ใต้ร่มธรรม

ริมระเบียงรับลมโชย => สุนทรียสนทนา - ไดอะล็อก (Dialogue) => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 01, 2010, 08:49:53 am

หัวข้อ: จงฟังด้วยหัวใจ … ใช่ด้วยสมอง
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 01, 2010, 08:49:53 am
โรงพยาบาลที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่  เพิ่งจัดให้มีการอบรมสุนทรียสนทนา หรืออบรมdialogue  รุ่นที่ 2  ไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา  จากวงสนทนาของผู้เข้ารับการอบรมในค่ำคืนหนึ่ง  เราได้พูดคุยกันถึงประเด็นที่ว่า   ในการอบรมครั้งนี้  เราจะนำไปใช้พัฒนาองค์กรอย่างไร และเราจะสามารถนำไปเชื่อมต่อ  และทำต่อ กันได้หรือไม่ 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a199.JPG)
 
พี่พยาบาลท่านหนึ่งเปิดใจว่า  ถึงแม้เราจะรู้ว่าการอบรมนี้ดีและมีประโยชน์ แต่การนำไปทำต่อ ไม่ใช่ของง่ายนัก  เพราะคนที่จะเข้าใจและเปิดใจ  อาจจะต้องเป็นคนที่มาอบรมและมานั่งคุยด้วยกันแบบนี้ตลอดสองสามวัน  เพราะมันอาจจะต้องใช้ประสบการณ์จริง  ไม่ใช่การไปบอกต่อว่าดีอย่างไร  และคนที่จะเข้าใจได้จริงๆ  อาจจะเป็นเพียงกลุ่มคนที่มาอบรมเท่านั้น
 
   ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นด้วยทีเดียว  การนั่งลงเพื่อเปิดใจพูดคุยกันนั้น ต้องใช้เวลาและขั้นตอน  โดยเฉพาะในผู้ใหญ่อย่างเราที่เติบโตมากับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมากมาย   ต่างในประสบการณ์  ต่างในความนึกคิด ต่างในความรู้สึก แถมที่ผ่านมานั้น  เราต่างคุ้นเคยกับการมีชีวิตที่คุ้นชิน กับการตัดสิน และวิเคราะห์สิ่งต่างๆจากมุมมองของเรามานานแสนนาน  ออกจะยากอยู่ ในการที่จะมานั่งลงแล้วเปิดใจพูดคุยและยอมรับฟังกันง่ายๆ
 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a188.JPG)
 
เราทั้งหลายมีสิ่งห่อหุ้มปรุงแต่งมากมาย  มีความคิดเห็นทั้งที่ถูกและผิด  มีเจตคติและมุมมองแบบที่เราพบเจอมาแตกต่างกันไป และบางทีเราก็เลิกที่จะฟังคนอื่นด้วยใจมานานแล้ว ยิ่งในคนที่มีตำแหน่งการงานที่สูงขึ้น  สูงขึ้น การรับฟังและการเปิดใจจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ   
 
บางคนอาจคิดเห็นในใจว่า  ที่ผ่านมาเราก็ฟังอยู่นะ  แถมฟังรู้เรื่องดีทีเดียว   จะว่าไม่ฟังได้อย่างไรกัน    แต่ Deep listening  หรือการฟังอย่างลึกซึ้งนั้น   คือการฟังอย่างแท้จริงและฟังด้วยหัวใจ   ไม่ใช่ฟังด้วยสมองที่เต็มไปด้วยข้อมูล และการคิดวิเคราะห์   ไม่ใช่สักแต่ทำท่าฟัง   แต่ในใจนั้นตัดสิน  ตีความ  และวิเคราะห์ไปเสียก่อนแล้ว ทั้งๆที่ยังฟังเรื่องราวไม่จบ ทั้งหมด  การมีใจเป็นกลางหรือมีอุเบกขา  คือสิ่งสำคัญยิ่ง และต้องนำมาใช้ในขณะที่เรารับฟังเรื่องราวต่างๆ  จึงจะเกิดการฟังอย่างลึกซึ้งได้
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a666.JPG)
 
