(http://www.ljplus.ru/img/d/a/dasha_potacheva/little_buddha.jpg)
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี
อัจฉราสังฆาตวรรคที่ ๖
อรรถกถาอัจฉราสังฆาตวรรคที่ ๖
วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำรงอยู่ในกิจนี้นี่แหละ ทรงตรวจดูสัตว์โลก ก็ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราจาริกไปในมหาโกสลรัฐ แสดงสูตรหนึ่งเปรียบเทียบด้วยกองเพลิง ภิกษุ ๖๐ รูปจักบรรลุพระอรหัต ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปจักรากเลือด ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปจักสึกเป็นคฤหัสถ์. บรรดาภิกษุเหล่านั้น พวกภิกษุผู้จักบรรลุพระอรหัตได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างใดอย่างหนึ่ง จักบรรลุได้ทีเดียว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จจาริกไปเพื่อสงเคราะห์ภิกษุนอกจากนี้ จึงตรัสว่า อานนท์ เธอจงบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย.
พระเถระไปตามบริเวณแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ พระศาสดามีพระประสงค์จะเสด็จจาริกเพื่อสงเคราะห์มหาชน ผู้ประสงค์จะไปตามเสด็จก็จงพากันมาเถิด. ภิกษุทั้งหลายมีใจยินดีเหมือนได้ลาภใหญ่ คิดว่า เราจักได้ชมพระสรีระมีวรรณเพียงดังทองคำ ได้ฟังธรรมกถาอันไพเราะของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสดงธรรมแก่มหาชน ผู้ที่มีผมขึ้นยาวก็ปลงผม มีบาตรถูกสนิมจับก็จับระบมบาตร มีจีวรหมองก็ซักจีวร ต่างเตรียมจะตามเสด็จ.
พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ที่กำหนดจำนวนไม่ได้ ออกจาริกไปยังโกศลรัฐ วันหนึ่งๆ เสด็จจาริกไป ๑ คาวุต ๒ คาวุต ๓ คาวุตและโยชน์หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ตามลำดับแห่งคามและนิคม ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้มีโพรงต้นใหญ่แห่งหนึ่งถูกไฟไหม้ลุกโพลง ทรงดำริว่า เราจะทำต้นไม้นี้แลให้เป็นวัตถุเหตุตั้งเรื่อง แสดงธรรมกถาประคับด้วยองค์ ๗ จึงงดการเสด็จ เสด็จเข้าไปยังโคนไม้ต้นหนึ่ง ทรงแสดงอาการจะประทับนั่ง.
พระอานนทเถระทราบพระประสงค์ของพระศาสดา คิดว่า ชะรอยว่าจักมีเหตุแน่นอน พระตถาคตไม่เสด็จต่อไปแล้วจะหยุดประทับนั่งเสียโดยเหตุอันไม่สมควรหามิได้ จึงปูลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้น.
พระศาสดาประทับนั่งแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูกองไฟใหญ่โน้น แล้วทรงแสดงอัคคิขันโธปมสูตร. ก็เมื่อตรัสไวยากรณ์นี้อยู่ ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปรากเลือด. ภิกษุประมาณ ๖๐ ลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์. ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปมีจิตไม่ยึดมั่นก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย.
ก็เพราะได้ฟังไวยากรณ์นั้น นามกายของภิกษุประมาณ ๖๐ รูปก็กลัดกลุ้ม เมื่อนามกายกลัดกลุ้ม กรัชกายก็รุ่มร้อน เมื่อกรัชกายรุ่มร้อน โลหิตอุ่นที่คั่งก็พุ่งออกจากปาก. ภิกษุ (อีก) ประมาณ ๖๐ รูปคิดว่าการประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตลอดชีวิตในพระพุทธศาสนา ทำได้ยากหนอ แล้วพากันลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์. ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปส่งญาณมุ่งตรงต่อเทศนาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดรากเลือด ภิกษุเหล่านั้นต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุเหล่าใดสึกเป็นคฤหัสถ์ ภิกษุเหล่านั้นพากันย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อย. ภิกษุเหล่าใดบรรลุพระอรหัต ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล.
พระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดมีผลแม้แก่ภิกษุ ๓ จำพวกดังกล่าวนี้.
ถามว่า พระธรรมเทศนาเกิดมีผลแก่ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตยกไว้ก่อน อย่างไรจึงเกิดมีผลแก่ภิกษุนอกนี้?
แก้ว่า ก็ภิกษุแม้เหล่านั้น ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเทศนากัณฑ์นี้ไซร้ เป็นผู้ประมาท ไม่พึงอาจละฐานะได้ แต่นั้นบาปของภิกษุเหล่านั้นกำเริบขึ้น จะพึงทำเธอให้จมลงในอบายถ่ายเดียว แต่ฟังเทศนากัณฑ์นี้แล้ว เกิดความสังเวช ละฐานะ ตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณร บำเพ็ญศีล ๑๐ ประกอบขวนขวายในโยนิโสมนสิการ บางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นอนาคามี บางพวกบังเกิดในเทวโลก. พระธรรมเทศนาได้มีผลแม้แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกด้วยอาการอย่างนี้. ฝ่ายภิกษุนอกนี้ ถ้าไม่พึงได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ไซร้ เมื่อกาลล่วงไปๆ ก็จะพึงต้องอาบัติสังฆาฑิเสสบ้าง ปาราชิกบ้าง
ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว คิดว่า พระพุทธศาสนาช่างขัดเกลาจริงหนอ พวกเราไม่สามารถจะบำเพ็ญข้อปฏิบัตินี้ตลอดชีวิตได้ จำเราจักลาสิกขา บำเพ็ญอุบาสกธรรม จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้แล้ว จึงพากันสึกไปเป็นคฤหัสถ์. ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในสรณะ ๓ รักษาศีล ๕ บำเพ็ญอุบาสกธรรม บางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นสกทาคามี บางพวกเป็นอนาคามี บางพวกบังเกิดในเทวโลกแล. พระธรรมเทศนาได้มีผลแม้แก่ภิกษุเหล่านั้น ด้วยอาการอย่างนี้. อนึ่ง หมู่เทพได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว ได้เที่ยวไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่ได้ฟังทุกรูปทีเดียว. ภิกษุทั้งหลายฟังแล้วคิดว่า ท่านผู้เจริญ การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ตลอดชีวิตในพระพุทธศาสนาทำได้ยาก. ภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๖๐ รูปบ้าง ๑๐๐ รูปบ้างบอกลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ไปทันที.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=52 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=52)
(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSV--QKMrtlF6tK0IHo8zz33XY11Ftg5KAbuC-exiERmRFuQoa-)
พระพุทธเจ้าท่านรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าท่านเทศน์ ภิกษุ ๖๐ จะต้องอ้วกเป็นเลือด อีก ๖๐ จะต้องสึก อีก ๖๐ จะพ้นทุกข์ ท่านรู้ว่ามีภิกษุที่ต้องอ้วกเป็นเลือด แต่ท่านก็ยังไปเทศน์ เพราะว่ามีภิกษุที่จะพ้นทุกข์รอท่านอยู่ นี่ก็เรียกว่าการร่อน ร่อนเอาคนดีไปนิพพาน ใครมีสาระจึงจะทนอยู่ในธรรมวินัยได้
เหมือนตอนที่มหาพรหมอาราธนาพระพุทธเจ้าว่า สัตว์ที่มีธุลีในตาน้อยก็มี มิได้ทูลว่าโปรดเที่ยวสั่งสอนสัตว์รื้อสัตว์ทั้งหมดเถิด พระพุทธเจ้าก็พิจารณาถึงบัวสี่เหล่า แต่ท่านเอาแค่สามเหล่า อันสุดท้ายท่านทิ้งเพราะเอาไม่ไหวมันมืดบอดเกินไป ท่านทั้งหลายก็จงอย่าคิดว่าจะให้คนมาฟังตามพระศาสดาบัญญัติมากนักเลย เพราะว่าบัวเหล่าที่สี่นั้นมี รอให้เขาสร้างอินทรีย์บารมีให้แก่กล้าก่อนจึงจะไปได้
สำหรับพวกที่อาบัติปาราชิก ถ้าบวชเป็นสามเณร ก็บรรลุมรรคผลได้
สำหรับพวกที่ชอบย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อย ถ้าไม่คิดแก้ไขให้ดีขึ้นในการรักษาสิกขาบท ก็ให้สึกออกมาแล้วรักษาศีล ก็ได้บรรลุมรรคผลเช่นเดียวกัน
เมื่อผู้ใดรู้แล้วหรือเทพองค์ใดได้ยิน ให้รีบนำสูตรนี้ไปบอกภิกษุทั้งหลายด้วย.
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41712&p=290927#p290927 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41712&p=290927#p290927)