เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก
พระศาสดา เมื่อประทับนั่งที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ เป็นต้น
บุตรชาย ของเมหาธนศรษฐีในกรุงพาราณสี ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อตอนที่อยู่ในวัยเด็ก เมื่อตอนเติบโตเป็นหนุ่ม ได้แต่งงานกับบุตรสาวของเศรษฐี ซึ่งก็เป็นหญิงที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเขา เมื่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว ทั้งสองคนได้เป็นทายาทรับมรดกตกทอดจากตระกูลเศรษฐีของตนๆเป็นจำนวนมาก ทำให้ทรัพย์สินที่นำมารวมกันมีจำนวนมากมาย แต่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างเป็นคนไม่มีความรู้ด้านหนังสือ รู้อย่างเดียวคือรู้แต่วิธีการใช้แต่เงิน ไม่รู้วิธีจะเก็บรักษาเงิน หรือวิธีทำเงินให้งอกเงย ทั้งสองคนจึงเอาแต่กิน ดื่ม และสนุกสนาน ล้างผลาญเงินทองที่มีอยู่ เมื่อเงินทองที่มีอยู่หมดสิ้นแล้ว ทั้งสองก็ได้ขายทรัพย์สินต่างๆ เช่น เรือกสวนไร่นา ตลอดจนบ้านเรือน และในที่สุดทั้งสองคนก็กลายเป็นคนยากจนอนาถา และเพราะเหตุที่ทั้งสองคนไม่รู้วิธีที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่งอย่างใด จึงได้ยึดอาชีพเป็นขอทาน
อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นบุตรชายของเศรษฐียืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับเศษอาหารที่ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยให้ จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ได้กราบทูลถามถึงสาเหตุของการที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น พระศาสดาตรัสว่า “ อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย 160 โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในพระนครนี้แล ก็ถ้าบุตรเศรษฐีนี้ ไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบการงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล แลถ้าจักออกบวช ก็จักบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขา ก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 2 ออกบวช จักเป็นอนาคามี แม้ภรรยาของเขา ก็จักดำรงอยู่ในสกิทาคามิผล ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานในปัจฉิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 3 แม้ออกบวช ก็จักได้เป็นสกิทาคามี แม้ภรรยาของเขา ก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่เดี๋ยวนี้ บุตรเศรษฐีนั่น ทั้งเสื่อมจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกญจาวฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล ฯ
(อ่านว่า)
อะจะริดตะวา พรัมมะจะริยัง
อะลัดทา โยบพะเน ทะนัง
ชินนะโกนจาวะชายันติ
ขีนะมัดเฉ ปันละเล.
(แปลว่า)
พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่
ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น.
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
เสนติ จาลาติขีณาว
ปุราณานิ อนุตฺถุนํ ฯ
(อ่านว่า)
อะจะริดตะวา พรัมมะจะริยัง
อะลัดทา โยบพะเน ทะนัง
เสนติ จาลาติขีณาวะ
ปุรานานิ อะนุดถุนัง.
(แปลว่า)
พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า
เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉะนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRLZD5cJOOvZ4f5j6W6iJkxq2E3IHkqu8kzb5TUbhV_wqq_6Vo8cg)
นำมาแบ่งปันโดย :
baby@home :http://agaligohome.com/index.php?topic=4633.0
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