 ช่วงหลายปีที่ผ่านมา   หลังจากการภาวนามาอย่างต่อเนื่อง  ข้าพเจ้าเริ่มรับรู้อย่างชัดเจนว่า เราทั้งหลายอยู่ในโลกของการตีความ อย่างที่อาจารย์ณัฐฬส ว่า   สิ่งที่เราได้ยิน  สิ่งที่เรามองเห็นทั้งหลาย กลายเป็นการตีความจากมุมมองของเรา หรือไม่ก็จากมุมมองของคนที่นำเรื่องราวมาเล่าต่อ  ซึ่งนั่นไม่ใช่ข้อมูลจริงๆ   ดังนั้น เมื่อมีประเด็นปัญหาใดๆ หรือเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน  ในที่ทำงาน  หรือในหน่วยงานใดๆก็ตาม  เราจึงควรต้องรับฟังอย่างไม่ตัดสิน  ฟังด้วยใจเป็นกลาง  จากนั้นต้องสืบย้อนไปหาเรื่องเล่า ไปรับฟังเรื่องราวจากทั้งสองฝ่าย   หรือหลายๆฝ่ายก่อน  บางครั้งเมื่อสืบย้อนไป  เราก็อาจจะพบว่า เรื่องราวที่ได้รับฟังมา หาความจริงแท้ไม่ได้และผิดเพี้ยนไปจากเรื่องเดิมมากทีเดียว           
                             
 ในการภาวนา  พระพุทธองค์สอนให้เรามองทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง  แต่การที่เราจะมองเห็นเช่นนั้นได้   เราต้องมีสติ  มีสมาธิ จึงจะเกิดปัญญามากพอที่จะมองเห็นอะไรๆ ได้ชัดเจนขึ้น  แต่ในสภาวะจิตที่วุ่นวายสับสน  เรามักรับรู้อะไรบางอย่างมาเป็นส่วนๆ   และจิตก็มักจะมีการปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ไปจากความเป็นจริงโดยที่เราตามดูตามรู้ไม่ทัน เราจึงไม่สามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงในขณะนั้นได้
 มันออกจะเข้าใจยากในการกล่าวเช่นนี้ แต่นี่คือความจริง   มีอยู่ไม่กี่ครั้งในชีวิต ที่เราจะนั่งลงอย่างเปิดใจและวางใจเป็นกลาง  และพร้อมที่จะรับฟังใครสักคนอย่างไม่ตัดสินได้  การฟังจึงเป็นปัญหาใหญ่ของเราทั้งหลาย  ไม่ใช่การพูด
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a211.JPG)
 
 หลายคนที่ไปอบรมสุนทรียสนทนา  เปิดใจในวันท้ายๆ ว่า รู้สึกกดดันมากที่โดนคำสั่งจากท่านผู้อำนวยการให้มาอบรม  แถมรู้สึกเหมือนว่า ตนเองถูกส่งเข้ามาอบรมบ่มนิสัย  หรือเข้าโรงเรียนดัดสันดาน เพระคำว่า “สุนทรียสนทนา “  ทำให้เข้าใจไปว่า  “ เพราะฉันพูดจาไม่ไพเราะ   พูดจาไม่ดีกับเพื่อนร่วมงาน พูดจาไม่ดีกับลูกน้องหรือเปล่า?? จึงต้องมา หัดพูดแบบสุนทรียะ ในการอบรมนี้ “    ต่อเมื่อมาเข้ารับการอบรมนั่นแหละ  ถึงจะเข้าใจว่า  สุนทรียสนทนา มีหลักสำคัญก็คือ การมาฝึกฟังด้วยหัวใจ ที่เปิดกว้างและมาทำความเข้าใจกับความรู้สึกกับความต้องการของตนเองและของคนอื่น   ไม่ได้มาอบรมเพื่อฝึกพูดจาให้ไพเราะแต่อย่างใด   
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a366.JPG)
 
