(http://1.bp.blogspot.com/_pNwf9XcPSB0/TMCrRhWxnUI/AAAAAAAAAoo/a7Gktn_lgMo/s1600/jamesSeibertGallerycom.jpg)
เรื่องย่อในพระธรรมบท (ปาปวรรค)
เรื่องพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก
พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์ชื่อ จูเฬกสาฎก ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ เป็นต้น
วัน หนึ่ง พราหมณ์ผู้สามี ไปฟังธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้า มีศรัทธาอย่างยิ่งยวด อยากถวายผ้าห่มผืนเดียวนั้น เพื่อบูชาเป็นกัณฑ์เทศน์ แต่ความตระหนี่ได้เข้าขัดขวาง เป็นอย่างนี้ตลอดยามแรกและยามที่สอง พอถึงยามที่สามเขาก็สามารถเอาชนะความตระหนี่ได้ และได้ถวายผ้าห่มผืนเดียวกันนั้นแด่พระศาสดา พร้อมเปล่งอุทานออกมา 3 ครั้งว่า “ ชิตํ เม, ชิตํ เม, ชิตํ เม, แปลว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว”
อานิสงส์ของทานได้เผล็ดผลทันตาเห็นตามกฎของกรรมในข้อ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม เมื่อพระเจ้าปสนทิโกศล ซึ่งประทับนั่งทรงธรรมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ทรงสดับคำเปล่งอุทานเช่นนั้น ก็รับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถาม เมื่อทรงทราบความจริงแล้ว ได้พระราชทานสิ่งของมากมายแก่พราหมณ์จูเฬกสาฎกนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ประชุมกันกล่าวสรรเสริญพราหมณ์จูเฬกสาฎก พระศาสดาจึงตรัสว่า ถ้าพราหมณ์ได้บูชาพระศาสดาตั้งแต่ในตอนยามต้นๆ จะได้ทรัพย์ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
แล้วจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ
ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญญํ
ปาปสฺมึ รมตี มโนฯ
(อ่านว่า)
อะพิดถะเรถะ กันละยาเน
ปาปา จิดตัง นิวาระเย
ทันทัง หิ กะระโต ปุนยัง
ปาปัดสะหมิง ระมะตี มะโน.
(แปลว่า)
ท่านทั้งหลาย จงรีบขวนขวายในความดี
จงห้ามจิตเสียจากความชั่ว
เพราะเมื่อทำความดีช้า
ใจจะยินดีในความชั่วเสียก่อน.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
(http://www.abuddhistlibrary.com/Buddhism/J%20-%20Navigation%20Pages%20and%20A%20List%20of%20Books/Navigation%20Pages/Home%20page_files/SmPreach_Buddha.JPG) เรื่องนางลาชเทวธิดา
พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางลาชธิดา ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า ปุญญญฺเจ ปุริโส กยิรา เป็นต้น
พระพุทธโฆษาจารย์ เล่าเรื่องนี้ว่า มีหญิงชาวนาเข็ญใจผู้หนึ่ง ถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะที่เพิ่งออกจากฌานสมาบัติ หลังถวายข้าวตอกแล้วได้ทำความปรารถนาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว” พระเถระได้กล่าวอนุโมทนาว่า “ ความปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ”
นางไหว้พระเถระแล้วนึกถึงทานที่ตนถวายหันหลังเดินกลับกระท่อม ในระหว่างที่นางเดินมาบนคันนาเพื่อกลับมาที่กระท่อมนั้นเอง นางถูกงูพิษกัดตาย ไปเกิดเป็นทางเทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในวิมานทอง ประมาณ 30 โยชน์ มีร่างกายประมาณ 3 คาวุต(ประมาณ 100 เส้น) ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง เพราะอานิสงส์ถวายข้าวตอกเป็นทานด้วยศรัทธา
นางจึงได้ชื่อว่าลาช เทพธิดา(เทพธิดาข้าวตอก) นางต้องการจะเพิ่มพูนบุญกุศลให้แก่ตน ได้ลงจากสวรรค์มาเก็บกวาดบริเวณที่พักของพระมหากัสสปเถระในตอนเช้าๆ ถูกพระเถระห้ามปรามไม่ให้ทำ เพราะเกรงว่าคนจะนำไปติเตียนได้
นาง เทพธิดาเสียใจร้องไห้ที่ถูกขัดขวางมิให้ทำความดี พระพุทธเจ้าทอดพระเนตเห็นด้วยพระเนตรทิพย์ ได้เนรมิตพระวรกายไปปรากฏประหนึ่งว่าอยู่เบื้องหน้าของนาง แล้วรับสั่งกับนางว่า ความสำรวมระวังเป็นหน้าที่ของกัสสปะ การกระทำบุญเป็นหน้าที่ของผู้ต้องการบุญ การกระทำบุญเป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ปุญญญฺเจ ปุริโส กยิรา
กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ
ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย.
(อ่านว่า)
ปุนยันเจ ปุริโส กยิรา
กะยิราเถนัง ปุนับปุนัง
ตัมหิ ฉันทัง กะยิราถะ
สุโข ปุนยัดสะ อุดจะโย.
(แปลว่า)
หากบุคคลจะทำบุญ
ก็ควรทำบุญนั้นบ่อยๆ
ควรทำความพอใจในบุญนั้น
เพราะการสั่งสมบุญ
เป็นเหตุให้เกิดสุข.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางเทพธิดานั้น ซึ่งยืนอยู่ห่างไกลออกไปถึง 45 โยชน์ ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
(http://files.myopera.com/alexss/albums/1845841/thumbs/Wat%20Ratchanaddaram%20Woravihan%20White%20Buddha.jpg_thumb.jpg)
(http://sphotos-b.xx.fbcdn.net/hphotos-ash4/s480x480/487445_475710329129760_1538948017_n.jpg)
เรื่องสุปปพุทธศากยะ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภเจ้าศากยะทรงนามว่าสุปปพุทธะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น
พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นพระราชบิดาของเจ้าชายเทวทัต และเป็นสัสสุระ(พ่อตา)ของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาก็คือพระโคดมพุทธเจ้านั่นเอง ท้าวเธอผูกอาฆาตในพระศาสดาด้วยเหตุ 2 ประการ คือ 1. พระสมณโคดมนี้ทิ้งลูกสาวของเรา(คือพระนางยโสธรา) ออกบวช และ 2. ให้ลูกชายของเรา(คือเจ้าชายเทวทัต) บวชแล้วตั้งตัวเป็นศัตรูกับลูกชายของเรา อยู่มาวันหนึ่ง ทรงดำริว่า จะไม่ให้พระสมณโคดมไปฉันยังสถานที่นิมนต์ จึงไปนั่งเสวยน้ำจัณฑ์(สุรา)ปิดหนทางที่จะเสด็จไป เมื่อพระศาสดาเสด็จมาพร้อมหมู่ภิกษุสงฆ์ พระเจ้าสุปปพุทธปฏิเสธที่จะหลีกทางให้ และได้รับสั่งกับมหาดเล็กให้ไปบอกพระสมณโคดมว่า พระสมณโคดมไม่ใหญ่กว่าเรา เราจักไม่ให้ทางแก่พระสมณโคดม พระศาสดาเมื่อทรงพบว่าหนทางเสด็จถูกปิดกั้นไว้เช่นนั้น พระองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ก็ได้เสด็จกลับ พระเจ้าสุปปพุทธะได้ส่งสายลับ(จารบุรุษ)ติดตามพระศาสดาไปเพื่อสืบทราบว่าได้ ตรัสว่าอย่างไรบ้างแล้วกลับมารายงานให้ทรงทราบ
ขณะที่พระศาสดา เสด็จกลับนั้น ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “เจ้าสุปปะพุทธะนั้นไม่ให้ทางแก่พระพุทธเจ้าเช่นเรา ทำกรรมหนักแล้ว ในวันที่ 7 แต่วันนี้ ท้าวเธอถูกแผ่นดินสูบ ณ ที่ใกล้เชิงบันได ในภายใต้ปราสาท”
เมื่อจารบุรุษสายลับผู้นั้นนำความมากราบทูลให้ทราบ พระเจ้าสุปปพุทธะตรัสว่า พระองค์จะไม่เสด็จไปที่ตรงเชิงบันได เมื่อไม่ไปตรงนั้นพระองค์ก็จะไม่ถูกธรณีสูบที่ตรงจุดนั้น และก็จะพิสูจน์ว่าดำรัสของพระสมณโคดมผิดพลาด ท้าวเธอได้รับสั่งให้พวกมหาดเล็กขนเครื่องใช้สอยของพระองค์ทั้งหมดไปไว้บน ปราสาท 7 ชั้น ให้ชักบันได ปิดประตู วางคนแข็งแรงประจำไว้ที่ประตู ๆ ละ 2 คน ตรัสว่า หากพระองค์หลงลืมเสด็จดำเนินไปทางนั้น ก็ให้คอยดึงพระองค์เอาไว้
พระ ศาสดาทรงสดับการดำเนินการของพระเจ้าสุปปพุทธะแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เจ้าสุปปพุทธะ ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในปราสาท จะเหาะขึ้นไปสู่เวหาหาวไปนั่งในอากาศ จะไปมหาสมุทรด้วยเรือ จะเข้าไปอยู่ในซอกเขา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผิดพลาดไม่จริงเป็นอันไม่มี ท้าวเธอจะถูกธรณีสูบในสถานที่เราพูดไว้นั่นแหละ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ.
(อ่านว่า)
นะ อันตะลิกเข นะ สมุดทะมัดเช
นะ ปับพะตานัง วิวะรัง ปะวิดสะ
นะ วิดชะเต โส ชะคะติบปะเทโส
ยัดตะรัดถิตัง นับปะสะเหยยะ มัดจุ.
(แปลว่า)
ไม่ว่าผู้นั้นจะนั่งอยู่ในกลางหาว
ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ซอกเขา
ส่วนของแผ่นดิน
ที่ความตายไม่พึงครอบงำผู้สถิตอยู่
ย่อมไม่มี
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ครั้น ถึงวันที่ 7 ในเวลาเดียวกับที่เจ้าสุปปพุทธะปิดหนทางภิกษาจารของพระศาสดา ม้ามงคลของเจ้าสุปปพุทธะในภายใต้ปราสาทเกิดคึกคะนองโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งเสียงร้องและใช้เท้าดีดฝาโรงม้าเสียงดังโครมคราม เจ้าสุปปพุทธะสดับเสียงคึกคะนองของม้ามงคลนั้นแล้ว มีพระประสงค์จะไปจับม้านั้น ได้เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ บ่ายพระพักตร์มาทางประตู ฉับพลันนั้นเองประตูทั้งหลายก็เปิดเอง บันไดที่ถูกยกขึ้นไว้ก็กลับมาพาดอยู่ในที่เดิม คนแข็งแรงที่จัดไว้ดูแลที่ประตู จับท้าวเธอที่พระศอ แล้วผลักจนพระพักตร์ขะมำลงไปเบื้องล่าง เมื่อท้าวเธอก้าวไปประทับยืนอยู่ที่เชิงบันได ตรงที่ภายใต้ปราสาท แผ่นดินตรงนั้นก็แยกตัวสูบท้าวเธอไปบังเกิดในอเวจีนรก.
(http://blog.insureandaway.co.uk/wp-content/uploads/2012/02/buddha-300x200.jpg)
นำมาแบ่งปันโดย :
baby@home :http://agaligohome.com/index.php?topic=4631.0
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