊ะ บอกว่า อย่าแซตกะใครค่ะ อันตราย อิๆ
คุยกันทางเวปนี้ก็ได้ค่ะ ขออนุญาติพี่ๆและ เวปอกาลิโกล่วงหน้านะค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:35:17 pm

การเฝ้ารู้เฝ้าดูเฝ้ามอง...และอีกหลาย"เฝ้า"....เป็นการแบกในธรรมชนิดนึง
การรู้แบบอริยะนั้นมันเหนือการ"เฝ้ารู้"ขึ้นไปอีกเพราะมันเป็น"ธรรมชาติแห่งการรู้"
ไอ้ลูกธรรมชาติที่ว่านี่มันเหนือการจงใจตั้งใจหรือเจตนาแต่มันเป็นความบริบูรณ์
ในธรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว ธรรมครบถ้วนอยู่แล้วในความว่างความดับ
ตามภาษาบาลีคือ "มคฺค สมงฺคี" นั่นเองบางสำนักก็สอนให้แบก "ผู้รู้" (สติ)
ไม่เห็นด้วยนะ ใหนว่าธรรมคือธรรมชาติ... ธรรมชาติก็คือ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง
(เลย....อดแช็ทด้วยความว่างกับนางมารร้าย....เอ๊ย...มารน้อย...ไม่เป็นไร
เราเป็นเพื่อนกันนะแลกเปลี่ยนความรู้ จากอสูรแก่สุชัมบดี...ผมอายุ 38 เท่านั้น)

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:40:11 pm

สวัสดีค่ะคุณสุชัมบดี และทุกๆท่าน

ธรรมะคือธรรมชาติ
ธรรมชาติ เป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง
ละธรรมะคือละธรรมชาติเข้าถึงตถตาเป็นเช่นนั้นเองไม่แบก ไม่ถือตถตา จึง อยู่เหนือธรรมชาติ

ธรรมชาติของกลุ่ม ของสำนักต่างๆก็เป็นเช่นนั้นเอง บังคับบัญชา ไม่ได้ เป็นธรรมชาติของกลุ่มนั้นเช่นนั้นเอง
ไม่เห็นด้วยได้ค่ะแต่ไม่แบก ไม่ยึดถือ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จึงจะเห็นธรรมชาติ

เห็นธรรมชาติจึงเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง จึง หมดทั้งความเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
ธรรมชาติ ของความจงใจ ของเจตนา เป็นเช่นนั้นเอง จึงเข้าใจธรรมชาติ และจึงละวางธรรมชาติ เป็นเช่นนั้นเอง

ความเป็นเพื่อน กลับมีอันตรายมากกว่าความเป็นศัตรู ไม่แบกทั้งเพื่อนทั้งศัตรู แต่ในที่สุดไร้ทั้งเพื่อนทั้งศัตรู จึงกลายเป็นสิ่งเดียวกัน

เพื่อนก็แสดงธรรมชาติแบบเพื่อนเช่นนั้นเอง ศัตรูก็แสดงธรรมชาติแบบศัตรูเช่นนั้นเอง

ธรรมชาติของการรู้ ก็เป็นเช่นนั้นเอง

เห็นธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ รู้แจ้งในธรรมชาติไม่แบก ไม่ยึดถือ จึงเป็นตถตา เช่นนั้นเอง
ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ทั้งกาย และจิต ทั้งที่เคลื่อนใหว ทั้งที่นิ่งสงบบังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่นิดเดียวเป็นเพียงธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง

เมื่อถึงความสมบูรณ์ที่สุดก็ว่างปล่าวหาอะไรมาแลกไม่ได้เลยค่ะ
...

งั้นหนูแก่กว่าหลายอสงไขยจ้าอิๆ
(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:50:26 pm


โถ่ อ่านไปไม่ได้ดูชื่อนึกว่าผู้ใดมาพูดขอรับ เลียนแบบกระผม
ว่าจะไปจดลิขสิทธิ์ คำว่าขอรับสักหน่อย ใครเอาไปใช้จะเก็บทีละ 1บาทมอบให้อกาลิโก ดีมะ

(ขาจรจัด)

หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:51:55 pm

ข้อความโพสต์ล่าสุดของนางมารน้อยดูดีจริงๆกลมกลืนและตกผลึกในกระบวนการทั้งปวงปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไป(ตถตาในตัวมันเองไม่มีแบก) ธรรมชาติล้วนๆผมอนุโมทนาสาธุด้วยพลอยทำให้จิตผมสว่างไปด้วยเปรียบเหมือนขี้เมฆที่มันมาบดบังดวงจันทร์อยู่นิดนึงตอนนี้มันลอยไปที่อื่นแล้วพลอยให้ดวงจันทร์อย่างผมดูดีขึ้นเยอะเลย(ใส...ใส) โอเค.......ผ่าน(คุณพริ้วจริงๆยอมรับ)

คงเปรียบเหมือนพระรูปนึงได้ไปกราบครูเว่ยหล่างที่วัดซั่นตุง เมืองโซกายครูเว่ยหล่างถามว่าท่านปฏิบัติธรรมอย่างโร พระรูปนั้นตอบทันควันว่า "อย่าว่าแต่อย่างโน้นอย่างนี้เลย....อริยสัจจ์ 4 ผมก็ยังไม่เข้าไปแตะเลย"เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ครูเว่ยหล่างถึงกับทึ่ง ถึงกับเอ่ยปากชวนให้นอนค้างคืนด้วยเพื่ออยู่สนทนาธรรมกันก่อนจนพระรูปนั้นได้ฉายาว่าผู้เคยค้างคืนกับเว่ยหล่างคืนเดียว

*บทวิเคราะห์......หากบุคคลทั่วๆไปอ่านแล้วคงตะขิดตะขวงใจว่าทำไมในเมื่ออริยสัจจ์ 4 เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแล้วพระรูปนั้น ถึงไม่เข้าไปแตะ ในความคิดของผมผมว่าเมื่อเราศึกษาให้เข้าใจแล้วว่า"อะไรคืออะไร"เช่นอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเราเข้าใจในกระบวนการทั้งหมด ก็ทำให้ความลังเลสงสัยทั้งปวงหมดสิ้นไป เมื่อการทำงานของขันธ์ 5 มันเข้าสู่กระบวนการคลายกำหนัดอย่างแท้จริง มันจะก่อให้เกิด"โพชฌงค์ธรรม"(องค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ 7 ประการ) เมื่อโพชฌงค์บริบูรณ์ก็จะก่อให้เกิด "วิชชา" ความรู้แจ้ง แล้วก่อให้เกิด "วิมุตติ" ความหลุดพ้นแล้วก่อให้เกิด "วิมุตติญาณทัสสนะ" คือมีธรรมชาติแห่งการรู้แล้วว่าถึงความดับสนิทไม่มีเหลือ ถึงความเป็นธรรมชาติแห่งความไม่ปรุงแต่งทั้งปวง
ที่ไล่สายธรรมมานี้เผื่อคนที่ไม่กระจ่างในเรื่องนี้ เมื่ออ่านแล้วจะได้หมดความลังเลสงสัย มิใช่จับผิดจับถูก

*ครูบาอาจารย์เคยถามผมสมัยไปบวชเป็นพราหมณ์ว่า"อวิชชาตัวสุดท้ายคืออะไรก่อนหลุดพ้น"
ผมเองก็ยังคิดไม่ออกเพราะสภาวะไม่ถึงกระบวนการคลายกำหนัดของผมมันเป็นไปด้วยความอ้อยอิ่งยิ่งเอาจิต"เข้าไปแตะ"เมื่อไหร่ มันก็เป็นธาตุปรุงแต่งเมื่อนั้น .....แต่ถ้าหากให้ผมเดาผมว่าน่าจะเป็น "จิตที่มันกระเพื่อม"
เข้าไปแตะว่าตัวเองหลุดพ้นแล้วนั่นแหละ เมื่อจิตชนิดนี้มันดับก็คงเข้าสู่"ความหยุดโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง

*เพื่อนกันนะ....แนะนำสิ่งดีๆให้แก่กัน....ความเป็นพหูสูตรผู้คงแก่เรียนอย่างนางมารน้อย....ทำให้ผมคอยสดับตรับฟังว่าคุณจะเสนออะไรมาอีก....ทางเว็บเค้าไม่ว่าหรอกมีแต่ธรรมล้วนๆ...มีแต่บัณฑิตกันทั้งนั้น...คนพาลมันไม่มาอ่านเว็บธรรมะหรอกนะ มันจะอยู่กันแต่ในวงอบายมุขทั้งหลาย
*อาจเป็นข้อด้อยของผมที่ทำกรรมชนิดนี้มา คือการศึกษาทางโลกผมเรียนมาน้อยไม่จบ ม.ต้น พยายามเรียนกศน.ก็แล้วมันก็ไม่จบ ทุกวันนี้เป็นพ่อค้าขาย"ฟักทอง"อยู่ที่ตลาดไทแผงเล็กๆ สู้ชีวิตมาตั้งแต่เป็นเด็กรับจ้างเข็นของทุกอย่างในตลาด บางครั้งการนำเสนอในรูปแบบการเขียนไม่ค่อยจะสละสลวยเท่าไหร่แต่ก็มีเจตนาดีเป็นที่ตั้ง วอนทุกๆฝ่ายให้อภัยด้วยหากผิดพลาด
*โปรดติดตามตอนต่อไปโดยฉับพลัน....จาก"อสูรแก่....สุชัมบดี."

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:54:09 pm

ผมเคยไปวัดนี้มาแล้วรู้สึก "ลงตัว"
ชื่อวัด"ร่มโพธิธรรม" บ้านหลักร้อยหกสิบ กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย
มีเนื้อที่ประมาณ 5000 ไร่
"หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ"ท่านเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่นั่นท่านเมตตาลูกศิษย์ดี ท่านต้อนรับทุกคน ใครไปหาท่านๆก็ต้อนรับหมดมีพระจำพรรษากับท่านไม่ต่ำกว่า 100 องค์ทุกปีและมีญาติโยมอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่นไม่ต่ำกว่า 200

ท่านสอนแบบไม่ติเตียน ไม่ถูกไม่ผิด สอนแบบไม่มีอะไรกับอะไรมีนำเสนอคำสอนของหลวงพ่อทางเว็บไซด์สามารถดาวน์โหลดคำสอนมาฟังได้ด้วยลองเข้าไปอ่านดูเอาเอง "www.rombodhidharma.com"
ผมว่า"ของแท้"นะ ลองเข้าไปศึกษารายละเอียดในเว็บก่อนเผื่อ"โดน" ผม"โดน"มาแล้ว

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 12:57:18 pm

อนุโมทนาด้วยนะค่ะ

ธรรมชาติแห่งสมมุติในปรมัตถ์

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายก่อเกิดมาด้วย ความสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์และยุติธรรมเสมอสำหรับทุกคน ไม่มีธรรมชาติใดที่ด้อยไม่มีธรรมชาติใดที่เลิศ เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดหมดจดทุกอนูอยู่แล้ว ไม่มีทั้งสวยงาม ไม่มีทั้งทรุดโทรม

ทุกคนได้รับความบริสุทธ์และยุติธรรม สมบูรณ์พร้อมที่สุดอยู่แล้ว

คุณสุชัมบดี และทุกๆคน รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดหาได้มีข้อด้อยใดๆ ในทุกๆชีวิต ทุกๆลมหายใจและทุกๆขณะจิตไม่มีสิ่งใดที่ด้อย หรือสิ่งใดเลอเลิศเลยแม้แต่น้อยแต่เพียบพร้อมบริสุทธิ์และยุติธรรม อย่างที่สุดแล้ว

จงละ ทิ้งความคิดและความรู้สึกสมมุติเก่าๆที่ครอบงำออกไปเสียเถอะนี่คือปรมัตถ์ล้วนๆ
จงเอาใส่เข้าไปแทนที่ความคิดปรุงแต่งเดิมๆที่ทำให้จมอยู่กับห้วงทุกข์มานานแสนนาน

ถ้าเห็นและเข้าใจธรรมชาติแห่งสมมุตินี้ ตามปรมัตถ์นี้ได้จริงจะเพิกถอนอย่างถึงโคน จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างรวดเร็ว

ทั้งธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายทั้งปวง ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต ล้วนบริสุทธิ์หมดจดทั้งหมด ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะความสำคัญมั่นหมายปรุงแต่งต่างหาก ที่ทำให้ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมต้องเสียรูปไป
ธรรมชาติใดๆก็ดีในสมมุติทั้งหลายบริสุทธิ์หมดจด ไม่ต่างกับธรรมชาติแห่งพุทธะเลย

โลกธาตูทั้งหลายทั้งปวง พุทธเกษตรทั่วทุกโลกธาตุ ต่างบริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่ต่างกันเลยแม้แต่โลกธาตุเดียว
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหมดจดนี้เป็นเช่นเดียวกันกับพุทธะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
พุทธะจึงไม่มีรอยด่างพร้อยของสมมุติใดๆ แม้แต่นิดเดียว บริสุทธ์เช่นเดียวกันจนไม่อาจแยกความแตกต่างใด้เลยแม้แต่น้อย

**นี่ไม่ได้บรรยายถึงพุทธะแต่บรรยายถึงธรรมชาติแห่งสมมุติทั่วๆไป อย่างปรมัตถ์
จากการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งทั้งปวง ในสมมุติไม่ต่างกับพุทธะ เท่านั้นเอง

เมื่อเพิกถอนทุกสิ่งได้ ก็จะเห้น และสัมผัสได้เอง ว่า โลกธาตุและธรรมชาติแห่งสมมุตินั้นงดงามและบริสุทธิ์ไม่ต่างกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เคยบรรยายธรรมชาติแห่งพุทธะให้ฟัง ****

บทความแห่งเซน เป็นบทแห่งการเพิกถอน ชนิดถอนรากถอนโคนไม่ได้เป้นเพื่อการแสวงหา หรือสะสมใดๆหรือต้องตั้งวิธีปฎิบัติใดๆ
จึงขัดแย้งกับผู้แสวงหา ผู้สะสม อย่างหน้ามือเป้นหลังมือ ที่เคยโพสต์มาก็จะมีเพียงไม่กี่คนเปรียบดังเขาสัตว์ ที่สามารถถอดถอนความปรุงแต่งของตนได้

คำพูดหนู ไปโพสต์ที่ใหนใครๆก็ว่าเล่นลิ้น สบัดสำนวน ลอกมาแบบเท่ห์ๆเมื่อดีกรีแห่งความแรงของผู้ฟังมีมาก จะฟังแล้วดูรุนแรงจนไม่อาจรับได้เมื่อดีกรีความแรงของคนนั้นลดลง ฟังแล้วไม่ได้ตกใจไปกับคำพูดเช่นนี้โดนแบนมาหลายสำนัก เพราะหาคนเข้าใจได้น้อย

ก็เหลืออกาลิโกนี่แหละ ที่มีห้องเซน ให้ขอบคุณพี่ๆทุกคน นะค่ะ อนุโมทนาค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:05:29 pm

เมื่อก่อนผมศึกษาเซนรู้สึกว่ามันยากและดูโอเวอร์อาจเป็นเพราะพื้นฐานทางธรรมผมน้อยแต่เมื่อโตขึ้นรู้สึกว่าต้องขอบคุณคณาจารย์และบรรดาลูกศิษย์ในทางฝ่ายเซนที่ได้ถ่ายทอดและช่วยกันบันทึกคำสอนไว้ ผมใช้ 2 เล่มในการศึกษาโดยเทียบเคียงพระไตรปิฎกมาตลอด ก็คือ
*สูตรของเว่ยหล่าง
*คำสอนของฮวงโป
ทั้งสองเล่มนี้แปลโดย หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาซื้ออ่านได้ ราคาเล่มละ
120 บาท ก็"สุดคลาสสิก"เลยนะ

ในความเห็นของผม หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วก็มีสาวกชั้นอสีติยุคหลังได้ถ่ายทอดคำสอนไว้หลายรูปเช่นท่านพุทธโฆษาจารย์เรื่องอภิธรรม ท่านนาคเสนเรื่องมิลินทปัญหา ล้วนเอกอุทั้งสิ้นแต่ที่"โดน"จริงๆกลับเป็นหนังสือ 2 เล่มข้างต้นผมว่าเป็นหนังสือที่สุดคลาสสิคในทางธรรมเลยก็ว่าได้เพราะเป็นหนังสือที่บรรยายถึงสภาวะการถึงกระแสพระนิพพาน(การก้าวข้ามประตูเข้าเขตแดนพระนิพพาน)และสภาวะนิพพานได้อย่างลงตัว เข้าใจเหมือนจับต้องได้ แต่เป็นเรื่องแปลกหนังสือที่เกี่ยวกับพระสูตรในมหายานโดยตรงที่ท่านโพธินันท์แปลผมเองกลับไม่ชอบเอาซะเลย

*ผมเองเคยประสบปัญหาเหมือนกับคุณมารน้อย โดนแซวอยู่เรื่อย
เป็นพวก "เซน ไม่ชอบจ่ายสด" ก็ในเชิงดูถูกว่าเอ่ะอ่ะ....อะไรก็ว่างไปซะทุกอย่าง ยิ่งไปพูดกับคนที่ติดแบกในข้อธรรมยิ่งไปกันใหญ่ หาว่าเราหลงไปเลย ยกตัวอย่างผมเคยพูดว่า "ในธรรมชาติไม่มีอะไรให้ต้องรักษา" ก็ถูกโต้กลับว่า การหลุดพ้นเราต้องรักษาศิลให้บริสุทธ์เสียก่อนผมก็แนะต่อไปอีกว่า"ศีลมันเป็นตัณหาอุปาทานล้วนๆ" เขาก็สวนว่า "แล้วในมรรคมีองค์ 8 ทำไมต้องมีศิลในองค์สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว" ผมเลยตอบว่าศิลของปุถุชนกับศิลของอริยชนต่างกันศิลของปถุชนเป็นการเข้าไปสาละวนในความดียึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาแต่ศิลของอริยชนเป็นเพียง"ศิลปะ"

ในการดำรงตนให้เข้ากับสังคมได้อย่างกลมกลืนเป็น "การกระทำซึ่งไม่กระทำ" เพราะพูดจา,กระทำหรือเลี้ยงชีพตามแบบฉบับของสัมมาแต่ข้างในใจมันถึงความดับตลอด "กาย วาจาเคลื่อนไหวแต่ใจดับ"....ก็อธิบายขนาดนี้เขายังว่าผมเพี้ยนเลยแถมยังขู่อีกว่าระวังจะตกนรกนะปฏิบัติผิดทางแบบนี้.....ผมเจอลูกนี้เข้าไป ...วัยรุ่นเซ็งเลย...อุ๊ย น่ากลัว

*การเผยแพร่ธรรมอันเป็นแก่นแท้ในยุคนี้เป็นไปด้วยความยากลำบากต้องอธิบายธรรมแบบถ้วนทั่วแทบจะทุกครั้งไป เหนื่อยไม่น้อยหากจะบอกแบบสรุปก็กลัวบางคนไม่เข้าใจ เพราะความที่เขายังไม่ตกผลึกที่แย่ไปกว่านั้นก็พวก"คอเซน"เดียวกันทั้งหลาย เห็นการอธิบายธรรมของผมบางท่านไม่เข้าใจในวิธีการนำเสนอ ก็ตำหนิเหมือนกันว่าผมลงไปบัญญัติทำไมมันเป็นอัตตานะ พอใช้วิธีหุปปากเงียบบ้างก็ถูกแซวว่าเงียบเพราะไม่เข้าใจ โดนมาหลายบอร์ด

ก็สนุกดีนะ.....สีสัน...ในเส้นทางธรรม....เพื่อนๆกันทั้งนั้น เป็นกำลังใจให้ทุกๆฝ่ายในการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา คนละไม้คนละมือโลกใบนี้จะได้น่าอยู่ต่อไป
*ให้นึกถึงพระพุทธองค์ตอนที่ท่านเสด็จลุกขึ้นจากโคนศรีมหาโพธิ์พระองค์"สู้"มาคนเดียวตลอดท่ามกลางเหล่ามิจฉาทิฐิทั้งหลายในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นอเจลกะ สัญชัย ปริพาชก ปริพาชิกาทั้งหลายแถมยังรวมพวกศาสนาดั้งเดิมในชมพูทวีปคือศาสนาพราหมณ์ล้วนแต่มืดๆทั้งนั้นบ่งบอกได้ถึง"ระดับความเหนื่อยยากลำบาก"ที่พระองค์ประสบมา
.....ให้กำลังใจกันนะ....สาธุ

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:10:12 pm

นี่น้องมารน้อยจ๊ะไม่ใช่ มารน้อยคนละคนกันจ๊ะ

ที่จริงเซน ก็ลงนรกไปเยอะเหมือนกันแหละค่ะ
เซนแบบเห็นผิด ไม่ได้เข้าถึงเซน ก็ไปนรกกันมาก

การเห็นผิดเพียงนิดเดียว ก็ไปเลยไม่ว่าจะเซน เถรวาท หรือมหายาน คริสต์ อิสลาม หรือทุกๆศาสนา
โดยเฉพาะเมื่อฟังแค่คำสอนที่ว่า " ไม่มีอะไรต้องทำ"

เซนผู้ที่ไม่เข้าใจ ในคำสอน ก็เลยปล่อยตัวไปตามยถากรรมก็เลยปล่อยตัวปล่อยใจล่องลอยไปกับสังสารวัฎ โดยไม่รู้จักตัวตนและใจทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ก็ล่องลอยอยู่ในสังสารวัฎ

การทำทานรักษาศีลทำภาวนาการปฎิบัตินาๆวิธี เพื่อให้รู้จักตัวตน กาย ใจขจัด ธรรมะฝ่ายอกุศล นั่นคือ การใช้ความพยายามแสวงหาพ่วงแพเพื่อให้ล่องลอยในสังสารวัฎสบายขึ้น

แต่ทั้งสองแบบไม่ต่างกันย่อมล่องลอยในสังสารวัฎไม่ต่างกัน
เพียงเพราะ ไม่เข้าใจถึง "คำว่าไม่มีอะไรต้องทำ "

ความเห็นผิดที่สุดๆอย่างแรกคือ เมื่อได้ยินได้ฟังคำว่าไม่มีอะไรต้องทำ
ทุกคนก็เริ่มทำ ในสิ่งตรงข้ามกับคำสอนทันที ก็คือเริ่มคิด เริ่มหาเหตุผล
และเข้าใจผิดๆไปแล้วทันทีที่ได้ยินคำสอนนี้
ก็เรียกว่า ลงมือทำ ทำไปแล้ว แล้วจะเข้าถึงคำสอนที่แท้จริงได้อย่างไร

พักเดี๋ยวพักเดี๋ยวค่อยมาต่อใหม่นะค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:11:47 pm

สุดยอดจริง ๆ เลยครับ น้องมารน้อย

ว่าง ๆ จะขออนุญาตนำเรื่องราวดีดีที่ได้ฟังท่านทั้งหลายสนทนากัน ไปเล่าให้หลวงพ่อ
ที่วัดข้างบ้านฟังเพราะรู้สึกว่าท่านจะชอบธรรมะแนวนี้อยู่เหมือนกัน

ขออนุโมทนาสาธุครับ น้องมารน้อย

(ดุจเม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:14:19 pm

สวัสดีค่ะพี่ๆ และ พี่ดุจเม็ดทราย

ถ้าหลวงพ่อที่วัดข้างบ้านพี่มีอะไรชี้แนะ เห็นสมควรประการใด ได้โปรดแนะมาได้เลยค่ะ

หนูพักเดี๋ยว ไปหลายเดี๋ยวกลับมาเข้าบอร์ด ไม่ได้เลย
ตัองพักอีกหลายเดี๋ยว

เปิดมา เจอ แต่กากะบาทเพียบเลย มีแต่เครื่องหมายกากะบาท
ใครส่ง กากะบาท มานะเนี่ย นะเนี่ย มาห้ามโพสต์ธรรมะ เดี๋ยวเจอดี

เตือนก่อนนิดนึงนะค่ะ

เมื่อ พวก พี่น้องตระกูล มารน้อยโพสต์ไปที่ใด บอร์ดที่นั้นมักจะล่มข้อมูลทั้งหมดจะกู้ไม่ได้
จะลงไตรลักษณ์ เร็วมาก ไปที่ใหนเจ๊งที่นั่นสงสัยพวกเราจะเป็นตัวซวย อิๆ
อย่าลืมแบคอัฟให้ดีๆนะค่ะ

ประมาทไม่ได้ พลังกากะบาทออกมาแล้วห้ามโพสต์ ออกมาเต็มจอ
ลองโพสต์ก่อนนะค่ะ ว่าเข้าได้หรือเปล่า
ทดสอบ ๆ ๆ จ๊ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:16:09 pm

เมื่อพระพุทธองค์ ทรงวางพระหัตถ์ลง ยังบนโลกธาตุ
ฉับพลันโลกธาตุก็แปรเปลี่ยนไป ที่รุงรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ราบเรียบดุจเดียวกัน เสมอกันทั่วทั้งโลกธาตุ ความสดใส ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ตำหนิปรากฎไปทุกหนทุกแห่ง สำแดงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของโลกธาตุ แก่ชาวโลก ยังความปลาบปลื้มหาใดเปรียบ

โลกธาตุนี้ บริสุทธิ์ ยุติธรรม พิสุทธิ วิมุติ ตั้งแต่ใหนแต่ไรมา
ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ใข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง บังคับ หรือตกแต่งอลังการโลกธาตุเลย
แล้วจะมีอะไรต้องทำในโลกธาตุนี้อีกหรือ

กลับมาหัวข้อกระทู้หน่อยนะค่ะ เด่วเจ้าของกระทู้จะงอน
การยักคิ้ว กระพริบตา ถ้าไปยักอยู่นอกโลกธาตุ ไม่แน่เหมือนกันนะ อาจบังคับได้ค่ะ อิๆ
แต่ถ้าอยู่ในโลกธาตุ ทุกภพ ทุกภูมิ ก็ ไม่มีใครสักคนเดียวที่ยักคิ้วและกระพริบตาเองได้สักคนเดียว

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 08, 2011, 01:17:43 pm

ลองเอาจิต"เข้าไปริเข้าไปเริ่ม"ดูสิ
แล้วจะรู้ว่า"นรก"มีจริง
ลอง"เข้าไปแตะ เข้าไปรื้อ"ตถตาดูสิ แล้วจะรู้ว่า"นรก"มีจริง

......."อย่าเข้า"ไปแตะ ไปริ ไปเริ่ม ไปรักษา ไประวัง ไปสำรวม ไปตั้งใจไปเจตนา ไปจงใจ ไปปรับปรุง ไปเปลี่ยนแปลง ไปแยกแยะ ไปจำแนก ไปลูบคลำไปมีเหตุ ไปมีผล และอีกหลาย"อย่า" ถ้าหากยังไม่เข้าใจหลักของเซนที่ว่า
"ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"
*ผมพึ่งลงมาจาก"ดาวดึงส์"อยู่ข้างบนนานมากกินธาตุทิพย์มานานตั้ง 32 ล้านปีได้ฟัง"สักกะปัญหสูตร"จากพระพุทธองค์พร้อมกับเทวดาเพื่อนๆปิดอบายภูมิได้ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วจ๊ะ นางมารร้าย
ก็บอกแล้ว....."ปัจจัตตัง".

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:18:20 pm

อนุโมทนาด้วยนะค่ะ
สักกะปัญญสูตร ดีมากๆเลยนะค่ะสำหรับ เพียงเพื่อปิดอบายภูมิเนอะ เนอะ

ก็ขออนุโมทนานะค่ะที่ปิดอบายภูมิให้ตนเองได้มีตนก็ปิดให้ตน ตนเปิด ตนปิด ก็ถูกแล้วค่ะ
เพราะยังเชื่อว่าตนเป็นตนตนเป็นของตนตนปิดอบายภูมิได้หรืออบายภูมิ ต่างหากที่ปิดให้ตนล่ะค่ะ
ถ้าปิดให้ตนเองได้ ก็น่าจะปิดให้หมดทุกโซนปิดเผื่อคนอื่นๆ ด้วยนะค่ะ

อยู่ดาวดึงส์มาตั้งนาน แสนนานเพิ่งลงมาเฟรชชี่จังเลยนะค่ะยินดีต้อนรับน้องใหม่นะค่ะ

ตถตา ยังคงเป็นเพียงธรรมชาติ ที่เป็นไปเช่นนั้นเอง เป็นธรรมดาๆของธรรมชาติ คนที่เห็นแค่ธรรมชาติ มักจะเข้าใจแค่ ตถตา แต่ น่าเสียดายจังถ้า ตถตา เข้าไม่ถึงใจ

ตถตา ของนรก สวรรค์ยังคงเป็นเพียงธรรมชาติ
ธรรมชาติทั้งหลาย ล้วนมีจริงจึงมีธรรมชาติของนรกสวรรค์

แต่เมื่อตถตา เข้าไม่ถึงใจ

เสียง อย่าจึงกระหึ่มไปทั่วทั้งโลกธาตุ
จึงมีข้อห้ามออกมาแล้วบอกสำทับออกมาอีกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรเลยอย่านะ อย่านะไม่ต้องทำอะไรเลย

ปัจจตังจริงๆเจ้าค่ะอิๆ
เซนแบบใหนค่ะ
โจ๋น้องมารงง เจ้าค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:20:04 pm


(นางมารร้าย): เป็นเซนแบบใหนค่ะคุณสุชัมบดี ?
(สุชัมบดี): เอ่อ.....ผมเป็นเซน....แบบ..เซนแล้ว....ติดไว้ก่อน...

(นางมารร้าย): ที่ขอติดไว้ก่อน...เมื่อไหร่จะจ่ายค่ะ?
(สุชัมบดี): เอ่อ....คือว่า....ผมไม่มี ไม่หนี และไม่จ่าย....

(นางมารร้าย):ใหนคุณสุชัมบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง แล้วไปบัญญัตินรกสวรรค์ ทำไม? ทุกสิ่งทุกอย่างนิพพานในตัวมันเองอยู่แล้วนะคะ
(สุชัมบดี): เอ่อ....ใช่ครับ....มันไม่เที่ยง....เพราะตอนนี้..."บ่ายโมงแล้ว"....(ฮา.......นา.........ก้า.....)

.....หวัดดีเจ๊......ไปล่ะนะ.

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:20:52 pm

อ้อ
เซน แบบแปะโป้งไว้ก่อน นี่เอง
นิ้วโป้งมักจะดำเพราะ เข้าโรงจำนำบ่อยๆ สิขอรับ
เกี่ยวกันใหมขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:27:44 pm

เอาเรื่องที่ท่านทั้งหลายสนทนากันไปเล่าให้หลวงพ่อข้างบ้านฟังแล้วพอถึงตอนที่น้องมารน้อยบอกว่า

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายก่อเกิดมาด้วย ความสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์และยุติธรรมเสมอสำหรับทุกคน ไม่มีธรรมชาติใดที่ด้อยไม่มีธรรมชาติใดที่เลิศ เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดหมดจดทุกอณูอยู่แล้ว ไม่มีทั้งสวยงาม ไม่มีทั้งทรุดโทรม

จงละ ทิ้งความคิดและความรู้สึกสมมุติเก่าๆที่ครอบงำออกไปเสียเถอะนี่คือปรมัตถ์ล้วนๆ
จงเอาใส่เข้าไปแทนที่ความคิดปรุงแต่งเดิมๆที่ทำให้จมอยู่กับห้วงทุกข์มานานแสนนาน

ถ้าเห็นและเข้าใจธรรมชาติแห่งสมมุตินี้ ตามปรมัตถ์นี้ได้จริงจะเพิกถอนอย่างถึงโคน จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างรวดเร็ว

ทั้งธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายทั้งปวง ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต ล้วนบริสุทธิ์หมดจดทั้งหมด ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะความสำคัญมั่นหมายปรุงแต่งต่างหาก ที่ทำให้ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมต้องเสียรูปไป
ธรรมชาติใดๆก็ดีในสมมุติทั้งหลายบริสุทธิ์หมดจด ไม่ต่างกับธรรมชาติแห่งพุทธะเลย

โลกธาตูทั้งหลายทั้งปวง พุทธเกษตรทั่วทุกโลกธาตุ ต่างบริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่ต่างกันเลยแม้แต่โลกธาตุเดียว
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหมดจดนี้เป็นเช่นเดียวกันกับพุทธะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
พุทธะจึงไม่มีรอยด่างพร้อยของสมมุติใดๆ แม้แต่นิดเดียว บริสุทธ์เช่นเดียวกันจนไม่อาจแยกความแตกต่างใด้เลยแม้แต่น้อย

**นี่ไม่ได้บรรยายถึงพุทธะแต่บรรยายถึงธรรมชาติแห่งสมมุติทั่วๆไป อย่างปรมัตถ์
จากการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งทั้งปวง ในสมมุติไม่ต่างกับพุทธะ เท่านั้นเอง

เมื่อเพิกถอนทุกสิ่งได้ ก็จะเห้น และสัมผัสได้เอง ว่า โลกธาตุและธรรมชาติแห่งสมมุตินั้นงดงามและบริสุทธิ์ไม่ต่างกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เคยบรรยายธรรมชาติแห่งพุทธะให้ฟัง ***
บทความแห่งเซน เป็นบทแห่งการเพิกถอน ชนิดถอนรากถอนโคนไม่ได้เป้นเพื่อการแสวงหา หรือสะสมใดๆหรือต้องตั้งวิธีปฎิบัติใดๆ

หลวงพ่อท่านชอบอกชอบใจใหญ่มันต้องอย่างนี้อย่างนี้แหละโยมผู้รู้จริงนั่นมีอยู่โยมผมได้แต่นั่งยิ้มพอถึงอีกตอนหนึ่งที่ว่า

โลกธาตุนี้ บริสุทธิ์ ยุติธรรม พิสุทธิ์ วิมุติ ตั้งแต่ใหนแต่ไรมา
ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ใข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง บังคับ หรือตกแต่งอลังการโลกธาตุเลย
แล้วจะมีอะไรต้องทำในโลกธาตุนี้อีกหรือ

หลวงพ่อบอกว่าใช่เลยใช่เลย โยมมันไม่มีอะไรต้องทำจะไปทำอะไรให้มันมีขึ้นมาอีกเล่า ก็มันว่างของมันอยู่แล้ว
ผมอดไม่ได้จึงถามหลวงพ่อว่าไม่ต้องทำอะไรมันว่างอยู่แล้ว มันเป็นยังไงหรือครับหลวงพ่อ ?

หลวงพ่อตอบว่ามันพูดยากบอกยากมันเป็นปัจจัตตังนะโยม
เรารึนึกว่าหลวงพ่อจะอธิบายให้รู้เรื่องกลับงงหนักเข้าไปอีกเผอิญลมพัดผ่านมาวูบใหญ่

หลวงพ่อบอกว่าโยม โยม เย็นไหม ?
ครับเย็นดีครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่าไหนโยมลองคว้าลมเอาไว้ให้หลวงพ่อดูหน่อย่ ซิ
จะคว้าลมไว้ได้ยังไงหลวงพ่อ ? ลมมันพัดมาแล้วมัก็ผ่านไป

หลวงพ่อบอกว่า ก็ใช่นะซิ ถึงคว้าไว้ก็ไม่ได้ ถึงไม่คว้ามันก็ผ่านไปมันจึงว่างอยู่อย่างเดิมอย่างที่ท่านทั้งหลายสนทนากันนั่นแหละ จะไปคว้าหรือไม่คว้า มันก็ไม่ได้อะไร มันว่างอยู่แล้ว มันไม่ต้องไปทำอะไรเลยโยมสมมุติ หรือความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย มันก็เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไปนั่นแหละ ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดมันก็ผ่านพ้นไปมีแต่ว่างกับว่างอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ โยม โยมเห็นหรือยัง ?

จริงครับหลวงพ่อ ผมพอจะเห็นอย่างหลวงพ่อว่าบ้างแล้วครับแต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อไม่ต้องทำอะไร เพราะมันว่างอยู่แล้วทำไมหลวงพ่อยังต้องพาโยมสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ทุกเช้าเย็นเล่าครับ ?
หลวงพ่อตอบว่า นั่นเป็นอุบาย เป็นการใช้สมมุติเป็นเครื่องมือเพราะโยมเขายังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจนะโยมมันต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่านั้นแหละ ปํญญามันไม่เท่ากันนิ่โยมนะ

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:33:16 pm

สวัสดีค่ะ พี่เม็ดทราย
...
หลวงพ่อบอกว่า ใช่เลย ใช่เลย โยม มันไม่มีอะไรต้องทำ จะไปทำอะไรให้มันมีขึ้นมาอีกเล่า ก็มันว่างของมันอยู่แล้ว
ผมอดไม่ได้จึงถามหลวงพ่อว่า ไม่ต้องทำอะไร มันว่างอยู่แล้ว มันเป็นยังไงหรือครับหลวงพ่อ ?

หลวงพ่อตอบว่า มันพูดยากบอกยาก มันเป็นปัจจัตตังนะโยม
เรารึ นึกว่าหลวงพ่อจะอธิบายให้รู้เรื่อง กลับงงหนักเข้าไปอีก เผอิญลมพัดผ่านมาวูบใหญ่

หลวงพ่อบอกว่าโยม โยม เย็นไหม ?
ครับ เย็นดีครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า ไหนโยมลองคว้าลมเอาไว้ให้หลวงพ่อดูหน่อย่ ซิ
จะคว้าลมไว้ได้ยังไงหลวงพ่อ ? ลมมันพัดมาแล้วมัก็ผ่านไป
หลวงพ่อบอกว่า ก็ใช่นะซิ ถึงคว้าไว้ก็ไม่ได้ ถึงไม่คว้ามันก็ผ่านไปมันจึงว่างอยู่อย่างเดิมอย่างที่ท่านทั้งหลายสนทนากันนั่นแหละ จะไปคว้าหรือไม่คว้า มันก็ไม่ได้อะไร มันว่างอยู่แล้ว มันไม่ต้องไปทำอะไรเลยโยมสมมุติ หรือความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย มันก็เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไปนั่นแหละ ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดมันก็ผ่านพ้นไปมีแต่ว่างกับว่างอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ โยม โยมเห็นหรือยัง ?

จริงครับหลวงพ่อ ผมพอจะเห็นอย่างหลวงพ่อว่าบ้างแล้วครับแต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อไม่ต้องทำอะไร เพราะมันว่างอยู่แล้วทำไมหลวงพ่อยังต้องพาโยมสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ทุกเช้าเย็นเล่าครับ ?
หลวงพ่อตอบว่า นั่นเป็นอุบาย เป็นการใช้สมมุติเป็นเครื่องมือเพราะโยมเขายังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจนะโยมมันต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่านั้นแหละ ปํญญามันไม่เท่ากันนิ่โยมนะ

...

แหมชักนึกอยากไปกราบนมัสการหลวงพ่อของพี่เม็ดทรายเสียแล้วไม่ทราบว่ามีนามว่ากระไร
จำพรรษาอยู่แห่งหนตำบลใดวัดใดหรือค่ะ

ถ้าไม่ขัดข้องโปรดแสดงตน ด้วยนะค่ะหนูจะได้ไปกราบนมัสการ สนทนารับ ธรรมจากหลวงพ่อ
หนูจะเอา บอร์ดี้การ์ด ไปด้วย
ตอนนี้หลวงพ่อจริง หรือหลวงพ่อเท็จอย่างไรหนูก็ไม่อาจทราบได้ค่ะ

ป๊ะเตือนหนูเสมอๆบอกว่าระวังเน้ออีหนู เล่นเนตน่ะ
พวกหลอกลวงต้มตุ๋นเยอะมีข่าวบ่อยๆระวังนะ ๆ
น่ากลัวจังนะพี่เม็ดทราย

เมื่อหลวงพ่อข้างบ้านไม่อธิบาย
หนูจะอธิบายให้พี่เม็ดทรายทราบแทนหลวงพ่อขออนุญาตนะค๊ะ นะค๊ะ
พี่จะได้เอาที่หนูสนทนากับพี่ ไปเรียนหลวงพ่อด้วยนะค่ะ ว่าหนูอธิบายว่าอย่างนี้นะคะ

ตรงเผงเลยค่ะ
จริงๆด้วยเมื่อยังไม่เข้าใจก็เลยเห้นความแตกต่างของปัญญาว่า มีมากมีน้อยไม่เท่ากัน
ปัญญาอย่างตรัสรู้ และปัญญาอย่างสามัญสัตว์จึงแตกต่างกัน สูงต่ำไม่เท่ากัน นะค๊ะ
ถ้าเข้าใจก็ไม่ต่างกัน

ลมพัดไหวๆ ไขว่คว้าไม่ได้
จิตใหวๆหรือลมใหวก็ไขว่คว้าไม่ได้
จิตหนึ่งไม่มีแม้แต่อนุภาคเดียวจึงไม่มีลมใหวๆ ให้ใขว่คว้า
อากาศ นั้นว่างหายใจได้มีอนุภาคเล็กๆๆ ลอยไปลอยมา
อวกาศนั่นว่างกว่าไม่มีอากาศแต่มีอนุภาคบิ๊กๆๆๆๆ ใหญ่กว่าเช่นดวงอาทิตย์และโลกธาตุ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 16, 2011, 05:38:04 pm

แต่เอ่ ?

ท่านสังฆปรินายกบอกว่า ปัญญาสุดๆ ไม่ต่างกันนี่ ทั้งพระพุทธเจ้าและสามัญสัตว์ ไม่ได้เป็นอะไรเลย
นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น
ปัญญา อย่างตรัสรู้ ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง ก็มีบริบูรณ์ สุดๆอย่างเท่าเทียมกัน

เอ่ ? แล้วทำไม หลวงพี่ยังเห็น ยังว่าแตกต่างกัน
เอ่ ? แล้ว หลวงพี่เข้าใจ เข้าใจเป็นเซนแบบใดกันนี่

หรือว่าว่างแบบปัจตังแท้ๆไม่ได้ว่างแบบสากล
ไม่เหมือนท่านสังฆปรินายกเห็นเลย ?

หนู งง ไปหมดแล้ว ค่ะ
ว่างแบบปัจจตัง

(น้องมารน้อย)

#35 น.3
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:04:11 pm

เจ๊....เจ๊.....
ระวัง.....นิพพาน"กระเพื่อม".....

(สุชัมบดี)

........


มีอยู่พรรษานึง ตถาคตนั่งใต้โคนศรีมหาโพธิ์อยู่ตลอดไตรมาสมีพราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ว่าเมื่อตถาคตเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ไกลจากกิเลสแล้ว
ตถาคตมี"วิตก วิจารณ์"อีกหรือไม่พระองค์ทรงตรัสว่า"เราตถาคตเองก็วิตก วิจารณ์ อยู่ แต่การวิตกวิจารณ์เราเป็นไปด้วยความดับสนิทไม่มีเหลือไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เกิดตัณหาอุปาทานแต่อย่างใด "
*ผมเองชอบสูตรนี้มาก ในช่วงที่ผมตกผลึกในธรรมทั้งระบบหมดแล้วจิตอยู่ในระนาบ "จิตไม่หลุดพ้นก็เป็นธรรมชาติแห่งการรู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น"เข้าในสูตรแห่งสติปัฎฐานที่พระองค์แจกแจงไว้ในหมวดจิต ก็สาละวนอยู่นานตรงไม่หลุดก็ได้สูตรข้างบนนี่แหละ

อ๋อ การวิตก วิจารณ์ พูดง่ายๆก็คือความคิดเราเมื่อคิดแล้ว"ก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติและปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติแห่งความดับสนิทไม่มีเหลือ"

*ผมถึงไม่แปลกใจ พวกบรรลุเซนทั้งหลายถึงมีพฤติกรรมคำพูดแปลกเพราะไอ้ลูกพริ้วตรงนี้นี่เองธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติทำให้ผู้บรรลุไม่จำเป็นต้องกล่าวธรรมแบบเพริดพริ้งพรรณรายเสมอไป บางทีพระอรหันต์อาจจะพูดว่า"คุณสวยจังผมรักคุณแล้วนะ"ก็ได้ ดินแดนอสังขตะธรรมไม่มีกรอบอยู่แล้ว

*ขนาดพระอรหันต์ด้วยกัน พระพุทธองค์ยังตรัสว่าดูกันไม่ออก เอาพระอรหันต์ 2 รูปมายืนคุยกันยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็หมดจดแล้วต่อให้คุณเก่งปานว่ามีเจโตวาระจิตรู้จิตใจผู้อื่นว่าเขาคิดอย่างไรหากรู้ว่าเค้าคิดเรื่องอะไรบางอย่างแล้วเที่ยวไปบัญญัติว่าเขาไม่ผ่านเพราะยังคิดแบบสมมุติอยู่เดี๋ยวจะหน้าแตกเพราะเขามีธรรมชาติแห่งความพริ้วไม่หวนไปบัญญัตินี่แหละ

*ผู้ที่จะพยากรณ์ว่าบรรลุธรรมหรือไม่เห็นจะเป็นพระพุทธองค์เท่านั้น เว้นแต่ว่าผู้มีจิตสูงกว่าก็จะพอมองผู้มีจิตต่ำกว่าออก
*แต่ถ้าหากบุคคลนั้นมีนิสัยชอบหวนกลับไปบัญญัติเช่นชอบคิดว่านั่นใช่ นั่นไม่ใช่ นั่นถูก นั่นผิด
และบังเอิญอีกฝ่ายอยู่ในระนาบธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติโดยที่อาจไม่ได้กล่าวธรรมแบบเฉิดฉันท์สมาหลาเพริดพริ้งพรรณรายแต่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระแต่ถูกฝ่ายแรกจับผิด งานนี้ไก่เต็มเล้าแน่

*ผมก็มีวัดอยู่ ชื่อวัด"ตลาดไท"
นั่งขายส่งฟักทอง อยู่แผงเบอร์ 50
*รักนะ.....เด็กโง่ (ใครเป็นใครฝ่ายค้านฝ่ายแค้นผมไม่เกี่ยว....ผมตีหัวแล้วเข้าบ้านอย่างเดียว...อิอิ)

(สุชัมบดี)

.................

...เสี่ยงรักเจ้าแบบ"เดาใจฟ้า"....
ไม่รู้ว่าเทวดาจะเห็นดีด้วยหรือไม่
...ผู้ชายปอนด์ๆนอนห้องเช่ารักเจ้าด้วยใจ......
...แทบไม่เห็นความเป็นไปได้....
แต่ใจก็ดันทุรัง....
(ธรรมะทั้งนั้น พอๆกับยักคิ้ว หลิ่วตานั่นแหละ)

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:10:44 pm

โอ น่าสนใจจริงๆนะค่ะ

ผู้ใด จะที่มีจิต สูงกว่าผู้ได หรือค่ะ
ผู้ใด จะมีจิตต่ำกว่า จิต ของผู้ใดหรือค่ะ

ยังหลงเชื่อว่า จิตผู้สูงศักดิ์ กับจิต สามัญชน แตกต่างกันอีก เฮ้อ
ระนาบของผลึก จึงตะปุมตะป่ำ
ผลึกเกลือ ผลึกสารส้ม ผลึกตะกอนปากน้ำ ก็เลยตะปุ่มตะป่ำเละๆ นะค่ะ

ไก่ จึงไหลเท ออกมาจากจิตที่สูงต่ำ

ความดับสนิทไม่มีเหลือ
ตถาคตมี"วิตก วิจารณ์"อีกหรือไม่ พระองค์ทรงตรัสว่า"เราตถาคตเองก็วิตก วิจารณ์ อยู่ แต่การวิตก วิจารณ์เราเป็นไปด้วยความดับสนิทไม่มีเหลือ ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เกิดตัณหาอุปาทานแต่อย่างใด "

โอ ขณะนั้น ยังไม่ถึงศูนยตนิพพาน
วิตกวิจารณ์ทั้งหลาย ยังไม่ดับหมด นะจ๊ะ
เเต่เป็นไป เพื่อ ถึง ความดับไม่มีเหลือ


++++"อ๋อ การวิตก วิจารณ์ พูดง่ายๆก็คือความคิดเรา "+++++
ไก่ ก็ออกไข่ มาอีกแล้ว

ถ้าดับหมด แล้ว ก็จะรู้จัก หนู และรักหนูอย่างเต็มเปา เองแหละ
และจะรู้จักธรรมชาติ แบบ ออโตเมติก แบบคุณขาจรจัด
โดยไม่มีคิด แม้แต่นิดเดียว

เพราะคิด ดับ
ไม่ได้ดับเพราะคิด

นะค้า นะค้า

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:15:13 pm

โหลๆๆ คิดถุงพี่มารน้อยจังเยย ...เจ้าแม่เซน...พี่ฮานะจังไปเก็บมาได้... เย่ๆๆ...เก่งจัง...จุ๊ปส์ๆๆ

                                            apocalypse
...............

ท่านสังฆปรินายก บอกว่า ปัญญาสุดๆ ไม่ต่างกันนี่ ทั้งพระพุทธเจ้าและสามัญสัตว์ ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น ปัญญา อย่างตรัสรู้ ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง ก็มีบริบูรณ์ สุดๆอย่างเท่าเทียมกัน
เอ่ ? แล้วทำไม หลวงพี่ยังเห็น ยังว่าแตกต่างกัน
เอ่ ? แล้ว หลวงพี่เข้าใจ เข้าใจ เป็น เซนแบบใด กันนี่หรือว่า ว่าง แบบปัจตังแท้ๆ ไม่ได้ว่างแบบสากล ไม่เหมือนท่านสังฆปรินายกเห็นเลย ? หนู งง ไปหมดแล้ว ค่ะ ว่างแบบปัจจตัง

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:20:12 pm

ท่านสังฆปรินายก บอกว่า ปัญญาสุดๆ ไม่ต่างกันนี่ ทั้งพระพุทธเจ้าและสามัญสัตว์ ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากจิตหนึ่งเท่านั้น ปัญญา อย่างตรัสรู้ ปัญญาแห่งความรู้แจ้ง ก็มีบริบูรณ์ สุดๆอย่างเท่าเทียมกัน เอ่ ? แล้วทำไม หลวงพี่ยังเห็น ยังว่าแตกต่างกัน เอ่ ? แล้ว หลวงพี่เข้าใจ เข้าใจ เป็น เซนแบบใด กันนี่หรือว่า ว่าง แบบปัจตังแท้ๆ ไม่ได้ว่างแบบสากล ไม่เหมือนท่านสังฆปรินายกเห็นเลย ? หนู งง ไปหมดแล้ว ค่ะ ว่างแบบปัจจตัง(น้องมารน้อย)

ก็หลวงพี่  ...ว่างแบบปัจจัตตังแท้ๆไงค่ะ... ว่างเฉพาะตน ...ว่างแบบตน... แต่ไม่ว่างจากตนซะที...หลวงพี่ ก็ได้แต่จินตนาการความว่างเท่านั้นเอง...ก็เลยไม่ใช่ว่างแบบสากลค่ะ

                                      apocalypse
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:24:11 pm

ฮานะ ค่อยมา โพสต์ต่อ ขะ บอร์ด อืด มาก มาก
                       Hana

............................

อ่อ กระทู้ของเจ้าแม่เซนธรรมเอก ที่ไม่มีอะไรผุด ไม่มีอะไรดับ
                                 miracle of love
 
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:29:20 pm

สวัสดีจ๊ะคุณน้องมารน้อยและสหายธรรมทุกท่าน ตามที่น้องมารน้อยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ
ว่างแบบปัจจัตตังของหลวงพ่อว่าเป็นแบบไหน ?นั้น
จริงๆ คำตอบมันเป็นปริศนาธรรมอยู่ในในตอนสุดท้ายที่ผมไม่กล้า เล่า
แบบว่ากลัวครับ กลัว
แต่ดู ดู จากที่สนทนากันมาหลายครั้งแล้ว
เวปนี้รู้สึกจะสงบเรียบร้อยถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีอยู่คงพราะเป็นคอเซนด้วยกันทั้งนั้น
ไหน ๆ ก็เพราะเหตุที่น้องมารน้อยถามมา
จึงขอตอบไปตามเหตุ แต่ผมขอบอก
คำตอบมันสวนกระแสแบบสุด ๆมันอาจจะสุดที่ผู้ยังไม่เข้าถึง เซน จะรับไว้ได้
กลัวจะถูกถล่มด้วย ก้อนหินก้อนกรวด ขวดเหล้าขวดเบียร์อะอะไรประมาณนั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นคงต้องให้น้องมารน้อยเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียวแล้วกันนะครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากสนทนากับหลวงพ่อมาจนพอสมควรแก่การกราบลาแล้วผมจึงบอกหลวงพ่อว่า
หลวงพ่อครับมาสนทนาธรรมกับหลวงพ่อแล้วทำให้เกิดปัญญาจริง ๆ เลยนะครับ
หลวงพ่อตอบว่าไงรู้ไหม ?ครับ
ท่านตอบว่า ปํญญาบ้าบออะไรกันอีกโยม ขยะน่ะ ขยะทั้งนั้นถังอยู่ข้างประตูวัดนั่นไงอย่าลืมเอาไอ้ปัญญาที่ว่าทิ้งไว้ที่ถังขยะด้วยนะโยมอยู่

เป็นไงครับ ? ใคร ๆ เข้าปฏิบัติเพื่อจะให้เกิดปัญญากันทั้งนั้น
แต่หลวงพ่อกับเห็นเป็นขยะที่ต้องเอาไปทิ้งเอากับหลวงพ่อท่านซิ
ผมนี่ งงสุด ๆ กับหลวงพ่อจริงๆ

(เม็ดทราย)

.................

ส่วนหลวงพ่อท่าน นามว่าอะไร จำพรรษาอยู่ที่ไหนวัดอะไรนี่
ต้องขอสงวนเป็นความลับเพื่อความความปลอดภัยของหลวงพ่อครับ
กลัวท่านถูกจับสึกจากผู้ที่ยังไม่เข้าใจในธรรมที่ท่านแสดงด้วยข้อหามิจฉาทิฏฐิครับ

(เม็ดทราย)

หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:34:05 pm

แหม เหมือนหนูเลย
พวกจ้องปองร้าย เยอะแยะ เหมือนกัน ต้องหลบๆซ่อนๆบางทีก็ไปอาศัยอยู่กับพรานป่า สอนให้รู้จักการล่าสัตว์สอนให้รู้จักเลี้ยงสัตว์ สอนให้รู้จักทำกับข้าว เพราะหนูไม่ชอบกินผักแบบท่านสังฆปรินายก
หนูกลัวค่ะกลัวต้องกินแต่ผักอิๆ

แล้วหลวงพ่อยังกลัวถูกสึกด้วยหรือค่ะงั้นสึกเองไม๋ไม่ต้องรอคนจับสึกก็ได้ค่ะ
หรือติดในจีวร อย่างนี้ตาย(มรณะภาพ)ไป ติดในจีวร จะเป็นตัวเล็นนะค่ะหนูเคยได้ยินในพระไตรปิฎกด้วยแหละ พี่เม็ดทราย เคยได้ยินไม๋คะ

ถ้าคอเซนแล้ว ต่อให้กระทบรุนแรงแค่ใหนการกระทบก็เบาบาง ลงบางลง
เวลาโยนหินไปในน้ำโยนแรง คลื่นก็แรง
เวลาโยนหินไปในอากาศ โยนแรงๆ เร็วกว่าเสียง กลับดังสนั่น
แต่โยนหินเข้าไปในจิตหนึ่งจ๋อยหายจ๋อยทั้งหินหายทั้งเสียง หายทั้งคลื่น

กลุ่ม คอเซน จะอาศัยการกระทบ เพื่อเข้าถึงประสบการณ์ ไม่หลีกเลี่ยงประสบการณ์จึงเรียกว่ามีปัญญา
คนเขลา หลีกเลี่ยงประสบการณ์แต่ก็มีปัญญา เหมือนกัน

ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นออโตเมติกของกลุ่มคอเซน เค้าน่ะค่ะ

แต่ปัญญาทั้งหมด เอาไปทิ้งขยะ ก็หาถังขยะ มารองรับไม่พอ
แต่ปัญญา กลับรองรับได้ทั้งถังขยะ และโลกธาตุทั้งหมด

มันไม่ได้ขึ้นกับหนังสือ หรือบัญญัติใดๆ และปัญญา ก็ไขว่คว้าไม่ได้จะหาถังหาภาชนะต่างๆมารองรับก็ ไม่สามารถหาได้พอ ปํญญาของคนนั้นจึงเป็นตามภาชนะ ถังหรือกาละมัง

ปัญญาของหลวงพ่อของพี่ ใส่ได้ใน ถังขยะก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ทิ้งไปได้ก็ดีดีกว่าเก็บไว้สาธุๆๆ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:40:55 pm

ขนาดเอาสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เองออกมานำเสนอเพื่อยังประโยชน์สูงสุดให้เกิดขึ้นกับทุกๆฝ่ายที่ปรารถนาทางหลุดพ้นไม่ได้มีเจตนาคะคานให้เสียรูปกระบวนแต่อย่างใด ปานนั้น"ก็โดนจนเลือดสาด"มันส์ดี คุณพูดอย่างกับว่าพระองค์ก็ไม่ถึงคง คงไม่เข้าใจคำว่า"ธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติ"
*เซน....เล่นลิ้น....พึ่งกระจ่างในวันนี้เอง

*พระพุทธองค์ก็เจออุปสรรคในการเผยแพร่ธรรมเมื่อเจอเหล่ามิจฉาทิฐิที่โต้ตอบธรรมเพียงมุ่งหวังจะ"ลบชื่อ"พระพุทธองค์ออกจากชมพูทวีปในยุคนั้นตถาคตทำได้แค่เพียง"นิ่งเฉย"เสีย
*การที่เราพูดถึงเนื้อหาแห่ง"วิมุตติ"ล้วนๆโดยไม่กล่าวถึง"หนทาง"
ดำเนินมาสู่จุดวิมุตติ ก็เปล่าประโยชน์ ไม่เช่นนั้นเปิดพระไตรปิฎกออกมาก็จะพบเพียงกระดาษเปล่าๆ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวธรรม

*"มรรค"คือ"ลีลาแห่งธรรม"เท่านั้นมรรคเมื่อเราเข้าไปศึกษาแล้วเข้าใจแล้วในกระบวน"โครงสร้าง"ทั้งหมดของธรรมตัดความลังเลสงสัยได้แล้วในเรื่องอะไรคือทุกข์
อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ และวิธีดับทุกข์ เราก็วางเรื่องที่เราศึกษาซะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามทางของมันภายใต้กฎธรรมชาติตรงนี้แหละจะเกิดการขยับเขยื้อนเป็นลีลาแห่งธรรมพระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า"ระบบคลายกำหนัด"แต่มิใช่ให้เข้าไปแบกในเรื่องนี้อีก ที่บางท่านบอกว่าระบบ"automatic system"นั่นแหละตัวเดียวกันพออสูรแก่สุชัมบดีเปรียบเทียบระบบคลายกำหนัดว่า
มันเป็น"การปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"บ้าง เท่านั้นแหละ โดนซะน่วม

*ม่าม๊า บอกไว้นานแล้วไม่ให้สนทนาธรรมกับคนแปลกหน้า เว้นไว้แต่เขาคนนั้นเป็นพหูสูตร เป็นบัณฑิต
*เอาไว้วันหน้า จะนำเสนอธรรมเป็น series ไล่เรียงตั้งแต่มืดยันสว่างในรูปแบบการนำเสนอสไตล์สุชัมบดีเผื่อมีแฟนคลับกับเขาบ้างในบอร์ดอกาลิโกนี่แหละ ช่วงนี้ไม่ว่าง"ฟักทอง"ขายไม่ค่อยออก
*tawatingsaheaven@thaimail.com....อีเมล์ผมเอง เผื่อ"โดน"สามารถโพส์ส่วนตัวได้
*ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจาก"หน่อไม้"

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 12:53:44 pm

ขนาดเอาสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เองออกมานำเสนอเพื่อยังประโยชน์สูงสุดให้เกิดขึ้นกับทุกๆฝ่ายที่ปรารถนาทางหลุดพ้นไม่ได้มีเจตนาคะคานให้เสียรูปกระบวนแต่อย่างใด ปานนั้น"ก็โดนจนเลือดสาด"มันส์ดี คุณพูดอย่างกับว่าพระองค์ก็ไม่ถึงคงคงไม่เข้าใจคำว่า"ธรรมชาติแห่งความไม่หวนกลับไปบัญญัติ"
*เซน....เล่นลิ้น....พึ่งกระจ่างในวันนี้เอง
.............

เล่นลิ้นๆๆ
อะไร ๆ ก็เล่นลิ้นเอ่ ......ส่งสัญญาณแปลกๆ
ว๊าวพูดอะไร น่าอายชมัด พี่สุชัมบดี

ใครจะมีลิ้นเซนไม่เคยมีลิ้นหรอกค่ะชาวโลกต่างเข้าใจผิดๆ
ปากหุบเงียบ ลิ้นหายไป ตั้งแต่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำนะคะ

และหนูก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีกอไผ่ ไม่มีหน่อไม้ ไม่มีข้าวเหนียว ไม่มีปลาร้า ไม่มีพหูสูตรอิๆ
มีแต่น้ำลายไหล เพราะ หิว ค่ะ

สำหรับ ใจที่ไม่ใช่หนู
ที่มีต่อพี่ๆทุกคน ไม่ได้ป่วน ไม่ได้แย้ง ไม่ได้ขัดใครเลย สักครั้งเดียว
เป็นความเข้าใจผิดนะค่ะที่จะเห็นว่าเช่นนั้น เพราะว่า ว่ามันไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เป็นของกันและกัน

มาถึงตอนนี้ หลายๆท่านก็จะพอเข้าใจเซน ได้มากขึ้น
แต่หนู ไม่ใช่เซน ไม่ไช่ดูจิต ไม่ได้อยู่บนมรรคาใดๆอยู่แต่บ้าน
ป๊ะคือท่านวิมลเกียรติม๊ะ คือ ท่านปารมิตาอาจารย์คือท่านสังฆปรินายก
อจ.ที่ปรึกษาคือพระองค์เจ้ากฤษณะ
หลังจากเปิดเทอมแล้ว คงไม่ได้มาโพสต์บ่อยๆนะค่ะขออนุญาตล่วงหน้า นะค๊ะ ๆ

การนำเสนอ คุณสุชัมบดี จะเสนอแบบใหน ก็เป็นธรรมชาติของคุณสุชัมบดี
เช่นกันพระพุทธองค์ จะนำเสนอ เช่นไร ก็เป็นธรรมชาติ ของพระพุทธองค์
คณาจารย์ ก็เสนอ แบบธรรมชาติของคณาจารย์
สังฆปรินายกก็เสนอสอนแบบธรรมชาติของสังฆปรินายก
นี่คือธรรมชาติของผู้อยู่ยังในธรรมชาติ

พระพุทธองค์ เข้าใจธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง จากการตรัสรู้
เพราะกระบวนการคลายกำหนัดของพุทธองค์ จากอดีต จนถึง เมื่อตรัสรู้
เป็นไปอย่างเนิบนาบใช้กระบวนการนี้ มากกว่า สี่อสงไขยแสนกัปป์

ตรัสสอนกระบวนการนี้ วิธีตางๆตั้งแต่ต้นกระบวนการ จนบำเพ็ญมากหลาย
จนกระทั่งสุดท้ายจึงตรัสรู้จากนั้นก็เข้าสู่ศูนยตนิพพาน

พระอรหันต์ เห็นกระบวนการทั้งหมดในคำสอนจึงตรัสรู้อรหันต์ผล
ในวันที่ฟังธรรม จากนั้นก็เข้าศูนยตนิพพานเช่นกัน

พระสังฆปรินายก เห็นกระบวนการทั้งหมด จึงย่นย่อ กระบวนการทั้งหมด
เหลือในวันสุดท้ายแล้วเข้าศูนยตนิพพานเช่นกัน แต่ต่างกันที่
ปล่อยสังขารที่ยังไม่ตายล่องลอยไปตามกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติ

ดังนั้น เฉพาะสังฆปรินายกเท่านั้นที่รับมอบพระจีวรอัฐบริขารจากพระพุทธองค์
เพราะกระบวนการย่อยสลายย่นย่อที่สุด
ใช้จิตเดิมแท้ ย่นย่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตเดิมแท้เอง

ดีๆๆ ค่ะ จะนำเสนอตามสไตล์ตนเองหรือตามสไตล์ใครๆไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน
จะเป็นกระบวนการอ้อยอิ่ง หรือกระบวนการย่นย่อที่สุดคือ อันเดียวกัน

กระบวนการอ้อยอิ่ง กระบวนการออโตเมติกกระบวนการย่อยสลายทางธรรมชาติ

เป็นเหมือนเกมส์ เกมส์เดียวกันมี LEVEL เท่ากัน
จะเริ่มเล่น ฝ่าด่านค่อยเป้นค่อยไปตั้งแต่ หนึ่ง จนมาถึงตอนจบสู้กับบอสส์ ก็จบ
แต่สำหรับเซนใครจะเล่นมาเท่าไร จะกี่ เลเวลข้ามไป เจอกับบอสส์ เลย ก็จบ

นี่คือข้อแตกต่าง ของพระอรหันต์และพระสังฆปรินายก

พระพุทธองค์ ทรงเล็งเห็นว่า พระอรหันต์ทั้งหมด จะถึงแก่การบรรลุ
ด้วยเงื่อนใขสุดท้ายคือต้องเจอพระพุทธองค์ จึงเสด็จไป และ เงื่อนใขสุดท้าย
คือคำสอนที่ที่ทำให้ตรัสรู้ ไม่เหมือนกันสักองค์

แต่สำหรับท่านสังฆปรินายก พระพุทธองค์เพียงบอกว่าพบไข่มุกแล้วท่านสังฆปรินายก
ก็เลยเจอเช่นกัน แต่เงื่อนใขก็คือพระพุทธองค์ต้องเป็นคนบอก

เช่นเดียวกัน
คุณสุชัมบดีหรือใครๆจะนำเสนอเช่นไรลูกศิษย์ลูกหาหรือแฟนคลับ ก็บรรลุได้เช่นกัน
แม้แต่ต่างศาสนา ก้อไม่ต่างกัน อยู่ที่เงื่อนใขสุดท้ายค่ะ

และเงื่อนใขสุดท้ายของพระพุทธองค์ ก่อนตรัสรู้ คือต้นโพธิ์
จะไปนั่งต้นอื่นก้ไม่ได้

นี่คือธรรมชาติของกระบวนการทุกกระบวนการไม่ได้ต่างกันเลย
เห็นธรรมชาติ รู้ธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ รู้จริงว่าเป็นธรรมชาติ จึงรู้แจ้งในธรรมชาติ
เมื่อธรรมชาติของการรู้แจ้งแห่งธรรมชาติปรากฎขึ้น
ผลึก ทั้งหลายทั้งปวง ก็ไม่ได้เกิดขึ้น มีแต่อันตระธาน หายไปนะค่ะ นะค่ะ
สาธุๆๆๆ ทุกท่าน

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:01:52 pm

ธรรมชาติแห่งการถ่ายทอดจึงถ่ายทอด ตามธรรมชาตินั้นๆ
สักว่าถ่ายทอด
แต่จะมีใครล่ะ ที่ถ่ายทอด ในเมื่อมีแต่จิตมีแต่ธรรมชาติของกาย มีแต่ธรรมชาติของจิต
และจิตก็คือธรรมชาติ
และการถ่ายทอดจะเป็นการถ่ายทอดได้อย่างไร
ในเมื่อธรรมชาติทั้งหลายเป็นเช่นนั้นเอง

ธรรมชาติของเนิบนาบ
ธรรมชาติของย่นย่อ
ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง

จะละไปก่อนก็ไม่ได้ต้องปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ
บังคับบัญชาอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียวจริงๆน๊ะ
เหมือนยักคิ้ว กระพริบตา

ไม่งอนนะจ๊ะ เจ้าของกระทู้
กลับมายักคิ้วกระพริบตาอีกแล้ว

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:07:11 pm

โห ๆๆๆ
ไม่มาวันเดียวเล่นกันไปหลายหน้าเลย ขอรับ

ธรรมชาติ ออโตเมติก ของร่างกาย เป็น ส่วนเล็กน้อยซะเหลือเกิน
ธรรมชาติของ จิต ก็เป็นของเล็กน้อยเสียเหลือเกิน
ธรมชาติของกลุ่ม ก็เป้นสิ่งเล็กน้อยเสียเหลือเกิน
ธรรมชาติของธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยซะเหลือเกิน
ธรรมชาติของจิตเดิมแท้เข้าใจอย่างไม่มีอะไรห่อหุ้มและพัน
มรรคาทั้งหลายที่ดำเนินไป เป็นธรรมชาติทั้งหมด ไม่สามารถบังคับบัญชาได้แม้แต่นิดเดียว

ธรรมชาติ ของการสนทนา การติดต่อสื่อสาร
ธรรมขาติ ของการกระทำดี ทำชั่ว
ธรรมชาติ ของการบังคับ การปลดปล่อย
ธรรมชาติของเหตุ ธรรมชาติของผล
ธรรมชาติแห่งของคู่ทั้งหลายทั้งปวง

ธรรมชาติส่วนตน ธรรมชาติส่วนรวม
ธรรมชาติเขา ธรรมชาติเรา
ธรรมชาติของการปฎิบัติ การไม่ปฎิบัติ
ธรรมชาติของการบรรลุ และไม่บรรลุ
ธรรมชาติอื่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่ว่าจะกล่าวถึง หรือคำนึงถึงอะไร
ธรรมชาติของความคิด และการดับไปของความคิด

ทั้งหมดสักว่าเป็นธรมชาติ บังคับบัญชาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:11:03 pm

แต่ปัญญาทั้งหมด เอาไปทิ้งขยะ ก็หาถังขยะ มารองรับไม่พอ
แต่ปัญญา กลับรองรับได้ทั้งถังขยะ และโลกธาตุทั้งหมด

มันไม่ได้ขึ้นกับหนังสือ หรือบัญญัติใดๆ และปัญญา ก็ไขว่คว้าไม่ได้จะหาถังหาภาชนะต่างๆมารองรับก็ ไม่สามารถหาได้พอ ปํญญาของคนนั้นจึงเป็นตามภาชนะ ถังหรือกาละมัง

ปัญญาของหลวงพ่อของพี่ ใส่ได้ใน ถังขยะก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ทิ้งไปได้ก็ดีดีกว่าเก็บไว้สาธุๆๆ

(น้องมารน้อย)


------------------

ปัญญาที่อยู่ในกาละมังชามไห ยังเป็นปัญญาจากความคิดปรุงแต่งนะคะ
เมื่อทิ้งไปเสียก็จะพบกับปัญญาแห่งการรู้แจ้งเพราะพ้นแล้วจากความคิดปรุงแต่งจ๊ะ

ปัญญานี้ก็คือจิตหนึ่งนั่นเองจ๊ะ

เมื่อเห็นเป็นจิตหนึ่งแล้วมันหุบปากเงียบ เพราะพ้นไปจากสมมุติ และบัญญัติจ๊ะ
อนุโมทนาสาธุค่ะน้องมารน้อย คุณสุชัมดี คุณขาจรจัด คุณเม็ดทราย และทุกท่านค่ะ

(หนูไม่มี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:14:32 pm
จิตหนึ่ง เป็นกาละมังใส่ปัญญา
ปัญญา เต็มกาละมังจิตหนึ่ง
แบกไม่ใหว เหมือนกันขอรับฮ่าๆ

(ขาจรจัด)

....................


ณ เวทีมวยอกาลิโกราชดำเนิน
แอนตาซิลเขาจ่ายให้ เข็มละ 500
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
*ขาจรจัดน้อย เกียรติบ้านช่อง แตก 5 เข็ม รับไป 2500 บาท
*เม็ดทราย ศิษย์วัดดอน แตก 7 เข็ม รับไป 3500 บาท
*สุชัมบดี ลูกเจ้าแม่ไทรทอง
แตก 10 เข็ม รับไป 5000 บาท
*น้องมารน้อย ลูกเจ้าพ่อกฤษณะ
(สายเทพส่งเข้าประกวดนี่เอง.........
ถึงว่า) แตก 100 เข็ม
รับไปเลย 50000 บาท (ฮา.....)

***สรุป...ธรรมคือ ธรรมชาติ
ไร้ตัวไร้ตน บริสุทธิ์ในตัวมันเอง
*ในอดีตสายเทพฮินดู เป็นคู่ปรับพระพุทธองค์มาตลอดเทพพวกนี้ยังไม่ได้ถูกพยากรณ์เลยด้วยซ้ำกระแสข่าวเรื่องพระพุทธองค์แย่งดอกบัวศรีอริยเมตไตรยชิงมาตรัสรู้ก็พวกเทพมิจฉาทิฐิพวกนี้แหละที่ปล่อยข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงพระพุทธองค์ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธองค์และศรีอริยเมตไตรยเคยเกื้อหนุนกันมาตลอด เพราะพวกนี้เป็นพวก"อกหัก"หวังจะมาเป็นพุทธะในกัปป์นี้แต่บารมีไม่ถึงเรื่องใครจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในแต่ละกัปป์มันเป็นเรื่อง"ตถตาแห่งกรรมวิสัย"ต่างหาก
*แผลแตกเข็มนี้ ท่านสุชัมบดีจะจ่ายให้.

(สุชัมบดี)

หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:16:09 pm

สายเทพ=....สายเสมอ
พวกที่ชอบเอาหลัก"อวตาร"มานำเสนอ ชอบยกหางตัวเองว่าเก่งกว่าผู้อื่น เป็นได้แค่"เทวปุตตมาร
*พระพุทธองค์ได้ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย และดีเลิศทั้งอรรถะ พยัญชนะ
*ไม่เห็นเกี่ยวกับ กฤษณะเทพ ตรงใหน หรือว่ายังติด ตัวตน บุคคลเรา เขา

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:18:32 pm

*ในอดีตสายเทพฮินดู เป็นคู่ปรับพระพุทธองค์มาตลอดเทพพวกนี้ยังไม่ได้ถูกพยากรณ์เลยด้วยซ้ำกระแสข่าวเรื่องพระพุทธองค์แย่งดอกบัวศรีอริยเมตไตรยชิงมาตรัสรู้ก็พวกเทพมิจฉาทิฐิพวกนี้แหละที่ปล่อยข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงพระพุทธองค์ทั้งๆที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธองค์และศรีอริยเมตไตรยเคยเกื้อหนุนกันมาตลอด เพราะพวกนี้เป็นพวก"อกหัก"หวังจะมาเป็นพุทธะในกัปป์นี้แต่บารมีไม่ถึงเรื่องใครจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในแต่ละกัปป์มันเป็นเรื่อง"ตถตาแห่งกรรมวิสัย"ต่างหาก
*แผลแตกเข็มนี้ ท่านสุชัมบดีจะจ่ายให้.

(สุชัมบดี)

.....................................................................................


โถ พี่สุชัมบดี

ถึงจะยกแม่น้ำทั้งห้ามาพูดก็น๊อค ตั้งแต่ไม่ขึ้นเวทีเพราะลมปากตัวเองซะแล้ว
พระพุทธองค์ ก็ตรัสอยู่ " ใครกระทำกรรมอันใด ก็ได้ผลนั้น"

*******นั่นแหละ กรรมของพระพุทธองค์ *********

"""""ตถตา แห่ง กรรมวิสัย """""""""
ปากพูดได้แต่ความเข้าใจไม่พอก็เป็นอย่างพี่สุชัมบดีแหละ

ใหว้ครูสวย รูปมวยดี แต่ไม่เป็นมวยเลยนะค๊ะๆๆ
จึงมีแต่ตัวตนมีแต่ความคิดของตนเองจะ หาความบริสุทธิ์ ได้ยังไง

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:20:45 pm

พวกที่ชอบเอาหลัก"อวตาร"มานำเสนอ ชอบยกหางตัวเองว่าเก่งกว่าผู้อื่น เป็นได้แค่"เทวปุตตมาร
*พระพุทธองค์ได้ประกาศธรรมไว้ดีแล้ว ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย และดีเลิศทั้งอรรถะ พยัญชนะ
*ไม่เห็นเกี่ยวกับ กฤษณะเทพ ตรงใหน หรือว่ายังติด ตัวตน บุคคลเรา เขา

(สุชัมบดี)

...

นี่ก็อีก

ติดพระพุทธเจ้าติดกฤษณะเทพไม่ได้ต่างกัน
ถ้ายังติด ตัวตน บุคคล เรา เขา

ปากก็ยังเก่งเหมือนเดิม นะค๊ะ ๆๆ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:27:32 pm

คุณสุชัมบดีนี่สุดยอดจริงๆขอรับ
นำเสนอ แต่มุขฮาๆ
เข้ามาห้องเซนทำเอาคอเซนได้ฮากันเป็นแถวๆๆๆ

(ขาจรจัด)

-----------


ก็ใหนว่าคุณมี"กฤษณะเทพ"เป็น
อาจารย์ที่ปรึกษางัย ยกย่องเทพเป็น consult ไว้คอยปรึกษาธรรมอย่างนี้ก็แย่สิคุณ
*ผมเองไม่ได้ติดพระพุทธองค์เหมือนพระวักกะลิ แต่ผมรู้คุณของพระพุทธองค์ที่ท่านประกาศธรรมไว้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยเทพองค์ใหน
*หากไม่มีพระพุทธองค์ก็ไม่มีน้องมารน้อยที่คิดว่าตนเองเลิศหรูทางธรรมไม่มีใครเทียบถึง "เดินตามตูด"พระพุทธองค์ทั้งนั้น
*จะปรมัตถ์ก็ไม่ว่า แต่อย่าดูถูกพ่อตัวเอง ลูกเนรคุณ

*คำว่า"ป๊ะ"กับ"ม๊ะ"ที่คุณใช้เป็นของศาสนาอิสลามใช้เรียกแทนคำว่าพ่อและแม่ คุณเป็นอิสลามหรือเปล่า
*เกร็ดความรู้เรื่องกรรมวิสัยในยุคนี้......จริงๆศาสนาดั้งเดิมในช่วงกลียุคนี้คือศาสนาเทพที่ยกฐานะตนเองว่าสามารถช่วยคนพ้นทุกข์ได้ ไล่มาจากศิวะ กฤษณะเทพ
พวกนี้พึ่งมาแจ้งเกิดได้ในทางมิจฉาทิฐิเมื่ออายุมนุษย์สั้นลงมาถึง 2500 ปีจาก"ปกติ"อายุมนุษย์ถึงแสนปีหรือมากกว่านั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้เองใน"จักรวรรดิสูตร"
ว่าเมื่ออายุมนุษย์ตกต่ำสั้นลงถึง 2500 ปีมนุษย์จะเริ่มเห็นสัทธรรมเป็นอสัทธรรม และจะเริ่มเห็นอสัทธรรมเป็นสัทธรรมพวกเทพพวกนี้เริ่มเสียรังวัดเมื่อพระพุทธองค์มาตรัสรู้เอากฎธรรมชาติออกมาประกาศเป็นพระพุทธศาสนา

*เมื่อตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
สายเทพเดินเกมเปิดตัวอีกครั้งโดยเฉพาะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะเปิดตัวกันในนาม "พระยาธรรมมิกราช"ว่าจะมาเป็นจักรพรรดิ์กันในยุคนี้โดยอ้างเมตไตโยอวตารมาเกิด
*หากคุณหูตาไว ลองไปอ่านหนังสือทางฝั่งอิสลามดู เขายกย่องอัลเลาะห์ว่าคือศรีอริยะอัลเลาะห์ ชื่อหนังสือคือ" 7 spirit"
*พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสว่ายุคนี้จะมีจักรพรรดิ์ชื่อพระยาธรรมมิกราช มีแต่ในกาลข้างหน้าจะมีในยุคศาสนาพระศรีอาริย์ชื่อว่า
"สังขจักรพรรดิ"

*โปรดติดตามโดยฉับพลันเรื่องกลโกงของพวกเทพฝ่ายมิจฉาทิฐิ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอ "นิพพานของคุณน้องมารน้อยกระเพื่อมเสียก่อน" เห็นกระเพื่อมได้ทุกช้อท.

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:35:47 pm

อ่ะๆยินดีตอบคำถามน้องใหม่ เฟรชชี่ๆๆๆนะค๊ะๆๆ

ก็ใหนว่าคุณมี"กฤษณะเทพ"เป็น
อาจารย์ที่ปรึกษางัย ยกย่องเทพเป็น consult ไว้คอยปรึกษาธรรมอย่างนี้ก็แย่สิคุณ

////พระองค์เจ้ากฤษณะ หาได้เป็นเพียงกฤษณะเทพเท่านั้นนะค่ะ ๆๆ
เป็นเทพเลี้ยงวัวเป็นคนขับรถม้าเป็นอะไรหลายต่อหลายอย่างตามที่คุณสุชัมบดีหรือคนอื่นๆเห็น

แต่ถ้าเห็นเป็น " ปรมาตมัน " อย่างปรมัตถ์ได้
ก็คงไม่มีปัญญหา ลังเลสงสัย นะค๊ะๆ นะค๊ะ

*ผมเองไม่ได้ติดพระพุทธองค์เหมือนพระวักกะลิ แต่ผมรู้คุณของพระพุทธองค์ที่ท่านประกาศธรรมไว้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยเทพองค์ใหน
*หากไม่มีพระพุทธองค์ก็ไม่มีน้องมารน้อยที่คิดว่าตนเองเลิศหรูทางธรรมไม่มีใครเทียบถึง "เดินตามตูด"พระพุทธองค์ทั้งนั้น
*จะปรมัตถ์ก็ไม่ว่า แต่อย่าดูถูกพ่อตัวเอง ลูกเนรคุณ

/////ความจ้องจับผิด ความดูถูก ดูผิด จะออกมาจากใหนล่ะจ๊ะถ้าไม่ออกมาจากจิตที่ปรุงแต่งของตนเอง ของพี่เองนะค๊ะๆ
ธรรมะที่แสนเลิศหรู เหมือนเรือไตตานิค เกาะไว้ก็พาจมอยู่ในสังสาร
ธรรมะคือจิตหนึ่ง แล้วจะไปหาธรรมะที่เลิศหรูได้จากใหนอีก ค่ะ

*คำว่า"ป๊ะ"กับ"ม๊ะ"ที่คุณใช้เป็นของศาสนาอิสลามใช้เรียกแทนคำว่าพ่อและแม่ คุณเป็นอิสลามหรือเปล่า

//////อ้อเรียกป่ะป๊ะ กะหม่าม๊ะเลยต้องเป็นอิสลาม
เรียก Papa Mama คงจะเป็นคริส
เรียก พระบิดา พระมารดา คงต้องสูงศักดิ์
เรียกพ่อ เรียก แม่ คงต้องเป็นคนไทย
เรียกไม่ได้ ก็คงเป็น ใบ้อิๆ

ช่างสำคัญมั่นหมาย ซะเหลือเกินนะเพค่ะ เสด็จพี่
เลยวางตัวตนไม่ได้เจ้าค่ะ เสด็จพี่

จักรวรรติสูตรมาที่หลัง พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์มีมาก่อนที่จะประกาศพระศาสนา นะค๊ะๆๆ
พระพุทธองค์เองยังบอกธรรมชาติทั้งหลายมีแต่เดิมมา ตถาคตไม่ได้ค้นพบแต่ทรงเข้าใจธรรมชาติ แล้วจึงละวางธรรมชาติ นะค๊ะ นะค๊ะ ๆ

*เกร็ดความรู้เรื่องกรรมวิสัยในยุคนี้......จริงๆศาสนาดั้งเดิมในช่วงกลียุคนี้คือศาสนาเทพที่ยกฐานะตนเองว่าสามารถช่วยคนพ้นทุกข์ได้ ไล่มาจากศิวะ กฤษณเทพ
พวกนี้พึ่งมาแจ้งเกิดได้ในทางมิจฉาทิฐิเมื่ออายุมนุษย์สั้นลงมาถึง 2500 ปีจาก"ปกติ"อายุมนุษย์ถึงแสนปีหรือมากกว่านั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้เองใน"จักรวรรดิสูตร"

///// โถก็กลับมาไล่เรียง อายุอาอานาม ของ มนุษย์ชาติเรื่องของผู้อื่นๆช่างส่งจิตออกไปไกลตัวดีแท้นะค๊ะๆๆ
ยังไม่รู้อีกหรือค๊ะว่าเป็นมาจาก" ตถาตา ของกรรมวิสัย " พูดได้แต่ไม่เข้าใจ ก็เป็นแบบนี้อีกแหละ นะค๊ะๆๆ

*เมื่อตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
สายเทพเดินเกมเปิดตัวอีกครั้งโดยเฉพาะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะเปิดตัวกันในนาม "พระยาธรรมมิกราช"ว่าจะมาเป็นจักรพรรดิ์กันในยุคนี้โดยอ้างเมตไตโยอวตารมาเกิด

/////ถ้าเข้าใจ " ตถตาของกรรมวิสัย "
จะไปสงสัยอะไร หรือจะไปสำคัญอะไร กับสายเทพสายมาร หรือ พระยาธรรมมามิกราชอีกหรือค่ะ
โอนี่เป็นเครื่องแสดงว่า เข้าใจแต่ปากไม่ได้เข้าถึงใจ จริงๆ นะค๊ะ ๆๆ

*หากคุณหูตาไว ลองไปอ่านหนังสือทางฝั่งอิสลามดู เขายกย่องอัลเลาะห์ว่าคือศรีอริยะอัลเลาะห์ ชื่อหนังสือคือ" 7 spirit

////แหมแนะนำให้แสวงหา หนังสือ อิสลามมาอ่าน
หนังสือทั้งหลายน่ะ เค้าหลั่งใหลออกมาจากจิต เลยกลายเป้นหนั้งสือเข้าใจใหม ค๊ะ

*พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสว่ายุคนี้จะมีจักรพรรดิ์ชื่อพระยาธรรมมิกราช มีแต่ในกาลข้างหน้าจะมีในยุคศาสนาพระศรีอาริย์ชื่อว่า
"สังขจักรพรรดิ"

/////พระพุทธองค์ตรัส ออกมาอย่างออโตเมติกก็ตรัสอย่างนั้นแหละตรัสอย่างอื่นก็ไม่ได้ นะค๊ะๆ

*โปรดติดตามโดยฉับพลันเรื่องกลโกงของพวกเทพฝ่ายมิจฉาทิฐิ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอ "นิพพานของคุณน้องมารน้อยกระเพื่อมเสียก่อน" เห็นกระเพื่อมได้ทุกช้อท.

//// หนูจะติดตามความ ฮาสุดขีดฮาไม่ยั้งของพี่สุชัมบดี นะค๊ะ ๆๆอุ๊ยนะเพค๊ะ เสด็จพี่

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:38:59 pm

ความบันเทิงสาระในธรรมด้วยลีลาแห่งเซน ได้ผ่านไป ช๊ดตหนึ่งแล้ว
ความสามารถ และลีลา โดนไม่เบาเป็นที่ถูกอกถูกใจคอเซนทั้งหลาย

คุณสุชัมบดี ร่ายกระบวนท่า
ทำเอาฮา ได้ทั้งทั้งที่มุขแป๋ก......แป๋กได้ไม่แพ้หม่ำโชว์
คุณสุชัมบดีนี่สุดยอด จริงๆ ขอรับ

รักใครชอบใคร ขอเสียงโหวตหน่อยนะขอรับ
ขอเสียงโหวตหน่อยนะขอรับ

ส่วนคุณน้องมารน้อยก็ไม่เบายังยันมุข แบบเซนได้ สั้นๆ แต่เร้าใจมุขแป๋กกลับยิ่ง แป๋ก
ขอเสียง โหวตเหมือนกัน

คอเซน คาเฟ่จะพบมุขเด็ดๆของคุณสุชัมบดีต้องรอประมาณตีสามนะขอรับ
ส่วนคุณน้องมารน้อยมาไม่ค่อยเป้นเวลา อดใจสักนิด กับ สาว สก๊อย ผู้นี้

ฟักทองจะกลายเป็นรถม้า ได้แค่เที่ยงคืน
หลังจากนั้นถึงจะคลายมุขฮาออกมา ขอรับ

ตอนนี้ พบกับ สิ่งที่น่าสนใจในกระทู้อื่นๆฆ่าเวลาไปก่อนนะขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 17, 2011, 01:49:05 pm

คุณโฆษกไม่สบายไข้ขึ้น หรือเปล่าค่ะ
ยั้งมือ หน่อย
ไว้ไมตรี
นะค๊ะ ๆๆ

(น้องมารน้อย)

----------------

ขอรับคุณน้องมารน้อย
ขอโทษทุกๆท่าน ขอรับ เพลิดเพลินไปหน่อยทั้งมันส์ทั้งฮาขอรับ
ขออนุญาต วิเคราะห์นิดหน่อย นะขอรับ

ทั้งหมดของคุณสุชัม คือตถตาของกระบวนการคือปล่อยตัวไปตามกระบวนการคลายกำหนัด โดยเห็นกระบวนการแล้วจึงปล่อยวางปล่อยกระบวนการให้เป็นไปตามธรรมชาติ
แต่แท้จริง กระบวนการคลายกำหนัดนี้ยังไม่ถึงจุดย่อยสลาย ที่แท้จริงดังนั้น ตัวเองก็ยังไม่ได้ย่อยสลายไปเพราะยังไม่ถึงจุดย่อยสลายของกระบวนการนั้น อย่างแท้จริง
จึงเพียงเห็นตถตา ของกระบวนการ
เมื่อยังไม่ถึงจุดย่อยสลายก็ไม่ได้เห็นกระบวนการเป็นตถตา

มายาของกระบวนการคลายกำหนัดจึงยัง ไม่ย่อยสลายเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไก
และเมื่อยังไม่เห็นถึงจิตหนึ่ง จึงไม่มีคำพูดใดๆที่แสดงความหมายของจิตหนึ่งเลย แม้แต่ประโยคเดียว
เหตุผลฟังแล้วก็ดีแต่ ยังไม่เข้าถึงความเป็นเซนขอรับ

(ขาจรจัด)

------------------------

เป็นเช่นนั้นค่ะ

(น้องมารน้อย)
#67 / น.5
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 12:12:14 pm

พระพุทธองค์ก็ตรัสรู้ธรรมสูงสุดแต่ท่านก็กล่าวธรรมได้ทุกระดับ
ทำไมไม่ลองไปจับผิดพระพุทธองค์ดูบ้าง
*สมมุติว่า"พระพุทธองค์ตรัสว่า
...พวกสัญชัยเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ....

*พวกคุณก็คงไปตำหนิพระพุทธองค์อีกว่า ตถาคตยังไม่ถึงจิตหนึ่งเพราะพูดแต่เรื่องอัตตา ว่ามีเขามีเรา เขาเป็นมิจฉาทิฐิ
*ไม่มีอะไรกับอะไรในตัวมันเองอยู่แล้ว
*จิตหนึ่งแบบ"ศรีธนัญชัย"
*ลอง test ทีไร จิตหนึ่ง"กระเพื่อม"ทุกเที่ยว ผมว่า"จิตมืด"มากกว่า

(สุชัมบดี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 12:13:54 pm

พระพุทธองค์ก็ตรัสรู้ธรรมสูงสุดแต่ท่านก็กล่าวธรรมได้ทุกระดับ
ทำไมไม่ลองไปจับผิดพระพุทธองค์ดูบ้าง

///// อ้าว พระพุทธองค์บอกว่า ตถาคตไม่ได้ลุอะไรเลย ไม่มีอะไรต้องลุถึง

*สมมุติว่า"พระพุทธองค์ตรัสว่า
...พวกสัญชัยเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ....
*พวกคุณก็คงไปตำหนิพระพุทธองค์อีกว่า ตถาคตยังไม่ถึงจิตหนึ่งเพราะพูดแต่เรื่องอัตตา ว่ามีเขามีเรา เขาเป็นมิจฉาทิฐิ
*ไม่มีอะไรกับอะไรในตัวมันเองอยู่แล้ว

///// ยังจะสมมุติเป็นอะไรอีกล่ะค๊ะ แล้วเมื่อไรจะเป็นปรมัตถ์สักที

*จิตหนึ่งแบบ"ศรีธนัญชัย"

//// อ้าวมีจิตหนึ่งแบบใหนอีกล่ะค๊ะ

*ลอง test ทีไร จิตหนึ่ง"กระเพื่อม"ทุกเที่ยว ผมว่า"จิตมืด"มากกว่า

///// จิตหนึ่งแบบกะเพื่อมมีด้วยเหรอค่ะ
//// แบบมืด ก็มีด้วยเหรอค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 12:54:07 pm

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ในปรมัตถ์

ธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายก่อเกิดมาด้วย ความสมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์และยุติธรรมเสมอสำหรับทุกคน ไม่มีธรรมชาติใดที่ด้อยไม่มีธรรมชาติใดที่เลิศ เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดหมดจดทุกอนูอยู่แล้ว ไม่มีทั้งสวยงาม ไม่มีทั้งทรุดโทรม

ทุกคนได้รับความบริสุทธ์และยุติธรรม สมบูรณ์พร้อมที่สุดอยู่แล้ว

คุณสุชัมบดี และทุกๆคน รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดหาได้มีข้อด้อยใดๆ ในทุกๆชีวิต ทุกๆลมหายใจและทุกๆขณะจิตไม่มีสิ่งใดที่ด้อย หรือสิ่งใดเลอเลิศเลยแม้แต่น้อยแต่เพียบพร้อมบริสุทธิ์และยุติธรรม อย่างที่สุดแล้ว

จงละ ทิ้งความคิดและความรู้สึกสมมุติเก่าๆที่ครอบงำออกไปเสียเถอะ นี่คือ ปรมัตถ์ล้วนๆ
จงเอาใส่เข้าไปแทนที่ความคิดปรุงแต่งเดิมๆ ที่ทำให้จมอยู่กับห้วงทุกข์มานานแสนนาน

ถ้าเห็นและเข้าใจธรรมชาติแห่งสมมุตินี้ ตามปรมัตถ์นี้ได้จริง จะเพิกถอนอย่างถึงโคน จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอย่างรวดเร็ว

ทั้งธรรมชาติแห่งสมมุติ ทั้งหลายทั้งปวง ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต ล้วนบริสุทธิ์หมดจดทั้งหมด ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะความสำคัญมั่นหมายปรุงแต่งต่างหาก ที่ทำให้ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมต้องเสียรูปไป
ธรรมชาติใดๆก็ดี ในสมมุติทั้งหลาย บริสุทธิ์หมดจด ไม่ต่างกับธรรมชาติแห่งพุทธะเลย

โลกธาตูทั้งหลายทั้งปวง พุทธเกษตรทั่วทุกโลกธาตุ ต่างบริสุทธ์ผุดผ่อง ไม่ต่างกันเลยแม้แต่โลกธาตุเดียว
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหมดจดนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับพุทธะ ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
พุทธะจึงไม่มีรอยด่างพร้อยของสมมุติใดๆ แม้แต่นิดเดียว บริสุทธ์เช่นเดียวกันจนไม่อาจแยกความแตกต่างใด้เลยแม้แต่น้อย

**นี่ไม่ได้บรรยายถึงพุทธะ แต่บรรยายถึงธรรมชาติแห่งสมมุติทั่วๆไป อย่างปรมัตถ์
จากการเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งทั้งปวง ในสมมุติ ไม่ต่างกับพุทธะ เท่านั้นเอง

เมื่อเพิกถอนทุกสิ่งได้ ก็จะเห้น และสัมผัสได้เอง ว่า โลกธาตุและธรรมชาติแห่งสมมุตินั้นงดงามและบริสุทธิ์ไม่ต่างกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้เคยบรรยายธรรมชาติแห่งพุทธะให้ฟัง ****

...

“ โลกิยะ โลกุตตระ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ เนื้อแท้โลกิยะธรรมเป็นสุญญตาเป็นอันเดียวกับโลกุตระ ฉะนั้นจึงไม่มีการเข้าสู่โลกิยะฤาการออกไปจากโลกิยะไม่มีความไหลเอ่อล้นฤาความฟุ้งซ่าน จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร “

ถ้าคอเซนที่แท้จริงจะรู้จักพระคาถาบทนี้

ความเป็นเนื้อเดียวกันของสมมุติ และปรมัตถ์
ความเป็นเนื้อเดียวของ โลกียะ และ โลกุตระ
ที่ไม่เคยมีแม้แต่โพสต์เดียวในห้องเซน ที่จะอธิบายได้เช่นนี้
สาธุๆๆ ขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 12:57:37 pm

หนูว่าที่พูดนี่มันสมมุติทั้งนั้นแหละมันเอาไว้ใช้ ไม่ได้เอาไว้ยึด
ก็มันมีไม่จริงทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าโลกียะหรืปรมัตถ์
และที่หนูพูดอยู่นี่ก็ไม่จริงยึดไม่ได้ และมันก็ไม่ใช่ตัวหนู
พระพุทธองค์บัญญัติว่าเป็น ขันธ์ 5 เหรือนาม -รูป เพื่อให้รู้ให้เข้าใจ
ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดก็ไม่ได้ ขันธ์ 5 หรือนาม-รูป เกิดแล้วดับหายไป
มันไม่จริงทั้งหมดนั่นแหละรวมทั้งที่พูดว่าไม่จริงอยู่นี่ด้วย จ๊ะ

(หนูไม่มี)

-------------------

เอาอะไรมาพูด ?
(เอาอะไรมาพูด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 12:59:26 pm

หนูว่าที่พูดนี่มันสมมุติทั้งนั้นแหละ มันเอาไว้ใช้ ไม่ได้เอาไว้ยึด
ก็มันมีไม่จริงทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าโลกียะ หรืปรมัตถ์
และที่หนูพูดอยู่นี่ก็ไม่จริง ยึดไม่ได้ และมันก็ไม่ใช่ตัวหนู

พระพุทธองค์บัญญัติว่าเป็น ขันธ์ 5 เหรือนาม -รูป เพื่อให้รู้ให้เข้าใจ
ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดก็ไม่ได้ ขันธ์ 5 หรือนาม-รูป เกิดแล้วดับหายไป
มันไม่จริงทั้งหมดนั่นแหละ รวมทั้งที่พูดว่าไม่จริงอยู่นี่ด้วย จ๊ะ

(น้องมารน้อย)

...................

ไม่มีจริงทั้งโลกียะ ทั้งปรมัตถ์ ทั้งหมดเลยหรือขอรับ
ยังไม่เข้าใจโปรดอธิบายหน่อยขอรับผมสมองไม่ไว เพราะแก่แล้ว
โลกียะไม่มีจริงยังไงขอรับ
ปรมัตถ์ไม่มีจริงยังไงขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:00:41 pm

ศิษย์ถาม : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ : ไม่พูด แต่ ใช้ไม้ตี

แล้วศิษย์ก็ถามต่ออีกนะถามต่อนะขอรับ

ศิษย์ก็ถามต่อ : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ :

(ขาจรจัด)
 
.........................

ศิษย์ก็ถามต่ออีก : ทำไมพระโพธิธรรม มาประเทศจีน ?
อาจารย์ :

(หนูไม่มี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:03:35 pm

โอ๊ย
ดาบนี้คืนสนอง
ไอ๊หย๋า
ซี้เลี้ยว
ฮ่าๆๆ

(ขาจรจัด)

----------------

(เอาอะไรมาพูด)
...............................................

ความคิดครับ
ถ้าไม่คิดจะมีอะไรเป็นอะไรไหมครับ ?

บ้า คิดอยู่ได้

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:06:15 pm

เหรียญมีสองด้าน
ด้านหนึ่งเป็นหัวด้านหนึ่งเป็นก้อยเมื่อพลิกด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็หายไป
แต่ทั้งสองสิ่งอยู่ในสิ่งเดียวกัน
ถ้าทิ้งเหรียญเสียได้จะมีอะไรเหลือ

โลกียะ และโลกุตละ
ก็เหมือนกับเหรียญสองด้านนั่นแหละ แต่มันอยู่ที่จิตที่หลงผิด
เมื่อทิ้งจิตที่หลงผิดเสีย
มันก็ว่างอย่างเดิม

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:08:02 pm

พี่เม็ดทรายคะพูดได้ยังไงคะ ? ว่า

โลกุตละธรรมของพระพุทธองค์เป็นความหลงผิด
เดี๋ยวงแตกแน่ ระวังจะออกจากเวปไม่ได้หนูขอบอก

(หนูไม่มี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:19:20 pm

หนูว่าทีพูดนี่มันสมมุติทั้งนั้นแหละ มันเอาไว้ใช้ ไม่ได้เอาไว้ยึด
ก็มันมีไม่จริงทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าโลกียะ หรือปรมัตถ์
และที่หนูพูดอยู่นี่ก็ไม่จริง ยึดไม่ได้ และมันก็ไม่ใช่ตัวหนู
พระพุทธองค์บัญญัติว่าเป็น ขันธ์ 5 เหรือนาม - รูป เพื่อให้รู้ให้เข้าใจ
ยึดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ยึดก็ไม่ได้ ขันธ์ 5 หรือนาม-รูป เกิดแล้วดับหายไป
มันไม่จริงทั้งหมดนั่นแหละ รวมทั้งที่พูดว่าไม่จริงอยู่นี่ด้วย จ๊ะ

(หนูไม่มี)

...........................

คุณหนูไม่มีขอรับ
ผมว่า คุณพูดน่ะ บางอย่าง มันไม่ค่อยชัดเจนนะขอรับ
โลกุตระ โลกียะ ที่ว่ามีไม่จริงน่ะ
โลกมีนรกมี สวรรค์มี พรหมมี และก็มีจริงซะด้วย
ปรมัตถ์ก็มี แล้วก็จริงซะด้วย
ขันธ์ห้า ก็มีจริงขอรับ นามและรูป ก็มีจริงขอรับ

จะว่ามีไม่จริง ผมว่าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ขอรับ ถึงจะเป็นสมมุติ ไม่เที่ยงตามไตรลักษณ์ แต่ก็มีจริง ขอรับทั้งหมดเป้นธรรมชาติ เป็นสมมุติ อยู่ภายได้กฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จริงๆ ขอรับ

จิต ก็มีจริงขอรับ ถึงจะเกิดและดับ ก็มีจริงขอรับ
จิตหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงขอรับแต่จะถือเอาว่าจริงก็ไม่ได้ ว่าไม่จริงก็ไม่ได้ เหมือนกัน
แต่ธรรมชาติของจิตหนึ่งไม่ได้เกิดไม่ได้ดับขอรับ
แต่ทั้งหมด ไม่ไห้ยึดถือละวางเสียทั้งสิ่งเกิดดับ และไม่เกิด ไม่ดับ ขอรับ
วางที่จิตขอรับไม่ได้วางที่คำพูด
จิต จึงไม่ได้ ลงความเห็นว่าจริงหรือไม่จริงนะขอรับทั้งโลกียะ และโลกุตระ จึงเป็นของว่างทั้งๆที่มีอยู่จริงขอรับ

(เม็ดทราย)

.........................................

ผมก็เห็นด้วยขอรับ
แต่ความหมายของการละ กับการทิ้ง
ถ้าผิวเผินจะเห็นว่าไม่ต่างกัน
แต่ที่จริงยังต่างกันมาก ระหว่างการละ กับการทิ้ง
ถ้าเข้าใจความหมายผิด นิดเดียวก็ไปไกลเลยขอรับ เป็นคนหลุดโลกไปเลยขอรับ แต่ไม่หลุดพ้น

จิตที่หลงผิด คือความเข้าไปยึด การให้ความสำคัญมั่นหมาย จิตจึงไม่ว่าง
ละความหลงผิดของจิตได้ไม่ว่าจะเป็นโลกุตระ หรือโลกียะ ก็กลายเป้นของว่างไปเอง
แต่จะไปยึดว่าว่างก็ไม่ได้นะขอรับ

ไม่ได้ต้อง ทำลายโลกียะหรือแยก โลกียะ ออกจากโลกุตระหรือทิ้ง ทั้งโลกียะหรือทิ้งทั้งสองอย่าง
เมื่อจิตหลงผิดไปยึดโลกียะ โลกียะก็ไม่ว่าง
ธรรมชาติของโลกกุตร และโลกียะในความเป็นจริง ถึงจะมีอยู่ แต่ก็เป้นของว่าง เปล่า อยู่แต่เดิมแล้ว
ถ้าจิตที่หลงผิดไปยึดเอาโลกุตระ จึงทำให้โลกุตร ไม่ว่างไปด้วย
เป็นเพราะจิตที่หลงผิด หรือเรียกกันว่า อวิชา

ไม่ได้ให้ดับที่ขันธ์5
ไม่ได้ให้ดับที่นามและรูป
แต่ให้ดับที่อวิชชา คือความหลงของจิต ขอรับ

แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ดับอะไรขอรับ คือ จิตไม่หลงผิดทั้งสองอย่าง ก็จะกลายเป็นของว่างไปเอง ขอรับ
จิตไม่เกิดเพราะหลงผิด จิตไม่ได้ดับเพราะหลงที่ถูกกว่า
เมื่อไม่หลงทั้งสมมุติ ทั้งปรมัตถ์จิตจึงไม่เกิดไม่ได้ดับ
เมื่อไม่หลงจิตก็จะว่างไปเองขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:21:16 pm

วงเขตแห่งพุทธะ ไพศาลไร้ขอบเขต
การที่จะทิ้งอะไรสักอย่างออกไป คง ต้องใช้กำลังแรงอย่างมหาศาลแต่ถึงอย่างไร ก็ไร้ผลไม่มีสิ่งใดที่จะหลุดออกไปพ้นจากวงเขตแห่งพุทธะได้
ซุนหงอคง มีฤทธิ์มาก เหาะออกไปจนหมดแรงแต่ก็ยังติดอยู่ในฝ่ามือพระยูไลไม่อาจฝ่าออกไปพ้นฝ่ามือได้ เช่นเดียวกัน
พุทธะที่ไร้ขอบเขต จึงไม่มีสิ่งใดที่จะทิ้งออกไปนอกเขตได้เลย

จิตที่หลงผิด และจิตที่ตรัสรู้ เป็นเพียงธรรมชาติของจิต

ขันธ์ทั้งห้าไม่ได้ทำให้เกิด ตัวตน ขึ้นมา จึงเรียกว่าว่างจากข้อเท็จจริง
การละ ก็คือการใช้จิตแห่งการละ แสวงหาจิต รูปแบบใหม่
ปรากฎการของธรรมอันเป็นของคู่ย่อมหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน
แต่ความว่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:24:07 pm

คุณหนูไม่มีขอรับ

ผมว่า คุณพูดน่ะ บางอย่าง มันไม่ค่อยชัดเจนนะขอรับ

โลกุตระโลกียะ ที่ว่ามีไม่จริงน่ะ
โลกมีนรกมี สวรรค์มี พรหมมี และก็มีจริงซะด้วย
ปรมัตถ์ก็มี แล้วก็จริงซะด้วย
ขันธ์ห้า ก็มีจริงขอรับ นามและรูป ก็มีจริงขอรับ

จะว่ามีไม่จริง ผมว่าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ขอรับ ถึงจะเป็นสมมุติ ไม่เที่ยงตามไตรลักษณ์ แต่ก็มีจริง ขอรับทั้งหมดเป้นธรรมชาติ เป็นสมมุติ อยู่ภายได้กฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จริงๆ ขอรับ
จิต ก็มีจริงขอรับ ถึงจะเกิดและดับ ก็มีจริงขอรับ

จิตหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงขอรับแต่จะถือเอาว่าจริงก็ไม่ได้ ว่าไม่จริงก็ไม่ได้ เหมือนกัน
แต่ธรรมชาติของจิตหนึ่งไม่ได้เกิดไม่ได้ดับขอรับ
แต่ทั้งหมด ไม่ไห้ยึดถือละวางเสียทั้งสิ่งเกิดดับ และไม่เกิด ไม่ดับ ขอรับ
วางที่จิตขอรับไม่ได้วางที่คำพูด
จิต จึงไม่ได้ ลงความเห็นว่าจริงหรือไม่จริงนะขอรับทั้งโลกียะ และโลกุตระ จึงเป็นของว่างทั้งๆที่มีอยู่จริงขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:27:40 pm

ขอบคุณและขออนุโมทนากับธรรมทานที่ให้นะค่ะ คุณลุง ขาจรจัด

หนูเห็นด้วยกับคุณลุงค่ะว่า มีจริง ๆ ก็ได้ค่ะหรือจะว่าไม่จริงก็ไม่ว่ากันนะคะ
แต่มันสรุปตรงจุดสุดท้ายว่าทั้งหมดเป็นแค่คว่าคิดปรุงแต่ง ที่เกิดดับหาสาระแก่นสารไม่ได้
อย่าไปหลงมัน ไม่งั้นมันจะปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ได้
แต่ถึงจะทุกข์มันก็สักแต่ว่าทุกข์ของขันธ์ 5 เขา
มันไม่ใช่เราค่ะ

และหนูก็เห็นด้วยกับคุณลุงด้วยว่า
การละวางมันละวางที่จิตไม่ใช่ที่คำพูดนะคะ
จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ละหรือวางอะไรเลย
มันแค่หายหลงไปในความคิดปรุงแต่งที่ดับไป
และไม่หลงไปในความคิดปรุงแต่งใหม่อีกจ้ะ

(หนูไม่มี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:33:21 pm

ช้าก่อนค่ะคุณหนูไม่มี
ช้าก่อนค่ะคุณขาจรจัดและ ทุกๆท่าน

ความเห็นทั้งหมดถูกปรับเข้าทางแล้ว
แต่

อย่าเพื่งด่วนสรุปนะค่ะ
สรุป เมื่อใดก็จะหลงไปกับจิตสรุปทันที
อาจดูละเอียด อ่อน กว่าจิตปรุงแต่งอย่างอื่น
แต่ความเป็นจริง ทั้งแข็งทั้งหิน ยิ่งกว่าภูผาใดๆ

จิตปรุงแต่งอันละเอียดจะเกิดขึ้น จากการสรุป มีรากฐานจากการเห็นถูกพอใจ ถูกทางมั่นใจ จึงฟันธง
เป็นความมั่นใจเป็นจิตปรุงแต่งที่ ที่อันตรายที่สุด จึงหาคนที่จะผ่านจุดนี้ไปได้ยาก

และความคิดปรุงแต่ง ที่ทำให้เกิดทุกข์ จะเห็นได้ขัดกว่า ความคิดปรุงแต่งที่ทำให้เกิดสุข
แต่ทั้งสองอย่างคือความคิดปรุงแต่งทั้งคู่
มีรากฐาน มาจากความพอใจ และ ไม่พอใจ
เซนเรียกว่า แรงดึงดูดให้ชอบ และแรงผลักดันให้ชัง

เมื่อความคิดปรุงแต่งทั้งสุข และทุกข์ เกิดขึ้น
เมื่อเห็นได้ เข้าใจ จึงไม่หลง การเกิด การดับ การเกิดใหม่

จิต จะเป็นอิสระจากแรงทั้งสอง ไม่ถูกดึงดูดให้ชอบไม่ถูกผลักดัน
เรียกว่าจิตเป็นอิสระ
แต่ยังไม่ใช่จิตหนึ่งค่ะ

ค้างใว้ก่อน ค่อยมาต่อนะค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:40:08 pm

ค้างไปนาน มาต่ออีกนะค๊ะ

จิตที่เป็นอิสระจากแรงดึงดูด และผลักดัน ด้วยความรู้จักและ ไม่หลงในความคิดปรุงแต่ง
เรียกกันว่า เป้น ความปรีชาของจิตที่ ปกติ
เป็นความปกติธรรมดา ของจิต นั่นเอง
ความปรีชาของจิตเช่นนี้ จะมีสติ มีกำลังอย่างมาก ในตัวเอง

เพราะตัวตนอันทำให้เกิดความคิดปรุงแต่งเกิดดับต่อเนื่อง ถูกละต่อเนื่องไป ด้วยความปรีชาของจิตเอง
จิตจึง นิ่งเฉยอยู่ได้ ท่ามกลางแรง ทั้งสอง
จะไม่ถูกดึงดูดให้ชอบ ไม่ถูกผลักดันให้ชัง
เมื่อไม่หลง จึงเป็น สภาวะปกติ ของจิต เป็นความปรีชาของจิต ที่ อิสระจากแรงทั้งสอง
ความปรีชาอันปกตินี้ ที่แท้ก็ยังไมปกติถึงที่สุด ไม่บริบูรณ์ถึงที่สุด

แต่ยังมี แรงที่ละเอียดอ่อนที่สุด เห็นได้ยากกว่า เรียกว่าความพัวพัน
ความพัวพันนี้เอง ถูกหล่อหลอมละลายจนเป็นเนื้อเดียวกันกับจิต จนกลับกลายเป็นความมั่นใจ เป็นความรู้สึก ที่ยังรู้สึกสัมผัสได้ด้วยอายตนะ

จิตปกติ จึงมีความพัวพันอยู่แต่ในจิตเอง เป็นปกติที่พัวพันอยู่กับปกติ
ถึงแม้จะอิสระ เต็มที่ ปกติเต็มที่ แต่ไม่ถึงที่สุด
เพราะเป็นอิสระจิตในจิต ปกติจิตในจิต พัวพันอย่างแน่นแฟ้น ยังสัมผัสได้
จึงยังไม่บริบูรณ์

แต่เมื่อไร ทั้งอายตนะที่สัมผัส และความรู้สึกสัมผัสนี้ ไม่ก่อให้เกิดตัวตนใดๆ
ทั้งหมดจึงกลายเป็นความว่าง
ว่างทั้งอายตนะ ว่างทั้งความรู้สึก ว่างทั้งเขา เรา ว่างทั้งเกิดและดับ
จึงเข้าถึงสิ่งๆ นั้นโดยความไม่มีตัวตนและความพัวพัน ไม่มีแม้แต่บทสรุป แม้แต่ปรมาณูเดียว

ในความว่าง จึงไม่มีตัวตนแม้แต่ปรมาณูเดียว ค่ะ

ในหนึ่งปรมาณู มีคณาจารย์บางองค์กล่าวว่า มีเทวดาอยู่ได้ถึง 8 องค์

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:44:39 pm

คุณ หนูไม่มี และคุณขาจรจัด ครับ

ผู้อยู่ในทางแห่งเซนมักถูกกล่าวหาเช่นนี้อยู่เสมอว่า
อะไร ๆ ก็ไม่มีเราไม่มีกรรมไม่มีนรกสวรรค์ก็ไม่มีชั่วยึดไม่ได้ดีก็ยึดไม่ได้
แล้วก็ตีความเอาเองด้วยความคิดของตนว่าเซนเป็นพวกไม่เคารพในคำสอนของพระพุทธองค์
เพราะปฏิเสธในพระปาฏิโมกข์ที่เป็นหัวใจในทางพระพุทธศาสนา
ที่ให้ละชั่วทำดีทำจิตใจให้บริสุทธิ์

บางครั้งถึงกับไปไกลขนาดบอกว่า ยังงั้น จะยิงกัน ฆ่ากันทำชั่วอย่างไรก็ได้ เพราะกรรมไม่มี เราไม่มี ก็ไม่ต้องมีใครไปรับกรรมซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นมุมมองของผู้ที่ยังไม่เข้าใจในเซนเพราะเซนเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมองด้วยมุมมองธรรมดา ๆ

ผู้ที่เข้าใจในเซน
แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่เข้าใจโลก และเห็นว่าทุกชีวิตมีแต่ทุกข์
เหตุเพราะหลงติดอยู่ในความคิดปรุงแต่งจากจิตที่หลงผิด
จึงพยายามด้วยวิธีการต่าง ๆ อันเป็นกุศโลบายที่จะทำลายความหลงผิดนั้นออกไปจากจิตจากใจที่หลงผิดนั้น

ชาวเซนทั้งหลายมีหรือจะไปสร้างความทุกข์ให้กับชาวโลกเพิ่มขึ้นอีก
มีแต่จะช่วยชี้ทางให้กับเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้พ้นไปจากทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
มีหรือผุ้ที่เข้าใจในเซน จะไปทำชั่วไปเบียดเบียนผู้อื่นให้ทุกข์เพิ่มขึ้น
ชาวเซนทั้งหลายมีแต่จะทำดีอย่างที่สุดเพื่อให้เพื่อนร่วมทุกข์เกิดความสุขแต่อย่างเดียว

และไม่หลงติดอยูในการทำดีนั้นด้วย
อันเป็นการปฏิบัติตามพระปาฏิโมกข์ของพระพุทธองค์
ที่ให้ละชั่วทำดีทำจิตใจให้บริสุทธ์ เป็นปกติอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องเราไม่มีกรรมไม่มี นรกสวรรค์ไม่มีอะไรนั้นต้องฟังและพิจราณาให้ดี ๆเมื่อเข้าถึงเซนแล้วก็จะรู้เองว่า
เซนเขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเหล่านั้นเลย

เซนเขาไม่พูดไม่อธิบายมาก
เพราะเห็นว่ายิ่งพูด ยิ่งอธิบายยิ่งหลงติดไปในความคิดปรุงแต่ง ยิ่งออกจากทุกข์ได้ยาก
ที่พูดมานี่ก็รู้สึกมากเกินไปแล้วครับ คุณหนูไม่มี

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านครับ

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:46:00 pm

คุณ น้องมารน้อยครับ

เทวดา 8 พระองค์มาจาก
การยักคิ้วกระพริบตาใช่ไหม ? ครับ

ฝากกราบลาเทวดา 8 พระองค์ด้วยนะครับ

(เม็ดทราย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:49:09 pm

ขออภัยที่เข้าใจผิกค่ะพี่เม็ดทราย

ขอขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาสาธุกับ คุณน้องมารน้อย
กับธรรมทาน ที่ทำให้หนู อึ้ง ทึ่ง จริง ๆ

หนูเห็นเทวดา 8 องค์แล้ว ค่ะ
แต่ไม่ยักเห็นท่านยักคิ้วกระพริบตา เลยค่ะ

(หนูไม่มี)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:51:41 pm

อนุโมทนาในธรรมทานคุณน้องมารน้อยและ ทุกท่าน ขอรับ
อ่านแล้วอ่านอีกหลายตลบ กลับไปกลับมา
เรื่องเทวดา 8 พระองค์ในหนึ่งปรมาณู จำไม่ได้เหมือนกัน เคยอ่านผ่านๆรู้สึกว่าจะเป็นพระอาจารย์มั่น หรือหลวงปู่ดุลย์ เคยพูด ไม่แน่ใจสัญญาไม่ดีแล้วขอรับ

มันอึ้งเหมือนอย่างที่คุณหนูไม่มีพูดจริงๆขอรับ
ได้แต่ร้องโอโหทีเดียวแล้วพูดอะไรไม่ออก
มันเหมือนอาการต้องหุบปากเงียบ โดยไม่ต้องตั้งใจ ไม่ต้องบังคับ ให้มันหุบปากเงียบ
แต่ปากมันหุบของเขาเอง พูดอะไรไม่ออก โดนจริงๆทึ่งจริงๆ
เหมือนตะลึงในธรรม จนอ้าปากพูดอะไรไม่ออก ปากนี่หุบสนิทไปนานเลยขอรับ

ที่เซนว่า ถ้าเห็นแล้วคงต้องหุบปากเงียบผมว่าน่าจะเป้นอาการแบบนี้เองเริ่มเห้นแว๊ปๆแล้วขอรับ
ว่าที่หุบปากเงียบน่ะมันคนละแบบแตกต่างกับที่เคยเข้าใจอย่างมหาศาลเลยขอรับ
ตะลึงและทึ่งจน โพสต์อะไรไม่ออกเลยขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:53:19 pm

คุณเม็ดทรายขอรับ
ขออภัยเช่นกันขอรับ
ที่ผมว่าไม่ชัดเจน เรื่องนรกสวรรค์ เพราะอาจมีบางท่านเข้าใจเรื่องนี้ผิดไป ขอรับ
จะว่าไม่มีจริงจะพากันปฎิเสธ จะกลับไปเห็นขาดสูญ กันหมด
เพราะบางท่านยังไม่อาจเข้าใจเซน จะเข้าใจเซนผิดๆด้วยเหมือนที่คุณว่ามา ขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:55:47 pm

อนุโมทนาทุกท่านนะค๊ะ

คุณเม็ดทรายเจ้าค่ะ
หนู คงไปบอกเทวดาให้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ
หนูเป็นมาร ไม่ถูกกันเด๋ว โดนเทวดาอัด
คุณเม็ดทราย ไปลาเองนะค่ะ
เมล์ว ไป หรือ ผ่านไฮ 5 ก็ได้เจ้าค่ะ
อ้อ เทวดามาจากเทวะ บวก ธรรมดา เจ้าค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:58:10 pm

อนุโมทนาในธรรมทานคุณน้องมารน้อยและ ทุกท่าน ขอรับ
อ่านแล้วอ่านอีก หลายตลบ กลับไปกลับมา
เรื่องเทวดา 8 พระองค์ในหนึ่งปรมาณู จำไม่ได้เหมือนกัน เคยอ่านผ่านๆรู้สึกว่าจะเป็นพระอาจารย์มั่น หรือหลวงปู่ดุลย์ เคยพูด ไม่แน่ใจสัญญาไม่ดีแล้วขอรับ
มันอึ้งเหมือนอย่างที่คุณหนูไม่มีพูดจริงๆ ขอรับ
ได้แต่ร้องโอโหทีเดียว แล้วพูดอะไรไม่ออก
มันเหมือนอาการต้องหุบปากเงียบ โดยไม่ต้องตั้งใจ ไม่ต้องบังคับ ให้มันหุบปากเงียบ
แต่ปากมันหุบของเขาเอง พูดอะไรไม่ออก โดนจริงๆ ทึ่งจริงๆเหมือนตะลึงในธรรม จนอ้าปากพูดอะไรไม่ออก ปากนี่หุบสนิทไปนานเลยขอรับ
ที่เซนว่า ถ้าเห็นแล้วคงต้องหุบปากเงียบ ผมว่าน่าจะเป้นอาการแบบนี้เอง เริ่มเห้นแว๊ปๆแล้วขอรับ
ว่าที่หุบปากเงียบน่ะ มันคนละแบบ แตกต่างกับที่เคยเข้าใจอย่างมหาศาลเลยขอรับตะลึงและทึ่งจน โพสต์อะไรไม่ออกเลยขอรับ

(ขาจรจัด)

-------------------------------

โดนคาถานะจังงังหรือเปล่าเจ้าค่ะ
สงสัยโดนวิชามารจากหนูไปแล้วอิๆ

ใช่แล้ว หุบปากแบบเซน มันต่างกันกับหุบปากธรรมดาๆเป็นใหนๆ
บังคับบัญชาให้หุบไม่ได้ บังคับบัญชาให้เปิดไม่ได้
หุบทั้งปากทั้งใจ
จะรู้ด้วยใจเองแต่ไม่ต้องติดใจ

แบบแว๊บๆมันยังไม่สนิทค่ะ
แต่เริ่มมีประกายแว๊ปๆ เดี๋ยวเจอแก๊สก็ระเบิดเองตายสนิทอิๆ
ล้อเล่งน่า....
หุบสนิท

อนุโมทนาสาธุๆค่ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 01:59:29 pm

คุณเม็ดทรายเจ้าค่ะ
หนู คงไปบอกเทวดาให้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ
หนูเป็นมาร ไม่ถูกกันเด๋ว โดนเทวดาอัด
คุณเม็ดทราย ไปลาเองนะค่ะ
เมล์ว ไป หรือ ผ่านไฮ 5 ก็ได้เจ้าค่ะ
อ้อ เทวดามาจากเทวะ บวก ธรรมดา เจ้าค่ะ

(น้องมารน้อย)

..................................................................

หลงคิดต้องนาน
ที่แท้เทวดา มาจากคำพูดว่า
เทวะ + ธรรมดา
ตกลงเรื่องทั้งหมดนี่พูดเอาเองทั้งนั้นใช่ไหม จ้ะ ?

แล้วถ้าไม่พูดเลยจะมีอะไรเป็นอะไรไหมจ๊ะ ?

(ขาจร)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:03:51 pm

คุณขาจรเจ้าค่ะ

คำว่า ""คิดต้องนาน """
นั่นแหละ เค้าเรียกว่า ไม่เข้าใจพื้นฐานของเซนเลยซักกะติ๊ดๆ เจ้าค่ะ
รู้จัก ความไม่ต้องคิดของเซนไม๋จ๊ะ
ไม่ได้ให้คิดนานๆนะจ๊ะๆไม่ได้ให้ตามความคิดนะจ๊ะๆ

บอกว่า หลงคิดตั้งนานแสดงยังไม่รู้ตัวอีก ว่าหลงกับความคิด ไปนาน
แบบนี้เค้าเรียกว่าตามความคิด นะจ๊ะๆ
การเห็นความคิดแตกต่างกัน กับการตามความคิดนะจ๊ะ นะจ๊ะ

ทั้งหมดที่พูดมาไม่รู้ว่าใครพูดเหมือนกันแหละหาตัวตนคนที่พูดไม่ได้
ไม่พูด ก็ไม่ได้ เพราะ ไม่มีตัวตนจะ บังคับให้ไม่พูดก็ไม่ได้

ไม่ได้ต้องหุบปาก เพราะอายกลิ่นปากนี่จ๊ะ
และก็ไม่ได้พูดเพราะปากหอมนี่จ๊ะ

เทวะ ก็คือเทวะธรรมดาก็คือธรรมดาๆ
ฉะนี้เองโดยไม่ต้องคิด

เริ่มใหม่นะค๊ะไม่มีช้าไม่มีเร็ว
ให้กำลังใจนะ
มาให้ จุ๊ปส์ ทีนึงอิๆ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:05:41 pm

ท่านเว่ยกล่างกล่าวว่า

"ไม่มีต้นโพธิ์ไม่มีกระจกฝุ่นละอองจะจับที่ใด"

ในขณะที่ให้คนเขียนโศลกให้ เพราะท่านไม่รู้หนังสือ
และความเข้าใจ ขณะนั้น อาจจะแจ่ม กว่า บรรดาศิษย์ผู้ใดทั้งหมด

แต่โศลกนี้ ก็ต้องถูกลบด้วยรองเท้า
เพราะ โศลกนี้ ยังไม่อาจเข้าสู่ประตูแห่งความว่างได้

ท่านสังฆปรินายก จึงต้องเรียกท่านเว่ยหล่าง ไป ในตอนดึก
เพื่อต่อโศลก ให้สมบูรณ์

ท่านเว่ยหล่างถึงกับหุบปากเงียบ( แบบเซน) ในค่ำคืนนั้น

นี่คือปริศนาด่านสุดท้ายของพระสูตรเว่ยหล่าง ทั้งเล่ม และเป็นปริศนาของเซนทั้งหมด

ใครอยากรู้ ยกมือขึ้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:07:23 pm

กราบขอบคุณ
และกราบอนุโมทนา คุณน้องมารน้อย ที่ให้ธรรมะได้ถึงใจจริง ๆ

หลงคิดตลอดเวลาแต่ไม่รู้ตัว
หลงซับหลงซ้อน หลงไม่เลิก
ความคิดมันไม่ใช่เราห้ามมันก็ไม่ได้
มันเกิดเพราะเหตุแล้วดับไปตามเหตุ

ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดไว้ได้
เปล่า เปล่า ปลี้ ปลี้ จริง ๆ

ตาสว่างวันนี้เอง
สาธุสาธุสาธุ จ้ะคุณน้องมารน้อย

(ขาจร)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:09:44 pm

พี่ขาจรค่ะ
อนุโมทนานะค่ะ

เอาแหละ
เมือความคิด ไม่ใช่เรา ไม่ได้เเป็นของเราห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้
หลงคิดตลอดเวลา แต่ไม่รู้ตัว
หลงซับ หลงซ้อน หลงไม่เลิก
ความคิดมันไม่ใช่เรา ห้ามมันก็ไม่ได้
มันเกิดเพราะเหตุ แล้วดับไปตามเหตุ

ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดไว้ได้
เปล่า เปล่า ปลี้ ปลี้ จริง ๆ

ถ้าเห็นได้จริงดังนั้น ก็ถูกทางค่ะ

แต่จะยังคงเห็นและเป็นเหมือน ท่านเว่ยหล่าง ขณะที่ให้คนเขียนโศลก
เป็นสภาวะเช่นเดียวกับท่านใน ขณะนั้น

ที่ ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจกฝุ่นจะจับอะไร

และจากโศลกนี้ท่านสัฆปรินายก เห็นอะไรจากโศลกนี้ จึงต้องเรียก ท่นเว่ยหล่างไป ในตอนดึก

นี่คือปริศนาด่านสุดท้าย ของพระสูตรเว่ยหล่าง ทั้งเล่ม และเป็นปริศนาของเซนทั้งหมด

ใครอยากรู้ ยกมือขึ้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:16:08 pm

แสดงว่าไม่มีคนอยาก รู้มีแต่คนอยาก ไม่รู้
เลยไม่มีใครยกมือ
ใช่ป่าว อิๆ
หรือเข้าถึงความว่างอันบริบูรณ์กันหมดแล้ว เลยไม่มีใครที่จะมีมืออิๆ
สาธุๆๆ

ชอบ ๆๆๆๆเหมือนกันนะเนี่ย มีคนชม คนโมทนา อิๆ

จริงๆแล้วไม่ต้องทำเช่นนั้น ก็ได้ค่ะ
แต่ถ้าจะทำ จงรู้ว่า การกระทำทั้งหมด ทั้งหมดปราศจากการมีส่วนร่วมหรือบังคับบัญชาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ทำสักว่าทำทำตามบทตามความเคลื่อนใหวอันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ของกาย และจิต
ไม่ได้ทำเพราะเห็นดีไม่ได้ทำเพราะชอบ ไม่ได้ทำเพราะ ถูกใจเรา
ไม่ได้เป็นเราเราไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ กับการกระทำนั้นๆ เลย แม้ยักคิ้ว กระพริบตา

ที่สุดของธรรมะ

ธรรมะเป็นของว่างเปล่าในตัวเอง ตั้งแต่เดิม แต่ใหนแต่ไรมา
ให้ไปแสดงไป ก็ไม่มีใคร ได้อะไรสักอย่างไม่ได้ว่างขึ้นไม่ได้ว่างลง
แต่ถ้ามีใครมีตัวตนคนนั้นก็ได้ไปคนนั้นก็ยึดถือไป

ความว่าง หรือธรรมะมีอยู่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ในจิตหนึ่ง ในทุกคน
แต่เมื่อ ไม่ได้มีความเป็นคนไม่ได้มีความเป็นตัวตน
เลยไม่มีใครได้อะไรเพิ่ม ไม่ได้ลดอะไรไป
เป็นของว่างเปล่าแท้จริง


คำเตือน

การแสดงธรรม ของใครก็ตามเป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ
บทบาทใครบทบาทคนนั้น
ธรรมชาติของคน ๆ ผู้แสดงธรรมนั้นเป็นเช่นนั้นเอง
เป็นธรรมชาติที่ แม้แต่ผู้แสดงธรรมเองก็ไม่อาจบังคับบัญชาไม่ได้แม้แต่คนเดียว แม้แต่นิดเดียว
ทั้งคำพูดและธรรมที่แสดง
ไม่ว่าจะแสดงเช่นไรย่อมเป็นไปตามอัตโนมัติ
ธรรมชาติ ของผู้ฟังธรรม ย่อมเป็นไป โดยบังคับบัญชา ตัวเองไม่ได้เช่นการยักคิ้วกระพริบตาเช่นกัน
เข้าใจ ไม่เข้าใจ ถึงใจ ไม่ถึงใจ ย่อมเป็นเช่นนั้นเอง

เสื้อผ้าที่สวม จะห่มจีวร หรือจะแก้ผ้า
ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะเลือกเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มได้เอง แม้แต่คนเดียว

รู้บทบาทของตนเองรู้บทบาทของแต่ละคน
รู้ความเป็นออโตเมติก ของบทบาท และความเคลื่อนใหวของตัวเอง และของคนอื่นๆ
นั้นคือรู้ธรรมชาติ ความเป็นไปของธรรมชาติ ความเป็นตถตา ของสิ่งทั้งหลาย

ไม่ได้เข้าไปมีส่วน กับสิ่งใดๆเลย
เหมือนกับการยักคิ้วกระพริบตา
บทบาททุกคนย่อมต่างกันไปตามจริตของ กายา และใจ เป็นไปอย่างอัตโนมัติ

บิดาหนูคือท่านวิมลเกียรติธรรมชาติที่แท้จริงของท่านคือความว่าง
มารดาคือท่านปารามิตา คือความว่าง
ครูบาอาจาย์ คือท่านสังฆปรินายก คือความว่าง
อาจารย์ที่ปรึกษา คือ พระองค์เจ้ากฤษณะ คือความว่าง
ธรรมชาติที่แท้จริงของท่านทั้งหมดคือความว่างมีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น

จึงปราศจากเครื่องข้องทั้งมวล

จึงไม่มีทั้งต้นโพธิ์ ไม่มีทั้งกระจกไม่มีแม้แต่ฝุ่นละออง แม้แต่ปรมาณูเดียว ที่หลวงปุ่ดุลย์กล่าวว่า มีเทวดาอยู่ได้ ถึง 8 องค์

มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:23:30 pm

มาถึงบทนี้ ก็จะใช้ต้นโพธิ์ สรุป
โดยไม่เกี่ยวข้อง กับจิตสรุปและฝุ่นละออง

ฝุ่นละอองคือความคิด
เมื่อยังลอยล่องอยู่เกิดดับอยู่จึงไม่อาจเข้าถึงความบริบูรณ์ได้
ฝุ่นละออง แม้จะไม่มีค่าเลิศเลอ เช่นเพชรพลอยที่หลายคนพยายามหามาใช้ เอาไปประดับบนความว่าง

แต่ ปรมาณูเดียวของฝุ่นละออง ที่หลวงปู่ดุลย์ ท่านกล่าวว่ามีเทวดาอยู่ได้ถึง 8 องค์
ก็สามารถบดบังความว่างให้มัวหมองได้เช่นเดียวกันเฉกเช่นเพชรพลอย

ที่ท่านเว่ยหล่างได้ให้คนเขียนโศลกกล่าวว่า
ไม่มีต้นโพธิ์ไม่มีกระจก ฝุ่นจะเกาะอะไร

แต่ ท่านสังฆปรินายก กลับมองเห็นฝุนละอองที่ล่องลอย เกิดดับอยู่ในความว่างจากโศลกนั้น

และ เหตุนี้เอง จึงได้เรียกท่านเว่ยหล่างเข้าไป

จากวัชรสูตรที่กล่าวถึงลักษณะทุกลักษณะ อันเป็นมายาเฉกเช่นความว่าง
และเมื่อท่านเว่ยหล่างได้ฟังพระสูตร ถึงบทที่ว่า
ควรดำรงจิต ในวิถีทาง ที่จะปราศจากเครื่องข้องทั้งปวง

เมื่อต้นโพธิ์ และกระจก ที่ว่างเปล่าจากข้อเท็จจริงกระทบกับเครืองข้อง ที่ว่างเปล่าจากข้อเท็จจริง
มากระทบกัน
การกระทบ ของความว่าง ทั้งหลาย ที่กระทบกันจะบังเกิดได้แต่เพียงความว่าง เท่านั้น
ไม่ได้เกิดฝุ่นละออง หรือความคิดแม้แต่ปรมาณูเดียว
ทั้งเหตุและปัจัย ต่างว่างเปล่าเสมอกัน