การไม่ฟังคนอื่น ไม่ได้หมายถึงแบบที่เข้าใจกันทั่วไป   และการไม่ฟังคนอื่นในที่นี้  ไม่ได้หมายถึงว่าคนคนนั้น เป็นคนมีปัญหา  เป็นคนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใคร  แต่ความหมายที่แท้จริงของการไม่ฟังก็คือ  เราไม่ได้ใช้หัวใจในการรับฟัง และบางทีเราก็ไม่ยอมมีเวลา ที่จะฟังเขาต่างหาก   เรามักจะไม่มีหัวใจที่พร้อมพอ  มักจะไม่มีพื้นที่มากพอที่จะฟังเขา  ด้วยเพราะชีวิตของเราทั้งหลาย ต้องวุ่นวายอยู่กับการงานมากมาย การที่จะมาทุ่มเทเวลานั่งลงฟังใครต่อใครพูดในทุกๆเรื่อง อาจจะมีเวลาไม่มากเช่นนั้น   และแม้แต่ในขณะที่เรานั่งลงตรงหน้าใครสักคน แล้วฟังเขาพูด  เราอาจทำท่าฟังก็จริงอยู่  แต่จิตของเรามักจะหนีไปคิดเรื่องอื่นๆอยู่มากมาย   เราคิดไปในอนาคต  มองย้อนไปในอดีต  สรุปเรื่องราวต่างๆของเขาไปโดยอัตโนมัติ อย่างไม่รู้ตัว  เราสรุปและมีความคิดเห็นกับเรื่องราวที่ได้ฟังก่อนที่เขาจะพูดจบด้วยซ้ำ ที่สำคัญขณะที่นั่งรับฟังใครสักคนพูด เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริงด้วยกายและใจ  เราจึงสักแต่ฟัง ทว่าไม่ได้ยินอะไรสักเท่าไหร่   
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a399.JPG)
 
บางคนอาจจะคิดเห็นไปว่า   ที่ผ่านมาเราก็ตั้งใจฟังนะ แต่อีกฝ่ายพูดสับสนวนไปเวียนมาพิกล  และพูดไม่ตรงประเด็นสักที  แบบนี้เราจะเข้าใจเขาได้อย่างไร  นั่นก็จริงอยู่ แต่การถามกลับไปว่า  เธอรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม๊ ฉันเข้าใจถูกหรือไม่  พร้อมกับมองหาความต้องการที่แท้จริงของเขา นั่นอาจจะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาได้ง่ายขึ้น   
 
แต่อย่างไรไม่รู้ จากการภาวนามาสักระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าพบว่าการฟังอย่างลึกซึ้ง มักจะ ก่อเกิดขึ้นได้ในตัวเราเองโดยอัตโนมัติ  และบางครั้งเราจะมองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำพูดต่างๆ มากมาย อย่างน่าประหลาดใจ   กลายเป็นว่า  บางสิ่งที่เขาไม่ได้กล่าวออกมาทั้งหมด  เราก็สามารถรับรู้ได้   นี่ไม่ใช่เรืองของการรู้วาระจิตหรือเรื่องนอกเหตุเหนือผลอะไร  แต่การที่เราอยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริงกับใครสักคน  ด้วยกายและจิตของเรา  เราก็จะสามารถรับรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างละเีอียดและชัดเจนกว่าปกติธรรมดา  มันเกิดจากจิตที่มีสมาธิและมีสติมากพอที่จะรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนขึ้น  แต่นั้นก็ไม่ได้เกิดทุกครั้ง  วันไหนที่เราวุ่นวายกับความคิด จิตใจสับสน ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ การรับรู้เหล่านั้นก็จะลดลงด้วย  แต่การภาวนาอย่างสม่ำ่เสมอคือการฝึกจิตให้คมชัด และสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a388.JPG)
 
หลังจากภาวนามาสักพัก ข้าพเจ้าพบว่า  แม้แต่ปรากฏการณ์เล็ก ๆ  น้อยๆ เช่นใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากต้น   เราก็จะสามารถมองเห็นรายละเอีียดการเคลื่อนไหวของมันได้ชัดเจนมาก อาจจะเห็นได้ตั้งแต่มันหล่นลงมาจากต้น ขยับพลิกไปมาอย่างไร จนตกลงถึงพื้น  เช่นเดียวกับการรับฟังเรื่องราวบางอย่าง  ก็คงไม่ต่างกันนัก  เพราะ เมื่อเราอยู่ตรงนั้น น้อมใจฟังด้วยสติ ด้วยสมาธิ  ด้วยกายและใจที่อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง  เราก็จะรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าปกติ และเข้าใจอะไรๆได้มากกว่าเดิม   ด้วยปัญญา  ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
 
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า   ข้าพเจ้ามีอภิญญาหรือบรรลุธรรมใดๆ  แต่สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นการรับรู้อะไรบางอย่างในสภาวะที่จิตมีสติและมีสมาธิในแต่ละครั้ง  แต่ละขณะ ในแต่ละวันเท่านั้น   และเราก็ไม่ควรเชื่อในผัสสะแบบนี้ของเราทุกครั้งไป  เพราะจิตทำงานไวมากและเรามักตามมันไม่ทัน  หลายสิ่งที่ปรากฏอาจจะมีการปรุงแต่งไปมากแล้วด้วยจิตเราเอง   สิ่งที่ปรากฏมันจึงมีทั้งที่จริงแท้และไม่จริงแท้ด้วย   เพราะแม้แต่การมองเห็นใบไม้ ร่วงหล่นลงมาจากต้น จิตเราก็ทำงานไปมากมายหลายล้านรอบแล้ว 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a444.JPG)
 
 
กลับมาที่การอบรมสุทรียสนทนา   มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ  ในการอบรมนี้เน้นหนักเรื่องการฟังเป็นส่วนใหญ่   กระบวนกรที่มาอบรม   ท่านไม่ได้มาเ้น้นการหัดพูดให้ไพเราะแต่อย่างใด   แถมข้าพเจ้ายังพบว่า มีอีกสองสามสิ่งที่สำคัญ
 
ประการแรก  เมื่อเราเริ่มเปิดใจและรับฟังคนอื่นโดยไม่ตัดสิน  หลายๆ คนถึงกับร้องไห้ไปกับเรื่องราวที่ผู้คนในวงสนทนา ได้เล่าออกมาจากใจในวันนั้น   หลายคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันและกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  อาจจะเป็นเพราะว่าที่ผ่านมา  เราไม่เคยได้ฟังกันอย่างแท้จริงเลย เราจึงไม่เข้าใจความทุกข์ความเศร้าของเขา   และอาจจะเป็นเพราะว่า จิตเดิมแท้ของเราทั้งหลายนั้นมีความเป็นพุทธะอยู่ข้างใน  เมื่อได้รับรู้สิ่งต่างๆ  ด้วยใจที่แท้จริง  ความเมตตาสงสารก็ออกมาจากใจโดยอัตโนมัติ   เพราะในเบื้องลึกแล้วเราทั้งหลายต่างก็มีความเมตตากรุณาอยู่ภายใน  แต่หัวใจนั้นถูกปิดตายไปนานด้วยมิจฉาทิำฐิ  ด้วยสิ่งปรุงแต่งต่างๆ   ด้วยความทุกข์ ด้วยประสบการณ์อันเลวร้ายบางอย่างที่เราเคยพบเจอ   เราจึง กลายเป็นคนที่ด้านชา และไร้ความรู้สึก  และเราก็ขาดความศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ มีแต่ความหวาดระแวงสงสัย  ซึ่งกันและกัน และต่างก่อสร้างอัตตามากมายเพื่อนำมาปกป้องตนเองจากโลกภายนอก  ทว่าในส่วนลึกนั้น  เราต่างรู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบเหงา   เพราะ เราต่างก็ต้องการความรักความเมตตาเช่นกัน 
 
ประการที่สอง การภาวนายังคงเป็นเรื่องสำคัญ  การรับฟังสิ่งต่างๆ ในแต่ละขณะ จำเป็นต้องอาศัยการภาวนา และการฝึกจิต  ฝึกใจ  ด้วยวิชาของพระพุทธเจ้า เพราะการมองเห็นทุกสิ่ง อย่างที่มันเป็นนั้น   สามารถทำได้และเป็นไปได้อย่างแท้จริง  เมื่อเราเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนา   และเข้าสู่การฝึกจิต  ให้มีสติ  สมาธิและปัญญา
 
 นี่ไม่ใช่สิ่งใหม่อะไร  พระพุทธองค์สอนเรื่องนี้มาถึง  2500 ปี  จุดมุ่งหมายของการภาวนาก็คือ การฝึกจิตฝึกใจเพื่อจะได้มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง    แต่เราจะมองเห็นแบบนั้นได้  ไม่ใช่ด้วยการคิดเอา ไม่ใช่ด้วยสมองที่คิดวิเคราะห์ เอา   เราจะมองเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง  และหลุดพ้นจากสมมุติบัญญัติแบบโลกๆได้  ก็ด้วยการภาวนาและภาวนา  เท่านั้น
 
ประการที่สาม  สุนทรียสนทนาเป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาองค์กร  และสามารถนำไปใช้ต่อได้  ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน แต่การแปรเปลี่ยนองค์กรให้เกิดความรักและความเข้าใจกันนั้น  สิ่งสำคัญคือการภาวนา   
 
 สุดท้ายเราก็จะพบว่า การเข้าสู่สมาธิภาวนาคือการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ที่เสถียรกว่า  เพราะการภาวนาจะทำให้เราทั้งหลายลดความเป็นตัวตนลงมากขึ้นเรื่อยๆ และรับฟังคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ   ด้วยใจที่เปิดกว้างจริงๆ  ไม่ใช่การพยายามรับฟังคนอื่นด้วยการคิด  ด้วยการใช้สมองสั่งให้ทำ การฝึกจิตฝึกใจด้วยวิชาของพระพุทธเจ้าคือสิ่งเดียว ที่จะทำให้เราทั้งหลายเข้าใจกันง่ายดายขึ้น   เพราะตราบใดที่เรายังมีลำดับชั้นของความคิด มีเจ้านายมีลูกน้อง  มีการแบ่งแยกเป็นสองด้าน สองฝ่าย  ก็จะเกิดปรากฏการณ์ว่า เราจะฟังเฉพาะคนที่เราต้องการฟังเท่านั้น  ฟังเฉพาะคนที่มีสถานะและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันเท่านั้น   ดังนั้น  เจ้านายก็จะฟังแต่พวกเจ้านายด้วยกันเอง    องค์กรก็จะกลับไปมีปัญหาเช่นเดิมต่อไป
 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a200.JPG)
 
 ด้วยเพราะว่าการรับฟังเจ้านาย  การรับฟังคนที่เรานับถือ เราย่อมฟังเขาอยู่แล้ว  การรับฟังคนที่เรารักเราก็มักจะยอมฟังอยู่แล้ว  แต่การรับฟังคนที่ถูกมองว่าต่ำกว่า คนที่ด้อยกว่า  เราฟังเขาหรือไม่ ?    เพราะตราบใดที่เราฟังแต่พวกเดียวกัน  ฟังแต่คนที่อยู่รอบข้างเรา   แต่ไม่ยอมรับฟังเรื่องราวหรือเรื่องเล่าของคนระดับล่างๆ  ที่เดือดร้อน เราก็จะไม่เข้าใจอะไรๆอยู่ดี แถมอาจจะไม่เข้าใจในปัญหาที่แท้จริงด้วย
 
บางครั้งเราอาจจะเห็นใจคนที่กำลังทุกข์  แต่การเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาเหล่านั้นสำคัญยิ่งกว่า  มีมากมายที่ผู้คนทั้งหลายมักกล่าวว่า  ฉันเห็นใจเธอ  ฉันเข้าใจเธอ  ฉันสงสารเธอ แต่ก็ไม่เคยยอมนั่งลงกับเขาเหล่านั้น  เพื่อรับฟังปัญหาด้วยตัวเอง ว่าเขามีความทุกข์ความคับแค้นใจอย่างไรบ้าง  เรามักจะบอกว่า  รู้แล้ว  เข้าใจแล้วล่ะ   แถมบางทีเราก็รับฟังมาจากการบอกต่อ  จากการปรุงแต่ง จากการตีความของใครต่อใครมาหลายทอด  แล้วก็เชื่อ ไปตามนั้น   แถมคิดไปเองด้วยว่าเข้าใจดีแล้ว   เรามักถนัดที่จะยืนดูอยู่ห่างๆ และเข้าใจอยู่ห่างๆ   เราจึงพลาดโอกาสที่จะเห็นอย่างแท้จริงและเข้าใจอย่างแท้จริง  ในความทุกข์ความสุขของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/a244.JPG)
 
ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น  เราทั้งหลายไม่มีอะไรต่างกัน เลย เราเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมทุกข์ร่วมทุกข์  เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครเลวกว่าใคร ไม่มีใครสูงกว่าใคร และไม่มีใครต่ำกว่าใคร  อาชีพการงาน ฐานะทางสังคม ก็เป็นเพียงแค่สมมติบัญญัติ 
 
  ในชีวิตทางโลก อาจจะตีค่าและให้ความสำคัำัญต่อสิ่งเหล่านี้มากมาย  แต่สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกจิตฝึกใจและเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนา จะเริ่มยอมรับและเข้าใจว่า นี่ไม่มีความหมายอะไรเลย แถมหาสาระไม่ได้  เพราะในความเป็นจริงของชีวิต  ในความเป็นมนุษย์    ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน การแบ่งแยก  แบ่งชั้น  แบ่งฝ่าย คือปัญหาใหญ่และทำให้มนุษย์ทำร้ายกันเอง และอาจถึงกับเข่นฆ่ากันเอง    แถมยังไปทำร้ายและทำลายสิ่งมีชิวิตอื่นๆด้วย   เพราะด้วยความอหังการและอัตตาตัวตน ที่มากล้นของเรา    โลกจึงมีปัญหา  และจนบัดนี้ข้าพเจ้าก็มองไม่เห็นว่า  จะมีอะไรมาแก้ไขปัญหานี้ได้  นอกจากวิชาของพระพุทธเจ้า   
 
การแก้ไขที่ว่า  ไม่ใช่การแก้ไขด้วยการสวดมนต์อ้อนวอนหรือทำพิธีกรรมบางอย่าง แบบที่ชาวพุทธบางส่วนทำกันอยู่     แต่เรื่องนี้จะแก้ไขได้ก็ด้วยการภาวนาเท่านั้น    เพราะการภาวนาคือการกลับเข้ามาดูแลตนเอง และเข้าใจตนเอง  มามองเห็นตนเอง  ยอมรับตนเองอย่างแท้จริง  เมื่อเราเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง เราก็จะเริ่มเข้าใจคนอื่น  และจะเริ่มฟังคนอื่นด้วยหัวใจ มากขึ้น  .
 
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/336999 (http://gotoknow.org/blog/sunmoola/336999)
หัวข้อ: Re: จงฟังด้วยหัวใจ … ใช่ด้วยสมอง
เริ่มหัวข้อโดย: (〃ˆ ∇ ˆ〃) ที่ สิงหาคม 01, 2010, 09:01:34 am
ขอบคุณค่ะ (http://www.uppicweb.com/x/i/ie/wac01.gif)
หัวข้อ: Re: จงฟังด้วยหัวใจ … ใช่ด้วยสมอง
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 01, 2010, 11:40:56 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่มด
หัวข้อ: Re: จงฟังด้วยหัวใจ … ใช่ด้วยสมอง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ ที่ สิงหาคม 03, 2010, 02:53:18 am

 

ขอบคุณด้วย  :19: เช่นกันค่ะ ^^ .. พี่มด :13: