- 
				
 (https://lh5.googleusercontent.com/-eYwqC9GrbBQ/UiO0NuLnReI/AAAAAAAB-No/sri-FoqwIo0/w526-h661/tumblr_mj1zz9zcLJ1rcr4l4o1_50098765vbnytf.jpg)
 
 โทษของกามข้อที่ว่า เหมือนโดดลง
 หลุมถ่านเพลิง
 อนุปุพพิกถา ตอนที่ ๗  “ หลุมถ่านเพลิง ”
 โดย อาจารย์ปราโมช น้อยวัฒน์
 
 กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือนกับ “ หลุมถ่านเพลิง ”
 เพราะอรรถว่าทำให้ร้อนอย่างยิ่ง
 คือผู้ใดที่หลงยินดีในกามท่านก็อุปมาว่าเหมือนกับตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง
 
 หลุมถ่านเพลิงก็ย่อมจะเผาไหม้บุคคลนั้นให้ถึงแก่ความตาย
 
 (https://lh4.googleusercontent.com/-H-QPjGk222M/UfgmE6FBuqI/AAAAAAAAnOI/Z3Q-XlWBd94/w426-h757/aşk4.gif)
 
 Credit by :raksa-dhamma.com
 :http://www.sookjai.com/index.php?topic=2821.0
 
- 
				
 
 (http://3.bp.blogspot.com/_zo3qGCYGORU/SxVa4xUQgiI/AAAAAAAAAOk/3aZoLilHXEQ/s1600/42223012007010331.jpg)
 
 ดังมีเรื่องของพระเถรีรูปหนึ่ง ซึ่งท่านแสดงไว้ในอรรถกถาขุททกนิกายเถรีคาถา
 ท่านได้อุปมาโทษของกามไว้มากมาย ถ้าหากว่าเราได้ฟังแล้ว
 ก็อาจจะเป็นเหตุให้เราเกิดความเบื่อหน่ายในกาม หรือว่าเห็นโทษของกาม คิดที่จะออกจากกาม
 ผู้นั้นก็มีหวังที่จะพ้นจากทุกข์ได้ แต่ถ้าหากว่ายังไม่เห็นโทษของกามแล้ว
 
 กามก็จะทำให้ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปนับภพชาติไม่ถ้วน คือในอดีตก็ต้องเป็นทุกข์
 ท่องเที่ยวมานับชาติไม่ถ้วน ในปัจจุบันนี้เราก็ยังติดใจในกามอีก
 กามก็จะพาให้เราท่องเที่ยวไปในภพชาติต่อไปอีกไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดทุกข์เอาเมื่อไร
 จึงได้นำเรื่องของพระเถรีรูปนี้ที่ท่านแสดงโทษของกามมาให้ท่านฟัง
 
 คือพระเถรีรูปนี้ในอดีตชาติท่านได้เคยบำเพ็ญบารมีสร้างสมกุศล
 อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ มาแล้วหลายพระองค์
 พระเถรีรูปนี้ในสมัยที่ท่านยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะ
 
 ท่านได้ท่องเที่ยวไปเกิดในสวรรค์ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์จนถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
 แล้วที่ไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้นก็ได้เป็นมเหสีของท้าวเทวราชทั้ง ๕ ชั้น
 ได้เสวยความสุขท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภพโลกสวรรค์
 ได้เสวยความ สุขอันเป็นทิพย์มากมายหาประมาณไม่ได้
 
 เมื่อพ้นจากโลกสวรรค์ลงมาเกิดอยู่ในมนุษย์ก็ได้เกิดในตระกูลสูง ๆ
 ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์เป็นต้น ได้เสวยความสุขมากมาย
 เพราะท่านเป็นผู้ที่สร้างสมกุศลมามากมาย กุศลอันนี้ก็ทำให้ท่านท่องเที่ยวไป
 ในสุคตินับภพชาติไม่ถ้วน ในการที่ท่านท่องเที่ยวไปในภพชาติต่าง ๆ เหล่านั้น
 ท่านก็พยายามเจริญกุศลที่จะให้ถึง
 ความพ้นทุกข์อยู่เสมอ จนกระทั่งมาถึงพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้
 
 (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQz5MEsjW4aE2a-AAhoKfGW1orlXlJgaueNoIJcL6--yHoLR2w2)
 
 
- 
				
 
 (http://images.thaiza.com/31/31_20071008155355..jpg)
 
 ท่านได้มาเกิดเป็นธิดาของพระเจ้าโกญจะ อยู่ที่กรุงมันตาวดี ได้พระนามว่าสุเมธา
 วันหนึ่งพระนางสุเมธาพร้อมด้วยราชธิดาที่มีวัยคราวเดียวกันและเหล่าทาสี
 ก็ได้พากันไปฟังธรรมในสำนักของพระภิกษุณี เป็นเหตุให้พระนางสุเมธา
 เกิดความเลื่อมใสในธรรม เห็นทุกข์โทษภัยของวัฏฏะทำให้พระนางเกิดความ
 เบื่อหน่ายในกาม ไม่ประสงค์ที่จะทำกิจของฆราวาสต่อไป จึงได้ขออนุญาต
 
 พระชนกชนนีออกบวช แต่พระชนกชนนีได้บอกว่าได้ถวายลูกให้กับ
 พระเจ้าอนิกรัตตะ แห่งกรุงวารณวดีแล้ว
 พระนางสุเมธาก็กล่าวว่า ลูกยินดีแต่เฉพาะในพระนิพพาน ไม่ยินดีในภพอีกต่อไป
 เพราะถึงแม้ว่าภพนั้นจะเป็นทิพย์
 แต่ภพนั้นก็ไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
 
 เพราะฉะนั้นจะป่วยกล่าวไปใยถึงกามทั้งหลายที่เป็นของมนุษย์ กามเหล่านี้
 ก็ล้วนแล้วแต่ว่าเป็นของว่างเปล่าไม่มีแก่นสารสาระ มีรสอร่อยน้อย
 เหมือนกับหยาดน้ำที่คมมีดซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอันตราย เพราะมีความคับแค้นมาก
 มีทุกข์มากให้ผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต กามจึงมีความเผ็ดร้อน
 