ฝุ่นละอองทั้งหมดจึงไม่อาจเกิดได้อีกเลย

ความสว่างไสวของจิตเดิมแท้ จึงปรากฎ ณ แต่นั้นเป็นต้นมา

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:31:02 pm

อนุโมทนา สาธุ ครับ

(ขาจร)

----------------

วิเศษมากเลยขอรับ
สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ปรากฎที่นี่แล้ว
ไม่เคยเจอบทสรุปที่ว่างและสมบูรณ์เช่นนี้เลย
ไม่มีกาย ไม่มีจิต แต่ฝุ่นละอองยังเกิดดับปลิวว่อน อยู่ในความว่าง
ความคิดอ่านทั้งหลายต่างเกิดดับไมหยุดหย่อน
จึงไม่เป็นความว่างที่สมบูรณ์ อย่างที่กล่าวจริงๆ

แม้จะเห็นจิตเดิมแท้อยู่ แม้จะสัมผัสถึงจิตเดิมแท้ แม้ความคิดอ่านทั้งหลายจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดจากการปฎิบัติ แต่ยอมรับจริงๆ ว่า ความคิด ยังมีเกิดและดับเสมอๆ
โดยถึงแม้ว่า จะเห็นเป็นของว่าง ไม่ยึดถือในความคิดที่ออกมา แต่ยังเกิดดับ ไม่หยุดหย่อน
บางคราว ก้กลายเป็นความรู้สึกค่อนข้างรำคาญอยู่เหมือนกัน ขอรับ
แม้จะเข้าใจว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่า เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา ความว่างจึงเสียรูปไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ขอรับ จริงขอรับ

ความไม่เสมอทัดเทียมกัน จึงบังเกิดเครื่องข้อง ต่อเมื่อเครื่องข้องทั้งหลาย กลับกลายเป็นความว่าง
การกระทบ การดึงดูด การผลักดัน การพัวพัน ก็มีแต่ว่างๆๆๆๆๆๆ หาความแตกต่าง หาแรงต่างๆไม่ได้เลย
ความคิดทั้งหลายจึงสิ้นสุดลง เป็นความว่างอันบริบูรณ์จริงๆขอรับ


ขณะที่ผมปฎิบัติอยู่ ณ ตอนนี้ ได้ลองปรับการดำรงจิตใหม่
เพราะเริ่มเข้าใจในสภาวะของเครื่องข้องทั้งหลาย ที่กรุณาชี้แจงถึงความไม่มีในสิ่งนี้น เปรียบได้กับความว่าง
เมื่ออายตนะและขันธ์ รวมทั้งจิตที่ว่าง กระทบกับเครื่องข้องและสิ่งแวดล้อมที่เป็นความว่าง
มันกลับไม่เกิดความคิดใดๆเอง โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ได้กด แต่กลับไม่เกิดความคิดใดๆ ว่างไปได้เอง อย่างมหัศจรรย์ ขอรับ
ความคิดไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อเห็นสิ่งใด ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งใด ความคิดก็ไม่ได้เกิดขึ้น
มันเหมือนจะดับไปอย่างที่ว่าจริงๆขอรับ
แต่พอเห็นสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เป็นตัวตนขึ้นมา เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นบ้าน ความคิดเกิดขึ้นทันที ที่กระทบ
พอสติกลับมา เห็นเครื่องข้องทั้งหมดเป็นของว่าง เป็นของไม่เที่ยง ความคิดกลับดับ มหัศจรรย์มากขอรับ
เมื่อมีสติรู้ภายใน ภายนอก ว่าเป็นของว่าง ตลอดเวลา ความคิดอ่านกลับหายไป นานๆมากๆ ขอรับ

และนี่เอง เปรียบได้กับมหาสติปัฎฐาน อย่างแท้จริง รู้นอก รู้ใน รู้ตัว รู้ทั่ว รู้พร้อม รู้ว่าทั้งหมด คือความว่าง
รู้เช่นนี้ตลอดเวลา ความคิดดับไปได้ และสิ้นสุดลงได้ จริงๆ ขอรับ
สมกับที่เซนกล่าวว่า เมื่อความคิดปรุงแต่งสิ้นสุดลง ธรรมะทั้งหมดจะมีประโยชณ์อะไร
อย่างนี้นี่เอง

พอเห็นแล้ว ขอรับ
ไม่มีใครเคยชี้ได้ชัดเจน เช่นนี้เลยขอรับ
ขอบพระคุณมากๆ ขอรับ สาธุๆๆ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:31:57 pm

^_^

(malila)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:32:53 pm

คุณมะลินี่ใช่คุณน้องมารน้อยหรือเปล่า ขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:34:41 pm

มะลิจะเป็นมารได้อย่างไรเจ้าค่ะ
คนละคนกัน นะเจ้าค่ะ

แล้วคุณขาจรจัด จะดำรงจิต แบบใหนอีกล่ะค่ะ
ใครเป็นผู้ดำรงจิต
จิตเป็นของผู้ใด

แบบนี้ เรียกว่า มาถึงขอบบ่อแล้วกระโดดถอยหลัง

เวลาของกาย และจิต ย่อมเป็นไปโดยออโตเมติกบังคับไม่ได้
เห็นเวลายังมีเวลา
มืดและสว่างย่อมสับเปลี่ยนหมุนเวียน
เวลาว่าง เมื่อไร หมดเวลา


อยู่เหนือการเวลา

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:36:45 pm

แสดงธรรมได้ลึกซึ้งเกินที่จะคาดหมายแล้วชื่อน้องมารน้อยได้ยังไง ?

คุณมารน้อยเป็นโปรดแถลงไข

ใยท่านมีนามว่า น้องมารน้อยท่านเป็นศิษย์สำนักใดจะไปกราบท่านได้ที่ไหน ?คะ

(จะจ๋า)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:41:09 pm

สวัสดีค่ะ คุณจะจ๋า

ที่ชื่อ "น้องมารน้อย " ก็เพราะว่า บังคับบัญชาให้ชื่ออื่นไม่ได้ ค่ะ
" ตัวคิด "ไม่ออกก็เลยตามใจเค้าปล่อยเลยตามเลย ค่ะ

พวกหมอดูเคยทักทายว่าชื่อนี้ไม่ดี ไม่ต้องโฉลกให้ใช้ชื่อ พุทธะเยอะๆพุทธะใหญ่ๆพุทธะมากๆ
พุทธะภูมิอะไรเทือกนี้ แหละจ๊ะได้ยินชื่อแล้ว ต้อง ส่ายหัวอย่างอัตโนมัติ
เพราะไม่เชื่อหมอดูอยู่แล้ว ธรรมชาติของหมอดู ไม่ดูก็ไม่ได้เลยปล่อยให้เค้าดูไป ดูอะไรก็ดูได้ แต่หมอดู ดูธรรมชาติของตัวหมอดูเองไม่ได้

แต่หนูก็ว่าเหมาะสมแล้วชื่อน้องมารน้อยก็ดีกว่า มารเยอะๆนะค่ะ

เรื่องแสดงธรรม

คณาจารย์ หลายท่านก็พูดกันว่า โลกนี้คือละครคือเวทีชีวิต

หนูก็แจ้ง เตือนใว้แล้ว ว่า บทบาทการแสดง ธรรมเป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ
แสดงออกอย่างอัตโนมัติเหมือนกัน
ทั้งเนื้อหา ทั้งคำพูด และมุข เป็นคาแรกเตอร์ส่วนตัวบังคับบัญชาไม่ได้แม้แต่อย่างเดียวค่ะ
เหมือนการยักคิ้วกระพริบตา

เคยเป็นศิษย์ มาหลายสำนัก
เช่นท่านปูรณะ ท่านมัคลิ ท่านปกุทะ ท่านสัญชัย ท่านอชิตะ ท่านอาฬารดาบสท่านสมณโคดม สำนักเทพ สำนักพระโพธิสัตว์ สำนักฤาษี นักพรต เส้าหลิน บู๊ตึงเต๋า ขงจื้อ เล่าจื้อ ขงเบ้ง ซุนวู สำนักหลวงปู่จรัญ สำนักหลวงปู่พุธสำนักหลวงปู่มั่น สำนักหลวงปู่ปาน สำนักหลวงปู่โอภาษี สำนักหลวงปู่โตสำนักหลวงปู่เทียนสำนักหลวงปู่ดุลย์ สายฤทธิ์ สายสติ สายปัญญา สายสมาธิสายภาวนา มหายาน เถรวาท หินยาน และอีกเยอะแยะ

แต่ละสายแตกต่างกัน
เมื่อเห็นความแตกต่างของแต่ละสาย จนตาลาย จึงลาออก

มา สมัคร เพื่อศึกษา สายอินเตอร์ คือรวมทุกสายเข้าใว้ด้วยกัน

คือ "สายสิญจ์ " ที่ทุกสายทุกสำนักมีเหมือนกันไม่ต่างกันอิๆ
จึงรวมทุกสายเข้าเป็นหนึ่งเดียวด้วยสายสิญจ์ นะค่ะ
เป็นสายกลางของทุกสำนัก ที่แท้จริง อิๆ

หลวงปู่เทียน กราบตัวเอง คณาจารย์เซน กราบตัวเอง
เมื่อเข้าใจและพบพุทธะอันเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง

ส่วนหนูตอนนี้คงต้องหลบซ่อนตัวอยู่กับพรานป่า ซ่อนตัวตามภัตตาคาร ตามศูนย์การค้า เพราะชอบอาหารอร่อยๆไม่ชอบกินแต่ผัก อิๆ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:42:04 pm

แล้วแสดงธรรมแบบนี้เป็นยังไงบ้างค๊ะ

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:48:42 pm

ไร้รูปแบบอิสระ จริงๆ ขอรับ

ถ้าผมไม่เคยได้ติดตาม ไม่ได้ปฎิบัติ จะไม่ได้เห็นประจักษ์ด้วยตัวเองว่าธรรมะที่ท่านได้แสดงมานั้นสุดๆขนาดใหน เคยท่องไปในเวปอื่นๆมานานโดนอัปเปหิออกมา โดนแบนไปหลายที่เพราะหาคนเข้าใจอย่างที่ผมปฎิบัติมายากมากความเข้าใจสูงสุดที่เคยเจอแต่ละคนแต่ละท่าน อย่างดีก็แค่แสมอกันกินกันไม่ลง ผมพูดได้เต็มปากว่าตั้งแต่ท่องเวปมาไม่เคยเจอสักรายเดียวนอกจากพี่น้องคู่นี้ ที่แสดงทะลุได้ลึกและละเอียดถึงใจทุกซ๊อต ได้เช่นนี้ จนลืมตัวไปบ่อยๆหาคนตอบข้อข้องใจ ที่ติดขัด เช่นนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เข้าใจว่าท่านที่สอนท่านแสดงนั้นขนาดใหน ดังตัวอย่างเช่น "เรื่องออโตเมติกของเสื้อผ้าจีวร "ผมรับรองได้ว่าไม่มีใครเคยเห็นและเข้าใจได้เลย มันยากมากๆที่จะหาคนพูดเช่นนี้ ทำให้รู้ได้ทันที ท่านเลยตัวเราไปขนาดใหนคงเกิดอาการปรามาศอย่างมาก ถ้าไม่เข้าใจ

ผมเข้าใจว่า การที่ใช้ชื่อนี้ เพราะ การแสดงธรรมนั้นจะยากมากไม่มีใครจะผ่านการปรามาศไปได้โดยเฉพาะแสดงในเวป
แม้แต่คณาจารย์สายต่างๆก็ยังถูกปรามาศเป็นปกติดังที่ว่าแม้องค์พระปฎิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
ธรรมะที่แสดงยิ่งลึกและละเอียดเพียงใดกรรมจากการปรามาศย่อมมากเป็นเท่าทวี มากขึ้นเท่านั้น
ความสำคัญของชื่อ ถึงแม้จะเล็กน้อยไม่สำคัญ แต่เซน จะเห็นว่าการเห็นเช่นนี้ ก็ยังเรียกว่าเห็นผิด เพราะธรรมะอันเป็นของคู่ยังไม่ถูกละเลย จะว่าสำคัญมาก ก็เห้นผิด เหมือนกัน

แต่ความสำคัญที่สุดของชื่อ น่าจะมีสาเหตุทางธรรมมากกว่าใดๆเพราะแสดงได้ถึงขนาดนี้แล้ว ย่อมเล็งเห็นในสิ่งที่สายตาธรรมดาๆไม่อาจเล็งเห็นได้ ไม่อาจประเมินได้
เมื่อท่านผู้แสดงธรรม แสดงได้อย่างสุดๆ แม้จุดติดขัดนิดเดียวของแต่ละคนท่านก็ยังเห็นได้ และทำให้สิ่งที่ผมติดมานานโล่งไปได้ทันทีผมจึงขอแสดงความนับถือว่าเป็นท่านอาจาย์ของผมคนนึง เลยขอรับ

ผมมีความเห็นว่า ในปรมัตถ์แล้วชื่อนี้เหมาะสม และยุติธรรมด้วยความบริสุทธิ์ด้วยประการ ทั้งปวง
และที่ต้องเป็นชื่อนี้น่าจะต้องเกี่ยวพันกับเรื่องของกรรมมากที่สุดกว่าใดๆกรรมปรามาศคงมากมหันต์ ถ้าใช้ชื่ออื่นๆ แต่ผู้ที่ปรามาศถ้าแค่เห็นว่าธรรมะของมาร คงไม่เกิดกรรมปรามาศ
แม้แต่ท่านพุทธทาสแปลพระสูตรมาก็โดนปรามาส
หลวงพ่อเทียน ก็โดนหาว่าเป็นคอมเช่นกัน

นั่นเป็นความเห็นที่ผมเขาออกมา โดยเป็นปรมัตถ์ไม่ได้อาศัยตัวคิดครับ


ก็ขอถือโอกาสนี้ ขอขมาขออโหสิกรรมในกรรมที่พึงมีทั้งกายกรรมวจีกรรม มโนกรรม ต่อทุกๆท่าน
ตามธรรมเนียม ณที่นี้ด้วย ขอรับ
ขออนุโมทนาในธรรมทานขอรับ

(ขาจรจัด)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 02:57:04 pm

ชอบมั๊กๆคำชมนี่น่าปลื้มจริงค่ะ
ในท้ายที่สุดก็เหมือนกัน
ต่างคนต่างก็ไม่มีอะไรสักกะติ๊ดเดียว

ถูกต้อง ชื่อหนูนั้น ไม่ได้ดี หรือไม่ดี แต่เป็นชื่อที่บริสุทธิ์ ที่สุด สมบูรณ์พร้อม อยู่แล้ว
แต่ไม่มีทั้งเหตุ และผล ในสมมุติ
แต่ในปรมัตถ์ย่อมเต็มไปด้วยเหตุ และผล บรรจุได้ทั้งเหตุและผล
ที่คุณขาจรจัดกล่าวมา เป็นปรมัตถ์ เหตุหนึ่งเท่านั้นเอง
เรื่องเสื้อผ้า และจีวร อันเป็นอัตโนมัติ เมื่อคุณเองได้เห็นแล้วซึ่งความเป็นอัตโนมัติจริง ก็ควรแล้ว

อาวุธหลักของคุณขาจรจัด เป็นความอัตโนมัติแต่ความเป็นอัตโนมัติที่คุณเห็นนี้ ยังไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด
จึงไม่เคยห็นความเป็นอัตโนมัติของเสื้อผ้า และจีวรและยังไม่เคยเห็นความเป็นอัตโนมัติของเครื่องข้องได้ ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นความครอบคลุมทั้งหมด ของความเป็นอัตโนมัติที่แทรกซึมและครอบคลุมในทุกสิ่งทุกอย่าง



เรื่องของมาร

พระพุทธเจ้า ท่านทรงบำเพ็ญมากกว่าสี่อสงไขยแสนกัปป์พระบารมีสามสิบทัศล้นเหลือ
จากพระบารมี ในพระชาติสุดท้ายจึงได้ร่างกายอันเป็นมหาปุริสลักษณะยิ่งกว่าลักษณะใดๆ
ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่มีใครที่จะกอร์ปด้วย พระมหาปุริสลักษณะเช่นนี้


แต่ท่าน พญามาร ใช้เวลาแค่อึดใจเท่านั้น สำแดงร่างอันเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างองค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทันทีที่ต้องการ ไม่ต่างกัน
อีกทั้งยังสำแดงต่อหน้าพระอรหันต์ให้เห็นมาแล้วดังเรื่องราวในพระไตรปิฎก
เพียงแค่อึดใจ เท่านั้น

(น้องมารน้อย)
หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 19, 2011, 03:02:19 pm


เรื่องของมาร
พระพุทธเจ้า ท่าน ทรงบำเพ็ญมากกว่าสี่อสงไขยแสนกัปป์ พระบารมีสามสิบทัศล้นเหลือ
จากพระบารมี ในพระชาติสุดท้าย จึงได้ร่างกายอันเป็นมหาปุริสลักษณะยิ่งกว่าลักษณะใดๆ
ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่มีใครที่จะกอร์ปด้วย พระมหาปุริสลักษณะเช่นนี้

แต่ท่าน พญามาร ใช้เวลาแค่อึดใจเท่านั้น สำแดงร่างอันเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างองค์สมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทันทีที่ต้องการ ไม่ต่างกัน
อีกทั้งยังสำแดงต่อหน้าพระอรหันต์ให้เห็นมาแล้ว ดังเรื่องราวในพระไตรปิฎก
เพียงแค่อึดใจ เท่านั้น
(น้องมารน้อย)

.............................................

ฟังแล้วทะแม่งๆ รู้สึกขัดๆ ไม่เหมือนเซน ไม่เหมือนพระสุภูติไม่เหมือนคำสอนในทุกๆ พระสูตร ดูขัดๆกันมาก อย่างไรชอบกล เหมือนกันขอรับ
ปริศนาเรื่องนี้ผมรู้สึกส่วนตัวนะขอรับ ว่าหนักหนาสาหัสมากกว่าทุกๆเรื่องใจหายวูบวาบ ไปเลยขอรับ ถ้าในปรมัตถ์ เมื่อถึงด่านเรื่องพระพุทธเจ้าและพญามาร น่ากลัวว่าจะเป้นยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูน่ะขอรับ
รู้สึกเหมือนถ้าเห็นปริศนานี้ ตามจริงได้คงไม่เหลืออะไรแม้เพียงอย่างเดียว คงถึงเวลาต้องจากกันชั่วนิรันด์กับทุกสิ่งที่เคยมี เคยถือไว้ อย่างไรอย่างนั้นเลยขอรับ ใจหายมากๆเหมือนจะตกลงสู่ความว่างความไม่มีอะไรจริงๆ
น่าจะเป็นรู้สึกเหมือนถ้ากระโดดลงไปในความว่างจะ ไม่มีอะไรให้เกาะ จริงๆ ขอรับ
ขอตั้งหลักก่อนนะขอรับ
(ขาจรจัด)


(https://lh3.googleusercontent.com/-govD4zPSxlU/UWVQJmtrr5I/AAAAAAAAEkU/zOuHceTYLEQ/s275/images+%2818%29.jpg) (https://lh6.googleusercontent.com/-As427zq354Q/UWVQYpJdsmI/AAAAAAAAEkg/D_xL4KYvMeo/s275/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94+%286%29.jpg)
                 :http://agaligohome.com/index.php?topic=4466.105
: http://agaligohome.fix.gs/ (http://agaligohome.fix.gs/)

หัวข้อ: Re: "ยักคิ้วกระพริบตา" ฮานะ เอามาฝากจาก อกาลิโกดอทคอม ขะ
เริ่มหัวข้อโดย: แปดคิว ที่ สิงหาคม 19, 2011, 07:41:28 pm
 :45: :30: :45: