(http://www.rigpawiki.org/images/thumb/5/52/Lungta_flag_SG_cal.jpg/325px-Lungta_flag_SG_cal.jpg)
บทที่ 20 การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
“ตรงขั้นตอนนี้เองที่การเดินทางของนักรบ
ได้ตั้งมั่นอยู่บนสภาวะของความเป็นนักรบแล้ว
แทนที่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อรุดหน้าต่อไป
นักรบย่อมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอันดำรงอยู่ในการบรรลุถึงของตน
สิ่งนี้มิได้ตั้งอยู่บนอัตตา
หากตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นอันปราศจากเงื่อนไข
ซึ่งเป็นอิสระจากก้าวร้าวใด ๆ
ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเหมือนดอกไม้ที่คลี่บานออก
เป็นกระบวนการแผ่ขยายออกโดยธรรมชาติ”
......หลังจากได้บรรลุถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นกษัตราธิราชซึ่งเราได้พูดถึงในบทก่อน อันเป็นผลจากการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ของนักรบขึ้นมา คำว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ในภาษาธิเบตเรียกว่า "วังทัง" ซึ่งตามตัวอักษรหมายความว่า "สนามพลัง" อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่คำๆ นี้ใช้กับคุณสมบัติบางอย่างของมนุษย์ เราจึงแปลอย่างคร่าวๆ ในที่นี้ว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ความคิดรากฐานของการดำรงอยู่อย่างแท้จริงคือ ด้วยเหตุที่คุณได้บรรลุถึงภูมมิธรรมบางอย่าง ภูมิธรรมนั้นจึงสะท้อนออกมาในตัวคุณ ในการดำรงอยู่ ดังนั้น การดำรงอยู่อย่างแท้จริงจึงตั้งอยู่บนหลักเหตุและปัจจัย เหตุแห่งการดำรงอยู่อย่างแท้จริง ก็คือคุณความดีที่คุณได้สั่งสมไว้ และปัจจัยก็คือการดำรงอยู่อันแท้จริงนั้นเอง
......ยังมีความหมายอย่างตื้นๆ ของการดำรงอยู่อันแท้จริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนทุกคนอาจผ่านพบได้ นั่นก็คือถ้าคนนั้นเป็นคนสุภาพ มีมารยาทและมานะอดทน เมื่อนั้นเขาก็อาจเริ่มแผ่พลังของความงามและความเต็มเปี่ยมออกไปสู่ผู้คนรอบๆ ข้าง อย่างไรก็ดี ความหมายอย่างลึกๆ ของการดำรงอยู่อย่างแท้จริงนั้น เชื่อมโยงอยู่อย่างแนบแน่นกับวิถีทางนักรบของชัมบาลา การดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในนั้นจะปรากฎขึ้นมิใช่จากการเป็นคนดี เป็นคนเอื้ออารีตามความหมายทั่วๆ ไป หากแต่เกี่ยวพันอยู่กับการประจักษ์แจ้งในความว่างปฐมกาลหรืออนัตตา เหตุซึ่งก่อให้เกิดการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในขึ้นก็คือทำตนให้ว่างและสละละ คุณจะต้องปราศจากความยึดติด สภาวะการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในก่อเกิดจากการได้แลกเปลี่ยนตนเองกับผู้อื่น จากการที่เราสามารถถือเอาผู้อื่นประดุจตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นคุณธรรมภายในซึ่งนำการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในมาก็คือ ประสบการณ์แห่งการไม่ติดยึด เป็นจิตอิสระที่ปราศจากการติดยึด