 เปรียบเหมือนกับงูพิษที่มีอันตราย เพราะมีภัยเฉพาะหน้า หมายความว่างูจะไป
 ในที่ไหน ถ้ามีคนพบเห็นแล้วก็มักจะถูกตีถูกฆ่าให้เป็นอันตรายฉันใด แม้กามก็เช่นเดียวกัน
 ถ้าหากว่าใครไปยินดีในกามแล้ว ก็จะมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเป็นส่วนมาก
 แต่พวกคนเขลาที่ไม่รู้เหตุผลความจริง ก็พากันติดอยู่ในกาม
 จึงเป็นเหตุให้ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปชั่วกาลนานตามกรรมของตนที่ทำมา
 
 เพราะคนเขลาไม่เคยที่จะสำรวมกายวาจาใจ ก็มักจะเพลิดเพลินในกาม
 การที่เพลิดเพลินในกามก็เป็นเหตุให้ทำแต่บาปกรรมเพิ่มพูนอยู่เรื่อย ๆ เป็นเหตุ
 ให้ต้องไปสู่อบายทุคติ ต้องได้รับทุกข์โทษภัยแสนสาหัส เพราะคนเขลาไม่มีปัญญา
 ไม่รู้จักทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน คือไม่คิดที่จะทำประโยชน์ช่วยตนให้พ้นจากทุกข์
 ก็เพราะถูกอำนาจของอวิชชาตัณหาปิดบังไว้ จึงทำให้ไม่รู้จักโทษของกาม
 
 คือไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ เมื่อไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ ก็จะต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไป
 ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่ายังมีความหลงไหลติดใคร่ยินดีในกาม
 ก็ยังปรารถนาจะไปเกิดในภพภูมิที่มีความสุข คนส่วนมากในโลกต่างก็ปรารถนา
 กามสุขกันทั้งนั้น ก็เพราะเหตุไม่รู้จักอริยสัจจ์ ๔ คือไม่รู้จักทุกข์เป็นต้น
 
 พวกที่เป็นคนเขลาไม่รู้เหตุผลความจริงจึงไม่หวาดสะดุ้งกลัวต่อโทษของกาม
 เพราะว่าไม่เคยเห็นโทษของกามมีแต่หลงใหลยินดีรักใคร่ในกาม จึงเป็นเหตุให้เขา
 ต้องเกิดในภพบ่อย ๆ และการเกิดในภพบ่อย ๆ ของพวก ยินดีรักใคร่ในกาม ส่วนมาก
 ก็ไปเกิดในอบาย เพราะเหตุว่าความยินดีในกามเป็นเหตุให้ลืมทำกุศล
 
 เมื่อไม่ได้ทำกุศลมัวแต่เพลิดเพลินยินดีในกาม การเพลิดเพลินยินดีในกาม
 ก็เป็นเหตุให้ทำบาปอกุศล เมื่อตายไปแล้วจึงไปเกิดในอบายได้ง่ายกว่าที่จะไปเกิดในมนุษย์
 ท่านถึงได้บอกว่าภพภูมิของสัตว์ทั้งหลายที่ไปเกิดได้ง่าย คือการไปเกิดในอบาย
 ส่วนคติทั้งสองคือคติที่เป็นมนุษย์กับคติที่เป็นเทวดาสัตว์ทั้งหลายไปเกิดได้ยาก
 เพราะบุญ เป็นของที่สัตว์ทั้งหลาย ทำได้ยาก
 แต่ส่วนที่ไปเกิดในอบายได้ง่าย เพราะสัตว์ทำบาปกันได้ง่าย
 เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็ควรที่จะ พิจารณา ถึงตนเองว่า
 เรามีความยินดีเพลิดเพลินในกามจนกระทั่งลืมทำบุญกุศลหรือเปล่า
 
 (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTnQ9GBg7lCS3ok40Yaxgb5LZGHT08jTM1LPezLV26dv26b8SOdUA)
 
 
- 
				
 
 (http://img24.imageshack.us/img24/8071/1341190622.jpg)
 
 ถ้าหากว่าเรามัวแต่เพลิดเพลินในกามลืมทำกุศล เราก็จะต้องไปสู่ทุคติได้ง่าย
 เพราะฉะนั้นสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติจึงมีมากว่าสัตว์ที่มาเกิดในสุคติ
 เมื่อพระนาง สุเมธาได้เล่าโทษของกามให้พระชนกชนนีฟังแล้วก็บอกว่า พระนางไม่ยินดีในกาม
 ยินดีแต่ในการออกบวช ขอให้พระชนกชนนีอนุญาตให้ลูกได้บวชเถิด ลูกไม่ขวนขวาย
 ในกิจของฆราวาสอีกต่อไปแล้ว จะพากเพียรเจริญภาวนาเพื่อที่จะละชาติชรามรณะให้สิ้นไป
 ถ้าหากว่าพระชนกชนนีจะอ้อนวอนให้ยินดีในกาม พระนางก็ไม่เห็นกามว่ามีแก่นสารอะไรเลย
 จึงได้พรรณนาโทษของกามให้พระชนกชนนีฟังอีก เพราะว่าการที่สัตว์โลกทั้งหลายยินดีในกาม
 ก็คือยินดีในร่างกายของตนเอง ยินดีในร่างกายของผู้อื่น
 การที่ยินดีในร่างกายของตน หรือว่าในของผู้อื่นความจริงก็ยินดีในสิ่งที่ไม่มีสาระ
 
 เพราะร่างกายล้วนแต่เป็นของปฏิกูลโสโครก ไม่มีอะไรที่จะเป็นของดีเลย ฉะนั้นพระนางสุเมธา
 ก็ตั้งใจที่จะบวชเพื่อที่จะดับกิเลสตัณหาให้หมดไป และเพียรพยายามที่จะเจริญพรหมจรรย์
 เพื่อที่จะให้พ้นจากภพชาติไป และพระนางได้อธิบายถึงคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
 ในกาลนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว ลูกได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
 อขณะนี้ก็ได้เว้นแล้ว “ อขณะ ” ก็หมายถึงว่าการไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ส่วนขณะลูกก็ได้แล้ว
 คือได้มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ ฉะนั้นลูกขอบวชประพฤติศีลและพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ถ้าหากว่า
 พระชนกชนนีไม่ยอมให้บวชก็จะไม่เสวยอาหารคือจะยอมตายอย่างเดียวถ้าหากว่าไม่ได้บวช
 
 เมื่อพระชนกชนนีพยายามจะเกลี้ยกล่อมพระนางสุเมธาให้ยินยอมเป็นคฤหัสถ์จึงกล่าวว่า
 ลูกยังเป็นสาวอยู่ควรที่จะยินดีบริโภคในกามเพราะว่าพ่อได้ถวายลูกให้กับพระเจ้าอนิกรัตตะแล้ว
 ลูกก็จะได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าอนิกรัตตะ จะเป็นผู้มีอำนาจ มีโภคทรัพย์ มีความเป็นใหญ่
 มีความสุขในราชสมบัติมากมาย ขอให้ลูกบริโภคกามเถิดอย่าเพิ่งไปประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์
 หรือว่าไปออกบวชเลย เพราะการประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์นั้นทำได้ยาก
 ฝ่ายพระนางสุเมธาได้ยิน พระชนกชนนีกล่าวอย่างนี้ ก็บอกว่าพวกอำนาจราชสมบัติต่าง ๆ
 หรือว่าความสุขในกามต่าง ๆ ลูกไม่ได้ปรารถนาเลย เพราะเหตุว่า
 เป็นสิ่งที่ไม่มีสาระแก่ลูก แต่ส่วนการบวชหรือความตายเท่านั้นจะมีแก่ลูก ถ้าหากว่า
 พระชนกชนนีไม่ยอมให้บวช และพระนางก็บอกว่าจะไม่ยอมวิวาห์เป็นอันขาด
 
 
- 
				
 (http://www.dhammajak.net/board/files/peace2_192.gif)
 
 พระนางได้ยกเอาความปฏิกูลของร่างกายแสดงแก่พระชนกชนนีต่อไปว่ากายของมนุษย์ หรือของสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เป็นของเน่าเป็นของปฏิกูลเหมือนหนอนเป็นของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นคลุ้งดุจถุงหนังที่บรรจุซากศพ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดไหลอยู่เป็นนิจ
 
 ซึ่งคนเขลายึดว่าเป็นเราหรือว่าเป็นของเรา
 แต่ความเป็นจริงแล้วกายนี้เป็นก็เหมือนซากศพเป็นของปฏิกูล
 ที่ฉาบด้วยเนื้อและเลือดเป็นที่อยู่ของหมู่หนอนหลายจำพวก
 คือพวกหนอนต่าง ๆ เหล่านี้จะมีอยู่ในร่างกายของเรา อาศัยกินร่างกายของเราเป็นอาหารและเมื่อตายแล้วร่างกายนี้ถูกเอาไปทิ้งแล้ว
 ในป่าช้าก็ยังเป็นอาหารของแร้งกา หรือว่าสัตว์ทั้งหลายต่อไปอีก
 
 เมื่อกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครกสกปรกอย่างนี้ ก็ได้ถามพระชนกชนนีว่าเพราะเหตุใดจึงได้เอาซากศพของตนยกให้กับพระราชาเล่า เพราะว่าล้วนแล้วแต่เป็นของที่ไม่ดีทั้งนั้น เพราะกายนี้ถ้าหากว่าปราศจากวิญญาณไปแล้ว ก็เปรียบเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์ที่เขานำไปทิ้งที่ป่าช้า ให้เป็นอาหารของเหล่าสัตว์มีสุนัขจิ้งจอกและสุนัขบ้านเป็นต้น
 
 เมื่อเอาไปทิ้งคือตายไปแล้วแม้แต่บิดามารดาของตนก็ยังเกลียด เมื่อเอาซากศพไปทิ้งที่ป่าช้าแล้วพอกลับมาถึงบ้านก็ต้องอาบน้ำชำระร่าง กายให้สะอาด เพราะเห็นว่าการไปในสถานที่นั้นเป็นสิ่งปฏิกูลโสโครก เพราะฉะนั้นขนาดว่าเป็นลูกของตัวเองก็ยังรังเกียจแล้ว ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นแล้วเขาจะรังเกียจขนาดไหน แต่คนทั้งหลายที่โง่เขลาเวลาที่ยังไม่ตาย
 
 ก็ชื่นชมยินดีในร่างกายนี้ว่าเป็นสาระเป็นของสวยงามเป็นของเที่ยง ก็ด้วยอำนาจของตัณหาความรักใคร่ยินดีปิดบังไว้จึงไม่เห็นร่างกายว่าเป็นของปฏิกูล ต่อเมื่อวิญญาณจากไปแล้วเป็นของเน่าเหม็นจึงจะเห็นว่าเป็นปฏิกูล คือไม่สามารถที่จะทนกลิ่นกายนี้ได้
 
 เพราะเหตุนี้บัณฑิตทั้งหลายจึงได้กล่าวว่าร่างกายนี้ความจริงก็คือสภาพที่เป็นขันธ์อายตนะ ธาตุที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็เป็นเหตุให้แล่นไปในภพต่าง ๆ การที่ขันธ์ตั้งขึ้นมาแล้วก็มีชาติความเกิดเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นพระนางจึงไม่ปรารถนาจะเข้าสู่การวิวาห์ เพราะว่าบุคคลใดที่ได้มารู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 ที่แสดงถึงสังสารวัฏฏ์อันมีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้จักจบ และทุกข์ที่นับวัฏฏะไม่ได้ หมายความว่าสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาก็ไม่รู้ว่าตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อไรและจะไปสิ้นสุดเอาเมื่อไร
 ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย
 เพราะความที่ยินดีติดใจอยู่ในกาม เป็นเหตุให้ต้องวนเวียนไปในภพชาติไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าหากว่าบุคคลใดมาประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ด้วยการรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ออกบวชคือออกจากกาม แม้ว่าจะเป็นการ
 ประพฤติที่ลำบาก แต่ทำให้พ้นจากทุกข์เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด
 
 
- 
				(http://i183.photobucket.com/albums/x96/leevon19/whitelotus.jpg)
 
 ดังท่านอุปมาการประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นความลำบาก เหมือนกับว่าถูกแทงด้วยหอก ๓๐๐ เล่ม
 และถูกแทงอยู่ทุกวันตลอดเวลา ๑๐๐ ปีแต่การประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นทุกข์ลำบากอย่างนี้
 แล้วเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพานพ้นจากวัฏฏะได้ก็ยังประเสริฐกว่าความยินดีในกามที่เห็นว่ามีความสุข ก็จะเป็นเหตุให้ต้องท่องเที่ยวเป็นทุกข์ไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด
 
 เพราะจะถูกชาติชราพยาธิมรณะเบียดเบียนอยู่ตลอดไปซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ต้องไปเกิด
 ในเทวดาบ้างในมนุษย์บ้าง
 หรือว่าไปเกิดในกำเนิดของสัตว์เดรัจฉานบ้างในหมู่อสุรกาย เปรต และสัตว์นรก
 ก็ยิ่งจะต้องประสบกับความทุกข์มากมาย
 เพราะว่าในอบายนั้นมีการเบียดเบียนทำร้ายกันและมีความทุกข์แสนสาหัสหาประมาณไม่ได้เลย
 ถึงแม้ว่าการที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขอยู่ตลอดกาล
 เพราะฉะนั้นถึงไปเกิดเป็นเทวดา
 ถ้าไม่ประพฤติพรหมจรรย์แล้วการไปเกิดเป็นเทวดานั้นก็ไม่อาจที่จะช่วยให้พ้นจากภพชาติการเกิดไปได้
 
 เพราะไปเป็นเทวดามัวแต่ไปเพลิดเพลินในกามสุข ก็เป็นเหตุให้หลงเพลิดเพลินยินดีเป็นโลภะ
 การไปเกิดเป็นเทวดาก็ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังมีความเร่าร้อนอยู่ด้วยกามราคะ
 การยินดีในกามก็จะต้องประสบกับความทุกข์ความคับแค้นมาก
 เพราะโลกียสุขนั้นมีความแปรปรวน ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์เรื่อยไป
 
 ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ สุขอื่นอันยิ่งกว่าสุขคือพระนิพพานไม่มี ”
 พระนิพพานนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง
 เพราะฉะนั้นชนเหล่าใดที่มาประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ชนเหล่านั้นก็สามารถที่จะบรรลุ พระนิพพาน พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
 และในวันนี้แหละลูกก็จะออกบวชคือไม่ปรารถนาที่จะบริโภคกามอีกต่อไป
 
 และพระนางก็บอกว่ากามนี้ไม่มีสาระแก่นสาร เพราะกามทั้งหลายลูกเบื่อแล้ว
 คือเป็นเสมือนกับของที่คายออกแล้ว ก็เป็นเหมือนอย่างกับรากสุนัข เป็นของสกปรก
 พระนางไม่ยินดีแล้วในกาม เปรียบเหมือนกับว่าเป็นตาลยอดด้วน
 ที่ชื่อว่าตาลยอดด้วน ก็หมายถึงว่าต้นตาลถ้าหากว่าไม่มียอดแล้วก็ถึงแก่ความตายฉันใด
 เพราะฉะนั้นนางก็บอกว่านางตายแล้ว
 ขาดแล้วจากกามฉันนั้น คือไม่ปรารถนาไม่ยินดีในกาม วันนี้นางก็จะออกบวช
 
 ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลพระชนกชนนีอยู่อย่างนั้น พระเจ้าอนิกรัตตะ
 ก็เสด็จมาถึงกรุงมันตาวดี พอพระนางสุเมธาทราบ ก็ใช้พระขรรค์ตัดพระเกสา
 แล้วก็ทรงปิดปราสาท เอาผมเป็นกสิณมนสิการให้เห็นว่าเป็นของปฏิกูล
 ขณะที่บริกรรมอยู่นั้นก็เป็นเหตุให้พระนางได้บรรลุ ปฐมฌาน ออกจากฌานแล้ว
 ก็ยกองค์ฌานขึ้นสู่ วิปัสสนา เห็นความไม่เที่ยงของ องค์ฌาน นั้น
 
 เพราะเหตุว่าในอดีตชาติพระนางได้เคยทำฌานทำวิปัสสนามามากมายในอดีตภพ
 เพราะฉะนั้นเมื่อมีความปรารถนาที่จะออกจากกามจริง ๆ แล้ว
 จิตใจมุ่งอยู่ที่จะถึงพระนิพพาน ต้องการความพ้นทุกข์
 ก็เป็นเหตุให้พระนางปฏิบัติธรรม ทำให้ บรรลุธรรม นั้นได้โดยสะดวก
 
 
- 
				
 (http://i26.photobucket.com/albums/c109/plumeria226/white-lotus-flower.gif)
 
 ฝ่ายพระเจ้าอนิกรัตตะ เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว
 ก็เข้าไปหาพระนางสุเมธาอ้อนวอนขอให้พระนางทรงวิวาห์กับพระองค์
 แต่พระนางก็บอกว่า กามทั้งหลายนางตัดขาดแล้ว โมหะของนางก็ปราศไปแล้ว จึงได้ทูลพระเจ้าอนิกรัตตะว่าอย่าได้ทรงเพลิดเพลินในกามเลยจงเห็นโทษของกามเถิด เพราะว่าความอิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มีดังเช่นพระเจ้ามันธาตุราช ซึ่งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่เป็นเจ้าแห่งทวีปทั้ง ๔ มีชมพูทวีปเป็นต้น ทรงเป็นยอดของผู้ที่บริโภคกามอย่างดีเลิศ
 
 คือได้บริโภคกามทั้งในมนุษย์คือในขณะที่ท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ได้รับความสุขในมนุษย์และเทวดาคือท้าวสักกะก็ยังมาเชิญพระองค์ให้ไปเสวยความสุขในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือมารับเอาพระเจ้ามันธาตุราชไปเสวยความสุขอยู่ในชั้นดาวดึงส์ จนกระทั่งสิ้นอายุของท้าวสักกะไปถึง ๓๖ พระองค์ ท้าวมันธาตุราชก็ยังไม่ตายแต่ก็ยังไม่ทรงอิ่มในกาม ผลที่สุดก็ต้องกลับมาเมืองมนุษย์แล้วก็เสด็จสวรรคตไปทั้งที่ความปรารถนาของพระองค์นั้นยังไม่ได้เต็มเลย
 
 แล้วพระนางสุเมธาก็ยังเปรียบอีกว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ ถึงแม้ว่าเทวดาจะหลั่งรัตนะ คือทำรัตนะให้ตกลงมาเป็นฝนตลอดโดยรอบของบุรุษทั้ง ๑๐ ทิศ บุรุษเหล่านั้นก็ไม่รู้จักอิ่มในกามและทั้ง ๆ ที่ไม่อิ่มในกามก็ต้องพากันตายไป และยังบอกอีกว่าถึงแม้ว่าฝนนั้นที่เป็นพวกกหาปณะต่าง ๆ ที่ตกลงมาจะมากมายเท่าไร ความอิ่มในกามของคนทั้งหลายก็ย่อมไม่มีที่สุด ในที่สุดก็ต้องตายจากไป พระนางจึงได้แสดงโทษของกามให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟังต่อไปอีก โดยเปรียบกามทั้งหลายให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟัง
 
 คือเปรียบกามว่าเหมือน “ ดาบและหลาว ” ที่เปรียบว่าเหมือนดาบและหลาว ก็เพราะอรรถว่าดาบมีหน้าที่คอยตัดศีรษะของสัตว์โลกให้ตายไปไม่มีที่สิ้นสุด จึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับดาบและหลาวทั้งหลาย
 
 และยังเปรียบกามว่าเป็นเหมือนหัวงูดังที่กล่าวไปแล้วว่ามีภัยเฉพาะหน้า คือคนเห็นงูก็จะต้องตีงู กามก็เหมือนกันถ้าหากว่าใครไปหลงติดในกามก็มีภัยที่จะต้องคอยระวังมาก อย่างเช่นคนที่ยินดีในกามก็จะถูกทำร้ายให้เจ็บป่วยต่าง ๆ ฉะนั้นจึงได้ เปรียบกามว่าเป็นเหมือนกับหัวงู
 
 และกามทั้งหลายยังเปรียบเหมือน “ คบเพลิงหญ้า ” เพราะอรรถว่าเผาคือใครที่ถือคบเพลิงหญ้า ถ้าหากว่าไม่ปล่อยคบเพลิงหญ้า ๆ ก็จะลุกไหม้เผาลนผู้นั้นให้ถึงแก่ความตาย ผู้ที่ยินดีในกามก็เหมือนกันทั้ง ๆ ที่ยังไม่อิ่มในกาม กามนั้นก็เผาให้เร่าร้อนเหมือนกับถูกไฟไหม้ผลที่สุดก็ต้องตายไป
 
 
 (http://3.bp.blogspot.com/_sLZ0y1eK4Ws/S76vo5RblsI/AAAAAAAABrQ/nzzZSs_wk6M/s1600/lotus10%5B1%5D.jpg)
 
 
- 
				
 (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34/s600x600/1961388_297978650354626_1022180009_n.jpg?oh=4a4dcf9ed0e74d7749c9bf3f41199554&oe=5320BA9D&__gda__=1394644756_ad025f7d462b0b3a86008487eee1baf2)
 
 
 จึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับคบเพลิงหญ้า และกามทั้งหลายยังเปรียบเหมือนกับ
 “ ท่อนกระดูก ” เพราะอรรถว่ามีรสอร่อยน้อย
 คือท่อนกระดูกไม่มีรสอร่อยเท่าไร แต่ว่าผู้บริโภคไม่รู้ถึงความจริง คือที่ว่าอร่อย
 ความจริงก็อร่อยในน้ำลายของตัวเอง ท่านจึงได้เปรียบกามว่าเหมือนท่อนกระดูก
 คือจะบริโภคเท่าไรก็ทำให้เพลิดเพลินแต่ว่าไม่ทำให้อิ่มได้
 
 เพราะกามจะบริโภคเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม และกามทั้งหลายท่านก็ยังเปรียบว่า
 เป็นของที่ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีทุกข์มาก มีพิษมาก
 เพราะว่าเป็นมูลรากแห่งทุกข์ คือทำให้มีภพชาติการเกิดนั่นเอง
 
 และท่านยังได้เปรียบกามทั้งหลายว่าเหมือนกับ “ ก้อนเหล็ก ” ที่ร้อนโชน
 แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่าเหล็กร้อนไปจับเข้า เป็นเหตุให้ต้องได้รับความทุกข์แสนสาหัส
 เหมือนกับคนที่ไม่เห็นโทษของกาม
 ไปเพลิดเพลินยินดีในกาม ก็ต้องเป็นทุกข์ท่องเที่ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด
 
 และกามทั้งหลายยังเปรียบด้วย “ ผลไม้ ” เพราะอรรถว่าถูกหักราญ หมายความว่า
 ต้นไม้ที่มีผลดกก็จะถูกบุคคลทั้งหลายเก็บกิน คือถูกสอยบ้างถูกหักกิ่งหรือว่าตัดรานกิ่ง
 เก็บเอาผลลงมาทำให้ต้นไม้นั้นย่อยยับลงไปฉันใด คนที่หลงกามมาก ๆ ก็เช่นกัน
 ย่อมจะเป็นทุกข์ฉันนั้น
 คือทำให้ต้องถูกฟัน ถูกยิง ถูกผ่าตัดอวัยวะ เพราะเหตุที่ หลงในกาม แย่งกามกันกิน
 
 และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบด้วย “ ชิ้นเนื้อ ” เพราะอรรถว่าเป็นของสาธารณะ
 คือชิ้นเนื้อเป็นที่ชอบใจของสัตว์ทั้งหลาย
 ฉะนั้นใครที่เห็นชิ้นเนื้อแล้วต่างก็แย่งชิงกันที่จะเอามาเป็นเจ้าของ ก็เป็นเหตุุุ
 ให้เกิดการต่อสู้กัน ทำให้ได้รับทุกขเวทนาเจ็บป่วยไปต่างๆ ก็เพราะความปรารถนาในกาม
 
 
 (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34/1923052_297978500354641_819887717_n.jpg?oh=92dcd6d12679cc793e0590362f10eef6&oe=5320CF68&__gda__=1394647558_db00ccdb2efe1e4b7e1e00d38226bcef)
 pics :F/B >> Sim Lo
 
- 
				
 
 (http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/12/Y11473619/Y11473619-6.jpg)
 
 
 และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบด้วย “ ความฝัน ” เพราะอรรถว่า ปรากฏขึ้นมานิดหน่อย
 คือเป็นของหลอกลวงซึ่งไม่ใช่ของจริง
 ท่านจึงเปรียบว่าเหมือนกับเป็นมายากลของคนเล่นกล คือความฝัน พอตื่นขึ้นมาแล้ว
 ความฝันก็หายไปหมด กามทั้งหลายที่เราหลงเพลินยินดีก็มีความไม่เที่ยง
 
 คือเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปเช่นกัน ยังหลอกลวงให้เราหลงยินดีเพลิดเพลินทำให้เกิดทุกข์โทษต่าง ๆ
 ท่านจึงได้เปรียบกามว่าเหมือนกับความฝัน คือยินดีเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง
 ความยินดีก็หายไปเหมือนกับความฝันที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็หายไปหมดฉะนั้น
 
 และกามทั้งหลายท่านยังเปรียบเหมือน “ ของที่ยืมเขามา ” เพราะอรรถว่าเป็นของใช้ได้ชั่วคราว
 คือของที่เรายืมเขามาก็เพียงแต่ให้เกิดความยินดีนิดหน่อย
 คือเอามาใช้แก้ทุกข์ได้ชั่วคราว แล้วก็ต้องส่งคืนเขาไป และการจะส่งคืนเขาไป
 ก็ให้มีการอาลัยอาวรณ์ในสิ่งนั้น ไม่อยากจะส่งคืนสิ่งนั้นไป แต่ก็ต้องส่งเขาไป
 เพราะผู้ยินดีในกาม ในที่สุดตัวเองก็ต้องตาย
 
 
 (http://photos3.hi5.com/0087/709/386/vZk1wE709386-02.jpg)
 
 
 กามทั้งหลายท่านยังเปรียบเทียบด้วย “ หอกและหลาว ” เพราะอรรถว่าทิ่มแทงขันธ์ ๕
 ให้เกิดทุกขเวทนาเจ็บป่วยอยู่เสมอทั้งกายและใจ
 คือผู้ใดที่ไปพัวพันในกามที่จะไม่เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจย่อมไม่มีเลย
 
 กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือน “ หัวฝี ” เพราะว่าเป็นที่ไหลออกของสิ่งที่ไม่สะอาด
 เหมือนกามเป็นที่ไหลออกของกิเลส
 คือทำให้เกิดทุกข์เกิดความลำบากยุ่งยากให้ถึงแก่ความตายไม่มีที่สิ้นสุด
 
 กามทั้งหลายก็ยังเปรียบเหมือนกับ “ หลุมถ่านเพลิง ” เพราะอรรถว่าทำให้ร้อน
 อย่างยิ่ง คือผู้ใดที่หลงยินดีในกามท่านก็อุปมาว่าเหมือนกับตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง
 หลุมถ่านเพลิงก็ย่อมจะเผาไหม้บุคคลนั้นให้ถึงแก่ความตาย
 
 ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงทุกข์โทษภัยของกาม
 ว่ามีแต่ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดความลำบาก
 ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎฎ์วนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด และการที่วนเวียนไป
 
 ก็เพราะความหลงถ้าได้รับความสุขก็ชื่นชมยินดี แต่พอเวลาได้รับความทุกข์ขึ้นมา
 ก็เศร้าโศกเสียใจ เพราะฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลายจึงได้กล่าวว่ากามนี้มีแต่อันตราย
 เพราะหลงเพลิดเพลินในกามเป็นเหตุให้ทำอกุศล และจะไปพระนิพพานก็ไปไม่ได้
 กามก็ทำอันตรายแก่ พระนิพพาน คือทำให้ไม่พ้นจากทุกข์
 
 
 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/blog_entry1/blog/2009-04-12/comment/424155_images/14_1239536030.jpg)
 
 
- 
				
 (http://images.thaiza.com/33/33_20081217160420..jpg)
 
 เมื่อพระนางสุเมธาแสดงโทษของกามอย่างนี้แล้วก็บอกให้พระเจ้าอนิกรัตตะ
 ได้เห็นโทษของกามก็ขอให้เสด็จกลับไปเสียเถิด
 เพราะพระนางเวลานี้เปรียบเหมือนกับว่าถูกไฟกำลังไหม้ศีรษะของพระนางอยู่
 คนอื่นไม่สามารถที่จะช่วยพระนางได้ คือที่บอกว่าไฟกำลังไหม้อยู่นี่ท่านก็อุปมาไฟว่าได้แก่
 
 ชาติความเกิด ชราความแก่ ความเจ็บ ความตายกำลังติดตามพระนางอยู่
 ฉะนั้นพระนางก็ควรที่จะเพียรพยายามทำลายชาติ ชรา มรณะนั้นให้หมดไปเพราะว่า
 ความจริงแล้วกามที่ว่ามีอันตรายคือ ทุกคนต่างก็ถูกไฟไหม้ศีรษะด้วยกันทั้งนั้น
 แต่ไม่มีใครรู้สึกตัวว่ากำลังถูกไฟไหม้ เพราะที่ว่าเป็นไฟก็หมายถึงว่าชาติพยาธิและมรณะนั่งเอง
 
 คือได้แก่ทุกข์ ๑๑ กอง มีชาติ ชราพยาธิมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
 ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
 และสิ่งใดที่อยากได้แล้วไม่ได้ก็เป็นทุกข์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ไหม้คนทุก ๆ คนที่เกิดอยู่
 แต่เพราะเหตุที่ไม่ได้สดับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่รู้ตัวว่า
 กำลังถูกไฟไหม้ศีรษะอยู่ไม่มีใครรู้ได้เลย แต่เพราะเหตุที่พระนางสุเมธาได้สดับฟัง
 คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงได้อธิบายโทษของกามให้พระเจ้าอนิกรัตตะฟัง
 
 (http://news.softpedia.com/images/news2/Spontaneous-Human-Combustion-Can-People-Suddenly-Burst-into-Flames-2.jpg)
 
 ถ้าหากว่าบุคคลใดไม่รู้จักเพียรพยายามที่จะกำจัดไฟที่ไหม้อยู่บนศีรษะแล้ว ผู้นั้นก็จะต้องเป็นทุกข์
 ท่องเที่ยวไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับพระนางเองจะพากเพียรพยายามที่จะกำจัดโทษ
 หรือว่าจะพยายามดับเพลิงที่ไหม้อยู่บนศีรษะนี้คือจะกำจัดโทษของชาติ ชรา มรณะให้หมดไป
 
 เมื่อพระชนกชนนีและพระเจ้าอนิกรัตตะได้ฟังธรรมที่พระนางกล่าวอย่างนี้แล้วก็ทรงกรรแสง
 พยายามที่จะให้ลูกได้ครองราชสมบัติ หรือว่าให้วิวาห์แต่งงาน
 เมื่อพระชนกชนนีกำลังทรงกรรแสงอยู่นั้นพระนางสุเมธาก็ได้ทูลขึ้นว่า สังสารวัฏฏ์ย่อมยืดยาว
 สำหรับคนเขลาที่ร้องไห้บ่อย ๆ เพราะเหตุว่าบิดามารดาตายหรือว่าพี่ชายตาย
 ลูกชายตายเหล่านี้ เป็นเหตุให้ต้องร้องไห้แล้วก็ต้องร้องไห้ไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด
 เพราะสังสารวัฏฏ์ของคนเขลามีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว
 
 เพราะวัฏฏะก็ได้แก่ กิเลสวัฏ กรรมวัฏ วิบากวัฏ อันเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไป
 ไม่มีที่สิ้นสุด วัฏฏะจึงเป็นสภาพที่มีความยืดยาวมาก ซึ่งไม่สามารถถามรู้ได้ว่า
 เบื้องต้นตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อไร และเบื้องปลายจะไปสิ้นสุดลงเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้ได้เลย
 แม้แต่ญาณของพระทศพล คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังกำหนดเบื้องต้นไม่ได้
 ว่าตั้งต้นมาแต่เมื่อไร ต่อเมื่อพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
 
 ก็สามารถทำที่สุดแห่งวัฏฏะให้หมดสิ้นไปแล้ว คือสามารถรู้เบื้องปลายได้ว่า
 ภพชาติของท่าน สิ้นสุดแล้ว ไม่ต้องเกิดอีกต่อไปแล้ว
 
 แต่ส่วนคนเขลาก็เหมือนกับคนตาบอดที่ยังหลงใหลติดอยู่ในกาม เพราะถูกอวิชชาปิดบังไว้ ฉะนั้นเงื่อนต้นของสัตว์เหล่านั้นก็จะเป็นเหตุให้ผูกติดอยู่กับภพไปไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยอำนาจของอวิชชาตัณหานั่นเองที่เป็นตัวปิดบังไว้ไม่ให้เห็นทุกข์โทษของกาม
 หรือว่าไม่ให้เห็นทุกข์โทษของวัฏฏะ
 แต่ถ้าหากว่าผู้ใดสามารถตัดกิเลสได้ ก็สามารถที่จะรู้เงื่อนปลายได้ว่าสิ้นสุดทุกข์เอาเมื่อไร
 
 (http://img515.imageshack.us/img515/5746/5296e85b87bd8a88a2ff48ewu5.jpg)
 
 
- 
				
 
 (http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/data/imagefiles/R772-4.jpg)
 
 ท่านจึงได้อุปมาให้ฟังอีกว่า สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ
 ที่ประกอบด้วยน้ำตา น้ำนม น้ำเลือดที่ได้มาในสังสารวัฏฏ์ที่ไม่รู้ได้ว่ามีประมาณเท่าไร
 แม้กองกระดูกของสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนตายเวียนเกิดมาในสังสารวัฎฎ์นี้
 จะมีกองใหญ่ขนาดไหน พระพุทธองค์ก็ได้แสดงไว้
 โดยที่พระนางสุเมธาก็บอกให้พระชนกชนนีฟังว่า น้ำตาของสัตว์โลกทั้งหลายที่ร้องไห้มาแล้ว
 ในสังสารวัฏฏ์แต่ละคนนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่ามีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
 
 ถึงแม้น้ำนมที่สัตว์ทั้งหลายดื่มกินจากมารดาแต่ละคน เมื่อตอนที่เป็นทารกก็มากกว่า
 น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เหมือนกัน
 และน้ำเลือดที่เกิดจากการถูกฆ่าถูกประหารมาแล้วในวัฏฏะของแต่ละคน
 ก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
 แม้กองกระดูกของสัตว์ทั้งหลายแต่ละคนที่เวียนตายเวียนเกิดมาเพียงแค่
 กัปป์เดียวเท่านั้น ถ้าเอามากองรวมกันเข้าแล้ว ก็ใหญ่โตเท่ากับภูเขาไวปุละ
 
 (http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/data/imagefiles/772.gif)
 
 ซึ่งเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือไม่มีภูเขาอะไรจะเทียบได้ หรืออีกนัยหนึ่ง
 ก็บอกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เวียนตายเวียนเกิดมาแล้ว
 กองกระดูกของแต่ละคนนั้น พื้นดินที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถที่จะรองรับ
 กองกระดูกของสัตว์ทั้งหลายที่เวียนตายเวียนเกิดมาแล้วนี้ได้เลย
 
 เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการที่เราหลงอยู่ในกามเพลิดเพลินยินดีในกามเป็นเหตุ
 ให้เราต้องท่องเที่ยววนเวียนในวัฏฏะนับภพชาติไม่ถ้วน
 และการที่ท่องเที่ยวเวียนไปก็ต้องประสบกับความทุกข์มากมาย
 
 (http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/data/imagefiles/R772-51.jpg)
 
 แต่ที่เราเห็นว่าเป็นความสุขก็เพราะความวิปลาสของเรา แต่ความจริงแล้ว
 ต้องประสบกับความทุกข์ทั้งนั้น ยิ่งอยากมากก็ยิ่งทุกข์มาก ถ้าอยากน้อยก็ทุกข์น้อย
 ที่จะไม่มีทุกข์นั้นไม่มีเลย และท่านก็ยังเปรียบให้ฟังอีกว่าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งหมด
 ถ้าหากว่าเอามาปั้นเป็นก้อนขนาดเท่าเมล็ดพุทราแล้วจำแนกออกไป
 ว่าก้อนดินนี้เป็นมารดาของเราเป็นยายของเรา ก้อนดินก็จะหมดไปก่อน
 แต่มารดาและยายของเราที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ก็ยังไม่หมด
 
 (http://byfiles.storage.live.com/y1peUdXm_MH1eV2711rgtdkjzIANfTppeJRr_pXdcQKe-UyPODzquk8PkWPd8gNEgz89Trg92g2Glk)
 
 คือการที่เรามีแม่มียายมาในสังสารวัฏฏ์นี้เมื่อเอามาแจกออกแล้ว คือเอาแผ่นดิน
 ในชมพูทวีปทั้งหมดมาปั้นเป็นก้อน ๆ แล้วแจกออกไปเป็นแม่เป็นยาย
 ก้อนดินก็จะหมดไปเสียก่อน แต่ว่าแม่และยายที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฎฎ์ก็ยังไม่หมดเลย
 ถึงแม้ว่าบรรดาต้นหญ้าต้นไม้ กิ่งไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด ถ้าหากว่าเอามาหัก
 
 ให้ยาวประมาณ ๔ องคุลี แล้วก็แจกท่อนไม้เหล่านี้ออกไป ว่านี้เป็นบิดาของเรา
 นี้เป็นปู่ของเรา ท่อนไม้ก็จะหมดไปก่อน แต่บิดาและปู่ของเราที่ท่องเที่ยว
 อยู่ในสังสารวัฏฏ์ก็ยังไม่หมด “นี่คือสงสารที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้ว
 ของเหล่าสัตว์ผู้ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
 และมีตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ทำให้โลดแล่นท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด
 
 
 (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:0mAOny3Fe4WLvM:http://mi9.com/datawallpapers/data/14/1069/1212716832/white-lotus-desktop_1024x768.jpg)
 
 
- 
				
 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/39/39039/images/turtle.jpg)
 
 
 เพราะเหตุนี้น้ำตาน้ำนมน้ำเลือดของแต่ละคนจึงได้มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกที่มัวลุ่มหลงยินดีในกามก็ต้องประสบกับความทุกข์
 มาอย่างแสนสาหัสด้วยกันทั้งนั้น แต่เพราะเราวิปลาสจึงไม่ได้รู้สึกถึงความทุกข์เหล่านี้
 ถึงแม้ว่าจะประสบกับความทุกข์ก็พยายามที่จะหาทางให้พ้นจากทุกข์
 ” การที่ปรารถนาอยากจะให้พ้นจากทุกข์ ก็คือไปแสวงหาความสุขและการที่ไปแสวงหา
 ความสุขนั้นก็คือการได้ทุกข์กลับมา ที่จะพ้นไปจากทุกข์ไม่มีเลย
 
 แต่เพราะพวกที่โง่เขลาหลงอยู่อย่างนี้ก็เพราะเหตุว่าไม่เคยได้สดับคำสอนของ
 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ซึ่งเป็นผู้เปิดสิ่งที่ปิดให้คนทั้งหลายได้เห็นความจริง
 และเป็นผู้ที่บอกทางแก่คนหลงทางให้หายหลงโดยตามประทีปเอาไว้้้
 เพื่อให้คนมีจักษุจักได้เห็นทาง ส่วนผู้ที่ไม่เห็นทางก็ต้องเป็นทุกข์คร่ำครวญร่ำไห้ไปประสบกับ
 อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจบ้าง ที่น่าพอใจบ้าง ก็ต้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏะนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
 และการท่องเที่ยวไปของสัตว์โลกทั้งหลายส่วนมาก
 ก็ท่องเที่ยวไปในอบายมากกว่าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดาได้
 
 และท่านยังบอกอีกว่าสัตว์ทั้งหลายที่ไปเกิดในอบายแล้ว ท่านก็ยังอุปมาอีกว่าเหมือนกับ
 เต่าตาบอดตัวหนึ่งที่ท่องเที่ยวอยู่ในมหาสมุทร
 คือพอ ๑๐๐ ปีทีหนึ่งเต่านั้นก็จะโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำทีหนึ่ง
 
 ถ้าหากว่าหัวเต่าที่โผล่หัวขึ้นมานั้นสามารถที่จะสวมกับเสวียนที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรได้
 เต่าตัวนั้นจึงจะพ้นจากอัตภาพของความเป็นเต่ามาเกิดเป็นมนุษย์ได้
 แต่ถ้าหากว่าโผล่หัวขึ้นมาแล้วไม่ได้สวมเข้าไปในเสวียนก็จะต้องเป็นเต่าท่องเที่ยวไปอีก
 หรือว่าต้องวนเวียนเกิดอยู่ในอบายนั้น ไม่สามารถที่จะออกมาจากอบายได้ เพราะว่าการเกิดอยู่ในอบายนั้น
 ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำกุศล แต่การที่จะได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์จะต้องได้มาโดยยาก
 
 
 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/39/39039/images/buddha.jpg)
 
 
 กิด ที้ กิด ที้ ) จงไป จงไป
 (ปอ ลอ กิด ที้ ) ไปยังฟากฝั่งโน้น
 
 (ปอ ลอ เจง กิด ที้ ) ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง
 ( ผู่ ที สัก พอ ลอ ) ไปสู่ความเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
 
 
 (http://img83.imageshack.us/img83/4700/a55549cf9dc25afb23a1d1dnz1.jpg)
 
 
- 
				(http://thaniyo.brinkster.net/luangpoput/images/buddha2.gif)
 
 อ่านต่อ..รวม.. พระเถรีสมัยพุทธกาล
 
 คลิ๊กค่ะ : http://www.tairomdham.net/index.php/topic,323.0.html
 
- 
				 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม
			
- 
				
 :07: :07: :07:
 
 สาธุครับ