......เมื่อคุณได้พบคนผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายใน คุณจะพบว่าเขาหลากล้นไปด้วยความจริงแท้ ซึ่งน่าตื่นตระหนกอยู่มิใช่น้อย เพราะว่าเต็มไปด้วยความจริงยิ่ง สัตย์ซื่อยิ่งและชัดเจนยิ่ง คุณรู้สึกได้ถึงอำนาจบารมีซึ่งแผ่ออกมาจากบุคคล ผู้มีการดำรงอยู่อันแท้จริงภายใน แม้ว่าคนผู้นั้นอาจเป็นเพียงคนเก็บขยะหรือคนขับรถแท็กซี่ แต่เขาก็ยังมีคุณลักษณ์อันสูงส่งซึ่งดึงดูดความสนใจและทำให้คุณรู้สึกเกรงขาม นี้มิใช่เป็นเพียงแค่เสน่ห์ดึงดูด คนผู้ซึ่งมีการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายใน ย่อมกระทำการในตนเองและเดินทางไปอย่างเหมาะเจาะจนสุดหนทาง เขาได้รับการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นมาด้วยการสละละ และโดยการยุติความสุขสบายส่วนตนและการยึดติด
......ในอีกแง่หนึ่ง การดำรงอยู่อย่างแท้จริงเป็นผลจากกระบวนการสละละซึ่งการยึดมั่นในอัตตา อีกนัยหนึ่ง มันยังเป็นผลอย่างฉับพลันของขั้นตอนอันมหัศจรรย์ แห่งการปล่อยวางซึ่งจิตใจยึดมั่นถือมั่นลง ทั้งสองส่วนนี้ประสานกัน กระบวนการซึ่งเป็นธรรมชาติและฉับไว ซึ่งก่อให้เกิดการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นก็คือ การก่อกำเนิดอาชาวายุ หรือลุงตะขึ้นมา ซึ่งโดยพื้นฐานก็คือ การปลุกเร้าพลังแห่งความดีงามพื้นฐานขึ้นมา ให้เป็นสายลมแห่งความเบิกบานและพลัง ถึงแม้ว่าการให้คำแนะนำในการปฏิบัติเพื่อก่อกำเนิดอาชาวายุ จะอยู่เกินไปจากจุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้ แต่ข้าพเจ้าก็หวังว่าคุณอาจเริ่มเข้าใจถึงพลังพื้นฐานแห่งอาชาวายุ จากการพูดคุยที่ผ่านมา การบำรุงเลี้ยงอาชาวายุขึ้นมา เป็นหนทางที่จะขจัดสิ่งกดดันและความสงสัยออกไป ณ ที่นั่น มันไม่ใช่พิธีกรรมไล่ผี แต่เป็นกระบวนการที่สร้างกำลังใจขึ้น อาจกล่าวได้ว่าการบำรุงเลี้ยงอาชาวายุขึ้นคือ การปลุกความไม่หวาดหวั่นและความกล้าขึ้นมา มันเป็นวิธีการอย่างวิเศษที่จะขึ้นอยู่เหนือความลังเลสงสัย เพื่อที่จะเข้าถึงความตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในดวงจิต และเมื่อคุณได้บำรุงเลี้ยงลุงตะขึ้นมา การดำรงอยู่อย่างแท้จริงก็ย่อมอุบัติขึ้นด้วย
......อย่างไรก็ตาม ณ จุดนั้น ประสบการณ์เกี่ยวกับการดำรงอยู่อย่างแท้จริงอาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเท่านั้น ในการที่จะดำรงชั่วแวบนั้นไว้และสำแดงถึงการดำรงอยู่ออกอย่างเต็มที่ จำเป็นที่จะต้องใช้วินัยเข้าช่วยเสริม ดังนั้น จึงมีขั้นตอนเพื่อทำให้การดำรงอยู่อย่างแท้จริงลุ่มลึกรุดหน้าขึ้น ขั้นตอนนี้เรียกว่าหนทางแห่งความภาคภูมิสี่ประการของนักรบ หนทางนี้เกี่ยวพันกับการบรรสานความว่างเข้ากับโลกของคุณ เพื่อคุณจะได้บรรลุถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นกษัตราธิราช ในขณะที่โลกของคุณแผ่กว้างขึ้น การมีอัตตาเป็นศูนย์กลางและการดำรงอย่างมีอัตตาก็จะยิ่งลดน้อยถอยลง ดังนั้นหนทางแห่งความภาคภูมิสี่ประการจึงเกี่ยวพันกับการประจักษ์ถึงอนัตตา ความภาคภูมิสี่ประการนั้นได้แก่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีชีวิตชีวา ความอาจหาญและความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง มนุษย์ทุกคนล้วนได้เคยมีประสบการณ์แห่งความภาคภูมิสี่ประการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือการเข้าถึงภาวะความถ่อมตัวและความอ่อนโยน ในขณะที่ความมีชีวิตชีวา เกี่ยวพันอยู่กับความสง่างามและพลังแห่งวัยเยาว์ ความอาจหาญหรือความกล้าท้าทายและเข้าเผชิญหน้าโดยปราศจากความคาดหวังและหวาดหวั่น และความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงคือประสบการณ์แห่งความสำเร็จลุล่วง เป็นการบรรลุถึงโดยมิต้องวางแผน
......ถึงแม้ว่าทุกๆ คนได้เคยผ่านประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวแก่พลังเหล่านี้ แต่นอกเสียจากจะได้มีการฝึกฝนตนเอง และฝึกสติอย่างจริงจัง ก็จะไม่มีรากฐานที่แน่นอนพอจะรุดหน้าไปในชีวิตได้เลย และความภาคภูมิสี่ประการนั้นจะถูกเก็บงำซ่อนเร้นไว้เป็นเพียงส่วนของนิสัยและความเคยชิน แทนที่จะกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่อนัตตา ดังนั้นโดยรากฐานแล้ว ความภาคภูมิสี่ประการจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับหนทางของนักรบ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงมันก็คือขั้นตอนชั้นสุงบนหนทางนั้นนั่นเอง นักรบจะสามารถประจักษ์ถึงความภาคภูมิสี่ประการนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขาได้พัฒนาความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความดีงามพื้นฐานขึ้นมา และได้แลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ฉายฉานอยู่ในประสบการณ์แห่งโลกศักดิ์สิทธิ์ ตรงจุดนี้เองที่นักรบถูกเชื่อมโยงเข้ากับแหล่งกำเนิดของพลังงานซึ่งไม่มีวันแห้งเหือดเป็นพลังงานของอาชาวายุซึ่งทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยพลัง ดังนั้นอาชาวายุจึงเป็นเชื้อเพลิงซึ่งให้พลังแก่ความภาคภูมิสี่ประการ และการดำรงอยู่อย่างแท้จริงจึงเป็นยานพาหนะ
......นี่จึงดูคล้ายสิ่งที่ขัดแย้งกันในโสดหนึ่ง ความภาคภูมิสี่ประการเป็นกระบวนการในการพัฒนาการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นมา และในอีกโสดหนึ่ง ประสบการณ์แห่งการดำรงอยู่อย่างแท้จริงก็ช่วยเอื้อให้ความภาคภูมิสี่ประการคลี่คลายออก ในการอธิบายถึงสิ่งนั้น เราอาจกล่าวได้เพียงว่าอนัตตา เป็นรากฐานและเป็นผลของการเดินทางนี้ นอกเสียแต่เราจะมีความรู้สึกถึงการสละละตนเองออกไป มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถเดินไปบนหนทางของนักรบได้เลย อีกนัยหนึ่ง ถ้าเราได้สละละแล้ว เราจะพบว่า เราสามารถผสานญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่และจิตใจอันยิ่งใหญ่เข้าด้วยกัน ดังนั้นอนัตตาจึงเป็นสายใยแห่งความกว้างใหญ่ไพศาล (ถ้าอาจกล่าวว่าสิ่งนั้นดำรงอยู่จริง) ซึ่งร้อยผ่านตลอดการเดินทาง ตรงงขั้นตอนนี้เอง ที่การเดินทางของนักรบได้ตั้งมั่นอยู่บนสภาวะของความเป็นนักรบแล้ว แทนที่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อรุดหน้าต่อไป นักรบย่อมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอันดำรงอยู่ในการบรรลุถึงของตน สิ่งนี้มิได้ตั้งอยู่บนอัตตาหากตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นอันปราศจากเงื่อนไข เป็นอิสระจากความก้าวร้าวใดๆ ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเหมือนดอกไม้ที่คลี่บานออก เป็นกระบวนการแผ่ขยายออกโดยธรรมชาติ