ใต้ร่มธรรม

ริมระเบียงรับลมโชย => รับสายลมเย็นหน้าระเบียง => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:31:32 am

หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:31:32 am
รวบรวมความเคลื่อนไหว เรื่องของ "ทองคำ" , "หุ้น" , " น้ำมัน"

ผมจะทยอยนำมาลงในกระทู้นี้ครับ

.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:34:48 am
มาปูพื้นฐานการดูข้อมูลราคาทองคำกันก่อนครับ

คนที่เพิ่งหัดเข้ามาดูทองอาจจะสงสัยกับการคิดราคาทองของสมาคมค้าทองคำว่าเขาอ้างอิงการตั้งราคาทองแต่ละวันอย่างไร ซึ่งการตั้งราคาทองนั้นอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลักก็คือ Goldspot และค่าเงินบาท


+ Goldspot คือราคาทองเมืองนอก

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=1797;image)

โดยราคาทองที่เห็นนี้จะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก กราฟทองตัวนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับการดูทิศทางราคาทองคำของนักลงทุนทองคำ


+ USD - THB คือ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลล่าร์
เมื่อราคาทองใช้เงินสกุลดอลล่าร์เป็นหลัก เมื่อจะแปลงราคามาเป็นราคาในเมืองไทย จึงต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์ มาตีเป็นราคาซื้อขายในเมืองไทยอีกที


สูตรคำนวณราคาทองไทย

= (spot gold+2) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729

คุณสมบัติของทองคำ

- มีความแวววาวอยู่เสมอ ทอง ไม่ทำปฏิกริยากับออกซิเจนดังนั้นเมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม

- มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต

- เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี

- สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศเพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด



หน่วยน้ำหนักของทองคำ

- กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล

- ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย

- โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน

- ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง

- บาท : ใช้ในประเทศไทย

- ชิ : ใช้ในประเทศเวียตนาม



การแปลงน้ำหนักทองคำ

- ทองคำ ความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)

ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม

ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

- ทองคำ ความบริสุทธิ์ 99.99%

ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์

ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม


ที่มา : สมาคมค้าทองคำ

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=14-
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:36:20 am
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
เรื่อง : สรวิศ อิ่มบำรุง

“ทองคำ” ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือก ที่นักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ รวมทั้งนักลงทุนไทยในปัจจุบัน

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แต่การจะลงทุนในทองคำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจจะพาให้เจ็บตัวได้เช่นเดียวกัน

ในสภาวะที่ทองคำ ได้กลับมาอยู่ในโฟกัสของถนนสายการลงทุนอีกรอบ อย่างน้อยถ้าเล็งเป้าเข้าไปลงทุนในทองคำ มีเรื่องอะไรบ้างที่นักลงทุนควรรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการลงทุนของตัวเอง

การลงทุนในทองคำมีเรื่องอะไรที่นักลงทุนควรจะรู้บ้าง เราลองมาฟังคำแนะนำจากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญกับการลงทุนในทองคำแนะนำกัน


รู้จักรูปแบบและต้นทุนการลงทุน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์" ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำว่า นักลงทุนควรจะต้องรู้จักรูปแบบการลงทุนในทองคำว่ามีอะไรบ้าง ทองคำแท่ง 99.99% ทองคำแท่ง 96.5% ทองรูปพรรณ กองทุนรวม หรือตั๋วสัญญา ซึ่งการลงทุนแต่ละรูปแบบจะมีต้นทุนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากจะมองในแง่ของการลงทุนแล้วทองรูปพรรณอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะมีต้นทุนค่ากำเน็จ ทำให้แพงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น

ในขณะที่การลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการลงทุนมากกว่า

“ในแง่ของต้นทุนการลงทุนในทองคำกองทุนรวมถือว่าค่อนข้างถูกกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ แม้ทองคำแท่งจะมีส่วนต่างของการซื้อเข้าขายออกประมาณ 100 บาท ก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่ทองคำแท่งขนาดมาตรฐานในบางครั้งก็จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเข้าไปอีกต่างหาก ตรงนี้ผู้ลงทุนก็ต้องพิจารณาประกอบการลงทุนด้วยในเรื่องของต้นทุน”


รู้จักปัจจัยที่กระทบราคาทองคำ

นอกจากผู้ลงทุนควรจะรู้จักรูปแบบของการลงทุนในทองคำแล้ว ยังควรจะรู้จักปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำด้วย

- ค่าเงินดอลลาร์ โดย “โชติกา สวนานนท์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทยบอกว่า ราคาทองจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะทองคำซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อไรที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มค่าขึ้น ราคาทองจะปรับตัวลดลง

ดังจะเห็นได้จากราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา (สิ้นปี 2550-11 พ.ย.2551) ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 13.36% ในขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลงไปประมาณ 12.16% และในปี 2007 ที่ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมา 30.94% นั้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงไป 8.41%

“เป็นเรื่องยากที่จะวัดว่าค่าของทองควรจะอยู่ที่เท่าไร อยู่ที่คนให้ค่า แต่เมื่อคนมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงราคาทองจึงวิ่งขึ้นมา อยู่ที่มุมมองของคนที่มีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย”

- ดีมานด์ซัพพลาย ดร.วิน บอกว่า ในแง่ของดีมานด์และซัพพลายในตลาดโลกจะมีอยู่ 2 มิติ คือ มิติที่ 1 เป็นความต้องการบริโภคทองคำจริงๆ ในยามที่เศรษฐกิจโลกดี คนจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณความต้องการบริโภคทองคำมากขึ้น ในขณะที่ยามที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของคนจะลดน้อยลงไป ความต้องการบริโภคทองคำก็จะลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

และในมิติที่ 2 เป็นความต้องการบริโภคทองคำในแง่ของการลงทุน ซึ่งดูจะตรงข้ามกับมุมมองแรก คือ ในยามที่เศรษฐกิจแย่ คนมีแนวโน้มจะหันมาถือครองทองคำมากขึ้นในฐานะที่ทองคำมีคุณลักษณะของสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง แต่ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็จะถือครองทองคำลดลง

"จะเห็นว่าราคาทองคำในมิติที่ 2 นี้ จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าออกในตลาดทองคำในลักษณะของการลงทุน ต่างจากมุมมองในมิติแรกที่เป็นความต้องการใช้จริงๆ ของโลก ส่วนซัพพลายของทองในตลาดโลกค่อนข้างที่จะตึงตัว อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำไม่ควรจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่มีการประเมินกันว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ดังนั้น ราคาทองคำที่ระดับนี้จึงเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำ”

- เงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี (Inflation Hedge) ในยามที่อัตราเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น และในยามที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังจะมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้นในช่วงที่มีภาวะสงครามเกิดขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ผู้ลงทุนควรจะต้องรู้


เป็นนักลงทุนสไตล์ไหน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร" ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่าผู้ลงทุนในทองคำ ควรจะค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนเป็น "นักลงทุนระยะยาว (Investor)" หรือ "นักลงทุนแบบซื้อมาขายไป (Trader)" ถ้าเป็นนักลงทุนแล้วปัจจุบันยังไม่มีทองคำในพอร์ตที่ราคาทองคำบาทละ 12,400-12,500 บาท สามารถที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนได้เป็นลักษณะซื้อเก็บไป

ส่วนตัวเองก็ซื้อเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ได้ขายอะไร เป็นส่วนที่คงจะส่งมอบความมั่งคั่งให้กับลูกหลานต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเป็นนักลงทุนควรจะซื้อแล้วถือยาว 6 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยมาดุว่าตอนนั้นราคาทองคำเป็นอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจขายก็ได้

แต่ถ้าเป็นเทรดเดอร์ซื้อมาขายไป ราคาทองคำขึ้นมาบาทละ 300-400 บาท กำไร 2-3% ก็ต้องขายทิ้งแล้วค่อยมารับกลับไปใหม่ที่ราคาต่ำกว่าเดิมในลักษณะของการเล่นรอบ ถ้าทำได้แบบนี้ทุกเดือนคุณจะมีกำไร 24-36% ดีกว่าผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3-4% ค่อนข้างมากทีเดียว

"ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ลงทุนโดยตรงในทองคำคงจะเหมาะกับผู้ที่มีความรู้ ชอบศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล มีเวลาที่จะติดตามภาวะตลาด สามารถที่จะดูแลการลงทุนด้วยตัวเองได้ แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจจะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาที่จะติดตามการลงทุนมากนัก การซื้อขายก็ง่ายสะดวกคล่องตัวกว่าด้วย"


ใช้เงินเย็นลงยาว-ไม่ควรกู้มาลงทุน

โดย "จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี" นายกสมาคมค้าทองคำ แนะนำว่า การลงทุนในทองคำควรจะเป็นการลงทุนระยะยาวและใช้เงินเย็นลงทุน ไม่ควรจะกู้เงินมาลงทุน เพราะถึงจะมีกำไรก็ไม่คุ้มกัน แต่ถ้าเป็นเงินเย็นเมื่อนำมาลงทุนในกรณีที่ผิดพลาดขึ้นมาก็ยังมีทองคำอยู่ในมือเก็บเอาไว้ได้ ไม่เป็นศูนย์แน่นอน

โดยถ้ามองในแง่ของการลงทุนควรจะเป็นการลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้งทอง 99.99% และ 96.5% เพราะไม่มีความแตกต่างกันลงทุนได้ทั้งคู่ เพราะเนื้อทองคำได้สะท้อนอยู่ในราคาแล้วทำให้ราคาทองคำ 96.5% ซึ่งเป็นทองคำมาตรฐานของไทยมีราคาที่ถูกกว่าทองคำ 99.99% ดังนั้นจะลงทุนทองคำ 99.99% หรือ 96.5% ก็ไม่ต่างกัน และควรจะแบ่งเงินมาลงทุนในทองคำประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมเท่านั้น

“แต่ในแง่ของจำนวนในการซื้อลงทุน ทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักมาตรฐานที่ลงทุนกันจะมีน้ำหนัก 1 ก.ก. ขึ้นไป หรือคิดเป็นน้ำหนักทองไทยประมาณ 65.6 บาท ส่วนทองคำแท่ง 96.5% จะลงทุนตั้งแต่ 10 บาท ขึ้นไป”


การลงทุนทางเลือกในพอร์ต

โชติกา บอกว่า ทองเป็นหนึ่งในประเภททรัพย์สิน (Aseet Class) ที่สำคัญที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนแต่ไม่ควรจะเยอะ อยู่ในส่วนที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) ส่วนการลงทุนพื้นฐานทั่วไปที่มีอยู่ในพอร์ตก็จะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ ส่วนทางเลือกการลงทุนอื่นก็จะเป็นทอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งไม่ควรจะเป็น 50% ของพอร์ต เพราะไม่ใช่หุ้นหรือตราสารหนี้ที่จะมาจัดสรรเงินทุนในลักษณะนั้น

ทองควรจะมี 5-10% ในพอร์ต แต่จะมีเท่าไรขึ้นกับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ ถ้าชอบทองมากๆ อาจจะ 15% ของพอร์ตก็ได้ แต่เป็นสินทรัพย์ที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตเพราะมีความสัมพันธ์กับหุ้นและตราสารหนี้น้อยคือมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่ต่ำ

“นอกจากนี้ ทองยังมีดีมานด์ซัพพลายของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ทองยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีค่าในตัวเองโดยไม่ต้องมีดีมานด์ซัพพลายจึงเป็นสินทรัพย์ที่ดีมากเพราะเป็นของที่มีค่าเป็นแร่ธาตุที่มีค่า เพราะฉะนั้นทองจึงมีค่าในตัวเอง ไม่ใช่ดิน หรือทองแดงที่อาจจะมีประโยชน์ทางอุตสาหกรรมที่จะต้องไปดูดีมานด์ซัพพลาย แต่ทองเป็นแร่ธาตุที่มีค่าเหมือนเพชร จึงเป็นสินทรัพย์ที่ควรจะให้ความสนใจแต่ไม่ควรจะมากเกินไปเท่าไร”


ความสะดวกสบายในการลงทุน

โชติกามองว่า สำหรับการลงทุนนั้น ความสะดวกสบายก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนตัวถ้าอยากซื้อทองจะไม่ไปเยาวราช เพื่อซื้อทองถ้ามองเป็นเรื่องลงทุน อาจจะไปซื้อแต่เวลาขายขึ้นมา เอาทองไปขายก็ไม่สะดวก แต่ขายทองผ่านกองทุนทำได้ง่ายเหมือนขายหุ้น

สมมติซื้อไว้ 10 บาท ขึ้นมาเป็น 13 บาท จะขายเอากำไรออกมา สามารถทำได้ทำที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนั่งรถไปที่ร้านทอง ในมุมนี้การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมน่าจะตอบโจทย์นักลงทุนได้ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนในลักษณะเก็งกำไรก็ตาม

“ทุกอย่างในการลงทุนผู้ลงทุนควรจะต้องพิจารณาในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการลงทุน ซื้อกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีความสะดวกในการซื้อขาย สามารถที่จะซื้อขายได้ทันทีเหมือนหุ้น”

เช่นเดียวกับ ดร.วิน ที่มองว่า การพิจารณาในเรื่องของความสะดวกในการซื้อขายเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน ทองคำของบางร้านเขาซื้อเฉพาะทองคำร้านตัวเองเท่านั้น ถ้าซื้อทองคำจากต่างจังหวัดจะมาขายที่ร้านทองในเยาวราช บางครั้งเขาก็ไม่รับซื้อ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องคิดถึงด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนทองเยาวราชไปขายที่ไหนก็คงจะมีคนซื้อ แต่ราคาที่ได้ก็คงจะไม่ได้เต็มราคาแน่นอน เพราะร้านที่รับซื้อเขาก็ต้องคิดถึงกำไรที่จะได้รับเช่นเดียวกัน

"อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมค่อนข้างสะดวกสบาย ราคารับซื้อและขายคืนก็มีชัดเจนแน่นอน เหมือนกันทั่วประเทศ ซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จึงน่าจะเป็นรูปแบบการลงทุนในทองคำที่เหมาะกับการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง”

6 เรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนในทองคำ อาจจะพอเป็นไกด์ไลน์การลงทุน ก่อนกระโจนเข้าสมรภูมิทองคำ

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=930 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=930)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:37:09 am
เว็บดูกราฟเทคนิค


http://stockcharts.com/h-sc/ui?s= (http://stockcharts.com/h-sc/ui?s=)$GOL...id=p61793903230

http://new.quote.com/forex/chart.action?ch...erlay=&x=38&y=6 (http://new.quote.com/forex/chart.action?ch...erlay=&x=38&y=6)



รูปแบบกราฟเทคนิคที่สำคัญในการเปลี่ยนเทรนด์


http://stockcharts.com/school/doku.php?id=...:chart_patterns (http://stockcharts.com/school/doku.php?id=...:chart_patterns)

--------------------------------------------



คำอธิบายศัพท์เทคนิคแบบภาษาไทย


แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-2.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-2.htm)


เทคนิคการวิเคราะห์แบบแท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlestick)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-4.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-4.htm)


เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-5.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-5.htm)


ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง/แยกทาง (Moving Average Convergence / Divergence หรือ MACD)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-14.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-14.htm)


ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-8.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-8.htm)


สโตแคสติก (Stochastic)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-10.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-10.htm)


โมเมนตั้ม (Momentum)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-11.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-11.htm)


เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (Relative Strength Index หรือ RSI)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-12.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-12.htm)


เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-16.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-16.htm)


ฟิบอนนาซี (Fibonacci)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-17.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-17.htm)


โบลินเจอร์ แบนด์ (Bollinger Bands)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-6.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-6.htm)


เครื่องมือพาราโบลิก (Parabolic)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-7.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-7.htm)


ดัชนีการแกว่งตัว (Oscillator)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-9.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-9.htm)


เส้นหุ้นบวก / ลบสะสม (Advance / Decline Line)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-15.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-15.htm)


--------------------------------------------



คำอธิบายศัพท์เทคนิคแบบภาษาอังกฤษ


Chart Analysis

http://stockcharts.com/education/ChartAnalysis/index.html (http://stockcharts.com/education/ChartAnalysis/index.html)


Technical Indicators and Overlays

http://stockcharts.com/education/Indicator...ysis/index.html (http://stockcharts.com/education/Indicator...ysis/index.html)


Market Analysis

http://stockcharts.com/education/MarketAnalysis/index.html (http://stockcharts.com/education/MarketAnalysis/index.html)[/color]



ที่มา :
http://www.stockcharts.com (http://www.stockcharts.com)
http://www.taladhoon.com (http://www.taladhoon.com)

.

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=7 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=7)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:37:55 am
คู่มือการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดย คุณสุรชัย ไชยรังสินันท์

http://inv2.asiaplus.co.th/cms/index.php?sc=educationzone-analyze (http://inv2.asiaplus.co.th/cms/index.php?sc=educationzone-analyze)

ไฟล์นี้เป็นไฟล์ pdf ในกรณีที่ท่านไม่สามารถเปิดอ่านได้
ให้ไปดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับอ่านไฟล์ pdf ได้ที่นี่ครับ

http://www.foxitsoftware.com/downloads/ (http://www.foxitsoftware.com/downloads/)

เข้าไปที่หน้าดาวน์โหลดแล้วเลือกดาวน์โหลดไฟล์โปรแกรม Foxit Reader

ที่มา http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=6 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=6)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:38:55 am
รอบรู้เรื่องทองคำ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


ทองคำ (gold)

คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์


คุณสมบัติของทองคำ

มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร

ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี (Chemicalinactive) ได้ง่าย จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ (Oxidide) แต่มีปฏิกิริยากับคลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง

คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ

ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

- งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม

- หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์(31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต

- นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน


การเกิดของแร่ทองคำ

สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้

- แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

- แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ

แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย เช่น

- แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
- แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
- แหล่งชาตรี(เขาโป่ง) จ.พิจิตร - จ.เพชรบูรณ์
- แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
- แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร

แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย เช่น

- แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
- แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
- แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
- แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย - จ.หนองคาย
- แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา


หน่วยน้ำหนักของทองคำ

กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
บาท : ใช้ในประเทศไทย
ชิ : ใช้ในประเทศเวียดนาม


การแปลงน้ำหนักทองคำ

ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)

- ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
- ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%

- ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
- ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม

หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า ออนซ์

- 1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
- 12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
- 1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม


การลงทุนทองคำ

การตั้งราคาทองในประเทศไทยอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB

Goldspot
คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์

USD-THB
คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์

การตั้งราคาทองในประเทศไทย มีสูตรคำนวณดังนี้

สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729


ประโยชน์อื่น

- ด้านอวกาศ
ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา 0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้

- ด้านทันตกรรม
มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลตินัม

- ด้านอิเล็กทรอนิกส์
มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=74 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=74)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:39:59 am
ความรู้การลงทุน Gold Futures

ที่มา : www.tfex.co.th (http://www.tfex.co.th)

อ้างอิงจาก:
ข้อควรระวังในการซื้อขาย Gold Futures

โกลด์ฟิวเจอร์สใช้เงินทุนน้อย เนื่องจากผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนในการซื้อขาย ผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญา ดังนั้น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยน ก็เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรติดตามให้ความสนใจ

นอกจากนี้ ฟิวเจอร์สมีอายุจํากัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไม่มีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญา ก็จะมีการปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อหรือขายฟิวเจอร์สไว้ และราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรติดตามสถานะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ


Gold Futures

Gold Futures (โกลด์ฟิวเจอร์ส) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยประกอบกับราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้น โกลด์ฟิวเจอร์สจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้ง่าย สะดวก ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดอนุพันธ์ (TFEX ) โดยมีบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) เป็นผู้ประกันการชำระราคาจากการซื้อขาย และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของ ตลาดอนุพันธ์และบริษัทสมาชิก ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าในทุก ๆ การซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้


กำไรสองทาง ทั้งทองขึ้นทองลง

โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ลงทุน ทําให้สามารถซื้อขายทำกำไรได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง โดยในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริงระหว่างคู่สัญญา แต่ใช้วิธีจ่ายชำระเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เรียกว่า “การชำระราคาเป็นเงินสด” (Cash settlement) ผู้ลงทุนสามารถ “ ซื้อก่อนขาย” หรือ “ขายก่อนซื้อ” ก็ได้ โดยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาที่ซื้อเอาไว้ เช่น หากผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ก่อน และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็สามารถขายโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง ทำให้ได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อและขาย หรือในกรณีที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะปรับตัวลดลง ก็สามารถสั่งขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้เลย แม้ว่าไม่เคยซื้อ โกลด์ฟิวเจอร์สมาก่อน และเมื่อราคาทองปรับตัวลดลง ก็ค่อยซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง ทำให้ได้กำไรตามส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อ


ทุกภาวะตลาด ทุกความคาดการณ์ คือโอกาสทำกำไร

การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส คือ การซื้อขายทองคำล่วงหน้า ราคาของโกลด์ฟิวเจอร์สจึงเป็นราคาทองที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ในอนาคต จึงอาจจะแตกต่างจาก ราคาทองที่มีการซื้อขายและส่งมอบกันในปัจจุบัน (Gold Spot Price) ความคาดการณ์ราคาทองที่แตกต่างกันนี้ คือ โอกาสในการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากโกลด์ฟิวเจอร์ส เช่น ในภาวะทองราคาขึ้น ราคาทองในปัจจุบันอาจอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ครบกำหนดในอีก 6 เดือนข้างหน้า อาจซื้อขายอยู่ที่ 15,500 บาท สำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะสูงกว่า 15,500 บาท จึงซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สโดยหวัง ส่วนต่างราคาในกรณีที่ทองคำปรับตัวสูงขึ้น สำหรับผู้ขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไม่ถึง 15,500 บาท ในอีก 6 เดือนข้างหน้าและรอซื้อกลับเมื่อราคาถูกลง ราคาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สจะปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนซื้อขายทำกำไรได้ตามความคาดการณ์


กำไรเหนือกว่า ด้วยต้นทุนต่ำกว่า

การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สต่างจากการซื้อขายหุ้น และซื้อขายทองคำ ตรงที่โกลด์ฟิวเจอร์สเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ทั้งจำนวน ผู้ลงทุนแค่เพียงวางเงินส่วนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาทั้งจำนวน ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ เรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งการซื้อขายที่ใช้เงินลงทุนน้อยนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้อัตราผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับเงินทุน เช่น ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จึงลงทุนซื้อทองคำน้ำหนัก 50 บาท ที่ราคาบาทละ 14,000 บาท เพื่อเก็งกำไร โดยต้องใช้เงินทุนซื้อทองทั้งหมดรวม 700,000 บาท แต่หากผู้ลงทุนซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส จะใช้เงินทุนเพื่อวางเป็นหลักประกันขั้นต้นประมาณ 50,000 บาท (โบรกเกอร์จะเป็นผู้กำหนด) ซึ่งหากราคาทองคำสูงขึ้นจริง ผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สก็มีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรสูงกว่าการซื้อทองคำ

ในกรณีราคาทองขาลง ผู้ลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำและมีทองคำอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็สามารถเร่งขายทองคำในช่วงที่ราคาทองยังสูง และค่อยซื้อทองคำกลับคืนหลังจากราคาทองปรับตัวลดลง แต่สำหรับ ผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในมือก็จะไม่สามารถใช้วิธีนี้สร้างทำกำไรได้ โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรโดยใช้ต้นทุนต่ำได้ เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถวางเงินแค่หลักประกันขั้นต้น ก็สามารถทำการขายโกลด์ฟิวเจอร์สก่อน เพื่อทำกำไรในตลาดขาลง


เพิ่มทางเลือก กระจายการลงทุน

ราคาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส มาจากความคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตของผู้ลงทุน แม้ว่าจะไม่ใช่ราคาเดียวกับราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบในปัจจุบัน แต่ก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยผลจากการศึกษาทางสถิติ (ข้อมูลในช่วง ก.พ. 2541 – มิ.ย. 2550) พบว่า ราคาทองคำมีทิศทางการ เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ โดยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนพบว่าทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ติดลบสูงสุดเท่ากับ -0.24 และเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index ) ทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ติดลบเท่ากับ -0.09 โกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังมักเคลื่อนไหวในทิศทาง เดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาน้ำมัน การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใน การกระจายการลงทุนที่เรียกว่า การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะเงินเฟ้อได้ (Inflation Hedge)


ซื้อขายง่าย สภาพคล่องสูง ราคาโปร่งใส

การซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สตามความคาดการณ์ได้ตลอดเวลาทำการของ TFEX เพียงแค่ โทรศัพท์สั่งซื้อขายผ่านโบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีสาขารวมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ หรืออาจใช้วิธีส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่โบรกเกอร์ อนุพันธ์ให้บริการ จากนั้นโบรกเกอร์อนุพันธ์จะเป็นตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายของผู้ลงทุนเข้ามาในระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของ TFEX เพื่อรอจับคู่คำสั่งกับผู้ลงทุนอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้น การเดินทางจึงไม่ใช่อุปสรรคของการซื้อขายอีกต่อไป ผู้ลงทุนจึงสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ การซื้อขายใน TFEX ยังมีสภาพคล่องสูง ผู้ลงทุนสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของราคาโกลด์ฟิวเจอร์สได้ตลอดเวลาจากหลากหลายช่องทาง ทั้งทางเว็บไซต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และช่องทางอื่น ๆ ที่บริษัทสมาชิกเปิดให้บริการ ทำผู้ลงทุนให้มีโอกาสในการทำกำไรได้บ่อยครั้งตามที่ต้องการ


เชื่อถือได้ ทุกครั้งที่ซื้อขาย

บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX เป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการภายใต้ พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 เพื่อทำหน้าที่จัดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน และดูแลการซื้อขายให้ถูกต้อง โปร่งใส และยุติธรรม นอกจากนี้ ทุกๆ การซื้อขายใน TFEX จะมี บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) ทำหน้าที่รับประกันการจ่ายชำระเงินระหว่างคู่สัญญา หากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนบิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายชำระเงินให้ฝ่ายที่ได้กำไร สำนักหักบัญชีก็จะค้ำประกันการจ่ายชำระเงินนั้นให้ก่อน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าหากได้กำไรจากการซื้อขายก็จะได้รับเงินส่วนกำไรนั้นอย่างแน่นอน

สำหรับการกำกับดูแลนั้น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นหน่วยงานสำคัญที่คอยดูแลการดำเนินงานของ TFEX และโบรกเกอร์อนุพันธ์เพื่อให้การซื้อขายโปร่งใสและเชื่อถือได้ ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถซื้อขายในราคาที่เป็นธรรม


ปรับยอดเงินทุกวัน กลไกสำคัญในการช่วยติดตามสถานะการซื้อขาย

ผู้ลงทุนที่มีสถานะซื้อหรือสถานะขายโกลด์ฟิวเจอร์สอยู่ จะได้รับปรับยอดเงินในบัญชีหลักประกันให้ทุกสิ้นวัน แม้ว่าจะยังถือสัญญาไว้ก็ตาม โดยในการ ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนจะต้องวางเงินหลักประกันขั้นต้น ( Initial Margin) ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย และเมื่อซื้อหรือขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ไปแล้ว ทุกสิ้นวันโบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของผู้ลงทุน โดยจะคำนวณว่าในวันนั้นๆ ผู้ลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร และจะนำยอดกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น มารวมกับเงินในบัญชีของผู้ลงทุน เช่น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะได้รับโอนเงินส่วนกำไรจากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนเข้ามารวมในบัญชีหลักประกัน โดยในทางกลับกัน หากผู้ลงทุนขาดทุน ก็จะถูกโอนเงินส่วนขาดทุนออกจากบัญชีหลักประกันไปให้คู่สัญญาฝ่ายที่ได้กำไรเช่นกัน

ในกรณีที่ผู้ลงทุนขาดทุนจนทำให้เงินในบัญชีที่วางไว้ลดลงจนต่ำกว่าระดับหลักประกันที่โบรกเกอร์กำหนด หรือที่เรียกว่า หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) โบรกเกอร์ก็จะเรียกให้ผู้ลงทุนนำเงินมาวางเพิ่มเติม (Margin Call) ให้ระดับเงินในบัญชีกลับไปอยู่ที่ระดับหลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง การคำนวณกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันนี้ เรียกว่า Mark to Market ซึ่งเป็น กลไกสำคัญที่ช่วยผู้ลงทุนในการติดตามสถานะการซื้อขายของตน หากเกิดภาวะขาดทุน ก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างทันท่วงที


ตัวอย่างการซื้อขาย

หากปัจจุบันคือวันที่ 1 มีนาคม 2552 ราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบในปัจจุบันอยู่ที่บาทละ 14,000 บาท นาย A คาดว่าอีก 2 เดือนข้างหน้า ราคาทองจะปรับขึ้นเป็น 14,500 บาท จึงเข้าไปตรวจสอบราคาโกลด์ฟิวเจอร์สและพบว่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ครบกำหนดปลายเดือนเมษายน 2552 พบว่าซื้อขายอยู่ที่ 14,300 บาท

ในมุมมองของนาย A คิดว่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงตัดสินใจซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สครบกำหนดเดือนเมษายน ที่ราคา 14,300 บาท สมมติให้โบรกเกอร์กำหนดระดับหลักประกันขั้นต้นที่ 50,000 บาทต่อสัญญา และหลักประกันรักษาสภาพที่ 35,000 บาทต่อสัญญา (ในทางปฏิบัติระดับเงิน ประกันจะเปลี่ยนแปลงไปตามความผันผวน ของภาวะตลาด)

อ้างอิงจาก:
+ วันที่ 1 มี.ค.

ในวันที่ 1 นาย A ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่ 14,300 บาท จำนวน 1 สัญญา พอสิ้นวัน โบรกเกอร์คำนวณกำไรขาดทุนในบัญชีของนาย A โดยใช้ราคาที่ใช้ชำระราคา (Settlement Price ) ซึ่งสำนักหักบัญชีจะประกาศให้ทราบทุกสิ้นวัน เท่ากับ 14,380 บาท นาย A จึงได้กำไรคิดเป็นเงิน 4,000 บาท (14,380 - 14,300 ) x 50 (โกลด์ฟิวเจอร์ส 1 สัญญา มีมูลค่าเท่ากับทองคำน้ำหนัก 50 บาท) ดังนั้น โบรกเกอร์ก็จะโอนเงินกำไรนี้เข้าบัญชีของนาย A

ทำให้ยอดเงินในบัญชี ของนาย A เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 + 4,000 = 54,000 บาท


อ้างอิงจาก:
+ วันที่ 2 มี.ค.

ในวันที่ 2 ราคา ณ สิ้นวัน เท่ากับ 14,100 บาท นาย A จึงขาดทุน ( 14,100 – 14 ,380) x 50 = -14,000 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โบรกเกอร์จึง โอนเงินออกจากบัญชีของนาย A

ทำให้เงินประกันของนาย A ลดลงเหลือ 54,000 - 14,000 บาท = 40,000 บาท


อ้างอิงจาก:
+ วันที่ 3 มี.ค.

ในวันที่ 3 ราคา ณ สิ้นวัน เท่ากับ 13,940 บาท นาย A จึงขาดทุน (13,940 – 14,100) x 50 = - 8,000 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โบรกเกอร์จึงโอนเงินออกจากบัญชีของนาย A

ทำให้เงินประกันของนาย A ลดลงเหลือ 40,000 - 8,000 = 32,000 บาท

ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพ ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ (ที่ระดับ35,000 บาท) นาย A จึงต้องนำเงินไปวางในบัญชีเพิ่มให้เงินกลับไปที่ระดับ หลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง ( ที่ระดับ 50,000 บาท)

ดังนั้น นาย A ต้องวางเงินเพิ่ม 50,000 – 32,000 = 18,000 บาท


อ้างอิงจาก:
+ วันที่ 4 มี.ค.

นาย A นำเงินไปวางในบัญชีเพิ่มเติม 18,000 บาท และพอสิ้นวัน ราคาที่ใช้ชำระราคาเท่ากับ 14,100 ทำให้ นาย A ได้กำไร (14,100 - 13,940 ) x 50 = 8,000 บาท

ทำให้ยอดเงินในบัญชีของนาย A เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 + 8,000 = 58,000 บาท


อ้างอิงจาก:
+ วันที่ 5 มี.ค.

นาย A มีความคาดการณ์เปลี่ยนไป และต้องการปิดสถานะของสัญญา จึงส่งคำสั่งขายโกลด์ฟิวเจอร์สที่ราคา 14,200 บาท นาย A จึงได้กำไรเพิ่มขึ้นจาก วันก่อนหน้า (14,200 - 14,100) x 50 = 5,000 บาท และได้เงินคืนรวมทั้งหมด 58,000 + 5,000 = 63,000 บาท

กำไร / ขาดทุนที่เกิดขึ้น

จากตัวอย่างข้างต้น นาย A ขาดทุนทั้งสิ้น = ราคาขาย - ราคาซื้อ
= (14,200 - 14,300) x 50
= - 5,000 บาท


จะเห็นว่ามีค่าเท่ากับเงินกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการ Mark to Market ในแต่ละวัน คือ 4,000 - 14,000 - 8,000 + 8,000 + 5,000 = - 5,000 (สำหรับเงินจำนวน 18,000 บาท ที่ นาย A ถูกเรียกมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม ไม่ใช่เงินส่วนกำไรขาดทุน จึงไม่นำมารวม) ดังนั้นการปรับกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันเป็นเสมือน กระบวนการที่นำกำไรขาดทุนทั้งก้อนมาแบ่งทยอยรับ ทยอยจ่ายในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสติดตามสถานะและประเมินผลกำไรขาดทุนของตนที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ในกรณีที่ นาย A ไม่ต้องการปิดสถานะก่อนสัญญาครบกำหนดอายุ นาย A สามารถถือสัญญาไปจนสัญญาหมดอายุลง ซึ่งโบรกเกอร์ก็จะคำนวณกำไร ขาดทุนให้ นาย A ทุกวัน จนเมื่อถึงวันครบอายุสัญญา สัญญาก็จะปิดโดยอัตโนมัติ

อ้างอิงจาก:
นาย A จะได้กำไรขาดทุน = (ราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย - ราคาที่ซื้อไว้) x 50

โดย นาย A ก็จะได้รับเงินที่วางไว้กับโบรกเกอร์คืนทั้งก้อน

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1021 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1021)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:40:50 am
รายละเอียดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

ที่มา : TFEX

ลักษณะของสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

Gold Futures เปิดซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 โดยมีลักษณะของสัญญาสรุปได้ดังนี้

+ สินค้าอ้างอิง
ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5%

+ ขนาดของสัญญา
1 สัญญามีขนาดเท่ากับ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท
หรือ 762.2 กรัม (ทองคำน้ำหนัก 1 บาท = 15.244 กรัม)

+ เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
เดือนคู่ (กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน สิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม) ใกล้ที่สุด 3 ลำดับ

+ ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำ
10 บาท ต่อ 1 สัญญา

+ ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน
ไม่เกิน + 20 % ของราคาที่ใช้ชำระราคาในวันทำการก่อนหน้า

+ เวลาซื้อขาย
Pre-open: 9.15 - 9.45
Morning session: 9.45 - 12.30
Pre-open: 14.00 - 14.30
Afternoon session: 14.30 - 16.55

+ การจำกัดฐานะ
ตลาดอนุพันธ์อาจประกาศกำหนดจำนวนการถือครองสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงสุดได้ตามที่เห็นสมควร

+ วันซื้อขายวันสุดท้าย
วันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ โดยในวันนั้น สัญญาที่จะหมดอายุจะซื้อขายได้ถึงเวลา 16.30 น.

+ ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายวันสุดท้าย
ใช้ราคา London Gold AM Fixing เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณ Final Settlement Price โดยการคำนวณจะปรับอัตราแลกเปลี่ยน น้ำหนักและความบริสุทธิ์ของทองคำตามสูตรการคำนวณ ดังนี้

อ้างอิงจาก:
ราคาต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท =
London Gold AM Fixing x (15.244/31.1035) x (0.965/0.995) x (THB/USD)

อ้างอิงจาก:
โดยที่

- London Gold AM Fixing เป็นราคาต่อ 1 troy ounce ของทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากับ 31.1035 กรัม โดยสามารถตรวจสอบราคาได้จาก http://www.lbma.org.uk/stats/goldfixg (http://www.lbma.org.uk/stats/goldfixg)

- ทองคำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

- 0.965 คือ ตัวแปรที่ใช้ปรับค่าความบริสุทธิ์ของทองคำให้เป็น 96.5%

- อัตราแลกเปลี่ยน (THB/USD) เป็นอัตรา Thai Baht PM Fixing โดยคำนวณมาจากค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในชมรม ACI Thailand โดยสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้จาก Reuters หน้า <THBFIXP=> และตลาดอนุพันธ์ก็จะมีการประกาศอัตราที่ใช้คำนวณเหล่านี้ทุก ๆ วันซื้อขายวันสุดท้ายของ Gold Futures ใน เว็บไซต์ TFEX อีกด้วย


+ วิธีการส่งมอบ / ชำระราคา
ชำระราคาเป็นเงินสด

+ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและชำระราคา
ไม่เกินกว่า 50 บาท ต่อสัญญา โดยเรียกเก็บจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

+ ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขาย
ตลาดอนุพันธ์ไม่มีข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมนายหน้าการซื้อขาย อัตราค่าธรรมเนียมสามารถต่อรองได้เสรี

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1174 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1174)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:41:58 am
ที่มา : Money Channel

:04 สูตรคำนวณราคาอ้างอิง Gold Futures

สำหรับราคาที่ใช้อ้างอิงในการซื้อขาย Gold Futures จะไม่ได้อ้างอิงจากราคาของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย แต่จะอ้างอิงกับราคาทองคำในตลาดโลก ความบริสุทธิ์ 99.5% ต่อน้ำหนัก 1 ทรอยเอานซ์ และคิดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น สัญญาซื้อขาย Gold Futures ของไทยจะแทนน้ำหนักทองคำ 50 บาททองคำ ที่ความบริสุทธิ์ 96.5% และคิดราคาเป็นเงินบาท จึงต้องใช้สูตรคำนวณ เพื่อให้ได้ราคาอ้างอิงในการซื้อขาย Gold Futures ดังนี้

อ้างอิงจาก:
ราคาทองคำต่อน้ำหนัก 1 บาท =

World Spot Gold x 15.244 x 0.965 x (อัตราแลกเปลี่ยน THB/USD) / 31.1035 x 0.995


ดังนั้นเมื่อราคา Gold Spot ในตลาดโลกเปลี่ยน ราคาของ Gold Futures ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดย Demand และ Supply ก็จะมีผลต่อราคาของ Gold Futures ด้วยเช่นกัน


:04 การวางหลักประกัน Gold Futures

ผู้ที่เปิดบัญชีซื้อขาย Gold Futures วางหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin: IM) ด้วยเงินสดในจำนวนอย่างน้อย 66,500 บาท ต่อ 1 สัญญา ซึ่งหากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ นักลงทุนก็จะต้องมีหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin: MM) 70% ของหลักประกันขั้นต้นหรือคิดเป็น 46,550 บาทต่อสัญญา ส่วนหลักปรันระดับบังคับปิดสถานะ (Force Close Level: FC) อยู่ที่ 19,950 บาทต่อสัญญา หรือคิดเป็น 30% ของหลักประกันขั้นต้น

จะเห็นได้ว่า หากนักลงทุนวางหลักประกันไว้พอดี แล้วการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ คือขาดทุนมาก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง ในภาวะที่ราคาทองคำผันผวนและแกว่งตัวอย่างมากในขณะนี้ นักลงทุนก็จะต้องถูกเรียกให้ใส่เงินประกันเพิ่มโดยเร็ว ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จึงแนะนำให้บริหารหลักประกันให้เหมาะสม โดยอาจวางหลักประกันเผื่อเอาไว้ก่อน


:04 ค่าคอมมิชชั่น Gold Futures

ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย Gold Futures จะต่ำกว่าการซื้อขายทองคำแท่ง โดยมีวิธีคิดแบบ Sliding Scale คือยิ่งซื้อขายมาก ค่าคอมมิชชั่นในสัญญาที่มากขึ้นจะยิ่งถูกลง โดย ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) ได้จัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษตั้งแต่ 2 ก.พ. 52 – 31 ก.ค. 52

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=1798;image)

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1140 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1140)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:43:50 am
ศัพท์เทคนิคเพื่อใช้ในการดูกราฟเทคนิคราคาทองคำ
http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=7 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=7)


เว็บดูกราฟเทคนิค


http://stockcharts.com/h-sc/ui?s= (http://stockcharts.com/h-sc/ui?s=)$GOL...id=p61793903230

http://new.quote.com/forex/chart.action?ch...erlay=&x=38&y=6 (http://new.quote.com/forex/chart.action?ch...erlay=&x=38&y=6)



รูปแบบกราฟเทคนิคที่สำคัญในการเปลี่ยนเทรนด์


http://stockcharts.com/school/doku.php?id=...:chart_patterns (http://stockcharts.com/school/doku.php?id=...:chart_patterns)

--------------------------------------------



คำอธิบายศัพท์เทคนิคแบบภาษาไทย


แผนภูมิแท่ง (Bar Chart)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-2.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-2.htm)


เทคนิคการวิเคราะห์แบบแท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlestick)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-4.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-4.htm)


เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-5.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-5.htm)


ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง/แยกทาง (Moving Average Convergence / Divergence หรือ MACD)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-14.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-14.htm)


ปริมาณการซื้อขาย (Volume)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-8.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-8.htm)


สโตแคสติก (Stochastic)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-10.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-10.htm)


โมเมนตั้ม (Momentum)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-11.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-11.htm)


เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (Relative Strength Index หรือ RSI)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-12.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-12.htm)


เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-16.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-16.htm)


ฟิบอนนาซี (Fibonacci)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-17.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-17.htm)


โบลินเจอร์ แบนด์ (Bollinger Bands)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-6.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-6.htm)


เครื่องมือพาราโบลิก (Parabolic)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-7.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-7.htm)


ดัชนีการแกว่งตัว (Oscillator)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-9.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-9.htm)


เส้นหุ้นบวก / ลบสะสม (Advance / Decline Line)

http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-15.htm (http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib/irs.../irsta01-15.htm)


--------------------------------------------



คำอธิบายศัพท์เทคนิคแบบภาษาอังกฤษ


Chart Analysis

http://stockcharts.com/education/ChartAnalysis/index.html (http://stockcharts.com/education/ChartAnalysis/index.html)


Technical Indicators and Overlays

http://stockcharts.com/education/Indicator...ysis/index.html (http://stockcharts.com/education/Indicator...ysis/index.html)


Market Analysis

http://stockcharts.com/education/MarketAnalysis/index.html (http://stockcharts.com/education/MarketAnalysis/index.html)[/color]



ที่มา :
http://www.stockcharts.com (http://www.stockcharts.com)
http://www.taladhoon.com (http://www.taladhoon.com)
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:47:03 am
ทองปิดพุ่ง 20.3 ดอลล์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 20 ดอลลาร์ คาดการณ์เฟดใช้ QE3

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 20 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (12 เม.ย.) เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) หลังจากตัวเลขว่างงานของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้ว

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 20.3 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 1,680.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำทะยานขึ้นเนื่องจากนักลงทุนให้น้ำหนักกับกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะใช้มาตรการ QE3 เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฟื้นตัวตลาดแรงงาน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 เม.ย. เพิ่มขึ้น 13,000 ราย มาอยู่ที่ 380,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2555

ข้อมูลดังกล่าวได้เพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่ในสัปดาห์ที่แล้ว ทางกระทรวงเพิ่งเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนมี.ค.ที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด
http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148253/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87-20-3-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C (http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148253/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87-20-3-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C)
.

เงินบาทปิด 30.80/82 แข็งค่าก่อนหยุดยาว ส่วนสัปดาห์หน้ารอดูตัวเลขศก.จีน

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 30.80/82 บาท/ดอลลาร์ จากตอนเปิดตลาดเมื่อช่วงเช้าที่ระดับ 30.84/86 บาท/ดอลลาร์ โดยวันนี้ค่าเงินบาททดสอบระดับต่ำสุดที่ระดับ 30.76/78 บาท/ดอลลาร์ และทดสอบระดับสูงสุดที่ 30.84/86 บาท/ดอลลาร์
       
"ในภาพรวมของวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในลักษณะแข็งค่า แต่ก็มีสวิงกลับขึ้นมาบ้างเล็กน้อย" นักบริหารเงิน กล่าว
         
ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงเย็นวันนี้ ค่าเงินเยนอยู่ที่ระดับ 81.04/06 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 81.00/03 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1.3117/3118 ดอลลาร์/ยูโร จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.3112/3116 ดอลลาร์/ยูโร
         
ทั้งนี้ ประเมินว่าเนื่องจากตลาดบ้านเราจะหยุดทำการถึง 4 วัน และในช่วงที่หยุดจะมีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของจีนออกมา ดังนั้น ประเมินมองกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ 30.70-31.10 บาท/ดอลลาร์
http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148228/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-30-80-82-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C (http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148228/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-30-80-82-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C)
.

หุ้น12 เม.ย.ปิดบวก 14.96 จุด
ดัชนีปิดที่ 1,169 จุด เพิ่มขึ้น 14.96 จุด หรือ 1.30 % มูลค่าการซื้อขาย 20,545 ล้านบาท

วันนี้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดวัน ซึ้งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค  ที่ได้อานิงสงส์ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัว

หลักทรัพยที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับคือ
KBANK ปิดที่154 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,229 ล้านบาท
IVL ปิดที่33.50 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย1,191  ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 168 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท มูลค่าซื้อขาย 984  ล้านบาท
BANPU. ปิดที่. 572 บาท ลดลง 6 บาท มูลค่าซื้อขาย 825  ล้านบาท
PTTGC ปิดที่ 67 บาท  เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 771  ล้านบาท
http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148227/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%9912-%E0%B9%80%E0%B8%A1-%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%81-14-96-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94 (http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/148227/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%9912-%E0%B9%80%E0%B8%A1-%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%81-14-96-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94)
.

http://www.posttoday.com/ (http://www.posttoday.com/)
.
หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:52:03 am
เอาชนะเงินเฟ้อได้ไม่ยาก...หากฉลาดลงทุน

      เมื่อผลตอบแทนที่แท้จริงของการลงทุน "ติดลบ" จากผลกระทบของ "เงินเฟ้อ" ที่นับวันจะยิ่งปรับตัว
สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเรืองที่ทุกคนต้องเร่งหาทางรับมือในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ผู้ลงทุน
หลายท่านจึงเริ่มมองหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพื่อเพิ่มค่าให้กับเงินในกระเป๋า
ของตัวเอง ก.ล.ต. จึงขอรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุนในยุคเงินเฟ้อ เพื่อให้ท่าน
ได้มีความรู้และเตรียมความพร้อมในยุคเงินเฟ้อนี้กันค่ะ

http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1202201015372928.pdf (http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1202201015372928.pdf)

http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=232 (http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=232)

หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:53:21 am
คู่มือ RMF & LTF แฝดคู่สวยช่วยประหยัดภาษี

     

  กองทุนรวมประหยัดภาษีคืออะไร แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปอย่างไร มีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์
 ทางภาษีอย่างไร แล้วเหมาะกับใคร ทำไมเราต้องลงทุน….? พบหลากหลายคำตอบที่ผู้ลงทุนควรรู้
 เกี่ยวกับกองทุนรวม RMF & LTF ได้เพียงคลิก

 * เอกสารฉบับนี้จัดพิมพ์ตั้งแต่ สิงหาคม 2549 จึงอาจมีเนื้อหาบางส่วนที่ยังไม่ได้ปรับปรุงเป็นปัจจุบัน
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ SEC Help Center โทร 0-2263-6000

http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1602201010330039.pdf (http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1602201010330039.pdf)

http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=471 (http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=471)

.

หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 11:54:45 am
ทำอย่างไรจึงมีเงินใช้หลังเกษียณ?

      หากท่านมีชีวิตหลังเกษียณถึง 15 ปี หรือ 20 ปี หรือมากกว่านั้น ลองคิดดูว่าท่านจะต้องมีเงินจำนวนเท่าไร
 จึงจะเพียงพอกับค่าครองชีพที่สูงตามเงินเฟ้อ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลก้อนโตที่จะตามมาเมื่อท่านอายุ
 มากขึ้น มาพบกับ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” อีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยวางแผนการออมเพื่อการเกษียณอายุ
 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ที่นี่

http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1202201016040037.pdf (http://capital.sec.or.th/webedu/upload/file-1202201016040037.pdf)

http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=472 (http://www.sec.or.th/webedu/content.html?menu_id=472)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 09:17:35 am
.

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2046099&d=1336876519)

เดลินิวส์
13-5-2555
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2012, 10:48:44 pm
อันดับร่วง! ไทยอันดับ 30 ขีดการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก
-http://hilight.kapook.com/view/72010-

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2075400&d=1338479411)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก genevalunch.com

        ไอเอ็มดีเผยผลจัดอันดับขีดความสามารถแข่งขันปี 55 ไทยร่วงจากอันดับ 27 ปีที่แล้วไปอยู่อันดับที่ 30 พบการปฎิรูปกฎหมายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่คืบ

        วันนี้ (31 พฤษภาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศ (ไอเอ็มดี) แห่งสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ 59 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2555 พบว่า ประเทศไทยหล่นจากอันดับ 27 เมื่อปีที่แล้ว และหล่นจากอันดับที่ 26 ในปี 2553 ลงไปอยู่ที่อันดับที่ 30 ด้วยคะแนนรวม 69.001 คะแนน

        โดยขีดความสามารถการแข่งขันของไทยปรับลดลงทั้งสิ้น 4 ด้านตามที่ใช้ประเมิน ดังนี้

        1. ประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจ ลดลงไปอยู่ที่อันดับ 15 จากอันดับ 10 ในปี 2554
        2. ประสิทธิภาพของรัฐบาล ลดลงไปอยู่ที่อันดับ 26 จากเดิม 23 ในปี 2554
        3. ประสิทธิภาพด้านธุรกิจ ลดลงไปอยู่อันดับ 23 จากอันดับ 19 ในปี 2554
        4. ประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐาน ลดลงไปอยู่ที่อันดับ 49 จากอันดับ 47 ในปี 2554

        ทั้งนี้ ไอเอ็มดี ชี้ว่า ในปี 2555 นี้ไทยเผชิญปัญหาท้าทายหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่การปฎิรูปกฎหมายกับกฎระเบียบ อีกทั้งต้องสนับสนุนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความคืบหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ล่าช้า ประเทศพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยี การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กลไกเพื่อการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีนโยบายทำการประชาสัมพันธ์การรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาคอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลสำเร็จ และทำแผนลดความวุ่นวายไม่สงบในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ให้เกิดผลสำเร็จ พร้อมสร้างศักยภาพให้เข้มแข็งขึ้นในการแก้ปัญหาคอรัปชั่น ด้วยปัญหามากมายเหล่านี้ อาจทำให้ประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ของไทยลดลง จนเป็นเหตุให้ขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ตกลงไปจนทำให้อันดับตกดังกล่าว



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20120531/454517/%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B9%E0%B8%9A!%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A30%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%8159%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8.html-

-http://hilight.kapook.com/view/72010-

.


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 20, 2012, 11:25:33 am
ทำอย่างไรไม่ให้สำลักข่าว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
20 มิถุนายน 2555 10:04 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000075381-

คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
       โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
       
       ท่ามกลางข่าวสารเข้ามาท่วมหัวอย่างนี้ เราจะลงทุนหรือไม่ลงทุนอย่างไรดี เพราะหลายคนคงกำลังสับสนกับข่าวสารและความเสี่ยงในโลก ในไทย ที่อาจมีต่อการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อโลกใกล้ตัวมากขึ้นเป็นรายวินาที เราก็ได้รับข่าวสารจากทุกมุมโลกแล้ว และเปลี่ยนได้รวดเร็ว
       
       จะทำอย่างไรไม่ให้สำลักข่าว (เรียงตามลำดับ)
       
       1.ย่อยข่าวก่อน ข่าวอะไรไกล-ใกล้ตัว อะไรเป็นข่าว อะไรเป็นวิเคราะห์
       
       2.ดูตนเองว่าเงินเราส่วนไหนลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว
       
       3.จัดลำดับน้ำหนักข่าวที่จะมีต่อการลงทุน ข่าวอะไรช่วงนี้เชื่อถือได้ วิเคราะห์ความเป็นไปได้และผลกระทบต่อการลงทุนของเราในระยะสั้น กลาง ยาว แล้วค่อยปรับพอร์ตสั้นหากมีผล ส่วนพอร์ตกลางก็แล้วแต่กรณี สำหรับพอร์ตยาวน้อยครั้งที่ข่าวรายวันจะกระทบ
       
       4.สรุปแนวโน้มภาพยาวๆ ที่วิเคราะห์และมองว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเป็นเช่นนั้นแปะข้างฝาไว้ ใกล้ๆ รายการ Asset Allocation หรือเป้าหมายการจัดน้ำหนักลงทุนระยะยาวที่เรากำหนด ที่ให้แปะไว้ก็เพื่อ จะได้ไม่ลืมเป้าหมายการลงทุนของเราในระยะยาวไกล และไม่ลืมมุมมองภาพกว้างในระยะยาว
       
       มุมมองเศรษฐกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุนภาพกว้างระยะยาวนี้ มักไม่เปลี่ยนไว ยกเว้นมีปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักกระทบแรงมาทำให้ภาพวิเคราะห์เปลี่ยน หากมีก็เปลี่ยนที่แปะไว้ เอาอันใหม่ขึ้นไปแปะแทน
       
       อ่านดูแล้วหล่ายคนคงว่าเชยมาก แปะข้างฝา อ้าว ก็จะได้เห็นง่ายๆ ไง แต่ความจริงจะแปะที่ไหนก็ได้ ที่ทำให้เราเห็นบ่อยๆ อย่าไปแปะบนหน้าผากตนเองก็แล้วกัน เพราะส่องกระจกอ่านก็ต้องกลับด้าน
       
       5.อย่าลืม Rebalancing หรือปรับสมดุลย์พอร์ตลงทุน กรณีที่เวลาผ่านไปแล้วทำให้สัดส่วนลงทุนเปลี่ยนไป เช่นเดิมตั้งเป้าจะมีหุ้น 40% พันธบัตร 50% ทองคำ 10% หากผ่านไปแล้วหุ้นกลายเป็น 35% พันธบัตร/ตราสารหนี้ กลายเป็น 60% ทองคำกลายเป็น 5% ก็ให้เพิ่มสัดส่วนหุ้นกับทองคำให้เท่าเป้าหมายเก่า จะโดยเพิ่มเงินใหม่ลงไปหริอขายพันธบัตร/ตราสารหนี้ออกไปก็แล้วแต่
       
       6.ทำตนให้ชินกับข่าวสาร อย่าตื่นตูม และอย่าวิ่งแตกตื่นสนองตอบข่าวระยะสั้นๆ ด้วยการแห่ทำตามคนอื่น ไม่ว่าด้านซื้อหรือขาย โดยเฉพาะสำหรับพอร์ตระยะยาว หากเป็นพอร์ตระยะสั้นๆ ก็อาจกระทบถ้าสนองตอบช้าไป เพราะปัจจัยพื้นฐานมีผลน้อยกว่าพฤติกรรมผู้เล่นในตลาดแม้จะไม่มีเหตุผล ส่วนพอร์ตระยะกลางให้ประเมินผลให้ดีก่อนว่าควรปรับหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าระยะกลางนั้น เราใช้ระยะเวลาเท่าใดกำหนด เพราะบางคนก็บอกว่า 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1-2 ปีเป็นระยะกลาง
       
       เมื่อไม่มั่นใจ สติแตก กลับมาอ่านใหม่ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 6
       
       หากอ่านทวนแล้วก็ยังสติแตกก็มี 2 ทางเลือกคือ เลิกอ่านข่าว หรือไม่งั้นก็ล้างพอร์ต กอดเงินสดไว้ แล้วปิดไฟ เข้านอน
       
       สรุป ถ้าเรามีสติกำกับ โอกาสชนะมีสูง ขอให้ปัญญา สติดี และโชคดี ในการลงทุนค่ะ
       
       ปัญญาดี ไม่มีสติกำกับ ก็ไม่มีประโยชน์
       
       สติปัญญาดี บางทีก็ต้องมีโชคช่วยบ้างนิดหน่อย

 .
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 07:57:08 am
.
เริ่มต้นออม ‘ทองคำ’ ทำอย่างไร?
-http://www.dailynews.co.th/article/825/148655-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/148655.jpg)
ทองคำ นับเป็นทรัพย์สินเพิ่มค่าที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเมื่อคิดจะเก็บออม นั่นเพราะทองคำเป็นวัตถุที่ผันเป็นเงินได้และมูลค่าจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป





ทองคำ นับเป็นทรัพย์สินเพิ่มค่าที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเมื่อคิดจะเก็บออม นั่นเพราะทองคำเป็นวัตถุที่ผันเป็นเงินได้และมูลค่าจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เท่ากับว่า ทองคำเป็นทรัพย์สินเพิ่มค่าที่ต้องใช้เวลา โดยจุดคุ้มทุนอยู่ปีที่ 5 ของการเก็บออม แต่ถ้าเก็บออมได้นานถึง 15 ปี จะได้กำไรคืนถึง 500% ทีเดียว แต่ในแง่การลงทุนนับว่ามีความเสี่ยงพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าภายใน 15 ปีนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ก่อนถึงเวลานั้น เรามาทำความรู้จักกับประเภทการลงทุนทองคำที่น่าจะเหมาะกับมือใหม่หัดลงทุน มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ลงทุนทองคำแท่ง (Gold Bars), โปรแกรมออมทอง (Gold Saving Program) และ โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures)

การลงทุนในทองคำแท่ง ดูเหมือนจะเข้าใจง่ายที่สุด เพราะมีทองคำอยู่ในมือ มีข้อดีที่ซื้อง่ายขายคล่อง แต่ข้อเสียคือเงินลงทุนสูง เริ่มต้นที่ประมาณ 1 แสนบาท โดยทั่วไปทองคำแท่งมีให้เลือก 2 แบบคือ ทองคำบริสุทธิ์ 99.99% นิยมลงทุนกันมากในต่างประเทศ และ 96.5% นิยมลงทุนกันมาในเมืองไทย น้ำหนักทองคำมีตั้งแต่ 5 บาท 10 บาท 20 บาท และ 50 บาท ส่วนทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักเริ่มต้นที่ 100 กรัม 10 บาท 20 บาท และ 1 กิโลกรัม สนใจลงทุนติดต่อร้านทองทั่วไป หรือบริษัทผู้ค้าทองคำ

โปรแกรมออมทอง เป็นอีกทางเลือกของนักลงทุนมือใหม่ ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการสั่งซื้อหรือการกะจังหวะเข้าซื้อทองคำ เพราะทางบริษัทผู้ค้าทองจะดำเนินการทุกอย่างให้ หรือเข้าใจง่ายๆว่า การออมทองกับร้านทองทั่วไปหรือบริษัทผู้ค้าทองคำก็เหมือนกับการฝากเงินไว้ในธนาคาร แต่ต่างกันตรงที่ทรัพย์สินของเราเป็นทองคำไม่ใช่เงินสด ข้อดีของการลงทุนประเภทนี้คือ สภาพคล่องสูง มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น และสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ ซึ่งโปรแกรมออมทองลักษณะนี้ส่วนใหญ่มีเฉพาะร้านทองขนาดใหญ่ ลองเข้าไปสอบถามข้อมูลกันดู

ตัวอย่างรายละเอียดการลงทุนของบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  ระบุว่า หลังจากผู้ลงทุนเลือกจำนวนเงินลงทุนและประเภททองที่ต้องการลงทุน อันได้แก่ ทองคำ 96.5% หรือ 99.99% บริษัทจะดำเนินการตัดเงินจากบัญชีธนาคารของลูกค้าเวลา 11.00 น. ของวันทำการที่ 1 ของเดือน และดำเนินการซื้อทองคำในวันทำการที่ 2 ของเดือน ตลอดระยะเวลาการลงทุนตามสัญญา โดยบริษัทจะใช้ราคาสมาคมค้าทองคำ ณ เวลา 16.30 น. สำหรับทองคำแท่ง 96.5% และราคา LONDON GOLD AM Fixing สำหรับทองคำแท่ง 99.99% บริษัทจะดำเนินการบันทึกปริมาณทองคำที่ลูกค้าได้รับ พร้อมจัดส่งใบยืนยันการซื้อทองคำทางอีเมลที่แจ้งไว้ภายในวันทำการที่ 4 ของเดือน ลูกค้าสามารถสั่งขายทองคำในบัญชี หรือขอรับทองคำแท่งที่ได้ออมครบ 10 บาท สำหรับทองคำแท่ง 96.5% และ 1 กิโลกรัมสำหรับทองคำแท่ง 99.99% เมื่อต้องการ โดยหากต้องการรับทองคำแท่งผู้ลงทุนจะต้องแจ้งก่อนอย่างน้อย 2 วันทำการ

โกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นการลงทุนในทองคำแท่งที่ไม่มีการใช้ทองจริงแต่อย่างใด เรียกอย่างเป็นทางการว่า สัญญาซื้อขายทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% เป็นสินค้าอ้างอิง มีข้อดีคือผู้ลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง อีกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอำนาจในการกำหนดราคาเองได้ แถมใช้เงินลงทุนต่ำ เนื่องจากผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนในการซื้อขาย แต่เปลี่ยนเป็นวางเงินค้ำประกัน 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญา ดังนั้น หากผู้ลงทุนได้กำไรก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกลับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นสิ่งที่ควรติดตาม นอกจากนี้ โกลด์ฟิวเจอร์สมีอายุจำกัด หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญาก็จะมีการปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อหรือขายฟิวเจอร์สไว้ และราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย อย่างไรก็ตาม โกลด์ฟิวเจอร์สเป็นการลงทุนที่มีความซับซ้อน ผู้ลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และอย่าลืมเรื่องระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ แล้วเจอกันใหม่

นายประตู
.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 09:57:20 am
สมาคมฯ เดินหน้ากวาดล้างแก๊งทองปลอม เตรียมชง ปปง. ยึดทรัพย์
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73-

(http://www.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0017.jpg)

(http://www.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0019.jpg)

หลังจากที่เกิดปัญหากลุ่มมิจฉาชีพได้นำทองปลอมไปหลอกขายตามร้านค้าทองต่างๆทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจการค้าทองคำของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้ประกอบการและผู้ผลิตซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมค้าทองคำได้เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวและพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องแต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป
 
จนกระทั่งได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาทองปลอม พร้อมระดมเงินจากร้านผู้ผลิต ในการจัดตั้ง “กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม” เพื่อดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการเข้าจับกุมทลายแหล่งผลิตทองปลอม โดยสมาคมค้าทองคำ ร่วมกับตำรวจนครบาล เข้าจับกุมโรงงานผลิตทองปลอม ภายในทาวน์เฮ้าส์เลขที่ 69/16 ซอยจรัญวิลล่า 13 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ ที่ดัดแปลงเป็นโรงงานทำทองรูปพรรณ มีโต๊ะสำหรับประกอบทอง 9 ตัว อุปกรณ์หลอมทอง และตราสัญลักษณ์ร้านทองในสมาคมค้าทองคำที่ถูกดัดแปลงขึ้นมา โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าใช้ทองคำแท้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์หุ้มเงิน ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่รู้ และนำไปฝากขายตามร้านขายทอง ย่านบางลำพู ประชาอุทิศ สะพานควาย และบางกรวย หรือขายฝากตามโรงรับจำนำ เนื่องจากไม่เผาไฟเพื่อตรวจสอบทอง ทำให้ยากต่อการถูกจับกุม ทั้งนี้ ตำรวจเชื่อว่าผู้ต้องหาทำเป็นขบวนการ สำหรับร้านทองที่เคยถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้หลอก สามารถแจ้งความได้ที่ สน.บางเสาธง
   จากการจับกุมดังกล่าว ทำให้ปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดทองปลอมลดน้อยลง แต่ทางสมาคมฯได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทลายแหล่งผลิตหรือการดำเนินการกับผู้ที่นำทองปลอมมาจำหน่ายให้กับร้านค้า ซึ่งล่าสุดได้มีการจับกุมและดำเนินคดีหลายราย โดยนายสมศักดิ์ ตัณฑชน กรรมการสมาคมค้าทองคำ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการแก้ไขปัญหาทองปลอม เปิดเผยว่า ได้มีการจับกุมแก๊งทองปลอมอีก 3 จุด คือที่ อ.ฝาง จ.ลำพูน ที่ จ.เชียงใหม่ และที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งทางสมาคมฯได้ส่งทนายขึ้นไปดำเนินการอย่างถึงที่สุด ซึ่งทั้ง 3 รายส่วนใหญ่พยายามแสดงตัวว่าเป็นชาวบ้านแต่เท่าที่ทราบแก๊งที่ อ.ฝาง น่าจะเป็นแก๊งใหญ่ ส่วนที่ จ.ลำพูน ก็เคยโดนดำเนินคดีมาแล้วหนึ่งครั้งก่อนที่จะมาถูกจับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
   การดำเนินงานของสมาคมฯจากนี้ไป จะเริ่มประสานงานต่ออย่างจริงจัง โดยจะไปเข้าพบกับทางตำรวจเพื่อดูหน่วยงานที่จะเข้ามาประสานงานเรื่องของการกวาดล้างจับกุม จากนั้นจะเข้าไปพูดคุยกับสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องของทนายที่จะเข้ามาฟ้องร้องคดี เนื่องจากในบางคดีอยู่ในพื้นที่ห่างไกล กว่าที่ทนายจากส่วนกลางจะไปถึงก็อาจจะไม่ทันการณ์ จึงอาจจะต้องใช้ทนายในพื้นที่เข้าดำเนินการ
นายสมศักดิ์ได้กล่าวถึงปัญหาในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นว่า ประการแรกคือ ผู้ผลิตไม่ยอมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งสมาคมฯ อยากให้ร้านค้าไปจดทะเบียนไว้ เพราะถือเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้าไปเอาผิดกับกลุ่มมิจฉาชีพ เพราะโทษในการละเมิดเครื่องหมายการค้าสูงมาก และประการที่สอง ร้านค้า ยอมความกัน ไม่พยายามฟ้องร้องให้สำเร็จ เพราะกลัวเสียเวลา แต่ขณะนี้ตำรวจได้ยกให้คดีเกี่ยวกับทองคำเป็นคดีพิเศษ ทางสถานีตำรวจแต่ละที่ก็อำนวยความสะดวก ทำงานง่ายขึ้น ไม่ต้องรอเป็นวัน ๆ
   ส่วนการกวาดล้างแหล่งผลิตนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ไม่อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อจับกุมได้ก็จะไม่มีการซัดทอดไปถึงบุคคลอื่น พยายามที่จะให้คดียุติโดยเร็ว ทำให้ยากต่อการขยายผล
สำหรับเทคนิคของกลุ่มมิจฉาชีพที่นำมาใช้ นอกเหนือจากเรื่องของการยัดไส้เงิน ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อีกเทคนิคที่นิยมกันก็คือ เอาของจริงมาพยายามจะขายหรือขายฝาก เมื่อร้านทองตรวจเช็กเสร็จก็จะขอราคาสูง แต่ไม่สามารถทำได้จึงขอทองคืน จากนั้นก็พยายามหาเรื่องพูดคุยเพื่อเปลี่ยนเป็นของปลอม ก่อนที่จะเจรจาเรื่องราคาอีกรอบและตกลงซื้อขาย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีสมาธิตลอดเวลา เพราะกลุ่มมิจฉาชีพจะสังเกตตลอด หากร้านค้าเริ่มคล้อยตามก็จะลงมือทันที
“การแก้ปัญหา ร้านค้าจะต้องยอมเสียสละเวลาในการประสานกับสมาคมฯเพื่อส่งทนายเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้กลุ่มมิจฉาชีพเกิดความหวาดกลัว และตัดวงจรในส่วนนี้ไป ซึ่งทางสมาคมฯก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องของการป้องกัน การรวมตัวของผู้ประกอบการในพื้นที่ในการตั้งเป็นชมรมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้ช่วยกันระมัดระวังและมีการแจ้งข่าวสารกันหากเกิดปัญหาเรื่องของทองปลอมระบาดในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งสมาคมฯต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้หมดสิ้น”
 
   ด้านนายสมบูรณ์ ภุชงค์โสภาพันธุ์ กรรมการสมาคมฯ หนึ่งในคณะอนุกรรมการทองปลอม กล่าวว่า ปัญหาเรื่องของทองปลอมมีมานานแล้ว และกลุ่มมิจฉาชีพก็พัฒนารูปแบบการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทองราคาสูง กลุ่มมิจฉาชีพก็จะออกปฏิบัติการมากขึ้น โดยในอดีตอาจจะทำแค่เพียงไปซื้อสร้อยเงินมาชุบทองขาย ตอนหลังมีทองโปร่งยัดไส้ ซึ่งรูปแบบการปลอมแปลงก็จะละเอียดมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อจับได้ก็ไม่สามารถสาวถึงตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้ แต่คดีล่าสุดต้องขอชื่นชมความสามารถของตำรวจที่ติดตามคดีขยายผลจากคดีเล็กมาเป็นคดีใหญ่
อย่างไรก็ตาม มีการหลอกลวงอีกรูปแบบหนึ่งที่อยากให้ร้านทองระมัดระวัง ก็คือการทำทองเปอร์เซ็นต์ต่ำให้สีดูสวย เพราะส่วนมากร้านทองดูหรือว่าไม่มีเงินยัดไส้ภายในก็รับจำนำ แต่ว่าแนะนำให้ฝนกับหินดู ถ้าทองเปอร์เซ็นต์ต่ำลงมันก็จะสีหม่น ๆ ต้องดูที่หิน บางทีเห็นสภาพดี ๆ นึกว่าทอง อย่าไปดูยี่ห้อ แต่อยากให้ดูปฏิกิริยาของคนร้ายด้วย เพราะหากเรารู้จักลูกค้าของเราดี ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลง
“กลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราในฐานะ ที่ดูแลกลุ่มผู้ประกอบการ ก็ต้องหาวิธีการที่จะดำเนินการเมื่อกลุ่มมิจฉาชีพเห็นว่าสมาคมฯ มีการจัดตั้งกองทุน มีทีมงานที่ทำคดีกับคนร้ายก็อาจจะหยุดการดำเนินงาน หรืออาจจะเพลาการทำงานลงไป ที่สำคัญ ทางสมาคมฯกำลังดำเนินการขอให้คดีการปลอมเครื่องหมายการค้า เป็นความผิดที่ต้องถูกยึดทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับทางเลขาฯ ปปง. แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนทางเอกสาร หากการดำเนินงานสำเร็จ เงินที่กลุ่มมิจฉาชีพได้มาจากการหลอกร้านทอง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชนก็มีเหตุอันควรที่จะถูกยึดทรัพย์ได้” นายสมบูรณ์ กล่าว
    นายสมบูรณ์ยังได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของทองปลอมในเมืองไทยว่า มันเหมือนเทคโนโลยีมือถือ แรก ๆ ก็เป็นขั้นพื้นฐาน นำทองชุบซื้อตามตลาดนัดมาขาย ร้านทองก็เริ่มระมัดระวังตัว มีการนำวิธีการต่าง ๆ มาพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาไฟหรือฝนกับหินทองน้ำกรด จากนั้นก็พัฒนาเรื่อยมา ทองตลาดนัดจะเบาเพราะเป็นทองเหลือง เวลาร้านทองที่มีประสบการณ์จับก็จะรู้ทันที คนร้ายก็เริ่มพัฒนาเอาซิลเวอร์ชุบทองเป็นการพัฒนาไปอีกขั้น แต่ร้านทองก็ตรวจสอบได้ จึงพัฒนามาถึงขั้นสอดไส้เข้าไปข้างในทั้งปล้อง พอใส่ในปล้อง ร้านทองก็รู้และสร้อยคอที่มีปล้องต้องระวัง พอระวังตอนหลังคนร้ายก็ไม่ใส่ที่ปล้องและไปปลอมที่เนื้อทองเลย ยุคสุดท้ายที่ระบาดอยู่ ตัวปล้องนี่โปร่งใส แล้วเห็นว่าไม่มีการยัดไส้แต่เนื้อทองทำเปอร์เซ็นต์ต่ำ
 
    ขณะเดียวกันกลุ่มมิจฉาชีพก็มักจะจ้างผู้หญิง เด็ก คนสูงอายุ มาเป็นหน้าม้า เพราะเมื่อถูกจับกุมก็ขอความเห็นใจ และสังคมก็จะมองว่าเป็นคดีคนรวยรังแกคนจน แต่จริง ๆ พวกนี้คือมีอาชีพรับจ้าง เพราะถ้าเช็กจากประวัติคนร้ายก่อคดีมาหลายจังหวัดเป็นอาชีพเค้าเลย จากนี้ไปสมาคมฯ จะทำป้ายเตือน การรับจ้างเอาทองปลอมมาขายให้มีความผิดรับโทษทางกฎหมาย ทางสมาคมฯจะดำเนินคดีสูงสุด เหมือนไปเปิดบัญชีธนาคาร คนไม่รู้เรื่องก็ตกเป็นเหยื่อ หรือว่าพอรู้เรื่องแต่ก็เตือนให้รู้ว่าเอาจริง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประสานงานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ จัดหาทนายให้เมื่อคดีเกิดในจังหวัดไกล ๆ จะได้ไม่ต้องบินจากกรุงเทพฯ พร้อมกันนั้นจะขอความร่วมมือให้ขึ้นแบล็กลิสต์ทนายที่วิ่งคดีให้คนร้าย
 
    นายสมบูรณ์ ยังแนะนำร้านค้าเมื่อมีกลุ่มมิจฉาชีพนำทองปลอมมาจำหน่ายว่า ขั้นแรกต้องแจ้งตำรวจให้มาจับคนร้ายให้ได้ก่อนเอาตัวไปสถานีตำรวจลงบันทึกประจำวัน จากนั้นให้โทร.มายังสมาคมฯ สมาคมฯจะประสานงานหาเจ้าของร้าน เพราะในตัวสร้อยจะมีตรายี่ห้อผู้ผลิต ก่อนที่จะประสานตำรวจพื้นที่ และจัดส่งทนายไปดำเนินการ โดยร้านทองที่ถูกหลอกลวง เซ็นยินยอมให้ดำเนินการแทน ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา และสมาคมฯ ก็สามารถตัดตอนขบวนการแก๊งทองปลอมให้หายไปจากวงการ
 
   อย่างไรก็ตามทางสมาคมฯขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับร้านค้าและประชาชนที่มาซื้อขายทองเกี่ยวกับข่าวการแพร่ระบาดของทองปลอมที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้หลายท่านอาจมีความกังวลว่า ถ้าไปซื้อทองแล้วจะเจอทองปลอมหรือไม่ หลายครั้งที่การเสนอข่าวอาจคลาดเคลื่อนจนทำให้เกิดความสับสน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจร้านทองแบบผิด ๆดังนั้นจึงขออธิบายทำความเข้าใจ ดังนี้
1. ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายผลิตทองปลอมนำมาขายหรือขายฝากกับร้านทองเท่านั้น ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภค
2. เมื่อร้านทองรับซื้อทองเก่าจากลูกค้า ซึ่งอาจเป็นคนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายนั้น ร้านทองจะไม่มีการนำทองเก่าที่รับซื้อจากลูกค้ามาขายซ้ำให้กับลูกค้ารายใหม่ แต่จะนำกลับไปหลอมเพื่อผลิตทองรูปพรรณชิ้นใหม่แทนทั้งหมด
     3. ดังนั้น ลูกค้าผู้บริโภคสามารถสบายใจได้เลยว่า หากท่านไปซื้อทองกับร้านทองใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะร้านเล็กหรือร้านใหญ่ กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เยาวราชหรือรอบนอก ท่านก็จะได้ทองคำแท้อย่างแน่นอน
   สำหรับรายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ ผู้ร่วมก่อตั้ง“กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม” (จากการปลอมแปลงของมิจฉาชีพ นำมาหลอกขายร้านทอง) มีดังนี้ "รายชื่อร้านทองผู้ผลิตที่ร่วมกองทุนฯ"
    หากร้านทองใด พบเห็นการปลอมแปลงสินค้า หรือนำทองรูปพรรณปลอมยี่ห้อผู้ผลิตฯ ตามรายชื่อ(ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนฯ) ด้านล่างนี้ มาขายกับร้านทองของท่านกรุณาแจ้งข้อมูลมายังสมาคมฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2675-8000 ทันที เพื่อร่วมมือร่วมใจกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวร้านทองทั่วประเทศ

ที่มา : คอลัมน์ "เรื่องจากปก"

วารสารทองคำ ฉบับที่ 35 โดยสมาคมค้าทองคำ

-www.goldtraders.or.th-

-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73]http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:01:26 am
รายชื่อผู้ผลิตทองรูปพรรณ ผู้ก่อตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม

ประกาศรายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ
ผู้ร่วมก่อตั้ง "กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม"
(จากการปลอมแปลงของมิจฉาชีพ นำมาหลอกขายร้านทอง)
หากร้านทองใด พบเห็นการปลอมแปลงสินค้า หรือนำทองรูปพรรณปลอมยี่ห้อผู้ผลิตฯ ตามรายชื่อ(ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนฯ) ด้านล่างนี้ มาขายกับร้านทองของท่านฯ กรุณาแจ้งข้อมูลมายังสมาคมฯ ทันที
เพื่อดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
โทร. 0-2675-8000


ลำดับ    ชื่อร้าน
1    ห้างทองย่งฮะฮวดซุ่นกี่
2    ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ชั่งเซ้ง
3    บริษัท ห้างขายทอง ทองใบเยาวราช (สี่แยกวัดตึก) จำกัด
4    บริษัท ห้างขายทองโง้วชั้งเซ้ง จำกัด
5    บริษัท ชมพู (บ้วนหลี) จำกัด
6    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองไท้เส็งเฮง
7    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเคว่งหลี
8    ห้างทองอั้งเซ่งเฮง
9    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองพุดเซ้ง
10    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็งฮงฮวด
11    บริษัท ขายทองแต้จิ้งเส็ง พาณิชย์ จำกัด
12    ห้างหุ้นส่วนจำกัด จินชอง
13    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองจิบฮุย
14    ห้างทอง ลี้น่ำฮวด
15    ห้างทอง เจี้ยฮั้ว
16    คณะบุคคล ห้างทอง ทองไพโรจน์ ชัยภูมิ
17    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองก้วยเซ่งเฮง
18    บริษัท ห้างทองหยงเตียน จำกัด
19    บริษัท ทองเปียเซ้ง จำกัด
20    บริษัท ที.พี.เอช (2004) จำกัด
21    บริษัท ห้างทองนำเกียเฮง จำกัด
22    บริษัท โกลด์สยาม จำกัด
23    บริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด
24    บริษัท ห้างขายทอง โต๊ะกังเยาวราช จำกัด
25    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองบ้วนฮั่วล้ง
26    ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์
27    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างค้าทองยู่หลงกิมกี่
28    บริษัท จูเจียบเซ้ง จำกัด
29    บริษัท หลูชั่งเฮงเฮงฮวด จำกัด
30    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์
31    บริษัท ซินคีเชียงค้าส่ง จำกัด
32    บริษัท ห้างขายทองทองใบเยาวราช (1988) จำกัด
33    บริษัท แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด
34    บริษัท ห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง จำกัด
35    บริษัท ห้างทอง จิ้นไถ่เฮง จำกัด
36    บริษัท ห้างทอง เจียบเซ่งเฮง จำกัด
37    บริษัท ไฟน์โกลด์ จำกัด
38    บริษัท ทอง 24 กะรัต จำกัด
39    บริษัท ห้างทองลายกนก จำกัด
40    บริษัท เจริญช่างทอง จำกัด
41    บริษัท แต้จิบฮุย จำกัด
42    บริษัท วิทเฮงหลี 2003 จำกัด
43    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง
44    บริษัท ห้างทองซินเจี้ยเชียง จำกัด
45    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองน่ำเชียง
46    บริษัท บ้านช่างทอง จำกัด
47    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทอง คุณฮั้ว (หล่อ)
48    ห้างทองเพชรทองคำ
49    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองทองสวย
50    บริษัท ห้างค้าทอง หลูชั้งฮวด (2498) จำกัด
51    บริษัท ประพันธ์ (กิมฮวด) จำกัด
52    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองย่งใช้ฮวด
53    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทองเล้งหงษ์
54    บริษัท ห้างค้าทองหลูยู่ฮวด จำกัด
55    บริษัท ไดนามิค ดี-พลัส จำกัด
56    ห้างทอง โอ้วไจ้เซ้ง

หมายเหตุ :
ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายเป็นให้แก่ร้านทองเท่านั้น ผู้บริโภคไม่ต้องกังวล ท่านจะไม่เจอทองปลอมแน่นอน หากทำการซื้อทองกับร้านค้าทองทั่วไป  -http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=8-

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:04:28 am
ทำความเข้าใจกับข่าวเรื่อง “ทองปลอม”
-http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

(http://neo.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0002.jpg)

(http://neo.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0003.jpg)

ตามที่มีข่าวเรื่องทองปลอมระบาด และมีการเข้าจับกุมทลายแหล่งผลิตทองปลอม โดย สมาคมค้าทองคำ ร่วมกับ ตำรวจ ตามข่าวที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายท่านอาจมีความกังวลว่า ถ้าไปซื้อทองแล้วจะเจอทองปลอมหรือไม่ หลายครั้งที่การเสนอข่าวอาจคลาดเคลื่อนจนทำให้เกิดความสับสน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจร้านทองแบบผิดๆ ดังนั้น จึงขออธิบายทำความเข้าใจ ดังนี้
1.ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายผลิตทองปลอมนำมาขายหรือขายฝากกับร้านทองเท่านั้น ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภค
2.เมื่อร้านทอง รับซื้อทองเก่าจากลูกค้า ซึ่งอาจเป็นคนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายนั้น ร้านทองจะไม่มีการนำทองเก่าที่รับซื้อจากลูกค้ามาขายซ้ำให้กับลูกค้ารายใหม่ แต่จะนำกลับไปหลอมเพื่อผลิตทองรูปพรรณชิ้นใหม่แทนทั้งหมด
3.ดังนั้น ลูกค้าผู้บริโภค สามารถสบายใจได้เลยว่า หากท่านไปซื้อทอง กับร้านทองใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะร้านเล็กหรือร้านใหญ่ กรุงเทพ หรือ ต่างจังหวัด  เยาวราช หรือ รอบนอก ท่านก็จะได้ทองคำแท้อย่างแน่นอน

4.หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือพบเบาะแสเรื่องทองปลอม กรุณาแจ้งได้ที่สมาคมค้าทองคำ โทร 0-2675-8000 เพื่อร่วมมือร่วมใจกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวร้านทองทั่วประเทศ

จับทองปลอม (http://www.youtube.com/watch?v=ZnU5ToXWkjM#ws)
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZnU5ToXWkjM-

-http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

.

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:06:52 am
รายชื่อผู้ผลิตทองรูปพรรณที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก สคบ. ปี 2555 - 2557
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=37-

รายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ

ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความบริสุทธิ์ทองรูปพรรณจาก สคบ. ประจำปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗

(ร้านทองขายส่ง และร้านทองเยาวราช)
ลำดับที่    ผู้ประกอบธุรกิจ    ที่อยู่    โทรศัพท์
๑    บริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด    ๒๙๕-๒๙๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๐๐๗๗
๒    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองบ้วนฮั่วล้ง    ๖๐๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๔๕๒
๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างค้าทองยู่หลงกิมกี่    ๔๗๘-๔๘๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๑๔๒๗
๔    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองโต๊ะกังเยาวราช    ๓๕๖-๓๕๘-๓๖๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๘๘๔-๖
๕    บจ.ห้างขายทองทองใบเยาวราช( 1988)    ๓๗๔-๓๗๘ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๔๖๒๓
๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง    ๔๐๑-๔๐๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๐๒๐๒
๗    บริษัท ห้างค้าทอง หลูชั้งฮวด (2498) จำกัด    ๑๑๒-๑๑๔ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๕๘๒
๘    บริษัท หลูชั่งเฮงเฮงฮวด จำกัด    ๑๐๖-๑๐๘ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๖๒๘
๙    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทองเล้งหงษ์    ๑๕๑ ถนนจักรวรรดิ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๙๗๔๕
๑๐    บจ.ห้างขายทองทองใบเยาวราช(สี่แยกวัดตึก)    ๑๕๒-๑๕๔-๙๔ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๗๗๖
๑๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด  เลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์    ๖๓-๖๓/๑ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๒๕๔๔
๑๒    บริษัท แต้จิบฮุย จำกัด    ๑๐๒-๑๐๔ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๔๒๘
๑๓    บริษัท ซินคี่เชียงค้าส่ง จำกัด    ๑๔๓ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒๔๓๙๖
๑๔    บริษัท ห้างทองจิ้นไถ่เฮง จำกัด    ๔๑๒-๔๑๔ ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๑๗๘๗
๑๕    บริษัท จูเจียบเซ้ง จำกัด    ๑๐,๑๒,๑๔ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๗๕๒๑
๑๖    บริษัท แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด    ๑๒๑/๗-๙ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๖๙๙๖
๑๗    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทอง คุณฮั้ว (หล่อ)    ๑/๑๐-๑๒ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๘๐๖๕
๑๘    บริษัท บ้านช่างทอง จำกัด    ๘๕๕ ถนนมหาไชย แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๗๙๙๑
๑๙    

บริษัท ห้างค้าทองหลูยู่ฮวด จำกัด
   ๕๐๔-๕๐๖ ถนนมหาไชย แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๗๖๔๔
๒๐    บริษัท ห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง จำกัด    ๓๐๓ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๘๑๓๙
๒๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์    ๓๓๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๕๒๓๗
๒๒    บริษัท ที.พี.เฮช (๒๐๐๔)  จำกัด    ๓๑๖ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๖๖๙๑
๒๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด จินชอง    ๘๓ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๗๐๐
๒๔    บริษัท ค้าทองโซวเซ่งเฮง จำกัด    ๔๕๖ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๙๒๔๙
๒๕    บริษัท ทอง 24 กะรัต จำกัด    ๒๔๕-๒๔๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๙๔๕๗
๒๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์เยาวราช ( 2529 )    ๓๑๘-๓๒๘ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๕๓๔๕
๒๗    

บริษัท สยามโกลด์แกลอรี่ จำกัด
   ๓๑๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๕๓๐๓
๒๘    บริษัท  ทองเล่งหงษ์กรุ๊ป  จำกัด    ๔๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๑๑๑
๒๙    

ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างทองย่งใช้ฮวด
   ๔ ถนนเยาวราช แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๖๒๓ ๖๙๐๐
๓๐    บริษัท ห้างทองซินเจี้ยเชียง จำกัด    ๑๒๑/๒-๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๙๗๘๗
๓๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองจิบฮุย    ๒๐๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๖๕๑๑-๓
๓๒    บริษัท ไฟน์โกลด์ จำกัด    ๑๐๗ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๙๘๑๒
๓๓    บริษัท ห้างทองลายกนก จำกัด    ๑๑๕/๑๐-๑๓ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๑๔๕
๓๔    บริษัท ห้างทอง เจียบเซ่งเฮง จำกัด    ๕๖ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๖๕๒๐
๓๕    บริษัท ประพันธ์ (กิมฮวด) จำกัด    ๙๗ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๖๒๓ ๘๐๐๑-๒
๓๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองไท้เส็งเฮง    ๑๑๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒ ๙๔๙๙
๓๗    ห้างทองเพชรทองคำ    ๒๔-๒๔/๑ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๔๙๑๕-๖
๓๘    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองพุดเซ้ง    ๒๙๔ ถนนตีทอง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๕ ๙๗๕๐
๓๙    บริษัท วิทเฮงหลี 2003 จำกัด    ๖๒ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๕๕๒๒
๔๐    ห้างหุ้นส่วน สามัญนิติบุคคล ชั่งเซ้ง    ๑๗๓ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๓๒๒
๔๑    บริษัท ห้างขายทองโง้วชั้งเซ้ง จำกัด    ๑๕๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๙๕๗๒
๔๒    บริษัท ชมพู ( บ้วนหลี ) จำกัด    ๕๔-๕๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๒๕๕๗
๔๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเอ็งฮงฮวด    ๓๔-๓๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๒๘๖๒
๔๔    ห้างทองโอ้วไจ้เซ้ง    ๒๕๔-๒๕๖ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๐๐๘๑
๔๕    ห้างทอง เจี้ยฮั้ว    ๙๗ ถนนจักรวรรดิ์ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๓๕๔
๔๖    ห้างทอง อั้งเซ่งเฮง    ๔๐๐-๔๐๒ ถนนบริพัตร แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๖๓๓๐
๔๗    บริษัท เจริญช่างทอง จำกัด    ๑๖๖-๑๖๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๕๐๙๕
๔๘    

บริษัท  ทองเปียเซ้ง  จำกัด
   ๒๑๐ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๔๓๖๖
๔๙    บริษัท  ขายทองแต้จิ้งเส็ง พานิชย์  จำกัด    ๔๙ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๗๙๗๒
๕๐    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองน่ำเชียง    ๘๕-๘๗ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๑๒๐๒
๕๑    ห้างทองย่งฮะฮวดซุ่นกี่    ๒๑๓-๒๑๕ ถนนเจริญกรุง แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๐๓๓๕
๕๒    ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างทองก้วยเซ่งเฮง    ๖๕ ถนนบูรพา แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๖ ๑๒๒๒
๕๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเคว่งหลี    ๘๕-๘๗ ถนนบูรพา แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๐๙๑๒
๕๔    ห้างทอง ลี้น่ำฮวด    ๔๗ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒ ๖๙๐๐
๕๕    คณะบุคคล ห้างทอง ทองไพโรจน์ ชัยภูมิ    ๖๕๗ ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๖ ๑๘๘๕
๕๖    บริษัท ห้างขายทองนำเกียเฮง  จำกัด    ๕๙ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพา เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๔๐๕๕
๕๗    

ห้างทองไล่ฮี่เซ้ง
   ๓๔๐-๓๔๒ ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๓๑๕
๕๘    

บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด(มหาชน)
   ๓๓๓ ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ    ๐ ๒๓๖๑ ๓๓๑๑
๕๙    ห้างทองตุ้นเฮงหลี    ๙ ถนนสถานี ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง    ๐ ๗๕๒๒ ๒๗๑๑
๖๐    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองทองสวย    ๖๐๐/๒๔-๒๕ ถนนหน้าเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น    ๐ ๔๓๓๒ ๐๗๕๘-๙
๖๑    บริษัท  ไดนามิค  ดี-พลัส  จำกัด    ๒๕-๒๕/๑ ถนนกลางเมือง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น    ๐ ๔๓๒๗ ๐๙๗๖
๖๒    บริษัท โกลด์สยาม จำกัด    ๒-๔ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๘๘๕๖-๙
๖๓    ห้างทองกิมฮง    ๒๓๐-๒๓๒ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๕๘๓
๖๔    บริษัท ห้างทองหยงเตียน จำกัด    ๗/๑ ถนนธรรมนูญวิถี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา     ๐ ๗๔๓๕ ๕๕๕๙-๖๐

หมายเหตุ : ร้านทองค้าปลีกทั่วประเทศ จะมารับสินค้าจากผู้ผลิตตามรายชื่อข้างต้นไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้น ผู้บริโภคจะมั่นใจได้ว่า ท่านได้ซื้อทองรูปพรรณ มาตรฐาน ตามที่ สคบ. กำหนด  โดยท่านสามารถสอบถามทางร้านทองได้ว่าทองที่จำหน่าย รับมาจากผู้ผลิตรายใด ตรงตามรายชื่อข้างต้นหรือไม่

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2012, 09:10:09 am
คนกรุงแชมป์ซื้อประกันภัยพิบัติ จ้างกุนซือทำรีอินชัวรันส์ เบี้ยชีวิต8เดือน2.5แสนล.
-http://www.thaipost.net/news/051012/63246-

  คนกรุงตื่นน้ำท่วม ครองแชมป์ซื้อประกันภัยพิบัติ เลขาธิการ คปภ.แจงยอดจำหน่ายทะยาน 1.86 แสนกรมธรรม์ จ้าง 2 บริษัทที่ปรึกษาทำประกันภัยต่อต่างประเทศ ด้านสมาคมประกันชีวิตเผย 8 เดือน เบี้ยรับรวมพุ่ง 2.5 แสนล้านบาท คาดสิ้นปีโต 15%

    นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกัยภัย (คปภ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านประกันภัย กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ว่า ล่าสุดถึงวันที่ 21 ก.ย.2555 พบว่า จังหวัดที่ซื้อประกันภัยพิบัติสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา

    โดยมียอดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติรวมทั้งสิ้น 186,771 กรมธรรม์ จากบริษัทประกันวินาศภัย 48 บริษัท ทุนประกันภัยพิบัติอยู่ที่ 19,958 ล้านบาท มีเบี้ยประกันภัยพิบัติ 137 ล้านบาท สะท้อนว่าประชาชนเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของการทำประกันภัยพิบัติมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม คปภ.อยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ภัยธรรมชาติที่เข้าลักษณะความรุนแรงถึงขั้นเป็นภัยพิบัติที่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เช่น อาจพิจารณาจากจำนวนหลังคาเรือนที่ได้รับความเสียหาย หรือขนาดพื้นที่ความเสียหาย หรือความเสียหายที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น

    นายประเวช กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาการประกันภัยต่อ (รีอินชัวรันส์) 2 ราย ได้แก่ บริษัท ออน เบเนฟิล Aon (Aon Benfield) และมาร์ช กาย คาร์เพนเตอร์ Marsh (Guy Carpenter) เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการจัดหาประกันภัยต่อ และมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ในประเทศไทย

    โดยขั้นต่อไป คปภ.จะประสานงานกับ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (ไทยรี) เพื่อจัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการรับประกันภัยพิบัติ ส่งให้บริษัทดังกล่าวนำไปศึกษา วิเคราะห์ความเสี่ยง และจัดทำแผนบริหารการประกันภัยต่อของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เสนอให้แก่คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ต่อไป

    ด้าน นางบุษรา อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า เบี้ยประกันชีวิตรับรวม 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) มีจำนวน 245,328.4 ล้านบาท อัตราเติบโต 17.2% เมื่อคิดเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จะมีจำนวนเบี้ยประกันชีวิตถึง 78,499.5 ล้านบาท หรือเติบโต 18.3% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตส่วนใหญ่มาจากการขายผ่านช่องทางหลัก ได้แก่ การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต และการขายผ่านธนาคาร ทั้งสองช่องทางยังคงได้รับความนิยมเพราะเข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง

    ส่วนเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปมีจำนวน 166,828.9 ล้านบาท อัตราเติบโต 14.4% และมีอัตราความคงอยู่ 88% เป็นผลเนื่องมาจากการพัฒนาแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบใหม่ที่หลากหลาย และตรงกับความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งบริษัทประกันชีวิตได้รักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือ การประชาสัมพันธ์ และการบริการหลังการขายที่ดี เพื่อให้ประชาชนสนใจทำประกันชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญา

    ทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจประกันชีวิตจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่า ณ สิ้นปี 2555 อัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% อย่างแน่นอน.

http://www.thaipost.net/news/051012/63246 (http://www.thaipost.net/news/051012/63246)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 27, 2012, 07:42:53 am
หน้าที่ของผู้ซื้อฯกับนิติบุคคลฯ
-http://www.dailynews.co.th/article/950/163046-

หน้าที่ของผู้ซื้อฯกับนิติบุคคลฯ - กฎหมายรอบรั้ว
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 เวลา 00:00 น.

เมื่อผู้ซื้อที่ดินได้รับหนังสือแจ้งจากผู้จัดสรรที่ดินให้จัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพื่อรับโอนทรัพย์สิน (สาธารณะ) ตามแผนผังจัดสรรไปบริหารจัดการดูแลและบำรุงรักษาจะต้องดำเนินการดังนี้

- ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรต้องเข้าร่วมประชุมใหม่ เพื่อมีมติจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และแต่งตั้งตัวแทนยื่นคำขอจดทะเบียนนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพร้อมด้วยข้อบังคับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร (โดยต้องมีมติจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรรไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยทั้งหมด)

- ต้องจัดทำข้อบังคับที่มีรายการตามที่กฎกระทรวงกำหนดซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบในที่ประชุม โดยข้อบังคับอย่างน้อยต้องมีดังนี้ ชื่อนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร, วัตถุ ประสงค์, ที่ตั้งสำนักงาน, ข้อกำหนดเกี่ยวกับจำนวนกรรมการการเลือกตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง การเริ่มดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้านจัดสรรซึ่งต้องประชุมอย่างน้อยปีละสองครั้ง, ข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงาน บัญชี และการเงิน, ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก, ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่, ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ, ข้อกำหนดเกี่ยวกับการยกเลิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น

- จัดทำรายงานการประชุมทุกครั้งที่มีการประชุม

- ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือสาขา ซึ่งที่ดินจัดสรรนั้นตั้งอยู่พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน คือ รายงานการประชุมของผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ที่มีมติให้จัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เห็นชอบข้อบังคับ และแต่งตั้งตัวแทนในการยื่นคำขอจดทะเบียน สำเนาข้อบังคับ, หลักฐานการรับแจ้งให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและระยะเวลาที่ผู้จัดสรรที่ดินกำหนดให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรดำเนินการ, บัญชีที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการพร้อมสำเนาหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่เกี่ยวข้อง

เมื่อจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรได้แล้ว ให้ดำเนินการแจ้งให้ผู้จัดสรรที่ดินทราบพร้อมกำหนดวันจดทะเบียนโอนทรัพย์สินและส่งมอบเงินค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินต้องรับผิดชอบตามบัญชีทรัพย์สิน และผู้จัดสรรที่ดินจะพ้นจากหน้าที่การบำรุงรักษาสาธารณูปโภคที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดิน ตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตต่อเมื่อได้มีการจดทะเบียนโอนทรัพย์สิน และส่งมอบจำนวนเงินค่าบำรุงรักษาฯ ตามบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแล้ว และผู้ซื้อที่ดินจัดสรรทุกราย (ทั้งที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบ) เป็นสมาชิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร กรณีที่ดินจัดสรรแปลงย่อยที่ยังไม่มีผู้ใดซื้อ หรือได้โอนกลับมาเป็นของผู้จัดสรรที่ดิน ก็ให้ผู้จัดสรรที่ดินเป็นสมาชิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และให้แสดงหนังสือสำคัญการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย ณ สำนักงานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรนะครับ.

ดินสอพอง

http://www.dailynews.co.th/article/950/163046 (http://www.dailynews.co.th/article/950/163046)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 27, 2012, 07:47:22 am
“ภาษี” มีไว้พุ่งชน
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/55/163037-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/163037.jpg)

มนุษย์เงินเดือนเกือบทุกคน ไม่ค่อยจะกินเส้นกับ “ภาษี” เพราะเมื่อเงินเดือนออกปั๊บ ก็ถูกหักภาษีปุ๊บ ยิ่งเงินเดือนสูง ๆ  ภาษีก็ขยับระดับการหักสูงตามไปด้วย หลายคนพยายามจะเลี่ยงการจ่ายภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ  แต่สุดท้ายเมื่อโดนภาษีย้อนหลังก็หงายเก๋งไปตาม ๆ กัน จะดีเพียงใดถ้าเราสามารถจะเปลี่ยนเงินภาษี (บางส่วน) ให้กลับมาเป็นเงินออมของเรา เพื่อที่ว่าเมื่อเจอภาษีจะได้ไม่ต้องวิ่งหนี ถ้าเจอก็พุ่งชนไปเลย

ขอแนะนำ 2 พลังเพื่อการลดหย่อนภาษีของมนุษย์เงินเดือนกองทุน LTF (Long Term Equity Fund) และ กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund) เป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน โดยเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละกองทุนดังนี้

กองทุนรวม LTF มีชื่อเต็มว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund) เน้นการลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ผู้ที่ลงทุนในกองทุน LTF สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่ลงทุนจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปีและไม่เกิน 500,000 บาท โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีใด ก็ลงทุนในปีนั้น แต่มีเงื่อนไขคือจะต้องถือหน่วยลงทุนจนครบ 5 ปีปฏิทิน ห้ามไถ่ถอนก่อนกำหนด

เนื่องจาก LTF มีความเสี่ยงสูงจากนโยบายที่เน้นการลงทุนในหุ้น จึงเหมาะสำหรับคนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง และพร้อมที่จะลงทุนระยะยาว (5 ปี) เพื่อหวังผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงินทั่วไป

กองทุนรวม RMF ชื่อเต็มว่า กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนในตลาดเงิน พันธบัตร ตราสารหนี้ ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทองคำ แล้วแต่นโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน RMF เป็นการออมระยะยาวเพื่อให้เรามีเงินเพียงพอเมื่อถึงวัยเกษียณ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีสวัสดิการรองรับ เช่น ไม่ได้สมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินที่ลงทุนใน RMF สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เช่นเดียวกับ LTF โดยสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี เมื่อนับรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้ กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กติกาคือต้องมีการลงทุนต่อเนื่องทุกปี ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง และ ลงทุนขั้นต่ำอย่างน้อย 3% ของรายได้ต่อปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า) และต้องถือไปจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ มาเช็กพลังการลดหย่อนภาษีของ LTF กับ RMF สมมุติว่า คุณต่อยอด มีเงินได้พึงประเมินตลอดปีภาษี 1,500,000 บาท ลองมาคำนวณกันว่าหากลงทุนใน LTF หรือ RMF แล้ว จะช่วยประหยัดภาษีได้เท่าไหร่

จะเห็นว่า ด้วยพลังของ 2 กองทุน LTF และ RMF ช่วยให้คุณต่อยอดลดหย่อนภาษีได้มากถึง 126,300 บาท และหากคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินลงทุนทั้ง 2 กองทุนรวมกันที่ 450,000 บาท จะได้ถึง 25.26% เลยทีเดียว

มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ต่อไปนี้เห็นภาษีก็ไม่ต้องวิ่งหนีอีกต่อไป สนใจจะลงทุนใน LTF หรือ RMF แล้ว ศึกษารายละเอียดที่เว็บไซต์ -www.aimc.or.th- หรือ -www.thaimutualfund.com- โชคดีจงเป็นของทุกท่าน.

-http://www.dailynews.co.th/article/55/163037-
-http://www.aimc.or.th/home.php-
-http://www.thaimutualfund.com/AIMC/index.jsp-

http://www.dailynews.co.th/article/55/163037 (http://www.dailynews.co.th/article/55/163037)
http://www.aimc.or.th/home.php (http://www.aimc.or.th/home.php)
http://www.thaimutualfund.com/AIMC/index.jsp (http://www.thaimutualfund.com/AIMC/index.jsp)
.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 27, 2012, 08:09:19 am

ประมูลซื้อที่ดินจากการบังคับคดี
-http://www.dailynews.co.th/article/345/163039-
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 เวลา 00:00 น

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/163039.jpg)


บ้านเรานี่มักมีอะไรต่อมิอะไรที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างกระผมไม่เข้าใจอยู่หลายเรื่อง

การเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนักวิชาการอิสระอย่างงี้ การครองตนเป็นเครือข่ายอะไรสักอย่างงี้ ดูเท่ดี มีความดังได้หลายอย่าง เห็น ๆ กันอยู่มันต้องทำยังไงบ้าง อาศัยคุณวุฒิ คุณสมบัติประการใด

คือคนมันอยากเป็นบ้างขอรับ ทุกวันนี้มีแต่ท่านผู้อ่านที่ให้เกียรติอย่างยิ่งเรียกอาจารย์บ้าง ท่านบ้างเป็นปลื้มสุด ๆ นอกนั้นคนกันเองทั้งนั้นเรียกทีสะดุ้งโหยงที
หามีความเกรงใจกันบ้างเลยเพื่อระงับความฟุ้งซ่านด้วยความอิจฉาตาร้อนดังกล่าว ตามประสานักกฎหมายบ้านนอก เอ๊ย อิสระ อย่ากระนั้นเลยขอนำคดีปกครองที่เข้าบรรยากาศขณะนี้มารายงานท่านผู้อ่านดีกว่า

บรรยากาศในการประมูลที่ดินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีขอรับ เฉี่ยว ๆ กับการประมูลสามจีเหมือนกันนะเนี่ย

ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคา 255,000 บาท

ตกลงทำสัญญาซื้อขายโดยวางมัดจำเป็นเงิน 20,000 บาทที่เหลืออีก 235,000 บาทต้องชำระภายในกำหนด 15 วันจะจ่ายอีกสองแสนกว่าก็ต้องตรวจดูที่กันหน่อย

แทบหงายท้อง ที่ดินดังกล่าวทับซ้อนกับที่ดินของผู้อื่นประมาณ  35 ไร่ ไม่เห็นเหมือนกับแผนที่ที่ดินสังเขปท้ายประกาศขายทอดตลาดสักหน่อย
ผู้ฟ้องคดีจึงขอเลิกสัญญาและขอคืนเงินมัดจำ 20,000 บาทพร้อมขอค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการประมูลเช่นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าดำเนินการตรวจสอบที่ดินอีก 5,000 บาท
ได้รับคำตอบว่า ไม่มีเหตุที่จะต้องคืนเงินเพราะการขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบแล้ว
ผู้ฟ้องคดีจึงต้องขอดีเบตต่อไปว่า ชอบยังไงตอบมาสิ เพราะการกำหนดลักษณะและคุณสมบัติเกี่ยวกับที่ดินและที่ตั้งของที่ดินไม่ตรงตามกับสภาพที่แท้จริงและสิ่งปลูกสร้าง
เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำ
ให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายหลงเข้ามาซื้อ ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินและคืนเงินพร้อมค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดี
กรมบังคับคดีผู้ถูกฟ้องคดีทำคำให้การมาว่า ในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งเงื่อนไขการเข้าสู้ราคา ข้อสัญญา และคำเตือนผู้ซื้อ โดยในข้อสัญญาได้แจ้งว่า ผู้ซื้อมีหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะซื้อตามสถานที่ และแผนที่ในประกาศ และถือว่าผู้ซื้อได้ทราบถึงสภาพทรัพย์นั้นแล้ว คดีเป็นการขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดซึ่งต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งรวมทั้งค่าเสียหายที่ไม่อาจเรียกได้ คดีนี้ไม่เข้าลักษณะคดีปกครอง

ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณียังไม่อาจถือได้ว่าเจ้าพนักงาน

บังคับคดีจัดทำประกาศขายทอดตลาดโดยระบุสถานที่ตั้งของที่ดินผิดพลาดคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความเป็นจริง การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่เป็นการละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ส่วนคำขอให้ศาลยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาซึ่งไม่มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง พิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การบังคับคดีตามคำสั่งศาลเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
และ ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดี พ.ศ. 2522 ซึ่งวางกรอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับคดีที่ดินตาม

ข้อ 7 ข้อ 11 ข้อ 13 ข้อ 26 ข้อ 28 และข้อ 90 วรรคหนึ่งและวรรคสองข้อเท็จจริงในคดี เห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินที่ผู้นำยึดชี้โดยไม่ตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทมีสภาพที่ตั้งอย่างไร ทำให้ไม่ทราบที่แท้จริงของที่ดินที่จะยึดเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินพิพาทและทำแผนที่สังเขปโดยฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงยุติธรรมดังกล่าวโดยประมาทเลินเล่อ

เมื่อเนื้อที่ดินไม่ตรงกับเจตนาของผู้ฟ้องคดีแสดงว่า ผู้ฟ้องคดีเข้าประมูลโดยสำคัญผิด ในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งสัญญาซื้อขายทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามมาตรา 156 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

แม้ประกาศขายทอดตลาดจะมีเงื่อนไขการสู้ราคา ข้อสัญญา และคำเตือนให้ผู้สู้ราคาตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินที่จะซื้อ

แต่โดยสภาพก็เป็นกรณีเหลือวิสัยที่ผู้ฟ้องคดีจะตรวจสอบความถูกต้องด้วยตนเองในเวลาอันรวดเร็วได้ ความเชื่อถือต่อความถูกต้องของที่ดินในประกาศขายทอดตลาดที่เจ้าพนักงานจัดทำขึ้นย่อมมีน้ำหนักมากกว่า ดังนั้นแม้ผู้ฟ้องคดีจะมีส่วนประมาทที่มิได้ตรวจสอบรายละเอียดก็หาทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหลุดพ้นจากความรับผิดชอบไปไม่
พิพากษากลับ ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี

เป็นเงินทั้งสิ้น 25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 63 / 2552)

ผู้ฟ้องคดีเขาเดือดร้อนเสียหายจริง จึงไม่ต้องอ้างว่าเป็นผู้เสียหายอิสระ.

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2012, 09:18:28 pm
ความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยกับราคาทองในประเทศ...YLG
-http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132150-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 ตุลาคม 2555 16:40 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013939101.JPEG)

 “แม้เพียงการขยับปีกของผีเสื้อ ก็สามารถก่อพายุได้” หรือ Butterfly Effect นั้น เป็นการอธิบายโลกการเงินในทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทั้งของยูโรโซนที่มีการออกมาตรการแทรกแซงตลาดพันธบัตรรัฐบาล และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE3) ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงิน และการตัดสินใจการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย โดยในวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมานั้น ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการตัดสินใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 3.0% มาอยู่ที่ 2.75%
       
           โดยตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์แล้วนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในด้านอัตราดอกเบี้ย ก็ย่อมที่จะส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนไปด้วย นั่นคือ เมื่อธนาคารกลางตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ก็เป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับลงตามไปด้วย ครั้นแล้วอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศก็จะต่ำกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศมากขึ้น และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในประเทศมีการอ่อนตัวเช่นกัน
       
            เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทเกิดขึ้น ก็จะส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศอีกต่อหนึ่ง เนื่องจากว่าราคาทองคำในตลาดโลกได้ถูกกำหนดในหน่วยของเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำในตลาดโลกก็ตาม

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013939102.JPEG)
  กราฟแสดงการเปรียบเทียบราคาทองคำในตลาดโลก (ดอลลาร์ต่อออนซ์) กับอัตราแลกเปลี่ยน (บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
       

           แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทก็คือ ความต้องการซื้อ และความต้องการขายของเงินบาท จากการที่ประเทศไทยได้มีการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ และจากกราฟข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกมักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับค่าเงินบาท ดังนั้นแล้ว สำหรับนักลงทุนทองคำในประเทศนอกจากจะต้องสนใจเรื่องการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกแล้ว อาจต้องสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทด้วย


http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132150 (http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132150)

.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2012, 09:20:16 pm
ก้าวแรกกับความล้มเหลว
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132034-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 ตุลาคม 2555 14:50 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013927401.JPEG)

    คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       -www.cway-investment.com-
       
       ทุกคนล้วนมีความฝันมีไอเดีย อยากทำสิ่งต่างๆมากมายตามใจต้องการ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินตามฝัน ได้ลงมือทำฝันให้เป็นจริง และไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ บางคนเลือกที่จะรอ เลือกที่จะเก็บฝันไว้ในใจ จนสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อมีภาระและมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความฝันนั้นก็ต้องถูกฝังลืมไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ
       
       การมีความฝัน และได้ลงมือทำเป็นสิ่งที่วิเศษแต่ใช้ว่า ทุกคนที่กล้าจะเดินทางตามความฝันจะสมหวัง และจบลงแบบสวยงามเหมือนในนิยาย มีหลายคนหกล้มหกลุก ไปได้เพียงครึ่งทางก็ต้องกลับมาสู่โลกความจริง บางคนผิดพลาดแค่เพียงก้าวแรกที่ออกเดิน ก็ท้อถอยหมดกำลังใจ ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะนี้คือโลกแห่งความจริง ที่คนธรรมดา ไม่มีต้นทุนชีวิตที่สูง ไม่มีครอบครัวที่ร่ำรวยสนับสนุน เมื่อมีความฝัน มีความตั้งใจ อาจจะไม่เพียงพอ ให้ไปสู่ยังเป้าหมาย (แต่แน่นอนว่าดีกว่าคนที่ไม่ฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต หรือคนที่ฝันแต่ไม่กล้าแม้จะเริ่มลงมือทำ) สิ่งที่ต้องมีมากกว่านั้นคือ เรื่องของแผนและกลยุทธวิธีการ ที่จะพิชิตเป้าหมาย
       
       ยกตัวอย่างเช่น ทำร้านอาหารไม่ใช่มีฝันมีใจอยากทำก็จะทำแล้วสำเร็จ แต่เราต้องทำงานหนัก ศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ พยายามฝึกทักษะ หาความรู้ และเรียนรู้กลยุทธการทำธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้กิจการของเรา เพื่อทำให้มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนต่อเนื่อง ไม่ใช่จบเพียงนำเงินมาเปิดร้าน เปิดขายอาหารได้แล้ว ก็คิดว่าสำเร็จ แต่นั้นเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น
       
       สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเจอ ต้องทำ บนโลกความจริงที่แตกต่างจากความฝันที่ทุกอย่างเป็นจริงได้เพียงแค่คิด ผมมีโอกาสได้อ่านบทความ เขาเขียนถึงงานวิจัยของ คุณ Shikhar Ghosh ซึ่งตีพิมพ์ลงใน Wall Street Journal สำรวจ กิจการเกิดใหม่(startup) สำคัญๆจำนวน 2,000 รายในช่วงตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2010 พบว่ามีถึงราว 75% ที่มีแนวคิดดีเยี่ยม จนได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากพวก VC (venture capital) ให้ดำเนินกิจการจริงก็ยังล้มเหลว หรือเจ๊ง
       
       จำนวน 30% ถึงกับต้องปิดกิจการ ขายสินทรัพย์เพื่อใช้หนี้กันไป ที่เหลือก็ยังคงสู้ต่อปรับเปลี่ยนหาทางเอาตัวรอดเพื่อเกิดใหม่อีกครั้ง ในโลกธุรกิจ ไม่มีอะไรที่ง่ายดาย แม้เราคิดว่าทุกอย่างมันคือ สุดยอดของเราแล้ว แต่สิ่งที่เราคิดเราทำมันอาจจะยังไม่เพียงพอ ที่จะประสบความสำเร็จก็เป็นได้ ก้าวแรกมักไม่มีคำว่าสบาย โอกาสเกือบ 80% ในการเริ่มต้นมักมีโอกาสล้มเหลว เมื่อล้มเหลว ไม่ใช่ว่าจะต้องถอดใจ หรือล้มเลิกความคิด แต่เราควรเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาต่อไป 
       
       เขียนเรื่องนี้เพราะอยากโยงไปถึงเรื่องการลงทุน นักลงทุนมือใหม่ ก็ไม่ต่างกับผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้น ย่อมต้องเจอกับปัญหาอุปสรรค์ เป็นธรรมดา บางคนขาดทุนหลายหมื่น หลายแสน ก็เริ่มจะถอดใจ เพราะได้เรียนรู้ความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นไม่ได้ทำกำไรง่ายๆแบบที่เขาว่ากัน สิ่งหนึ่งที่มือใหม่ไม่ค่อยรู้และไม่เข้าใจคือเรื่อง จังหวะเวลาหรือ timing การที่เข้ามาลงทุนในช่วงดัชนี 1200-1300 ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างสูง และจะไปหวังได้กำไรง่ายๆ เป็นสิบล้าน เป็นร้อยล้าน แบบคนที่เขาลงทุนช่วงดัชนี 400-500 จุด มันย่อมเป็นไปได้ยาก
       
       เราต้องใช้ความรู้ ใช้การวิเคราะห์เพื่อซื่้อหุ้นทีดี สร้างกำไร และมีความเสี่ยงที่ไม่สูงเกินไป สิ่งสำคัญคือ ต้องยอมรับในกำไรที่ทำได้ อย่าไปอยากได้ อยากมีกำไรมากๆแบบคนอื่นๆที่นำมาอวด นำมาล่อให้เราเห็นกัน เพราะแบบนั้นจิตใจจะไม่นิ่งไม่สงบ เมื่อผิดแผน ไปลงทุนเสี่ยงเกินตัว ความผิดพลาดและหายนะมันจะถาโถมเข้ามา จนมือใหม่ อาจจะรับไม่ทัน เมื่อนั้น เราจะเจอกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ เจอปัญหาด้านจิตใจ ที่ทำให้ไม่สามารถก้าวไปต่อได้
       
       สิ่งสำคัญคือ จงอย่าประมาท อย่าใจร้อน อยากรวยเร็ว เริ่มต้นด้วยการเสี่ยงมากเกินตัว ควรใช้เงินเริ่มต้นไม่มาก เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุน เมื่อผิดพลาด ขาดทุนอย่าไปเสียใจ ถอดใจให้จดบันทึกและวิเคราะห์ความผิดพลาดนั้น เป็นบทเรียน เพื่อที่อนาคตจะได้ไม่ผิดพลาดอีก ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ แล้วเราอยู่รอดได้ในตลาดหุ้น ไม่เจ๊งสนิทหมดตัว เมื่อเวลาผ่านไป เราจะสะสมกำลัง สะสมประสบการณ์และความรู้ จนสามารถคืบคลานเข้าไปหาเป้าหมาย ความสำเร็จได้เองครับ
       
       บทความอ้างอิง
       
       -http://www.bizjournals.com/sanjose/blog/2012/09/most-startups-fail-says-harvard.html-



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2012, 09:22:22 pm
รอลุ้น! สรรพากรเสนอปรับอัตราจ่ายภาษีเงินได้ใหม่ เป็น 5-35%
-http://hilight.kapook.com/view/77844-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

         มนุษย์เงินเดือนรอลุ้น! สรรพากร เสนอปรับอัตราจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ ตั้งแต่ 5-35% ขณะที่ คลัง สั่ง สรรพากร ให้ไปศึกษาหักค่าลดหย่อนคู่สมรส และบุตรเพิ่มอีกเท่าตัว

         เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมกับผู้บริหารกรมสรรพากรเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะตนได้มอบหมายให้กรมสรรพากรกลับไปจัดทำรายละเอียดการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาใหม่ เพื่อนำมาเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้ง

         ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการประชุมครั้งนั้น นายกิตติรัตน์ ได้มอบหมายให้กรมสรรพากรไปศึกษารายละเอียด ว่า จะสามารถเพิ่มค่าหักลดหย่อนภาษีของคู่สมรส และบุตรได้อีกหรือไม่ และเพิ่มขึ้นได้สูงสุดเท่าไหร่ โดยปัจจุบัน คู่สมรสสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท แต่ถ้าเพิ่มค่าหักลดหย่อนจาก 30,000 บาท ขึ้นไปเป็น 60,000 บาท และเพิ่มค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบุตร จาก 15,000 บาท ไปเป็น 30,000 บาท จะกระทบต่อรายได้ภาษีมากน้อยแค่ไหน

         ขณะเดียวกัน กรมสรรพากร ก็ได้เสนอให้ปรับอัตราการเก็บภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ หลังหักรายจ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว โดยให้มีช่วงความถี่มากขึ้น ดังนี้

           รายได้ 0-150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีตามเดิม
           รายได้ 150,001-300,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 10% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 5%
           รายได้ 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10% ตามเดิม
           รายได้ 500,001-750,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 20% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 15%
           รายได้ 750,001-1,000,000 บาท เสียภาษี 20% ตามเดิม
           รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 30% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 25%
           รายได้ 2,000,001-4,000,000 บาท เสียภาษี 30% ตามเดิม
           รายได้ตั้งแต่ 4,000,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 37% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 35%

         แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุด้วยว่า การปรับโครงสร้างอัตราภาษีใหม่นี้ จะช่วยแบ่งเบาภาระให้ผู้เสียภาษี และสร้างความเป็นธรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท แม้ว่าจะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีถึงปีละ 2.7 หมื่นล้านบาท

         อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวต้องมีการเสนอแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากรไปยังสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน จึงจะสามารถทำได้ ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการนาน



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1351502610&grpid=00&catid=&subcatid=-

-http://hilight.kapook.com/view/77844-

.


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 08:07:29 am
หนี้อ่วมท่วมคนไทย วิกฤติสะสม “ถอน – จ่าย – รูด – กู้” !
-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000134888-
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
4 พฤศจิกายน 2555 20:59 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000014226802.JPEG)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000014226801.JPEG)

เสียบบัตรเข้าตู้ เงินสดก็ออกมา ชีวิตมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เกิดในโฆษณาส่งเสริมสินเชื่อมากมาย หากทว่าความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อความสุขในตอบจบของโฆษณาเหล่านั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นความทุกข์ใหญ่หลวงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในรูปแบบของนรกอันไม่มีที่สิ้นสุดของการเป็นหนี้!
       
       มาถึงตอนนี้เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปน.) ออกรายการถึงแนวโน้นการค้างชำระหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 25,000 สูงขึ้ยอย่างน่าเป็นห่วง
       
       พร้อมหลายฝ่ายด้านเศรษฐกิจออกมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปัญหาหนี้ในประเทศไทยว่า กำลังเดินไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจเข้าไปทุกที
       
       วัฒนธรรมซื้อเงินผ่อนที่นำเงินในกระเป๋าจากอนาคตของผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมีมากขึ้น จนวัฒนธรรม “ออมก่อนซื้อ” กลายเป็น “ซื้อก่อนออม”
       
       การส่งเสริมการค้าขายที่ป่าวประกาศกันว่า “เพื่อทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน” นั้นเร่งเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั่ง หากแต่มันจะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นจริงหรือ? ไลฟ์สไตล์ชีวิตติดหนี้ของคนรุ่นใหม่นั้นส่งผลต่อภาพอนาคตอย่างไร? หลายคำถามบนวิถีปากท้องถูกถามไถ่ และต้องการคำตอบชัดเจนในเร็ววันนี้...เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจที่มุ่งไปสู่ความวิกฤติเข้าไปทุกที
       
       “กับดักหนี้ “ นรกแห่งการชำระหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
       
       นานมาแล้ววังวนชีวิตของคนเป็นหนี้นั้นต้องอยู่กับการใช้หนี้ที่ไม่วันจบสิ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชนชั้นล่าง อาจมาจากการกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยโหด ทว่าในปัจจุบันกลุ่มคนเป็นหนี้นั้นมีมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีการศึกษาหรือชนชั้นกลาง
       
       เมื่อสินเชื่อขออนุมัติง่าย ได้เงินเร็ว ทันใจการบริโภค ถูกขับเคลื่อนด้วยสินค้ากระแสแรง ไม่ว่าจะเป็นมือถือ, แท็ปเล็ป ไม่เว้นแม้แต่แพกเกจทัวร์ก็มีให้ซื้อขายกันแบบผ่อนชำระ สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นทุกที จึงไม่แปลกที่จะส่งผลให้คนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์ชีวิตแบบติดหนี้ ทำให้วัฒนธรรมออมก่อนใช้ กลายเป็นใช้ก่อนออม
       
       ไพโรจ โคสุพัฒน์ หนึ่งในกรรมการชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เอ่ยถึงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันว่า ตอนนี้การเป็นหนี้ของคนในประเทศอยู่ในขั้นวิกฤติ ทั้งจำนวนที่มากขึ้น และการชำระหนี้ที่พบกับความยากลำบากของกับดักหนี้ที่ดอกเบี้ยผุดงอกจากเงินต้นเสียจนหลายต่อหลายราย ต้องพบกับภาวะหนี้ทับเงินเดือน ชนิดที่ว่า พอเงินออกต้นเดือนก็ชำระหนี้หมดเสียแล้ว ทำให้ต้องไปกู้วงเงินใหม่เพื่อมาใช้ดำรงชีวิต เป็นหนี้ทับหนี้พอกพูนไปไม่มีวันจบ และจะยิ่งทวีดอกเบี้ยค้างชำระขึ้นเรื่อยๆ
       
       “หลายคนมีการศึกษานะ มีเงินเดือนหมื่นเก้าแล้ว แต่ยังเป็นหนี้ทั้งที่เงินเดือนขนาดนี้มันควรจะมีเงินเก็บสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตได้ แต่กลับต้องเอาเงินมาจ่ายดอกเบี้ย จ่ายหนี้ต่างๆ บางคนก็มีตำแหน่งที่เขาไม่สามารถที่จะเสียเครดิตได้ เขาก็ต้องไปกู้วงเงินที่อื่นมาแปะเป็นหนี้ซ้ำซ้อน”
       
       โดยการเป็นหนี้นั้น ไพโรจตั้งข้อสังเกตจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกหนี้หลายคนพบว่า โดยมากนั้นแรกเริ่มของการเป็นหนี้จะเริ่มเมื่อคนเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน เริ่มมีเงินเดือน สถาบันการเงินหรือบริษัทที่ทำงานด้านสินเชื่อจะมายื่นข้อเสนอให้ทำบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
       
       แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อมีการชำระเงินไม่ทัน หรือหากเป็นบัตรเงินสดก็จะมีค่าธรรมเนียมกดเงินสดเพิ่มขึ้นมาอีก 3 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นกับดักหนี้ที่ผู้ก่อหนี้มองไม่เห็นจำนวนเงินตั้งแต่คราวแรก
       
       “บางครั้งก็เขียนไว้สวยๆ ว่า ค่าใช้จ่ายอันควรแก่เหตุ ซึ่งมันก็เป็นค่าใช้จ่ายที่กลายเป็นหนี้เหมือนกัน ตอนนี้หนี้ส่วนบุคคลก็รวมไปถึงพวกธุรกิจขนาดย่อมด้วย เพราะไม่มีความรู้ทางด้านการเงิน เมื่อธนาคารใช้คำว่า อัตราดอกเบี้ยคงที่ แม้ว่าจะดอกเบี้ยน้อย แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยเงินรวมจะมากกว่า”
       
       คดีในชั้นศาลที่ฟ้องร้องเรื่องหนี้สินตอนนี้มีอยู่เยอะมาก ไพโรจน์เผยว่า มากจนตอนนี้ศาลต้องเปิดในวันเสาร์เพื่อพิจารณาคดีประเภทนี้ และเมื่อถามถึงการทวงหนี้ก็มีการละเมิดเป็นเรื่องปกติ โดยความรุนแรงนั้นหนี้นอกระบบหรือในระบบก็เหมือนกัน จากที่บริษัทด้านการเงินในระบบจ้างบริษัทรับทวงหนี้เหมือนกับเจ้าหนี้นอกระบบ
       
       “การโทร.มาข่มขู่ ละเมิดมันก็มีอยู่แล้ว มีหลายครั้งโทร.เข้ามือถือครั้งหนึ่ง ยังไม่ทันรับก็ตัดสายไปก่อนจะโทร.เข้ามาที่บริษัท แล้วก็คิดเป็นค่าทวงหนี้ กลายเป็นหนี้เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง”
       
       มาถึงตรงนี้สิ่งที่ไพโรจมองในมุมของคนเป็นหนี้จึงเป็นการที่รัฐบาลไม่มีระบบที่รัดกุมในการปกป้องผู้เป็นหนี้ การให้คิดค่าบริการต่างๆ พร้อมทั้งการให้มีดอกเบี้ยที่สูง
       
       “คนกลุ่มนี้รัฐบาลน่าจะมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือด้วย แต่ที่ผ่านมานั้นมีแต่การให้เพิ่มดอกเบี้ยได้ มีการอนุญาตให้เปิดกิจการเกี่ยวกับการเงินได้มากขึ้น ไม่มีการควบคุม ที่ผ่านมานั้นจึงไม่มีมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ที่เป็นหนี้เลย ซึ่งทุกวันนี้ก็เดือดร้อนมาก อยากให้มีการลดดอกเบี้ย กำหนดเพดานดอกเบี้ย ไม่อย่างนั้น ใช้หนี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด”
       
       คิดก่อนใช้อย่างถี่ถ้วนที่สุด
       
       ปัจจัยการทำให้สถานการณ์หนี้เดินมาถึงขั้นวิกฤติเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยข้อมูลที่บอกถึงแนวโน้นสู่วิกฤตินั้น ดร.เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เผยถึงตัวเลขที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่ปี 43-52 หนี้สินครัวเรือนมีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 52 นั้นมีหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 1 หมื่น 4 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งคำนวณตามแนวโน้มที่ควรจะเป็นแล้ว หนี้สินครัวเรือนในปี 54 ควรจะเท่ากับ 1 หมื่น 6 แสนบาท แต่ทว่าผลสำรวจกลับแสดงตัวเลขก้าวกระโดดไปถึง 2 แสน 4 หมื่นบาท !!
       
       “มากกว่าแนวโน้มก่อนหน้านี้ถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงนี้แน่นอน โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าจะส่งผลกระทบต่อไปอีกหลายปีด้วย”
       
        ตัวเลขอีกตัวที่น่าสนใจคือรายได้กับรายจ่ายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้คนมีอัตรารายได้สูงกว่ารายจ่าย ส่วนนี้ในทางจิตวิทยาแล้ว เมื่อผู้บริโภคมีรายได้มากกว่ารายจ่ายติดกันระยะหนึ่ง จะทำให้มีความมั่นใจว่าสามารถก่อหนี้ได้
       
       ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของบริษัทการเงิน ดร.เกียรติอนันท์ก็เผยว่า ตลาดหนี้ระดับสูงที่เป็นหนี้นำไปประกอบธุรกิจนั้นเริ่มอิ่มตัว ทำให้ธนาคารหรือบริษัทด้านการเงินจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งก็คือกลุ่มผู้เป็นหนี้รายย่อยในปัจจุบันนั่นเอง ทำให้เกิดบัตรเครดิตมากมายหลายรูปแบบขึ้นมา สังเกตได้จากแนวโน้มในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินพยายามจะสร้างหนี้ให้กับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยมากกว่าที่มีรายได้เยอะ
       
       “เราจะเห็นว่าด้านหนึ่งคนไทยรู้สึกว่าสามารถจะกู้ได้ ขณะที่อีกด้านสถาบันการเงินก็ตอบสนองข้อนี้ด้วยการให้วงเงินสินเชื่อที่กู้ง่าย จ่ายน้อย ผ่อนนาน แต่ดอกเบี้ยสูง ตอนนี้เราเห็นแล้วว่า คนซื้อก็อยากจะสร้างหนี้ คนที่พร้อมจะให้เงินก็อยากจะให้เงิน มันกลายเป็นข้อตกลงกันซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แม้แต่ในประเทศอื่นที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา โครงสร้างการก่อหนี้แบบนี้ เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น หนี้เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องปกติ”
       
       แต่สิ่งที่น่ากลัว ดร.เกียรติอนันท์เผยถึงข้อสังเกตว่า สัดส่วนหนี้ที่คนกู้มาโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ใน 3 คือการกู้เพื่อซื้อบ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ทว่าอีก 1 ใน 3 ของการกู้นั้นคนกลับนำไปใช้อุปโภคบริโภค คือการซื้อของ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเอาไปผ่อนสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่นมือถือ หรือแพกเกจทัวร์ และมีเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่นำไปลงทุนด้านการศึกษา
       
       “มันชี้ให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของหนี้ มันลงไปในส่วนที่ไม่เกิดผลประโยชน์ระยะยาวของคนที่เป็นหนี้ มันเป็นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความสุขความต้องการชั่วคราวเท่านั้น ตามหลักพื้นฐานทางการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล คนที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง ไม่ควรจะมีหนี้ผ่อนชำระเกิน 8 - 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้”
       
       ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันคือหลายคนที่มีเงินเดือนอยู่ที่หมื่นต้นๆ กลับผ่อนโทรศัพท์ที่ส่วนมากจะผ่อนได้นาน 10 เดือนที่มีราคาสูงถึง 2 หมื่นบาท ทำให้ต้องผ่อนเดือนละ 2000 บาทซึ่งมากกว่าตัวเลขที่ควรจะเป็นที่ 1000 บาทถึง 2 เท่า
       
       “แล้วโทรศัพท์พวกนี้ไม่ได้ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้เขาได้เลย มันเป็นการตอบสนองความต้องการระยะสั้น มันสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของคนไทยโดยรวมว่า เริ่มใช้จ่ายเกินตัวและเริ่มสร้างหนี้ในส่วนที่ไม่เกิดผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งวันหนึ่งปัญหาพวกนี้มันจะปะทุขึ้นมา และมันจะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้มาก”
       
       ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ตอนนี้คนที่มีรายได้น้อยมักเช่าคอนโดฯ อพาร์ตเมนต์อยู่อาศัย แทนที่จะลงทุนซื้อบ้าน ในด้านของจิตวิทยาผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคไม่มีรายได้พอจะสร้างความมั่นคงระยะยาว ก็จะมองอะไรเป็นระยะสั้นไปทั้งหมด ในระยะยาวมันส่งผลต่อโครงสร้างคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทย และจะส่งผลกระทบอันเลวร้ายต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแน่นอน
       
       “ตอนนี้เราก่อหนี้โดยมีสมมติฐานว่าเศรษฐกิจเราจะไปได้ แต่มันจะกลายเป็นระเบิดเวลาครั้งใหญ่ เพราะเศรษฐกิจไทยตอนนี้สัญญาณเศรษฐกิจมหภาคไม่ดีอยู่แล้ว ยอดส่งออกที่ต่ำกว่าเป้า เศรษฐกิจโลกที่คลุมเครือ มันเป็นสัญญาณกว้างระดับโลกที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในความเสี่ยง ตอนนี้คนกลุ่มที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางก็สร้างหนี้เยอะขึ้น และเป็นหนี้ที่ไม่ได้สร้างความมั่นคงในชีวิต หากเกิดเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นมาในช่วง 2 - 5 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเยอะที่สุด ภาพวิกฤติในปี 40 จะกลับมา และมาพร้อมภาระหนี้สินส่วนบุคคลที่สูงกว่าเมื่อ 15 ปีก่อน”
       
       ว่าง่ายๆ คือยุ่งแน่ ทว่าสิ่งที่ทำได้ก่อนวิกฤติมาถึงนั้นไม่ยาก แม้ในมุมของลูกหนี้การชำระหนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ในมุมกลับการก่อหนี้ก็ไม่เกิดจากการถูกบังคับ แต่เกิดจากผู้เป็นหนี้สร้างหนี้ให้กับตัวเอง รายละเอียดของความรู้ในการกู้เงิน หรือระเบียบวินัยทางการเงิน เป็นที่ทุกคนต้องรู้ และพึงตระหนักก่อนตัดสินใจสร้างหนี้สิน
       
       “ถ้าธนาคารเลือกที่จะทำให้มันเข้าใจยากมันก็จะยาก แต่คนเราจะก่อหนี้ทั้งที มันต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ ทีเวลาซื้อบ้าน เราดูสัญญา เรากู้เงินไปซื้อรถเราคิดหนัก จริงแล้วเราต้องใช้มาตรฐานเดียวกับตอนที่เรากู้ระยะสั้น ประกอบกับดอกเบี้ยที่สูง ยิ่งต้องบอกว่า การกู้หนี้ระยะสั้น ต้องกู้ไปเพื่อให้มันคุ้มค่าจริงๆ”
       
       การเป็นหนี้นั้นผู้ก่อหนี้ก็มีส่วนผิดแม้ว่าบริษัทการเงินจะปล่อยสินเชื่อง่ายและคิดดอกเบี้ยสูงเพียงใดก็ตาม แต่หลายกรณีของผู้ก่อหนี้ก็มาจากเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ กลุ่มคนรายได้น้อยที่มีปัญหากับค่าครองชีพถือเป็นกรณีที่ต้องแก้ไข
       
       “กลุ่มแรกนั้นเราคงต้องเตือนสติเขาไม่ให้ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น ซึ่งก็ทำได้แค่นั้น เขายินยอมเป็นหนี้เอง ตรงนั้นเราช่วยไม่ได้ แต่อีกกลุ่มที่เป็นผู้มีรายได้น้อย และต้องกู้เงินมาใช้ในยามวิกฤติจริงๆ นั้น แท้จริงแล้วเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากความจนซึ่งการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นก็จำเป็นต้องมีการศึกษาถึงรากเหง้าของความจน เพื่อแก้ไขปัญหาตามกลุ่มคนจนที่มีอยู่ เช่น กลุ่มคนงานก่อสร้างอายุ 40 ก็ต้องใช้วิธีแก้ไขความจนต่างจากชาวไร่อายุ 40”
       
       การระมัดระวังในเรื่องของการใช้จ่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในยุคที่อะไรก็ต่อมิอะไรก็สามารถจับจ่ายมาได้โดยไม่ต้องใช้เงินที่อยู่ในกระเป๋า เพียงรูดบัตร หรือเอาเงินมาจากอนาคตเพื่อจับจ่ายในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งสิ่งของที่หลอกล่อให้อยากมีอยากได้ก็มากล้น คำถามของการใช้เงินหากฐานะทางการเงินยังไม่มั่นคงพอก็คือ เงินที่ใช้ไปนั้นคุ้มค่าหรือเปล่า มันสร้างรายได้หรือเปล่า ถ้ามันเป็นความสุขระยะสั้น ใช้จ่ายได้บ้างแต่อย่าให้เกินตัว และพึ่งระลึกไว้เสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเลือกจะตอบสนองอารมณ์ชั่ววูบด้วยการเอาเงินในอนาคตมาใช้...วันหนึ่งอนาคตจะไล่ทันคุณ!


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 14, 2012, 06:08:19 am
คาดมัดประกัน-กองภาษี หักลดหย่อนวงเงินเดียว
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
13 พฤศจิกายน 2555 14:44 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000014609202.JPEG)

  บิ๊ก บลจ.มั่นใจคลังไม่เลิกลดหย่อนภาษีกองทุนรวม แต่อาจปรับเกณฑ์จับมัดกอง LTF-RMF และประกันชีวิตลดหย่อนภาษีวงเงินเดียวกัน 7 แสนบาทแทน ยอมรับเจาะตลาดยากกว่าธุรกิจประกัน แต่เชื่อคนที่เคยลงทุนแล้วจะเข้าใจความสำคัญแน่นอน พร้อมเล็งส่งเสริมเต็มที่ หวังปี 59 คนไทยเข้าใจการลงทุนระยะยาวมากขึ้น
       
        นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า จากการที่กระทรวงการคลังจะทบทวนสิทธิการลดหย่อนภาษีกองทุน LTF-RMF นั้น ทางกระทรวงการคลังจะมีการต่ออายุไปอย่างแน่นอน เพราะกองทุน LTF และ RMF เป็นการส่งเสริมการออม หากยกเลิกจะส่งผลต่อเม็ดเงินที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน แต่มองว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องมาตรการการลดหย่อนภาษีในรายการต่างๆ เช่น ประกัน หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อกระตุ้นระบบการออมเงินของคนให้มากขึ้น
       
       โดยรูปแบบที่พูดถึงกันแต่ยังไม่ได้สรุป คืออาจจะให้มีการรวมกลุ่มการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีให้เพดานลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 700,000 บาท ซึ่งให้สัดส่วนเพดานการลดหย่อนภาษีของแต่ละธุรกิจไปตามความความสามารถในการกระตุ้นการออมกับประชาชน
       
       อย่างไรก็ตาม มองว่าแต่ละธุรกิจยังมีความแตกต่างกัน เช่น เรื่องค่าฟี หรือการหาลูกค้า แต่เชื่อว่ากองทุนรวมยังมีความสำคัญต่อการออมของคนในประเทศ รวมไปถึงเม็ดเงินในการลงทุนในตลาดหุ้นและการระดมทุน ซึ่งทาง บลจ.ทำงานกันอย่างเต็มที่ในเรื่องการกระตุ้นให้คนออมเงินและการลงทุนเพื่อใช้ในยามเกษียณอายุ
       
       นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า ข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อการผลักดันกองทุน LTF และ RMF นั้น ส่วนตัวแล้วมองว่าอุตสาหกรรมควรนำไปพิจารณาว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้ามองลึกลงไปธุรกิจประกันมีบุคลากรจำนวนมาก และมีสินค้าประกันเป็นหลัก การเจาะตลาดจึงทำได้ง่ายกว่า
       
       นอกจานี้ โครงสร้างเอื้อให้จ่ายผลตอบแทนผู้ขายโดยขึ้นกับจำนวนที่ขายได้ ต่างจากผู้ขายในส่วนของธนาคารซึ่งมีสินค้าขายจำนวนมากมายหลายด้าน การเจาะตลาดผ่านธนาคารโดยให้เน้นกองทุนจึงอาจจะยากกว่าบ้าง
       
       ส่วนกองทุน RMF เป็นกองทุนที่รัฐให้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องลงทุนทุกปีเพื่ออนาคตในยามเกษียณของผู้ลงทุน การให้ลดหย่อนภาษีได้ก็เพราะแนวคิดที่ว่าหากคนจำนวนหนึ่งสามารถออมเพื่อตนเองจนมีเพียงพอในยามเกษียณก็จะช่วยลดภาระของรัฐในการต้องใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งมาดูแลเขาถึงให้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งตรงนี้มองว่าไม่ควรเอามาปนกันกับเรื่อง LTF เพราะมันเกิดมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
       
       “สุดท้ายคือ เรื่องที่ธุรกิจประกันมาเบียดเรื่องภาษีของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปได้โดยให้คิดเป็นเม็ดเงินลดหย่อนภาษีรวมได้นั้น มองว่าเป็นวิจารณญาณของสรรพากรและคลังจึงไม่มีความเห็นใด แต่ไม่ได้มองว่าเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนแต่ประการใด เพราะหากเราเจาะตลาดไม่ได้ดีเท่าประกันชีวิตประชาชนก็ยังได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีผ่านการทำประกันชีวิต ส่วนคนที่ลงทุนในกองทุนแล้วเชื่อว่าน้อยรายจะไม่ลงทุนต่อ”
       
       นางวรวรรณกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม บลจ.ยังมีเวลาอีก 4 ปีกว่าจะถึงปี 2559 อย่าไปมองว่ามันจะเป็น LTF Cliff เหมือนเป็น Fiscal Cliff และควรเน้นการทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจประโยชน์ของการลงทุนยาวๆ ในหุ้น ไม่ควรเน้นการไปขอให้รัฐช่วยเรื่องภาษีแต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากไม่มีภาษีช่วยแล้วผู้ลงทุนจะไม่ลงทุนในกองทุนหุ้นอีกต่อไป มันก็แปลว่าการที่รัฐเอาภาษีมาช่วยนั้นเป็นการเสียเปล่า
       
       นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทุน LTF-RMF ได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษี ต้องยอมรับว่าได้สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้สร้างเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย โดยก่อนหน้านี้หลาย บลจ.เข้าใจว่านโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะหมดอายุในปี 2559 ซึ่งหากกระทรวงการคลังอนุมัติโครงการต่อก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่จากนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง
       
       อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าใจการลงทุนและนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF-RMF นั้นได้เห็นประโยชน์จากการลงทุนระยะยาว ซึ่งกองทุนรวมหุ้นระยะยาวส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ดี ส่งผลให้กองทุน LTF และกองทุนหุ้นอื่นๆ ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันกองทุน LTF มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้น
       
       “เรามองว่าน่าเสียดายมากถ้าหากโครงการสิทธิทางภาษีของกองทุน LTF-RMF ไม่ได้รับการต่ออายุ อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง จริงๆ แล้วเม็ดเงินจากกองทุนนั้นสร้างความเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย”


http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534 (http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 19, 2012, 09:45:33 pm
.
เคล็ดลับการเลือกลงทุนในกองทุนประเภทกองทุน LTF/RMF
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2555 06:59 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000139730-

  Design your life by Mutual Fund
       
       ชาคริต พืชพันธ์
       ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
       บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
       
       ปัจจุบันกองทุนรวมที่เป็นทางเลือกในการลงทุนมีหลากหลายประเภทด้วยกัน โดยมีความแตกต่างทั้งในเรื่อง นโยบายการลงทุน ผลตอบแทน และระดับความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี และเป็นการออมระยะยาวแล้ว กองทุนประเภท RMF/LTF เป็นทางเลือกที่ควรให้ความสนใจ แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเคล็ดลับในการลงทุน ท่านผู้อ่านควรทำความรู้จักกับกองทุน RMF และ LTF กันก่อน
       
       กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ทั้งผู้มีรายได้ประจำ หรือผู้มีสวัสดิการอยู่แล้วแต่ต้องการสะสมเงินออมเพิ่มเติม รวมทั้งผู้ที่ไม่มีสวัสดิการ เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระได้มีโอกาสสะสมเงินเพื่อวัยเกษียณ ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนนี้จะต้องไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีหรือไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว
       
       สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เน้นการลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเช่นเดียวกับ RMF แต่มีเงื่อนไขให้ผู้ถือหน่วย ต้องลงทุนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี ปฏิทิน ซึ่งเงินลงทุนใน LTF ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่ลงทุนจริงแต่ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีและต้องไม่เกิน 500,000 บาท
       
       เคล็ดลับในการลงทุนใน LTF/RMF
       
       1)ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
       
       นักลงทุนควรศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี เพื่อสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยสามารถศึกษาข้อมูลจากบริษัทที่บริหารจัดการกองทุน รวมทั้งจากบริษัทที่มีการรวบรวมข้อมูล เช่น บริษัท Morningstar (Morningstar Thailand: Fund Prices and Performance (http://www.morningstarthailand.com/th/) ) นอกจากศึกษาในด้านผลตอบแทนแล้ว นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงและการจัดเรตติ้งของกองทุนนั้นจากบริษัทจัดอันดับ เช่น Morningstar Risk Morning Star Rating เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจการลงทุน
       
       2)ช่วงเวลาในการตัดสินใจลงทุน
       
       - นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบซื้อกองทุน LTF/RMF ช่วงเดือนธันวาคม สาเหตุน่าจะมาจาก ไม่มีเวลาในการพิจารณา หรือรอโปรแกรมส่งเสริมการขายช่วงใกล้ๆสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมักขึ้นในช่วงนั้น โดยหากคำนวนผลตอบแทน SET index ตั้งแต่ปี 2543 เฉพาะในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.40% และจำนวนปีที่ SET ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนนี้มีถึง 9 ใน 12 ปี เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ดีอย่างน้อยนักลงทุนควรซื้อก่อนเดือนธันวาคม
       
       - ถ้าหากไม่มีเวลาติดตามมีวิธีที่จะลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม คือลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือที่เรียกว่า Dollar cost averaging หรือ DCA ด้วยการวางแผนการซื้อ LTF/RMF ในวงเงินเท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ เดือนจนครบตามจำนวนเงินที่ต้องการซื้อในหนึ่งปี วิธีการเช่นนี้จะมีประโยชน์คือ นักลงทุนไม่ต้องสนใจสภาพตลาดหุ้นเป็นการลดความเสี่ยงในเรื่องของเวลาในการเข้าซื้อ
       
       - ทางเลือกสำหรับท่านที่มีเวลาติดตามข่าวสาร คือลงทุนเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง นักลงทุนต้องมีหลักเกณฑ์ว่าตลาดหุ้นปรับตัวลงเท่าไรถึงจะซื้อ และซื้อในสัดส่วนเท่าไร วิธีนี้ต้องมีวินัยอย่างมาก เพราะช่วงเวลาที่ตลาดปรับตัวลงแรงๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเข้าซื้อ แต่นักลงทุนควรระลึกไว้เสมอการลงทุนใน LTF/RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
       
       ข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในการลงทุน
       
       - ควรจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมาะกับความเสี่ยงในการลงทุนที่ผู้ลงทุนรับได้ นอกจากนั้นควรศึกษาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่างๆให้ถี่ถ้วน
       
       - ควรจะศึกษาเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนอย่างรอบคอบ ในกรณีที่ลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
       
       - การลงทุนใน LTF มีกำหนดเรื่องการขายคืนหน่วยลงทุนได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
       
       - การลงทุนใน RMF สามารถระงับการลงทุนได้ปีเว้นปี (นับตามปีปฏิทิน) ยกเว้นปีที่ไม่มีเงินได้ โดยในปีที่ลงทุนจะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 3% ของเงินได้ หรือ 5000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า นอกจากนั้นจะต้องไม่ได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และไม่กู้ยืมจากกองทุนที่ได้ลงทุนไว้
       
       - ควรจะมีการติดตามว่ากองทุนที่เลือกลงทุนนั้นมีการลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
       
       - การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 19, 2012, 09:46:25 pm
มนุษย์หุ้น 2.0:จงอย่าดูถูกความสามารถตนเอง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤศจิกายน 2555 18:06 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141331-

คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       cway-investment (http://www.cway-investment.com)
       
       เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
       
       สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
       
       ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
       
       โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว

เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ

       คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       cway-investment (http://www.cway-investment.com)
       
       เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
       
       สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
       
       ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
       
       โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว

 
 
 
 
       เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ

 
 
 
 
       Harry Potter and Philosopher’s stone เล่มแรกของเธอได้ตีพิมพ์ในปี 1997 แต่เหมือนว่าชีวิตเล่นตลก หนังสือเล่มแรกของเธอขายได้เพียง 1000 เล่มและ 500 เล่มถูกซื้อเพื่อเก็บเข้าห้องสมุดเยาวชนในอังกฤษ หนังสือเธอไม่ติดตลาดผู้อ่าน จนสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอกลับไปทำงานประจำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก ถ้าเธอยอมแพ้ ทุกอย่างก็คงจบลงมีตรงนั้น แต่ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเลือกที่จะมุ่งมั่นเดินทางต่อ โดยมองไปที่ตลาดอเมริกา เธอให้ตัวแทนของเธอ ส่งลิขสิทธิ์หนังสือเข้าประมูล เพื่อจัดตีพิมพ์ขายในสหรัฐอเมริกา โดยเธอตั้งค่าลิขสิทธิ์เล่มแรกที่ราคาต่ำ เพื่อให้ได้รับโอกาสนี้

 และแล้ว Harry Potter and the Sorcerer’s stone ได้ออกวางจำหน่ายในอเมริกาปี 1998 และกลายเป็นหนังสือขายดี ฮิตติดตลาด จนกระแส Harry Potter โด่งดังไปทั่วอเมริกา และทั่วโลก ปัจจุบันเธอมีผลงานหนังสือ Harry Potter แล้วถึง 7 ภาคโดย Harry Potter and the Deathly Hollow ก็สามารถขายได้ในอเมริกาและอังกฤษรวมกัน 11 ล้านเล่มในวันแรกเพียงวันเดียวและหนังสือเธอยังถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆอีก 23 ภาษาเพื่ออกจำหน่ายทั่วโลก นอกจากนี้ Harry Potter ยังถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ในฮอล์ลิวู๊ด นำมาทำเป็นภาพยนต์ที่โด่งดังทั่วโลก
       
       วันนี้ เจ เค โรว์ลิ่ง วัย 47 ปี จากหญิงม่ายยากจนตกงานเธอกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก เธอได้รับรางวัลและเครื่องราชต่างๆมากมาย มีทรัพย์สินมากถึง $1 billion เธอมีบ้านหลังใหญ่ในย่านเศรษฐีของอังกฤษ และแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลติดหนึ่งในสิบของโลกในปัจจุบัน กว่าจะเดินทางมาถึงตรงนี้เธอผ่านอุปสรรค์มากมาย ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเดิน เธอก็คงจะเป็นได้แค่ผู้หญิงม่ายลูกหนึ่งตกงานธรรมดาคนหนึ่งในย่านคนจน เธอมีทุกวันนี้ได้เพราะความพยายาม การไม่ยอมแพ้ ต่ออุปสรรค์ที่เข้ามา

  ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ ยิ่งถ้าต้นทุนชีวิตเราไม่สูง ไม่ได้เกิดมารวย หรือมีนามสกุลใหญ่โต เป็นเพียงคนเดินดินธรรมดา ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องพยายาม ให้ถึงที่สุด ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ฉลาด เรียนรู้ช้า ก็ยิ่งต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นๆเป็นสองเท่า
   
(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2359562&stc=1&d=1353327683)
   
       การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นกัน หลายคนเข้ามาด้วยความหวังที่อยากจะรวย แต่คนจำนวนไม่น้อยต้องกลับออกไปแบบมือเปล่าหรือติดลบ เพราะตลาดหุ้นนั้นเปรียบดั่งสนามรบ ไม่มีคำว่าง่าย ไม่มีคำว่าหมูและเป็นที่ที่หาเงินยากที่สุด การจะทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนให้ได้ในอัตราที่สูง จากตลาดหุ้นนั้น เราต้องจำเป็นต้องศึกษาองค์ความรู้ กลยุทธการลงทุนต่างๆอย่างหนัก
       
       นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ตัวเราได้รับ ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ จนพัฒนากระบวนการลงทุนที่ถูกที่เหมาะสมกับตัวเอง สิ่งสำคัญคือ เมื่ออย่าคิดดูถูกตัวเราเอง อย่านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ จิตใจที่ไม่ยอมแพ้และความพยายามอย่าสุดกำลังนั้นคือกุญแจสำคัญ ที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายครับ
       
       อ้างอิงแหล่งข้อมูล
       
       -http://www.therichest.org/entertainment/j-k-rowling-net-worth/-
       -http://www.biographyonline.net/writers/j_k_rowling.html-
       -http://en.wikipedia.org/wiki/J._K._Rowling-
       รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2012, 09:22:06 am
ออมเร่งทรัพย์รับปีใหม่
-http://www.dailynews.co.th/article/55/171111-
วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2555 เวลา 00:00 น.

“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน” นี่คืออมตะวาจาที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง การสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะอยู่ที่ใจของเรา เข็มทิศลงทุนเสาร์นี้ ขอเสนอการออมแบบเร่งทรัพย์ รับปีใหม่ 3 แบบ...ง่ายที่จะจำ ทำก็ง่าย

1. ออมทุกทีที่มีเหรียญ อย่าดูถูกกระปุกออมสินว่าเป็นเรื่องของเด็ก เชื่อหรือไม่ว่าผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยรอดตายเพราะเงินในกระปุกออมสิน ขอแนะนำว่าปีใหม่นี้ตั้งใจหยอดเหรียญที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ลงในกระปุกออมสิน เหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท หรือหนึ่งบาท เพราะถ้าหยอดกระปุกได้วันละ 50 บาท เมื่อครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ 20,000 บาท แค่ 5 ปี ก็มีเงินแสน...ใครจะรู้

2. ออมก่อนใช้...โดยแนะนำให้ตัดใจ “ออมก่อนใช้ อย่าใช้ก่อนออม” เงินเดือนออกปุ๊บ ตัด 10% ของเงินเดือนมาเป็นเงินออมโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเงินเดือน 15,000 บาท ตัดใจออมก่อนใช้ 1,500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากประจำ หรือถ้าเป็นสมาชิก กบข. ก็แนะนำให้ใช้บริการออมเพิ่มกับ กบข. ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินทั่วไป ครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ  20,000 บาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) ผ่านไป 5 ปี มีเงินเกือบแสนหากรวมกับเงินในกระปุกออมสินก็มีเงินเกือบสองแสนเข้าไปแล้ว

3. ออมอย่างคนมีแผน สำหรับบางคนที่มีเงินออมอยู่แล้ว ออมมาตั้งนานกว่าจะได้ขนาดนี้ ก็เลยไม่อยากจะไปเสี่ยงอะไร ฝากกินดอกเบี้ยน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ปลอดภัยกว่า ขอบอกว่า “คุณคิดผิด” เพราะ 10 ปีผ่านไปคุณอาจสบายใจที่เห็นเงินของคุณเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าพุ่งพรวดแซงหน้าไปแล้ว ใครจะเชื่อว่า 10 ปีก่อน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาทก็หรูแล้ว แต่วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามเดิมนั้นราคา 35 บาท ขอแนะนำสูตรลับในการสร้างเงินออมให้เพิ่มขึ้น 100% ด้วยเลข 72 ยกตัวอย่าง ต้องการให้เงินออม 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาท ในเวลา 10 ปี ต้องทำอย่างไร ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วย 10 ปี ผลลัพธ์ที่ได้คือ 7.2 นั่นคือตัวเลขของผลตอบแทนจากการลงทุน 7.2% ที่คุณต้องทำให้ได้ 10 ปีติดต่อกัน และในทางกลับกัน หากต้องการให้เงินออมเพิ่มขึ้น 100% ด้วยการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 7.2% ถามว่าต้องใช้เวลากี่ปี ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วยผลตอบแทน 7.2 ผลลัพธ์ที่ได้คือ 10 นั่นคือจำนวนปีที่เงินออมจะเพิ่มขึ้น 100%

สิ่งที่ต้องรู้แจ้งก่อนการลงทุน คือ ความเสี่ยงและผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะลงทุนอย่างคนมีแผน มีดังนี้

1. พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 4.5–4.7%

ข้อดี ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมั่นคง

ข้อควรระวัง สภาพคล่องต่ำ ผลตอบแทนระยะยาวอาจไม่ชนะอัตราเงินเฟ้อ

2. หุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 15%

ข้อดี ผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ

ข้อควรระวัง ความผันผวนของราคาในระยะสั้น และในบางปีมีโอกาสขาดทุน

ออมอย่างคนมีแผนต้องขยันมากกว่าการออมทุกประเภท ต้องดูทิศทางลมของภาวะเศรษฐกิจ เช่น ถ้าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ควรออมเป็นเงินสดไว้ก่อน ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำให้เน้นลงทุนในพันธบัตร ช่วงภาวะเงินเฟ้อให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นให้ลงทุนในหุ้นอย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และถ้าเศรษฐกิจรุ่งก็ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น

เลือกออมแบบไหนก็ได้ หรือทั้ง 3 แบบ ที่เหมาะกับความคาดหวัง และการดำรงชีวิต อย่าลืมพกคาถา “ออมเร่งทรัพย์” ติดใจไว้ตลอดเวลา-ออมก่อนใช้ คิดก่อนจ่าย ไม่สร้างหนี้เพิ่ม รับรองว่าปีใหม่นี้ต้องเป็นปีดีแน่นอน.


---------------------------------------

มาย้ำครับ

“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย
ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน”


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2012, 08:42:53 pm
ข้อคิดในการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000149151-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
10 ธันวาคม 2555 18:49 น.

คอลัมน์ Design
       
       บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ฟิลลิป จำกัด
       www.phillipasset.co.th (http://www.phillipasset.co.th)
       โทร. 02-6353033
       
       เป็นที่ทราบกันดีว่าการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF นั้น นอกจากจะเป็นการออมเงินเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในอนาคตและในยามเกษียณแล้ว นักลงทุนยังสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเหมาะสมต่อนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านนักลงทุนควรที่จะตระหนักถึงข้อคิดในการลงทุนในกองทุนดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมกับตัวนักลงทุน โดยสิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องคำนึงก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนคือ
       
       1. การลงทุนในกองทุน LTF จะเป็นการลงทุนที่สามารถไถ่ถอนได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในระยะเวลาแค่ 5 ปีปฏิทิน แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะต้องรับทราบและยอมรับในความผันผวนของราคาของตราสารทุนนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าที่ลงทุน ในขณะที่การลงทุนในกองทุน RMF แม้ว่าจะเป็นการลงทุนในระยะที่ยาวกว่าการลงทุนในกองทุน LTF แต่จะเป็นการลงทุนที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในตราสารทุกประเภท ดังนั้นนักลงทุนสามารถที่จะกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในกองทุน LTF
       
       2. การลงทุนในกองทุน RMF เป็นการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการออมเผื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายยามเกษียณมากกว่าการลงทุนในกองทุน LTF เพราะนักลงทุนสามารถที่จะไถ่ถอนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีสูงสุดก็ต่อเมื่อการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นการลงทุนที่มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และนักลงทุนจะต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งดูโดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะคิดว่าเป็นการลงทุนที่นานเกินไป แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนที่ไว้ใช้ในยามเกษียณจริงๆ ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะเริ่มไถ่ถอนในยามเกษียณ ในระหว่างระยะเวลาก่อนที่นักลงทุนจะสามารถไถ่ถอนได้ ถ้านักลงทุนไม่สามารถที่จะลงทุนในกองทุน RMF ได้ นักลงทุนก็ยังสามารถที่จะเว้นการลงทุนได้เพียงแต่จะต้องเว้นได้ไม่เกิน 1 ปีปฏิทิน หรือนักลงทุนสามารถเลือกที่จะลงทุนในจำนวนที่น้อยที่สุดตามที่กฎหมายระบุไว้ จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นพอสมควร ไม่ทำให้เกิดภาระที่มากเกินไปต่อนักลงทุน
       
       3. ถ้านักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทในปีปฏิทินเดียวกัน นักลงทุนควรที่จะกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม กล่าวคือ นักลงทุนควรที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ และ/หรือกองทุนที่ลงทุนในทองคำ มากกว่าที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารทุนหรือกองทุนแบบผสม เพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวในการลงทุนในตราสารทุนที่มีสัดส่วนมากจนเกินไป เพราะต้องอย่าลืมว่าการลงทุนในกองทุน LTF นั้นเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น
       
       4. นักลงทุนไม่ควรที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทแต่เฉพาะในช่วงปลายปีเท่านั้น ควรที่จะกระจายระยะเวลาในการลงทุน โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปีตราสารทุนจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนอาจเสียโอกาสที่จะทำกำไรได้ นักลงทุนควรที่จะเลือกลงทุนในไตรมาสที่เห็นว่าตราสารทุนมีราคาที่เหมาะสม หรือเลือกลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน กล่าวคือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กันในทุกๆ เดือน
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2012, 10:20:58 pm
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 9 ธ.ค.2555 )  ผมไปทานอาหารเย็นกับพี่ท่านนึง  พี่ท่านนี้ได้ให้ผมช่วยดูการซื้อกองทุน RMF

วันนี้ผมก็เลยซื้อกองทุน RMF ในกองที่ลงทุนในทองคำ 

ราคาทองคำวันนี้  ค่อนข้างต่ำในความเห็นผมครับ

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2012, 09:50:43 am
ทองคำ....ปีมะเส็งยังขึ้นต่อ ภาพรวมผันผวน-เงินเฟ้อหนุนราคา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 ธันวาคม 2555 08:45 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000157832-

(http://pics.manager.co.th/Images/555000016624901.JPEG)

 ทิศทางทองคำปีมะเส็ง คนในวงการเชื่อมีความผันผวนสูงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้น ย้ำการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังสหรัฐฯ เป็นตัวชี้วัดต่อแนวโน้มของราคาช่วงไตรมาส 1 ส่วนระยะยาวเชื่อปัจจัยจากฟากเอเชียจะหนุนราคาทองปรับตัวเพิ่ม โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่ทั่วโลกหนีไม่พ้น คาดทั้งปีลุ้นสูงสุดเท่าเป้าหมายเดิม 1,800 เหรียญ/ออนซ์
       
           นายสัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในปี 2556 ว่า นักลงทุนควรพิจารณาในเรื่องปัจจัยที่มีผลกระทบกับราคาทองคำเป็นลำดับแรก นั่นคือ สถานการณ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะเป็นเช่นไร ปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) จะเป็นเช่นไร จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหรือไม่ ส่วนตัวมองว่า ถ้าเศรษบกิจของสหรัฐฯ ชะงักจากปัญหาดังกล่าว จะส่งผลให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่น่าสนใจอีกครั้ง
       
           ส่วนในช่วงปลายปี 2555 ที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงนั้น ประเมินว่า เป็นการโยกย้ายสินทรัพย์การลงทุนจากทองคำไปเป็นหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นมากกว่า ไม่ใช่เกิดจากความน่ากังวลว่าราคาทองคำมาสู่แนวโน้มปรับตัวลงอย่างถาวร เพราะหากดูปริมาณการเข้าลงทุนทองคำของกองทุนขนาดใหญ่อย่าง SPDR และธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ ยังพบว่า มีความต้องการเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง
       
           “ปี 2555 ทั้งปีราคาทองคำวิ่งอยู่ที่ 1,520-1,800 เหรียญ/ออนซ์ หรือประมาณ 22,400-26,000 บาท ภาพรวมเรายังเชื่อว่าราคาทองยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่ถ้าหากหลุดแนวรับที่ 22,500 บาท เราก็เชื่อว่านั่นจะเป็นขาลงของทองคำอย่างแท้จริง”
       
           สำหรับราคาเป้าหมายของทองคำในปี 2556 นายสัญญา กล่าวว่า ยังคงเป็นสถิติเดิมที่ราคาทองคำเคยปรับตัวขึ้นไปถึง นั่นคือ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งปัจจัยที่จะช่วยผลักดันให้ราคาทองคำไปถึงจุดดังกล่าวได้ มากจากปริมาณเงินในระบบ เพราะที่ผ่านมา มาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของสหรัฐฯ ในรอบนี้ เน้นเพิ่มสภาพคล่อง และไม่ต้องการให้เงินปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรง จึงใช้วิธีแบบทยอยอัดฉีด อย่างไรก็ตาม การการอัดฉีดเม็ดเข้าย่อมทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว และย่อมมีผลต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น
       
       หน้าผาการคลังมีผลต่อทองคำQ1
           นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำว่า ภาพรวมในปีที่ผ่านมา ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวรุนแรงเหมือนเช่นปีก่อนๆ โดยการปรับตัวขึ้นที่ชัดเจนในรอบปี 2555 นั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการใช้มาตรการ QE3 ซึ่งทำให้ราคาในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 26,000 บาท แต่ก็เป็นการปรับขึ้นมาไม่มากเท่าใด เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโรโซน ที่เริ่มจากกรีซ และเริ่มส่อเค้าลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆ ได้แก่ สเปน และอิตาลี อีกทั้งที่ผ่านมา ราคาทองคำก็ถูกกดดันจากการเทขายทำกำไรของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ด้วย
       
           ทั้งนี้ ในปี 2556 ประเมินว่า ราคาทองคำยังไม่อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน และมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ กลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และจีน
       
           “ไตรมาส 1 นักลงทุนต้องติดตามปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะออกมาในทิศทางใด ประธานาธิบดีโอบามาจะจัดการกับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า เพราะจะมีผลต่อตลาดหุ้น และทองคำ รวมถึงมาตรการขึ้นภาษีคนรวย และการตัดงบประมาณภาครัฐ ทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ที่ประมาณ 1,600-1,800 เหรียญ/ออนซ์”
       
           สำหรับภาพรวมการซื้อขายทองคำในประเทศ นายพิชญา กล่าวว่า แม้ราคาทองคำไม่อยู่ในระดับที่สูงมากนัก แต่ปริมาณการซื้อขายทองคำก็ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เช่น ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่หลายคนนิยมจัดงานแต่งงาน แต่ความต้องการในทองรูปพรรณกลับไม่ได้มีเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อทองคำแท่ง แม้ราคาจะอยู่ในช่วงทรงตัวก็ยังไม่พบปริมาณการซื้อสะสม หรือเพื่อลงทุนในจำนวนที่มาก
         ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมทองคำในประเทศ ยังต้องเผชิญหน้ากับพวกมิจฉาชีพ นั่นคือ ทองคำปลอม ที่มีกลวิธีโกงในรูปแบบต่างๆ เช่น นำทองคำน้ำหนักมาตรฐานมาผสมปนกับทองคำปลอมในบางส่วนเพื่อตบตาร้านค้าทองคำ ซึ่งเท่าที่จับกุม และดำเนินคดีพบว่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากช่างทำทองที่ทุจริตต่อวิชาชีพของตนเองนำทองปลอมมาต่อตัวเรือนร่วมกับทองคำมาตรฐานเพื่อใช้ตบตา
       ส่วนการเปิดเสรีทางการค้าอย่างเต็มตัวในอนาคต ประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยจะมีคู่แข่งขันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากทางมาเลเซีย และอินโดนีเซียที่ใช้เครื่องจักรในการผลิต ทำให้มีปริมาณทองคำในจำนวนที่มาก และราคาที่ต่ำกว่า แม้ไทยยังได้เปรียบในน้ำหนักมาตรฐาน แต่ภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อเรื่องภาษีในการจัดเก็บเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจของตนเองได้

(http://pics.manager.co.th/Images/555000016624902.JPEG)

ปัจจัยฝั่งเอเชียเป็นผลบวกต่อราคาทอง
       
           ด้านฝ่ายวิจัย บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด (AFC Research) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ประเมินภาพรวมการลงทุนทองคำ ปี 2556 ว่า 1.เอเชียโดยรวมน่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ ซึ่งจากภาพเศรษฐกิจ และการเงินที่ย่ำแย่ของญี่ปุ่น ทำให้มีการคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงผ่อนคลายของเอเชีย ที่มีแนวโน้มที่จะนำมาซึ่งปริมาณเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบ อันเป็นผลบวกต่อการคาดหวังราคาทองคำได้อย่างดี  และล่าสุด การประกาศรายงานประชุมของธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่นที่ได้คงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดที่ไม่เกิน 0.10% และได้ขยายวงเงินอัดฉีด หรือผ่อนคลายเชิงปริมาณจาก 66 ล้านล้านเยนเป็น 76 ล้านล้านเยน และน่าจะมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปในปี 2556 ขณะที่ ด้านจีน เศรษฐกิจโดยรวมได้เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
       
           นอกจากนี้ ปัจจัยทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงผู้นำในประเทศที่สำคัญในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ จีนยุคใหม่ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า น่าจะส่งเสริมและสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะผลบวกต่อสกุลเงินในเอเชีย และทองคำในปี 2556
       
           2.ยุโรปยังน่าเป็นห่วง และกดดันราคาทองคำ โดยประเทศในกลุ่มยุโรปโดยรวม  มีแนวโน้มที่จะสร้างความกดดันต่อราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องของแนวทางการจัดการหนี้สินภาคยุโรปในระดับมหภาค เพราะจากภาพของการประชุม Eurogroup หรือ Ecofin ที่ผ่านมาในรอบปี 2555 โดยรวมได้สะท้อนภาพของการพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งได้ปรากฏออกมาในแผนงานในการช่วยเหลือกรีซ สเปน และอีกหลายประเทศ ประกอบกับแรงกดดันจากการต่อต้านนโยบายการเงินแบบรัดกุมของประเทศกลุ่มยูโร ได้สร้างความผันผวนเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม และราคาทองคำ    ทำให้ฝ่ายวิจัย คาดว่า  ปัญหาหนี้สาธารณะ สถานการณ์การเมืองในกลุ่มยุโรปโดยรวมยังคงมีอยู่ และดูเหมือนจะค่อยๆ คลายปัญหาออกมาเรื่อยๆ จนถึงปลายปี 2555 และปี 2556
       
           3.ผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 กับบทบาทที่ท้าท้าย จากการที่ นายโอบามา ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ได้ส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหลายๆ โครงการ และมาตรการที่ดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็น่าจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี จากผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดไม่เกินร้อยละ 0.25 และการสร้างความคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเข้าซื้อพันธบัตรในวงเงินถึง 45,000 ล้านเหรียญต่อเดือนจนกว่าระดับของอัตราการว่างงานนอกภาคการเกษตรจะลดลงเหลือที่ระดับไม่เกินร้อยละ 6.5 และอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 2.5 ได้สร้างความผันผวนเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุน แต่อาจเป็นปัจจัยเชิงลบต่อราคาทองคำได้จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามความมั่นใจในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
       
           นอกจากนี้ ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ และนาย Boehner โดยเนื้อหาหลักๆ ได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มภาษีผู้มีรายได้ $1 ล้านต่อปี แทนที่ข้อเสนอของนายโอบามาที่ $4 แสนต่อปี เพื่อเป็นการกดดันนายโอบามาให้มีการลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น นับเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
       
           ฝ่ายวิจัยมองว่า ต้องจับตาดูถึงสัญญาณแห่งการฟื้นตัว โดยสังเกตจากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว เพราะมองว่า จากความต่อเนื่องของการพยายามหามาตรการต่างๆ มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้สหรัฐฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัว และอาจส่งผลลบต่อราคาทองคำได้


http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000157832 (http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000157832)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2013, 06:13:41 am
ข้อมูลควรรู้ เกี่ยวกับ เครดิตบูโร
-http://hilight.kapook.com/view/80943-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เครดิตบูโร" (Credit Bureau) ในยามที่เราจะทำธุรกรรมด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการขอสินเชื่อ บางคนบอกว่า "ติดเครดิตบูโร" บ้างก็บอกว่า "ติด Black List" แล้ว 2 อย่างนี้ คืออะไร ใช่อันเดียวกันหรือไม่ ในวันนี้ กระปุกดอทคอม จึงนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ เครดิตบูโร ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ถือบัตรเครดิตอยู่ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการจะมีบัตรเครดิตในวันข้างหน้า มาฝากกันค่ะ เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจข้อมูลเครดิต หรือ Credit Bureau กันเลย...

เครดิตบูโร คืออะไร

            เครดิตบูโร นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก เครดิตบูโร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้

รายงานข้อมูลเครดิตเก็บข้อมูลใดไว้บ้าง

            เครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลนี้จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนที่บ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน และอีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิต รวมเรียกว่า "รายงานข้อมูลเครดิต" รายงานข้อมูลเครดิตจะมีการบันทึกและจัดเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง รวมถึงประวัติการผิดนัดชำระในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน ด้วยเหตุนี้แล้ว การชำระสินเชื่อทุกครั้งให้ตรงเวลาจึงเป็นการรักษาเครดิตที่ดีที่สุด

ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต

            นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ มีค่าธรรมเนียม 100 บาท ทั้งนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้

การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง

            ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 มาตรา 25 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของข้อมูลให้เจ้าของข้อมูล มีสิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตน โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีความยินดีที่ให้ท่านตรวจสอบข้อมูล ดังนี้

ณ ที่ทำการบริษัท  (ศูนย์บริการตรวจสอบเครดิตบูโร) มีขั้นตอนดังนี้

1. เจ้าของข้อมูลมาติดต่อด้วยตนเอง แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา

            บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริงนำมาแสดง

 
กรณีนิติบุคคล

            สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมดารผู้มีอำนาจ

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            ตราประทับของนิติบุคคล (ถ้ามี) เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต


2. เจ้าของข้อมูลมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาดำเนินการแทน แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา

            หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง

 
กรณีนิติบุคคล

            หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

            สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม้เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจประทับตราของนิติบุคคล (ถ้ามี)

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และลงนามรับรองความถูกต้องพร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท

            เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ฉบับละ 20 บาท)

 
สถานที่ตรวจสอบข้อมูลเครดิต ศูนย์บริการตรวจสอบบูโร 3 แห่ง ดังนี้

1. ส่วนบริหารเจ้าของข้อมูล บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

    อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (สำนักงานใหญ่)
    เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
    โทรศัพท์ : (66) 02-643-1250
    โทรสาร : (66) 02-612-5895
    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 16.30 น.


2. สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ด้านในสถานี)

    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 18.00 น.
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


3. ห้างเจเวนิว (นวนคร) ติดโรงพยาบาลนวนคร

    เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 น. - 19.00 น. หยุดนักขัตฤกษ์
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเองผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการตรวจสอบเครดิตบูโร

            เคาน์เตอร์ธนาคาร ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

            ทำรายการผ่านตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ (ต้องมีบัตรเอทีเอ็ม)

            ทำรายการผ่านระบบธนาคารบนโทรศัพท์มือถือของธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตของธนาคารนั้น ๆ

            ทำรายการผ่านธนาคารออนไลน์ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัญชีธนาคาร (ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดา)

            กรณีทำรายการผ่านเครื่อง ATM สามารถทำรายการขอข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือแบบฟอร์มคำขอ ส่วนในกรณียื่นผ่านสาขา ลูกค้าสามารถเลือกการรับข้อมูลเครดิตได้หลายแบบ ทั้งแบบปีละ 1 ครั้ง 2 ครั้ง 4 ครั้ง หรือ 6 ครั้ง โดยยื่นความจำนงเพียงครั้งเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอย่างมากให้กับลูกค้าและประชาชน จากนั้นศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะส่งข้อมูลเครดิตบูโรให้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วัน คิดค่าบริการ 150 บาท ต่อ 1 รายการ


การติดแบล็กลิสต์ (Black List) หรือ การติดเครดิตบูโร

            ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสต์จากเครดิตบูโร แต่ความจริงแล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสต์ผู้ขอสินเชื่อ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อเพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้น ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 
จะขอสินเชื่อแต่ติดเครดิตบูโรจะทําอย่างไร

            มีหลายท่านที่ต้องการจะขอกู้เงิน ไม่ว่าจะนำไปซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือจะขอกู้เงินไปทำอะไรก็ตาม แต่ต้องมาประสบปัญหาติดแบ็กลิสต์เครดิตบูโร เพราะทุกธนาคาร ทุกสถาบันการเงิน ต้องมีหน้าที่คอยส่งข้อมูลเครดิตของเราให้กับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ดังนั้นถ้าหากเรามีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ก็จะทราบข้อมูลของเราทั้งหมด ทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน ซื่งถ้าหากประวัติของเราเสีย หรือติด Black List โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่เกิดจากความผิดพลาดของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่ไม่ตรวจสอบรายงานก่อนทำการส่งข้อมูลเครดิตให้ดีก่อน เช่น

            กรณีที่ลูกหนี้ชำระหนี้หมดแล้ว แต่การปฏิบัติการส่งข้อมูลเครดิตผิดพลาด

            กรณีถูกปลอมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ

            กรณีถูกปลอมเอกสารในการสมัครบัตรเครดิต

            กรณีถูกขโมยข้อมูลของบัตรเครดิต

            ทั้งนี้ ถ้าเกิดปัญหาดังกล่าว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายป้องกันทุจริตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่จะต้องประสานงานเพื่อยับยั้งการส่งข้อมูลเครดิตที่ไม่ถูกต้อง หรือที่เรียกกันในวงการธนาคารว่า Dispute Transaction คือ มีการตั้งยอดมูลหนี้ที่เกิดจากการทุจริต เพื่อการตรวจสอบจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย และไม่นำยอดดังกล่าวมาลดจำนวนวงเงินเครดิตลูกค้า

            อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้วเห็นว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการส่งข้อมูลเครดิตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน เราสามารถโต้แย้งได้โดยตรงและสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้บริโภคคนใดขอฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพราะคนไทยชอบคิดไปเองว่าเค้าใหญ่กว่าเราสู้ไม่ได้หรอก นั่นเป็นเหตุผลที่คนไทยมักอยู่ในมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่ำมาก เพราะทุกคนไม่รู้สิทธิ์ของตนเอง หรือรู้สิทธิ์ของตัวเองดีแต่ไม่กล้าดำเนินการใด ๆ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110714/400265/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html-

, บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด -https://www.ncb.co.th/Default.htm-

, consumerthai.org -http://www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=7893-

.



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2013, 09:37:04 am
ถาม-ตอบ ให้หายสงสัย เรื่อง..กองทุนเงินทดแทน
-http://hilight.kapook.com/view/81843-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ในชีวิตคนเราที่ต้องทำงานในแต่ละวันนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันในขณะที่ทำงานได้เสมอ และจุดนี้เองที่รัฐบาลได้เล็งเห็น จึงนำไปสู่การจัดตั้ง "กองทุนเงินทดแทน" (workmen's compensation fund) เพื่อเป็นทุนให้มีการจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย อันเนื่องจากการทำงาน และวันนี้ กระปุกดอทคอม ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงรายละเอียดเรื่อง กองทุนเงินทดแทน ที่คนทำงานอย่างเราควรรู้ไว้นะคะ

กองทุนเงินทดแทน คืออะไร (workmen's compensation fund)

          กองทุนเงินทดแทน เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 เพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตาย หรือสูญเสียเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง

ใครเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบ และผู้ได้รับประโยชน์

          นายจ้างเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนเพียงฝ่ายเดียว เพียงปีละ 1 ครั้ง มีลักษณะเหมือนเบี้ยประกัน และเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างเล้วเกิดประสบอันตราย ลูกจ้างก็จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วยค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพ

เงินสมทบ คืออะไร

          เงินสมทบ คือเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะทำการเรียกเก็บจากนายจ้างเป็นรายปี โดยแจ้งจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้ทราบตามใบแจ้งเงินสมทบ เงินสมทบนี้จะคิดจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทั้งปีรวมกัน คูณกับอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการนั้นซึ่งนายจ้างแต่ละประเภทจะจ่ายในอัตราเงินสมทบหลักที่ไม่เท่ากัน ระหว่างอัตรา 0.2 เปอร์เซ็นต์ - 1.0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเสี่ยงภัยตามลักษณะงานของกิจการของนายจ้าง นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบตามอัตราหลัก 4 ปี ติดต่อกันและในปีที่ 5 เป็นต้นไป จะมีการคำนวฯอัตราส่วนการสูญเสียเพิ่มลด -เพิ่ม อัตราเงินสมทบให้นายจ้าง

ขอบข่ายความคุ้มครอง

          ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 บังคับใช้กับสถานประกอบการธุรกิจเอกชนทุกประเภท ที่แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ทั่วราชอาณาจักร ยกเว้น

             1. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น

             2. รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

             3. นายจ้าง ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยว กับครู หรือครูใหญ่

             4. นายจ้างซึ่งดำเนินกิจการ ที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ

             5. นายจ้างอื่น ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

นายจ้างในกิจการใดบ้าง มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ

          นายจ้างในทุกประเภทกิจการและทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน และนายจ้างผู้ใดมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนแล้วยังคงมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบต่อไป แม้ว่าภายหลังจะมีลูกจ้างไม่ถึง 10 คนก็ตาม

กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน

          นายจ้างจะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างครบ 10 คน
สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน

          กำหนดให้นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ ณ ท้องที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นได้ที่ สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ 1 (ดินแดง) เขตพื้นที่ 2 (เขตบางขุนเทียน) เขตพื้นที่ 3 (รามอินทรา) เขตพื้นที่ 4 (คลองเตย) เขตพื้นที่ 5 (ประชาชื่น) เขตพื้นที่ 6 (ธนบุรี) และเขตพื้นที่ 7 (พระนคร) ในเขตต่างจังหวัด ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด

เอกสารอะไรบ้างที่ต้องนำมาในวันยื่นแบบ

          เอกสารที่นายจ้างจะต้องนำมาในวันยื่นแบบขึ้นทะเบียน ได้แก่

               - แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (แบบ สปส.1-01) ใช้ชุดเดียวกับการขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม

               - สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือสำเนาใบทะเบียนพาณิชย์

               - สำเนาใบทะเบียนภาษีมุลค่าเพิ่ม (แบบ ภพ.20) หรือสำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (แบบ รง.4)

               - แผนผังแสดงที่ตั้งของสำนักงาน หรือโรงงานของนายจ้าง

เมื่อนายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับอะไรเป็นหลักฐาน

               - เลขที่บัญชี ซึ่งจะเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคม เพื่อใช้อ้างอิงในการติดต่อ

               - ใบแจ้งเงินสมทบ เพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุน พร้อมทั้งกำหนดวันที่ซึ่งนายจ้างจะต้องนำเงินมาจ่าย

นายจ้างจะต้องจ่าย เงินสมทบประจำปีเมื่อใด

          กองทุนเงินทดแทนจะเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเป็นรายปี (ปีละ 1 ครั้ง) โดยในปีแรก นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างครบ 10 คน สำหรับปีต่อ ๆ ไป จ่ายภายในเดือน มกราคมของทุกปี เงินสมทบที่เรียกเก็บเมื่อต้นปีนั้น คิดมาจากจำนวนเงินค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจไม่เท่ากับค่าจ้างจริงที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากในระหว่างปี นายจ้างอาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนลูกจ้างปรับอัตราค่าจ้างเป็นต้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปีจึงให้นายจ้างแจ้งจำนวนค่าจ้างรวมทั้งปี มายังสำนักงานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกับเงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อต้นปี หากเงินสมทบที่เก็บไว้เดิมน้อยกว่าก็จะเรียกเก็บเพิ่ม ภายใน 31 มีนาคม หากจำนวนเงินค่าจ้างรวมทั้งปีต่ำกว่าเดิมนายจ้างจะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินไว้คืนไป

วิธีการจ่ายเงินสมทบ

          นายจ้างจะชำระเงินสมทบด้วยเงินสด เช็ค ดร๊าฟ หรือ ธนาณัติ หรือชำระผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด ทุกสาขา
เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง

          สิทธิจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อนายจ้างมีลูกจ้างครบ 10 คน ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่จะต้องขึ้นทะเบียน ภายใน 30 วัน ตามกฎหมายกำหนด

ทำอย่างไรเมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย หรือประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน

             1. นายจ้างต้องให้การรักษาพยาบาลแก่ลูกจ้างโดยทันที

             2. แจ้งให้เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทนทราบภายใน 15 วัน นับจากวันที่นายจ้างทราบการเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย หรือสูญหาย ตามแบบ กท.16

             3. ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลใดก็ได้ โดยทดลองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแล้วนำใบเสร็จรับเงิน  ไปเบิกคืนภายใน 90 วัน หรือ

             4. ใช้แบบ กท.44  ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาล หากสถานพยาบาลนั้นอยู่ในความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน ทางสถานพยาบาลจะเรียกเก็บ ค่ารักษาพยาบาล จากกองทุนเงินทดแทนเอง

กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัว จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาล และค่าทดแทนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือน หากต้องหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วัน ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ปี

กรณีสูญเสียอวัยวะจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนในการหยุดพักรักษาตัว และค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือน ในการสูญเสียอวัยวะ ไม่เกิน 10 ปี กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู จะได้รับค่าฟื้นฟูค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูด้านการแพทย์ และอาชีพเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน 20,000 บาท

กรณีทุพพลภาพจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนเป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี

กรณีถึงแก่ความตาย หรือสูญหายจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่าทำศพเป็นเงิน 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนเป็นเวลา 8 ปี

ค่าทดแทนจะได้รับเมื่อไรและอย่างไร

          ค่าทดแทน กรณีหยุดงาน สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ ตาย หรือสูญหาย จะได้รับในอัตราที่ต้องไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท และไม่เกิน 9,000 บาท ต่อเดือน

จะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างไร

          ให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกคืนได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่ายแต่ถ้าทำการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับกองทุน สถานพยาบาลนั้นจะเรียกเก็บเงินจากกองทุนโดยตรง

เมื่อมารับเงินใช้หลักฐานอะไรบ้าง

          บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ ซึ่งมีรูปถ่ายด้วย หากไม่ได้มารับด้วยตนเองจะต้องมีใบมอบฉันทะพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบมาแสดงด้วย

นายจ้างที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 10 คน ต้องปฏิบัติตนอย่างไร

          ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ แต่เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน เพื่อออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามสิทธิ เช่นเดียวกับที่กองทุนเงินทดแทนจ่าย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
siamhrm.com , srkhosp.com , md.kku.ac.th



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 17, 2013, 09:05:43 am
เทคนิคการซื้อขายที่ไม่ใช่กราฟ ......... บล.โกลเบล็ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2556 15:58 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000032047-

ปกตินักลงทุนและนักเก็งกำไรมักจะชอบไปฟังสัมมนาให้ความรู้เรื่องการ วิเคราะห์เรื่องกราฟที่เรียกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่น้อยแห่งนักที่จะสอนถึงแนวคิดการลงทุนการเก็งกำไรที่ดี หากจะได้ฟังก็มักจะต้องไปฟังผู้ที่เป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนที่มีการเทรด จริงมาก่อนแล้วยังประสบความสำเร็จ เพราะบุคคลเหล่านี้เรียกว่าผ่านสนามรบจริงมาแล้วเอาตัวรอดมาได้ จากที่เคยคุยกับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะมีแนวคิดบางอย่างที่คล้ายๆกันซึ่งวันนี้จะขอเอามาสรุปให้ฟัง
       
       ทำการบ้านให้หนักเพื่อค้นพบตัวเอง
       ทหารบางคนรบเก่งในป่า บางคนเก่งในทะเลทราย บางคนเก่งในน้ำ นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรก็เช่นกัน ต้องหาสินค้าหรือสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ที่เราถนัดให้ได้ จะเป็นหุ้น ทองคำ ฟิวเจอร์ส ที่ดิน นาฬิกา พระ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่เรารู้จริงรู้ดี ได้เปรียบ บางคนซื้อขายอินเตอร์เน็ทเก่ง แต่บางคนซื้อขายอินเตอร์เน็ทกลับคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนขาดทุนมากมายก็มี บางคนกลัวความเสี่ยง เจอราคาผันผวนนิดหน่อยก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่บางคนกลับทำได้ดีเมื่อเจอราคาผันผวน เพราะฉะนั้นต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เรากำลังไปลงทุน เรามีข้อได้เปรียบกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาด และเราเหมาะกับการลงทุนประเภทนั้น เหมาะกับความเสี่ยงระดับนั้น
       พยายามขาดทุนให้น้อยที่สุด
           การลงทุนมีความเสี่ยง เรามักจะได้ยินคำนี้เสมอ แสดงว่าการลงทุนแทบจะทุกชนิดมีโอกาสขาดทุน แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะพยายามลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนให้ได้มาก ที่สุด กระทำได้โดยหลายวิธีเช่น ศึกษาข้อมูลจนรู้ถึงแก่นแท้ในสินทรัพย์ตัวนั้นๆเมื่อและเลือกเข้าลงทุนเมื่อ โอกาสชนะมากกว่าแพ้มากๆ  ซึ่งจะยอมขาดทุนก็ต่อเมื่อสิ่งที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้วนั้นมันเปลี่ยนไป อย่างมีนัยยะเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะให้ความสำคัญกับฝั่งกำไรโดย มองข้ามฝั่งขาดทุนไป
       ใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
           ราคาที่ผันผวนในตลาดมักจะทำให้คนที่เฝ้าติดตามนั้นเกิดอารมณ์ร่วม ซึ่งอารมณ์จะมีอยู่ 2 ชนิดคือ ความกลัว และความโลภ โดยความกลัวจะทำให้คนมองเห็นแต่คำว่า “ความเสี่ยง” ส่วนความโลภจะทำให้คนมองเห็นแต่คำว่า “กำไร” ทำให้หลายๆครั้งเวลาราคาสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งต่ำมากๆแต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ กล้าซื้อเพราะความกลัวครอบงำ ตรงกันข้ามกับเมื่อราคาสินทรัพย์ตัวเดียวกันแพงมากๆเกินความเหมาะสมแต่คน ส่วนใหญ่กลับกล้าซื้อเพราะความโลภมันบังตา
       ถ้าพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มยังคงเดิม อย่าเดาว่ามันจะเปลี่ยน
           การทำนายอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอนสูง เพราะฉะนั้นตราบใดที่ปัจจัยหลักหรือแนวโน้มของราคา วัฏจักรของราคา มันยังไม่เปลี่ยน ก็พยายามอย่าไปคิดว่ามันจะเปลี่ยน ก่อนจะเข้าไปลงทุนต้องตอบให้ได้ก่อนว่าเหตุผลในการซื้อคืออะไร เช่นเดียวกับการขายก่อนขายต้องตอบให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงขาย เพราะเราเดาเอาเองหรือเปล่าว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลง
           แนวคิดหลักๆที่ฟังดูเหมือนสิ่งง่ายๆเหล่านี้ทุกคนอาจเคย ได้ยิน แต่เฉพาะคนที่ทำได้เท่านั้นถึงจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ลองทบทวนสิ่งที่ทำในอดีตว่าที่เราไม่ประสบความสำเร็จเพราะเรามองข้ามหลักคิด พื้นๆพวกนี้ไปหรือเปล่า
       
       สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช  ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก

http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000032047 (http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000032047)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 04, 2013, 10:40:40 pm
ปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาทองคำในปี 2556
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199-

 ณ วันที่ 13/12/2555

 
     สวัสดีท่านสมาชิกทุกท่าน ย่างเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2555 กันแล้วนะครับ ปีนี้ราคาทองคำร้อนแรงน้อยกว่าปีที่แล้วที่สามารถสร้าง All time High ได้ในเดือนสิงหาคม ขณะที่หลายสำนักต่างคาดการณ์กันว่าในปีหน้าฟ้าใหม่ 2556 ราคาทองคำจะสามารถกลับมาดึงดูดใจนักลงทุนได้อีกครั้ง ทำให้จุลสารฉบับส่งท้ายของปีนี้ขอข้ามไปจับประเด็นร้อนของปีหน้าโดยการติดตามคาดการณ์ทำให้สามารถจับประเด็นได้ว่าเรื่องร้อนในปีหน้าคงหนีไม่พ้น US Fiscal crisis, Eurozone debt crisis และ Expansion Monetary policy นอกเหนือจากนี้ยังมีการซื้อขายเก็งกำไรและการสะสมของบรรดากลุ่มนักลงทุนระยะยาว โดยมีปัจจัยที่น่าจะกระทบต่อราคาดังนี้

    ทิศทางราคาทองคำในปี 2556 ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยเดิมในปี 2555 โดยเฉพาะนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางจีน (PBOC) จากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ซึ่งเชื่อว่าจะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2556 จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการคลังสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) และปัญหาหนี้สินยุโรป ส่วนจีนนั้นต้องมีการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจแม้จะไม่ได้เป็น Hard Landing อย่างที่หลายฝ่ายกังวล แต่เศรษฐกิจที่กลับมาเติบโตแบบเลขตัวเดียวในปี 2555 ก็ถือว่ากระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ นโยบายทางการเงินสหรัฐฯ เชื่อว่าจะมีการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับผลกระทบของ Fiscal Cliff โดยถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน มาตรการทางการเงินอย่าง QE3และการคง FED Fund Rateในระดับใกล้ศูนย์จะยังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ Operation Twist ที่จะหมดอายุในช่วงปลายปี 2555 อาจจะมีการต่ออายุ ซึ่งจะทำให้ทิศทางของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่วนวิกฤติหนี้ยุโรปเชื่อว่าจะกระทบต่อตลาดการลงทุนตลอดทั้งปี 2556 ทำให้ความผันผวนในตลาดการลงทุนปีนี้ยังมีต่อเนื่อง ปัจจัยเงินเฟ้อในปี 2556 ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่ากังวลเนื่องจากความต้องการใช้พลังงานอาจจะลดลงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนอุปสงค์ทองคำเชื่อว่ามีต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของธนาคารกลางแต่อาจจะถูกชดเชยจากอุปสงค์ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่ลดลง ค่าเงินบาทคาดเฉลี่ยทั้งปีแข็งค่าขึ้นจากนโยบายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ เงินทุนไหลเข้า แต่เชื่อดอกเบี้ยนโยบายอาจจะลดลง 0.25-0.50% จากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ลดลง 

     ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเชื่อว่ายังเป็นปัญหาหลักในปี 2556 สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาหนักด้านการตัดลดการใช้จ่ายด้านการคลัง หรือที่เรียกว่าหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ซึ่งอาจจะต้องตัดลดรายจ่ายกว่า 6 แสนล้าน (ถ้าไม่สามารถต่ออายุมาตรการภาษีได้ทัน) หรือตัดลดรายจ่ายประมาณ 8.6 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามกฎหมายตัดลดรายจ่าย 1.2 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้สหรัฐฯ เรามองว่าการใช้จ่ายที่ลดลงของภาครัฐจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับที่น้อยกว่า 2% ในปี 2556    การจ้างงานในส่วนของพนักงานรัฐ      โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญที่ถูกตัดลดรายจ่าย บวกกับบัณฑิตที่จบใหม่ จะทำให้อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงกว่า 7%         ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ FEDทำให้เชื่อว่าการดำเนินนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ  จะมีอย่างต่อเนื่องในปี 2556 โดยเฉพาะมาตรการ QE3     ที่จะเพิ่มปริมาณเงินเดือนละสี่หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐในการเข้าซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องทำให้  Monetary Baseอาจจะสูงกว่า   2,800 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ   ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากระดับที่เป็นอยู่ปัจจุบันรวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ในตลาด

     ตลาดการจ้างงานซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐฯใช้ในการกำหนดนโยบาย ยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยในปี 2556 เชื่อว่าตลาดสหรัฐฯ  จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้นโดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างช้า ๆ ขณะที่รัฐยังต้องตัดลดรายจ่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและไม่สร้างปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งถ้าเทียบเคียงวิกฤติดอทคอมในช่วงปี 2544 ใช้เวลาถึง 5 ปีในการฟื้นตลาดการจ้างงานขณะที่วิกฤติ subprime มีขนาดความเสียหายมากกว่า และกระทบต่อภาคธนาคารซึ่งเป็นกลไกหลักในการเดินเศรษฐกิจ ประกอบกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจึงประเมินว่าตลาดจ้างงานสหรัฐฯจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี

     ตลาดเกิดใหม่อาจจะมีการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มมากขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก ประการแรกผลกระทบจาก QE3 สหรัฐฯ ทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศ จึงเชื่อว่าในปี 2556 การดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศเกิดใหม่จะผ่อนคลายมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างเสรี ดังจะเห็นว่าในช่วงหลังการออกมาตรการ QE3 ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มมีการเข้าดูแลค่าเงินอย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารบราซิล ธนาคารกลางเกาหลีใต้ รวมถึงธนาคารกลางจีน

  ปัจจัยด้านเงินเฟ้อปี 2556 เชื่อว่าจะผ่อนคลายกว่าปี 2555 จากอุปสงค์ในการบริโภคและด้านพลังงานที่ลดลงตามภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศพัฒนาอย่างกลุ่มยูโรโซน ทำให้การขึ้นราคาสินค้าไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก การปะทะทางทหารระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาจจะทำให้ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อกลับมาได้ นอกจากนี้ปัจจัยด้านภัยธรรมชาติถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินเฟ้อ

    ความต้องการทองคำในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤติ Subprime โดยเฉพาะการถือครองของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เนื่องจากสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางเคยใช้เป็นทุนสำรองมีการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงและส่งผลต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงทำให้มีการเปลี่ยนมาถือครองทองคำ ซึ่งในอดีตธนาคารกลางเป็นกลุ่มที่ขายทองคำอย่างต่อเนื่อง

      ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีการขายทองคำลดลง ตามข้อตกลง Central Bank Gold Agreement ซึ่งกำหนดให้ธนาคารกลางขนาดใหญ่รวม IMF ขายทองคำออกได้ไม่เกินข้อตกลง โดยล่าสุดอยู่ในฉบับที่ 3 (CBGA3) ซึ่งมี limit ต่อปีไม่เกิน 400 ตัน แต่จะเห็นว่าธนาคารกลางแทบไม่มีการขายออกตั้งแต่ช่วงปี 2552 การขายทองคำจำนวนมากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการขายของ IMF ช่วงต้นปี 2553 จำนวน 129.1 ตัน สะท้อนให้เห็นการสะสมทองคำของธนาคารสำคัญที่เพิ่มขึ้น

     การถือครองของกองทุน ETF สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2555 กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก มีระดับการถือครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยต่อการลงทุนทองคำ ซึ่งปัจจุบันถือครองสูงกว่า 1,300 ตัน หลังจากมีแรงขายในช่วงต้นถึงกลางปี 2555

   จะเห็นได้ว่าความต้องการทองคำในส่วนของทุนสำรองและการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการในส่วนของกลุ่มเครื่องประดับกลับลดลงซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดประเทศหนึ่งมีการปรับเพิ่มภาษีสำหรับนำเข้าทองคำเป็น 4% แต่เชื่อว่าจะกระทบต่ออุปสงค์เล็กน้อย

  ด้านอุปทานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยยอดรวมของอุปทานทองคำในปี 2552-2554 เท่ากับ 4,109, 4,350 และ 4,497 ตัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในส่วนของการผลิตทองคำใหม่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยโดยรวมแล้วถือว่าโอกาสทองคำยังคงมีในปี 2556 อย่างไรก็ดีความผันผวนของราคาน่าจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นท่านสมาชิกควรให้ความระมัดระวังและติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับราคาอย่างใกล้ชิดครับ ฉบับนี้ลากันไปก่อนสวัสดีครับ

 
ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ

http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199 (http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=199)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 06:23:54 am
เวิลด์แบงก์ เตือนหนี้สินทะลัก! จี้รัฐบาลหยุดกู้หากหนี้สูงเกิน
-http://hilight.kapook.com/view/84768-


'เวิลด์แบงก์' เตือนหนี้สินทะลัก! (ไทยโพสต์)

          ธนาคารโลกคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว แต่ยังปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกโดยรวมปีนี้ลงจาก 7.9% เหลือ 7.8% พร้อมเตือนระดับหนี้สินของไทย-มาเลเซีย-จีนที่พุ่งเกินกว่า 150% ของจีดีพีแล้ว "กรณ์" ตามบี้เงินกู้ 2 ล้านล้าน จี้รัฐบาลระบุให้ชัด ถ้าหนี้สาธารณะพุ่งเกิน 50% ของจีดีพีให้หยุดกู้ทันที

          ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับข้อมูลการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกล่าสุด เมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตโดยรวมของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกประจำปี 2556 ลงมาอยู่ที่ 7.8% จากระดับ 7.9% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ยังเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่อัตราขยายตัวอยู่ที่ 7.5% นอกจากนี้ เวิลด์แบงก์ยังทำนายด้วยว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกในปี 2557 จะลดลงมาอีกที่ 7.6%

          รายงานกล่าวถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารแห่งญี่ปุ่นที่ออกมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน โดยจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 2 ปี เพื่อทำลายวงจรเงินฝืดและยุติภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ยาวนานกว่า 20 ปีของญี่ปุ่น ว่ามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของญี่ปุ่นน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ เช่น ของไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นฐานผลิตชิ้นส่วนให้อุตสาหกรรมส่งออกของญี่ปุ่น

          การปรับตัวเลขล่าสุดนี้ เวิลด์แบงก์ได้ลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนลง 0.1% จากคาดการณ์เมื่อเดือนธันวาคม เนื่องจากรัฐบาลจีนกำลังดำเนินความพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ร้อนแรงของตน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนปี 2556 จะขยายตัว 8.3% และปีหน้า 8.0% เช่นเดียวกับคาดการณ์เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้ ที่ถูกปรับลดลงจาก 6.3% มาอยู่ที่ 6.2%

          ส่วนของไทยและมาเลเซีย เวิลด์แบงก์ปรับเพิ่มคาดการณ์ขึ้นจากของเดิม โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 5.3% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิม 0.3% ส่วนปีหน้าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะลดลงมาอยู่ที่ 5.0% เพิ่มจากตัวเลขคาดการณ์เดิม 0.5% ของมาเลเซียปีนี้น่าจะขยายตัว 5.1% และปีหน้า 5.4%

          รายงานยังได้แสดงความเป็นห่วงระดับหนี้สินที่สูงของไทย, มาเลเซียและจีนด้วย กรณีของจีนนั้นหนี้สินภาครัฐในปี 2555 อยู่ที่ระดับ 22.2% เพิ่มขึ้นจาก 19.6% เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนหนี้สินนอกภาคสถาบันการเงินพุ่งขึ้นแตะ 126.4% ของจีดีพี จากระดับ 113.6% ของจีดีพีเมื่อปี 2550 ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนในจีนอยู่ที่ 29.2% ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปี 2550 มากกว่า 10%

          "สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการขยายตัวของหนี้ภาครัฐก็คือ การขยายตัวของหนี้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ยอดรวมของหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคธุรกิจนอกสถาบันการเงิน และหนี้ครัวเรือนในมาเลเซีย, ไทย และจีน ขณะนี้เกินกว่า 150% ของจีดีพีแล้ว" รายงานธนาคารโลกกล่าวเตือน

          นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึง ร่างกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จากการพิจารณาชั้นแรกของกรรมาธิการฯ พบว่าไม่มีความพร้อม โดยคาดว่ามูลค่าของโครงการที่ดำเนินการได้เลยมีแค่ 5 แสนล้านบาทเท่านั้นจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท นอกนั้นยังไม่มีความชัดเจน

บี้รัฐบาลระบุให้ชัด

          เขาบอกว่า หากพิจารณาตามแผนบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลัง พบว่ามีการกำหนดระยะเวลาการใช้เงินไว้เป็นช่วงๆ ตั้งแต่ปี 2556-2560 จึงอยู่ในวิสัยที่กำหนดวงเงินไว้ในงบประมาณปกติได้ แต่ถ้ารัฐบาลใช้วิธีการกู้เงินแบบเปิดตัวเลขไว้ก่อนแล้วค่อยเบิกจ่ายเป็นงวดๆ นั้น ก็เชื่อว่าน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการออกเป็น พ.ร.ก.ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วน แต่เมื่อมีการแบ่งการใช้เงิน 5 ปีตามแผน ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เร่งด่วนจริง ส่วนจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ คงต้องรอดูให้ชัดเจนก่อนว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร

          นายกรณ์ยังกล่าวถึงช่วงเวลาการใช้เงินกู้ทั้งจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านที่เป็นช่วงเวลาเดียวกัน ว่าจะกระทบต่อปริมาณหนี้สาธารณะอย่างแน่นอน แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันสามารถดูแลไม่ให้หนี้สาธารณะเกิน 50% ของจีดีพีได้ก็ตาม ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความมั่นใจจริง พรรคประชาธิปัตย์ก็เสนอให้รัฐบาลเขียนในกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านว่า  ถ้าวันใดวันหนึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่า 50% รัฐบาลควรยุติการกู้เงิน จนสถานการณ์หนี้สาธารณะจะปรับระดับลดลงมาต่ำกว่า 50% เพื่อยืนยันความมั่นคงทางการคลังของประเทศ และจะทำให้ประชาชนมีความสบายใจมากขึ้นว่าการกู้เงินมหาศาลนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศในเรื่องภาระหนี้สิน

          ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหารถไฟความเร็วสูง ซึ่งสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ที่มีสมมติฐานว่าขาดทุนแน่ โดยมีการคำนวณในกรรมาธิการฯ กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ว่าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่นั้น กระทรวงคมนาคมศึกษาพบว่าจะขาดทุนปีละ 2-2.5 หมื่นล้านบาท จึงต้องถามว่าความหมายคืออะไร ต้องให้คนไทยที่เสียภาษีทั้งหมดนำเงินมาชดเชยปีละ 2.5 หมื่นล้านใช่หรือไม่

          เขากล่าวว่า รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนด้วยว่าเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ จะทำถึงแค่พิษณุโลก หรือยาวไปถึงเชียงใหม่ โดยยังอยู่ในระหว่างการรอคำตอบว่า การกู้เงินสองล้านล้านไปถึงพิษณุโลกหรือเชียงใหม่กันแน่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือไม่ว่าจะถึงที่ไหนก็แล้วแต่ เช่นถึงหัวหิน แล้วจะดำเนินการต่อไปปาดังเบซาร์ เป็นการพูดถึงอนาคตที่ไม่ชัดเจนว่าจะใช้เงินจากไหนมาสร้างต่อ เพราะต้องใช้เงิน 5-6 แสนล้านเป็นอย่างน้อย แต่ตามแผนที่เสนอมาใช้เงินกู้เต็มจำนวนแล้ว และรัฐบาลก็ตั้งสมมติฐานว่าจะจัดงบสมดุลในปี 2560 จึงต้องถามว่า หากรัฐบาลไม่รู้จะจบยังไงควรจะเริ่มทำหรือไม่ รัฐบาลต้องให้ความกระจ่างมากกว่านี้

          นายกรณ์กล่าวว่า หากเทียบกับโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ่งมีแนวคิดให้ผู้โดยสารเช็กอินที่มักกะสันได้ มีการลงทุนถึง 500 ล้านบาท ว่าจ้างบริษัทดูแลเดือนละ 4 ล้านบาท แต่มีผู้ใช้บริการเพียงวันละ 4 คน เดือนละ 120 คน คิดราคาต่อหัวประมาณ 33,000 บาท จึงต้องถามว่าคุ้มค่าไหม เพราะไม่มีคนใช้ แต่กลับเป็นภาระต่อประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการเหล่านี้ จึงย้ำว่าแต่ละโครงการต้องศึกษาให้รอบคอบถึงความคุ้มค่า ไม่ใช่เห็นเขามีแล้วอยากมีบ้าง นอกจากนี้ผลการศึกษาของสภาพัฒน์มีการคำนวณเงินลงทุนในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าว่าต้องใช้ 8 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลกู้ 2 ล้านล้านเพื่อพัฒนาระบบคมนาคม โดยไม่มีการพูดถึงการศึกษา, สาธารณสุข และแหล่งน้ำ ก็ต้องถามว่าเป็นการพิจารณาที่เหมาะสมหรือไม่ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องมีคำชี้แจง

          "คงต้องรอให้กฎหมายผ่านวาระ 3 ในสภาฯ ก่อนจึงจะดำเนินการได้  โดยยังสงวนสิทธิ์ที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเจตนารัฐธรรรมนูญชัดเจนว่า ให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินบรรจุใน พ.ร.บ.งบประมาณ และมีกฎหมายเพิ่มเติมว่า ในแต่ละปีรัฐบาลสามารถกู้ยืมในการใช้จ่ายได้ไม่เกินเท่าไหร่ จึงมีความชัดเจนว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจในการสร้างภาระหนี้สินเกินกว่ากรอบวินัยทางการคลัง ดังนั้น การที่รัฐบาลไปหลีกเลี่ยงระบบงบประมาณปกติด้วยการออกเป็น พ.ร.บ.น่าจะขัดต่อหมวด 8 ของรัฐธรรมนูญ 2550" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก-http://www.thaipost.net/news/160413/72270-

http://hilight.kapook.com/view/84768 (http://hilight.kapook.com/view/84768)

.


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 06:27:42 am
ราคาทองร่วงหนัก! ดิ่งต่ำกว่า 2 หมื่นบาทแล้ว
-http://hilight.kapook.com/view/84767-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่าเช้านี้

           นักลงทุนวิตก หลังราคาทองคำร่วงอย่างหนัก ลงมาอยู่ที่ 1,361.10 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในไทยปรับลดลงต่ำกว่า 20,000 บาทแล้ว

           เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลก มีการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดที่ 1,361.10 เหรียญสหรัฐต่ออนซ์  ลดลงไป 140.30 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทย ดิ่งลงต่ำกว่า 20,000 บาทแล้ว

           ทั้งนี้คาดว่าสาเหตุการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาทองในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ อาจหยุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือการยกเลิกการพิมพ์แบงก์ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีการขายทองคำออกมาเพื่อระดมเงินทุน จึงทำให้ราคาทองปรับลดลงอย่างมากจนนักลงทุนหลายรายต้องอยู่ในภาวะขาดทุน และกำลังเป็นที่วิตกอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องถือทองคำราคาสูงเพื่อรอลุ้นราคาทองให้ปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 06:36:57 am
เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !
โพสโดย คุณปิรันย่า
โพสต์ 1 กันยายน 2555 - 08:06
-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130-


สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน

เห็นหลายท่านที่กรุณาเข้ามาอวยพรหรือทักทายในช่วงที่ผู้เขียนกบดานยาวไปพร้อมกับการปรับฐานยาวนานของทองคำก็รู้สึกว่าตนเองเสียมรรยาทอยู่บ้างต้องขออภัยจริงๆครับ ครั้นจะออกมาโพสต์ในช่วงที่ตนเองก็ไม่มีเวลาและอารมณ์ก็เกรงจะเกิด”ภาระผูกพัน”ที่ทำให้หน้าที่การงานเสียไป ช่วงนี้ภารกิจการงานบรรเทาลงเล็กน้อยเลยพอจะกลับมาเสนอหน้าชั่วคราวเผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาธารณชนบ้างครับ

หลังจากดราม่ากันตามธรรมเนียมแล้วก็มาว่ากันเรื่องเส้นทางทองคำได้เลยครับ
เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนคาดว่าทองคำอาจจะกำลังเริ่มวัฎจักรใหม่ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร วันนี้จึงอยากเรียบเรียงคลื่นใหญ่ของวัฎจักรทองคำในมุมมองของผู้เขียนเผื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในทองคำระยะยาวถึงยาวมากให้มีเป้าหมายในการลงทุนคร่าวๆ

วัฎจักรยักษ์ชุดนี้ของทองคำนั้นเมื่อเรียบเรียงบนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นแล้วออกมาเป็นดังนี้ครับ

- คลื่นขาขึ้นที่ 1 เริ่มเดินทางจากบริเวณ 254.2$ ในเดือน 4 ปี 2001 ขึ้นไปถึง 1032.6$ ในเดือน 3 ปี 2008 คิดเป็นขนาดความสูง 778.4$ ใช้เวลาเดินทางราว 7 ปี

- คลื่นปรับฐานที่ 2 ปรับฐานจาก 1032.6$ ลงไปที่ 681.4$ สิ้นสุดในเดือน 10 ปี 2008 คิดเป็นระยะความสูงปรับฐาน 351.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 45.1% ใช้เวลาปรับฐานราว 7 เดือนครึ่ง

- คลื่นขาขึ้นที่ 3 ซึ่งช่วงคลื่นนี้ตลาดทองคำเริ่มร้อนแรงและมีตลาดทองคำเกิดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก เกิดการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปทองคำในหลายประเทศ ปริมาณการซื้อขายในตลาดโลกในช่วงคลื่นนี้มีมากกว่าในช่วงคลื่นที่ 1 หลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้เวลาเดินทางของคลื่นขาขึ้นที่ 3 นี้สั้นกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 หลายปี คลื่นนี้ราคาทองคำขึ้นจาก 681.4$ ไปจนถึง 1920.8$ ในเดือน 9 ปี 2011 คิดเป็นขนาดความสูง 1239.4$ หรือราว 1.59 เท่าของคลื่นขาขึ้นที่ 1 ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ปี 11 เดือน

- คลื่นปรับฐานที่ 4 ซึ่งปรับฐานจบแล้วหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ แต่ตามความเห็นของผู้เขียนแล้วเมื่อประเมินจากลักษณะคลื่นของกราฟค่าเงินยูโรและ Silver ประกอบกับการขึ้นผ่าน trend line ขาลงของทองคำประกอบกับการโหมซื้ออัดเข้าพอร์ตของกองทุนด้วยแล้ว ผู้เขียนคาดว่าการปรับฐานน่าจะสิ้นสุดแล้วเมื่อเกือบปลายเดือน 7 ปี 2012 ที่ผ่านมา โดยใช้ลักษณะคลื่นปรับฐานของค่าเงินยูโรเป็นหลักในการสันนิษฐานถึงแม้ว่าราคาทองคำจะไม่ได้ทำ New low ก็ตาม

ตามทฤษฎีคลื่นนั้นเมื่อการปรับฐานในคลื่นที่ 2 เกิดเป็นรูปแบบธรรมดาแล้ว การปรับฐานในคลื่นที่ 4 จะมีโอกาสสูงในการปรับฐานเป็นรูปแบบซับซ้อนและจุดสุดท้ายของการปรับฐานอาจจะไม่เกิด New low อีกทั้งการปรับฐานลงมาเป็นคลื่นที่ 4 ตามทฤษฎีคลื่นแล้วมักจะมีสัดส่วนการปรับฐานไม่มากนัก

ถ้านับจุดต่ำสุดของราคาทองคำที่สามารถลงมาได้ในคลื่นนี้ก็คือ 1522.6$ คิดเป็นความสูงของการปรับฐาน 398.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 32.1% ของคลื่นขาขึ้นที่ 3 และใช้เวลาปรับฐานราว 10 เดือนกว่า

ดังนั้นหากสันนิษฐานตามทฤษฎีคลื่นได้ถูกต้องแล้ว ทองคำน่าจะยังเหลือคลื่นขาขึ้นที่ 5 ที่มีขนาดความสูงมากกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 แต่อาจจะน้อยกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 3 นั่นหมายถึงอาจมีขนาดความสูงได้มากกว่า 800$ ขึ้นไปและอาจใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ปีกว่านับจากนี้ แล้วเมื่อสิ้นสุดวัฎจักรนี้คาดว่าจะเกิด Mega tsunami หรือสึนามิทองคำลูกยักษ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน สรุปแล้วประมาณหยาบๆคือทองคำอาจมีราคาสูงขึ้นราว 50% ในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้าแล้วค่อยถล่มครับ

กระทู้นี้ถือเป็นการรันอินก็จบเพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันครับ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานข้างต้นยังเป็นเพียงมุมมองความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น มิอาจรับรองความแม่นยำถูกต้องใดๆได้ทั้งสิ้น เวลาเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้เฉลยคำตอบครับ

ว่าแต่หากผู้เขียนสันนิษฐานถูกต้องล่ะก็การลงทุนกับทองคำรอบนี้น่าจะฟันก่อนทิ้งได้พอสมควรเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะพร้อมจะเข้าร่วมขบวนฟันแล้วทิ้งหรือยังครับ !


http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130 (http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130)
.


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 10:29:55 pm
Puiii

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756-

(http://imageshack.us/photo/my-images/21/18945528.png/)


http://www.marketwatch.com/story/gold-plunge-offers-up-short-term-trades-2013-04-16?link=MW_TD_latest (http://www.marketwatch.com/story/gold-plunge-offers-up-short-term-trades-2013-04-16?link=MW_TD_latest)

เนื้อหาดูจากเว็ปต้นฉบับนะคะ

(http://imageshack.us/photo/my-images/707/or7e9e77d00a79478a9ad5a.jpg/)

(http://imageshack.us/photo/my-images/199/or513aa6b3c5e84c019a298.jpg/)

(http://imageshack.us/photo/my-images/832/or5fce44d5d2c74ea9b35e7.jpg/)

(http://imageshack.us/photo/my-images/341/mwbb515daily20130416103.jpg/)

 *** โปรดใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการรับข้อมูล

ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้างต้น ที่มอบความรู้ บทวิเคราะห์ ข้อมูลต่างๆ มา ณ ที่นี่ด้วยนะคะ ***

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756-

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756 (http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121756#121756)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 10:31:48 pm
ccczaa

-http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=121753#121753-

กราฟระยะสั้น ราย 4 ชั่วโมงครับ

ตามกราฟ ราคาลงต่อ

แนวรับ 1372.46 1352.90 1323.33 1304.75 1292.17 1282.59

แนวต้าน 1387.70 1403.27 1422.72

ตามกราฟ

ราคาตามแท่งเทียนปิดต่ำกว่า 1372.46 เมื่อไหร่ ราคาจะลงไปที่ 1352 1323 1304 1292 1282 ตามลำดับ

ความเห็นส่วนตัว

ส่วนตัวเชื่อว่าราคาลงไปต่ำกว่า 1372.46 โดยลงไปที่ 1304.75 ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาอีกรอบครับ

(http://upic.me/show/44334715)

http://upic.me/show/44334715 (http://upic.me/show/44334715)

ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ส่วนตัวได้จากการลองผิดลองถูก ควรพิจารณาและตัดสินใจด้วยตัวท่านเอง เพราะไม่มีอะไรดีที่สุดและถูกต้องเสมอไปครับ

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 17, 2013, 11:03:20 pm
เตือนราคาทองอาจหลุด 17,500 บาท สมาคมฯ ยันวิกฤตรอบนี้ ร้านทองไม่ถึงขั้นปิดกิจการ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 เมษายน 2556 18:28 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000046294-

คาดราคาทองคำยังปรับลงได้อีก แนะชะลอลงทุน ชี้ หากไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,308 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้ ด้านสมาคมค้าทอง มั่นใจ วิกฤตในรอบนี้ คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว
       
       น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำยังมีโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหากหลุดระดับ 1,400-1,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 19,000-19,300 บาท มีโอกาสที่จะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 18,000 บาท ไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมในช่วง 2 ปีก่อนที่ 1,308 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้
       
       ดังนั้น กลยุทธ์สำหรับในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อ และหากราคาทองใกล้บาทละ 19,000 บาทให้ทยอยขาย พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และช่วงนี้ยังไม่เหมาะซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว
       
       “ทองคำปรับขึ้นมารอบนี้ยาวนานถึง 12 ปี ดังนั้น รอบนี้จึงมีโอกาสปรับลดลงได้ ซึ่งต้องดูปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย ส่วนการซื้อขายในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) นั้น ยอมรับว่าลูกค้าของบริษัทมีการถูกบังคับขาย (ฟอร์สเซลล์) บ้าง แต่ไม่มากนัก”
       
       ด้านนายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มหลังจากนี้ไปเชื่อว่าราคายังสามารถปรับลดลงได้อีก เนื่องจากนักลงทุนประเมินไว้ว่าราคาทองคำในช่วงนี้คงไม่สามารถยืนเหนือ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,000 บาท ดังนั้น จึงอยากให้ผู้สนใจลงทุนในทองคำรอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง
       
       สำหรับราคาทองคำที่ร่วงลงมาแรงขนาดนี้ นายพิชญา มั่นใจว่า คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองได้รับผลกระทบหรือต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่ร้านค้าทองก็มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 18, 2013, 06:13:42 am
หลังจบวิกฤติ...ถึงเวลาเช็คบิล
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=143-

 ณ วันที่ 09/10/2555

เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจจึงขอหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน เป็นเรื่องการกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ทำแผนในการฟื้นฟูรวมถึงแผนการปิดกิจการ ซึ่งถือเป็นการวางกรอบในอนาคตกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นในภาคธนาคาร ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าวิกฤติ Subprime ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเสียเงินภาษีไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะพยุงไม่ให้ธนาคารขนาดใหญ่ล้มระเนระนาด จากนั้นเกิดคำถามมากมายว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่ธนาคารประกอบกิจการโดยมีความเสี่ยงในการลงทุนสินทรัพย์ ปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพเพื่อหวังผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ สุดท้ายพอขาดทุนก็ให้ประชาชนผู้เสียภาษีรับภาระ แต่ช่วงที่ธนาคารทำกำไรมหาศาลจากธุรกรรมที่มีความเสี่ยงผลประโยชน์ กลับตกอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม การออกกฎระเบียบในการควบคุมธนาคารนี้ถือเป็นการป้องกันเงินภาษีของประชาชนอเมริกันในอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้ธนาคารจำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในมุมมองของผมก็ถือว่าเหมาะสมเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกในอนาคต
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ในช่วง Great Depression ในช่วงปี 1930 ระบบธนาคารก็สร้างปัญหาไม่น้อยจากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากวิกฤติได้มีการออกกฎในการควบคุมธนาคาร (The Glass Steagall Act) โดยให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Commercial banking) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) กฎดังกล่าวทำให้ธุรกิจที่เป็นลักษณะ Shadow banking เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินด้านการลงทุนตัวอย่างเช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) ซึ่งธุรกิจนี้สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนซึ่งเงินนั้นได้มาจากการก่อหนี้ ผลทางอ้อมคือทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างมากมาย การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารที่รับฝากเงินเกิดความเสียเปรียบและเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดธนาคารต่าง ๆ ก็ต่างเดินเข้าสู่วังวนแห่งผลประโยชน์และสร้างความเสี่ยงมากมายในการประกอบธุรกิจ ในยามที่เศรษฐกิจดีธนาคารเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้จำนวนมากและทำให้ยิ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ทำให้ธนาคารเหล่านี้แทบเอาตัวไม่รอดจากธุรกรรมที่ทำเอาไว้ นี่คล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่เอามาเล่าใหม่ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่วิกฤติครั้งนี้จบลงแล้วกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายให้กับภาคธนาคารจะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ แม้tจะมีแรงเสียดทานบ้างจากบรรดานายธนาคารที่ยังคงต้องการรักษารายได้ที่สวยหรูในอนาคต ที่ผ่านมา FED และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้แย้มออกมาหลายครั้ง ประกอบกับแรงกดดันจากประชาชนผู้เสียภาษีที่เรียกร้องให้บรรดาบริษัทรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจะทำให้เงินจำนวนมากที่ใช้ในการเก็งกำไรในตลาดลดลงหรือถูกควบคุมขณะที่การทำธุรกรรมที่สร้างผลตอบแทนสูง ๆ ที่เคยจูงใจนักเก็งกำไรก็จะลดลงตามความเข้มงวดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องกระทบต่อราคาสินทรัพย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แนวทางนี้ถือว่าจะสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินไปได้อีกพักใหญ่ทีเดียว

ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนกันยายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 18, 2013, 06:18:46 am
รู้จักความหวังของ ยูโรโซน (ESM)
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=176-

 ณ วันที่ 08/11/2555

       สวัสดีท่านสมาชิกทุกท่านครับ พบกันเป็นประจำกับจุลสารของสมาคมค้าทองคำ  สำหรับเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งเดือน ที่ราคาทองคำมีความผันผวนโดยสามารถปรับขึ้นใกล้ระดับ  US$1,790  อีกครั้งแม้จะมีการอ่อนตัวลงบ้าง  แต่ก็ถือว่าโดยรวมนั้น ตลาดทองคำ ค่อนข้างสดใสในเดือนที่ผ่านมา ประเด็นที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำก็คงหนีไม่พ้นมาตรการ  QE3 ที่รอคอยกัน   ขณะที่ประเด็นยุโรป    ที่อยู่คู่กับตลาดทองคำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มมีเรื่องราวให้ต้องจับตาอีกครั้ง กรีซซึ่งเป็นประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาหนี้สินต่อเนื่องถึงสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่หลายสำนักบอกว่าน่าหนักใจขนานแท้  โดยปัญหาหนี้ยุโรปในช่วง 2 ปีมานี้ บางช่วงบางจังหวะก็กระทบในเชิงบวก บางช่วงก็กลับมาเป็นปัจจัยเชิงลบ ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองผลกระทบในเชิงใด ดังนั้น ฉบับนี้จึงขอลงประเด็นยุโรปให้มากขึ้น ทั้งตัวกลไก ที่ถือเป็นความหวัง และสเปนที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของวิกฤติครั้งนี้ รวมถึงกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่เชื่อว่าจะมีบทบาทกับราคาทองคำมากขึ้น
 
 
รู้จักความหวังของยูโรโซน (ESM)
หลังจากความชัดเจนในมาตรการ QE3 ซึ่งถือเป็นความหวังของนักลงทุนในตลาดผ่านพ้นไป  ประเด็นที่มีการจับตาต่อมา คือ ยุโรป ที่ถือเป็นประเด็นติดตาม  สเปนถือเป็นตัวแปรสำคัญ  โดยมีกลไกที่ถือเป็นความหวังคือการทำงานของ  ECB  และอีกหนึ่งความหวังคือกลไก ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินยุโรปหรือที่รู้จักกันในนามของ ESM ซึ่งล่าสุดเพิ่งมีข่าวดีกันไป  ในประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ได้ตัดสินให้การจัดตั้งกองทุนที่รัฐบาลเยอรมนีเอาเงินภาษีของประเทศไปอุดหนุนไม่ผิดต่อกฏหมาย และทำให้การจัดตั้งกองทุนสามารถเดินหน้า ต่อไปได้ ทำให้แนวทางการแก้ไขดูจะมีความหวังมากขึ้น แต่กลไกดังกล่าวจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่อันนี้คงต้องดูยาว ๆ ครับ เนื่องจาก ถ้าเราคาดว่าสเปนและอิตาลีจะเป็น 2 ประเทศต่อไป ที่อาจจะต้องได้รับความช่วยเหลือหรือแม้แต่สเปนประเทศเดียว ขนาดกองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ (เมื่อเทียบกับปริมาณหนี้) โดยในวันนี้ ผมขอที่จะขยายความเพิ่มเติมก่อนที่จะรอผลที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้ง
 
       การจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงินยุโรป (EFSF) และกลไกในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (ESM) ก่อตั้งขึ้น เพื่อเป็น กลไกในการช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาหนี้  ด้วยเหตุที่ว่ายุโรปขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากพอในการแก้ไขปัญหาหนี้  โดยปกติแล้ว เวลาที่ประเทศประสบปัญหาหนี้ภาครัฐ เครื่องมือที่ใช้กันคือการปรับลดค่าเงิน แต่เนื่องจากยูโรโซนใช้สกุลเงินเดียวกัน คือ สกุลเงินยูโรจึงไม่สามารถ ที่จะปรับลดค่าเงินตัวเองลงได้ สิ่งที่ทำคือการ “Refinance” หรือกู้ใหม่นั่นเอง โดยการกู้ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะชำระหนี้เดิมคืน และส่วนหนึ่งก็มาชดเชยส่วนที่ขาดดุลงบประมาณ (ประเทศในยุโรปใช้งบประมาณขาดดุลมาอย่างยาวนาน) แต่เนื่องจากปัญหาหนี้ที่ประสบอยู่ ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืม เงินใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ไม่สามารถรับต่อภาระดอกเบี้ยในตลาดได้ในที่สุด การเกิดปัญหาขาดแคลนเงินในการบริหารประเทศรวมถึงความเสี่ยง ในการชำระหนี้คืนจึงเกิดขึ้น และก็วนเช่นนี้เสมือนงูกินหาง EFSF – ESM เข้ามามีบทบาทนี้นี่เอง คือ การให้เงินช่วยเหลือกับประเทศ ที่ประสบปัญหา ในการระดมเงินเพื่อทำให้ประเทศเหล่านั้นยังสามารถชำระหนี้และเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งถ้ามองโลกในแง่บวกมาก ๆ คือ เมื่อมีเงินทุน ระยะสั้นเข้ามา เริ่มมีการตัดลดรายจ่ายจนการขาดดุลการคลังอยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมได้ จนที่สุดเมื่อความเชื่อมั่นกลับมาประเทศเหล่านี้สามารถ กู้ยืมเงินได้เองผ่านตลาด เมื่อถึงจุดนั้นปัญหาก็จะสามารถคลี่คลายไปได้เอง แต่ถ้ามองในด้านตรงข้าม ถ้าการให้เงินอุดหนุนไม่สามารถแก้ปัญหาได้    โดยเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวจากการรัดเข็มขัดระดับหนี้ต่อ  GDP ยังคงสูงต่อเนื่อง  การระดมทุนยังมีต้นทุนสูง ท้ายสุดกลายเป็นว่ากองทุน ESM กลับต้องขาดทุนจากการ hair cut และกระทบต่อผู้ร่วมทุนในที่สุด ในกรณีนี้อาจจะทำให้ประเทศที่ยังไม่ประสบปัญหาอย่างเยอรมันและฝรั่งเศส อาจจะประสบปัญหาได้ อย่างไรก็ดีการตั้งกองทุนก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่จำเป็น เพราะจะถือเป็นกลไกหลักที่จะทำงานร่วมกับ IMF และ ECB ในการแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความเชื่อมั่นนี่เอง ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อตลาดยุโรป
 
สเปนอ่อนไหวมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ
       สเปนถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของกลุ่มยูโรโซนแต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลต่อเนื่องจากปี 2008 ทำให้สเปน ประสบภาวะชะลอตัวอย่างหนัก ประกอบกับการขาดดุลการคลังอย่างยาวนานของสเปน ทำให้เริ่มมีกลิ่นของหนี้เน่ามาเป็นระยะ ๆ การถูกลดเครดิต การปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุน  การกู้ยืมถือเป็นตัวการันตีที่สำคัญว่าสเปน “เอาไม่อยู่” แน่ๆ โดยต้นทุนการกู้ยืมพันธบัตรอายุ 10 ปีของสเปนอยู่ใกล้ระดับ 5.757%  ซึ่งลดลงมาแล้วจากความหวัง ECB จะเข้าแทรกแซง
       ด้านเศรษฐกิจสเปนนั้นถือว่าชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาที่ถือว่าหนักหนาสาหัส คือ ปัญหาด้านการจ้างงานที่ปัจจุบันสเปนมีอัตรา การว่างงานใกล้ระดับ 25% หมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงอัตรากำลังหางานและพยายามหางานทำ 4 คน มีคนตกงาน 1 คน ถ้าลองย้อนกลับไปดูสหรัฐ ฯ ที่ว่าหนักเทียบไม่ได้กับสเปนเลยทีเดียว การตกงานของประชาชนจำนวนมากทำให้การจัดเก็บภาษีทำได้ลดลง นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่ม รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการการว่างงาน ภาระเหล่านี้ทำให้รัฐบาลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวหันกลับมาเป็นข้อจำกัดสำคัญ ในการผ่านนโยบายรัดเข็มขัด เศรษฐกิจสเปนหดตัวลง 0.4% ในไตรมาส 3 ซึ่งลดลงในสัดส่วนนี้ตั้งแต่ช่วงเมษายน การเดินหน้าเก็บภาษี การลด สวัสดิการ ลดเงินเดือนข้าราชการในช่วงภาวะแบบนี้  ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ให้ลำบากมากขึ้นกว่าเดิม และเกิดการ ต่อต้านเป็นวงกว้าง แต่ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจเป็นเพียงปัญหาเดียวของสเปนในขณะนี้นั้น ก็ถือว่าผิด เพราะปัจจุบันสเปนประสบกับปัญหาด้านการเมือง ที่หนักไม่แพ้กัน ความไม่พอใจที่เกิดกับรัฐบาลกลายมาเป็นปัญหาทางการเมืองไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งกระแสการแยกดินแดนของแคว้นคาตาโลเนีย ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าหนักใจ การดำเนินงานของรัฐบาลสเปนจึงถือว่ายากลำบากอย่างยิ่ง เพราะทางเดินข้างหน้าก็เห็นแล้วว่า ถ้าไม่รับเงินช่วยเหลือ ก็อาจจะขาดสภาพคล่องได้ ที่จะต้องใช้ในการผลักดันประเทศให้พ้นวิกฤติ และแก้ปัญหาด้านการออกขายพันธบัตรใหม่ แต่ถ้ารับเงินมาก็อาจจะต้อง เข้มงวดเรื่องการใช้จ่าย รวมถึงการจัดเก็บรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็จะตามมาด้วยการต่อต้านจากประชาชน และอาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ ในภายหลัง รวมถึงการขอรับเงินเร็วเกินไปยิ่งเป็นการฟ้องว่าสเปนไปไม่รอด และจะทำให้ระบบธนาคารที่อ่อนแอมากอยู่แล้วแย่ลงไปอีก ต้องบอกว่า เหนื่อยใจแทนผู้บริหารประเทศครับ แต่ก็เอาใจช่วย โดยประเด็นสเปนนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ที่จะกลับมากระทบต่อราคาทองคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดครับ
 
 
ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนตุลาคม 2555

-----------------------

ยุทธวิธีแก้หนี้ยูโรโซน กับนโยบายขยายเสียง
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=2&id=144-

 ณ วันที่ 09/10/2555

มาตามติดประเด็นที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนก่อน จากวาทะนายกรัฐมนตรีเยอรมนีนางแองเจลา เมอร์เคล ที่สนับสนุนแนวทางของนายมาริโอ ดาร์กี้ประธาน ECB ในประเด็นการช่วยเหลือยูโรโซน ผลของคำพูดดังกล่าวทำให้ yield ของพันธบัตรรัฐบาลสเปนปรับลดลงทันทีเทียบจาก yield พันธบัตรอายุ 10 ปีของสเปนที่อยู่ใกล้ระดับ 7% ลดลงเหลือประมาณ 6.45% จึงอาจจะกล่าวได้ว่าวาทะของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีมีมูลค่าหลายพันล้านยูโรทีเดียว ECB และรัฐบาลยูโรโซนยังไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่ยูโรเดียวเพื่อซื้อพันธบัตรสเปนก็ทำให้ปัญหาต้นทุนทางการเงินสเปนผ่อนคลายลงได้ และถ้าเรานับรวมผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่ นายมาริโอ ดาร์กี้ พูดไว้ในช่วงปลายเดือนที่แล้ว yield พันธบัตรสเปนอายุ 10 ปีลดลงกว่า 76 basis points หรือกว่า 11% ทำให้ปัจจุบันสเปนมีส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปีเทียบเยอรมนี(benchmark) 5.04% ลดลงเกือบ 0.8%
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ในช่วง Great Depression ในช่วงปี 1930 ระบบธนาคารก็สร้างปัญหาไม่น้อยจากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากวิกฤติได้มีการออกกฎในการควบคุมธนาคาร (The Glass Steagall Act) โดยให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Commercial banking) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) กฎดังกล่าวทำให้ธุรกิจที่เป็นลักษณะ Shadow banking เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินด้านการลงทุนตัวอย่างเช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) ซึ่งธุรกิจนี้สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนซึ่งเงินนั้นได้มาจากการก่อหนี้ ผลทางอ้อมคือทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างมากมาย การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารที่รับฝากเงินเกิดความเสียเปรียบและเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดธนาคารต่าง ๆ ก็ต่างเดินเข้าสู่วังวนแห่งผลประโยชน์และสร้างความเสี่ยงมากมายในการประกอบธุรกิจ ในยามที่เศรษฐกิจดีธนาคารเหล่านี้ สามารถสร้างรายได้จำนวนมากและทำให้ยิ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ทำให้ธนาคารเหล่านี้แทบเอาตัวไม่รอดจากธุรกรรมที่ทำเอาไว้ นี่คล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่เอามาเล่าใหม่ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่วิกฤติครั้งนี้จบลงแล้วกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายให้กับภาคธนาคารจะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ แม้tจะมีแรงเสียดทานบ้างจากบรรดานายธนาคารที่ยังคงต้องการรักษารายได้ที่สวยหรูในอนาคต ที่ผ่านมา FED และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้แย้มออกมาหลายครั้ง ประกอบกับแรงกดดันจากประชาชนผู้เสียภาษีที่เรียกร้องให้บรรดาบริษัทรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้เขียน คุณกมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
ที่มา : จุลสาร ฉบับเดือนกันยายน 2555
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 21, 2013, 11:03:09 am
'เวลา'จะช่วยอะไร
-http://www.komchadluek.net/detail/20130421/156541/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html#.UXNkr8qG7PE-


'เวลา'จะช่วยอะไร : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com

               ถ้าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เห็นขึ้นต้นว่า “เวลาจะช่วยอะไร” ร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงเพลง “เวลาไม่ช่วยอะไร” ของนักร้องสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเซ็กซี่ทั้งลีลาและน้ำเสียงอย่าง “คริสติน่า อากีล่าร์” แต่ถ้าเป็นรุ่นเยาว์ลงมาหน่อย ก็คงนึกถึงเพลงชื่อเดียวกันว่า “เวลาจะช่วยอะไร” ของนักร้องเสียงบอสซั่มอย่าง “ลุลา”

                เหตุที่นึกถึงประโยคว่า “เวลาจะช่วยอะไร” นั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เนื่องเพราะราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมาแท้ๆ

                เป็นช่วงเวลาที่คนไทยหยุดยาวๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว บ้างก็เดินทางไปต่างประเทศ บ้างก็เดินทางกลับบ้านในต่างจังหวัด ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะไม่ไปไหน และพักผ่อนอยู่กับบ้านอย่างเต็มที่
 เป็นช่วงเวลาของความสุข ท่ามกลางความปั่นป่วนและผันผวนของราคาทองคำที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 วัน ในการปรับตัวลดลงถึงกว่า 2 พันบาทต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท จากระดับใกล้ๆ 1,600 เหรียญต่อออนซ์ ลดลงเหลือใกล้ๆ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ และจากราคาบาทละ 21,350 บาทเมื่อวันที่ 12 เมษายน ลดลงเหลือ 18,950 บาท หรือลดลงบาทละ 2,400 บาท ในวันที่ 17 เมษายน

                การปรับตัวลดลงต่ำที่สุดในรอบ 33 ปีของทองคำ กับการเปิดตลาดวันแรกหลังสงกรานต์ และภาพผู้คนแออัดยัดเยียดในร้านทองเยาวราชจนร้านแทบแตก เพื่อแย่งกันซื้อทอง สะท้อนความมีส่วนร่วมของคนหมู่มากในทองคำ ที่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่ม เพราะใครๆ ก็มี “ทองคำ”

                พอทองปรับตัวลดลง ทุกบ้านที่มีทองแม้แต่เฟื้อง-สลึงก็แตกตื่นราวกับโลกถล่มกันหมด เป็นอาการ “มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” ในอีกมิติ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การกลัวขโมยขโจรจะคว้าทองไปจนหวาดผวา แต่ยังกลัว “มูลค่า” ของสิ่งที่มีอยู่จะหายวับไปด้วย

                ทั้งหมดนี่แหละที่ทำให้นึกถึงคำว่า “เวลาจะช่วยอะไร” และให้เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้นั่งฟังเทปสัมมนา "ออมไว้ในหุ้น” ตอน  “จัดพอร์ตหุ้นคุณค่ากับสุดยอดผู้จัดการกองทุน” ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “ทอง” แต่เกี่ยวกับหลักของการลงทุน ที่ฟังแล้วอดนึกถึง “ทอง” ไม่ได้

                ลองดูว่า เกี่ยวกันแบบไหนและอย่างไร

                เมื่อเริ่มต้นด้วย “ออมไว้ในหุ้น” งานนี้ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยากรของงานสัมมนาครั้งนี้ จึงฉายภาพรวมระหว่างคำว่า การ “ออม” กับ “การลงทุน” เป็นปฐม

                “ถ้าเราพูดถึงการออม เราก็มักจะนึกถึงการนำเงินไปฝากธนาคาร ให้ค่อยๆ เติบโตด้วยอัตราดอกเบี้ยไม่มาก แต่ก็ไม่เสี่ยง ในขณะที่การลงทุน เริ่มมีความเสี่ยงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำว่า ‘ออมไว้ในหุ้น’ จึงเป็นอะไรที่ท้าทายมาก”
 ดร.สมจินต์ บอกว่า ถ้าพูดถึงองค์ประกอบของ “ความมั่งคั่ง” ก็อาจหมายรวมถึงการหาเงิน การออมเงินที่หาได้บางส่วน และการนำเงินออมไปลงทุน

                “ออมไว้ในหุ้น ก็คือ เอาส่วนที่ 2 และ 3 มารวมกัน ซึ่งเมื่อพูดถึงหุ้น คนก็จะมองว่า เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง แต่ถ้าถามว่า ความเสี่ยงมีปัจจัยประกอบหรือไม่ เพราะบางคนบอกว่าเสี่ยง แต่บางคนบอกว่าไม่เสี่ยง สิ่งสำคัญก็คือ เรานิยามความเสี่ยงอย่างไร และความเสี่ยงกระทบเราอย่างไร ถ้าเป็นคนธรรมดาที่นำเงินไปลงทุน ความเสี่ยงของเขา ก็คือ การขาดทุนของเงินต้น แต่ในทางการเงิน เรามองว่า ความเสี่ยงคือ ความไม่แน่นอนของผลตอบแทน หมายความว่า ถ้าผลตอบแทนมันมากบ้าง น้อยบ้าง ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงของนัยทางการเงิน”

                ดร.สมจินต์ ยังยกตัวอย่างงานวิจัยของอเมริกาที่ศึกษาผลตอบแทนของสินทรัพย์ 3 ประเภทในรอบ 100 ปี ได้แก่ การลงทุนระยะสั้นในตั๋วเงินคลัง การลงทุนในพันธบัตร และการลงทุนในหุ้น เพื่อคำนวณผลตอบแทนปีที่มากที่สุดและน้อยที่สุดของแต่ละสินทรัพย์ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งพบว่า ผลตอบแทนของหุ้นมีความผันผวนมากที่สุดหากพิจารณาเป็นรายปี โดยปีที่ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 70-80% ขณะที่ปีที่ผลตอบแทนต่ำสุดนั้น ติดลบถึง 40-50% ขณะที่ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังไม่มีปีใดที่ติดลบเลย

                ทั้งหมดสะท้อน (และตอกย้ำ) ความเชื่อว่า สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด คือ หุ้น

                แต่งานวิจัยไม่ได้จบแค่นั้น เพราะผู้ทำการวิจัยนำการลงทุนในช่วง 100 ปีมาแยกย่อยเพื่อหาผลตอบแทนถัวเฉลี่ยในช่วง 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี ก่อนที่จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนมาลบด้วยเงินเฟ้อ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่แท้จริง

                “ถ้าดูปีเดียว ไม่สนใจเรื่องเงินเฟ้อ เราจะเห็นว่า หุ้นเสี่ยงมาก ดังนั้น สำหรับคนที่กลัวความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นจึงไม่สมเหตุสมผลและไม่น่าสนใจ แต่พอดูค่าเฉลี่ย 20 ปี แล้วลบด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่า ไม่มี 20 ปีใดที่หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีติดลบ ขณะที่อีก 2 สินทรัพย์กลับติดลบ เพราะผลตอบแทนไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้”

                ผู้บริหาร บลจ.ทหารไทย ขมวดปมให้เห็นชัดขึ้นว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่า  ส่วนใหญ่เราจะมองอะไรสั้นๆ มองเฉพาะหน้า เฉพาะวัน ว่าหุ้นซื้อวันนี้ แล้วพรุ่งนี้หุ้นตก แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่าจะลงทุนหรือไม่ลงทุน ความเสี่ยงที่เราต้องเจอแน่ๆ ก็คือ ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงของการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ลงทุน ก็คือ ผู้ลงทุนต้องการจะลงทุนนานแค่ไหน

                “ถ้าหากต้องการลงทุนในหุ้นแค่วันเดียว มันไม่เป็นเหตุเป็นผลเลยที่จะทำแบบนั้น และไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นการลงทุน แต่น่าจะเรียกว่า เป็นการพนันมากกว่า แต่ถ้าตั้งใจลงทุน 10-20 ปีขึ้นไป แล้วเอาเงินไปฝากธนาคารที่ให้ผลตอบแทน 1-2% ทั้งๆ ที่เราเห็นว่า เงินเฟ้อ 3% ก็อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน”

                ประเด็นสำคัญ คือ ระยะเวลาที่เราลงทุนนั่นแหละ ที่จะเป็นสิ่งที่ระบุได้ว่า ทรัพย์ที่ลงทุนกับความเสี่ยงที่จะได้รับเป็นอย่างไร

                “ถ้าลงทุนได้แค่ช่วงสั้นๆ ก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่ผันผวนน้อยหน่อย ถ้าลงทุนได้ยาวขึ้น ก็อาจจะเลือกสินทรัพย์ที่ผันผวนได้มากขึ้น เพราะระยะเวลาจะช่วยลดความผันผวนจากความเสี่ยงของสินทรัพย์”

                เขียนไปจนใกล้จบ หลายคนยังอาจจะงงว่า แล้วเกี่ยวกับ “ทอง” ตรงไหน ก็ตรงที่ในขณะที่เราตกอกตกใจกับราคาทองคำที่ลดลง เราได้ถามตัวเองหรือยังว่า ตอนที่เราซื้อทองนั้น เราตั้งใจจะลงทุนนานแค่ไหน เชื่อว่าหลายคนไม่คิดจะขาย บางคนซื้อเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน แต่อด “แตกตื่น” ไปกับเขาไม่ได้

                ไม่ว่าจะเป็นทองหรือหุ้นล้วนมีวัฏจักร มีรอบ มีขึ้นมีลง อาจจะใช้เวลายาวหรือสั้นแต่ละรอบแตกต่างกัน เมื่อเลือก “ระยะเวลาลงทุน” แล้ว เลือก “สินทรัพย์ที่เหมาะสม” กับระยะเวลาแล้ว และแน่ใจว่า เป็นการจัดสรรการลงทุนในพอร์ตที่เหมาะสมแล้ว

                ก็ลองปล่อยให้เวลาได้ช่วยอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 25, 2013, 07:34:47 am
อยากวางแผนการเงิน... เริ่มอย่างไรดี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 พฤษภาคม 2556 14:26 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000061904-


   คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
       โดยพนิต ปัญญาบดีกุล
       บลจ.บัวหลวง
       
       ก่อนอื่นขอเขียนถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน ซึ่งปัจจุบันจะถูกนำไปตีความหมายว่าคือการวางแผนการลงทุน ในขณะที่ในวงการประกัน บางคนก็อ้างว่าคือการวางแผนในการทำประกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจเพียงบางส่วน ดังนั้น ถ้าพูดถึงการวางแผนการเงินแบบรอบด้านจริงๆ แล้ว ความหมายของการวางแผนการเงินจะต้องครอบคลุมในส่วนต่างๆ อย่างครบถ้วน ทั้งส่วนของการปกป้องฐานะไม่ให้ลดน้อยหรือเสื่อมค่าไป การสร้างฐานะให้มีมากขึ้นๆ กว่าเดิม และอย่าลืมที่จะกระจายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่หลังจากใช้ส่วนตัวในตอนเกษียณอย่างสบายๆ แล้วไปให้แก่ลูกหลานหรือบุคคลที่รักด้วยค่ะ
       
       ทีนี้อยากวางแผนการเงินแล้วจะเริ่มอย่างไรดี ก่อนที่ทุกท่านจะวิเคราะห์ความต้องการทางการเงินในด้านต่างๆ ของตนเอง เช่น ความต้องการทางด้านการทำประกัน ความต้องการทางด้านการศึกษาบุตร ความต้องการทางด้านการเกษียณอายุ การวิเคราะห์ระดับการรับความเสี่ยงและพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม เป็นต้น ซึ่งความต้องการทางการเงินด้านต่างๆ ก็คือเป้าหมายทางการเงินของตนเองนั่นเอง บางท่านจึงเริ่มจากการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งก็แบ่งเป็น เป้าหมายระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) เป้าหมายระยะปานกลาง (1-3 ปี) และเป้าหมายระยะยาว (3 ปีขึ้นไป) การกำหนดเป้าหมายทางการเงินเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่กำหนดได้ดีที่สุดคือตัวเราเอง เนื่องจากเราจะเป็นผู้ที่รู้ตัวเราดีที่สุดว่าเราต้องการที่จะมีชีวิตในอนาคตอย่างไร หลังจากกำหนดเป้าหมายแล้ว ท่านจะสามารถให้ลำดับความสำคัญของเป้าหมายทางการเงินหรือกำหนดว่าเป้าหมายใดสำคัญระดับใด (สูงมากถึงต่ำมาก) มีข้อควรระวังคือบางท่านที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านการวางแผนการเงินอาจจะไม่สามารถกำหนดเป้าหมายของตนเองได้ดีเพียงพอ หรือบางครั้งกำหนดไว้แต่อาจจะไม่ครอบคลุมถึงความต้องการรอบด้าน
       
       คำถามตามมาอีกแล้วค่ะ เป้าหมายน่ะรู้อยู่แล้วว่าอยากมี อยากเป็น อยากได้อะไร (ทางการเงิน) แล้วเริ่มอย่างไรล่ะ บอกซะที อยากวางแผนการเงินแล้ว!!!
       
       ถ้าจะยกประโยคที่ว่า “เราควรมองดูตัวเองก่อนทุกครั้ง” มาใช้ในการเริ่มวางแผนการเงินก็คงจะไม่ผิด วันนี้ถ้าท่านอยากจะวางแผนการเงิน ขอให้ทุกท่านเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของตนเองก่อน ดังนั้น ดิฉันขอยกตัวอย่าง Case ลูกค้าสมมติชื่อคุณฮาร์ท มาเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ นะคะ
       
       1. วิเคราะห์ฐานะทางการเงิน หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือวัดความมั่งคั่งของตนเอง ง่ายกว่านั้นอีกคือวัดความรวยหรือจนของตนเองนั่นเอง หลายท่านคงเคยได้ยินว่า การที่มีทรัพย์สินรวมมากๆ อาจจะไม่ได้มั่งคั่งหรือร่ำรวยจริงก็ได้ ดังนั้นท่านคงจะต้องตรวจสอบความมั่งคั่งของตนเองกันก่อน

       ตัวอย่าง

(http://pics.manager.co.th/Images/556000006459001.JPEG)


 จากรูปจะเห็นได้ว่าคุณฮาร์ทมีทรัพย์สินจำนวนทั้งหมด 13 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของทรัพย์สินสภาพคล่อง (เงินสด เงินฝาก ทรัพย์สินที่เปลี่ยนแปลงเป็นเงินได้ง่ายๆ เป็นต้น) จำนวน 8.5 ล้านบาท คิดเป็น 65.38% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด มีทรัพย์สินใช้ส่วนตัวหรือรถยนต์และเครื่องประดับจำนวน 4 ล้านบาท (30.77%) และมีทรัพย์สินลงทุนเพียง 5 แสนบาท (3.85%) ทางด้านหนี้สิน มีหนี้รวม 7 แสน 8 หมื่นบาท ซึ่งส่วนใหญ่คือเงินกู้ยืมจากพี่ชายจำนวน 7 แสนบาท (5.38%) ดังนั้นจึงมีความมั่งคั่ง 12.2 ล้านบาท
       
       แล้วท่านล่ะ ทราบหรือไม่ว่าท่านมีความมั่งคั่งเท่าไรคะ???
       
       (อ่านต่อตอนหน้า)


http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000061904 (http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000061904)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2013, 09:09:07 am
การใช้เช็คเงินสด อย่างปลอดภัย

-http://money.sanook.com/83490/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-



เช็คเป็นตราสารที่ใช้ชำระหนี้แทนเงินได้ สามารถใช้โอนชำระหนี้กันเป็นทอดๆ ได้ง่ายจึงสะดวก เป็นที่นิยมและปลอดภัย เพราะการพกเงินจำนวนมากไปชำระหนี้อาจเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพได้

ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน ผู้ที่ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชอบต่อผู้มีสิทธิเรียกให้ใช้เงินตามเช็ค ซึ่งกฎหมายเรียกว่า "ผู้ทรงเช็ค" เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระผู้ทรงอาจเรียกเก็บเงินจากธนาคารด้วยตนเอง หรือเรียกให้ลูกหนี้คนอื่นๆ ที่ลงชื่อในเช็คนั้นชำระเงินตามเช็คให้ก็ได้ หรือจะเรียกให้ลูกหนี้ตามเช็คชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิม ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่เป็นมูลเหตุของการสั่งจ่าย หรือโอนเช็คนั้นก็ได้ เป็นการ เพิ่มโอกาสที่เจ้าหนี้ให้ได้รับชำระหนี้อีกด้วย

เพราะเช็คเป็นตราสารที่สามารถเปลี่ยนมือได้โดยง่ายนี้เอง จึงอาจก่อให้เกิดปัญหา ในกรณีที่บุคคลไม่พึงประสงค์นำเช็คไปขึ้นเงิน

ผู้ใช้เช็ค เพื่อการชำระหนี้แทนตราสาร จึงควรต้องทำความเข้าใจถึงการระบุข้อความต่างๆ ลงในเช็คซึ่งจะส่งผลต่อระดับความปลอดภัยในการใช้เช็ค ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เช็คที่ใช้กันอยู่นั้น มี 2 ประเภท คือ

1. เช็คผู้ถือ : คือเช็คแบบที่ผู้สั่งจ่ายจะสั่งจ่ายโดยไม่กรอกชื่อผู้รับเงินตามเช็คลงในช่องว่าง เช่น "จ่าย...หรือผู้ถือ" เพียงแต่กรอกจำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวหนังสือแล้วลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายก็ถือว่าการ สั่งจ่ายเช็คนั้นสมบูรณ์แล้ว หรือกรอกคำว่า "เงินสด" ลงในช่องว่าง "จ่าย...หรือผู้ถือ" ก็ยังมีผลเป็นเช็คผู้ถือเช่นเดียวกันหรือถ้ากรอกชื่อ...นามสกุล...ผู้รับเงินลงไปในช่องว่าง "จ่าย...หรือผู้ถือ" โดยไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็ยังเป็นเช็คผู้ถืออยู่ครับ (กรณีนี้จ่ายให้กับผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในเช็ค หรือผู้ถือก็ได้)

เช็คจ่ายผู้ถือนั้นสามารถโอนเปลี่ยนมือกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กัน ก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ ดังนั้นใครก็ตามเป็นผู้ถือเช็คแบบที่ 1 นี้ เมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคาร ธนาคารก็จะจ่ายเงินสดให้ทันทีการใช้เช็คแบบนี้จึงมีความเสี่ยงสูง ถ้าท่านทำเช็คสูญหาย หรือเช็คถูกลัก/ขโมยไปก็จะป้องกันได้ยากมาก จึงควรใช้เช็คแบบนี้ได้เฉพาะในกรณีไปเขียนเบิกเงินสดที่ธนาคารเอง หรือเมื่อสั่งจ่ายเงินจำนวนไม่มากก็ให้ระบุชื่อนามสกุลผู้รับเงินลงไปในช่องว่าง เช่น "จ่าย นายก. นามสกุลซื่อสัตย์ หรือผู้ถือ" แล้วให้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกก็จะปลอดภัยครับ แต่การขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกเช็คฉบับนั้น ก็จะกลายเป็น "เช็คจ่ายตามคำสั่ง" ทันที การนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคาร หรือเมื่อต้องการโอนเปลี่ยนมือก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ "เช็คจ่ายตามคำสั่ง" ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

2.เช็คจ่ายตามคำสั่ง คือ เช็คที่ธนาคารได้ออกแบบโดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ช่องว่างที่ให้ระบุชื่อผู้รับเงินดังนี้ "จ่าย.....หรือตามคำสั่ง [or order]" การเขียนเช็คสั่งจ่าย ต้องเขียนชื่อนามสกุล ของผู้รับเงินลงในช่องว่างมิฉะนั้นจะไม่สมบูรณ์ ธนาคารก็จะปฏิเสธการจ่าย

การโอนเปลี่ยนมือเช็คจ่ายตามคำสั่ง สามารถทำได้ด้วยการที่ผู้ทรงเช็คสลักหลังแล้วส่งมอบ ซึ่งเพิ่มระดับความปลอดภัยมากกว่าเช็คผู้ถือ ดังนั้นเพื่อการเพิ่มระดับความปลอดภัยมากขึ้นก็ทำได้โดยการขีดคร่อมเช็ค โดยขีดเส้นขนานตัดแนวเฉียงบริเวณมุมบนซ้ายของเช็ค หรือเติมคำว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ Not Negotiable, A/C Payee Only" หรือทำทั้งสองอย่างก็ได้โดยการขีดคร่อม จะทำให้เช็คไม่สามารถนำมาขอเบิกเงินสดได้ ต้องนำฝากเข้าบัญชีธนาคารเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเช็ค "จ่ายผู้ถือ" หรือเช็ค "จ่ายตามคำสั่ง"

ส่วนการเติมคำว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ" ทำได้เฉพาะกับเช็คตามคำสั่ง หรือเช็คผู้ถือที่ระบุชื่อ นามสกุลผู้รับเงิน แล้วให้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออกเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่บุคคลที่ถูกระบุชื่อ นามสกุลเป็นผู้รับเงินที่ด้านหน้าเช็คแล้ว ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายทันที

ในทางปฏิบัติจะขีดเส้นขนาน 2 เส้นไว้ที่มุมบนด้านซ้ายของเช็คและเขียนข้อความว่า "ห้ามเปลี่ยนมือ" หรือ "A/C Payee Only" ไว้ระหว่างเส้นขนาน 2 เส้นซึ่งเป็นการเจาะจงให้ผู้ทรงเช็ค นำเช็คฝากเข้าบัญชีตามชื่อผู้รับเงินที่ระบุบนหน้าเช็คเท่านั้น การระบุคำสั่งไว้บนเช็คจึงเป็นการป้องกัน และเป็นการปลอดภัยไม่ให้บุคคลอื่นแอบอ้างนำเช็คไปเบิกเงินในกรณีที่เช็คสูญหาย หรือถูกโจรกรรม
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2013, 09:10:39 am
10 ขั้นตอน บริหารกระแสเงินสดให้ดีขึ้น

-http://money.sanook.com/75283/10-%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99/-




การจัดการกระแสเงินสดเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญ แต่โชคดีที่การวิเคราะห์กระแสเงินสดอย่างรอบคอบบวกกับการจัดการเงินสดอย่างระวังจะช่วยให้คุณสามารถรอดพ้นอุปสรรคในยามเงินตึงตัวได้

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ตั้งโดยมีงบประมาณจำกัด หรือเป็นบริษัทที่มีทุนหนาแต่กำลังเผชิญสภาวะเงินขาดมือ 10 ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณบริหารกระแสเงินสดให้ดีขึ้น


1.อยู่กับปัจจุบัน

พื้นฐานแรกของการจัดการกระแสเงินสดก็คือการรู้ว่าขณะนี้คุณมีเงินสดในมืออยู่เท่าไหร่ นั่นหมายความว่าคุณต้องแยกบัญชีบริษัทกับบัญชีตัวเองออกจากกันและต้องหมั่นอัพเดทสมุดธนาคารด้วย

คุณต้องสามารถเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่มีเงินออกมากกว่าเงินเข้าได้ ซึ่งสามารถคำนวณโดยนำกระแสเงินสดที่มีหารด้วยอัตราเงินออกจะเท่ากับจำนวนเดือนที่คุณจะสามารถทำธุรกิจต่อไปได้โดยไม่มีรายได้เข้ามา

การเริ่มธุรกิจที่มีอายุไม่ถึงปีและจะต้องสำรองเงินเพื่อให้รอดพ้นความยุ่งยากในช่วงปีสองปีแรกเป็นเรื่องเสี่ยงปกติของผู้เริ่มทำธุรกิจ


2.เข้าใจตัวเลขในอนาคต

การคาดการณ์ทางการเงินเป็นสิ่งที่บริษัททุกแห่งจะต้องทำ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นตัวกำหนดรายรับในอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยวิเคราะห์กระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย ลองใช้โมเดล "จะทำอย่างไร ถ้า..."

ถามตัวเอง เช่น จะทำอย่างไรถ้าคุณไม่สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ในหกเดือนข้างหน้า การตอบคำถามแบบนี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณจัดการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ


3.ใช้วิธีดำเนินงานแบบประหยัด

ระบุและกำจัดงานที่ซ้ำๆ หรือเปลืองเวลาในทุกขั้นตอนของการบริหารธุรกิจ หมั่นตรวจสอบแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงาน (เช่น การผลิต การขาย การบริการลูกค้า ฯลฯ) มองหาขั้นตอนที่ทำให้การทำงานล่าช้า

การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเงินและบริหารกระแสเงินสดได้ดีขึ้นในระยะยาว


4.รักษาสินค้าคงเหลือแบบพอดี

หากคุณขายสินค้าหรือรับสินค้ามาขาย อย่าเก็บสินค้าไว้มากกว่าการขายสำหรับหนึ่งสัปดาห์ นอกเสียจากว่าคุณแน่ใจว่าจะมีความต้องการมากๆ อย่างแน่นอน การส่งสินค้าสมัยนี้ทำได้เร็วกว่าอดีต

ดังนั้นการสั่งสินค้ามาจำหน่ายไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้านาน หรือรอให้มีออเดอร์แล้วค่อยสั่งก็ยังได้


5.ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย

มีหลายวิธีที่คุณจะประหยัดเงินได้ด้วยตัวเอง เช่น หากต้องการคอมพิวเตอร์หลายเครื่องลองซื้อแบบมือสองมาไว้ใช้งาน ทำงานที่บ้านแทนการเช่าพื้นที่ในเมือง

ต่อรองขอลดราคาสินค้าขายส่งจากผู้ผลิตสินค้าหรือผู้จัดจำหน่ายในท้องถิ่น การปลูกจิตสำนึกใช้เงินอย่างประหยัดจะช่วยให้คุณหาทางผ่านอุปสรรคไปได้


6.เลื่อนกำหนดจ่ายหนี้

หากคุณอยู่ในฐานะลูกหนี้เพราะจะต้องทำธุรกิจกับผู้ค้ามากมาย ลองวางแผนและเจรจาต่อรองเพื่อขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ แทนการจ่ายเงินสดเป็นก้อน

ผู้ค้าส่วนมากมักจะเข้าใจและยอมให้แบ่งจ่ายหากคุณสามารถจ่ายค่างวดได้ตรงเวลา เงินสดที่คุณไม่ได้ลงไปกับต้นทุนสามารถเอามาใช้หว่านในธุรกิจได้


7.เร่งรัดลูกหนี้

หากคุณเป็นเจ้าหนี้ให้พยายามเก็บเงินให้ได้เร็วที่สุด คุณอาจแจ้งเตือน หรืออาจปฏิเสธการซื้อขายหากลูกค้าคนนั้นอัตคัตเงินก้อน อย่าเป็นเจ้าหนี้ใจดีด้วยการขายสินค้าหรือให้บริการที่ไม่ได้รับเงินทันที

คุณอาจต้องตรวจสอบเครดิตของลูกค้าก่อนตกลงซื้อขายเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ได้เป็นฝ่ายรับความเสี่ยงเรื่องกระแสเงินสดเสียเอง


8.ใช้บัตรเครดิตอย่างรอบคอบ

หากคุณไม่สามารถตกลงการผ่อนชำระจากผู้ค้าได้ ให้หันมาใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตแทน ให้คุณวางแผนโดยการชำระค่าใช้จ่ายของบริษัทผ่านบัตรเครดิตของตัวเองในช่วงต้นๆของรอบบิล

การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณยืดระยะเวลาชำระเงินออกไปได้ 45 ถึง 60 วันเลยทีเดียว


9.เลื่อนกำหนดจ่ายเงินเดือนตัวเอง

หากคุณกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนกับบริษัท พวกเขาเหล่านั้นคงจะสนใจเจ้าของกิจการที่เต็มใจจะไม่รับเงินเดือนเพื่อให้ธุรกิจได้กำไรและเจริญเติบโตได้เมื่อมีโอกาส

การงดจ่ายเงินเดือนตัวเองเป็นเวลาหนึ่งเป็นเป็นกฏพื้นฐานที่ดีของการเป็นเจ้าของกิจการ ลองคิดดูสิว่าหากคุณยังรับเงินเดือนต่อไปเรื่อยๆ ธุรกิจของคุณจะบินขึ้นได้อย่างไร

ในทางกลับกันหากคุณไม่รับเงินเดือนเป็นเวลาหนึ่งปีนั่นหมายความว่าจะมีเงินสดเทเข้าไปอยู่ในเงินทุนของบริษัท เป็นการบริหารกระแสเงินสดที่ดีกว่าสำหรับปีต่อไป


10.คิดหาวิธีชดเชยค่าแรงแบบใหม่ๆ

คุณไม่มีทางดำเนินธุรกิจไปได้ไกลหากไม่จ้างพนักงาน แต่คุณไม่จำเป็นต้องหาพนักงานดีๆ ด้วยการให้เงินเดือนแพงๆ แบบที่บริษัทใหญ่ๆนิยมทำกัน ลองคิดวิธีชดเชยค่าแรงด้วยการให้ข้อเสนออื่น ๆ

เช่น ให้ค่าโทรศัพท์ ให้แต่งตัวตามสบาย มีห้องพักเบรคสวยๆ หากคุณสามารถหาคนที่เชื่อมั่นในบริษัทและอยากโตไปพร้อมๆ กับคุณ แทนที่จะรับเงินเดือนสูงๆ

คุณก็สามารถเปลี่ยนทรัพยากรบุคคลเหล่านั้นให้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าได้โดยไม่ต้องทำให้กระแสเงินสดแห้งเหือด

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2013, 09:17:12 am
บัญชีครัวเรือน...จดแล้วไม่จน

-http://money.sanook.com/83478/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99...%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%99/-




เงินพลาสติก หรือ บัตรเครดิต ดูเหมือนจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนในสังคมปัจจุบันไปแล้ว และไม่ได้พกกันแค่ใบเดียวเสียด้วย เพราะบัตรแต่ละใบตัดยอดคนละวันกัน ก็สลับกันใช้ โดยคิดว่านี่คือการบริหารเงินที่ถูกต้อง แต่เอาเข้าจริงแล้ว กลายเป็นว่าเป็นหนี้บัตรทุกใบ เพราะใช้จ่ายเกินตัว

ด้วยสภาพสังคมปัจจุบัน ความพอเพียง มักทำได้ยากเพราะแนวทางการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป มีสิ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายหลากหลายรูปแบบ เช่น ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่นหรือดารานักแสดงที่ชื่นชอบ รายรับอาจไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้

จึงนำไปสู่การกู้หนี้ยืมสิน และเป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ยากจะหลุดออกมาได้!!

สิ่งที่อันตรายเวลาเราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต คือการไม่จดบันทึกว่าใช้จ่ายค่าอะไรไป เป็นจำนวนเท่าไร เราจึงไม่รู้ว่าใช้เงินไปมากน้อยเท่าใดแล้ว การไม่เห็นเงินสดออกจากกระเป๋าจึงคิดว่าเรายังมีเงินพอใช้อยู่

บางคนเห็นยอดชำระค่าบัตรเครดิตถึงกับตกใจ ว่าเราใช้มากมายขนาดนี้เลยหรือ บางคนไม่สามารถชำระยอดเต็มได้จึงชำระแค่ขั้นต่ำโดยลืมนึกไปว่า ดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเลยทีเดียว ทำให้ยอดค้างชำระบัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประมาณว่ากินเท่าเดิมจ่ายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นบัตรเครดิตที่กระตุ้นการใช้จ่ายจากธนาคารต่างๆ อีกมากมาย

แต่จะโทษปัจจัยภายนอกอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ เพราะสาเหตุหลักคงไม่พ้นพฤติกรรมและวินัยในการใช้จ่ายของเราเองมากกว่า ที่ไม่สามารถทนต่อกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ ได้ ยิ่งมีครอบครัวด้วยแล้ว ภาระก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ แล้วเราควรทำอย่างไรเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายให้ดีขึ้น

การทำบัญชีรับจ่ายเป็นอีกหนึ่งทางที่สามารถช่วยให้การวางแผนทางการเงินมีประสิทธิภาพ หลายคนมองว่าการทำบัญชีเป็นอะไรที่ยุ่งยากและไกลตัว และส่วนใหญ่ใช้ในการทำธุรกิจเท่านั้น

แต่จริงๆ แล้วขั้นตอนการทำบัญชีรับจ่ายอย่างง่ายภายในครอบครัว หรือที่เรียกกัน "บัญชีครัวเรือน" ไม่ได้ยุ่งยากและซับซ้อนอย่างที่คิด

หลักบัญชีครัวเรือนนั้น ประยุกต์มาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เพราะทรงมองเห็นถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง รู้จักความพอประมาณ โดยคำนึงถึงหลักเหตุผล และการประมาณตน

หลายคนอาจคุ้นเคย หรืออาจจะเคยได้ยินการรณรงค์เกี่ยวกับการทำบัญชีครัวเรือนกันมาบ้างจากสโลแกนที่ว่า "จดแล้วไม่จน" กันมาบ้างแล้ว หลักๆ เลยคือการจดบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวัน หรือประจำเดือนว่า มีรายรับเท่าไหร่และมีรายจ่ายอะไรบ้าง และคงเหลือเท่าไหร่ หรือไม่พอใช้เท่าไร

หากไม่พอใช้ รายจ่ายอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นและสามารถลดได้ นี่คือข้อดีของการบันทึกรายรับรายจ่าย เราสามารถสร้างความสมดุลระหว่างระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับฐานะทางการเงิน และอาจช่วยปลูกฝังการเก็บออมอีกด้วย

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 09:25:07 pm
ดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร ... รู้เอาไว้ก็ได้ประโยชน์
-
-http://hilight.kapook.com/view/86668-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ดอกเบี้ยนโยบาย คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และ ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน

            งัดข้อกันมานานพอสมควร ในที่สุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ยอมถอย 1 ก้าว ด้วยการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือเป็น 2.50% ซึ่งถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน หลังจากก่อนหน้านี้ กนง. ถูก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทุ้งดัง ๆ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อชะลอการไหลเข้าของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            หลายคนที่ได้ยินข่าวนี้ และไม่ได้สนใจเรื่องข่าวเศรษฐกิจมากนักอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า "ดอกเบี้ยนโยบาย" คืออะไร แล้วการลดดอกเบี้ยนโยบายลงนั้นมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร กระปุกดอทคอม ขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

            ดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และเป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน โดยมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปภายใต้กรอบของเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% และเพื่อที่จะควบคุมปริมาณเงินในระบบให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องใช้ "ดอกเบี้ยนโยบาย" ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดว่าควรอยู่ที่เท่าไร ในตามแต่ละสถานการณ์

            สำหรับประเทศไทย ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้เพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร RP (repurchase) ซึ่งในปัจจุบันนี้ ใช้อัตราดอกเบี้ยการซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน (R/P 1 วัน) เป็นตัวแทนดอกเบี้ยนโยบาย

            อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในกรณีที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องเหลือก็จะนำเงินไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกู้ยืมเป็นระยะเวลา 1 วัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะโอนพันธบัตรภาครัฐให้กับสถาบันการ เงินเพื่อเป็นหลักประกัน โดยธนาคารประเทศไทยสัญญาว่าจะ "รับซื้อคืนพันธบัตร" ที่ใช้เป็นหลักประกัน กลับมาจากสถาบันการเงินพร้อมทั้งจ่ายดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลา 1 วันให้ โดยดอกเบี้ยนั้นก็คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยนั่นเอง

            ทีนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น สัมพันธ์ต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร?

            ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" กับ "อัตราผลตอบแทน" อันหมายถึงดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้านั้น เป็นคนละตัวกัน แต่โดยปกติแล้ว เมื่อดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับ ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งก็จะปรับดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก เงินกู้ หรือแม้แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรเป็นไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายด้วย

            หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แสดงว่า ช่วงนั้นเศรษฐกิจเติบโต ราคาสินค้าสูงขึ้น จนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่กำลังซื้อของประชาชนเริ่มลดลง (คนมีเงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยชิ้นลง เพราะสินค้าแพงขึ้น) ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องพยายามลดอัตราเงินเฟ้อในประเทศให้ต่ำลง ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เป็นการผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ไปปรับขึ้นดอกเบี้ยให้ลูกค้าด้วย

            เมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะจูงใจให้ประชาชนนำเงินมาฝากมากขึ้น ออมเงินมากขึ้น ธนาคารก็จะมีสภาพคล่องมากขึ้น และเมื่อธนาคารขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ก็ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย เพื่อรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยซึ่งเป็นกำไรของธนาคารเอาไว้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้นี้ก็จะทำให้คนกู้ยืมน้อยลงด้วย หันมาออมมากขึ้น เป็นเหตุให้การใช้จ่ายในครัวเรือนลดลง การลงทุนลดลง ช่วยชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้เงินเฟ้อลดลงได้

            ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แสดงว่าช่วงนั้นเศรษฐกิจเริ่มหดตัว เงินเฟ้อต่ำลง ประชาชนไม่ค่อยใช้จ่าย ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินกู้ลง เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและภาคเอกชนถอนเงินไปใช้จ่าย และลงทุนมากขึ้น (เพราะฝากเงินไว้กับธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยนิดเดียว) เป็นการช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอีกครั้ง

            อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้น-ลงดอกเบี้ยนโยบาย เช่น เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดุลการค้า ดุลการคลัง กระแสเงินทุนไหลเข้าออก การเมือง ฯลฯ

            ดังเช่น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพยายามให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น เป็นเพราะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยที่สูงไปสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจนำเงินออมมาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนของไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้น และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

            นอกจากนี้ กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าไทยยังทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ส่งออกส่งสินค้าออกได้ยากขึ้น เพราะต่างประเทศจะมองว่าสินค้าของไทยมีราคาแพงขึ้นนั่นเอง ส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ที่ผลิตสินค้าแบบเดียวกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลอยู่กลาย ๆ

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://news.voicetv.co.th/thailand/62739.html-
, -thaimutualfundnews.com-, -thaibma.or.th-, -fundmanagertalk.com-

 
http://hilight.kapook.com/view/86668 (http://hilight.kapook.com/view/86668)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 11:23:47 pm
เพิ่งจะรู้ว่า ชำระหนี้ (ทุกประเภท) ด้วยเหรียญบาท 501 เหรียญ ไม่ได้
-http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3727254-

ใครที่ชอบหยอดกระปุกออมสิน และมีเหรียญบาทเยอะๆ ถึงเวลาฉุกเฉินต้องใช้ตังในการซื้อของต่างๆ  ระวังเวลาซื้อของเค้าจะไม่รับเอานะ เพราะว่า........

เหรียญเป็นเศษเงินหน่วยย่อยๆ มูลค่าไม่มากเท่าธนบัตรแต่กลับหนักกว่า พกพายากกว่า เวลาจะซื้อของที่มีราคาพอสมควร เราก็จึงมักใช้ธนบัตรมากกว่าเหรียญ สมมุติว่า ถ้าคุณถอยรถป้ายแดงราคา 1,000,000 บาท คุณจะขนเหรียญบาทหนึ่งล้านเหรียญใส่รถสิบล้อไปจ่ายได้หรือไม่?

แล้วถ้าคนขายอยากบอกว่า “ไม่เอาๆ ถ้าจ่ายเงินแบบนี้ไม่รับ” คนขายจะบอกอย่างนี้ได้หรือไม่? อย่างงี้ผิดที่คนซื้อหรือคนขาย?

จริงๆ แล้วเงินก็คือเงิน อย่างไรเสียก็มีค่าเท่ากันใช่ไหม? มันก็จริง แต่เรื่องนี้ มีกฎหมายเข้ามากำหนดด้วยกฎกระทรวง พ.ศ. 2506 ออกตามพระราชบัญญัติเงินตรา บอกว่า

“เหรียญกษาปณ์ราคาหนึ่งบาทหรือยี่สิบบาท เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย คราวละไม่เกินจำนวนห้าร้อยบาท”

นั่นหมายความว่า ถ้าซื้อของครั้งละ 500 บาทจ่ายด้วยเหรียญบาท 500 เหรียญ ยังสามารถจ่ายได้แต่ถ้าเกิน 500 บาท คือ

ตั้งแต่ 501 บาทขึ้นไป ใช้เหรียญบาทจ่ายทั้งหมดไม่ได้นะ กฎหมายห้ามไว้ ถ้าใช้เหรียญบาท 501 เหรียญขึ้นไปซื้อของถือว่าไม่ได้ชำระหนี้ด้วยเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย

คนขายสามารถบอกได้ว่า ไม่เอา แบบนี้ไม่รับ คนขายไม่ผิด คนซื้อผิดเต็มประตู ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ลำบากคนขายจนเกินไป

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 11:27:33 pm
ชำแหละ “ต้นทุน“ ค่าก่อสร้างบ้าน-คอนโดฯ ใครต่ำสุดคือผู้ชนะ ?


-http://money.sanook.com/83754/%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%AF-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


โจทย์ใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหา ริมทรัพย์ปีนี้ นอกจากปัญหา "แรงงาน" ก่อสร้างขาดแคลน ยังมีอีกปัญหาที่หนีไม่พ้นคือ "ต้นทุนก่อสร้าง" ที่กดดันให้แต่ละบริษัทต้องทยอยปรับราคาขายบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทพัฒนาที่ดิน ล้วนระบุตรงกันว่า...ช่วงครึ่งปีหลังราคาที่อยู่อาศัยจะต้องปรับขึ้นอีก 5-10% เนื่องจากมีต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุ และผู้รับเหมาก่อสร้างที่ขอปรับราคาก่อนหน้านี้

 

ค่าก่อสร้างแพงขึ้น 10%

จะเห็นได้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นทุกปีนั้นยังคงเป็น "ปัจจัยหลัก" ที่ทำให้ราคาบ้านต้องทยอยปรับตัวตาม ดังนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" จึงลงลึกสำรวจ "ต้นทุนค่าก่อสร้าง" ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมของบริษัทพัฒนาที่ดินจำนวน 8 บริษัท โดยเทียบต่อตารางเมตร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.แสนสิริ, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์), บจ.เดอะ คอนฟิเด้นซ์ ในเครือ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง

พบว่าเมื่อเปรียบเทียบปี 2555-2556 ส่วนใหญ่มีค่าก่อสร้างเริ่มต้นแบบถัวเฉลี่ยต่อตารางเมตรเพิ่มขึ้น 10% บวกลบ ส่งผลให้แต่ละบริษัทมีนโยบายปรับราคาบ้านในครึ่งปีหลังของปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้หลายบริษัทจะตั้งราคาขายไว้ครอบคลุมแล้วก็ตาม เช่น ต้นทุนค่าก่อสร้างคอนโดฯ เฉลี่ยตารางเมตรละ 12,000-13,000 บาทแต่ตั้งราคาขายเฉลี่ย 50,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นต้น

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ พบอีกว่า นอกจากค่าก่อสร้างแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กดดันต้นทุน อาทิ ราคาที่ดิน ราคาวัสดุ ค่าบริหารจัดการที่ปรับขึ้น ฯลฯ รวมทั้งเหตุผลการปรับราคา เพื่อรักษา "สัดส่วนกำไร" ให้อยู่ในระดับเดียวกับ "ค่าเฉลี่ย" ในอุตสาหกรรมด้วยโดยผลประกอบการไตรมาส 1/2556 ของบริษัทพัฒนาที่ดินชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 30 บริษัทนั้น ล้วนสามารถทำกำไรขั้นต้น (กรอสมาร์จิ้น) รวมทั้งสิ้น 10,104 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) รวมกัน 5,176.9 ล้านบาท ซึ่งกำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 30-35% และกำไรสุทธิเฉลี่ย 14-16%


LPN-พฤกษาฯ ต้นทุนเจ๋งสุด

เริ่มจากค่ายพฤกษาฯ ซึ่งมีแบรนด์ "บ้านพฤกษา" เป็นทาวน์เฮาส์ราคาถูก พื้นที่ใช้สอยขนาด 90 ตารางเมตร เคาะราคาขายเริ่มต้น 1 ล้านบาท ถึงล้านต้น ๆ จะมีค่าก่อสร้างเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่ 4,000 บาท ขณะที่บ้านเดี่ยวราคาขายประมาณ 3 ล้านบาท สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นเฉลี่ยตารางเมตรละ 7,000 บาท

ส่วนคอนโดฯ ราคาถูก แบรนด์ "พลัมคอนโด" ที่สูงไม่เกิน 8 ชั้น ราคาขายเฉลี่ยตารางเมตรละ 30,000-40,000 บาท (บวกลบ) สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างได้ประมาณ 8,000 บาท โดยพฤกษาฯ

ควบคุมต้นทุนได้ดี จากคำอธิบายของผู้บริหารได้ระบุว่า "เป็นเพราะบริษัทมีทีมงานก่อสร้างของตัวเอง จึงไม่ต้องโดนบวกกำไรอีกต่อจากการว่าจ้างผู้รับเหมา"


ในส่วนของ "LPN-แอล.พี.เอ็น.ฯ"

เจ้าตลาดคอนโดฯระดับกลาง-ล่าง ก็มีบริษัทรับเหมาก่อสร้าง "ปิยมิตร" สามารถบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างคอนโดฯโลว์ไรส์ไม่เกิน 8 ชั้น แบรนด์ใหม่ "ลุมพินีทาวน์ชิพ" ได้ดีอีกเช่นกัน ซึ่งจะเปิดตัวใน

เร็ว ๆ นี้ บนทำเลรังสิต คลอง 1 เป็นห้องชุดขนาด 21 ตารางเมตร ราคายูนิตละประมาณ 6 แสนบาท เรียกว่าเป็นราคาเซอร์ไพรส์วงการ เพราะกดต้นทุนเหลือเพียง 8,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่แบรนด์ "ลุมพินี คอนโดทาวน์" ที่ตั้งขายยูนิตละ 7-8 แสนบาทนั้น เป็นห้องชุดไซซ์ 21-22 ตารางเมตร เคยทำต้นทุนได้ 9,000 บาทต่อตารางเมตร ในช่วงที่ผ่านมา


แลนด์ฯ-แสนสิริ ตีคู่กันมา

ส่วนค่าย "แสนสิริ" ที่เพิ่งเปิดตัวทาวน์เฮาส์แบรนด์ใหม่ "เมททาวน์" ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท ได้นำระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูป "พรีแฟบ" มาใช้ในงานก่อสร้างมากขึ้น จึงสามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นได้ต่ำลงอยู่ที่ 6,500 บาทต่อตารางเมตร

จากข้อมูลแสนสิริระบุอีกว่า สำหรับคอนโดฯสูงไม่เกิน 8 ชั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ "ดีคอนโด" นั้นจะปักธงกระจายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยมีราคาขายเริ่มต้นยูนิตละ 1.39 ล้านบาท เพราะมีต้นทุนค่าก่อสร้างเฉลี่ยตารางเมตรละ 13,000 บาท

ซึ่งเป็นการบริหาร "ต้นทุนค่าก่อสร้าง" ใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ในวงการ "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" จากข้อมูลชี้ว่า โครงการแบรนด์ "เดอะคีย์" ที่เป็นคอนโดฯ ราคาถูกสุดหรือไฟลติ้งแบรนด์ของค่ายแลนด์ฯนั้น ได้ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ 1 ล้านกว่าบาทต่อยูนิต หรือกำหนดราคาขายต่อตารางเมตรประมาณ 50,000 บาทบวกลบ แต่ต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นที่ตารางเมตรละ 12,000-13,000 บาทเท่านั้น

ขณะที่ "เดอะ คอนฟิเด้นซ์" ในเครือ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ ทำต้นทุนค่าก่อสร้างทาวน์เฮาส์ ราคายูนิตละ 1.8-2.2 ล้านบาท ได้ที่ตารางเมตรละ 10,000 บาท ส่วนคอนโดฯแบรนด์เดอะทรัสต์ฯ สูงไม่เกิน 8 ชั้น ราคาขายยูนิตละกว่า 1 ล้านบาท (28 ตร.ม.) ทำต้นทุนค่าก่อสร้างเริ่มต้นได้ตารางเมตรละประมาณ 15,000 บาท


กานดาฯ ตามติดบิ๊กแบรนด์

ส่วน "เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง" เจ้าถิ่นโซนรังสิต-ลำลูกกา แม้จะไม่มีผู้รับเหมาก่อสร้างของตัวเอง แต่สำหรับ "ทาวน์เฮาส์" ค่ายนี้ถือว่าบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างได้ดีอีกเช่นกัน โดยเริ่มต้นที่ตารางเมตรละ 7,200-7,500 บาท ส่วนบ้านเดี่ยวอยู่ที่ตารางเมตรละ 8,000-8,500 บาท

รายงานข่าวระบุว่า หลังเอ็น.ซี.ฯ เว้นวรรคการพัฒนาโครงการแนวสูงมาระยะหนึ่ง ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง "คอนโดฯเนทูเรซ่าพัทยา" เป็นคอนโดฯโครงการใหม่ ตั้งราคายูนิตละกว่า 1 ล้านบาท โดยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อตารางเมตรที่ 15,000 บาท

สำหรับ "เอพี (ไทยแลนด์)" ที่มีแบรนด์ทาวน์เฮาส์ราคาถูกสุดคือ "เดอะพลีโน่" ได้ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ยูนิตละ 2 ล้านบาทต้น ๆ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 100-120 ตารางเมตร

ก่อสร้างด้วยระบบผนังสำเร็จรูป สามารถทำต้นทุนค่าก่อสร้างอยู่ที่ 8,000-9,000 บาท ส่วนคอนโดฯแบรนด์ "แอสปาย" ราคายูนิตละกว่า 1-2 ล้านบาทนั้น บริหารต้นทุนค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรเริ่มต้นที่ 12,000-13,000 บาท

รายสุดท้าย "กานดา พร็อพเพอร์ตี้" บริษัทอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใช้ระบบก่อสร้างด้วยผนังคอนกรีตสำเร็จรูป 100% ก่อสร้างทาวน์เฮาส์แบรนด์ "ไอลีฟ ทาวน์" และเคาะราคาขายยูนิตละ 1.5 ล้านบาทเศษ มีพื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร ได้บริหารต้นทุนค่าก่อสร้างเหลือเพียง 6,500 บาทต่อตารางเมตร บ้านเดี่ยวแบรนด์ "ไอลีฟ พาร์ค" ราคาขาย 2.9-4 ล้านบาท จะมีต้นทุนค่าก่อสร้างเฉลี่ย 7,500-8,000 บาทต่อตารางเมตร

สรุปแล้ว ท่ามกลางปัจจัย "ต้นทุน" ที่รุมเร้าให้ทุกอย่างแพงขึ้น และสินค้าบ้านก็มีกระแสข่าวทยอยปรับราคามาอย่างต่อเนื่องครั้งละ 5% 10%

สุดท้ายผู้บริโภคคือผู้รับภาระ ขณะที่บริษัทพัฒนาที่ดินชื่อคุ้นหูยังคงรักษา "สัดส่วนผลกำไร" ได้ดีเพราะอีกขาหนึ่ง ผู้ประกอบการต้องเดินหน้าและตื่นตัวที่จะแข่ง "บริหารจัดการ" ต้นทุนค่าก่อสร้างให้ได้ต่ำสุด ๆ ถูกสุด ๆ ใครทำได้คือผู้ชนะ


-http://www.prachachat.net/index.php-


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2013, 11:10:32 am
นิสัยไม่ดี ... ที่ทำให้เราไม่รวยสักที
-http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600-


คนส่วนใหญ่มักคิดกันว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเรารวยหรือไม่รวยมีอยู่แค่ 3 สิ่ง คือเงินทุน ความรู้ และโอกาส แต่จริงๆ แล้วยังมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่า นั่นก็คือ “นิสัยและรูปแบบการใช้ชีวิต” ของ คนๆ นั้น ในแวดวงการเงินพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไม่รวย ไม่มั่งคั่งล้วนเกิดจากพฤติกรรมหรือค่านิยมการใช้ชีวิตแบบผิดๆ ซึ่งจำเป็นต้องละ เลิก และปรับเปลี่ยนให้ได้เสียก่อน และนิสัยไม่ดีเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน 11 เรื่อง ดังนี้

     1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

คนส่วนใหญ่มักคิดว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดีอยู่แล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ และไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

    2. ไม่ขยัน แถมขี้เกียจอีกต่างหาก

ชอบใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยลืมนึกไปว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

    3. หน้าใหญ่และฟุ้งเฟ้อ

ชอบเอาเวลาไปท่องเที่ยว สันทนาการและใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย จริงๆ แล้วถ้าจะทำแบบนี้ก็ไม่น่าเกียจถ้ามีเงินเหลือเฟือและทำนานๆ ครั้ง แต่ปัญหาก็คือคนที่ทำบ่อยๆ กลับไม่ใช่คนรวยซะอย่างนั้น

     4. ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น

เช่น ซื้อรถยนต์ มือถือ แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊คอย่างไม่ฉลาด เช่น เลือกสเปคเวอร์ๆ เพียงเพื่ออวดหรือเกทับกัน ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

    5. นิยมเช่าบ้านแทนที่จะซื้อ

ถ้าเลิกเช่าและหันมาซื้อบ้านแทนยิ่งทำเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าเช่าได้แล้ว ยังสามารถนำมาให้คนเช่าต่อซึ่งสร้างรายได้ได้ด้วย ดอกเบี้ยผ่อนซื้อ สามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีปีละ 100,000 บาท ที่สำคัญที่สุดคือบ้านถือครองนานๆ ยังเพิ่มค่าได้ แถมยังเป็นการออมภาคบังคับชั้นดีที่ทำให้คนเราเงินเก็บได้ด้วย

    6. มีลูกเยอะ

หลายคนฟังแล้วอาจไม่เชื่อว่าการมีลูกเพียงแค่ 1 คนสามารถทำให้คนจนลงได้นานถึง 20 ปี ดังนั้นหากยังไม่พร้อมจริงๆ ก็ไม่ควรคิดมีลูก และควรมีลูกแต่เพียงพอดีเท่านั้น ยกเว้นฐานะมั่นคงหรือมีเงินเหลือจริงๆ

    7.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย บางคนกู้มาท่องเที่ยว ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และบั่นทอนโอกาสกู้ยืมลงด้วย

    8. ไม่ฉลาดในการจ่ายเงินซื้อของ

ชอบซื้อของราคาเต็ม และหน้าบางไม่ชอบต่อรอง ถ้าลองเปลี่ยนมาซื้อของในห้างราคาถูก ตลาดหรือข้างถนนแทน เช่น ซื้อของตลาดนัดชิ้นละ 25 บาท หากต่อรองได้ 20 บาท เท่ากับลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 20% ถ้ารวมกันเยอะๆ ทั้งเดือนก็จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อทีเดียว

     9.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์

ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง ที่ใช้ประโยชน์ได้เพียงแค่ชื่นชมส่วนตัว สนองตอบความชอบของตัวเองเป็นสำคัญ เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

    10. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม

และแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในหัวสมองเลย ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าถ้าไม่มีเงินออม ไม่มีความรู้ ก็จะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้น นั่นเท่ากับเป็นการปิดโอกาสความรวยไปโดยปริยาย ทั้งนี้คนส่วนใหญ่เมื่อหาเงินมาได้สิ่งแรกที่ชอบคิดกันก็คือจะใช้เงินก้อน นั้นอย่างไร จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรคิดก่อนคือการออมต่างหาก

     11. ชอบให้คนกู้ยืมเงิน

ส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการชอบคุยโวโอ้อวดว่าตัวเองมีเงิน ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่าเงินทองเป็นของหายาก ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพและระมัดระวัง ทั้งนี้ตัวเองก็มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาช่วยสร้างความมั่นคง มั่งคั่งให้กับตัวเองอยู่แล้ว จึงเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะให้คนกู้ยืมง่ายๆ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ

เครดิต : ohozaa


http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600 (http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3723600)


.



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:24:30 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ถามผู้รู้...แต่เรื่องยาวหน่อยนะครับ

ผมชื่อวรเทพครับ...เนื่องจากผมได้ดำเนินการกู้สินเชื่อสำหรับซื้อบ้านของโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา และตลอดระยะเวลาในการประสานงานกับทางธนาคารกรุงไทย ผมได้รับการติดต่อจากพนักงานชื่อ คุณตู่ ทางโทรศัพท์มาโดยตลอด และหลังจากสรุปการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ทางคุณตู่ ได้เชิญให้ผมเข้าไปเซ็นสัญญา ที่ธนาคากรุงไทย สาขาสะพานกรุงธน ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556 ในช่วงบ่าย ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว ผมได้เข้าไปตามเวลานัด แต่เนื่องจากเอกสารประกอบการอนุมัติสินเชื่อ ส่วนที่เป็นการทำประกันชีวิต ไม่ตรงตามที่ได้คุยกันแต่แรก แต่พนักงานท่านอื่น ไม่สามารถชี้แจงได้ เพราะคุณตู่ ไม่อยู่สาขา แต่ได้ไปออกงาน Money Expo ที่เมืองทองธานี ทั้งนี้พนักงานที่สาขาได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกับคุณตู่ แต่คุณตู่ก็โอนสายให้กับพนักงานอีกคน ซึ่งเป็นคนอธิบายเรื่องกรมธรรม์ ซึ่งผมเห็นว่ายังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ผมเลยไม่ได้ทำการเซ็นสัญญากู้สินเชื่อในวันและเวลาดังกล่าว ทางคุณตู่จึงได้นัดเข้าไปสาขาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 น.

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.55 น. ผมได้เดินทางไปยังธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน พร้อมกับลูกน้องที่ทำงาน (ต้องไปพร้อมกันเพราะนัดลูกค้าต่อตอนบ่าย 2) ได้พบกับคุณตู่ เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เป็นครั้งแรก และได้สอบถามเรื่องการกู้สินเชื่อซื้อบ้าน และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ในกรณีการกู้ของผม ผมจะไม่ทำประกันชีวิตได้หรือไม่ ระหว่างที่คุยกับคุณตู่นั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้นั่งของคุณตู่ โดยได้แนะนำตัวว่า ชื่อภา เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับประกันชีวิต กรุงไทย-แอกซ่า เข้ามาอธิบายเรื่องการทำประกันชีวิต และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าผมจะไม่ทำ และสอบถามไปยังคุณตู่ว่า ผมจะไม่ทำประกันชีวิต จะกู้ได้หรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติก็ให้ทางคุณตู่โทรไปบอกยังโครงการบ้านให้ด้วย

ระหว่างที่ผมคุยกับคุณตู่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยนั้น คุณภา ก็ไม่ได้หยุดพูด พยายามพูดแทรก ยั่วยุตลอดเวลา ซึ่งผมได้พยายามบอกให้คุณภา หยุดพูด เพราะผมไม่อยากฟัง และได้เชิญไปยังโต๊ะอื่น , คุณภา เดินไปจริง ประมาณ 30 วินาที แล้วก็เดินกลับมาหาเรื่องใหม่ ด้วยคำพูดยั่วยุอีกอย่างเดิม เช่น
-    อ๋อ..ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นท็อปเซลล์
-    ไม่เป็นไร พี่ขอเคลียร์กับผู้จัดการเองเคสนี้ พี่มีอำนาจสามารถเซ็นท์ได้
-    ไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่เลยเวลาจากไปใช่ใหมคะ??
-    คงไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่แล้วละสิ ก็คงไม่คิดจะแต่งงาน มีลูก มีผัว อยู่แล้วละลิ?? (ผมเป็นผู้ชายครับ)
-    ถ้าคุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน เพื่อจะไม่ต้องมีภาระให้ใครไง??

ที่สำคัญ มีบางช่วงที่คุณตู่ ต้องไปโทรศัพท์ โดยลุกออกไปจากโต๊ะ คุณภาได้เข้ามานั่งยังเก้าอี้คุณตู่ และบางทีใช้เม้าท์ คลิกหน้าจอ ผมไม่เห็นหรอกว่าหน้าจอขึ้นข้อมูลอะไรไว้บ้าง เนื่องจากจอคอมหันหลังให้ผม อีกทั้งโต๊ะของคุณตู่ เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมาย

ตลอดระยะเวลาประมาณ 30 นาที คุณภา ไม่หยุดพูดยั่วยุเลย  ผมเลยบอกคุณภา ว่า “ผมเป็นเซลล์มา 12 ปี ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผมไม่เคยเห็นประกันคนไหนมาขายประกันแล้วบอกผมว่า ถ้าผมตาย ผมจะได้เงิน 2 ล้าน”
ทางคุณภา ตอบว่า “ก็มันเป็นเรื่องจริง ใครๆ เขาก็พูดกันเป็นธรรมดา”
ผมเลยตอบไปว่า “งั้นผมยกตัวอย่าง ถ้ามีคนมาขายประกันให้คุณ มาขายให้แม่คุณ แล้วบอกว่า ถ้าแม่คุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน คุณเอาไหม??”
คุณภา ยืนกดโทรศัพท์มือถือ แล้วโยนใส่ด้านหน้าที่ผมนั่ง กระเด็นผ่านโต๊ะ แล้วตกไปกับพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณภา ได้โยนโทรศัพท์มือถือ แบบนี้มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าผม เพียงแต่ครั้งนี้มันกระเด็นเฉียดตัวผมไปหล่นกับพื้น

หลังจากนั้นคุณภา ได้โทรศัพท์ไปแจ้งความ โดยแจ้งต่อหน้าผมว่า “เป็นผู้ชาย ลักษณะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ทำการหมิ่นประมาท....” และก็เดินไปคุยด้านหลัง

ระหว่างนั้นผมได้ยินคุณภาแจ้งกับใครสักคนทางโทรศัพท์ ว่า “ผมก้าวร้าว” ตลอดเวลา
   
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที หลังจากที่คุณตู่ ได้ยืนยันแล้วว่าสินเชื่อไม่ผ่านหากไม่ทำประกันชีวิต จึงได้คืนเอกสารให้ผม ผมก็ได้ล่ำลา และลุกเดินจะออกจากสาขา ทางคุณภา มาเดินขวางแล้วแจ้งว่า ให้รอตำรวจก่อน เพราะได้ดำเนินการแจ้งความไว้แล้ว ผมก็รอจนตำรวจมา กลายเป็นว่า ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา และให้เข้าไปคุยกันในห้องผู้จัดการสาขา

ในห้องผู้จัดการสาขา มีตำรวจ 2 นาย, คุณตู่, เจ้าหน้าที่สาขาผู้หญิงสูงวัย, คุณภา, ผม และลูกน้อง รวมทั้งหมด 7 คน ซึ่งระหว่างการสนทนาทั้งหมด ผมได้ทำการบันทึกเสียงไว้ในโทรศัพท์มือถือ ความยาวประมาณ 13 นาที

ได้รับการบอกกล่าวจากทางตำรวจว่า คุณภา แจ้งกับตำรวจว่า "มีการหมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" ตำรวจเลยรีบมา และทางผมได้ชี้แจงกับตำรวจ เช่นเดียวกับเนื้อหาด้านบน และไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สุดท้ายตำรวจแจ้งให้ในห้องว่า กรณีนี้ไม่เข้าข่ายใดๆ ที่จะฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทได้ ซึ่งทางคุณภา และผมก็เข้าใจตรงกัน ก็ทำการขอโทษกันไป  ผมถึงได้ออกจากสาขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่ในคลิปเสียงที่ผมอัดไว้ เป็นการชื้แจงและรับทราบต่อหน้าตำรวจ

สิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดเลยคือ

1.    คุณภา เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า เป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยสาขาสี่แยกสะพานกรุงธนหรือไม่? ทำไมถึงมีอำนาจมากมาย คุยกับผู้จัดการสาขาได้ว่าจะอนุมัติเคสใครให้ทำประกันก็ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่(คุณตู่) ทำไม่ได้ เพราะผมไม่เห็นว่าเขาจะแต่งกายชุดพนักงานของธนาคารเลย และเป็นคนเดียวในสาขาด้วย ผมถามเขา เขาตอบว่าเขาเป็นพนักงานเอ้าซอร์ท สามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ในธนาคาร
2.    คุณภามีอำนาจมากมายขนาดที่สามารถนั่งโต๊ะคุณตู่ หรืออยู่หน้าคอมคุณตู่ ได้เลยหรือ ทั้งข้อมูลในคอมหรือเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่างๆ เท่าที่ผมทราบ ควรจะเป็นความลับของเจ้าหน้าที่แต่ละคนหรือไม่ ผมถามคุณภา ว่าเอกสารการกู้สินเชื่อของผมเป็นความลับไม่ใช่หรือ ทางคุณภายืนยันว่ามีสิทธิ์ดูได้เพราะเกี่ยวกับประกันที่เธอดูแล อยากทราบเหมือนกันว่า ที่อยู่หน้าคอมและเอกสารบนโต๊ะนั้น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประกันภัยทั้งหมดเลยหรือไม่
3.    สมควรหรือไม่ ที่ให้ตำรวจมาควบคุมตัวผมไม่ให้ออกจากสาขา แล้วแจ้งความว่า “หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ก้าวร้าว ไม่คำหยาบออกมาจากปากผมสักคำ และ ผมเชื่อว่ากล้องวงจรปิดที่สาขา สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทั้งหมด  ระหว่างที่ผมนั่งคุยที่โต๊ะคุณตู่ ผมไม่ได้ลุกจากที่นั่งด้วยซ้ำ คุณภาต่างหาก ทั้งเดิน ทั้งนั่ง โยนใส่โทรศัพท์ใส่หน้าผม แล้วถ้าลองเปลี่ยนจากโทรศัพท์เป็นของมีคมละ? หรือถ้าโทรศัพท์มันระเบิดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบผม เพราะโทรศัพท์ไอโฟน ก็เคยมีกรณีระเบิดมาแล้ว
4.    หากคุณภาเป็นพนักงานบริษัทกรุงไทยจริง อยากทราบว่า ธนาคารกรุงไทย ให้พนักงานทำกับลูกค้าของคุณแบบนี้หรือ?? ทั้งให้พนักงานมาทะเลาะกับลูกค้า, ให้พนักงานพูดจาเหยียดหยามเรื่องเพศ และให้ตำรวจมาควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา ต่อหน้าลูกน้องผม, ต่อหน้าพนักงานธนาคารและต่อหน้าลูกค้าธนาคาร ที่มาใช้บริการขณะนั้น มันถูกต้องแล้วหรือ??
5. การที่ใครสักคนจะเป็นเพศอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพศชาย หรือเพศหญิง จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากพนักงานธนาคารกรุงไทยหรือ?? ยุคสมัยของการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ สีผิว และเพศ มันน่าจะผ่านไปนานแล้ว
6.    เคยเกิดกรณีพนักงานโรงหนังแห่งหนึ่ง ตะคอกเถียงลูกค้าที่มาใช้บริการ สุดท้ายก็ต้องออกจากงานนั้นไป ถามว่าทางมาตรฐานและบรรทัดฐานของกรุงไทย จะจัดการเช่นไรกับกรณีนี้
7. ถ้ากู้ซื้อบ้าน และไม่ทำประกันได้หรือไม่ (อันนี้ไม่อยากได้คำตอบแล้ว)

ผมได้ทำการร้องเรียนผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไร เต็มที่ก็คงจะทำการขอโทษ ซึ่งการขอโทษมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากความรู้สีกที่เสียไปแล้ว ยังมีอื่นๆ ที่เสียตามมาอีก
- บ้านผมก็กู้ไม่ผ่าน
- ชื่อผมก็ต้องอยุ่ในบันทึกของตำรวจ
- ลูกน้อง การปกครองต่อไปจะเป็นอย่างไร
- เจ้าหน้าที่ธนาคารท่านอื่น ก็คงไม่อยากบริการลูกค้าเช่นผม
- ลูกค้าธนาคารช่วงเวลานั้น ตีหน้าผมไปแล้วว่า...
- ความกลัวที่จะเข้าไปใช้บริการกรุงไทย ผมไม่รู้ว่าหากพูดผิดหูเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือไม่ จะถูกแจ้งความว่า "หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" อีก
- ภาพในกล้องวงจรปิด "ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน"

เลยมาแชร์ และถามผู้รู้ครับ

 สมาชิกหมายเลข 839416
14 พฤษภาคม เวลา 13:27 น.  [IP: 125.25.37.119]
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:26:42 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 77
มาตอบและขอบคุณพันทิพ ครับ

ได้รับการติดต่อจากผู้จัดการสาขาแล้วครับ ได้รับการขอโทษจากผู้จัดการ ในนามของธนาคาร ผู้จัดการแจ้งว่า เพิ่งได้ทราบเรื่อง จากสำนักงานใหญ่ จากเรื่องราวที่ผมโพสในพันทิพ และผู้จัดการสาขาจะเข้ามาพบที่ออฟฟิสผม ในวันพุธที่ 15 พ.ค. บ่าย 2

เห็นแจ้งว่าขอเข้าพบเพื่อชี้แจง และจะดูให้ว่าพอจะช่วยเหลือเคสนี้อย่างไรบ้าง

ผมได้แจ้งวันเวลาเข้าพบอีกครั้ง และรบกวนให้ทางผู้จัดการนำไฟล์ของกล้องวงจรปิดมาให้ด้วยจะได้เข้าใจตรงกัน แต่ผู้จัดการแจ้งว่า กล้องวงจรปิดมีเฉพาะที่เค้าเตอร์กับประตูทางเข้า บริเวณที่คุณตู่นั่งไม่มี เฮ้อ...กลายเป็นสิ่งที่ผมพูด ไม่มีน้ำหนักขึ้นมาทันที มีแต่พยานบุคคลคือลูกน้องผม กับเจ้าหน้าที่ธนาคารอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนหลังจะเป็นพยานให้หรือไม่

ผ่านพรุ่งนี้ไปได้ จะมาเล่าอีกทีนะครับ

ขอบคุณทุกความเห็นและพันทิพครับ


-------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 250
เจ้าของกระทู้นะครับ มาตอบแล้วแจ้งข่าวและความคืบหน้าครับ

15 พ.ค.56 เวลา 14.30 น.- เจ้าหน้าที่กรุงไทย(คุณตู่), คุณคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการสาขา(คห.163), เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า 4 ท่าน และลูกน้องผม(ผู้ร่วมเหตการณ์)

ทางเจ้าหน้าที่ทั้งจากกรุงไทย และกรุงไทยแอกซ่า ได้ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการ พร้อมกระเช้าผลไม้จากกรุงไทยแอกซ่า ครับ

จากนั้นผมได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามเนื้อความที่ตั้งกระทู้ และทางคุณคมสัน ได้เล่าผลทางการสอบสวนเจ้าหน้าที่สาขาก่อนที่จะมา ซึ่งไปในทิศทางเดียวกันกับเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม, คำพูดยั่วยุ เสียดสี, การโยนโทรศัพท์, การเดินเข้า-ออกระหว่างสนทนา และสุดท้ายคือการแจ้งตำรวจมาควบคุมตัวที่สาขาต่อหน้าพนักงาน และลูกค้าท่านอื่น

กรุงไทย
- ได้ชื้แจงแล้วว่า คุณภา ไม่ใช้พนักงานของธนาคารกรุงไทย แต่เป็นพนักงานของกรุงไทย-แอกซ่า ที่ประจำสาขานี้ และขณะนี้ได้ระงับ ไม่ให้เข้าไปยังสาขาแล้ว
- กล้องวงจรปิด ทางธนาคารได้นำรูปถ่ายภายในสาขา บริเวณที่ผมนั่งทำธุรกรรมอยู่ และเห็นว่าไม่มีกล้องวงจรปิดจริงๆ
- ในส่วนของสินเชื่อซื้อบ้าน ไม่มีเงื่อนไขว่า จะต้องซื้อประกันชีวิตด้วย และชี้แจงว่า กรณีของผม สินเชื่อได้ทำการอนุมัติแล้ว โดยได้ประสานงานกับทางโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ให้ดำเนินตามขั้นตอนต่อ แต่ที่คุณภาทำ คือการยัดเยียดการทำประกันชีวิต ซึ่งทางธนาคารไม่ได้มีนโยบายว่า การไม่ทำประกันชีวิต จะไม่อนุมัติสินเชื่อ

กรุงไทย-แอกซ่า
- ชี้แจงเรื่องไม่มีนโยบายให้ตัวแทนประกัน พูดคำว่า "ตาย" แต่ให้เลี่ยงใช้คำอื่นที่ไกลตัว แต่สื่อความหมายให้เข้าใจ
- ชี้แจงส่วนของพนักงาน (คุณภา) ว่าทางบริษัท ได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพนักงานคนดังกล่าว และไม่ได้เข้าข้างพนักงานแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดต่อสิ่งที่คุณภาทำ
- ชี้แจงเรื่องกรมธรรม์, ขั้นตอนการอธิบาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับ(ที่ไม่ได้รับข้อมูลตั้งแต่แรกเริ่ม)

จากการได้พูดคุยกันในวันนี้ เนื้อความไม่ได้เยอะมากมาย แต่เป็นเรื่องการชี้แจงในหัวข้อต่างๆ ข้างต้น เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ผมคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กร ทั้งจากธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า และผมเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว

สำหรับกรุงไทย-แอกซ่า ตามที่ได้คุยกัน ผมก็เห็นว่า คุณภา ได้ทำเรื่องแย่ๆ เพียงคนเดียว แต่ไม่ได้เกี่ยวกับองค์กร การขออภัยจากทางองค์กร ผมก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับธนาคารกรุงไทย ขอขอบคุณที่แสดงการรับผิดชอบครั้งนี้อย่างจริงใจ

เรื่องระหว่างผม, ธนาคารกรุงไทย และ กรุงไทย-แอกซ่า ก็จบด้วยความเข้าใจอันดีครับ

ป.ล. ก่อนกลับ เราได้ทำการฟังคลิปเสียงที่ผมได้ทำการบันทึกไว้พร้อมกัน และทุกท่านที่ได้ฟังก็ดูสีหน้าตกใจกับเหตุเสียงที่ได้ยินในคลิป ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสม



ตอบกระทู้- สำหรับหลายท่านที่มีข้อสงสัย ขอตอบดังนี้ครับ
- ผมมาโพสเพื่ออะไร -
     - เพื่อมาแชร์เรื่องราวที่ผมเจอ และมีข้อสงสัยบางอย่างที่ต้องการคำตอบ
     - ผมว่าพนักงานบริการที่บริการเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียน

- ทำไมตกลงทำประกันชีวิตแล้วเกิดเปลี่ยนใจ
     - ไม่ได้เปลี่ยนใจครับ เพียงแต่ว่า ตอนแรกแจ้งผมว่าเป็นประกันแบบเงินออม แต่พอมาเห็นกรมธรรม์จริง เป็นประกันแบบเงินออม ปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 26 ปี อันนี้ผมรับได้ แต่มีอีกส่วนที่รับไม่ได้คือ ต้องทำประกันเสริม จ่ายปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีการแจ้งมาก่อน เลยรู้สึกว่าไม่อยากทำ

- คลิปเสียง ทำไมไม่เอามาลง
     - อัดจากในไอโฟนครับ พยายามจะเอาลงแล้ว แต่ทำไม่เป็น แต่หลังจากได้ทำการพูดคุยกันทุกฝ่าย ทางธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า ก็ขอให้ผมส่งเป็นไฟล์เพื่อไปพิจารณา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (โพสไม่เป็นจริงๆ พยายามแนบไฟล์แล้ว มันเด้งกลับตลอดเลยครับ)

- ทำไมต้องอดทน ตอนที่ถูกยั่วยุ หรือโยนโทรศัพท์ใส่ ใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
     - เพราะขณะนั้นผมก็ตกใจเหมือนกัน (กำลังอึ้ง) ทำอะไรไม่ถูก
     - ผมไม่ได้ใจเย็นนะครับ ก็มีเถียงไปตลอดเหมือนกัน การที่ผมจะลุกยืน ชี้หน้าด่า หรือทำร้ายร่างกายคุณภา ซึ่งเป็นผู้หญิงมันก็คงไม่ถูกต้อง ถ้าทำไป เรื่องนี้จะออกมาอีกแบบเลย มีบางคห. บอกว่า "มวยถูกคู่" อันนี้ยอมรับครับ
     - คนเข้าไปกู้เงินธนาคาร ปกติเราก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แล้ว การจะตั้งหน้าเพื่อจะไปหาเรื่องคงไม่ใช่

- ทำไมต้องรอจนตำรวจมา
     - ไม่ได้รอจนตำรวจมาครับ แต่ว่าจะออกจากสาขาแล้ว คุณภาเข้ามาขวาง ไม่ให้ออกจากสาขา เพียงไม่ถึง 10 วินาที (10 วินาทีจริงๆ เพราะเร็วมาก) ตำรวจก็มาถึงสาขา

- ทำไมไม่แจ้งความกลับ
     - ขณะนั้นผมก็คิดไรไม่ออกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ตำรวจด้วยแล้ว คิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
     - ผมมีนัดลูกค้า ไว้ตอนบ่าย 2 เลยต้องรีบไป

เรื่องนี้ต้องให้เครดิตกับตำรวจด้วยครับ เพราะนอกจากจะมาระงับเหตุแล้ว ยังได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

- ชื่อวรเทพ ครับ ไม่ได้เป็นคนเดียวกับ gsg99 ครับ

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอบคุณทุกความคิดเห็น และเสนอแนะจากทุกๆ ท่านครับ ผมแค่อยากมาแชร์ประสบการณ์กับสิ่งที่ได้เจอครับ


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:28:39 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 163
ผม นายคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน ขอแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และต้องขอโทษแทนธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของธนาคาร  ที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นในสาขาที่กระผมรับผิดชอบ  ซึ่งกระผมได้สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้โทรศัพท์นัดหมายกับคุณวรเทพ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น   เรียบร้อยแล้ว
      กระผมขอยืนยันและให้ความเชื่อมั่นกับคุณวรเทพว่า  ถึงแม้จะไม่มีกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ผมรับรองว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
                                              ขอขอบคุณสำหรับทุกความเห็น และต้องขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง


ความคิดเห็นที่ 21
สวัสดีค่ะคุณลูกค้า
ธนาคารกรุงไทยขออภัยในความไม่สะดวกในการให้บริการค่ะ _/\_  รบกวนขอชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ ทางหลังบ้านเพื่อประสานงานตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนะคะ



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:40:33 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-


ความคิดเห็นที่ 17
อ่า ตอบได้อย่างเดียวว่าคุณภาเป็นพนักงานกรุงไทย แอ็กซ่า ไม่ใช่พนักงานกรุงไทยครับ (แอ็กซ่าเป็นบริษัทที่เกิดจากกรุงไทยกับประกันแอ็กซ่าร่วมกันครับ)

งงมั๊ย ... เหมือนกับ KTC กับ KTB ครับ คนละบริษัทกัน แต่อยู่เครือเดียวกันประมาณนั้น

ส่วนเรื่องอื่นๆ อยากให้ฟ้องกลับฐานแจ้งความเท็จต่อจนท.ตำรวจ
และชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงไปที่บริษัทกรุงไทยแอ็กซ่า รวมถึงสำนักงานเขตที่ดูแลธ.กรุงไทย สาขานี้ครับครับ เพื่อไม่ให้เกิดเห็นการณ์แบบนี้อีก

ปล. เรื่องนี้ผมได้ฟังความข้างเดียว  รับทราบแค่ข้อมูลส่วนของ จขกท. ฉะนั้นจึงแนะนำตามที่เห็นในข้อความครับ หากข้อเท็จจริงผิดไปจากนี้ก็รอดูข้อมูลแล้วค่อยว่ากัน


ความคิดเห็นที่ 18
ของผมกู้กรุงไทยเหมือนกัน  แค่โทรไปคอลเซ็นเตอร์ บอกว่าไม่ได้ใบเสร็จมาหลายเดือนแล้ว

แค่เนี้ย  ผจก.สาขาที่เรากู้โดนตัดคะแนนเลยนะครับ  ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย แค่อยากได้ใบเสร็จไว้ป้องกันตัวเฉยๆ

ถ้ารู้ชื่อจริง นามสกุลจริง  ลองโทรไปคอลเซ็นเตอร์ดูครับ


ความคิดเห็นที่ 19
เขามาอ่านรู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกโมโหแทนคะ ( ถ้าเป็นตามคุณเล่ามานะคะ ) ลองยื่นเรื่องกับแบงค์อื่นดูคะ จริงๆเรื่องประกันทางแบงค์ไม่สิทธิบังคับเราทำนะ มีในกฎหมายห้ามไว้ด้วยคะ จะมีแต่ประกันประเภทที่ว่าเมื่อเรากู้ผ่านแล้วจะทำก้อคือประมาณว่าถ้าเราเป็นอะไรไปคนข้างหลังไม่ต้องรับภาระหนี้สิ้นที่เราเป็นอยู่ แต่การกระทำของพนักงานที่แสดงออกกับคุณ น่ากลัวที่สุด


ความคิดเห็นที่ 37
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ "จิตใจ" ของผู้อื่น ผู้นั้นกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ผู็ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวา่งโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อแนะนำโปรดหลอกถามให้ได้ว่าทำอย่างงี้เป็นประจำ)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ผู้ใดกระทำการโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อนี้ก็เช่นกัน ทำให้เค้าหลุดปากพูดว่าเค้าทำเป็นประจำ เจ้าหน้าจะได้นำไปประกอบการพิจารณาลงโทษขั้นสูงสุด)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379

อันนี้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวไหม

ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ(คือถ้าบอกล้างก็จะเป็นโมฆะถ้าให้การรับรองก็สมบูรณ์) แต่การถูกกลฉ้อฉลต้องถึงขนาดซึ่งถ้าไม่มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้ทำขึ้น



ความคิดเห็นที่ 41
อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ ในส่วนคำถามที่คุณอยากทราบ คงต้องให้ทางกรุงไทยมาชี้แจงแล้วล่ะ

แต่ในส่วนที่คุณเสียความรู้สึกนั้น คงต้องเสียความรู้สึกอยู่แล้ว แต่ส่วนอื่นๆ ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน

- ถ้าคุณกู้บ้านไม่ผ่าน คุณก็ไปติดต่อแบงค์อื่นก็ได้ ใช่ว่าจะมีแต่กรุงไทยที่คุณจะขอกู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องง้อแบงค์สักหน่อย
- ชื่อคุณไม่น่าจะอยู่ในบันทึกของตำรวจ เพราะคุณไม่ได้ถูกเชิญไปที่โรงพัก อีกทั้งยังมีหลักฐานว่าคุณไม่ได้หมิ่นประมาท (จากเทปที่อัดเสียง) ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ตำรวจคงไม่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้หรอกครับ
- จะปกครองลูกน้องยังไง ก็ปกครองเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ลูกน้องคุณคงเข้าใจ
- เจ้าหน้าที่คนอื่นจะบริการคุณหรือไม่ ทำไมต้องแคร์ แบงค์นี้ไม่บริการก็ไปใช้บริการที่อื่น หรือสาขาอื่น ผมคิดว่าคนที่ต้องอาย คือพนักงานแบงค์ที่คุณมีปัญหาด้วยมากกว่า ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่อลูกค้า ไม่ใช่ตัวคุณ
- ลูกค้าธนาคารคนอื่น ควรจะเห็นใจคุณมากกว่าที่จะประนามคุณ ถ้าคุณไม่ได้ทำนิสัย หรือมารยาทที่ไม่ดี แถมลูกค้าท่านอื่นสมควรที่จะไม่พอใจการบริการของแบงค์ซะด้วยซ้ำนะครับ
- ทำไมคุณต้องกลัวคนอื่นด้วยล่ะ ในเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่พอใจบริการของที่นี่ ก็ไปใช้บริการแบงค์อื่น หรือถ้าคุณคิดจะใช้บริการของที่นี่อยู่ ก็ไปใช้สาขาอื่น มีเจ้าหน้าที่คนอื่นยังยินดีต้อนรับ ใช้ว่าพนักงานแบงค์ทุกคน ทุกสาขาเขาจะบริการไม่ดีซะทุกคนสักหน่อย
- ภาพในกล้องวงจรปิดมันมีทุกที่ คุณเดินเข้า 7-11 มันก็มีกล้องวงจรปิด ถ้าไม่ได้ทำผิดสักอย่าง แล้วจะกลัวอะไร

ผมว่าคุณจะวิตกจริตเกินไปนะสำหรับหลายๆ เรื่อง ถ้าเป็นผมๆ ไม่แคร์หรอก ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง จะกลัวตำรวจ กลัวพนักงานคนอื่น จะอายใครทำไม คนที่อายคือคนที่ทำผิดมากกว่า

สำหรับความต้องการของคุณที่อยากจะให้ทางแบงค์ดำเนินการกับพนักงานที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คงต้องให้ทางแบงค์จัดการเอง

แต่สำหรับในเรื่องการทำประกัน ผมเห็นว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ แบงค์มีนโยบายเหมือนกันนะ ถ้าเขาจะไม่อนุมัติให้คุณกู้ หากคุณไม่ทำประกัน คุณก็ควรจะทำใจ เพราะเดี๋ยวนี้แบงค์นอกจากปล่อยกู้แล้ว ยังต้องทำรายการอื่นๆ อีก

ปัจจุบันเข้าแบงค์ฝาก-ถอนเงินธรรมดา พนักงานก็ยัดเยียดอยู่นั่นแหละ ทำประกันชีวิตไหมพี่ มีบัตรเครดิตหรือยัง สนใจซื้อกองทุนหรือเปล่า บลาๆๆๆ มากมายสารพัดสินค้า ที่จะพยายามยัดเยียดคุณ

ผมคิดว่าทุกแบงค์มีนโยบายคล้ายกันหมดแหละครับ เขาคิดว่าคนที่ไปขอกู้เดือดร้อน อยากได้เงิน เขาก็เลยได้โอกาสยัดเยียดสินค้าพ่วงมาให้ด้วยมากกว่าครับ



ความคิดเห็นที่ 154
เจ้าของกระทู้ทนให้เค้าพูดจาอย่างนี้อยู่่ได้ไง เป็นคนอื่นคงฟาดเปรี้ยงเข้าให้แล้ว
แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเราไปขอกู้เงินเค้า ก็ต้องทนฟัง ยอมๆไปหน่อย แต่เยอะขนาดนี้น่าจะจัดหนักหน่อย
แจ้งความกลับเลยครับ ร้องไปธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย 
แจ้งไปทาง คปภ. ให้ตรวจผลสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตว่ามีใหม ที่ขายๆกันอยู่เนี่ยะ ถ้ามีให้ถอนใบอนุญาต
และถ้าเค้าผิดจริงให้ทางธนาคารทำเป็นหนังสือมาครับ เซ้นด้วย ไม่ใช่มาขอโทษด้วยวาจาแล้วจบไป



ความคิดเห็นที่ 155
สงสัยว่า เรื่องทำประกันต้องตกลงกันก่อนแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ แล้วไม่ตรงตามเงื่อนไขคืออะไร ในเมื่อประกันบ้านมันมีแบบเดียว คือคุ้มครองจากการเสียชีวิตและชำระเบี้ยครั้งเดียว ถ้าลูกค้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาหนี้ก็เสียเป็นภาระกับธนาคาร ซึ่งธนาคารทุกที่เค้าก็ให้ทำหมด อาจจะยกเว้นแค่ออมสิน ถ้าเช่นนั้นรบกวนเจ้าของกระทู้บอกด้วยที่ว่าไม่ตรงตามที่คุยคืออะไร ผมไม่ได้เข้าข้างธนาคารและก็เห็นด้วยที่ว่าพนักงานที่ชื่อภาผิด แต่ผมแค่สงสัยประเด็นที่ จขกท กล่าวตอนแรกว่าตกลงทำไปแล้ว แล้วทำไมถึงเกิดเปลี่ยนใจ ทั้งที่ธนาคารอนุมัติแล้ว


http://pantip.com/topic/30484962 (http://pantip.com/topic/30484962)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:47:13 pm
พนักงานของบริษัทนายหน้าประกันภัยต้องมีใบอนุญาตหรือไม่? ฉบับที่ 156
-http://www.sumret.com/content.php?id=919&group_id=26-


สวัสดีครับ .พบกับการก้าวไปอย่างมั่นคง ก้าวไปอย่างปลอดภัย กับ....ก้าวทันประกันภัยและ เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาเรามาก้าวทันกันต่อเลยครับ
                คำถาม  : จากคุณ  สมชาย กรุงเทพฯ “ ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อนให้เปิดบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัย มีคำถามอยากทราบว่า ลูกจ้างของบริษัทที่จะทำหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อรับประกันภัยนั้นต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าด้วยหรือไม่อย่างไร?”

                อ.ประสิทธิ์ : ก่อนอื่นต้องขออนุญาตนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอธิบายความกันก่อนนะครับว่า บุคคลที่ถือว่าเป็นคนกลางในธุรกิจประกันภัยในอันจะดำเนินการจัดทำประกันภัยก็คือ ตัวแทน  และ นายหน้า   ซึ่งตาม ปพพ.มาตรา 845 นั้นหมายถึง  “บุคคลหรือ นิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจบริการแก่สาธารณะ เพื่อชี้ช่องหรือจัดการให้ทำสัญญาประกันภัย ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย”  หรือพูดภาษาง่ายๆก็คือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทประกันภัย ที่ทำหน้าที่ในการขายประกันภัยและรับเบี้ยประกันภัย แทน บริษัทประกันภัยนั่นเองดังนั้นความเป็นตัวแทนหรือความเป็นนายหน้าในความหมายจึงคล้ายกันจะมี ความแตกต่างระหว่างการเป็นตัวแทน กับ การเป็นนายหน้าประกันภัยนั้น ก็มีเพียงเล็กน้อย คือ ตัวแทนหมายถึงคนที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นตัวแทนของบริษัทหนึ่งบริษัทใด โดยบุคคลนั้นจะทำหน้าที่ในการขายให้กับบริษัทนั้นๆเป็นการเฉพาะ ในขณะที่ บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าประกันภัยนั้น สามารถเสนอขายและดำเนินการเพื่อรับประกันภัยแทนบริษัทประกันภัยได้หลายบริษัท โดยเฉพาะการเป็นนายหน้าประกันภัย นั้นจะมีอยู่ สองแบบคือ   1. การเป็นนายหน้า แบบบุคคล ซึ่งหมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีใบอนุญาตเป็นหน้าหน้าประกันภัย และ 2. .การเป็นนายหน้าแบบนิติบุคคล  หมายถึง การประกอบธุรกิจเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย  ซึ่งจะเหมือนกันทั้งการประกันชีวิต และ การประกันวินาศภัย

             ทีนี้เรามาเข้าคำถามของคุณ สมชายครับที่ถามว่าการดำเนินการประกอบธุรกิจเป็นบริษัท นายหน้าประกันภัยนั้นจะมีข้อบังคับอย่างไรบ้าง..โดยผมอธิบายเป็นสามขั้นตอนดังนี้ครับ

             ขั้นตอนที่หนึ่ง : การขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดนั้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท
                          จำกัดทั่วไป
            ขั้นตอนที่สอง : การยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ
                          ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( แบบ นว.5 ) โดยต้องมีรายละเอียดอันเป็นสาระ
                          สำคัญดังนี้

             1.    บริษัทนั้นต้องมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการนายหน้าประกันวินาศภัย

             2.    ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า สองล้านบาทโดยการชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า

             3.    กรรมการ 3  ในสี่ ต้องมีสัญชาติไทย และต้องมีใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัยไม่น้อยกว่า 5 คน

             4.    เอกสารประกอบการขอยื่นต้องยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลนั้นต้องครบสมบูรณ์ตามประกาศนายทะเบียน เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนใขในการออกใบอนุญาตให้นิติบุคคลเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย

ขั้นตอนที่สาม : ต้องเปิดดำเนินการธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยภายใน 2 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตโดย
              การดำเนินการนั้นต้องปฏิบัตตามกฎหมายและข้อบังคับตลอดจนกฎระเบียบของ คปภ. ดังนี้
               1.    ต้องดำรงกองทุนไม่น้อยกว่า หนึ่งล้านบาทตลอดเวลาที่ได้รับใบอนุญาต
               2.    ต้องจัดทำสมุดทะเบียน และสมุดบัญชี และเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจ
               3.    ต้องยื่นรายงานผลประกอบการธุรกิจต่อนายทะเบียนตามที่กำหนด
               4.    ต้องมีนายหน้าปฏิบัติงานประจำในสำนักงานนิติบุคคลนั้นไม่นอยกว่า 1 คนเพื่อให้บริการประชาชน
               5.    ต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยให้เป็นผู้สามารถดำเนินการเพื่อรับประกันภัยและรับค่าเบี้ยประกันภัยได้

               ดังนั้นจากคำถามของคุณสมชาย ที่ถามว่าพนักงานลูกจ้างของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจะต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าหรือไม่นั้น.. คำตอบจึงไม่จำเป็นครับเพราะว่าบริษัทนายหน้านั้นเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการใดๆก็จะเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัทจำกัดทั่วไปคือลูกจ้างที่ทำการในทางที่จ้างตามที่นายจ้างมอบหมายให้กระทำการก็มีผลผูกพันกับนิติบุคคลนั้นแล้ว เพียงแต่สิ่งที่บริษัทนายหน้าจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนของการเสนอขายและรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยนั้นต้องให้ทางบริษัททำหนังสือมอบอำนาจให้กับพนักงานที่มีหน้าที่ในกการรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย มาตรา 66:    วรรคสองกำหนดว่า นายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงิน อาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยนั้น    ( หากฝ่าฝืนมีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี  ปรับไม่เกิน  200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )และ มาตรา 66/2:    ที่กำหนดไว้ว่า นายหน้าประกันวินาศภัย หรือ พนักงานของบริษัทต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจจากบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท นายหน้าประกันวินาศภัย หรือพนักงาน ของบริษัทภัยต้องออกเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท (ปรับไม่เกิน 30,000 บาท) และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทหรือผู้เอาประกันภัย   ( โทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ) และนอกจากนี้แล้วคุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการเองก็ต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำเสนอขายประกันภัยของพนักงานของท่านด้วยอีกทางหนึ่งเนื่องจากได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยต้องแสดงใบอนุญาตการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าทุกครั้งที่มีการสเสนอขายประกันให้กับลูกค้าประชาชน คุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการก็ต้องแจ้งให้พนักงานต้องแจ้งและแสดงใบอนุญาตการเป็นนายหน้านิติบุคคลให้กับลูกค้าหรือประชาชนทุกครั้งเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการเสนอขายในช่องทางหนึ่งช่องทางใดก็ตาม

             ดูเหมือนว่ารายละเอียดและเงื่อนไขจะมากทำให้เกิดความยุ่งยากหรือไม่... ก็ต้องขอเรียนกับคุณสมชาย และท่านผู้อ่านด้วยนะครับว่า อาชีพการเป็นตัวแทน หรือ นายหน้านั้น จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งที่ผ่านมานั้นค่อนข้างมีปัญหา การที่กฎหมายมีการกำหนดไว้ให้เป็นเช่นนี้นั้นก็เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพตัวแทน หรือ นายหน้าให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการกำหนดอีกครับว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยจะต้องเข้ารับการอบรมทุกครั้งก่อนมีการต่ออายุใบอนุญาตเพื่อปลุกจิตสำนึกการให้บริการ อันเป็นการส่งเสริมจรรยาบรรณในอาชีพเพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองและการบริการที่ดีจากธุรกิจประกันภัย หากมองในภาพรวมแล้วประชาชนทั่วไปย่อมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน ...ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องจรรยาบรรณของตัวแทน และ นายหน้าประกันวินาศภัยกันครับ...แล้วพบกัน..สวัสดีครับ.  ประสิทธิ์  คำเกิด                 


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 156 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 36-31 พฤษภาคม 2552
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:49:57 pm

ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์...กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้
-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=534537-

ได้อ่าน ภัยใกล้ตัว..! สมัครบัตรเครดิต แถมหลอกขายประกันชีวิต เป็นหนี้ไม่รู้ตัว ยิ่งกว่าโดนกระชากกระเป๋า ของบล็อกเกอร์ สิปาง
เลยคิดว่าน่าจะนำเรื่องนี้มาลงให้เราได้รู้สิทธิของเราในฐานะผู้ซื้อ...เพื่อประโยชน์ของเราเอง ค่ะ
*****

ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์
กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้

ค้นหาใน บมจ. ไทยเศรษฐกิจประกันภัย http://www.tsi.co.th/tips.asp?tid=193 (http://www.tsi.co.th/tips.asp?tid=193)

ทุกวันนี้การเสนอขายสินค้าผ่านโทรศัพท์ หรือเทเลมาร์เก็ตติ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการทำตลาดสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะประกันภัยที่ใช้ช่องทางนี้ค่อนข้างมาก แม้ด้านหนึ่งการขายผ่านช่องทางนี้จะทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มรำคาญ และรู้สึก "ไม่ชอบ" จนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง เพราะ "ชอบ" ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้เช่นกัน เห็นได้จากยอดขายกรมธรรม์ผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้งในไตรมาสแรกปีนี้มีมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งประเมินภาพรวมทั้งปีอาจสร้างเบี้ยสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการบริหารความ "ชอบ" และ "ไม่ชอบ" ของคนสองกลุ่มนี้ก็คือ การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการขายผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง และไม่เป็นการรบกวนผู้บริโภคจนก่อให้เกิดความรำคาญ ซึ่งธุรกิจประกันภัยถือเป็นธุรกิจแรกที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การขายทั้งในเชิงของการเป็นมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพ และการเป็นกฎหมาย



หลักปฏิบัติที่สำคัญของการขายประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์นั้น

    ประการแรก ตัวแทนหรือนายหน้าที่จะโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันนั้นจะต้องสอบใบอนุญาตการเป็นตัวแทน
    ทั้งยังต้องขึ้นทะเบียนการเป็นผู้เสนอขายแบบประกันผ่านทางโทรศัพท์กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ด้วย
    ขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องวิเคราะห์ฐาน ลูกค้าเพื่อมาออกแบบกรมธรรม์ให้เหมาะสม
    รวมถึงแบบประกันที่จะเสนอขายต้องได้รับอนุมัติจาก คปภ.ก่อนเช่นกัน

การเสนอขาย

ในการโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันจะต้องอยู่ในช่วงวันจันทร์-เสาร์ ระหว่างเวลา 08.30-19.00 น. โดยขั้นตอนการเสนอขาย ตัวแทนต้องแจ้งชื่อ-สกุล, เลขที่ใบอนุญาต และชื่อบริษัทประกัน ซึ่งต้องชี้แจงว่าจะเป็นการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย

หากผู้บริโภคไม่สนใจและปฏิเสธที่จะสนทนาต่อตัวแทนก็ต้องยุติการเสนอขายทันที พร้อมกับบันทึกชื่อลูกค้ารายดังกล่าวไว้ในอีกบัญชีหนึ่งและต้องไม่ติดต่อไปเสนอขายกรมธรรม์แก่ลูกค้ารายนั้นอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน

ในกรณีที่ลูกค้าสนใจและอนุญาตให้เสนอขายกรมธรรม์ได้ ตัวแทนต้องขออนุญาตบันทึกเสียงการสนทนาก่อนจะเสนอขายและอธิบายรายละเอียดของแบบประกันทั้งความคุ้มครอง, ผลประโยชน์, ข้อยกเว้น, เบี้ยประกัน, ระยะเวลาเอาประกัน ไปจนถึงช่องทางการชำระเบี้ย

หลังการซื้อขาย

หลังจากตกลงซื้อกรมธรรม์ภายใน 7 วันหลังจากส่งกรมธรรม์ไปให้ผู้เอาประกันแล้ว บริษัทจะต้องโทรศัพท์ไปขอคำยืนยันจากผู้เอาประกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันยังมีระยะเวลาในการขอยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย (free look period) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์จากบริษัท ในกรณีนี้ผู้เอาประกันจะได้รับเบี้ยคืนเต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้บริโภคต้องการทราบว่าผู้เสนอขายได้ข้อมูลของตนเองมาได้อย่างไร ตัวแทนก็ต้องแจ้งถึงแหล่งที่มาของข้อมูลของผู้บริโภคด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ผู้บริโภคแต่ละรายอาจถูกโทรศัพท์ไปเสนอขายกรมธรรม์หลายครั้งจากหลายบริษัท เนื่องจากแต่ละบริษัทก็จะมีฐานข้อมูลของตนเองและไม่ได้เชื่อมโยงเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน ลูกค้ารายหนึ่งอาจปฏิเสธไปแล้วแต่กลับมีบริษัทอื่น โทร.เข้ามาเสนอขายอีกก็เป็นได้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่สมาคมประกันชีวิตไทย และภาคธุรกิจ รวมถึง คปภ.จะช่วยกันหาทางแก้ไขในอนาคตเพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลของผู้บริโภค ทั้งยังต้องไม่ขัดกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับลูกค้าของสถาบันการเงินอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้น่าจะได้เห็นระบบนี้อย่างแน่นอน

ที่มา นสพ บ้านเมือง

เคยโพสต์ไว้ที่นี่ -http://dhanita-rpk.spaces.live.com/Blog/cns!926D7AD01F9C551F!1103.entry-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:59:27 pm
วิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย เทคนิคง่าย ๆ ที่ควรรู้
-http://hilight.kapook.com/view/86389-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/annira/info-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A203.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการ การใช้บัตรเครดิตถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก และยังเป็นการแบ่งเบาภาระสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อน แต่ต้องการซื้อสินค้าราคาค่อนข้างสูง รวมทั้งสามารถใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้อีกด้วย แน่นอนว่า การที่สามารถใช้บัตรรูดซื้อสินค้าหรือบริการ รวมทั้งกดเงินสดได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินที่มีอยู่ในบัญชี แม้จะเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้บัตร แต่ถือเป็นข้อเสียที่ให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรได้เช่นกัน

          ทั้งนี้ เพื่อให้เราสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างสบายใจหายห่วง วันนี้เราจึงนำวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัยมาฝาก ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

          1. ลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรทันทีที่ได้รับบัตรใหม่

          2. เก็บรักษาบัตรไว้ในที่ปลอดภัย

          3. ไม่ควรเขียนหรือเก็บรหัสไว้รวมกับบัตร

          4. หากเป็นไปได้ ควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาในขณะที่ร้านค้ากำลังดำเนินการขออนุมัติวงเงิน

          5. ต้องตรวจสอบหมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร และยอดเงินในเซลส์สลิปว่าถูกต้องหรือไม่ก่อนลงลายมือชื่อ

          6. ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้รับบัตรคืนหลังการใช้ทุกครั้ง และบัตรที่ร้านค้าคืนมาต้องไม่สลับกับบัตรของผู้อื่น

          7. พึงระวังว่าร้านค้ารูดบัตรเพียงครั้งเดียวต่อการทำรายการซื้อขายหนึ่งครั้ง หากมีการรูดบัตรเกินควรสอบถามและขอทำลายใบเสร็จ ที่บันทึกข้อมูลผิดหรือรายการที่ยกเลิกแล้ว

          8. ตรวจสอบใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนกับใบเสร็จที่มี หากมีรายการเรียกเก็บเงินใดที่ไม่ถูกต้องให้แจ้งผู้ออกบัตรทันที

          9. หากไม่ได้รับใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนตรงตามเวลา ให้สอบถามไปยังผู้ออกบัตรถึงสาเหตุที่ล่าช้า

          10. ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด อย่าเซ็นชื่อลงในใบบันทึกรายการที่ยังมิได้เขียนจำนวนเงิน

          11. อย่าแจ้งรหัสส่วนตัวที่ใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินจากเครื่อง ATM ให้คนอื่นทราบอย่างเด็ดขาด

          12. ไม่ควรเปิดเผยข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ของท่านกับใครขณะใช้บัตรเครดิต และแสดงบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่น ๆ เมื่อท่านเห็นสมควรว่าจำเป็นเท่านั้น

          13. ในการตั้งรหัสบัตรเพื่อกดเงินสด พยายามเลือกรหัสที่ท่านสามารถจำได้ง่าย แต่ไม่ควรใช้ตัวเลขที่ผู้อื่นอาจเดาได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ วันเกิด ทะเบียนรถ เป็นต้น

          14. หากรู้สึกว่าพนักงานขายทางโทรศัพท์คะยั้นคะยอขอหมายเลขบัตรเครดิตของท่าน ให้สงสัยไว้ก่อนและปฏิเสธไป

          15. อย่าวางบัตรไว้ใกล้แหล่งที่เป็นแม่เหล็ก เพราะแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรจะได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านข้อมูลจากบัตรได้

          16. หากบัตรของท่านติดอยู่ในเครื่อง ATM ควรระวังผู้ที่แสดงความหวังดีเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้ที่มาช่วยอาจแฝงด้วยเจตนาที่ไม่ดีและอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อล่วงรู้รหัสบัตรของท่าน แล้วอาจนำบัตรของท่านที่ค้างอยู่ในตู้ ATM มากดถอนเงินในภายหลัง

          17. จดจำหมายเลขบัตรและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ออกบัตร เพื่อติดต่อสถาบันผู้ออกบัตรได้ทันทีในกรณีบัตรสูญหาย ถูกขโมย หรือสอบถามข้อสงสัย ตลอดจนเมื่อมีปัญหาจากการใช้บัตร

          สำหรับใครที่ใช้บัตรเครดิตค่อนข้างบ่อย คงต้องหัดทำตัวเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งการปฏิบัติตามวิธีในข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่บัตรเครดิตของเราจะถูกลักลอบนำไปใช้หรือโดนปลอมแปลงได้

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2149;image)

หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2556


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
bfiia.org, bot.or.th

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 11, 2013, 06:19:38 am


รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง
Monday, 10 June 2013

-http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/06/10/1299-

(http://portal.settrade.com/blog/nivate/)



เรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะพูดว่ามันเหมือนกับการรบ   ดังนั้น  กลยุทธ์และปรัชญาของสงครามสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหรือการเล่นหุ้นได้  และถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วดูเหมือนว่ากฎแห่งการยุทธ์ที่โด่งดังที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดก็คือ  “รู้เขา-รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ของซุนหวู่ ปราชญ์แห่งสงครามชาวจีน   ในฐานะที่ศึกษาเรื่องของประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ของสงครามมาบ้างบวกกับการที่อยู่ในตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน   ผมเองคิดว่ากฎแห่งสงครามข้อนี้ใช้ได้   แต่ถ้าจะพูดให้ตรงความเป็นจริงไม่พูดโอเวอร์เพื่อเน้นหลักการผมอยากจะปรับคำเป็นว่า  “รู้เขา-รู้เรา  เล่นหุ้นร้อยครั้ง  ชนะเจ็ดสิบครั้ง”  ในกรณีของการลงทุนหรือการเล่นหุ้นซึ่งไม่มีทางที่เราจะเล่นร้อยชนะร้อย   ว่าที่จริงผมคิดว่าซุนหวู่เองก็ไม่ได้คิดว่ารบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง  โลกนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามหรือหุ้น

           คำว่า “รู้เขา” นั้น  ในเรื่องของหุ้นผมคิดว่ามีอยู่สองเรื่องนั่นก็คือ  เขาคนแรกก็คือ Mr. Market หรือ “นายตลาด”  ตามคำพูดของ เบน เกรแฮม ซึ่งก็คือนักลงทุนโดยรวมในตลาดหุ้นหรือพูดง่าย ๆ  ก็คือตลาดหุ้นนั่นเอง   เราจะต้องรู้ว่าตลาดหุ้นนั้นมี  “พฤติกรรม” หรือ  “กลยุทธ์ในการเล่นหุ้น”  อย่างไร   ถ้าเราเชื่อ เบน เกรแฮม  ตลาดหุ้นนั้นมักจะ  “คุ้มดี คุ้มร้าย”  อยู่เรื่อย ๆ  เอาแน่อะไรไม่ได้  บางทีในช่วงที่  “อารมณ์ดี” เป็นพิเศษ  พวกเขาก็แห่กันเข้ามาซื้อหุ้นให้ราคาหุ้นสูงลิ่วเกินกว่าพื้นฐานไปมาก  แต่ในบางช่วงที่เกิดอาการ “หดหู่” อย่างหนัก  พวกเขาก็เทขายหุ้นจนราคาต่ำกว่าพื้นฐานไปมาก  หน้าที่ของเราก็คือ  เราต้องรู้และฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมของพวกเขาแทนที่จะดีใจหรือตกใจและทำตาม

          แต่ถ้าเราเชื่อนักวิชาการตลาดหุ้น  พวกเขาก็จะบอกว่านักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นในตลาดนั้นต่างก็มีเหตุผล  นั่นก็คือ  เขาจะซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะกับพื้นฐานของมันเสมอเช่นเดียวกับคนที่ขายหุ้น  แน่นอน  ความเห็นหรือการวิเคราะห์ว่ามูลค่าพื้นฐานคือเท่าไรนั้นคนสองคนอาจจะมองไม่เหมือนกันและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีการซื้อและขายหุ้นเกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม  โดยเฉลี่ยแล้วความคิดของนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็มักจะถูกต้องเช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นตัวแทนของหุ้นทั้งหมดที่จะสะท้อนพื้นฐานของตลาด  ส่วนการที่บางครั้งราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากหรือตกต่ำลงมากนั้นเป็นเพราะว่าพื้นฐานของกิจการหรือภาวะทางการเงินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทำให้นักลงทุนซื้อหรือขายหุ้นมาก  ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอารมณ์ดีหรืออารมณ์หดหู่แต่อย่างใด

           การรู้จัก “นายตลาด” หรือ “รู้เขา”  นั้น  จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนหรือเล่นหุ้นได้ดีขึ้นแน่นอน  ประเด็นก็คือ  ถ้าเราสรุปว่าภาวะตลาดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้  อาจจะเนื่องจากเพราะคนในตลาดหุ้นเป็นคนที่มีอารมณ์ “แปรปรวน”  ทำให้คาดเดายาก  หรือคนในตลาดอาจจะมีเหตุผลเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลและความสามารถวิเคราะห์สูงแต่เนื่องจากภาวการณ์แวดล้อมเช่นเรื่องของเศรษฐกิจ  การเงิน และตลาดการเงินระหว่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา  ดังนั้น  การที่เราจะพยายามไปฉกฉวยประโยชน์จากภาวะตลาดจึงอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร

             “เขา”  อีกคนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ  บริษัทจดทะเบียนหรือหุ้น  นี่คือเขาที่เราจะต้องรู้ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน  สิ่งที่จะต้องรู้ก็คือ  เขาหรือบริษัทเป็นอย่างไร?  ทางหนึ่งที่จะใช้ในการเรียนรู้เขาก็คือ  การกำหนดหรือบอกให้ได้ว่าบริษัทอยู่ในหุ้นกลุ่มไหนใน 6 กลุ่ม ตามแนวทางของ ปีเตอร์ ลินช์ นั่นคือ  บริษัทเป็นกิจการที่โตช้า  โตเร็ว  วัฏจักร  แข็งแกร่ง ฟื้นตัว หรือมีทรัพย์สินมาก  ถ้าเรารู้  การลงทุนซื้อและขายหุ้นตัวนั้นก็ทำได้ง่าย  เพราะพวกเขาก็จะมีพฤติกรรมของราคาหรือการให้ผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้  แต่การวิเคราะห์ว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะเป็นกิจการประเภทไหนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  บ่อยครั้งเราก็เข้าใจผิดเนื่องจากเรายังศึกษาไม่ลึกพอ  เช่น  เราดูแต่ข้อมูลที่เป็นตัวเลขในระยะเวลาสั้นอาจจะเพียง 2-3 ปี แล้วก็สรุปโดยไม่ได้ดูปัจจัยทางคุณภาพซึ่งต้องใช้เหตุผลทางธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วยการตลาด  การผลิต  การเงิน  การแข่งขัน  และอื่น ๆ  อีกมาก   หนทางที่จะเข้าใจหรือ “รู้เขา”  ในแง่ของตัวบริษัทนั้น  วิธีที่ดีก็คือ  หลังจากศึกษาข้อมูลด้านคุณภาพอย่างดีแล้ว   เราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นตัวเลขย้อนหลังให้ยาวที่สุดเพื่อที่จะยืนยันหรือพิสูจน์ว่าความคิดหรือการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพของเราถูกต้อง ตัวอย่างเช่น  ถ้าเป็นกิจการโตเร็ว  ข้อมูลยอดขายและกำไรควรที่จะมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีอย่างมั่นคงไม่มีปีไหนถดถอยเป็นต้น

            การ “รู้เรา”  นั้น  หมายความว่าต้องรู้ว่าเราเป็นคนที่มีแนวทางการลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างไร  วิธีการนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องในแง่ของทฤษฎีและประวัติศาสตร์หรือไม่?  นอกจากนั้น  ในทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น  เรารู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรหรือทำอย่างไรอยู่?   บางคนอาจจะคิดว่าการ  “รู้เรา”  นั้นไม่เห็นจะยาก  เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเราคิดหรือทำอะไรไม่ใช่หรือ?  ผมเองคิดว่าไม่ใช่!

           คนจำนวนมากรวมถึงคนที่เรียกตัวเองว่า  VI  คิดว่าเขาเป็น  “นักลงทุน”  ซึ่งเน้นลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานหรือผลประกอบการระยะยาวของบริษัท   แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นก็คือการซื้อและขายหุ้นเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วเป็นนิจสิน  ในกรณีแบบนี้  เราก็ควรจะต้องรู้ตัวหรือ  “รู้เรา”  ว่า  เราเป็น  “นักเก็งกำไร”  เพียงแต่เราอาศัยผลประกอบการที่อาจจะกำลังดีขึ้นมาเก็งกำไร

           การ “รู้เรา” อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ  “อัตราความกล้าเสี่ยงของเรา”  ว่าอยู่ในระดับไหน?  นี่ก็เช่นเดียวกัน  อย่าบอกหรือคิดว่าเราเป็นคน  “อนุรักษ์นิยม”  เป็นคนที่เน้นความปลอดภัยสูงไม่ชอบเสี่ยงถ้าพฤติกรรมตามปกติของเรานั้นมันขัดแย้งกัน   ตัวอย่างเช่น  เรามักจะลงทุนในหุ้นน้อยตัวมากหุ้นเพียง 2-3 ตัวมีสัดส่วนเป็น 70-80%  ของพอร์ตขึ้นไปเกือบตลอดเวลา  แถมใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อหุ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์  แบบนี้จะบอกว่าเราเน้นความปลอดภัยไม่ได้   อย่างไรก็ตาม  การที่จะสามารถวิเคราะห์ได้อย่างปราศจากความลำเอียงนั้นบางทีก็เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน   เหตุก็เพราะคนเรามักมีความเชื่อมั่นตนเองสูง  ดังนั้น  เรามักไม่ยอมรับว่าพอร์ตของเรามีความเสี่ยงสูง  เรามักจะคิดว่า  “เรารู้ดี”  เรารู้ว่าที่เราทำอยู่นั้นสำหรับคนที่ไม่รู้จริงอาจจะเสี่ยง   แต่สำหรับเราแล้วเรารู้ว่าหุ้นตัวนั้นดีมากมี Margin of Safety สูง  และดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยง

             การ “รู้เรา”  ประเด็นสุดท้ายก็คือ  ในเรื่องสถานการณ์เฉพาะจุด  นั่นก็คือ  ในบางช่วงหรือบางสถานการณ์ที่ “ผิดปกติ”  เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่  “ออกนอกกรอบ” พฤติกรรมหรือแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับปรัชญาหรือแนวทางของตนเอง  ตัวอย่างเช่น  ในยามที่หุ้นตกหนักมากและเราดูว่าหุ้นถูกและมีความปลอดภัยสูง  เราอาจจะใช้มาร์จินบางส่วนมาซื้อหุ้น   หรือเราอาจจะมีหุ้นบางตัวมากเกินไปในพอร์ต  กรณีแบบนี้เราต้องรู้ว่ามันอาจจะอันตราย  และดังนั้นในไม่ช้าเมื่อมีโอกาสเราก็ควรจะต้องปรับพอร์ตให้กับมาสู่สถานะปกติ เป็นต้น
             การ “รู้เรา”  นั้น  บ่อยครั้งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการ  “รู้เขา”  เนื่องจากการมีความ  “ลำเอียง” ในเรื่องของการวิเคราะห์ตนเอง  แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในระยะยาวแล้วละก็  ผมคิดว่าเราจะต้องมีสติและรู้ตัวตลอดเวลา  เท็คนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  ในการลงทุนนั้นเราจะต้อง  “ถ่อมตัว”  อย่างจริงใจ  เตือนตัวเองว่า  เราอาจจะแพ้ได้เสมอ  อย่างที่จอร์จ โซรอส พูดว่า  “I am not invincible”     



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2013, 10:34:59 am
ประกันภัย...ความลับที่ประกันภัยไม่ยอมบอกคุณ แต่..คุณต้องรู้..


-http://auto.sanook.com/5575/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88..%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-



บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยด้วย ความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์

   

          บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยด้วยความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์ซึ่งเต็มไปด้วยภาษากฏหมายเข้าใจยาก  ด้วยเหตุนี้ความรู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ที่หลายคนยังไม่ทราบจึงยังคง เป็นปริศนาต่อไป การเข้าใจกรมธรรม์แบบง่ายๆ จึงน่าจะสามารถช่วยให้คุณรักษาสิทธิประโยชน์ของคุณไว้ได้อย่างเต็มที่

10 เรื่อง "ต้อง" รู้เกี่ยวกับประกันภัย


          1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีที่ผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันภัยให้ กับบริษัท (รวมไปถึงนายหน้าผู้เอาประกันด้วย) ดังนั้นแม้การซื้อผ่านนายหน้าถ้ามีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องก็จะปฏิเสธความ รับผิดชอบมิได้

          2. ในกรณีที่รถคุณเสียหายอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถซ่อมกลับคืนได้ บริษัทต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันเต็มทุนประกัน และรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย

          3. ค่าแอกเซ็ปต์ หรือค่าใช้จ่ายส่วนแรกนั้น ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหาย ต้องจ่าย 6,000 บาท

          4. ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าจะได้อะไหล่แท้หรือไม่

          5. หากภายในรถของคุณมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบก๊าซ NGV หรือ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัททราบ เพราะหากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันเป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์

          6. หากคุณขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของท่านเป็น "ฝ่ายถูก" คุณควรตรวจสอบไปที่บริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์

          7. การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่เป็นหน้าที่ ของบริษัท แม้ว่าจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก็ตามตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อม เสร็จ บริษัทประกันภัยจะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม

          8. ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน และคุณไม่แน่ใจว่าเป็นฝ่ายถูกหรือผิด คุณไม่จำเป็นต้องเซ็นรับผิดในใบเครม เพราะไม่ใช่กติกาหรือข้อกฏหมายแต่เป็นหน้าที่ที่บริษัทซึ่งคุณทำประกันจะไป ทำการตกลง

          9. อย่าคิดหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่ และถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี เพราะศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่คุณช่วยเหลือผู้อื่น บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควรแต่ถ้าคุณหนีจะติดคุกทันที

          10. ประกันภัยจะไม่คุ้มครองความเสียหายในขณะที่รถของคุณถูกลากจูง หรือขับรถขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150mg% หรือขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เว้นแต่ในกรณีที่ทำประกันประเภทระบุชื่อคนขับ และความเสียหายนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คนระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่

 

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2013, 08:32:54 pm
หยุดสแปม ! แล้วมาดูเทคนิคการทำตลาดผ่าน E-mail อย่างถูกวิธีดีกว่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 มิถุนายน 2556 08:22 น.
       บทความโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอมจำกัด
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000066605-



       ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกคนกำลังปวดหัวกับอีเมล์ต่างๆ ที่คุณไม่ต้องการมันเลย แต่มันมาโผล่ในกล่องเมล์คุณอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน เราเรียกอีเมล์เหล่านี้ว่า สแปม (Spam)
       
       “สแปมเมล์” (Spam Mail) หมายถึง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ส่ง (ซึ่งมักจะไม่ปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง) ได้ส่งไปยังผู้รับอย่างต่อเนื่อง โดยส่งจำนวนครั้งละมากๆ และมิได้รับความยินยอมจากผู้รับ  โดยการส่งสแปมเมล์นั้น อาจมีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ได้
       
             เมื่อก่อนสแปมเมล์ มักจะมาจากต่างประเทศ โดยมักจะเป็นเมล์ที่เกี่ยวกับการขายยาไวอากร้า กู้เงินสร้างบ้าน (Mortgage) สมัครเว็บโป๊ ฯลฯ ซึ่งการตรวจสอบและป้องกันก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือ อันไหนภาษาอังกฤษก็ลบมันออกซะ (สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้ อีเมล์ภาษาอังกฤษ)
       
       แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยเราก็เริ่มพัฒนาตามต่างประเทศแล้วครับ โดยคุณจะเห็นได้จากอีเมล์แปลกๆ ที่คุณไม่ต้องการ มันมาในรูปแบบภาษาไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลดน้ำหนัก, ทำงานที่บ้าน, งานสัมมนา อะไรต่างๆ มากมาย ที่เริ่มจะหลั่งไหลเข้ามาในกล่องอีเมล์ของคุณซะงั้น
       
        หลายๆคนมักจะทึกทักเอาเองว่า การส่งอีเมล์ไปหาคนจำนวนมากๆแบบนี้ มันคือการตลาดออนไลน์แบบหนึ่งที่ทำผ่านอีเมล์ (E-Mail Marketing) แต่รู้ไหมครับว่า การทำสแปมเมล์กับการตลาดผ่านอีเมล์ มันมีความแตกต่างกันอยู่มากเลยทีเดียว

       หลักการทำการตลาดผ่านอีเมล์ที่ถูกต้อง
       
       1. ส่งเมล์ให้กับผู้ที่คุณรู้จักอยู่แล้ว หรือผู้รับแสดงความจำนงในการรับเมล์
              ควรส่งเมล์ให้กับคนที่รู้จักเค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัว หรือในทางธุรกิจ หรือส่งผ่านผู้ให้บริการส่งอีเมล์ โดยที่ผู้ให้บริการเหล่านั้น ได้รับสิทธิในการส่งข่าวสารจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอีเมล์สแปมสวนใหญ่ จะไม่ได้รับสิทธิในการส่งจากผู้รับ
       
       2. มีส่วน "ยกเลิก (Unsubscribe)" การรับอีเมล์
               ภายในอีเมล์ที่ส่งจะต้องมีการยกเลิกรับอีเมล์ได้ และต้องทำการยกเลิก และไม่ทำการส่งอีเมล์กลับไปอีก และภายหลังจากแจ้งการยกเลิกรับอีเมล์ ควรจะมีอีเมล์ยืนยันการยกเลิกรับกลับไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับ แต่หลายๆ คนมักกลัวและไม่กล้ายกเลิก เพราะจะกลายเป็นการยืนยันว่าอีเมล์ที่ส่งมามีตัวตน และผู้รับจริงๆ
       
       3. แจ้งผู้รับเมล์ว่าคุณคือใคร
               ในอีเมล์ควรมีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ส่ง ได้แก่ ชื่อเว็บไซต์หรือชื่อบริษัท, ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้, เบอร์โทรศัพท์ เพื่อยืนยันว่าคุณมีตัวตนจริง
       
       4. ใช้เนื้อหาที่เป็นความจริง
               เนื้อหาที่ใช้ภายในอีเมล์ควรเป็นความจริง ไม่กล่าวอ้างเกินความจริงมากเกินไป และไม่ควรใช้ FW: หรือ RE ในหัวข้อการส่ง เพราะจะทำให้ผู้รับเข้าใจผิดได้
       
       5. เคารพสิทธิของผู้รับ
             ไม่ควรคุกคามหรือก้าวก่ายสิทธิของผู้รับมากจนเกินไป และในที่เก็บอีเมล์จากผู้รับควรแจ้งเจตนา และเป้าหมายในการส่งข้อมูลหาผู้รับให้ชัดเจนว่าจะส่งเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรไปบ้าง
       
       6. อย่าไปแอบเอา (ดูด) อีเมล์มากจากที่อื่น
               ข้อนี้ชัดมาก คือ อย่าไปเอาอีเมล์มาจากที่อื่น โดยปราศจากการยินยอมจากเจ้าของอีเมล์ หลายๆคนชอบใช้โปรแกรมไปดูดอีเมล์มาจากเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งข้อนี้เองที่ ผู้ส่งสแปมเมล์หลายๆที่ใช้กัน

       ลงโทษสแปมเมอร์
       
       หากท่านที่ได้รับอีเมล์ที่ไม่ต้องการ ท่านสามารถหยุดและลงโทษพวกที่ส่งอีเมล์หาท่านได้หลายวิธี
       แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับแจ้งปัญหาเรื่องการสแปม  เช่น www.spamcop.net (http://www.spamcop.net) ซึ่งที่นี้จะรวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ที่ทำการสแปมจัดเก็บลงฐานข้อมูล และส่งต่อให้กับผู้ให้บริการอีเมล์ทั่วโลก เพื่อบล็อคหรือกันรายชื่อเว็บไซต์เหล่านั้น เข้ามาในอีเมล์ของผู้รับ (ส่งทีเดียวกันได้ทั่วโลก) หากท่านเจออีเมล์สแปมเยอะ ก็ช่วยกันเข้าไปแจ้งหน่อยครับ จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมครับ
       
       หากคุณใช้ Free Email เช่น hotmail.com หรือ Yahoo.com ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์ จะมีบริการให้แจ้งว่า อีเมล์ที่เข้ามามีฉบับไหนเป็นสแปมบ้าง หากมีการแจ้งไปหลายๆคนต่อไปอีเมล์สแปมจากเว็บไซต์ต่างๆนั้น ก็จะไม่สามารถส่งเข้ามาที่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์นั้นได้อีก
       
       โทรกลับไปหาเลย  บางครั้งในอีเมล์ที่ส่งเข้ามาซ้ำซาก จะมีอีเมล์หรือเบอร์โทรอยู่ คุณก็สามารถโทรไปหาเค้าและแจ้งว่า ให้หยุดการกระทำดังกล่าวได้แล้ว และนำชื่อของคุณออกจากรายชื่อในการส่งอีเมล์ของเค้าด้วย (วิธีนี้ได้ผลดีมาก ผมใช้ประจำ)
       
       แก้เผ็ดกลับ (วิชามาร) หากเค้ายังคงส่งมาอีกเรื่อย ๆ หาวิธีแก้เผ็ด คือ นำเบอร์โทรศัพท์ของเค้าไปโพสต์ในเว็บเกย์ ให้คนโทรเข้ามาหา เค้าจะได้สำนึกเสียบ้าง (แต่อย่าใช้วิธีนี้ไปในทางที่ผิดนะครับ)
       
              จะเห็นได้ว่า การตลาดผ่านอีเมล์เป็นวิธีการตลาดที่มีประสิทธิภาพมาก แต่การที่คุณจะนำมาใช้หรือปฏิบัติ คุณควรจะเคารพกฎและกติกาของการทำการตลาดลักษณะนี้ด้วย เพราะมันอาจจะส่งภาพลบต่อสินค้าหรือบริการของคุณ
       
       และตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐบาล กำลังร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสแปมเมล์ ซึ่งหากคุณเป็นสแปมเมล์ ก็จะถือว่าทำผิดกฎหมาย จะมีบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งตอนนี้หลายๆ ประเทศเค้ามีกฎหมายลักษณะนี้แล้ว หยุดส่งเหอะเชื่อผม.!
       
         ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร SMEs PLUS ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 25, 2013, 10:38:10 pm
 หุ้น (กจ. 12/2543)
-http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000148.jsp?categoryID=CAT0000066-

ขอบเขตการบังคับใช้ ของประกาศ กจ. 12/2543

ใช้บังคับกับ การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทมหาชนจำกัด

แต่ไม่ใช้บังคับกับ การเสนอขายหุ้นในกรณีต่อไปนี้
1.  การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) ของบริษัทมหาชนจำกัด
       ไม่ต้องยื่นคำขอ และ filing เพราะได้รับยกเว้นตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
        กรณีเป็น บริษัทจดทะเบียนต้องยื่นข้อสนเทศการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนการเสนอขาย
2.  การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจำกัด
        บริษัทจำกัดเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ได้เฉพาะต่อผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ห้ามบริษัทจำกัดเสนอ
ขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป
3.  การเสนอขายหุ้นโดยผู้ถือหุ้นเดิม
        ไม่ต้องยื่นคำขอ แต่ต้อง ยื่น filing หากเป็นการเสนอขายแบบ PO
4.  การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ หรือหุ้นที่ออกใหม่เพื่อรองรับหลักทรัพย์แปลงสภาพ แก่กรรมการหรือพนักงาน   (กจ. 36/2544)
5.  การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่พร้อมกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (กจ. 6/2543)

ประเภทการเสนอขาย

Initial Public Offering หรือ IPO หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งแรก

    ขั้นตอนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (IPO และ PO)
    เกณฑ์อนุญาต IPO
    การเสนอขายหุ้นแก่กรรมการและผู้บริหาร พร้อมการทำ IPO
    การเสนอขายหุ้นแก่บุคคลอื่นในราคาต่ำกว่าราคา IPO และบริษัทนั้นจะทำ IPO เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์
    การเปิดเผยข้อมูล (การยื่น filing)
    การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building)
    หน้าที่ภายหลังการขาย

Public Offering หรือ PO หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งต่อ ๆ ไป

    ถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียนใช้เกณฑ์อนุญาต PO
    ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ใช้เกณฑ์อนุญาต IPO
    การเปิดเผยข้อมูล (การยื่น filing)
    การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building)
    หน้าที่ภายหลังการขาย

Private Placement หรือ PP หมายถึงการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด

    ได้รับอนุญาตเป็นการทั่วไป (ไม่ต้องยื่นคำขอ และ filing)
    เงื่อนไขการอนุญาต PP
    หน้าที่ภายหลังการขาย PP

PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจดทะเบียนแบบ PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10%

    เกณฑ์อนุญาตกรณีขายต่ำกว่าราคาตลาด
    ขั้นตอนอื่นๆ เหมือน PP

Public Placement ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจดทะเบียนให้เฉพาะบุคคลที่กำหนด (placement) ซึ่งไม่ใช่แบบ PP และไม่เข้าข่ายข้อยกเว้น ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10%

    เกณฑ์อนุญาต PO + เกณฑ์อนุญาตกรณีขายต่ำกว่าราคาตลาด
    ขั้นตอนอื่นๆ เหมือน PO



     สรุปการอนุญาตหุ้น

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2162;image)


“สำนักงานยกเลิกประกาศ กจ. 12/2543 และได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ที่ ทจ. 28/2551ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15  ธันวาคม  พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงานอยู่ระหว่างการปรับปรุงสรุปหลักเกณฑ์ดังกล่าวตามประกาศ ทจ. 28/2551 และจะนำเสนอในหน้า website ต่อไป”
   
        
    

ฝ่ายส่งเสริมบรรษัทภิบาล
ภีระภาพ โทร. 0-2695-9999 ext. 6214
E-mail: peerapar@sec.or.th

ปรับปรุงล่าสุด  19 มี.ค. 2552
สอบทานล่าสุด  19 มี.ค. 2552

http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000148.jsp?categoryID=CAT0000066 (http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000148.jsp?categoryID=CAT0000066)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 25, 2013, 10:42:09 pm
book building



การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building) และการกำหนดราคาเสนอขายเป็นช่วงราคา (ประกาศ นจ.1/2545)

-http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000187.jsp?categoryID=CAT0000066-


     ในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO หรือหุ้นกู้ ซึ่งยังไม่เคยมีราคาตลาดมาก่อน บริษัทที่ออกหลักทรัพย์และผู้จัดจำหน่าย (underwriter)
จำเป็นต้องมีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ ณ ระดับราคาต่าง ๆ เพื่อให้กำหนดราคาขายได้อย่างเหมาะสม

    การสำรวจราคาดังกล่าว มักกระทำต่อผู้ลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงเพียงพอที่จะกำหนดทิศทางราคาของหลักทรัพย์
และมีความรู้ความเข้าใจที่จะวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนของตนเอง มีอำนาจต่อรองให้ผู้เสนอขายหลักทรัพย์
ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องเพียงพอสำหรับการตัดสินใจลงทุน

การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ ต้องทำในลักษณะดังต่อไปนี้

    ทำได้เฉพาะกับนักลงทุนสถาบัน 13 ประเภท แต่ไม่รวมถึงผู้ลงทุนที่ซื้อหลักทรัพย์ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
    กำหนดเป็นช่วงราคา ให้ผู้ลงทุนระบุจำนวนหลักทรัพย์ที่ต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่าง ๆ
    ระยะเวลาที่สำรวจความต้องการซื้อ ใกล้เคียงกับวันที่กำหนดราคาขาย
    แจกร่างหนังสือชี้ชวน ให้แก่ผู้ลงทุนที่จะสำรวจความต้องการซื้อ ซึ่งร่างหนังสือชี้ชวนมีข้อมูลครบถ้วน ยกเว้นเรื่องราคาและการจำหน่าย

     นอกจากนี้ ผู้เสนอขายที่ต้องการกำหนดราคาเสนอขายเป็นช่วงราคา โดยยังไม่ระบุราคาเสนอขายที่แน่นอนไว้ในแบบ filing ที่มีผลใช้บังคับแล้ว
สามารถกระทำได้ หากมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดแจ้ง เพียงพอ สำหรับการชำระเงินเพื่อจองซื้อหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนต้องชำระในราคาสูงสุดไปก่อน และหากราคาเสนอขายจริงต่ำกว่าราคาสูงสุด ผู้เสนอขายจะต้องคืนเงินส่วนเกินให้ผู้ลงทุน และในระหว่างนั้น จะต้องไม่นำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ก่อน
   
        
    

ฝ่ายส่งเสริมบรรษัทภิบาล
มะลิ โทร. 0-2695-6107
E-mail: corgov@sec.or.th

ปรับปรุงล่าสุด  4 ก.ย. 2550
สอบทานล่าสุด  4 ก.ย. 2550

http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000187.jsp?categoryID=CAT0000066 (http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000187.jsp?categoryID=CAT0000066)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 30, 2013, 10:04:55 pm
เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !

-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130-

เส้นทางทองคำ โดย ปิรันย่า !
ปิรันย่า

โพสต์ 01 กันยายน 2012 - 08:06

สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน

เห็นหลายท่านที่กรุณาเข้ามาอวยพรหรือทักทายในช่วงที่ผู้เขียนกบดานยาวไปพร้อมกับการปรับฐานยาวนานของทองคำก็รู้สึกว่าตนเองเสียมรรยาทอยู่บ้างต้องขออภัยจริงๆครับ ครั้นจะออกมาโพสต์ในช่วงที่ตนเองก็ไม่มีเวลาและอารมณ์ก็เกรงจะเกิด”ภาระผูกพัน”ที่ทำให้หน้าที่การงานเสียไป ช่วงนี้ภารกิจการงานบรรเทาลงเล็กน้อยเลยพอจะกลับมาเสนอหน้าชั่วคราวเผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาธารณชนบ้างครับ

หลังจากดราม่ากันตามธรรมเนียมแล้วก็มาว่ากันเรื่องเส้นทางทองคำได้เลยครับ
เนื่องจากช่วงนี้ผู้เขียนคาดว่าทองคำอาจจะกำลังเริ่มวัฎจักรใหม่ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร วันนี้จึงอยากเรียบเรียงคลื่นใหญ่ของวัฎจักรทองคำในมุมมองของผู้เขียนเผื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในทองคำระยะยาวถึงยาวมากให้มีเป้าหมายในการลงทุนคร่าวๆ

วัฎจักรยักษ์ชุดนี้ของทองคำนั้นเมื่อเรียบเรียงบนพื้นฐานของทฤษฎีคลื่นแล้วออกมาเป็นดังนี้ครับ

- คลื่นขาขึ้นที่ 1 เริ่มเดินทางจากบริเวณ 254.2$ ในเดือน 4 ปี 2001 ขึ้นไปถึง 1032.6$ ในเดือน 3 ปี 2008 คิดเป็นขนาดความสูง 778.4$ ใช้เวลาเดินทางราว 7 ปี

- คลื่นปรับฐานที่ 2 ปรับฐานจาก 1032.6$ ลงไปที่ 681.4$ สิ้นสุดในเดือน 10 ปี 2008 คิดเป็นระยะความสูงปรับฐาน 351.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 45.1% ใช้เวลาปรับฐานราว 7 เดือนครึ่ง

- คลื่นขาขึ้นที่ 3 ซึ่งช่วงคลื่นนี้ตลาดทองคำเริ่มร้อนแรงและมีตลาดทองคำเกิดใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก เกิดการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปทองคำในหลายประเทศ ปริมาณการซื้อขายในตลาดโลกในช่วงคลื่นนี้มีมากกว่าในช่วงคลื่นที่ 1 หลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้เวลาเดินทางของคลื่นขาขึ้นที่ 3 นี้สั้นกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 หลายปี คลื่นนี้ราคาทองคำขึ้นจาก 681.4$ ไปจนถึง 1920.8$ ในเดือน 9 ปี 2011 คิดเป็นขนาดความสูง 1239.4$ หรือราว 1.59 เท่าของคลื่นขาขึ้นที่ 1 ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ปี 11 เดือน

- คลื่นปรับฐานที่ 4 ซึ่งปรับฐานจบแล้วหรือไม่ยังไม่มีใครทราบ แต่ตามความเห็นของผู้เขียนแล้วเมื่อประเมินจากลักษณะคลื่นของกราฟค่าเงินยูโรและ Silver ประกอบกับการขึ้นผ่าน trend line ขาลงของทองคำประกอบกับการโหมซื้ออัดเข้าพอร์ตของกองทุนด้วยแล้ว ผู้เขียนคาดว่าการปรับฐานน่าจะสิ้นสุดแล้วเมื่อเกือบปลายเดือน 7 ปี 2012 ที่ผ่านมา โดยใช้ลักษณะคลื่นปรับฐานของค่าเงินยูโรเป็นหลักในการสันนิษฐานถึงแม้ว่าราคาทองคำจะไม่ได้ทำ New low ก็ตาม

ตามทฤษฎีคลื่นนั้นเมื่อการปรับฐานในคลื่นที่ 2 เกิดเป็นรูปแบบธรรมดาแล้ว การปรับฐานในคลื่นที่ 4 จะมีโอกาสสูงในการปรับฐานเป็นรูปแบบซับซ้อนและจุดสุดท้ายของการปรับฐานอาจจะไม่เกิด New low อีกทั้งการปรับฐานลงมาเป็นคลื่นที่ 4 ตามทฤษฎีคลื่นแล้วมักจะมีสัดส่วนการปรับฐานไม่มากนัก

ถ้านับจุดต่ำสุดของราคาทองคำที่สามารถลงมาได้ในคลื่นนี้ก็คือ 1522.6$ คิดเป็นความสูงของการปรับฐาน 398.2$ คิดเป็นสัดส่วนการปรับฐานราว 32.1% ของคลื่นขาขึ้นที่ 3 และใช้เวลาปรับฐานราว 10 เดือนกว่า

ดังนั้นหากสันนิษฐานตามทฤษฎีคลื่นได้ถูกต้องแล้ว ทองคำน่าจะยังเหลือคลื่นขาขึ้นที่ 5 ที่มีขนาดความสูงมากกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 1 แต่อาจจะน้อยกว่าคลื่นขาขึ้นที่ 3 นั่นหมายถึงอาจมีขนาดความสูงได้มากกว่า 800$ ขึ้นไปและอาจใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ปีกว่านับจากนี้ แล้วเมื่อสิ้นสุดวัฎจักรนี้คาดว่าจะเกิด Mega tsunami หรือสึนามิทองคำลูกยักษ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน สรุปแล้วประมาณหยาบๆคือทองคำอาจมีราคาสูงขึ้นราว 50% ในอีกราว 2-3 ปีข้างหน้าแล้วค่อยถล่มครับ

กระทู้นี้ถือเป็นการรันอินก็จบเพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกันครับ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานข้างต้นยังเป็นเพียงมุมมองความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น มิอาจรับรองความแม่นยำถูกต้องใดๆได้ทั้งสิ้น เวลาเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้เฉลยคำตอบครับ

ว่าแต่หากผู้เขียนสันนิษฐานถูกต้องล่ะก็การลงทุนกับทองคำรอบนี้น่าจะฟันก่อนทิ้งได้พอสมควรเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะพร้อมจะเข้าร่วมขบวนฟันแล้วทิ้งหรือยังครับ !


http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130 (http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/476-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2/page__st__2130)
.-------------------------------------------------------------------------------


ไม่แน่ใจลงแล้วหรือยัง  ขอลงอีกรอบครับ

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2013, 11:06:38 pm
ศูนย์วิจัย คาด ราคาทองคำดิ่งลงถึงสิ้นปี ต่ำสุดที่บาทละ 17,000 บาท
-http://hilight.kapook.com/view/88208-

ราคาทองคำ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ คาด ราคาทองคำตลาดโลกช่วงครึ่งปีหลัง ลดลงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ซึ่งกดราคาในประเทศต่ำสุดที่ บาทละ 17,000 บาท

          วันนี้ (5 กรกฎาคม 2556) นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ค้าทองคำรายใหญ่ 6 แห่ง มีความเห็นตรงกันว่า ราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง จะอยู่ระหว่าง 1,300 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกรอบบนที่ 1,520 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (20,500 - 21,000 บาท) กรอบล่างที่ 1,150 - 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (17,000 - 17,500 บาท)

          ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากการชะลอการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของสหรัฐฯ ซึ่งทิศทางของค่าเงินบาท การขายของกองทุนขนาดใหญ่ เศรษฐกิจเอเชียที่เริ่มมีการ ชะลอตัว และการเก็งกำไรในตลาด รวมทั้งความต้องการทองคำของจีน และอินเดียจะลดลง ดังนั้น ราคาทองคำยังเป็นขาลงถึงสิ้นปี และจะปรับขึ้นในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ราคาทองคำตลาดโลกในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150 - 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยจะอยู่ในกรอบ 17,000 - 20,500 บาท

          ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ มั่นใจว่า ราคาทองคำในปีนี้จะลดลงไม่ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนเหมืองทองคำ และทองคำอยู่ในภาวะขาดตลาด ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เกิดจากการทุบตลาดของกองทุนเก็งกำไร โดยอาศัยข่าวความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE)

          อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันการซื้อ ขายทองคำในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก มีปริมาณสูงถึง 5,000 ตัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า ราคาทองมีโอกาสกลับมายืนในกรอบ 1,500 - 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายใน 6 เดือน


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก สปริง นิวส์
-http://news.springnewstv.tv/31847/%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AF-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0-17-000-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2013, 11:28:59 pm
ต้นทุนการผลิตทองคำ...บล.โกลเบล็ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กรกฎาคม 2556 15:30 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082054-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000008612501.JPEG)


   หลังจากเหล่าสถาบันการเงินต่างๆปรับมุมมองราคาทองคำโลกลงทั้งของปี 2013 และ 2014 เป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ต้นปี สาเหตุก็อย่างที่ทุกคนทราบคือความกังวลว่าเฟดจะยุติมาตรการ QE และห่วงว่าดอกเบี้ยสหรัฐกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้งหลังเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ทำให้เกิดแรงขายทองคำออกมาโดยเฉพาะจากกองทุน SPDR Gold Trust ที่ทยอยขายออกมาต่อเนื่อง ทำเอาตลาดเริ่มวิตกว่าทองคำกำลังจะเข้าสู่ช่วงพักฐานนานเป็นสิบปีกว่าจะมีการปรับขึ้นมาใหม่อีกรอบเหมือนในช่วงหลัง ค.ศ.1980 หรือไม่
       
           ประเด็นที่นักลงทุนเป็นห่วงกันมากที่สุดคือ ราคาทองคำจะลงไปต่ำสุดที่เท่าไหร่
       
           ก่อนหน้านี้เคยเกริ่นไว้บางส่วนแล้วว่าต้นทุนหน้าเหมืองของแต่ละบริษัทในแต่ละประเทศอาจจะไม่เท่ากัน แต่จะอยู่ราวๆ $900-1,290 เหรียญต่อออนซ์ แต่ตรงแถว $1,200-,1290 เหรียญต่อออนซ์นี่เป็นต้นทุนของพวกเหมืองที่ประสบปัญหาค่าแรงสูงเพราะมีการประท้วงกัน แต่หากไปดูเหมืองใหญ่ๆจริงๆแล้ว ราคาต้นทุนทองคำจะอยู่ราวๆ $900-1,150 เหรียญ
       
       ยกตัวอย่าง 4 บริษัทเหมืองทองคำที่ใหญ่ๆของโลกเช่น
           บริษัท Goldcorp ต้นทุนอยู่ที่ $1,135 เหรียญต่อออนซ์
           บริษัท Newmont ต้นทุนอยู่ที่ $1,115 เหรียญต่อออนซ์
           บริษัท Kinross ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์
           บริษัท Barrick ต้นทุนอยู่ที่ $1,038 เหรียญต่อออนซ์
           
           ต้นทุนเหล่านี้นอกจากรวมต้นทุนค่าขุดเจาะเหมืองแล้วก็ยังรวมค่าปฏิบัติงานอื่นๆด้วย รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ฯลฯ ซึ่งใครที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า มีวิธีการ Hedge หรือป้องกันความเสี่ยงทั้งราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า หรือเรียกว่ามี Efficiency ก็จะมีต้นทุนการผลิตทองคำที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
           
           เนื่องจากต้นทุนเหมืองอยู่ระดับที่โชว์ข้างต้น ทำให้โอกาสที่ราคาทองคำโลกจะลงต่ำกว่าก็คงยากพอสมควร เพราะถ้าลงมาต่ำกว่าต้นทุนเหมือง การลดกำลังการผลิตทองคำเพื่อพะยุงราคาทองคำไม่ให้ตกลงเหมือนเวลากลุ่มโอเปกทำกับราคาน้ำมันก็คงเกิดขึ้นบ้าง แต่ควรระมัดระวังเหมือนกันเพราะในอดีต ราคาทองคำตลาดโลกเคยต่ำกว่าต้นทุนหน้าเหมืองก็เคยมีในช่วงภาวะตลาดทองคำเงียบเหงามากๆ
           
           "ราคาต้นทุนทองคำหน้าเหมือง เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยหนุนราคาทองคำไม่ให้ตกต่ำไปมากกว่านี้เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเป็นนักเก็งกำไรทางเทคนิค ซื้อด้วยกราฟ คุณก็ควรขายด้วยกราฟ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนสะสมทองคำในระยะยาว ราคาทุนหน้าเหมืองจะเป็นตัวช่วยบอกคุณว่า ราคาต่ำกว่า $1,250 ลงไปเป็นจังหวะสะสมทองคำแท่งแล้ว จะเลือกลงทุนด้วยเหตุผลอะไร เลือกให้เหมาะสมกับนิสัยตัวเองก่อน แล้วอย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่งั้นก็คงไม่ต่างกับแมงเม่าทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไรทั่วๆไปในตลาดเก็งกำไร"
       
         สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช
       ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2013, 11:32:56 pm
ฟันธง! ราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต้นทุนผลิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กรกฎาคม 2556 16:16 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082102-

นายกสมาคมค้าทองฯ มั่นใจราคาทองคำโลกไม่หลุด 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาต้นทุน ลุ้นครึ่งปีหลังรีบาวนด์ทดสอบ 1,500-1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ เชื่อความต้องการยังสูง และราคาจะไม่ต่ำกว่าหน้าเหมือง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
       
       นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก โดยมั่นใจว่า ภายในปีนี้ราคาทองคำจะไม่หลุดต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากระดับดังกล่าวใกล้เคียงกับราคาต้นทุน
       
       นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาทองคำจะมีโอกาสทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,500-1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง สังเกตจากค่าพรีเมียมสำหรับคำสั่งซื้อหากใครต้องการสินค้าเร็วขึ้นจะต้องเสียค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1.00-1.50 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 6-8 ดอลลาร์ต่อตัน
       
       ส่วนประเด็นข่าวการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) มองว่าให้นักลงทุนอย่าเพิ่งวิตกกังวลกับประเด็นดังกล่าวมากจนเกินไป เนื่องจากการชะลอมาตรการยังไม่เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ว่าเกิดขึ้นจริงก็ยังไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทันที
       
       “มองว่าข่าวต่างๆ ที่ออกมาทำให้ราคาทองปรับตัวลดลงในช่วงนี้ มาจากการปั่นกระแสข่าวจากกองทุนต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบัน บรรดากองทุนมีการซื้อขายในสินค้า Gold Futures ที่เป็นใบกระดาษมากขึ้น”
       
       ทั้งนี้ ราคาทองคำเป็นไปได้ยากที่จะต่ำกว่าหน้าเหมือง เพราะเมื่อ 10 กว่าปีก่อนราคาทองคำหลุดต่ำลงไปอยู่ที่ 257 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาหน้าเหมืองเพียง 300 ดอลลาร์ ทำให้เหมืองทองเริ่มขาดทุน ซึ่งเป็นผลให้ราคาทองคำขยับเพิ่มขึ้นได้
       
       ดังนั้น ในกรณีปัจจุบันนี้จึงคาดว่าราคาทองคำคงไม่ต่ำกว่าราคาหน้าเหมือง และความต้องการยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเด็นข่าวที่กองทุนหลายแห่งขายทองคำออกมา มองว่าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


-------------------------------------------------------------------------


อ่านหู ไว้หู

(ฟังหู ไว้หู ครับ)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2013, 11:36:16 pm
แนะวิธีปลดหนี้ ห่วงคนไทยหนี้เพิ่ม-ใช้จ่ายเกินตัว เตือนละเลยอาจถึงขั้นล้มละลาย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 กรกฎาคม 2556 18:40 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082183-

 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) มองสถานการณ์ปัญหาหนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วง แนะผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้แต่ละเดือนไม่ควรจะสูงเกินกว่าร้อยละ 36 ของรายได้ หากสูงเกินกว่านี้อาจส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ในอนาคต และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องให้เป็นบุคคลล้มละลายได้
       
       ธีระ ภู่ตระกูล นายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งครอบคลุมรวมไปถึงหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ที่เริ่มมีสัญญาณการหยุดชำระหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การหลีกเลี่ยงการก่อหนี้มีความเป็นไปได้ยากมากขึ้น ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดคือ ทุกคนจะต้องเรียนรู้และมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี เพื่อลดปัญหาวิกฤติหนี้สินที่มี
       
       โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ควรเริ่มจากการสำรวจภาระหนี้สินที่มีว่ามีจำนวนเท่าใดที่เป็นหนี้สินที่ดี คือเป็น “หนี้ที่สร้างความมั่งคั่ง” หรือ “หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต” เช่น หนี้กู้ยืมซื้อบ้าน หรือเพื่อการศึกษาของบุตร มีจำนวนเท่าใด และหนี้สินรวมทั้งหมดมีจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ จำนวนเงินผ่อนชำระในแต่ละเดือนควรจะไม่สูงเกินกว่าร้อยละ 36 ของรายได้ เพราะหากสูงเกินกว่านี้ อาจส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ในอนาคต และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องให้เป็นบุคคลล้มละลายได้
       
       นอกจากนี้ ควรพยายามลดในส่วนของ “หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดความมั่งคั่ง” เป็นลำดับแรก เพราะหนี้สินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินที่เกิดจากการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นหนี้ระยะสั้น และมีอัตราดอกเบี้ยสูง
       
       อีกทั้ง ควรจะสำรวจทรัพย์สินที่ไม่มีความจำเป็นและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อลดภาระหนี้ดังกล่าวรวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้โดยการหาแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น เงินกู้สวัสดิการพนักงาน เพื่อนำไปปลดหนี้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยสูง นอกจากนี้ ควรพยายามจ่ายหนี้ให้มากกว่าอัตราชำระขั้นต่ำ มิเช่นนั้นโอกาสที่จะทำให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้เป็นไปได้ยากมาก เพราะจะจ่ายได้ในส่วนของดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เงินต้นลดลงแต่อย่างใด
       
       ในขณะเดียวกัน ควรมีการบริหารรายรับรายจ่ายให้สมดุลโดยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและสามารถใช้เป็นข้อพิจารณาในการลดรายจ่ายฟุ่มเฟื่อยหรือไม่จำเป็นลงได้ ทำให้มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปชำระหนี้ ซึ่งควรจะนำไปชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเป็นลำดับแรก และในจำนวนอื่นที่มีดอกเบี้ยต่ำลดลงมาตามลำดับ
       
       นอกจากนี้ ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคควบคู่กันไป โดยให้ใช้จ่ายตามความจำเป็นเท่านั้น อย่าใช้จ่ายตามความต้องการ ซึ่งจะเป็นการใช้จ่ายตามกระแสการโฆษณาประชาสัมพันธ์อันเป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นการบริโภคสินค้า
       อย่างไรก็ตาม หลายๆ ครั้งการเป็นหนี้ อาจเกิดจากความจำเป็นที่ไม่สามารถคาดการได้ เช่น หนี้ที่เกิดจากรายการค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตกงาน หรือซ่อมแซมบ้าน เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว เมื่อปลอดจากภาระปัญหาหนี้สินแล้ว ควรมีการเก็บออมเงินเพื่อสภาพคล่องไว้จำนวนหนึ่ง อาทิ ฝากธนาคาร ให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายปกติได้จำนวนอย่างน้อย 6 เดือน
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 07, 2013, 08:00:25 am
เช็คสภาพความผันผวนเศรษฐกิจโลก ตอนที่ 1
ทิศทางของเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไร ปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบ
-http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1928&lid=5-

http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1928&lid=5 (http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1928&lid=5)




เช็คสภาพความผันผวนเศรษฐกิจโลก ตอนที่ 2
สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นอย่างไร
-http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1944&lid=5-

http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1944&lid=5 (http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1944&lid=5)




เช็คสภาพความผันผวนเศรษฐกิจโลก ตอนที่ 3
ท่ามกลางความผันผวนแบบนี้ นักลงทุนควรทำอย่างไร
-http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1961&lid=5-

http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1961&lid=5 (http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=1961&lid=5)

.


ไปชมตามลิงค์ครับ

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 08, 2013, 06:19:12 am
คปภ.ลดชั่วโมงการอบรมตัวแทน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 กรกฎาคม 2556 22:18 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000082143-

คปภ.เผยปรับลดชั่วโมงการอบรม เดิมตัวแทนประกันภัยต้องผ่านการอบรมจำนวน 30 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 15 ชั่วโมง และนายหน้าประกันภัยต้องผ่านการอบรม 50 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 25 ชั่วโมง
       
       นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน คปภ.ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดหลักสูตรและวิธีการการอบรมความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิต/วินาศภัย สำหรับผู้ขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต/วินาศภัย และนายหน้าประกันชีวิต/วินาศภัย พ.ศ. 2556 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2556 เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวแทน/นายหน้า ที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ครั้งที่ 4 เป็นต้นไป ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถใช้สิทธิลดจำนวนชั่วโมงการอบรม ดังนี้
       
       1. สอบผ่านคุณวุฒิที่ใช้ในการประกอบอาชีพประกันชีวิต/วินาศภัย ที่สำนักงานให้ความเห็นชอบ เช่น หลักสูตร CFP หลักสูตร AFPT หลักสูตร FChFP (Conversion course) หลักสูตร Cert Cll และหลักสูตร Diploma in Non-Life เป็นต้น
       2. สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาโทขึ้นไปทุกสาขา จากสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนรับรอง และ 3. เป็นหรือเคยเป็นวิทยากร ผู้บรรยายความรู้ หรือเป็นอาจารย์ประจำ หรืออาจารย์พิเศษในสถาบัน สมาคม หรือองค์กร และในหลักสูตรการอบรมสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต/วินาศภัย ขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต/วินาศภัย นายหน้าประกันชีวิต/วินาศภัย ภายในระยะเวลา 5 ปี ก่อนต่ออายุใบอนุญาตฯ
       
       โดยสามารถใช้สิทธิของการอบรมลดลงเหลือกึ่งหนึ่ง คือ ปกติตัวแทนประกันภัยต้องผ่านการอบรมจำนวน 30 ชั่วโมง ให้ลดลงเหลือ 15 ชั่วโมง และนายหน้าประกันภัยต้องผ่านการอบรม 50 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 25 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อเป็นการพัฒนาวิชาชีพประกันภัย สำนักงาน คปภ.จึงอนุญาตให้นำมาใช้ในการต่ออายุได้อย่างต่อเนื่องในวิชาชีพ โดยการใช้สิทธิลดจำนวนชั่วโมงการอบรมไม่สามารถนำมารวมกันหรือขอลดจำนวนชั่วโมงการอบรมในคราวเดียวกันได้
       
       นอกจากนี้แล้ว การเข้ารับการสัมมนาในวิชาที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยที่สำนักงาน คปภ.ให้ความเห็นชอบภายในระยะเวลา 5 ปีก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ ก็สามารถให้นับชั่วโมงการสัมมนาได้ตามจริง แต่กรณีตัวแทนประกันภัยไม่เกิน 15 ชั่วโมง และกรณีนายหน้าประกันภัยไม่เกิน 25 ชั่วโมง
       
       เลขาธิการ คปภ.กล่าวเสริมว่า รายละเอียดดังกล่าวสามารถดูได้ที่ www.oic.or.th (http://www.oic.or.th) ภายใต้หัวข้อกฎหมายประกันภัย ประกาศสำนักงานฯ เรื่อง กำหนดหลักสูตรและวิธีการ การอบรมความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิต/วินาศภัย สำหรับผู้ขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต/วินาศภัย และนายหน้าประกันชีวิต/วินาศภัย พ.ศ. 2556 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริหารกลยุทธ์ช่องทางการจำหน่าย โทร. 0-2515-3999 ต่อ 4300-3 หรือสายด่วนประกันภัย 1186



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 08, 2013, 10:48:35 pm
รอที่กระดาน... IPO “ซีเคพาวเวอร์” ไม่พอขาย 220 ล.หุ้นคิวจองเต็ม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กรกฎาคม 2556 18:25 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000083307-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000008745101.JPEG)

เจอกันที่กระดานเทรด... ไอพีโอ “ซีเค พาวเวอร์” 220 ล้านหุ้น ฮอตจัด หมดตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดจอง เคาะราคาขาย 13 บาท/หุ้น ส่วนลด 26% ผู้มีอุปการคุณ และสถาบันกวาดไปแล้ว 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% ของรายย่อย ผู้บริหารระบุมีดีมานต์ต้องการซื้อเกลี้ยงแล้ว
       
           โดยการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ซีเค พาวเวอร์ แต่งตั้ง บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด บริษัทกรุงไทยแอดไวซ์เซอรี่ จำกัด และธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บล.เคทีซิมิโก้ จำกัด และ บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันจำหน่าย (Lead Underwriter) โดยเปิดให้จองซื้อหุ้น CKP  ได้ระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคมนี้ และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในหมวดพลังงาน ประมาณวันที่ 18 กรกฎาคมนี้
       
           ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 220 ล้านหุ้นครั้งนี้ แบ่งออกเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 180 ล้านหุ้น และการเสนอขายหุ้นสามัญเดิม 40 ล้านหุ้น โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำมาชำระคืนเงินกู้ จำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ D/E เหลือไม่ถึง 1 เท่า ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินทุนในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจคิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย 2,860 ล้านบาท
       
           สำหรับจุดแข็งของซีเค พาวเวอร์ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนคือ เป็นบริษัทแฟล็กชิปด้านพลังงานของกลุ่ม ช. การช่าง ที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยรายได้ที่มั่นคง มีตลาดที่มีการเติบโตสูง ซึ่งปัจจุบัน ซีเค พาวเวอร์ ลงทุนในโรงไฟฟ้า 6 แห่ง จากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศซึ่งมีศักยภาพการเติบโต ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บางเขนชัย และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นครราชสีมาโซลาร์ที่ จ.นครราชสีมา โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เชียงรายโซลาร์ จ. เชียงราย โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนบางปะอิน โคเจนเจเนอเรชั่น 1 และบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น 2 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 ในประเทศ สปป.ลาว และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาโรงงานพลังงานความร้อนอีก 8 แห่ง ในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตลอดจนการลงทุนเพิ่มใน สปป.ลาว ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของภูมิถาค โดยประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำบากแบะ โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี รวมทั้งการสำรวจความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในประเทศพม่า ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และโอกาสเติบโตสูง
       
           ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจาก CKP มีฐานรายได้ที่มั่นคง มีการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจไฟฟ้าหลายรูปแบบ มีโครงการที่ดำเนินการอยู่และสามารถส่งมอบได้ในอนาคต อีกทั้งเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ซึ่งโดยกำหนดราคาเสนอขายที่ 13 บาท ซึ่งคิดเป็นราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีที่ 1.28 เท่า เทียบกับราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันที่ 1.73 เท่า คิดเป็นส่วนลด 26% 
       
           “การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดี โดยได้จัดสรรให้แก่ผู้มีอุปการคุณ 40% ของหุ้นเสนอขาย 220 ล้านหุ้น จัดสรรให้นักลงทุนสถาบัน 20% และนักลงทุนรายย่อย 40% ซึ่งได้แสดงความต้องการซื้อหมดแล้ว” นายก้องเกียรติกล่าว


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 15, 2013, 10:53:03 pm
หุ้น IPO “ซีเค พาวเวอร์” เกินคาดนักลงทุนจองล้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 กรกฎาคม 2556 17:40 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000086620-

  “ซีเค พาวเวอร์” ผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าของไทย และอาเซียนเผยการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ประสบความสำเร็จดีเยี่ยม โดยหุ้นที่เสนอขายจำนวน 220 ล้านหุ้น ราคาจองหุ้นละ 13 บาท คิดเป็นส่วนลดประมาณ 26% ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งสถาบัน และรายย่อยจองซื้อแล้วทั้งหมด รวมมูลค่าการเสนอขายทั้งสิ้น 2,860 ล้านบาท
       
       ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น CKP กล่าวว่า “การที่ไอพีโอของ CKP ครั้งนี้ได้ประสบความสำเร็จอย่างดี เนื่องจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งของความเป็นธุรกิจพลังงาน มีฐานรายได้ที่มั่นคง มีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจไฟฟ้าหลายรูปแบบ มีโอกาสเติบโตสูง จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ราคาเสนอขายที่ 13 บาท ซึ่งคิดเป็นราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีที่ 1.28 เท่า คิดเป็นส่วนลดถึง 26% จากราคาต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจในลักษะณะเดียวกัน จึงให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน และได้รับการตอบรับเกินคาดด้วยการจองซื้อทั้งหมด”
       
       ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้น CKP อย่างล้นหลาม ความสำเร็จครั้งนี้น่าจะเกิดขึ้นจากจุดแข็งของเราในฐานะที่เป็นบริษัทแฟล็กชิปด้านพลังงานของกลุ่ม ช.การช่าง ซึ่งเป็นผู้นำด้านธุรกิจการก่อสร้างมากว่า 40 ปี CKP ยังมีศักยภาพในการเติบโตด้วยรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาธุรกิจระยะยาว อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า มีแผนพัฒนาโครงการที่ชัดเจน จากแหล่งพลังงานที่มีความหลากหลาย และด้วยต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ด้วยแรงสนับสนุนจากท่าน เราพร้อมจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคงเพื่อส่งมอบไฟฟ้าให้คนไทยได้อย่างยั่งยืน”
       
       ทั้งนี้ หุ้น CKP จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดพลังงาน วันที่ 18 กรกฎาคม 2556 นี้

http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000086620 (http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000086620)

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 20, 2013, 06:47:10 pm
สาระน่ารู้ ประเภทของบ้าน

สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัย อันดับแรกนั่นคือกำหนดความต้องการว่าบ้านในฝันที่เราอยากได้นั้นเป็นอย่างไร เช่น บ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียม แต่ละประเภทก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ การตกแต่ง เนื้อที่ใช้สอย หรือราคา

การที่เราจะเลือกที่อยู่อาศัยในลักษณะใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประกาศ เช่น งบประมาณในการก่อนสร้างหรือซื้อ ทำเลที่ตั้ง ความสะดวกสบาย จำนวนสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งแยกอธิบายที่อยู่อาศัยตามลักษณะรูปแบบแต่ละอย่างได้ดังนี้

บ้านเดี่ยว
บ้านเดี่ยว เป็น "บ้านในดวงใจ" ของผู้ซื้อบ้านแทบจะทุกคน เพราะบ้านเดี่ยวให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยและมีบริเวณที่ทำให้รู้สึกโล่ง โปร่ง นอกจากนี้แล้ว สำหรับบางคนบ้านเดี่ยวถือเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นผู้มีฐานะในระดับหนึ่ง (ขึ้นอยู่กับขนาด ความหรูหรา และราคาของบ้าน) อีกด้วย
บ้านเดี่ยวราคาถูกมักจะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่โดยทั่วไปแล้วบ้านเดี่ยวจะเป็นบ้าน 2 ชั้น อนึ่ง บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ก็มีให้เห็นบ้างในบริเวณที่ที่ดินมีจำกัดหรือมีราคาแพงมาก
การจัดสรรบ้านเดี่ยวนั้น กฎหมายกำหนดให้ต้องมีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา โดยที่ดินต้องมีหน้ากว้างติดถนนไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ลึก 20 เมตร

บ้านแฝด
ลักษณะของบ้านแฝดโดยทั่วไป คือ เป็นบ้าน 2 หลังมีฝาบ้านด้านหนึ่งติดกัน สร้างขึ้นเป็นคู่ บ้านแฝดมีบริเวณคล้ายบ้านเดี่ยวแต่น้อยกว่า กฎหมายกำหนดให้บ้านแฝดต้องมีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา บ้านแฝดคู่หนึ่งต้องมีความกว้างของที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 เมตร โดยแบ่งข้างละ 8 เมตร
บ้านแฝดเป็นเหมือนบ้านที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม อาจเป็นเพราะเป็นบ้านที่จะเป็นบ้านเดี่ยวก็ไม่ใช่ จะเป็นทาวน์เฮ้าส์ก็ไม่เชิง ในปีหนึ่งๆ จึงมีบ้านแฝดเกิดขึ้นน้อยมาก
แต่เคยมีผู้ประกอบการบางราย ประกาศขายบ้านเดี่ยวในขนาดที่ดิน 35-40 ตารางวา ซึ่งตามกฎหมายแล้วสร้างไม่ได้ เพราะบ้านเดี่ยวต้องมีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา โดยการที่ผู้ประกอบการได้ดัดแปลงรูปแบบบ้านแฝดให้ดูคล้ายบ้านเดี่ยว เช่น แม้จะเป็นบ้านแฝดแต่เป็นคู่แฝดก็ไม่เหมือนกันนัก หรือที่ว่าบ้านแฝดต้องมีส่วนติดกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหมายถึงฝาบ้านเท่านั้น บางรายเลยสร้างให้ห้องน้ำ ห้องคนใช้ หรือห้องครัวติดกัน แต่ตัวบ้านหลักดูเหมือนแยกกันเป็น 2 หลัง

ทาวน์เฮาส์ (Town house) หมายถึง บ้านแถวที่ปลูกเป็นแนวยาว อาจมีตั้งแต่ชั้นเดียวขึ้นไป จนถึง 3-4 ชั้น บ้านลักษณะนี้ใช้เนื้อที่ในการก่อสร้างน้อย ที่ดินแต่ละหน่วยมีขนาดเล็กมากเพียง 16-28 ตารางวาเท่านั้น ตัวบ้านตั้งอยู่ตรงกลางมีที่ดินเหลืออยู่เล็กน้อย โดยหน้าบ้านอาจจัดเป็นสวนหย่อม ส่วนด้านหลังบ้านเป็นลานตากผ้า ทำสวนครัว บริเวณด้านหน้าบ้านติดถนนหรือทางเท้า แต่ละหน่วยของอาคารจะใช้ผนังร่วมกัน ยกเว้นหน่วยแรกและหน่วยสุดท้ายของแถว ทำให้ช่วยประหยัดค่าวัสดุก่อสร้างอีกทางหนึ่ง จึงทำให้ราคาของบ้านต่อหน่วยไม่สูงมากนัก อยู่ในงบประมาณที่คนมีฐานะปานกลางจะซื้อหรือผ่อนส่งได้

แฟลต (Flat) หรือห้องชุด มีลักษณะเช่นเดียวกับ อพาร์ตเมนต์ (Apartment) ที่สร้างได้ห้องมาก ทำให้เกิดความคุ้มค่า เพราะสร้างเป็นอาคารสูงหลายชั้นบนที่เพียงเล็กน้อย สร้างได้รวดเร็ว ลดต้นทุนในการผลิต เนื่องจากใช้ฐานรากและหลังคาอันเดียวกัน จึงทำให้ช่วยชะลอการแผ่ขยายตัวของที่อยู่อาศัยโดยรอบในแนวราบได้ดี ลดความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยไม่ให้เบียดเสียดกันมากเกินไป อาคารหนึ่งๆ สามารถอยู่กันหลายๆ ครอบครัว ถึงแม้ว่าจะปลูกสร้างอยู่ในบริเวณใจกลางเมือง ซึ่งที่ดินมีราคาสูงก็ตาม แต่เมื่อเอาจำนวนหน่วยทั้งหมดมาเฉลี่ยแล้ว จึงทำให้ราคาต่อหน่วยไม่สูงมากนัก
แฟลตจะมีลักษณะคล้ายคอนโดมิเนียมคือเป็นอาคารสูง ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น มีระเบียงทางเดินด้านใดด้านหนึ่ง อาจเป็น 2 ด้านหรือระเบียงตรงกลาง มีการใช้ผนังห้องร่วมกัน 2 หรือ 3 ด้าน ภายในหน่วยหนึ่งๆ จะแบ่งย่อยเป็นห้องโถงเอนกประสงค์ ห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัว เพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตประจำวัน แต่มีข้อเสียอยู่บ้างคือแสงสว่างส่องเข้าไปได้น้อย การระบายอากาศไม่ดี และน้ำใช้อาจจะไม่เพียงพอ เพราะใช้กันมาก

คอนโดมิเนียม (condominium) เป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่สร้างในแนวดิ่งสูงกว่าแฟลต เป็นอาคารที่มีห้องร่วมกันคือ บุคคลหลายๆคน สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนเดียวกัน มีลักษณะคล้ายแฟลต เริ่มตั้งแต่ห้องเดี่ยวเอนกประสงค์ไปจนถึง 3-4 ห้องนอน ซึ่งแต่ละหน่วยจะมีห้องต่างๆ เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก อย่างครบถ้วน ตลอดจนห้องทำงาน ห้องพักผ่อนส่วนตัวด้วย ในอาคารชุดจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือทรัพย์สินส่วนบุคคล ได้แก่ ห้องชุด และทรัพย์สินส่วนกลางได้แก่ ที่ดิน

ได้ความรู้เพิ่มเติมกันไปแล้ว หวังว่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อบ้านแบบที่เหมาะสมและถูกใจกันนะคะ

ข้อมูลประกอบจาก :
-http://www.reic.or.th-
-http://www.elearning.msu.ac.th-



http://money.sanook.com/85165/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/ (http://money.sanook.com/85165/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2013, 08:00:13 pm
รู้ทัน"โกลด์ฟิวเจอร์ส"

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374319661&grpid=&catid=02&subcatid=0200-

คอลัมน์ คลื่นคิดข่าว โดย เรวดี พงศ์ไชยยง





ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนในช่วงนี้ คงทำให้หลายคนเกิดอาการลังเลที่จะถมเงินลงทุนเข้าไปรอบใหม่ และมองหาการลงทุนรูปแบบอื่น ที่ให้ผลตอบแทนดีและมีความเสี่ยงน้อยกว่า

การซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือ โกลด์ฟิวเจอร์ส ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดทองคำโลกผันผวน ขึ้นหรือลงแต่ละครั้งแต่ละรอบ ยั่วยวนบรรดานักเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี

แต่เชื่อว่านักลงทุนหลายราย โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย ที่โดดเข้าไปร่วมลงทุนตามกระแส ยังไม่รู้จักสัญญาประเภทนี้ดีนัก จึงรวบรวมเกร็ดข้อมูลและสิ่งที่นักลงทุนพึงรู้จักก่อนตัดสินใจลงทุนมาเสนอ

เริ่มตั้งแต่ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือ

โกลด์ฟิวเจอร์ส นั้นคือ สัญญาที่ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงราคาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงทองคำกันในวันนี้ โดยมีภาระผูกพันต่อกันที่จะต้องส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิง และชำระราคากันในอนาคต เช่น อีก 2 เดือนข้างหน้า

เพื่อลดความยุ่งยากในการส่งมอบทองคำในอนาคต ตลาดอนุพันธ์จึงใช้วิธีการชำระเงินตามส่วนต่างกำไร/ขาดทุนที่เกิดขึ้น เมื่อปิดสถานะ หากซื้อได้ถูก ขายได้แพง จะได้กำไร

แต่หากซื้อแพงและขายได้ถูกจะขาดทุน ทำให้นักลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์ส ไม่จำเป็นต้องซื้อก่อนขาย จะขายก่อนซื้อก็ได้

ต่างจากการซื้อขายทองคำทั่วไป ที่จ่ายเงินเต็มจำนวนตามมูลค่าที่ซื้อขาย และไม่มีวันหมดอายุ โดยผู้ซื้อจะได้ทองไปนอนกอดได้ทันที

กลยุทธ์การซื้อทองทั่วไปจะเข้าซื้อช่วงขาขึ้น เพื่อถือรอจังหวะขายทำกำไร เมื่อราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้น

ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส จะใช้ระบบการวางหลักประกัน (มาร์จิ้น) คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 10% ของมูลค่าสัญญา โดยมีสัญญาหมดอายุ 2, 4 และ 6 เดือน ให้เลือกซื้อขาย

ลงทุนแบบนี้ ไม่มีการส่งมอบสินค้า จะใช้วิธีจ่ายเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น หรือเรียกว่าการชำระราคาเป็นเงินสด

กลยุทธ์จะมีทั้งขาขึ้นและขาลง โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อก่อนขาย หรือขายก่อนซื้อก็ได้ ทำให้ทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาด

โดยจะมีการคิดกำไรขาดทุนจากการซื้อขายทุกวัน (Mark to Market) เพื่อปรับมูลค่าหลักประกันให้เป็นปัจจุบัน ถ้ามีกำไรก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีเทรดทันที แต่ถ้าขาดทุน จะตัดจ่ายเงินออกทันทีเช่นกัน ผู้ลงทุนจึงสามารถติดตามสถานะของเงินลงทุนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันท่วงที

ขณะที่ราคาซื้อขายจะเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลาซื้อขายของตลาดอนุพันธ์ และเป็นไปตามกลไกราคาหรือความต้องการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริง โดยซื้อขายผ่านตลาดอนุพันธ์ (ทีเฟ็กซ์) ซึ่งมีบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ประกันการชำระราคาจากการซื้อขาย และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของตลาดอนุพันธ์และบริษัทสมาชิก ผู้ลงทุนจึงมั่นใจเรื่องความโปร่งใสและเชื่อถือได้ของการซื้อขาย

อาจจะดูเหมือนขั้นตอนวุ่นวายมากกว่าการซื้อขายทองคำทั่วไป แต่ความนิยมที่ทำให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์เพิ่มขึ้นพรวดพราดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่ามีแรงจูงใจนักลงทุนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่มีกำไร จะได้ในอัตราส่วนที่สูง

ในทางกลับกัน ถ้าขาดทุนก็หนักไม่แพ้กัน แถมยังมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย และที่สำคัญต้องดูวันหมดอายุของสัญญาให้ดีด้วย

จึงมีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่กำลังจะตัดสินใจเลือกลงทุนแบบนี้ ต้องประเมินกำลังของตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด

เมื่อมีโอกาสทำกำไร ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน

สำคัญที่สุด คือต้องศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดอนุพันธ์ให้ถ่องแท้ก่อน

อย่าเพียงแต่ฟังคำชวนเชื่อที่โน้มน้าวด้วยผลตอบแทนที่ล่อใจเท่านั้น

เพราะคำว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง โปรด

ใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุน" ยังต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ

หน้า 16มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 10:02:44 pm
ธนบัตรชำรุด มีค่า ! ขาด-แหว่ง-ซีด อย่าเพิ่งทิ้ง เปลี่ยนคืนได้
-http://hilight.kapook.com/view/88368-


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/money_1.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย

            หลายคนอาจจะเข้าใจว่า เมื่อธนบัตรชำรุด ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรขาด, ธนบัตรเก่าจนเปื่อย หรือว่าเปรอะเปื้อน บ้างก็สีซีดจาง เนื่องด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิ แมลง มด หนู ปลวก กัดแทะ จะไม่สามารถนำมาใช้งานได้ตามปกติ เนื่องจากพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 18 ระบุไว้ว่า... "ธนบัตรชำรุดไม่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" โดยได้จำแนกลักษณะของธนบัตรชำรุดไว้ 4 ลักษณะดังนี้


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_halfnote2.jpg)
ธนบัตรครึ่งฉบับ

            ธนบัตรครึ่งฉบับ คือ ธนบัตรที่ถูกแยกตรงกลางหรือใกล้กับกลางเป็นสองส่วนตามยืนเท่านั้น


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_multilated3.jpg)
ธนบัตรต่อท่อนผิด

            ธนบัตรต่อท่อนผิด คือ ธนบัตรซึ่งมีส่วนของธนบัตรฉบับอื่นมาต่อเข้าเป็นฉบับเดียวกัน

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_multilated4.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_multilated4.jpg)
ธนบัตรขาดวิ่น

            ธนบัตรขาดวิ่น คือ ธนบัตรซึ่งมีส่วนหนึ่งส่วนใดขาดหายไป


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_multilated5.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_multilated5.jpg)
 ธนบัตรลบเลือน

            ธนบัตรลบเลือน คือ ธนบัตรที่มีเหตุทำให้อ่านข้อความหรือตัวเลขไม่ได้ความ

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็มีพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 5 และมาตรา 19 ระบุไว้เช่นกันว่า สามารถแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ชำรุดได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ต่อไปนี้...

            ข้อ 1 ผู้ใดประสงค์จะขอแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุด ให้ทำคำร้องเป็นหนังสือตามแบบยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมาย โดยแนบธนบัตรชำรุดไปกับคำร้องด้วย

            ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมอบหมายเห็นสมควรจะรับธนบัตรชำรุดไว้แลกเปลี่ยน โดยมิต้องให้ผู้ประสงค์จะขอแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุดทำคำร้องเป็นหนังสือดังกล่าวในวรรคหนึ่งก็ได้
             
            ข้อ 2 ให้รับแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุดตามข้อจำกัดและหลักเกณฑ์  ดังต่อไปนี้
           
            ธนบัตรครึ่งฉบับ ให้รับแลกเปลี่ยนแต่ละครึ่งฉบับเพียงครึ่งราคาของราคาเต็มของธนบัตรนั้น

            ธนบัตรต่อท่อนผิด ถ้าไม่เกินสองท่อน แต่ละท่อนเป็นธนบัตรแบบและชนิดราคาเดียวกัน ให้รับแลกเปลี่ยนเต็มราคาของธนบัตรนั้น

            ธนบัตรขาดวิ่น ให้รับแลกเปลี่ยนเฉพาะเมื่อเห็นได้ประจักษ์ว่าส่วนที่เหลืออยู่มีมากกว่าครึ่งฉบับ ให้รับแลกเปลี่ยนเต็มราคาของธนบัตรนั้น
         
            ธนบัตรลบเลือน ให้รับแลกเปลี่ยนเฉพาะเมื่อการลบเลือนนั้น ไม่ถึงทำให้ไม่รู้ได้ว่าเป็นธนบัตรแท้จริง โดยให้รับเปลี่ยนเต็มราคาของธนบัตรนั้น

            ทั้งนี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของธนบัตรชำรุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชน สามารถนำธนบัตรชำรุดมาแลกเปลี่ยนตามหลักเกณฑ์และวิธีการ  ดังนี้

กรณีที่ 1 เขียนคำร้องขอแลกเปลี่ยน

            ได้แก่ ธนบัตรชำรุดครึ่งฉบับ ธนบัตรต่อท่อนผิด และธนบัตรขาดวิ่นที่มีเนื้อน้อยกว่า 3  ใน 5 ส่วน ผู้ขอแลกต้องเขียนคำร้องขอแลกเปลี่ยนตามแบบที่กำหนดพร้อมแนบธนบัตรชำรุดยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อนำส่งให้ ธปท. พิจารณาค่าแลกเปลี่ยน โดย ธปท. จะโอนเงินค่าแลกเปลี่ยนเข้าบัญชีออมทรัพย์ หรือส่งทางไปรษณีย์ธนาณัติให้กับผู้ขอแลกตามที่ระบุไว้ในคำร้องขอแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุด

            สำหรับธนบัตรชำรุดที่ถูกไฟไหม้เกรียม ถูกสัตว์หรือแมลงกัดแทะ หรือเปื่อยติดกันเป็นปึกเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจได้รับความเสียหายระหว่างจัดส่ง ผู้ขอแลกต้องนำธนบัตรไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อออกหลักฐานการติดต่อก่อนนำมาขอแลกที่สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_01.jpg)
ธนบัตรถูกไฟไหม้เกรียม


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc2/Cl_02.jpg)
ถูกปลวกกัดแทะ


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/Cl_03.jpg)
เปื่อยติดกันเป็นปึก


กรณีที่ 2 แลกเปลี่ยนได้ทันที

            ได้แก่ ธนบัตรชำรุดที่มีเนื้อธนบัตรเหลืออยู่เกิน 3 ใน 5 ส่วน ผู้ขอแลกสามารถยื่นและรับเงินค่าแลกเปลี่ยนได้เต็มราคาหน้าธนบัตร


สำหรับสถานที่ติดต่อขอแลกธนบัตรชำรุด

ธนาคารออมสินทั่วประเทศ : ให้บริการในเวลาทำการทุกวัน

ธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ : ให้บริการเฉพาะวันพุธ ยกเว้นสาขาย่อยและสาขาในห้างสรรพสินค้า

           สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับธนบัตรชำรุด ได้ที่ แผนกตรวจพิสูจน์ธนบัตร สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 02-356-8735 ถึง 8737 หรือที่เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย


http://hilight.kapook.com/view/88368 (http://hilight.kapook.com/view/88368)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2013, 08:32:01 am
ไต่ระดับสู่ความมั่งคั่ง
-http://www.dailynews.co.th/article/55/220119-
-http://www.dailynews.co.th/article/55/221728-
-http://www.dailynews.co.th/article/55/223187-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/220119.jpg)

ไต่ระดับสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่ 1
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.

ใคร ๆ ก็อยากจะรวย อยากมั่งคั่ง มั่งมี และต้องการอิสรภาพทางการเงินโดยเร็วที่สุด แต่คนส่วนใหญ่มักจะท้อและถอยไปซะก่อน เพราะพยายามเก็บออมก็แล้ว มีความรู้มากมาย และลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ ก็แล้ว แต่ทำไมยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ฝันเสียที เฮ้อ...

เข็มทิศลงทุน 3 ตอนต่อไปนี้ ขอบอกเล่าสไตล์การลงทุนในหลากหลายประเภท จะได้รู้ว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทใด และถ้าต้องการไปถึงเป้าหมาย จะต้องทำอย่างไร?

John R. Burley กูรูเรื่องลงทุนระดับโลกที่ผันตัวเองจากนักลงทุนผู้มั่งคั่ง มาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ด้านการวางแผนการเงินให้กับคนทั่วโลก ด้วยความเชื่อฝังใจว่า “ใคร ๆ ก็รวยและมีชีวิตที่ดีได้” John ได้แบ่งนักลงทุนไว้ 7 ระดับ ตั้งแต่ 0–6 ให้เป็นบันไดสำหรับไต่ระดับสู่ความมั่งคั่ง ดังนี้

นักลงทุนระดับ 0 คือ “ช่างซื้อ” (Non-Existent)

คนประเภทนี้ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินลงทุน และไม่มีความรู้ด้านการเงิน มักอ้างว่าที่มีปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้เพราะมีรายได้น้อยเกินไป แต่ปัญหาแท้จริงที่เจ้าตัวอาจไม่รู้หรือไม่คิดจะรู้คือ การใช้จ่ายเงินเกินตัวจนไม่เหลือเก็บ สิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยหยุดคนช่างซื้อ คือต้องปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายทันที วิธีที่ช่วยให้เริ่มออมได้ทั้งง่ายและเร็ว คือ “ออมก่อนใช้” เมื่อมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเงิน 20% ไว้ก่อนเพื่อออมและลงทุน ที่เหลือค่อยนำไปใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้คนช่างซื้อ มีเงินให้ซื้อน้อยลง แต่มีเงินเก็บออมเพิ่มขึ้น แม้จะเป็นเงินไม่มาก แต่ระยะเวลาการออมที่ยาวนาน ก็ช่วยทำให้เกิดพลังของดอกเบี้ยทบต้น สร้างผลตอบแทนให้งอกเงยได้

อีกวิธีก่อนซื้อของ แนะนำให้ใช้คาถา 4 พยางค์ คือ “ขอคิดดูก่อน” ช่วยถ่วงเวลาการซื้อให้ช้าลง ช่วยให้มั่นใจว่าการซื้อครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่อารมณ์อยากได้ชั่ววูบ ลองใช้ 4 พยางค์ตรวจสอบตัวเองดูสัก 5 วัน 7 วัน เป็นไปได้ว่าความอยากได้ อยากซื้อจะลดน้อยลง แต่ได้เงินเก็บมากขึ้น

นักลงทุนระดับ 1 คือ “ช่างกู้” (Borrower)

คนประเภทนี้มีสถานะทางการเงินที่น่าเป็นห่วงกว่าประเภทแรกเสียอีก เพราะนอก จากจะใช้เงินที่หาได้ไปจนหมด ยังกู้เพิ่ม เป็น การแก้ปัญหาแบบผิด ๆ ด้วยการสมัครบัตรเครดิตหลายใบเพื่อหวังเอาเงินบัตรใหม่หมุนจ่ายหนี้บัตรเดิม บางคนขอสินเชื่อบุคคลมาใช้หนี้ หรือหนักเข้าถึงขั้นกู้หนี้นอกระบบเพื่อมา กลบหนี้เก่า หมุนเงินไปมาจนถึงจุดที่วงเงินเต็ม ไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีกแล้ว หนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ฐานะการเงินล้มเหลว ชีวิตนี้ ก็กลายเป็นชีวิตหนี้ในทันใด เสี่ยงที่จะล้มละลายสุด ๆ ซึ่งคนประเภทนี้อาจไม่ใช่คนที่มีรายได้น้อย บางคนรายได้สูงแต่หาเงินไม่พอใช้จ่าย ก็เข้าข่ายนักลงทุนระดับ 1 ได้เช่นกัน ทางออกที่ได้ผลที่สุด คือ หยุดสร้างหนี้เพิ่ม แล้วจัดการเคลียร์หนี้สินอย่างมีวินัย ควรจัดการหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ๆ ให้หมดก่อน และแบ่งเงินบางส่วนเพื่อการออมด้วย

นักลงทุนระดับ 2 คือ “ช่างเก็บ” (Saver)

คนประเภทนี้มีการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอ แต่เป้าหมายส่วนใหญ่ก็เพื่อใช้จ่ายมากกว่านำไปลงทุน เช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ หรือเครื่องเสียงชุดใหญ่ โดยเน้นฝากเงินในธนาคาร หรือซื้อประกันแบบสะสมทรัพย์ เพราะคิดว่ามีความเสี่ยงต่ำ เงินต้นไม่หาย แต่ลืมคิดว่าสำหรับผลตอบแทนจากการฝากธนาคารนั้น อาจไม่เพียงพอที่จะไปสู้กับอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ค่าของเงินต้องลดลงอย่างแน่นอน ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ เริ่มจากเปลี่ยนมุมคิดจากแค่การเก็บออมหรือการฝากเงินกับธนาคาร ไปมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ถ้าไม่กล้าเสี่ยงหรือกลัวว่าเงินต้นจะหดหาย เริ่มจากเปลี่ยนจากการฝากเงินแบบสะสมทรัพย์ เป็นการฝากประจำ หรือจะซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ภาคเอกชน ผลตอบแทนมากกว่าการฝากออมทรัพย์ในระดับความเสี่ยงต่ำ

ถึงตรงนี้ ลองสำรวจพฤติกรรมของตัวเองว่าเป็นนักลงทุนระดับไหน หรือคุณเป็นช่างอะไร หากพบว่าตัวเองอยู่ใน 3 ระดับแรกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนช่างซื้อ คนช่างกู้ หรือคนช่างเก็บ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เป็นลำดับแรก ซึ่งเป็นวิธีง่ายที่สุดที่จะไปถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน แล้วติดตามเข็มทิศลงทุนกับอีก 4 ระดับที่เหลือในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป.



ไต่ระดับสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่ 2
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.

ตอนที่ 1 ของบทความนี้เราได้กล่าวว่านักลงทุนมีอยู่ด้วยกัน 7 ระดับ และเล่าไปแล้ว 3 ระดับ โดย ระดับ 0 เรียกว่า “ช่างซื้อ” คือซื้อจนไม่มีเงินเหลือ

ระดับ 1 เรียกว่า “ช่างกู้” คือนอกจากใช้เงินจนหมด ก็ยังไปกู้มาใช้อีก และ

ระดับ 2 เรียกว่า “ช่างเก็บ” แต่ไม่ได้เก็บออม เขาเก็บไว้ซื้อของชิ้นใหญ่ที่ต้องการ

อ่านแล้วพอจะรู้สึกว่าระดับไหนใกล้เคียงพฤติกรรมเราบ้างคะ ถ้ายังไม่มี ลองดูค่ะว่าอีก 4 ระดับที่เหลือ น่าจะเป็นเราหรือเปล่า

ระดับ 3 คือ “ช่างคิด (แต่ไม่ทำ)” (Passive Investor) นักลงทุนระดับนี้เริ่มเห็นความสำคัญของการลงทุน แต่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน จึงไม่มั่นใจ ไม่กล้าลงทุนอะไรมาก มักลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ ที่มีความผันผวนต่ำ ซึ่ง John แบ่งย่อยนักลงทุนประเภทนี้ไปอีก 3 กลุ่มย่อย ได้แก่

1. ลงทุนก็ได้ แต่ขอทำแบบแอบ ๆ (Gone into a shell Passive Investor) นักลงทุนประเภทนี้คิดเสมอว่า ตนเองไม่มีวันเข้าใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือการลงทุน มักมีคำแก้ตัวเพื่อเลี่ยงการจัดการเงินของตัวเอง เช่น “ไม่เก่งเรื่องตัวเลข การลงทุนมันยุ่งยาก งานยุ่งมากไม่มีเวลาคิดเรื่องลงทุน หรือให้กองทุนเขาจัดการเถอะ” เหล่านี้มักเป็นคำพูดตอบโต้ตัวเองในใจเพื่อทำให้ตนเองสบายใจ

ถ้าท่านคิดว่าลักษณะนี้คือท่าน เราอยากแนะนำให้ลอง “คิดใหม่ ทำเลย”

คิดใหม่...คืออยากให้เลิกคิดว่า “เราคงทำไม่ได้ เราคงไม่เข้าใจ” เลิกแอบปลื้มชื่นชมความสำเร็จของคนอื่น และหันมาลอง “ทำเลย” กันดูสักครั้ง

“ทำเลย” คือลองติดตามสถานการณ์ลงทุนต่อเนื่องสม่ำเสมอ ลองทำความเข้าใจว่าการลงทุนมีกี่ประเภท กี่แบบ ธุรกิจไหนที่น่าลงทุน เหตุผลคือเพื่ออะไร เมื่อมั่นใจว่าธุรกิจไหนน่าจะไปได้ดีต่อเนื่องยาวนาน ทีนี้ก็เริ่มเลือกกิจการที่เรา “เข้าใจและมั่นใจ” ลงมือลงทุนเองเลยค่ะ เมื่อผลตอบแทนลงทุนผันผวนก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ค่อยทำค่อยไป เราก็จะเริ่มเข้าใจ ทีนี้ก็ค่อย ๆ ขยายไปกิจการอื่น ธุรกิจอื่น สุดท้ายก็จะเป็นคนเก่งเหมือนคนอื่นในที่สุด

2. เป็นไปไม่ได้...แน่ ๆ (It can’t be done Passive Investor) นักลงทุนประเภทนี้เชื่อฝังจิต ฝังใจว่า “เราคงทำไม่ได้” หลายคนรู้ว่า การบริหารเงินที่ดีไม่ใช่เก็บเงินฝากไว้กับธนาคาร การลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายเท่านั้นเป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเงินออม แต่ก็เลือกที่จะ “ไม่ทำอะไร”

ที่หนักไปกว่านั้น คือเชื่อไปว่าที่คนอื่นประสบความสำเร็จเป็นเพราะ “ดวงดี” “โชคดี” และ “เก่งกว่า” ถ้าท่านเข้าข่ายลักษณะนี้ ลองเปลี่ยนมุมคิด จากที่ว่า “ไม่มีทางทำได้” ให้คิดบวกว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

ทุกอย่างเป็นไปได้แน่ แค่เริ่มศึกษาหาความรู้เรื่องรูปแบบลงทุนให้เข้าใจ ว่าการลง ทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงที่มาคู่กับผลตอบแทนเสมอ ไม่อยากเสี่ยงสูงต้องยอมรับผลตอบแทนต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้ แต่ถ้ากล้าเสี่ยงก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง เหมาะจะลงทุนในหุ้น เข้าใจเรื่องการลงทุนแล้ว หันมาเข้าใจตัวท่านเองด้วยว่าเป็นคนที่ยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน เลือกลงทุนอย่างเข้าใจ ก็จะเข้าใกล้ความสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งโชคชะตา

3. แมงเม่า (Victim Passive Investor) นักลงทุนประเภทนี้ส่วนใหญ่ฉลาดดี แต่ไม่มี “หลักการ” ในการลงทุน ชอบซื้อหุ้นตอนราคากำลังขึ้น แล้วมักตกใจขายทิ้งทันทีเมื่อหุ้นอยู่ในขาลง หวังพึ่งพาคนอื่น หรือมองหาสูตรสำเร็จที่เร่งความรวยโดยลืมนึกถึงความสามารถที่มีอยู่

หากไม่อยากเป็นแมงเม่า แล้วเปลี่ยนสถานะเป็นนกอินทรีที่มองกว้างและบินไกล ให้ลงทุนอย่างคนรู้ลึกรู้จริง มีความอดทน ไม่หวั่นไหวตามอารมณ์ของตลาดไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีไว้ก่อน ความสำเร็จก็จะอยู่ไม่ไกล 

เริ่มสำรวจตัวเองว่าตอนนี้อยู่ในระดับไหน แล้วพาตัวเองสู่ระดับที่สูงขึ้นโดยปรับเปลี่ยนมุมมองความคิด และเสริมความรู้ด้านการเงินการลงทุนให้มากขึ้น ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้แน่นอน

สัปดาห์หน้าเตรียมตัวไปไต่ระดับบันไดสามขั้นที่เหลือ เพื่อประสบความสำเร็จแบบนักลงทุนมืออาชีพกัน.



ไต่ระดับสู่ความมั่งคั่ง ตอนที่ 3
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.

เข็มทิศลงทุน พาคุณไต่ระดับสู่ความมั่งคั่งมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว

ทบทวนกันสักนิดว่าคุณเป็นนักลงทุนระดับไหน ได้แก่ ระดับ 0 ช่างซื้อ ระดับ 1 ช่างกู้ ระดับ 2 ช่างเก็บ และ ระดับ 3 ช่างคิด (แต่ไม่ทำ)

อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่ใช่หรือใกล้เคียง 4 ระดับที่เล่าไปแล้ว ก็ลองดู 3 ระดับที่จะพูดถึงในวันนี้...

ระดับสี่ คือ “ช่างทำ” (Automatic Investor) นักลงทุนที่ยืนในระดับนี้ได้อย่างมั่นคง เรียกได้ว่าเข้าสู่จุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งแล้ว เขาเข้าใจว่าการลงทุนเป็นสิ่งจำ เป็น จึงสะสมความรู้แล้วลงทุนด้วยตัวเอง หากไม่รู้จริงในสิ่งใด จะไม่ลงทุนในสิ่งนั้น ไม่ชอบเก็งกำไร ชอบวางแผนการลงทุนระยะยาวไว้อย่างชัดเจน และลงทุนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

นักลงทุนระดับสี่ บริหารเงินออมของตัวเองง่าย ๆ 4 ข้อ คือ

-เก็บก่อนใช้ คือทันทีที่มีเงินเข้าบัญชี ไม่ว่าจะได้รายได้จากงานประจำ เงินโบนัส หรือเงินค่าจ้างอื่น ๆ ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปเพื่อนำไปลงทุนตามแผนที่วางไว้อย่างสม่ำเสมอ และแบ่งอีกส่วนหนึ่งสักประมาณ 20 – 30% เป็นเงินเก็บ ที่เหลือค่อยนำไปใช้จ่าย นอกจากนั้น จะมองหาช่องทางการลงทุนที่ช่วยลดหย่อนภาษี เช่น ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น

-ให้เงินทำงาน โดยต้องเก็บเงินให้เป็นอัตโนมัติ ซึ่งเป็นรูปแบบของการเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เกิดจากดอกเบี้ยแล้วไม่ได้นำออกมาใช้ จะทบกลับเข้าไปกลายเป็นเงินต้นก้อนใหม่ที่ใหญ่ขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อมี “ดอกเบี้ย” และ “เวลา” เงินเก็บก็จะทำงานเกิดดอกออกผล ต่อยอดตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

-ลงทุนง่ายเข้าไว้ ไม่ต้องสนใจวิธีการลงทุนซับซ้อนที่มืออาชีพใช้กัน แต่จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปซื้อหุ้นหรือกองทุนเป็นประจำทุกเดือน หรือเลือกหุ้นพื้นฐานดีแล้วลงทุนระยะยาว หรือซื้อกองทุนที่มีการบริหารงานที่ดี มีโอกาสทำผลตอบแทนได้มากกว่า 10%

-ไม่ก่อหนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่เป็นหนี้ แล้ว จะทำให้ความสามารถในการบริหารเงินออมจะลดลงทันที แต่หากเผลอไปก่อหนี้แล้ว ต้องรีบกำจัดหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดก่อน เป็นไปได้ให้หาเงินก้อนใหญ่มาโปะเงินต้นให้มากและเร็วที่สุด

ระดับที่ห้า คือ “ช่างก้าว” (Active Investor) นักลงทุนในระดับห้า จะมีความเข้าใจเรื่องเครื่องมือการลงทุนที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้น ยึดหลักการและวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด พยายามสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนมากที่สุด

ขณะเดียวกันก็สามารถป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี นักลงทุนระดับห้า ไม่ “ทำงานเพื่อเงิน” แต่ “ใช้เงินทำงาน” อย่างเต็มที่ รวมถึงเลือกใช้เครื่องมือการลงทุนที่เข้าใจ ลงเงินต้นให้มาก หาผลตอบแทนได้สูง และให้พลังดอกเบี้ยทบต้นทำงานสร้างเงินอย่างมีวินัย

ระดับที่หก คือ “ช่างก่อ” (Capitalist) นักลงทุนระดับสุดท้ายนี้ ลงทุนโดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยมั่งคั่งใส่ตัว แต่จะใช้ความสามารถในการลงทุนของตัวเองต่อยอดความเจริญสู่สังคม ยิ่งหาเงินได้มาก ยิ่งให้สังคม
มาก ต้นแบบของนักลงทุนระดับนี้เช่น Bill Gates ผู้คิดค้นซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วโลก เมื่อเขาร่ำรวยขึ้นก็ก่อตั้ง Bill & Melinda Gates foundation เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนทั้งในสหรัฐ และพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก โดยให้ทุนวิจัยเพื่อคิดค้นยารักษาโรคเอดส์ โปลิโอ และวัณโรค มุ่งแก้ปัญหาความยากจน และขยายโอกาสด้านการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส นับว่าการลงทุนของเขาสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนอื่นได้

John R. Burley เจ้าของ “7 ระดับสู่ความมั่งคั่ง” บอกไว้ว่า หากต้องการไปให้ถึงอิสรภาพทางการเงิน จงพัฒนาตัวเองให้เป็นนักลงทุนระดับที่สี่ให้ได้ เริ่มตั้งแต่กำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้ สร้างทัศนคติที่เป็นบวก ศึกษาและติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างจริงจัง รวมถึงอดทนในการรอเก็บเกี่ยวผลตอบแทนดี ๆ

ตอกย้ำกับตัวเองบ่อย ๆ “ใคร ๆ ก็รวย และมีชีวิตที่ดีได้” John R. Burley รวยได้ คุณก็รวยได้...
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2013, 08:33:02 am
สิ่งที่เสี่ยงที่สุดในการลงทุน คือการไม่รู้ว่า “เสี่ยง”
วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/55/218558-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/218558.jpg)

“กองทุนรวม” ถือว่าเป็นศูนย์รวมการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนมือใหม่ และผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด โดยมีแนวคิดในการลงทุนในกองทุนรวมว่า “เลือกง่าย ไม่คิดมาก ดูจากผลตอบแทน แบรนด์มีชื่อ ถือว่า จบ”

นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่มัก “จบ” แค่ “ผลตอบแทน” ที่จะได้รับ จนลืมนึกถึง “ความเสี่ยง” ที่เคียงคู่กันมา แม้กองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารเงินก็ตาม แต่กองทุนไหนล่ะที่เหมาะสมกับเราที่สุด ใกล้เคียงกับเป้าหมายการเงินที่เราวางไว้ เราควรจะ วางเงินให้ถูกที่ และ ถูกจริต เพราะเมื่อตัดสินใจลงทุนกับกองทุนใดแล้ว จะได้ไม่เสียใจภายหลัง และไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ

เข็มทิศลงทุนวันนี้ ขอแนะนำให้รู้จักกับ 3 ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวม ให้ได้พิจารณาก่อนจะเลือกลงทุนให้ถูกที่ และถูกจริต

1. กองทุนรวมความเสี่ยงต่ำ มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เท่านั้น มีความมั่นคงสูง ความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนไม่มาก เหมาะกับนักลงทุนไม่นิยมการตื่นตระหนกรายวัน ไม่นิยมความเสี่ยง และไม่คาดหวังผลตอบแทนที่สูง กองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ มีความเสี่ยงต่ำมาก หุ้นกู้ภาคเอกชน มีความเสี่ยงมากกว่า

2. กองทุนรวมความเสี่ยงปานกลาง มีนโยบายการลงทุนผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ และตราสารทุน เพื่อให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอีก ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น เหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระดับปานกลาง ไม่ต่ำไม่สูงเกินไป และรับความเสี่ยงได้ในระดับกลาง ๆ เรียกว่า “กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น” ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางแห่งอาจจะกำหนดเพดานการลงทุนในตราสารทุนไว้ เช่น ไม่เกิน 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม หรือบางแห่งไม่กำหนดเพดานการลงทุนในตราสารทุนไว้ แต่ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุนในสัดส่วนเท่าใดให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การลงทุนในช่วงนั้น ๆ

3. กองทุนรวมความเสี่ยงสูง มีนโยบายการลงทุนในหุ้นมากกว่าทุกกองที่กล่าวมา โดยนำเงินมากกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมไปลงทุนในหุ้นสามัญ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้น ไปจนถึงตราสารอื่นที่มีความซับซ้อน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า กองทุนรวมแบบนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าทุกกองทุน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นด้วย ทั้งความเสี่ยงที่มาจากการขึ้นลงของราคาหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่กองทุนรวมไปลงทุน ซึ่งเป็นผลจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและตลาดการลงทุน ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่กองทุนรวมไปลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้น ๆ เหมาะกับนักลงทุนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ตื่นตกใจ หรือหวั่นไหวง่ายเกินไป พร้อมรับความเสี่ยงสูง ๆ ได้ดี และที่สำคัญเน้นสร้างผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น

ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ประเภทของกองทุนรวมที่เข็มทิศลงทุนอยากให้ชั่งใจระหว่างผลตอบแทนที่คาดหวัง กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไปพร้อม ๆ กัน ห้ามมองแต่ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว ก็อย่างที่คำเตือนสำหรับการลงทุนว่าไว้ “การลงทุนมีความเสี่ยง...” เข็มทิศลงทุนขอเพิ่มเติมว่า นักลงทุนมือใหม่ควรอ่านหนังสือชี้ชวนเพื่อเสริมความเข้าใจก่อนการลงทุนให้มากกว่าวันละ 2 ครั้งก็ได้....ไม่ว่ากัน.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2013, 09:43:28 am
สัญญาณจาก QE โดย ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1375454513&grpid=&catid=02&subcatid=0207-


คอลัมน์ ดุลยภาพพินิจ (มติชนรายวัน 2 สิงหาคม 2556)

ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือการทำให้วัฏจักรธุรกิจมีคลื่นที่ราบเรียบขึ้น หลักการง่ายๆ ของนโยบายการเงินคือการปล่อยสภาพคล่องจากธนาคารกลางออกมาให้มากในห้วงที่เศรษฐกิจด้านอุปสงค์รวมชะลอตัว และถอนสภาพคล่องกลับเข้าธนาคารกลางเมื่อเศรษฐกิจด้านอุปสงค์นั้นฟื้นตัวแล้ว

หลักการนี้เข้าใจได้ง่าย และนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากก็สนับสนุนหลักการนี้ว่าใช้ได้ดีพอสมควร จนเป็นตำรับตำราเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ใช้กันมาเกินกว่าครึ่งศตวรรษ

ทว่าเมื่อหลักการนี้เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในยุคหลังๆ ความซับซ้อนและความรุนแรงของปัญหากลับแตกต่างไปจากในอดีตอย่างมาก

นโยบายการเงินในญี่ปุ่นทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นศูนย์เป็นเวลานานแต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวได้ตลอดสองทศวรรษ และแม้แต่ในวันนี้ญี่ปุ่นก็ยังอยู่ในภาวะของกับดักสภาพคล่อง ฟื้นตัวไม่ได้

การกระตุ้นทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐตั้งแต่วิกฤตซับไพรม์อุบัติขึ้นถือว่าย่ำเท้าไปตามแนวทางที่ใช้ในญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยเกือบเท่ากับศูนย์ เกิดกับดักสภาพคล่องและนโยบายกระตุ้นทางการเงินอย่างหนักไม่สามารถผลักดันภาคเศรษฐกิจจริงได้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่มีบทเรียนในญี่ปุ่นมาแล้ว

นับจากวิกฤตซับไพรม์ ธนาคารกลางสหรัฐใช้ปริมาณเงินประมาณร้อยละ 20 ของจีดีพี แต่เศรษฐกิจปัจจุบันกลับยังเติบโตได้เพียงอัตราร้อยละ 2 ในขณะที่การฟื้นตัวบางส่วนที่มีบ้างแล้วนั้นก็มิได้ชัดเจนว่าผลลัพธ์ที่มาจากนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุ่มเทปริมาณสภาพคล่องออกมาอย่างมหาศาลผ่านโครงการซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นที่เรียกว่า "Quantitative Easing" (QE)

การนำมาตรการ QE มาใช้เป็นสัญญาณหนึ่งที่อาจบอกว่าธนาคารกลางเอาจริง มุ่งมั่นและทุ่มเทกับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

รวมทั้งเป็นสัญญาณแห่งการยอมรับที่ชี้ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดศูนย์นั้นไม่เพียงพอกับความรุนแรงของภาวะวิกฤต

ในทางทฤษฎี การทุ่มเทปริมาณเงินอย่างมหาศาลจะไม่มีข้อตำหนิถ้ามาตรการนั้นมิได้มีผลมากจนส่งผลต่อปัญหาภาวะเงินเฟ้อ และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวหรือภาวะเงินเฟ้อเริ่มสูง ธนาคารกลางก็สามารถถอนมาตรการเหล่านั้นได้

ยกเว้นในทางปฏิบัติที่สหรัฐไม่เคยประสบมาก่อนว่าจะถอนสภาพคล่องที่อาจมีจำนวนมากถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาหนึ่งที่ยังไม่ทราบแน่ชัดได้รวดเร็วเพียงใด

อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ คือ นายพอล โวล์คเกอร์ เป็นผู้เตือนในประเด็นนี้และเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ภาคปฏิบัติในสมัยประธานาธิบดีเรแกนที่สหรัฐมีความเสี่ยงด้านภาวะเงินเฟ้อ

แต่ในขณะที่เริ่มมีการนำเอามาตรการ QE มาใช้นั้น อนาคตถือเป็นเรื่องอนาคต รัฐบาลติดปัญหาหนี้สาธารณะสูงในขณะที่เฟดมีข้อจำกัดว่าได้กระตุ้นจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำเกือบติดขอบศูนย์แล้ว การเข็นมาตรการ QE ออกมาจึงเป็นความดิ้นรนของเฟด

มาตรการนี้มิใช่นโยบายอัตราดอกเบี้ยเสียทีเดียว หากเป็นนโยบายราคาสินทรัพย์สูงซึ่งในทางทฤษฎี ศาสตราจารย์เบน เบอร์นันกี้ เชื่อว่าเมื่อสินทรัพย์เสี่ยงมีราคาสูงขึ้น ประชาชนจะรู้สึกรวยขึ้นและจะใช้จ่ายมากขึ้น

สินทรัพย์เสี่ยงที่เฟดเข้าซื้อตามโครงการ QE มีสองประเภท ประเภทแรกเป็นสินทรัพย์ที่ปกติเฟดซื้อขายอยู่แล้ว ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล (Treasuries) ซึ่งก่อนวิกฤตเคยถือครองไว้ประมาณ 500,000-800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี

สินทรัพย์เสี่ยงประเภทที่สองเป็นประเภทใหม่ที่ปกติมิได้ซื้อขาย เป็นหลักทรัพย์ของสถาบันเอกชนที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น บรรษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Agencies) ได้แก่หุ้นกู้หรือหลักทรัพย์ที่แปลงมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Morgage-Backed Securities, MBS) และพันธบัตรระยะยาวของสถาบันเหล่านี้ (Agency Debt)

ตั้งแต่เริ่มโครงการ QE ที่ประกาศมา 3 ครั้ง ทำให้สินทรัพย์ที่เฟดถือครองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2556 เฟดถือครองสินทรัพย์มากถึง 3.532 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ประมาณ 1.261 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น MBS ที่เหลือเป็นพันธบัตรระยะยาวของสถาบันที่มิใช่รัฐ (Agency Debt) 6.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และพันธบัตรรัฐบาล (Treasuries) 1.970 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแทบจะไม่มีพันธบัตรระยะสั้นหลงเหลืออยู่แล้ว

เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ระยะฟื้นตัวจนถึงระยะเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์และภาวะเงินเฟ้อ เฟดอาจต้องรีบขายสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้ออกมาในราคาแสนถูก ขึ้นอยู่กับความเร่งตัวของแรงกดดัน โดยขณะนี้แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อไม่มี เนื่องจากราคาสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัว (Deflation)

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวบางส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และการทะยานขึ้นของราคาหลักทรัพย์อย่างรวดเร็วมีส่วนสร้างแรงกังวลต่อเฟดว่าโครงการ QE อาจจะใกล้วาระที่จะต้องหยุดการขยายตัวลงก่อนเพื่อให้ภาคการเงินและราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีเวลาในการปรับตัวนานพอ

จากความกังวลนี้ การประกาศของท่านผู้ว่าการ ศาสตราจารย์เบน เบอร์นันกี้ ที่จะลดขนาดของ QE (Tapering) จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงได้ในอนาคต แต่มิใช่สัญญาณอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดคะเนกัน

ตลาดการเงินได้รับการทดสอบจากสัญญาณแล้วว่ามีผลอย่างรุนแรงต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหุ้น พันธบัตร ทองคำ โภคภัณฑ์ ตลอดจนค่าเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุน

และการคาดคะเนอัตราดอกเบี้ยที่เป็นผลข้างเคียงก็มีผลกระทบอย่างสำคัญยิ่ง

ในด้านหนึ่ง การลดถอนมาตรการ QE เป็นปรากฏการณ์ที่จำเป็นต้องเริ่มต้นเร็วเพื่อให้ระยะเวลามีเพียงพอในการขายสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งจะช่วยลดความไร้เสถียรภาพที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเงินในอนาคต เฟดนั้นย่อมต้องเน้นความราบรื่นในการแทรกแซงตลาดเงินด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาคส่วนที่เสพติดนโยบายการเงินแบบเอื้ออาทรของเฟดก็จะเคยชินและทนการเปลี่ยนแปลงได้ยากถ้าหากเฟดจะถอนโครงการ QE หรือปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น

ในขณะนี้ เฟดมีร่างแผนการลดถอน QE แล้ว แต่ในกรณีที่ยังไม่เปิดเผย เราอาจคาดคะเนได้ดังนี้

1 ระยะลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง จะเกิดขึ้นเร็วโดยจะลดการซื้อ MBS และพันธบัตรรัฐบาลในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งในปัจจุบันเฟดถือครองสินทรัพย์ทั้งสองประเภทเกินกว่าระดับก่อนวิกฤตในขนาดที่ใกล้เคียงกัน และในแผน QE3 เฟดซื้อ MBS เดือนละ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลเดือนละ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดเฟดประกาศจะเริ่มลดปริมาณซื้อในเดือนกันยายน 2556 เหลือเดือนละ 6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ระยะอันใกล้นี้จึงยังคงมีสภาพคล่องขยายตัวรวดเร็ว

1 ระยะระงับการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง เป็นระยะเตรียมการขายสินทรัพย์ออก จะยาวนานหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ว่ายังเกินพื้นฐานหรือไม่

1 ระยะขายสินทรัพย์เสี่ยง เป็นระยะที่สำคัญและอาจมีผลต่อเสถียรภาพของตลาดเงิน ซึ่งเฟดคงทยอยขายสินทรัพย์ที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่สุด ทั้งส่วนที่เป็น MBS และพันธบัตรรัฐบาล แต่เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลที่เฟดถือครองอยู่เกือบทั้งหมดเป็นพันธบัตรระยะยาวและมีอายุไถ่ถอนเฉลี่ยประมาณ 10 ปี การกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจึงเป็นเรื่องของมาตรการผ่านสภาพคล่องของธนาคารโดยตรง มิได้อยู่ที่มาตรการถอน QE

1 ในการถอนมาตราการ QE ควรมองเฟดว่ามีเป้าหมายที่ภาวะราคาสินทรัพย์เป็นสำคัญ ถ้าหากสูงเกินพื้นฐานการถอนมาตรการนี้จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด

1 แต่ถ้าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนและเริ่มมีความเสี่ยงสูงจากภาวะราคาสินค้า (ซึ่งยังไม่มีปัญหาในระยะเวลาอันใกล้นี้) การเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงินจะเกิดขึ้นและเฟดจะถูกบีบโดยสถานการณ์ให้ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอาจจะกำหนดผ่านอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (Discount Rate) ก่อน จากนั้นจึงเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นระหว่างธนาคาร (หรือ Fed Fund Rate) ซึ่งทั้งสองมาตรการนี้มีความสัมพันธ์กันและจะผ่านไปที่สภาพคล่องของระบบธนาคาร

สัญญาณจากเฟดเป็นสัญญาณที่ทางการไทยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในสหรัฐในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มสูงที่จะมาจากพื้นฐานของภาคเศรษฐกิจจริง

เมื่อค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐกลับเข้าสู่ทิศทางขาขึ้น เงินทุนจะต้องไหลออกจากเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่เคยให้ผลตอบแทนสูงคุ้มค่าความเสี่ยงมาก่อน

และประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่สมควรจะกังวลต่อทิศทางใหม่ที่อาจเกิดขึ้นนี้เป็นพิเศษ

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2013, 11:07:30 am
ลดหนี้ภาคครัวเรือน-ต้องช่วยกันหลายฝ่าย
ช่วยกันคิดช่วยกันคุย : ลดหนี้ภาคครัวเรือน ต้องออกแรงช่วยกันหลายฝ่าย : โดย...ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี
-http://www.komchadluek.net/detail/20130809/165329/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html#.UgcOEm0h-AI-
 

                             หนี้ครัวเรือนของไทยที่เกิดจากระบบสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้นเร็วจนมีขนาดร้อยละ 75 ของจีดีพี ในไตรมาสแรกปีนี้ จากร้อยละ 57 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 โดยโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตามการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ แบ่งหลักๆ ได้เป็นสินเชื่อเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 46 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ร้อยละ 29 และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคอื่นๆ (รวมสินเชื่อเงินสด) ร้อยละ 24  ซึ่งหากสังเกตการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเห็นได้ชัดว่าการกู้เพื่อมาอุปโภคบริโภคนั้นมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ

                             สถานการณ์หนี้ที่เน้นการอุปโภคบริโภคอย่างการซื้อรถ เครดิตการ์ด และสินเชื่อเงินสดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนใจให้เราต้องกลับมาคิดใหม่ว่าควรปรับการบริหารการใช้จ่ายใหม่หรือไม่ เนื่องจากสถิติช่วงประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา พบว่า การใช้จ่ายภาคเอกชนต่อหัวโดยประมาณว่าเป็นตัวแทนของครัวเรือนเพิ่มร้อยละ 5.4 ต่อปี

                             เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเงินฝากถัวเฉลี่ยต่อบัญชีที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท เพิ่มจาก 72,389 บาท เป็น  87,141 บาท ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนประกันชีวิตมีจำนวนเงินเอาประกันต่อกรมธรรม์เพิ่มจาก 194,745 บาท เป็น 230,880 บาท แสดงให้เห็นว่าการออมผ่านเงินฝากและการทำประกันชีวิต ซึ่งถือเป็นการออมขั้นพื้นฐานเพราะเข้าถึงได้ง่าย เพิ่มขึ้นในอัตราพอๆ กัน คือประมาณร้อยละ 3 ต่อปีเท่านั้น ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของการใช้จ่าย

                             เราจึงต้องหันกลับมาใส่ใจและปรับตัวก่อนที่เหตุการณ์จะสายเกินแก้ ไม่ว่าจะเป็นการลดการบริโภคในสิ่งที่เกินตัวหรือเกินความจำเป็น โดยหันมาเก็บออมให้มากขึ้น การที่เราจะประสบความสำเร็จดังกล่าวได้ ต้องมีการร่วมกันในทุกภาคส่วน กล่าวคือ ด้านสถาบันการเงินควรนำเสนอผลิตภัณฑ์การออมที่หลากหลายแก่ผู้บริโภคให้ออมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่ทางการควรพิจารณาและดำเนินการออกกฎหมายสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้เกิดการออมมากขึ้น

                             รวมถึงการสร้างวินัยการออมที่ดูเหมือนเป็นการบังคับ แต่จริงๆ แล้วมีความสมัครใจเป็นพื้นฐานอย่างกองทุนการออมแห่งชาติที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 11 พฤษภาคม 2554 แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดแรงจูงใจที่ผู้บริโภคสามารถรู้สึกและสัมผัสได้ว่า การเก็บออมคุ้มค่ากว่าการใช้จ่าย ระดับการออมก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและการก่อหนี้ก็จะลดลงโดยปริยาย

                             การออมของประชาชนจึงมีความสำคัญมากต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ทั้งในระยะสั้นและยาว เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมไทยที่จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะเราไม่ควรหวังพึ่งน้ำบ่อหน้ามากนัก เนื่องจากจะไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า เมื่อถึงเวลาต้องชะโงกหน้าเหนือบ่อแล้ว ท้ายสุดจะมีน้ำเหลือให้เราหรือไม่
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2013, 10:03:33 pm
9 ความคิด มหาเศรษฐีโลก บิลล์ เกตส์
-http://money.sanook.com/66102/9-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B9%8C/-



9 กฎแห่งความคิดของบิลล์ เกตส์ เจ้าพ่อแห่งไมโครซอฟต์ ที่เรานำมาให้อ่านกันนี้


พออ่านจบแล้วรู้เลยว่า เป็นวิถีชีวิตของคนที่จะเป็นมหาเศรษฐีจริงๆ นับว่าทุกนาทีของเขา มีค่ามากกว่าสิ่งใด

บางข้อที่อ่าน อาจจะขัดใจเราไปบ้าง มันอาจจะยากเกินไป ถ้าเป็นแบบนั้น ลองเลือกความคิดดีๆ ของมหาเศรษฐีโลก "บิลล์ เกตส์"

ไปลองทำตามดู มันน่าจะเปลี่ยนความคิด และการใช้ชีวิตของคุณได้ไม่น้อยเลยนะ


1.ชีวิตมันไม่มีความยุติธรรมหรอก - ทำใจซะ

2.โลกไม่สนใจหรอกว่าคุณจะภูมิใจกับตัวเองรึเปล่า โลกสนแต่คุณจะสามารถประสบความสำเร็จอะไรได้บ้างก่อนที่คุณจะภูมิใจกับตัวเอง

3.คุณไม่มีทางที่จะได้เงินเดือน 60,000 หมื่นเหรียญต่อปี หลังจากที่คุณเรียนจบหรอก

4.ถ้าคิดว่าครูที่สอนอยู่หนักแล้ว ลองมาเจอเจ้านายตอนทำงานดูสิ

5.ถ้าชีวิตคุณยุ่งเหยิง มันไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่คุณหรอก อย่ามัวแต่บ่นกับเรื่องที่เคยทำผิด แต่จงเอามันมาเป็นบทเรียน

6. ที่โรงเรียนคุณจะสอบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าคุณจะได้คะแนนที่พอใจ แต่ชีวิตจริงคุณมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว

7.ชีวิตจริงไม่เหมือนในโรงเรียน ไม่มีหยุดปิดเทอม ให้คุณได้หยุดยาวไปพักผ่อน

8.ในทีวีกับชีวิตจริงไม่เหมือนกัน ชีวิตจริงคนเค้าไม่มานั่งแช่ในร้านกาแฟทั้งวัน ก็ต้องมีงานทำทั้งนั้น

9.ทำตัวดีๆกับพวกเด็กเรียนเอาไว้ เพราะบางทีคุณโตขึ้นไปอาจจะต้องไปเป็นลูกจ้างของพวกเขาก็ได้

 

--------------------------------------------------------------------

บิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา

ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 19 ด้วยทรัพย์สิน 66,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดิม 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 22, 2013, 08:43:45 pm
กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน สาเหตุเพราะอะไร มาดูกัน
-http://home.kapook.com/view69303.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน สาเหตุที่กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน เพราะอะไร และควรทำอย่างไรเพื่อให้การกู้ซื้อบ้านผ่าน มาดูกัน

          แน่นอนว่าความใฝ่ฝันสูงสุดของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ก็คือ อยากมีบ้านเป็นของตนเองสักหลัง ซึ่งหนึ่งในวิธีทำให้ฝันเป็นจริงก็คือ การกู้ซื้อบ้านกับสถาบันการเงินนั่นเอง แต่เอ...เพราะเหตุใดบางคนให้ข้อมูลครบถ้วนหมดแล้ว ประวัติหนี้เสียไม่มี แต่กลับขอสินเชื่อไม่ผ่านซะอย่างนั้น แล้วทำอย่างไรจึงจะผ่าน วันนี้เรามีคำตอบมาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ

สำหรับสาเหตุที่กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน อาจมีเหตุผลหลายประการ เช่น

      นโยบายการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบการแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน
      ภาระหนี้ที่มีอยู่ และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ
      หลักประกันความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อ เช่น หลักทรัพย์ค้ำประกัน/ผู้ค้ำประกัน
      โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้มากหรือน้อย
      ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาของลูกหนี้

การตรวจสอบความสามารถชำระหนี้

1. สำรวจความสามารถในการผ่อนชำระหนี้
       
          ปกติแล้วการผ่อนชำระหนี้ ไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ในแต่ละเดือน เช่น ถ้าผู้ขอสินเชื่อมีรายได้ 12,000 บาทต่อเดือน จะสามารถผ่อนหนี้ได้ประมาณ 4,000 บาท

2. ตรวจสอบภาระหนี้เดิมรวมกับหนี้ที่จะขอใหม่ ว่ามีเยอะหรือไม่
       
          โดยนำยอดการผ่อนชำระหนี้เดิมและยอดหนี้ที่จะขอใหม่ต่อเดือนมารวมกัน แล้วดูว่ามีสัดส่วนเกินกว่า 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือนหรือไม่

ตัวอย่าง

          ผู้ขอสินเชื่อต้องการกู้เงิน 100,000 บาท ระยะเวลาชำระหนี้คืน 5 ปี ผ่อนชำระหนี้ (เงินต้นรวมดอกเบี้ย) ประมาณเดือนละ 1,667 บาท นอกจากนี้ ผู้ขอกู้ยังมียอดหนี้เดิมที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนอีก 1,700 บาท ดังนั้นเมื่อคำนวณภาระหนี้ทั้งสิ้นที่ต้องผ่อนต่อเดือนยังไม่เกิน 4,000 บาท ถือว่าผู้ขอกู้ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ได้

          อย่างไรก็ดี หากพบว่า รายได้สุทธิของคุณไม่เพียงพอที่จะกู้ คุณอาจจะหา "ผู้กู้ร่วม" มาช่วยทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระมีมากขึ้น หรืออาจจะลดภาระหนี้ของคุณ เช่น ไปปิดบัญชีบัตรเครดิต บัญชีเงินกู้สหกรณ์ หรือไม่ก็ลดขนาดและราคาของบ้านลงมาให้สอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนชำระ

          ทั้งนี้ หากท่านต้องการตรวจสอบภาระหนี้สินที่ตนมีกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ว่ามากน้อยแค่ไหน สามารถติดต่อขอทราบรายละเอียด และตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองได้ที่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ โดยเลือกหัวข้อ สำหรับเจ้าของข้อมูล


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
bot.or.th
ghbhomecenter.com
ai-premiumcondo.com
home.thaibizcenter.com

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 08, 2013, 08:49:19 pm
รถคันแรก-บัตรเครดิต ทำคนเป็นหนี้พุ่ง แนะถือเงินรอลงทุนของถูก
-http://hilight.kapook.com/view/90848-


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม


             ประธานชมรมคนออมเงิน เผย ยอดคนเป็นหนี้พุ่ง หลังแห่รูดบัตรเครดิต-ซื้อรถคันแรก แนะถือเงินสด รอซื้อของถูก

             นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยวันนี้ (8 กันยายน 2556)  ว่า จำนวนประชาชนที่มีหนี้สิน มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากภาระการซื้อรถยนต์ ในโครงการรถยนต์คันแรก รวมถึงการนำเงินในอนาคตจากบัตรเครดิตมาใช้จ่าย ทำให้มีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินออม ซึ่งส่วนตัวมีหลักการใช้จ่าย คือ จะซื้อของที่มีความจำเป็นเท่านั้น ส่วนสิ่งของที่ไม่จำเป็น ก็จะหลีกเลี่ยง

             พร้อมกันนี้  นายสุวรรณ ยังได้กล่าวถึงสินทรัพย์ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเงินในกระเป๋า ด้วยว่า ตอนนี้อยากให้นักลงทุนหรือประชาชนถือเงินสดมากกว่าที่จะนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพราะอนาคตเชื่อว่า จะมีสินทรัพย์ราคาถูกออกมาขายเป็นจำนวนมาก และถึงเมื่อนั้นก็ค่อยนำเงินมาลงทุน


INN News

http://hilight.kapook.com/view/90848 (http://hilight.kapook.com/view/90848)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 08, 2013, 08:51:10 pm
มาย้ำกัน สำหรับสูตรทางการเงิน ที่ต้องใข้ เพื่อตัวเราเอง

รายได้ - เงินออม = ค่าใช้จ่าย

เป็นสูตรที่ใช้ต่อเดือน


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 28, 2013, 09:00:02 am
คนกรุงกว่าครึ่งชำระบัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำ
-http://money.sanook.com/163108/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3/-


เอแบคโพล เผย พฤติกรรมคนเมืองเกินครึ่งนิยมถือบัตรรูดปื๊ด 2 ใบขึ้นไป และมักใช้ควบคู่กับบัตรเงินสด

โดยเฉพาะกลุ่ม "เจนบี" และผู้ถือบัตรครึ่งหนึ่งเลือกชำระยอดใช้บัตรในอัตราขั้นต่ำเท่านั้น

(25ก.ย.56) น.ส.ปภาดา ชินวงศ์ ผู้จัดการโครงการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง "พฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตของคนเมือง" ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,205 ตัวอย่าง

พบว่าตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.5 ระบุจัดสรรรายรับ รายจ่ายแต่ละเดือนไปกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ขณะที่ร้อยละ 29.9 ใช้เงินเดือนชำระหนี้สิน และร้อยละ 17.6 เก็บเป็นเงินออม
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงการใช้บัตรเครดิต พบกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.4 มีการถือบัตรเครดิต 2 ใบขึ้นไป และตัวอย่างร้อยละ 88.2 มักใช้บัตรเครดิตควบคู่กับบัตรสินเชื่อเงินสด

โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 25-33 ปี หรือ Generation Y เป็นกลุ่มที่ใช้บัตรเครดิตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยคิดเป็นร้อยละ 46.7 และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 40-60 ปี หรือ Generation B เป็นกลุ่มที่มีการใช้บัตรเครดิตควบคู่กับสินเชื่อเงินสดสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ

โดยคิดเป็นร้อยละ 52.9 ส่วนการชำระหนี้บัตรเครดิต พบว่าผู้ถือบัตรครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50.4 เลือกชำระยอดบัตรเครดิตในอัตราขั้นต่ำเท่านั้น
 
น.ส.ปภาดา กล่าวว่า ปัจจุบันคนเมืองมีความนิยมใช้บัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Y โดยมักจะใช้บัตรเครดิตควบคู่กับบัตรสินเชื่อเงินสด ซึ่งปัจจุบันธนาคาร และสถาบันการเงิน

มักร่วมกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ในการจัดส่งเสริมการขายขึ้น สำหรับลูกค้าที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต มากกว่าการใช้เงินสด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาระหนี้สินได้


http://money.sanook.com/163108/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3/ (http://money.sanook.com/163108/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3/)

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 29, 2013, 10:14:40 am
เงินเฟ้อ คืออะไร!!
-http://club.sanook.com/8732/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-

วันนี้จะขอพูดเรื่องที่ฟังเผินๆ เหมือนจะดูยากสักนิดนึงค่ะ แต่จริงๆ แล้วจะบอกเลยว่ามันไม่ได้ยากเลย และก็ไม่เกินความสามารถของประชาชนคนธรรมดา พ่อบ้าน แม่บ้าน แน่นอนค่ะ และก็คิดว่าคำศัพท์บริหารพื้นฐานเหล่านี้ ก็มีความจำเป็นสำหรับเราๆ ที่ต้องรู้จักความหมายกันไว้บ้างก็ดี เวลาเค้าพูดกันจะได้เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น และก็จะได้ไม่งงกันค่ะ

หลายคน คงเคยได้ยิน “ภาวะเงินเฟ้อ-ภาวะเงินฝืด“ อยู่บ่อยครั้งใช่ไหมคะ แต่หลายคนคงยังไม่ทราบความหมายว่า “เงินเฟ้อ” คืออะไร ซึ่งในวันนี้เรามีความหมายของ “เงินเฟ้อ” มาบอกกันค่ะ

เงินเฟ้อ คือ

ภาวะเงินเฟ้อ (inflation)  คือ ภาวะการณ์ที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่เพียงเล็กน้อยเป็นปกติก็จะสร้างสิ่งจูงใจแก่ผู้ประกอบการ แต่หากเพิ่มขึ้นมากและผันผวนก็จะสร้างความไม่แน่นอนและก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการครองชีพของประชาชน และการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ในประเทศไทยเงินเฟ้อวัดจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคา ผู้บริโภค ซึ่งเป็นดัชนีที่จัดทำโดยกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผู้บริโภคซื้อหาเป็นประจำ โดยน้ำหนักของสินค้าและบริการแต่ละรายการกำหนดจาก รูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนซึ่งได้จากการสำรวจ

ตามหลักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ การเกิดภาวะเงินเฟ้อมาจาก 2 ปัจจัยหลัก

ปัจจัยแรก คือ แรงดึงทางด้านอุปสงค์ เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจมีความต้องการปริมาณสินค้าและบริการมากกว่าที่มี อยู่ในขณะนั้นๆจึงดึงให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาล การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน

ปัจจัยที่สอง เกิดจากด้านต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ การเพิ่มกำไรของผู้ประกอบการ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเพิ่มไปตามภาวะ ตลาดโลก หรือผลของอัตราแลกเปลี่ยน

ซึ่งถ้าสรุปง่ายๆ เป็นภาษาธรรมดาๆ ก็จะมีความหมายประมาณว่า  “เวลาจะที่เราจะจับจ่ายใช้สอยหรือซื้ออะไร อาจได้ของที่แพงขึ้น แต่ค่าเงินที่มีอยู่นั้นมีมูลค่าน้อยลงค่ะ ซึ่งอาจจะซื้อของได้น้อยลง หรือต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ของปริมาณที่เราต้องการเท่าเดิม”  ซึ่งภาวะเงินเฟ้อนี้อาจทำให้เราต้องประหยัดมากขึ้น จากที่ข้าวของมีราคาแพงขึ้นนั่นเองค่ะ

เห็นไหมคะว่าจริงๆแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวและยากเกินไป ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเราทุกคนที่จะต้องเรียนรู้ไว้  แล้ววันหลังเราจะมาบอกความหมายของ “เงินฝืด” กันต่อในโอกาสหน้ากันค่ะ อย่าลืมมาติดตามกันต่อนะคะ

http://club.sanook.com/8732/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3 (http://club.sanook.com/8732/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 11:29:12 am
เงินฝืด คืออะไร!!
-http://club.sanook.com/8735/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-

กลับมาอีกครั้งค่ะ หลังจากครั้งที่แล้วเราพูดถึงเรื่อง “เงินเฟ้อ”  ว่า “เงินเฟ้อ” นั้น คืออะไร ซึ่งครั้งที่แล้วเราได้สรุปความหมายของ “เงินเฟ้อ” ไว้ว่า  “การที่สินค้านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นหรือแพงขึ้น แต่มูลค่าเงินที่เรามีอยู่นั้นเท่าเดิมหรือลดลงค่ะ” นั่นก็หมายถึงว่า เราจะซื้อของแพงขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งวันนี้เราก็จะเรียนรู้ความหมายของคำว่า “เงินฝืด” กันต่อค่ะ ว่าเงินฝืดคืออะไร แล้วมีความหมายว่าอะไรกันต่อค่ะ

เงินฝืด คืออะไร

ภาวะเงินฝืด หรือเงินฝืด (Deflation) เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากอุปสงค์รวมมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าเพื่อที่จะทำให้ขายได้ และลดการผลิตลงเพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้น้อย ผลที่ตามมาจะก่อให้เกิดผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจเพราะการจ้างงานจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะเงินฝืด อำนาจซื้อของบุคคลทั่วไปจะสูงขึ้นด้วย

เงินฝืด เป็นภาวะตรงข้ามกับ ภาวะเงินเฟ้อ มีปัจจัยการเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุปทาน การหดตัวของอุปสงค์ การลดลงของต้นทุนจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน หรือมาตรการปรับลดภาษี และการที่ปริมาณเงินหมุนเวียนมีไม่เพียงพอต่อขนาดของระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น

http://club.sanook.com/8735/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3 (http://club.sanook.com/8735/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 04:31:34 pm
สูตรคำนวณราคาทองไทย และที่มา
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2008, 01:24:26 pm »

-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/275-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2/-


หลายท่านสงสัยที่มาของสูตรคำนวณราคาทองคำที่ใช้กัน จริงๆก็เคยตอบไปแล้ว แต่ก็หล่นๆไปตามกาลเวลา วันนี้ลอกกลับมาปรับปรุงให้อ่านกันใหม่ และปักหมุดไว้เลย เผื่อท่านที่มาทีหลังจะได้ไม่ต้องไปหาขุดขึ้นมาอีก

ราคาทองไทยเป็นทองชนิด 96.5% เปอร์เซนต์ และประกาศที่น้ำหนัก 1บาท ครับ
ส่วนของ Newyork เป็นการประกาศทองชนิด 99.99% ที่น้ำหนัก 1 ออนซ์
การคำนวณจะใช้สูตรนี้ครับ

ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
โดย Premium เป็นค่าธรรมเนียมอะไรนี่แหละครับ เท่ากับ 1 เหรียญ ( บางทีก็ 2 เหรียญ)

อย่างตัวอย่างสดๆ (22.5.51 13.13 น.) ที่ ThaiGoldRealTime goldspot 932.7 USD/THB 31.95 คำนวณได้ 14107 บาท

ลองเข้าสูตรเป็น
ราคาทองไทย = (( 932.7 +1 ) x 32.148 x 31.95 x .965 )/65.6
ราคาทองไทย = 14107.68 บาท สมาคมประกาศ 14100-14000 (ขึ้นสดๆเลย หุหุ)

ปล. รวบสูตรข้างบนง่ายๆเข้าก็เอา 32.148x .965 /65.6 มารวมกันได้เป็น 0.4729 หรือ 0.473
ได้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = ( Spot Gold + 1 ) x THB x 0.473 ก็ได้เช่นกันครับ

ส่วนตัวเลข ตัวเลข 32.148 และ 65.6 มาจากไหน
เพราะว่าปกติ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
และ 15.244 กรัม ( 1 บาททองคำ ) เท่ากับ 0.49 ออนซ์

solve ออกมาได้ว่า

SpotGold ของฝรั่งเป็นราคาทอง 9999 และเป็น USD ต่อออนซ์ครับ

ราคา ทอง9999 ต่อ กก = (SpotGold +Premium) x นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก
นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508 ออนซ์

แปลงไปเป็นทองชนิด 100% ก่อนครับ ดังนี้

นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508x0.9999
= 32.14758
= 32.148 .......... ที่มาของเลขที่สงสัยครับ

ราคาทอง100% ต่อ กก = (SpotGold + Premium) x นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก
= (SpotGold + Premium) x 32.148 ..................................(1)

แปลง นน. จากออนซ์เป็นทองไทย 1 บาท

หา นน ทอง100% ของทอง 1 บาทไทย
ทอง965 1 บาท = 15.244g หรือ 0.015244 กก หรือ 1/65.6 กก
ทอง100%1 บาท = 0.965/65.6 กก ............................................................(2)
= 0.01471 กก
ราคาทองไทย 96.5% 1บาท ได้จาก (1) x THB x (2) ก็คือสูตรนี้

= (SpotGold + Premium) x 32.148 x THB x 0.965/65.6
หรือก็คือสูตรที่ใช้กัน = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2013, 06:07:54 am
ลูกหนี้บัตรเครดิตอ่วม ข้าวของแพง รายได้ไม่พอจ่าย แห่รีไฟแนนซ์เพียบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2556 23:51 น.
-http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125684-

ลูกหนี้บัตรเครดิตอ่วม ข้าวของแพง รายได้ไม่พอจ่าย แห่รีไฟแนนซ์เพิ่ม แก้ปัญหาเงินขาดมือ
       
       นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานชมรมติดตามหนี้ที่เป็นธรรม และกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ เปิดเผยว่า มีลูกค้ามาใช้บริการปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) เพิ่มกว่า 100% จากเดิมที่เคยปล่อยกู้เฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านบาท ก็เพิ่มเป็นเดือนละ 20 ล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ยลูกค้าแต่ละรายจะกู้เงินประมาณ 2-3 แสนบาท
       
       ทั้งนี้ บริษัทจึงปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เป็น 200 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะปล่อยได้ 120 ล้านบาท
       
       “ยอมรับว่าการติดตามหนี้ในช่วงนี้ยากลำบากมาก ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่แพงมากกว่าปัญหาจากน้ำท่วม ทำให้ลูกค้าเงินขาดมือ” นายประชา กล่าว
       
       สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาขอรีไฟแนนซ์ จะเป็นลูกค้าที่บริษัทซื้อหนี้จากสถาบันการเงินมาบริหาร รวมทั้งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีประวัติการค้างชำระหนี้อยู่แล้ว จึงไม่สามารถไปกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2013, 06:05:31 am
5 วิธีทำให้รวยเร็ว

-http://money.sanook.com/164779/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7/-

ความฝันหนึ่งของคนที่ทำงานประจำคืออยากมีเงินเก็บเยอะๆ อย่างน้อยควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ทำผิดกฎหมาย วันนี้เราจึงมี 5 วิธีทำให้รวยเร็วมาฝาก

1. เป็นเจ้าของกิจการ ใครๆก็รู้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการ ย่อมต้องมีรายได้ดีกว่าทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ความยากมันอยู่ตรงที่จะทำธุรกิจอะไร และทำอย่างไรให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดและมีกำไรนี่สิเรื่องใหญ่ ซึ่งเรามีคำแนะนำคือ

  - สำรวจดูว่ามีงานอดิเรกหรือความชำนาญอะไรเป็นพิเศษ เช่น ทำขนม ทำอาหาร ความเก่งในสิ่งพวกนี้อาจนำมาสู่การดำเนินธุรกิจขนาดย่อมๆก็ได้
  - มองดูรอบๆ ตัว เช่นในชุมชน มีบริการอะไรบ้างที่คนในชุมชนต้องการ เช่น มีเด็กเล็กๆ ที่พ่อแม่อยากจะได้พี่เลี้ยงมาดูแล เรื่องเหล่านี้สามารถนำมาทำเป็นธุรกิจได้ 
  - คำนวณดูว่าถ้าต้องเริ่มทำธุรกิจต้องใช้เงินสักเท่าไหร่
  - ทำธุรกิจต้องคิดด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้คนอื่นทราบ อาจจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์

2. เป็นผู้บริหารระดับสูง วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะประสบการณ์ และต้องพบกับการแข่งขันที่สูงมาก เพราะคนทำงานประจำก็เหมือนกับพีระมิด ที่ตรงยอดจะเล็กแต่ฐานใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คุณสามารถทำได้ถ้ามีความพยายามในการพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องความรู้ บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ หาความถนัดของตัวเองให้เจอ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินเดือนสูงๆ ซึ่งผู้บริหารที่มีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบาย

3. เป็นนักขายตรง เมื่อเอ่ยถึงขายตรง หลายคนอาจเบือนหน้าหนี แต่ความจริงแล้วการขายตรง เช่นประกันชีวิต สามารถสร้างคนที่ไม่มีอะไร ให้ขึ้นมามีทุกอย่างได้จริง และเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถสูงมาก งานขายตรงอย่างประกันชีวิต เครื่องสำอางหรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30% ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30% ของค่านายหน้าของลูกทีมอีกที ซึ่งจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ถ้าทีมงานสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว

4. เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ วิชาชีพเฉพาะทางก็สามารถสร้างความร่ำรวยได้เช่นกัน เช่นแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความ ,สถาปนิก, ศิลปิน อาชีพเหล่านี้ถ้ามีผลงานโดดเด่นและมีฝีมือจริง รายได้จะสูงมาก 

5. เป็นนักลงทุน ข้อนี้สามารถทำได้แม้จะเป็นพนักงานประจำ แต่ต้องฉลาดในการเลือกลงทุน ตอนนี้มีหลายคนที่ทำงานประจำไปด้วย แต่ลงทุนในหุ้นไปด้วย ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมที่ดี แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดต้องศึกษาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจากที่จะได้เงินงอกเงยขึ้นมา เงินนั้นอาจจะหายวับไปกับตาก็ได้ 

ทั้งหมดเป็นไอเดียที่จะทำให้คนทั่วไปขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และความมุ่งมั่น ซึ่งจะเป็นหลักสำคัญผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้

http://money.sanook.com/164779/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7/ (http://money.sanook.com/164779/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 17, 2013, 09:43:01 pm
กว่าจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาท ประสบการณ์ที่บอกเล่าจากคนล้มแล้วลุก
-http://hilight.kapook.com/view/92400-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            เงินทองเป็นของหายาก เราทุกคนล้วนได้ยินคำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นจริง ๆ สักที เพราะเมื่อเงินผ่านมือเข้ามาทีไรก็มักจะปล่อยให้มันผ่านออกไปแบบง่ายดาย จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลับกลายเป็นว่าใช้เงินเกินตัวไปซะแล้ว คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวถึงหลักแสน และนั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่า "คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของเงินหนึ่งบาท ก็คือตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั่นแหละ" ลองไปดูประสบการณ์เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของเขากันค่ะ...


คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ

            วันนี้เหนื่อยกับงานครับ เลยนั่งนิ่ง ๆ ที่ออฟฟิศ เปิดเว็บอ่านกระทู้เก่า ๆ ในเว็บหูฟังที่เคยบ้าอยู่เป็นปี ๆ อ่านแล้วก็มีสายจากเพื่อนคนหนึ่งเข้ามา โทรมาขอยืมเงินซึ่งก็บอกไปตามความจริงว่ามี..แต่ให้ไม่ได้ เพราะของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ก็จบไป

            แต่หลังจากนั้นมานั่งนึกถึงตัวเองเมื่อสักสิบปีผ่านมาแล้วครับ ผมเองเคยเป็น "คนล้มเหลว" มาก่อน แต่ก่อนก็ผ่านมันมาได้ ก็เลยอยากจะแชร์ ให้หลาย ๆ ท่านได้อ่านกันครับ ลองอ่านเล่น ๆ ผ่าน ๆ ตาดูละกันครับ

            คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ ผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อน สมัยหาเงินเองได้ ก็เที่ยวไปเรื่อย กินเหล้า ติดเด็กคาราโอเกะ (ของเขาดีจริง ๆ) สมัครบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ยิ่งมียิ่งรูด พอถึงวันหนึ่ง มันเหมือนคนเพิ่งตื่น เพิ่งได้สติ ทำไมกรูมีหนี้ตั้งสองแสนกว่าบาทวะ ไปทำอะไรมาบ้างวะเนี่ย แทบไม่เป็นผู้เป็นคน

            โดนเค้าทวงทั้งทางโทรศัพท์ มาหาที่บริษัท โอย สารพัดจะอาย ไหนจะโดนเพื่อนรักกันโกงเงินที่กู้มาจะทำธุรกิจไปอีก จำได้ไหมสมัยก่อนมีการหิ้ว nokia 8210 มาจากฮ่องกง ราคาแบบแจ่มมาก ผมโดนเพื่อนโกงไปอีกแสน สรุปเบ็ดเสร็จ เป็นหนี้เกือบสามแสน ตอนนั้นกินเงินเดือนหมื่นสี่ ประมาณนี้ เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

            คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาตั้งหลายครั้ง ผมเก็บตัวอยู่คนเดียวเกือบปี ทนไม่ไหว ไปสารภาพกับพ่อแม่ผม ท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลย แค่บอกว่า "คนเราไม่มีทางที่มันจะสำเร็จไปได้ทุกอย่าง มีเรื่องให้เจ็บบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นบทเรียน พ่อกับแม่ไม่มีเงินก้อนจะช่วยใช้หนี้ให้หรอก แต่พ่อกับแม่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ ครั้งที่ลูกล้มลงอีก"

            ผมก็ได้สติว่าไม่มีเวลาให้เรามานั่งเศร้าสนิมสร้อยอีกแล้ว ผูกเองก็ต้องแก้เอง ผมก็เลยมานั่งวางแผนเลยว่ามีเงินเข้าเท่าไหร่ รายจ่ายอันไหนต้องจ่ายก่อนหลังอย่างไร ใช้เงินทุกอย่างให้มีประโยชน์ที่สุด อย่าไปหนีคนทวงหนี้ โทรไปหามันแทนบอกว่า มาช่วยกรูคิดหน่อยว่าจะใช้หนี้กันยังไง เมื่อก่อนเคยแต่หลบ ไม่เคยจ่าย ตอนนี้มาเลย จะให้เดือนละพันจนกว่าจะหมด เอาไหม

            เอาทำสัญญากัน อันไหนประนอมหนี้ได้ ก็ว่ากันไป รายจ่ายส่วนตัวที่เคยใช้ก็ตัดออกให้หมด ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าโทรศัพท์หาแฟน (เลิกไปซะหากเขาไม่เข้าใจเรา) ค่าเสื้อผ้า ค่าภาษีสังคมต่าง ๆ ตอนนั้นผมก็เป็น engineer อยู่ คนนับถือก็เยอะ แต่ผมก็ต้องบอกไปตรง ๆ ว่า อย่าให้ซองผมเลย ผมไม่มีตังค์ใส่ ขอไปช่วยลงแรงแทนแล้วกัน

            อายก็อาย แต่ก็ต้องทำ ลูกน้องมาขอยืมตังค์ ร้อยนึงยังไม่มีให้มันเลยครับ เอาข้าวมากินเองทุกวัน ให้แม่ทอดไข่ แกง เกิง อะไรก็แค่กินได้ อายไหมที่ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว อายครับ แต่ก็ต้องทำ จากที่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ก็ปั่นจักรยานเอา ประหยัดวันละยี่สิบ เดือนหนึ่งก็หกร้อยนะเอ้า

            เดินผ่านร้านลูกชิ้นของโปรด ไม้ละห้าบาท ยังซื้อกินไม่ได้เลย เพราะในกระเป๋าเอามาเฉพาะค่ารถเมล์ สามบาทห้าสิบเท่านั้น ผมมีเงินเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึงอยู่ ก็เอามาใช้ซะ ตอนจ่ายค่ารถเมล์แรก ๆ ก็อาย แต่ก็ต้องทำ

            ผมบังคับตัวเองไม่ให้มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่อย่างนี้ สองปีครับ หนี้ผมเหลือห้าหมื่นกว่าบาท พอดีถูกหวยไปได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมสองเท่า ทีนี้ทุกอย่างก็สบายขึ้นครับ สองเดือนต่อมาหนี้ก็หมด คิดในใจก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นมาเงินทุกสตางค์ที่ผมมีผมก็ใช้อย่างรู้คุณค่ามาตลอด บัตรเครดิตยังใช้อยู่ แต่จ่ายเต็มทุกครั้ง ไม่ปล่อยให้มันได้ดอกเบี้ยเราอีก

            จนทุกวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้มีโอกาสผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีต ผมก็คงไม่รู้ค่าของเงิน เหมือนในปัจจุบันนี้หรอกครับ ผมภูมิใจในตัวเองมาก ไม่ได้ภูมิใจที่ใช้หนี้หมด แต่ภูมิใจที่ทำให้พ่อกับแม่ ปลื้มใจที่เราเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ ผมก็เก็บเรื่องนี้เป็น masterpiece ไว้คอยสอนน้อง สอนหลาน พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะใช้เงินอย่างไรมันขึ้นอยู่กับเรา ชีวิตเราเราจะเลือกซ้ายหรือขวามันก็อยู่ที่เรา เลือกทางเดินให้เหมาะสมกับตัวเองดีที่สุด

            แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ อยากได้อะไรก็คงจะต้องเก็บเงินก่อน ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองเดือน ไม่ซื้ออย่างอื่นที่เราอยากได้ หรือไปหางานพิเศษทำ มีหลายคนในนี้ที่เก็บตังค์จากการทำงาน KFC ไปซื้อหูฟังที่อยากได้ ทำอย่างนั้นท้องเราก็ไม่ต้องหิว แถมยังภูมิใจที่ได้มาด้วยความพยายามอีกต่างหาก ผมขอโทษหากทำให้กระทู้มันหดหู่ไปด้วยเรื่องความหลังของผม แค่อยากจะเอาประสบการณ์มาให้ท่านอื่น ๆ ได้เป็นบทเรียน หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ...

            "ไม่มีทางที่วันของเรามันจะมืดไปตลอดหรอก สักวันมันต้องสดใสแค่เราอดทนรอแค่นั้นเอง"


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 08, 2013, 09:30:52 pm
5 เรื่องที่คนรวยคิดไม่เหมือนกับคนทั่วไป

-http://money.sanook.com/166896/5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B/-

มาดูกันว่า 5 เรื่องที่คนรวยคิดไม่เหมือนกับคนทั่วไป นั้นมีอะไรกันบ้าง

1. คนทั่วไปเน้นการออม คนรวยเน้นสร้างรายได้ - ในปี 2012 คนอเมริกันโดยเฉลี่ยมีรายได้ปีละ $38,000 ถ้าออมได้ 10% สิ้นปีเราก็จะมีเงินเหลือ $3,800 แต่เราจะไม่รวยขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมาจากการทำแบบนั้น (เราต้องหารายได้ให้มากขึ้น) ... ความจริงแล้วคนรวยก็ออม แต่เขาเน้นที่การสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นก่อน ซึ่งสัดส่วนของเงินออมจะสูงขึ้นมาก (โดยเฉพาะถ้าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่น้อยลง)

2. คนทั่วไปมองการเริ่มธุรกิจส่วนตัวว่าเป็นความเสี่ยง แต่คนรวย (และคนที่มีโอกาสรวย) จะมองเป็นเส้นทางสู่ฐานะที่มั่งคั่ง - คนทั่วไปมองเงินมองด้วยสมการเส้นตรง เช่น สมมติทำงานได้ชั่วโมงละ $X ถ้ายอมทำงานเยอะขึ้น ก็จะได้เงินมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่มีการศึกษาดี ก็คิดว่าการเรียน MBA จะช่วยให้ได้เงินมากขึ้น (ก็จริง แต่ก็เป็นการมองแบบเส้นตรงเช่นกัน คือให้เวลากับการเรียน เพื่อสุดท้ายจะเอาวุฒิไปต่อรองรายได้ให้มากขึ้น) ... ส่วนคนรวยจะมองที่ไอเดีย โดยเฉพาะไอเดียที่จะช่วยแก้ปัญหา (และตอบโจทย์ความต้องการ) ของผู้คนได้ และทำเงินจากเรื่องเหล่านี้ ... แต่ถึงกระนั้น คนรวยก็ไม่ได้กระโดดเข้าใส่ไอเดียอย่างไม่ลืมหูลืมหา เขาจะศึกษาความเสี่ยงอย่างดีก่อนที่จะลงมือทำ

3. คนทั่วไปมองเงินทองด้วยอารมณ์ แต่คนรวยจะมองด้วยเหตุผล - คนทั่วไปมักจะกลัวที่จะขาดทุน/เสียเงิน เมื่อจะทำอะไรใหม่ ๆ แต่คนรวย (และที่มีโอกาสรวย) จะมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่นำมาซึ่งทางเลือกและโอกาส

4. คนทั่วไปตั้งเป้าหมายอย่างเลื่อนลอย แถมยังผัดวันประกันพรุ่ง ส่วนคนรวยจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและยืดมั่นจริงจังกับเส้นตาย - คนทั่วไปอาจลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างแบบสะเปะสะปะ แต่คนรวยจะจดจ่อจริงจังอยู่กับธุรกิจเพียงอย่างเดียวที่กำลังปลุกปั้นอยู่ในตอนนั้น และทำทุก ๆ ทาง (ขอให้เป็นทางที่ชอบธรรม) เพื่อให้สำเร็จตามเวลาที่ตั้งใจไว้ (ถ้าทำงานแรกไม่สำเร็จซะที ยอมผัดไปเรื่อย ๆ ก็จะปิดโอกาสในการเริ่มทำงานต่อ ๆ)

5. คนทั่วไปใช้ชีวิตเกินฐานะที่แท้จริง แต่คนรวยใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะ - ถึงจะมีคนรวยมาก ๆ บางราย ที่แสดงการใช้ชีวิตอย่างสุดหรู (To be fair, อาจจะต่ำกว่าฐานะจริง ๆ ของเขาก็ได้ เช่น มีเงินพันล้านเหรียญ แต่ยังนั่งเฟิร์สคลาส ซึ่งก็หรูแล้วสำหรับคนทั่วไป ส่วนอีกคนมีร้อยล้านเหรียญ ก็มี private แล้ว) ... แต่คนรวยโดยทั่วไป ใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะที่แท้จริง ... คนรวยส่วนใหญ่ (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด - เพราะเราจะเห็นแต่ชีวิตของคนรวยบางส่วนที่เขาแสดงให้เห็นต่อสาธารณะ ส่วนคนรวยที่รวยเงียบ ๆ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ไม่ใช่ไม่มีอยู่) จะไม่ไหลไปตามกระแสวูบวาบ พวกเขาต้องการอิสระทางการเงิน และจะไม่เป็นทาสของสิ่งต่าง ๆ

เนื้อหานี้แปลมาจากบทความ "5 Ways Rich People Think Differently From the Rest of Us" ของ Michele Lerner ซึ่งเป็นการสรุปจากหนังสือ "How Rich People Think" ของ Steve Siebold

Credit : Thailand investment forum


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 09, 2013, 06:10:39 pm
สังเกตก่อนใช้...ตู้เอทีเอ็มปลอดภัย ไร้เครื่องสกิมเมอร์ฉกข้อมูล
-http://hilight.kapook.com/view/93328-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวมิจฉาชีพลอบติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม เพื่อขโมยข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มของผู้ใช้งานแล้วกดเงินออกไปใช้เอง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเงินไปฟรี ๆ อย่างน่าเจ็บใจ แต่ถ้าเราลองสังเกตดูตู้เอทีเอ็มที่เราจะเข้าไปใช้ทำธุรกรรมสักนิด ก็อาจพอช่วยป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของกลุ่มโจรไฮเทคเป็นรายต่อไปได้ แน่นอนว่ากระปุกดอทคอมมีคำแนะนำมาฝากกันด้วย


ก่อนอื่นมารู้จักเครื่องที่มีชื่อว่า "สกิมเมอร์" (Skimmer) กันก่อน

            สกิมเมอร์ เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก ๆ ที่คนร้ายสร้างขึ้นด้วยการนำแถบแม่เหล็กวงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สามารถพกพาได้ และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ จากนั้นนำไปติดตั้งไว้ที่ช่องรูดบัตรของตู้เอทีเอ็ม

            เมื่อมีคนนำบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิตมารูด หรือสอดบัตรเข้าช่องเสียบบัตร แล้วกดรหัส ตัวแถบแม่เหล็กของสกิมเมอร์ก็จะบันทึกข้อมูลแล้วส่งไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ หรืออาจส่งข้อมูลต่อไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของมิจฉาชีพเลยก็ได้ จากนั้นหน้าจอเอทีเอ็มอาจแสดงข้อความว่า "ขออภัย เครื่องไม่สามารถทำรายการได้" หรือ "ท่านทำรายการเรียบร้อยแล้ว กรุณารับเงิน" ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องอ่านบัตรปลอมที่ใช้

            เมื่อมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มและรหัสผ่านไปแล้ว ก็จะนำข้อมูลนั้นไปสร้างบัตรปลอมที่มีข้อมูลในแถบแม่เหล็กเหมือนกับบัตรจริง ซึ่งสามารถนำไปกดเงิน หรือรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรจริงทุกประการ ทั้งนี้ คนร้ายบางคนอาจไม่นำข้อมูลไปทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลไปขายต่อในอินเทอร์เน็ตอีกทอดก็มี


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าตู้เอทีเอ็มตู้ไหนปลอดภัย ไร้สกิมเมอร์?

            เนื่องจากมิจฉาชีพมักซ่อนเครื่องสกิมเมอร์ไว้อย่างแนบเนียนมาก ดังนั้น การตรวจสอบอาจทำได้ไม่ง่ายนัก แต่อย่างน้อยก็มีแนวทางที่จะช่วยให้เราสังเกตเบื้องต้น เพื่อดูว่าตู้เอทีเอ็มนั้นเสี่ยงต่อการใช้งานหรือไม่ นั่นก็คือ

            ตรวจดูสิ่งผิดปกติรอบตู้เอทีเอ็มก่อนใช้งาน เพื่อดูว่ามีกล้องตัวเล็กซุกซ่อนอยู่หรือไม่ โดยมิจฉาชีพอาจติดกล่องใส่ใบปลิวไว้บริเวณเครื่อง เพื่อใช้ซ่อนกล้อง ถ้าพบเห็นกล่องใส่ใบปลิวแปลก ๆ ไม่ควรใช้เครื่องดังกล่าว และควรแจ้งให้ธนาคารทราบทันที

            ตรวจสอบบริเวณที่สอดบัตร หรือตรงแป้นกดตัวเลขว่ามีอุปกรณ์แปลกปลอมติดอยู่หรือไม่ หากสังเกตเห็นอุปกรณ์แปลกปลอม ให้รีบแจ้งให้ธนาคารทราบ

            ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตู้เอทีเอ็มดู เพราะหากมีตัวสกิมเมอร์ติดอยู่ การโยกอาจจะทำให้ตัวสกิมเมอร์หลุดออกมาได้ เนื่องจากปกติแล้ว คนร้ายจะไม่ติดตั้งเครื่องนี้ไว้อย่างแน่นหนาเท่าใดนัก เพราะต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปใช้ติดตั้งตู้อื่น ๆ ด้วย

            หากเครื่องเอทีเอ็มเกิดขัดข้อง และบัตรติดอยู่ในเครื่อง ให้รีบแจ้งธนาคารเพื่ออายัดบัตรทันที เพราะการที่เครื่องขัดข้องอาจเป็นเล่ห์กลของคนร้ายที่ใช้เศษไม้ หรือไม้จิ้มฟันใส่เข้าไปในช่องอ่านบัตร เพื่อให้บัตรของผู้ใช้บริการติดอยู่ที่เครื่อง แล้วจะทำทีเข้ามาช่วยเหลือกดรหัสให้

            หากใส่บัตรไปในเครื่องแล้วไม่มีไฟกะพริบรอบช่องเสียบบัตร ควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพราะตู้นั้นอาจมีการติดตัวสกิมเมอร์ไว้ดูดข้อมูล


            นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ลองมาดูวิธีการใช้เครื่องเอทีเอ็มอย่างปลอดภัยกัน โดยเราควรจะต้อง...

            ตรวจสอบบริเวณเครื่องเอทีเอ็มที่จะเข้าไปใช้ว่ามีบุคคลต้องสงสัยอยู่หรือไม่ หากพบ ให้เปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            ใช้มือบังแป้นกดรหัสส่วนตัวขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ข้าง ๆ หรือกล้องที่มิจฉาชีพแอบติดตั้งไว้มองเห็นรหัสส่วนตัวของเรา

            ใช้ลำตัวบังหน้าจอ ยืนประชิดกับตัวเครื่อง ขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังมองเห็น
 
            พยายามใช้เครื่องเอทีเอ็มเครื่องที่เคยใช้เป็นประจำ เพราะหากเกิดความผิดปกติขึ้นเราจะสังเกตเห็นทันที

            พยายามเลือกใช้เครื่องเอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในที่ปลอดภัย มีคนพลุกพล่าน ในที่มีแสงสว่าง ไม่ใช่ที่เปลี่ยว เช่น ในสาขาของธนาคาร หรือตามร้านค้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพราะสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านจะทำให้คนร้ายยากที่จะนำกล้องมาติดตั้งเพื่อแอบดูรหัสส่วนตัว

            หากพบความผิดปกติของเครื่อง ให้กดปุ่ม "ยกเลิก" เพื่อยุติการทำธุรกรรมนั้นทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องเอทีเอ็มที่มีข้อความ หรือป้ายที่แจ้งเตือนว่า ข้อความแนะนำการใช้เครื่องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความถูกติดเหนือช่องรับบัตร เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายที่จะติดข้อความหรือป้ายประกาศใด ๆ บนเครื่อง โดยเฉพาะกรณีที่มีการดัดแปลงเครื่อง

            เก็บสลิปข้อมูลการใช้บัตรเอทีเอ็มทุกครั้ง เพื่อไว้ใช้เปรียบเทียบกับรายการเดินบัญชีประจำเดือนของคุณ

            ไม่ควรรีบร้อนทำธุรกรรม ควรเก็บบัตรและธนบัตรเข้ากระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากบริเวณเครื่อง

            หลีกเลี่ยงการใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มที่เดาง่าย เช่น เลขตอง เลขสวย เลขที่เรียงกัน รวมทั้งเลขที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขวันเกิด ทะเบียนรถ อายุ ฯลฯ ควรตั้งรหัสให้เดายาก โดยทั้ง 4 หลัก ไม่ควรจะเป็นเลขซ้ำกัน เพื่อให้การสุ่มหมายเลขรหัสบัตรทำได้ยากขึ้น

            ควรเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นประจำ และให้รีบเปลี่ยนรหัสบัตรทันทีเมื่อมีบุคคลอื่นทราบรหัสบัตรของคุณ เพราะคุณไม่ควรให้ใครรู้รหัสเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือตำรวจ

            ควรจำกัดวงเงินการถอนในแต่ละวันไว้ โดยแจ้งไปยังธนาคาร เพื่อที่หากมิจฉาชีพได้นำบัตร หรือรหัสของคุณไปกด จะยังคงรักษาเงินไว้ได้บางส่วน

            ลองจดจำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ จะได้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพในยุคไอที !


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เดลินิวส์
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-

, ธนาคารกรุงเทพ
-http://www.bangkokbank.com/BangkokBankThai/WebServices/YourSecurityFirst/Howyouprotectyourself/Pages/HowtosafeguardyoursecuritywhenusingATM.aspx-

, ธนาคารกสิกรไทย
-http://www.kasikornbank.com/TH/ServicesChannel/SearchServiceChannel/ElectronicMachines/Pages/KATM.aspx-

-------------------------------------------------------------------------

แนะนำวิธีสังเกตตู้เอทีเอ็มที่ต้องสงสัยว่าจะมีเครื่องสกิมเมอร์ติดตั้งอยู่ เพื่อเฝ้าระวังภัยก่อนเงินของเราจะเกิดการสูญหาย
วันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:24 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465143.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465144.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465145.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465146.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465147.jpg)




เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ภายหลังจากมีคนร้ายชาวต่างชาติติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม ก่อนลักข้อมูลบัตรไปกดเงินจนเสียหายไปเป็นเงินหลายแสน แต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้จักเจ้าเครื่องดังกล่าวว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร จึงเสนอข้อมูลไว้ให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีสังเกตุสิ่งผิดปกติก่อนจะเสียบบัตรที่ตู้เอทีเอ็ม

วิธีสังเกตในการใช้บริการตู้เอทีเอ็ม คือก่อนใช้บริการทุกครั้ง ควรตรวจสิ่งดูผิดปกติ เช่น มีกล่องประชาสัมพันธ์ กล่องใส่ใบปลิว ติดที่หน้าตู้ ซึ่งเป็นการโฆษณาอื่นที่ไม่ใช่ของธนาคารหรือไม่ เพราะอาจจะมีกล้องตัวเล็กถูกซุกซ่อนไว้แอบถ่ายอยู่ จากนั้นก็ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ของตู้ได้ ถ้าไม่เป็นมาตรฐานของธนาคารมันจะหลุดออกมา เนื่องจากปกติมิจฉาชีพจะไม่ติดตั้งให้แน่นแบบถาวร เนื่องจากต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปที่ตู้อื่นด้วย

แต่ผู้มาใช้บริการบางรายอาจจะมาทำธุรกรรมที่ตู้ด้วยความเร่งรีบจนลืมระมัดระวัง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่พอจะช่วยสังเกตุถึงความผิดปกติได้คือ ตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคาร ก่อนที่จะเสียบบัตรจะต้องมีไฟกะพริบล้อมรอบช่องเสียบบัตรทุกครั้ง ดังนั้นถ้าไม่มีไฟกะพริบปรากฏให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีเครื่องดูดข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพื่อความปลอดภัย

สำหรับ เครื่องสกิมเมอร์ (skimmer เครื่องดูดหรือกวาดข้อมูล) นั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คนร้ายสร้างขึ้น โดยนำเครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก วงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สกิมเมอร์มีหลายขนาดตั้งแต่เท่ากับกล่องใส่รองเท้าไปจนถึงขนาดเท่าซองบุหรี่ที่คนร้ายซ่อนไว้ในอุ้งมือได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จึงสามารถพกพาได้สะดวก เมื่อนำบัตรเครดิต (หรือบัตรเดบิตเช่นบัตร ATM) มารูด สกิมเมอร์จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กและนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ สกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำน้อยจะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตได้ 50 ใบ ส่วนสกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำมากอาจเก็บข้อมูลได้หลายหมื่นใบ และเมื่อลักลอบดูดข้อมูลจากบัตรเครดิตไปแล้ว คนร้ายก็จะนำไปสร้างบัตรปลอมซึ่งมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า “บัตรสี” เป็นบัตรเครดิตปลอมที่มีสี มีลวดลาย และมีตัวพิมพ์นูนเหมือนของจริงทุกอย่าง รวมทั้งมีข้อมูลในแถบแม่เหล็กอย่างถูกต้องอีกด้วย บัตรแบบนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่งเช่นเดียวกับบัตรจริง บัตรปลอมอีกแบบเรียกว่า “บัตรขาว” เป็นบัตรพลาสติกสีขาวมีเพียงแถบแม่เหล็กเก็บข้อมูล ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปใช้ในหลายๆ แหล่ง เช่นนำไปกดเงินสดจากตู้ ATM หรือนำไปใช้กับร้านค้าที่ทุจริต คนร้ายบางคนไม่ทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลบัตรของเราไปขายในอินเตอร์เน็ตก็มี
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 10, 2013, 04:34:53 pm
โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ เริ่มใช้ ปี 2557

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2263;image)



(http://fb.sanook.com/static_content/widget/full/graphic_1/0490/1863490/3f70000148c1d39910dbb71d4dff5833_1383814259.gif)


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 19, 2013, 09:08:19 pm
ครม. ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่
-http://money.kapook.com/view76809.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ ครม. อนุมัติปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% คาดมีผลบังคับใช้ปี 2557

          วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา โดยปรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา พร้อมปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้ปี 2556 และ 2557

สำหรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาที่มีการปรับเปลี่ยน มีรายละเอียด ดังนี้

          1. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 100,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็นผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 300,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ

          2. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 500,001-750,000บาท/ปี จะเสียภาษี 15% ของรายได้สุทธิ

          3. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ (เท่าเดิม)

          4. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 1,000,001-2,000,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 25% ของรายได้สุทธิ

          5. ผู้ที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,000 บาท/ปี ขึ้นไป เดิมจะเสียภาษี 37% ของรายได้สุทธิ เปลี่ยนเป็นเสียภาษี 35% ของรายได้สุทธิ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131119/544231/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2.html-

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2013/11/19/images/news_img_544231_1.jpg)

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้ปี 2556 และ 2557

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมครม.วันนี้ (19 ) เห็นชอบตามที่ กระทรวงคลัง เสนอเรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา)

สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา) เป็นการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เป็น 35% โดย ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. 2556 และประจำปี พ.ศ. 2557

โดยอัตราภาษีเงินได้ แบบเดิมในปัจจุบันจะเห็นว่า ผู้มีรายได้ 100,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ
ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็น ผู้มีรายได้ 300,001-500,000 บาท/ปี จะเสียภาษี 10% ของรายได้สุทธิ
และ 500,001-750,000บาท/ปี จะเสียภาษี 15% ของรายได้สุทธิ

ส่วนผู้มีรายได้ 500,001-1,000,000 บาท/ปี ปัจจุบันเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่จะขยายฐาน เป็น
ผู้มีรายได้ 750,001-1,000,000 บาท/ปีจะเสียภาษี 20% ของรายได้สุทธิ
และ 1,000,001-2,000,000 จะเสียภาษี 25% ของรายได้สุทธิ
และสำหรับ ผู้มีรายได้ 4,000,000 บาท/ปี ขึ้นไป ปัจจุบันเสียภาษี 37% ของรายได้สุทธิ ขณะที่แบบใหม่ปรับลดเหลือ 35% ของรายได้สุทธิ

Tags : ครม. • คลัง • ปรับโครงสร้างภาษี   

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 22, 2013, 09:23:25 pm
โบรกฯ ชี้การลงทุนปีหน้า แนะลงซื้อ-ขึ้นขาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 พฤศจิกายน 2556 18:42 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000145426-

 นักกลยุทธ์แนะการลงทุนปลายปียังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองในประเทศฉุดดัชนีราคาหุ้นผันผวน แนะนักลงทุนปรับพอร์ตเลี่ยงขาดทุน ลงซื้อ-ขึ้นขาย เล็งหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และจับตาต้นปี 57 ปัญหาการเมืองยุบสภาหรือไม่ และการยกเลิกมาตร QE
       
       นายกวี ชูกิจเกษม นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวในงาน SET in the city ว่า ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดลงมา จากประเด็นการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกไปจำนวนมาก อย่างไรก็ดี เป็นจุดที่นักลงทุนควรเข้าทยอยซื้อสะสมในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้ายังมีแรงกดดันจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ และจะยังคงมีปัญหาความขัดแย้งจากผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ยังเป็นปัจจัยลบที่กดดันหุ้นไทยต่อเนื่อง
       
       ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโดยรวมได้รับข่าวดีจากการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาดี แต่ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะยังต้องระวังตลาดจะตีความว่า เฟด จะเริ่มลดมาตรการ QE และอาจทำให้ต่างชาติยังคงขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทยอยู่ ส่วนประเด็นการเมือง รัฐบาลเริ่มมีทางเลือกน้อยลงหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การแก้ที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ยกมือให้กฎหมายนี้ผ่าน ทำให้นายกฯ มีโอกาสที่จะยุบสภาสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
       
       ดังนั้น โดยสรุปหุ้นยังมีโอกาสปรับฐานได้อยู่ โดยมองแนวรับไว้ที่ 1,350-1,365 ยังเน้นทยอยตั้งรับหุ้นพื้นฐานดี เนื่องจากเชื่อว่าเดือนธันวาคมตลาดหุ้นจะดีขึ้น หลังต่างชาติขายออกน้อยลง และกองทุน LTF จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจากนักลงทุนที่เข้าทยอยซื้อเพื่อลดภาษี อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาว่าต้นปีจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่
       
       ในส่วนของการลงทุนในปีหน้านั้น คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบๆ โดยเพิ่มขึ้นที่ 3-5% ซึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรพิจารณาคือ เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 1,400 จุด ให้ทยอยเข้าซื้อสะสม และเมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเกิน 1,550 จุด ให้ทยอยขายออก โดยแบ่งพอร์ตเป็นหุ้น 30% และเงินสด 70% และเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเกิน 1,600 จุด ให้ทยอยขายออกให้หมด เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการ QE ที่อาจเป็นปัจจัยลบการลงทุน และภาวะปิดหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ (Government Shutdown) ตลอดจนถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว
       
       ทั้งนี้ นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีกำไรเกิน 100% ได้แก่
       CPF ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 102%
       TUF ที่จะมีกำไรจากการส่งออกกุ้งเพิ่มมากขึ้น 104%
       THRE ที่ได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ซึ่งได้เคลมประกันหมดแล้ว และคาดว่าจะกลับมามีกำไรในปีหน้า โดยคาดว่าจะทำกำไรได้เกินกว่า 137%
       TTA คาดว่าจะมีกำไร เนื่องจากได้จ่ายค่าระวางเรือในปีนี้ไปหมดแล้ว ปีหน้าจึงไม่มีค่าระวางเรือที่ต้องจ่าย ซึ่งจะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้กว่า 154% จากเรือขุดเจาะน้ำมันที่สั่งเข้ามาใหม่ 3 ลำ
       SPCG คาดว่าจะเติบโต 155% จากรับสัญญาโรงไฟฟ้าครบ 36 โรง และมีการจ่ายปันผลที่สูง
       
       หุ้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง มีความสามารถทำกำไรดี และมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book)ที่มีราคาไม่สูงมาก
       ADVANC มีอัตราส่วนต่อผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ในอัตราที่ต่ำ
       KTB มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Price to Book) ในราคาที่ไม่สูงมาก
       MC จะมาสาขาเปิดใหม่อีกกว่า 100 สาขา และลงนามพันธมิตรร่วมค้ากับ ไทม์ เดโค่ แล้ว
       PTTGC จะมีกำไรจากการแปรรูปปิโตรเคมี เนื่องจากมีความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
       SCC จะมีกำไรต่อเนื่อง
       
       หุ้นที่มีปันผลสูง ได้แก่
       KKP, TICON, TRUBB, DCC




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 08:39:01 am
4 เคล็ดลับเรื่องเงิน ถ้าไม่อยากจน ต้องอ่าน !

-http://money.kapook.com/view77192.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณมาม่ากับปลากระป๋อง, creativeshooter.com

            เงิน คือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ที่แทบจะกลายเป็นปัจจัยหลักมากกว่าสิ่งใด ๆ ไปแล้ว เพราะแม้กระทั่งปัจจัย 4 อย่าง อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และยารักษาโรค ต่างก็ต้องใช้เงินซื้อมาทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้เงินและเก็บเงินให้เป็น จึงเป็นเคล็ดลับชั้นเลิศที่จะทำให้คุณอยู่ห่างไกลจากความจน และเข้าใกล้ความร่ำรวยมากขึ้นได้

            คุณมาม่ากับปลากระป๋อง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่มีเคล็ดลับเรื่องเงิน จากการปลูกฝังของครอบครัวมาหลายสิบปี และก็เต็มใจจะมาเปิดเผยเคล็ดลับดี ๆ เหล่านี้ให้ทุกคนได้นำไปใช้กัน ส่วนเคล็ดลับเรื่องเงินที่ว่าจะมีอะไรบ้าง เราลองไปอ่านดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

4 เคล็ดลับที่ครอบครัวสอนผมเรื่อง "เงิน"

            ปัญหาเรื่องเงิน เป็นปัญหาสุดคลาสสิกที่คนทุกผู้ทุกนามต้องเจอ หนึ่งในต้นตอสำคัญของปัญหาเรื่องเงินคือการ "การใช้เงินเกินตัว"

            ซึ่งการใช้เงินเกินตัวนี้จะเป็นนิสัยที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินเรื้อรังได้ในอนาคต

            เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ผมมองว่าต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ๆ ให้รู้ถึงความสำคัญของมัน ในบทนี้ผมจึงขอแชร์ "เคล็ดลับ" ของตลอดหลายสิบปีที่ครอบครัวผมได้สอนผมไว้ เพื่อให้ผมใช้เงินอย่างเหมาะสม … ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์เก็บไปใช้ได้เลยครับ


1. อยู่กับความจริง

            ครอบครัวบางครอบครัวตามใจเด็กมาก ด้วยความรักความเอ็นดูหรืออะไรก็ตามแต่ จึงให้เงินไว้ใช้จ่ายเงินแบบเกินพอดีตั้งแต่เด็ก โดยที่มันมากเกินความจำเป็น ซึ่งในบางทีมันมากเกินกว่าฐานะที่ครอบครัวมี และไม่อยู่กับความจริง ข้อนี้สำคัญมากเพราะถ้าไม่สอนให้รู้แต่เด็ก รอจนรู้เองตอนโตบางที่อาจสายเกินไป

            เหตุการณ์สำคัญของครอบครัวผมที่ผมจะยกมาเรื่องนี้ ได้สอนให้เราอยู่กับความจริง ไม่ฟุ้งเฟ้อ เพราะ อะไรก็ไม่แน่นอน … และท่านบอกให้ทุกคนในครอบครัวรับรู้

            บ้านผมเป็นครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่เพื่อการศึกษาที่ดีของผม พวกท่านจึงส่งผมเรียนอนุบาลและประถมในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อนได้เงินค่าขนมเยอะ ผมจึงไปร้องขอเพิ่มบ้าง ในท้ายที่สุดแม่ก็ยอมให้เพิ่ม ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่น …. แต่แล้วมันก็เปลี่ยนไปเมื่อ …ครอบครัวเรามีหนี้หลักล้านบาทที่เกิดจากความผิดพลาดจนสิ้นเนื้อประดาตัว

            พวกท่านเลือกที่จะบอกความจริงกับผม ให้รับรู้ถึงปัญหาการเงินที่เกิดขึ้น ถึงผมจะยังเด็กมากแต่ผมก็เข้าใจว่ามันสถานการณ์สาหัสเพียงไหน

            เงินค่าขนมผมได้น้อยลงมากสวนทางกับน้ำตาของแม่ที่ไหนออกมามากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ยื่นเงินให้ผมแล้วบอกให้ตั้งใจเรียน ซึ่งผมจำมันได้แม่นและรู้สึกได้เลยว่าเงินมีค่ามากแค่ไหนในยามเราไม่มีมัน

            ผมยังคงเรียนที่เดิมแต่ค่าขนมถูกลดลงไปมากซึ่งผมก็เข้าใจเพราะรู้สึกได้ว่าเรากำลังลำบาก หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาครอบครัวเราใช้เงินอย่างรอบครอบและตามสถานะจริงตลอดมา


2. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

            เด็ก ๆ จะซึมซับ กับสิ่งที่พ่อกับแม่ทำเป็นอย่างดี บอกอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ถ้าตัวเองทำไม่ได้ บอกปาว ๆ ว่าให้ลูกขยันแต่ ตัวเองกลับนั่งดูแต่ทีวีทุกวี่วัน บอกให้ประหยัดแต่ตัวกลับฟุ่มเฟือย ประเด็นนี้อาจจะเข้าสุภาษิตไทยที่ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" พ่อแม่เป็นแบบไหนลูกก็ไม่แคล้ว

            ความขยัน ประหยัด มัธยัสถ์ อดออม สิ่งเหล่านี้มันค่อย ๆ ซึมเข้ามาจนไหลอยู่ในตัวผมจำนวนมาก พวกท่านทำให้ดูจนแทบไม่ต้องสอนกันเลย เพราะ พวกท่านทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาปกติ "พ่อคือสุดยอดไอดอลนักออมผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการหยอดกระปุกออมสินมากในสายตาของผม"

            สมัยยังเด็ก ผมกับพ่อเราจะมีกระปุกออมสินคนละตัว ของพ่อเป็นกระปุกหมูที่หน้าตาเหมือนม้าที่ตัวใหญ่มาก ของผมเป็นกระปุกหมูตัวน้อยในแต่ละวันเราจะมาหยอดกระปุกพร้อมกัน พ่อหยอดกระปุกม้ายี่สิบ ผมหยอดกระปุกหมูสองบาท พ่อเติมให้อีกสองบาท พอมันเต็มพ่อก็จะพาผมไปธนาคารออมสินเพื่อไปฝากเงินด้วยกัน แล้วก็จะได้ของขวัญจากธนาคารด้วย

            กระปุกหมูออมสินของพ่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผม เพราะเมื่อแกะมันออกมาเมื่อใด มันจะมีเหรียญจำนวนมาก และมีแบงก์กองเป็นภูเขาเลากา เมื่อผมช่วยนับผมจะได้ค่านับด้วย กระปุกหมูของพ่อตัวนี้น่าจะเป็นพี่ผม เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็เห็นมันตั้งอยู่ในบ้านแล้ว กว่าจะลากออกมาถ่ายรูปได้ทุลักทุเลพอสมควรเพราะหนักมาก พ่อผมยังคงหยอดกระปุกนี้อยู่เดิม กระปุกออมสินหมูแดงยักษ์ของพ่อเมื่อเทียบกับผลส้ม




3. เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องมีที่มาที่ไป

            ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด วันแรก ๆ ไปโรงเรียน แม่ผมให้การบ้านมาข้อหนึ่ง ท่านถามผมว่า … "ไปโรงเรียนต้องใช้เงินวันละกี่บาท?"  คำตอบต้องมีเหตุผลและต้องมีที่มา หลายวันผ่านไปผมมาส่งการบ้านพร้อมกับรายละเอียดที่จำเป็น

            ค่ารถเมล์ ค่าเดินทาง

            ค่าอาหารเช้า

            ค่าอาหารกลางวัน

            จิปาถะต่อสัปดาห์

            จำได้ว่าคุณแม่พอใจกับรายการของผม และถามผมกลับมาว่า "ค่าข้าวนี่พิเศษหรือธรรมดา?" ผมตอบว่าธรรมดา แม่บอกผมว่า "เราเป็นคนกินจุงั้นเดี๋ยวแม่เพิ่มให้อีกหน่อยไว้กินพิเศษ"

            พอขึ้น ม.ปลาย ก็ขยับค่าขนมอีกครั้ง ทำการบ้านใหม่ ผมสอบติดมหาวิทยาลัยก็ทำแบบเดียวกัน ถ้าจำไม่ผิดตอนมหาวิทยาลัย ผมใส่รายละเอียดขอค่าน้ำอัดลมทุกมื้อด้วย จำได้ว่าแม่ขำมากแต่ก็ให้เพิ่มมาตามที่ขอ ทักษะนี้ที่แม่สอนผม ท่านสอนถึงแก่นว่า "เพียงพอ" และ "จำเป็น" อยู่ตรงไหน

            น้องสาวผมคนหนึ่งก็เช่นกัน ตอนนี้เธอเรียน ป.ตรี อยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เธอได้การบ้านแบบเดียวกับที่ผมเคยได้ "ต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงอยู่ได้" เธอก็ร่ายรายการค่าใช้จ่ายออกมา เราก็เห็นสมควรตามนั้น …. (เงินเพื่ออุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน หนังสือทุกชนิดแม่ผมเต็มที่ เท่าไหร่ไม่ว่ากัน เบิกได้ตามใบจริงอ้างอิงตามใบเสร็จ)


4. จัดการเงินของตัวเองให้ดีที่สุด

 จัดการกับค่าขนม

            หลังจากได้ค่าขนมมาแล้วต้องจัดการเงินของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีให้เพิ่ม!!! ถ้าเงินตัวเองเก็บได้เท่าไหร่เหลือเท่าใดเอาไปซื้ออะไรมาว่ากัน ท่านให้สิทธิเต็มที่ ท่านเด็ดขาดเรื่องนี้มาก ถ้าเงินไม่พอจัดการไม่ได้ท่านจะถามถึงที่มาที่ไปว่าเงินไปไหนทันที ถ้าเหลวไหล ฟุ่มเฟือยจะโดนตำหนิทันที …

            ถ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษล่ะ … คำตอบ คือ ต้องหาเอง สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยผมจึงสารพัดทำงานพิเศษ เด็กเสิร์ฟร้านกาแฟ แจกใบปลิว สอนพิเศษ ฯลฯ น้องผมผลออกมาก็เหมือนพี่มัน ตอนนี้รับจ็อบทำงานพิเศษอยู่ร้านฟาสฟูดส์ข้างมหาวิทยาลัย ผมถามว่าถ้าให้เงินน้องตามใจเราที่เราอยากให้ได้หรือไม่ น้องจะได้ไม่ลำบาก ให้ได้ครับ แต่ผมจะตอบคำถามนี้อย่างไร … ถ้าต่อไปน้องเรียนจบออกไปทำงาน แต่แล้วได้เงินเดือนน้อยกว่าที่พ่อแม่ให้ล่ะผลจะเป็นอย่างไร?

จัดการกับบัตรเครดิต

            นอกจากจัดการเงินสดแล้ว ยังต้องละเว้นบัตรเครดิตด้วย เพราะ บัตรเครดิตมันไม่ใช่เงินของเรา ตอนผมจบเรียนจบใหม่ ๆ แม่ผมเน้นมากเรื่องบัตรเครดิตบอกว่ายังไม่อยากให้ผมมีบัตรเครดิต !!

            เมื่อเรียนจบท่านเรียกผมมาคุยเล่าและบอกถึงคุณโทษของบัตรเครดิตให้ผมฟังว่าเป็นอย่างไร มันอันตรายแค่ไหนถ้าไม่มีวินัยทางการเงิน รวมทั้งผลที่จะตามมา มีได้แต่แม่บอกว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ท่านมองออกว่าผมเป็นอย่างไรจึงขอไว้เช่นนั้น ผมทำงานมาก็หลายปี ก็ยังไม่มีบัตรเสียที จนลืมไปเลยว่าเคยอยากมีบัตรเครดิตไว้รูดโก้กับเขา … ครอบครัวผมใช้เงินสดเป็นหลัก บัตรมีไว้ใช้เมื่อเจอสินค้า 0% หรือใช้แทนเงินสด ตอนนี้บ้านผมมีบัตรเครดิต 5 ใบ แม่มี 2 ใบ ภรรยาผมมี 2 ใบ พ่อ 1 ใบ และผมไม่มีบัตรเครดิต

จัดการกับสมบัติและมรดก

            ที่ดินและบ้านในสวนผม ถูกนายหน้าทาบทามซื้อทางเป็นเทือก ในราคาที่เย้ายวนใจครั้งหนึ่ง คุณตาบอกลูก ๆ หลาน ๆ พูดลอย ๆ ในโต๊ะทานข้าว เพื่อสอน และเตือนสติลูกหลานในช่วงที่ดินกำลังร้อนแรงนี้ว่า …

            "อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็เก็บเงินเอาใหม่ สะสมเอาใหม่ เก็บอย่างอดทน … อย่าขายที่ ขายสมบัติที่มี … การขายเพื่อไปซื้อสิ่งที่อยากได้มันไม่ถูก … เพราะถ้าทำอย่างนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่เหลือที่ให้อยู่และจะทำมาหากินได้อย่างไร"

            สิ่งที่คุณตาบอกนั้นมันชัดเจนกระจ่างแจ้งว่า นอกจากดูแลรักษาเงินทองของตัวเองแล้วยังต้องจัดการดูแลสมบัติที่ทรัพย์สมบัติที่ปู่ย่าตายายทำไว้ให้ด้วย พร้อมทั้งเตือนสติว่าอย่าขายเอามรดกของบรรพบุรุษเพื่อสนองความต้องการส่วนตน …

            นี่คือสี่เคล็ดลับที่ครอบครัวบอกสอนเรื่องเงินแก่ผม ท่านสอนแก่ผมให้ผมใช้เงินอย่างระมัดระวัง… มีแบบอย่างที่ดี รู้จักคำว่าพอดี มีเหตุผลที่ดี และ รู้จักรักษาสิ่งที่ตัวเองมี

            สุดท้ายนี้ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเคล็ดวิชาเล็ก ๆ น้อยของครอบครัวผมเหล่านี้ จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ทุก ๆ ท่านได้บ้างนะครับ …[^_^]…

ป.ล.

            - สามารถติดตามอ่านเรื่องราวงานเขียนของผมได้ในบล็อกนี้นะครับ … http://goo.gl/aE4zV (http://goo.gl/aE4zV)

            อ้างอิง ข้อ 1. บอกความจริง และ ข้อ 2. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ตัดมาจากบทเต็มบทนี้ครับ
            … รู้สึกตัวอีกที สินทรัพย์จากที่เคยติดลบ กลับทะลุสิบล้าน ไปแล้ว!!! http://goo.gl/gWTSn (http://goo.gl/gWTSn)

            ข้อ 4. เรื่องมรดกอ้างอิงจากบทเต็มบทเรื่องอสังหาฯ ในบทนี้ครับ
            มีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินของผมในราคา 15 ล้าน และ ผมไม่ขาย http://goo.gl/BlBLK (http://goo.gl/BlBLK)

            ปัญหาเรื่องการใช้เงินเกินตัวนั้นย่อมก่อให้หนี้สินจำนวนมาก หนี้สินส่วนบุคคลส่งผลย่อมส่งผลถึงครอบครัว และส่งผลถึงประเทศชาติในที่สุด คิดในอีกมุม การดูแลหนี้สินของตัวเองนั้นเป็นการช่วยชาติได้อีกทางหนึ่ง …


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 01, 2013, 10:36:09 am
ไม่มีจุดซื้อ
โดย สุนันท์ ศรีจันทรา    28 พฤศจิกายน 2556 21:24 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000147937-

ไม่มีจุดซื้อ
       ตลาดหุ้นยังเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง ขึ้นวันลงวัน สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ของนักลงทุนที่แปรปรวน พร้อมจะทิ้งหุ้น หรือช้อนซื้อโดยไม่ต้องรอปัจจัยชี้นำ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองก็ยังเป็นประเด็นหลักที่กดดัน จนดัชนีไม่อาจโงหัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
       
       ดัชนีวันนี้ปิดที่ 1,359.45 จุด ลดลง 13.66 จุด มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 33,613 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 393 ล้านบาท
       
       สถานการณ์การเมืองกระชับเข้ามาทุกขณะ โดยประชาชนตื่นตัวลุกฮือขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยกระแสลุกลามไปทั่วประเทศ ศาลากลางหลายจังหวัดถูกปิด ระบบราชการแทบจะเป็นอัมพาต แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่ยอมลงจากอำนาจ ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และรัฐบาลชุดนี้ยังดื้อด้านต่อไป เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
       
       แนวโน้มหุ้นจนถึงสิ้นปีไม่น่าจะสดใส เพราะไม่มีข่าวดีที่รอคอย และการเมืองก็คงไม่จบง่าย และต้องรอคอยประเมินสถานการณ์ต่อไป ซึ่งอาจทำให้ปลายปีนี้หุ้นอาจซึมต่อเนื่อง และแม้จะลงมาระดับนี้ก็ยังไม่น่าสนใจ เพราะนอกจากการเมืองวุ่นวายแล้ว เศรษฐกิจอาจทรุดหนักด้วย
       
       นักลงทุนคงจะไต่นั่งรอคอยต่อไป เพราะซื้อไปตอนนี้ก็ไม่ใช่จะได้ซื้อของถูก เนื่องจากแนวโน้มยังลงได้อีก


--------------------------------------------------------------------

โบรกฯ ประเมิน 4 แนวทางแก้วิกฤตการเมือง เชื่อต่างชาติยังขายไม่หยุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤศจิกายน 2556 22:31 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000148608-

"เอเซียพลัส" มองการเมืองไทยร้อน "ต่างชาติ" ยังเทขายต่อเนื่อง โดยตลอดเดือน พ.ย. ยอดสะสมรวมสูงกว่า 4.5 หมื่นล้าน เชื่อยังเทขายจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ พร้อมประเมิน 4 ทางออกปัญหาการเมือง "กสิกร" คาดแนวโน้มตลาดหุ้น 2 - 6 ธ.ค. ยังคงผันผวน แนะจับตาสถานการณ์การเมือง รายงานตัวเลข ศก.สหรัฐฯ
       
       นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เปิดถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าว่า สถานการณ์การเมืองยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อ SET Index ต่อไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ถือว่าอยู่ภาวะที่ยังหาทางออกไม่เจอ ทั้งนี้แนวทางที่เป็นไปได้ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้
       
       1).ยุบสภาฯ และจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าลงได้ชั่วคราว
       
       2).นายกรัฐมนตรี ลาออก ซึ่งจะทำให้ ครม.ทั้งชุดต้องพ้นจากตำแหน่ง หลังจากนั้น เข้าสู่กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่ รัฐธรรมนูญกำหนดว่า นายกรัฐมนตรี ต้องคัดเลือกมาจากผู้ที่เป็น ส.ส. แนวทางนี้เชื่อว่า ยังมีความวุ่นวายอีกหลายเรื่องตามมา
       
       3).การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการวินิจฉัยขององค์กรอิสระ ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง ป.ป.ช.เป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันมีหลายคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า จะมีการวินิจฉัยแต่ละเรื่องออกมาเมื่อใด
       
       4). การหันหน้าเข้าเจรจากัน ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่จากการประเมินสถานการณ์เห็นว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก สถานการณ์การเมืองดังกล่าว คาดว่าจะทำให้เกิดแรงกดดันต่อ SET Index ต่อไป โดยหากไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น SET Index น่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบบริเวณ 1,300 - 1,340 จุด
       
       นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (25 - 28 พ.ย.2556) ต่างชาติยังคงเทขายหุ้นไทยอย่างหนัก รวมแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสะสมตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 2556 สูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท หากนับตั้งแต่ต้นปี 2552 นักลงทุนกลุ่มนี้ ยังคงมียอดซื้อสุทธิสะสมสูงถึงราว 4 หมื่นล้านบาท
       
       กรณีดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าต่างชาติจะยังคงขายสุทธิหุ้นไทยต่อไป จนกว่าปัจจัยกดดันจากการเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ น่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ในช่วงเดือน ธ.ค. จากแรงซื้อของกองทุนต่างๆ เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี
       
       ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ โดยมีแรงขายท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ จากแรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุน และการตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จากนั้น ตลาดหุ้นปรับลดลงต่อในวันพฤหัสบดี จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน ท่ามกลางความกังวลต่อความยืดเยื้อของการชุมนุมทางการเมือง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ โดยมีแรงซื้อทางเทคนิค
       
       สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 2 - 6 ธ.ค. 2556 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนียังคงผันผวน โดยต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย สำหรับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคการผลิต (ISM Manufacturing) เครื่องชี้ที่อยู่อาศัย และ จีดีพี ไตรมาส 3/2556 (Second Est.) ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,340 และ 1,316 ขณะที่ แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,385 และ 1,404 ตามลำดับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 09, 2013, 12:33:39 am
ไขปริศนาเม็ดเงินต่างชาติล้างพอร์ตหุ้นไทย 2 แสนล้าน ใกล้หมดจริงหรือไม่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ธันวาคม 2556 13:13 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000151395-

โบรกฯ เกาะติดเม็ดเงินต่างชาติสะสมในตลาดหุ้นไทย 4 ปี จำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท ถูกเทขายไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 56 จำนวน 1.72 แสนล้าน เผยเดือน พ.ย. มีการทิ้งหนักถึง 4.8 หมื่นล้าน และในช่วง 4 วันทำการแรกเดือน ธ.ค. เทขายไปเกือบ 2 หมื่นล้าน
       
       นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนสุดท้ายของปี 2556 โดยมองว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาหนักมากในขณะนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวลง โดยภายในเดือน พ.ย. นักลงทุนเทขายสุทธิสูงถึง 48,074.94 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก
       
       ทั้งนี้ พบว่าเพียงแค่ 4 วันทำการแรกของเดือน ธ.ค.นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหนักไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าช่วงกลางเดือนนี้น่าจะเริ่มชะลอตัวได้ ประกอบกับถ้าพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล และผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยต่อไปได้
       
       ส่วนการไหลกลับของนักลงทุนต่างชาตินั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของสหรัฐฯ เป็นหลัก หากการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และสหรัฐฯ ยังไม่ได้ชะลอคิวอี เงินลงทุนต่างชาติน่าจะทยอยกลับมาในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง
       
       ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไปแล้วประมาณ 70% ของเงินซื้อสะสม โดยยอดซื้อสะสมย้อนหลัง 4 ปี อยู่ที่ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 1.72 แสนล้านบาท หากการเมืองยังรุนแรงและยืดเยื้อ เชื่อว่าจะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาอีกประมาณ 10% ของเงินซื้อสะสมที่เหลืออยู่ ส่วนนักลงทุนที่เหลืออีกประมาณ 20-30% นั้น เชื่อว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาว
       
       สำหรับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอนาคต เชื่อว่าการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไม่ได้ลงทุนแบบซื้อยกกลุ่มแล้ว แต่จะเลือกลงทุนหุ้นรายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มดี แต่ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก นักลงทุนต้องใจกล้าที่จะมาลงทุน แต่อย่างที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ คือ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เริ่มปรับพอร์ตการลงทุนชัดเจน และเริ่มหันไปลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือ รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปฟื้นตัว
       
       นายปริญญ์ ย้ำว่าปัญหาการเมืองอยู่กับบ้านเรามานาน ตั้งแต่ปี 2551 จนนักลงทุนต่างชาติเริ่มชิน และที่ผ่านมา ตลาดหุ้นขึ้นต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ประกอบกับคิวอีเริ่มลดขนาดลง เงินทุนเริ่มไหลออกกลับไปซื้อหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ที่พร้อมจะมีอัตราเติบโตเท่ากับตลาดหุ้นไทย รวมทั้งตลาดหุ้นอื่นในจีน เกาหลี ไต้หวัน และฮ่องกง



http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000151395 (http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000151395)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2013, 07:25:06 pm
8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษี

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/200784/8+%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5-

ใกล้โค้งสุดท้ายของปีเข้าไปเต็มที ใครที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อย่าได้ชะล่าใจว่ายังพอมีเวลา
วันอังคาร 10 ธันวาคม 2556 เวลา 10:42 น.

ใกล้โค้งสุดท้ายของปีเข้าไปเต็มที ใครที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อย่าได้ชะล่าใจว่ายังพอมีเวลา เพราะยิ่งใกล้ปีใหม่เวลาก็ยิ่งหมดไปอย่างรวดเร็ว มารู้ตัวอีกทีอาจจะไม่ทันการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี วันนี้ขอแนะนำ 8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษีมาแนะนำกันค่ะ

ตัวช่วยลดหย่อนภาษีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

1. สิทธิลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ ตัวช่วยแรกนี้ สำหรับลูก ๆ ที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และคุณพ่อคุณแม่มีรายได้ไม่เกินคนละ 30,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคุณพ่อ-คุณแม่ได้ท่านละ 30,000 บาท โดยพี่น้องจะต้องตกลงกันก่อนว่าใครจะเป็นผู้ใช้สิทธิ เพราะสิทธินี้จะไม่สามารถนำมาเฉลี่ยได้หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกหลายคน ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีลูก 2 คน คุณพ่ออาจให้สิทธิลูกคนโต คุณแม่ให้สิทธิกับลูกคนเล็กก็ได้ค่ะ (รายได้ในที่นี้รวมถึงดอกเบี้ยรับจากธนาคารที่คุณพ่อคุณแม่ฝากเงินเอาไว้ด้วยนะคะ เนื่องจากบางครั้งเราเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่เกษียณแล้วไม่น่าจะมีรายได้อะไร แต่ปรากฏว่าท่านมีรายได้จากดอกเบี้ยสูงกว่า 30,000 บาท จะไม่สามารถใช้สิทธิได้)

2. การใช้สิทธิลดหย่อนบุตร ในกรณีที่จดทะเบียนสมรส ต่างฝ่ายจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้คนละ 17,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 คน (หากบุตรไม่เรียนหนังสือ หรือเรียนต่างประเทศ จะสามารถใช้สิทธิได้เพียงคนละ 15,000 บาท) ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีบุตร 3 คน และบุตรทั้ง 3 อยู่ในระหว่างการศึกษาในประเทศไทย สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้สูงสุดฝ่ายละ 51,000 บาท

3. อุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวเป็นคนพิการ สามารถใช้สิทธิอุปการะเลี้ยงดูคนพิการได้ คนละ 60,000 บาท ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ของเรา หรือคุณพ่อคุณแม่ของคู่สมรส เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้งสิ้น (ไม่จำกัดจำนวนคน) ในกรณีที่เป็นบุคคลอื่น ๆ นอกเหนือจากบุคคลดังกล่าว สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้อีก 1 คน ทั้งนี้ จะต้องทำตามเงื่อนไข โดยผู้มีเงินได้จะต้องเป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการ ก็สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

ตัวช่วยลดหย่อนภาษีโดยการลงทุนเพิ่ม

4. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ ในกรณีที่เราซื้อประกันสุขภาพให้กับคุณพ่อคุณแม่ตนเอง หรือคุณพ่อคุณแม่ของคู่สมรส ค่าเบี้ยประกันดังกล่าวสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ ประกันสุขภาพดังกล่าวจะต้องมีชื่อคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือคุณพ่อคุณแม่คู่สมรสเป็นผู้เอาประกัน โดยที่ท่านจะต้องมีเงินได้ในปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท นอกจากนี้จะต้องมีชื่อเราเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกัน จึงจะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

5. ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ สามารถใช้ได้เฉพาะเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น ไม่สามารถนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนได้ แม้ว่าจะอยู่ในกรมธรรม์เดียวกันก็ตาม นอกจากนี้ หากมีค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมได้อีก 15% ของเงินได้ทั้งปี ไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ

6. ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมซื้อบ้าน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ การใช้สิทธิดอกเบี้ยจะต้องดูเงื่อนไขการกู้ยืม เช่น กรณี กู้ซื้อบ้าน 1 หลังเพียงลำพัง เสียดอกเบี้ยทั้งปี 40,000 บาท ก็สามารถนำดอกเบี้ยจำนวน 40,000 บาท มาใช้สิทธิได้เต็มจำนวน หากกู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยการกู้ร่วมกับคู่สมรส โดยเสียดอกเบี้ยของบ้านหลังที่ 2 ทั้งหมดจำนวน 60,000 บาท ดังนั้น สามารถใช้สิทธิดอกเบี้ยบ้านหลังที่ 2 ได้จำนวน 30,000 บาท เมื่อรวมกับบ้านหลังที่ 1 แล้ว จะสามารถใช้สิทธิได้จำนวน 70,000 บาท (บ้านหลังที่ 2 ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เต็มจำนวนเนื่องจากเป็นการกู้ร่วม ดังนั้น สิทธิในการลดหย่อนภาษีต้องแบ่งครึ่ง)

7. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 3% ของเงินได้ทั้งปี หรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดต่ำกว่า สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ทั้งปี (เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท) ซึ่งในแต่ละปีอาจจะลงทุนไม่เท่ากันก็ได้ แต่แนะนำให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกปี เพราะเงินลงทุนก้อนแรกต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) และผู้ลงทุนจะต้องมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ จึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้อย่างไม่ผิดเงื่อนไข

8. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อลงทุนแล้วจะต้องถือครองนาน 5 ปีปฏิทิน หรือ 3 ปีเศษนั่นเอง การลงทุนในกองทุนประเภทนี้จะต้องรับความเสี่ยงได้พอควรเพราะมีความผันผวนจากหุ้น

8 ตัวช่วยลดหย่อนภาษีนี้ แนะนำให้ใช้ 3 ตัวช่วยแรกที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มก่อน และหากต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มก็สามารถเลือกได้อีก 5 วิธีที่ได้แนะนำไป นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยอื่นๆ อีก เช่น เงินบริจาค ที่จะช่วยให้เสียภาษีลดลงได้ อีกทั้งในปีภาษี 2556 ฐานภาษีได้เปลี่ยนจาก 5 ขั้น เป็น 7 ขั้น ดังนั้น แนะนำให้มีการคำนวณภาษีก่อนลงทุน เพื่อการใช้สิทธิประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2013, 07:04:26 pm
ราคาทองคำปี 2557 ทรุดหนัก มีแนวโน้มดิ่งตัวลงถึง 15%

-http://money.kapook.com/view78217.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

             ราคาทองคำปี 2557 ทรุดหนัก โกลด์แมนแซคส์ คาดดิ่งตัวลงถึง 15% จากปี 2556 ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการ ซึ่งประกอบไปด้วยทองคำ เหล็ก ทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด ก็มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเช่นกัน

             เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้เปิดเผยรายงานการศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในปี 2557 ซึ่งจัดทำโดย โกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) พบว่า โกลด์แมนแซคส์ได้คาดการณ์ว่า ราคาทองคำ ปี 2557 มีแนวโน้มที่จะดิ่งตัวลงถึง 15% รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการ ซึ่งประกอบไปด้วยทองคำ เหล็ก ทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด

             สำหรับราคาของทองคำนั้น มีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงเฉลี่ยเหลือเพียงออนซ์ละ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น จากที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,200-1,350 ดอลลาร์สหรัฐ ในรอบปีนี้ (2556) และน่าจะถือเป็นจุดต่ำสุดของราคาทองคำนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและสกุลเงินของแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นสกุลเงินของ 2 ประเทศที่ผลิตทองคำรายสำคัญของโลก จะต้องอ่อนค่าตามลงมา

             และในส่วนของราคาเหล็ก เจฟฟรีย์ คูรี นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่า มีความเสี่ยงที่จะตกต่ำลงเช่นกัน เนื่องจากความต้องการใช้ทรัพยากรที่ลดลง ในขณะจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่สต็อกนั้นกลับมีอยู่เหลือเฟือ และจากความกดดันด้านราคานี้น่าจะทำให้ราคาเหล็กในปี 2557 มีแนวโน้มที่จะดิ่งลงต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา

             สำหรับราคาของทองแดง ถั่วเหลือง และข้าวโพด โกลด์แมนแซคส์ ก็ได้คาดการณ์ว่าน่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีนี้เช่นกัน

             ทั้งนี้ โกลด์แมนแซคส์ ยังได้ระบุถึงความคาดหวังว่า จากการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าครั้งใหญ่นี้ น่าจะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ทั้งจากการกระตุ้นด้วยการเพิ่มขึ้นของการใช้ทรัพยากรในภาคเอกชน และการลงทุนในภาคธุรกิจ และเป็นที่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการขายพันธบัตรขึ้นในเดือนมีนาคม และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2557 ยังถูกคาดว่าน่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 1.7%



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2013, 07:26:41 pm
ผู้เสียภาษีเฮ ! กรมสรรพากร ยันชัด อัตราภาษีเงินได้แบบใหม่ ใช้ทันปีนี้

-http://money.kapook.com/view78282.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           กรมสรรพากร ยืนยัน พระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ปีนี้ โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า

           จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ที่จะปรับลดจาก 10-37% เหลือ 5-35% นั้น จะสามารถนำมาใช้ทันในปี 2556 หรือไม่นั้น ล่าสุด กรมสรรพากรยืนยันแล้วว่า พ.ร.ฎ. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้

           โดยวันนี้ (13 ธันวาคม 2556) นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดข้อสงสัยว่าการลดภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะทันรายได้ปี 2556 หรือไม่ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี

           นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า หลังยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีตกไปกว่า 10 ฉบับ ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงจะเสนอเข้ามาใหม่ และปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ทำให้ยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แต่ภาพรวมเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท

           ทั้งนี้ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้เสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50


(http://img.kapook.com/u/thitima/home/BZbH1EDCcAAJ7Lg.jpg)
ตารางเปรียบเทียบภาษีที่เสียแบบเดิม กับ ภาษีที่เสียแบบใหม่ (ข้อมูลจาก @Teerat Ratanasevi)



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131213/549581/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5!%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 14, 2013, 08:52:31 am
ผู้เสียภาษีเฮ ! กรมสรรพากร ยันชัด อัตราภาษีเงินได้แบบใหม่ ใช้ทันปีนี้

-http://money.kapook.com/view78282.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           กรมสรรพากร ยืนยัน พระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ปีนี้ โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า

           จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ที่จะปรับลดจาก 10-37% เหลือ 5-35% นั้น จะสามารถนำมาใช้ทันในปี 2556 หรือไม่นั้น ล่าสุด กรมสรรพากรยืนยันแล้วว่า พ.ร.ฎ. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้

           โดยวันนี้ (13 ธันวาคม 2556) นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดข้อสงสัยว่าการลดภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะทันรายได้ปี 2556 หรือไม่ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว และคาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี

           นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า หลังยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีตกไปกว่า 10 ฉบับ ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงจะเสนอเข้ามาใหม่ และปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ทำให้ยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แต่ภาพรวมเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท

           ทั้งนี้ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้เสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50


(http://img.kapook.com/u/thitima/home/BZbH1EDCcAAJ7Lg.jpg)
ตารางเปรียบเทียบภาษีที่เสียแบบเดิม กับ ภาษีที่เสียแบบใหม่ (ข้อมูลจาก @Teerat Ratanasevi)



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20131213/549581/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5!%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html-


อธิบดีสรรพากรเผยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีผลบังคับใช้ปีนี้

-http://www.mcot.net/site/content?id=52aacc2c150ba0a464000067#.Uqu54OJ-X_Y-

กรุงเทพฯ 13 ธ.ค. - อธิบดีกรมสรรพากร เผย พ.ร.ฎ.ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีผลบังคับใช้ในปีนี้ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปีหน้า

นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีพระราชกฤษฎีกาปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คาดว่าจะสามารถประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้ในสัปดาห์หน้า ทำให้มีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2556 เพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีได้ในต้นปี 2557 โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ไม่ต้องเสียภาษี

สำหรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่คำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา เป็น 7 ขั้นอัตรา และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุดร้อยละ 37 เหลือ 35 ทำให้ผู้เสียภาษีเสียภาษีลดลงร้อยละ 5-50 โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้น้อย มีภาระภาษีลดลงถึงร้อยละ 50

นายสุทธิชัย กล่าวยอมรับว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาฯ ทำให้กฎหมายภาษีของกรมสรรพากรต้องตกไปกว่า 10 ฉบับ เช่น ภาษีเงินได้ของคณะบุคคล ภาษีปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารจึงค่อยเสนอเข้ามาอีกครั้ง และจากปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ทำให้การบริโภคและการท่องเที่ยวชะลอตัวลงไปมาก ส่งผลต่อยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงไปมาก แต่เมื่อดูภาพรวมทั้งปีแล้วยังคงเป้าหมายจัดเก็บภาษีไว้ในกรอบ 1.89 ล้านล้านบาท. - สำนักข่าวไทย


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 16, 2013, 05:45:18 am
‘เบียร์ช้าง’เลิกใช้เกรต ‘S&P’ หลังโดนปรับลดเครดิตองค์กร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2556 02:57 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000154113-

“ไทยเบฟเวอเรจ” ประกาศเลิกใช้ S&P ในการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือองค์กร หลังโดนปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือ ด้าน S&P ไม่จบหั่นเกรตอีกรอบ พร้อมปรับสู่สถานะ “ขยะ” กดราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาดิ่ง ผู้บริหารยืนยันไม่มีผลกับภาระหนี้ ชี้เหตุเลิกใช้เพราะ S&P มีการปรับเกณฑ์ใหม่ แต่ยังคงใช้การจัดอันดับจhttp://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000154113าก “มูดีส์” และ “ทริส เรทติ้ง”ต่อไป ด้านโบรกฯเชื่ออัตราการเติบโตในครึ่งปีหลังดีขึ้น ดันปีหน้าขยายตัวและยังมีโอกาสเห็นเงินปันผล
             
       นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ THBEV ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า สืบเนื่องจากบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ได้รับทราบว่า สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (S&P) ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการจัดอันดับขององค์กร (วิธีการประเมินกลุ่ม) เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2556 และต่อมา S&P ได้จัดอันดับประกาศปรับลดอันดับเครดิตด้านองค์กรในระยะยาวของบริษัท จาก BBB-/Watch Negative เมื่อวันที่ 26พ.ย.2556
             
       ทั้งนี้ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ขอยืนยันว่าการปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวของS&P ไม่มีผลกระทบกับภาระหนี้ ในปัจจุบันของบริษัท อีกทั้งบริษัทได้ตัดสินใจขอถอนตัวจากการรับบริการด้านการจัดอันดับของ S&Pและจะยังคงที่จะรักษาข้อตกลงในการจัดอันดับเครดิตความน่าชื่อถือขององค์กรกับ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส (Moody’s) และ บริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ต่อไป
             
       โดยอันดับเครดิตที่ Moody’s จัดให้กับ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ในปัจจุบันอยู่ที่ Baa3 แนวโน้มมีเสถียรภาพ และอันดับ “AA-“ โดยทริสเรทติ้ง
       ต่อมาหลังจากที่บริษัทมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้รายงานว่า S&Pได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ จาก BBB-/Watch Negative มาสู่ระดับ "BB+"พร้อมทั้งประกาศให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง (creditwatch) โดยเชื่อว่า มีแนวโน้มเป็นเชิงลบ หรือต่ำกว่าระดับน่าลงทุน และปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ สู่สถานะ "ขยะ"
             
       โดยระบุว่า ไทยเบฟเวอรเรจ มีความน่าเชื่อถือที่อ่อนแอมาก รวมถึงกลุ่มบริษัทในกลุ่มไทยเบฟ โดยเฉพาะ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท จำกัด มีภาระหนี้จำนวนมาก และลักษณะหนี้ที่มีสถานะด้อยสิทธิ์ ทำให้บริษัท มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน, ความสามารถในการชำระหนี้ และนโยบายทางการเงินของบริษัท ขณะเดียวกัน หลังจากมีการประกาศลดอันดับดังกล่าวของS&P ก็มีผลให้ราคาหุ้นของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ลดลงไปกว่า 2% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนที่ 0.465 ดอลลาร์สิงคโปร์
             
       "เราปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเบฟ เนื่องจากขณะนี้ เรามองว่าไทยเบฟเป็นสมาชิก "หลัก" ของกลุ่มบริษัทที่เราประเมินว่ามีคุณลักษณะด้านความน่าเชื่อถือที่อ่อนแอมากกว่า เมื่อเทียบกับไทยเบฟ ในขณะที่มีสถานะเป็นองค์กรเอกเทศ โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าว ประกอบด้วย ไทยเบฟ, เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ และ ทีซีซี แอสเซ็ท มีภาระหนี้จำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าแนวโน้มการมีภาระหนี้จำนวนมากของทีซีซี แอสเซ็ท และลักษณะหนี้ที่มีสถานะด้อยสิทธิ์ของทางบริษัท มีแนวโน้มที่จะทำให้ ไทยเบฟใช้นโยบายการเงินในเชิงรุกมากขึ้น และจะส่งผลกระทบ ในระดับหนึ่งต่อสถานะทางการเงิน รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ และนโยบายทางการเงินของบริษัท" นายซาเวียร์ จีน นักวิเคราะห์ S&P ให้ความเห็น
             
       อย่างไรก็ตามการปรับ อันดับบมจ.ไทยเบฟเวอเรจของS&P นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนมุมมองใหม่เป็นการมองภาพรวมทั้งกลุ่ม แทนที่จะมองเฉพาะบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นการให้ความเห็นต่อเนื่องจากครั้งก่อนที่ให้แนวโน้ม “เป็นลบ” เพราะในเรื่องความสามารถในการจ่ายชำระหนี้เป็นหลัก หลังจากบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เข้าซื้อ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ได้มีผลให้เกิดการก่อหนี้และทำให้ภาระหนี้ (leverage) สูงขึ้น จนอาจกระทบกระเทือนต่อความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต
             
       ก่อนหน้านี้ นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจให้ข้อมูลถึงผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรก 2556 ว่า ยอดขายติดลบ 7.3% ส่วนกำไรปรับตัวลดลงตามไปด้วยที่ 13.5% เนื่องจากกำลังซื้อที่ปรับตัวลดลง ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าตามกำลังซื้อตัวเองมากขึ้น ประกอบกับ บริษัทที่ผ่านมาไม่ใช่หน้าขายของสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มแอลกอฮอล์ ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกปี 2556 ถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
             
       โดยในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหน้าขาย เพราะเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองต่างๆ ทำให้บริษัทคาดว่าภาพรวมยอดขายจะกลับมา และทำให้มีตัวเลขเป็นบวก โดยทั้งปี 2556 ยอดขายน่าจะเติบโตที่ 4-5% หากไม่มีปัจจัยลบในประเทศ อย่างเช่น การเมือง และผู้บริโภคยังคงใช้เงินในการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีเป็นปกติ
             
       สำหรับแผนการทำตลาดจากนี้ไป ไทยเบฟเวอเรจ จะเน้นทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าในไทย โดยสินค้าที่จะรุกทำตลาดอาเซียนจะเป็นทั้งกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ และกลุ่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สัดส่วนยอดขายของกลุ่มนอนแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น จาก 20% ในปัจจุบัน เป็น 30% ภายใน 1-2 ปี ซึ่งสินค้ากลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ของบริษัท อาทิ โซดา, น้ำดื่มช้าง, โออิชิ, เอฟแอนด์เอ็น เป็นต้น
       ภาพรวมโครงสร้างรายได้รวมของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจมาจาก 4 ส่วนหลัก คือ ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.เสริมสุข, บมจ.โออิชิ กรุ๊ป และ บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จำกัด หรือ เอฟแอนด์เอ็น โดยปี 2555 ที่ผ่านมามียอดขายกว่า 1 แสนล้านบาท ไม่นับรวมยอดขายจากการควบรวมกิจการเอฟแอนด์เอ็น ที่ไทยเบฟเวอเรจเข้าถือหุ้นประมาณ 28% ซึ่งจะรวมบัญชีรายได้ในปี 2557 โดยเอฟแอนด์เอ็นมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้วคาดว่าจะทำให้ รายได้รวมของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.1 แสนล้านบาท
             
       อย่างไรก็ตาม สัดส่วนยอดขายสินค้าของบริษัท 90% ยังมาจากในไทย และอีก 10% มาจาก ต่างประเทศ โดยสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ยังคง เป็นสินค้าที่ทำยอดขายหลักให้บริษัทในสัดส่วน 80% ขณะที่กลุ่มนอนแอลกอฮอล์จะมีสัดส่วน 20%
             
       ขณะที่นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ให้ข้อมูลว่าขณะนี้มูลค่าตลาดของหุ้นไทยเบฟอยู่ที่ระดับ 3.5 แสนล้านบาท มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 12 ของตลาดหุ้นสิงคโปร์ (SGX) จากปี 2555 อยู่อันดับ 20 ซึ่งตามแผนระยะยาวตั้งเป้าหมายต้องการเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน5 ของเอเชียในปี 2563 หรือแต่ละปีจะต้องเติบโต 15-17% จากปี 2555 ซึ่งมีรายได้ 1.6 แสนล้านบาท
             
       ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์ต่อหุ้นบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ มีราคาเป้าหมายในปี 2557 ที่ 0.66 เหรียญสิงคโปร์ หรือให้ผลตอบแทน 10% จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 0.55 เหรียญสิงคโปร์ นอกจากนี้ อัตราราคาเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้น (พีอี) ของบริษัท อยู่ที่ 20 เท่า ต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันทั่วโลก เฉลี่ยอยู่ที่ 25 เท่า
             
       ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า กำไรในครึ่งแรกของบริษัท ไม่เป็นไปตามคาดเพราะได้มีการเข้าซื้อกิจการ F&N แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังดอกเบี้ยจ่ายจะลดลง และปี 2557 คาดว่ากำไรจะเติบโตในอัตรา 16% ส่วนปลายปีนี้คาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลงต่ำกว่า 1 เท่า ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 16, 2013, 08:00:36 pm
การใช้จ่ายของเรา ต้องรู้จักประหยัด ใช้จ่ายแต่จำเป็น

รู้รายรับ รู้รายจ่าย

สูตรง่ายๆทางการเงิน

รายได้ - เงินออม = ค่าใช้จ่าย

อย่าไปเต้นตามข่าวด้านล่าง

เพราะว่า หากเราไม่มีเงิน ก็ไม่มีใครเอาเงินมาให้เราใช้ครับ


------------------------------------------------


คลังสะอื้นจีดีพีหดไม่ถึง 3% ชี้โครงสร้างภาษีใหม่ปลุกใช้จ่าย

-http://money.kapook.com/view78412.html-


คลังสะอื้นจีดีพีหดไม่ถึง3% ชี้โครงสร้างภาษีใหม่ปลุกใช้จ่าย (ไทยโพสต์)

           คลังสะอื้น จีดีพีปี 56 โตแผ่วไม่ถึง 3% ส่งออก 0% อ้างการเมืองแรงฉุดท่องเที่ยวสะดุด เบิกจ่ายต่ำเป้า คลังกุมขมับการเมืองร้อนกระทบรีดรายได้ มองภาษีมนุษย์เงินเดือนช่วยใช้จ่ายเพิ่ม 2.7 หมื่นล้านบาท

           วันนี้ (16 ธันวาคม 2556) นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ สศค. จะสรุปภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2556 รวมถึงปรับประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าใหม่ โดยในเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้เติบโตต่ำกว่า 3% ส่วนการส่งออกคาดว่าไม่เติบโต ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินไว้ว่าอยู่ที่ 0%

           "ก่อนหน้านี้ สศค.ประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตได้ในระดับ 3.7% หรือมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4% ซึ่งการส่งออกทั้งปีต้องอยู่ที่ 1.8% แต่จากสถานการณ์การเมืองในช่วงปลายปีทำให้นักท่องเที่ยวปรับลดลง การเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดไว้" นายสมชัยกล่าว

           สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2557 นั้นคงต้องปรับเป้าหมายลงจากเดิมคาดว่าจะโต 5.1% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะโตกว่าในปี 2556 แต่จะถึงเป้าหมายเดิม 7.5% หรือไม่นั้นคงต้องดูตัวเลขอีกครั้ง โดยเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2557 คือการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งหวังว่าการเมืองจะไม่ยืดเยื้อ โดยขณะนี้ต่างชาติก็ยังไม่ตื่นตระหนกกับปัญหาการเมือง เพราะไม่มีการปฏิวัติหรือนองเลือด

           ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนภาครัฐนั้นเดิมทีหวังให้การลงทุนจากโครงการ 2 ล้านล้านบาท และลงทุนน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทออกมาในปี 2557 ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท และลงทุนน้ำอีกหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะสร้างผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจถึง 1% แต่เมื่อทั้ง 2 โครงการชะลอย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่จะกระทบเท่าใดนั้นต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ยังไม่อยากประเมินหรือให้ตัวเลขอะไรตอนนี้

           ด้าน นางเบญจา หลุยเจริญ รักษาการ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ยอมรับว่าการชุมนุมทางการเมืองส่งผลให้การจัดเก็บภาษีในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลดต่ำลง แต่ในฐานะรัฐบาลรักษาการคงดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีไม่ได้ คงต้องรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาดำเนินการ แม้ว่าฝ่ายการเมืองจะทำอะไรไม่ได้ในช่วงนี้ แต่ฝ่ายราชการทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมภาษีทั้ง 3 แห่ง คือ สรรพากร ศุลกากร สรรพสามิต ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีในช่วงที่เหลือของปีงบ 2557 ไว้เสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่

           สำหรับการปรับโครงร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น คาดว่าจะมีผลกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปี เพราะภาษีลดลง และทำให้ผู้มีรายได้มีเงินในมือถึง 2.6-2.7 หมื่นล้านบาท ที่จะนำไปใช้จ่าย ซึ่งกระทรวงการคลังอยากให้บริษัทเอกชน หน่วยงานต่างๆ คำนวณอัตราภาษีใหม่ในเงินเดือนงวดเดือนธันวาคม 2556 ทันที เพื่อให้พนักงานมีเงินเหลือมากขึ้น และจะทำให้เงินเข้ามาหมุนในระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว

           ทางด้าน นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนธันวาคม 2556 เบิกจ่ายเงินไปแล้ว จำนวน 527,336 ล้านบาท คิดเป็น 20.88% ของวงเงินงบประมาณ โดยรวมเงินที่รัฐวิสาหกิจขอเบิกไปแล้วจำนวน 109,000 ล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นเดือนธันวาคม 2556 จะสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดคือ 22% ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีนี้ได้ถึงประมาณ 700,000 ล้านบาท หรือ 27.72% ของวงเงินงบประมาณ 2,525,000 ล้านบาท


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaipost.net/news/161213/83452-


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 17, 2013, 06:22:21 am
อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง เรื่องที่คนมีรถต้องรู้ !

-http://money.kapook.com/view77729.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง มีค่าใช้จ่าย หรือคนมีรถต้องจ่าย อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง เท่าไหร่ วันนี้เรามีบทความเรื่องนี้มาฝาก

          รถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของคนรุ่นใหม่เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักจะเห็นรถใหม่ป้ายแดงแล่นกันเกลื่อนถนน โดยเฉพาะรถเก๋งอีโคคาร์ที่กำลังฮิตและนับวันจะมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้หรือไม่ครับ ว่าในแต่ละปีเราต้องต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ กันอยู่เป็นประจำ ซึ่งหากคุณเป็นมือใหม่ หรืออยากได้ข้อมูลของการต่อ พ.ร.บ. วันนี้เรานำเรื่องน่ารู้ของ “อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง” มาบอกต่อกัน

          ซึ่งนอกจาก อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง แล้ว เรายังรวมอัตราค่าต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ มาฝากด้วย อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง และรถประเภทอื่น ๆ จะราคาเท่าไหร่บ้าง ลองไปดูกันเลย

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง และรถประเภทอื่น ๆ

          อัตราเบี้ยราคา พ.ร.บ. ที่กฎหมายกำหนด ของรถแต่ละประเภท  (รวมภาษี 7% แล้ว)

          รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง)                          เบี้ยรวม = 645.21  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ไม่เกิน 15 ที่นั่ง รถตู้     เบี้ยรวม = 1,182.35  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 15 คน  ไม่เกิน 20 ที่นั่ง         เบี้ยรวม = 2,203.13  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 20 คน  ไม่เกิน 40 ที่นั่ง         เบี้ยรวม = 3,437.91  บาท

          รถยนต์โดยสารเกิน 40 ที่นั่ง                               เบี้ยรวม = 4,017.85  บาท

          รถยนต์บรรทุกไม่เกิน 3 ตัน (ปิคอัพ)                   เบี้ยรวม = 967.28   บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 3 ตัน ถึง   6 ตัน                    เบี้ยรวม = 1,310.75  บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 6 ตัน ถึง 12 ตัน                    เบี้ยรวม = 1,408.12  บาท

          รถยนต์บรรทุกเกิน 12 ตัน                                  เบี้ยรวม = 1,826.49  บาท

          ทั้งนี้เมื่อไปต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ กับตัวแทนประกันต่าง ๆ ก็จะมีส่วนลดทำให้ราคาถูกกว่าที่กฎหมายกำหนด แน่นอนส่วนจะลดมากลดน้อยก็แล้วแต่ประกัน

          อัตราค่า พ.ร.บ. รถเก๋ง นักขับหน้าใหม่หลาย ๆ ท่านอาจโยนภาระนี้ให้ไฟแนนซ์จัดการ และเสียค่าบริการตั้งแต่ 100-500 บาทเลยทีเดียว แต่การต่อ พ.ร.บ.รถยนต์และการต่อทะเบียนรถ นั้นทำปีละครั้งหากมีเอกสารพร้อม รู้ขั้นตอนแล้ว ไปทำที่ขนส่งไม่เกิน 1 ชม. ก็เสร็จ ส่วนผู้ไม่มีเวลาก็จัดการต่อได้ในเว็บไซต์ของกรมการขนส่ง www.dlte-serv.in.th (http://www.dlte-serv.in.th) รับรองคุ้มค่ากว่าที่จะไปเสียเงินรับบริการแน่นอนครับ




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 24, 2013, 01:25:21 am
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 ฐานภาษีใหม่บังคับใช้แล้ว
-http://money.kapook.com/view78912.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก rd.go.th

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 ตามฐานภาษีใหม่ บังคับใช้แล้ว สรรพากรเชื่อจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

           วันที่ 23 ธันวาคม 2556 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 575) พ.ศ. 2556 หรือโครงสร้างภาษีใหม่ (อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556) ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

          โดยเหตุผลในการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ รัฐบาลมีนโยบายในการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเป็นธรรมในสังคม และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษีจะช่วยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีผลสำหรับเงินได้สุทธิของผู้เสียภาษีในปี 2556 และ 2557 โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้

(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w3822.jpg)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ประชาชาติธุรกิจ
(http://img.kapook.com/image/Logo/prachachad.jpg)

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2014, 08:39:29 pm
โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

-http://money.kapook.com/view79058.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อัตราภาษีใหม่ ต้องจ่ายหรือได้คืน อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 เท่าไหร่ เรามี โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 อัตราภาษีใหม่ มาฝาก

          ใกล้จะสิ้นปีแบบนี้ คนทำงานหลายคนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 อาจจะกำลังงง ๆ กับอัตราภาษีใหม่ ที่เพิ่งปรับใช้ จนต้องมองหา โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 กันยกใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องคำนวณรายได้แล้ว ยังต้องหักส่วนลดหย่อนประจำปีด้วย

          ดังนั้นเพื่อให้การคํานวณภาษี 2556 ของคุณเป็นเรื่องง่ายขึ้น กระปุกดอทคอมก็ขอนำ โปรแกรมคํานวณภาษี 2556 พร้อมอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มาฝากให้คุณได้สะดวกสบายมากขึ้นกันจ้า

          อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556

          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 มีการปรับลดฐานภาษีลงจากปีก่อน ทำให้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีการปรับลดลง ดังนี้


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2293;image)


    โปรแกรมคํานวณภาษี 2556

          -  เครื่องมือคำนวณอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
-https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax-
https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax (https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Tax)

          -  ดาวน์โหลดโปรแกรมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556
-http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013-
http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013 (http://www.scbam.com/brochure/funds-tax56.xls?n=14032013)

          การคำนวณภาษี

          สำหรับปีภาษี 2556

          (1) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมิน มีสิทธิคำนวณภาษีโดยใช้อัตราภาษีใหม่ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2556 สำหรับการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายของ เดือนธันวาคม 2556 ผู้จ่ายเงินได้มีสิทธิคำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่ เช่น การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นำเงินได้ที่จ่ายให้ผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงทั้งปี หักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 40 ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 60,000 บาท แล้วนำไปหักลดหย่อน ตามที่ผู้มีเงินได้แจ้งไว้ เหลือเงินได้สุทธิเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

          จากนั้นให้นำภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556  มาหักออก  ถ้ามีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติมเท่าใด ก็ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไว้เท่านั้น ถ้าไม่มีภาษีที่ต้องเสียเพิ่มเติม (เนื่องจากจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่หักไว้แล้ว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2556  มีจำนวนมากกว่าภาษีที่คำนวณได้) ผู้จ่ายเงินได้ ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด

          ตัวอย่างการคำนวณภาษี

          นาย ก. สถานะโสด ได้เงินเดือน 30,000 บาท (360,000 บาทต่อปี) มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ตั้งแต่ เดือนมกราคม - เดือนพฤศจิกายน 2556 เดือนละ 1,000 บาท (รวมเป็น 11,000 บาท) แต่ในเดือนธันวาคม 2556 ต้องคำนวณภาษี ณ ที่จ่าย ตามอัตราภาษีใหม่ ดังนี้

           รายได้ทั้งปี = 360,000 บาท

           หักค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000 บาท

           หักลดหย่อน = 30,000 บาท

           เหลือเงินสุทธิ = 270,000 บาท

           รวมภาษีที่ต้องจ่าย คิดตามอัตราภาษีใหม่ (รายได้ 150,001-300,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษี 5%) = 6,000  บาท

           นำมาลบกับภาษี ณ ที่จ่ายที่หักไว้แล้วตามอัตราเดิม = 11,000 บาท

           จะสามารถขอคืนภาษีได้ = 5,000 บาท

          (2) การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91) ซึ่งคำนวณภาษี โดยนำเงินได้พึงประเมิน หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีใหม่

          ได้รู้จักกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2556 พร้อมโปรแกรมคำนวณภาษีอัตราใหม่แล้ว ก็อย่าลืมใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระภาษีนะคะ


http://money.kapook.com/view79058.html (http://money.kapook.com/view79058.html)

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 07, 2014, 08:56:37 pm
นิสัยไม่ดี...ที่ทำให้เราไม่รวยสักที

-http://money.sanook.com/170964/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5...%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5/-


ถ้าให้ขอพรหนึ่งข้อ เชื่อแน่ว่าผู้คนจำนวนมากจะขอให้รวย แต่ไม่ว่าจะขอยังไง หากไม่ปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่างก็คงไม่มีวันรวยขึ้นมาได้ ลองมาดูกันว่านิสัยอะไรที่ฉุดรั้งเราไม่ให้เดินไปถึงคำว่ารวยสักที

1. กลัวและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีแล้ว จึงชอบที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่พัฒนา ไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต บางคนติดอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าคอมฟอร์ตโซน ทำให้ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต

2. ไม่ขยันไม่พอ ขี้เกียจอีกต่างหาก คนประเภทนี้มักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาอย่างไม่มีคุณค่า โดยไม่ได้นึกว่าเวลาในชีวิตคนเรามีจำกัดมาก เวลาทำงานก็อยากมีเวลาว่าง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองเลย

3. ฟุ้งเฟ้อ ชอบซื้อของแพงตามแฟชั่น สำรวจดูว่ารายได้กับรายจ่ายของเราไม่สัมพันธ์กันหรือไม่ ใช้จ่ายเกินตัวแบบคนรวย เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ไม่ขาดหรือเปล่า ทั้งๆ ที่สินทรัพย์เหล่านี้ขาดทุนทันทีตั้งแต่ซื้อ และยิ่งถือนานก็จะล้าสมัยและเสื่อมค่าลง ถ้าลองเปลี่ยนค่านิยมใช้รถหรูมาเป็นรถอีโคคาร์แทน ขณะที่มือถือ แท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ค เลือกใช้ในสเปคที่เหมาะกับการใช้งานและยี่ห้อรองลงมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนหลักล้านได้

4.ชอบกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หนุ่มสาวสมัยนี้มีค่านิยมผิดๆ คือชอบกู้ยืมเงินเพื่อจับจ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการรูดบัตรเครคิต บางคนรูดจนเพลิน แต่ต้องมานั่งกลุ้มใจตอนสิ้นเดือน

5.ชอบถือครองทรัพย์สินที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นของสะสมฟุ่มเฟือยราคาแพง เช่น กระเป๋า น้ำหอม และรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง ฯลฯ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะทำต่อเมื่อรวยแล้วเท่านั้น

6. ไม่เคยคิดที่จะเก็บออม อย่างน้อยที่สุดควรออมเงิน 10% ของรายได้ทุกเดือน โดยเมื่อได้เงินเดือนมาแล้วต้องหักเงินออมออกทันที แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ก่อนเหลือเท่าไรค่อยเก็บ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเหลือเก็บ

7. ไม่หาความรู้เรื่องการลงทุน การเก็บเงินไว้ในธนาคารอย่างเดียวไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด หากต้องการทำให้เงินของคุณงอกเงยมากขึ้น ต้องรู้จักวางแผนการลงทุน เช่นลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องรู้จักหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งการอ่านหนังสือ ไปอบรม ไปงานสัมมนา เป็นต้น

8.ไม่มีวินัยทางการเงิน สิ่งสำคัญทั้งหมดทั้งปวงคือ คุณต้องมีวินัย ถ้าต้องจะเก็บออมก็ต้องบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ทำ 2-3 เดือนก็เลิก

ทั้งหมด 8 ข้อที่ว่ามานี้ ถ้าหากคุณทำได้ อนาคตทางการเงินของคุณจะสดใสแน่นอน หากไม่เชื่อลองเริ่มทำดูตั้งแต่วันนี้กันเลยครับ



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 14, 2014, 05:59:38 am
เป็นหนี้บัตรเครดิต จะโดนยึดเงินเดือนไหม!!


-http://money.sanook.com/170812/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B6%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/-



เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ หมุนจ่ายไม่ทัน ใครเคยเป็นบ้าง ถ้าใครไม่เคยนับว่าเป็นเรื่องดีที่รู้จักการบริหารการเงิน แต่ถ้าใครกำลังเผชิญสภาวะนี้อยู่ ลองอ่านบทความนี้ดู

เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน โบนัส ได้หรือไม่

การใช้เงินอนาคตผ่านบัตรพลาสติก ทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดนั้น หากสามารถบริหารการเงินได้เป็นอย่างดี ใช้แล้วจ่ายตรงกำหนดเวลา จะได้รับประโยชน์มากทั้งการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัล และการเลื่อนเวลาการจ่ายเงินสดออกไป แต่หากไม่รู้เท่าทันการใช้เงินอนาคตเหล่านี้ หวังเพียงแค่โปรโมชั่นของแถมมากมายจากการสมัคร แล้วใช้จ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาจเป็นโทษมหันต์ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ก่อนเริ่มต้นทำบัตรเครดิตนั้น ผู้ใช้บัตรเครดิต จำเป็นต้องมี "วินัยในการใช้เงิน" คือ ต้องจ่ายชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด หากชำระเต็มจำนวนได้ยิ่งดี พยายามมีบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุดเพื่อควบคุมหนี้ ใช้จ่ายในวงเงินที่เราสามารถชำระคืนได้ และหมั่นตรวจสอบว่าในแต่ละเดือนมีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินเกินตัวหรือไม่ เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีพฤติกรรมดังกล่าว ควรเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินตั้งแต่เนิ่นๆ โดยการทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย พิจารณาให้ดีว่ารายจ่ายส่วนใหญ่เป็นของจำเป็นหรือฟุ่มเฟือย แค่นี้ก็ไม่ต้องปวดหัวกับการมีหนี้แล้วครับ

พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหา คือ รูดบัตรเครดิตใช้เงินล่วงหน้าก่อน อยากได้อะไรก็รูดๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพในการชำระหนี้ ว่าจะมีเงินชำระหนี้หรือไม่ จะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อวงเงินเต็มไม่สามารถรูดได้อีกนั่นล่ะครับ พอนานวันเข้าก็หาทางออกด้วยการกู้เงินจากบัตรกดเงินสดมาชำระหนี้บัตรเครดิต และกู้หมุนเวียนสลับไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ยังหมุนเงินคล่องมือ แต่หลังจากมีหนี้หลายใบ ก็เริ่มกู้เงินไม่ได้แล้ว พอเงินหมุนไม่คล่อง ไม่สามารถจ่ายเจ้าหนี้ได้ จากที่เคยรูดหรือกดเงินสดได้ ก็เริ่มเป็นกังวลกับการที่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ กลัวเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ถึงที่ทำงาน ซึ่งปัญหาหนี้เหล่านี้ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายที่ยังคงมีความสามารถชำระหนี้ได้ ไม่กล้าไปทำงานหรือบางรายลาออกไปเลยก็มี

สำหรับผู้ที่เป็นหนี้สินมากมายและไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้วนั้น ข้อควรรู้ประการหนึ่ง คือ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำรงชีพ เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ อุปกรณ์เครื่องครัว โทรทัศน์ หรือ ทรัพย์สินที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ แต่หากเป็นทรัพย์สินมีค่าอย่างอื่น เช่น บ้าน รถยนต์ เงินฝากในบัญชีธนาคาร สร้อย แหวน ทองคำ กรมบังคับคดีมีสิทธิ์ที่จะยึดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้

สำหรับคำถามเจ้าหนี้สามารถอายัดเงินเดือน หรือโบนัส ได้หรือไม่นั้น หลักเกณฑ์การอายัดเงินเดือนที่ควรทราบไว้ คือ ลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือเป็นพนักงานบริษัทแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิ์อายัดเงินเดือนเพื่อใช้หนี้ได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือนเท่านั้น ทั้งนี้ หากมีค่าใช้จ่ายจำที่จำเป็นอื่นๆ อีก เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ซึ่งเจ็บป่วยอยู่ สามารถนำหลักฐานเพื่อลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้อีก

ข้อควรรู้อีกประการ คือ หากลูกหนี้มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เจ้าหนี้ไม่สามารถสั่งอายัดเงินเดือนได้ เนื่องจากต้องเหลือเงินขั้นต่ำให้ใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันด้วย กรณีที่มีเงินเดือนมากกว่า 10,000 บาท ยกตัวอย่างเช่น มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ลูกหนี้จะถูกอายัดเงินได้สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายแต่ละเดือน 14,000 บาท เป็นต้น

นอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว เงินได้และทรัพย์สินอื่นๆ เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้หรือไม่นั้น สำหรับบัญชีเงินฝาก เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้ทั้งจำนวน ในส่วนของรายได้อื่น เช่น เงินโบนัส หากเป็นช่วงสิ้นปีแล้วมีโบนัส เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 50% ในส่วนของทรัพย์สินที่เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือหากร่วมทุนอยู่กับผู้อื่นเปิดบริษัท กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาด และอายัดทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เป็นของผู้ถูกอายัดเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ทั้งจำนวน

จะเห็นได้ว่าการเริ่มต้นเป็นหนี้นั้น ไม่ได้เป็นการได้เงินมาใช้ฟรีๆ เพียงแต่เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ต้องใช้คืนหนี้ทั้งเงินต้นรวมทั้งดอกเบี้ย หากคุณเป็นผู้ที่ยังเป็นหนี้ไม่มากนักและพอที่จะชำระหนี้ไหว ต้องการที่จะปลดหนี้เพื่อความเป็นไทให้กับตัวเอง เริ่มต้นวันนี้ยังไม่สายครับ เพียงแค่จัดการโอนหนี้รวมเป็นก้อนเดียว มีบัตรเครดิตเพียงแค่เพื่อใช้จ่ายได้สะดวกหรือยามจำเป็น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องพยายามรักษาเครดิตคุณไว้ให้ดี เพราะหากก่อหนี้เสียไว้แล้ว และต้องการกู้ซื้อบ้านหรือทำธุรกิจในอนาคต อาจดับความฝันในอนาคตได้

 

โดย : คนอง ศรีพิบูลพานิชย์, AFPT
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 24, 2014, 05:54:34 am
เงิน 800 บาทกินทั้งเดือน เรื่องเล่าให้กำลังใจคนท้อแท้

-http://money.kapook.com/view80796.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทำให้การใช้ชีวิตของแต่ละคนต้องเป็นไปอย่างประหยัดมัธยัสถ์ หรือบางคนก็อาจจะไม่พอใช้จ่ายรายเดือนเลยด้วยซ้ำ จนกลายเป็นความท้อแท้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลังและเบื่อชีวิตเอาดื้อ ๆ ซึ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังเหนื่อยหรือท้อกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ลองมาอ่านบทความดี ๆ ที่กระปุกดอทคอมได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ จาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผู้ซึ่งสามารถใช้ชีวิตทั้งเดือนได้ด้วยเงิน 800 บาท ในวันที่เขาหมดหนทางจริง ๆ ลองไปอ่านเพื่อเตือนสติตัวเองให้กลับมาฮึดสู้อีกครั้งกันนะคะ ^^

          ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง ....กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...... สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้ โดย คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          จะเล่าอะไรให้ฟังนิดหนึ่งครับ พอดีนึกถึงตัวเองตอนมาหางานทำที่กทม. เมื่อสองปีที่แล้ว (ทั้งหมดนี่ คือเรื่องจริง 100% ทีเกิดขึ้นกับผม)

          ประมาณสองปีก่อน ผมตกงานอยู่ที่ ตจว. ค้างค่าเช่าบ้านเขา (เดือนละ 1,200 บาทก็ยังหาไม่ได้) เลยมาหางานทำที่ กทม. เพราะงานที่ ตจว.หายากมาก ๆ มีเงินติดตัวมาทั้งหมด 2 พันบาทถ้วน (เอามือถือ เอา ram Hdd ไปขาย) โทรศัพท์เอาอันเก่าที่หน้าจอแตก มองอะไรไม่เห็น เอามาใช้ชั่วคราวก่อน เพื่อโทรหาลูก-เมียที่บ้าน หอบเสื้อผ้า กระเป๋า มากทม. คนเดียว ลูก-เมีย ทิ้งไว้ที่ ตจว. เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สุดในชีวิตเลย มาเพื่อวัดดวงกันเลยจริง ๆ

          นั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ ตี 4 มาลง กทม. ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถเมล์ฟรีต่อมายังย่านที่คิดว่า ค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายถูก ๆ ที่เล็งไว้ก็คือ ประชาอุทิศ พระประแดง สุขสวัสดิ์ ทุ่งครุ (หาข้อมูลไว้ก่อนแล้วว่าแถวนี้ ค่าเช่าถูก โรงงานเยอะน่าจะมีงานให้ทำเยอะเช่นกัน)

          ผมไปเดินหางานร้านคอมฯ ร้านของชำ โรงงาน ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร คาร์แคร์ ฯลฯ ร้านไหนติดป้ายหน้าร้านบอกรับคนงาน พนักงาน ก็เข้าไปสมัครกับเขาเลยไม่อายอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นงานอะไรก็ทำหมด ของานเขาทำ ค่าแรงไม่เกี่ยงเดินหางานอยู่ เกือบ 1 วัน ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่จะจ้างผู้หญิง หรือไม่ก็คนอายุน้อย ๆ (ตอนนั้นผม 35 แล้วนะครับ)

          จนได้งานร้านขายคอมฯ เขาจ้างให้เฝ้าร้านและประกอบคอม ค่าแรงวันละ 300 บาท พรุ่งนี้มาทำได้เลย ดีใจมาก ผมยังไม่มีห้องพัก เลยหอบกระเป่าเสื้อผ้าไปนอนร้านเกมส์

          ย้ำว่าไปนอนร้านเกมส์ คือเดินไปเดินมานั่งป้ายรถเมล์จนดึก แล้วก็ไปนั่งร้านเกมส์ เช่าคอมฯ เขา (เขามีเหมา 1 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า ที่ 80 บาท) เลยวางของตรงนั้น นั่งเล่นเกมคร่าเวลาไป พอดึกก็นั่งหลับตรงนั้นเลย เงิน 80 บาทถือเป็นค่าที่พักห้องแอร์ มีเกมส์เน็ตให้เล่น 555 พอเช้า ตีห้า ตื่นมาก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินไปปั๊มน้ำมันใกล้ ๆ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปทำงานวันแรก (แต่ไม่ได้อาบน้ำ ทนเหม็นหน่อยเอาแป้งเด็กทาตัวดับกลิ่นไปก่อน) ไปทำงาน และตอนพักเที่ยง เดินไปหาหอพักแถว ๆ นั้น (ผมไปอยู่แถว ๆ ม.พระจอมเกล้าฯ บางมด)

          เจอห้องพักราคาถูกเดือนละ 1 พันบาทไม่ต้องมัดจำ รวมน้ำไฟแล้ว เลยสนใจมาก เป็นห้องพักเก่า ๆ ตึกอาคารพานิชย์เก่า ๆ แบ่งห้องให้เช่า ในห้องไม่มีอะไร นอกจากพัดลมเพดาน กับเสื่อน้ำมันเก่า ๆ ห้องน้ำรวม ห้องน้ำก็เก่ามาก ๆ ไม่มีฝักบัว มีแต่ก๊อกกับโอ่งดินเก่า ๆ เล็ก ๆ รองน้ำกับขัน 1 ใบ ในตึก มีทั้งหมด 20 ห้อง มีคนอยู่ประมาณ 4 ห้อง ที่เหลือร้างหมด ดึก ๆ เหมือนตึกร้างเลย แต่ผมไม่กลัวผีหรอกนะ เลยเอาเงินวางจอง 1 พันบาท หอบเสื้อผ้าไปนอนวันนั้นเลย

          ได้ที่พักแล้ว 1 เดือน ได้งานทำแล้ววันละ 300 บาท ครบองค์ประกอบการรอดชีวิตแล้ว  (ลืมบอกไปว่า ก่อนผมจะมากทม. ผมยืมเงินพี่ข้างบ้านไว้ 1 พันบาท ทิ้งไว้ให้ลูก-เมียกิน ตัวผมเอาเงินจากขายของมา 2 พันบาท) เงินเหลือติดตัวทั้งสิ้นประมาณ 800 บาท ณ วันที่ 1 ของเดือน ต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือนกับเงินสุดท้ายนี้ เพื่อเงินเดือนออกจะได้รอด ผมเดินไปทำงาน เพราะมันไม่ไกลมากประมาณ 3 กิโล ถ้าโชคดีเจอรถเมล์ฟรี ก็โดดขึ้นเลย

          ทำงาน ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเอา

          ตอนเย็นเลิกงาน ไปซื้อข้าวเปล่า 10 บาท กับปลากระป๋อง ยี่ห้อ ซีเล็ครสเผ็ด (กระป๋องเขียว ๆ) ราคา 14 บาท (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง) รวมแล้ว 24 บาท (เอาขวดเปล่ากดน้ำตู้ 1 บาทไว้กิน) ผมซื้อปลากระป๋องแทบทุกวัน จนเด็กในร้านจำผมได้ เท่ากับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ ด้วยเงินวันละ 25 บาทเท่านั้น 30 วัน x 25 บาท ผมใช้เงินทั้งหมด 750 บาท

          ผมกินข้าวกับปลากระป๋อง เกือบทั้งเดือน ถ้าเบื่อผมก็เอาเงิน 25 บาทที่เป็นงบค่ากิน ไปซื้อข้าวไข่เจียวกล่องละ 20 บาท + ลูกชิ้น 1 ไม้ 5 บาท หรือหมูปิ้งไม้ละ 5 บาท 3 ไม้ + ข้าวเหนียว 10 บาท ก็สามารถอิ่มได้ มันสนุกที่จะทำไง ให้เงิน 25 บาท ซื้อของกินให้ได้มากที่สุด อิ่มที่สุด

          ผมซื้อปลากระป๋อง เซเว่นทุกวัน จึงเอาเงินสดเติมเข้าบัตร เซเว่นไป 500 บาท แล้วใช้เงินในบัตรซื้อปลากระป๋อง จนได้แต้มมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต้มนั้นแลกเป็นของอย่างอื่น เช่น มาม่า ขนมปัง นม ฯลฯ แล้วแต่ว่าพอหรือเปล่า

          ผมไม่มีเงินเติมมือถือ รับสายได้อย่างเดียว ตอนนั้นของ true มีบริการยืมเงินค่าโทรได้ 30 บาท ผมก็กดยืมเพื่อเอาไว้โทรหาลูกเมียที่บ้าน วันเว้นวัน โทรวันละ 2-3 นาทีก็รีบวาง หรือไม่ก็ให้เมียสมัครโปร 9 บาทโทรฟรี 2 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า โทรมาหาผมแทน

         ยอมรับว่าตอนอยู่คนเดียว คิดถึงลูกมาก และเป็นห่วงเมียที่กำลังท้องอยู่ด้วย ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปช่วยยังไง ลูกป่วยจะทำไง ฯลฯ แต่ก่อนมาก็ฝากพี่ข้างบ้านช่วยดูแลไว้แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนั้นตลอดเวลา

         ลืมบอกสิ่งที่ผมคิดว่า ผมก็ประทับใจตัวผมจนทุกวันนี้ (ชมตัวเองก็เป็น) ที่สุดก็คือทุกวันศุกร์ตอนเลิกงานแล้ว ผมจะนั่งรถเมล์ฟรีสาย 21 ไปลงหัวลำโพง และต่อรถไฟฟรีเพื่อกลับไปหาลูกเมียที่ลพบุรี ขึ้นรถเที่ยวสามทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิด) ไปถึงลพบุรีประมาณเที่ยงคืน ขอยืมจักรยานของจนท.รถไฟ ขี่ไปหาลูกที่บ้าน (ขอยืมเขา พี่เขาก็ใจดีให้ยืมทุกครั้ง) แล้วอยู่กับลูก-เมียเย็นวันอาทิตย์ ก็นั่งรถไฟฟรีกลับ กทม. มาทำงานตอนเช้าวันจันทร์ต่อ ผมทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่ไม่ได้เจอลูก-เมีย

          จนถึงวันที่ 30 ที่เงินเดือนแรกจะออก น้ำหนักผมลดไป 5 กิโลกรัม แต่ไม่เป็นไรไม่ป่วยอะไร ผมเหลือเงินติดตัวสุดท้าย 50 บาทในวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนออก เย็นนั้นผมเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวมันไก่ 30 บาท + น้ำอัดลม 15 บาท

          จำได้จนถึงวันนี้ว่า เป็นมื้อที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เพราะ.....ผมได้อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ ด้วยเงินแค่ 800 บาทอยู่ได้ทั้งเดือน

          หลังจากเงินเดือนออก 9,000 บาท ผมก็เอาเงินไปมัดจำห้องคอนโดเก่า ๆ มีห้องน้ำในตัว เช่าเดือนละ 1,500 บาท แล้วที่เหลือ ผมก็ไปพาลูก-เมียมาอยู่ด้วยกัน (ตอนนั้นเมียกำลังท้องประมาณ 6 เดือน) เหลือเงินจากหักย้ายบ้าน มัดจำคอนโดแล้ว เหลือประมาณ 5 พันบาท ซึ่ง 5 พันบาทนี้สำหรับ 3 ชีวิต และ อีก 1 ชีวิตในท้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว กินได้อาทิตย์ละ 1 พันเหลือเฟือเลย นั่นแหละครับ ชีวิตที่ต้องเสี่ยงและเดิมพันเพื่อคนอื่น ทุกอย่าง ทุกปัญหามีทางออกครับ เพียงแต่เราต้องใช้สติและปัญญาให้รอบคอบ

         เพิ่มเติมครับสำหรับท่านที่เป็นห่วง เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ "สองปีที่แล้ว" ก่อนลูกคนเล็กจะคลอดครับ ณ วันนี้ ผมก็อยู่ได้เรื่อย ๆ ครับ ไม่ถึงกับรวย แต่ก็ไม่ลำบากมาก สิ่งที่ผมเจอมานั้น อยากจะแชร์ให้ท่านที่คิดว่า ท้อ เหนื่อย เบื่อ เครียด เสียใจ ฯลฯ กับชีวิตที่สิ่งไม่ดีเข้ามาหาเรา

         ผมอยากให้ท่านอย่าถอย จงสู้กับมันครับ สู้ด้วยสติ และพิจารณาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางสิ่งเรามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจ ทางหลาย ๆ อย่างมันมีทางออกแน่นอน

         - คนตกงาน ขอให้สู้ต่อครับ ผมก็ตกงานเกือบครึ่งปีมาก่อน

         - คนเป็นหนี้สิน หาทางสู้ครับ ผมก็เป็นหนี้มากมายก่อนเป็นแสน ๆ

         - คนมีปัญหาครอบครัว หันหน้าคุยกันครับ มีอะไรจะพูด บอกให้หมดทุกอย่าง แล้ว ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ฯลฯ

          ผมเชื่อว่าเราทุกคน ท้อได้ แต่อย่าถอยครับ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพัก ให้หายเหนื่อย แล้วลุกขึ้นเดินต่อครับ สักวันหนึ่ง มันต้องเป็นของเรา ช้าได้แต่ขอให้สู้ครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 09:22:10 am
ประกันสังคม เริ่มจ่ายบำเหน็จ บำนาญ มกราคม 2557

-http://money.sanook.com/173048/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%88-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8D-%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2557/-


รู้หรือไม่ นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2557 เป็นต้นไป ผู้ประกันตนกับประกันสังคมซึ่งอายุครบ 55 ปี จะได้รับบำนาญชราภาพ หลังจากที่สะสมมาจนครบ 15 ปี หรือ 180 เดือน

โดยผู้ประกันตนที่หักเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเกินกว่า 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญ โดยมีวิธีคิดคือ

1. ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นมาตราฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

2. กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน

3. ค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท


ตัวอย่างการคิดบำนาญชราภาพ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2335;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2336;image)


โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิกรณีบำนาญชราภาพต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
แต่หากคุณส่งเงินประกันสังคมมาไม่ถึง 15 ปี หรือ 180 เดือน คุณจะได้รับเป็นเงิน "บำเหน็จ" แบ่งเป็น 2 กรณี
- กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
- กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำเหน็จชราภาพ
- จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย


หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทน

- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกันตนและของทายาทผู้มีสิทธิ (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
- ใบมรณะบัตรพร้อมสำเนา (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
- สำเนาสมุดบัญชี เงินฝากธนาคารหน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 9 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด(มหาชน)



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 06:07:41 am
7 Habits of Rich People

-http://women.sanook.com/18520/7-habits-of-rich-people/-

มาต้อนรับปีใหม่ 2014 ด้วย 14 นิสัยเศรษฐีที่เราสามารถทำตามกันได้ง่ายๆ กันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งนิสัยเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ออกมาจากตัวเรา ไม่ต้องบังคับ หรือไม่เราก็อาจคิดนิสัยอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้เอง ก็ในเมื่อเราเองก็เป็นหนึ่งในเศรษฐีกับเขาด้วยเช่นกัน

1. ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หามาได้เสมอ – ไม่ว่าเงินเดือนจะขึ้น จะมีการปรับตำแหน่ง ได้โบนัส อย่าได้ลืมคาถาข้อนี้ ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้เสมอ และเงินที่หาได้ไม่สำคัญเท่ากับเงินที่เก็บได้
2. อย่าเป็นหนี้ – โอเค หนี้ที่สำคัญๆ เช่น บ้าน หรือรถคันเล็กๆ ที่พอให้เรามีความสะดวกสบายในการทำมาหากิน เป็นเรื่องพออนุโลมได้ แต่อย่าหาเรื่องเป็นหนี้ให้มากเกินไป
3. หากเป็นหนี้ รีบใช้หนี้ให้หมดให้เร็วที่สุด – โดยเรียงลำดับจากหนี้ที่มีดอกเบี้ยโหดที่สุด เช่น หนี้บัตรเครดิต ได้เงินมาให้ชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วห้ามก่อหนี้เพิ่มเป็นอันขาด
4. จัดลำดับความสำคัญในชีวิต – เมื่อลองจัดดู เราจะเห็นว่าเราควรจะใช้เงินไปกับอะไรมากที่สุดก่อน โดยเฉพาะเรื่อง ที่อยู่ ความรู้ เงินเก็บ ประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งจะทำให้เราสามารถมีอิสระทางการเงินได้อย่างแท้จริงในอนาคต
5. สร้างเป้าหมายเก็บเงิน – โดยดูจากรายได้และรายจ่ายตามจริง พยายามตัดรายจ่ายไร้สาระออกให้ได้มากที่สุด และหารายได้เพิ่มตามกำลังที่สามารถ

6. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น – ไม่มีใครรู้หรอกว่าอีกคนหนึ่งที่เรากำลังจ้องมองเขาอยู่ แท้จริงแล้วเขามีชีวิตอย่างไร ที่บอกว่ามีหรือไม่มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของเรา จงตั้งใจพัฒนาสิ่งที่เรามีให้ได้เกิดคุณค่ามากที่สุดจะดีกว่า
7. หาความสุขง่ายๆ – อย่างที่เคยบอกไปแล้วในคอลัมน์นี้ว่า คนที่มีเงินจริงๆ มักมีชีวิตง่ายๆ ธรรมดาๆ ซึ่งใช่ว่าคนเหล่านี้จะทุกข์ยากในไลฟ์สไตล์ของเขานะ ก็เพราะมีความสุขได้ง่ายๆ นี่เองที่ทำให้เขามีเงินเก็บและทรัพย์สินมากมาย เป็นเศรษฐีจริงๆ ไม่ใช่เงินผ่อน รู้อย่างนี้แล้ว เริ่มทำตัวง่ายๆ ไม่ต้องประดิษฐ์มากไปจะดีไหม


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2014, 08:59:49 am
ในสภาพเช่นนี้ซื้อทองดีไหม ?

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU1UYzJNek00TUE9PQ==&sectionid=-

คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ไสว บุญมา

เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นครั้งแรกในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นไปแบบอธิบายได้ยาก ที่ราคาตอนสิ้นปีต่ำกว่าราคาตอนต้นปี แต่ปรากฏการณ์นั้นคงบ่งชี้ไม่ได้ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไปทางไหนในปีนี้ สิ่งที่บอกได้แน่นอนมีอย่างเดียว นั่นคือในระหว่างที่ราคาขึ้นบ้างลงบ้างสลับกันไปเป็นรายวันนั้น ผู้เข้าร่วมในกระบวนการเก็งกำไรบางคนได้กำไรและบางคนขาดทุน ดังที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มมีการเก็งกำไรในทองคำ

คงทราบกันดีแล้วว่า ปัจจัยใหญ่ที่ผลักดันให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น มักได้แก่ข่าวร้ายในด้านเศรษฐกิจ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เกิดภาวะฟองสบู่ในอเมริกาสองครั้ง

ครั้งแรกเกิดจากราคาหุ้นของบริษัทที่ทำกิจการด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นไปจากการผลักดันของนักเก็งกำไรแบบไร้เหตุผล จนเป็นภาวะฟองสบู่ซึ่งปะทุออกมาเมื่อปี 2543 การปะทุนั้นส่งผลให้ นักเก็งกำไร และ ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สูญทรัพย์ไปจำนวนมาก

ต่อมาการเก็งกำไรมุ่งไปที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคาบ้านพุ่งขึ้นไปแบบไร้เหตุจนเป็นฟองสบู่ซึ่งปะทุออกมาเมื่อปี 2551 การปะทุครั้งนี้มีผลร้ายแรงมาก เนื่องจากทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเมื่อครั้งฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์แตกเมื่อปี 2472 รัฐบาลและธนาคารกลางอเมริกันทุ่มเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังจะหยุดยั้งการถดถอยครั้งล่าสุด การกระทำนั้นสร้างความเสียขวัญให้หลากหลายวงการ รวมทั้งในหมู่นักเก็งกำไรและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย หลายวงการมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะตกต่ำอย่างหนัก พร้อมกับจะเกิดภาวะเงินเฟ้อร้ายแรง ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้มองว่าประเทศที่ถือครองเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจีนจะทิ้งเงินดอลลาร์ และนำสิ่งอื่นมาเป็นทุนสำรองแทน

ปัจจัยเหล่านั้นผลักดันให้นักเก็งกำไรและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หันไปซื้อทองคำ จนทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปแบบไม่เคยเกิดมาก่อน

หลังเวลาผ่านไปราว 3 ปี ปรากฏว่าไม่มีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น ค่าของเงินดอลลาร์ไม่ตกต่ำ จีนและผู้มีเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลยังคงถือครองมันไว้ ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อไม่เกิด ได้แก่ กำลังซื้อของคนทั่วไปมิได้เพิ่มขึ้นไปตามจำนวนดอลลาร์ในระบบ จีนและผู้ถือครองเงินดอลลาร์ไม่สามารถแสวงหาสิ่งอื่นมาแทนดอลลาร์ได้ เพราะไม่มีเงินสกุลไหนเป็นที่นิยมเท่าดอลลาร์ ค่าของเงินดอลลาร์จึงไม่ตก เมื่อภาวะเลวร้ายไม่เกิดขึ้นตามคาด ราคาของทองคำจึงตก

อย่างไรก็ตาม ความไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และเงินสกุลต่าง ๆ ที่รัฐบาลสร้างขึ้นยังคงอยู่ ความไม่เชื่อมั่นนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การสร้างทรัพย์สินใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่งซึ่งชื่อว่า "บิตคอยน์" ทรัพย์สินนี้มีลักษณะคล้ายทองคำและเงินตราในบางแง่ แต่มันไม่มีตัวตนที่จับต้องได้ เนื่องจากมันมีสภาพเป็นเสมือนจริงหรือสิ่งสมมติที่เอกชนสร้างขึ้น เป็นหน่วยทางบัญชีที่บันทึกไว้ในระบบดิจิทัลเท่านั้น

บิตคอยน์มีลักษณะคล้ายทองคำ เนื่องจากมันมีจำกัดและใครก็สามารถเข้าไปแสวงหาซึ่งเรียกว่า "ทำเหมือง" ได้โดยใช้เครื่องมือ เช่นการทำเหมืองทองคำทั่วไป ยกเว้นเครื่องมือที่ใช้เป็นคอมพิวเตอร์ ผู้ที่มีพลังทางคอมพิวเตอร์สูงและสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ผู้สร้างระบบบิตคอยน์ตั้งไว้ได้เร็วกว่าใคร ๆ จะได้บิตคอยน์เป็นผลตอบแทนสูงเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุนี้จึงมีการแข่งขันกันลงทุนซื้อ หรือสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อทำเหมืองบิตคอยน์กันอย่างเข้มข้นจนในขณะนี้ผู้ที่เชี่ยวชาญและมีทุนมาก ๆ เท่านั้นจึงจะทำเหมืองได้

ส่วนพวกนักเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ ทำได้เพียงเข้าไปร่วมทุน บิตคอยน์มีส่วนคล้ายเงินตรา เนื่องจากมันเริ่มได้รับการยอมรับว่ามีค่าในหลายวงการ แลกเปลี่ยนกับเงินตราสกุลต่าง ๆ ได้ ใช้เป็นตัวกลางในการซื้อสินค้า และบริการของกิจการที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศได้ และเก็บไว้เป็นทรัพย์สินสะสมได้

บิตคอยน์เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 ซึ่งตรงกับช่วงที่ฟองสู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาปะทุ แต่ค่าของมันเพิ่งมาพุ่งขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว

เมื่อมันเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวางขึ้นพร้อม ๆ กับนักเก็งกำไรเข้าไปร่วมซื้อมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนที่เคยเป็น 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์

ในตอนเริ่มต้นกลายเป็นกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนที่ค่าของมันจะตกลงมาเกือบครึ่ง การตกครั้งนั้นมีต้นเหตุสำคัญจากธนาคารกลางจีนเข้าไปห้ามสถาบันที่ให้บริการด้านบิตคอยน์ทำธุรกรรมบางอย่าง เฉกเช่นการขึ้นลงของราคาทองคำ การเปลี่ยนค่าของบิตคอยน์ก็ทำให้บางคนได้กำไรและบางคนขาดทุน

คำถามเกิดขึ้นเสมอว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังตกอยู่ในภาวะค่อนข้างซบเซาและไม่แน่นอนสูงนี้ จะนำเงินออมที่มีอยู่ในมือไปซื้อทองคำและบิตคอยน์ดีไหม

คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่จะทำให้เกิดความมั่นใจได้เต็มร้อย เนื่องจากไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ใครที่ตอบว่าเขารู้
โดยเฉพาะผู้ที่ชักชวนให้เราไปร่วมลงทุนด้วยเป็น คนโกหก ฉะนั้น อย่าไปตกหลุมพรางเขา อย่างไรก็ตาม ขอเสนอบางอย่างให้พิจารณา

ข้อแรก การซื้อสิ่งเหล่านั้นเป็นการเก็งกำไร ซึ่งโดยทั่วไปมักมีโอกาสขาดทุนสูงเงินที่นำไปซื้อหรือร่วมลงทุนกับผู้อื่นจึงควรเป็นเงินที่สูญได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนต่อครอบครัวและตัวเอง ข้อนี้มีความหมายด้วยว่าอย่าเข้าร่วมวงการเก็งกำไรโดยใช้เงินกู้

ข้อสอง ทองกับบิตคอยน์ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทองเป็นสิ่งของที่จับต้องได้และมีประโยชน์ในการใช้สอย ส่วนบิตคอยน์เป็นสิ่งสมมติที่ยอมรับกันในวงการเอกชนว่ามีค่าเท่านั้น โดยไม่มีรัฐบาลไหนให้การรับรองว่ามีค่าเช่นเงินตราของตน เมื่อมันหล่นหายหรือขาดการยอมรับเมื่อไรมันก็หมดค่า

ข้อสาม ศึกษาและหาข้อมูลให้มากที่สุดมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเมื่อได้กำไร หรือเสียใจและพยายามตามไปเอาคืนเมื่อขาดทุน เฉกเช่นนักเล่นการพนัน

ข้อนี้เป็นวิธีของจอร์จ โซรอส ซึ่งใช้ได้ผลมานาน มันยังน่าจะใช้ได้ในกรณีด้วย


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 08:21:33 am
แนะ5ข้อง่ายๆใช้จ่ายเงินอย่างมีสติ

-http://money.sanook.com/175550/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B05%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4/-


กับสถานการณ์การเมืองที่กำลังตึงเครียดอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องม็อบ เรื่องจำนำข้าว การเลือกตั้ง เศรษฐกิจ หลายคนๆก็ต้องทำหน้าที่ของแต่ละคน ต่างก็ต้องทำมาหากิน ฉะนั้นการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องระมัดระวังดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินให้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ้านเมืองแบบนี้ด้วย ซึ่งวันนี้ทีมงาน Sanook Money มีข้อแนะนำดีๆมาเตือนสติในการใช้จ่ายเงินให้อ่านกันครับ

1.อย่าเป็นทาสของเงิน ต้องนึกอยู่เสมอว่า เงินเป็นเพียงตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการ เราก็จะไม่ผูกติดว่า ต้องมีเงินเราจึงจะสามารถทำอะไรๆ ได้ เพราะเราสามารถจะทำของขึ้นมาใช้เอง หรือทำสินค้าหรือนำบริการของเราไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการของผู้อื่นได้

2.มีสติในการใช้เงิน ต่อให้มีเงินมากมายเพียงใด หากไม่มีสติ ใช้เกินตัวอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้หมดตัวได้ การใช้เงินต้องมีสติ เห็นข้าวของลดราคาต้องนึกก่อนว่า จะได้ใช้หรือไม่ ถ้าได้ใช้อยู่แล้ว และซื้อได้ในราคาถูก ก็ซื้อเลย จะได้ประหยัดเงิน แต่ถ้าไม่มีโอกาสใช้จริงๆ ซื้อมาก็จะเสียเปล่า สู้เก็บเงินเอาไว้ใช้อย่างอื่นที่จำเป็นไม่ได้

3.หลีกเลี่ยงจากการพนัน ไม่มีใครรวยเพราะการพนัน ยกเว้นเจ้ามือ และเจ้ามือก็ไม่ได้รวยเสมอไปด้วย เจ้ามือที่ล้มไปก็มีจำนวนมาก บางคนบอกว่าเล่นสนุกๆ ฆ่าเวลา แต่หากไม่มีสติแล้ว มันจะเป็นการฆ่าเวลาที่แพงมากทีเดียว

4.เงินไม่อยู่คงทนตลอดไป แม้จะไม่ได้ใช้ แต่อำนาจซื้อที่แท้จริงก็หดหายไปได้ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูง ดังนั้น จึงต้องรู้ที่จะเก็บรักษาเงิน และต้องเก็บแบบไม่ให้อำนาจซื้อหดหายไป จึงควรนำไปลงทุนเพื่อให้งอกเงย แต่ต้องดูแลและลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ และที่สำคัญต้องไม่โลภ

5.เงินทองเป็นของนอกกาย ความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวต่างหาก ที่สำคัญกว่า เคยได้ยินนิทานที่ให้เลือกของขวัญสามอย่างไหม เรื่องมีอยู่ว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งเปิดประตูมา พบคนแก่สามคนยืนหนาวสั่น จึงดูแลเป็นอย่างดี แล้วเชิญเข้าบ้าน ทั้งสามบอกขอบใจแล้วตอบว่าทั้งสามเป็นเทวดา เข้าไปพร้อมกันไม่ได้ ให้เลือกเข้าไปเพียงหนึ่งเดียว และเมื่อเลือกแล้วก็จะได้พรตามนั้นตลอดไป สามองค์นั้น คือ ความร่ำรวย ความสุข และความรัก สามีภรรยาคู่นี้คิดว่า เชิญความร่ำรวยเข้ามา เราก็จะสบาย ไม่ต้องลำบากทำงานอีก หรือจะเชิญความสุขเข้ามาเราก็น่าจะอยู่แบบมีความสุขไปตลอด หารือกันเพื่อตัดสินใจอยู่ ครู่ใหญ่ และสุดท้ายก็เชิญ เทวดาแห่งความรักเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่า เทวดาความร่ำรวยและความสุข เดินตามเข้ามาด้วย จึงถามว่า ท่านบอกว่าเข้ามาได้เพียงองค์เดียว เหตุใดท่านจึงเข้ามาทั้งสามองค์ เทวดาตอบว่า เมื่อมีความรัก ความร่ำรวยและความสุขก็จะตามมา ดังนั้น จึงเข้ามาได้ทั้งหมด




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 10:38:40 am
ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิต

-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/216055/%E2%80%98%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E2%80%99+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-


มีกรณีปัญหาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและได้ร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มักเป็นประเด็นปัญหาการชำระหนี้ ค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยปรับ

วันเสาร์ 15 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.

“ใครมีบัตรเครดิตยกมือขึ้น” ยุคนี้สมัยนี้การมีบัตรเครดิตคงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือการจะมีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่ที่เป็นประเด็นปัญหากันมากคงเป็นเรื่องการไม่มีวินัยหรือความรู้ไม่เท่าทันกับพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตของเจ้าของบัตรเครดิตมากกว่า

มีกรณีปัญหาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและได้ร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มักเป็นประเด็นปัญหาการชำระหนี้ ค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยปรับ บัตรเครดิตหายซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดจากการขาดวินัยและความรู้ไม่เท่าทันของผู้ใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้นจะโดยความตั้งใจหรือประมาทก็ตามแต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้บริโภคหลายรายต้องทุกข์ใจกัน

โดย “ธุรกิจบัตรเครดิต” รัฐได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเรื่องธุรกิจบัตรเครดิตเช่น ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ. 2544 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 ซึ่งมีสาระสำคัญในการดูแลธุรกิจบัตรเครดิต

ความจริงบัตรเครดิตมีประโยชน์ทำให้เราสะดวกและปลอดภัยกว่าการถือเงินสดซื้อสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินทันที สามารถถอนเงินสดมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉินและสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัล หากผู้ใช้บัตรเครดิตรู้จักใช้อย่างมีวินัยและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้บริโภคได้เลย

เมื่อผู้บริโภคต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นหนี้อย่างเป็นสุขผู้บริโภคต้อง 1. ก่อหนี้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น 2. รู้จักหักห้ามใจตัวเองไม่วิ่งตามกระแสบริโภคเกินตัว 3. ภาระการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน 4. คิดให้ดี และอ่านสัญญารวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำสัญญาสินเชื่อ 5. ใช้เงินตามสินเชื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ 6. ตั้งมั่นว่าจะจ่ายตรงตามเวลาและเงื่อนไข 7. หากเริ่มจ่ายหนี้ไม่ไหว ควรรีบหารือกับเจ้าหนี้ 8. หลีกเลี่ยงสินเชื่อนอกระบบ

ส่วนผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจจะทำบัตรเครดิตควรอ่านรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำบัตรเครดิตของผู้ออกบัตรหลาย ๆ แหล่ง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ เช่น ค่าธรรม เนียมแรกเข้าและรายปี ระยะเวลาชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย วันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย การผ่อนชำระเงินขั้นต่ำ เงื่อนไขการนำบัตรเครดิตไปใช้ในต่างประเทศ ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการอื่น ๆ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และรายละเอียดอื่น เช่น จุดบริการรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสมัครบัตรเครดิต ภาระหน้าที่ของผู้ถือบัตร การทำบัตรหาย การขอยกเลิกบัตร

แต่สำหรับผู้บริโภคที่กำลังเป็นทุกข์กับหนี้บัตรเครดิตควรดำเนินการดังนี้ 1. ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 2. จ่ายหนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะจ่ายได้ 3. จ่ายให้ตรงกำหนดชำระเงิน 4. อย่าเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่นที่มีมาโปะวนกันไปเรื่อย ๆ แต่ควรหาจากแหล่งอื่นที่มีดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาชำระหนี้บัตรเครดิต หรือการตัดใจขายทรัพย์สินหรือนำเงินออมมาปลดหนี้  5. เจรจาหารือกับผู้ออกบัตรแต่เนิ่น ๆ เพื่อวางแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2014, 06:05:38 am
มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี


-http://money.kapook.com/view83061.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
 
          อยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากมีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง แต่เงินเดือนน้อยต้องทำอย่างไร จะสามารถทำได้หรือไม่ ขอบอกว่า “คุณทำได้แน่นอน หากรู้จักใช้เงิน” และวันนี้กระปุกดอทคอม ได้รับอนุญาตจากคุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ให้นำบทความ มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี มาเผยแพร่ให้อ่านกัน ซึ่งในบทความนี้มีคุณ ลี กา ชิง แนะแบ่งเงินที่ได้ออกเป็น 5 ส่วน ไว้ใช้จ่าย ไว้ออม ไว้ดูแลตัวเอง ไว้ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมกันนี้ คุณลี กา ชิง ยังให้ข้อคิดน่าสนใจว่า เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย …  ว่าแล้วใครอยากเป็นเศรษฐี มีรถ มีบ้าน มีเงินออม ในอนาคตก็เราลองไปอ่านบทความจากคุณ ลี กา ชิง กันเลยค่ะ

          มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

หมายเหตุ : *1 หยวน ประมาณ 5 บาท

          มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง แบ่งปันความภูมิปัญญาทางด้านการเงินของเขา สรุปแผนที่ใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับแผนห้าปีที่จะเปลี่ยนชีวิตคนไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างสิ้นเชิง

          สมมติว่ารายได้ต่อเดือนของคุณมีแค่ 2,000 หยวน คุณสามารถมีการ เป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ โดยการที่คุณแบ่งเงินเป็น 5 ส่วน ส่วนแรก 600 หยวน, ส่วนที่สอง 400 หยวน, ส่วนที่สาม 300 หยวน, ส่วนที่สี่ 200 หยวน, ส่วนที่ห้า 500 หยวน

  เงินส่วนแรก (600 หยวน)

          กันเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่าย ๆ คุณแค่แบ่งเงินในแต่ละวันไว้ใช้จ่ายไม่เกิน 20 หยวนต่อวัน มื้อเช้าของทุกวันกินวุ้นเส้น ไข่หนึ่งฟอง และนมหนึ่งแก้ว ส่วนมื้อกลางวันก็กินอาหารเบา ๆ และผลไม้ พอมือเย็นก็เข้าครัวไปทำอาหารที่ประกอบด้วยผัก และดื่มนมหนึ่งแก้วก่อนนอน ในหนึ่งเดือนค่าใช้จ่ายตกประมาณ 500-600 หยวน เมื่อคุณยังหนุ่มสาวร่างกายคุณยังไม่ค่อยเจ็บป่วยในช่วงปีแรก ๆ พอเพียงสำหรับการกินอยู่แบบนี้

  เงินส่วนที่สอง (400 หยวน)

          กันไว้สำหรับการสร้างเพื่อน และขยายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแวดวง สิ่งนี้จะทำให้คุณมั่งคั่ง กันไว้ 100 หยวนสำหรับค่าโทรศัพท์ กันเงินไว้สำหรับกินข้าวกับเพื่อน ๆ 2 มื้อต่อเดือน มื้อละ 150 หยวน ใครคือคนที่คุณสมควรจะกินข้าวด้วย? จำไว้เสมอว่าคุณจะต้องกินข้าวกับคนที่มีความรู้มากกว่าคุณและรวยกว่าคุณหรือคนทีจะช่วยสนับสนุนคุณในด้านการงานได้ แน่ใจว่าคุณต้องทำเช่นนี้ทุกเดือน หลังจากนั้นหนึ่งปีแวดวงเพื่อน ๆ ของคุณจะสร้างคุณค่ามากมายมหาศาลให้กับคุณ ชื่อเสียงและอิทธิพลของคุณจะเพิ่มมูลค่าเป็นที่จดจำ ภาพลักษณ์ของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

  เงินส่วนที่สาม (300 หยวน)

          การเรียนรู้ คุณควรจะจ่ายเงินประมาณ 50 ถึง 100 หยวน ในการซื้อหนังสือ เพราะคุณมีเงินไม่มาก คุณควรเอาใจใส่กับการจ่ายเงินไปกับการเรียนรู้ เมื่อคุณซื้อหนังสือและอ่านมันอย่างระมัดระวัง จงเรียนรู้บทเรียนและกลยุทธต่าง ๆ ที่สอนไว้ในหนังสือ หลังจากอ่านหนังสือแต่ละเล่มให้เล่าเรื่องราวเป็นภาษาของคุณ การแบ่งปันกับคนอื่นจะช่วยให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นคนที่น่าสนใจ และประหยัดเงินเดือนละ 200 หยวนเพื่อเข้าคอร์ส อบรมต่าง ๆ เมื่อคุณรายได้เพิ่ม ให้กันเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้นและเข้าร่วมคอร์สอบรมในระดับที่สูงขึ้น เมื่อคุณเข้าร่วมคอร์สอบรมที่ดีมันจะไม่ช่วยแค่ให้คุณมีความรู้ที่ดี แต่ยังจะช่วยให้คุณเจอเพื่อนที่มีความคิดเหมือนกันซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ

  เงินส่วนที่สี่ (200 หยวน)

          เก็บไว้ใช้สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศในวันหยุด ให้รางวัลแก่ตนเองโดยการเดินทางไปต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อการเติบโตของประสบการณ์ในชีวิตอย่างต่อเนื่อง พักในโฮสเตลราคาประหยัด ในเวลาไม่กี่ปีผ่านไปคุณจะเดินทางไปหลายประเทศและจะมีประสบการณ์หลากหลาย ใช้ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการเพิ่มพลังใหม่ให้ตัวเองมีแรงขับดันในการทำงานต่อไป

เงินส่วนที่ห้า (500 หยวน)

          ลงทุนประหยัด 500 หยวนเก็บไว้ในธนาคารเพื่อเป็นทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เงินทุนสามารถใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ การเริ่มจากธุรกิจเล็ก ๆ มักจะปลอดภัยในการเริ่มต้น ไปหาผู้ค้าส่งและหาสินค้ามาขาย แม้คุณจะขาดทุน คุณจะเสียเงินไม่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเริ่มหาเงิน มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจกับความกล้า และได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ของการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ เมื่อมีรายได้มากพอคุณสามารถเริ่มมองหาแผนการลงทุนระยะยาว และลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาวด้วยเงินของคุณและครอบครัวคุณ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเพราะเงินจำนวนนี้ของคุณไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตคุณตกต่ำลง

          อย่างไรก็ดี หลังจากคุณดิ้นรนเป็นเวลาผ่านไปหนึ่งปี ถ้าเงินเดือนคุณยังคง 2,000 หยวน นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้มีความก้าวหน้าขึ้นเลย คุณควรจะสำนึกละอายใจและสั่งสอนตัวเองด้วยการไปซื้อซุปเปอร์มาร์เก็ต และซื้อเต้าหู้ที่แข็งที่สุด แล้วเอามันปาใส่หัวตัวเองเพราะคุณสมควรโดนแบบนั้น

          แต่ถ้าถึงตอนนั้นรายได้ต่อเดือนคุณอยู่ที่ 3,000 หยวน คุณต้องยังคงทำงานหนัก คุณต้องหางานเสริม จะเป็นการดีถ้าเป็นงานขาย ทำให้การขายเป็นเรื่องท้าทาย เป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้ศิลปะในการขายและความรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งสามารถนำไปใช้กับอาชีพคุณได้ เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเริ่มจากการเป็นนักขายที่ดี พวกเขามีความสามารถในการขายความฝันและวิสัยทัศน์ คุณจะพบผู้คนมากมายที่มีคุณค่าต่ออาชีพของคุณในภายหลัง เมื่อเริ่มขายคุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรขายได้และอะไรขายไม่ได้ ใช้ไหวพริบในการตรวจสอบตลาดเป็นวิธีในการดำเนินธุรกิจของคุณและหาผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคต

วิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

          ซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้น้อยที่สุด คุณสามารถซื้อมันทั้งหมดได้เมื่อคุณรวย ประหยัดเงินของคุณและซื้อของขวัญให้คนที่คุณรักและบอกพวกเค้าถึงแผนการและเป้าหมายทางการเงินของคุณ บอกพวกเค้าว่าทำไมคุณถึงต้องประหยัดอดออม บอกเค้าถึงความพยายาม ทิศทางที่คุณกำลังจะไป และความฝันต่าง ๆ ของคุณ

          นักธุรกิจทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ให้คุณเสนอตัวเองต่อพวกเขาในการทำงานนอกเวลาในโอกาสต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาความสามารถของคุณ และคุณจะได้พัฒนาทักษะในการเจรจาของคุณและในไม่ช้าคุณจะใกล้เป้าหมายทางการเงิน เมื่อเข้าปีที่สองรายได้ของคุณควรจะเพิ่มเป็น 5,000 หยวน อย่างน้อยสุดก็ควรจะเป็น 3,000 หยวน มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถสู้กับเงินเฟ้อได้

          ไม่ว่าคุณจะหารายได้เพิ่มมาขึ้นเท่าไร จำไว้เสมอว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการสร้างเครือข่าย เมื่อคุณรู้จักผู้คนมากขึ้นเครือข่ายของคุณขยายมากขึ้นคุณจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการเรียนรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น จงใช้เงินเพิ่มขึ้นไปกับการท่องเที่ยวในวันหยุดในที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป จงเพิ่มการลงทุนไปกับอนาคตคุณซึ่งมันจะสร้างรายได้ให้คุณอย่างมหาศาล

          รักษาสมดุลนี้ไว้ และคุณจะเริ่มมีเหลือกินเหลือใช้เรื่อย ๆ คุณกำลังเดินทางมาถูกทางสำหรับการวางแผนในชีวิต สุขภาพของคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคุณได้รับสารอาหารและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อนจะมีมากมายคุณจะสามารถสร้างคุณค่าจากเครือข่ายของเพื่อนได้ในเวลาเดียวกัน คุณจะได้รับโอกาสในการฝึกฝนตัวเองในทักษะระดับสูง และคุณจะได้รับผิดชอบโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม โอกาสที่ใหญ่กว่าเดิม ในไม่ช้าคุณจะตระหนักว่าคุณมีความฝันมากมาย ซื้อบ้าน ซื้อรถ และเตรียมค่าเล่าเรียนของลูกของคุณ

          ชีวิตและเส้นทางชีวิตสามารถออกแบบได้ซึ่งจะนำไปสู่ความสุข คุณควรเริ่มแผนตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณจนให้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้น้อยกว่าการใช้เวลาอยู่ข้างนอก เมื่อคุณรวยอยู่ที่บ้านมากขึ้นอยู่ข้างนอกให้น้อยลง นี่คือศิลปะการใช้ชีวิต เมื่อคุณจนให้ใช้จ่ายเงินไปกับผู้อื่น แต่เมื่อคุณรวยใช้เงินไปกับตัวคุณเอง คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามกัน

          เมื่อคุณจนจงทำดีกับผู้อื่น อย่ามัวแต่คิดเรื่องผลประโยชน์ เมื่อคุณรวยคุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้อื่นดีต่อคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวเองให้ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็น เมื่อคุณจนคุณต้องผลักดันตัวเองออกมาในที่คนอื่นสามารถจะมองเห็นคุณได้เพื่อให้คนอื่นใช้งานและทักษะที่คุณมี เมื่อคุณรวยคุณต้องรู้จักปกป้องตัวเองอย่าปล่อยให้ใครมาหลอกใช้คุณได้ง่าย ๆ เป็นความซับซ้อนในเส้นทางของชีวิตที่หลายคนยังไม่เข้าใจ

          เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย ใช้จ่ายเงินของคุณในการซื้อของอย่างเงียบ ๆ เมื่อคุณจนคุณต้องเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเมื่อคุณรวยคุณต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย ชีวิตของคุณจะวนกลับมาสู่สามัญคุณควรจะอยู่อย่างเรียบง่ายเมื่อคุณมาถึงจุดนี้

          ไม่มีสิ่งใดผิดเมื่อคุณยังหนุ่มสาว คุณไม่ต้องกลัวว่าคุณจน คุณต้องรู้วิธีลงทุนในตัวคุณเองที่จะเพิ่มปัญญาและระดับความสำเร็จ คุณต้องรู้ว่าอะไรจำเป็นและไม่สำเป็นต่อชีวิต คุณต้องรู้ว่าอะไรควรหลีกเลี่ยงและไม่จ่ายเงินฟุ่มเฟือยไปกับมัน นี่คือวินัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง พยายามหลีกเลี่ยงในการใช้จ่ายเงินไปกับการซื้อเสื้อหลาย ๆ ชุดแต่รู้จักเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดูดีเพียงไม่กี่ชุด พยายามกินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าคุณกินข้างนอกบ้านคุณต้องแน่ใจว่าคุณซื้อมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นที่คุณจ่าย คุณจ่ายเพื่อกินกับผู้คนที่มีความฝันใหญ่กว่า ทำงานหนักกว่าคุณ

วิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

          เมื่อการทำมาหากินของคุณไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป ใช้เงินที่เหลือไล่ตามความฝันของคุณ สยายปีกของคุณและกล้าที่จะฝันทำให้คุณแน่ใจว่าชีวิตของคุณเป็นสิ่งวิเศษ

          ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงจากฮาร์วาร์ด ความแตกต่างของโชคชะตาของแต่ละคนถูกตัดสินจากสิ่งที่เค้าจ่ายในเวลาว่างระหว่าง 20.00 น. ถึง 22.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนี้ในการเรียนรู้ คิด และเข้าร่วมในการเข้าร่วมการบรรยายหรือการสัมมนาที่มีความหมาย ถ้าคุณทำแบบนี้สักปีสองปี ความสำเร็จจะเข้ามาหาคุณ

          ไม่สำคัญว่าคุณหาเงินได้เท่าไร จำไว้ว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ดูแลตัวเองรักษารูปร่างให้ดีอยู่เสมอ ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้จากคนเหล่านี้ การขยายเครือข่ายทางสังคมจะทำให้รายได้คุณเพิ่มขึ้น เดินทางทุกปีในที่แตกต่างกันออกไป และคอยติดตามการพัฒนาการล่าสุดของโลกอุตสาหกรรมด้วย ถ้าคุณทำตามแผนนี้อย่างขยันขันแข็ง คุณจะมีเงินทุนเหลือมากมาย

          อะไรที่ผ่านไปแล้วในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาด ไม่จำเป็นที่จะมัวมานั่งเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว ทุกคนเคยทำผิดพลาด และคุณจะได้เรียนรู้จากมัน และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดซ้ำอีก เมื่อคุณพลาดโอกาสอย่ามัวเศร้าเสียใจ มีโอกาสใหม่รออยู่ข้างหน้าเสมอ

          คุณสามารถที่จะยิ้มรับเมื่อถูกเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อคุณทำผิดและคุณยิ้มรับอย่างสงบนั้นคือความใจกว้าง เมื่อคุณถูกเอาเปรียบแต่คุณยังยิ้มได้คุณคือคนใจกว้าง เมื่อคุณทำอะไรไม่ถูกให้คุณค่อย ๆ ยิ้มอย่างใจเย็นมันจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง เมื่อคุณเจ็บปวดคุณสามารถที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ได้คุณคือคนใช้กว้าง เมื่อคุณถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและคุณยิ้มได้อย่างสงบคุณคือคนที่มีความมั่นใจ เมื่อคุณถูกปฏิเสธในความสัมพันธ์และคุณสามารถยิ้มได้คุณคือคนอ่อนโยน

          ยังมีคนอีกจำนวนมากที่จะดิ้นรนเพื่อที่จะมีเงินเพียงพอต่อการใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่มันไม่สำคัญว่าคุณจะรวยหรือจน นี่คือทั้งหมดของบทเรียนที่คุณได้เรียนรู้จาก ลี กา ชิง


          หมายเหตุ : คุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม อ้างอิงมาจากบทความจาก therealsingapore.com 




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2014, 05:59:55 am
กฎทองของคนฉลาด ใช้บัตรเครดิตแบบไหนไม่เป็นหนี้
บัตรเครดิต

-http://money.kapook.com/view83806.html-

Smart Spending…Smart Shopping (Lisa)

          ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ก็พกบัตรเครดิตติดกระเป๋าสตางค์ความสะดวกอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่หนี้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเช่นกัน การบริหารวงเงินที่ได้รับไปจนถึงบริหารความอยากและกิเลสจึงเป็นศิลปะที่ท้าทายผู้ถือบัตร มาดูกันว่ากฎทองของคนฉลาดใช้บัตรเครดิตมีอะไรบ้าง

คิดหน้าคิดหลังก่อนใช้

          เพราะบัตรเครดิตคือการ “ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง” จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าใช้อย่างมีสติ คิดหน้าคิดหลังซะก่อนว่าของที่เราจะซื้อจำเป็นแค่ไหน ถ้าแค่บำบัดความอยาก เป็นของฟุ่มเฟือย ก็ให้คิดตรึกตรองให้ถ้วนถี่ เช่นว่าอยากได้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้งที่คุณเพิ่งเปลี่ยนเมื่อปลายปีก่อน แบบนี้ถือว่าไม่จำเป็นนะ

อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต

          ถ้าไม่เดือดร้อนหรือจำเป็นจริง ๆ ล่ะก็อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิตเป็นอันขาดแม้ว่าการเบิกเงินสดล่วงหน้าจะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ดูดี เพราะช่วยให้คุณพ้นจากภาวะเงินขาดมือในบางช่วง แต่เมื่อไหร่ที่เบิกเงินสดออกมาใช้ รู้ไว้ด้วยว่าต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดและดอกเบี้ยที่คุณไม่อาจปฏิเสธได้



ตีกรอบตัวเอง

          อย่าระเริงไปกับตัวเลขวงเงินที่ผู้ออกบัตรอนุมัติให้ใช้ ถ้าเป็นไปได้คุณควรตั้งกฎเหล็กตีกรอบตัวเองด้วยยอดของการใช้บัตรเครดิตแต่ละเดือนไว้ไม่ให้เกิน 10-20% ของรายได้ จะให้ดีรูดสัก 10% ก็พอแล้ว เช่นว่าคุณเป็นพีอาร์มีเงินเดือน 40,000 บาท ก็ไม่ควรรูดบัตรเกินเดือนละ 4,000-8,000 บาท วิธีนี้เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้ดีทีเดียว

มีวินัยในการชำระเงิน

          ท่องเอาไว้ “ใช้เท่าไหร่...จ่ายเท่านั้น” การมีวินัยในการชำระบัตรเครดิตจะทำให้เครดิตของคุณดีตามไปด้วย และเมื่อไหร่ที่คิดเบี้ยวหนี้ในระบบทุกรูปแบบ ข้อมูลของคุณจะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร คุณจะทำธุรกรรมการเงินกับสถาบันการเงินไหน ๆ ก็ยากและติดขัดไปหมด และจำไว้เลยว่าหนี้บัตรเครดิตนั้นดอกเบี้ยโหดและแพง ยิ่งเวลาคุณผิดนัดชำระ สถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะชาร์จดอกเบี้ยในอัตราที่แพงน่าใจหาย ดังนั้น เมื่อได้รับการแจ้งยอดหรือทวงถามต้องรีบจ่ายให้ตรงเวลาและควรชำระให้ครบตามวงเงินที่เราใช้ หรือถ้าเดือนนั้นช็อตสุด ๆ อย่างน้อยชำระตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด 10% ก็ยังดี

ใช้บัตรใบเดียวก็เกินพอ

          ในกรณีที่ใช้บัตรเครดิตหลายใบ ต้องไม่ลืมพิจารณาวันตัดยอดของบัตรเครดิตแต่ละใบ เพื่อให้การใช้บัตรเครดิตเกิดประโยชน์สูงสุดในเรื่องระยะเวลาปลอดหนี้ และต้องบันทึกและรวบรวมรายละเอียดค่าใช้จ่ายของบัตรแต่ละใบอย่างละเอียด จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนคุณมีภาระต้องชำระเท่าไหร่ และบัตรใบไหนต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีเมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่แน่ใจในนิสัยการใช้บัตรเครดิตของตัวเอง ควรยกเลิกบัตรเครดิตให้เหลือใบเดียว ซึ่งควรเป็นบัตรที่คุณชำระเงินได้สะดวกที่สุด และให้เงื่อนไขดีที่สุด เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพ หรือให้ส่วนลดและสิทธิประโยชน์กับการใช้จ่ายของคุณมากที่สุด



ใช้บัตรทุกครั้งต้องตรวจสอบ

          ทุกครั้งที่ควักบัตรเครดิตออกมาใช้และช้อป ไม่ว่าจะรูดบัตรที่ไหนหรือช้อปที่ไหน ก่อนจะจรดปลายปากกาลงไปเซ็นสลิป ควรตรวจสอบจำนวนเงินดูก่อนว่าตรงกับราคาของสินค้าและบริการหรือไม่ ให้เก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตไว้ทุกรายการที่รูด เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของใบแจ้งยอดบัญชีในภายหลัง

เลือกใช้บัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ในการช้อป

          เลือกใช้บัตรที่นอกจากจะได้แต้มสะสมและส่วนลดแล้ว บางบัตรยังมีแคมเปญสุดคุ้ม เช่น รับเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายครบทุกหนึ่งหมื่นบาท ถ้ารู้ตัวว่าเป็นนักช้อปตัวจริงแล้วละก็ เลือกถือบัตรแบบนี้ดีกว่าจะได้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.lisaguru.com/-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2014, 08:48:40 am
เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด
เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล

-http://www.komchadluek.net/detail/20140314/180786.html#.UyUCaIXPuZQ-
 
                         ได้รับอีเมลจากคุณแม่ท่านหนึ่งที่มีลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งไม่เคยเก็บเงินเป็นเรื่องเป็นราว คุณแม่ท่านนี้ขอคำปรึกษาว่า ควรสอนให้ลูกเริ่มเก็บเงินหรือลงทุนอย่างไรดี นอกจากการนำเงินฝากธนาคารอย่างเดียว พร้อมทั้งบอกว่า แหล่งที่มาของเงินจะเป็นเงินค่าขนมที่เหลือเก็บประมาณเดือนละ 1,000 บาท และเงินจากซองอั่งเปาวันตรุษจีน 20,000 บาท
 
                         ไม่ได้ถามคุณแม่ว่า คุณลูกได้เงินค่าขนมเดือนละเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะได้รับเท่าไหร่ เงินที่เหลือเดือนละ 1,000 บาท ก็ต้องถือว่า “มากพอสมควร” สำหรับเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ในวัยที่อยากได้โน่นอยากได้นี่ ต้องถือว่า “เก่งมากทีเดียว”
 
                         ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังว่า ตอนเรียนชั้นประถมศึกษา เพราะมีตำแหน่งเป็น “หัวหน้าห้อง” ก็เลยมีหน้าที่ต้องควบคุม “เงินห้อง” ที่เก็บจากนักเรียนทุกคนเอาไว้ใช้สอยเวลามีกิจกรรมต่างๆ เพราะความเป็นเด็กที่อยากได้โน่นได้นี่ แล้วเงินค่าขนมก็ไม่พอ เพราะใช้แบบวันต่อวันจนหมด สุดท้ายก็สนองความอยากของตัวเองด้วยการหยิบยืมเงินห้องไปใช้ก่อน และคิดว่า เวลาได้ค่าขนม ก็เอามาใช้คืน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ใช้คืน เนื่องจากว่า พฤติกรรมการใช้ค่าขนมก็ยังเป็นแบบวันต่อวัน พอถึงเวลาที่มีกิจกรรม ต้องใช้เงินห้อง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้ปกครองต้องช่วยเคลียร์
 
                         แต่ก็โดนอบรมยกใหญ่ว่า ทำแบบนี้ก็เหมือนกับ “ขโมย” ถึงจะเป็นขโมยอย่างไม่ตั้งใจ เพราะคิดว่าจะใช้คืน แต่สุดท้ายก็คือ ขโมยนั่นแหละ
 
                         โชคดีที่หลังเหตุการณ์นั้น ทำให้สามารถเปลี่ยนกระบวนการและวิธีคิดเรื่องเงิน โดยเฉพาะการจัดสรรปันส่วน แยกกระเป๋าซ้าย-กระเป๋าขวา จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่มีงานทำ ก็จะแยกเงินออม เงินลงทุน เงินสำหรับใช้จ่าย ไว้อย่างชัดเจน รวมทั้ง “เงินที่ไม่ใช่ของเรา เอามาใช้ไม่ได้”
 
                         อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเด็กชายวัยเยาว์กว่าลูกชายของคุณแม่ท่านนี้ ทุกครั้งที่เด็กชายคนนี้ได้เงินค่าขนม จะต้องซื้อจนหมด เขาจะเลือกซื้อของที่อยากได้ก่อน พอเงินเหลือ ได้รับเงินทอนกลับมา ก็ไม่ยอมออกจากร้าน แต่จะเดินวนอยู่ในร้าน หยิบของชิ้นโน้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูว่าพอจะซื้อเพิ่มได้มั้ย ถึงแม้ไม่ใช่ของจำเป็น ถึงแม้ไม่ใช่ของที่อยากได้ แต่ก็จะซื้อ เพราะไม่ต้องการให้ “เงินเหลือ”
 
                         พฤติกรรมการใช้จ่ายนี้ติดตัวไปจนโต เพราะไม่ได้รับการแก้ไขหรือชี้แนะให้ทำอย่างถูกต้อง สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป เขาก้าวเข้าสู่วัยทำงานและยังใช้เงินแบบที่เคยใช้เมื่อวัยเยาว์ ไม่ว่าจะทำมาหาได้เท่าไหร่ ก็ไม่เคยเหลือเก็บ ไม่เคยพอ จนสุดท้ายก็ต้องหยิบยืมกลายเป็นภาระหนี้สินรุงรัง และใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานดี รายได้ของครอบครัวก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนไปทางสูง
 
                         คราวนี้กลับมาที่คำถามของคุณแม่ท่านนี้ว่า จะสอนลูกให้เก็บเงินหรือลงทุนอย่างไรดี นอกเหนือจากเรื่องฝากธนาคาร ต้องบอกว่า สำหรับเด็กวัยนี้แล้ว การสอนให้เก็บเงินด้วยการฝากธนาคารนั้นก็ดีที่สุดแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ของการสอนลูกน่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่การสอนให้รู้จัก “เก็บออม” และรู้จักใช้ เก็บสะสมอย่างมีวินัย และใช้จ่ายอย่างพอเพียง คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ
 
                         คุณแม่ต้องแยกระหว่าง “การออม” กับ “การลงทุน” ว่าแตกต่างกัน เพราะ “ออม” จะเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อเรามีรายรับมากกว่ารายจ่าย ที่เหลือก็คือ เงินออม ซึ่งวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและได้ผลที่สุด คือ ต้องเอารายรับหักเงินออมก่อน ส่วนที่เหลือค่อยใช้จ่าย หมายถึงเมื่อมีรายรับเข้ามาในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน ให้หัก “เงินออม” ออกจากรายรับอย่างน้อย 10% เช่น ได้รับค่าขนมวันละ 100 บาท ก็หักออกอย่างน้อย 10 บาททุกวัน หยอดใส่กระปุกไว้ ถ้าได้สัปดาห์ละ 500 บาท ก็หักอย่างน้อย 50 บาท หยอดกระปุกไว้ ที่เหลืออีก 450 บาทค่อยนำไปใช้จ่าย
 
                         ถ้าวัตถุประสงค์หลักของคุณแม่คือ การสอนลูกให้มีวินัยในการออม การฝากธนาคารอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนนั่นก็ถูกต้องแล้ว
 
                         แต่ถ้าคุณแม่ต้องการอะไรที่แอดวานซ์ขึ้น เพราะไม่ได้หวังแค่สอนลูกให้มีวินัยในการเก็บออมอย่างเดียว เช่น ต้องการ “ผลตอบแทน” ที่มากขึ้น แบบนี้จะเข้าสู่โลกของ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย พอถึงตรงนี้ต้องย้อนถามตัวเองว่า “พร้อมหรือยังกับการรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น” เพราะเมื่อเข้าสู่การลงทุน ก็มีโอกาสที่ “เงินต้น” ของคุณลูกจะสร้างทั้งกำไรและขาดทุน
 
                         ย้ำว่า “อายุ” จะน้อยหรือมากไม่สำคัญเท่า “ความรู้-ความเข้าใจ” และ “ความพร้อม”
 
                         เพราะเคยมีผู้บริหารระดับสูงในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เปิดบัญชีซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นให้แก่ลูกชาย ตั้งแต่ลูกอายุแค่ 8-9 ขวบ จนปัจจุบันนี้ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว พร้อมๆ กับเงินลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่บางช่วงก็กำไรมหาศาล ขณะที่บางช่วงทุนหายกำไรหด ตามการขึ้นลงของตลาดหุ้น
 
                         ไม่ว่าจะเป็นการออมด้วยการฝากเงินในธนาคาร หรือการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน ก็ถือเป็นการสร้างวินัยในการบริหารจัดการเงินเหมือนกัน แตกต่างกันที่ “ผลตอบแทน” เพราะฝากแบงก์ก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ แต่เงินต้นไม่หาย ผลตอบแทนก็เท่านั้น อาจจะขึ้นลงตามทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งถ้าเงินไม่มากก็ไม่เห็นผลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น อาจจะได้กำไรมาก กำไรน้อย หรือขาดทุนมาก ขาดทุนน้อย ก็มีโอกาสทั้งนั้น เพียงแต่โอกาสที่กำไรมากก็มีอยู่มาก
 
                         ถ้าคุณแม่ตัดสินใจจะพาคุณลูกเข้าสู่สนามการลงทุน เพราะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่า หลังจากนี้ก็ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนเยอะๆ สะดวกที่สุดก็เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเว็บไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือจะเลือกดูจากเว็บไซต์ของธนาคารพาณิชย์ก็ได้ทั้งนั้น แนะนำให้พุ่งตรงไปที่กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น ลองศึกษาดูว่า รูปแบบเป็นอย่างไร ลงทุนอย่างไร ต้องใช้เงินเท่าไหร่ (เข้าใจว่า ขั้นต่ำต่อการซื้อ 1 ครั้งจะอยู่ที่ 2,000 บาท ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น อาจจะซื้อ 2 เดือนต่อครั้ง) และพิจารณาผลตอบแทนของกองทุนประกอบการตัดสินใจไปด้วย
 
                         แต่หากคุณแม่อยากให้คุณลูกฝากเงินกับแบงก์ เพื่อสร้างวินัยการออมอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ได้คาดหวังเรื่องผลตอบแทน ก็อยากจะแนะนำเพิ่มเติมให้คุณแม่เพิ่มแรงบันดาลใจให้ลูกชายว่า ถ้าเดือนไหนมีเงินค่าขนมเหลือเกิน 1,000 บาท คุณแม่จะเติมเงินฝากให้เท่ากับส่วนที่เกิน เช่น เดือนนี้เหลือค่าขนม 1,200 บาท คุณแม่ก็เพิ่มอีก 200 บาท ลูกก็จะมีเงิน 1,400 บาท ลองดูว่าจะกระตุ้นให้ลูกเก็บออมได้มากขึ้นหรือไม่ แต่ก็มีข้อควรระวังว่า บางครั้งความมุ่งมั่นในการออมหรือการเคร่งครัดกับตัวเองมากไป อาจทำให้เกิดความเครียด ชีวิตหมดความสุข ซึ่งคุณแม่ต้องคอยดูแลเอง
 
                         พยายามทำให้เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องสนุก พยายามทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า “เงินนั้นใช้ได้อย่างสนุก แต่ทุกข์ต้องไม่ถนัด” และการสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ลูกตั้งแต่เด็ก จะทำให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพอย่างแน่นอน
 
 
 
-------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล)
 
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 18, 2014, 06:03:48 am
เกษียณลั้นลา

-http://money.sanook.com/178386/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B2/-


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2412;image)

คุณเคยมีความคิดแบบนี้กับการวางแผนเกษียณหรือไม่??

สาเหตุสำคัญที่ต้องวางแผนเกษียณก็เพราะเราต้องการใช้ชีวิตในช่วงก่อนและหลังเกษียณให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ลองนึกภาพว่าช่วงวัยทำงานคุณมีเงินใช้จ่ายอย่างสุขสบายเพราะมีรายได้จากการทำงานทำให้คุณมีบ้าน มีรถยนต์และท่องเที่ยวเมืองนอกเป็นบางครั้ง โดยตลอดช่วงของการทำงานคุณไม่ค่อยสนใจการวางแผนการใช้เงินสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าหาเงินมาเหนื่อยแล้วควรใช้ให้สมกับความเหนื่อยสักหน่อย ทำให้มีเงินเหลือเก็บไว้ไม่มาก เหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อชีวิตหลังเกษียณที่ไม่ได้ทำงานและต้องอยู่ด้วยเงินเก็บเพียงอย่างเดียว

• เหตุการณ์ที่ 1 ถ้าใช้เงินเก็บหมดก่อนที่จะเสียชีวิตจะหาเงินตรงไหนมาใช้ดำรงชีพต่อไป
• เหตุการณ์ที่ 2 ถ้ามีอาการเจ็บป่วยเพราะโรคชราจะนำเงินที่ไหนมารักษา
• เหตุการณ์ที่ 3 ถ้าเป็นโรคที่ต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่องจะนำเงินที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว

ถ้าช่วงก่อนเกษียณมีเงินใช้อย่างสุขสบาย แต่ชีวิตหลังเกษียณเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ข้างต้นแล้ว ชีวิตหลังเกษียณก็ไม่น่าจะสุขสงบตามใจคิดสักเท่าไหร่ แล้วอาจจะคิดว่า "ถ้ารู้ว่าแก่ตัวมาแล้วเป็นแบบนี้ รู้งี้รีบเก็บเงินตั้งแต่วัยรุ่นดีกว่า" อย่าให้เราต้องพูดแบบนี้ในช่วงเวลาที่สายเกินไป แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้น ควรสร้างอนาคตตั้งแต่ปัจจุบัน แม้ว่าอาจจะเตรียมไม่ครบในทุกๆด้าน แต่ควรวางแผนเพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดในอนาคต

วิธีหนึ่งที่ใช้ในการวางแผนเพื่อการเกษียณนั้นจะเป็นจำนวนเงินที่เราคาดว่าจะใช้หลังเกษียณว่าเราต้องการใช้เดือนละเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าในปัจจุบันควรเก็บเดือนละเท่าไหร่ ดังนั้น ถ้าเราอยากมีเงินใช้หลังเกษียณมากๆก็ควรเริ่มเก็บตั้งแต่เนิ่นๆเพราะเราจะได้เริ่มเก็บจากเงินก้อนไม่ใหญ่มากและถ้าแผนของเราผิดพลาดจะได้มีเวลาที่ยาวนานพอเพื่อปรับปรุงแผนให้เสียหายน้อยที่สุด

ตัวอย่าง ตารางจำนวนเงินที่เราต้องการใช้หลังเกษียณ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2416;image)

หมายเหตุ คิดโดยใช้อัตราเงินเฟ้อ 3%

อธิบายตาราง

• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 35 ปี(ตั้งแต่อายุ 60 - 95 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท เราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 2,598,413.68 บาท
• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 25 ปี(ตั้งแต่อายุ 60 - 85 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้นเราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 2,108,764.53 บาท
• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 15 ปี (ตั้งแต่อายุ 60 - 75 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้นเราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 1,448,054.71 บาท

อายุคาดการณ์หลังจากอายุ 60 ปีนั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคล ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้คนอายุยืนขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไว้คือ ค่าใช้จ่ายที่เพียงพอหลังเกษียณ ผู้เขียนมีย่าที่ชรามาก ต้องนอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลา โชคดีที่ย่ามีลูกเยอะก็ทำให้มีคนดูแลในช่วงเวลานี้ แต่ถ้ามองไปในอีกหลายปีข้างหน้าเป็นช่วงที่คนไทยเป็นโสดมากขึ้น ครอบครัวที่แต่งงานก็มีลูกน้อยลง บางครอบครัวมีเพียง 1-2 คน แต่ละคนต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัวของตนก็ไม่มีเวลาดูแลญาติผู้ใหญ่ แล้วตอนนั้นใครกันที่จะมาดูแลคนชราเหล่านี้ จุดนี้แหละทำให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลคนแก่ตามบ้านมากขึ้น ถ้าตอนนั้นเราจำเป็นต้องจ้างคนมาดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ด้วย

ในครั้งต่อไปเรามาติดตามกันว่าการลงทุนอะไรบ้างที่จะทำให้เงินของเรามีเพียงพอที่จะใช้ในช่วงวัยเกษียณ

ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม

สนับสนุนข้อมูลโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2014, 06:05:01 pm
Notebook, Smartphone ซื้อเงินสด/รูดเต็มหรือจ่ายบัตรผ่อนอย่างไหนดีกว่ากัน

-http://hitech.sanook.com/1388638/notebook-smartphone-%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5/-


Notebook, Smartphone ซื้อเงินสด/รูดเต็มหรือจ่ายบัตรผ่อนอย่างไหนดีกว่ากัน

ปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าการเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิตนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ Notebook, Smartphone หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไป ด้วยความที่ว่าเราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดเยอะๆ ไปซื้อ ในสุ่มเสี่ยงสูญหายหรือโดนลักขโมย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องบอกว่าการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเงินสดหรือบัตรเครดิตก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้กันนะครับ

สำหรับคนที่ชอบพกเงินสดเป็นจำนวนมากหรือไม่มีบัตรเครดิต ในส่วนของการซื้อ Notebook, Smartphone รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็จะเป็นการนำเงินสดจำนวนมากไปซื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะการนำมาจากการกดตู้ ATM หรือ เบิกผ่านธนาคารที่เราใช้บริการอยู่ โดยข้อดีข้อเสียสามารถแบ่งออกเป็นได้ดังต่อไปนี้

ข้อดีของการใช้เงินสด

    มีอำนาจต่อรองราคาได้เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถต่อรองราคาจากราคาเต็มที่ร้านตั้งเอาไว้ได้
    สามารถต่อรองขอเพิ่มเติมของแถม หรือของสมนาคุณอื่นๆ ได้

ข้อเสียของการใช้เงินสด

    ต้องเสียเงินก้อนออกไป แทนที่จะเอาไปหมุนหรือลงทุนอื่นๆ

ข้อดีของการใช้บัตรรูดเต็มหรือผ่อน

    ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมากๆ ไว้กับตัวเอง ป้องกันการสูญหายหรือถูกขโมย
    ผ่อน 0% (กี่เดือนก็ว่ากันไป) ตามโปรโมชั่นที่กำหนดได้
    ได้แต้มคะแนน (Point) สามารถนำไปแลกของรางวัลหรือตั๋วเครื่องบินได้
    ไม่ทำให้เราจ่ายเงินก้อนโต ฉะนั้นส่วนที่เหลือสามารถนำมาหมุนหรือลงทุนได้
    บางบัตรได้ Cash Back 3% หรือ 5% แล้วแต่บัตรหรือโปรโมชั่น

ข้อเสียของการใช้บัตรผ่อน

    โอกาสต่อรองราคาค่อนข้างน้อย หรือถ้าลดราคาก็ลดได้ไม่เท่าเงินสด/รูดเต็ม

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการเลือกใช้จ่ายว่าจะเป็นเงินสดหรือบัตร ที่จริงๆ แล้วก็มีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันออกไปนะครับ ทางที่ดีที่สุดคือใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา หวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการซื้อ Notebook, Smartphone หรือของอื่นๆ ได้ไม่มากก็น้อย
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2014, 06:57:58 am
ไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณา รู้ให้ลึกกับการทำ “ประกันชีวิต”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 เมษายน 2557 01:06 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000041107-

เคยไหมที่ทำประกันเพราะเกรงใจ และเคยหรือไม่ทำประกันชีวิตแต่ไม่รู้ว่ากรมธรรม์คุ้มครองอะไรบ้าง ...วันนี้ทีมงาน “ASTVผู้จัดการ” จะพาไปรู้จักประกันชีวิต และไม่ลืมที่จะบอกถึงเทคนิคดีๆ ในการทำประกันอีกด้วย....
       
       โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.นิยามว่า“การประกันชีวิต” เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้นก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับภัย
       
       โดยการประกันชีวิตแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
       
       1. ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
       
       2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
       
       3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
       
       สำหรับรูปแบบของการประกันชีวิตที่เป็นแบบพื้นฐานนั้นมี 4 แบบ คือ
       
       1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น
       
       2. แบบสะสมทรัพย์เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
       
       3. แบบชั่วระยะเวลาเป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่นๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา
       
       4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปีเป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ
       
       ทั้งนี้ รูปแบบของกรมธรรม์จะมีหลายรูปแบบและตั้งชื่อเป็นนามเฉพาะของแต่ละบริษัท ทุกรูปแบบพร้อมอัตราเบี้ยประกันภัยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนประกันชีวิต (อธิบดีกรมการประกันภัย) ก่อนจะนำเสนอขายแก่ประชาชน แต่โดยหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์รูปแบบใดหรือชื่ออะไรก็ตาม จะอยู่ภายใต้แบบของการประกันชีวิตรวม 4 แบบ คือ
       
       1. แบบชั่วระยะเวลา ให้ความคุ้มครองในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ โดยบริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้นั้น
       
       2. แบบตลอดชีพ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม
       
       ทั้งแบบ 1 และแบบ 2 เป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
       
       3. แบบสะสมทรัพย์ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือจ่ายเงินเอาประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่มีชีวิตอยู่รอดพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       4. แบบเงินได้ประจำ บริษัทจะจ่ายเงินได้ประจำ หรือเงินบำนาญให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยเริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติเนื่องจากความชรา ไปจนถึงวันที่กำหนดไว้ (อาจเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือตลอดอายุก็ได้)
       
       แบบ 3 ส่วนท้าย และแบบ 4 เป็นการจ่ายเงินโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เอาประกันภัยต้องมีชีวิตรอดอยู่จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       สำหรับเทคนิคการทำประกันชีวิตให้คุ้มค่าและให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตได้แก่
       
       1.ทำความเข้าใจ เรียนรู้ และศึกษาประกันชีวิตมีหลากหลายประเภท และหลากหลายความคุ้มครอง ผู้ที่ต้องการทำประกันควรศึกษาข้อมูลให้ดี โดยเฉพาะเรื่องของผลประโยชน์และเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย นอกจากนี้เราไม่ควรมองข้ามเรื่องการเปรียบเทียบกรมธรรม์ประเภทเดียวกันแต่คนละบริษัท แน่นอนว่ากรมธรรม์เหมือนกันแต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของค่าใช้จ่าย
       
       2ไม่ควรมองข้ามการตรวจสุขภาพการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะประกันสุขภาพนั้น การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะโรคบางชนิดนั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกัน และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการเคลมประกันในอนาคต
       
       3.ซื้อประกันให้ครอบคลุมหนี้ที่มีการทำประกันชีวิตที่ดีควรที่จะรู้ความเสี่ยงและภาระที่เรามีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาระในการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือค่าเล่าเรียนบุตร รวมถึงการประเมินสวัสดิการที่เราได้รับ และเมื่อคำนวณทั้งหมดแล้วก็จะได้ตัวเลขหรือจำนวนเงินที่ควรจะมีหากเราเกิดเสียชีวิตขึ้นมา ซึ่งการทำประกันก็ควรจะครอบคลุมหนี้ที่เรามีเพื่อไม่เป็นภาระให้แก่คนที่อยู่ข้างหลัง
       
       4. รายได้เพิ่มควรเพิ่มทุนประกันแน่นอนว่าหากรายได้เพิ่มเราก็ควรที่จะเพิ่มทุนประกัน ซึ่งในทุนประกันที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะไม่พอในอนาคต
       
       5. จ่ายเบี้ยพอดี ไม่เป็นภาระอย่าลืมว่าการทำประกันส่วนใหญ่เป็นภาระระยะยาว การจ่ายเงินที่ยาวๆ นั้นอาจจะมีความเสี่ยงที่เราไม่อาจรับรู้ได้ในอนาคต ซึ่ง ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน หรือ TSI แนะนำว่า เบี้ยประกันชีวิตต่อปีไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี
       
       ขอบคุณข้อมูลจาก คปภ.
       และ TSI
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 18, 2014, 09:49:33 pm
เทคนิคผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ทำอย่างไรมาดูกัน

-http://home.kapook.com/view86423.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์, เฟซบุ๊ก Money Coach

          ผ่อนบ้านอย่างไรให้หมดเร็ว คำถามสำคัญที่คนซื้อบ้านอยากรู้ การผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ๆ คงเป็นเป้าหมายหลักของคนที่จรดปากกาเซ็นสัญญาซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังเป็นหนี้ก้อนโต ที่มีระยะเวลาในการผ่อนนับสิบปี

          ซึ่งถ้าคุณมีความพร้อมและตั้งใจที่จะผ่อนบ้านให้หนี้หมดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน 20-30 ปีตามสัญญากู้ซื้อบ้าน ก็สามารถผ่อนบ้านให้หมดเร็วได้เหมือนกัน และในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำเอาบทความดี ๆ จาก เฟซบุ๊ก Money Coach มาฝากให้ได้ทำความเข้าใจ แล้วคุณจะรู้ว่าการผ่อนบ้านให้หมดเร็วก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกันจ้า



 ผ่อนบ้านยังไง … ให้หมดเร็ว ๆ โดย คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์

          ดิฉันซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท เมื่อสองปีที่แล้ว ปัจจุบันส่งบ้านเดือนละ 18,000 บาท อยากจะส่งให้หมดเร็ว ๆ จะได้เสียดอกเบี้ยน้อย ๆ ต้องทำยังไง

          แหม…ถามกันแบบนี้ ถ้าทะลึ่งตอบตรง ๆ ว่า "ก็รีบปิดรีบโปะ จะได้หมดเร็วหมดไว" คงจะโกรธกันน่าดู

          แต่จะว่าไปนั่นก็เป็นวิธีการเดียวครับที่จะทำให้หนี้บ้านหมดได้เร็วได้ไวสมดังใจ ก็คิดเอาง่าย ๆ คุณยืมเงินเพื่อนสักคนมา 3 ล้าน ถามว่าวิธีการทำให้หนี้ที่ค้างเพื่อนไว้หมดไวที่สุดต้องทำยังไง

          ไม่มีคำตอบอื่นครับ นอกจากรีบเอาเงินไปคืนเขาให้หมดโดยเร็วที่สุด

          แต่ก็ใช่ว่าจะรีบโปะรีบเทโดยไม่มีแผนเลย เพราะการเร่งเอาเงินก้อนไปชำระหนี้บ้าน อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน (ไม่พอใช้) รวมถึงแผนการเงินอื่น ๆ ในชีวิตคุณได้ ดังนั้นจะโปะ จะปิด มันก็ต้องมีหลักการกันสักนิดนึง

          จากโจทย์ที่ให้มา บ้านราคา 3,000,000 บาท ส่งเดือนละ 18,000 บาท ผมคาดว่าคุณคงทำสัญญากู้ยืมยาว 30 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 6 เปอร์เซ็นต์

          สำหรับแนวทางผ่อนชำระเพิ่มเพื่อให้หนี้หมดเร็วนั้น สามารถทำได้ 2 ทางด้วยกัน คือ ชำระเพิ่มเป็นจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน หรือชำระเป็นเงินก้อนใหญ่คราวละมาก ๆ


เรามาดูที่แนวทางแรกกันก่อน

          1. ผ่อนชำระเพิ่ม เป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน

          จากข้อมูลที่ส่งมา ปัจจุบันคุณส่งบ้านเดือนละ 18,000 บาท สมมติคุณวางแผนที่จะส่งเพิ่มอีกเดือน ละ 10% หรือ 1,800 บาท (ถ้ากลัวจำลำบากเพิ่มเป็น 2,000 บาท ก็ได้ครับไม่ผิดกติกา) รวมแล้วเดือน ๆ หนึ่งคุณส่งบ้านเดือนละ 19,800 บาท

          ในกรณีนี้บ้านของคุณจะผ่อนชำระหมดภายในระยะเวลา 22 ปี กับอีก 10 เดือน โดยประมาณ ซึ่งหมดเร็วขึ้น 7 ปีเศษแหนะ แถมยังลดดอกเบี้ยลงได้ร่วม ๆ 1 ล้านบาทครับ

          ทั้งนี้ถ้าอยากเร็วขึ้น ก็อาจปรับส่วนเพิ่มให้มากขึ้นอีกก็ได้ครับ ถ้าไหว

          2. ผ่อนชำระเพิ่มอีก 1 เดือน

          วิธีคิดในแนวทางที่สองก็คือ 1 ปี เราส่งบ้าน 13 เดือน แทนที่จะเป็น 12 เดือนครับ ซึ่งอาจจะใช้ช่วงโบนัสออก หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เงินก้อน จะโปะเวลาไหน ช่วงใดของปีก็ได้ ได้ผลไม่ต่างกันครับ

          สมมติคุณส่งค่าบ้านเพิ่มเป็น 2 เดือน ในเดือนธันวาคมของทุกปี (เดือนอื่นส่งปกติ) พูดง่าย ๆ เดือนอื่นส่งเดือนละ 18,000 บาท แต่เดือนธันวาคมส่ง 36,000 บาท ซะเลย

          ในกรณีบ้านของคุณจะผ่อนชำระหมดภายในระยะเวลา 23 ปี กับอีก 10 เดือน เร็วขึ้นร่วม 7 ปี เหมือนกัน และลดดอกเบี้ยลงได้ร่วม ๆ 8 แสนกว่าบาท


ทำไม ? วิธีแรก ถึงหมดเร็วกว่า และลดดอกเบี้ยได้มากกว่า

          ไม่มีอะไรมากครับ เพราะวิธีแรกนั้น เราตัดต้นไปทุกเดือน แม้จะนิดหน่อยแค่ 1,800 บาทก็ตาม เมื่อต้นลดลงทุกเดือน เวลาก็สั้นลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตามไปด้วยเท่านั้นเอง

          ทีนี้หากใครอยากผ่อนบ้านหมดเร็วกว่าในตัวอย่างที่ผมนำเสนอ ก็สามารถปรับแผนการผ่อนชำระของคุณได้ครับ ก็อย่างที่บอก ยิ่งโปะเยอะก็ยิ่งหมดเร็ว

          หัวใจสำคัญของวิธีการข้างต้นก็คือ กรุณาบอกธนาคารด้วยว่า เงินที่คุณนำฝากเข้าไปเพิ่มนั้น เพื่อต้องการตัดเงินต้นที่เป็นหนี้บ้านอยู่ อย่าไปนำฝากเข้าไปในบัญชีออมทรัพย์ เฉย ๆ เพราะถ้าไม่บอกธนาคาร เขาก็จะตัดยอด 18,000 บาทเหมือนเดิมนะครับ ต้องบอกด้วยว่าจะตัดหนี้ด้วยยอด 19,800 บาท (กรณีรายเดือน) และ 36,000 บาท (กรณีรายปี) มิฉะนั้น จะไม่เกิดผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการนะครับ

          อย่างไรก็ดี อย่าเร่งการผ่อนชำระมากเสียจนแผนการเงินในชีวิตประจำวันเสียหายนะครับ


สำหรับท่านที่ห่วงเรื่องดอกเบี้ย ไม่อยากเสียดอกเบี้ยเยอะ

          อีกแนวทางหนึ่งที่พอจะทำได้เหมือนกัน ก็คือ การรีไฟแนนซ์บ้าน ก็เหมือนการทำสัญญากู้ยืมเงินกันใหม่ โดยเราสามารถทำสัญญาใหม่ได้ หลังจากผ่อนชำระเกิน 3 ปีไปแล้ว (อันนี้ต้องดูเงื่อนไขจดจำนองของแต่ละธนาคารอีกที)

          ถ้าปัจจุบันบ้านที่เราผ่อนอยู่นั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่สูง ท่านก็อาจพิจารณาขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิม หรือธนาคารใหม่ (กดดันธนาคารเดิมที่ใช้อยู่ 555) เพื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ต่ำกว่า

          บางท่านอาจบอกว่า วิธีการนี้จะทำให้ระยะเวลาผ่อนชำระยาวออกไปอีก อันนี้ต้องบอกว่าไม่จริงนะครับ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเราจะตกลงกับธนาคาร สัญญาบนโลกนี้เขียนอย่างไรก็ได้ครับ ตราบใดที่สองฝั่งคู่สัญญายอมรับและไม่ผิดกฎหมาย

          สำคัญ คือ การร่นเวลาผ่อนชำระในสัญญาใหม่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของเรานะครับ ถ้าไม่ติดปัญหาตรงนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

          ในมุมมองของผม บ้านนั้นถ้าผ่อนหมดเป็นของเราเร็ว ๆ ได้ก็ดีครับ แต่ถ้าการเพิ่มยอดส่ง ทำให้เป็นภาระเพิ่ม การรักษากติกาผ่อนชำระตามเงื่อนไขไปก่อน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายจนเกินไปนัก

          สิ่งสำคัญ คือ คุณทำบ้านของคุณ ให้เป็น "บ้าน" จริง ๆ หรือเปล่า หรือเป็นแค่ที่พักเอาแรง เพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปวิ่งไล่ตามหาเงินอีกครั้ง

          "HOME กับ HOUSE มันต่างกันมากนะครับ"


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 10:39:37 am
 เลือกใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/Creditchoice.aspx-

      ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีข้อกำหนดให้ผู้ออกบัตร เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่น ๆ โดยให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง รวมทั้งให้ระบุ
ในเอกสารชี้ชวน ใบสมัคร และสัญญา
 
     ดังนั้น ก่อนเลือกใช้บริการผู้บริโภคควรศึกษาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งเรียกเก็บจากลูกค้ารวมถึง
ภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ท่านสามารถเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมเบื้องต้นได้จาก อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ
 
     โดย ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บริการบัตรเครดิต ที่ประมวลจากอัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบใน
เว็บไซต์ของ ธปท. สรุปได้ ดังนี้

     - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า   0 - 15,000 บาท  ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมรายปี   0 - 30,000 บาท ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ   0 – 50 บาทต่อครั้ง
     - อัตราดอกเบี้ย   (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าบริการ
       ต่าง ๆ รวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปีไม่ได้)
     - ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต  (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บ
       ค่าธรรมเนียมเกินร้อยละ 3 ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนไม่ได้)
     - ค่าติดตามทวงถามหนี้ 0 - 384 บาทต่องวด
       - ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินในการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ  ร้อยละ 2 - 2.5 ของอัตราแลก
       เปลี่ยนอ้างอิง

       ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายข้างต้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดรายการต่าง ๆ เพื่อความมั่นใจ
นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์และความสะดวกอื่น ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

     - รอบระยะเวลาบัญชี
     - ระยะเวลาการชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย
     - จำนวนร้านค้าที่รับบัตร
     - ความสะดวกในการชำระเงิน
     - เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ
     - บริการเสริม และโปรโมชั่นต่าง ๆ
     - พันธมิตรทางธุรกิจของผู้ออกบัตร

     รู้ไหมว่า
      - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถต่อรองกับผู้ออกบัตร เพื่อขอยกเว้น
        การเรียกเก็บได้
        - สิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากบัตรเครดิตชนิดต่าง ๆ เช่น บัตรพลาตินัม (Platinum) คุณควรนำมา
        เปรียบเทียบกับเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้บัตรด้วย เนื่องจากค่าธรรมเนียมรายปีจะสูงกว่า
        บัตรธรรมดา

-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/Creditchoice.aspx-
-http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=7-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 05:35:55 pm
เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งไปไหนบ้าง!?

-http://money.sanook.com/180958/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99750-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-



เงินของเรา เขาทำอย่างไร เราต้องรู้

เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งไปไหนบ้าง!?

 

เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น...

- 225 บาท ดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และตาย ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน

- 75 บาท ใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ ก็เอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างที่หางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน

- 450 บาท เก็บเป็นเงินออม จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี

 

โดยเงื่อนไขการได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่ออายุครบ 55 ปี) คืน คือ

1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท

2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 15 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่าข้อ 1. คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท

3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ

 

- กรณีจ่ายครบ 15 ปีเป๊ะๆ จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย สมมติ 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนตาย

- กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี (จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี)

สมมติเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ (20% x 15,000 บาท = 3,000 บาท) + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือน ไปจนตาย

กรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แต่เสียชีวิตซะละ กรณีนี้จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่าของเดือนสุดท้ายของเงินบำนาญที่ได้รับ เช่น รับรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท ตายปุ๊บ รับ 63,750 บาท

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
-https://www.facebook.com/fconsumerthai?fref=ts-


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2014, 09:28:29 pm
7 วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายที่ทำได้จริง เหลือเงินเก็บแน่นกระเป๋า

-http://money.kapook.com/view87914.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายที่ทำได้จริงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป จะได้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ถ้าอยากลดค่าใช้จ่าย แล้วเพิ่มเงินเก็บให้กระเป๋าตุงก็ทำได้ไม่ยาก แค่ต้องอาศัยเคล็ดลับนิดหน่อยจ้า

          ภาระค่าใช้จ่ายของใครแน่นเอียด จนยอดเงินติดลบแทบทุกเดือน ตอนนี้คงกำลังมองหาวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายกันอยู่แน่ ๆ ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูเคล็ดลับประหยัดค่าใช้จ่ายที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากต่อไปนี้ดีกว่า รับรองเลยว่าคุณจะเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกเยอะ กลายเป็นคนที่เหลือเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำเลยเชียวล่ะ

          ตัดงบเรื่องกินไปบ้าง

          ถ้าลองคำนวณดูเล่น ๆ จะเห็นว่า ค่าใช้จ่ายในเรื่องปากท้องของเราในแต่ละเดือนกินพื้นที่งบประมาณไปมากพอดู เอาง่าย ๆ แค่ค่ากาแฟ และขนมตอนบ่ายในแต่ละวัน ก็ 100-200 บาท เข้าไปแล้ว ยิ่งกับคนที่ชอบตระเวนกินอาหารหรู ๆ จัดบุฟเฟ่ต์ทุกสัปดาห์ก็ยิ่งควักกระเป๋ามากขึ้นไปอีก แต่ถ้าลองตัดงบประมาณค่ากาแฟ ขนมหวาน และอาหารฟุ่มเฟือยลงไปบ้าง พร้อมทั้งทำอาหารกินเองที่บ้านแทนกินข้าวนอกบ้าน คงเหลือเงินในกระเป๋าไม่น้อยเลยเหมือนกัน ที่สำคัญยังเป็นการไดเอตทางอ้อมที่เห็นผลจริง และรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเหงื่อออกกำลังกายสักหยดเลยด้วย

           ค่าเดินทางก็ประหยัดได้

          ในเมื่อราคาน้ำมันมีแต่พุ่งขึ้นกับขึ้นขนาดนี้ ขืนใช้รถ 2 คัน ขับของใครของมันคงต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในส่วนการเดินทางจนเมื่อยบ่าแน่ ๆ ดังนั้นหากเป็นไปได้ ลองไปคันเดียวกัน หรือเลือกใช้บริการรถสาธารณะในบางโอกาสดีกว่า ประหยัดทั้งค่าน้ำมัน ค่าที่จอดรถ แล้วยังประหยัดเวลาหาที่จอดรถให้ยุ่งยาก ส่วนค่าเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดยาว คุณสามารถเซฟเงินในกระเป๋าได้ด้วยการจองโปรโมชั่นเครื่องบินแทนการขับรถทางไกล แค่นี้ก็มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกหลายบาทแล้วจ้า

          ฉลาดเลือกกรมธรรม์

          กรมธรรม์ในสมัยนี้มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบออมเงิน และประกันสุขภาพ พร้อมประกันอุบัติเหตุไปด้วยในตัว ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าคุณจะเลือกซื้อกรมธรรม์แบบไหนให้ตัวเอง แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ อยากให้คุณคำนวณเบี้ยประกัน ผลประโยชน์ที่ได้รับ ระยะเวลาผ่อนส่ง รวมทั้งในส่วนของการลดหย่อนภาษีให้ดีด้วยนะคะ


          ปาร์ตี้ได้ แต่เบา ๆ

          เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีสังคม และสังสรรค์กับเพื่อนบ้างในแต่ละเดือน แต่ถ้าคุณลดความถี่ลงจากเดิม หรือเปลี่ยนแนวไปเที่ยวแบบที่ไม่ต้องใช้เงินมากนัก เช่น ปิกนิกในสวนสาธารณะ ดูฟรีคอนเสิร์ต หรือดูหนังในช่วงลดราคา ไม่ก็นัดปาร์ตี้กันที่บ้านเพื่อน แค่นี้ก็ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้วล่ะ

           ค่าใช้จ่ายในบ้าน ลดได้ไม่ยาก

          ลองคำนวณค่าใช้จ่ายภายในบ้านในแต่ละเดือนแล้วก็ต้องสะดุ้งเบา ๆ เพราะมีรายละเอียดจิปาถะที่ต้องใช้เงินทั้งนั้นเลยนะคะ แต่ถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ คุณก็สามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เลือกใช้ของที่คุ้มค่าทั้งในแง่ของคุณภาพ และราคา เพราะอย่าลืมว่าของคุณภาพดีบางทีก็ไม่จำเป็นต้องแพง หรือเป็นของแบรนด์ดังอะไร แถมของบางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ของดีมีคุณภาพมากนักอีกต่างหาก ที่สำคัญพ่อบ้านคนไหนที่เป็นสิงห์อมควัน ลองตัดขาดจากบุหรี่ก็น่าจะดี แล้วคุณจะเห็นได้ว่า มีเงินเหลือเก็บอีกมาก หนำซ้ำสุขภาพก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว

           ประหยัดพลังงาน เท่ากับประหยัดเงิน

          บิลค่าน้ำ และค่าไฟเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญในบ้านที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหากคุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้รักษ์โลกมากขึ้น อย่างปิดทีวีเมื่อไม่ได้ดู ตั้งอุณหภูมิแอร์ไม่ให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน ปิดก๊อกน้ำให้สนิท รวมทั้งไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ หรือแม้แต่อาบน้ำเย็นแทนการอาบน้ำอุ่น และปิดไฟในส่วนที่ไม่มีใครอยู่ก็ประหยัดเงินไปได้เยอะจนคาดไม่ถึงเลยจ้า

           จำกัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

          วิธีที่จะช่วยให้คุณเหลือเงินเก็บในกระเป๋าตามเป้าที่ตั้งไว้ คงหนีไม้พ้นการวางแผนการใช้จ่ายให้ตัวเอง และเดินตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด พยายามอย่าวอกแวกใช้เงินส่วนที่แบ่งไว้เก็บ หรือตัดสินใจเป็นหนี้เด็ดขาด โดยเฉพาะบัตรเครดิต ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เลยดีกว่านะคะ จะได้ไม่มีภาระหนี้ผูกพันในเดือนต่อ ๆ ไป และถ้าใช้เงินสดแทน คุณจะสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายให้ตัวเองได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย

          เพียงแค่ฝึกวินัยการใช้จ่ายของตัวเองให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ แค่นี้คุณก็จะบรรลุเป้าหมายการออมเงิน และประหยัดค่าใช่จ่ายในแต่ละเดือนไปได้เยอะแล้วล่ะค่ะ


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2014, 10:09:38 pm
วางแผนการเงิน...สบายกระเป๋าตลอดปี (modernmom)
เรื่อง : นารา อาทิตย์รักษ์

-http://money.kapook.com/view88448.html-


          วางแผนการเงิน..ได้ยินแล้วง่วงชะมัด เอาเป็นว่าเรื่องโครงสร้างตารางซีเรียส ๆ ปล่อยให้ท่านเจ้าหลักการหรือนักวางแผนการเงินมืออาชีพเขาทำกันไปก็แล้วกัน หลักการบ้าน ๆ ของเราเน้นง่าย ไร้ศัพท์แสง นั่นก็คือ ปีหน้า "ต้อง" จ่ายหรือเก็บเงิน เพื่ออะไรกับ "อยาก" ใช้จ่ายอะไรบ้าง ง่าย ๆ เท่านี้เอง งั้นมาเริ่มต้นวางแผนกันดีกว่า...

          แผนการเลิศหรูมักสวยงามยามเพ้อฝัน ลงมือทำจริงทีไร เป็นศูนย์ทุกทีสิน่า...

สแกนกรรมก่อนสตาร์ด

          รรมใดในอดีตที่ท่านก่อไว้ยังติดตามมาในภพเอ๊ยปีนี้หรือไม่ กรรมหมายถึงการกระทำ เช่น ผ่อนบ้านหรือผ่อนรถหรือเวรกรรม เช่น หนี้บัตรเครดิตจากการอัพเดตมือถือหรือกระเป๋าแบรนด์รุ่นล่า กู้ไปทัวร์ยุโรป หรือหนักมือกับการฉลองปีใหม่ไปนิด ฯลฯ อย่าลืมเช็กข้อมูลเครดิตว่ายังดีอยู่ หรือมีปัญหา จ่ายช้า ยังไม่ได้จ่ายหนี้ มีอะไรผิดปกติควรรีบติดต่อธนาคาร

          ส่วนกรรมดีดูสิว่าสะสมทรัพย์สิน เงินฝาก ลงทุนซื้อหุ้นพันธบัตร ที่ดินหรือทองไว้มากน้อยแค่ไหน แล้วแต่ละเดือนมีเงินงอกเงยจากสมบัติเหล่านี้กี่บาทกี่สตางค์ รวมตัวเลขแล้วทุกเดือนเงินเข้าจะมีมากกว่าออก กรรมดีมากกว่าหนี้กรรม... ยินดีด้วยค่ะ แต่ถ้ายังติดลบอยู่ควรคิดหารายได้เพิ่มช่วยล้างหนี้ให้เร็วขึ้น

ปีนี้ต้องหรืออยากทำอะไรบ้าง

          เตรียมตัวเตรียมใจและเงินไว้สำหรับจ่ายประจำก่อน ดูว่ารายเดือน มีรายจ่ายหลักอะไร ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีรายจ่ายประจำอะไรอีก ค่าอาหารพ่อแม่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ของกินของใช้ลูก ค่าน้ำมัน ฯลฯ

          รายจ่ายบางเดือนที่มักจะลืมไป เช่น ครบกำหนดจ่ายค่าดูแลรักษาต่าง ๆ เช่น ประกันและพรบ.รถ ล้างแอร์ ค่าสาธารณูปโภคในอาคารหรือหมู่บ้าน หรือจ่ายภาษีถ้าต้องคิดเองจ่ายเอง ฯลฯ คิดมาให้ละเอียดยิบ เตรียมงบสนับสนุนโครงการ อยากไปเที่ยว เข้าคอร์สฟิตเนส ฝึกร้องเพลง เรียนปั้นดิน อบรมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เรียนต่อ ดาวน์รถใหม่ หรือต่อห้องเพิ่ม ฯลฯ หรือคิดว่าจะเก็บเงินไว้ยามเกษียณอย่างจริงจังสักที โปรเจกต์อย่าเยอะมากเดี๋ยวจะเป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ

          หมายเหตุไว้ตรงนี้หน่อยว่าพยายามผลักดันเงินออมยามเกษียณไปอยู่ในรายจ่ายหลักให้จงได้ มาเริ่มเก็บเอาบั้นปลายก็สายเกินแก้ คนแก่ ๆ ไม่มีเงินเลี้ยงตัวเป็นปัญหาทั่วโลก ส่วนบ้านเราการพึ่งรัฐฯ หรือสวัสดิการสังคมในอนาคต คาดการณ์แล้วขอใช้ตัวเลขนี้ "555"

อย่าลืม...รายจ่ายทำลายบรรยากาศ

          คนกำลังอารมณ์ดี ๆ ดูตามแผนที่วางไว้มีเงินพอตามฝันโครงการสวยหรู แต่ต้องสะดุดเหมือนมีใครมาขัดขาให้หกล้มเพราะรายจ่ายที่น่ารำคาญ คาดไม่ถึง แต่เขาต้องมาแน่ ๆ จำเป็นต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ต่าง ๆ รถเสีย โทรศัพท์พัง แอร์เสีย ซ่อมบ้าน หรือพวกหมดสภาพตามอายุการใช้งานอย่าง เครื่องซักผ้า ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ ปรินต์เตอร์ตัวดี 2 ปีตายตลอด เตาไมโครเวฟ หรือรถยนต์เก่าทนใช้มานาน ฯลฯ ของเหล่านี้มีอายุขัยของมัน ซื้อมาเมื่อไรน่าจะจดวันซื้อและระยะการใช้งานไว้ จะได้รู้ว่าถึงเวลาเสียเงินซื้อใหม่หรือยัง ต้องมีเงินเพื่อการนี้ด้วย

          อีกอย่างที่อาจซ่อมก็คือสุขภาพ ดูแลสุขภาพตัวเองและคนในครอบครัวดี ๆ ถ้าเจ็บป่วยหนักประกันที่มีอยู่อาจไม่ครอบคลุมต้องควักกระเป๋าเองนะ

          ถ้ารู้แล้วว่าทั้งหมดเป็นจำนวนเงินเท่าไร กลับมาดูรายได้แต่ละเดือน กับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่อย่างไหนนำมาแปลงเป็นเงินได้ โดยไม่สั่นคลอนหลักประกันในชีวิต ดูความเป็นไปได้ เรียงลำดับ ความสำคัญ และพยายามจัดสรรงบให้ลงตัวก็สบายไปอีก 1 ปีแล้วค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.momypedia.com/-
Vol.19 No.219 มกราคม 2557
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 22, 2014, 10:06:09 pm
6 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดหลังแรก

-http://home.kapook.com/view88854.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แพ้การซื้อบ้านสักหลังเลย โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน ที่ต้องการที่อยู่อาศัยสไตล์คนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคโมเดิร์นแบบนี้ได้ตรงความต้องการทุกข้อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากการซื้อคอนโดหลังแรกจะค่อนข้างบูมในหมู่คนที่เริ่มอยากลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์แบบเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดสักหลัง คงต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน ทั้งเรื่องโดยทั่วไป จนกระทั่งหลักการซื้อขาย การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อคอนโด ดังนั้นวันนี้เราเลยขอนำเสนอ 6 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดหลังแรกมาให้คุณ ๆ ได้ศึกษากันก่อนค่ะ

1. พิจารณาสัญญา และกฎระเบียบให้ถี่ถ้วน

          การซื้อคอนโดสักหลังไม่ต่างอะไรกับการทำสัญญาซื้อขาดอย่างหนึ่ง ที่จะบอกว่าเป็นภาระผูกพันระยะยาวก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดหลังแรก ควรต้องมั่นใจก่อนว่า คุณจะสามารถยอมรับระเบียบข้อบังคับของคอนโด และพักอาศัยในคอนโดหลังนี้ได้อย่างสบายใจ โดยตรวจสอบตั้งแต่เงื่อนไขของการเก็บค่าส่วนกลาง บริษัทผู้รับผิดชอบโครงการ นิติกร รวมทั้งบริษัทที่รับหน้าที่ดูแลคอนโดแห่งนี้หลังจากการซื้อขายจบสิ้น พร้อมกันนั้นควรตรวจสอบด้วยว่า เงื่อนไขการอยู่อาศัยเข้มงวดแค่ไหน เลี้ยงสัตว์ได้หรือเปล่า หรือมีข้อห้ามปฏิบัติในส่วนไหนบ้าง ตลอดจนการจอดรถ และระบบการรักษาความปลอดภัยด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายของตัวคุณเอง และเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง

2. เปรียบเทียบราคาให้เหมาะสม

          สำหรับคนที่จำเป็นต้องกู้ธนาคารเพื่อซื้อคอนโด หรือต้องซื้อคอนโดต่อจากบุคคลอื่น ก็แน่นอนว่า สนนราคาคอนโดของคุณต้องสูงกว่าราคาที่โครงการตั้งไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องใส่ใจรายละเอียดในเรื่องของไฟแนนซ์ และการกู้ยืมเงินให้มาก รวมทั้งคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากราคาคอนโด เปรียบเทียบราคาให้เหมาะสมกับกำลังจ่ายของตัวคุณเองด้วย เพราะหากราคาคอนโดถูกโก่งไว้สูงเกินไป จนคิด ๆ ดูแล้วไม่คุ้มที่จะซื้อสักเท่าไร เราจะได้ไหวตัวทันนะจ๊ะ

3. คำนึงถึงความคุ้มค่า

          ในเมื่อคอนโดกลายเป็นความต้องการอันดับต้น ๆ ของตลาด การแข่งขันจึงค่อนข้างสูง ซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้บริโภคอุปโภคอย่างเรา ๆ เพียงแต่ว่า เราเองก็ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไป พิจารณาให้รอบคอบว่า คอนโดที่เราสนใจนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทำเลดีเริ่ด ติดรถไฟฟ้า ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ที่ทำงาน มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องสมุด หรือข้อได้เปรียบที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้อย่างไร ระบบการรักษาความปลอดภัย และสิทธิพิเศษที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับนั้นเหมาะสมกับเงินที่เราต้องจ่ายค่าส่วนกลาง และค่าคอนโดไปหรือเปล่า ซึ่งถึงแม้จะดูจุกจิกมากไปนิด แต่ในเมื่อจำนวนเงินที่จะออกจากกระเป๋าสตางค์เราไม่ใช่น้อย ๆ ก็ต้องเคี่ยวกันเป็นธรรมดาล่ะเนอะ

4. ความน่าเชื่อถือของโครงการ

          มีข่าวให้ได้ยินกันบ่อย ๆ ถึงคนที่ถูกเจ้าของคอนโดโกง โดยทำสัญญาซื้อขายทั้ง ๆ ที่โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี จนในที่สุดโครงการคอนโดสุดหรูนั้นก็ค้างอยู่ในวิมานกลางอากาศ สูญเงินเหยียบล้านแต่ไม่ได้เห็นโครงการคืบหน้าไปไหนสักที ดังนั้นเมื่อมีกรณีศึกษาแบบนี้แล้ว ก่อนตัดสินใจทำการซื้อขายคอนโด ก็น่าจะต้องตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเจ้าของคอนโด คุณภาพงาน และมาตรฐานการทำงานที่ผ่าน ๆ มาของเขาด้วย ยิ่งถ้าเป็นโครงการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จนสามารถขยายโครงการไปได้หลาย ๆ ที่ในเวลารวดเร็วก็น่าจะไว้วางใจได้ในระดับหนึ่งนะคะ

5. โครงสร้างคอนโดต้องแข็งแรง

          นอกจากความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการคอนโดแล้ว ทางที่ดีควรต้องเจาะลึกไปถึงการสร้างคอนโดแห่งนี้ด้วย เพื่อให้เราแน่ใจได้ว่า โครงสร้างคอนโดจะแข็งแรงแน่นปึ้กจริง ๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรมีคุณภาพดี พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อเหยียบย่างเข้าไปในคอนโดต้องไม่เห็นรอยร้าว จุดชำรุดในที่ใด ๆ หรือถ้าเคาะผนัง และพื้นแล้วต้องไม่ได้ยินเสียงก้องกังวาน แสดงให้เห็นถึงความโปร่งบางของโครงสร้างเด็ดขาดนั่นเองค่ะ

6. สภาพแวดล้อมรอบด้านน่าพึงพอใจ

          จุดเด่นของคอนโดในยุดนี้ต้องตั้งอยู่ในย่านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถ้าไม่ติดย่านกลางเมือง มีรถไฟฟ้าในระยะใกล้ ๆ ก็ต้องอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า แต่เหตุผลแค่นี้คงไม่พอให้เรายอมจ่ายเงินจำนวนมากแน่ ๆ จริงไหมคะ เพราะถ้าจะเสียเงินก้อนทั้งที สภาพแวดล้อมรอบด้านคอนโดก็ควรจะต้องเป็นที่น่าพอใจสำหรับเราพอสมควร เช่น อยู่ใกล้ที่ทำงาน เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนแออัด แต่ก็ไม่เปลี่ยวจนน่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจนเกินไป มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา กล้องวงจรปิด และลานจอดรถต้องดูปลอดภัยไร้กังวลมาก ๆ ด้วย นอกจากนี้ควรพิจารณาถึงปัจจัยที่จะช่วยให้เราขายคอนโดได้โดยง่าย เผื่อกรณีที่คิดจะขายต่อในภายหลังด้วยนะคะ


          ไม่ว่าใครก็อยากจะซื้อคอนโดหลังแรกให้คุ้ม อยู่สบายและไม่เสียดายเงินก้อนโตที่ต้องจ่ายไป ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อคอนโด ก็อย่าลืมนึกถึงข้อควรพิจารณาเหล่านี้ด้วยนะจ๊ะ



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 27, 2014, 01:56:03 am
กู้บ้านผ่าน ไม่ได้แปลว่า ผ่อนบ้านไหว

-http://money.kapook.com/view89036.html-

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/s3030.jpg)

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ThinkOfLiving.com

          หลายคนดิ้นรนอยากเป็นเจ้าของบ้านสักหลัง ด้วยการทำงานหนักและพยายามเดินบัญชีสวย ๆ เพื่อให้สามารถขอกู้ซื้อบ้านผ่านฉลุย ทั้งยังตื่นเต้นดีใจที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้าน แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว การซื้อบ้านกลับมีปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากแค่กู้บ้านผ่านเท่านั้น กระปุกดอทคอมจึงมีบทความดี ๆ ที่อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง การกู้บ้านผ่าน และการซื้อบ้านไหว ที่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จาก เว็บไซต์ ThinkOfLiving.com มาฝากให้ได้ทำความเข้าใจกันค่ะ

          “กู้บ้านผ่าน” ไม่ได้หมายความว่าจะ “ซื้อบ้านไหว” โดย ThinkOfLiving.com

          บ่อยครั้งที่เราเห็นคนใกล้ตัวคิดจะซื้อบ้าน จากที่ทีแรกตั้งงบประมาณไว้ 3 ล้านบาทก็คิดว่าพอสมควรแล้ว แต่พอเขาศึกษาบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้าโครงการนี้ออกโครงการนั้น วิ่งวนไปอยู่สักพักหนึ่ง งบประมาณซื้อบ้านที่ตั้งไว้ทีแรกที่ 3 ล้านบาท ก็ขยายขึ้นไปเป็น 4-5-6 ล้านตามลำดับ ในระยะเวลาอันสั้น แล้วก็ไปหยุดอยู่ตรงงบประมาณสูงที่สุดที่พอจะกู้ธนาคารผ่านได้ โดยลืมไปเลยว่าตัวเองตั้งงบไว้ทีแรกเพียง 3 ล้านบาท … ยิ่งกู้บ้าน 100% จับเสือมือเปล่ายิ่งดี เพราะยังสามารถเก็บเงินก้อนเอาไว้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งเข้าบ้านได้ หรือบางรายหนักไปกว่านั้น ขอกู้เกินราคาบ้าน โดยส่วนเกินยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยแพงหน่อยไปเป็น​ "ค่าตกแต่ง" จะได้ไม่ต้องเสียเงินก้อนในการตกแต่งบ้านด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า "ฉันกู้ผ่าน"

          จริง ๆ ประโยคที่ว่า "ฉันกู้ผ่าน" กับ "ฉันซื้อไหว" มันไม่ได้มีความหมายเหมือนกันนะครับ หลาย ๆ คนชอบคิดไปเองว่า 2 ประโยคนี้มีความหมายเดียวกัน หรือไม่ก็หลงอยู่ในประโยคแรกแต่ไม่ได้คิดถึงประโยคที่สอง ด้วยเมฆหมอกที่มาบังตาจากความอยากได้อยากมีเกินกำลัง ของมันแน่อยู่แล้วครับว่า บ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาท ส่วนใหญ่ย่อมดีกว่าทาวน์เฮาส์ราคา 3 ล้านบาทอยู่แล้ว

          "กู้ผ่าน ผ่อนได้ เดี๋ยวเงินเดือนก็ขึ้น ได้โบนัสมาก็โปะ ปีสองปีแรกรัดเข็มขัดหน่อย ปีต่อ ๆ ไปก็ผ่อนสบาย ๆ แล้ว" คงจะเป็นเสียงในใจของคนหลาย ๆ คน ที่ลืมคิดไปว่าหากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่เพิ่ม บริษัทที่ทำอยู่ลดพนักงาน หรือไม่จ่ายโบนัสจะทำอย่างไร ?

          ถ้ามีเงินเก็บ สามารถหยิบมาใช้ได้ หรือขยันทำงานมากขึ้น รับงานพิเศษ หาทางเอาตัวรอดได้ก็แล้วไป แต่ถ้าวินัยทางการเงินไม่พอ หรือเศรษฐกิจหดตัวแรง ๆ เงินช็อต อาจจะนำมาสู่การยึดทรัพย์เพื่อชำระเงินกู้ได้นะครับ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เห็นธนาคารเอาบ้านมือสองมาขายทอดตลาดกันอยู่บ่อย ๆ หรอก … หลายคนยิ่งไปกว่านั้น กดเงินสดดอกเบี้ย 20-28% มาใช้ โดยไม่รู้ว่ายิ่งเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

          เรามาลองรู้จักคำว่า "พอดี" กันบ้างดีไหมครับ ? แต่ก่อนที่ผมจะพาไปรู้จักนั้น เดี๋ยวผมจะหยิบยกตัวเลขทางสถิติมาให้เห็นกันก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจภาพรวมคร่าว ๆ ของบ้านเมืองเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผมตัดสินใจเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา … ข้อมูลประกอบ รายงานนโยบายการเงิน เดือนมีนาคม 2557 โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/1.jpg)

          นี่เป็นตัวเลขล่าสุดของ หนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครอบครัวไทยมีความสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายได้เก่งมาก ภายใน 3 ปี ก็ทำให้หนี้สินครัวเรือนพุ่งจาก 63% ก่อนปี 2554 จนเฉียด 80% ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2556


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/2.jpg)

          ต่อมาเป็นตัวเลข NPL หรือหนี้เสียจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (ซื้อแล้วผ่อนไม่ไหว) ที่มีแนวโน้มในขาขึ้นชัดเจน จาก 10,000 กว่าล้านบาท พุ่งไปเกือบแตะ 25,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 3 ปี



          ดูตัวเลขแล้วก็หนาว ๆ ร้อน ๆ เนอะ หลาย ๆ คนเห็นแล้วก็อาจจะโทษนู่นโทษนี่ ต่อว่านโยบายรถคันแรก ต่อว่าบัตรเงินสด ต่อว่าโฆษณาที่ทำให้ดูเหมือนว่าการกู้เงินเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ขับรถเข้าไปปุ๊บได้เงินออกมาปั๊บ ยังมีรถใช้อยู่ แต่ลืมต่อว่าไปอย่างหนึ่ง … "ตัวคนกู้" นั่นเอง …

          ของอย่างนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกครับ สถาบันการเงินหลาย ๆ แห่งชอบโทรมาชวนให้ทำบัตรบ้าง กดเงินบ้าง กู้รถ กู้บ้านเกินกำลังบ้าง แต่ถ้าตัวคนกู้ไม่เอาด้วยเสียอย่าง เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้คุณจับปากกาเซ็นชื่อลงในเอกสาร ธุรกรรมทางการเงินก็คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งคงจะมาจากการที่หลาย ๆ คนมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยเกินไป ว่าใช้จ่ายอย่างไรเรียกว่า "ไหว" และใช้จ่ายอย่างไรเรียกว่า "ไม่ไหว"

          การที่เราจะหาคำว่า "พอดี" ได้นั้น เราก็ต้องมารู้จักความหมายของ "ฉันกู้ผ่าน" กับ "ฉันซื้อไหว" เสียก่อน

          ฉันกู้ผ่าน หมายความถึง จำนวนเงินที่ธนาคารคิดว่าสามารถทำกำไรจากคุณในความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ (ไม่ใช่คุณยอมรับได้)

          ฉันซื้อไหว หมายความถึง จำนวนเงินที่คุณสามารถจ่ายได้โดยไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเองและคนรอบข้าง

          เงินกู้ก็เหมือนมีด ใช้ดี ๆ ก็เกิดประโยชน์ ใช้ผิดก็อาจจะเฉือนทำร้ายตัวเองรวมถึงคนที่อยู่รอบ ๆ เราได้ด้วย ดังนั้นธนาคารพาณิชย์จึงถูกตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำในการปล่อยสินเชื่อขึ้นมา จากตัวเลขที่เรียกว่า "อัตราส่วนรายได้ต่อภาระจ่ายชำระหนี้" หรือ DSCR: Debt Service Coverage Ratio ซึ่งคำนวนจากการเอาเงินได้มาหารภาระที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน เช่น

          เงินเดือน 50,000 บาท

          ผ่อนชำระหนี้ 10,000 บาท

          ก็เรียกว่ามี DSCR = 5 เท่า

          โดยตัวเลขนี้ในเหตุการณ์ทั่วไปจะถูกกำหนดไม่ให้ต่ำกว่า 2 เท่า ก็คือเงินเดือน 50,000 บาท ผ่อนชำระหนี้ได้สูงสุด 25,000 บาท นั่นเอง


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/4.jpg)

          ทีนี้เรามาดูอัตราเฉลี่ยของประเทศไทยกันบ้างนะครับ ตรงนี้เป็นตัวเลขที่รวมรวบยอดประชากรทุกฐานะ ตั้งแต่มหาเศรษฐี จนถึงชนชั้นกลางที่สามารถกู้บ้านผ่านได้ ปรากฏว่ามีอัตราส่วนรายได้ต่อภาระจ่ายชำระหนี้ (DSCR) อยู่ที่ 4.4 เท่าโดยเฉลี่ย คิดง่าย ๆ ก็คือ มีเงินเดือน 44,000 บาท ผ่อนชำระหนี้ 10,000 บาท เหลือ 34,000 บาท เอาไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนรวมถึงจ่ายภาษีรายได้ส่วนบุคคลด้วย ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างเหมาะสม สามารถใช้จ่ายกันได้อย่างสบาย ๆ ไม่เกินตัว

          สำหรับบางคนไม่ใช่อย่างนั้นนะสิครับ สมมุติว่า นายเปี๊ยก มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน (600,000 ต่อปี) อยากได้ทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ก็จะอยู่ประมาณ 15,600 บาทต่อเดือน เหลือใช้ 34,400 บาทต่อเดือน (คิดเป็น DSCR = 3.2 เท่า) – คำนวณสินเชื่อด้วยโปรแกรมจากธนาคารอาคารสงเคราะห์


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/5.jpg)

          แต่พอเปี๊ยกดูบ้านไป ๆ มา ๆ แล้วก็เห็นว่าข้าง ๆ โครงการนี้ก็มีบ้านเดี่ยวอยู่ห่างไปไม่ไกล ในราคา 3.2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ก็จะต้องจ่าย 24,900 บาทต่อเดือน เหลือใช้ 25,100 บาทต่อเดือน อัตราส่วน DSCR ลดลงเหลือ 2 เท่าเศษ ซึ่งเปี๊ยกเองก็สามารถกู้ผ่านได้อยู่ …

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/6.jpg)

          สายตาที่เคยมองทาวน์เอาส์ก็ถูกความฝันของบ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมสวนรอบข้างมาแทนที่ ลืมไปเลยว่าตัวเองเคยตั้งงบไว้ไม่เกิน 2 ล้านบาทเพราะ "กู้บ้านเดี่ยวผ่าน" ก็เลยเทใจมาที่บ้านที่ใหญ่กว่า ตั้งใจว่าจะรัดเข็มขัด ลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเอา

          บังเอิญเปี๊ยกลืมไปว่า เงินเดือนแต่ละเดือนก็ต้องถูกหักภาษีไปนะ ต้องส่งประกันสังคมด้วยนะ หากเดือนไหนป่วยก็ต้องไปหาหมอด้วยนะ ประกันรถยนต์ก็ต้องจ่ายทุกปีนะ … แล้วพออยู่บ้านเดี่ยวค่าใช้จ่ายการดูแลบ้านก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ไหนจะดูแลรักษาต้นไม้ ตัดหญ้ารอบบ้าน จ่ายค่าส่วนกลางที่มักจะแพงกว่าโครงการทาวน์เฮาส์ทั่ว ๆ ไป … ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้คำนึงถึงเหตุการณ์สุดวิสัย ที่เปี๊ยกไม่อาจคำนวณได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเศรษฐกิจโลก อุบัติเหตุ หรือเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่มีเงินก้นถุงเหลือมาใช้จ่ายในส่วนนี้

          บ้านนั้นจัดเป็นการลงทุนก็จริงอยู่ เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากขึ้นก็จริงอยู่ แต่เราก็ไม่ต้องคิดไปว่าเราจะอยู่บ้านที่เราจะซื้อนี้ไปจนตายนะครับ … คนส่วนใหญ่มักคิดอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วบ้านสามารถขายเปลี่ยนมือและไปหาที่ใหม่ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่เรามีสตางค์พอก็สามารถขยับขยายได้ … แต่สิ่งที่จะทำให้เรามีสตางค์ไม่พอนั้น ก็คือ "ดอกเบี้ย" คนเรากู้ธนาคารมักจะลืมเรื่องดอกเบี้ย หรือเงินจ่ายเปล่า ๆ นั้นไปเลย

          ทาวน์เฮาส์ 2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ผ่อนเดือนละ 15,600 บาท รวมต้องจ่ายทั้งหมด 3.744 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ย 1.744 ล้านบาท

          บ้านเดี่ยว 3.2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ผ่อนเดือนละ 24,900 บาท รวมต้องจ่ายทั้งหมด 5.976 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ย 2.776 ล้านบาท

          คิดหยาบ ๆ ปีแรก 3.2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 6% ตกเดือนละ 16,000 บาท … นี่คือเงินที่เสียไปฟรี ๆ นะครับ ไม่ได้ลดต้นนะ แต่เป็นส่วนกำไรของธนาคารต่างหาก

          ผมเข้าใจว่าทุกคนอยากได้บ้านในฝัน แต่ถ้าเราซื้อบ้านอย่างมีสติอยู่ด้วยความพอดี ปัญหาการเงินหลาย ๆ อย่างก็คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วธนาคารเขาก็ไม่ได้มาเดือดร้อนกับคุณด้วยนะครับ ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน ขนาดน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 54 หลายคนขอประนอมหนี้หยุดผ่อนได้ 3 เดือน แต่ดอกเบี้ยก็ยังไม่หยุดเดินนะ คิดทุกเม็ด ถ้าผ่อนไม่ไหวก็จับบ้านไปขายทอดตลาด หรือรีไฟแนนซ์ที่ยืดเวลาผ่อนนานขึ้น ให้คุณจ่ายต่อก้อนน้อยลงแต่เขาก็ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเหมือนกัน

          ความพอดีที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละคนนั้นคงไม่ใช่อัตราส่วนใด ๆ ที่คนอื่นเป็นผู้กำหนดขึ้น หรือเป็นสัดส่วนค่าเฉลี่ยประชากร มันแทนกันไม่ได้ครับ เพราะบริบทต่างกัน แต่ละคนมีภาระไม่เท่ากัน มีลักษณะการใช้ชีวิตแตกต่างกัน มีความพอใจในความมั่นคงไม่เท่ากัน ดังนั้นเกณฑ์ที่ดีควรจะเป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้กำหนดลงไปอย่างเฉพาะเจาะจง

          อย่างเช่นคำถามที่ผมชอบใช้ ..
         
          หากคุณมีความคิดแม้แต่แว้บเดียวว่า "ฉันจะจ่ายไหวไหม ?" นั่นแหละครับ สรุปได้เลยว่า "คุณจ่ายไม่ไหว" แต่กำลังหาเหตุผลมาสนับสนุนความเกินพอดีของตนต่างหาก

          ปล. คำถามนี้ไม่ใช่ "คุ้มค่าเงินไหม" นะครับ เรื่องคุ้มค่าเงินเป็นเรื่องแพงหรือถูก ซึ่งต้องพิจารณาทุกครั้งก่อนที่จะซื้อสินค้าทุกชนิด
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 09:29:41 am
เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี เรามีคำแนะนำมาฝาก

-http://money.kapook.com/view89516.html-

ลดหนี้…… บัตรเครดิต เทคนิคดีๆ ที่ควรรู้  (ธนาคารกสิกรไทย)

          เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี ไม่จ่ายบัตรเครดิต หนี้บัตรเครดิต ไม่จ่าย ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝาก

          ปัญหาหนึ่งของคนมีหนี้บัตรเครดิตที่ยังไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แถมใช้จ่ายเงินด้วยความฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเงินไม่เป็น อาจก่อให้เกิดปัญหาไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทันเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าปรับจากการผิดเงื่อนไขการชำระ ดอกเบี้ยที่คิดจากยอดค้างชำระ ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลเสียจากความเครียดที่มีเพิ่มขึ้น และสุขภาพจิตที่เสียไปเมื่อขาดเงินชำระหนี้

          เริ่มแรกเมื่อใช้บัตรเครดิตใหม่ ๆ ไม่มีใครคิดอยากเป็นหนี้ แต่พอเริ่มใช้สักระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีกำลังซื้อจากเงินในอนาคตมากขึ้น จากเดิมที่เคยชำระแบบเต็มวงเงิน เริ่มเปลี่ยนเป็นการชำระเพียงบางส่วน ดังนั้น หากไม่มีวินัยในการใช้เงินที่ดีแล้ว จะเริ่มมีการค้างชำระหนี้บัตรเครดิตจาก 1 เดือน เป็น 2 เดือน 3 เดือน และในที่สุดก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งส่งผลต่อการขอกู้เงิน หรือการขอสินเชื่อในครั้งต่อ ๆ ไป เช่น ในอนาคตหากมีความประสงค์ต้องการซื้อบ้าน รถยนต์ จะทำให้สูญเสียโอกาสในการกู้เงิน เพราะการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่าง  ๆ ในปัจจุบัน ใช้วิธีดูประวัติการผ่อนชำระผ่านทางระบบข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (Credit Bureau) กล่าวคือ หากเป็นผู้ที่มีประวัติการผ่อนชำระไม่ดี อาจไม่สามารถกู้เงินได้อีกในครั้งต่อไป ดังนั้น คุณผู้อ่านควรรู้จักวิธีบริหารจัดการหนี้ เผื่อไว้สำหรับเวลาที่เดือดร้อนเรื่องเงินจริง ๆ จะได้สามารถพึ่งพาเครดิตของตัวเองได้ ไม่ต้องไปขอหยิบขอยืมเงินใครมาใช้

          สำหรับวิธีบริหารจัดการหนี้นั้น ขอเริ่มจากหนี้ที่ง่ายที่สุด คือ หนี้บัตรเครดิต การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีความง่ายและสะดวกสบาย แต่ หากขาดการวางแผนที่ดี อาจก่อให้เกิดเป็นหนี้สินได้ หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้อันดับแรกที่ควรชำระ เนื่องจากดอกเบี้ยสูงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตจะ เริ่มคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่มีการจ่ายเงินแทนลูกค้าออกไป สำหรับเทคนิคการบริหารจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีนั้น มีดังต่อไปนี้

          ไม่มีเงินจ่าย อย่าได้รูดบัตร ใช้จ่ายให้น้อยกว่า หรือเท่ากับเงินสดที่มีเท่านั้น

          ชำระเต็มจำนวน... ตรงตามเวลา จะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย รวมถึงค่าปรับต่าง ๆ ได้

          ถือบัตรที่เหมาะกับ Lifestyle มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงได้ เช่น เติมน้ำมันผ่านบัตรเครดิตให้ส่วนลดสูงถึง 5% เติมเงินค่าเดินทางรถไฟฟ้าผ่านบัตรเครดิตมีส่วนลดพิเศษ เป็นต้น

           อ่าน Statement อย่างละเอียด เพื่อทบทวนรายจ่ายในแต่ละเดือน

          ใช้ Statement เป็นบันทึกการใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น

          ใช้สิทธิประโยชน์จาก Point อย่างเหมาะสม ไม่เป็นเหยื่อโปรโมชั่น ของบัตรเครดิต

เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี

          สำหรับผู้ที่เริ่มมีหนี้บัตรเครดิต และต้องการหาทางออก มีเคล็ดลับดี ๆ ในการลดหนี้ ก่อนอื่นควรรู้จักกับหนี้ที่เหมาะสมของบัตรเครดิตก่อน คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า มีหนี้บัตรเครดิตเท่าไร ถึงจะไม่เกินตัว สำหรับจำนวนหนี้ที่ต้องผ่อนชำระบัตรเครดิตนั้น ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้สุทธิต่อเดือน หรือ ไม่ควรกู้เกิน 20% ของรายได้สุทธิตลอดทั้งปี เพราะจะส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ เคล็ดลับในการลดหนี้บัตรเครดิต ขอแนะนำ เทคนิคดี ๆ ที่ควรรู้ มีดังต่อไปนี้

          อันดับแรกต้องใจแข็ง ไม่ก่อหนี้เพิ่ม ซื้อเฉพาะสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยารักษาโรค ค่าเดินทางมาทำงาน เสื้อผ้าตามความจำเป็น ฯลฯ มีข้อคิดดี ๆ สำหรับการประหยัดเงินเพื่อมาชำระหนี้เพิ่ม คือ “ถึงแม้ว่าจะถูกแค่ไหน ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ซื้อ”

          อันดับต่อมา ควรชำระหนี้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง ๆ ก่อน หากมีเฉพาะบัตรเครดิต ควรเลือกปิดบัตรที่มียอดหนี้คงเหลือต่ำ ๆ ก่อน  แล้วทยอยปิดบัตรที่มียอดคงเหลือน้อยใบต่อไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการลดหนี้ ทั้งนี้ ควรมีการบันทึกบัญชีรับ-จ่าย ควบคู่กันไปด้วย เพื่อดูความสามารถในการชำระหนี้เพิ่ม (จะได้หมดเร็ว ๆ) และหากต้องการมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ “บัตรเดบิต” แทน “บัตรเครดิต” เพื่อที่จะได้ใช้จ่ายตามเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีเงินมาชำระหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ ซึ่งการใช้บัตรเดบิตก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง และพยายามหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อนำมาชำระหนี้

          อันดับสุดท้ายที่แนะนำ คือ การขายสินทรัพย์เพื่อนำมาชำระหนี้ พิจารณาสินทรัพย์ที่มีอยู่และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หากนำมาชำระหนี้แล้วจะทำให้ลดดอกเบี้ยจ่ายและเงินต้น ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง

          นอกจากนี้ การวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าเป็นรายเดือน จัดแยกค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค และใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนด จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือเก็บมาชำระหนี้มากขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ธนาคารกสิกรไทย
โดย คนอง ศรีพิบูลพานิชย์
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
-http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A4_015.aspx-



http://money.kapook.com/view89516.html (http://money.kapook.com/view89516.html)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 10:18:39 am
8 กลยุทธ์ออมเงินอย่างไรให้รวย

-http://guru.sanook.com/27078/8-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-



1.ออมเงินก่อนใช้

          การใช้เงินก่อนแล้วค่อยออมจากส่วนที่เหลือถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าไม่วางแผนการใช้เงินแล้วละก็ เราก็จะใช้เงินที่คิดจะออมจนหมดแน่นอน แต่ถ้าเรากำหนดจำนวนเงินที่ตั้งใจจะออมไว้ก่อนแล้วค่อยใช้เงินจากส่วนที่เหลือ จะได้เงินที่ตั้งใจออมและมีเงินไว้ใช้ได้อย่างประหยัด

2.ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น         

          เคยบ่นเรื่องค่าน้ำค่าไฟที่แพงขึ้นไหม เราสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ โดยปิดน้ำและไฟเมื่อไม่ได้ใช้ นอกจากจะประหยัดเงินแล้วเรายังได้ช่วยประหยัดทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย

3.ทำบัญชีการใช้เงิน

          มาตรฐานของการออมเงินคือ การทำบัญชีอย่างละเอียด ต้องจดว่าใช้เงินไปเท่าไร ใช้ทำอะไรบ้าง ถ้าใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยก็จะรู้ได้ทันที แม้จะเป็นเงินแค่๑บาท ก็ต้องจดไว้เสมอ

4.เลือกสินค้าดีราคาประหยัด 

          เวลาซื้อสินค้าต้องเลือกที่มีคุณภาพดี แต่ราคาประหยัด ถ้าสินค้ามีคุณภาพและปริมาณเหมือนกัน แต่ยี่ห้อต่างกัน ก็ควรเปรียบเทียบราคาดูว่าอันไหนถูกกว่า หรือเลือกสินค้าลดราคา ถ้าเป็นอาหารก็ต้องดูวันหมดอายุด้วย การทำแบบนี้จะช่วยให้มีเงินออมมากขึ้น

5.กำหนดเป้าหมายแล้วทำให้ได้

          กำหนดจำนวนเงินที่จะออมภายใน1ปี จากนั้นกำหนดเป้าหมายระยะสั้น1เดือน 3 เดือน 6 เดือน และ 9 เดือน เพราถ้ากำหนดเวลานานเกินไป จะทำให้ใช้เงินอย่างประมาทและลืมเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตั้งเป้าหมายระยะสั้นๆจะทำให้ตื่นตัว และใช้เงินอย่างประหยัดอยู่เสมอ

6.ตามล่าธนาคารดอกเบี้ยสูง   

          ถ้าเปรียบเทียบธนาคารของรัฐบาลกับธนาคารเอกชน ธนาคารเอกชนจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า แต่มีความเสี่ยงมากกว่าธนาคารรัฐบาล จึงต้องเลือกให้ดีและคอยติดตามข่าวสารเรื่องดอกเบี้ยอยู่เสมอ

7.มีธนาคารประจำ       

          ถ้าต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่านธนาคาร เช่นชำระค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ ควรเปิดบัญชีธนาคารไว้หนึ่งบัญชีเพื่อชำระผ่านธนาคารเดียวกัน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าถึงกำหนดชะระเมื่อไรและป้องกันการลืมอีกด้วย

8.ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ     

          สถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงควรติดตามข่าวเศรษฐกิจทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อใช้ในการตัดสินใจออมเงินได้ดีขึ้น

คนที่ร่ำรวยแต่ไม่รู้จักการเก็บออม ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต่อให้ร่ำรวยมีเงินมากเท่าไร วันหนึ่งก็อาจหมดลงได้และกลายเป็นคนที่ลำบากยากจน ฉะนั้น คำว่า “ร่ำรวย”บางทีอาจหมายถึงการมีชีวิตของวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าวันนี้ เพราะมันเป็นการบอกว่าเราควรใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และพยายามประหยัดและอดออม เพราะถ้าเราสามารถใช้ชีวิตให้ดีขึ้นทุกๆวัน ก็เหมือนกับเราได้รวยขึ้นทุกๆวัน และคงเป็นเรื่องที่ทุกๆคนต้องการแน่นอน

ที่มา :  -l3nr.org-


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 12:05:49 pm
1 ก.ค.นี้ คปภ. เข้ม! ลงดาบตัวแทนไร้จรรยาบรรณ

-http://money.sanook.com/185215/1-%E0%B8%81.%E0%B8%84.%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A0.-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93/-


นายประเวช  องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)เปิดเผยว่าณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 มีจำนวนตัวแทน/นายหน้าประกันภัย รวมทั้งสิ้น 461,585ราย แบ่งเป็นตัวแทนประกันชีวิต 270,599ราย ตัวแทนประกันวินาศภัย 23,322ราย นายหน้าประกันชีวิต 77,557ราย และนายหน้าประกันวินาศภัย 90,107ราย จากสถิติการรับประกันภัยจำแนกตามช่องทางการขายประกันภัย พบว่าช่องทางการขายผ่านตัวแทน/นายหน้าประกันภัย เป็นช่องทางสำคัญที่ทำรายได้สูงสุดให้แก่อุตสาหกรรมประกันภัย และเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวแทน/นายหน้าประกันภัยให้มีจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต (วินาศภัย) พ.ศ.2535 (แก้ไขเพิ่มเติม 2551) และเป็นไปตามกฎหมายกำหนด ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงได้ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัยกำหนดแนวทางในการเผยแพร่ข้อมูลของตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อให้ความรู้และปกป้องสาธารณชนในวงกว้าง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. ได้มีการนำข้อมูลของตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดเช่น การรับชำระเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยแล้วมิได้นำส่งให้บริษัท กระทำการปลอมลายมือชื่อลงในใบคำขอเอาประกันภัย และดำเนินการขอเอาประกันภัยกับบริษัท โดยที่ผู้ถูกปลอมลายมือชื่อมิได้มีเจตนาทำสัญญาประกันภัย ซึ่งได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขึ้นบนเว็บไซต์ของสำนักงานฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบสถานะของตัวแทน/นายหน้าประกันภัยเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปสำนักงาน คปภ. จะมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นอีกโดยการเปิดเผยรายชื่อและพฤติกรรมในการกระทำความผิดของตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า ในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน สำนักงาน คปภ. ได้มุ่งเน้นการให้บริการด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม และโปร่งใส บนฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน เข้าใจง่าย และเข้าถึงง่าย เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการใช้ประกอบการเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัย การที่ประชาชนมีข้อมูลที่ครบถ้วนและรับรู้สิทธิประโยชน์ ข้อยกเว้น เงื่อนไขด้านการประกันภัยของตนเองได้ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากที่สุดในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนส่วนการเปิดเผยรายชื่อผู้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวจะผลักดันให้บริษัทประกันภัยหันมาเข้มงวดกับตัวแทนในสังกัด และพัฒนาให้เกิดการแข่งขันทางด้านคุณภาพการให้บริการกับประชาชนและจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัยต่อไป
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 10:00:04 pm

ประกาศ ..แชร์กันต่อๆไปครับ หลังจากพวกเราโดนโกงมานาน...
http://webboard.hitech.sanook.com/forum/?topic=3822115 (http://webboard.hitech.sanook.com/forum/?topic=3822115)

ผมทำแล้ว จึงอยากให้เพื่อนๆ ทุกคน ทำบ้างครับ (ในโทรศัพท์มือถือของเราเอง)

พอกันเสียที หลังจากถูกมันกินฟรีมานาน ปกติเมื่อท่านโทรศัพท์ออก ไปหาเพื่อน หลังมีเสียงเรียกสักระยะหนึ่ง จะถูกตัดเข้า โหมด voice mail ทำให้ท่านต้องเสียค่าโทร. เพราะเจ้าของเครีอข่ายเค้าถือว่า call completed เค้าจึงคิดเงินทันที แม้เพียงวินาทีเดียวก็คิด 1 นาที

น้องที่ กสทช.แนะวิธียกเลิกโหมดนี้ โดย ให้กด ##002# กดโทร. ออก ก็จะเป็นการยกเลิกการตัดเข้า โหมด voice mail และจะไม่ต้องเสียค่าโทรอีก โดนคนละไม่กี่บาทต่อเดือน แต่เจ้าของเครือข่าย เค้ากินฟรีปีละหลายล้าน..ลบได้เลยทำตามขั้นตอน

ที่มา: FB Atipoj Srisukhon
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 04, 2014, 09:45:22 pm
ยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีและปฏิรูป LTFและ RMF จริงหรือ?
LTFและRMF ยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีจริงหรือ

-http://money.kapook.com/view89762.html-

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก TaxBugnoms  , ทวิตเตอร์ @TAXBugnoms

          ยกเลิกลดหย่อนกองทุนรวม LTFและRMF จริงหรือไม่ กรมสรรพากรจะทำการปฏิรูปการเก็บภาษีกองทุนรวม LTFและRMF อย่างไร มาดูกัน

          จากกรณีที่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้เตรียมเสนอต่อ คสช. ให้มีการปฏิรูปภาษีใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากการปฏิรูปที่ผ่านมาไม่ได้แก้ปัญหารอบด้าน ทำให้ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษี และหนึ่งในข้อเสนอดังกล่าวคือ ทบทวนสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ของกองทุน LTFและRMF พร้อมทั้งมีการศึกษาว่าค่าลดหย่อนทั้งหมด ผู้ได้ประโยชน์คือกลุ่มใดมากที่สุด … ว่าแต่ กองทุน LTFและRMF คืออะไร? ใครได้ประโยชน์จาก LTFและRMF กันแน่? วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนคืออะไร? วันนี้กระปุกดอทคอม ได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจาก @TAXBugnoms ที่อนุญาตให้นำข้อมูลเรื่อง “เค้าจะปฏิรูป LTFและRMF จริง ๆ หรอครับ”  มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน รายละเอียดเป็นอย่างไรไปดูกันเลยค่ะ

เค้าจะปฏิรูป LTFและRMF จริง ๆ หรอครับ

          จากข่าวล่ามาเร็วล่าสุดเมื่อวันก่อน เป็นข่าวที่มีหัวข้อสั้น ๆ แต่สั่นสะท้านทุกวงการลดหย่อนภาษีว่า.. “คลังเลิกลดหย่อน LTF-RMF เสนอลดภาษีบุคคลธรรมดา” เพื่อ “ปฏิรูปภาษี” โดยยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีกองทุนรวม LTFและRMF ดังนั้นบทความพิเศษตอนนี้ @TAXBugnoms อยากจะขอแชร์ข้อมูลดี ๆ แนวคิดใส ๆ และแถลงไขความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะมีหลายคนหลังไมค์มาถามว่า “ตกลงมันเกิดอะไรกันแน่?”

          อันดับแรก! เรามาทำความเข้าใจกันอีกครั้งนะครับว่า “แรกเริ่มเดิมทีกองทุนรวมเฉพาะ LTF เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2559 เป็นปีสุดท้าย” แต่สำหรับข่าวล่ามาเร็วนี้เข้าใจว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปทั้ง LTFและRMF ไปพร้อม ๆ กันเลย เนื่องจากเหตุผลว่า “ประชาชนที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้รับประโยชน์จริง ๆ หรือไม่” หรือพูดอีกแง่หนึ่งก็คือกลัวว่าสิทธิประโยชน์นี้จะเอื้อประโยชน์ให้ “คนที่มีรายได้มาก” มีโอกาสลดหย่อนภาษีมากกว่า “คนที่มีรายได้น้อย” เอ่อ… ว่าแต่คนแบบไหนเรียกว่ารายได้มากหรือรายได้น้อยกันละเนี่ย

ใครได้ประโยชน์จาก LTFและRMF กันแน่

          จากการค้นคว้าวิจัยด้วยตัวเอง (ฟังดูอนาถพิลึกนะครับ TwT) พบว่ามีกลุ่มคนอยู่ 4 ประเภท ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกองทุน LTF และ RMF เพื่อประหยัดภาษี อันได้แก่

          1. คนที่ไม่สามารถซื้อ LTF/RMF เพื่อประหยัดภาษีได้ : คนกลุ่มนี้เรียกว่าผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง เนื่องจากลำพังจะยาไส้ยังไม่มีปัญหา แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อกองทุนเพื่อประหยัดภาษีกันละโว้ยยย (โทษครับ อินไปหน่อย)

          2. คนที่ซื้อ LTF/RMF เพื่อลดหย่อนภาษีบ้างตามอัธยาศัย : คนกลุ่มนี้ได้วางแผนการเงินโดยแบ่งเงินออม หรือรายได้บางส่วนมาซื้อกองทุนไม่ว่าจะเป็นเพื่อการลงทุนหรือประหยัดภาษี แต่ไม่ได้ใช้สิทธิเต็มทั้งจำนวน

          3. คนที่ซื้อ LTF/RMF เพื่อลดหย่อนภาษีเต็มจำนวน : คนกลุ่มนี้มีการวางแผนการเงินที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ถ้าเป็นเกมส์ก็เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ด อารมณ์ประมาณเล่นคุกกี้รันแล้วเก็บเพชรได้ทุกเม็ด และคนกลุ่มนี้เองแหละที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

          4. คนที่ชีวิตนี้ไม่คิดจะซื้อ LTF/RMF : คนกลุ่มนี้ไม่มีผลใด ๆ ชั้นไม่ซื้อซักอย่าง LTF หรือ RMF ช่างแมร่งงงงง /ฝากออมทรัพย์โลด

          หากเราเปรียบเทียบข้อมูลง่าย ๆ เราจะเห็นว่า กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ที่สุดคือกลุ่มที่ 3 นั่นคือได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มเพดานที่กฎหมายอนุญาต แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากการแบ่งประเภทนี้คือ เราไม่รู้เลยว่าคนกลุ่มไหนคือคนรวยหรือคนจน เพราะมันมาจากอุปนิสัยในการใช้เงินและการวางแผนทางการเงินของแต่ละบุคคลมากกว่า


(http://img.kapook.com/u/pree/d/q1_14.jpg)



(http://img.kapook.com/u/pree/d/q2_16.jpg)

          จากรูปประกอบข้างบนจะเห็นได้ว่า คนที่มีโอกาสประหยัดภาษีได้มากนั้น คือ กลุ่มคนที่มีรายได้สูง จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ผู้ที่มีรายได้สูงกว่า ย่อมมีโอกาสมากกว่า” เพราะหลักเกณฑ์ในการซื้อกองทุน LTFและRMF นั้นอ้างอิงกับรายได้ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี

          แต่รูปประกอบด้านล่างนั้น คือการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามความเป็นจริง เนื่องจากบางคนอาจจะมีรายได้สูงแต่ใช้สิทธิลดหย่อนและในขณะเดียวกันก็อาจจะมีบางคนไม่ได้ใช้สิทธิ์ ดังนั้นคำถามหนึ่งที่ทางสรรพากรอาจจะต้องพิจารณาคือ คนที่มีรายได้สูงนั้น ใช่คนกลุ่มเดียวกันกับคนที่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ และที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีรายได้สูงนั้น เราจะนิยามได้อย่างไร ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “เอื้อประโยชน์คนรวย” อาจจะไม่ได้เป็นจริง หากเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์จากข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้

วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนคืออะไร

          เนื่องจาก LTFและRMF นั้นเป็นกองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการออมระยะยาว โดย LTF จะเน้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ลงทุน และเสถียรภาพให้มากขึ้น ส่วน RMF มีวัตถุประสงค์เพื่อสะสมเงินไว้ใช้หลังวัยเกษียณและความมั่นคงของชีวิตหลังเกษียณ

          อีกข้อหนึ่ง คือ ปัจจุบันระบบประกันสังคมและการบริการด้านสาธารณสุขยังมีไม่พอเพียงต่อความต้องการของประชาชน รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ สำหรับผู้สูงอายุ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุไว้ว่าคนไทยจำนวน 62% นั้นไม่เคยคิดถึงวันเกษียณ และไม่เคยวางแผนใด ๆ ทางการเงินเลย (โอ้ววแม่เจ้า)

          ณ จุดนี้ เราคงต้องถามตัวเองว่า วัตถุประสงค์ในการลงทุนของเรานั้นคืออะไร? หากเรามองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวหรือเพื่อเกษียณ เราก็นั่งหน้ามนยิ้มแป้นลงทุนต่อไปให้สบายใจ เพราะถึงไม่ลดหย่อนภาษีเราก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเรามองว่าเป็นการลงทุนเพื่อ “ลดภาษี” เป็นหลัก เราอาจจะต้องถามตัวเองต่อไปอีกสองข้อว่า “ทุกวันนี้เราลงทุนโดยรู้ความเสี่ยงหรือไม่” และ “เรามีหนทางอื่นในการลงทุนแล้วหรือยัง”

แล้วอนาคตตรูจะเป็นอย่างไร?

          บอกตรง ๆ ว่า งานนี้มีหนาว เพราะหลังจากปี 2559 จำนวนคนซื้อที่จำนวนลดลงในแต่ละปี อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างแน่นอน โดยข้อมูลจากเฟซบุ๊กส่วนตัว คุณวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง ได้ให้ข้อมูลจำนวนเงินลงทุนและสัดส่วนของกองทุน LTFและRMF ไว้ดังนี้


(http://img.kapook.com/u/pree/d/q3_13.jpg)

          ตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่า หากยกเลิกกองทุน น่าจะมีผลกระทบไม่น้อยต่อตลาดกองทุนรวม และอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวมหรือไม่ อันนี้ @TAXBugnoms คงตอบไม่ได้เช่นเดียวกันครับ แต่เท่าที่ลองสอบถามเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ผู้เชี่ยวชาญในวงการ มักจะได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ตก” หรือไม่ก็ “ตกหนักแน่” เพราะหลาย ๆ คนมองว่า คนส่วนใหญ่ซื้อเพราะต้องการผลประโยชน์ทางภาษีมากกว่าลงทุน เนื่องจาก (ความคิดเห็นส่วนตัว) สามารถลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนมากกว่า หรือว่าสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าได้

          แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวสารและข้อเสนอที่ทางกรมสรรพากรแจ้งต่อทาง คสช. ไว้ ซึ่งเราทุกคนก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจกันไปจนรีบขายตั้งแต่ปีนี้นะครับ (ย้ำอีกครั้งว่าปี 2559 นะครับที่หมดสิทธิ์)

          สุดท้ายนี้ ผมคาดว่าคงมีหลักการและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ผมขออนุญาตเตือนใจอีกครั้งหนึ่ง คือ ถึงแม้ว่าจะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่ก็ตาม แต่เราทุกคนควรจะสนใจการลงทุนเป็นหลักเพื่ออนาคตในวันหน้า และเพื่อที่จะได้ลัลล้ายามเกษียณนะครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 05, 2014, 10:08:23 pm
เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนอย่างไรให้รวยระเบิด
 
-http://money.kapook.com/view89420.html-

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Panphol.com

            เงินเดือนของคุณตอนนี้เท่าไหร่ ?

            คุณเก็บเงินในแต่ละเดือนกี่เปอร์เซ็นต์ ไว้ใช้จ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ มีไว้ลงทุนหรือไม่ ?

            หากคุณตกงานกะทันหันจะมีเงินไว้ใช้จ่ายหรือไม่ ?

            ต้องเก็บเงินเท่าไหร่จึงจะทำให้วัยเกษียณมีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่าย ?

            เงินเดือน 15,000 บาท  เก็บแบบไหน ทำอย่างไรจึงจะรวย ?

            นี่คือคำถามเบื้องต้นที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องคิดและบริหารการเงินในกระเป๋าในแต่ละเดือน  แต่บางคนอ่านแล้วก็อาจฉุกคิดในใจว่า ทุกวันนี้ใช้หนี้ยังไม่พอเลย แล้วจะเอาที่ไหนมาเก็บ ?

            เกี่ยวกับเรื่องนี้เรามีคำแนะนำจาก คุณพรพรหม ภักตร์เปี่ยม ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หุ้นปันผล Value Investor ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านการออม การลงทุน หุ้น LTF RMF มาฝาก โดยคุณพรพรหมเขียนบทความแนะนำ “เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนไงให้รวยระเบิด” ว่า “มีหนี้ จงใช้หนี้ก่อน หลังจากนั้นอย่าเพิ่งเก็บเงิน ให้บริหารต้นทุนให้ได้ก่อน” ส่วนวิธีการบริหารเงินนั้น ลองไปอ่านบทความเรื่องนี้กัน ซึ่งคุณพรพรหมได้อนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำมาเผยแพร่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการเก็บเงินได้อ่านกัน


เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนไงให้รวยระเบิด

            ผมเองก็เริ่มจากเงินเดือน 9,000 บาท ช่วงนั้นยังเป็นหนี้อยู่มากเหมือนกัน จำได้เลยว่าสมัยนั้นมีบัตร EASY BUY ที่จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที เพราะไปจัด SONY T1 มา 20,000 เศษ ใช้หนี้อยู่พักใหญ่ จนมีเงินพิเศษจำนวนหนึ่งจึงนำไปชำระทั้งหมด และหักบัตรนั้นทิ้งทันที บอกกับตัวเองว่า “แบบนี้ไม่เอาอีกแล้ว” ฉะนั้น มีหนี้ จงใช้หนี้ก่อน ถ้าหนี้นั้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะสร้างรายได้ในอนาคต จัดการมันซะ และ ควรทำมันพร้อมกับความต้องการที่ฟุ้งเฟ้อ อย่างไม่มีเหตุผล

            ผมไม่รู้ว่าท่านมีหนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าท่านมีเงินเดือน 15,000 ต้องบังคับให้ตัวเองใช้หนี้ต่อเดือนคิดเป็น 70% ของรายได้ หรือ 10,500 บาท ต่อเดือน เลข 70% เป็นตัวเลขที่ผมชอบ หากเกินนี้เกรงว่าท่านจะไม่มีกินเอาเท่านี้ล่ะพอแล้ว (หรือใครใจหินจะลองสัก 80% ก็ได้) ส่วน 30% ที่เหลือเชื่อผมท่านอยู่ได้ และผมทำมาแล้ว ในช่วงที่ได้เงินเดือน 15,000 ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน พอขยับฐานเงินเดือน มันก็มีสิ่งที่อยากได้เหมือนคนอื่นเค้าหลายอย่าง และอันดับต้น ๆ ก็คือ โทรศัพท์มือถือ จึงหันไปพึ่งบริการของบัตรเครดิตตอนนั้นเงินเดือน 15,000 ทำได้พอดีเลย แต่วงเงินที่ได้ประมาณ 30,000 บาท ก็จัดเต็มไป บางยอดเป็นเงินผ่อน แต่บางยอดกดเงินสดมาใช้เพราะอยากป๋าบ้าง อะไรบ้าง มันจะไม่สนุกก็ตอนบิลเรียกเก็บนี่ล่ะเล่นเอาหน้ามืด ผมเลือกที่จะจ่ายขั้นต่ำเพราะยังมีเรื่องที่ใช้จ่ายอีกเยอะแยะ หมุนไปได้หลายเดือนหลอกตัวเองไปสักพัก ก็ได้สติว่าจ่าย 2,000 แต่มันมีดอกเบี้ยเพิ่มมาอีกบานตะไท จึงเลือกตัดค่าใช้จ่าย ปกติ 15,000 ต่อเดือนแทบไม่พอกิน เพราะกินข้าววันละ 2 มือ (เช้ากินกับที่บ้าน) มื้อละ 30 + ค่าเดินทางวันละ 120 โดยประมาณ (บ้านอยู่พระราม 2 ทำงาน บางกะปิ)


สรุปค่าใช้จ่ายพื้นฐาน

            ค่าข้าว 60*30 บาท = 1800 บาท

            ค่าเดินทางไม่รวมอาทิตย์ 26*120 = 3120 บาท

            บวกใช้หนี้ 2,000 บาท

            รวมทั้งหมดแล้วเดือนนึงต้องจ่ายประมาณ 6,920 บาท ก็น่าจะเหลือประมาณ 9000 บาท เอาไว้เหลือออม ใช่มะ แต่จริงแล้วไม่เหลือแฮะ สาเหตุมาจาก

            1. เมื่อวงเงินเครดิตเหลือ ก็จะถูกดึงเอามาใช้เนื่องจาก เหตุผล “จำเป็น” ?

            2. มีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่มาก จนไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ซึ่งสรุปให้สั้น ๆ เรียกมันว่า “ค่าใช้จ่ายทางสังคม” ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้แหละที่มากกว่า “รายจ่ายประจำ”

            ฉะนั้นถ้าจะลดหนี้จงหยุด “ความอยาก” และ รีบใช้หนี้ให้เร็วที่สุด

            เหลือแค่เฉพาะอยู่ได้ ส่วนไอ้ที่อยากได้เอาไว้ทีหลัง

-----------------> ขอขีดเส้นใต้ตรงนี้ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ไม่ต้องอ่านต่อ <------------------

            หากเคลียหนี้ได้แล้ว ท่านจะเหมือนมนุษย์ผู้เอาชนะได้ทุกสิ่ง เพราะท่านชนะตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ความภูมิใจจะทวีคูณ ไม่ต่างจากการควบคุมอาหาร สิ่งที่จะได้ตามมาคือ วินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง ท่านจะรู้จักใช้เงินอย่างรู้คุณค่ามากขึ้น ย้ำว่า "รู้คุณค่ามากขึ้น" แต่ไม่ใช่ตระหนี่ขี้เหนียว

            หากท่านเคลียหนี้ได้แล้ว เราจะกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง ปล่อยให้มีค่าใช้จ่ายทางสังคมบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วสุขภาพจิตท่านจะแย่เอาได้เหมือนกัน อย่าบีบคั้นตัวเองมากไป เอาให้พอดี หลังจากนี้ อย่าเพิ่งคิดจะเก็บก่อน "เพราะการเก็บก่อน เป็นวิธีหักดิบที่ทำได้ยาก" ต้องบริหารต้นทุนให้ได้ก่อน โดยแยกค่าใช้จ่ายเป็น 5 เรื่องหลักต่อเดือน ดังนี้

            1. เพื่อให้พอดำเนินชีวิตได้ 5,000 บาท คิดเป็น 33.33% ของรายได้

            2. เพื่อให้สิ่งที่อยากได้ แต่เป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคต 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

            3. เพื่อให้สิ่งที่ทำให้อยู่ในสังคมได้ 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

            4. เพื่อการศึกษาเรื่องเฉพาะที่จะสร้างเงินได้ในอนาคต 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

            5. เพื่อการลงทุน 7,000 บาท คิดเป็น 46.66% ของรายได้

            หากได้เงินเพิ่ม ท่านก็เอา % ของแต่ละเรื่องไปคูณเงินเดือน ก็จะได้ตัวเลขที่ต้องจัดสรรในแต่ละเดือน

            ข้อ 2 ถึง ข้อ 4 ให้นำเอาไปฝากออมทรัพย์ที่ดอกเบี้ยสูง 3% หรือ กองทุนตราสารหนี้ T+1 ผลตอบแทน 2.8% เพื่อพักเงิน

            ข้อ 5 นำไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดี และ รับความเสี่ยงได้ ไม่แนะนำให้ลง LTF เพราะเงินเดือนประมาณนี้ ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีแน่นอน หลังหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัว และ อื่น ๆ แล้ว แนะนำให้ไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ ทีนี้ขอยกตัวอย่างเป็น BGH ซึ่งมีทิศทางการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หากไม่กล้าใจไม่ถึง ให้ลงเรียนหรือหาหนังสือมาอ่าน "ความรู้จะทำให้มั่นใจ"


(http://img.kapook.com/u/fontip/etc/pic_1.png)

            เมื่อลองคำนวณด้วย DCA ย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นว่าเราออมเงินไปทั้งหมด 252,000 บาท เกิดเป็นผลกำไรทั้งหมด 216,393.69 บาท (+86%) รวมแล้วมีเงินในมือทั้งหมด 468,393.69 บาท

            3 ปี นอกจากจะได้เงินเก็บในหุ้น 468,393.69 บาท แล้ว ยังได้เงินจากข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ไม่ได้นำไปใช้​(ไม่รวมผลตอบแทนเงินฝาก) อีก 72,000 บาท เงินจำนวนนี้ ซื้อไรดี ^^

 
(http://img.kapook.com/u/fontip/etc/Pic_2.jpg)

            แต่เมื่อลองดูย้อนหลัง 5 ปี จะเห็นว่าเราออมเงินไปทั้งหมด 420,000 บาท เกิดผลกำไรทั้งหมด 1,133,300.93 บาท รวมแล้วมีเงินในมือทั้งหมด 1,553,300.93 อุแม้เจ้า

            5 ปี นอกจากจะได้เงินเก็บในหุ้น 1,553,300.93 บาท แล้ว ยังได้เงินจากข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ไม่ได้นำไปใช้​(ไม่รวมผลตอบแทนเงินฝาก) อีก 120,000 บาท เงินจำนวนนี้ ซื้อไรดี ^^

            แน่นอนว่าปัจจุบันผมมีเงิน 1 ล้านบาท แต่เป็นล้านบาท ที่สะสมมาจาก เงินเดือน งานพิเศษ รับเขียนเว็บไซต์ เขียนโปรแกรม ค่าสมาชิกเว็บและจากกำไรหุ้น ช่วงปี 2008 2009 2010 ชีวิตผมเองก็ไม่ได้ โรยด้วยดอกกุหลาบ ปี 2011 ต้องแยกกับภรรยา ทำให้ต้องแบ่งทรัพย์สินและกลับมาเริ่มลงทุนใหม่ในช่วงปี 2012 แต่ก็โชคดีที่ตอนนั้นยังมีหุ้นหลายตัว Under Value อยู่มาก ทำให้กลับมาได้ในปี 2013 ขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ และ คุณลูก ที่ให้กำลังใจมาตลอด

            ผมเชื่อว่าหากท่านตั้งใจจริงก็ทำได้ เจอกันที่ความสำเร็จในปี 2015 เมื่อ AEC พร้อม 
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 05, 2014, 10:09:42 pm
8 นิสัยการเงินที่มีผลต่อสุขภาพ มาจัดการกันเถอะ

-http://money.kapook.com/view89563.html-

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแมว

         เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็มีผลต่อสุขภาพของคนเราอยู่เหมือนกัน นิสัยการเงินเหล่านี้ คือสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้นลองมาจัดการนิสัยการเงินเพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่า

         การใช้เงินของคนส่วนใหญ่ มักจะเน้นไปที่สิ่งของที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า เช่น อุปกรณ์ไอที, ไอโฟน, ไอแพด, กล้องถ่ายรูป, เสื้อผ้า เป็นต้น แต่ทว่ากลับมองข้ามความสำคัญของการใช้เงินเพื่อซื้อสุขภาพร่างกายที่ดี ที่แข็งแรง เพื่อต่อยอดในการใช้ร่างกายทำงานหาเงิน ดังนั้น คุณหมอแมว จึงอนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการนิสัยการเงินที่มีผลต่อสุขภาพมาฝากกัน ลองไปอ่านแล้วเปลี่ยนนิสัยการเงินของคุณดูนะคะ


8 อุปนิสัยทางการเงินที่คุณควรจัดการเพื่อสุขภาพ โดย คุณหมอแมว


1. ควบคุมเงินที่ใช้ซื้อสินค้าวิตามินอาหารเสริม

         พูดในแง่รวม ๆ วิตามินและอาหารเสริมที่มีผลดีต่อร่างกายมีจำกัด ในปัจจุบันมีงานวิจัยที่ออกมาใหม่ ๆ และตั้งข้อสงสัยถึงประโยชน์ของวิตามินอาหารเสริม

         อาหารเสริมหลายชนิดที่เดิมเคยเป็นที่นิยมและเชื่อว่ามีประโยชน์ เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่าไม่ได้มีประโยชน์ หนำซ้ำยังอาจจะก่อเกิดโทษได้อีกด้วย (อย่างใบแปะก๊วยที่ไปพบว่าอาจจะทำให้เลือดออกมากขึ้น เบต้าแคโรทีน ที่พบว่าอาจจะทำให้คนที่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งมากขึ้น และวิตามินอี ที่สงสัยกันว่าการกินมาก ๆ อาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น หรือสมุนไพร ที่หลาย ๆ ชนิดกินเข้าไปแล้วเกิดตับอักเสบได้)

         หากจะกินวิตามินเสริม แนะนำว่าปรึกษาแพทย์ก่อน แต่หากเป็นคนที่กินอาหารได้ปกติ แนะนำว่าพยายามปรับการกินให้หลากหลาย และเก็บเงินตรงนี้เอาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า


2. ออกกำลังแบบ Dollar Cost Average

         Dollar Cost Average ในทางการเงิน คือการเลือกหาหุ้นหรือการลงทุนที่พื้นฐานดี จากนั้นลงเงินไปเรื่อย ๆ เป็นประจำ โดยไม่ต้องสนใจว่าหุ้นจะขึ้นจะลง ... ถ้าเรามั่นใจว่าเลือกถูกตัวแล้วพื้นฐานดีจริงมันก็จะให้กำไรเราในระยะยาวเอง

         หลักการนี้นำมาปรับกับการออกกำลังกายก็คือ หาวิธีออกกำลังกายที่ใช่กับตัวเรา เหมาะกับสไตล์ของเรา จากนั้นออกกำลังเรื่อย ๆ เป็นระยะ ไม่ต้องหักโหมมาก แต่ว่าทำอย่างสม่ำเสมอ ช่วงไหนว่างมากมีกำลังก็ออกมากอีกหน่อย ช่วงไหนเหนื่อยเพลียจากการทำงาน (ที่ไม่ถึงกับป่วย) ก็ออกลดลงอีกนิด แต่อย่าหยุดออกกำลังกาย  ในระยะยาวสุขภาพจะดีกว่าการไปออกกำลังกายตอนแก่ (เปลี่ยนคำว่าออกกำลังกายเป็นรักษาสุขภาพก็ได้เหมือนกัน)


3. ระวังอุบัติเหตุทางสุขภาพด้วยประกันสุขภาพ ... แบบเชิงรุก

         ปัจจุบันมีประกันสุขภาพหลายชนิด ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิการรักษาในแบบใด ประกันสังคม สวัสดิการ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) ราชการ ... จากนั้นลองคิดดูว่าคุณสามารถรับได้กับระดับการรักษาในโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิแค่ไหน (พอใจกับหมอไหม พอใจกับยาหรือไม่ พอใจกับการรอคอยหรือไม่)

         หากไม่พอใจหรือคิดว่าอยากจะเสริม เช่น จะใช้ประกันภัยเฉพาะเวลาตรวจเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน หรือใช้ประกันสุขภาพเพื่อร่วมกับสิทธิการรักษาปกติเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าห้อง ก็ไปซื้อประกันอีกที

         ทั้งนี้เวลาจะซื้อก็ให้ประเมินสิทธิการรักษาของคุณกับสิ่งที่คุณต้องการ จากนั้นติดต่อตัวแทนประกันและแจ้งเขาไปเพื่อให้เขาเลือกประกันที่ตรงกับเรามากที่สุดมาให้เราดู ... อย่ารอให้ตัวแทนประกันมาหาเอง เพราะคนที่มาเสนอขายให้เรา เขามักจะมีประกันที่เขาต้องการขายให้เราอยู่แล้วซึ่งอาจจะไม่ดีสำหรับเรา


4. เลือกใช้ยาที่ผลิตในประเทศ ในบางโรคที่ไม่ซีเรียส

         สำหรับการป่วยที่ไม่หนักหนามาก อาจจะให้แพทย์เลือกยาที่ผลิตในประเทศแทนการใช้ยาตัวของแท้ เนื่องจากราคายาอาจจะต่างกันได้ 5-10 เท่า ในคุณภาพและผลข้างเคียงที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย


5. อาหารเพื่อสุขภาพควรเลือกแบบสายกลาง

         สูตรอาหารแบบสุดขั้วที่ออกมากันมากมาย บางแบบมีการให้กินน้ำมันพืชบางชนิดมากแบบสุด ๆ บางแบบมีการให้กินอาหารโปรตีนมากสุด บ้างก็ให้กินอาหารที่ผ่านความร้อนน้อย ๆ หรือกินดิบ ๆ ฯลฯ

         อาหารในกลุ่มพวกนี้ นอกจากจะไม่มีงานวิจัยชัดเจนว่าช่วยให้อายุยืนยาว ยังเป็นอาหารที่มีราคาแพงกว่าปกติและเสียเวลาเตรียมมากกว่าปกติ ... ซึ่งทำให้เราอาจจะต้องเสียเงินเกินความจำเป็นโดยอาจจะไม่ได้สุขภาพดีขึ้นเท่าไหร่


6. ตรวจสอบสุขภาพของคุณอย่างสม่ำเสมอ และพอดี

         ผมเคยเจอทั้งคนที่ไม่ยอมตรวจสอบสุขภาพของตนเองเลยจนกว่าจะแย่ และเคยเจอทั้งคนที่ตรวจเลือดตรวจเอ็กซ์เรย์ถี่ระดับ 1-2 เดือนต่อครั้ง

         การไม่ตรวจเลย จะทำให้เมื่อคุณป่วย คุณก็จะป่วยอย่างที่ไม่มีการวางแผนไว้ก่อน การตรวจถี่เกินไป จะทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป และเสียค่าใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นได้มาก โรคส่วนใหญ่ที่ไม่ร้ายแรง

         การตรวจประจำปี ปีละครั้งก็เพียงพอแล้ว (และบางครั้งการตรวจบางชนิดอาจจะเว้นได้นานถึง 2-3 ปี)


7. อย่าหลอกตัวเอง

         ผมพบคนที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือแม้แต่มะเร็ง ที่เมื่อตรวจพบในตอนแรกที่เป็นไม่มากแล้วปฏิเสธการตรวจต่อเนื่องหรือรับการรักษา บ้างเห็นว่าตนเองยังมีอาการปกติ บ้างเชื่อว่าหมอมักจะบอกให้โอเว่อร์ไว้เพื่อจะได้รักษาหรือขายยา ทำให้สุดท้ายไม่ตรวจต่อหรือไม่สนใจรักษา เมื่อมารักษาอีกครั้งตอนที่มีอาการมากก็สายเกินไปเสียแล้ว

         การรักษาตนเองตั้งแต่ค้นพบโรคแต่แรก ใช้เงินน้อยกว่าการรอให้เป็นมาก ๆ แล้วมาไล่แก้ไล่รักษาหลายสิบเท่าครับ


8. ตัดค่าใช้จ่ายสินค้าที่ทำลายสุขภาพลง

         เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่คือสินค้าที่ทำลายสุขภาพอย่างหนัก ซึ่งนอกจากทำลายสุขภาพ มันยังกินเงินของเราอย่างมหาศาลอีกด้วย

         หากปกติเราสูบบุหรี่วันละซอง ในหนึ่งปี เราจะใช้เงินไปทั้งสิ้น 18,250 บาท (คิดที่บุหรี่ซองละ 50)
หากดื่มเบียร์วันละกระป๋อง ในหนึ่งปี เราจะใช้เงินไปทั้งสิ้นราว 10,950 บาท (คิดที่เบียร์ กระป๋องละ 30)
รวมเป็นเงิน 29,200 บาท ... ซึ่งหากนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมีอัตราผลตอบแทน 3% ต่อปี คุณจะได้เงินเพิ่มมาอีก 876 บาท เป็น 30,076 บาท

         นี่ยังไม่นับถึงเงินที่คุณไม่ต้องเสียเพิ่มไปกับการเป็นโรคมะเร็ง ถุงลมโป่งพอ หรือตับแข็ง ไขมันเกาะตับอีกด้วย

         จะเห็นว่าเรื่องสุขภาพ หากเรามองให้เป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพื่อวางแผนในชีวิตก็สามารถทำได้ ปรับเปลี่ยนอุปนิสัยและแนวคิดทางการเงินเพื่อสุขภาพของคุณในวันหน้านะครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 08:54:24 am
รู้เท่าทัน ก่อนจะหันมาใช้ ‘บัตรเครดิต’

- ไขปัญหาผู้บริโภค


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/244665/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99+%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89+%E2%80%98%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E2%80%99+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-


เมื่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลง ความทันสมัยหรือกระแสวัตถุนิยม ถือเป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ ความอยากมี อยากได้ ทำให้หลายคนหันไปพึ่งเงินพลาสติกอย่างบัตรเครดิต
วันเสาร์ 14 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

เมื่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคมก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลง ความทันสมัยหรือกระแสวัตถุนิยม ถือเป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ ความอยากมี อยากได้ ทำให้หลายคนหันไปพึ่งเงินพลาสติกอย่างบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการกู้ยืมเงินสด และการผ่อนชำระสินค้า มาใช้ตอบสนองความต้องการของตน

ปัจจุบัน การใช้บริการบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อต่าง ๆ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะความสะดวกสบายที่สามารถรูดซื้อสินค้าโดยไม่ต้องใช้เงินสด หรือผ่อนชำระสินค้าโดยสามารถเลือกช่วงระยะเวลา และดอกเบี้ยได้หรือการกดเงินสดเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ชื่นชอบความรวดเร็ว ทันใจ จึงหันมาเลือกใช้บริการมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายก็จัดทำโปรโมชั่นต่าง ๆ ออกมาเพื่อโฆษณา  เชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสมัครใช้บริการบัตรต่าง ๆ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

โดยส่วนมากจะนำเสนอสิทธิประโยชน์การใช้บริการตามห้างร้านต่าง ๆ แต่ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดที่จำเป็นเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญา เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าติดตามทวงถาม ค่าผิดนัดชำระหนี้ ที่เป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาเลือกใช้บริการบัตรเครดิต และบัตรสินเชื่อ

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรตระหนักในการเลือกใช้บริการบัตรเหล่านี้ คือ ศึกษาเงื่อนไขข้อตกลงการใช้บัตร ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการของผู้ให้บริการหลาย ๆ รายเปรียบเทียบกัน เช่น คิดค่าธรรมเนียมรายปี ค่าติดตามทวงถามหนี้ ค่าผิดนัดชำระหนี้ มากน้อยเพียงใดเป็นไปตามที่ ธปท.กำหนดไว้หรือไม่ รวมถึงข้อความที่ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา แล้วจึงมาตรวจสอบเรื่องสิทธิประโยชน์การใช้บัตร และการเปรียบเทียบส่วนลดค่าใช้จ่ายที่จะตามมาจากการใช้บัตร สุดท้ายจึงมาพิจารณาของแถมต่าง ๆ ว่ามีเงื่อนไขอื่นแอบแฝงหรือไม่

บัตรเครดิตถือว่ามีประโยชน์หลายประการสำหรับผู้ที่มีระเบียบวินัยทางการเงิน  หากรู้จักวางแผนการใช้จ่ายอย่างถูกวิธี และไม่ใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น ในทางกลับกัน หากไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และไม่คำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ตลอดจนขาดความยับยั้งชั่งใจ ย่อมส่งผลให้เกิดภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น

ฉะนั้น เราควรพึงตระหนักไว้ว่า “เมื่อเรานำเงินของผู้อื่นมาใช้ก่อน เราจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงินนั้นคืน”.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 04:28:01 pm
สิ่งที่ผู้ใช้มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต

-http://money.kapook.com/view89986.html-




เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ และคุณสุนิติ ถนัดวณิชย์ ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย

          บัตรเครดิตกับการใช้งานให้ถูกวิธี ยังมีอีกหลายคนที่ใช้งานบัตรเครดิตด้วยความเข้าใจผิด ดังนั้นวันนี้เราเลยมีสิ่งที่ผู้ใช้มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตมาบอกกัน

          การมีบัตรเครดิตเอาไว้ในครอบครอง กลายเป็นเรื่องสามัญที่คนทำงานส่วนใหญ่มักจะมีเอาไว้เพื่อความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอย แต่บางครั้งการมีบัตรเครดิตที่ใช้งานง่ายก็อาจทำให้ลืมใส่ใจในเรื่องสำคัญอย่างการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรืออาจจะยังเข้าใจผิด ๆ อยู่ ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอนำเอาบทความดี ๆ จาก คุณฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ และคุณสุนิติ ถนัดวณิชย์ ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย มาฝากให้ได้ทำความเข้าใจกันค่ะ

          ความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและบริการ เมื่อมากับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอาจทำให้เกิดนิสัยการใช้เงินเกินตัวได้ การใช้จ่ายเงินมากกว่าที่หามาได้นั้นเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงกระทำ นอกจากนี้ยังเพิ่มภาระทางการเงินหากคุณไม่สามารถชำระหนี้ก้อนดังกล่าวแบบ เต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด เพราะคุณจะต้องเสียดอกเบี้ยจ่ายและ/หรือค่าธรรมเนียม รวม ๆ กันแล้วอยู่ในอัตรา 20% ต่อปี ซึ่งอาจเป็นภัยเงียบใกล้ ๆ ตัวคุณได้

          สิ่งที่ผู้ใช้บัตรเครดิตมักจะเข้าใจผิด คือ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยจ่ายของบัตรเครดิต ยกตัวอย่างเช่น รูดบัตรเครดิตเพื่อชำระค่าอาหาร และค่าซ่อมรถยนต์ไป จำนวน 25,000 บาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2554 คุณได้รับใบแจ้งหนี้ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/a57.jpg)
(รูปที่ 1)

          ยอดเงินถึงวันที่ 5 ส.ค. 54 (Billing Date)
     
          วันครบกำหนดชำระ 30 ส.ค. 54 (Payment Due Date)

          ยอดรวมที่ต้องชำระ 25,000 บาท (Outstanding Bal.)

          ยอดเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ 2,500 บาท (Minimum Payment Due)

          ในวันที่ครบกำหนดชำระ คุณสามารถที่จะเลือกชำระเต็มจำนวน 25,000 บาท หรือ เลือกชำระขั้นต่ำเพียง 10% ของยอดเต็ม คือ 2,500 บาท โดยปกติแล้วบริษัทบัตรเครดิตมักเสนอให้จ่ายขั้นต่ำ 10% ของยอดฯ หากคุณเลือกจ่ายขั้นต่ำจะทำให้คุณชำระเงินมากขึ้นจาก "ดอกเบี้ย"

          ถ้าในกรณีนี้ คุณตัดสินใจที่จะชำระบางส่วน จำนวน 20,000 บาท และเป็นหนี้คงค้างจำนวน 5,000 บาท เมื่อคุณกลับมาคิด "ดอกเบี้ย" ที่ต้องจ่ายสำหรับเงินต้นคงเหลือจำนวน 5,000 บาท คุณอาจจะคิดว่าดอกเบี้ยจ่ายคงไม่เท่าไร แต่เมื่อรอบบัญชีถัดมา (5 ก.ย. 54) ดอกเบี้ยจ่ายที่พบอาจทำให้คุณตะลึง !! แทนที่คุณจะจ่ายดอกเบี้ยเพียง 19.17 บาท (อัตราดอกเบี้ยต่อปี (20%) x จำนวนวัน (30 ส.ค. – 5 ก.ย. 54) x เงินต้น (5,000 บาท)) แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ !!! คุณจะต้องจ่ายถึง 469.04 บาท ดังตารางคำนวณต่อไปนี้


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/a56_1.jpg)
(รูปที่ 2)

          สิ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น มาจาก 2 ส่วน คือ ยอดหนี้ที่ใช้คิดดอกเบี้ย และจำนวนวันที่ใช้คำนวณดอกเบี้ย

          ปัจจัยแรก แน่นอนว่ายอดหนี้ที่ใช้คิดดอกเบี้ย ไม่ได้มีเพียงแต่ยอดหนี้คงเหลือนับจากวันครบกำหนดชำระเพียงอย่างเดียว (5,000 บาท) แต่คิดจากยอดหนี้เต็มจำนวนโดยคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่รูดซื้อสินค้าและบริการ

          ปัจจัยที่สอง คือจำนวนวันที่คิดดอกเบี้ย ซึ่งคิดตั้งแต่วันที่บันทึกจนกระทั่งถึงก่อนวันครบกำหนดชำระ 1 วัน โดยใช้ยอดหนี้ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นเงินต้นในการคำนวณ (ส่วนที่ 1) และจำนวนวันที่คิดดอกเบี้ยยังคิดต่ออีก ในวันที่ครบกำหนดชำระจนกระทั่งถึงวันตัดยอดของรอบบัญชีถัดไป (5 ก.ย. 54) อาจจะกล่าวในทางเทคนิคได้ว่า คุณเปิดโอกาสให้ผู้ออกบัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยในระยะปลอดดอกเบี้ยได้เต็มที่เลยทีเดียว ซึ่งรายละเอียดในการคำนวณดอกเบี้ยจะไม่ได้แสดงในใบเรียกเก็บหนี้ แต่จะแสดงอยู่ในข้อควรปฏิบัติและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะเป็นเอกสารแนบในใบเรียกเก็บในแต่ละเดือน


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/a55.jpg)
(รูปที่ 3)

          ถึงแม้บัตรเครดิตจะดูดเงินในกระเป๋าคุณได้ คุณก็สามารถควบคุมการใช้บัตรเครดิต อย่างระมัดระวังได้ วิธีที่ดีที่สุดในการใช้บัตรเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ คือเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว คุณต้องแน่ใจว่าจะมีเงินจ่ายเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด หรือพยายามจ่ายคืนให้เร็วที่สุด บัตรเครดิตจึงเป็นเหมือนดาบสองคม ดังนั้นควรใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวังด้วย



หมายเหตุ รูปที่ 1 , รูปที่ 2 และรูปที่ 3 ลิงค์จากเว็บกระปุก แต่หากไม่เห็นรูป ให้ดูจากรูปที่โหลดลงกระทู้ฯด้านล่าง
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2014, 09:40:51 pm
ดอกเบี้ยของธนาคารไหนดี ตรวจสอบได้ที่

-http://www.checkraka.com/-

-http://www.checkraka.com/price/saving-2-68/-

ติดตามได้ตามลิงค์ครับ

http://www.checkraka.com/price/saving-2-68/ (http://www.checkraka.com/price/saving-2-68/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 21, 2014, 11:34:57 am
มีเงินเหลือ จะเก็บ หรือลงทุนดีกว่ากัน?

-http://money.sanook.com/190849/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99/-

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังลังเลใจว่าสุดท้ายแล้ว หากคุณมีเงินเหลือ คุณควรทำอย่างไรระหว่างลงทุน กับเก็บออม? คำตอบของคุณ อาจจะจบลงที่การทำทั้งสองอย่างเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป แตกระนั้นคำตอบของคุณก็ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายทางการเงินของคุณ บทความนี้เป็นเพียงคำแนะนำให้กับคุณในการวางแผนทางการเงินที่เหมาะกับคนแต่ละคนเท่านั้น

ออมเงิน กับ ลงทุน ต่างกันตรงไหนบ้าง?
ก่อนอื่นมาดูความต่างกันซักเล็กน้อย การออมคือการแบ่งรายได้ของคุณในแต่ละเดือน เพื่อออมไว้ จนได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งการออมส่วนมาก คุณทำเพื่อเป้าประสงค์หนึ่งๆ อาทิ ออมเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ ออมเพื่อการศึกษาต่อ ออมเพื่อซื้อบ้าน หรือแบ่งไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน เป็นต้น ส่วนการลงทุน คือ การมุ่งเป้าเพื่อทำให้เงินก้อนหนึ่งของคุณงอกเงย มากกว่าการออม ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ในท้องตลาด อาทิ หุ้น พันธบัตร หรือ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ใครบ้างที่ควรออมเงิน?
ก่อนอื่นต้องบอกว่า การบริหารการเงินที่ดีนั้น เงินก้อนแรกที่คุณควรเก็บไว้เลยคือ กองทุนเงินฉุกเฉิน ซึ่งหมายถึง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น อาทิ คุณป่วยกะทันหัน คุณตกงานกะทันหัน คุณยังสามารถดำรงชีวิตและหาเลี้ยงครอบครัวได้ โดยส่วนใหญ่คุณควรมีเงินก้อนนี้ไว้คิดเป็นจำนวน 3 เท่า ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือนของคุณ ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ไม่ใช่เพียงค่ากินอยู่ และสาธารณูปโภคเท่านั้น แต่รวมถึงค่างวดชำระหนี้สินด้วย อาทิ รถ บ้าน ส่วนถ้าถามว่าทำไมต้อง 3 เดือนนะ ต้องบอกว่า เป็นจำนวนเวลาที่ส่วนใหญ่หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ จะเริ่มตั้งตัวและสามารถจัดการปัญหาได้

นอกจากนี้ หากคุณยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าต้องจัดการ คุณยังไม่ควรออมเงิน อาทิ คุณมีหนี้สินจำนวนมาก ที่คุณมีดอกเบี้ยทบต้นที่งอกเงยตามหลอกหลอนทุกวัน คุณควรจัดการสิ่งเหล่านั้นก่อน ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น หนี้บัตรเครดิต ที่คิดคุณเป็นรายวันนั่นเอง

หลังจากพิจารณาสองอย่างข้างต้นแล้ว คุณมีกองทุนฉุกเฉินแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณสามารถออมเงินได้ และควรออม โดยที่ควร คุณควรออมเงินประมาณ 10% ออกจากรายได้ทั้งหมด แต่ก่อนที่จะออม อย่าลืมตั้งเป้าหมายก่อนล่ะ ว่าคุณจะออมเพื่ออะไร เพราะมันจะทำให้คุณมีกำลังใจออมมากขึ้น และมีวินัยกับตัวเองมากขึ้น

คุณพร้อมที่จะลงทุนหรือไม่?
ไม่ต่างจากการออมมากนัก คุณควรจะรู้ว่า คุณจะลงทุนไปเพื่อจุดประสงค์อะไร และจุดประสงค์นั้นควรแบ่งเป็นสามอันหลักๆ ที่ต้องเลือกดังนี้

1. Short-term goal คือ แผนการที่คุณต้องใช้เงินก้อนนั้นในอีกไม่เกิน 5 ปี
2. Medium-term goal คือ แผนการที่คุณต้องใช้เงินก้อนนั้นในอีกไม่เกิน 5-10 ปี
3. Longer-term goal คือ แผนการที่คุณต้องใช้เงินก้อนนั้นในอีก 10 ปีขึ้นไป


สำหรับทางเลือกแรก เป้าระยะสั้น วิธีีที่ดีและปลอดภัยคือ การฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ หรือพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากว่า หากคุณนำเงินก้อนนั้นไปเล่นหุ้น ซึ่งมีความผันผวนมากหากดูกันที่ระยะสั้นไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเมื่อครบ 5 ปี อาจทำให้คุณเสียเงินต้นบางส่วนไปได้ ส่วนทางเลือกที่ 2 นั้น ขยับขึ้นมาที่ 5-10 ปี การเล่นหุ้นอาจจะยังมีความเสี่ยง แต่ก็น้อยลง ขึ้นอยู่กับว่าคุณรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ส่วนระยะยาวนั้น จะมีตัวเลือกให้คุณได้มากขึ้น ทั้งการเล่นหุ้น ที่มักเห็นผลกันที่ระยะยาว หรือการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือ ทองคำ ที่จะราคาสูงขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไปยาวๆ เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การบริหารความเสี่ยง หรือ การกระจายความเสี่ยงคือเรื่องสำคัญ นั่นหมายถึง การลงทุน ควรลงทุนในหลายๆ แบบ ไม่ใช่ลงเงินทั้งหมดในรูปแบบเดียว แต่ให้กระจายไปในหลายๆ ผลิตภัณฑ์นั่นเอง นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับอายุของคุณด้วย หากคุณอายุขึ้นเลข 3 แล้วนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า สิ่งหนึ่งแน่ๆ ที่คุณควรมีคือ แผนการออมเงินระยะยาวเพื่อการเกษียณอายุ ส่วนใหญ่ที่นิยมทำคือ การลงทุนให้กองทุนบำนาญเป็นต้น
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 23, 2014, 11:48:30 am
แชร์ประสบการณ์ออมเงินง่าย ๆ แบบคนธรรมดา

-http://money.kapook.com/view90845.html-




เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Candy A สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          วิธีเก็บเงินง่าย ๆ จะทำอย่างไรให้เก็บเงินได้ วันนี้เรามีประสบการณ์ออมเงินแบบคนธรรมดามาฝากกันค่ะ

          วิธีออมเงินสำหรับคนธรรมดาที่มีรายได้ไม่มากนัก อาจจะถูกมองเป็นเรื่องยากที่ต้องกระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จนทำให้หลายคนไม่เหลือเงินสำหรับเก็บออมสักเท่าไหร่ แต่ทว่าการเก็บเงินให้เป็นกอบเป็นกำก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยากอย่างที่คิดเสมอไป ถ้ารู้วิธีเก็บเงินง่าย ๆ แบบคนธรรมดา จากการแชร์ประสบการณ์ของ คุณ Candy A สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งอาจทำให้คุณเปลี่ยนความคิดและมีเงินออมได้ง่ายขึ้นค่ะ

          แชร์ประสบการณ์การออมเงิน (ฉบับคนธรรมดา) โดย คุณ Candy A

          ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ดิฉัน อายุ 23 ปี  ปัจจุบันเพิ่งเริ่มทำงานได้ปีกว่า ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย พอมีพอกิน (แต่ไม่พอเก็บ) เราก็เลยต้องเริ่มเก็บด้วยตัวเอง และนี่เป็นที่มาของประสบการณ์ที่จะมาแชร์กันค่ะ

          หลาย ๆ คนคงจะเคยคิดว่าเราจะต้องออมเงินให้ได้เท่านั้น เท่านี้ แต่ทำไมนะ พอเอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้ตามที่เราตั้งไว้ การออมเงิน เป็นเรื่องง่าย สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กยันแก่ แต่ต้องอาศัย "วินัย" เป็นอย่างมาก

          วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การออมเงิน จากสมัยเด็ก ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยส่วนตัวดิฉันเป็นคนชอบออมเงินมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ คุณแม่จะฝึกให้บริหารจัดการเงินเอง โดยสมัยประถม (ป.1-ป.2) จะให้เงินไปโรงเรียนวันละ 5-10 บาท แต่ห่ออาหารกลางวันไปทานที่โรงเรียน (ป.3-ป.6) คุณแม่จะให้เงินไปโรงเรียนเป็นสัปดาห์ สัปดาห์ละ 100 บาท (จันทร์-ศุกร์ 5 วัน  วันละ 20 บาท) คุณแม่จะแลกแบงก์ 20 ใหม่จากธนาคาร ที่มีเลขบนธนบัตรเรียงต่อกันไว้จำนวนหนึ่ง สิ่งที่จูงใจในการเก็บเงินตอนนั้นคือ อยากเก็บแบงก์ใหม่ไว้เอง ไม่อยากให้ใคร ตอนนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการออม



          สมัยนั้นข้าวที่โรงเรียน จานละ 5 บาท พิเศษ 7 บาท น้ำหวานแก้วละ 1 บาท (น้ำเปล่าฟรี) ผลไม้ ขนมอื่น ๆ ก็ 1-5 บาท ด้วยความที่หวงแบงก์ใหม่ เราจึงกินเฉพาะข้าวจานละ 5 กับน้ำเปล่า (ฟรี) แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเงินมันไม่ใช่ตอนนี้ แต่มันคือตอนหลังเลิกเรียน ที่จะมีบรรดาพ่อค้า แม่ค้า เอาอาหาร ขนม นม เนย มาขายบริเวณหน้าโรงเรียน เดินผ่านทีไรก็เป็นอันต้องเสียเงินทุกที จะปีนกำแพงออกทางอื่นก็ไม่ได้เพราะขาสั้น ตัวเตี้ย ไม่มีทักษะในการปีนอีก และด้วยความเป็นเด็กเห็นอะไรมันก็หักห้ามใจยาก เลยเสียเงินไปกับขนมตอนเย็น 5-10 บาท เกือบทุกวัน  สรุปแล้วช่วงนั้นก็เก็บเงินได้วันละนิดวันละหน่อย เหลือแบงก์ 20 ใหม่ สัปดาห์ละ 1-3 แบงก์ พอถึงวันศุกร์กลับมาบ้านมานั่งชื่นชมแบงก์ใหม่ ดีใจเหมือนกับมีเงินล้าน

          ชีวิตช่วงประถม วนเวียนอยู่กับเหรียญและแบงก์ พอสะสมได้เยอะ ๆ ก็จะให้พ่อพาไป ธนาคารสีชมพู เพื่อนำเงินไปฝาก แต่ตอนเด็กๆจะชื่นชมกับเงินที่จับต้องได้ มากกว่าตัวเลขในสมุดบัญชี ก็เลยไม่ค่อยเอาไปฝากสักเท่าไหร่ และมีครั้งหนึ่งเคยถามคุณแม่ว่า

          เรา : แม่คะ ธนาคารนี่ต้องมีตู้เก็บเงินแยก ๆ เป็นล็อก ๆ กี่อันคะ คนเค้าฝากตั้งเยอะตั้งแยะ เค้าเอาเก็บแยกกันหมดรึเปล่า
          แม่  : เปล่าจ้ะ เค้าไม่ได้แยกกัน เงินที่เอาไปฝากไว้ที่ธนาคาร เค้าจะเอารวมกันจ้า

          เรา  : แล้วเวลาที่เราไปเอาเงินออกมา เราจะได้เงินแบงก์ใหม่ที่เราเอาไปฝากไว้ไหมคะ

          แม่  : ไม่ได้จ้ะ เพราะเงินเรา เค้าจะหมุนเวียนไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น แต่เค้าจะเอาเงินที่มีอยู่มาให้เราเวลาที่เราไปถอนเงินออกมา

          ตั้งแต่วันนั้นก็เลยไม่เอาแบงก์ใหม่ไปฝากธนาคารเลย เอาแต่เหรียญไปฝาก แบบว่ายกกระปุกออมสินลูกหมูไปนับฝากที่ธนาคารเลย



          เวลาล่วงเลยไปกว่า 6 ปี ที่เรียนชั้นประถม เราก็มานั่งนับเงิน อู๊ฮู้ว!!! เงินเยอะจัง มีตั้งหลายพันแหนะ นึกถึงแบงค์ 20 ใหม่ ๆ ที่เรียงกันเป็นปึก ๆ เห็นแล้วมันชื่นใจจริง ๆ เงินตั้งหลายพันเนี่ย ไม่ได้มาจากเงินที่คุณแม่ให้ไปโรงเรียนอย่างเดียวนะคะ เวลาไปเที่ยวคุณแม่ก็จะให้เงินติดตัวไว้เท่ากันกับพี่สาว ใครใช้หมดก็จะไม่ให้เพิ่ม ใครใช้เหลือก็ไม่เอาคืน สรุปว่าถ้าเหลือก็เก็บค่ะ ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาแห่งการเก็บเงิน อยากได้อะไรก็จะอดไว้ก่อน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ คิดอย่างเดียวคือ เสียดายเงิน !!!



          พอขึ้นชั้นมัธยม เข้าโรงเรียนประจำจังหวัดต้องเดินทางไป-กลับทุกวัน วันละ 40 กิโล และต้องนั่งรถโดยสารไป คุณแม่จึงให้เบี้ยเลี้ยงวันละ 60 บาท ค่าใช้จ่ายช่วงมัธยมจะเยอะกว่าประถมมาก ไหนจะค่าเดินทาง ค่าอาหารที่แพงขึ้น (และกินเยอะขึ้น) ค่าทำรายงาน ค่าจัดบอร์ด ค่าฉลองวันเกิดเพื่อน+ของขวัญ และอื่น ๆ อีกมากมาย

          จำได้ว่า ม.1 ค่ารถโดยสาร (ธรรมดา) 5 บาท, รถแอร์ 10 บาท (ราคานักเรียนนะคะ) และต้องต่อรถเมล์เข้าไปที่โรงเรียนอีก 5 บาท ซึ่งแต่ละวันตอนเช้าเราจะเลือกรถไม่ได้ เพราะมันเป็นทางผ่านของรถสายยาว คันไหนมาเราก็ต้องขึ้นคันนั้นเลย ถ้าหวังจะไปคันต่อไป แล้วรถมาไม่ทันเวลาก็คงต้องเข้าโรงเรียนสายและโดนทำโทษ โดยการวิ่งรอบสนามฟุตบอล ค่าอาหารกลางวัน ข้าวจานละ 12-20 บาท น้ำ 3-10 บาท

          พออยู่ ม.6 ค่าน้ำมันปรับขึ้นสูงมาก ทำให้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว รถธรรมดา (พัดลม) 10-15 บาท รถแอร์ 15-20 บาท (อันนี้ราคานักเรียน ถ้าใส่ชุดอื่นนอกจากชุดนักเรียนราคาก็จะสูงขึ้นอีก) คุณแม่ก็เลยต้องขึ้นเบี้ยเลี้ยงให้เป็นวันละ 100 บาท

          ช่วงมัธยมเงินออมก็จะมาจากเงินเบี้ยเลี้ยงที่คุณแม่ให้ไปโรงเรียนในแต่ละวัน แต่ตอนนี้เริ่มไม่ได้แบงก์ใหม่แล้วนะคะ เริ่มจะสนใจการฝากเงินในธนาคาร เพราะได้ดอกเบี้ย (ถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม) เริ่มชื่นชมกับจำนวนเงินที่มากขึ้น ๆ ๆ ทุกวัน จะเน้นการฝากกับธนาคารโรงเรียน พอเห็นจำนวนเงินแบบมีเศษ เช่น 1,291 บาท เราก็อดไม่ได้ที่จะเอาเงินไปฝากให้มันไม่มีเศษ ก็ต้องไปฝากอีก 9 บาท เป็น 1,300 บาท รู้สึกดีตั้งแต่เลขหลักร้อยเริ่มเพิ่มขึ้น และจะขยันไปฝากมากขึ้น เมื่อตัวเลขหลักพันจะเพิ่มขึ้น เช่น 1,980 บาท ถึงแม้ทั้งเนื้อทั้งตัว (หักค่ารถกลับบ้านออก) จะเหลือแค่ 20 บาท ก็จะเอาไปฝาก เพื่อให้เป็น 2,000  บาท

          ตัวเลขก็ขยับขึ้น ๆ ๆ  เรื่อย ๆ จบชั้นมัธยม มีเงินออมราว ๆ 2-3 หมื่นบาท และมีรายได้เสริมอีกทางหนึ่งคือ การแข่งขัน ประกวดวิชาการต่าง ๆ เพราะการแข่งขันในระดับมัธยม มักจะมีเกียรติบัตร และเงินรางวัล ดิฉันก็เข้าร่วมทุกครั้งที่มีโอกาส ได้เงินมาไม่ต้องถามค่ะว่าเอาไปไหน คำตอบเดียวคือ ธนาคารโรงเรียนค่ะ

          ถึงช่วงนี้เงินออมขยับจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย หลักพัน จนมาเป็นหลักหมื่นแล้วค่ะ ความคิดตอนนั้นคือ ห๊าาาาา !! ฉันจะเป็นเศรษฐีนีในอนาคต (มโนว่ายืนอยู่แล้วโยนเงินให้ลอยขึ้นไปในอากาศ เสมือนในหนังสมัยก่อนที่เศรษฐีเขาทำกัน)

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v701.jpg)

          เงินเหรียญดิฉันก็เก็บนะคะ สมัยประถมก็จะเก็บโดยหยอดกระปุก ถ้ากระปุกเริ่มหนักก็แสดงว่าเงินเยอะขึ้น แต่ไม่เห็นว่าเงินในกระปุกมีเยอะแค่ไหน อีกอย่างแกะออกมานับยากมาก ต่อมาเลยเปลี่ยนวิธี โดยการออมใส่คอนโดเหรียญ (ลิ้นชักเล็ก)

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v702.jpg)

          แต่ละชั้นก็จะมีเหรียญแตกต่างกันไป ชั้นแรก เป็นเหรียญสตางค์ ที่เก็บไว้ชั้นบนสุดเพราะเหรียญมีน้ำหนักเบาและมีจำนวนน้อยที่สุด

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v703.jpg)
ชั้นที่ 2 เป็นเหรียญ 2 บาท
         
(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v704.jpg)
ชั้นที่ 3 เป็นเหรียญ 1 บาท
         
(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v705.jpg)
และชั้นที่ 4 เป็นเหรียญ 5 กับเหรียญ 10 บาท

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v706.jpg)

          ส่วนเหรียญพิเศษอื่น ๆ ที่มีลวดลายแปลกตา หาได้ยาก ดิฉันก็จะเก็บใส่กล่องแยกเอาไว้ เพราะถ้าเอาไปปนกับเหรียญอื่น ๆ เผลอหยิบไปใช้เสียดายแย่เลย

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v707.jpg)

          สมัยเรียนมหาวิทยาลัย (ดิฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังในภาคใต้  ซึ่งไกลจากบ้านด้วยระยะทางประมาณ 1500 กิโลเมตร) เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องไปเผชิญชะตากรรมในต่างถิ่น ฟังดูเหมือนน่าสงสาร แต่จริง ๆ แล้วดิฉันเลือกเองค่ะ สละสิทธิ์มหาวิทยาลัยอื่น เพื่อที่จะได้มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้อยากหนีอะไรนะคะ แต่อยากพิสูจน์ให้ทางบ้านเห็นว่า เราโตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ อยู่ที่นั่นคุณแม่ส่งเงินให้เป็นรายเดือน ให้บริหารจัดการเองเช่นเคย โดยจะคำนวณจากมื้ออาหาร 3 มื้อ มื้อละ 50 บาท ซึ่งเด็กมหา'ลัย อย่างเรากินอิ่มแบบสบาย ๆ และให้เผื่อใช้จ่ายอย่างอื่นอีกนิดหน่อย โดยค่าเทอมและค่าหอพัก จะจ่ายรวบยอดทั้งเทอม ส่วนนี้ที่บ้านก็รับผิดชอบให้อีกเช่นเคย (เรานี่ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้)

          ช่วงปี 1 เป็นช่วงที่ไม่ค่อยได้ใช้เงิน เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็เรียน และทำกิจกรรม ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวอะไรมาก อาหารในมหาวิทยาลัยก็มีให้เลือกหลากหลาย ราคาก็ถู๊ก ถูก (ข้าวราดแกง 1 อย่าง 12 บาท, 2 อย่าง 15 บาท, 3 อย่าง 17 บาท, ก๋วยเตี๋ยว 15 บาท, น้ำหวานแก้วละ 3-7 บาท) ที่ไปบ่อย ๆ ก็เห็นจะเป็นห้างสรรพสินค้าหน้ามหาวิทยาลัย ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งแต่ละครั้งที่ไปดิฉันก็จะจดรายการสิ่งของที่ต้องซื้อ เพราะจะได้ไม่ตกหล่น ไม่ซื้อของเกินความจำเป็น และที่สำคัญไปเดินตากแอร์ (ก็ขึ้นชื่อว่าภาคใต้ มันก็มีแค่ 2 ฤดู คือร้อน กับร้อนมาก เราก็เลยต้องมีที่คลายร้อนเป็นธรรมดา)

          พอมาปี 1 เทอม 2 ดิฉันย้ายออกไปพักที่หอนอกมหาวิทยาลัย เนื่องจากดิฉันสร้างรกราก และสะสมสิ่งของต่าง ๆ มากมาย จนพื้นที่ในห้องแทบจะไม่มีที่เดิน เมื่อรวมของรูมเมทอีก 2 คน ยิ่งทำให้ห้องแคบไปถนัดตา ดิฉันได้ย้ายไปพักที่หอพักข้างมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถไป-มาได้อย่างสะดวก (ใช้รถจักรยานยนต์) ช่วงนั้นได้รถมาใหม่ ๆ เริ่มมีการออกไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ รู้ที่กิน ที่เที่ยว ที่ช็อป มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น

          แต่คุณแม่ก็ใจดี ให้เบี้ยเลี้ยงเพิ่ม เป็นเดือนละ 9 พัน (ค่าห้อง รวม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต 3,500 บาท ค่ากินค่าอยู่ 4,500 บาท (เฉลี่ยวันละ 150 บาท) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก 1,000 บาท ช่วงนี้ดิฉันออมเงินจากการประหยัดค่าอาหาร โดยกินข้าว 2 มื้อ จากมหาวิทยาลัย มื้อเย็นซื้อน้ำเต้าหู้ หรือนม เป็นการลดน้ำหนักไปในตัว  ก็เหลือเก็บวันละหลายสิบบาท เดือนนึงก็เหลือเก็บประมาณ 1,000-2,500 บาท

          ปี 2 เริ่มหาอาชีพเสริม เพราะตั้งเป้าหมายให้ตัวเองว่า จบปี 4 ต้องเก็บเงินให้ได้หลักแสน เริ่มจากการเข้าไปติดต่อกับทางฝ่ายกิจการนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ขอทำงานพิเศษ ซึ่งโชคดีมากที่มหาวิทยาลัยของดิฉันมีกิจกรรมส่งเสริมให้นักศึกษามีรายได้พิเศษเพิ่มเติมระหว่างเรียน

          ทั้งรับจ้างพิมพ์งาน สอนพิเศษ หรือให้ไปเป็นสตาร์ฟ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น รวมไปถึงการที่เอกชนเข้ามาติดต่อ ขอแรงให้นักศึกษาไปช่วยงาน ซึ่งคิดค่าแรงเป็นงาน ๆ ไป อย่างรับจ้างพิมพ์งาน ถ้าเป็นการกรอกข้อมูล ก็จะคิดแผ่นละ 2 บาท หรือแล้วแต่ความยากของงาน

          เป็นสตาฟตามซุ้มงาน ไปคุมซุ้มเกมต่าง ๆ แนะนำวิธีเล่นเกมให้แก่ผู้เข้าชม ตั้งแต่เวลา บ่าย-เที่ยงคืน ได้ค่าจ้าง 900 บาท

          รับจ้างสอนพิเศษ ลูกอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้เดือนละ 3,000-5,000 บาท

          เป็นสตาฟในงานรับปริญญา ช่วยจัดแถวพี่ ๆ บัณฑิต ได้วันละ 300 บาท

          ถ้าว่างจากการเรียนดิฉันก็มักจะทำงานเหล่านี้เสมอ เพราะได้ทั้งเงิน และได้ทั้งเพื่อน ได้รู้จักเพื่อน ๆ จากคณะอื่น ๆ ตอนนั้นเรียกได้ว่าเดินไปทางไหนก็รู้จักเค้าไปหมด เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ๆ หาเงินได้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

          จำได้ว่าครั้งแรกรับจ้างพิมพ์งาน เค้าให้ระยะเวลา 1 สัปดาห์ ดิฉันทำ 2 วันแล้วเอางานไปส่งให้กับอาจารย์ อาจารย์ก็เอ่ยปากชมว่าทำงานเร็ว และพิมพ์ไม่ผิดเลย ตอนนั้นได้ค่าจ้าง 300 บาท นั่งมองเงินแล้วน้ำตาไหล พูดกับตัวเองว่า เย้ ๆ เราหาเงินเองได้แล้ว เงินนั้นดิฉันเก็บใส่ซองไว้ไม่ใช้เลยค่ะ เสมือนว่าเงินก้อนแรกที่หามาเอง มันช่างน่าภูมิใจจนไม่รู้จะบรรยายยังไง

          ทุก ๆ วันดิฉันก็จะเข้าไปเว็บไซต์หางานกับทางมหาวิทยาลัย เมื่อตรงกับช่วงที่ดิฉันว่าง หรือช่วงเสาร์-อาทิตย์ ก็จะลงทำงานนั้นเกือบทุกงาน แต่บางทีก็คิดนะคะเพื่อน ๆ เค้าไปเที่ยว สนุกสนานกัน แต่เรามาทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ก็มีช่วงนึงที่ไปเที่ยวบ้าง แต่ดิฉันพบว่าการไปเที่ยวนั้น ถ้าไม่รวมว่าได้พักผ่อนหย่อนใจ สังสรรค์กับเพื่อน ก็มีแต่การใช้เงิน แล้วเงินที่เราใช้ก็เป็นเงินที่เราอุตส่าห์ทำงานแลกมา

          หลังจากนั้น ไม่ค่อยออกไปไหนค่ะ ทำงาน และเรียนอย่างเดียว จนมีเงินเก็บครึ่งแสน ตอนนั้นนั่งดูเงินในบัญชี น้ำตาจะไหล  เราเกือบจะทำสำเร็จแล้ว  อีกครึ่งนึงเท่านั้น

          บางคนสงสัยว่าเอ๊ะ !! ดิฉันไม่ซื้อรองเท้า หรือเสื้อผ้า เหมือน ๆ ที่นักศึกษาคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปเขาทำเหรอ ตอบเลยค่ะว่าซื้อ ซื้อเยอะด้วย จำได้ว่าจบปี 4 มีรองเท้าเกือบ ๆ 40 คู่ เสื้อผ้าขนกลับบ้านสัก 2 กระสอบใหญ่ แต่เงินที่จะซื้อของพวกนี้ได้ ไม่ใช่เงินเก็บธรรมดา ๆ นะคะ จะต้องมีกฎเกณฑ์ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า ถ้าเก็บเงินได้ครบทุก ๆ 5,000 บาท จะซื้อของขวัญให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งดิฉันชอบใส่ส้นสูง ชอบแต่งตัว ก็เลยมีรองเท้าและเสื้อผ้าเยอะเลย

วิธีเก็บเงิน
นี่เป็นส่วนหนึ่งของรองเท้าสมัยเรียนค่ะ

          ช่วงปี 4 เป็นช่วงที่ต้องทำวิจัยและออกฝึกงานต่างจังหวัด ดิฉันจึงไม่ได้ทำงานเสริม แต่ช่วงที่ฝึกงาน เราทำงานสายสุขภาพ เวลาเราไปดูเคส แวะไปพูดคุย ดูแล รักษาเค้า เค้าก็จะให้สินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของขวัญบ้าง เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ด้วยความที่เราคุยเก่ง คนไข้ก็จะชอบและมีกำลังใจทุกครั้งที่ได้คุยกัน พอถึงวันที่เค้าจะได้กลับบ้าน ก็จะบอกให้ลูก ๆ หลาน ๆ เอาของมาฝากเต็มไปหมด บางคนเอาเงินใส่ซองมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน เราบอกไม่เป็นไรค่ะ ทำด้วยความเต็มใจ แค่หายดี กลับบ้านได้ หนูก็ดีใจแล้ว เขาก็บอกว่าไม่ได้ ไม่งั้นเค้าจะถือว่ารังเกียจเขา

          เราก็ต้องรับไว้ แต่ของขวัญและสินน้ำใจต่าง ๆ ดิฉันไม่เอาไปใช้แม้แต่บาทเดียว เก็บไว้มายังไงก็อยู่อย่างนั้น เอาไว้เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ว่านี่แหละ คือผลตอบแทนของการทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด จนกระทั่งการเรียนระดับมหาวิทยาลัยจบลง วันนั้นดิฉันมานั่งดูเงินในบัญชี  โอ้ !!! พระเจ้า ฉันเก็บเงินได้เป็นแสนจริง ๆ ด้วย ดีใจ กระโดดโลดเต้นอยู่คนเดียว น้ำตาไหล เป็นความดีใจที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งเรียนจบได้ใบปริญญามาฝากคุณพ่อคุณแม่ ทำตามเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ได้

          ตอนแรกกะว่าจะเอาเงินไปดาวน์รถ แต่ไป ๆ มา ๆ ไม่เอาดีกว่า เสียดาย อุตส่าห์เก็บมาตั้งนาน แค่รถจักรยานยนต์ที่มีอยู่ก็พาเราไปไหนมาไหนได้ตั้งเยอะ ที่บ้านก็มีรถยนต์อยู่แล้ว มี 2 คัน แต่คุณพ่อขับเป็นแค่คนเดียว เดี๋ยวเราเอาคันเก่ามาขับก็ได้ ถ้าไปต่างจังหวัดก็นั่งรถโดยสารไป ก็ถึงเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวนี้การคมนาคมขนส่งก็มีให้เลือกตั้งเยอะแยะ ปัจจุบันก็เลยล้มเลิกการซื้อรถไป

ทำงานเดือนแรก

          พอจบมาดิฉันก็ทำงานที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง เงินเดือนรวม ๆ แล้วประมาณ 1x,xxx บาท ที่โรงพยาบาลมีบ้านพักให้ (ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย) งานที่นั่นค่อยข้างหนัก เพราะจำนวนประชากรในอำเภอค่อยข้างเยอะ ประมาณ 9 หมื่นกว่าคน เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องทำงานเป็น 2 เท่าเลยค่ะ เพราะบุคลากรก็ไม่เพียงพอ แต่คนไข้น่ารักมากค่ะ พอมีผลไม้อะไรออกก็จะหิ้วมาฝากเสมอ ซื้อขนม ทำกับข้าวมาให้บ่อยมาก ยิ่งรู้ว่าเราเป็นคนต่างพื้นที่ ยิ่งเอาใจเราใหญ่เลย อยากให้เราอยู่ที่นี่นาน ๆ

          ค่าใช้จ่ายแทบจะไม่มีเลยค่ะ มีแค่ค่าอาหารบางมื้อเท่านั้น  ห้างสรรพสินค้าไม่ต้องพูดถึงค่ะ มีเซเว่นก็หรูแล้ว 2 ทุ่มปิดไฟนอน ออกไปข้างนอกก็เหมือนเข้าป่าค่ะ มืดมาก ๆ วงจรชีวิตก็ ตื่น-ไปทำงาน-กลับห้อง-นอน เป็นแบบนี้ทุกวัน

          เมื่อเงินเดือนเดือนแรกออก เราตัดสินใจ เอาเงินทั้งหมดแบ่งให้พ่อกับแม่คนละครึ่ง แล้วเราก็ใช้เงินออมที่เก็บมาเอา เพราะเชื่อว่าเงินเดือน เดือนแรก ถ้าให้พ่อกับแม่เราจะมีความเจริญรุ่งเรือง (เราอยากรุ่งเรืองมาก ก็เลยให้หมดเลยค่ะ) พ่อกับแม่ก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก พอผ่านไปได้ 3 วัน แม่บอกว่า แม่เก็บไว้แล้ว 3 วัน แม่ให้ลูกคืนเอาไว้ใช้ แต่พ่อเงียบไปเลยค่ะ ประมาณว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

          เนื่องจากที่ทำงานห่างจากบ้านประมาณ 300 กิโลเมตร ถ้าจะกลับบ้านก็ต้องให้พ่อมารับ พ่อให้โควตาเดือนละครั้ง เราก็กลับเกือบทุกเดือนเลยค่ะ แต่หลัง ๆ มาสงสารพ่อ เพราะต้องไป-กลับ 600 กิโลเมตร หลังจากทำงานเหนื่อย ๆ ก็ต้องขับรถมารับเรากลับบ้านอีก ก็เลยหาทางกลับบ้านเอง โดยนั่งรถโดยสาร 3 ต่อ

          เคยบอกคุณพ่อว่า เดือนนี้ไม่ต้องมารับนะคะ เดี๋ยวจะกลับเอง ปรากฎว่าออกจากที่ทำงาน 7 โมงเช้า ถึงบ้านเกือบ ๆ 6 โมงเย็น คือว่ารถจอดบ่อยมากค่ะ ซื้อพวงมาลัย ซื้อขนมครก จอดเข้าห้องน้ำ เติมน้ำมัน หลังจากนั้นมาคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่ให้กลับบ้านเองอีกเลย คุณพ่อมารับค่าน้ำมันก็ไม่ต้องจ่ายเอง (ดีจัง) หลังจากเดือนแรกมาไม่ได้ให้เป็นเงินแล้วค่ะ เพราะท่านมีรายได้ประจำอยู่แล้ว ก็กลับไปเลี้ยงข้าวซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้านให้แทน

          ทำงานที่โรงพยาบาลได้เกือบ ๆ ปี เราก็เปลี่ยนงานค่ะ มาทำเอกชนแทน ลักษณะงานก็เปลี่ยนไป ต้องปรับตัวนิดหน่อย ค่าตอบแทนสูงกว่ารัฐ ประมาณ 3 เท่า งานไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แต่เน้นการบริการมากกว่า การแบ่งหน้าที่ การจัดการดีกว่าที่เดิมค่ะ

          ช่วงที่เพิ่งเปลี่ยนงาน เราต้องวางแผนการจัดงานเงินใหม่ เพราะรายได้เพิ่มขึ้น เราก็ต้องเก็บมากขึ้น ตอนที่ทำงานอยู่โรงพยาบาล เก็บเดือนละ 5,000-7,000 บาท (จากรายได้ หมื่นกว่าบาท) ตอนนี้รายรับประมาณ 4x,xxx บาท  เราเก็บโหดมากค่ะ หักไว้ 3 หมื่นบาท/เดือน ไว้เป็นเงินเก็บ ที่เหลือก็ใช้จ่าย เป็นค่าอาหาร ค่าห้องพัก ค่าน้ำมัน รวม ๆ แล้วก็ใช้ประมาณ หมื่นกว่าบาท

          ตอนนี้เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (ในภาคอิสาน) สิ่งยั่วยุ มันก็เยอะ ออกจากห้องเป็นต้องเสียเงิน เราก็เลยจัดการการใช้เงินโดยถอนแค่เดือนละ 1 ครั้ง (เท่าที่จะใช้) ต้องบอกก่อนว่าเราทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อให้รู้ว่าเราใช้อะไรไปบ้าง เกินความจำเป็นหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันอยู่ตัวแล้ว เราไม่ได้ทำบัญชีแล้วค่ะ เพราะคุมเงินอยู่แล้ว เงินที่ถอนมาเราเน้นแบงก์ 100 กับ แบงก์ 20 ค่ะ



          เนื่องจากเราต้องใช้เงินที่มีอยู่ในจำนวนที่จำกัด จึงต้องคุมเข้มหน่อย อยากสบายในอนาคตก็ต้องอดทน

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v710.jpg)

          นี่คือปฏิทินเงินค่ะ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ ถ้าวันนี้วันที่ 1 ก็หยิบซองเลข 1 ไปใช้ ใช้ตามวันเลยค่ะ วันละ 120 บาทที่คำนวณไว้ ใช้กินได้อิ่มหนำสำราญค่ะ ข้าวพิเศษ 3 มื้อยังได้เลย วันนึงก็ใช้ประมาณ 120 บาท  แต่เราซื้อข้าวถุงละ 8 บาท กับข้าว 25 บาท (ได้เยอะมาก) เราก็แบ่งทาน 2 มื้อ ประมาณ 10 โมงเช้า กับบ่าย 3 มื้อเย็นกินนมบ้าง ไม่กินบ้าง ลดหุ่นไปในตัว เราจะได้สวยและรวยมาก พอกลับห้องก็เอาเงินที่เหลือเก็บแยกไว้


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v711.jpg)

นี่คือกล่องเก็บแบงก์ 20

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v712.jpg)

          และนี่กล่องเก็บแบงก์ 100 ค่ะ เหรียญก็ใส่คอนโดเหรียญอีกเช่นเคย ไม่น่าเชื่อว่าเราเหลือเงินกลับห้องทุกวันค่ะ บางวันใช้แค่ 30 บาทเองนะ

          บางคนก็คงคิดว่า เอาออกไปแค่วันละ 120 บาท ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน รถยางแตก หรือมีคนมาขายบ้านหลังละร้อย จะทำไงไม่เสียดายแย่เหรอ ดิฉันพกกระเป๋าสตางค์กับบัตร ATM ไว้ตลอดค่ะ เพียงแต่มันเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะใช้เท่านั้นเอง ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ก็ลืมไปซะว่ามีอยู่บนโลกนี้ ฮ่า ๆ


(http://img.kapook.com/u/chatralak/Money/Pantip/CandyA/03.jpg)

          นอกจากเหรียญแปลก ๆ ลวดลายแปลกตา เราก็ยังเก็บแบงก์หายาก หรือที่ไม่ผลิตแล้วด้วยนะคะ




          และอันนี้เป็นอีกวิธีที่ใช้เก็บเงินนะคะ แต่ไม่ได้ใช้ประจำ แล้วแต่โอกาสค่ะ สังเกตที่ตัวเลขของธนบัตรแต่ละใบนะคะ เราจะเก็บเลขตอง เลขสวย เลขที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เช่น รหัสนักศึกษา วันเกิดปีเกิด ใบไหนเกี่ยวข้องเก็บหมดค่ะ ไม่ได้เอาไปซื้อหวยหรือลุ้นรางวัลแต่อย่างใดนะคะ เพียงแต่มันเป็นการเก็บอีกวิธีหนึ่ง เลขสวยเอาไปใช้แล้วเสียดาย เก็บไว้ดีกว่า แต่ยังไม่เคยได้เลขที่เป็นตัวเดียวกันทั้งหมดเลยนะคะ


(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v713.jpg)

          เงินติดกระเป๋าเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ใช้ยามฉุกเฉินค่ะ ประหยัดอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องรอบคอบด้วย ตอนนี้วิถีชีวิตก็เป็นแบบเดิมค่ะ ช่วงนี้กำลังจะหารายได้เสริม เราเคยศึกษาการเล่นหุ้น และการลงทุนอื่น ๆ มาตั้งแต่สมัยมัธยม ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มลงมือ แบบค่อยเป็นค่อยไป ยังไงเดี๋ยวค่อยมาเล่าสู่กันฟังนะคะ ถ้าใครมีวิธีเด็ด ๆ ก็อย่าลืมมาแลกเปลี่ยนกันนะคะ แล้วเราจะรวยไปด้วยกัน เย้ ๆ ๆ
   

http://money.kapook.com/view90845.html (http://money.kapook.com/view90845.html)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 23, 2014, 11:50:13 am
เป็นหนี้บัตรเครดิตถูกเชิญไปขึ้นศาล เสียประวัติการทำงานหรือไม่


-http://money.kapook.com/view89782.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก decha.com

           เป็นหนี้บัตรเครดิตถูกเชิญไปขึ้นศาล ควรจะทำอย่างไร และจะเสียประวัติการทำงานหรือไม่ อยากรู้มาไขข้อข้องใจกันเลย

           ปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมพกพาบัตรเครดิตแทนเงินสด เนื่องจากสามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบายและที่สำคัญยังสามารถสะสมแต้มได้รับของรางวัลมากมาย อ๊ะ ๆ แต่ถ้าหากใช้แบบไม่ยั้งคิดบัตรเครดิตก็อาจหนี้มหาศาลโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ แถมยังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกต่างหาก ซึ่งใครที่กำลังประสบปัญหานี้แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร และกังวลว่าจะกระทบกับงานที่ทำหรือไม่ วันนี้เรามีข้อมูลจากเว็บไซต์ decha.com มาไขข้อข้องใจกันค่ะ

           คำถาม : คุณกุ้งขอคำปรึกษาเรื่องบัตรเครดิต ได้รับเอกสารจากบัตรเครดิตให้ไปขึ้นศาล ยอดหนี้ประมาณ 70,000 บาท อยากทราบว่าต้องทำยังไงต่อดีคะ และจะเสียประวัติมีผลกระทบกับงานที่ทำอยู่หรือไม่ จะถูกไล่ออกไหม ถ้ามีการผ่อนชำระหนี้หมดแล้วประวัติเสียจะลบหรือไม่คะ

           คำตอบ :

           1. ต้องดูว่ามีความสามารถในการชำระเงินหรือไม่ ถ้ามีความสามารถในการชำระหนี้ควรไปเจรจาที่ศาล ขอจ่ายงวดเดียวหรือ 2 งวด หรือขอลดยอดหนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน แต่ถ้าไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ไม่ต้องไปศาลเพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับท่าน

           2. การเป็นหนี้ไม่มีผลกระทบต่อการทำงาน เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว

           3. ประวัติการค้างชำระหนี้มีผลต่อการกู้ยืมเงินในอนาคตแน่นอน และชื่อของท่านอยู่ในเครดิตบูโร เป็นเวลา 3 ปี


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 23, 2014, 12:12:33 pm
ประกันสังคม มาตรา 39 คืออะไร

-http://money.kapook.com/view90698.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            มาตรา 39 คืออะไร ประกันสังคมมาตรา 39 มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้างนั้น วันนี้ เรามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก

            มาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจที่ยังอยากส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมหลังผันตัวออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือมีเหตุให้ต้องหลุดออกจากงานเดิม แต่ยังต้องการคงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของประกันสังคมไว้ ว่าแต่ สิทธิ ประโยชน์ประกันสังคมมาตรา 39 มีอะไรบ้าง ขึ้นทะเบียนประกันสังคม มาตรา 39 ต้องทำอย่างไร มีเอกสารอะไรประกอบ วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก


มาตรา 39 คืออะไร

            มาตรา 39 ตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ระบุว่า

            “ผู้ใดเคยเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 โดยจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่าสิบสองเดือน และต่อมาความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตาม มาตรา 38 (2) ถ้าผู้นั้น ประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ให้แสดงความจำนงต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการ กำหนดภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

            จำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่ง ต้องส่งเข้ากองทุนตาม มาตรา 46 วรรคสอง ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย ให้ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละครั้ง ภายในวันที่ สิบห้าของเดือนถัดไป

            ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งซึ่งไม่ส่งเงินสมทบหรือส่งไม่ครบจำนวนภายในเวลา ที่กำหนดตามวรรคสาม ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่งหรือของจำนวนเงินสมทบที่ยังขาดอยู่นับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ สำหรับเศษ ของเดือนถ้าถึงสิบห้าวัน หรือกว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งเดือน ถ้าน้อยกว่านั้นให้ปัดทิ้ง”

            เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเท่ากับบุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาก่อน เมื่อได้สิ้นสุดความเป็นลูกจ้างของบริษัทที่เราเป็นลูกจ้าง ก็ทำให้ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สิ้นสุดตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ หากเรายังมีความประสงค์จะรักษาสถานภาพการเป็นผู้ประกันตนต่อก็สามารถทำได้ ด้วยการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเอง เพราะทางประกันสังคมต้องการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิประโยชน์ใกล้เคียงกับ ตามนโยบายพื้นฐานที่ว่าด้วยการเฉลี่ยความสุขและทุกข์

 
ประกันสังคม มาตรา 39 ส่งครบแล้วได้อะไรบ้าง ?

            ผู้ประกันสังคมมาตรา 39 ที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนครบ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้

            1. กรณีเจ็บป่วย
            2. กรณีทุพพลภาพ
            3. กรณีคลอดบุตร
            4. กรณีสงเคราะห์บุตร
            5. กรณีชราภาพ
            6. กรณีเสียชีวิต

 
สิทธิประโยชน์ มาตรา 39 มีอะไรบ้าง

            สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตน มาตรา 39 ได้ มี 6 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย  ทุพพลภาพ  คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และเสียชีวิต

1. สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ตามมาตรา 39

            1. กรณีเจ็บป่วยทั่วไป อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน แบ่งได้ 2 กรณี

                1.1 เจ็บป่วยปกติ ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

                1.2 เจ็บป่วยฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุสำนักงาน ประกันสังคมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ดังนี้

โรงพยาบาลรัฐบาล

            ผู้ป่วยนอก

            สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น

            ผู้ป่วยใน

            สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ยกเว้น ค่าห้องและอาหารเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท

โรงพยาบาลเอกชน

            กรณีผู้ป่วยนอก

            สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท

            สามารถเบิกค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงเกินครั้งละ 1,000 บาท ได้หากมีการตรวจรักษาตามรายการในประกาศ ดังนี้

            การให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด การฉีดสารต่อต้านพิษจากเชื้อบาดทะยัก

            การฉีดวัคซีนหรือเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเฉพาะเข็มแรก การตรวจอัลตร้าซาวด์

            กรณีที่มีภาวะฉุกเฉินเฉียบพลันในช่องท้อง การตรวจด้วย CT-SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด การขูดมดลูก

            กรณีตกเลือดหลังคลอดหรือตกเลือดจากการแท้งบุตร ค่าฟื้นคืนชีพและกรณีที่มีการสังเกตอาการในห้องสังเกตอาการตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป

            กรณีผู้ป่วยใน

            ค่ารักษาพยาบาล กรณีที่ไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท

            ค่าห้องและค่าอาหารไม่เกินวันละ 700 บาท

            ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลกรณีที่รักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 4,500 บาท

            กรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ เบิกได้ไม่เกินครั้งละ  8,000-16,000 บาท ตามระยะเวลาการผ่าตัด

            การฟื้นคืนชีพรวมค่ายาและอุปกรณ์ไม่เกิน 4,000 บาท

            ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหรือเอกซเรย์ เบิกได้ในวงเงินไม่เกินรายละ 1,000 บาท

            กรณี มีความจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยพิเศษ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง การตรวจคลื่นสมอง การตรวจอัลตร้าซาวด์ การสวนเส้นเลือดหัวใจและเอกซเรย์ การส่องกล้อง การตรวจด้วยการฉีดสี การตรวจด้วย CT-SCAN หรือ MRI จ่ายตามเงื่อนไขที่กำหนด

เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วยมาตรา 39

            เงินทดแทนการขาดรายได้สำหรับการหยุดงาน เพื่อการรักษาพยาบาลตามคำสั่งแพทย์ในรอบปีปฏิทิน ถ้าผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วัน ตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานแล้วต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์ต่อไปอีก สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินเรียกว่า "เงินทดแทนการขาดรายได้" ซึ่งผู้ประกันตนได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วันในรอบปีหนึ่ง ๆ ก็จะจ่ายให้ปีละไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่เกิน 365 วัน ในกรณีที่ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างในระหว่างหยุดงาน เพื่อการรักษาพยาบาลตามกฎหมายของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือมีสิทธิตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานสัญญาจ้างแรงงาน หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วแต่ กรณีผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จนกว่าสิทธิที่ได้รับเงินค่าจ้างนั้นได้สิ้นสุด จึงจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ดังกล่าวเท่ากับระยะเวลาที่คงเหลือ

ปัจจุบันกำหนดโรคเรื้อรังไว้ 6 รายการ ดังนี้

             1. โรคมะเร็ง
             2. โรคไตวายเรื้อรัง
             3. โรคเอดส์
             4. โรคหรือการบาดเจ็บของสมอง เส้นเลือดสมองหรือกระดูกสันหลังอันเป็นเหตุให้เป็นอัมพาต
             5. ความผิดปกติของกระดูกหักที่มีภาวะแทรกซ้อน
             6. โรคหรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ต้องรักษาตัวนานติดต่อกันเกินกว่า 180 วัน ระหว่างการรักษาทำงานไม่ได้ให้ยื่นเรื่องขอมติคณะกรรมการการแพทย์
 
เอกสารประกอบการยื่นคำขอรับสิทธิประโยชน์

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน (สปส.2-01 )

            บรับรองแพทย์

            หนังสือรับรองจากนายจ้าง

            สำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

            สถิติวันลาของผู้ยื่นคำขอ
   
            หลักฐานอื่น ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ขอเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา

            สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารหน้าแรกที่มีชื่อ–เลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) มี  9 ธนาคาร  ดังนี้

                ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB
                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
                ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) TBANK
                ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย IBANK
                ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) CIMB เดิมคือ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)

หมายเหตุ หากผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนไม่พอใจคำสั่งจ่ายประโยชน์ทดแทน สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง

 
2. สิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ ตามมาตรา 39

            ทุพพลภาพ คือ การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือของร่างกาย หรือสูญเสียภาวะปกติของจิตใจจนไม่สามารถทำงานได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด

            และผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนเดือนที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดให้เป็นผู้ทุพพลภาพ และเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจนถึงขั้นทุพพลภาพเท่านั้น จึงจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้


สิทธิที่ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพจะได้รับ มีดังนี้

ค่ารักษาพยาบาล
 
            กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลของรัฐ สำหรับผู้ทุพพลภาพสามารถเข้าทำการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่เลือก หรือสถานพยาบาลของรัฐ ทั้งในกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทางสถานพยาบาลจะเป็นผู้มายื่นเรื่องเบิกกับทางสำนักงานประกันสังคม

            กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลเอกชน ผู้ป่วยนอกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ผู้ป่วยใน จ่ายค่าบริการทางการแพทย์ เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท

            ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ทุพพลภาพ ให้เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท

            ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพและเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานของสำนักงานประกันสังคมจะมีค่าฟื้นฟูอีก 40,000 บาท

เงินทดแทนการขาดรายได้

            ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นรายเดือนตลอดชีวิต ค่าอวัยวะเทียม / อุปกรณ์ / อุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค เช่น ค่าจ้างเฉลี่ย/เดือน 10,000 บาท ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย/เดือน 5,000 บาท

ค่าทำศพ

            กรณีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพถึงแก่ความตาย ผู้จัดการศพมีสิทธิได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท

            เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพถึงแก่ความตายผู้มีสิทธิได้รับดังนี้

            ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยหนึ่งเดือนครึ่ง

            ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยห้าเดือน


หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทน (กรณียื่นคำขอฯ เพื่ออนุมัติให้เป็นทุพพลภาพ)

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน (สปส. 2-01)

            ใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่าเป็นบุคคลทุพพลภาพ

            สำเนาเวชระเบียน

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

            สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 9 ธนาคาร มีดังนี้

                ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB
                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
                ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) TBANK
                ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย IBANK
                ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) CIMB เดิมคือ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)


หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับค่าอวัยวะเทียม/อุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรคกรณีทุพพลภาพ

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน (สปส.2 - 01)

            ใบเสร็จรับเงิน

            ใบรับรองแพทย์ (ให้แพทย์ระบุประเภทอวัยวะเทียม/อุปกรณ์ฯที่ใช้)

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

            หลักฐานอื่น ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ขอเพิ่มเติม

 
หลักฐานที่ใช้เพื่อขอรับค่าบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ (กรณีผู้ทุพพลภาพเป็นผู้ยื่นเรือง)

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2- 01 หรือแบบคำขอรับบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพกองทุนประกันสังคม สปส. 2-01/3

            ใบรับรองแพทย์

            ใบเสร็จรับเงิน

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

            หลักฐานอื่น ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ขอเพิ่มเติม


หลักฐานที่ใช้เพื่อขอรับค่าบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ (กรณีสถานพยาบาลเป็นผู้ยื่นเรื่อง)

            แบบคำขอรับค่าบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพกองทุนประกันสังคม(สำหรับสถานพยาบาล) สปส. 2-19

            ใบรับรองแพทย์

            ใบสรุป/ใบแสดงรายการค่ารักษาพยาบาล

            หลักฐานอื่น ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่ขอรับเพิ่มเติม

 
สถานที่ยื่นเรื่อง

            สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่สั่งจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ให้ผู้ทุพพลภาพ


ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน

            ผู้ประกันตนต้องกรอกแบบ สปส. 2-01 พร้อมลงลายมือชื่อและนำมายื่นที่สำนักงานประกันสังคมเขต พื้นที่/จังหวัด/สาขา พร้อมหลักฐาน

            เจ้าหน้าที่ตรวจหลักฐาน นัดตรวจร่างกายผู้ประกันตนเพื่อประเมินการสูญเสียโดยแพทย์ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม และเสนอคณะกรรมการการแพทย์เพื่อพิจารณาอนุมัติ

            สำนักงานประกันสังคมมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาแก่ผู้ประกันตนที่ยื่นคำขอฯ

            พิจารณาสั่งจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพเป็นรายเดือนตลอดชีวิต

            เงินสด / เช็ค (ผู้มีสิทธิมาขอรับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน)

            ส่งธนาณัติให้ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ

            โอนเข้าบัญชีธนาคารตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน 9 ธนาคาร มีดังนี้
                                   
                ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB
                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY
                ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) TBANK
                ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย IBANK
                ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) CIMB เดิมคือ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)


3. เงินค่าคลอดบุตร มาตรา 39

            กรณีคลอดบุตรผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 จะต้องนำส่งเงินสมทบครบ 7 เดือนภายใน 15 เดือน โดยคุณสามารถฝากครรภ์และคลอดบุตรที่โรงพยาบาลใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลตามบัตรฯ เมื่อคลอดบุตรแล้วให้นำเอกสารมาเบิกเงินหมาจ่ายค่าคลอด 13,000 บาท

            สำหรับผู้ประกันตนหญิงจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงาน เพื่อการคลอดร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยต้องเตรียมเอกสารการเบิก สปส.2-01 พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน สูติบัตรตัวจริงและสำเนา แล้วนำมาเบิกได้ที่ สปส. พื้นที่ที่สะดวก ยกเว้นสำนักงานใหญ่


สิทธิประโยชน์การคลอดบุตรของมาตรา 39

            มาตรา 39 ได้ ค่าคลอดบุตรเท่าไร

            ผู้ประกันตน ตามาตรา 39 จะได้รับเงินค่าคลอดบุตรแบบเหมาจ่าย จำนวน 13,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง และใช้สิทธิได้คนละไม่เกิน 2 ครั้ง

            เงินทดแทนกรณีคลอดบุตรมาตรา 39

            ผู้ประกันตน มาตรา 39 ที่ยื่นเบิกค่าคลอดบุตรแล้ว ก็สามารถยื่นขอเงินสงเคราะห์กรณีหยุดงาน เพื่อชดเชยการขาดรายได้ไปพร้อมกันด้วย โดยจะได้รับเงินจำนวน 1.5 เดือน (จะเบิกได้เฉพาะผู้ประกันตนที่ใช้สิทธิของแม่เท่านั้น) คำนวณจากเงินเดือน 3 เดือนสุดท้ายเฉลี่ยออกมาเป็นรายวัน โดยฐานเงินเดือนสูงสุดที่จะคำนวณคือ 15,000 บาท


หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร มีดังนี้

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส.2-01) (สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งควรเตรียมไปก่อนเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา)

            ต้นฉบับและสำเนาสูติบัตรของบุตร (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัติของคู่แฝดด้วย)

            สำเนาทะเบียนสมรส (กรณีภรรยาของผู้ประกันตนคลอด) หากไม่มีทะเบียนสมรสให้แนบหนังสือรับรองของผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรส

            บัตรประชาชนและสำเนาบัตรประชาชนของผู้ประกันตน

            เบิกค่าคลอดประกันสังคมมาตรา 39

            ในการขอเบิกเงินค่าคลอดบุตรนั้น ผู้ประกันตนจะต้องมายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น ซึ่งหากผู้ประกันตนไม่มารับภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงาน ให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน


4. สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร ตามมาตรา 39

            หลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์

            หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ท่านมีสิทธิ คือ จ่ายเงินสมทบในส่วนของกรณีสงเคราะห์บุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนและเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39 สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 400 บาทต่อบุตรหนึ่งคน (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554)

            ซึ่งกรณีนี้ผู้มีสิทธิขอรับประโยชน์มีเพียงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นและบุตรมีอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์

            เงื่อนไขที่ได้รับกรณีสงเคราะห์บุตร

            เงินสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน (บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้ เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น)

            ผู้ประกันตนมี สิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

            จดทะเบียนสมรสกับมารดาของบุตร

            จดทะเบียนรับรองบุตร

            ยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร

            การหมดสิทธิรับเงินกรณีสงเคราะห์บุตร

            เมื่อบุตรมีอายุครบ 6 ขวบปีบริบูรณ์

            บุตรเสียชีวิต

            ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น

            ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง


หลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร (สปส. 2-01)

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของคู่สมรส

            สำเนาทะเบียนสมรส/ทะเบียนหย่าของผู้ประกันตน (กรณีจดทะเบียนหย่า) หรือสำเนาทะเบียนรับรองบุตร ซึ่งเกิดจากคำสั่งศาลพิพากษาให้เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย

            สำเนาสูติบัตร พร้อมสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี

                ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)
                ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

            ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน

            ผู้ประกันตนต้องกรอกแบบ สปส.2-01 พร้อมลงลายมือชื่อและนำมายื่นที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด / สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์โดยมีหลักฐานครบถ้วน (กรณีผู้ประกันตนยื่นคำขอรับประโยชน์ ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตร 2 คน ในคราวเดียวกันสามารถใช้แบบคำขอ ฯ ชุดเดียวกันได้)

            เจ้าหน้าที่ตรวจหลักฐานและพิจารณาอนุมัติ

            สำนักงานประกันสังคมมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณา

            พิจารณาสั่งจ่าย จ่ายเป็นรายเดือนโดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน


5. สิทธิกรณีชราภาพ มาตรา 39

            ผู้ประกันตน มาตรา 39 ที่จ่ายเงินสมทบครบถ้วน จะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จประกันสังคม และเงินบำนาญประกันสังคม

            บํานาญประกันสังคม มาตรา 39

            กรณีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

            และในกรณีที่จ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพอีกร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบที่เพิ่มขึ้นทุก 12 เดือน

ตัวอย่าง : คุณ A เคยทำงานเป็นลูกจ้างได้รับเงินเดือน 20,000 บาท โดยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้จ่ายเงินสมทบเป็นเวลา 180 เดือน ต่อมาลาออกจากงาน และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้จ่ายเงินสมทบเป็นเวลา 60 เดือน เนื่องจากคุณ A จ่ายเงินสมทบรวม 240 เดือน เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน คุณ A จะได้รับเงินบำนาญรายเดือน เดือนละ 1,320 บาท คำนวณได้ดังนี้

            ส่วนที่ 1 : 180 เดือนแรก เท่ากับ 4,800 บาท x 20% = 960 บาท

            ส่วนที่ 2 : 60 เดือนหลัง เท่ากับ 4,800 บาท x 1.5% x 5 ปี = 360 บาท

            รวมได้รับเงินบำนาญตลอดชีพ 960 + 360 = 1,320 บาทต่อเดือน

หมายเหตุ : ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายเท่ากับ 4,800 บาทต่อเดือน
 
            บําเหน็จประกันสังคม มาตรา 39

            ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพในกรณีที่จ่ายเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน โดยจำนวนเงินที่ได้รับในฐานะที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39  คือ เท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด

ตัวอย่าง : คุณ A เคยทำงานเป็นลูกจ้างได้รับเงินเดือน 20,000 บาท โดยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ได้จ่ายเงินสมทบเป็นเวลา 120 เดือน คิดเป็นเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ 900 บาทต่อเดือน (คุณ A จ่าย 450 บาทต่อเดือน และนายจ้างจ่าย 450 บาทต่อเดือน) ต่อมาคุณ A ลาออกจากงาน และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้จ่ายเงินสมทบเป็นเวลา 30 เดือน คิดเป็นเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ 4,800 x 6% = 288 บาทต่อเดือน เนื่องจากคุณ A จ่ายเงินสมทบรวม 150 เดือน (น้อยกว่า 180 เดือน) เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน คุณ A จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ คำนวณได้ดังนี้

            ส่วนที่ 1 : 120 เดือนแรก เท่ากับ 900 บาท x 120 เดือน = 108,000 บาท และผลประโยชน์ตอบแทนจากเงินสมทบ 120 เดือน

            ส่วนที่ 2 : 30 เดือนหลัง เท่ากับ 288 บาท x 30 เดือน = 8,640 บาท และผลประโยชน์ตอบแทนจากเงินสมทบ 30 เดือน

            สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบไม่ถึง 12 เดือน เมื่อลาออกจากงาน จะไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ แต่เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จะยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ เมื่อยังเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 (ไม่ได้รับในส่วนที่นายจ้างจ่ายสมทบ)

            คำนวณมาตรา 39 เมื่ออายุครบ 55 ปี

            ผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 ที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน จนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถคำนวณเงินออมกรณีชราภาพ ได้ดังนี้

            1. กรณีส่งเงินสมทบไม่ครบ 12 เดือน หรือ 1 ปี

            จะได้รับเงิน "บำเหน็จชราภาพ" ซึ่งเป็นเงินก้อนจำนวนเท่ากับเงินสมทบส่วนที่ส่งสมทบจริงกลับคืนไป

ยกตัวอย่าง : กรณีเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป ซึ่งสมทบเดือนละ 450 บาท หากสมทบ 10 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 450 คูณ 10  เท่ากับ 4,500 บาท

            2. กรณีส่งเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ครบ 15 ปี

            จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวนเท่ากับเงินสมทบ ส่วนที่ลูกจ้างส่งและนายจ่ายสมทบกลับคืนไปบวกดอกผลจากการลงทุนในช่วงเวลาที่ลูกจ้างส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามที่ สปส. กำหนด

ยกตัวอย่าง : กรณีเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป และส่งเงินสมทบเข้ากองทุนกรณีชราภาพ 10 ปี จะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 450 คูณ 2 คูณ 12 เดือน คูณ 10 ปี  คิดเป็นเงินประมาณ 108,000 บาท อาจจะได้มากกว่านี้หากรวมดอกผลจากการลงทุนของ สปส.

            3. กรณีส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ปี จะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม

            จะได้รับเงิน "บำนาญชราภาพ" จ่ายเป็นรายเดือนและได้รับไปตลอดชีวิตโดยเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับคำนวณตามสูตรเท่ากับร้อยละ 20 ของเงินเฉลี่ย 60 เดือน หรือ 5 ปีสุดท้ายและทุก ๆ 12 เดือนที่สมทบเพิ่ม (คือนับตั้งแต่ปีที่ 16 เป็นต้นไป) จะได้รับโบนัสในส่วนเพิ่มเท่ากับร้อยละ 1.5 ของเงินเดือนเฉลี่ย

ยกตัวอย่าง : กรณีเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไปและส่งเงินสมทบเข้ากองทุนกรณีชราภาพ 15  ปี จะได้รับเงินบำนาญชราภาพจำนวน 15,000 คูณร้อยละ 20 เท่ากับ 3,000 บาทต่อเดือน หรือหากส่งเงินสมทบ 30 ปี จะได้รับเงินบำนาญชราภาพจำนวน 15,000 คูณร้อยละ 20  บวก 15,000 คูณ 15 ปีที่ส่งเงินสมทบเพิ่มคูณร้อยละ 1.5 เท่ากับ  3,000 บวก 3,375 เท่ากับ 6,375 บาทต่อเดือน   

 
6. สิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ตามมาตรา 39

            ผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน จะได้รับสิทธิประโยชน์ ตามมาตรา 39 เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน

            สำหรับหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ตามมาตรา 39 มีรายละเอียด ดังนี้

            หลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์

            กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน

            ก่อนเดือนถึงแก่ความตาย

            ผู้มีสิทธิได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท โดยจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ

            ผู้ประกันตนสามารถขอรับคืนเงินกรณีชราภาพคืนได้ภายใน 1 ปี (ดูรายละเอียดในกรณีชราภาพ)

            ผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีตาย ดังนี้

            ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป (36 เดือนขึ้นไป) จ่ายให้กับทายาทหรือผู้มี สิทธิ แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยหนึ่งเดือนครึ่ง ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ยห้าเดือน

            ใครคือผู้จัดการศพ

            บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน กรณีไม่ได้ทำหนังสือระบุให้ใครเป็นผู้รับ จ่ายให้ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย คือ

            คู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนที่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

            บุคคลอื่นที่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน

 
หลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีตาย

            กรณีขอรับค่าทำศพ

            1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีตาย (สปส. 2-01)

            2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้จัดการศพพร้อมตัวจริง

            3. หลักฐานจากฌาปนสถานหรือมัสยิดที่แสดงว่าเป็นผู้จัดการศพ

            4. สำเนาใบมรณบัตรพร้อมตัวจริง

            5. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 9 ธนาคาร ได้แก่

                ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  KTB
                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)  BAY
                ธนาคารกรุงเทพ  จำกัด (มหาชน)  BBL
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  SCB
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  KBANK
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)   TMB
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)  TBANK
                ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย  IBANK
                ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (จำกัด)  CIMB  เดิมคือ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)

            กรณีขอรับเงินสงเคราะห์

            แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีตาย (สปส. 2-01)

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมตัวจริงและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์

            สำเนาทะเบียนสมรสของผู้ประกันตนและของบิดามารดาของผู้เสียชีวิต (ถ้ามี)

            สำเนาสูติบัตรของบุตร หรือ สำเนาทะเบียนบ้านของบุตรกรณีไม่มีสูติบัตร

 
            การมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน

            หนังสือมอบอำนาจ

            บัตรประจำตัวประชาชน ฉบับจริงของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ

            หนังสือแจ้งผลการพิจารณาจากสำนักงานประกันสังคม

            การยื่นคำร้องขอรับค่าทำศพ สามารถยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคม ทุกเขตพื้นที่และทุกทุก จังหวัดที่สะดวกในการยื่นคำร้อง


ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน :

            ผู้จัดการศพผู้มีสิทธิต้องกรอกแบบ สปส. 2-01 พร้อมลงลายมือชื่อและนำมายื่นที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์ โดยมีหลักฐานครบถ้วน

            จ้าหน้าที่ตรวจหลักฐานและพิจารณาอนุมัติ

            สำนักงานประกันสังคมมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณา

            พิจารณาสั่งจ่าย

            เงินสด/เช็ค (ผู้มีสิทธิมาขอรับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน) ส่งธนาณัติให้ผู้มีสิทธิ โอนเข้าบัญชีธนาคารตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 9 ธนาคาร ได้แก่

            ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)
            ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
            ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
            ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
            ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
            ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
            ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
            ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)


คุณสมบัติของผู้สมัครผู้ประกันตนโดยสมัครใจมาตรา 39

            1. เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนและออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน

            2. ต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม


ขึ้นทะเบียนประกันสังคม มาตรา 39

            การยื่นใบสมัครผู้ประกันตนมาตรา 39 คือ

            ผู้ประกันตนที่ประสงค์จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมด้วยตนเองโดยสมัครใจ โดยมีรายละเอียดการยื่นใบสมัคร ผู้ประกันตนมาตรา39 ดังนี้

            1. ต้องยื่นใบสมัครตามแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (แบบ สปส. 1-20) ด้วยตนเอง ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน

            2. สถานที่ยื่นใบสมัคร

                กรุงเทพฯ : ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-12 แห่ง

                ภูมิภาค : ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา


หลักฐานการสมัครมาตรา 39

            1. แบบขอเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 (สปส.1-20)

            2. บัตรประชาชนหรือบัตรอื่นที่มีรูปถ่าย ซึ่งทางราชการออกให้พร้อมสำเนา

 
เงินสมทบที่ต้องจ่ายให้ประกันสังคมตามมาตรา 39

            สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งสำนักงานประกันสังคม คือ เดือนละ 432 บาทต่อเดือน

 
วิธีการจ่ายเงินสมทบมาตรา 39

            ผู้ประกันตน สามารถจ่ายเงินสมทบมาตรา 39 ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา พร้อมแบบส่งเงินสมทบฯ (สปส. 1-11) หรือใช้วิธีหักจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และการจ่ายด้วยเงินสดที่ธนาคาร ดังนี้

            1. หักจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์มี 5 ธนาคาร

                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)   BAY
                ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)   KTB
                ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)   TBANK
                ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)   KBAK
                ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)   SCB
                ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)   TMB

หมายเหตุ : กรณีหักผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ขอรับหนังสือยินยอมให้หักเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาที่เปิดบัญชี หรือ สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่) เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2557

            2. จ่ายด้วยเงินสดที่

                ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  BAY

                ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  KTB

                จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7- ELEVEN ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมรายการละ 10 บาท สามารถจ่ายเงินสมทบได้ทุกสาขา

                จ่ายเป็นธนาณัติ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ พร้อมแบบส่งเงินสมทบ สปส. 1-11 ถึงสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา (กรณีจ่ายผ่านธนาณัติ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ด้วยว่า สั่งจ่าย ตู้ ป.ณ. ใด)

                จ่ายผ่านเคาน์เตอร์ไปรษณีย์ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ จะมีค่าธรรมเนียมรายการละ 10 บาท (มีผลบังคับใช้วันที่ 2 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป)

 
หน้าที่ของผู้ประกันตนตามมาตรา 39

            1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีหน้าที่ต้องนำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน หากเกินกำหนดต้องเสียเงินเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน

            2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 มีหน้าที่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงให้สำนักงานประกันสังคม ดังนี้

                กรณีเปลี่ยนแปลงสถานที่ติดต่อ ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ตามแบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงสถานที่ติดต่อ (สปส. 1-34)

                กรณีเปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อสกุล หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ต้องแจ้งทันทีพร้อมแนบสำเนาหลักฐาน

                กรณีประสงค์ลาออกหรือกลับเข้าทำงานและมีสถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรทันทีตามแบบแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 (สปส.1-21)


เช็กรายชื่อประกันสังคมมาตรา 39

            สำหรับผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 ที่อยากเช็กรายชื่อประกันสังคมมาตรา39 นั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ www.sso.go.th (http://www.sso.go.th) หลังจากนั้น ก็ใส่หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักของผู้ที่ต้องการค้นหาลงไป

 
หนังสือมอบอำนาจเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามมาตรา 39
 
            ในกรณีที่ผู้ประกันตน มาตรา  39 ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปรับเงินจากกองทุนเงินทดแทน ก็สามารถก็ทำหนังสือมอบอำนาจเป็นผู้รับผลประโยชน์ตามมาตรา39 หรือทำเป็นหนังสือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นมารับแทนเงินแทนตนได้

            โดยเอกสารที่ผู้ที่ได้มอบอำนาจให้เป็นผู้รับผลประโยชน์ ตามมาตรา 39 ประกอบด้วย

            ทำหนังสือมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นมารับแทน

            บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มอบและผู้รับมอบ

            หนังสือมอบฉันทะหรือหนังสือมอบอำนาจ  (ไม่ต้องติดอากรแสตมป์)


ยกเลิกมาตรา 39

            ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน เมื่อใด

            1. ตาย

            2. กลับเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33

            3. ลาออก

            4. ไม่ส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน (สิ้นสภาพตั้งแต่เดือนแรกที่ไม่ส่งเงินสมทบ)

            5. ภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน (สิ้นสภาพในเดือนที่ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน)

 
ขาดส่งประกันสังคม มาตรา 39

            ผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน จะถือว่า ได้สิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตนตั้งแต่เดือนแรกที่ขาดส่ง หรือกรณีที่ผู้ประกันตนให้หักเงินสมทบผ่านบัญชีธนาคารฯ แต่ยอดเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ ทำให้สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตนได้เช่นเดียวกัน


จะต้องแจ้งออกมาตรา 39

            กรณีผู้ประกันตน ที่ต้องการแจ้งออกมาตรา 39 สามารถไปแจ้งยกเลิกที่สำนักงานประกันสังคมที่สมัครไว้ได้ทันที หรือจะรอให้ทางนายจ้างยื่นแจ้งเข้าทำงานต่อประกันสังคมก็ได้ เพราะเมื่อนายจ้างไปแจ้งข้อมูลดังกล่าว ก็จะถือเป็นการยกเลิกมาตรา 39 ไปโดยปริยาย

 
แบบฟอร์มที่ผู้ประกันตนมาตรา 39 ควรรู้

            แบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (แบบ สปส. 1-20) คลิกที่นี่ -http://blog.homdee.com/wp-content/uploads/2013/08/39.pdf-

            แบบส่งเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (สปส. 1-11) คลิกที่นี่-http://www.sso.go.th/wpr/uploads/uploadImages/file/money39.pdf-
-http://www.komchadluek.net/detail/20130314/153855/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.html-

-http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A2_095.aspx-

-http://www.sso.go.th/wpr/home.jsp-

-http://www.mol.go.th/employee/compensation_%20fund-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 24, 2014, 09:34:26 pm
มาแนะนำเว็บไซด์ดีๆ  ที่สามารถเข้าไปเรียนรู้เรื่อง "การสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง"

ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม

http://www.thaimutualfund.com/AIMC/index.jsp
-http://www.thaimutualfund.com/AIMC/index.jsp-



เว็บไซด์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

http://www.tsi-thailand.org/index.php
-http://www.tsi-thailand.org/index.php-





หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 09:19:13 pm
5 สิ่งควรทำ หลังปลดหนี้บัตรเครดิต!

-http://money.sanook.com/192909/5-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95/-

ยินดีด้วย! หากคุณเป็นอีกคนที่พึ่งจัดการปลดหนี้บัตรเครดิตสำเร็จ แล้วหลังจากนี้ต่อไปล่ะ คุณควรจะทำอย่างไรดี คุณจะเลิกใช้บัตรเครดิตเลย หรือยังใช้ต่อไป ควรทำอย่างไรต่อ วันนี้ MoneyGuru เอาเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตหลังปลดหนี้บัตรเครดิตมาฝากกัน

ควรใช้บัตรเครดิตต่อไป......อย่างมีวินัย
หากคุณคิดว่าการใช้บัตรเครดิตอาจเป็นอัตรายสำหรับคุณอีก โปรดคิดใหม่ เพราะครั้งนี้คุณมีประสบการณ์แล้ว ว่าการใช้บัตรเครดิตอย่างไร้วินัย ทำให้คุณต้องจมกองหนี้ และกว่าจะผ่านมันมาได้ต้องเหนื่อยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คุณคงสามารถเรียนรู้และแก้ไขจากจุดนั้นได้ นอกจากนี้ การตกเป็นหนี้ทำให้เครดิตสกอร์คุณย่ำแย่ และมีผลกระทบแผนการใช้เงินของคุณในอนาคตแน่ๆ อาทิ กู้สินเชื่อบ้าน หรือรถยนต์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น คุณควรกลับมาใช้บัตรเครดิตอีกครั้งอย่างมีวินัย จ่ายบิลเต็มจำนวนทุกเดือน เพราะมันคือวิธีที่ง่ายสุดแล้วในการกู้คะแนนเครดิตกลับคืนมา

เคลียร์หนี้ก้อนอื่นต่อ
ถ้าคุณมีหนี้ก้อนต่อไปรออยู่ คงถึงเวลาที่จะจัดการซะ อาทิ หนี้ค่าเล่าเรียน หนี้รถยนต์ ซึ่งตามทั่วไปแล้ว หากคุณฝากประจำสมมุติว่าได้ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี แต่คุณกลับต้องเสียดอกเบี้ยให้หนี้ก้อนอื่นๆ ข้างต้นมากกว่าร้อยละ 3 นั่นหมายความว่า แทนที่คุณจะเก็บเงินในบัญชีฝากประจำ คุณเร่งปิดหนี้ก้อนนั้นๆ ก่อนจะดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็อย่าลืมเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเสียก่อนล่ะ ว่าคุ้มหรือไม่

กองทุนฉุกเฉินก็สำคัญ อย่าลืม!
คงไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันหนึ่งข้างหน้าคุณอาจจะตกงาน บรฺิษัทที่คุณทำงานมาสิบปีปิดตัวลง สิ่งที่คุณควรทำคือการมีกองทุนฉุกเฉินเก็บไว้ เพื่อให้คุณพยุงตัวเองและครอบครัวเอาไว้ได้ ส่วนจำนวนนั้นอยู่ที่ราว 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายที่คุณจ่ายทั้งหมดต่อเดือน แล้วแต่สภาพการณ์ของแต่ละคน อาทิ คุณและคู่ มีรายได้มั่นคง ไม่มีปัญหาสุขภาพ การเก็บเงินกันฉุกเฉินไว้ 3-4 เดือนคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณเป็นซิงเกิล มัม และประกอบธุรกิจส่วนตัว การกันเงินเผื่อไว้ซัก 6-12 เดือนน่าจะปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ยังควรเก็บไว้ในส่วนที่เข้าถึงได้ง่าย สภาพคล่องสูงอีกด้วย


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2900;image)

กองทุนเกษียนเพื่ออนาคตในบั้นปลาย
หลายคนอาจจะเกษียณอายุที่ 50 บางคน 60 หรือบางคนทำงานจนถึงอายุ 70 ก็มี ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม คนจำนวนไม่น้อยก็มองว่า หากเราอายุพึ่งเริ่มทำงาน หรือพึ่งสามสิบ จะรีบเก็บเงินไว้ตอนเกษียณทำไม คำตอบคือ ยิ่งคุณเก็บเร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ คุณก็จะมีโอกาสได้เกษียณเร็วกว่าคนอื่นเท่านั้น บางคนอาจจะอยากเที่ยวรอบโลกในช่วงเวลาที่ยังแข็งแรงอยู่ บางคนอาจจะอยากเกษียณอายุที่ต่างประเทศซึ่งใช้เงินเยอะ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการออมและการลงทุน ซึ่งตัวเลือกก็มีหลากหลายตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ อาทิ การฝากประจำไปเรื่อยๆ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้มาก การเล่นหุ้นระยะยาวสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้มากหน่อย หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อย่างที่ดิน คอนโด ที่อาจต้องอาศัยความรู้และหูตาที่ไว ว่าควรซื้อจุดไหน แหล่งไหนที่กำไรดี แต่ก็นั่นแหละรวมๆ คือ ควรวางแผนออมเพื่อเกษียณให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

เก็บเงินไว้ซื้อของชิ้นใหญ่
ครั้งนึงในชีวิตของทุกคน ย่อมมีของชิ้นใหญ่ที่ต้องซื้อให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรถ หรือบ้าน ซึ่งการเก็บเงินเพื่อซื้อของเหล่านี้คือเรื่องที่ดี และดีกว่าการใช้เงินฟุ่มเฟือยรายวัน และยังเป็นการเพิ่มกำลังใจในการทำงาน เพื่อเก็บเงินอีกด้วย

หากคุณมีข้อสงสัยด้านการบริหารการเงิน หรือการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์การเงิน MoneyGuru อยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th- หรือ info@moneyguru.co.th


(http://p3.isanook.com/mn/0/ud/38/192909/mg1.jpg)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 02, 2014, 10:04:25 pm
ลูกติดหนี้บัตรเครดิต ควรช่วยจ่ายหรือไม่?


-http://money.sanook.com/193917/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88/-


(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/38/193917/guru1071-1.jpg)


หลายคนอาจเคยได้ยินคำเตือนที่ว่า อย่าให้เพื่อนยืมเงินนะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ความสัมพันธ์ที่มี อาจสั่นคลอนเพียงแค่เรื่องเงินเรื่องเดียวก็เป็นได้ ดังนั้น อย่าให้ยืมจะดีกว่า แต่ถ้าความสัมพันธ์มันใกล้ชิดมากกว่าการเป็นเพื่อนละ ถ้าเป็นคนในครอบครัว อย่างลูกของเราเอง ซึ่งอยู่ในวัยทำงานแล้ว แต่ดันมาติดหนี้บัตรเครดิต เราอาจจะมารู้ทีหลัง  และลูกมาขอความช่วยเหลือ เราควรใช้หนี้แทนลูกหรือไม่ เราควรทำอย่างไร วันนี้ MoneyGuru เอาข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน

คุณต้องรู้เรื่องการเงินอย่างหมดเปลือก
หากคุณไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรมากมาย ที่ใช้หนี้ให้ลูกก็คงไม่มีผลกระทบอะไร หากคุณยังต้องบริหารเงินของคุณเองอย่างรอบคอบ และรายได้รายจ่ายจำกัด สิ่งที่แรกที่คุณต้องทำ หากลูกมาขอความช่วยเหลือเรื่องหนี้บัตรเครดิต คือ ลูกต้องเล่าเรื่องการใช้จ่ายเงิน นิสัยการใช้เงิน ประวัติเครดิตทั้งหมดให้แก่คุณ หากคุณมีแนวโน้มที่จะช่วย คุณควรถ่ายเอกสารประวัติเครดิตลูกของคุณ และรายการทรัพย์สิน หนี้สินของลูกคุณไว้ทั้งหมด

คุยเปิดใจ
ต่อจากข้อที่แล้ว หากคุณรู้เรื่องการเงินหมดแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณควรคุยแบบเปิดใจกับลูกของคุณ ว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกคุณมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นหนี้สินมากมายแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เหตุการณ์มักแบ่งเป็นสองกรณีคร่าวๆ คือ 1.ลูกของคุณมีความรับผิดชอบด้านการเงินมาตลอด แต่ อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนต้องทำให้เป็นหนี้สิน หรือ 2.ลูกของคุณเป็นพวกไม่มีวินัยทางการเงิน ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย จนสุดท้าย รับภาระหนี้สินไม่ไหว

ซึ่งในสองกรณีสิ่งที่คุณทำได้ต่อมาคือ จับมือลูกของคุณไปหาธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรึกษาหาทางแก้ ว่าสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ได้หรือไม่ หรือโอนยอดหนี้ได้หรือไม่ หลังจากนั้น คุณก็ต้องตัดสินใจเองว่า คุณอยากจะช่วยลูกคุณแบ่งเบาภาระหนี้หรือไม่ อาจช่วยเพียงบางส่วน หรือเต็มจำนวน ก็แล้วแต่การตัดสินใจของคุณ แต่ควรรู้ไว้ว่า เงินจำนวนนี้คุณอาจจะไม่ได้คืนเลยก็เป็นได้ เพราะหากลูกคุณจ่ายคืนคุณได้ เขาก็จ่ายคืนธนาคารได้แล้วตั้งแต่ต้น ไม่ถึงขั้นรวบรวมความกล้าสุดขีด มาขอความช่วยเหลือจากคุณ

สองทางเลือกที่แตกต่าง
หากลูกคุณเป็นคนในกรณีแรก คือมีวินัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจะเรียนรู้บทเรียนในครั้งนี้เอง เพียงแค่คุณบอกลูกคุณว่า จะช่วยเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกคุณคิดว่าไม่ว่าอย่างไรคุณก็สามารถช่วยได้นั่นเอง

หากลูกคุณเป็นคนไม่มีวินัยตั้งแต่ต้น วิธีช่วยควรแตกต่างกันออกไป คุณจะต้องไม่ใจดี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสอนลูกของคุณเอง หากคุณเลือกที่จะช่วย คุณยิ่งต้องบอกกล่าวให้แน่ใจว่า สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก โดยวิธีที่ดีคือ คุณไม่ควรช่วยทั้งหมด แต่เลือกช่วยเฉพาะบัตรที่ต้องดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน และอาจให้ลูกคุณดูแลในส่วนที่เหลือเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับแผนที่คุณได้ปรึกษากับทางธนาคารแล้วในตอนแรกนั่นเอง และหากลูกยังไม่สามารถจัดการส่วนของตัวเองได้อีก คุณต้องใจเเข็งและบอกว่า คุณไม่สามารถช่วยได้แล้ว

สำคัญที่สุด!
ห้ามเปิดบัตรเครดิตที่มีชื่อร่วมกันเด็ดขาด เพราะสุดท้าย หากเกิดอะไรขึ้น คุณนั่นแหละที่จะต้องแบกรับภาระหนี้สิน และเครดิตสกอร์คุณจะแย่ตามไปด้วย

หากมีข้อสงสัยเรื่องผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่  -www.moneyguru.co.th-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2014, 06:10:47 am
เครดิตบูโร จับตาบัญชีที่เริ่มค้างชำระ 1.1 ล้านบัญชี

-http://money.kapook.com/view92222.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เครดิตบูโร เตรียมจับตาจำนวนบัญชีที่เริ่มค้างชำระ 1.1 ล้านบัญชี เพิ่มจากปี 56 ประมาณ 29% คาดแนวโน้มหนี้เสีย NPL น่าจะลดลง

           วันนี้ (2 กรกฎาคม 2557) นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวถึงแนวโน้มของหนี้ครัวเรือนว่า ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจับตาจำนวนบัญชีที่เริ่มค้างชำระแต่ไม่เป็นหนี้เสีย (NPL) โดยในไตรมาสแรกมีจำนวนบัญชีที่เริ่มค้างชำระอยู่ที่ 1.1 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ประมาณ 29% ในไตรมาส 2 นี้ คาดว่าแนวโน้มเอ็นพีแอล น่าจะลดลง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีความระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอดูข้อมูลไตรมาส 2 ที่เพิ่งสิ้นสุดลงว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่

           ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการสำรวจการให้เงินกู้ยืมภาคครัวเรือนของสถาบันการเงินและบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ไตรมาสแรกปี 2557 พบว่า มีมูลค่าคงค้างรวมทั้งสิ้น 9,868,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 888,846 แสนล้านบาท หรือ 9.89%  ส่วนการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ในหมวดสถาบันรับฝากเงิน ซึ่งได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันรับฝากเงินอื่น ๆ ซึ่งมียอดคงค้างการให้สินเชื่อในไตรมาสแรกปีนี้รวม 8,591,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 748,635 ล้านบาท หรือ 9.54%

กลุ่มที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนมากสุดในหมวดสถาบันรับฝากเงิน ได้แก่

           - กลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยไตรมาสแรกมีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมอยู่ที่ 4,191,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 429,611 ล้านบาท หรือ 11.42%

           - สหกรณ์ออมทรัพย์ มีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืม ณ สิ้นไตรมาสแรกที่ 1,501,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 145,797 ล้านบาท หรือ 10.75%

           - บริษัทเงินทุน มียอดคงค้างการให้กู้ยืมในไตรมาสแรกอยู่ที่ 2,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 8.79% ส่วนธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ มียอดคงค้างการให้กู้ยืมอยู่ที่ 2,896,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 6.35%

           - กลุ่มบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง สินเชื่อส่วนบุคคล มียอดคงค้างการให้กู้ยืมไตรมาสแรกที่ 1,276,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 140,211 ล้านบาท หรือ 12.34%

กลุ่มที่มีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่

           - กลุ่มสถาบันการเงินอื่น เช่น การทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งมีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมในไตรมาสแรกปี 2557 ที่ 9,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน  2,544 ล้านบาท หรือ 38.35%

           - กลุ่มบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยไตรมาสแรกมีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมอยู่ที่ 1,057,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 177,227 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.12%

           - บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต มีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนในไตรมาสแรกที่ 81,349 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 8,961 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.38%

กลุ่มที่มีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนลดลงมากสุด ได้แก่

           - กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยไตรมาสแรกปี 2557 มีมูลค่าคงค้างอยู่ที่ 25,413 ล้านบาท ลดลงจากปี 2556 จำนวน 26,040 ล้านบาท หรือ 50.6%

           - กลุ่มโรงรับจำนำ ซึ่งมีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืมในไตรมาสแรกปี 2557 ที่ 54,239 ล้านบาท ลดลงจากปี 2556 จำนวน 14,010 ล้านบาท หรือ 20.52%

           - กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ มีมูลค่าคงค้างการให้กู้ยืม ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2557 อยู่ที่ 48,361 ล้านบาท ลดลงจากปี 2556 จำนวน 8,471 ล้านบาท หรือ 14.9%

           อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ระบุในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีความเปราะบางขึ้น สะท้อนจากการชำระหนี้ที่มีแนวโน้มลดลง การขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนปรับชะลอลงต่อเนื่อง ซึ่งการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจาก 14.1% ในไตรมาส 3 ปี 2556 มาอยู่ที่ 11.4% ในไตรมาส 4 ปี 2556 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระมัดระวังการใช้จ่ายและการก่อหนี้ใหม่และสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ระดับการก่อหนี้ใหม่ลดลง

           นอกจากนี้ ยังพบว่า สภาพคล่องของภาคครัวเรือนโดยรวมทรงตัวจากช่วงก่อนหน้าสะท้อนจากสัดส่วนสินทรัพย์ทางการเงินต่อหนี้สินของภาคครัวเรือน ณ สิ้นปี 2556 ที่ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2 เท่า ซึ่งยังเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงระยะสั้นจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/research/20140702/591027/%C3%A0%C2%A4%C3%B4%D4%B5%C2%BA%C3%99%C3%A2%C3%A8%D1%BA%C2%B5%C3%92%CB%B9%C3%95%C3%A9%C2%A4%C3%A9%D2%A7%C2%AA%C3%93%C3%83%C3%90%C3%A0%C2%BE%C3%94%C3%A8%C3%8130.html-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2014, 08:00:55 am
5 สิ่งชี้ คุณใช้บัตรเครดิตมีวินัย!


-http://money.sanook.com/195085/5-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2906;image)


การเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย มีประโยชน์หลายอย่าง นอกจากคุณจะมีประวัติเครดิตที่ดี และมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อก้อนใหญ่ๆ สูงในอนาคตแล้ว มันยังหมายถึง คุณเป็นคนวางแผนบริหารการเงินส่วนบุคคลได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เรามาดูกันว่าอะไรคือ 5 ข้อที่บ่งชี้ว่าคุณใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย

จ่ายบิลตรงกำหนดตลอด
ข้อนี้ถือเป็นกฎเหล็กเลยก็ว่าได้ หากคุณต้องการขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย คุณต้องชำระเงินก่อนครบกำหนดเสมอ อย่างน้อยคือจ่ายขั้นต่ำ แต่ยิ่งดีไปกว่านั้นคือการจ่ายบิล "เต็มจำนวน" ตลอด ที่จะทำให้คุณทั้งเครดิตสกอร์ดี และเป็นลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารอีกด้วย

รู้ครบเรื่องเงิื่อนไขบัตรของคุณ
หลายครั้งที่เราไม่เคยแม้กระทั่งจะเสียเวลาอ่านเงื่อนไขและข้อตกลงเวลาสมัครสินค้าและบริการต่างๆ แต่สำหรับบัตรเครดิต หากคุณสละเวลาอ่านซักนิด จะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากคุณไม่ได้อ่านเมื่อคอนสมัครบัตร ลองอ่านข้อมูลที่แนบมากับบิลชำระบัตรเครดิตแต่ละเดือนสิ มีข้อมูลที่อย่างน้อยคุณควรรู้อยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่ ยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดคิดอย่างไร ทำอย่างไรจึงหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ยได้ และกรณีใดบ้างหากเกิดขึ้นคุณต้องเสียดอกเบี้ย และเสียในอัตราที่เท่าไหร่ คุณต้องทำอย่างไรหากเจอข้อผิดพลาดในบิลบัตรเครดิตของคุณ ต้องแจ้งอย่างไร ที่ไหน และหากมีปัญหาในการซื้อขายสินค้า อาทิ สินค้าชำรุด สินค้าไม่ตรงกับที่สั่ง ทางธนาคารมีนโยบายช่วยเหลืออย่างไรบ้าง หากคุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อ และเสียเงินโดยไม่จำเป็นอย่างแน่นอน

เช็คยอดที่คุณใช้จ่ายตลอดว่าตรงกับความเป็นจริงหรือไม่
หลายคนที่อาจจะไม่เก็บแม้กระทั่งสลิบบัตรเครดิต ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ประมาทมาก เพราะความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งธนาคารที่เราคิดว่ามีระบบที่ดีที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีบิลออกมาในแต่ละเดือน คุณควรเทียบสลิปที่คุณได้มาจากการใช้จ่ายในแต่ละครั้ง กับบิลว่าตรงหรือไม่ หากไม่ตรง รีบติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรทันที

ไม่ใช้บัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน
หลายคนอาจบอกว่า คุณได้วงเงินมาแล้ว การใช้บัตรจนเต็มวงเงิน ก็ดูจะไม่เป็นไรตราบเท่าที่คุณสามารถแบกรับภาระในการจ่ายบิลได้ แต่สิ่งที่คุณลืมคิดไปคือ สัดส่วนของการใช้บัตรต่อวงเงินที่ได้รับ หรือที่เรียกว่า Credit utilization ก็มีผลต่อประวัติเครดิตของคุณเช่นกัน หากมีสัดส่วนที่มาก คะแนนของคุณจะลดลง แต่ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องรูดเต็มวงเงินจริงๆ อาทิ คุณไปเที่ยวเมืองนอกและมีเหตุจำเป็น พยายามแบ่งจ่ายบิลสองครั้งต่อเดือนเป็นทีละครึ่ง จะช่วยได้มากขึ้น อย่าเก็บไว้จ่ายทีเดียวทั้งก้อน

แลกรับของรางวัลเมื่อมีโอกาส
บัตรเครดิตต่างๆ มีสิทธิประโยชน์ของการแลกของรางวัลแตกต่างกัน อาจจะเป็นการสะสมไมล์ แลกเครดิตเงินคืน หรือแลกของรางวัลปกติ ซึ่งทำให้คนที่ใช้บัตรเครดิตเป็นและคุ้มค่าที่สุดคือ แลกของรางวัลเหล่านั้นเมื่อมีโอกาส พยายามเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มาผูกกับบัตรเครดิตและจ่ายทีเดียวเป็นก้อน เป็นต้น แต่ถ้าคุณใช้บัตรเครดิตไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจคะแนนและผลประโยชน์เหล่านั้นเลย ก็ไม่รู้ว่าคุณจะใช้บัตรเครดิตไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้น อย่าลืมทวงสิทธิ์ของคุณล่ะ

หากคุณมีข้อสงสัย หรืออยากปรึกษาเราเรื่องผลิตภัณฑ์ทาการเงิน เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่   -www.moneyguru.co.th-

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/39/195085/905cc61d03a35b51080db565118019c8.jpg)

.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 10, 2014, 10:51:51 pm
ต้องซื้อของแพง แต่ไม่มีเงินสด ใช้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลดี???



-http://money.sanook.com/196397/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84/-


(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/39/196397/guru10071.jpg)


ใครจะไปรู้ หากวันหนึ่ง คุณจำเป็นต้องซื้อของชิ้นใหญ่ขึ้นมา อย่าง เครื่องซักผ้าที่ดันมาเจ๊งพอดี ทีวีจอยักษ์ที่คุณอยากได้มาก เพราะเครื่องเก่าดันมาเสียซะอีก แต่ในตอนนั้นคุณกำลังขาดเเคลนเงินสด จึงเกิดคำถามที่ว่า คุณควรใช้บัตรเครดิตกับโปรโมชั่นผ่อน 0% ที่ออกมาล่อตาล่อใจมากมายเสียเหลือเกิน หรือ สินเชื่อส่วนบุคคลดีกว่า วันนี้เรา MoneyGuru.co.th จะช่วยคุณหาคำตอบ

บัตรเครดิตผ่อน 0% ดีเกินจริงไปหรือเปล่า?
บัตรเครดิตหลายใบในท้องตลาดเวลานี้ ล้วนเสนอโปรโมชั่นผ่อน 0% สำหรับการซื้อสินค้าให้ผู้ถือบัตร โดยเริ่มตั้งแต่ 3 เดือน 4 เดือน 6 เดือน ไปจนถึง 24 เดือนก็มี ซึ่งโปรโมชั่นนี้จะมีประโยชน์มากเพราะในระยะเวลาดังกล่าว คุณจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย เพียงแต่คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะเล่นไปตามกฎของมันได้ แต่ถ้าไม่ โปรโมชั่นนี้มีข้อเสียอยู่สองอย่าง

ประการแรก หากคุณไม่สามารถจ่ายได้ทุกเดือนตามกำหนด คุณจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าปกติ เพราะฉะนั้น คุณต้องมั่นใจว่าคุณแบกรับภาระต่อเดือนในส่วนนั้นไหว

ประการที่สอง คุณต้องระวังในส่วนของ Credit Utilization หรือสัดส่วนการใช้บัตรเครดิตต่อวงเงินที่คุณได้รับ หากคุณมีหนี้บัตรเครดิตอยู่แล้ว และคุณยังเพิ่มยอดการใช้จ่ายด้วยการผ่อนเข้าไปอีก แน่นอนว่า ประวัติเครดิตคุณจะเสียอย่างแน่นอน เพราะ Credit Utilization คือปัจจัยหนึ่งที่เครดิตบูโร นำไปพิจารณาคะแนนของคุณด้วย

ถ้าเช่นนั้น สินเชื่อส่วนบุคคลดีกว่าหรอ?
เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยิมยืมเงินในครอบครัวของคุณ การสมัครสินเชื่อส่วนบุคคลที่เริ่มมีให้เห็นมากมาย ทั้งในรูปของเงินก้อน หรือบัตรเงินสด ที่คุณสามารถกดเงินได้ตามวงเงินที่ได้รับ ทางเลือกเหล่านี้ย่อมทำให้คุณเสียดอกเบี้ย อ่าว แล้วถ้าเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนแรก ก็แย่กว่าบัตรเครดิตเสียอีกสิ?  ตรงนี้เป็นข้อเสียก็จริง แต่ข้อดีคือ สินเชื่อส่วนบุคคลจะมีระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ที่ยาวนานกว่าบัตรเครดิต โดยมักเริ่มตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึง 5 ปีเลยทีเดียว  ซึ่งเหมาะกับคนที่อยากจ่ายเพียงขั้นต่ำ ซึ่งในกรณีของสินเชื่อนั้น อาจหมดได้ภายใน 3-5 ปี แต่บัตรเครดิตนั้น การจ่ายเพียงขั้นต่ำ ของยอดชำระต่อเดือน จะทำให้หนี้สินของคุณกว่าจะหมด ยาวนานกว่า 5 ปีเป็นส่วนมาก ขึ้นอยู่กับยอดและดอกเบี้ยที่ทบต้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง

คิดให้ดี
จริงๆ แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการที่คุณเก็บเงินก่อนให้พอแล้วค่อยซื้อ คุณไม่ควรนำเงินสำรองฉุกเฉินที่ควรมีมาใช้ เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าอนาคต อาจเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไร หรือไม่ แต่กระนั้น หากคุณจำเป็นต้องซื้อจริงๆ คุณควรดูสถานะทางการเงินของคุณอย่างละเอียด ว่าคุณเหมาะกับทางเลือกทางการเงินแบบไหน จึงจะคุ้มค่าที่สุด เพราะทั้งสองวิธีข้างต้น มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

หากต้องการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน MoneyGuru อยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th-





หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 06:18:58 pm
 เงินทองต้องรู้ : แก่ไปใครดูแล : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com

-http://www.komchadluek.net/detail/20140711/187899.html-
 
                         บางทีก็เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ไม่น้อย ที่เรื่องบังเอิญมักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน อย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ฟังรายการ “เงินทองต้องรู้” โทรศัพท์มาฝากคำถามว่า “ในการบริจาคทานนั้น ควรบริจาคให้ใคร เพื่อให้ได้อานิสงส์และเกิดประโยชน์สูงสุด” ที่ว่าบังเอิญ เพราะหลังจากนั้น เพียงแค่ 2-3 วัน ก็มีเหตุให้ต้องเข้าวัดไปนั่งฟังพระเทศน์ ซึ่งพระท่านก็เทศน์ถึงความเหมาะควรในเรื่องทำบุญทำทานเหมือนกัน
 
                         สำหรับคำตอบของคำถามแรก ว่าควรบริจาคทานให้ใคร เพื่อให้ได้อานิสงส์และเกิดประโยชน์สูงสุด คุณวีระ ธีรภัทร ตอบไว้ในรายการว่า ก็บริจาคให้ผู้ที่สมควรได้รับ ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่สมควรได้รับทาน ของแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน เราคิดว่าใครเหมาะสม ก็คนนั้นแหละที่สมควรได้รับ และเมื่อ “ให้” แล้ว อานิสงส์ก็ย่อมเกิด อย่างน้อยก็อานิสงส์ที่เกิดกับผู้ให้ ที่ได้ความสุข-ความสบายใจ
 
                         ส่วนเรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่นึกเถียงพระในใจ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบาปหรือเปล่า) หลังจากพระ (รูปนั้น) ท่านบอกว่า การทำบุญที่ดีที่สุด ก็คือการถวายปัจจัยหรือเงิน เพราะการทำบุญใส่บาตรด้วยอาหาร สุดท้ายอาหารเหลือเบอะบะ เนื่องเพราะพระท่านฉันไม่หมด ที่นึกเถียงพระในใจและเถียงกับคนข้างๆ ที่เห็นด้วยกับพระ ก็เพราะส่วนตัวแล้ว เวลาใส่บาตรด้วยอาหาร ไม่ได้คิดถวายเฉพาะแค่พระ แต่คิดถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ขอพึ่งใบบุญวัด ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัด แม่ครัว หรือแม้แต่คนจรจัดที่ไม่มีที่ไป ต้องอาศัยข้าววัดประทังชีวิต รวมไปถึงหมา-แมวที่มีจำนวนไม่น้อย
 
                         เชื่อว่า คนที่ใส่บาตรส่วนใหญ่ก็คงคิดไม่ต่างกัน ส่วนเรื่องของปัจจัย นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ขึ้นกับศรัทธา รวมถึงกำลังทรัพย์ของญาติโยม
 
                         นานมาแล้ว เคยรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการเปิดตัวหนังสือของอาจารย์อัจฉรา โยมสินธุ์ เจ้าของผลงานหนังสือธรรมะพารวย และธรรมะธรรมเงิน ตอนนั้นยังคุยกับอาจารย์ว่า แปลกดี เพราะในขณะที่เราคิดว่า “เงิน” หรือ “ความร่ำรวย” เป็นเรื่องของความโลภ ความอยากได้ อยากมี ซึ่งสวนทางกับ “ธรรมะ” อย่างไม่น่าจะไปด้วยกันได้ อาจารย์อัจฉรากลับบอกว่า ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะต่างก็เป็นเรื่องของ “ธรรมชาติ” ด้วยกันทั้งสิ้น
 
                         และความมีอยู่ของ “เงิน” ก็ไม่ได้แปลว่า ต้องโลภเพียงสถานเดียว
 
                         มีหลักธรรมคำสอนหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินทอง แต่ดูเหมือนกับที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยที่สุด คงหนีไม่พ้น “หลักหัวใจเศรษฐี” หรือหลักทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 ซึ่งหมายถึงธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นหลักธรรมที่อำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เพื่อประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มีทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น โดยหลักธรรมทั้ง 4 ประการ ประกอบด้วย อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่น ขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้นให้สามารถทำได้สำเร็จ
 
                         อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) รักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคนชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา และสมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจะต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจะต้องไม่เหนือรายได้
 
                         รู้จักหาทรัพย์ รักษาทรัพย์ คบมิตรที่ดี และอยู่อย่างพอเพียง เป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องง่ายๆ แต่เป็นของหัวใจเศรษฐีจริงๆ และทั้งหมดทั้งมวลที่ทำนั้น ก็เพื่อนำไปสู่ปลายทางในวันที่เราไม่สามารถหาเงินได้ แต่ยังต้องมีเหตุให้ต้องใช้เงิน
 
                         เอกสารที่หยิบติดมือมาจากห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันก่อน เขียนถึงเรื่องนี้อย่างสนใจกับคำถามว่า “แก่ไปใครจะดูแล” เขาบอกไว้ว่า เมื่อถึงวันที่เราเกษียณและหยุดทำงานแล้ว เราจะพบเจอคนแก่ 2 แบบ โดยแบบแรก เป็นคนแก่ที่ไม่มีรายได้และดูแลตัวเองไม่ได้ ส่วนแบบที่สอง เป็นคนแก่ที่ไม่มีรายได้และดูแลตัวเองได้สบาย แต่ถ้าเราเตรียมทุกอย่างไว้แต่เนิ่นๆ (จะด้วยหลักหัวใจเศรษฐีก็ได้) เราอาจจะมีคนแก่แบบที่ 3 นั่นคือ ไม่มีรายได้ แต่ยังสามารถดูแลตัวเองได้อย่างสบายและดูแลคนในครอบครัวได้อีกด้วย
 
                         ฝาก 5 ขั้นตอนเตรียมเกษียณกองเงินไว้ให้อ่าน แม้จะเป็นเรื่องซ้ำๆ แต่ก็มีบางส่วนที่เพิ่มเติม เช่น ประการแรก ให้เริ่มคิดไว้เลยว่า อยากทำงานถึงอายุเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีเวลาเตรียมตัวเท่าไหร่ สอง - คิดคร่าวๆ ไว้เลยว่า จะอยู่หลังเกษียณอีกกี่ปี เช่น 20, 25 หรือ 30 ปี เพื่อให้ได้รู้ว่าจะต้องใช้เงินหลังเกษียณไปอีกเท่าไหร่ (แหม.. จริงๆ ก็ยากไปนิด เพราะใครจะไปรู้ว่าอายุจะยืนยาวหรือจะสั้นแค่ไหน) สาม - ประมาณการค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งประเมินได้จากไลฟ์สไตล์ที่เราอยากให้เป็น อยากให้หรูหราหรือเรียบง่าย ซึ่งการกำหนดนี้จะส่งผลต่อจำนวนเงินที่ต้องเก็บ
 
                         สี่ - ประมาณการรายได้หลังเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นเงินบำเหน็จบำนาญ เงินรับจากกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รายได้จากการลงทุน การประกันชีวิต ฯลฯ และห้า - วางแผนการออมตั้งแต่วันนี้ เราก็จะรู้ว่า ต้องเก็บเงินเพิ่มอีกเท่าไหร่และจะสามารถวางแผนการออม การลงทุนอย่างเหมาะสมได้
 
                         สุดท้ายชอบที่เขาเขียนถึง “กระปุกความสุขหลังเกษียณ” ที่นอกจากจะต้องหยอดเงิน หยอดการลงทุนที่ดีแล้ว ต้องไม่ลืมหยอดพลังชีวิตให้กับตัวเอง ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม สุขกายสบายใจ เพราะทั้งหมดจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราด่วนตายจากไปเสียก่อน
 
 
(เงินทองต้องรู้ : แก่ไปใครดูแล : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล -k_wuttikul@hotmail.com-)

------------------------------------------------------------------------------------------------



 9ข้อกู้ชีพเครดิตบูโร! : มันนี่กูรู โดย-www.moneyguru.co.th-

-http://www.komchadluek.net/detail/20140710/187991.html-

              หากคุณกำลังเครียดที่คุณขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ หรือบัตรเครดิต แต่สมัครยังำงก็ไม่ผ่านเสียที เพราะคุณดันมีประวัติเครดิต หรือเครดิตบูโรที่ไม่ค่อยจะดีเสียเท่าไหร่ วันนี้ MoneyGuru.co.th ขอบอกว่า ปัญหานี้ไม่ใช่คุณคนเดียวในโลกที่กำลังเจอ แต่ยังมีอีกหลายคน และหากคุณใจเย็นอีกซักหน่อย ปัญหานี้มีทางแก้ วันนี้เราเอา 10 วิธีกู้ชีพเครดิตบูโรมาฝากกัน

              ตรวจสอบเครดิตบูโร

              สิ่งที่ดูสองอย่างคือ แนวโน้มของเครดิต และข้อผิดพลาด แนวโน้มคือ พฤติกรรมทางการเงินใดของคุณในรายงาน ที่สร้างปัญหาให้คุณมากที่สุด อาจเป็นเรื่อง การจ่ายบิลสายตลอด หรือ เป็นหนี้มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจะเป็นไอเดียคร่าวๆ ให้คุณแก้ปัญหาต่อไป ส่วนข้อผิดพลาด ก็ทำให้คุณแจ้งกับทาง บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ให้แก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด

              ศึกษาเพิ่มเติม

              ยิ่งศึกษา ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้มาก และจะเป็นภัยคุ้มกันตัวคุณจากความผิดพลาดในอนาคต โดยเรื่องที่สำคัญๆ อย่างเช่น เครดิตบูโรคืออะไร สำคัญต่อการบริหารการเงินของเราอย่างไร และทำอย่างไรจึงจะสามารถทำคะแนนให้ดีได้

              จัดการหนี้สินค้างชำระ

              หากคุณยังมีหนี้สินอยู่ นี่คือปัจจัยหนึ่งที่เครดิตสกอร์คุณไม่ค่อยดีนัก จัดการหนี้เหล่านั้นเสีย อาจจะใช้เวลา แต่แน่นอนว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ของการสร้างเครดิตบูโรอีกครั้ง

              จ่ายบิลตรงเวลา

              ถือเป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียว เพราะเป็นสัดส่วนคะแนนที่สูงในการพิจารณาเครดิตบูโรของคุณ ว่าคุณเป็นลูกหนี้ที่ดีหรือไม่ เพราะฉะนั้น นับแต่นี้เป็นต้นไป กาปฏิทินหรือตั้งเตือนเลยว่า บิลทุกอย่างในบ้าน รวมถึงบิลบัตรเครดิต จ่ายวันไหนบ้าง หรือตั้งจ่ายอัติโนมัติหักผ่านบัญชีก็ดีไปอีกแบบ

              บัตรเครดิตแบบมีเงินฝากค้ำประกัน

              หลายคนคงรู้ว่า การสร้างเครดิตสกอร์ที่ง่ายที่สุดคือการใช้บัตรเครดิต และใช้อย่างมีวินัย แต่ถ้าคุณมีเครดิตสกอร์ที่แย่ ไม่ได้รับการอนุมัติบัตรเครดิต คุณจะสร้างได้อย่างไร? คำตอบง่ายๆคือ ยังมีบัตรเครดิตแบบมีเงินฝากค้ำประกันที่คุณสามารถสมัครได้เลย เพียงฝากเงินค้ำไว้ตามจำนวนวงเงินที่ได้รับ ซึ่ง แค่นี้คุณก็มีบัตรเครดิตใช้และเริ่มสร้างเครดิตกันใหม่

              ยับยั้งชั่งใจ

              การมีบัตรเครดิต ทำให้คุณใช้เงินง่ายขึ้น โดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น การยับยั้งชั่งใจ คือสิ่งที่ดีที่สุด โดยอย่างน้อย หนี้บัตรเครดิตในแต่ละรอบบิล ควรไม่เกิน 30% ของวงเงินสูงสุดที่คุณได้รับ

              เพิ่มวงเงินบัตรเครดิต

              การขอเพิ่มวงเงิน ไม่ใช่ขอเพื่อที่คุณจะได้รูดมากขึ้น แต่ขอเพื่อทำให้สัดส่วนของยอดที่คุณใช้แต่ละเดือนกับวงเงิน น้อยลงๆ หรือทำให้ credit utilization ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งทำให้เครดิตสกอร์คุณดีตามไปด้วย

              เก็บบัตรเครดิตที่ไม่ใด้ใช้เอาไว้ ไม่ต้องปิด

              คะแนนอีกส่วนหนึ่งของเครดิตบูโรมาจาก ระยะเวลาของประวัติเครดิตของคุณ นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณมีบัตรเครดิตนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เก็บเอาไว้ ถึงแม้ว่าบัตรใบนั้นๆ คุณจะไม่ใช้ก็ตาม

              รอเวลาเปิดบัตรเครดิตใหม่

              หลังจากคุณใช้บัตรเครดิตแบมีเงินฝากค้ำประกันได้ซักระยะแล้ว เอาเป็นว่าประมาณ 6 เดือน ลองสมัครบัตรเครดิตแบบธรรมดาดู หากสมัครได้ แสดงว่าเครดิตบูโรของคุณดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และหลังจากนี้ จงใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย เพิ่มวงเงิน ลดยอดที่ใช้ แค่นี้ คุณก็จะกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีในสายตาของสถาบันการเงินอย่างแน่นอน

              หากมีข้อสงสัยด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 04:43:43 pm
ใช้บัตรเครดิต เพื่อเเลกของรางวัล คุ้มจริงหรือ?

-http://money.sanook.com/197001/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/-


(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/39/197001/sat1-1.jpg)



คุณเคยหรือไม่ ที่บางครั้ง คุณก็รู้สึกว่า โปรโมชั่นแลกของรางวัลบัตรเครดิตในโฆษณาดูดีมากเหลือเกิน สมัครวันนี้ได้ตั๋วเครื่องบินฟรี สมัครวันนี้ได้แอร์ไมล์นับหมื่นๆ ไมล์ หรือ ได้เงินคืนทันทีที่จ่ายเท่านี้ เท่านั้น เป็นต้น แต่บางทีคุรอาจจะลืมไปว่า ของฟรี ก็อาจจะไม่มีในโลกก็เป็นได้ วันนี้ MoneyGuru.co.th เอาแง่คิดเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันว่า จริงๆ แล้วการใช้บัตรเครดิต เพื่อแลกของรางวัลนั้น คุ้มค่าจริงหรือไม่

จุดกำเนิด การใช้บัตรแลกของรางวัล
เหตุผลง่ายๆ ที่ธนาคารคิดค้นบัตรเครดิตหนึ่งๆ ขึ้นมา โดยชูจุดขายในการแลกของรางวัลนั้น คือ "เพื่อกระตุ้นให้คุณจ่ายเงินผ่านบัตรมากขึ้น" และหากคุณใช้บัตรเครดิตอย่างหน้ามืดตามัว เพียงเพื่อคุณต้องการแลกของรางวัลในปลายปี แต่คุณไม่สามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ นั่นแหละคือเวลาที่ธนาคารได้ประโยชน์ คือคุณต้องเสียอัตราดอกเบี้ยให้กับทางธนาคาร อาทิ สมมุตว่าปลายปี คุณได้เงินคืน หรือแลกของรางวัลราวร้อยละ 1 ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด แต่คุณต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 20 แบบนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ไม่มีทางคุ้มค่ากับรางวัลที่ได้มาอย่างแน่นอน

สาเหตุอีกประการคือ ทุกครั้งที่เราเลือกที่จะใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดกับร้านค้านั้น ธนาคารจะได้ส่วนแบ่งค่าบริการนั้นๆ จากผู้ประกอบการ เป็นค่าธรรมเนียม ทำให้ ยิ่งเราใช้บัตรเครดิตมากเท่าไหร่ ธนาคารก็ได้ประโยชน์เท่านั้น ธนาคารจึงต้องนำของรางวัลมาเป็นตัวล่อนั้นเอง เพราะฉะนั้น กุญแจที่สำคัญคือ ผู้ใช้ต้องเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังของการมีบัตรเพื่อแลกของรางวัลก่อน และคิดวิเคราะห์ว่า ควรใช้อย่างไร จึงไม่ตกเป็นเหยื่อ  จนเป้นหนี้บัตรเครดิต

ใครสามารถใช้ได้ล่ะ
คนกลุ่มแรกที่สามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อสิ่งนี้ได้ คือ คุณเป็นพวกที่ ชำระหนี้บัตรเครดิต เต็มจำนวน และตรงเวลาตลอด เอาเป็นว่า บรรดาพวกลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารนั่นเอง ซึ่งคุณจะไม่ถูกการตลาดหลอกล่อมากเกินไปจนตกเป็นเหยื่อ  ส่วนคนกลุ่มที่สองคือ คุณต้องใช้จ่ายเพื่อบริษัทบ่อยๆ พูดง่ายๆ คือ ใช้จ่ายต่างๆ แล้วไปเบิกเงินกับบริษัท ซึ่งคุณจะสามารถเก็บสะสมคะแนน จากการใช้จ่ายของบริษัท ไม่ใช่การใช้จ่ายของคุณเอง จึงไม่ต้องกลัวเรื่องคุณใช้จ่ายจนเป็นหนี้นั่นเอง

ใครที่ไม่ควรใช้ล่ะ
ง่ายๆ เลยก็คือ คุณคือประเภทที่ตรงข้ามกับหัวข้อก่อนหน้านี้ กล่าวคือ คุณไม่ค่อยชำระหนี้บัตรเครดิตตรงเวลาเท่าไหร่ บางเดือนคุณจ่ายสาย บางเดือนคุณจ่ายเพียงขั้นต่ำ หากคุณเป็นคนกลุ่มนี้ อย่าริหลงเชื่อการตลาดเรื่องการใช้บัตรเครดิตเพื่อแลกของรางวัลเด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้ว มูลค่าดอกเบี้ยที่คุณต้องเสีย จะมากกว่ารางวัลที่คุณจะได้รับอย่างแน่นอน แถมต้องมาปวดหัวในภายหลังเพราะติดหนี้อีกด้วย

ใช้ให้ถูกประเภท
ข้อคิดก็คือ การใช้บัตรเครดิตในทุกสถานการณ์ ไม่ได้เหมาะกับการใช้ด้วยบัตรที่ทำมาเพื่อแลกของรางวัล ไปเสียทั้งหมด อาทิ หากคุณเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ คุณคิดว่า ไหนๆ ช้อปปิ้งแล้ว ก็ใช้บัตรเพื่อเก็บแต้มไปแลกของรางวัลดีกว่า แต่หารู้ไม่ว่า บางทีบัตรนั้นอาจคิดค่าธรรมเนียมการใช้จ่ายต่างประเทศก็เป็นได้ ในขณะที่มีบัตรอื่น ที่มีโปรแกรมแลกของรางวัลที่ไม่ดีเท่า แต่ไม่คิดค่าธรรมเนียมเลย เพราะฉะนั้น ควรเช็คกับผู้ให้บริการให้ดีก่อน

หากมีข้อสงสัยด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่   -www.moneyguru.co.th-


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 13, 2014, 06:17:52 pm
รู้ทันดอกเบี้ยบัตรเครดิต คิดให้ดีก่อนรูด

-http://money.kapook.com/view92593.html-

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://k-expert.askkbank.com/Pages/Home.aspx-


รู้ทันดอกเบี้ยบัตรเครดิต (ธนาคารกสิกรไทย)

          เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักบัตรเครดิตว่าเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอย สามารถซื้อสินค้าได้โดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในทันที เสมือนมีคนใจดีให้ยืมเงิน ซึ่งบัตรเครดิตทุกใบจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-55 วัน หมายความว่า ถ้าเราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยชำระเงินได้เต็มจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็จะไม่เสียดอกเบี้ย แต่ถ้าเราไม่สามารถชำระเงินเมื่อครบกำหนดได้เต็มจำนวน โดยชำระเงินเพียงบางส่วน หรือจ่ายเพียงยอดขั้นต่ำ 10% ของยอดค้างชำระ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ ดอกเบี้ย

          บัตรเครดิตเป็นสินเชื่อบุคคล หรือสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตสูงถึง 20% ต่อปี โดยดอกเบี้ยจะคำนวณจากยอดหนี้เต็มจำนวนตั้งแต่วันที่รูดซื้อสินค้า หรือวันที่กดเงินสด นับว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง สามารถทำให้ใครหลาย ๆ คนกลายเป็นคนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวได้ หากใช้จ่ายเกินตัว หรือใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่มีอยู่ ลองมาดูกันว่า ดอกเบี้ยบัตรเครดิตคำนวณอย่างไร

สูตรการคำนวณดอกเบี้ย =(จำนวนเงินค่าสินค้า/บริการและเบิกถอนเงินสด x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวัน) / 365

          ขอยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากการชำระคืนขั้นต่ำ/ชำระคืนบางส่วน

ตัวอย่างใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตประจำเดือนเมษายน 2557

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v3090.jpg)

วิธีคำนวณดอกเบี้ยสำหรับรอบบัญชีถัดไป กรณีชำระขั้นต่ำจำนวน 3,000 บาท ในวันที่ 20 เมษายน 2557

          การคำนวณดอกเบี้ยจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

          ส่วนแรก ดอกเบี้ยคิดจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในรอบบัญชีที่แล้ว คือ 30,000 บาท โดยจำนวนวันนับจากวันที่ใช้จ่าย จนถึงวันก่อนที่ธนาคารได้รับชำระเงิน (19 เมษายน 2557)

          ส่วนที่สอง ดอกเบี้ยคิดจากยอดเงินต้นคงเหลือ คือ 30,000 – 3,000 = 27,000 บาท โดยจำนวนวันนับจากวันที่ชำระเงินบางส่วน (20 เมษายน 2557) จนถึงวันสรุปยอดรายการเดือนถัดไป (5 พฤษภาคม 2557)

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v3091.jpg)

          กรณีของการกดถอนเงินสด การคำนวณดอกเบี้ยจะใกล้เคียงกัน คือ คิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่กดเงินสด จนถึงวันที่ชำระเงิน ทั้งนี้ การกดเงินจากบัตรเครดิตยังมีค่าธรรมเนียมในการกดเงินอีก 3% ของจำนวนเงินที่กดอีกด้วย

          ดังนั้น เมื่อรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าต่าง ๆ แล้ว เราควรมีการกันเงินค่าสินค้าเอาไว้ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า มีเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้บัตรเครดิตเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนด และสิ่งสำคัญ ก่อนใช้บัตรเครดิต อย่าลืมประเมินความสามารถของตัวเราว่า จ่ายไหวหรือไม่ เพราะความสุขเพียงชั่วคราวจากการซื้อสินค้า ซึ่งสูงเกินรายได้หรือเงินที่มีอยู่ อาจสร้างความทุกข์ที่ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตในระยะยาวได้

          หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับที่ปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com และ เว็บบอร์ด K-Expert ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert (http://www.askKBank.com/K-Expert) และติดตามข่าวสารการเงินได้ที่ Twitter@KBank_Expert




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 14, 2014, 10:17:47 pm
งบการเงินอ่านง่ายๆ


-http://money.sanook.com/197061/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86/-



(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/39/197061/80dcce395a29c670aa0da48ec7b29cf4.jpg)


หลังจากที่ได้รู้เรื่องการเลือกหุ้นและประเภทของหุ้นคร่าวๆกันแล้ว เรามาลงรายละเอียดกันหน่อยละกันนะค้า
1. กำไร => บริษัทที่ถูกตั้งขึ้นมานั้น จะอยู่ได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของตัวธุรกิจ ยิ่งกำไรเยอะ ก็แปลได้หลายๆอย่างคือ ผู้บริหารเก่ง หรือผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการมาก หรือมีการตลาดที่สร้าง Brand Loyalty ได้ดีกว่าคู่แข่ง ฯลฯ ยิ่งกำไรมาก ในระยะยาวมันจะสะท้อนกลับมาทำให้ราคาหุ้นโตขึ้นไปด้วย  อีกอย่างยิ่งกำไรมาก โอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะได้ปันผลสูงขึ้นก็มีมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นในการที่จะฝากเงินออมสุดรักสุดหวงของเราไว้กับหุ้นของบริษัทไหนแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะเลือกบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง =)
ซึ่งสำหรับมือใหม่ เราจะไปดูกำไรที่ไหนกันหล่ะ? ตามไปที่ www.set.or.th (http://www.set.or.th) แล้วพิมพ์ชื่อหุ้นที่ต้องการดูลงในช่อง ‘Get Quote’ ที่มุมบนขวา > พอมาถึงอีกหน้าก็คลิก ‘งบการเงิน/ผลประกอบการ’

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/39/197061/t1-1.jpg)
 
ทีนี้ก็ดูได้ละว่าบริษัทนี้ กำไรเพิ่มขึ้น หรือลดลง เสร็จแล้วอย่าจบแค่นั้นนะ ไม่ใช่กำไรเพิ่มก็ดี กำไรลดก็แย่ เราควรจะเจาะลงต่อว่า กำไรเพิ่มเพราะอะไร ถ้ากำไรลดเป็นเพราะอะไร มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน? แล้วเหตุการณ์ที่ว่านี่มันมีโอกาสเกิดขึ้นอีกมั้ย และมีโอกาสเกิดขึ้นมากแค่ไหน ป้องกันได้รึป่าว? ฯลฯ

2. P/E Ratio อันนี้ถ้าไม่ใช่มือใหม่แกะกล่องจริงๆ ทุกคนต้องรู้จักตัวนี้ มันคือราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้นนั่นเอง อันนี้นานิจะดูว่ามันสูงไปรึยัง ยิ่งสูงยิ่งแปลว่ากำไรมันน้อยเมื่อเทียบกับราคา ซึ่งก็แปลว่าราคาหุ้นนั้นสูงกว่าความเป็นจริง นานิคิดว่าส่วนมาก P/E น้อยกว่า 10-15 นั้นกำลังดี แต่ก็นั่นแหละมันแล้วแต่อุตสาหกรรมเลย นักลงทุนบางคนก็จะมองว่าบางทีกำไรมันอาจจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเค้าก็จะยอมจ่ายซื้อหุ้นที่ราคาแพง เมื่อเทียบกับกำไรปัจจุบัน(P/E สูง) คือบริษัทที่กำลังโตอย่างรวดเร็ว แบบว่ายอดขายโตขึ้น กำไรโตขึ้นทุกปี อย่างนี้ P/E สูงยังพอรับได้ แต่ถ้าบริษัทที่ไม่ได้ขยายเร็วขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้กำไรพุ่งทุกไตรมาส นานิจะไม่ซื้อเด็ดขาดถ้า P/E สูงเกินไป
           ปีที่แล้วนี่ดูจะเป็นช่วง ‘Stock Mania’  คือดูจะราคาพุ่ง คนไล่ซื้อกันเว่อไปหน่อย นานิเคยเห็นบางตัวแล้วช็อค คือ P/E เกือบพัน ยังมีคนไล่ซื้อดันทุลังกันขึ้นไป ตอนนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2556) P/E ประมาณ 1,500 เท่าน่าจะได้


(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/39/197061/t2-1.jpg)
ข้อมูลจาก  www.settrade.com (http://www.settrade.com)


Oh My God!! คือ อ่ะบางคนอาจจะบอกว่า ก็ทุกคนเค้าคาดว่าบริษัทนี้จะได้กำไรเพิ่มขึ้นมาก ในไตรมาสนี้หรือปีนี้ ดังนั้น E ก็จะเพิ่มสูงขึ้น แล้ว P/E ก็จะลดลง แต่ เอาจริงๆถ้าจะคิดเลขกัน เพื่อนๆลองคิดกันเองละกันว่าบริษัทนี้ต้องกำไรเพิ่มขึ้นกี่ % P/E มันถึงจะกลับมาอยู่ต่ำกว่า 50?

วันนี้ฝากไว้เท่านี้ก่อน แล้วเจอกันใหม่นะค้าพร้อมกับเรื่องราวในงบการเงินตอนต่อไปค่ะ ^_^

ผู้เขียน : นานิ นิธินวกร ผู้เขียนหนังสือ “สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ”

สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/onlineinvestor (http://www.set.or.th/onlineinvestor)) 


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 02:12:47 pm
ธปท.ชี้แจง-แบงก์ขายประกัน



เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวสด
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05qRXlPVFl6TXc9PQ==&sectionid=-


เรื่อง ชี้แจงกรณีเรื่องแบงก์กับธุรกิจประกันชีวิต



ตาม ที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ได้นำเสนอข่าว "แบงก์กับธุรกิจประกันชีวิต" คอลัมน์ บ.ก. ตอบจดหมาย หน้า 6 โดยระบุเนื้อข่าวข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของธนาคารและการทำธุรกิจ ประกันชีวิต นั้น



ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอเรียนชี้แจงว่า ปัจจุบันการใช้บริการของลูกค้าธนาคารพาณิชย์มีความต้องการที่หลากหลาย และเพื่อให้เกิดความสะดวกและความคล่องตัวในการทำธุรกรรมของลูกค้า จึงได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตรับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง สามารถทำธุรกิจด้านการเป็นนายหน้าขายประกันชีวิตและประกันวินาศภัยได้ โดยการเสนอขายดังกล่าวจะต้องทำโดยพนักงานที่ได้รับอนุญาตและปฏิบัติตาม ระเบียบหรือหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแล



ธปท.ตระหนักดี ถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการทางการเงิน จึงได้ออกแนวนโยบายการกำกับดูแลการขายผลิตภัณฑ์ด้านหลักทรัพย์และประกันภัย ผ่านธนาคารพาณิชย์ กำหนดไม่ให้เสนอขายประกันเคาน์เตอร์เดียวกับการรับฝากหรือถอนเงินปกติ และจะต้องไม่เป็นลักษณะการบังคับขายที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นมา และให้ธนาคารพาณิชย์รักษาข้อมูลของผู้บริโภคไว้เป็นความลับ และห้ามให้ข้อมูลผู้บริโภคแก่หน่วยงานอื่น รวมถึงบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ เพื่อนำไปใช้เสนอขายบริการอื่น เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากผู้บริโภค



ทั้ง นี้ ตลอดช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ประสานให้ธนาคารพาณิชย์กำกับดูแลให้พนักงานปฏิบัติงานหรือให้บริการ ภายใต้กรอบที่กำหนด โดยเฉพาะให้คำนึงถึงสิทธิของลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการทางการ เงินได้อย่างอิสระ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และสามารถร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม ตลอดจนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาค่าชดเชยหากเกิดความเสียหาย และที่สำคัญ ธปท.ได้สุ่มตรวจสอบในบางพื้นที่ รวมถึงมีการสื่อสารและประสานกับผู้บริหารธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขอความร่วมมือในการดูแลและติดตามการแก้ปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับ การกำหนดเป้าหมายงานของพนักงานธนาคารพาณิชย์ที่มีการผูกโยงกับยอดการขาย ผลิตภัณฑ์ทางด้านประกันภัย



ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการทางการเงินที่ประสบปัญหาจากการใช้บริการทางการเงิน สามารถร้องเรียนมาได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1213



จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอความร่วมมือท่านในการพิจารณานำเสนอคำชี้แจงของ ธปท. เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของสาธารณชน



ขอแสดงความนับถือ



นายนันทวัฒน์ สังข์หล่อ



ผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารสัมพันธ์



ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร



ผู้ว่าการ(แทน)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 08:23:23 am
ใครๆ อาจจะมองว่าเหรียญบาท เหรียญ5บาท มีค่าน้อย แต่ในความเป็นจริงเหรียญกษาปณ์เหล่านี้สามารถใช้ฝากหรือชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไม่ต่างจากธนบัตร เพียงแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องเข้าใจ

วันเสาร์ 2 สิงหาคม 2557 เวลา 05:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/256506/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2!+%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81-


จากกรณีที่มีการแชร์ภาพและข้อความเหรียญผู้ปกครองพาลูกสาววัย5ขวบ นำเงินเหรียญที่หยอดกระปุกได้กว่า6600บาท ไปฝากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธว่าตู้เซฟเต็ม ไม่มีที่เก็บ ให้นำไปธนาคารพาณิชย์อื่นที่อยู่ติดกันนั้น ได้สร้างคำถามให้เด็กน้อยไร้เดียงสาว่า "ทำไมเขาไม่รับฝากเงินหนูคะ" จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และข้อสงสัยในสังคมว่า การรับฝากเหรียญของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันใช้หลักเกณฑ์ใดในการตอบรับหรือปฏิเสธการรับฝาก มีค่าธรรมเนียมการรับฝากอย่างไร และหากธนาคารไม่รับฝากตัวลูกค้าเองจะต้องดำเนินการอย่างไรกับเหรียญที่เหมือนไร้ค่าในปัจจุบันนี้

เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ทราบว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้าไปกำกับดูแลเรื่องการรับฝากหรือไม่รับฝากเหรียญกษาปณ์ของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเป็นการทำข้อตกลงของชมรมธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารจะตั้งหลักเกณฑ์และค่าธรรมเนียมการรับฝากเหรียญกษาปณ์ไว้ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ1ของมูลค่าเหรียญกษาปณ์, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ฝากเงินไม่เกิน 2,000บาท ไม่คิดค่าบริการ หากยอดเงินฝากส่วนที่เกิน2,000บาท คิดร้อยละ1 ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ฝากหรือแลกเงินทั้งหมดตั้งแต่100 เหรียญขึ้นไป, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ไม่เกิน500เหรียญ ไม่คิดค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 501เหรียญขึ้นไป ร้อยละ1ของมูลค่ารวม, ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ2ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน100บาท ยอดเงินฝากต่ำกว่า100บาท ไม่คิดค่าบริการ, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ตั้งแต่ 200เหรียญ ขึ้นไปอัตราค่าบริการร้อยละ2ของจำนวนรวมมูลค่าเหรียญขั้นต่ำ20บาท

ทั้งนี้ กฎกระทรวงได้กำหนดจำนวนเหรียญกษาปณ์ที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย กล่าวคือ เหรียญ1สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน5บาท,เหรียญ5, 10, 25, 50สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน10บาท,เหรียญ1บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาท, เหรียญ5 บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาทและเหรียญ10บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน1,000บาท

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) 1213

หากธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการรับฝากเหรียญ สามารถร้องเรียนมายัง ศคง. โดยส่ง Email มาที่ fcc@bot.or.thและระบุข้อมูลดังนี้

1. ชื่อ – นามสกุลจริงของผู้ร้องเรียน

2. ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดต่อได้

3. สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง

4. รายละเอียดเรื่องร้องเรียน

5. เอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ หากมีเหรียญเป็นจำนวนมาก สามารถรวบรวมเหรียญดังกล่าวไปแลกคืนได้ที่สำนักบริหารเงินตรา กรมธนารักษ์ โทร. 0-2280-7404-8

ขอบคุณข้อมูลจาก -http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=1,http://www.treasury.go.th/ewt_news.php?nid=93&filename=index-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 09:12:54 am
เลือกบัตรเครดิตผิด! ทำไงดี???
 
-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189351.html-

 
         คุณเพิ่งได้รับบัตรเครดิตที่คุณสมัครไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พร้อมวงเงินที่น่าพอใจ ซึ่งอาจจะเป็นบัตรเครดิตประเภทคืนเงิน บัตรเครดิตช้อปปิ้ง บัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ แต่เมื่อคุณใช้ไปได้สักพัก คุณกลับรู้สึกว่า ตายล่ะ! สไตล์การใช้เงินของเราไม่เหมาะกับบัตรเครดิตประเภทนี้เลย ทำอย่างไรดี วันนี้ MoneyGuru.co.th ขอเอาเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสถานการณ์นี้มาฝากกัน
 
 
         วิธีแก้ทั่วไป
         จริงๆ แล้ววิธีแก้ปัญหานั้น จะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเรามีปัญหากับเจ้าบัตรนี้ที่จุดไหน แต่คร่าวๆ ก็คือ เราอยากจะ "ปิดบัตรเครดิต" นั้นทิ้ง แล้วสมัครบัตรใหม่ ซึ่งถามว่าทำได้หรือไม่ ต้องบอกว่าทำได้ แต่สิ่งที่คุณต้องระวังคือ ผลกระทบต่อเครดิตบูโร เพราะเครดิตบูโรที่ดีจะขึ้นอยู่กับความยาวนานของการคงบัญชีบัตรเครดิตเอาไว้ เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการยกเลิกจริงๆ ยิ่งคุณรู้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี หลังจากนั้น รีบเลือกบัตรเครดิตที่ดีที่สุดสำหรับคุณ แล้วสมัครบัตรเครดิตนั้นเสีย และหลังจากนั้น ก็ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย ก็สามารถสร้างเครดิตบูโรให้กลับมาดีตามเดิมได้ หรือถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร การเปิดบัตรเครดิตเพิ่มอีกซักหนึ่งใบ ก็ไม่เสียหายอะไร และอาจจะเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะคุณจะได้รับวงเงินรวมมากขึ้น และการคิดคะแนนเครดิตบูโรอีกส่วนหนึ่งคือ อัตราส่วนยอดการใช้จ่ายต่อวงเงิน เพราะฉะนั้น ยิ่งวงเงินเยอะ ยิ่งดีนั่นเอง
 
         อย่างไรก็ตาม หากมาดูกันเจาะลึกถ้าแต่ละคนมีปัญหากับบัตรเครดิตของตนเองต่างกัน แล้วเราจะแก้อย่างไร?
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตเงินคืน
         คุณได้รับบัตรเครดิตแบบเน้นการคืนเงินจากการช้อปปิ้งมา 1 ใบ และเน้นว่าจะได้มากเมื่อช้อปปิ้งกับศูนย์การค้า A และในเครือเท่านั้น เวลาผ่านไปสองเดือน คุณมีเหตุให้ต้องย้ายบ้าน และในละแวกบ้านคุณไม่มีห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้คุณไม่สามารถช้อปปิ้ง และได้รับเงินคืนอีกต่อไปเหมือนที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้คุณอยากปิดบัตรนั้นเสีย  สำหรับวิธีแก้คือ ลองยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตรดู และเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ธนาคารมักมีปัตรเครดิตเงินคืนมากกว่าหนึ่งบัตร บางทีธนาคารสามารถอณุญาตให้คุณเปลี่ยนบัตรเป็นบัตรประเภทอื่นได้ เพียงแค่คุณต้องระวังในเรื่องค่าธรรมเนียมรายปี อัตราดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากบัตรเดิมแค่นั้นเอง
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ หรือสะสมคะแนน
         ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักมีคนมีปัญหากับบัตรเครดิตแบบสะสมแอร์ไมล์มากขึ้น เพราะอัตราการแลกที่สูงขึ้น หรือข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเวลาแลกจริงๆ เพราะฉะนั้น ทำให้การแลกไมล์ เพื่อได้ตั๋วเครื่องบิน หรือส่วนลดทำได้ยากกว่าเดิม หรือไม่ก็ต้องใช้จ่ายมหาศาล กว่าจะได้ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นซักหนึ่งใบ สิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับบัตรเครดิตสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัลเช่นเดียวกัน ที่ของแต่ละชิ้นที่คุณอยากได้ ต้องใช้คะแนนสูงมากจนแทยจะเป็นลมเลยทีเดียว แล้วแถมบัตรเครดิตพวกนี้ มีค่าธรรมเนียมรายปีแพงเสียด้วยสิ ทำให้คุณกลับมาคิดใหม่ว่า นี่เราทำบัตรเครดิตอันนี้แล้วจะคุ้มค่าจริงหรืออ?
 
         วิธีแก้คือ คล้ายๆ กับข้อแรก คือ ติดต่อกับธนาคาร ลองดูว่าเขาอนุญาติให้คุณสมัครบัตรใหม่ที่อาจจะได้สิทธิพิเศษน้อยลง แต่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีเท่าเดิมได้หรือไม่ ส่วนบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์นั้น ด้วยความที่เป็นบัตรเครดิตประเภทร่วมธุรกิจของธนาคารกับสายการบิน อาจจะเป็นการยากที่คุณจะเปลี่ยนไปสู่บัตรร่วมของสายการบินอื่น แต่คุณอาจเปลี่ยนไปยังบัตรร่วมกับสายการบินเดิม ที่ต่ำลงมา และเสียค่าธรรมเนียมน้อยลง เป็นต้น
 
         หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อบัตรเครดิต เราอยู่ข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 09:14:19 am
 เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล
-k_wuttikul@hotmail.com-


-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189224.html-

 
                           ในขณะที่ “คนแคระทั้งเจ็ด” เป็นเพื่อนตัวเล็กที่แสนดี ผู้ให้ที่พักพิงกับสโนไวท์ เจ้าหญิงน้อยแสนสวยในเทพนิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์ ที่ถูกราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายริษยาในความงามจนหาทางกำจัดเธอทุกวิธี แต่สำหรับ “เงินทองต้องรู้” วันนี้ “คนแคระทั้งเจ็ด” กลับมีความหมายในทางตรงข้าม เพราะหมายถึง “อุปสรรค 7 ประการ” ที่ทำให้หลายคนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข เพราะถูกทำให้ “แคระแกร็น” เสียก่อน
 
                           เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผลวิจัยการเตรียมความพร้อมการวางแผนการเงินของคนวัยทำงาน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน วัตถุประสงค์ก็เพื่อติดตามพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยทำงาน อายุ 40-60 ปี เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมกับวัยเกษียณ
 
                           ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของการนำเสนอผลวิจัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำบทสรุปฉบับย่อ โดยระบุว่า กลุ่มคนทำงานช่วงอายุ 40-60 ปี ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณ และมีอัตราการออมและอัตราการใช้เงินออมอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ซึ่งหากแยกกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม พบว่า เป็นกลุ่มเกษียณสุข 44% เกษียณพอเพียง 27% และเกษียณทุกข์ 29%
 
                           บทวิจัยของ ดร.บุญเลิศ จิตรมณีโรจน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บ่งชี้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตกอยู่ในกลุ่มเกษียณทุกข์จำนวน 29% นั้น มี “ข้อผิดพลาด” ในการวางแผนเพื่อเกษียณอยู่ 7 ประการ ทำให้คนที่อยู่ในวัยนี้มีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ
 
                           “ข้อผิดพลาด” ที่ทำให้เงินออมกลายเป็น “แคระแกร็น” ทั้งเจ็ดประการ คือ เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร มีความมั่นใจมากเกินควร ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร ประมาณอายุคาดเฉลี่ยน้อยเกินควร ออมเงินไว้น้อยเกินควร และเกษียณอายุก่อนกำหนดเร็วเกินควร
 
                           ลองแยกดูทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องแรก “เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร” บทวิจัยระบุว่า คนส่วนใหญ่รู้จักวางแผนการออม ที่มุ่งเน้นการออมเงินในช่วงวัยทำงาน แต่ขาดความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนเกษียณ ซึ่งมุ่งเน้นที่รายได้ในวัยหลังเกษียณ ผลการสำรวจพบว่า คนทำงานช่วงอายุ 21-30 ปี เริ่มวางแผนเกษียณในสัดส่วน 20% อายุ 31-40 ปี สัดส่วน 27% อายุ 41-50 ปี สัดส่วน 35% และอายุระหว่าง 51-60 ปี คิดเป็น 19%
 
                           ดังนั้น อายุเฉลี่ยในการเริ่มวางแผนเกษียณจึงอยู่ที่ 42 ปี ซึ่งช้าเกินไป !
 
                           มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงก่อนอายุ 40 ปี เราอาจให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อเรื่องอื่นก่อน เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน รวมทั้งท่องเที่ยวและสันทนาการ
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 2  การวางแผนด้วยความมั่นใจมากเกินควร เพราะทั้งๆ ที่กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณเลย แต่กลับมั่นใจว่า คุณภาพชีวิตหลังเกษียณจะใกล้เคียงกับปัจจุบัน มีสัดส่วนสูงถึง 43% ส่วนอีก 28% เชื่อว่าคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นกว่าปกติ สิริรวมแล้วกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 71% ขณะที่คนที่ไม่แน่ใจมีจำนวน 22% และคนที่เชื่อว่าชีวิตหลังเกษียณจะแย่กว่าปัจจุบัน มีจำนวนเพียง 7%
 
                           มีผลสำรวจพนักงานชาวอเมริกันจำนวน 1,057 คน เมื่อปี 2552 พบว่า มีเพียง 47% ที่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณ แต่มีคนมากถึง 61% ที่ตอบว่า ตนเองมีความมั่นใจมากและมากที่สุดที่จะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งก็อาจจะสะท้อนได้ว่า “หลักคิด” ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะชาติใด ก็น่าจะใกล้เคียงกัน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 3  ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ทั้งนี้ เพราะกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และละเลยผลของเงินเฟ้อในอนาคต โดยจากผลสำรวจพบว่า ในปัจจุบันกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในหุ้น 11% และเพิ่มเป็น 18% ในวัยเกษียณ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว กฎของการลงทุนในหุ้นข้อหนึ่ง ก็คือ สัดส่วนการลงทุนในหุ้น เท่า 100 ลบด้วยอายุ แปลว่า ยิ่งอายุมากขึ้น สัดส่วนการลงทุนในหุ้นยิ่งควรจะลดลง
 
                           ส่วนข้อผิดพลาดประการที่ 4 ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในปีแรกหลังเกษียณต่อรายได้ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการวางแผนมีค่าเฉลี่ยเพียง 34% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ 70% ซึ่งเป็นค่าขั้นต่ำที่นิยมใช้ในการวางแผนทางการเงิน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 5  การประมาณอายุขัยเฉลี่ยน้อยเกินควร โดยอายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศชาย คือ 76.5 ปี ซึ่งมากกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรชายไทยซึ่งอยู่ที่ 74 ปี ดังนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพชีวิต เพราะพยายามใช้เงินในช่วงหลังเกษียณน้อยๆ เพื่อจะได้มีเงินใช้ตลอดช่วงอายุ ขณะที่อายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง คือ 76.6 ปี น้อยกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรหญิงไทยซึ่งอยู่ที่ 79 ปี ดังนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากการมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เงินออมเพื่อเกษียณหมดก่อนสิ้นอายุขัย เพราะพวกเธอคิดว่า อายุจะสั้น ทั้งๆ ที่จริง อายุคาดเฉลี่ยของผู้หญิงยืนยาวกว่านั้น
 
                           มาถึงข้อผิดพลาดประการที่ 6  การออมเงินไว้น้อยเกินควร ถ้าพิจารณาสินทรัพย์เพื่อการเกษียณไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ แต่ถ้ารวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมเพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           และข้อผิดพลาดประการสุดท้าย  การเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยพบว่า 28% ของกลุ่มตัวอย่างต้องการเกษียณก่อนกำหนด แต่ผู้ที่ต้องการเกษียณก่อนกำหนดส่วนใหญ่มีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           บทวิจัยยังปิดท้ายด้วยการสรุปว่า กลุ่มของผู้ตอบที่มีโอกาสเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ ได้แก่ 1.เพศหญิง อายุ 51-60 ปี 2.เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เลย  และ 3.เป็นกลุ่มที่ขาดการได้รับความรู้หรือขาดความเข้าใจหรือไม่เคยวางแผนเกษียณ
 
                           ส่วนตัวแล้วเกลียดคำว่า “มนุษย์ป้า” เพราะรู้สึกไม่แฟร์กับคนที่ไม่ได้ตั้งใจมีพฤติกรรมเบียดเบียนหรือเบียดบังคนอื่น แต่อาจจะทำอะไรไม่ถูกที่ถูกทาง เพราะความ “ไม่รู้” กฎกติกามารยาทที่ “คนรุ่นใหม่” สร้างขึ้น แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเขียนมาถึงย่อหน้าสุดท้ายก็อดนึกถึง “มนุษย์ป้ากับคนแคระ (แกร็น) ทั้งเจ็ด” ไม่ได้
 

-------------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล -k_wuttikul@hotmail.com-)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 07, 2014, 10:16:08 pm
“เครดิตบูโร” ปล่อยผีลูกหนี้รายย่อย 6 แสนรายเฮ 8ปี ปลดพ้นแบล็กลิสต์

-http://money.sanook.com/204329/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-6-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE-8%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C/-


เครดิต บูโรปล่อยผี ลูกหนี้รายเล็กเบี้ยวหนี้เกิน 8 ปี วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท โละชื่อออกจากฐานข้อมูล เตรียมออกประกาศ กันยายนนี้ เผยลอตแรก 6 แสนราย ย้ำชัดแค่ถอนชื่อออก แต่ภาระหนี้ยังมีอยู่ ฟากนายแบงก์ยันรับมาตรการนี้ได้ ชี้ดูรายได้ปัจจุบัน-ภาระหนี้เป็นหลัก

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (กคค.) ซึ่งมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน กำลังพิจารณาเตรียมออกประกาศฉบับใหม่ เกี่ยวกับเรื่องการจัดเก็บข้อมูลของเครดิตบูโร โดยจะให้ถอนชื่อลูกหนี้รายย่อยที่ผิดนัดชำระเกิน 8 ปี และมีมูลหนี้ไม่เกิน 10,000 บาทออกจากฐานข้อมูลเครดิตบูโร เนื่องจากที่ผ่านมา สถาบันการเงินจะแจ้งข้อมูลสถานะเครดิตของลูกหนี้เข้ามารวมไว้ที่เครดิตบูโร ย้อนหลังได้ถึง 36 เดือน ซึ่งในรายที่มีสถานะผิดนัดชำระ และยอดหนี้ น้อยมาก ไม่เกิน 10,000 บาท สถาบันการเงินก็มักจะไม่ยื่นฟ้องดำเนินคดี เพราะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย แต่จะแสดงการค้างชำระต่อไปเรื่อย ๆ

จากการตรวจสอบพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดความผิดพลาดของลูกหนี้ และมีบางส่วนที่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งขายหลักทรัพย์มาใช้หนี้แล้วแต่ยังเหลือเงินค้างบางส่วน ทั้งธนาคารและลูกหนี้ก็ไม่ได้ติดตามหนี้กันมานาน แต่ยังมีรายงานสถานะเครดิตว่าผิดนัดชำระมาตลอด จึงเป็นเหตุให้ลูกหนี้เหล่านี้ไม่สามารถกลับเข้ามาใช้บริการสินเชื่อในระบบ ได้ และต้องหันไปหาสินเชื่อนอกระบบแทน ซึ่งเป็นนโยบายที่ภาครัฐและ ธปท.พยายามแก้ไขอยู่

"ประกาศฉบับนี้เหมือนเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชน ที่เคยมีปัญหาข้อมูลค้างในเครดิตบูโรมายาวนาน ซึ่งคณะกรรมการมองแล้วว่า สมควรแก่เหตุ เนื่องจากเป็นลูกหนี้รายเล็กที่มียอดหนี้ผิดนัดชำระน้อยมาก ไม่เกิน 10,000 บาท เพื่อให้สามารถกลับตัวและมีโอกาสเข้ามาใช้บริการสินเชื่อในระบบได้อีกครั้ง" นายสุรพลกล่าว

ทั้งนี้ คาดว่ามีลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวประมาณ 6 แสนราย จากจำนวนลูกหนี้ที่อยู่ในฐานข้อมูลเครดิตบูโรกว่า 27 ล้านราย คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้ กคค.น่าจะออกประกาศดังกล่าวได้

ก่อนหน้า นี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ได้ให้คณะกรรมการไปศึกษาแนวทางจัดการปัญหาลูกหนี้รายเล็กที่มีข้อมูลค้าง ชำระเป็นเวลานาน ซึ่งพบว่าในหลายประเทศใช้วิธีกำหนดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลเอาไว้เช่นกัน กรณีประเทศสหรัฐอเมริกาจัดเก็บข้อมูลไว้เพียง 7 ปี หากเจ้าหนี้ไม่ดำเนินการแก้ไขก็จะถอดข้อมูลออกจากเครดิตบูโร ขณะที่ประเทศอังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่เก็บข้อมูลไว้เพียง 6 ปีเท่านั้น

นาย สุรพลย้ำว่า การถอนรายชื่อลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ตามประกาศที่จะออกมาดังกล่าวนั้น เป็นการถอนออกจากฐานข้อมูลของเครดิตบูโรเท่านั้น มิได้หมายความว่าหนี้สินต่าง ๆ ที่ลูกหนี้ค้างอยู่กับสถาบันการเงินจะหมดสิ้นไปด้วย ลูกหนี้ยังคงมีภาระใช้คืนหนี้เช่นเดิม เพียงแต่จะไม่ได้แสดงรายการข้อมูลนี้ในเครดิตบูโร หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางสถาบันการเงินว่าจะไปดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งอาจตัดเป็นหนี้สูญ ขายหนี้ออกให้บริษัทรับจ้างติดตามหนี้ หรือยื่นฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี

ด้านนายฐากร ปิยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด (กรุงศรี คอนซูเมอร์) กล่าวว่า การแก้กฎหมายดังกล่าว คงไม่กระทบต่อการทำงานของสถาบันการเงินจนเกิดความเสี่ยงเร่งตัวขึ้นอย่างมี นัยสำคัญ เนื่องจากปกติบริษัทก็ปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าที่มีประวัติการค้างชำระหนี้ใน เครดิตบูโรอยู่แล้ว หากสามารถพิสูจน์เจตนาได้ และคุณสมบัติทางการเงินอื่น ๆ ผ่านเกณฑ์

ส่วนการบริหารจัดการลูกหนี้กลุ่มนี้ หากพบว่ามีมูลหนี้น้อยกว่า 1,000 บาท ค้างชำระมาหลายปี บริษัทจะตัดเป็นหนี้สูญเลย แต่ถ้าเกินนั้นก็จะติดตามหนี้ตามปกติ แต่ก็ต้องดูว่าคุ้มค่ากับต้นทุนค่าติดตามทวงหนี้หรือไม่ หรือบางรายอาจขาดทุนด้วยซ้ำ โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้เสียสินเชื่อบัตรเครดิตประมาณ 1.3-1.4% ของสินเชื่อรวม ขณะที่หนี้เสียสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3.2-3.3%

"ถ้า เครดิตบูโรล้างหนี้ให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เราก็จะมีประวัติลูกค้ากลุ่มนี้แค่ในส่วนที่เป็นลูกค้าของเรา หากลูกค้าสถาบันการเงินอื่นที่เคยถูกล้างชื่อไปแล้วมาขอ เราไม่มีประวัติก็อาจเป็นความเสี่ยงได้ แต่ก็คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบมากมายนัก"

ส่วนนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของเครดิตบูโรดังกล่าว เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่ลูกหนี้ไม่มีเจตนาที่จะค้างชำระหนี้ แต่ช่วงหนึ่งอาจประสบปัญหาในชีวิต ซึ่งการล้างข้อมูลดังกล่าวก็เหมือนเป็นการให้โอกาสกับเขากลับเข้ามาสู่ระบบ การเงินได้อีกครั้ง ปกติธนาคารจะดูข้อมูลเครดิตบูโร 3 ปีย้อนหลัง ทั้งประวัติการชำระหนี้ ประกอบกับหน้าที่การทำงาน รายได้ หนี้ต่อรายได้ หากผ่านเกณฑ์ก็ปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว

ขณะที่นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเช่นกันว่า ส่วนใหญ่ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากความสามารถของลูกค้าเป็นหลัก หากเครดิตบูโรต้องการล้างรายชื่อลูกหนี้รายเล็ก ๆ ที่ผิดนัดชำระมานานออกไปจากระบบ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคล ซึ่งธนาคารกำหนดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำไว้ที่ 15,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้วเป็นกลุ่มที่มีความสามารถชำระหนี้ดีพอ มีแรงต้านทานพอสมควรหากปัจจัยทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ปัญหาการผิดนัดชำระจำนวนเงินเล็กน้อยไม่น่าจะมีนัยมากนัก

http://money.sanook.com/204329/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-6-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE-8%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C/ (http://money.sanook.com/204329/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-6-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE-8%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 09, 2014, 07:18:16 pm



 วิธีสังเกตธนบัตร

-http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/production_and_security/Pages/identify.aspx-


          ธนบัตรเป็นสิ่งพิมพ์มีค่าประเภทหนึ่ง มีความพิเศษแตกต่างจากสิ่งพิมพ์มีค่าประเภทอื่น เพราะนอกจากลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงที่ต้องบรรจุไว้ในพื้นที่พิมพ์อันจำกัดแล้ว ลวดลายในธนบัตรยังต้องมีคุณค่าทางศิลปะ มีความประณีตสวยงาม และเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย  ดังนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือสมเป็นสื่อกลางสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยน ธนบัตรต้องมีลักษณะพิเศษที่ยากต่อการปลอมแปลง แต่ประชาชนสามารถสังเกตจดจำได้ดี และแยกแยะความแตกต่าง ด้วยวิธีสังเกตง่าย ๆ ๓ วิธี ได้แก่ สัมผัส  ยกส่อง และพลิกเอียง

          อย่างไรก็ดี เพื่อความมั่นใจจึงควรสังเกตจุดสำคัญต่าง ๆ บนธนบัตรอย่างน้อย ๓ จุด ขึ้นไป สำหรับธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบัน มีรายละเอียดการสังเกต  ดังนี้


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2984;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=2986;image)


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2014, 08:52:01 pm
6 มาตรการปลอดภัย เมื่อใช้แอพธนาคารผ่านสมาร์ทโฟน
โพสต์เมื่อ : 1 สิงหาคม 2557 เวลา 16:21:57

-http://money.kapook.com/view94837.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           วิธีใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนอย่างปลอดภัย ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขนาดนี้ ความปลอดภัยในการใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนก็เป็นเรื่องที่ควรศึกษาไว้ก่อน

           เมื่อมีสมาร์ทโฟนเกิดขึ้นในโลกใบกลม ๆ พร้อมด้วยเทคโนโลยี 3G ก็เอื้อให้เราโหลดแอพพลิเคชั่นชนิดต่าง ๆ มาใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันใจ ลดภาระให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปทำธุรกรรมที่ไหนให้เหนื่อย อย่างตอนนี้เพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นของธนาคารที่เราฝากเงินไว้ ก็สามารถทำธุรกรรมได้แทบจะทุกอย่าง เสมือนได้ไปธนาคารด้วยตัวเองจริง ๆ ทว่ากระแสข่าวเรื่องการโจรกรรมข้อมูลและเงินผ่านแอพลิเคชั่นที่เคยเกิดขึ้น ก็อาจทำให้หลายคนไม่กล้าจะทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารเลยสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นเพื่อความมั่นใจ ลองมาดู 6 มาตรการความปลอดภัยในการใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนกันก่อนดีกว่า

1. ดาวน์โหลดจากลิงก์ในเว็บไซต์หลักของธนาคาร

           ในเมื่อแอพพลิเคชั่น ใน App Store หรือ Google Play ยังปะปนไปด้วยแอพพลิเคชั่นปลอมอยู่บ้าง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราควรดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นธนาคารจากลิงก์ในเว็บไซต์หลักของธนาคารที่มักจะแปะไว้ให้ลูกค้ามาดาวน์โหลด อีกทางหนึ่งก็สามารถไหว้วานให้พนักงานธนาคารดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นให้เลยก็ได้ จะได้มั่นใจว่าเราดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นธนาคารของจริงมาใช้งาน

2. หมั่นอัพเดทแอพพลิเคชั่นเสมอ

           เมื่อดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นมาใช้งานแล้วก็ใช่ว่าจะแล้วกันไปนะคะ แต่เราต้องคอยตรวจสอบเวอร์ชั่นล่าสุดของแอพพลิเคชั่นบ่อย ๆ แล้วจัดการอัพเดทแอพของเราให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ด้วย เพราะสาเหตุที่เขาต้องอัพเดทเวอร์ชั่นแอพอยู่ตลอด ก็เพื่อแก้ปัญหาและจุดด้อยทางเทคนิค หลีกเลี่ยงการเจาะเข้าถึงข้อมูลของพวกมิจฉาชีพนั่นเอง

3. เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ

           ขั้นแรกคุณควรจะตั้งรหัสผ่านหรือพาสเวิร์ดที่เดายากเอาไว้ก่อน เหล่า วัน/เดือน/ปี เกิดพยายามอย่าเอามาตั้งเป็นรหัสผ่านเลยดีกว่า แต่แนะนำให้นำเอาเลขสำคัญ ๆ ของหลาย ๆ คนมาผสมกัน เพื่อสร้างความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ก็ควรเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ แต่ทั้งนี้คุณเองก็ควรจดจำรหัสผ่านของตัวเองให้แม่นด้วยนะคะ

4. เข้าแอพพลิเคชั่นด้วยอินเทอร์เน็ตส่วนตัวเท่านั้น

           แอพพลิเคชั่นของบางธนาคารจะตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในการใช้งานให้เราโดยอัตโนมัติ ด้วยการบล็อกไม่ให้เข้าใช้งานหากตรวจจับได้ว่าเรากำลังใช้งาน Wifi สาธารณะอยู่ หรืออาจมีข้อบังคับให้ต้องใช้สัญญาณ 3G และ 4G เพื่อเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น ทว่าแอพพลิเคชั่นจากบางธนาคารก็เปิดให้เข้าใช้งานด้วย Wifi ได้สบาย ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลตัวคุณเอง ควรตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้งว่า กำลังจะเข้าถึงข้อมูลบัญชีธนาคารของตัวเองด้วยสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ใช่สัญญาณ Wifi

5. เก็บรักษาสมาร์ทโฟนให้ดี

           บ่อยครั้งที่เราได้ข่าวว่าข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลสู่สาธารณะเพราะโทรศัพท์ถูกมือดีขโมยไป ฉะนั้นเราก็ควรก็บรักษาโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนให้ดี ๆ โดยเฉพาะคนที่บันทึกข้อมูลส่วนตัวสำคัญ ๆ ไว้ในสมาร์ทโฟนหลายอย่าง ก็ยิ่งต้องระวังสมาร์ทโฟนสูญหายให้มาก เพราะแม้ว่าแอพพลิเคชั่นธนาคารในสมาร์ทโฟนจำเป็นต้องล็อกอินเข้าไปใหม่ทุกครั้ง ทว่าโจรอาจล็อกอินเข้าสู่ระบบแอพพลิเคชั่นธนาคารได้ง่าย ๆ ด้วยการปะติดปะต่อข้อมูลที่เราบันทึกไว้ในโทรศัพท์ได้

6. เคลียร์ข้อมูลส่วนตัวออกจากสมาร์ทโฟน

           อย่างที่บอกไปแล้วว่าหากโทรศัพท์มือถือหายไป ก็อาจจะเป็นได้ที่โจรจะนำข้อมูลที่เราบันทึกไว้ในสมาร์ทโฟนไปใช้ทำธุรกรรมอื่น ๆ ได้อย่างหวานหมู ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เราก็ไม่ควรบันทึกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น เลขประจำตัวประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ไว้ในสมาร์ทโฟน พร้อมกันนั้นก็ควรต้องล็อกเอาท์ทุกครั้งหลังเลิกใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคาร อีเมล และโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกชนิดด้วย


           อย่างไรก็แล้วแต่ก็ต้องขอบคุณความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในยุคนี้ ที่มีขีดความสามารถในการอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขึ้นทุกวัน เพียงแค่เราเองก็ต้องตามให้ทันเทคโนโลยีและใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดด้วยเท่านั้นเองนะคะ


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 09:18:56 am
ทำไมบางร้านต้องกำหนดขั้นต่ำรูดบัตรเครดิต???

-http://money.sanook.com/207253/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95/-




คุณอยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง คุณกำลังจะจ่ายเงินซื้อสินค้าราคาราว 300 บาท คุณกำลังหยิบบัตรเครดิตใบโปรดขึ้นมาจ่าย เพราะคุณไม่อยากใช้เงินสด และอยากสะสมแต้ม ยังไม่ทันที่คุณจะยื่นบัตร พนักงานก็บอกคุณว่า ทางเรารับบัตรเครดิตขั้นต่ำ 500 บาทนะคะ คุณประหลาดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากก้มหยิบเงิน จ่ายเงิน และรีบออกจากร้านไป วันนี้ MoneyGuru.co.th จะมาไขข้อสงสัยให้คุณว่า ทำไมบางร้านถึงกำหนดขั้นต่ำการรูดบัตรเครดิต ซึ่งเราเห็นกันอย่างหลากหลายในปัจจุบัน ตั้งแต่ 300 500 800 หรือบางร้านกำหนดไว้สูงถึง 1,500 บาท ถึงจะรูดบัตรเครดิตได้


(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/41/207253/mon15087.jpg)

คำตอบง่ายๆ คือ ทุกอย่างมีต้นทุน และการให้บริการบัตรเครดิตแก่ลูกค้า หมายถึงต้นทุนต่อสินค้าที่เพิ่มขึ้นของคนขาย กล่าวคือ สินค้าชนิดเดียวกัน แทนที่เขาจะได้กำไรส่วนต่างเต็มๆ เหมือนกับการเก็บเงินสด เขาต้องได้กำไรลดลงนั่นเอง ซึ่งต้นทุนตรงนั้น มาในส่วนของค่าธรรมเนียมที่ทางร้านจะต้องจ่ายให้กับธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ราว 2-3% ของยอดในการรูดแต่ละครั้ง

เพราะฉะนั้น หากมองในฐานะที่เราเป็นผู้ประกอบการ สินค้าที่ราคาไม่แพง นั่นหมายถึงสินค้าที่เราได้กำไรส่วนต่างไม่มากอยู่แล้ว และหากต้องเสียค่าธรรมเนียมอีก คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ และสมเหตุสมผลเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม  อาจขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ประกอบการและร้านค้าด้วย หากสัดส่วนกำไรมากอยู่แล้ว การให้บริการบัตรเครดิต อาจจะกลายเป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากกว่าขาดทุน หรือกำไรน้อยลง เพราะอย่างไรเสีย จากการวิจัยได้บอกว่า ผู้คนเลือกที่จะใช้บัตรเครดิตมากกว่าเงินสดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็น เป็นสินค้าฟุ้มเฟือย อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ สิ่งเหล่านี้ หากคุณให้บริการบัตรเครดิต อาจช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายมากขึ้น จากการดึงดูดลูกค้าที่อยากใช้บัตรเครดิตมากกว่า เป็นต้น หรือไม่ก็ หากคุณไม่ให้บริการบัตรเครดิต คุณอาจจะเสียลูกค้าให้คู่แข่งของคุณที่เลือกให้บริการด้วยบัตรเครดิตนั่นเอง

ผลักภาระให้ผู้ซื้อ
จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้บางร้านตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยการคิดค่าธรรมเนียม 2-3% จากลูกค้า หากตัดสินใจที่จะซื้อด้วยบัตรเครดิตแทน เพื่อผลักภาระ เราจะเห็นได้บ่อยในเอเจนซีซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือร้านอาหารแพงๆ บางร้าน ซึ่งสุดท้ายก็มักจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการกระทำดังกล่าว

แล้วจริงๆ มีการกำหนดขั้นต่ำในการรูดบัตรหรือไม่??
คนที่ดูแลนโยบายด้านนี้ไม่ใช่ธนาคาร แต่คือ เครือข่ายให้บริการบัตรเครดิต ได้แก่ Visa MasterCard Amex หรือ JCB ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่มีการกำหนดขั้นต่ำในการรูดบัตรเครดิตใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายอำนาจจึงตกอยู่ในมือของคนขายเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องการจะให้บริการในส่วนนี้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากเราได้เข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องกำหนดขั้นต่ำ ก็อาจจะทำให้เราอารมณ์เสียน้อยลงเวลาถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้บัตรเครดิตก็เป็นได้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสมัครบัตรเครดิต เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่  -www.moneyguru.co.th-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 11:43:36 am
ภาษีอากรจากการลงทุนในตราสารหนี้


-http://money.kapook.com/view95240.html-



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

          สำหรับนักลงทุนสิ่งสำคัญที่ควรรู้และศึกษาข้อมูลให้ดี ก็คือ การเสียภาษีอากร จากการลงทุนในตราสารหนี้นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้ หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่ทราบข้อมูล หรือคนที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาฝากให้ทำความเข้าใจกันค่ะ

          รายได้ที่เกิดจากการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ดอกเบี้ยรับ กำไรจากการขายตราสารหนี้ และเงินได้จากส่วนลดของตราสารหนี้ที่เกิดขึ้น เมื่อมีการซื้อ-ขายครั้งแรกจากผู้ออกตราสารหนี้ โดยอัตราและวิธีการเสียภาษีของเงินได้ดังกล่าว แยกตามประเภทของผู้ที่ได้รับเงินได้ว่า เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล และยังแบ่งประเภทย่อยเป็นต่างประเทศและในประเทศ

          ท่านนักลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาในประเทศ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้ทุกประเภท และมีสิทธิเลือกนำไป รวมคำนวณภาษี ณ สิ้นปีได้

          นิติบุคคลในประเทศ ให้นำรายได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษี ตามอัตราที่ตนเสียภาษี โดยอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1 สำหรับ นิติบุคคลบางประเภท และในกรณีที่เป็นสถาบันการเงิน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.3 ของเงินได้ประเภทดอกเบี้ยและเงินได้จากส่วนลด โดยรายละเอียดของอัตราภาษีแต่ละประเภท ปรากฏในตารางต่อไปนี้

          1. อัตราภาษีของบุคคลธรรมดา (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549)

(http://img.kapook.com/u/thachapol/b999999999999999999999999999/v01.jpg)

          2. อัตราภาษีของนิติบุคคล (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549)

(http://img.kapook.com/u/thachapol/b999999999999999999999999999/a02.jpg)

          หมายเหตุ : กรณีนักลงทุนต่างประเทศ (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ได้รับยกเว้นภาษีจากเงินได้ที่ได้รับจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่ออกโดยรัฐบาล องค์การของรัฐบาล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรมข้างต้นนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายของภาครัฐและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีได้ที่ www.rd.go.th (http://www.rd.go.th)




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 01:11:10 pm

ทำไมใช้บัตรเดบิต ไม่ช่วยสร้างเครดิตบูโร?
-http://www.komchadluek.net/detail/20140815/190205.html-

 
                           คุณคงเคยได้ยินใช่หรือไม่ว่า การมีเครดิตบูโรที่ดี จะทำให้การเงินของคุณในอนาคตเป็นเรื่องหายห่วง จะกู้สินเชื่อ สมัครบัตรเครดิต ขอวีซ่าไปประเทศใหญ่ๆ ก็ง่ายไปหมด เพราะมันถือว่าคุณเป็นคนมีเครดิตดี มีการเงินที่มั่นคง ประเด็นที่ MoneyGuru.co.th จะหยิบยกวันนี้ก็คือ หากวันนี้คุณเลือกที่จะใช้บัตรเดบิต เป็นวิธีในการใช้จ่ายเป็นหลัก คุณกำลังพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างเครดิตบูโรที่ดีให้กับตัวคุณเอง และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เรามาดูกัน
 
 
                           บัตรเดบิต กับ บัตรเครดิต ทำงานต่างกัน!
 
 
                           หลายคนคิดว่า บัตรทั้งสองใบ ก็รูดใช้จ่ายเหมือนกัน แต่ทำไมบัตรเครดิตช่วงสร้างเครดิตบูโรได้ แต่อีกใบไม่สามารถทำได้ คำตอบก็คือ การทำงานของทั้งสองประเภทที่แตกต่างกัน เมื่อคุณใช้บัตรเดบิต คุณต้องมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงพอที่คุณจะซื้อของนั้นๆ คุณจะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ โดยเงินจะถูกหักออกไปในทันทีที่คุณใช้จ่าย
 
                           ในขณะที่ บัตรเครดิต ไม่ใช่ บัตรเครดิตทำงานในลักษะณะที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินในบัญชี แต่คุณมีสิ่งที่เรียกว่า "เครดิตวงเงิน" ที่ธนาคารเห็นว่าสถานะทางการเงินระดับคุณ รายได้ระดับคุณ สามารถมีวงเงินได้เท่าไหร่ และหลังจากนั้น คุณก็นำบัตรเครดิตไปรูดใช้จ่ายได้ เปรียบเสมือน "การยืมเงินธนาคารทุกๆ ครั้งที่คุณใช้จ่าย" นั่นเอง
 
 
                           เมื่อไม่ใช่การยืม เครดิตบูโร ก็ไม่เกิด!!
 
 
                           บางคนอาจจะคิดว่า มันไม่ตลกหรอ ที่เราก็มีเงินซื้อของอยู่ ทำไมเราต้องไปยืมธนาคารมาจ่ายแทนเราก่อนล่ะ เราก็ใช้เงินเราไม่ดีกว่าหรือ? คำตอบคือ ไม่ การที่เรายืมเงินธนาคารมาใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับเราในการยืมเงินธนาคารก้อนใหญ่มาใช้จ่ายในอนาคต หากจำเป็น เช่นการซื้อบ้าน ซื้อรถ เพราะอะไร? เพราะถ้าเราไม่เคยยืมเงินธนาคารเลย ไม่ว่าจะมาก จะน้อย ธนาคารไม่สามารถประเมิน หรือไม่มีประวัติเราอยู่ในระบบเลยว่าเราจะสามารถเป็นลูกหนี้ของธนาคารได้ดีแค่ไหน มีความรับผิดชอบทางการเงินมากแค่ไหน
 
                           เพราะฉะนั้น การใช้บัตรเครดิต คือวิธีการที่ง่ายที่สุดที่คุณจะสร้างประวัติเครดิตของคุณ เพียงแค่คุณใช้จ่ายปกติ เพียงแต่หันมาใช้บัตรเครดิต แทนที่จะเป็นบัตรเดบิต เมื่อถึงรอบบิล คุณก็ชำระบิลบัตรเครดิตเต็มจำนวนในทุกเดือน คุณก็สามารถสร้างเครดิตได้ง่ายๆ แล้ว
 
                           อย่างไรก็ตามหากคุณคิดว่า การใช้บัตรเครดิตเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่งต่อการเป็นหนี้มากเกินไป และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เครดิตบูโรในอนาคตอยู่แล้ว คุณไม่มีแพลนจะขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ การใช้บัตรเดบิตเพื่อตัดปัญหาเสียแต่ต้นลม ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณยังมีความไม่แน่ใจว่าคุณต้องใช้เครดิตบูโรหรือไม่ การเริ่มสร้างเสียตั้งแต่วันนี้ ก็ไม่น่าจะเสียหลายอะไร
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 17, 2014, 08:38:40 am
กลับบ้านตรงเวลา... ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ?

-http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1408180959#-

คอลัมน์ เอชอาร์ คอร์เนอร์ ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com (http://tamrongsakk.blogspot.com)

พนักงานที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึก ๆ เป็นคนทุ่มเทให้กับงานจริงหรือครับ ?

หัวหน้างานหลายคนมักจะนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องสำคัญในการพิจารณาช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสเสียด้วยสิ

หลักคิดก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก ใครกลับดึกคนนั้นอุทิศตัวให้กับงาน ใครกลับเร็ว (หมายถึงพอถึงเวลาเลิกงานแล้วสักพักก็กลับบ้าน
ไม่ได้หมายถึงกลับก่อนเวลาเลิกงานนะครับ) ก็แสดงว่าคนคนนั้นไม่สู้งาน ไม่ขยัน ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ฯลฯ แล้วแต่สารพัดข้อหาจะยัดเยียดให้

หัวหน้าหลายคนที่มีความคิดทำนองนี้มักจะเรียกลูกน้องประชุมช่วงใกล้ ๆ จะเลิกงานอยู่เป็นประจำ
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อง (บางคน) กลับบ้านเร็วเกินไป
และการประชุมก็มักจะลากยาวไปจนค่ำ ๆ เสียด้วย

ท่านเคยเจอหัวหน้างานทำนองนี้บ้างไหมครับ ?

ผมว่าปัญหาทำนองนี้เป็นปัญหาในเรื่องของวิธีคิดแบบเชื่อมโยงตรรกะที่อาจจะจริง หรือไม่จริงก็ได้
ซึ่งความคิดทำนองนี้ก็เลยทำให้เกิดค่านิยมบางอย่างในตัวคนขึ้นมา ยิ่งถ้าคนคนนั้นได้เป็นหัวหน้า
หรือเป็นผู้บริหารแล้วยังมีวิธีคิดแบบรวบยอดที่อาจจะไม่ถูกต้องทำนองนี้ ย่อมจะทำให้คนที่เป็นลูกน้องอึดอัดหาวเรอ เผลอ ๆ นั่งเซ็งกันได้เป็นธรรมดา

ส่วนลูกน้องที่ "ทำงานเป็น" รู้ว่าหัวหน้าชอบคนกลับดึก ๆ ก็มักจะดึงเชิงในช่วงเวลางาน คือในชั่วโมงทำงานก็ทำแบบเนียน ๆ เรื่อย ๆ
จะได้มีอะไรเอาไว้ทำตอนหลังเลิกงาน บางคนอาจจะคิดว่ากลับค่ำ ๆ ดึก ๆ หน่อยก็ดี รถจะได้ไม่ติดมาก ก็นั่งเล่น Facebook ไปตอนที่หัวหน้าไม่ได้เดินมาตรวจงาน
พอหัวหน้าเดินมาก็ทำเป็นเอางานขึ้นมาทำ ฯลฯ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน

เรามาลองดูอีกมุมหนึ่งไหมครับว่า การมีค่านิยมให้ลูกน้องกลับบ้านดึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องก็เคลียร์งานหมดแล้ว บริษัทจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง

1.ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ในกรณีที่หัวหน้าสั่งให้ลูกน้องทำงานหลังเวลาทำงานปกติ ซึ่งบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้

2.ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าโทรศัพท์ ที่บริษัทต้องจ่าย เพราะการที่พนักงานอยู่หลังเวลางาน หน่วยงานนั้น ๆ ยังต้องเปิดไฟแสงสว่าง,
เปิดแอร์, พนักงานยังต้องไปเข้าห้องน้ำใช้น้ำใช้กระดาษทิสชู, ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร, เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ (แต่อาจเล่น Facebook ส่วนตัว),
โทรศัพท์คุยกับคนที่บ้าน ฯลฯ ลองให้ฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายหลังเวลางานดูสิครับว่า วัน ๆ หนึ่งหรือเดือน ๆ หนึ่งคิดเป็นเงินกี่บาท ปีละกี่บาท

3.พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง "Work Life Balance" ที่ต้องเสียไป กว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมง
หลายคนต้องมีครอบครัวต้องดูแล การพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เสียสุขภาพในระยะยาว
บริษัทอาจจะมีคนขี้โรคเพิ่มมากขึ้นจากการไม่สมดุลชีวิตกับการทำงาน คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร (ขนาดเครื่องจักรยังต้องมีการพักซ่อมบำรุงเลย)
ต้องมีการพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่โหมงานดึกทุกวันทุกเดือนตลอดทั้งปี

4.จากผลกระทบข้อ 3 พนักงานบางคนมีปัญหาครอบครัว เช่น ภรรยา (บางคนที่ทำตัวเป็นฝ่ายสืบสวน)
จะคอยซักถามว่าทำไมสามีกลับบ้านดึก มีกิ๊กหรือเปล่า แล้วก็ทะเลาะกัน หรือลูกไม่มีใครดูแลทำให้เป็นเด็กติดเกม ฯลฯ
ซึ่งปัญหาครอบครัวเหล่านี้หลายครั้งจะกลับมาเป็นปัญหาในเรื่องงาน

เพราะเมื่อพนักงานเครียดเรื่องครอบครัวก็เลยทำให้เซ็ง เบื่อ ไม่อยากทำงานไปเลยก็มี
อย่าลืมว่าแต่ละคนล้วนมีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก หรือมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว
จึงจำเป็นต้องมีชีวิตส่วนตัวและครอบครัวด้วยนะครับ

5.พนักงานที่รับแนวคิดทำนองนี้ไม่ได้ (โดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงพวก Gen Y)
จะมองว่าหัวหน้าเป็นพวกบริหารเวลาไม่ดี ครอบครัวมีปัญหา โลกแคบเพราะมีแต่ที่ทำงานไม่รู้จักไปสังคมสังสรรค์ซะบ้างเลย ฯลฯ
ก็เลยลาออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า บริษัทก็จะต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์หาคนมาแทนกันอีก

ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน แถมเมื่อได้คนมาแทนแล้วอีกไม่นานก็มีแนวโน้มจะทำให้พนักงานใหม่ลาออกอีกเช่นเคย
เพราะรับค่านิยมแบบนี้ไม่ได้ ยิ่งบางแห่งทำงานสัปดาห์ละ 6 วันแล้วต้องกลับดึก ๆ ทุกวันจะพบว่าอัตราการลาออกสูงเพราะสาเหตุนี้แหละครับ

ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้ท่านทำงานกันไปวัน ๆ โดยคอยจ้องนาฬิกาว่าพอถึงเวลาเลิกงานก็รีบกระโจนไปรูดบัตรออกจากบริษัททันทีนะครับ !

เพียงแต่อยากจะให้ข้อคิดว่า ในการทำงานนั้นเขาให้เวลาทำงานกัน 8 ชั่วโมงต่อวัน เราก็ควรจะทำให้เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มที่กับมัน
บริหารเวลาให้ดี ทำงานให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หรือควบคุมดูแลงานของเราให้ดีในแต่ละวัน
และมีเวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง, ออกกำลังกายบ้าง, พักผ่อนบ้าง ฯลฯ เพื่อสมดุลชีวิตไม่ให้บ้างาน (Workaholic มากจนเกินไป)

แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานด่วน งานเร่ง งานฉุกเฉินที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเคลียร์งานด่วนเหล่านั้น
อย่างนี้ก็ยังพอรับได้เพราะเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน ซึ่งคงไม่ใช่การทำงานเกินเวลาแบบเป็นประจำทุกวัน วันละเกิน 12 ชั่วโมงไปอย่างนี้ตลอดทั้งปี
และติดต่อกันหลายปี แถมเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานก็ต้องทำงานกันตามค่านิยมอย่างนี้แหละถึงจะอยู่ด้วยกันได้

ถ้ามีแนวคิดอย่างนี้ละก็ ผมว่าคงไม่สมเหตุสมผลแล้วละครับ !

ก็ในเมื่อถ้าพนักงานทำงานเสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะมีเหตุผลอะไรอีกที่หัวหน้าจะต้องให้อยู่ดึก ๆ ทุกวันล่ะ

คงมาสรุปกันตรงที่หลักพระพุทธองค์ท่านเคยสอนไว้ก็คือ การเดินสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งน่ะ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด

เพียงแต่หัวหน้างานหันกลับมาใช้คติ "Work Life Balance" ให้ดีทั้งตัวเองและลูกน้อง จะได้มีความสุขทั้งในงานและชีวิตส่วนตัว จะได้ Win-Win ไม่ดีกว่าหรือครับ

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2014, 07:48:15 am
ภาษีมรดก คืออะไร มาไขข้อข้องใจกันเถอะ


-http://money.kapook.com/view96529.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ภาษีมรดก คืออะไร อัตราภาษีมรดก ที่ต้องถูกเรียกเก็บในกรณีที่ได้รับทรัพย์สินหรือมรดกเป็นอย่างไร เราจะพาไปไขข้อข้องใจกัน

          ข่าวคราวการออก พ.ร.บ.ภาษีมรดก พร้อมเปลี่ยนแปลง อัตราภาษีมรดก ใหม่ อาจทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นหูกับภาษีชนิดนี้เริ่มหันมาสนใจและอยากรู้จัก ภาษีมรดก กันมากขึ้น โดยเฉพาะทายาทหรือบุคคลที่มีโอกาสได้รับมรดก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ ภาษีมรดกและอัตราภาษีมรดก มาให้ทำความเข้าใจกันค่ะ

         ภาษีมรดก คืออะไร

          ภาษีมรดก เป็นภาษีที่ถูกเรียกเก็บเมื่อมีการโอนทรัพย์สินจากพ่อ-แม่ คนในครอบครัว หรือผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เสียชีวิตลง ให้กับทายาทหรือผู้รับมรดก โดยเป็นการเรียกเก็บที่นิยมทำกันในประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษีตามความสามารถในการเสียภาษี หรือเรียกว่าเก็บภาษีตามฐานะ โดยจะคำนวณจากทรัพย์สินในกองมรดกทั้งหมดที่ตกทอดจากผู้เสียชีวิตไปยังทายาทหรือผู้รับมรดก และสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

         ภาษีกองมรดก

          เป็นการรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของผู้เสียชีวิตมาประเมินภาษีและชำระตามจำนวนที่ประเมินได้ จากนั้นจึงนำทรัพย์สินตกทอดไปยังทายาทหรือผู้รับมรดก โดยจะเป็นการจัดเก็บแบบอัตราก้าวหน้าตามมูลค่าของกองมรดก ซึ่งมีข้อดีในการจัดเก็บภาษีได้มากและเป็นธรรมตามมูลค่ามรดก แต่มีข้อเสียคือเป็นการจัดเก็บแบบเหมารวม ดังนั้นเมื่อทายาทนำมรดกไปแบ่งกันอาจทำให้คนที่ได้รับมรดกน้อยเสียภาษีเท่ากับคนที่ได้รับมรดกมากกว่า

         ภาษีการรับมรดก

          เป็นการจัดเก็บภาษีหลังการแบ่งมรดก โดยผู้รับมรดกแต่ละคนเป็นผู้เสียภาษี ซึ่งจะมีอัตราไม่เท่ากันตามจำนวนมรดกที่ได้รับ แต่ลำดับชั้นของสิทธิในการรับมรดก เช่น ผู้รับมรดกแบบพินัยกรรม ซึ่งไม่ใช่ทายาทโดยตรงก็จะเสียภาษีมากกว่าทายาทโดยตรง เป็นต้น สำหรับข้อดีของภาษีชนิดนี้ คือเมื่อแบ่งมรดกออกเป็นส่วน ๆ ให้ทายาทแต่ละคนแล้ว จะมีโอกาสที่ต้องเสียภาษีน้อยกว่า เพราะมีเกณฑ์ขั้นต่ำในการจัดเก็บภาษีมรดก หากจำนวนมรดกที่ได้รับไม่ถึงเกณฑ์ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ข้อเสียคือภาครัฐจัดเก็บภาษีได้ยาก และการเรียกเก็บเป็นรายคนต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าการเก็บแบบรวม

         ใครต้องเสียภาษีมรดก

          ผู้ที่ต้องเสียภาษีมรดก คือผู้ที่ได้รับมรดกจากเจ้าของมรดก ซึ่งแบ่งออกเป็น ทายาทโดยธรรม และผู้รับพินัยกรรม ซึ่งเรียงลำดับได้รับมรดกก่อนและหลังดังนี้

         ทายาทโดยธรรม

          1. ลูกเจ้าของมรดก, ลูกนอกสมรสที่รับรองบุตรแล้ว, ลูกบุญธรรม และคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

          2. บิดา-มารดาแท้ ๆ ของเจ้าของมรดก

          3. พี่-น้อง ร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน

          4. พี่-น้อง ร่วมบิดา หรือ ร่วมมารดาเดียวกัน

          5. ปู่-ย่า-ตา-ยาย

          6. ลุง-ป้า-น้า-อา

         ผู้รับพินัยกรรม

          คือผู้ที่ถูกกำหนดไว้ว่าให้รับมรดกจากเจ้าของมรดกที่เสียชีวิต หรือสิทธิตามพินัยกรรม ทั้งนี้ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรมอาจเป็นคนเดียวกันก็ได้ แตกต่างกันที่ทายาทโดยธรรมต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น

         อัตราภาษีมรดก

          สำหรับ อัตราภาษีมรดก ที่ถูกเรียกเก็บในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2557) จะแบ่งการเสียภาษีออกเป็นขั้นดังนี้

          หากมีการโอนมรดกก่อนเจ้าของมรดกเสียชีวิต ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ไม่เสียภาษีมรดก

          หากมีการโอนมรดกก่อนเจ้าของมรดกเสียชีวิต 4 ปี เสียภาษีมรดก 10% ของมูลค่ารวม

          หากมีการโอนมรดกก่อนเจ้าของมรดกเสียชีวิต 3 ปี เสียภาษีมรดก 20% ของมูลค่ารวม

          หากมีการโอนมรดกก่อนเจ้าของมรดกเสียชีวิต 2 ปี เสียภาษีมรดก 30% ของมูลค่ารวม

          หากมีการโอนมรดกก่อนเจ้าของมรดกเสียชีวิต น้อยกว่า 2 ปี หรือเสียชีวิตก่อนโอน เสียภาษีมรดก 40% ของมูลค่ารวม

          อัตราภาษีมรดก 2558

          หลังจากมีการหาข้อสรุปในการจัดเก็บภาษีมรดกกันมานาน และกรมสรรพากรได้เสนอให้มีการอนุมัติ พ.ร.บ.ภาษีมรดกใหม่ พร้อมเตรียมผลักดันให้มีการบังคับใช้ในปี 2558 แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปอัตราภาษีมรดกที่แน่ชัด โดยมีเพียงการคาดการณ์ไว้ดังนี้

          เก็บภาษีมรดกจากผู้รับ 5% ของมูลค่าทรัพย์สิน แต่ไม่เกิน 30%

          เก็บภาษีมรดกอัตราเดียว 10% ของมูลค่าทรัพย์สิน และยกเว้นสำหรับมรดกที่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

           เก็บภาษีกองมรดกแบบขั้นบันได ดังนี้

          ทรัพย์มรดกสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 50 ล้านบาทแรก ไม่เสียภาษีมรดก

          ทรัพย์มรดกสุทธิส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท เสียภาษีมรดก 10%

          ทรัพย์มรดกสุทธิส่วนที่เกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีมรดก 20%

           เก็บภาษีการรับมรดกเป็นขั้นบันได ดังนี้

          ทรัพย์สินสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทแรก ไม่เสียภาษีมรดก

          ทรัพย์สินสุทธิส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 40 ล้านบาท เสียภาษีมรดก 10%

          ทรัพย์สินสุทธิส่วนที่เกิน 40 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีมรดก 20%

          ทั้งนี้เป็นเพียงการคาดเดาอัตราภาษีมรดก ปี 2558 ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งข้อสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตามความคืบหน้าต่อไป แต่เบื้องต้นคงทำให้หลาย ๆ คนรู้จักกับภาษีมรดกกันมากขึ้น ดังนั้นเพื่อเตรียมตัวเสียภาษีอย่างถูกต้อง ลองศึกษาข้อมูลภาษีมรดกกันไว้แต่เนิ่น ๆ นะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
sanpakornsarn และ เฟซบูีก MP Accounting & Law Office
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 07:19:41 am
ลูกหนี้เฮ มติลบประวัติลูกหนี้ 6 แสนราย พ้นเครดิตบูโร
-http://money.kapook.com/view97813.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลบัตรเครดิต มีมติเห็นชอบให้ลบประวัติลูกหนี้เอ็นพีแอล ออกจากเครดิตบูโร จำนวน 6 แสนราย

            วันที่ 5 กันยายน 2557 นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลบัตรเครดิต เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลบัตรเครดิต มีมติเห็นชอบให้ลบข้อมูลลูกหนี้รายย่อยที่ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือ ลูกหนี้เอ็นพีแอล ออกจากฐานข้อมูลเครดิตบูโร

            ทั้งนี้เนื่องจากทั้งหมดเป็นลูกหนี้ตั้งแต่ปี 2540 ที่มีมูลค่าหนี้ต่ำ ธนาคารพาณิชย์ก็จะไม่มีการฟ้องร้องเพราะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย โดยเป็นไปตามประกาศใหม่ของเครดิตบูโรที่จะเก็บข้อมูลไว้ 8 ปี จากเดิมที่จะเก็บจนกว่าจะชำระหนี้หมด ทำให้ลูกหนี้สามารถทำธุรกรรมใหม่ได้ และเกิดการกู้ยืมนอกระบบน้อยลง

            อย่างไรก็ตามยังมีการเปิดให้ สหกรณ์และชุมชนสหกรณ์ทุกประเภท สามารถเป็นสมาชิกเครดิตบูโรได้ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาสินเชื่อของสหกรณ์ด้วย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.mcot.net/site/content?id=54097adfbe0470299f8b4573#.VApTbmMzSZT-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2014, 06:16:43 am
25 เรื่องน่ารู้กับการลงทุนในช่วงอายุยังน้อย

-http://money.kapook.com/view99429.html-


(http://img.kapook.com/u/pree/HOME/m.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         การลงทุนในขณะที่อายุยังน้อย กับเรื่องน่ารู้ก่อนตัดสินใจ หากอยากเริ่มต้นลงทุนลองมาดูเหตุผลที่ควรทำตั้งแต่อายุยังน้อยกันค่ะ

         การลงทุนในทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้วยเงินหรือด้วยเรื่องที่ไม่มีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม ผลรับที่ได้กลับมาอาจเกินความคาดหมาย หรือต่ำกว่าที่หวังไว้ก็เป็นไปได้ทุกกรณี แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เริ่มเห็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงกล้าที่จะลงทุนกันมากขึ้น และยิ่งมีคนประสบความสำเร็จกับการลงทุนในขณะที่ยังหนุ่มยังสาวให้เห็นเป็นตัวอย่าง ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนอยากก้าวไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นบ้าง แต่ก่อนลงทุนเพื่อให้เป็นคนอายุน้อยร้อยล้าน คงจะสร้างความมั่นใจให้คุณได้มากขึ้น หากได้ศึกษา 25 เรื่องน่ารู้กับการลงทุนในช่วงอายุน้อยทั้งหมดนี้ก่อน

1. ลงทุนกับเงินฝากออมทรัพย์อาจไม่คุ้ม

         เริ่มแรกหลายคนอาจลองลงทุนเบา ๆ กับการฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไปก่อน ซึ่งก็คงไม่ได้ให้ผลกำไรกับคุณมากมายเท่าไร เพราะแม้จะมีดอกเบี้ยให้ได้เก็บอยู่บ้าง แต่ก็เป็นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยนิดเหลือเกิน แถมบัญชีออมทรัพย์โดยทั่วไปก็คงมีการเบิก-ถอนอยู่เรื่อย ๆ และอาจไม่ได้เป็นเงินก้อนโตอะไรด้วย ทว่าหากเรารู้จักเก็บออมทีละเล็กละน้อยก็อาจพอมีเงินเก็บส่วนตัวไว้เป็นทุนสำรองเหมือนกัน

2. เก็บเงินกับบัญชีเงินฝากเกษียณ

         โครงการบัญชีเงินฝากเกษียณในหลาย ๆ ธนาคารให้ดอกเบี้ยและผลประโยชน์ที่คุ้มค่ามากพอให้เรายอมลงทุนไม่น้อย ฉะนั้นลองศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของบัญชีเงินฝากเกษียณเหล่านี้บ้างคงดี

3. ภาวะเงินเฟ้อกับการลงทุน

         อัตราภาวะเงินเฟ้อโดยปกติจะอยู่ที่ราว ๆ 3% ต่อปี ซึ่งในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อจะมีช่องทางลงทุนมากขึ้น เช่น ทองคำ เป็นต้น ฉะนั้นหากต้องการลงทุนก็ไม่ควรพลาดโอกาสช่วงนี้

4. ความเสี่ยงของการลงทุน

         จงเรียนรู้ไว้เสมอว่า ไม่มีการลงทุนไหนจะได้ผลกำไรแบบเน้น ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนกับอะไรก็ตาม พยายามไตร่ตรองให้รอบคอบที่สุด และเตรียมข้อมูลให้รอบด้านก่อนควักกระเป๋าลงทุนไป อย่างน้อยในช่วงขาลงก็อาจเจ็บตัวน้อยกว่า

5. การลงทุนกับหลักทรัพย์ทั่วไป

         หลักทรัพย์และตราสารหนี้อย่างพวกหุ้น ธนบัตร ล้วนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการลงทุน และเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่มาก มีความสม่ำเสมอของผลกำไร อีกทั้งยังสามารถขายต่อได้แม้ยังไม่ครบกำหนดอายุของหลักทรัพย์

6. ลงทุนกับหุ้นต้องดูให้ดี

         เมื่อคุณตัดสินใจซื้อหุ้น คุณจะได้ถือหุ้นเพียงเสี้ยวของเสี้ยวในบริษัทนั้น ๆ ทว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ จะเป็นส่วนบริษัทเจ้าของหุ้นมากกว่า ฉะนั้นก็แปลได้ว่า การลงทุนกับหุ้น ผู้ลงทุนเป็นฝ่ายแบกรับความเสี่ยงที่มากกว่าอยู่แล้ว เพราะหุ้นนับเป็นการลงทุนที่หาความแน่นอนไม่ค่อยได้ วันดีคืนดีหุ้นอาจพุ่งพรวด เทขายได้กำไรกันรวยเละ แต่วันถัดมาหุ้นอาจดิ่งจนทำให้คุณขาดทุนก็ได้

7. เช็กแนวโน้มหุ้นก่อนตัดสินใจซื้อ

         หุ้นเป็นการซื้อ-ขายในอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแนวโน้มของหุ้นแต่ละตัวจะดีหรือดิ่งต้องดูจากการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกันในตลาดหุ้น โดยทุกวันจะมีการจัดอันดับหุ้นราคาดีให้เราได้เห็นในจอเทรดหุ้นของตลาดหุ้นอยู่แล้ว ทางที่ดีเราควรสำรวจตลาดหุ้นก่อนว่า แนวโน้มหุ้นตัวไหนน่าลงทุนด้วยมากที่สุด




8. เก็บดอกเบี้ยจากการซื้อขายพันธบัตร

         เมื่อคุณตัดสินใจซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล เท่ากับว่าคุณเป็นฝ่ายให้รัฐบาลกู้ยืมเงินตัวเองไป และนับจากนั้นก็รอให้ครบตามกำหนดเวลาในเงื่อนไขเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทน แต่หากต้องการซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือพันธบัตรก่อนครบเวลาไถ่ถอน ก็สามารถนำพันธบัตรไปขาย ณ ตลาดรองของธนาคารต่าง ๆ ได้ ซึ่งเรตราคาในการซื้อ-ขายพันธบัตรก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ นับว่าการลงทุนกับพันธบัตรเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่อยู่พอสมควร

9. กระจายการลงทุนให้ทั่วถึง

         การลงทุนตูมใหญ่เพียงประเภทเดียวอาจเสี่ยงเกินไปในแง่ของธุรกิจ ดังนั้นหากอยากปกป้องตัวเองจากความล้มเหลวในการลงทุน คงดีกว่าหากจะกระจายการลงทุนไปในธุรกิจหลาย ๆ ประเภท โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่คุณมีความรู้และความถนัดมากพอสมควรด้วย

10. ผลตอบแทนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงินทุน

         การลงทุนจะให้ผลกำไรกับคุณมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความกล้าเสี่ยง และเม็ดเงินที่ลงทุนลงไป ทว่านี่ก็อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอนสำหรับการลงทุนนัก เพราะมีกรณีที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน ดังนั้นผลกำไรสุทธิของคุณจะคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ปัจจุบันก็มีการคำนวณผลตอบแทนการลงทุนหรือ ROI (Return on Investment) ออกมาเป็นเครื่องมือวัดผลกำไรที่ได้ให้ได้ลองพิสูจน์กันชัด ๆ ด้วยนะคะ

11. อย่าลืมคำนวณภาษี

         ภาษีจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราก็ต่อเมื่อเราเริ่มมีรายได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าการลงทุนก็จัดเป็นรายได้อย่างหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้พ้น อีกทั้งการลงทุนบางอย่างอาจมีค่าธรรมเนียมที่คาดไม่ถึงโผล่มาเพิ่มด้วย ฉะนั้นอย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนนี้เผื่อไว้ด้วย

12. หว่านโอกาสในกองทุนรวม

         หลายคนใช้วิธีกระจายเงินทุนไปกับกองทุนดัชนีหรือกองทุนรวมอื่น ๆ ซึ่งก็เหมือนลงทุนไปในตลาดทุนใหญ่ ๆ ที่มีความแน่นอนของผลตอบแทนที่ใช้ได้ เหมือนมีคนคอยช่วยบริหารความเสี่ยงไปด้วยกัน โอกาสเจ็บกับการลงทุนรูปแบบนี้อาจต่ำกว่าการลงทุนในแบบอื่น ๆ

13. เลือกลงทุนที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วย

         การลงทุนหลายอย่างสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำประกันชีวิต (เลือกกรมธรรม์เงินออมด้วยก็จะดีมาก), การลงทุนกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทางบริษัทจะช่วยสมทบเงินเข้าไปด้วย,  การลงทุนกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) รวมทั้งการทำบุญบริจาคที่มีหลักฐานชัดเจน สถานะสมรสและการเลี้ยงดูบิดา-มารดา ก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

14. มีความคิดสร้างสรรค์

         มีเงินทุนมากมายแค่ไหนก็อาจไม่ช่วยให้เงินงอกเงยได้หากคุณขาดความคิดสร้างสรรค์ เพราะต้องยอมรับว่าตลาดตอนนี้ให้ความสำคัญกับไอเดียเจ๋ง ๆ มากกว่าเรื่องของราคาซะอีก ดังนั้นก้าวแรกของความสำเร็จในการลงทุนก็ต้องฉีกตัวเองให้แตกต่างจากตลาดโดยรวมซะก่อน

15. เริ่มลงทุนตั้งแต่ยังมีไฟ ยังไงก็ได้เปรียบ

         ลงทุนตั้งแต่อายุยังอยู่ในช่วงเลข 2 ยังไงคุณก็ได้เปรียบมากกว่าคนที่ลงทุนในช่วงอายุที่มากกว่านี้ เพราะหากลงทุนซะตั้งแต่ตอนนี้ คุณจะมีช่วงเวลาได้ลองผิดลองถูก หรือเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางธุรกิจได้มากกว่า และแม้จะล้มก็ยังมีเวลาลุกและสร้างอาณาจักรการเงินของตัวเองได้อีกครั้งและอีกครั้ง

16. ตะครุบหุ้นขายดีอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

         หุ้นตัวเด็ด ๆ อาจไม่ใช่ตั๋วเดินทางสู่ความร่ำรวยของทุกคน ซึ่งนั่นก็อาจไม่ใช่คุณด้วยที่จะซื้อหุ้นราคาดีแล้วทำเงินได้พุ่งกระฉูด ฉะนั้นขอย้ำกันอีกครั้งว่า ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นควรพิจารณาสถานการณ์ของหุ้นให้ดี เสริมข้อมูลของบริษัทนั้นให้แน่นเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาด

17. จ้องความเคลื่อนไหวของหุ้นเท่าที่จำเป็น

         หากคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้น ต้องการซื้อ-ขายหุ้นแบบไม่หวังผลกำไรที่ยั่งยืน การจ้องจอเทรดหุ้นแทบตลอดเวลาอาจช่วยให้คุณเทขายหุ้นได้ถูกจังหวะ แต่สำหรับคนที่หวังยืนหยัดอยู่ในตลาดหุ้นแบบยิงยาว การจดจ่ออยู่กับหุ้นเกือบทุกนาทีอาจปั่นหัวให้คุณเครียดมากกว่าจะช่วยให้ซื้อ-ขายหุ้นได้กำไรงามก็ได้ เนื่องจากการพิจารณาซื้อ-ขายหุ้นแบบจริงจัง อาจต้องดูภาพรวมของสถานการณ์ของบริษัทเจ้าของหุ้นอย่างลึกซึ้งร่วมด้วย

18. อย่าลงทุนด้วยความรู้สึก

         ในสนามธุรกิจต้องการความเด็ดขาดและการตัดสินใจที่ยึดเอาผลประโยชน์เป็นใหญ่ ดังนั้นหากคุณยังลงทุนอยู่กับหลักทรัพย์เก่าอันคุ้นเคยแต่เริ่มไม่ให้ผลตอบแทนอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยอมตัดใจเทขายหลักทรัพย์เหล่านี้้เพื่อนำเงินไปต่อยอดในด้านอื่น ๆ ดีกว่า



19. ใส่ใจการขึ้น-ลงของหุ้นอย่างมีสติ

         สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ที่ยังระแวงกับราคาหุ้นที่ขึ้น-ลงอยู่ พยายามอย่าลากตัวเองเข้าไปปวดหัวกับอัตราการขึ้น-ลงของคุณแบบติดหนึบดีกว่า เพราะการที่ราคาของหุ้นดีหรือดิ่งเป็นคลื่นแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น ฉะนั้นควรเล่นหุ้นอย่างมีสติและลองเช็กสถานการณ์ของหุ้นให้ดีก่อนตีโพยตีพาย

20. ต้องการเงินด่วน อย่าเสี่ยงกับหุ้น

         ในกรณีที่ร้อนเงินและต้องการเงินก้อนอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่าคิดจะมาเล่นหุ้นเลยค่ะ เพราะคงไม่มีใครดวงดีจับหุ้นได้ถูกตัว คืนกำไรให้การลงทุนแบบด่วนจี๋แน่ ๆ และในยามที่ร้อนรนอยากได้เงินแบบนี้ สติและสมาธิในการใคร่ครวญสถาการณ์ตลาดหุ้นของคุณอาจด้อยประสิทธิภาพลงไปด้วย

21. ไม่มีใครคาดเดาตลาดได้

         เศรษฐกิจมีการผันผวนอยู่แทบทุกวินาที เป็นที่มาของคำว่า การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ดังนั้นอย่าคาดหวังความแน่นอนในวงการนี้ และอย่าไปเชื่อคำทำนายทางธุรกิจจากใครด้วย เพราะคงไม่มีใครเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้แน่

22. บทเรียนทางธุรกิจที่ผ่านไปอาจไม่ซ้ำรอย

         บทเรียนในชีวิตยังพอนำกลับมาเป็นแนวทางในสถานการณ์ที่คล้ายกันได้ แต่กับเส้นทางการลงทุนและธุรกิจอาจไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีปัจจัยหลายต่อหลายอย่างคอยผลักดันให้เศรษฐกิจเป็นไป และความเป็นไปที่ว่านั้นอาจไม่เคยซ้ำรอยเดิมเลยก็ได้ ฉะนั้นแม้จะเคยทำพลาดกับวิธีนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่หากวันนี้ยังเลือกลงทุนในแบบเดิมก็อาจประสบผลสำเร็จอย่างงดงามก็ได้ ใครจะรู้

23. ต้องกล้ายอมรับว่าตัวเองโง่ในบางครั้ง

         ความเชื่อมั่นว่าตัวเองฉลาดมากพอกับการลงทุนอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณได้ ซึ่งก็อาจต่อยอดไปถึงฝั่งฝันทางธุรกิจได้สำเร็จ แต่อย่าเผลอคิดว่าตัวเองรอบรู้และเจนโลกธุรกิจไปซะทุกเรื่องเด็ดขาด เพราะนั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของการพลาดพลั้งที่คุณเองก็อาจคาดไม่ถึง

24. ควรมีผู้ช่วย

         นอกจากทำงานใหญ่ใจต้องนิ่งแล้ว การจะก้าวไปเป็นผู้บริหารเงินก้อนโตก็ควรต้องมีคนคอยช่วยดูแลในหลาย ๆ ด้าน ทั้งที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่า นักวางแผนการเงินที่อาจช่วยจัดการเงินของคุณได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเจ้าของเงินเอง หรือแม้แต่นักกฎหมายที่จะมาช่วยดูในเรื่องของเอกสารสัญญาต่าง ๆ ว่าให้ประโยชน์หรือโทษกับเรากันแน่ ฉะนั้นจะรวยได้ก็ต้องไม่หัวเดียวกระเทียมลีบนะคะ

25. เผื่อใจไว้เจ็บ

         เมื่อเริ่มลงทุนก็เหมือนหย่อนเท้าก้าวเข้าไปในความเสี่ยงอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ไม่มีใครบอกได้ว่า จังหวะการลงทุนของเราจะดีไปได้ตลอด เส้นทางนี้จะทำเงินให้คุณอย่างล้นเหลือหรือฝืดเคือง ดังนั้นหากเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านขาดทุนไว้บ้างก็อาจช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้


         ย้ำกันอีกครั้งว่าการลงทุนกับอะไรก็ตามควรต้องใช้ความคิดและเติมความรู้ให้แน่นก่อนตัดสินใจลงทุน รวมทั้งอย่าลงทุนกับสิ่งที่ใหญ่เกินตัว ค่อย ๆ เดินไปบนเส้นทางธุรกิจอย่างพอเพียงแต่เน้นกินอยู่กับมันยาว ๆ ไปจนกว่าจะสบโอกาสขยายธุรกิจก็น่าจะเวิร์กกว่านะคะ


http://money.kapook.com/view99429.html (http://money.kapook.com/view99429.html)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2014, 07:13:15 pm
8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย
โพสต์เมื่อ : 6 ตุลาคม 2557 เวลา 18:15:06

-http://money.kapook.com/view100640.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

วิธีที่จะทำให้ตัวเองรวยตั้งแต่อายุยังน้อย กับการรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ ที่จะช่วยทำให้คุณกลายเป็นคนรวยอย่างที่ฝันได้ในไม่ช้า

เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่อยากจะเป็นคนรวย หรืออย่างน้อย ๆ ในภายภาคหน้าอยากมีเงินเก็บที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามความต้องการ แต่จะทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้เป็นคนรวยและมีเงินมากขนาดนั้น เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนว่าจำกัดความกับคำว่ารวยมากน้อยแค่ไหน บางคนมีเงินเพียงไม่กี่บาทก็ถือว่ารวยแล้วเพราะสามารถใช้ชีวิติโดยไม่มีหนี้สิน แต่ถ้าบางคนที่ต้องการมีเงินเก็บและอยากเป็นมีเงินเก็บเยอะอย่างที่ฝันไว้ ก็มาดูกันเลยกับ 8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนี้ค่ะ

1. ถ้าไม่มีงานทำก็รีบหางานซะ

ถ้าใครที่อยากรวย อยากมีเงิน แน่นอนว่าหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ หางานทำ หลังจากนั้น รายได้ต่าง ๆ ก็จะตามมาเอง แต่อย่าลืมว่าเมื่อหางานได้แล้วไม่ควรใช้เงินที่ได้มาแต่ละเดือนจนหมด แล้วจัดสรรปันส่วนให้รอบคอบ เก็บไว้สัก 25 % ของเงินเดือนก็ยังดี เท่านี้เราก็จะมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น

2. คำนวณรายจ่ายแต่ละอย่างให้ดี

แน่นอนว่ามีเงินมากขึ้นก็ต้องมีร่ายจ่ายเพิ่มขึ้นตามมาด้วย และความต้องการของคนเราก็ย่อมมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นให้ควรระวังในเรื่องของการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควรคำนวณว่าสิ่งไหนที่จำเป็นต้องจ่ายก่อน ไม่ว่าจะเป็นบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ต่าง ๆ และในเรื่องของการทำประกันสังคม หลายคนอาจเห็นว่าไม่สำคัญ แต่เราก็จำเป็นต้องทำประกันสังคมเอาไว้ รับรองว่าพอถึงเวลาเกษียณคุณจะได้รับประโยชน์จากเงินส่วนนี้แน่นอน ไม่ต้องเสียดายเงินในแต่ละเดือนนะคะ

3. เริ่มเก็บเงินให้ได้ 25 % ของรายได้ในแต่ละเดือน

คำนวณว่าในแต่ละเดือนของคุณมีรายจ่ายมากน้อยแค่ไหน จากนั้นพยายามที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับของไม่จำเป็น หรือของที่ไม่ใช้แล้วก็สามารถนำไปขายเป็นกำไรได้เช่นกัน โดยต้องคิดไว้ว่าควรเก็บเงินให้ได้ 25 % ของทุก ๆ เดือน เช่น เงินเดือน 2 หมื่น ก็แบ่งไว้เก็บสัก 5 พันบาท ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ในแต่ละเดือน รับรองว่าจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นจนคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย

4. ตั้งเป้าหมายว่าต้องการนำเงินที่่ได้มาไปใช้ทำอะไร

การที่มีเป้าหมายว่าต้องการทำอะไรจะช่วยให้เราสามารถเก็บเงินได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อบ้าน หรือซื้อรถ ให้ตั้งเป้าไว้เลยว่าภายในกี่ปีต้องได้เงินเท่าไรถึงจะพอซื้อ เพราะการที่มีเป้าหมายก็เหมือนมีแรงบันดาลใจที่เราจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า แต่ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายในการใช้เงิน เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าก็จะหมดไปกับของที่ไม่จำเป็นที่คุณใช้จ่ายไปโดยไม่รู้ตัว

5. เปลี่ยนความคิดในเรื่องของการใช้เงิน

ถ้าคุณไม่ลงทุนลงแรง รับรองว่าไม่มีทางที่คุณจะมีเงินใช้ ให้ลองเปรียบเทียบกับตัวเองเป็นสินค้า เวลาที่คุณออกไปทำงานในแต่ละวันก็เหมือนกับคุณได้ขายสินค้าแล้วได้เงินมาใช้ การทำงานก็เหมือนกัน คุณออกไปทำงานก็ได้เงินเป็นผลตอบแทน ซึ่งสามารถนำมาเก็บไว้ต่อยอดเพื่อรอวันสุขสบายในอนาคต ยิ่งคุณทำงานหนักมากเท่าไรก็จะมีเงินเก็บเยอะและเกษียณตัวเองได้เร็วขึ้น

6. ทำความเข้าใจว่าเงินจำนวนน้อยก็มีคุณค่า

ยังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเงินจำนวนน้อยมีค่ามากแค่ไหน และคิดอยากจะมีแต่เงินจำนวนมาก แต่ไม่คิดว่าเงินจำนวนมากที่ได้มานั้นก็มาจากที่เราเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นเงินก้อนขึ้นมา ดังนั้นไม่ควรมองข้ามเงินเพียงไม่กี่บาท ให้คิดว่าทุกบาททุกสตางค์มีค่า รับรองว่าจะมีเงินเก็บพอกพูนขึ้นอย่างแน่นอน

7. ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเก็บคืออิสระในการใช้ชีวิต

เงินไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนถ้าคุณค่อย ๆ เก็บไปทีละนิดจะเพิ่มอิสระในชีวิตคุณ ทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บจะมีประโยนชน์มากมายในวันข้างหน้า คุณจะมีอิสระที่ทำอะไรก็ได้ตามต้องการกับเงินที่เก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้กระทั่งออกจากงาน เพราะถ้าคุณคิดว่ามีเงินเก็บที่มากพอแล้ว สิ่งที่คุณอยากจะทำก็คงไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป

8. อย่าหยุดที่จะพยายาม

ถ้าคุณอยากที่จะรวยก็พยายามให้ถึงที่สุด แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคมากมายรอคุณอยู่ข้างหน้า ขอแค่อย่าท้อเป็นพอ ไม่ว่าเงินที่เก็บได้จะหมดไปกับอะไรก็ตาม เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ดังนั้นพยายามต่อไปจนกว่าเป้าหมายที่คุณตั้งไว้จะสำเร็จ ไม่ช้าไม่เร็วคุณก็จะมีเงินอย่างที่ตั้งใจ


ถ้าคุณอยากที่จะรวยและมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ต้องพยายามกันมากหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของเวลา และการรู้จักคุณค่าของเงิน ควรรู้จักใช่จ่ายให้เป็นประโยชน์และรอบคอบอย่างที่สุด
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 25, 2014, 07:14:38 am
จาก 3 แสนเป็น 30 ล้านใน 7 ปี ใครว่าทำไม่ได้ !?

-http://money.kapook.com/view102028.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณเทียนย้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          แชร์ประสบการณ์เส้นทางรวย จากเงิน 3 แสน เปลี่ยนเป็น 30 ล้าน ใช้เวลาแค่ 7 ปี อยากรู้ว่าทำอย่างไร ไปหาคำตอบกันค่ะ

          การมีเงินหลักสิบล้าน อาจดูเป็นฝันที่เกินเอื้อมสำหรับใครหลายคน เพราะการก้าวสู่เส้นทางแห่งความมั่งคั่งย่อมต้องมีอุปสรรคมาขวางทางเสมอ แต่จากประสบการณ์ตรงของ คุณเทียนย้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะมาแชร์ให้เรารู้ว่าเพียงการเริ่มต้นด้วยเงินทุนแค่ 3 แสน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเงิน 30 ล้านได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น เขาทำได้อย่างไร เราไปติดตามเรื่องราวกันเลยค่ะ






จาก 300,000 เป็น 30,000,000 ใน 7 ปี โดย คุณเทียนย้อย

          ผมอยากเขียนเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ แชร์ประสบการณ์กับผู้ที่กำลังอยากเริ่มประกอบธุรกิจส่วนตัวที่ยังไม่รู้จะทำอะไร กล้า ๆ กลัว ๆ เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำได้จริงไม่ต้องมโน ไม่ใช่สานต่อธุรกิจพ่อแม่ แต่ทำได้เอง อาจเป็นตัวเงินไม่มากสำหรับหลาย ๆ ท่าน แต่มันมากสำหรับผม เริ่มเลยนะครับ


ก้าวที่ 1 สู่ความล้มเหลว

          ระหว่างทางผมขับรถไปส่งของให้ที่บ้าน เห็นตึกแพลตินั่มเปิดจองทำเล ผมจึงเข้าไปทำเรื่องขอเช่า ผ่านไปสองเดือนอีกไม่กี่วันก็จะเปิดตึกละ จึงแวะเข้าไปถาม สุดท้ายเจ้าหน้าที่บอก น้องไม่เคยมีหน้าร้านขายจึงไม่มีสิทธิ ผมก็หมดหวัง แต่ผมก็อ้อนวอน เจ้าหน้าที่เห็นว่าเหลืออยู่แค่ 4 ห้องที่ทำเลไม่สวย เลยถามน้องจะเอาไหม สรุปผมก็ได้มา 1 ห้อง (นี่ล่ะครับดาวนำโชคดวงที่หนึ่ง คือ คุณได้ทำเลทองก็มีชัยไปกว่าครึ่ง)

          พอได้ปุ๊บงานเข้า ใครจะช่วยทำ ผมจึงไปชวนให้พี่สาวลาออกจากงานประจำ แล้วให้ความหวังเข้าสุดฤทธิ์ว่ามันจะเวิร์ก พี่สาวผมก็ร้องไห้ แล้วบอกว่าออกมาแล้วอย่าทิ้งกันนะ ผมก็บอกแน่นอน แต่ในใจผมยังไม่รู้จะเป็นไงเลย (คุณต้องมีหุ้นส่วนที่ความคิดพร้อมจะไปกับคุณ)

          คำถามยอดฮิต แล้วผมจะขายอะไร ผมยังไม่รู้เลยจะขายอะไร มีเวลาอีก 30 วัน ผมจึงไปเปิดหนังสือเส้นทางเศรษฐีในมติชน จนไปเจอคอร์สสอนทำรองเท้า ผมจึงใช้เวลา 30 วันไปเรียนตัดรองเท้า ส่วนพี่สาวผมให้ไปเรียนตัดเย็บเสื้อยืด พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดไรขึ้น (ไม่มีการวางแผน แล้วไปตายเอาดาบหน้า คือความผิดมหันต์ตั้งแต่แรก)

          สุดท้ายผมได้ออกมาเปิดโรงงานทำรองเท้าแตะ พนักงานสามคน (ทาวน์เฮาส์เล็ก ๆ) ผมต้องวิ่งวุ่นไปซื้อวัตถุดิบ แล้วกลับมาทำ แล้วไปส่งเข้าร้าน แถมต้องเฝ้าร้านอีก ชีวิตบัดซบมาก ชีวิตผมช่วงนั้น Loss in decade ไม่ได้เจอใครเลย (ถ้าคุณเป็นศูนย์กลางของการทำทุกสิ่ง คุณก็เตรียมตัวตายไปกับงานเลย)

          ส่วนพี่สาวผมก็ไปจ้างเพื่อนเขาตัดเย็บ สกรีนแล้วออกแบบลายไทย เพราะน่าจะขายลูกค้าต่างชาติได้ โดยช่วงนั้นพี่สาวผมก็จะเฝ้าหน้าร้านเป็นหลัก เชื่อไหมครับว่าเดือนหนึ่งขายรองเท้าแตะได้วันละ 400 เสื้อวันละ 2,000 คิดเอาครับจะรอดไหม (ถ้าคุณทำในสิ่งที่ไม่ถนัด มันจะออกมาเป็นขยะเต็มร้าน)

          ผมฝืนแบบนี้มา 1 ปี ใครบอกว่าเป็นเจ้านายตัวเองมันสบาย ขอบอกบัดซบมาก ๆ บางวันขายได้วันละ 49 บาท รองเท้าแตะหนึ่งคู่ ผมกลับมานั่งคิดวางแผนใหม่ว่าไม่ใช่ละ (ผมเริ่มวางแผนละ) กว่าจะเริ่มวางตอนนั้นขาดทุนไปละ 5 แสน ผมจึงต้องประกาศปิดโรงงานทำรองเท้าแตะ พร้อมต้อง Lay Off พนักงานทั้งหมด แต่เสื้อยืดลายไทยยังขายต่อไป (ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณอยากทำแต่ตลาดไม่ได้ต้องการ คุณก็จะได้ใช้มันเพียงคนเดียว)

          ผมจึงเริ่มไปโบ๊เบ๊ สำเพ็ง โรงเกลือ นำสินค้ามาขาย เปลี่ยนสินค้าไปกว่าสิบชนิด เช่น รองเท้าส้นสูง กระเป๋า เสื้อยืด เข็มขัด กางเกง ร้องเท้าผ้าใบ โดยสต็อกบางส่วนก็เก็บไว้ที่โรงงานที่ยุบไป ก็เริ่มกลับมาขายได้แค่อยู่ไปวัน ๆ (ถ้าคุณขายสินค้าที่หาได้เหมือนกันทุก ๆ ที่ ไม่มีความแตกต่าง คุณก็จะแค่อยู่ได้)

          ช่วงนั้นผมก็มีเวลามาอยู่หน้าร้าน แล้วเริ่มจ้างเด็กมาขายหน้าร้าน เพราะเริ่มอยู่ตัว แต่ไม่มีกำไร วัน ๆ ขายได้วันละ 5,000-6,000 ผมเคยคิด คนอื่นเขาขายไงหว่า วันละแสน เชื่อไหมผมคิดไม่ออกเลย เพราะแค่หมื่นผมยังไม่เคยสัมผัส ชีวิตเหมือนจะราบเรียบ จนวันนึงผมแวะกลับไปเอาสต็อกที่โรงงาน เชื่อไหม ไม่เหลือสินค้าใด ๆ ในโรงงานเลย ผมโดนยกเค้าจากเด็กขี้ยาแถวนั้น ของหายหมด สายไฟ เครื่องเย็บจักร หมด หมด หมด ชีวิตดับสูญ

          วันนั้นจึงได้มีโอกาสคุยกับพ่อ ถึงตอนนี้จะขาดทุนไปแล้วกว่า 7 แสนแต่ลูกได้พยายามละ (กำลังใจจากรอบข้างคือส่วนนึงที่คุณต้องมี)


จุดเปลี่ยนผัน PART 2

          ช่วงนั้นเข้าสู่ปีที่ 3 ตึกแพลทินั่มเข้าสู่ช่วงพีคสุด ๆ ราคาห้องเช่าช่วงนั้นถูกปั่นกระจายจากนายหน้า ราคาห้องชั้น 1 ขายขาดที่ 15-20 ล้าน แต่ขายเปลี่ยนมือได้ถึงราคา 40-50 ล้าน (ถ้าย้อนเวลาได้จะไปซื้อไว้สัก 3 ห้อง แหม ๆ 1 ล้านยังไม่มีเลย) ห้องที่ผมอยู่ชั้น 4 เป็นห้องที่เช่าโดยตรง เชื่อไหมมีคนมาขอเซ้งต่อห้องผมที่ 1,000,000 บาท ผมแทบไม่อยากเชื่อ ผมเช่ามาฟรีแต่ขายได้ราคาขนาดนี้ ถ้าผมขายจากขาดทุน 7 แสน จะกลับมากำไร 3 แสน ผมคุยกับพี่สาวเราจะขายไหม (ความมุ่งมั่นคือหนทางแห่งชัยชนะ)

          ช่วงเวลานั้นมีร้านค้าย้ายมาใหม่ ผมก็ใจจดจ่อว่าใครจะมา แล้วขายอะไร สุดท้ายมันคือร้านเสื้อยืด (ดาวนำโชคดวงที่สอง) ร้านเขาย้ายมาจากจุตจักร แล้วมาเปิดสาขาเพิ่มที่ประตูน้ำ เชื่อไหมร้านเขาขายดีมาก ๆ ขนาดที่ว่าลูกค้าเดินผ่านแล้วยังต้องคอหักกลับมาดู นั่นละคือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม ผมเจอแล้วสินค้าในตำนาน สินค้าเสื้อยืด แต่ทำไมมันช่างขายดี (คู่แข่งคือตัวที่ทำให้คุณต้องปรับตัวตลอดเวลา)

          ผมมานั่งวิเคาะห์ว่าทำไมเสื้อยืดเหมือนกันแต่จึงมีความแตกต่าง วันนั้นผมจึงได้เข้าใจว่าเสื้อยืดแบ่งประเภทย่อย ๆ ได้อีก (คุณต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงตัวผลิตภัณฑ์ที่คุณจะขาย)

          หลังจากนั้นผมจึงไปค้นหาว่าที่ใดในประเทศไทยขายสินค้าประเภทนี้ ผมไปหาที่โบ๊เบ๊ สำเพ็ง เชียงใหม่ โรงเกลือ จนผมมาพบที่จตุจักร มีเป็น 30 ร้านค้า เราไปอยู่บนที่ใดบนโลกใบนี้ตั้งนาน (ถ้าคุณจะขายสินค้าใด คุณต้องรู้จักคุ่แข่งคุณให้ทั่วทิศ)

          ผมจะต้องทำไงกับสินค้าที่ตายในร้าน ผมจึงเริ่มขายเหมาได้กลับมา 30% ขาดทุนกระจาย บางส่วนขายไม่ได้ก็เอาบริจาคหมด (ทุนยังไงก็ยังสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง)

          ผมขอบอกเลย ณ จุดนี้ผมเลว ผมหน้าด้าน ผมไร้จรรยาบรรณ ผมเริ่มไปเอาสินค้าจากจตุจักรมาขาย (หลายคนอาจบอกว่าไร้จรรยาบรรณตรงไหน แค่คุณตั้งใจก็อปร้านที่คุณขายแถวเดียวกันก็ผิดละ) ผมต้องขอขอบคุณร้าน BITMAP ผมขอให้เป็นอาจารย์ผม และเป็นร้านเดียวที่ผมก็อปแนวคิด (ถ้าคุณไม่ใช่สตีฟ จ๊อบส์ คุณไม่ต้องไปคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขอให้คุณหาสินค้าที่ขายดีแล้วหาจุดต่าง)

          หลังจากนั้นเจ้าของร้าน BITMAP มายืนด่าผมหน้าร้านว่าหน้าด้าน แต่ผมได้ทำไปแล้ว แต่เชื่อไหมตอนนั้นผมก็ขายดีแต่ไม่กำไร ผมรับมา 100 ก็ขายส่ง 100 ขาดทุนค่าเดินทางไปเอาอีก (ถ้าคุณจะรวยต้องมีลูกค้าส่ง)

          หลังจากนั้นผมก็เริ่มไปเอาของไม่ได้ละ เพราะร้านที่ผมไปเอาที่จตุจักรเป็นกลุ่มเพื่อนดียวกันกับ BITMAP ผมจึงต้องไปหาร้านอื่นในจตุจักร แต่ก็เอามาขายเริ่มไม่ดีเท่าเพราะสวยไม่สู้ แล้วผมจะทำไงต่อ ผมจึงต้องเริ่มทำเอง ผมจะกลับไปใช้โรงตัดเย็บที่เก่าก็ไม่ได้ เพราะระบบยังไม่ใช่ผู้ชำนาญ ผมจึงเปลี่ยนทั้งระบบ (ระบบผู้ผลิตที่ดีจะทำให้สินค้าคุณมีคุณภาพ) ผมจึงเริ่มรุก





กบกระโดด PART 3
         
          ทำไมผมผลิตเองแล้วยังขายไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ผมก็เจอสูตรสำเร็จแล้วนิ (ถ้าคุณขายสินค้า ที่ไม่ได้สำรวจความต้องการจากลูกค้า ก็เป็นแค่ความอยากของคุณเอง)

          หลังจากนั้นผมจึงมองเสื้อของผู้ชายทุกคนที่เดินผ่านผม จนกลายว่าผมเป็นคนโรคจิตไประยะหนึ่ง (สำรวจ สำรวจ สำรวจ กลุ่มลูกค้า)

          ผมจึงกลับมาถามตัวเองว่า ผมขายอะไร ผมขายใคร ทำไมลูกค้าต้องมาซื้อผม ทำไมลูกค้าจึงจะเปลี่ยนใจมาจากเจ้าอื่น ทำไมลูกค้าจึงจะซื้อซ้ำ (ตั้งคำถามเยอะ ๆ แล้วต้องตอบด้วยตัวเองให้ได้)

          ผมคงจบแค่ตรงนี้ ที่มีกำไรหลักหมื่น ไม่ขาดทุนแล้ว Happy Ending เพราะผมก็ชอบอะไรสบาย ๆ Comfort Zone วันหนึ่งพี่พัน (ดาวนำโชคดวงที่ 3) เพื่อนที่เคยเจอช่วงเรียนรองเท้ามาหาที่ร้าน แกเป็นเจ้าของร้านตัดผม (แกเป็นเกย์ควีน) ผมก็ชวนแกมาทำเสื้อร่วมกัน ผมจึงเปิดสาขา 2 (พันธมิตรที่ดีช่วยส่งเสริมให้คุณโตเร็ว)

          พอผมเปิดสาขา 2 สักพัก ผมได้ออเดอร์จากดูไบ (ดาวนำโชคดวงที่4) ออเดอร์ 12,000 ตัว คิดเป็นเงิน 1,000,000 ผมโชคดีโคตร ๆ กำลังจะรวยแล้ว แต่ปัญหาผมมีเงิน 500,000 บาท จะไปทำออเดอร์ 1 ล้านได้ไง ผมจึงขอเก็บมัดจำ 30% แล้วเอาไปค้ำประกันกับร้านผ้า (เครดิตที่ดีจะช่วยให้คุณจับเสือมือเปล่าได้)

          หลังจากนั้นผมกับพี่พันฮึกเหิมมาก จนขยายไปเปิดร้านสาขา 3 สาขา 4 สาขา 5 สาขา 6 ในแพลตินั่มในเวลา 1 ปี ช่วงนั้นโตเร็วสุด ๆ เงินล้าน 2 ล้าน 3 ล้าน 4 ล้าน มาจนนับไม่ทัน ในขณะนั้นมีร้านเสื้อผู้ชายแค่ 30 ร้านค้า (โอกาสมาแล้วต้องตีให้แตก)


ช่วงไว้อาลัย PART 4

          หลังจากนั้นผมมีความเห็นพ้องกับพี่พันว่า โตแล้วต้องแตก แต่ในช่วงนั้นพี่พันแกไม่มีทุน ผมจึงต้องสนับสนุนแกเรื่องเงินทุน จึงให้แกยืมไป 2 ล้านบาท (โตแล้วต้องแตกเพื่อลดปัญหา แล้วขยายอิสระ)

          หลังจากนั้น 1 ปี พี่พันแกไปเปิดสาขาใน กทม. ภาคกลาง ภาคตะวันออก เป็นจำนวน 25 สาขา ภายใต้แบรนด์ Chada (ดอชะฎา) ยอดขาย 12 ล้านต่อเดือน (ขณะนั้นยังไม่มี Uniqlo H&M) ส่วนผมไปเปิดที่มาบุญครอง กรุงทอง 1 จตุจักร เจเจมอลล์ เจ๊งหมด (ถ้าคุณไม่มีทีมงานที่พร้อม อย่าเพิ่งขยาย)

          ร้านที่แพลตินัมผมกำลังจากตาย เนื่องจากยอดขายรอบนอก 25 สาขา กำลังทำลายจุดศูนย์กลาง ผมจึงคุยกับพี่พันตรง ๆ ว่าผมขอสิทธิในแพลตินัม 6 สาขา แล้วอีก 25 สาขาพี่ดูแลไป (ผมกำลังจะตายต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด)

          ผ่านไป 2 ปี พี่พันล้มละลาย พร้อมหนี้สิน 5 ล้าน แล้วก็ไม่สบายจากโลกนี้ไป ผมจึงอโหสิกรรมหนี้ทั้งหมด แต่แกได้ทิ้งวิชาไว้ให้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสื้อชิ้นพิเศษ (ดาวนำโชคดวงที่5) ที่ทำเงินให้ผมอีก 10 ล้าน


พี่พันคืออาจารย์อีกคนที่สอนให้ผมรู้จักการทำธุรกิจ ผมไม่เคยลืมบุญคุณคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้

        1. พ่อแม่พี่สาว
        2. คู่แข่ง BITMAP สักวันต้องตอบแทน
        3. พี่พัน ขออโหสิกรรมหนี้สินให้ทั้งหมด
        4. ทีมงาน
        5. ลูกค้า


หลักข้อคิดที่ได้จนทำให้พบกับคำว่ากำไร

        ให้ผลิตในสิ่งที่ลุกค้าต้องการ ไม่ใช่ที่คุณต้องการทำ

        สำรวจ สำรวจ สำรวจ ความต้องการลุกค้า และคุ่แข่งเสมอ

        คู่แข่งจะทำให้คุณพัฒนา

        เวลาขายไม่ดี อย่าโทษตลาดให้ดูปัญหาจากตัวเอง ให้โทษตัวเองว่าเราได้ปรับปรุงหรือยัง

        ถ้าคุณจะรวยได้ต้องมีลูกค้าส่ง เพราะจะมีแรงขยันอีก 10 มือ

        คุณต้องสร้างระบบที่ดี แล้วจะเพิ่มศักยภาพ

        จงรักษา credit

        ถ้าคุณหยุด เท่ากลับถอยหลังให้คู่แข่ง


ปลง ปล่อยวาง ไร้พลัง PART 5 (บทสรุป)

          ช่วงธุรกิจที่ 6 ช่วงนั้นยังเป็นช่วงกอบโกย ลูกค้าที่ปลีก-ส่ง ต้องยืนรอต่อแถวเอาสินค้า จะไม่ขายดีได้ไง มีร้านเสื้อผู้ชายประมาณ 50 ร้านค้า แล้วสินค้าผมโคตรโดนตลาด (สินค้าที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วมันคือเพชร)

         เย็นวันหนึ่งระหว่างขาย ผมยืนไม่ได้ ผมต้องนอนไปที่พื้นของร้าน ผมไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัว สรุปผมเป็นไวรัสบีตับอักเสบขั้นรุนแรง ผมใช้เวลารักษาอยู่ 6 เดือน ระหว่างนั้นผมไม่มีกำลังใจทำ ไม่มีแรงอยากจะคิด ผมบอกตัวเองขอย้อนกลับไปวันที่มี 3 แสน แล้วสุขภาพกลับมาแข็งแรง ผมกำลังกลัวตาย (สุขภาพสำคัญกว่าเงิน)

          ช่วงนั้นผมจึงลดเหลือ 4 สาขา ผมหมดไฟ ไร้พลังต่อสู้ แต่ความซวยที่ยิ่งใหญ่กำลังมาเยือน แพลตินั่มเปิดตึกสอง แล้วให้ลูกค้าที่ขายรองเท้า กระเป๋า เครื่องหนังย้ายไปตึกใหม่ทั้งหมด ด้วยสัญชาตญาณที่ช่ำชองในแพลตินัม ผมรู้ละ หายนะกำลังมาเยือน (คู่แข่งที่ไม่ต้อนรับกำลังมา)

          ห้องในแพลตินั่ม ชั้น 3-4 ว่าง 300-400 ห้อง เกิดการถ่ายเท เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ แพลตินั่มจะทำชั้น 4 ให้เป็นชั้นเสื้อผู้ชาย หมายถึงว่า จากคู่แข่ง 50 ร้านค้า จะกลายเป็น 400 ร้านค้าในทันที (เสือหลับกำลังจะตื่น)

          ผมรู้ละว่าอะไรจะเกิดในช่วงถ่ายเท ในช่วงปีที่ 8-9 ผมจึงตักตวงความสุขสุดท้าย ก่อนที่ตลาดจะเป็น RED OCEAN ตลาดที่แข่งแต่ราคา หาความต่างลำบาก (สินค้าที่ทำถ้าไม่มี Barrier of entry ก็ต้องตายจาก) ขอบทุกทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่าน ติดตาม หวังว่าจะได้อะไรบ้างนะครับ





กฎ 1-95 ข้อง่าย ๆ ในการเปิดธุรกิจ ผมขอนำมารีรันนะครับ

        1. คุณจะต้องขายสิ่งที่ตลาดต้องการไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะขาย

        2. ต้องเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด

        3. สิ่งที่จะทำ ต้องขายส่งได้ด้วย เพราะขายปลีกมันไม่รวย แล้วมันกระจายจุดไม่ได้ ถ้าของเราขายส่งได้ มันสามารถไปอยู่ได้ทุกมุมโลก

        4. ของที่เราขายส่งได้ ในระยะยาว เราต้องเป็นผู้ผลิตเองได้

        5. สิ่งที่เราขาย ต้องไม่ใช่สิ่งที่เหมือน ๆ กันแล้วแข่งเพียงแต่ราคา เช่น ไข่ไก่ แต่เสื้อยืดคุณขายดีไซน์ไอเดียได้

        6. สิ่งที่คุณจะขาย ต้องมีจุดแข็ง ที่ไม่ใช่คำว่า ราคา คุณภาพ บริการ แต่มันต้องลึกกว่านั้น

        7. คุณต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าคุณ ทำไมเขาต้องไม่ไปซื้อคู่แข่ง

        8. คุณต้องรูว่า กลุ่มเป้าหมายคุณคือใคร แล้วทำเลนั่นมีกลุ่มเป้าหมายคุณไหม

        9. คุณจะเป็นใครในตลาด รวม ๆ หมายถึง คุณจะขาย สินค้าระดับไหน ราคาระดับไหน ภาพลักษณ์คุณระดับไหน

        10. ร้านอาหาร ข้าวมันไก่เหมือน ๆ กันแต่ทำไมร้านนี้คนเต็ม อีกร้านไม่มีลูกค้า เวลาคุณเดินผ่าน คุณจะเลือกเข้าร้านที่คนเยอะ แม้คุณจะไม่เคยกิน แต่คุณจะคิดว่าร้านนี้ต้องอร่อยคนจึงเต็ม คุณจะทำยังไงให้ร้านคุณลูกค้าผ่านครั้งแรกแล้วอยากเข้า

        11. คุณต้องสร้างระบบ ที่ระบบนั้นไม่ได้ยึดตัวคุณ แต่ดำเนินการด้วยตัวมันเอง คุณเพียงเป็นคนตรวจคุมระบบ

        12. อะไรจะเป็นจุดแข็งของคุณ เมื่อมีคนอื่นมาเป็นคู่แข่ง หรือมีคนมาก็อปปี้ คุณจะทำยังไง คุณต้องมีจุดแข็งตรงนั้น เพราะธุรกิจเป็นระบบเสรี

        13. การลดต้นทุน คือกำไรอัตโนมัติ คุณขายได้ 1,000 หน่วย ลดต้นทุนได้ 2 บาท เท่ากับว่าคุณกำไรตั้งแต่ยังไม่ขาย 2,000 แล้ว

        14. พนักงานคือสิ่งที่สำคัญ ถ้ายิ่งพนักงานอยู่นานเท่าไร เท่ากับประสบการณ์ยิ่งมาก สามารถจบลูกค้าได้ง่าย คุณจะทำยังไงให้พนักงานอยู่นานที่สุด

        15. คุณจงคำนวณยอดขายต่ำสุดในช่วงโลว์ซีซั่น แล้วหาจุดคุ้มทุน ถ้าช่วงโลว์สุดยังกำไร ก็ตัดจุดเจ๊งได้เลย

        16. คุณจะต้องสำรวจตลาดเสมอ เพราะการตลาด เพียงแค่คุณหยุด คู่แข่งก็ก้าวล้ำคุณไปแล้ว ถ้าคู่แข่งคุณหยุด แล้วคุณพัฒนา คุณก้าวล้ำ 2 ก้าว

        17. ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ ในช่วงโลว์ทุกคนหยุดกิจกรรมเสมอ เพียงคุณกระตุ้นแผนการตลาด ลูกค้าก็รับรู้ง่าย

        18. ในช่วงตลาดโลว์ ลูกค้าเดิม ๆ จะขายไม่ดี จะเริ่มหาเจ้าใหม่ นั่นคือโอกาสของเราเสมอในตลาดโลว์

        19. จงแยกแยะลูกค้าชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นแย่ เพราะลูกค้าทุกคน สัดส่วนซื้อไม่เท่ากัน ตามกฎ 20/80 คือ ลูกค้าสัดส่วน 20% แต่เป็นกำไรของร้าน 80%

        20. เมื่อคู่แข่งแข่งราคา คุณจงอย่าแข่งราคาจนไม่มีกำไร เพราะธุรกิจต้องการกำไร

        21. วันที่คุณขายไม่ดี อย่าโทษตลาด เพราะในวันนั้นก็มีคู่แข่งคุณที่ขายดี

        22. เวลาคุณขายไม่ดีอย่าเพียงแต่โทษตลาด เศรษฐกิจไม่ดี ฝนตก แต่หันมาดูตัวเราเองแล้วถามว่า เราทำสินค้าตรงตามความต้องการลูกค้าไหม ราคาเราสมเหตุสมผลไหม บริการเราดีไหม

        23. อัตราขายส่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะเมื่อเรามีลูกค้าขายส่ง เท่ากับว่าเรามีหน้าร้านเพิ่มอัตโนมัติ โดยที่เราไม่มีค่าเช่า

        24. ลูกค้าส่งยิ่งมีมาก สินค้าเราจะไม่เคยค้างสต๊อก เช่น เราผลิตต่อแบบ 50 หน่วย มีลูกค้าส่ง 50 เจ้า ลูกค้ารับไปเจ้าละ 1 ตัว เขาจะไม่รู้หรอกว่าแบบนั้นขายไม่ดี

        25. ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไร ความคิดตัน คุณแค่เพียงก้าวเท้าออกไปจากร้าน แล้วไปในแหล่งที่ขายของแบบเดียวกับคุณ คุณอาจได้ไอเดียกลับมา

        26. ปัญหาร้อยแปดพันเก้า คุณจะบอกไม่รู้จะขายอะไร วิธีง่ายสุดคือ ก็อปปี้ไง คุณไปลอกเลียนแบบร้านค้าที่ขายดีแล้วคุณพอจะทำได้ในเบื้องต้น แล้วลงมือดู (แต่คิดเยอะ ๆ ก่อนทำ)

        27. ก่อนจะทำธุรกิจอย่าไปลองผิดลองถูก คิดว่าเปิด ๆ ไป ขาย ๆ ไปเดี๋ยวก็มีคนมาซื้อ คุณวางแผนก่อนดีไหมว่าจะขายอะไร หาเหตุผลที่ลูกค้าจะซื้อ เพราะเงินลงทุนมีจำกัด

        28. ถ้าคุณจะก็อปปี้ มันก็เป็นทางลัด แต่ไปเปิดไกล ๆ นะ เพราะอาจโดน Teen คนเขียนเคยโดนมาแล้ว

        30. คุณจงรับรู้ไว้ว่า ลูกค้าที่มาซื้อคุณ ไม่ใช่เพราะสินค้าคุณดีสุด ถูกสุด แต่เป็นเพราะตลาดมันไม่สมบูรณ์ด้านข้อมูล

        31. ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าที่ถูกสุด แพงสุด หรือดีสุด แต่เค้าซื้อที่เขาต้องการใช้ แล้วราคามันสมกับมูลค่าที่เขาคิดว่าจะได้รับ

        32. ลูกค้าประจำที่มาซื้อคุณ เขาคือ LOYALTY CUSTOMER คุณจงดูแลเค้าให้ดี เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ แพงกว่า 5 เท่าในการดูแลลูกค้าเก่า

        33. คุณจงทำสินค้าที่ตอบสนองลูกค้าส่วนรวม เพราะเมื่อคุณตอบสนองลูกค้าเพียงคนเดียวเมื่อไร คุณจะเสียความเป็นส่วนรวมในตลาด ถ้าสินค้าคุณไม่ใช่สินค้าเฉพาะกลุ่ม

        34. ถ้าคุณคิดว่าสินค้าคุณขายดีแล้ว แล้วคุณก็ผลิตแต่สินค้าเดิม ๆ คุณเตรียมตัวตายได้เลย ถ้าสินค้าคุณเป็นแฟชั่น

        35. ถ้าสินค้าคุณขายดีในช่วงไฮ คุณจงคิดให้น้อย แต่ทำให้มาก แต่ถ้าคุณขายไม่ดีในช่วงโลว์คุณจงคิดให้มาก แต่ทำให้น้อย

        36. กลยุทธ์อาจใช้ได้ดีในช่วงไฮซีซั่น แต่อาจแย่ในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะสินค้ามันมีวัฎจักร

        37. ถ้าคุณจะขยายสาขา จงมั่นใจว่าสาขา 1 คุณใช้เต็มประสิทธิภาพ จงอย่าคิดแต่เพียงฉันอยากจะเปิด

        38. ถ้าคุณจะเปิดสาขา จงใช้พลังของสาขา เพราะมันไม่ใช่ 1+1 แต่มันเป็น 3

        39. ถ้าคู่แข่งคุณมาใหม่แล้วทำให้ยอดขายคุณตก คุณต้องรีบโจมตี ถ้าปล่อยไว้ระยะยาว คุณจะเสียอำนาจการแข่งขันในระยะยาว (แต่ขอให้โจมตีทางด้านการตลาด)

        40. ถ้ายอดขายคุณตก คุณพึงสังวรณ์ไว้เลย ตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว

        41. คุณต้องมีสายตาในการประเมิน คู่แข่งมี 3 แบบ คือ

        - คู่แข่งโดยตรงในตลาดเดียวกัน
        - คู่แข่งโดยตรงในตลาดต่างกัน
        - คู่แข่งไม่โดยตรง แต่กินเงินจากกะเป๋าลูกค้าเดียวกัน

        42. ลูกค้าคุณคือเครื่องยืนยันดีที่สุด ว่าเขาซื้อคุณเพราะอะไร มีปากจงถาม ถาม ถาม เป็นวิธีประเมินตัวเองดีที่สุด

        43. วิธีจะหาจุดอ่อนคู่แข่ง คุณก็ลองทำตัวเป็นลูกค้าโง่ ๆ ไปลองซื้อสินค้าเขา แล้วอะไรที่เขาทำไม่ได้ คุณก็เอากลับมาเป็นจุดแข็ง

        44. ถ้าคุณจะขยายสาขา ขอให้มั่นใจว่าคุณจะดูแลมันทั่วถึง มิใช่ปล่อยให้ร้านค้านั้นกัดกินกำไรจากสาขาแม่ แล้วเป็นสาขาซากปรักหักพัง

        45. สินค้าที่จะทำเงิน คือสินค้าที่อยู่ในกระแส ที่คุณเป็นผู้นำแฟชั่น จับทางให้ถูก ให้ไว แล้วตีให้ร้อน

        46. ถ้าคุณขายสินค้าไม่ออก อย่าไปโทษลูกค้า แต่คุณจงแน่ใจว่าของที่คุณขายมีคนใช้จริงเหรอ จงรีบพัฒนาโดยเร็ว หรือโยนมันทิ้ง แล้วหาสินค้าที่มันใช่ดีกว่า

        47. คุณอย่าริอาจผลิตสินค้า จนกว่าคุณจะมีลูกค้า เพราะคุณผลิตมาอาจทิ้งยกล็อต จงหาลูกค้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยผลิต

        48. อย่าริขายส่งเลย ถ้ายังขายปลีกไม่ได้ เพราะลูกค้าส่งก็คงเอาของคุณไปดอง เพราะคุณยังขายปลีกไม่ได้ คุณต้องพิสูจน์สินค้าตัวเองขายดีก่อน จะให้คนอื่นไปขายแทน

        49. ถ้าคุณจะขายส่ง คุณต้องคิดปัญหาแทนลูกค้าส่ง ว่าจะเจอปัญหาอะไร แล้วคุณจะผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ในตลาดให้ลูกค้าแทน ลูกค้าส่งมีหน้าที่ขาย คุณมีหน้าที่ผลิตของที่ตลาดยอมรับ

        50. กำไรคำนวณให้เป็น บางคนขาย 100 ต้นทุนสินค้า 40 ค่าเช่า 20 ค่าเด็ก 10 กำไร 30 คิดไปคิดมาก็กำไร แต่สุดท้ายเงินไม่เหลือในธนาคาร กำไรแบบนี้สิมายา เงินที่อยู่ในธนาคารคือกำไร (ต้นทุนแฝงมีมากกว่าที่เราเห็น)

        51. ไม่มีใครเจ๊งจากการทำธุรกิจที่ไม่ได้ไปกู้มาหรอก แต่ที่เขาปิดกิจการ เพราะเขาไม่เห็นอนาคตมากกว่า เพราะก็ยังเห็นกินฟูจิกันอยู่

        52. ธุรกิจคุณจะอยู่รอดได้ เพราะระบบวัตถุดิบ ระบบผลิต ระบบขนส่ง ระบบขาย คุณจงจ่ายในอัตราที่อยู่ร่วมกันได้ เพราะถ้าคุณรวยคนเดียว คนอื่นจน สักวันคุณจะไม่เหลือระบบ แต่เมื่อคุณจ่าย คุณก็รับให้เต็มที่ ระบบมันจะแข่งแกร่ง GIVE & TAKE

        53. ถ้าคุณขายเอง ไม่ปล่อย ไม่ไว้ใจใคร คุณก็ขายเองไปจนตาย

        54. ถ้าคุณคือสมองของระบบ จงอย่าเอาตัวลงไปขาย เพราะคุณจะไม่เห็นภาพกว้าง คุณไม่ได้จำเป็นต้องขายเก่ง แต่คุณมีพนักงานขาย คุณต้องรู้รายละเอียด

        55. ถ้าคุณปล่อยร้านค้าไม่สนใจ อย่าอ้างว่าคุณคือเจ้าของ แล้วไม่ต้องเข้าร้าน แต่เวลาที่คุณไม่อยู่ร้านคุณขอให้แน่ใจว่า คุณยังดูภาพรวมตลาดอยู่
        56. ถ้าสินค้าคุณเป็นธุรกิจ no barrier of entry คือ คู่แข่งเข้ามาง่าย คุณจงคำนวณเวลาตายของธุรกิจไว้ด้วย เพราะคุณจะได้ไม่ประมาท หรือมองธุรกิจที่ 2

        57. คุณอย่าตัดสินใจเลือกทำเลที่ราคาเพียงอย่างเดียว เพราะราคาถูกคุณอาจขายของให้ผี แต่ถ้าค่าเช่าแพง ถ้ามันอยู่ในทำเลที่ดีขายแล้วมีกำไรพอใจ ก็เช่าไปเหอะ

        58. ก่อนจะเลือกทำเล คุณจงใช้เวลาไปเดินที่นั้น 7 ครั้ง ดีกว่าจะมาอยู่เสียค่าเช่าฟรี ๆ 1ปี

        59. ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเปิดร้านแล้วขายของที่ต้องตามแฟชั่น หรือคุณต้องไปเลือกของเอง หรือจับจ่ายของทุกวัน เช่น ขายอาหาร ขอให้มั่นใจคุณต้องชอบนะ เพราะโคตรเหนื่อย

        60. ถ้านโยบายคุณจะขายปลีก-ขายส่ง ขอให้แน่ชัดกับทำเล เพราะถ้าคุณจะขายปลีกแล้วไปเปิดใน โบ๊เบ๊ สำเพ็ง คุณก็เตรียมตัวตาย จงรู้ตัวก่อนว่าจะขายที่ไหนที่เหมาะกับคุณ

        61. ราคาใครคิดว่าไม่สำคัญ งั้นจะมีราคา 1 ตัว ส่ง 3 ตัว มีป้าย SALE SALE ราคาโคตรมีผลกับการตัดสินใจซื้อ ดังนั้นอย่าตั้งมั่ว ๆ แต่ขอให้มีเหตุผลว่าราคานี้ใครซื้อ และทำไมต้องราคานี้เพราะงั้นคุณคงได้ขายกันเองแน่ ๆ

        62. ราคา 99 199 299 มันมีประสิทธิภาพนะ ลองเข้าร้าน KFC สิ

        63. อย่าใช้นโยบาย sale พร่ำเพรื่อ เพราะเมื่อคุณไม่ลด ลูกค้าอาจไม่ซื้อคุณเลย ขอให้ทุกครั้งที่เซล จุดประสงค์เพื่อโละสินค้าตกรุ่น หรือเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือโจมตีคู่แข่ง หรือ..??? เพราะผมซื้อ S&P แค่วันพุธ

        64. คุณอย่าไปกังวลกับคู่แข่งที่ขายโดยใช้แต่กลยุทธ์ราคา เพราะลูกค้ามีหลายระดับ ถ้าคุณไปยึดมาก คุณจะลดเกรด คุณภาพ ภาพลักษณ์ตัวเอง จนไม่มีค่า แต่ขอให้มั่นใจว่าสินค้าคุณ ราคากับมูลค่าสอดคล้องกัน

        65. สินค้าที่คุณขาย จงมีทางเลือกให้ลูกค้า ถ้าคุณอยากได้ยอดขายเพิ่ม หรือจบการขายได้ คุณเคยเห็นคนขายน้ำปั่นรสเดียวไหม หรือร้านอาหารตามสั่งมีเมนูเดียว ยกเว้นคุณจะชำนาญแบบข้าวมันไก่ประตูน้ำ

        66. คุณเคยโทษดวงไหม ทำไมร้านนั้นคนเข้าเยอะ ร้านนี้คนเข้าน้อย ดวงมีส่วนนะ แต่ผมว่าสินค้า การตกแต่ง ราคา มีผลมากกว่าดวง

        67. ถ้าคุณจ้างพนักงานขาย จงมั่นใจว่าคุณจ้างพนักงานขาย ไม่ใช่พนักงานไล่แขก

        68. ถ้ามีลูกค้าเข้ามาพร้อมกัน ไม่มีทางที่คุณจะดูแลจบการขายลูกค้าได้พร้อมกัน จงประเมินความน่าจะเป็น งั้นคุณอาจคนเต็มร้านแต่เดินออกหมด (เห็นลูกค้าแขก ให้สนใจลูกค้าสิงคโปร์)

        69. ถ้าลูกค้ายังไม่เข้ามาเหยียบในพื้นที่ร้าน ลูกค้ามีสิทธิ์จะจากไป จงปล่อยให้เขาเข้ามาก่อน เพราะเขาสนใจจึงเดินเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วก้อย่าปล่อยออกไป เพราะเมื่อเขาเดินออกไป แสดงว่าเงินส่วนนั้นอาจตกไปเป็นของคู่แข่งแล้ว

        70. ถ้าคุณจะอยากจะขยายยอดขาย ก็มี 4 วิธีในการเพิ่มสินค้า เช่น ขายเสื้อยืดผู้ชาย

        - แนวนอน ก็ขายเสื้อยืดคอกลม คอวี สกรีนลาย เสื้อพื้นแขนสั้น แขนยาว (วัตถุดิบตัวเดียวกัน)
        - แนวตั้ง เพิ่มเสื้อโปโล ชาย แจคเกต เสื้อฮู้ด (เพิ่ม ผลิตลาย ทางเลือก)
        - แนวเมทริก เช่น ขายหมวก ขายรองเท้า ขายแว่นตา กางเกง (เพิ่มส่วนประกอบเกี่ยวเนื่อง)
        - แนวหลากหลาย เช่น ขายอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเดิมเลย เช่น ขาย ชุดราตรี ชุดว่ายน้ำ

        71.  ถ้าอ่านมาถึงข้อนี้ จะบอกว่า ข้อ 29 ไม่มี

        72. คุนกลับไปหาข้อที่ 29

        73. ถ้าคุณขายในแหล่งท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่คุณพูดหนี่ฮาว จ๋ายเจี้ยน เซียเซี่ย คนจีนก็ซื้อคุณละ

        74. ถ้าคุณคิดว่าจะเปิดร้านอย่าไปคิดหาสินค้า นวัตกรรมใหม่ ๆ เลย ถ้าคุณไม่ใช่ สตีฟ จ๊อบส์ คุณแค่เพียงหาช่องว่างในสินค้าเดิม ๆ แค่นี้ก็ทำเงินละเพราะไม่มีร้านใหนสมบูรณ์แบบ ร้านใหญ่ไม่สนใจ ลูกค้ารายย่อย ร้านค้าใหญ่ ๆ มักบริการช้า ไม่ดูแลบริการ

        75. ถ้าคุณหาช่องว่างไม่เจอ ก็แค่วันไหนคุณหาซื้อสินค้าหรือบริการนั้นไม่ตอบสนองความต้องการคุณ นั่นล่ะช่องว่าง

        76. ถ้ากลัวเปิดแล้วเจ๊ง ลองหาเพื่อนร่วมธุรกิจ เพราะความรู้ของแต่ละคนอาจหลากหลาย รวมถึงเงินทุน

        77. ถ้าธุรกิจที่คุณเปิดร่วมลงทุน ถ้าขยายเติบโต จงแตกมันซะ ก่อนที่จะมาแตกแยก ส่วนใหญ่ช่วงแรก ๆ ขาดทุน ก็ยอม ๆ กันไป พอมีกำไร ผลประโยชน์มักไม่ลงตัว ดังคำที่ว่า โตแล้วแตก แต่ถ้าใครไม่แตก ก็ทำต่อไป

        78. ถ้าคุณมีเป้ายอดขาย คุณอย่าพยายามได้ลด แต่จงพยายามหาวิธีที่จะได้ถึงเป้าหลาย ๆ ทาง เพราะไม่งั้นยอดขายคุณจะลดลงเรื่อย ๆ

        79. ว่าง ๆ หาหนังสือธุรกิจ การบริหาร การตลาดมาอ่านบ้าง มันจะเปิดมุมมองคุน เช่น RICH DAD POOR DAD รับรอง นารูโตะไม่มีสอน

        80. ธุรกิจที่ดีคุณต้องทำบันทึกยอดขาย รายวัน รายเดือน รายไตสมาส รายปี เทียบเดือนต่อเดือน ปีต่อปี งั้นคุณจะไม่รู้แนวโน้มตัวเอง

        81. สินค้ารอบตัวคุณ มันมีแผนการตลาดซ่อนอยู่หมดนั้นล่ะ เมื่อคุณซื้อหรือใช้บริการสินค้า คุณก็โดนมิสเตอร์การตลาดจัดการแล้ว ดังนั้นสินค้าที่คุณขาย จงใช้ตัวช่วยให้มันขายง่ายขึ้น โดยมิสเตอร์การตลาด

        82. ก่อนที่คุณคิดจะหาวิธีเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาด คุณขายของให้ได้ก่อนดีไหม มีเงินเข้าดีกว่าเงินออกโดยที่ไม่มีรายได้ คือพยายามขายของโดยใช้ต้นทุนให้น้อยสุด

        83. ทำไมเฟรนช์ฟราย KFC เล็กกว่า เหี่ยวกว่าของ  McDonald's หรือเจ้าของไม่รู้ว่าลูกค้าบ่น เพราะก็เหมือนกับว่าทำไมของบางร้านสวยไม่เท่ากับอีกร้าน หรือแพงกว่าอีกร้านก็ยังขายได้

        84. ทำไมสินค้าบางตัวในห้างถึงขายต่ำกว่าราคาทุน เช่น น้ำตาล น้ำมันพืช เพราะคุณคงไม่ได้ขับรถไปเพียงแค่ซื้อน้ำตาล ดังนั้นราคาสินค้าในร้านคุณทำไมบางตัวถึงแพง บางตัวถึงถูก คิดก่อนตั้งราคา ตั้งถูกชีวิตเปลี่ยน

        85. คุณอย่าขายราคาที่กำไรต่อหน่วยเท่ากันหมด เพราะบางทีคนอ้วนก็ยอมจ่ายแพงกว่านะ

        86. พื้นที่ขายต่อร้านค้า แปรผันต่อกำไร ถ้าคุณขายสิ้นค้าชิ้นใหญ่กำไรน้อย คุณก็ต้องใช้พื้นที่ ก็อย่าไปจ่ายค่าเช่าต่อ ตร.ม. ละ 10,000 เลย ถ้าคุณไม่ได้ขายทอง คำนวนพื้นที่ต่อ ตร.ม. ต่อราคาด้วย

        87. ผมขอเตือนถ้าคุณขายดี อย่าให้โดดเด่นมาก เพราะตลาดเสรี ไม่มีใครให้คุณฟันกำไรคนเดียวนาน ๆ หรอก ยกเว้นเณรคำไม่ดังก็ฟันได้

        88. ปัจจัยการตลาด 1 อย่างอาจถูกต้อง แต่ไม่ถูกเวลา หรือต้องใช้การตลาดมากกว่า 2 จงเลือกทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

        89. ขอให้มั่นใจว่าคุณขายที่ประสิทธิภาพของสินค้า มิใช่เปลือกนอก เช่น บรรจุภาพ การตกแต่ง ราคา ของแถม เพราะลูกค้าจะซื้อคุณแค่ครั้งเดียว

        90. นโยบาย เปลี่ยน คืน แลก ขอให้ชัดเจน เพราะคุณอาจเสียลูกค้าไม่ใช่เพราะสินค้า แต่เป็นทะเลาะตบตีกันทีหลัง

        91. ทำไมโรงหนังขายป๊อปคอร์น แพง ๆ แต่คนซื้อ บางทีของคุณในร้านลูกค้าเข้ามาเพราะชอบอันนี้ แต่ก็เบลอ ๆ ซื้อของแพงด้วย เห็นไหมขายแบบไม่เบลอ แต่ลูกค้าเบลอ จงใช้อารมณ์ร่วมของลูกค้า อย่าทำให้ลูกค้าใช้สมอง

        92. ถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่ม ขอให้ได้ปวดหัวเลย เพราะจะถามกันไปมา ซื้อไหม ไอ้คนจะตั้งใจซื้อ ก็เลยไม่ได้ซื้อ สรุปเดินออกกันไปแบบงง ๆ ถ้าจบรายตัวได้ให้รีบจบ งั้นต้องใช้กฎหมู่

        93. ถ้าคุณขายของแล้วเหลือสต็อกทำยังไง ก็ลดราคาเท่าทุน หรือขาดทุน ดังนั้นขอให้รู้เลยคุณไม่มีทางขายของทุกชิ้นได้หมดแน่ ดังนั้นราคาที่ตั้งจงบวกส่วนสำรองตรงนี้ไปด้วย สุดท้ายภาระตกที่ผู้บริโภค

        94. การขายของถูก ผู้ได้รับผลประโยชน์คือลูกค้า ยิ่งขายถูก ลูกค้ายิ่งกำไร ซัพพลายเออร์รวยเอารวยเอา คนผลิตก็ผลิตกันไป สุดท้ายคนขายโดนค่าเช่ากินตาย เจ้าของต้องหา BREAK EVEN POINT เป็นนะ จุดคุ้มทุน ดั่งคำว่าทำให้คนอื่นรวย

        95. เมื่อเปิดธุรกิจนาน ๆไป ลูกค้าจะเบื่อสินค้าเดิม ๆ ลูกค้าจะบ่นว่ามีของใหม่ไหม พอเราบอกไม่มีลูกค้าก็ไม่ซื้อ พอบอกมีใหม่ลูกค้าบอกไม่ชอบ ก็ไม่ซื้อ สรุปก็ไม่ซื้อ ดังนั้นคุณต้องหา CORE PRODUCT ให้เจอ คือจุดที่ลูกค้ายังไงก็ต้องซื้อ เช่น ร้านข้าวร้านนี้ไม่อร่อยยังมีคนกิน รถเมล์บริการห่วยก็ยังมีคนขึ้น



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2014, 09:32:46 pm
ไปเที่ยวทั้งที  มาลดหย่อนภาษีกันดีกว่า

-http://money.sanook.com/226821/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/-



วันนี้ขอ Update เรื่องราวการลดหย่อนภาษีสำหรับคนชอบเที่ยวกันบ้างครับ แหม่.. พูดแบบนี้หลายๆคนคิดไปถึงเสียงยามราตรี ตึง ตึก ตึก โป๊ะ กันแน่เลย แต่ไม่ใช่ครับ เพราะมันคือการท่องเที่ยวไทย ไม่ไปไม่รู้ ต่างหากคร้าบบบ

จากข่าวล่ามาเร็วเมื่อวันที่14 ตุลาคม 2557 นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และร่างกฎกระทรวงที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว

ซึ่งสำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดาอย่างเรานั้น กฎหมายระบุไว้ว่าจะยกเว้นเงินได้ในส่วนที่เป็น“ค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรมให้ แก่ผู้ ประกอบธุรกิจโรงแรม” สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 15,000 บาท และจะมีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558

โดยสำหรับการลดหย่อนภาษีในการท่องเที่ยวนี้ เคยมีใช้ มาแล้วในปี 2553 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และ @TAXBugnoms
(https://www.facebook.com/TaxBugnoms (https://www.facebook.com/TaxBugnoms)) คาดว่าสำหรับปี 2557 – 2558 นี้ก็น่าจะเกิดจากเหตุผลเดียวกันครับ ซึ่งจากข่าววงในแบบสุดๆ เค้า (ใครสักคนหนึ่ง?) บอกกันไว้ว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้จะใช้เงื่อนไขตามกฎหมายเดิม เอาล่ะ เรามาดูกันต่อเลยดีกว่าว่ามีเงื่อนไขอะไรกันบ้าง

1. สำหรับคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว” นั้น หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และ “ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมซึ่งแปลว่า ค่าเดินทาง เช่น น้ำมันรถ ค่าตั๋วรถทัวร์ ค่าตั๋วเครื่องบิน ที่เราจ่ายเองโดยไม่ผ่านผู้ประกอบการทั้งสองประเภทนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้นะครับ

2. เป็นการจ่าย “ค่าบริการ” ให้แก่ผู้ประกอบการนำเที่ยวหรือที่ได้จ่ายเป็น”ค่าที่พักในโรงแรม”ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ(ท่องเที่ยวต่างประเทศใช้ไม่ได้นะครับ) ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่สูงสุดรวมกันไม่เกิน 15,000บาท

3. ต้องมีหลักฐานการรับเงิน โดยระบุชื่อของเรา(ผู้ที่ต้องการรายจ่ายส่วนนี้มาลดภาษี) พร้อมทั้งระบุจำนวนเงิน วันเดือน ปี ที่จ่ายเงินให้ชัดเจน เช่น ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน
และที่หลายคนกังวลว่าเอกสารจากตัวแทนรับจองโรงแรมต่างๆเช่น Agoda , Booking.com หรือเจ้าอื่นๆจะสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่นั้น ถ้าหากอ้างอิงตามกฎหมายเดิมแล้ว จะพิจารณาจากเจ้าของธุรกิจที่จดทะเบียนกิจการในประเทศไทยเป็นหลักครับ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากเวปไซด์กรมสรรพากรในหัวข้อ รายชื่อผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ที่ผู้มีเงินได้มีสิทธิขอหักลดหย่อนภาษีค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ที่ผู้มีเงินได้มีสิทธิขอหักลดหย่อนภาษีค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ (สำหรับกฎหมายใหม่ที่จะออกนี้ ขอแนะนำให้รอUpdate รายชื่ออีกทีนะคร้าบบ)

4 กฎหมายนี้ เมื่ออกแล้วมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่31 ธันวาคม 2558 ซึ่งคาดว่าจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2557-2558 ดังนั้นเริ่มเก็บใบเสร็จได้แล้วนะคร้าบบบ

ลองคิดดูง่ายๆครับว่า ถ้าปีนี้เราจ่ายค่าท่องเที่ยวไปเต็มที่ 15,000 บาท นั้นแปลว่าเราสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดตามอัตราภาษีที่เราเสีย ตั้งแต่ 750 บาท (สำหรับฐานภาษีต่ำสุด 5 %)ไปจนถึง 5,250 บาท (สำหรับฐานภาษีสูงสุด35%) กันเลยทีเดียว ได้เที่ยวแล้วยังได้ประหยัดภาษีอีกด้วย คุ้มจริงๆ

ดังนั้นสิ่งที่จะฝากไว้ก่อนจะจากกัน คือ อย่าลืมออกเที่ยวกันเยอะๆเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และเก็บใบเสร็จไว้เพื่อลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอีกทอดหนึ่งด้วยนะคร้าบบบ


(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/45/226821/cs3-01.jpg)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2014, 09:33:39 pm
ไปเที่ยวทั้งที  มาลดหย่อนภาษีกันดีกว่า

-http://money.sanook.com/226821/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2014, 09:34:09 pm
ไปเที่ยวทั้งที  มาลดหย่อนภาษีกันดีกว่า

-http://money.sanook.com/226821/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2014, 09:34:37 pm
ไปเที่ยวทั้งที  มาลดหย่อนภาษีกันดีกว่า

-http://money.sanook.com/226821/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 02:59:41 pm
5 ข้อต้องรู้ ก่อนซื้อLMF RMFสิ้นปี2014


-http://money.sanook.com/228037/5-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%ADlmf-rmf%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B52014/-

-http://www.aommoney.com/-


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 02, 2014, 08:50:03 am
รายจ่าย ลงทุนอะไร ที่หักภาษีได้บ้าง?

-http://money.sanook.com/224113/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-


ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแล้ว เหลืออีก 2 เดือนเศษก็จะหมดปี สำหรับมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ลูกจ้าง ก็คงฝันหวานถึงวันหยุดยาว เงินโบนัส(หากมี)และโอกาสใช้จ่ายเงินกับช่วงเทศกาลวันส่งท้ายปีและรับปีใหม่กันแล้ว

แต่หลังจากนั้น มนุษย์เงินเดือนผู้มีรายได้ทั้งหลาย ต้องไม่ลืมว่า จะต้องเตรียมยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันด้วย ซึ่งตามปรกติ กรมสรรพากรจะกำหนดให้ยื่นแบบตั้งแต่ต้นปี คือวันที่1 มกราคม จนไปถึงสิ้นเดือน มีนาคมของทุกปี

ทั้งนี้คนที่มีรายได้ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบเพื่อเสียภาษีประจำปีด้วย  ดังนั้น ในช่วงสุดท้ายของปี หากใครจะลงทุนหรือบริหารการเงินอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด วันนี้ sanook money จะรวบรวมข้อมูลมาให้เป็นแนวทางเบื้องต้นว่า แต่ละคนสามารถหักค่าใช้จ่ายจากอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะการลงทุนอะไรที่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีได้บ้าง รับรองว่าหลายคนจะได้รับเงินภาษีคืนอย่างแน่นอน.....


(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/44/224113/mon16106.jpg)


เริ่มต้นจากการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช่จ่ายในครอบครัว
      กรณีคนโสด สามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้  30,000 บาท
      กรณีสมรส หากคู่สมรสไม่มีรายได้และไม่ได้แยกยื่นภาษีสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีก 30,000 บาท
      และหากมีบุตร สามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 15,000 บาท(รวมบุตรบุตรธรรม) สามารถหักได้รวมกันแล้วไม่เกิน 3 คน โดยบุตรต้องมีอายุ ต่ำกว่า 25 ปี และหากกำลังศึกษาอยู่ในประเทศสามารถหักเพิ่มเติมได้อีกคนละ 2,000 บาท
      นอกจากนี้หากใครมีบิดา มารดาอายุ 60 ปี ขึ้นไป ต้องเลี้ยงดูสามารถหักค่าใช้จ่าย ได้อีกคนละ 30,000 บาท  นอกจากนี้เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ยังนำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทอีกด้วย
      และใครมีภาระต้องอุปการคนพิการ หรือ ทุพพลภาพ ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 60,000 บาท

การหักค่าใช่จ่ายจากรายจ่ายเพื่อเข้ากองทุนต่างๆ
      ปรกติคนทำงานกรณีลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท จะถูกหักเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในทุกเดือน ซึ่ง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถนำมาหักภาษีได้ทั้งหมด และ
      หากใครที่สมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  สามารถนำเงินที่ส่งเข้ากองทุนฯมาหักภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาท         
      ส่วนข้าราชการซึ่งสมัครกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือ กบข. ก็เช่นกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำเงินส่งกองทุนมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาทเช่นกัน

การหักค่าใช้จ่ายจากการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต หรือ การสร้างหลักประกันในอนาคต

      กรณีนี้ ใครที่มองเห็นเงินก้อน หรือ คาดว่าได้โบนัสก้อนงามในปีนี้แน่ๆวางแผนได้เลยครับว่าจะลงทุนในการลงทุนประเภทนี้เท่าไรอย่างไร เพราะสามารถนำมาหักภาษีได้มากโขทีเดียว
      ประกันฯ   โดยเบี้ยประกันชีวิต และ เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถ หักได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เฉพาะกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
      เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF หักได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ และเมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุน กบข. (ถ้ามี) หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
 
      เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF หักได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท


       
      ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้มาหักภาษีได้ตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีมีคนกู้ร่วมก็สามารถนำไปเฉลี่ยกัน  โดยเพดานคือรวมกันแล้วไม่เกิน100,000 บาทเช่นกัน

      หลังจากหักค่าลดหย่อนเหล่านั้นแล้ว หากใครที่สนับสนุนทางด้านการศึกษายังมีสิทธิทางภาษีโดย เงินสนับสนุนเพื่อการศึกษา  มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการบริจาคเพื่อการกุศลต่างๆที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกซึ่งสามารถติดตามรายระเอียดตามที่มีการประกาศโดยกรมสรรพากรอีกด้วย ทั้งนี้เงินบริจากที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น
     การบริจาคเงินให้แก่วัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาล และสถานศึกษาของทางราชการ หรือองค์การของรัฐบาล สถานศึกษาเอกชน สถานสาธารณกุศล และกองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ โดยองค์การสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาจะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ด้วยเช่นกัน

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 02, 2014, 08:50:34 am
รายจ่าย ลงทุนอะไร ที่หักภาษีได้บ้าง?

-http://money.sanook.com/224113/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-


ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแล้ว เหลืออีก 2 เดือนเศษก็จะหมดปี สำหรับมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ลูกจ้าง ก็คงฝันหวานถึงวันหยุดยาว เงินโบนัส(หากมี)และโอกาสใช้จ่ายเงินกับช่วงเทศกาลวันส่งท้ายปีและรับปีใหม่กันแล้ว

แต่หลังจากนั้น มนุษย์เงินเดือนผู้มีรายได้ทั้งหลาย ต้องไม่ลืมว่า จะต้องเตรียมยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันด้วย ซึ่งตามปรกติ กรมสรรพากรจะกำหนดให้ยื่นแบบตั้งแต่ต้นปี คือวันที่1 มกราคม จนไปถึงสิ้นเดือน มีนาคมของทุกปี

ทั้งนี้คนที่มีรายได้ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบเพื่อเสียภาษีประจำปีด้วย  ดังนั้น ในช่วงสุดท้ายของปี หากใครจะลงทุนหรือบริหารการเงินอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด วันนี้ sanook money จะรวบรวมข้อมูลมาให้เป็นแนวทางเบื้องต้นว่า แต่ละคนสามารถหักค่าใช้จ่ายจากอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะการลงทุนอะไรที่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีได้บ้าง รับรองว่าหลายคนจะได้รับเงินภาษีคืนอย่างแน่นอน.....


(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/44/224113/mon16106.jpg)


เริ่มต้นจากการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช่จ่ายในครอบครัว
      กรณีคนโสด สามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้  30,000 บาท
      กรณีสมรส หากคู่สมรสไม่มีรายได้และไม่ได้แยกยื่นภาษีสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีก 30,000 บาท
      และหากมีบุตร สามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 15,000 บาท(รวมบุตรบุตรธรรม) สามารถหักได้รวมกันแล้วไม่เกิน 3 คน โดยบุตรต้องมีอายุ ต่ำกว่า 25 ปี และหากกำลังศึกษาอยู่ในประเทศสามารถหักเพิ่มเติมได้อีกคนละ 2,000 บาท
      นอกจากนี้หากใครมีบิดา มารดาอายุ 60 ปี ขึ้นไป ต้องเลี้ยงดูสามารถหักค่าใช้จ่าย ได้อีกคนละ 30,000 บาท  นอกจากนี้เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ยังนำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทอีกด้วย
      และใครมีภาระต้องอุปการคนพิการ หรือ ทุพพลภาพ ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 60,000 บาท

การหักค่าใช่จ่ายจากรายจ่ายเพื่อเข้ากองทุนต่างๆ
      ปรกติคนทำงานกรณีลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท จะถูกหักเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในทุกเดือน ซึ่ง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถนำมาหักภาษีได้ทั้งหมด และ
      หากใครที่สมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  สามารถนำเงินที่ส่งเข้ากองทุนฯมาหักภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาท         
      ส่วนข้าราชการซึ่งสมัครกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือ กบข. ก็เช่นกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำเงินส่งกองทุนมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาทเช่นกัน

การหักค่าใช้จ่ายจากการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต หรือ การสร้างหลักประกันในอนาคต

      กรณีนี้ ใครที่มองเห็นเงินก้อน หรือ คาดว่าได้โบนัสก้อนงามในปีนี้แน่ๆวางแผนได้เลยครับว่าจะลงทุนในการลงทุนประเภทนี้เท่าไรอย่างไร เพราะสามารถนำมาหักภาษีได้มากโขทีเดียว
      ประกันฯ   โดยเบี้ยประกันชีวิต และ เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถ หักได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เฉพาะกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
      เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF หักได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ และเมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุน กบข. (ถ้ามี) หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท
 
      เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF หักได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท


       
      ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้มาหักภาษีได้ตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีมีคนกู้ร่วมก็สามารถนำไปเฉลี่ยกัน  โดยเพดานคือรวมกันแล้วไม่เกิน100,000 บาทเช่นกัน

      หลังจากหักค่าลดหย่อนเหล่านั้นแล้ว หากใครที่สนับสนุนทางด้านการศึกษายังมีสิทธิทางภาษีโดย เงินสนับสนุนเพื่อการศึกษา  มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการบริจาคเพื่อการกุศลต่างๆที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกซึ่งสามารถติดตามรายระเอียดตามที่มีการประกาศโดยกรมสรรพากรอีกด้วย ทั้งนี้เงินบริจากที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น
     การบริจาคเงินให้แก่วัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาล และสถานศึกษาของทางราชการ หรือองค์การของรัฐบาล สถานศึกษาเอกชน สถานสาธารณกุศล และกองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ โดยองค์การสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาจะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ด้วยเช่นกัน
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2014, 05:56:30 am
25 วิธีเด็ด ! ตรวจเช็คบ้านก่อนโอน จะได้ไม่โดนหลอก

-http://home.sanook.com/1153/25-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81/-


Sanook! Home มีเพื่อนที่เพิ่งเซ็นโอนบ้านไป แต่ผลปรากฏว่าโอนไปตั้งแต่ต้นปี ผ่านไปจนเกือบครึ่งปียังไม่ได้เข้าอยู่ เพราะบ้านมีความเสียหายที่ต้องซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เพื่อนเลยนั่งกุมขมับ เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนว่าก่อนเซ็นโอนบ้านกับหมู่บ้านใดก็ตาม เราต้องตรวจบ้านอย่างละเอียด ด้วยความเป็นห่วง จึงนำวิธีตรวจรับบ้านมาให้ลูกบ้านสนุก โฮมเก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่ะ

เรื่องน้ำ
1.เปิดก๊อกน้ำทุกจุด ทุกตัวในบ้าน ดูว่าน้ำรั่วหรือไม่ หรือเมื่อปิดก๊อกน้ำแล้ว มิเตอร์ยังวิ่งอยู่แสดงว่ามีจุดที่น้ำรั่ว
2.เทน้ำลงบนทุกจุดที่มีทางระบายน้ำเพื่อดูการทำงานของท่อระบายน้ำ
3.เปิดน้ำแล้วดูการทำงานของปั๊มน้ำว่าทำงานปกติไหม และน้ำแรงแค่ไหน
4.ในห้องน้ำต้องมีของให้ครบทั้งอ่างล้างหน้า ก๊อกน้ำ ชักโครก สายชำระ ที่ใส่กระดาษทิชชู ที่แขวนผ้าเช็ดตัว ก๊อกน้ำและฝักบัว ฝาปิดท่อน้ำแบบกันกลิ่น

เรื่องไฟฟ้า
5.เปิด-ปิดไฟทุกดวงในบ้านว่าดวงไหนติด ดวงไหนไม่ติด หากไม่ติดให้รีบแจ้งทันที หรืออยากจะย้ายไฟดวงไหนให้แจ้ง และจดเอาไว้
6.ใช้ไขควงวัดไฟจิ้มไปที่น็อตของปลั๊กไฟ เพื่อตรวจสอบว่าไฟรั่วหรือเปล่า จากนั้นเปิดปลั๊กไฟเพื่อดูการเดินสายไฟว่ามี 3 เส้นหรือไม่ ต้องมีสายดินด้วย แล้วเอาไดร์ทเป่าผมลองเสียบแล้วดูว่ามีปลั๊กไฟอันไหนบ้างที่ใช้ไม่ได้
7.ในห้องน้ำต้องมีการเดินสายไฟสำหรับติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ หรือถ้าจะติดเครื่องทำน้ำร้อนที่อ่างอาบน้ำต้องให้ช่างเดินไฟไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็ให้เดินเหมือนเดินไฟในบ้านคือมีสายดินด้วย และต้องมีเบรกเกอร์ติดแยกไว้ต่างหาก
8.ปีนหลังคาขึ้นไปดูใต้ฝ้าว่ามีการร้อยสายไฟใส่ท่อไว้ให้เรียบร้อยหรือเปล่า ก่อนขึ้นไปเปิดใต้ฝ้าต้องปิด Main Breaker ก่อน เหตุที่ใต้ฝ้าต้องร้อยสายไฟใส่ท่อเพราะเผื่อเวลาฝนตก หลังคารั่ว น้ำโดนสายไฟแล้วจะเป็นอันตรายกับบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้
9.ปิดไฟทุกดวงในบ้าน แล้วดูว่ามิเตอร์ไฟวิ่งไหม ถ้ามิเตอร์วิ่งแสดงว่าไฟรั่ว ต้องตรวจหาและแก้ไขทันที
10.สายดินของ Main Breaker ต้องฝังลึกประมาณ 2 เมตร ลองเช็คดูแล้วให้เขาฝังให้ใหม่ หรือเสียเงินฝังเองก็ได้
11.ให้เปลี่ยนหลอดไฟทุกดวงในบ้านเป็นหลอดประหยัดไฟแทน เพราะจะประหยัดเงินของเราลงได้เยอะ
12.ปลั๊กไฟนอกอาคารต้องมีตัวกั้นน้ำเพราะถ้าฝนตกจะได้ไม่เป็นอันตราย
13.กระดิ่งหน้าบ้านต้องเดินสายไฟ 3 เส้นเหมือนกัน ควรมียางกันน้ำ หรือมีกล่องครอบกันน้ำ
14.ควรติดไฟไว้รอบๆ บ้าน และเลือกติดเป็นสวิทซ์เปิดไฟ

งานพื้น
15.เดินลากเท้าเปล่าไปกับพื้นดูว่าปูพื้นเรียบร้อยไหม จากนั้นใส่ถุงเท้าเดินอีกรอบจะได้รู้ว่ามีรอยหรือเปล่า และตามร่องที่ปูสะอาดไหม
16.ใช้เหรียญบ้านเคาะที่พื้นดูว่ามีเสียงพื้นโป่งหรือเปล่า หากมีให้เอากระดาษกาวแปะทำเครื่องหมายไว้
17.ให้เอาลูกแก้ววางบนพื้น และห่างกันประมาณ 10 ซม.แล้วดูว่าลูกแก้วไหลไปทางไหน ถ้าไหลไปรวมกันแสดงว่าพื้นเป็นหลุม แต่หากจุดไหนไม่มีลูกแก้วอยู่แสดงว่าพื้นปูด

งานกำแพง
18.เช็คดูว่ากำแพงสะอาดไหม วอลเปเปอร์ที่ติดไว้เรียบเสมอกันหรือเปล่า ทำโดยใช้หน้าแนบติดกับกำแพง และดูว่ามีจุดไหนโป่งหรือเปล่า
19.ตรวจความตรงของขอบบัวติดผนังโดยใช้ไม้บรรทัดวางกับพื้นแล้วเลื่อนไปเรื่อยๆ หากมีช่วงที่โป่งหรือเว้าตัวของขอบบัว เราจะเห็นช่องระหว่างไม้บรรทัด
20.เช็คสีนอกอาคาร ดูว่ามีรอยรั่ว หรือร้าวไหม ถ้ามีให้แก้ไขด่วน
21.ประตู หน้าต่าง ต้องลองเปิดดูว่ามีการทรุดตัวไหม ลองปิดประตูแล้วเอาไฟฉายส่องดูว่ามีแสงลอดไหม รวมทั้งเมื่อล็อคประตูแล้วให้เอากุญแจลองไขดูทุกดอก
22.ประตูรั้วหน้าบ้านลงล็อคดีหรือเปล่า ใช้งานได้จริงไหม ใส่แม่กุญแจได้หรือเปล่า

งานใต้หลังคา
23.ควรตรวจในช่วงหน้าฝนเพื่อดูการรั่วซึม โดยขึ้นไปให้เหยียบที่โครงเหล็กของหลังคาแทนเหยียบบนฝ้า เพราะอาจเกิดอันตรายได้ จากนั้นใช้ไฟฉายส่อง ถ้ามีแสงลอดออกมาจากด้านนอกแสดงว่าหลังคารั่ว ต้องให้ทางโครงการมาซ่อมให้ทันที
24.ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาหากฉีกขาดต้องให้ทางโครงการมาซ่อมให้
25.สายไฟต้องร้อยอยู่ใต้โครงเหล็กหลังคา ไม่ใช่ร้อยอยู่เหนือโครงเหล็ก เพราะหากเกิดไฟช็ออตในขณะที่เราปีนขึ้นไป จะเกิดอันตรายได้
เห็นไหมคะ การตรวจเช็คก่อนเซ็นโอนบ้านมีหลายข้อที่คนซื้อบ้านควรรู้ และที่สำคัญเมื่อพบความชำรุด ความเสียหายต่างๆ แล้วต้องรีบแจ้งให้ทางโครงการแก้ไข โดยมีการลงรายละเอียด เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและวันที่ เพียงเท่านี้ลูกบ้าน Sanook! Home ก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านแบบมีความสุขกันถ้วนหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก www.pantip.com (http://www.pantip.com)


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 08:08:43 am
จัดพอร์ตลงทุน

-http://money.sanook.com/228577/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/-


ทุกท่านเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าการออมเงินไว้ในธนาคารเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมี พรบ คุ้มครองเงินฝากอยู่

แต่อัตราผลตอบแทนของเงินฝากปัจจุบันนั้นน้อยมากจนน่าใจหาย น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีเสียอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าเงินของเราลดลงกว่าเดิมทุกปี พูดง่ายๆคือ ยิ่งฝากนานยิ่งจนลง

หากจินตนาการไม่ออกว่าภาวะเงินเฟ้อร้ายแรงแค่ไหน ให้นึกถึงประโยค "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" จะเห็นได้ว่าในอดีตเงินบาทมีค่าใหญ่พอควรถึงขนาดต้องค่อยๆ บรรจบทีละสลึงมาให้ครบ แต่ในปัจจุบันเหรียญสลึงช่างด้อยค่าจนแทบจะหายไปจากตลาดแล้ว ถึงบรรจบให้ครบบาทได้ก็จริง(จะได้สี่เหรียญเล็กๆ) แต่เอาไปซื้อของก็อาจจะถูกร้านค้าปฎิเสธได้ บาทนึงสมัยนี้แทบซื้ออะไรไม่ได้เลย (ซึ่งปัจจุบันสำนวนนี้อาจจะปรับเปลี่ยนจากใช้กับเงินมาใช้กับทองแทนก็ยังพอได้อยู่)

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี เนื่องจากค่าเงินที่เล็กลงทุกวันๆ

แล้วเราควรจะจัดสรรเงินออมของเราต่อไปอย่างไรดี ให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะด้อยค่าลง...การ์ตูนตอนนี้มีคำตอบจ้า ^^
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 08:16:58 am
จัดพอร์ตลงทุน

-http://money.sanook.com/228577/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/-


ทุกท่านเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าการออมเงินไว้ในธนาคารเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมี พรบ คุ้มครองเงินฝากอยู่

แต่อัตราผลตอบแทนของเงินฝากปัจจุบันนั้นน้อยมากจนน่าใจหาย น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีเสียอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าเงินของเราลดลงกว่าเดิมทุกปี พูดง่ายๆคือ ยิ่งฝากนานยิ่งจนลง

หากจินตนาการไม่ออกว่าภาวะเงินเฟ้อร้ายแรงแค่ไหน ให้นึกถึงประโยค "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" จะเห็นได้ว่าในอดีตเงินบาทมีค่าใหญ่พอควรถึงขนาดต้องค่อยๆ บรรจบทีละสลึงมาให้ครบ แต่ในปัจจุบันเหรียญสลึงช่างด้อยค่าจนแทบจะหายไปจากตลาดแล้ว ถึงบรรจบให้ครบบาทได้ก็จริง(จะได้สี่เหรียญเล็กๆ) แต่เอาไปซื้อของก็อาจจะถูกร้านค้าปฎิเสธได้ บาทนึงสมัยนี้แทบซื้ออะไรไม่ได้เลย (ซึ่งปัจจุบันสำนวนนี้อาจจะปรับเปลี่ยนจากใช้กับเงินมาใช้กับทองแทนก็ยังพอได้อยู่)

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี เนื่องจากค่าเงินที่เล็กลงทุกวันๆ

แล้วเราควรจะจัดสรรเงินออมของเราต่อไปอย่างไรดี ให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะด้อยค่าลง...การ์ตูนตอนนี้มีคำตอบจ้า ^^
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 08:17:19 am
จัดพอร์ตลงทุน

-http://money.sanook.com/228577/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/-


ทุกท่านเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าการออมเงินไว้ในธนาคารเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมี พรบ คุ้มครองเงินฝากอยู่

แต่อัตราผลตอบแทนของเงินฝากปัจจุบันนั้นน้อยมากจนน่าใจหาย น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีเสียอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าเงินของเราลดลงกว่าเดิมทุกปี พูดง่ายๆคือ ยิ่งฝากนานยิ่งจนลง

หากจินตนาการไม่ออกว่าภาวะเงินเฟ้อร้ายแรงแค่ไหน ให้นึกถึงประโยค "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" จะเห็นได้ว่าในอดีตเงินบาทมีค่าใหญ่พอควรถึงขนาดต้องค่อยๆ บรรจบทีละสลึงมาให้ครบ แต่ในปัจจุบันเหรียญสลึงช่างด้อยค่าจนแทบจะหายไปจากตลาดแล้ว ถึงบรรจบให้ครบบาทได้ก็จริง(จะได้สี่เหรียญเล็กๆ) แต่เอาไปซื้อของก็อาจจะถูกร้านค้าปฎิเสธได้ บาทนึงสมัยนี้แทบซื้ออะไรไม่ได้เลย (ซึ่งปัจจุบันสำนวนนี้อาจจะปรับเปลี่ยนจากใช้กับเงินมาใช้กับทองแทนก็ยังพอได้อยู่)

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี เนื่องจากค่าเงินที่เล็กลงทุกวันๆ

แล้วเราควรจะจัดสรรเงินออมของเราต่อไปอย่างไรดี ให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะด้อยค่าลง...การ์ตูนตอนนี้มีคำตอบจ้า ^^
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 08:17:42 am
จัดพอร์ตลงทุน

-http://money.sanook.com/228577/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/-


ทุกท่านเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าการออมเงินไว้ในธนาคารเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมี พรบ คุ้มครองเงินฝากอยู่

แต่อัตราผลตอบแทนของเงินฝากปัจจุบันนั้นน้อยมากจนน่าใจหาย น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีเสียอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าเงินของเราลดลงกว่าเดิมทุกปี พูดง่ายๆคือ ยิ่งฝากนานยิ่งจนลง

หากจินตนาการไม่ออกว่าภาวะเงินเฟ้อร้ายแรงแค่ไหน ให้นึกถึงประโยค "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" จะเห็นได้ว่าในอดีตเงินบาทมีค่าใหญ่พอควรถึงขนาดต้องค่อยๆ บรรจบทีละสลึงมาให้ครบ แต่ในปัจจุบันเหรียญสลึงช่างด้อยค่าจนแทบจะหายไปจากตลาดแล้ว ถึงบรรจบให้ครบบาทได้ก็จริง(จะได้สี่เหรียญเล็กๆ) แต่เอาไปซื้อของก็อาจจะถูกร้านค้าปฎิเสธได้ บาทนึงสมัยนี้แทบซื้ออะไรไม่ได้เลย (ซึ่งปัจจุบันสำนวนนี้อาจจะปรับเปลี่ยนจากใช้กับเงินมาใช้กับทองแทนก็ยังพอได้อยู่)

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี เนื่องจากค่าเงินที่เล็กลงทุกวันๆ

แล้วเราควรจะจัดสรรเงินออมของเราต่อไปอย่างไรดี ให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะด้อยค่าลง...การ์ตูนตอนนี้มีคำตอบจ้า ^^
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 13, 2014, 09:24:03 pm
10 ข้อแนะนำสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน LTF
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 พฤศจิกายน 2557 09:23 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000130509-

โดยทีมจัดการการลงทุน บลจ.ทิสโก้ จำกัด

ต้องยอมรับกันว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวขึ้นมาได้เหนือความคาดหมายของนักลงทุนโดยรวม แม้ว่าจะมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศเข้ามาฉุดรั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงก็ตาม โดย SET Index สามารถไปทำจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 1,600.16 ในวันที่ 26 กันยายน 2557 อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนตุลาคมจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานค่อนข้างมาก

โดยเฉพาะกลุ่มยูโรโซน เนื่องจากความกังวลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัวลงจากภาวะเงินฝืดและอัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับนักลงทุนทั่วโลกผิดหวังต่อการตอบสนองจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่อนโยบายทางการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร การปรับฐานเนื่องจากแรงเทขายทำกำไรดังกล่าวตามมาซึ่ง “โอกาส” ของการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนที่มีเงินได้เข้าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ประจำปี เครื่องมือในการออมลำดับต้นๆ ที่คนส่วนมากนึกถึงคงจะหนีไม่พ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

กองทุน LTF ถือได้ว่าเป็นของขวัญจากภาครัฐที่ออกมาเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นระยะยาวแทนที่จะเป็นการซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไรกันรายวัน เพราะฉะนั้น นักลงทุนที่นำเงินมาลงทุนในกองทุนนี้จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นของแถม เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่วางไว้ (ซื้อและถือครองไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน) ในวันนี้ทางทีมผู้เขียนมี 10 ข้อแนะนำสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน LTF มาฝากกันครับ

1. เลือกนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้: ปกติแล้ว กองทุน LTF ถูกกำหนดให้ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 65% ของ NAV ซึ่งปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ มีการออกกองทุน LTF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่หลากหลาย เช่น หุ้น 70%, 75% หรือ 100% ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน

2. จ่ายปันผล?: กองทุน LTF มีทั้งแบบจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากท่านเลือกแบบจ่ายเงินปันผลก็เสมือนกับท่านได้รับผลตอบแทนระหว่างทาง แต่เงินปันผลที่ได้รับจะต้องเสียภาษี (ให้เลือกระหว่างหัก ณ ที่จ่าย 10% หรือนำมารวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี) เปรียบเทียบกับแบบไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ ในกองทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนก็จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้ผลประโยชน์งอกเงยต่อไป ช่วยให้ท่านไม่ต้องมาปวดหัวกับการยื่นและคำนวณภาษีประจำปี

3. เลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่“สม่ำเสมอ”: ผลการดำเนินการย้อนหลังที่ดีในปีก่อนอาจไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่ากองทุนนั้นจะมีผลงานที่ดีในปีถัดไป หากแต่การมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนจนเกินไป และบริหารกองทุนสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากกว่า

4. ค่าใช้จ่ายกองทุน: อย่าลืมพิจารณาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของกองทุนด้วย โดยข้อมูลตัวหนึ่งที่ควรดูคือ อัตราส่วนค่าใช้จ่าย (Expense Ratio)

5. ไม่รอซื้อ LTF ในนาทีสุดท้าย: หลายๆ ท่านมักรอเวลาจนเกือบสิ้นปีแล้วค่อยลงทุน และอาจจบที่การซื้อของแพง ในขณะที่หลายๆ ครั้งการจับจังหวะลงทุนเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายโดยเฉพาะปีที่ตลาดมีความผันผวนมากๆ การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) น่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ข้างต้นและยังเป็นการสร้างวินัยการออมที่ดีอีกด้วย

สำหรับท่านยังมีความกังวลเกี่ยวกับความถูกความแพงของตลาดหุ้นไทย 4 ข้อแนะนำต่อไปนี้น่าจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ

6. Switching: หากท่านมีเงินออมไว้ในหุ้นอยู่แล้ว (หุ้นรายตัว, กองทุนรวมหุ้นไทย) การทำ switching ไปหากองทุน LTF ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอย่างยิ่ง เพราะด้วยจำนวนเงินเดียวกัน ความเสี่ยงใกล้เคียงกัน ความถูกความแพงก็จะเป็นประเด็นรองไปเลย ยิ่งถ้าจากหุ้นรายตัวมาเป็นกองทุน LTF ก็ยิ่งดีเข้าไปอีก เพราะท่านได้ย้ายเงินไปสู่ปลายทางที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

7. LTF = Asset Class: ให้มองกองทุน LTF เสมือนเป็น Asset Class หนึ่งในการทำ Asset Allocation หมายความว่า ความถูกความแพงของตลาดหุ้นยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องเอาใจใส่ แต่ก็ไม่มากเท่ากับการจัดสรรเงินลงทุนตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ในแต่ละปีที่ผ่านไป ความมั่งคั่ง (wealth) ที่เพิ่มขึ้น ท่านยังคงสามารถเจียดเงินลงทุนตามตราสารประเภทต่างๆ ได้ เพียงแต่การใส่เงินเข้ากองทุน LTF อาจจะต้องถือนานกว่าหุ้นรายตัวอื่นๆ แต่ก็เป็นวินัยที่ดีในการลงทุน

8. ลดหย่อนภาษี = Loss Cushion: ให้มองยอดเงินลดหย่อนภาษีเสมือนเป็น Cushion ของความเสี่ยงหุ้นขาลง ซึ่งถ้าหุ้นปรับตัวลงไปมากพอๆ กับจำนวนเงินที่เราลดหย่อน ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะทยอยซื้อเพิ่ม เพียงแต่อาจจะร่นเวลาการจัดสรรเงินลงทุนไปยังกองทุน LTF เร็วกว่าการทยอยซื้อตลอดปี ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีหากเรามีความยืดหยุ่นในการลงทุน

9. มองกันยาวๆ: หากท่านเป็นคนที่ลงทุนในกองทุน LTF เป็นประจำ ความถูกความแพงของตลาดหุ้นน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวล เพราะหากดูผลตอบแทนย้อนหลังไป 2-3 ปี เมื่อนำผลตอบแทนมาเฉลี่ยกันแล้วน่าจะเป็นที่พอใจหากเปรียบเทียบกับตราสารประเภทอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะในปีที่ไม่ดีก่อนหน้า ก็มีปีที่ดีปีอื่นๆ ชดเชยกันไป

10. อย่ามองข้าม RMF: คนทำงานส่วนใหญ่มักลงทุนในกองทุน LTF เพื่อให้ได้ประโยชน์ทางภาษี และไม่เลือกกองทุน RMF เพราะรู้สึกว่าต้องลงทุนต่อเนื่องจนครบอายุ 55 ปีจึงจะสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้ ความจริงแล้ว กองทุน RMF เป็นเครื่องมือสำคัญของการออมเพื่อวัยเกษียณ การมีเงื่อนไขของเวลาเป็นการสร้างวินัยการออมป้องกันไม่ให้นำเงินก้อนนี้ไปใช้ระหว่างทาง

นอกจากนี้ กองทุน RMF ในปัจจุบันมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย (หุ้นในประเทศ/ต่างประเทศ, ตราสารหนี้, สินค้าโภคภัณฑ์) ซึ่งสามารถตอบโจทย์นักลงทุนที่มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 19, 2014, 10:11:39 pm
สุขภาพการเงินที่แข็งแรง สร้างได้ไม่ยาก

-http://money.kapook.com/view104749.html-


สุขภาพการเงินที่แข็งแรง สร้างได้ไม่ยาก (ธนาคารกสิกรไทย)

        สุขภาพการเงินที่แข็งแรงสามารถสร้างได้ โดยการออมเงินสม่ำเสมอทุกเดือน และแบ่งเงินออมบางส่วนไปลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก

        หลังจากที่เราได้เช็คสุขภาพการเงินกันไปและได้ทราบผลตรวจสุขภาพการเงินของเราเอง โดยการตอบคำถาม 2 ข้อคือ ทุกวันนี้มีเงินใช้สบาย ๆ แบบที่ไม่มีหนี้ท่วมหัว และเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้เงิน ก็มีเงินสำรองเพียงพอไว้ใช้จ่ายกันแล้ว ในสัปดาห์นี้เรามาทำให้สุขภาพการเงินที่ดีของเรามีความแข็งแรงมากขึ้นดีกว่า ด้วยการทำตามคำแนะนำ 2 ข้อ ดังต่อไปนี้ค่ะ

ข้อ 1 เก็บออมเงินสม่ำเสมอทุกเดือน

        หลังจากที่เราปลดหนี้ได้สำเร็จและมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือนแล้ว คราวนี้เราก็จะมีเงินเหลือสำหรับเก็บออมอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน

        แต่ถ้าใครรู้ตัวว่า ตัวเองเป็นคนใช้เงินเก่งและเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ ก็ลองบังคับตัวเองให้ออมเงินก่อนอย่างน้อย 15% ของรายได้ต่อเดือน แล้วค่อยนำเงินที่เหลือจากการออมไปใช้จ่าย เช่น มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท ก็ออมก่อน 15% คือ 2,250 บาท โดยแนะนำให้นำเงินส่วนนี้ไปฝากไว้ในบัญชีเงินฝากประจำแบบปลอดภาษี เนื่องจากเป็นบัญชีที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีเงินฝากประเภทอื่น และดอกเบี้ยที่ได้ก็ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งบัญชีเงินฝากประเภทนี้จะเหมาะกับคนที่ออมเงินเป็นประจำ ยอดเงินเท่ากันทุกเดือน เช่น ออมเดือนละ 2,000 บาท และออมได้ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปค่ะ

        สำหรับใครที่สามารถออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนก็ถือว่าเก่งมากค่ะ แต่แค่นั้นยังไม่พอ ถ้าอยากให้สุขภาพการเงินของเราแข็งแรงขึ้นไปอีกก็ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ค่ะ
 
ข้อ 2 นำเงินไปลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก

        เมื่อสามารถออมเงินได้สม่ำเสมอทุกเดือนแล้ว เราควรจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่จะเลือกลงทุนในรูปแบบไหนนั้น ให้ดูที่จุดประสงค์ในการใช้เงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นหลักค่ะ เช่น หากยังไม่มีเป้าหมายในการใช้เงินระยะสั้น และรับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำให้แบ่งเงินออมส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมผสม ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่หากรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้แบ่งเงินออมส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นเนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวมผสมค่ะ

        ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อมีความเสี่ยงสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงหรือขาดทุนสูงได้เช่นกัน ดังนั้นเงินที่จะนำมาลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจะต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น และก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในรูปแบบใดก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นค่ะ

จะเห็นได้ว่า สุขภาพการเงินที่ดีและแข็งแรงสามารถสร้างได้ไม่ยาก เริ่มจาก

         มีเงินใช้สบาย ๆ แบบที่ไม่มีหนี้ท่วมหัว

         เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้เงิน ก็มีเงินสำรองเพียงพอไว้ใช้จ่าย 6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน โดยออมเงินไว้ในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

         มีเงินเหลือเก็บออมอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน

         นำเงินไปลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก

        เพียงเท่านี้เราทุกคนก็จะมีสุขภาพการเงินที่ดีและแข็งแรงกันถ้วนหน้า หากวันนี้ใครยังไม่สามารถทำได้ครบทั้ง 4 ข้อ ก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป ขอเพียงเรามุ่งมั่น ตั้งใจ และมีเป้าหมายอย่างชัดเจน สักวันเราก็จะมีสุขภาพการเงินที่ดีและแข็งแรงได้ค่ะ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับที่ปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com และ เว็บบอร์ด K-Expert ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert (http://www.askKBank.com/K-Expert) และติดตามข่าวสารการเงินได้ที่ Twitter@KBank_Expert

Tips

         จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือน และปรับลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง

         ศึกษารูปแบบการลงทุนที่สนใจอย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

         พยายามดูแลรักษาสุขภาพการเงินให้ดีและแข็งแรงอยู่เสมอ







หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 07, 2014, 08:44:05 am
วิกฤตพลิกชีวิต...ล้มได้ ก็ลุกได้

-http://money.sanook.com/215569/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95...%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/-



ตลาดหุ้นมีความผันผวนตลอดเวลา เมื่อมี “หุ้นขึ้น” ก็ต้องมี “หุ้นลง” สลับกันแบบนี้เรื่อยไป ไม่แตกต่างกับชีวิตของเราอาจจะเจอช่วง “ขาขึ้น” ที่เจอแต่สิ่งดีๆ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดและบางช่วงอาจจะเป็น “ขาลง” ที่เจอแต่เรื่องแย่ๆหลายเรื่องพร้อมกัน เหมือนโปรโมชั่นชีวิตขาลงที่จะทำอะไรล้วนเจอแต่อุปสรรค หากเราเข้าใจสัจธรรมตรงนี้ก็จะสามารถทำใจและปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น


คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิ หรือที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อของ "ศิริวัฒน์แซนด์วิช"  เป็นอดีตนักลงทุนที่ครั้งหนึ่งเคยประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจากการเป็นผู้บริหารหลักทรัพย์และเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่าหลายพันล้านบาทและรู้จักกับคำว่าล้มละลายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายเหล่านี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนที่เจอวิกฤตเช่นเดียวกันให้ผ่านพ้นมาได้ รวมถึงเป็นประสบการณ์ให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดีในเรื่องการลงทุนอย่างไม่ประมาท

3 บทเรียนจากวิกฤตพลิกชีวิต...ล้มได้ ก็ลุกได้


บทเรียนที่ 1 การประสบความสำเร็จนั้นนำไปสู่ความล้มเหลว
 เมื่อเราทำอะไรที่ประสบความสำเร็จไปทุกอย่าง ทำธุรกิจอะไรก็เติบโตได้กำไรมากมายและไม่เคยล้มเหลวเลยนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะเราจะมีความมั่นใจสูงสุดว่าทุกอย่างต้องทำสำเร็จ เมื่อความมั่นใจมีมากล้นจนมองไม่เห็นสัญญาณของความล้มเหลวก็จะทำให้เราตัดสินใจด้วยความประมาท เช่น กู้เงินมาทำธุรกิจเพื่อให้กิจการขยายตัวเร็วที่สุดเพราะมั่นใจว่าเป็นโอกาสที่สร้างกำไรได้อย่างมหาศาล โดยไม่ระมัดระวังว่าหากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นจะมีแผนสำรองอย่างไร เหมือนชีวิตที่ไม่รู้จักวางแผนฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหากผลลัพธ์ออกมาไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ดังนั้น หากเรามีความมั่นใจกับทุกเรื่องก็ควรใส่คำว่า “ระมัดระวังและไม่ประมาท” เข้าไปด้วย เพื่อเป็นความมั่นใจที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์
 
บทเรียนที่ 2 เราจะรู้สึกดีขึ้นหากเจอคนที่แย่กว่าเรา
 ช่วงปี 40 หลายคนมีหนี้สินเพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวหรือถูกให้ออกจากงานกระทันหัน เมื่อไม่มีงานทำบวกกับหนี้สินพอกพูน ทำให้หลายคนเกิดความเครียด ไม่มีจิตใจที่อยากจะหายใจอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปจึงหนีปัญหาด้วยวิธีฆ่าตัวตายมากขึ้นเพราะคิดว่าปัญหาของตนเองนั้นใหญ่เกินกว่าจะแก้ไขได้ จากกรณีของคุณศิริวัฒน์ที่ยืนขายแซนด์วิชก็มีทั้งคนที่มาให้กำลังใจให้เขาสู้ต่อไปและบางคนที่มาขอบคุณเรื่องราวหนี้สินพันล้าน จนทำให้เขาเลิกคิดฆ่าตัวตายเพราะทำให้รู้สึกว่าหนี้ของคนอื่นมากกว่าแต่ก็ยังสู้ชีวิต ส่วนหนี้ของตนเอง 15 ล้านนั้นดูเล็กลงไปมาก

บทเรียนที่ 3 ล้มได้...ก็ลุกได้
 จิตใจที่ไม่เคยถูกกระทบกระเทือนจากความล้มเหลวนั้นเป็นเหมือนเพชรเม็ดงามที่ถูกฝังอยู่ในเหมืองไม่มีใครเห็นความงดงาม แต่ถ้าหากจิตใจผ่านพ้นเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้ก็จะเหมือนเพชรที่ถูกเจียระไนกลายเป็นเพชรเม็ดงามทรงคุณค่าที่ใครๆต้องการครอบครอง จากกรณีของคุณศิริวัฒน์ที่ได้รับประสบการณ์เลวร้ายจนทำให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความอดทนกับปัญหา กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และใช้ความรู้ความสามารถที่มีสร้างทรัพย์สินขึ้นมาใหม่ได้


 "ศิริวัฒน์แซนด์วิช" นับเป็นตัวอย่างประสบการณ์ชีวิตที่ครบรสชาติมากๆ ซึ่งคนรุ่นใหม่ควรศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อจะได้ระมัดระวังในการใช้ชีวิตและการลงทุนมากขึ้น แม้ว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจจะแตกต่างกับในอดีต แต่เราสามารถนำวิธีคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ เพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตถูกต้อง 100% เราเพียงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทโดยเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตเป็นตัวนำทางเพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  (-www.set.or.th/onlineinvestor-)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 07, 2014, 06:06:12 pm
คลินิกกองทุนรวม : ผิดเงื่อนไขขายกองทุน RMF
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
6 ธันวาคม 2557 09:11 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000140065-

สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมงานคอลัมน์ “คลินิกกองทุนรวม” ได้ทิ้งท้ายคำถามเรื่องประเด็นภาษีเอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีคำถามในลักษณะเดียวกันส่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทีมงานพยายามจะคัดเลือก และส่งคำถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตอบให้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราได้รับเกียรติจาก คุณกรเอก อุ่นปิติพงษา ผู้จัดการส่วนที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.กรุงศรี มาเป็นผู้ไขข้อข้องใจในครั้งนี้
       
       ส่วนท่านใดมีคำถามก็สามารถส่งคำถามมาได้ที่ mgrfund@gmail.com เช่นเดิม
       
       คำถาม- ดิฉันปัจจุบันอายุ 59ปี (เกิด พ.ศ.2498)
       
       - ลงทุน RMF มาตลอดตั้งแต่ปี 2552 ปีละ 100,000฿ เท่ากันทุกปี
       
       - ทราบจากเพื่อนขายคืนได้ เพราะอายุเกิน 55ปี แล้ว จึงตัดขายไป 100,000฿ ของปีลงทุน 2552
       
       ปรากฏว่า เงินได้รับไม่ครบ 100,000฿ ที่ขายไป ทราบทีหลังว่า ขายผิดเงื่อนไข จึงเสีย 3% ของกำไร
       
       ?? ช่วยตอบหน่อยคะว่า ดิฉันต้องเสียสิทธิอะไบ้าง และต้องทำอย่างไรต่อสรรพากร (กังวลมากเลยค่ะ)??
       
       ปีลงทุน 2552 : 100,000 บาท
       
       ปีลงทุน 2553 : 100,000 บาท
       
       ปีลงทุน 2554 : 100,000 บาท
       
       ปีลงทุน 2555 : 100,000 บาท
       
       ปีลงทุน 2556 : 100,000 บาท
       
       ปีลงทุน 2557 : 100,000 + ขาย 100,000 บาท
       
       คำตอบ- การขายคืนหน่วยลงทุน RMF ทำได้เมื่อผู้ลงทุนมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก การนับ 5 ปี ให้นับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุนเท่านั้น กล่าวคือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีอายุการลงทุนในปีนั้นๆ
       
       
       ในกรณีที่ท่านลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข ท่านต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ภายในเดือนมีนาคม ของปีถัดไปจากปีที่ผิดเงื่อนไข
       
       ในกรณีนี้ที่ท่านได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขการลงทุนตั้งแต่ในปี 2557 ท่านมีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนจากเงินลงทุนใน RMF ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี ไปคืนให้กับกรมสรรพากรโดยการยื่นขอแก้ไขแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2557 เสียใหม่ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2558
       
       ทั้งนี้ หากมีการคืนภาษีภายหลังวันที่ 31 มีนาคม 2558 ท่านจะต้องคืนเงินพร้อมเบี้ยปรับเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนคิดย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 มาจนถึงวันคืนภาษี โดยเศษของเดือนคิดเป็น 1 เดือน แต่จะมีมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 1 เท่าของภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนนั้นท่านต้องคืนภาษีย้อนหลังที่ได้รับการยกเว้นจากการซื้อกองทุนรวม RMF ตั้งแต่ปี 2552 โดยต้องคืนเงินภาษีทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม 2558
       
       อย่างไรก็ตาม ท่านควรตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายกองทุน RMF อย่างละเอียด เช่น ตรวจสอบวันที่ซื้อหน่วยลงทุน RMF วันที่ซื้อครั้งแรก จนถึงวันที่ท่านขายหน่วยลงทุนว่าครบ 5 ปีเต็มหรือไม่ เช่น ถ้าซื้อหน่วยลงทุนในวันที่ 2 ม.ค.2552 ท่านจะสามารถขายหน่วยลงทุนหลังวันที่ 2 ม.ค. 2557 จึงจะถือว่าลงทุนครบ 5 ปี
       
       และในขณะที่ขายหน่วยลงทุน คุณต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ หรือในบางกรณีนักลงทุนบางท่านอาจจะยื่นเอกสารหลักฐานในการซื้อกองทุน RMF ไม่ครบ ทาง บลจ. อาจจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ไว้ หรือสอบถามทาง บลจ. ที่ท่านลงทุนอีกครั้งเพื่อสอบถามถึงสาเหตุของการขายแบบผิดเงื่อนไขครับ
       
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 09, 2014, 06:11:19 am
ลดภาษีเฮือกสุดท้าย (ตอนที่ 1)

-http://money.sanook.com/238241/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1/-

(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/47/238241/mon7121.jpg)

ช่วงสิ้นปีแบบนี้หลายคนเริ่มคำนวณคร่าวๆได้แล้วว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาว่าตนเองมีรายได้เท่าไหร่ ทำให้คำนวณแนวโน้มว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ บางคนคิดว่าตนเองรายได้ไม่มาก แต่ละเดือนก็แทบจะไม่พอใช้ พอเห็นตัวเลขที่ต้องเสียภาษีกลับมีตัวเลขที่ออกมาทำให้ร้อนๆหนาวๆ เพราะไม่คิดว่าจะต้องเสียภาษีสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว

ในช่วงที่ผ่านมารายได้มากขึ้น แต่ทำไมถึงไม่พอใช้ โจทย์นี้ต้องแก้ไขที่พฤติกรรมการใช้เงินของตนเองที่ต้องจัดระเบียบรายจ่ายให้ดีกว่านี้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันผ่านไปแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้และในอนาคต คือ การจัดระเบียบการใช้เงินและการออมเงิน ที่ตอนนี้เราเลือกได้ว่าจะจ่ายภาษีเต็มจำนวนหรือหาวิธีเปลี่ยนภาษีเป็นเงินออม

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/47/238241/7579a7bf45d42cf959785a773ee09c5c.jpg)

การลงทุนที่ส่งเสริมให้คนไทยออมเงินผนวกกับช่วยเรื่องประหยัดภาษีมี 2 ทางเลือก คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก่อนตัดสินใจลงทุน เรามาทบทวนหลักเกณฑ์กันนิดนึงนะจ๊ะ

สรุปหลักเกณฑ์การซื้อ LTF
1. การลงทุนขั้นต่ำขึ้นอยู่กับแต่ละ บลจ. กำหนด
2. การลงทุนได้สูงสุด 15% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
3. ครบกำหนด 5 ปีปฎิทิน จึงจะขายได้ ถ้าไม่ขายก็ถือลงทุนต่อไปได้
4. ซื้อปีไหนก็ลดหย่อนปีนั้น (ซื้อลดหย่อนปีสุดท้ายในปี 2559)

สรุปหลักเกณฑ์การซื้อ RMF
1. ลงทุนขั้นต่ำมากกว่า 3% ของรายได้ทั้งปีหรือปีละ 5,000 บาท แล้วแต่ว่าจำนวนไหนต่ำกว่า
2. ลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับ เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. ประกันชีวิตชนิดบำนาญและกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
3. ขายได้เมื่ออายุเกิน 55 ปีบริบูรณ์และถือ RMF มากกว่า 5 ปีขึ้นไปตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก


เมื่อเรารู้แล้วว่าหลักเกณฑ์การซื้อกองทุนรวมเพื่อลดหย่อยภาษีมีอะไรบ้าง ก็ต้องมาดูต่อว่าจะมีวิธีเลือกซื้อ LTF หรือ RMF อย่างไรให้ตรงใจเรามากที่สุด ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้ที่งาน “มหกรรมมีใช้ตอนแก่ด้วย LTF-RMF” ระหว่างวันที่ 18 – 21 ธันวาคม 2557 ณ โซนอีเดน Central World จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่  www.thaimutualfundnews.com/ (http://www.thaimutualfundnews.com/)

ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  (www.set.or.th/onlineinvestor (http://www.set.or.th/onlineinvestor))

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2014, 08:22:40 am
ประวัติศาสตร์ทองคำจะซ้ำรอย ?

-http://money.sanook.com/237993/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-



คอลัมน์ สถานีลงทุน โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด


ราคาทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง และทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ที่ระดับ 1,130 ดอลลาร์/ออนซ์ จากทิศทางดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งดอลลาร์เทียบกับเยนแข็งค่าขึ้นสุดในรอบ 7 ปี และดัชนีเงินดอลลาร์ (Dollar index) แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี

โดยเป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังการถอนนโยบายการเงินผ่อนคลายของเฟดเริ่มตั้งแต่การยุติมาตรการ QE ที่สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2557 และการเตรียมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงกลางปี 2558 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นมี

นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลงแรงในปีนี้ถึง 40% และลงไปต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทำให้มีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และความต้องการทองคำเพื่อป้องกันเงินเฟ้อลดลง

ราคาทองคำที่ปรับลงแรงในช่วงนี้ ทำให้เจอคำถามบ่อยๆ ว่า ราคาทองจะลงไปอีกมั้ย ในช่วงนี้ซื้อทองได้หรือยัง สำหรับทองคำมีวัฏจักรของราคาเหมือนกับตลาดหุ้นมีภาวะตลาดขาขึ้น (Bullish) ภาวะตลาดขาลง (Bearish) และแกว่งตัวในกรอบแคบ (Sideways) รวมทั้งภาวะฟองสบู่ที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงท้ายตลาดขาขึ้น

เมื่อพิจารณาจากวัฏจักรของราคาทองคำในอดีตในช่วงที่ราคาทองคำเป็นขาลงกินระยะเวลาประมาณ2 ปี ดังนั้น คาดว่าราคาทองคำรอบนี้น่าจะเป็นขาลงราว 2 ปี ทำให้ราคาทองคำจะสิ้นสุดขาลงในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าที่สุดไตรมาส 1 ของปีหน้า

ในช่วงที่ราคาทองคำเป็นขาลง เป็นเรื่องธรรมดาที่ตลาดมีมุมมองต่อราคาทองคำในเชิงลบ บางโบรกเกอร์มีการคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะลงไปถึง 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ บางแห่งมองว่าอาจจะต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์

ช่วงกลางปีที่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Nouriel Roubini หรือ Dr.Doom ได้คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะลงไปถึง 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ในปี 2558 คงไม่ต่างจากราคาทองคำที่เกิดภาวะฟองสบู่ในปี 2554 ในช่วงเวลานั้นมองว่าราคาทองคำน่าจะขึ้นอย่างต่อเนื่องที่มีการคาดการณ์ราคาทองคำจะขึ้นไปถึง 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ บางโบรกเกอร์มองไปถึง 2,300-2,400 ดอลลาร์/ออนซ์

สำหรับตัวแปรหลักที่กระทบต่อราคาทองคำในช่วงนี้มี 2 ตัวแปร คือเงินดอลลาร์และราคาน้ำมัน ตัวแปรแรก ถึงแม้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นก็ตาม แต่เราคาดการณ์ว่าดัชนีเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นได้อีกไม่มากนัก ราว 1.5% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในเดือน มี.ค. 2552 นอกจากนี้ มาตรการ QE หรือมาตรการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของอีซีบีน่าจะเกิดได้ยาก ทำให้เงินดอลลาร์อาจจะอ่อนค่าลงในบางช่วง ดังนั้น คาดราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,130 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ระดับที่ต่ำ ซึ่งอาจจะทำให้เฟดลังเลในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2558

ตัวแปรสุดท้าย ราคาน้ำมันที่ปรับลงแรงอย่างต่อเนื่อง หลังการประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา ตัดสินใจไม่ปรับลดกำลังการผลิตเพื่อสกัดกั้นการร่วงลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX และราคาน้ำมันดิบเบรนต์ต่ำกว่า 70 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาน้ำมันคาดว่าจะเริ่มมีกรอบจำกัด เนื่องจากต้นทุนการผลิตหินน้ำมัน (Shell Oil) อยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจะทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันจาก Shell Oil จะลดลงเมื่อราคาน้ำมันดิบต่ำกว่าต้นทุน และราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มปรับขึ้นเองตามกลไกตลาด

ดังนั้น ในระยะสั้นทองคำมีแนวรับหลักที่ 1,130 และ 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ ตามลำดับ ขณะที่มีแนวต้านหลักที่ 1,200 และ 1,230 ดอลลาร์/ออนซ์ ตามลำดับ

การลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สควรตั้งจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสถานะซื้อ หรือเปิดสถานะขายก็ตาม เนื่องจากราคาทองคำยังมีแนวโน้มผันผวนค่อนข้างสูง แนะนำ "รอเปิดสถานะซื้อ" ที่แนวรับ 1,130 และ 1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนฝั่งซื้อที่ 1,090 ดอลลาร์/ออนซ์ กรณีที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาที่แนวต้าน 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ แนะนำ "เปิดสถานะขาย" โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนฝั่งขายที่ 1,205 ดอลลาร์/ออนซ์




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2014, 09:30:49 am
เปิดเกณฑ์ กองทุนการออมแห่งชาติ

-http://money.sanook.com/238797/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4/-



เปิดดูหลักเกณฑ์ กองทุนการออมแห่งชาติ หลักประกันของผู้ใช้แรงงานนอกระบบ กว่า 24 ล้านคน แค่อายุ15 ก็เข้าสมัครสมาชิกกองทุนได้

เมื่อวานนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบมาตรการคืนความสุขให้ประชาชนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่2558 ไปแล้ว ซึ่งมีมาตรการทั้งเรื่องการเงิน และการลดค่าใช้จ่ายค่าครองชีพสำหรับประชาชนรากหญ้าหรือผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีด้วย

ในมาตรการที่ออกมามีมาตรการหนึ่งที่น่าสนใจและได้ประโยชน์กับคนจำนวนมาก ที่ขาดโอกาสในการออมเพื่อเกษียณอายุเนื่องจากไม่ได้อยู่ในระบบแรงงานหรือเป็นลูกจ่างของบริษัท ก็คือ การเดินหน้าจัดตั้ง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้ครม.เห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการหยิบการจัดตั้งกองทุนการออมที่ได้ผ่านพระราชบัญญัติจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติมาแล้วตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ แต่ยังไม่ได้ออกแนวปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา ก็เปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน

โดยในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ได้แช่แข็งการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติเอาไว้  แล้วไปผลักดันการออมที่มีหลักการคล้ายกับกองทุนการออม ผ่านกองทุนประกันสังคมแทน หรือที่เรียกว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ซึ่งเพิ่งหมดเขตการสมัครเป็นผู้ประกันตนไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมานี้เอง

อย่างไรก็ตามการเดินหน้าจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อให้เป็นรูปธรรม นั้นถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะทำให้แรงงานไทยประมาณ 24.6 ล้านคน  ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ มีโอกาสสร้างหลักประกันตนเพื่อชีวิตหลังเกษียณขึ้นมาได้

สำหรับหลักการและใครที่จะสามารถเข้ากองทุนการออมได้บ้างนั้นเราไปดูรายละเอียดกัน

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเป็นสมาชิก กอช. คือ
 
1เป็นบุคคลสัญชาติไทย
2 อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
3 ไม่เป็นสมาชิกของกองทุนเพื่อการชราภาพใด ๆ ที่มีการสมทบเงินจากรัฐหรือนายจ้าง เช่น
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานคร กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น กองทุนประกันสังคม (ซึ่งส่งเงินเพื่อได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เป็นต้น
นอกจากนี้ยัง เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญใดๆ สามารถออมต่อไปได้อีก 10 ปี โดยมีสิทธิขอรับบำนาญได้เมื่ออายุครบ 60 ปีอีกด้วย

เงื่อนไขการการจ่ายเงินเข้ากองทุนมาจาก 2 ฝ่าย คือ
1  สมาชิกจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50 บาท แต่ไม่เกินจำนวนที่จะกำหนดในกฎกระทรวง  ทั้งนี้สมาชิกไม่จำเป็นต้องส่งเงินสะสมทุกเดือน และไม่จำเป็นต้องส่งเงินจำนวนเท่ากันทุกเดือนนอกจากนี้ หากในปีใดไม่สามารถส่งเงินสะสมได้ กอช. จะยังคงสิทธิความเป็นสมาชิกไว้ แต่รัฐก็จะไม่ส่งเงินสมทบให้

2 รัฐบาลจ่ายเงินสมทบให้แก่สมาชิกตามระดับอายุของสมาชิก และเป็นอัตราส่วนกับจำนวนเงินที่สมาชิกสะสมเข้ากองทุน
โดยก่อนหน้านี้มีการกำหนดอัตราไว้ คือ
-  15-30 ปี รัฐจ่ายให้ 50% ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อปี
-  อายุ 30-50 ปี รัฐจ่ายให้ 80% ของเงินสะสม แต่ต้องไม่เกิน 960 บาทต่อปี
-  อายุมากกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปี รัฐจะสมทบจ่ายให้ 100% ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี


สำหรับผลประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับ เมื่อครบเกษียณ(อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์) ใน 4 กรณี คือ
1 จะได้รับเงินบำนาญจากเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินสะสม เงินสมทบ ตามจำนวนเงินในบัญชีของผู้ออมแต่ละคนไปจนตลอดอายุขัย เป็นลักษณะของบำนาญรายเดือนตลอดชีวิต
2 หากสมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินสะสมและดอกผลของเงินสะสม ส่วนเงินสมทบและดอกผลของเงินสมทบจะได้รับเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
3 หากลาออกจากกองทุน จะได้รับเงินสะสมและดอกผลของเงินสะสม
4 หากเสียชีวิต จะได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินในบัญชีของแต่ละบุคคลที่ออมไว้

ทั้งนี้หากสมาชิกได้งานและไปเป็นสมาชิกของกองทุนประกันสังคม กองทุน กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนการออมเพื่อการชราภาพอื่น ๆ ก็ยังคงความเป็นสมาชิกและมีสิทธิส่งเงินสะสมกับ กอช. ได้ต่อไป ไม่จำเป็นต้องลาออกจากกองทุน แต่รัฐจะไม่สมทบเงินให้ และเงินที่สะสมในช่วงเวลาดังกล่าว จะไม่ถูกนำมารวมคำนวณเป็นเงินบำนาญ

และในระหว่างเป็นสมาชิก กอช. จะไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ก่อนได้

ทั้งหมดคือ  หลักการของกองทุนการออมแห่งชาติ ที่ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2014, 02:25:28 pm
AIMC แจงลดหย่อนภาษี LTF ยังอยู่ถึงปี 59 ส่วนการต่ออายุอยู่ในช่วงพิจารณาของ ก.คลัง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000141878-


AIMC ทำหนังสือแจงสื่อมวลชน หลังเกิดข่าวลือว่าสิทธิยกเลิกภาษีของกองทุน LTF ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ล่าสุดให้ความมั่นใจว่าการลดหย่อนภาษี LTF ยังอยู่ถึงปี 2559 ส่วนการต่ออายุภาษีนั้นยังอยู่ในช่วงพิจารณาของกระทรวงการคลัง
       
       นายเอกชัย จงวิศาล เลขาธิการสมาคมและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC ได้ทำหนังสือชี้แจงว่า เนื่องจากมีผู้สอบถามมาเป็นจำนวนมากว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้ถูกยกเลิกไปแล้วในปีนี้หรือไม่
       
       ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนจึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน LTF จะยังคงมีอยู่ตามประกาศเดิมไปจนถึงสิ้นปี 2559
       
       ส่วนเรื่องการขยายอายุออกไปนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้มีการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณอายุที่เพียงพอต่อไป


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2014, 06:56:23 pm
.
-http://www.sso.go.th/wpr/content.jsp?lang=th&cat=876&id=3694-

หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

ที่มา
การขยายประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบโดยผลักดันร่าง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ฉบับแก้ไข เพื่อรัฐร่วมจ่ายในมาตรา 40 และแก้ไขพระราชกฤษฎีกา เพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 ให้เป็นที่จูงใจ โดยเป็นระบบสมัครใจ

ความหมาย
ผู้ประกันตนมาตรา 40 หมายถึง บุคคลที่มิใช่ลูกจ้างตามมาตรา 33 หรือเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39 เรียกว่า ผู้ประกันตนโดยอิสระ

คุณสมบัติผู้สมัคร

อายุ 15-60 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 ไม่เป็นข้าราชการหรือบุคคลที่ถูกยกเว้นตามกฎหมายประกันสังคม
บุคคลพิการที่สามารถรับรู้สิทธิประกันสังคม
เฉพาะปีแรก (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ธันวาคม 2556 - วันที่ 8 ธันวาคม 2557) เปิดโอกาสให้ผู้สมัครที่มีอายุ 60-65 ปี สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้ทุกทางเลือก
สำหรับผู้สมัครที่มีอายุเกินกว่า 65 ปี เฉพาะปีแรก (มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ธันวาคม 2556 - วันที่ 8 ธันวาคม 2557) สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้เฉพาะทางเลือก 3 เท่านั้น และไม่มีสิทธิเปลี่ยนทางเลือก

หลักฐานการสมัคร

สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ (ใบอนุญาตขับขี่รถ)

สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศเลือกทางเลือกใน การจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก คือ

ทางเลือกที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน (จ่ายเอง 70 บาท รัฐสนับสนุน 30 บาท)

ทางเลือกที่ 2 จ่ายเงินสมทบ 150 บาท/เดือน (จ่ายเอง 100 บาท รัฐสนับสนุน 50 บาท)

ทางเลือกที่ 3 มี 3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 3 จ่ายเงินสมทบ 200 บาท/เดือน (จ่ายเอง 100 บาท รัฐสนับสนุน 100 บาท)

ทางเลือกที่ 1 และทางเลือก 3 (1+3) จ่ายเงินสมทบ 300 บาท/เดือน (จ่ายเอง 170 บาท รัฐสนับสนุน 130 บาท)

ทางเลือกที่ 2 และทางเลือก 3 (2+3) จ่ายเงินสมทบ 350 บาท/เดือน (จ่ายเอง 200 บาท รัฐสนับสนุน 150 บาท)

หมายเหตุ

รัฐสนับสนุนในระยะแรกทั้งนี้ จนกว่าสำนักงานประกันสังคมจะประกาศเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ในการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 จ่ายเป็นรายเดือน ๆ ละ 1 ครั้ง และจ่ายเงินสมทบล่วงหน้าได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน แต่ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้
ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่ประสงค์รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นสามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน ยกเว้น กรณีทางเลือกที่ 5 (2+3) สามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท
ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่เลือกความคุ้มครองทางเลือกที่ 3 สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2555 แต่ต้องจ่ายในระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 8 ธันวาคม 2557

การแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล

เมื่อเป็นผู้ประกันตนแล้วหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล เช่น เปลี่ยนคำนำหน้านาม ชื่อ - สกุล ที่อยู่ที่ติดต่อขอเปลี่ยนทางเลือกจ่ายเงินสมทบ หรือแจ้งความไม่ประสงค์เป็นผู้ประกันตนต่อไป (ลาออก) เป็นต้น ให้แจ้งต่อสำนักงานประกันสังคม
กรณีขอเปลี่ยนทางเลือกจ่ายเงินสมทบจะทำได้ปีละ 1 ครั้ง โดยเมื่อยื่นขอเปลี่ยนแปลทางเลือกแล้วจะมีผลในเดือนถัดไป

ประโยชน์ทางภาษี

เงินสมทบในแต่ละปี ใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยใช้ใบเสร็จรับเงินที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเป็นหลักฐาน หรือขอหนังสือรับรองการชำระเงินสมทบจากสำนักงานประกันสังคม

สิทธิประโยชน์พื้นฐาน

กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย เมื่อนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 30 วันต่อปี เงื่อนไขจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)

กรณีทุพพลภาพ รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500 - 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลานานถึง 15 ปี เงื่อนไข เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อทุพพลภาพขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนขึ้นไป (ต้องเป็นผู้ทุพพลภาพหรือทุพพลภาพเพิ่มขึ้นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการ แพทย์)

กรณีตาย จะได้รับค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน ก่อนเสียชีวิต ยกเว้น เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเสียชีวิต

กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) ผู้ประกันตนสามารถรับเงินก้อนเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เงื่อนไข มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

- ผู้ประกันตนสามารถรับเงินบำนาญเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน

- ต้องจ่ายเงินสมทบถึงบำนาญขั้นต่ำหรือไม่น้อยกว่า 420 เดือน (35 ปี) ได้รับเงินบำนาญชราภาพขั้นต่ำเดือนละ 600 บาท ตลอดชีวิต

ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณ เพื่อสิทธิประโยชน์ดังกล่าวสำนักงานประกันสังคมขอเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณด้วย ชุดสิทธิประโยชน์ ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 (จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 3 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย

ทางเลือกที่ 2 (จ่ายเงินสมทบ 150 บาท/เดือน)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 4 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/เจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ)

ทางเลือกที่ 3 มี 3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 3

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 1 กรณี คือ กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

ทางเลือกที่ 1 และทางเลือก 3 (1+3)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 4 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/จ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

ทางเลือกที่ 2 และทางเลือก 3 (2+3)

สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี คือ กรณีประสบอันตราย/จ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ (เงินบำเหน็จ) กรณีชราภาพ (เงินบำนาญ)

วิธีการนำส่งเงินสมทบ
จ่ายเป็นเงินสด

สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
หน่วยบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานประกันสังคม
เคาน์เตอร์เซอร์วิส
เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำักัด (มหาชน)
ห้างเทสโก้โลตัส
ไปรษณีย์ (ธนาณัติ)

หักผ่านบัญชีธนาคาร

ธนาคารเพื่่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ธนาคารออมสิน
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

หมายเหตุ การชำระเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสจะเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 10 บาท ในส่วนการชำระผ่านการหักธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพานิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จะมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง โดยจะได้รับใบเสร็จรับเงินทันที แต่ผู้ประกันตนที่ชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสต้องนำใบเสร็จรับเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ออกให้พร้อม สมุดนำส่งเงินสมทบมาตรา 40 ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการบันทึกข้อมูลในสมุดนำส่งเงินสมทบ เนื่องจากต้องใช้ประกอบการยื่นเรื่องเมื่อมีการรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

เอกสารประกอบการสมัคร

แบบการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 40 (สปส.1-40)
บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้พร้อมสำเนา

สถานที่ในการขึ้นทะเบียน

สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา
หน่วยบริการเคลื่อนที่ของสำนักงานประกันสังคม

ข้อมูล ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2557
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2014, 08:40:59 am
ใครได้เงินรางวัลปีนี้ อย่าลืมจ่ายภาษีให้ถูกต้อง

-http://money.sanook.com/239213/%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87/-


ใกล้สิ้นปีเข้าไปเต็มที  นอกจากการวางแผนเที่ยวในช่วงสิ้นปีแล้ว มนุษย์เงินเดือน และผู้มีหน้าที่เสียภาษีต้องเตรียมตัววางแผนสำหรับการจ่ายภาษี ในช่วงต้นปีหน้าให้ดีด้วย

ในส่วนของการลงทุนเพื่อนำมาใช้หักค่าใช้จ่ายก่อนเสียภาษีไม่ว่า LTF RMF หรือประกันชีวิตมีการแนะนำออกมาค่อนข้างเยอะในช่วงนี้ แต่ มีรายได้อีกอย่างหนึ่งที่คนมักจะผิดพลาดไม่นำมาจ่ายภาษีจนบางครั้งถูกกรมสรรพากรเรียกปรับ จนเป็นข่าวโด่งดังมาหลายครั้งหลายคราว นั้นก็คือ เงินรางวัล
 
ทั้งนี้ผู้ที่ได้รางวัลจากการชิงโชคต่างๆคิดว่า เมื่อตอนรับรางวัลมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว พอถึงสิ้นปีภาษีไม่ได้นำรายได้มาคำนวณเพื่อเสียภาษีอีก เป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง  วันนี้เรามาทบทวนกันในเรื่อง ภาษีเงินรางวัล เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดถูกเสียค่าปรับเงินเพิ่ม กันอีก

 สำหรับประเด็นที่มักจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อนก็คือ “เมื่อถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตอนรับเงิน/ของรางวัล กันแล้วที่ 5% ก็เป็นอันหมดสิ้นภาระทางภาษีแล้ว” โดยแท้จริงแล้ว ภาระภาษีจะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อสิ้นปีภาษีแล้วผู้ได้รับเงิน/ของรางวัล ได้ดำเนินการยื่นแบบคำนวณและนำส่งภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90) ซึ่งมีกำหนดเวลาให้ยื่นได้ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป

สมมุติ มีผู้ได้รับเงินรางวัลจากการชิงโชค จำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถือเป็น เงินได้พึงประเมิน (มาตรา 40(8)
แต่ทั้งนี้ในการเสียภาษีสามารถ หัก รายจ่ายตามจริงและสมควร(หากมี) และเงินดังกล่าวนำมาหัก ลดหย่อนส่วนตัวผู้มีเงินได้ ได้ 30,000 บาท ทำให้มียอดสุทธิที่ต้องเสียภาษี  9,970,000 โดยต้องนำไปคำนวณตามอัตราตามที่กรมสรรพากรกำหนด


โดยส่วนที่เกิน 4 ล้านบาท หรือ 4,000,001-9,970,000 บาทเสียภาษี 35 %
ส่วนที่ต่ำกว่า 4 ล้านบาทลงมา สามารถหักค่ายกเว้นจำนวน 150,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ต้องเสียภาษีออกไปก่อน จากนั้นนำมาคำนวณภาษีตามขั้นบันใด คือ 


จำนวน 150,001-300,000 บาท เสียภาษีอัตรา 5 %
จำนวน 300,001-500,000บาทเสียภาษีอัตรา 10 %
จำนวน 500,001-750,000บาท เสียภาษีอัตรา 15 %
จำนวน 750,001-1,000,000บาท เสียภาษีในอัตรา 20 %
จำนวน 1,000,001-2,000,000 บาท เสียภาษีอัตรา 25 %
จำนวน 2,000,001-4,000,000 บาทเสียภาษี 30 %


จะเห็นได้ว่า เงินรางวัล เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีและดำเนินการให้ถูกต้อง ดังนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมาใครได้โชคได้รางวัลต้องนำมาคำนวณภาษีให้ถูกต้องด้วยเพื่อจะได้ไม่ถูกกรมสรรพากรปรับ ซึ่งอาจต้องเสียเงินเพิ่มให้เจ็บใจด้วย



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 14, 2014, 08:20:04 am
เปิดสูตรคำนวนค่าลดหย่อนภาษีจาก LTF RMF

-http://money.sanook.com/239569/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-ltf-rmf/-.






.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 20, 2014, 08:34:58 pm
คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-


คอลัมน์ “คลินิกกองทุนรวม” ในสัปดาห์นี้หยิบผลการดำเนินงานของกองทุนที่น่าสนใจจากงาน “มหกรรมมีใช้ตอนแก่ด้วย LTF-RMF” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ... อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ทุกครั้งก่อนที่ตัดสินใจลงทุนนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนทุกครั้ง และทีมงานขอยก "5 อย่างที่ไม่ควรทำกับการเลือก LTF & RMF" บทความดีๆ จาก บลจ.กรุงศรีมานำเสนออีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจซื้อกองทุน LTF-RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้...

ส่วนท่านผู้อ่านท่านใดมีคำถามก็สามารถส่งคำถามมาได้ที่ mgrfund@gmail.com ทางทีมงานจะทยอยตอบคำถามให้ ขอบคุณทุกท่านที่ส่งคำถามเข้ามาคะ

1. อย่ามองแค่ผลตอบแทนระยะสั้น :วัตถุประสงค์ของการลงทุนในกองทุน LTF-RMF มี 2 ข้อ คือ ประหยัดภาษี และเน้นการลงทุนในระยะยาว น่าเสียดายตรงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองเรื่องของภาษีเป็นหลัก และมองผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเรื่องรอง โดยให้ความสนใจแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ ว่า 3 เดือนที่แล้ว 6 เดือนที่ผ่านมา หรือไกลสุดย้อนไปดู 1 ปีก่อนหน้าว่าแต่ละกองทุนได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร กองทุนใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่กลับลืมไปว่าระยะเวลาการถือครองกองทุน LTF อย่างน้อยๆ คือ 3 ปีปฏิทิน

สำหรับกองทุน RMF นั้นมีระยะเวลาการถือครองยาวนานกว่า โดยผู้ลงทุนจะขายหน่วยลงทุนก็ตอนเกษียณอายุ และการถือครองต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของสรรพากร ดังนั้น อย่าดูแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ

2. อย่าซื้อเพราะโปรโมชันแรง!! : กองทุนรวมไม่ใช่การชอปปิ้ง ใครลดแหลก ทั้งแจกทั้งแถมเยอะสุด แปลว่ากองทุนนั้นน่าลงทุนที่สุด ถ้าคิดแบบนี้ ถือว่า “คิดผิด” โปรโมชันล่อใจในระยะสั้นอาจทำให้คุณต้องติดกับดักกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนมีมูลค่าน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ แถมของโปรโมชันที่ได้รับแจกตั้งแต่ตอนลงทุนก็อาจใช้ไม่คุ้ม หรือวางทิ้งในบ้านจนลืมไปเลยก็มี อาจมีนักลงทุนบางท่านแย้งว่า “ก็ไม่รู้นี่” ว่ากองทุนใดจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ก็เลยเลือกของที่ดูชัวร์ที่สุด นั่นก็คือ ของแถม” ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษานโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนรวม ซึ่งมีความแตกต่างกัน และควรศึกษาคู่มือภาษีให้เข้าใจก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก บลจ. หรือธนาคารที่เป็นตัวแทนขายกองทุน

3. อย่าคิดว่า LTF & RMF กองไหนๆ ก็เหมือนกัน: ถึงแม้จะเป็นกองทุนที่ได้ชื่อว่า LTF-RMF เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานก็แตกต่างกันในรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น กองทุน LTF บางกองมีนโยบายกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน ในขณะที่บางกองทุนเลือกลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100%เต็ม หรือกองทุน RMF ก็มีตัวเลือกทั้งนโยบายที่ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน ลงทุนในทองคำ หรือกระทั่งกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะของกองทุนที่แตกต่างกัน หากผู้ลงทุนเลือกลงทุนเพราะคิดว่าเป็นกองทุน RMF เหมือนกันนักลงทุนก็อาจได้ผลตอบแทนไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แล้วมานั่งเสียใจเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนยามเกษียณ

4. อย่าคิดว่าลงทุนใน LTF - RMF ไปแล้วจะสับเปลี่ยนไม่ได้: จริงๆ แล้วหากเราพบว่ากองทุน LTF- RMF ที่เลือกลงทุนไว้มีนโยบายการลงทุนหรือระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะกับตนเองเราสามารถสับเปลี่ยนการลงทุนไปยังกองทุนอื่นภายใต้กองทุนประเภทเดียวกันได้ เช่น การสับเปลี่ยน LTF กองเดิมไปยัง LTF อีกกองหนึ่ง หรือการสับเปลี่ยนกองทุน RMF ไปยังกองทุน RMF ด้วยกัน แต่เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน RMF หรือกองทุนรวมทั่วไปได้

5. อย่าเข้าใจผิดว่าลงทุนไปแล้วไม่สามารถโอนย้าย บลจ.ได้:มีผู้ลงทุนหลายท่านเข้าใจผิดว่าถ้าลงทุนในกองทุน LTF RMF กับ บลจ.ใดแล้วจะต้องถือครองไว้จนครบกำหนดตามเงื่อนไขของสรรพากร ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถโอนย้ายกองทุน LTF -RMF จาก บลจ.เดิมไปยัง บลจ.อื่นได้ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมการโอนย้ายที่ บลจ.ต้นทางจะเรียกเก็บ โดย บลจ.แต่ละแห่งจะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ การโอนย้าย LTF-RMF ข้าม บลจ.ก็จะต้องโอนย้ายกองทุนไปยังกองทุนประเภทเดียวกัน เช่น LTF โอนย้ายไป LTF หรือ RMF โอนย้ายไป RMF ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 20, 2014, 08:35:37 pm
คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-


คลินิกกองทุนรวม : เช็กผลการดำเนินงานกองทุน LTF-RMF ได้ที่นี่

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000145873-


คอลัมน์ “คลินิกกองทุนรวม” ในสัปดาห์นี้หยิบผลการดำเนินงานของกองทุนที่น่าสนใจจากงาน “มหกรรมมีใช้ตอนแก่ด้วย LTF-RMF” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน ... อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ทุกครั้งก่อนที่ตัดสินใจลงทุนนักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนทุกครั้ง และทีมงานขอยก "5 อย่างที่ไม่ควรทำกับการเลือก LTF & RMF" บทความดีๆ จาก บลจ.กรุงศรีมานำเสนออีกครั้ง สำหรับนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจซื้อกองทุน LTF-RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้...

ส่วนท่านผู้อ่านท่านใดมีคำถามก็สามารถส่งคำถามมาได้ที่ mgrfund@gmail.com ทางทีมงานจะทยอยตอบคำถามให้ ขอบคุณทุกท่านที่ส่งคำถามเข้ามาคะ

1. อย่ามองแค่ผลตอบแทนระยะสั้น :วัตถุประสงค์ของการลงทุนในกองทุน LTF-RMF มี 2 ข้อ คือ ประหยัดภาษี และเน้นการลงทุนในระยะยาว น่าเสียดายตรงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองเรื่องของภาษีเป็นหลัก และมองผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเรื่องรอง โดยให้ความสนใจแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ ว่า 3 เดือนที่แล้ว 6 เดือนที่ผ่านมา หรือไกลสุดย้อนไปดู 1 ปีก่อนหน้าว่าแต่ละกองทุนได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร กองทุนใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่กลับลืมไปว่าระยะเวลาการถือครองกองทุน LTF อย่างน้อยๆ คือ 3 ปีปฏิทิน

สำหรับกองทุน RMF นั้นมีระยะเวลาการถือครองยาวนานกว่า โดยผู้ลงทุนจะขายหน่วยลงทุนก็ตอนเกษียณอายุ และการถือครองต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของสรรพากร ดังนั้น อย่าดูแค่ผลตอบแทนระยะสั้นๆ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ

2. อย่าซื้อเพราะโปรโมชันแรง!! : กองทุนรวมไม่ใช่การชอปปิ้ง ใครลดแหลก ทั้งแจกทั้งแถมเยอะสุด แปลว่ากองทุนนั้นน่าลงทุนที่สุด ถ้าคิดแบบนี้ ถือว่า “คิดผิด” โปรโมชันล่อใจในระยะสั้นอาจทำให้คุณต้องติดกับดักกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่เหมาะสมกับตัวคุณเอง ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนมีมูลค่าน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ แถมของโปรโมชันที่ได้รับแจกตั้งแต่ตอนลงทุนก็อาจใช้ไม่คุ้ม หรือวางทิ้งในบ้านจนลืมไปเลยก็มี อาจมีนักลงทุนบางท่านแย้งว่า “ก็ไม่รู้นี่” ว่ากองทุนใดจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ก็เลยเลือกของที่ดูชัวร์ที่สุด นั่นก็คือ ของแถม” ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษานโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุนรวม ซึ่งมีความแตกต่างกัน และควรศึกษาคู่มือภาษีให้เข้าใจก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก บลจ. หรือธนาคารที่เป็นตัวแทนขายกองทุน

3. อย่าคิดว่า LTF & RMF กองไหนๆ ก็เหมือนกัน: ถึงแม้จะเป็นกองทุนที่ได้ชื่อว่า LTF-RMF เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานก็แตกต่างกันในรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น กองทุน LTF บางกองมีนโยบายกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในตราสารหนี้บางส่วน ในขณะที่บางกองทุนเลือกลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100%เต็ม หรือกองทุน RMF ก็มีตัวเลือกทั้งนโยบายที่ลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน ลงทุนในทองคำ หรือกระทั่งกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะของกองทุนที่แตกต่างกัน หากผู้ลงทุนเลือกลงทุนเพราะคิดว่าเป็นกองทุน RMF เหมือนกันนักลงทุนก็อาจได้ผลตอบแทนไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แล้วมานั่งเสียใจเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนยามเกษียณ

4. อย่าคิดว่าลงทุนใน LTF - RMF ไปแล้วจะสับเปลี่ยนไม่ได้: จริงๆ แล้วหากเราพบว่ากองทุน LTF- RMF ที่เลือกลงทุนไว้มีนโยบายการลงทุนหรือระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมาะกับตนเองเราสามารถสับเปลี่ยนการลงทุนไปยังกองทุนอื่นภายใต้กองทุนประเภทเดียวกันได้ เช่น การสับเปลี่ยน LTF กองเดิมไปยัง LTF อีกกองหนึ่ง หรือการสับเปลี่ยนกองทุน RMF ไปยังกองทุน RMF ด้วยกัน แต่เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน RMF หรือกองทุนรวมทั่วไปได้

5. อย่าเข้าใจผิดว่าลงทุนไปแล้วไม่สามารถโอนย้าย บลจ.ได้:มีผู้ลงทุนหลายท่านเข้าใจผิดว่าถ้าลงทุนในกองทุน LTF RMF กับ บลจ.ใดแล้วจะต้องถือครองไว้จนครบกำหนดตามเงื่อนไขของสรรพากร ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถโอนย้ายกองทุน LTF -RMF จาก บลจ.เดิมไปยัง บลจ.อื่นได้ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมการโอนย้ายที่ บลจ.ต้นทางจะเรียกเก็บ โดย บลจ.แต่ละแห่งจะมีอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ การโอนย้าย LTF-RMF ข้าม บลจ.ก็จะต้องโอนย้ายกองทุนไปยังกองทุนประเภทเดียวกัน เช่น LTF โอนย้ายไป LTF หรือ RMF โอนย้ายไป RMF ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2014, 05:44:50 am
โบนัส

-http://money.sanook.com/243233/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%AA/-


สวัสดีค่า บทความนี้เป็นบทความสุดท้ายที่นานิจะเขียนในฐานะแบรนแอมบาสเดอร์ของโครงการ Your First Click แล้วนะค้า และบทความส่งท้ายนี้นานิจะเขียนถึงสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอมาหลายเดือนแล้วนั่นก็คือ… โบนัสค่า ^^


คนส่วนใหญ่คงมีแผนกันไว้แล้วหล่ะ ว่าจะเอาโบนัสไปซื้ออะไรบ้าง กระเป๋าใหม่ ชุดเก๋ หรือทริปเที่ยวต่างประเทศ มีเผื่อใจไว้เรื่องลงทุนกันรึยังคะ? 555 อาจจะเผลอๆลืมกันไป แต่นั่นแหละ บทความนี้จะดึงคุณกลับมา สำหรับตัวนานิเองเข้าใจดีว่าการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น อย่าว่าแต่ลงทุนเลย แค่จะเก็บออมได้ในแต่ละเดือนนั้นมันก็ยากลำบากมากแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายสมัยนี้มันสูงขึ้นเยอะจริงๆ ดังนั้นใครที่เงินเดือนสองหมื่นนี่ เก็บได้สองสามพันก็ถือว่าเก่งพอตัวทีเดียว เพราะฉะนั้น โบนัสนี่แหละคือโอกาสทองในการเก็บออมหรือลงทุน เพราะมันเป็นอะไรที่นอกเหนือจากเงินเดือนปกติ

แน่นอนว่าถ้าให้เก็บหมด ชีวิตก็อับเฉาพอดี แต่ถ้าอยากจะเฮได้ในระยะยาวนั้น นานิแนะนำให้มาเจอกันตรงกลางค่ะ คือแบ่งครึ่งๆ โบนัสครึ่งนึงเอาไปใช้ซะให้เต็มที่ อีกครึ่งนึงเอามาลงกองทุนซะจะได้ช่วยหักภาษีด้วย เท่ากับได้สองต่อเลยหรือถ้าแม่นเรื่องลงทุนแล้วก็เอามาออมในหุ้นกันค่ะ อยากจะบอกว่า ทำแบบเนี้ยไปทุกปี อีกหลายปีข้างหน้านี่เผลอๆ เงิน passive income จากเงินโบนัสที่เราเอาไปลงทุนเหล่านี้นี่อาจจะพอส่งเราเที่ยวได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งโบนัสใหม่อีกต่อไปด้วยซ้ำ ^_^

เท่าที่พบมามนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายคือ อยากมีเงินล้านให้ได้ก่อนอายุ 30 หลายคนมองว่าง่ายๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่มองเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้บอกเลยว่า ทุกคนทำได้ค่ะ ไม่ยากถ้าตั้งใจ นานิคำนวณมาให้เรียบร้อยละ ส่วนใหญ่เราเรียนจบกันตอนอายุ 21 ปี ดังนั้นแต่ละคนจะมีเวลา 9 ปีในการปั้นเงินล้านขึ้นมาจากอากาศ บางคนก็อาจจะบอกว่า โอเค งั้นต้องเก็บเงินปีละ 111,111 บาท มันถึงจะได้ ซึ่งถ้าตั้งใจทำงานและหารายได้พิเศษเสาร์อาทิตย์เนี่ย ก็ไหวค่ะ แต่อย่าลืมว่า เรายังสามารถใช้การลงทุนมาเป็นเครื่องทุ่นแรงได้ด้วย

ดังนั้น สบายขึ้นมาอีกนิสนึงก็คือ “เก็บเงินเดือนละ 3,500 บาทและเก็บโบนัสปีละ 35,000 บาทค่ะ แล้วนำไปซื้อกองทุนทุกเดือนๆไป” กองทุนหุ้นน่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปีค่ะ และถ้าใครยังเก็บเงินไม่ได้เดือนละ 3,500 ก็มีสองวิธีคือ ใช้วันเสาร์อาทิตย์เป็นการหารายได้พิเศษ หรือไม่งั้นก็ต้องไปออมเพิ่มหนักๆเอาปีหลังๆ (แต่นานิว่าวิธีแรกดีกว่านะคะ ^^ ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก ใครเก่งภาษาก็นี่เลย นานิแนะนำให้รับแปลเอกสาร หน้าละประมาณ 250 บาท ทำวันเสาร์ 2 หน้า อาทิตย์อีก 2 หน้า ก็ได้เพิ่มมาละสัปดาห์ละ 1,000 บาทแหน่ะ!)

ทีนี้นานิอยากมาเน้นย้ำอีกทีเรื่องโบนัสนะคะ ถ้าเราเก็บและลงทุนเดือนละ 3,500 บาทอย่างเดียว แต่ไม่เหลือโบนัสมาโปะเพิ่มตอนปลายปี ตอนอายุ 30 เราจะมีแค่ประมาณ 550,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเอาโบนัสมาใส่ทุกปี ปีละ 35,000 บาทเนี่ย ก็จะได้เพิ่มมาอีกประมาณ 440,000 บาท! รวมแล้ว 30 ปี ก็มี 990,000 บาท (555 ยังไม่ถึงล้าน เอาเป็นว่าอายุ 30 ปีกะอีกสามเดือนละกันน้า ^_^) เห็นมั้ยคะ โบนัสนี่แหละโอกาสทองในการออมเลยทีเดียว

สุดท้ายนี้นานิก็หวังว่าเพื่อนๆจะเริ่มตั้งเป้าหมายของปีหน้ากันไว้แล้วนะค้าว่าอยากทำอะไรบ้าง นานิก็ขออวยพรให้ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายกันทุกๆคนนะคะ สุขสันต์วันปีใหม่ และขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^_^

ผู้เขียน : นานิ นิธินวกร - ผู้เริ่มต้นคลิกแรกผ่าน Click2Win

สนับสนุนข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2015, 06:25:28 am
ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


-http://money.sanook.com/243899/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AE-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A1.%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2/-


-http://www.matichon.co.th/index.php-

ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผอ.สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 3 วาระ เรียบร้อย คาดว่าจะมีผลบังคับต้นปี 2558 นี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ได้รับการคุ้มครองจากการทวงหนี้จากเจ้าหนี้ หรือผู้ทำหน้าที่แทนในการทวงหนี้มากขึ้น

สำหรับข้อห้ามที่ระบุไว้ในร่างกฎหมาย พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ มี 5 ข้อ ได้แก่

1.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ติดต่อบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสถานที่ติดต่อลูกหนี้

2.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ กระทำการในลักษณะที่เป็นการละเมิด และคุกคาม ในการติดตามทวงถามหนี้ อาทิ ใช้ความรุนแรง ใช้วาจา หรือภาษาดูหมิ่น ถากถาง เสียดสี การเปิดเผยความเป็นหนี้ของผู้บริโภคแก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

3.ห้ามติดตามทวงหนี้เกินสมควรแก่เหตุรวมถึงการติดต่อทางโทรศัพท์วันละหลายครั้ง และก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญ

4.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้กระทำการในลักษณะที่เป็นเท็จ หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในการติดตามทวงหนี้ เช่น ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี รัฐ หน่วยงานของรัฐ ทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย ทำให้เชื่อว่าหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดี ถูกยึดหรืออายัดทรัพย์หรือเงินเดือน ข่มขู่ว่าจะดำเนินการใด ทั้งที่ไม่มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมาย

5.ห้ามไม่ให้ผู้ติดตามหนี้ ติดตามทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม อาทิ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใดๆ เว้นแต่ได้มีการตกลงไว้ล่วงหน้า ติดต่อลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้โดยทางไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก หรือโทรสาร ใช้ภาษา สัญลักษณ์ ชื่อทางธุรกิจ บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดตามทวงถามหนี้ ส่วนการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ให้ติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้แจ้งไว้ ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยได้พยายามตามสมควรแล้ว ให้ถือเอาสถานที่ติดต่ออื่น เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการติดต่อได้ สำหรับการติดต่อลูกหนี้ทางโทรศัพท์ โทรสาร หรือติดต่อบุคคล สำหรับวันทำการให้ติดต่อได้ในเวลา 08.00-20.00 น. ส่วนวันหยุดราชการติดต่อได้ในเวลา 08.00-18.00 น. เว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร


ด้านบทกำหนดโทษแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โทษทางปกครองจะถูกปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 24 และทางอาญาจะถูกเพิกถอนการจดทะเบียน และจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษขั้นสูงสุด รวมทั้งให้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ขึ้นมาดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานด้วย
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 24, 2015, 08:24:40 am
เคลียร์หนี้อย่างไรให้ได้ผล

-http://money.sanook.com/249639/-

การเป็นหนี้มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจไม่ใช่น้อยเลยนะครับ หลายๆคนทำงานได้รับเงินเดือนมาแค่เพียงมีเงินผ่านกระเป๋าไปใช้หนี้สิน และที่ผมสังเกตมานะครับคือคนที่มีหนี้เยอะๆนั้น มีแนวโน้มที่จะมีหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ก็คงมีคนสงสัยว่าเพราะอะไร จริงๆ แล้วเราต้องไม่ลืมว่ามนุษย์เงินเดือนมักจะมีเงินจำกัดตามเงินเดือนที่ตัวเองมีในแต่ละเดือน การมีหนี้ก็ส่งผลทำให้เราต้องใช้ดอกเบี้ยคืนกับเจ้าหนี้และเมื่อวันหนึ่งหนี้สินที่ผุดขึ้นเรื่อยๆมันเยอะมากจนเกินความสามารถของเงินเดือนที่เราจะจ่ายได้

เพื่อนผมหลายๆคนเคยปประสบปัญหาลักษณะนี้ เงินเดือน 20,000 บาท เดิมทีมีหนี้บัตรเครดิตอยู่ 5,000 บาท ก็สามารถผ่อนได้ แต่ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 บาทและ 18,000 บาท ซึ่งอย่างไรก็ตามเขาก็ต้องกินต้องใช้ทำให้ไม่สามารถชำระจำนวนเต็มได้ และเริ่มมีดอกเบี้ยผุดเข้ามา

และรวมถึงพฤติกรรมในการใช้เงินของเพื่อนผมคนนี้ค่อนข้างฟุ้งเฟ้อ ทำให้มียอดบัตรเครดิตและดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากกว่าเงินเดือนประมาณ 3 เท่า (อย่างว่านะ เขามีหลายบัตรมาก) ทีนี้พอเงินเดือนออกแต่ละครั้งก็ไม่สามารถใช้หนี้ได้ง่ายๆ กลายเป็นการจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งหนี้สินมันพอกพูนอย่างหนักจนทำให้เกิดความเครียด แต่อย่างว่านะครับเครียดแค่ไหนหนี้ก็ต้องจ่ายอยู่ดี เรื่องนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนนะครับ เพราะฉะนั้นแล้วเราจะต้องมาดูว่าแนวทางในการจัดการหนี้และการใช้ชีวิตควรเป็นอย่างไร

สร้างทัศนคติไม่สร้างหนี้เพิ่ม

หลายๆอย่างเริ่มด้วยความเชื่อ เป้าหมาย และศรัทธานะครับ (อารมณ์ประมาณว่าสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีหนี้ๆๆ จะไม่ติดหน้าๆๆ) แล้วก็ลองคิดถึงอนาคตของตัวเองพร้อมตั้งคำถามว่า “เมื่อถึงวัยเกษียณเราอยากจะมีชีวิตอย่างไร?” และคำนวณดูว่า “เราจะต้องมีเงินในวันนั้นเท่าไหร่?”

เสร็จแล้วก็ลองกลับมาย้อนดูตัวเองว่าในปัจจุบันว่าสถานะทางการเงินของเราเป็นอย่างไร แน่นอนครับว่าจุดเริ่มต้นของทัศนคติคือการไม่สร้างหนี้เพิ่ม เราจะรู้แล้วว่าอนาคตมันจะลำบากมากขนาดไหนหากไม่มีเงิน เพราะนอกจากมันทำให้เรามีโอกาสหลุดพ้นหนี้แล้วก็ยังสามารถทำให้เราก้าวไปสู่การสร้างความมั่งคั่งได้ด้วย

พิจารณาความสำคัญของหนี้แต่ละก้อน

สำหรับคนที่พร้อมจะยุติชีวิตที่เป็นหนี้ เราอาจจะมาดูในเรื่องของภาระหนี้ที่เรามีอยู่ว่าอยู่ที่ตรงไหนบ้าง หนี้แต่ละก้อนมันอาจจะทำร้ายเงินในกระเป๋าเราได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ระยะของการชำระหนี้

โดยส่วนตัวแล้วผมจะพยายามจัดการหนี้วายร้ายที่มีความสามารถทำลายเงินในกระเป๋าเราได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนี้ที่ใช้เวลาสั้นๆวิ่งเข้ามาหาเรา และหนี้ที่มีดอกเบี้ยที่แพงหูฉีก ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ถ้ามีหนี้ 2 แหล่งนี้เข้ามาในชีวิตคุณ คุณจะเลือกปราบตัวไหนก่อน

หนี้ 10,000 บาท ที่ต้องจ่ายในเดือนหน้า ดอกเบี้ย 5%
หนี้ 10,000 บาท ที่ต้องจ่ายอีก 3 วัน ดอกเบี้ย 20%
ถ้าเรามีเงินจำกัดที่ 10,000 บาท ผมเชื่อว่าคุณประเมินได้ทันทีว่าคุณจะใช้หนี้กับเจ้าหนี้ข้อ 1 หรือ 2 และในชีวิตจริงเมื่อเรามีหนี้หลายๆแบบก็ลองมาดูว่าเราจะ จัดลำดับความสำคัญของมันอย่างไร อะไรควรต้องรีบใช้เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีของเราก็สามารถจัดเป็นขั้นเป็นตอนได้

ให้ความสำคัญกับหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย

ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆและหลายๆคนมักจะลืมนึกถึง หนี้บางอย่างไม่มีดอกเบี้ยครับ เช่น หนี้ที่ยืมพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ในสังคมไทยเรานั้นโดยส่วนใหญ่จะไม่คิดดอกเบี้ยกัน มันก็เลยกลายเป็นจุดที่ทำให้ลูกหนี้หลายๆคนละเลยความสนใจเพราะคิดว่า คืนเมื่อไหร่ก็ได้ เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยคืน แต่พอเป็นแบบนี้แล้วมันก็อาจจะทำให้เราเกิดปัญหาได้โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างกัน

หลายๆคนให้ยืมเพราะเกรงใจ ไม่กล้าทวงเงินคืนและกลัวจะทะเลาะกัน จะว่าไปกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับเราดีนะ ดีกว่าเจ้าหนี้ที่เก็บดอกเบี้ยเราทั้งนั้น การให้ยืมฟรีๆเกิดจากมิตรภาพ ความช่วยเหลือ จึงความใส่ใจในมิตรภาพเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกันครับ ก็อย่าลืมเจ้าหนี้กลุ่มนี้นะครับ ต้องไม่ลืมที่จะคืนเงินเขาและรักษาความสัมพันธ์ไปอย่างยาวนาน

สำหรับใครที่ต้องการเคลียร์หนี้ เราลองมาเริ่มกันเลยดีไหมครับ เริ่มตั้งเป้าหมายในวันนี้โดยจินตนาการสิ่งที่อยากเป็นก่อน ไม่ต้องไปสร้างหนี้เพิ่มและลองดูว่าเราจะสามารถเคลียร์อย่างไรตามลำดับก่อนหลังให้ได้ผล ลองดูนะครับทุกคนที่มีหนี้สามารถทำได้และสุดท้ายคุณจะมีความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน

ต้าร์ กวิน สุวรรณตระกูล
ผู้แต่งหนังสือ รวยได้จริงกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือน


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3622;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3624;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3626;image)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2015, 09:37:45 pm
ยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
-http://money.kapook.com/view112464.html-

ตารางสรุปการหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2554
-http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html-

โปรแกรม ช่วยคำนวนภาษี ภ.ง.ด. 91
-http://rdserver.rd.go.th/publish/sample/download.php?type=91-


-------------------------------------

ยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
http://money.kapook.com/view112464.html (http://money.kapook.com/view112464.html)

ตารางสรุปการหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2554
http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html (http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html)

โปรแกรม ช่วยคำนวนภาษี ภ.ง.ด. 91
http://rdserver.rd.go.th/publish/sample/download.php?type=91 (http://rdserver.rd.go.th/publish/sample/download.php?type=91)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2015, 09:15:59 pm
รวมที่สุด 3 วิธีแบ่งใช้เงินให้รวยที่ทำได้จริง!!

-http://money.sanook.com/258045/-

(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/51/258045/a1.jpg)

เงินเดือนออกแล้วจ้า!!

ช่วงต้นเดือนเป็นช่วงที่หลายคนลั้นลามากๆเพราะเงินเดือนพึ่งออก อารมณ์ประมาณว่าช่วงต้นเดือนเป็นฤดูจ่ายตังค์ ของบางอย่างที่เล็งไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วยังซื้อไม่ได้เพราะเงินหมด ก็เก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจเอาไว้ พอเงินเดือนออกปุ๊บก็จัดหนักทันที พอความรู้สึกอัดอั้นมันเบาลงเพราะซื้อของที่อยากได้ไปหมดแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ เวลามองไปในกระเป๋าสตางค์จากแบงก์พันเป็นปึกๆเหลืออีกทีไม่กี่ร้อยบาท รวมถึงบิลที่ใช้รูดบัตรเครดิตเข้ามาแทนทีเงินสดในกระเป๋า สมองก็จะคิดว่า “เดือนนี้จะจ่ายแบบนี้เป็นเดือนสุดท้ายและจะได้ออมเงินสักที” สุดท้ายเดือนต่อไปก็เข้ารูปแบบเดิมที่มีแต่คำว่า “จ่าย จ่ายและจ่าย”

หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เงินหมดกระเป๋าก่อนสิ้นเดือน เราควรแบ่งใช้เงินให้เป็นระเบียบมากขึ้น ส่วนไหนให้เก็บก็ต้องเก็บอย่าไปแอบหยิบมาใช้เด็ดขาด ส่วนไหนจ่ายหนี้ก็ควรจ่ายให้ตรงตามเวลา ส่วนที่เหลือจึงนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะแนะนำวิธีแบ่งเงินใช้จ่ายเพื่อให้ชีวิตเรามีระเบียบวินัยมากขึ้น ซึ่งควรนำแต่ละวิธีไปปรับใช้ให้เข้ากับลักษณะนิสัยการใช้เงินของตนเอง

รวมที่สุด 3 วิธีแบ่งใช้เงินให้รวยที่ทำได้จริง!!

วิธีที่ 1 แยกบัญชีอัตโนมัติ – ออมเป็นระบบ

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/51/258045/a2.jpg)

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบทำทุกอย่างให้เป็นอัตโนมัติ โดยตั้งระบบตัดบัญชีโอนเงินออกไปไว้ตามบัญชีรายจ่ายต่างๆที่ตั้งระบบไว้ หากจะใช้วิธีนี้ก็จะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายแต่ละส่วนให้แน่นอนว่าเรามีรายจ่ายอะไรบ้าง เราแบ่งรายจ่ายอย่างง่ายออกเป็น 3 ส่วน ตามนี้เลยจ๊ะ

เงินออม
รายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน
เงินรายได้(เงินเหลือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน)

เมื่อได้รับเงินเดือนแล้วก็จะถูกตัดอัตโนมัติไปใส่ไว้ที่ “บัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่าย” ตามสัดส่วนที่เรากำหนดไว้ ควรปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบวิธีการใช้ชีวิตของตนเอง บางคนอาจจะมีรายจ่ายน้อยก็อาจจะออมมากกว่า 30% ก็ได้ ตัวอย่างการแบ่งสัดส่วน

เงินออม 30%
รายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน 45%
ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 25%

แนวคิดของวิธีนี้มีเป้าหมายแตกต่างกัน ดังนี้

1. บัญชีเงินเดือน(เงินรายได้)

==> บัญชีนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่รายได้เข้ามา แต่เป็นที่สุดท้ายที่เราจะได้ใช้ อย่ากดเงินไปใช้อย่างลั้นลาตั้งแต่ครั้งแรกที่เงินเข้าบัญชีเงินเดือน แต่ต้องใช้หลังจากที่หักจากบัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่ายในข้อ 2,3 เรียบร้อยแล้ว เราจะใช้เงินที่เหลือในบัญชีเงินเดือนเท่านั้น โดยจะต้องหาวิธียังไงก็ได้ที่ต้องใช้เงินจำนวนนี้ให้พอใช้ถึงสิ้นเดือนและไม่ก่อหนี้เพิ่ม

2. บัญชีเงินออม

==> เราสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของการลงทุนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ โดยเลือกตามความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

ระยะสั้น – เงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเพราะถอนได้ทันทีในเวลาที่รีบใช้เงินก็ฝากไว้กับบัญชีออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน
ระยะปานกลาง – เงินเก็บไว้เพื่อลงทุนให้เติบโต เช่น ฝากประจำ กองทุนรวมตลาดทุน โปรแกรมออมทอง โปรแกรมออมหุ้น หุ้นปันผลสูง หุ้นกู้เกรด A
ระยะยาว – เงินเก็บไว้เพื่อเกษียณอายุ เช่น RMF ประกันชีวิตชนิดบำนาญ กบข.(ข้าราชการ) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(เอกชน)

3. บัญชีรายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน

==> เป็นรายจ่ายประเภทหนี้สินต่างๆ หรือรายจ่ายประจำที่ชีวิตเราขาดไม่ได้ เช่น

หนี้ที่ต้องจ่าย คือ หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต หนี้เงินกู้นอกระบบ
รายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายทุกเดือน หากไม่จ่ายจะทำให้ชีวิตเราลำบากแน่นอน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หากไม่จ่ายเราก็จะถูกตัดน้ำ ตัดไป ตัดการสื่อสาร

วิธีที่ 2 แบ่งเงินใช้วันละ 200 บาท – เป้าหมายชัดเจน
วิธีนี้เป็นของน้องฝ้ายเลขาน้องหมีแห่งดินแดน Aommoney ของเรานี่เอง ด้วยสภาพแวดล้อมรอบๆที่ทำงานมีแต่ของแพงเพราะทำงานย่านใจกลางเมืองแถวรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ ก็ต้องควบคุมรายจ่ายให้ดีเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ เก็บเงินทำนม แม้ว่าตอนนี้เรียนจบปริญญาตรีแล้วแต่ขนาดของนมยังอยู่ระดับประถมอยู่เลย นมโตไม่ทันตามวัยก็ต้องใช้มีดหมอเป็นทางลัด

เมื่อได้รับเงินเดือนน้องฝ้ายจะใช้วิธีตัดรายจ่ายทั้งหมดออกไปก่อน เช่น ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศํพท์ กองทุนนม เหลือเท่าไหร่ก็จะใช้วิธีหารเฉลี่ยต่อวัน โดยตั้งใจไว้ว่าใช้ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน แล้วก็แลกแบงก์ 100 มาเก็บใส่ถุงแบบนี้

หากทำแบบนี้ต่อไปกองทุนนมของน้องต้องเติบโตขึ้นแน่นอน แฟนเพจช่วยเป็นกำลังใจให้น้องฝ้ายด้วยนะจ๊ะ ^_^


(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/51/258045/a3.jpg)

วิธีที่ 3 แบ่งเงินใช้วันละ 120 บาท

อ่านกระทู้นี้แล้วชอบมากๆ คิดว่าน่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้อย่างมาก เราขอเล่าโดยใช้ข้อความในกระทู้ที่ตัดตอนออกมาบางส่วนแล้วแทรกด้วยความคิดเราเพื่ออธิบายเรื่องที่น่าสนใจเป็นสีส้ม (หากต้องการอ่านเรื่องราวทั้งหมดรบกวนคลิกที่ลิงค์ในส่วนของหมายเหตุด้านล่างนะจ๊ะ)

เริ่มเรื่องกันเลยจ้า…

ทำงานที่โรงพยาบาลได้เกือบๆ ปี เราก็เปลี่ยนงานค่ะ มาทำเอกชนแทน ลักษณะงานก็เปลี่ยนไป ต้องปรับตัวนิดหน่อย ค่าตอบแทนสูงกว่ารัฐ ประมาณ 3 เท่า งานไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แต่เน้นการบริการมากกว่า การแบ่งหน้าที่การจัดการดีกว่าที่เดิมค่ะ

ช่วงที่เพิ่งเปลี่ยนงาน เราต้องวางแผนการจัดงานเงินใหม่เพราะรายได้เพิ่มขึ้น เราก็ต้องเก็บมากขึ้น ตอนที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเก็บเดือนละ 5,000-7,000 บาท (จากรายได้ หมื่นกว่าบาท) ตอนนี้รายรับประมาณ 4x,xxx บาท เราเก็บโหดมากค่ะ หักไว้ 3หมื่นบาท/เดือน ไว้เป็นเงินเก็บที่เหลือก็ใช้จ่าย เป็นค่าอาหาร ค่าห้องพัก ค่าน้ำมัน รวมๆแล้วก็ใช้ประมาณหมื่นกว่าบาท

แนวคิดว่า “รายได้มากขึ้นก็ต้องออมเงินมากขึ้น” นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

เงินออมควรเติบโตตามรายได้ หลายคนอาจจะได้ยินบ่อยๆว่า “เงินเดือนมากขึ้นรายจ่ายก็มากขึ้น” หันไปทางไหนก็มีแต่รายจ่าย สิ้นเดือนมาก็ไม่มีเงินเก็บ หันไปดูรอบๆตัวก็ไม่ได้สิ่งของที่เป็นชิ้นเป็นอันกลับมา หากมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะเก็บเงินไม่อยู่ แม้ว่าเงินเดือนเรามากขึ้น แต่เราก็ใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมก็ได้ ถือคติว่า “อยู่เงียบๆแต่เงินเพียบนะจ๊ะ”

ตอนนี้เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (ในภาคอิสาน) สิ่งยั่วยุ มันก็เยอะ ออกจากห้องเป็นต้องเสียเงิน เราก็เลยจัดการการใช้เงินโดยถอนแค่เดือนละ 1 ครั้ง (เท่าที่จะใช้) ต้องบอกก่อนว่าเราทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำอยู่แล้วเพื่อให้รู้ว่าเราใช้อะไรไปบ้างเกินความจำเป็นรึเปล่า แต่ตอนนี้มันอยู่ตัวแล้ว เราไม่ได้ทำบัญชีแล้วค่ะเพราะคุมเงินอยู่แล้ว

ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย

สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเงินตัวเองหายไปไหนในแต่ละเดือนก็ต้องจดไว้ว่าจ่ายกับอะไรไปบ้าง เพื่อควบคุมรายจ่าย หากเราทำเป็นกิจวัตรก็จะรู้ว่าแนวทางการจ่ายเงินของเราเป็นแบบไหน ก็จะจัดทำเป็นงบประมาณรายจ่ายได้และอาจจะไม่ต้องจดบัญชีต่อไป แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น จากที่เคยอยู่กับพ่อแม่ก็แยกตัวออกมาอยู่ส่วนตัว คนโสดก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัว หรือมีการอย่าร้างต้องดูแลลูกฝ่ายเดียว ก็อาจจะต้องจดบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อจะได้รู้พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองที่เปลี่ยนไปจะได้คุมรายจ่ายของตนเองได้

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/51/258045/a4.jpg)

เงินที่ถอนมาเราเน้นแบงค์ 100 กับ แบงค์ 20 ค่ะ เนื่องจากเราต้องใช้เงินที่มีอยู่ในจำนวนที่จำกัด จึงต้องคุมเข้มหน่อย อยากสบายในอนาคตก็ต้องอดทน นี่คือปฏิทินเงินค่ะ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ ถ้าวันนี้วันที่ 1 ก็หยิบซองเลข 1 ไปใช้ ใช้ตามวันเลยค่ะ วันละ 120 บาทที่คำนวณไว้ ใช้กินได้อิ่มหนำสำราญค่ะ ข้าวพิเศษ 3 มื้อยังได้เลยวันนึงก็ใช้ประมาณ 120 บาทแต่เราซื้อข้าวถุงละ 8 บาทกับข้าว 25 บาท (ได้เยอะมาก) เราก็แบ่งทาน 2 มื้อ ประมาณ 10โมงเช้ากับบ่าย 3 มื้อเย็นกินนมบ้างไม่กินบ้างลดหุ่นไปในตัวเราจะได้สวยและรวยมาก

วินัยการใช้เงินคือสิ่งสำคัญที่สุด

เราทำงานเหนื่อยแล้วขอใช้เงินให้หายเหนื่อยหน่อยเถอะนะ จะให้เข้มงวดเรื่องการใช้เงินอีกมันบังคับตัวเองมากเกินไป ชีวิตนี้ก็เครียดมากพอแล้ว หากคิดแบบนี้พอถึงวันเงินเดือนออกเราก็จะจ่ายเงินจนหมด จนบางครั้งไม่คิดจะออมเงินเก็บไว้เลย ซึ่งแนวคิดแบบนี้ค่อนข้างอันตรายในระยะยาว

ลองคิดขำๆว่าหากเราเกิดป่วยด้วยโรคอะไรสักอย่างที่ต้องนอนพักเป็นเดือนๆ บริษัทจะยังจ้างเราอยู่ไหมและหากเราไม่เก็บเงินเผื่อไว้ตอนป่วยหละชีวิตจะเป็นยังไง รวมถึงค่ายา ค่ารักษาพยาบาลอีกจิปาถะจะนำเงินส่วนไหนมาจ่าย อย่ามองว่าคนที่มีระเบียบวินัยเข้มงวดกับการเงินแล้วจะมีชีวิตลำบาก ไม่มีความสุข ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีความสุขที่เห็นเงินออมเติบโตขึ้น เรามองว่าความสุขบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เช่น การมีเวลาให้ครอบครัว การทำกับข้าวทานเองที่บ้าน การทำผักสวนครัวกับลูก ฯลฯ

พอกลับห้องก็เอาเงินที่เหลือเก็บแยกไว้ นี่คือกล่องเก็บแบงค์ 20 และนี่กล่องเก็บแบงค์ 100 ค่ะ เหรียญก็ใส่คอนโดเหรียญอีกเช่นเคย ไม่น่าเชื่อว่าเราเหลือเงินกลับห้องทุกวันค่ะ บางวันใช้แค่ 30 บาทเองนะ

(http://p1.s1sf.com/mn/0/ud/51/258045/a5.jpg)

พ่อกับแม่มีรายได้ประจำประมาณ คนละ 5x,xxx / เดือนค่ะเราก็เลยซื้อของให้แทน เพราะคุณแม่เค้าจจะไม่ค่อยซื้อของให้ตัวเองเช่นโทรศัพท์ ใช้มาเป็น 10 ปี จนปุ่มลอกหมด หรือลำโพงเสีย แบตเสื่อมก็ไม่เปลี่ยนก็เลยซื้อเครื่องใหม่ให้ท่าน กลับบ้านก็พาไปทานข้าว ซื้อเป็นสิ่งของให้แทนค่ะ เพราะดูแล้วถึงให้เงินไปท่านก็คงไม่ใช้และไม่ซื้อของให้ตัวเองด้วย

ค่าโทรศัพท์เดือนนึงไม่เกิน (รวมอินเตอร์เน็ต) 500 บาทค่ะของฟุ่มเฟือยมีบ้างค่ะ จะเป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า แต่เราไม่ติดแบรนด์เนมซื้อให้ใส่แล้วดูดีก็พอค่ะ บางตัวซื้อมา 200 เพื่อนถามว่ากี่พันก็มีนะแต่รองเท้าที่ใส่ทำงานเราจะเน้นคุณภาพ ใส่สบาย และใช้ได้นาน ก็อาจจะแพงบ้างแต่นานๆซื้อที

เราพักอยู่คนเดียวค่ะ ทำงาน 11.00-20.00 น. ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์เลิกงานห้างก็ทยอยปิดกันแล้ว ถ้าอยู่คนเดียวไม่ค่อยทานข้าวในห้างนะคะ แต่ถ้ากลับบ้านก็จะพาคุณพ่อ คุณแม่ ออกไปทานเสมอ (กลับบ้านเดือนละครั้ง ครั้งละ2-4 วัน) เงินที่ใช้เกินจากเงินรายวัน ก็เป็นเงินที่แบ่งไว้ หรือเป็นเงินที่เหลือจากเงินรายวันค่ะ ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ…

วิธีแบ่งสัดส่วนการใช้เงิน

การจดบัญชีรายจ่ายจะทำให้เรารู้จักนิสัยการจ่ายเงินของตัวเอง รู้ภาพรวมว่าส่วนใหญ่แล้วจ่ายไปกับอะไรบ้างแล้วเราจะแบ่งใช้เงินตามสัดส่วนรายจ่ายของตัวเองได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าเจ้าของกระทู้คนนี้จะได้รับเงินดือน 4 หมื่นกว่าๆแต่ก็ใช้เงินเพียง 12,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 30% ของรายได้

กดเงิน 12,000 บาท
==> ค่าใช้จ่ายรายวัน 120*30 = 3,600 (เหลือวันละ 10-90 บาท)
==> ค่าห้อง รวมน้ำ ไฟ เน็ต = 5000
==> ค่าโทรศัพท์ = 500
==> ค่าน้ำมัน = 250
==> ของใช้อื่นๆ = 1,000

ก็จะเหลือใช้อีกเกือบ 2,000 บาทค่ะ

ชอบวิธีไหนก็ลองเลือกไปใช้ดูนะจ๊ะ ไม่จำเป็นต้องเหมือนเป๊ะ
เพราะต้องดัดแปลงให้เข้ากับลักษณะการใช้เงินของแต่ละคน

หมาเหตุ ขอขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูลวิธีที่ 3

แชร์ประสบการณ์การออมเงิน (ฉบับคนธรรมดา) ==> http://pantip.com/topic/32167383 (http://pantip.com/topic/32167383)

ขอบคุณบทความดีๆจาก www.aommoney.com (http://www.aommoney.com) 

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2015, 11:07:17 pm
6 รายการรูดบัตรสุดเสี่ยง ควรเลี่ยงถ้าไม่อยากเป็นหนี้หัวโต

-http://money.kapook.com/view113034.html-


  รูดบัตรเครดิตไม่ให้เป็นหนี้ ก็ต้องรู้วิธีที่ถูกต้อง ด้วยข้อห้ามของการรูดบัตรเครดิต รู้ไว้จะได้เลี่ยงซะ !

          บัตรเครดิตมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ยืดเวลาในการใช้จ่ายเงินสด นำคะแนนสะสมไปแลกเป็นส่วนลดหรือสิทธิพิเศษ ช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระค่าสาธารณูปโภค รวมถึงยังเป็นตัวสร้างคะแนนเครดิตชั้นดี ที่จะนำไปสู่ความน่าเชื่อถือในการกู้ยืมต่าง ๆ ด้วย อย่างไรก็ตามการใช้บัตรเครดิตอย่างผิดวิธีก็อาจโยนคุณไปสู่หุบเหวของความหายนะได้ และด้วยเหตุนี้เราจึงควรคิดให้ดีก่อนรูดบัตร โดยเฉพาะ 6 สิ่งดังต่อไปนี้ ที่เราควรหลีกเลี่ยงการจ่ายด้วยบัตรเครดิตจะดีกว่า..


1. ค่าผ่อนบ้าน

          แม้ว่านี่จะเป็นทางออกในยามฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ใช่ไอเดียที่ดีแน่ ๆ ที่จะจ่ายค่าผ่อนบ้านหรือค่าเช่าบ้านด้วยบัตรเครดิต เพราะหลักการง่าย ๆ ก็คือ การจ่ายหนี้ใด ๆ ด้วยการสร้างหนี้อีกอันหนึ่งขึ้นมา จะสร้างปัญหาให้ตามมาอย่างไม่มีวันจบนั่นเอง

2. ค่ารักษาพยาบาล

          ค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่วจนคุณต้องจ่ายด้วยการรูดบัตร จะนำมาซึ่งหนี้ค้างชำระและดอกเบี้ยจำนวนมาก ที่อาจทำให้จ่ายบิลไม่ไหวเช่นกัน แถมหากคุณไม่สามารถจะชำระค่าใช้จ่ายได้ตรงเวลา อัตราดอกเบี้ยก็สูงขึ้นอีกจนจ่ายเท่าไรก็ไม่ลด พาให้เสียเครดิตไปหมด

3. ค่าเทอม

          แม้ว่าการศึกษาจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่การจ่ายค่าเทอมด้วยบัตรเครดิตจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะโดยส่วนใหญ่เมื่อตัดสินใจใช้บัตรเครดิตนั่นหมายถึงคุณอาจมีเงินสำรองไม่เพียงพอ ลองคิดสิว่าถ้าเกิดถึงกำหนดจ่ายบัตร แล้วคุณหาเงินก้อนมาจ่ายเต็มจำนวนไม่ทัน ดอกเบี้ยจะแพงหูฉี่ขนาดไหน !
 
4. การพนัน

          หากคุณไม่ได้ถือเงินสดไว้ในมือ อาจมองไม่เห็นว่าเสียเงินไปกับการพนันเท่าไรแล้ว และด้วยเหตุนี้การใช้บัตรเครดิตเพื่อจ่ายค่าเกมการพนันต่าง ๆ จึงเป็นไอเดียที่แย่สุด ๆ ทางที่ดีไม่ควรเล่นการพนันตั้งแต่แรกจะง่ายกว่านะ

5.งานแต่งงาน

          เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณจ่ายไปในสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน จะให้สิ่งตอบแทนเป็นดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล นอกจากนี้คุณยังอาจเผลอใช้จ่ายเกินวงเงินเพื่อพิธีแต่งงานในฝัน รู้ตัวอีกทีอาจปวดหัวกับยอดหนี้จนต้องกุมขมับ เชื่อสิ..แต่งงานพร้อมหนี้แบบนี้ไม่ดีมั้ง

6. ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ

          คุณอาจคิดว่าการรูดการ์ดในค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แต่นั่นอาจเป็นสาเหตุให้คุณไม่ได้ตระหนักว่ามันรวมกันเป็นเท่าไรแล้ว อย่างเช่น คุณอาจจะรูดซื้อสินค้าและบริการครั้งละ 300-500 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันตอนปลายเดือนอาจถึง 10,000 บาทได้ ซึ่งหากคุณไม่สามารถจ่ายยอดเต็มได้ รับรองจ่ายดอกเบี้ยจนกระเป๋าแบนแน่ ๆ

 
          อันที่จริงการมีบัตรเครดิตสามารถอำนวยความสะดวกและช่วยเป็นหลักฐานทางเครดิตได้ ดังนั้นจะใช้จ่ายอะไรก็ระมัดระวังและอย่าให้เกินตัว จะได้ใช้บัตรเครดิตอย่างคุ้มค่าไม่เป็นหนี้จ้า


http://money.kapook.com/view113034.html (http://money.kapook.com/view113034.html)

.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2015, 05:51:09 pm
บ้านมือสอง เลือกซื้ออย่างไรดี!

-http://home.sanook.com/3417/-

การซื้อบ้านมือสองนั้นสะดวกสบายเพราะพร้อมเข้าอาศัย คุณไม่ต้องรอโครงการก่อสร้างเสร็จ สามารถเข้าดูสภาพบ้านและมั่นใจได้ว่าบ้านมีอยู่จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีความเสี่ยงหลายประการ เช่นว่าเจ้าของบ้านอาจให้ข้อมูลไม่ครบ ทำให้เกิดความเสียหายตามมา การซื้อบ้านสักหลังเป็นเรื่องใหญ่ คุณอาจต้องใช้เงินเก็บกว่าครึ่งชีวิตในการซื้อ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง วันนี้จึงมาแนะนำว่าคุณควรตรวจสอบอะไรบ้างเวลาต้องการซื้อบ้านมือสอง

1. ราคาและเงื่อนไข
ในการซื้อขายบ้านนั้นคุณต้องจ่ายภาษี ควรทำข้อตกลงกันให้ชัดเจนว่าตัวภาษีใครต้องเป็นผู้จ่าย เฟอร์นิเจอร์ในบ้านรวมอยู่ในราคานี้ด้วยหรือไม่ หลายครั้งที่ผู้ขายรับปากว่าจะให้เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ แต่เอาเข้าจริงกลับขนออกไปจนหมดบ้าน คุณควรระวังและทำข้อตกลงให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีเรื่องประกันที่ต้องสอบถาม อีกทั้งเรื่องโฉนดที่ดิน คุณควรถามให้แน่ใจว่าตัวโฉนดไม่ได้ติดจำนอง หากติดจำนองก็ต้องถามว่าสามารถไถ่ถอนมาให้ได้หรือไม่ และต้องตรวจเช็คใบอนุญาตก่อสร้างให้ถี่ถ้วน หากชื่อเจ้าของอาคารเป็นคนละคนกับเจ้าของที่ ก็ต้องให้เขาทำเรื่องแจ้งย้ายออก คุณควรปฏิบัติการอย่างรอบคอบที่สุดเพราะเงินที่คุณต้องจ่ายไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อาจต้องขอกู้ยืมสินเชื่อบ้านมาซื้อและติดหนี้กับทางธนาคารด้วยซ้ำ

2. ประวัติบ้าน
ข้อมูลที่คุณควรถามคือข้อมูลของผู้รับเหมาก่อสร้าง ก่อสร้างในปีใด และสามารถติดต่อผู้รับเหมาได้หรือไม่ เพื่อที่จะตรวจสอบได้ว่าผู้รับเหมามีใบอนุญาตไหม พิมพ์เขียวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเนื่องจากว่าเจ้าของอาจให้ข้อมูลไม่หมด คุณสามารถลองเลียบเคียงถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นดู ทั้งประวัติเจ้าของบ้านและข้อมูลจิปาถะเพื่อความสบายใจ

3. สภาพบ้าน
สภาพของบ้านเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน อย่างแรกที่คุณควรสำรวจดูคือสิ่งแวดล้อมว่าบ้านตั้งอยู่ในจุดที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือไม่ มีมลพิษเยอะแค่ไหน มีมลภาวะจากเสียงไหม เช่นตั้งอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมทำให้มีระดับมลพิษสูง หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือเปล่า

ตัวบ้านนั้นต้องไม่เอียง คุณควรตรวจสอบคานและพื้นว่าไม่มีการแอ่นตัว และตรวจหาร่องรอยการซ่อมแซมให้ละเอียด ผนังบ้านมีรอยร้าวไหม เป็นรอยร้าวแบบที่อันตรายหรือเปล่า หากมีรอยร้าวก็เป็นไปได้ว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย หากคุณไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ก็ควรหาสถาปนิกหรือวิศวกร มาช่วยดูได้เช่นกันว่าบ้านที่คุณคิดจะซื้อนั้นยังมีโครงสร้างที่แข็งแรงดี อยู่หรือไม่
หากมีคำถามสามารถติดต่อเราได้ที่ www.moneyguru.co.th (http://www.moneyguru.co.th) หรือ info@moneyguru.co.th


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:59:19 pm
7 นิสัยที่ทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีอย่างรวดเร็ว


-http://money.sanook.com/254749/-

เรามักจะเห็น เศรษฐี ทั้งหลายมีเงินมากมาย มีชีวิตที่ดี สมบูรณ์พูนสุข จนบางครั้งแอบนึกอิจฉา ส่วนหนึ่งนั้นมาจากหน้าที่การงานที่พวกเขาทำ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ “นิสัย” ต่างหากครับ

ในความเป็นจริงแล้ว ความร่ำรวยนั้นไม่ได้มาจากโชคหรือโอกาส แต่มันมาจากนิสัยบางอย่างที่เราทุกคนทำซ้ำๆในทุกวันของชีวิต และวันนี้ @TAXBugnoms ได้รวบรวมข้อมูลมาให้อ่านกันว่า … นิสัย 7 อย่างที่ว่านั้น มันมีอะไรบ้าง

1. ตั้งเป้าของความสำเร็จไว้ล่วงหน้า
เศรษฐีส่วนใหญ่มักจะมองเห็นเป้าหมายของตัวเองว่า “อยากจะทำอะไร” เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ความร่ำรวย ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มันเกิดจากการสร้างตามเป้าหมายที่เราวางไว้

ดังนั้นถ้าหากคุณอยากเป็นเศรษฐี ลองถามตัวเองก่อนดีไหมครับว่า “เป้าหมายของเราคืออะไร” และที่สำคัญ ต้องไม่ใช่แค่คำว่า “อยากรวย” “อยากสบาย” “อยากมีเงินใช้” แต่มันต้องเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ต่างหากครับ ตัวอย่างเช่น “ฉันจะมีเงิน 1 ล้านใน 5 ปีต่อจากนี้ โดยวิธีการสร้างรายได้เพิ่มจากการทำธุรกิจออนไลน์”

2. จับจ้องในเป้าหมายทุกๆวัน
เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการจับจ้องหรือ Focus ไปที่เป้าหมาย ใช้พลังและความคิดสร้างสรรค์ที่เรามีเพื่อให้รู้ว่า เราจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร อย่างเช่น ถ้าเราบอกตัวเองว่าอยากทำธุรกิจออนไลน์ เราต้องรู้ด้วยว่าเราจะทำธุรกิจออนไลน์แบบไหน อย่างไร และทำยังไงบ้าง

สำหรับเรื่องนี้ Brian Tracy นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังเคยบอกไว้ว่า..

เศรษฐีนั้นไม่ใช่คิดถึงเป้าหมายทุกเดือนหรือทุกวัน
แต่พวกเขาเหล่านั้นคิดถึงเป้าหมายและความก้าวหน้าในทุกๆชั่วโมงเลยทีเดียว

3. ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้
อุปนิสัยที่สำคัญสำหรับเศรษฐีอีกข้อหนึ่งคือ “ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้” และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ต้องมีวินัยในการออม” ไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่พอมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจะกลายเป็นหน้าใหญ่ใจโต ซื้อของโก้หรูมาใช้ เปลี่ยนบ้านใหม่ รถใหม่ แต่เราต้องสร้างนิสัยที่ดีเรื่องการเงินไว้ล่วงหน้าต่างหากครับ

4. สร้างคุณค่าในงานที่ทำ
เศรษฐีส่วนใหญ่จะสร้างคุณค่าในงานมากกว่าคนธรรมดาถึง 2-3 เท่า นั่นคือใส่ความตั้งใจลงไปในงานทุกชิ้นที่พวกเขาได้ลงมือทำ รวมถึงทุ่มเททำงานโดยที่ไม่ย่อท้อ และที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขายังเลือกสร้างคุณค่าในตัวเองด้วยการลงทุนในความรู้ตลอดเวลาอีกด้วย

5. ไม่เคยท้อแท้แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย
แน่นอนว่าเราทุกคนไม่ใช่มนุษย์ขั้นเทพ ย่อมจะมีสิ่งที่ผิดพลาดและไม่ประสบความสำเร็จในระหว่างทางที่ก้าวเดิน ธุรกิจอาจจะเจ็ง เป้าหมายอาจจะพลาด แต่สำหรับคนที่มีคุณสมบัติเป็นเศรษฐีนั้น เมื่อผิดพลาดและผิดหวังจากสิ่งที่ทำ เขามักจะถามตัวเองเสมอว่า “เราได้เรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาดนั้นบ้าง” เมื่อได้คำตอบแล้ว ก็อย่าทำพลาดซ้ำสองอีก นี่แหละครับคือเหตุผลที่ทำให้เศรษฐีทั้งหลายไม่ยึดติดกับความผิดหวัง แต่มุ่งเป้าหมายไปยังความสำเร็จตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้!!!

JK Rolling ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง Harry Potter เคยโดนสำนักพิมพ์ปฎิเสธงานถึง 12 ครั้งก่อนที่จะได้รับการตีพิมพ์ แต่เธอไม่หยุดยั้งที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เพราะเชื่อว่า…หนังสือเรื่องนี้คือเป้าหมายของชีวิต!!

6. เข้าใจความเสี่ยง
เรามักจะเห็นเศรษฐีหลายคนกล้าทำอะไรที่แหวกแนวกว่าคนอื่น จนบางครั้งอาจจะดูเหมือนกับคนบ้า แต่ที่จริงแล้วความสำเร็จที่ได้จากความบ้า นั้น มันเกิดจากความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงต่างหากครับ เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจความเสี่ยง เราจะมองเห็นภาพชัดเจนทั้งเรื่องของต้นทุนและความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าระดับความล้มเหลวเป็นที่ยอมรับได้ นั่นแหละคือสาเหตุที่เค้ากล้า แม้ว่าคนอื่นจะมองว่าบ้าก็ตาม

7. เป็นคนใจกว้าง และไม่เห็นแก่ตัว
หลายคนมักมีความเชื่อผิดๆว่า คนรวยคือคนที่เห็นแก่ตัว เบียดเบียนคนอื่น แต่ทว่าเศรษฐีที่แท้จริงนั้น เขาจะเป็นผู้สร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นต่างหากครับ เพราะยิ่งเขามีเงินมากขึ้น เขายิ่งช่วยเหลือโลกนี้ได้มากขึ้น และที่สำคัญการสร้างความร่ำรวยทั้งหลายนั้น คือ การสร้างคุณค่าให้กับคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นความคิดอันทรงพลัง หรือผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ถึงจะทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นเศรษฐีตัวจริง และที่สำคัญที่สุด คนเหล่านี้ไม่เคยคิดเห็นแก่ตัว … แต่คิดจะให้ผู้อื่นตลอดเวลามากกว่าครับ

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่านิสัยที่ดีนั้น เราสร้างขึ้นมาได้จากการฝึกฝน ดังนั้นถ้าหากอยากเป็นเศรษฐี เรามาเริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้ดีไหมคร้าบบบบ




หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 14, 2015, 09:32:54 pm
8 ขั้นตอน ก่อนไปดู “บ้าน”

-http://home.sanook.com/3761/-

เนื่องจากในปัจจุบันทั้ง “บ้าน” “คอนโดมิเนียม” “ทาวเฮาส์” และ“ทาวโฮมส์” ผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด จนผู้ที่ต้องการมีที่พักอาศัยเป็นของตนเองเลือกไม่ถูกว่าจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินให้กับโครงการไหน
หรือแม้แต่การจัดช่วงเวลาพรีเซลล์ของโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ที่เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าไปเยี่ยมชมตัวอย่าง “บ้าน” ก็มีขึ้นแทบทุกอาทิตย์ ว่าแต่สำหรับคนที่อยากมี “บ้าน” ควรเตรียมตัวไปดูสถานที่เหล่านั้นอย่างไรบ้าง

Sanook!Home เลยมี 10 ขั้นตอน เตรียมความพร้อมก่อนไปดู “บ้าน” มาฝากทุกๆ คน

1.หาข้อมูลล่วงหน้าจากเว็บไซต์ของโครงการต่างๆ ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง ทั้งทำเล สภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียง เพื่อจะได้เลือกและจำกัดจำนวนการเข้าชมบ้านเฉพาะโครงการที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด รวมถึงบ้านบางหลังก็มีข้อมูลออนไลน์แบบที่คุณสามารถมองเห็นภาพบ้านผ่านจากอินเทอร์เน็ต หรือมือถือของคุณได้เลย

2.หากต้องการใช้บริการนายหน้า ควรเลือกนายหน้าที่รู้และเข้าใจว่าคุณต้องการอะไร และพร้อมเสมอที่จะพาคุณเข้าไปชมบ้าน

3.เมื่อจะเข้าชมที่อยู่อาศัยที่ใดสักแห่งหนึ่ง คุณควรเตรียมอุปกรณ์บันทึกภาพเช่นสมาร์ทโฟน แทบเล็ต กล้องถ่ายภาพดิจิตอล รวมถึงเม็มโมรี่การ์ดที่มีความจุเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพจำนวนมาก และที่ขาดไม่ได้เลยคือแบตเตอรี่สำรอง เพราะคุณจะต้องถ่ายภาพบ้านให้ละเอียดทุกซอก ทุกมุม

4.เมื่อไปถึงสถานที่นั้นๆ ให้ถ่ายภาพตั้งแต่ด้านนอก ด้านหน้าโครงการเพื่อใช้ในการแยกแยะว่าบ้านหรือคอนโดมิเนียมนี้เป็นของโครงการไหน ถ่ายตั้งแต่ชื่อโครงการ เลขที่ห้อง หรือสัญลักษณ์อะไรก็ได้ที่สามารถแบ่งแยกแต่ละโครงการได้อย่างชัดเจน

5.นอกจากภาพถ่ายแล้ว เรื่องของความรู้สึกประทับใจที่คุณมีต่อที่พักอาศัยนั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยคุณต้องจดสิ่งเหล่านั้นลงในกระดาษให้ละเอียด รวมถึงสำรวจวัสดุ ตำแหน่งของการวางสิ่งต่างๆ ภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียมนั้นให้ละเอียด อ่อ…อย่าลืมจดชื่อโครงการกำกับไว้ด้วย เพราะจะได้นำไปอ่านทบทวนและเปรียบเทียบได้ในภายหลัง การจดจะช่วยให้คุณเห็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

6.ทำเลและสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งสถานที่หลักๆ ที่คุณควรคำนึงถึงคือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ สถานศึกษา โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า แหล่งจับจ่ายใช้สอย ฯลฯ รวมไปถึงผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านนั้น

7.เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้จากในแต่ละโครงการ หรือบ้านแต่ละหลังเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้ลองนำคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อยของบ้านแต่ละหลังเปรียบเทียบกัน แล้วคุณก็เลือกบ้านที่มีคะแนนเข้าตาคุณมากที่สุดแยกไว้จำนวนหนึ่ง

8.หลังจากได้บ้านที่เข้าตารวมกันแล้วจำนวนหนึ่ง แนะนำว่าคุณควรกลับไปดูที่พักอาศัยเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบบ้านที่เข้าตาในจำนวนที่เหลืออยู่ แล้วค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไป คราวนี้ในมือคุณก็จะเหลือแต่ “บ้าน” ที่ใช่ และตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2015, 11:05:11 am
7 ความเชื่อการเงินแบบผิดๆ ที่ทำให้ชีวิตคุณพัง
14 มี.ค. 58 16.31 น.

-http://money.sanook.com/263969/-

บทความใหม่นี้ฉลองครบรอบหนึ่งปีในการทำเพจ Mr.Grayman จากสิ่งที่ตัวผมเองได้เจอมาเลยทำให้รู้เลยว่าปัญหาของคนสมัยนี้ มักจะดักดานเรื่องการเงินแต่แก้ไขไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดจากความเข้าใจด้านการเงินที่ผิดพลาดครับ บางคนหลังไมค์มาท้าต่อยพี่เกรย์หาว่าสอนแต่เรื่องกว้างๆไม่รู้จักพูดให้ดี ให้รู้เรื่อง พูดจาสุภาพบ้าง พี่เกรย์ฟังแล้วอยากจะถามเหมือนกันว่า “เสือกอะไรเพจกู ไม่อ่านก็ปิดจอไป หรือไม่ก็เชิญมึงไปทำเพจเองเล่นเองไลค์เองสิครับ” แต่ก็ไม่กล้าพูดไปเกรงใจว่าจะไม่สุภาพครับ

ทีนี้ปัญหาเรื่องการเงินมันเกิดจากความเชื่อผิดๆครับ อาจจะเกิดจากที่ครอบครัวคุณไม่ได้สั่งสอน หรือสอนแล้วไม่จำ หรือสังคมทีคุณอยู่มันแย่มาก แต่ไม่เป็นไรครับ เราจะมาเปลี่ยนแปลงแนวคิดผิดๆ 7 ข้อนี้ไปด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้วเริ่มกันเลยนะครับ

1. ไม่ต้องวางแผนเกษียณหรอก เพราะเราจะทำงานไปจนตาย
หลังการที่คิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้านี่ไม่รู้มาจากไหนนะครับ เอางี้ดีกว่า ผมขอบอกว่าการที่คนเราทำงานจนตายไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ แต่สิ่งที่ผิดจริงๆคือ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่ดันไม่ตาย เพราะว่าหนังเราอาจจะเหนียวเหมือนควายป่า ทำให้เกิดความผิดปกติที่ร่างกาย เช่น พิการ หรือ ทุพลลภาพ จนโดนไล่ออกจากงาน ทีนี้อยากทำงานจนตายก็ทำไม่ได้ครับเพราะดันเป็นง่อยไปแล้ว คำถามตามมาคือ แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ ถ้าไม่รู้จักวางแผนชีวิตล่วงหน้า

2. แค่จ่ายค่าใช้จ่ายก็จะตายแล้ว จะวางแผนการเงินได้ยังไง
คำพูดนี้ปลอบใจตัวเองได้ดีมากๆ เลยครับ แต่ผมอยากบอกว่าเพราะคุณไม่ได้วางแผนการเงิน ชีวิตคุณเลยเป็นแบบนี้ไงครับ หรือคุณจะยอมรับว่าเวลาเป็นหนี้คุณได้ใคร่ครวญดีแล้ว เวลาจะซื้อของใช้ต่างๆ เวลาจะซื้อบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ แต่คงว่าไม่ได้หรอกครับ เพราะนี้อาจจะเป็นอาการทางสมอง ยังไงแนะนำให้รีบรักษานะครับ (ยิ้ม)

แต่สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ พี่เกรย์ขออวยพรให้ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้นะครับ คนบางคนความจำเป็นไม่เหมือนกัน พี่เกรย์หมายถึงคนที่อ้างเหตุผลแบบง่าวๆเท่านั้น หวังว่าคงจะเข้าใจ อย่างน้อยก็เอาเวลาที่เล่นเฟสบุ๊กไปหาเงินมาช่วยโปะหนี้ น่าจะดีกว่านะครับ

3. รู้จักพอก็รวยได้
ตอบก่อนไหมครับว่าเท่าไร ถึงพอ แล้วถ้าหากวันนี้พอแล้ว หยุดทำงานสิครับ ไม่ทราบว่าทำงานไปหาคุณพ่อคุณแม่หรอครับ?

4. อยากได้ งานง่ายๆ สบาย รายได้ดี
อันนี้คงบอกได้แค่ว่า “เมากาวก็ไปนอนนะลูก”

5. แค่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ต้องซื้อประกันก็ได้
คือแบบนี้ครับ การทำประกันคือการป้องกันความเสี่ยงนะครับ อย่าเข้าใจผิด การดูแลสุขภาพให้ดีเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำครับ แต่ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุ เราได้เผื่ออะไรไว้สำหรับชีวิตคนอื่นที่อยู่ข้างหลังบ้างไหมครับ ลองคิดสิครับว่า ถ้าเราโกอินเตอร์ไปเค้าจะเจออะไรบ้าง เคยเผื่อเขาบ้างไหมครับ หรือเกิดมาชาตินี้ไม่มีใครรักสักคนเลยครับ

อีกกลุ่มคือพวกที่คิดว่าทำประกันคือการแช่งตัวเอง แต่บอกให้คนอื่นเชื่อในวิทยาศาสตร์ ผมไม่แน่ใจว่าใครบ้านะครับ

6. ซื้อบ้านถูกกว่าเช่า เอาค่าเช่ามาผ่อนดีกว่า
คิดให้เยอะๆ ถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา ค่าดูแลรักษา ราคาขายต่อ ความสะดวก การเอาเงินก้อนไปลงทุน การหมุนเงิน และปัจจัยอื่นๆบ้าง พวกที่คิดแบบนี้สุดท้ายบ่นว่าผ่อนไม่ไหว แล้วจะซื้อมาทำซีซาร์สลัดให้คุณพ่อรับประทานทำไมครับ

7. การลงทุนมีความเสี่ยง เลยไม่กล้าลงทุน
ทุกอย่างในโลกนี้มีความเสียงหมดแหละครับ เอาเงินไว้ที่บ้านก็เสี่ยงมอดแดรกส์ กินข้าวก็เจอพวกสารพิษ ทำงานก็เจอเพื่อนหลอก แต่ที่เสี่ยงจริงๆ มันคือการที่คุณไม่มีความรู้ในสิ่งที่คุณทำ แล้วทำเหมือนรู้ทุกเรื่อง สุดท้ายก็เลยเป็นแบบนี้แหละ

บทความการเงินนี้ เขียนด้วยความหวังดีกับทุกคนครับ
อาจจะพูดแรง แต่ที่พูดไปต้องขอชี้แจงว่า
เพราะไม่อยากเห็นพวกคุณต้องไปเก็บขวดขายตอนแก่ครับผม



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3726;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3728;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3730;image)


.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2015, 09:14:25 am
5 ข้อห้ามเพื่อชีวิตที่ปลอดหนี้สิน!
4 เม.ย. 58 21.16 น.


-http://money.sanook.com/269577/-

เข้าสู่ช่วงปลายเดือนทีไร ใครหลายคนมักจะเกิดอาการเหมือนโดนไฟดูดขึ้นมาทันควัน (ช็อตนั่นเอง – -“) และพอไม่มีเงินขึ้นมา สิ่งแรกที่เราคิดนั่นคือ ขอยืมเงินชาวบ้านดีฝ่า (อย่าลืม.. อ่านเคล็ดลับวิธีปฎิเสธเพื่อนยืมเงินประกอบด้วยนะครับ) หรือไม่ก็ตัดสินใจนำเงินอนาคตมาใช้แทน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด บัตรรถไฟฟ้า เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว จนบางครั้งการใช้เงินในอนาคตที่ว่านี้แหละ อาจจะทำให้เราเป็นหนี้โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ พอรู้ตัวอีกที โอ้ยยยย ตรูไม่มีปัญญาจะจ่ายแล้วววว

วันนี้ @TAXBugnoms มีเคล็ดลับการใช้ชีวิตดีๆ แบบปลอดหนี้สินมาเล่าสู่กันฟัง รับประกันได้ว่า ถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ อ่านแล้วปฎิบัติตามได้ ต่อให้หนี้สินมากแค่ไหนก็ไม่อาจมากล้ำกรายได้เลยล่ะจ้าาาา

ข้อแรก : อย่าใช้เกินกว่าที่หามาได้
กูรูการเงินทั้งหลายมักจะแนะนำว่า ให้ปรับเปลี่ยนสมการการเงินของตัวเราใหม่ นั่นคือ ได้เงินมาเท่าไรหักออกก่อนด้วยเงินออมแล้วที่เหลือค่อยใช้จ่าย (รายได้ – เงินออม = รายจ่าย) แต่บางคนก็บอกว่าจะให้ออมยังไงไหว ชั้นจะตายอยู่แล้วจ้าาา ดังนั้นถ้าทำตามไม่ไหวจริงๆแล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ควรทำคือสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนว่า “ตรูจะไม่ใช้เกินกว่าที่หาได้!!!” เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะอย่างแน่นอนครับ

ข้อสอง : อย่าสนใจของนอกกายที่ไม่จำเป็น
ตามจากข้อแรกมาทันควัน ส่วนใหญ่แล้วที่เราใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้นั้น สาเหตุมันเกิดจากของนอกกายทั้งหลายที่ไม่ตายแต่ก็อยากได้จริงๆเลยนี่แหละครับ บางคนเห็นเพื่อนเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ก็อยากจะเปลี่ยนตาม เห็นคนรอบข้างมีของดีของใช้ทันสมัยทั้งหลาย หรือไลฟ์สไตล์ที่น่าอิจฉา ใจมันก็๋อยากได้ขึ้นมาซะงั้น แต่เราลืมถามตัวเองไปว่า แล้วเราน่ะ “เหมาะสม” กับการใช้จ่ายพวกนั้นหรือไม่

และเหตุผลอีกข้อหนึ่งนั้นเกิดจาก “กับดักรายจ่าย” เพราะเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตัวเราเองนั้นได้จ่ายเงินไปมากขนาดไหน และที่สำคัญเจ้ารายจ่ายที่จ่ายไป เราแบ่งได้หรือยังว่า รายจ่ายไหนคือ “รายจ่ายที่จำเป็น(Need)” หรือ “รายจ่ายที่ต้องการ(Want)” กันแน่!

รายจ่ายที่จำเป็น คือ รายจ่ายทีต้องใช้ ถ้าไม่ได้จ่ายไปเราก็ตายแน่ๆแต่รายจ่ายที่ต้องการ คือ รายจ่ายที่เราไม่มีก็ไม่ตาย แค่ดิ้นทุรนทุรายไปสักพักเดียวเองจ้าาและสุดท้ายก่อนที่จะจ่ายเงินออกไป ลองถามตัวเองก่อนทุกครั้งว่า “ตรูจ่ายไปทำไมฟระ”

ข้อสาม : อย่าเห็นของลดราคาแล้วตัวสั่น
ข้อนี้ถือว่าเป็นปัญหาของทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เพราะแต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน บางคนชอบชอปปิ้งเสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้า SALE ทีไรก็อดใจไม่ไหว บางคนชอบสินค้าไอที เดินงานคอมมาร์ทที่ไรก็ห้ามใจไม่อยู่ เพราะเราทุกคนล้วนมีความชอบนู่นนี่นั่นแตกต่่างกันไป แต่วิธิที่ห้ามใจได้ดีที่สุด นั่นคือ “หยุดมองของลดราคา” แต่ให้ซื้อเมื่อ “จำเป็นจริงๆ” เท่านั้น ไอ้ประเภทที่ซื้อๆไปก่อนเพราะกลัวพลาดของดีราคาถูก บางครั้งกลายเป็นผูกติดหนี้สินโดยที่่ไม่รู้ตัวนะคร้าบบบ

ข้อสี่ : อย่ากระสันอยากมีเหมือนคนอื่นเขา
สำหรับข้อนี้ เป็นเรื่องใจล้วนๆ เพราะความอิจฉาริษยาเราต้องดับให้ขาด หากมีเรื่องพวกนี้ตลอดเวลาในใจ เราก็จะกลายเป็นคนที่มัวมองหาเป้าหมายที่จะแข่งขัน เปรียบเทียบ อยากมี อยากเป็น อย่างคนอื่นเขา แต่จริงๆเราเคยถามตัวเองไหมว่า “ชั้นต้องการอะไร” และ @TAXBugnoms เชื่อเลยครับว่า ถ้าเรารู้ตัวเองว่าต้องการอะไร เราจะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้เต็มๆ เลยล่ะครับและเมื่อไม่ต้องใช้จ่าย โอกาสที่จะเป็นหนี้มันก็น้อยลงไปเหมือนเงาตามตัวเลยล่ะคร้าบบบ

ข้อห้า : อย่าเอาชีวิตไปผูกติดสินค้าเงินผ่อน
ผ่อน 0% 10 เดือน 20 เดือน 30 เดือน นั้นคือตัวยั่วยวนชั้นดีที่จะทำให้เราตบะแตก ตัดสินใจเป็นหนี้โดยที่คิดว่า ค่อยทยอยๆจ่ายก็ได้น่า ไม่เห็นเป็นไรเลย จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมา บางคนมีบัตรเครดิตกี่บัตร พี่ท่านจัดเต็มวงเงินทุกบัตรเลยคร้าบ ทีนี้มันก็เป็นปัญหาตามมาว่า ผ่อนทุกเดือน จ่ายทุกเดือน หนี้เก่าไปหนี้ใหม่มา แต่ตัวคุณพี่น้้นหาอะไรกินไม่ได้เลยเพราะใช้หนี้จนหัวโตกันเลยทีเดียว

เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ มีไว้เพื่อเตือนใจเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนี้ แต่หนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องมาจากความอยากที่จะใช้จ่าย ถ้าหากแก้ปัญหาที่ตรงจุด ลดหนี้สิน เราต้องหยุดตั้งแต่ความคิดที่จะใช้จ่าย ไม่ใช่หยุดความคิดที่จะสร้างหนี้ เพราะถ้ารู้ตัวช้าแบบนั้น บางครั้งอาจจะไม่ทันการณ์นะคร้าบบบบบ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 10, 2015, 08:54:21 am
คุ้มโคตรๆ!! กับเงินฝาก 5 ประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษี!!
http://money.sanook.com/276497/ (http://money.sanook.com/276497/)

หลายๆคนมีปัญหากับการฝากเงินธนาคาร บางครั้งบ่นว่าต้องเสียดอกเบี้ย วันนี้ @TAXBugnoms เลยขอนำเรื่องราวดีๆมาบอกต่อให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟังกันครับว่า มันมีวิธีการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ย แถมยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง

1. เงินฝากเผื่อเรียกจากธนาคารออมสินและธนาคารเกษตรและสหกรณ์

สำหรับเงินฝากเผื่อเรียกนี้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่เราได้รับทั้งจำนวนครับ ซึ่งคำว่าเผื่อเรียกนี้ หมายความรวมถึงเงินฝากเผื่อเรียกแบบพิเศษด้วยนะครับ ดังนั้นถ้าใครฝากเงินกับธนาคารสองแห่งนี้ รับประกันได้เลยครับว่าไม่ต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน

อ้อ… นอกจากเงินฝากแบบเผื่อเรียกแล้ว รางวัลสลากต่างๆที่เราได้รับจากการลงทุนในสลากออมสินและสลากธกส. ส่วนนี้ก็ได้รับยกเว้นภาษีเช่นเดียวกันแถมยังได้ลุ้นรางวัลใหญ่อีกด้วยครับ

2. เงินฝากออมทรัพย์จากสหกรณ์ออมทรัพย์

สำหรับเงินฝากประเภทนี้ คือเงินฝากออมทรัพย์กับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์สำหรับข้าราชการแต่ละหน่วยงาน ซึ่งบางครั้งได้เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปอย่างเราๆเข้าไปฝากเงินได้เหมือนกันครับ

3. เงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ส่วนที่ไม่เกินสองหมื่นบาท

เงินฝากธนาคารออมทรัพย์สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปก็ได้ยกเว้นภาษีเช่นเดียวกัน แต่กฎหมายให้จำนวนดอกเบี้ยสูงสุดไว้ที่ 20,000 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าหากใครฝากเกิน 20,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก ไม่ใช่เสียเฉพาะส่วนที่ยกเว้นนะครับ และอันนี้หมายความรวมถึงบัญชีออมทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น ฝากไม่ประจำ ออมทรัพย์พิเศษ ก็อยู่ในประเภทนี้ครับ

4. เงินฝากประจำปลอดภาษี

สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำรายเดือนติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 24 เดือน และมีเงินฝากแต่ละครั้งไม่เกิน 25,000 บาท หรือรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับสิทธิยกเว้นรายได้ส่วนนี้ครับ ซึ่ง @TAXBugnoms เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดีในชื่อของเงินฝากประจำปลอดภาษีนั่นเอง

5. เงินฝากประจำสำหรับผู้สูงอายุ

ประเภทสุดท้ายคือ เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยได้รับดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 30.000 บาทต่อปี (ดอกเบี้ยที่ว่านี้ต้องรวมเงินฝากประจำประเภทอื่นๆด้วยนะครับ) และที่สำคัญคือผู้ฝากต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี ถึงจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีจากดอกเบี้ยที่ว่านี้นะครับ ถึงแอบเรียกว่า เงินฝากประจำคนแก่ เอ้ย คนมีอายุนั่นเองครับ

และทั้งหมดนี้คือประเภทเงินฝากดีๆที่ได้รับดอกเบี้ยแล้วไม่ต้องเสียภาษีที่เราทุกคนควรรู้ไว้ เผื่อมีใครจะใช้เพื่อวางแผนประหยัดภาษีและการจัดพอร์ทการลงทุนของตัวเองไปพร้อมๆกันครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2015, 11:43:44 am
กู้สินเชื่อที่พักอาศัย ผ่านไม่ผ่าน ดูที่อะไร?

-http://money.sanook.com/278293/-


คุณกำลังคิดจะยื่นขออนุมัติสินเชื่อบ้านหรือไม่? หากใช่ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะข้อมูลที่เรานำเสนอจำเป็นอย่างมากในการที่สินเชื่อของคุณจะได้รับการอนุมัติ ซึ่งหากทราบถึงหลักเกณฑ์คุณก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าสินเชื่อของตนจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นรอผลจากทางธนาคาร หรือหากมั่นใจว่าจะได้รับการปฏิเสธก็จะได้ไม่ส่งคำขออนุมัติให้เสียเวลา และเรายังปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกู้ร่วมมาฝากอีกด้วย

หลักเกณฑ์การพิจารณามีดังต่อไปนี้:

1. ความสามารถในการชำระหนี้ของคุณมีแค่ไหน
ธนาคารผู้ให้สินเชื่อจะพิจารณาจากรายได้ ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม ก็จะนำรายได้ของผู้กู้ร่วมมาคำนวณด้วย และส่วนมากจะให้กู้เป็นวงเงินสูงสุดประมาณ 30 – 40เท่าของรายได้ ซึ่งแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ทั้งนี้ทั้งนั้นธนาคารจะนำอาชีพของผู้กู้มาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งถ้าเป็นอาชีพที่มั่นคงก็อาจได้รับการอนุมัติวงเงินสูงกว่า และยังพิจารณาไปถึงหนี้สินต่อรายได้ต่อเดือนของคุณ ซึ่งปกติแล้วทางธนาคารอาจไม่อนุมัติหากอัตราหนี้สินต่อรายได้ปัจจุบันของคุณเกิน40%

2. ความเหมาะสมของหลักประกัน
มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อส่งผลต่อการอนุมัติของธนาคาร หากเป็นอาคารที่มีมูลค่าทางตลาดสูง ตั้งอยู่ในทำเลดี และหากทำประกันให้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวก็อาจเพิ่มโอกาสการได้รับอนุมัติสินเชื่อเช่นกัน

3. คุณสมบัติของผู้กู้
อายุและประวัติส่วนตัวของคุณก็มักถูกใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ตั้งแต่อาชีพไปถึงอายุ ซึ่งอายุของคุณเมื่อครบเวลาผ่อนชำระต้องไม่เกิน70ปี รวมไปถึงเครดิตสกอร์จากเครดิตบูโร ถ้าอยู่ในระดับที่ดีโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาก็สูงขึ้นไปอีก


เกร็ดความรู้หากจะกู้ร่วม!

คุณรู้หรือไม่ ในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้หรือไม่จ่าย คนที่เป็นผู้กู้ร่วมจำต้องรับผิดชอบหนี้สินดังกล่าวเต็มจำนวน ฉะนั้นก่อนที่คุณจะตกลงกู้ร่วมกันใคร มั่นใจเสียก่อนว่าคุณไตร่ตรองมาดีแล้ว บางทีหากคนที่มาขอให้คุณเป็นผู้กู้ร่วมอาจเป็นครอบครัว ซึ่งการปฏิเสธก็ยาก เพราะฉะนั้นคุณควรศึกษาสถานะทางการเงินของอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อน
สิ่งที่คุณต้องถามตนเองคือ:

1. อีกฝ่ายไว้ใจได้แค่ไหน
ลองถามตนเองอย่างจริงจังว่าคุณไว้ใจผู้กู้แค่ไหน เขาเป็นคนแบบไหน อย่ากลัวการเสียเพื่อนเพราะหากเกิดอะไรขึ้น เงินที่คุณต้องรับผิดชอบอาจสูงจนกระทั่งคุณลำบาก อีกทั้งการตามทวงหนี้หรือการตามทวงเงินจากผู้กู้นั้นไม่ใช่เรื่องสนุก

2. ลิมิตของคุณมีเท่าไหร่
หากคุณตัดสินใจจะเซ็นเป็นผู้กู้ร่วม ในเมื่อคุณต้องแบกรับความเสี่ยงในกรณีที่อีกฝ่ายไม่จ่ายหนี้ คุณก็ควรมีสิทธิ์กำหนดลิมิตจำนวนหนี้สินที่คุณต้องจ่ายในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้ และอย่าลืมเก็บเอสารหลักฐานทุกอย่างเอาไว้ในกรณีที่คุณต้องใช้ในภายหลังหากเกิดอะไรขึ้น

การกู้ร่วมไม่ใช่เรื่องแย่ แต่คุณต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ตัวคุณเองเดือดร้อนและคุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่คุณจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง

ทีมงาน MoneyGuru พร้อมเสมอที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านของคุณ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อเราได้ที่ info@moneyguru.co.th หรือ www.moneyguru.co.th (http://www.moneyguru.co.th)

เรื่อง : MoneyGuru

create by smethailandclub.com

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 23, 2015, 07:39:24 pm
อยู่ดีๆ ตกงาน ควรใช้บัตรเครดิตต่อหรือไม่?

-http://money.sanook.com/280513/-

หากวันหนึ่ง คุณพบว่าคุณต้องตกงาน และคุณยังไม่มีงานใหม่ คุณอาจเกิดคำถามกับตัวเองว่า ปกติเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตตลอด พอตกงาน ขาดรายได้ ยังควรใช้ต่อไปหรือไม่ แล้วถ้ามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ด้วยแล้วล่ะ จะทำอย่างไรกับชีวิตการเงินของคุณดี วันนี้ MoneyGuru อยากให้คุณใจเย็นๆ เพราะทุกปัญหาการเงินมีทางแก้ วันนี้เราจึงเอาคำตอบของสถานการณ์นี้มาฝากกัน

หากยังมีหนี้อยู่ ทำอย่างไรกับหนี้สินดี?

วิธีจัดการเบื้องต้นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรมากนักกับเวลาที่บรรดาธุรกิจที่ประสบกับภาวะหนี้สิน นั่นก็คือการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการชำระหนี้ในช่วงระยะเวลานั้นๆ นั่นเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเลยคือ อย่าหนีหนี้ ยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตร เล่าสถานการณ์ให้ฟัง และดูว่าธนาคารสามารถช่วยอะไรเราได้บ้างหรือไม่

ต่อมา ที่ควรทำคือ การชำระหนี้อย่างน้อย จ่ายขั้นต่ำ สำหรับหนี้ทุกก้อนที่คุณมี โดยเริ่มจากหนี้สินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันก่อน ทั้งค่ารถ ค่าบ้าน เพราะหากคุณไม่ยอมจ่ายหลายๆเดือน คุณอาจจะถูกยึดหลักทรัพย์เหล่านั้นไป

ต่อมาคือ หนี้สินที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต ซึ่งก็เหมือนกับหนี้สินประเภทอื่นๆ คือ พยายามจ่ายขั้นต่ำของทุกบัตรที่คุณมีอยู่ ลองคุยกับธนาคารว่าสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่ แล้วยิ่งหากคุณมีประวัติเครดิตที่ดีมาตลอด ถือว่าคุณเป็นลูกหนี้ชั้นดี คุณจะยังมีภาษีพอที่จะต่อรองธนาคารได้

ซึ่งส่วนมากนั้น หากคุณซื่อสัตย์กับธนาคารจริง ธนาคารจะเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ ดีกว่าคุณไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้ของคุณจะกลายเป็นหนี้สูญทันที และธนาคารจะไม่ได้ประโยชน์อะไร หรืออีกกรณีหนึ่งคือ คุณบอกกับธนาคารว่า คุณจะทำการโอนยอดหนี้ไปบัตรอื่น ธนาคารอื่น ก็อาจจะเป็นการช่วยเพิ่มน้ำหนักในการเจรจาอีกทางหนึ่ง

เป็นคนปลอดหนี้ ควรใช้บัตรเครดิตต่อไปหรือไม่?

หากคุณเป็นคนกลุ่มนี้ อาจจะน่าโล่งใจกว่าคนกลุ่มแรก เพราะคุณไม่มีหนี้สินต้องพะวง เพียงแค่ต้องหารายได้มาจุนเจือค่าใช้จ่ายรายวัน และรายเดือนในช่วงเวลาที่คุณยังหางานไม่ได้ และยังต้องใช้เงินเก็บสำรองกรณีฉุกเฉิน ที่คุณเก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้

แต่กระนั้น คุณก็คงไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ว่าคุณจะได้งานเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น การใช้เงินในช่วงนี้ของคุณต้องใช้อย่างระมัดระวังมากที่สุด ดังนั้น การใช้บัตรเครดิต อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่า คุณต้องคุยเจรจากับทางธนาคาร หรือ เลือกบัตรเครดิตที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ เพื่อที่คุณสามารถใช้จ่ายในช่วงสองถึงสามเดือนที่คุณหางานทำอยู่ โดยที่คุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ยมากจนเกินไป

ตัดลดงบประมาณจนกว่าจะได้งานใหม่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณก็หลีกเลี่ยงข้อนี้ไม่ได้ คือ คุณต้องประหยัด! คุณจะไม่สามารถมีไลฟ์สไตล์เดิมก่อนที่คุณจะตกงานได้ไปซักพัก ก่อนที่จะได้งานใหม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกองทุนฉุกเฉินที่ไม่มากมายเท่าไหร่นัก (แล้วแต่ว่าก่อนหน้านี้คุณอมเงินไว้มากแค่ไหน) ถึงจะมากก็ไม่ควรใช้จ่ายมากอยู่ดี ควรที่จะใช้ให้ประหยัดที่สุด ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายที่คุณไม่สามารถตัดออกได้ ก็ควรใช้บัตรเครดิตในการจ่าย เพราะอย่างน้อยคุณยังสามารถสร้างเครดิตของคุณได้ต่อไป แต่อย่าลืมล่ะ ต้องมีเงินพอที่จะชำระบิลบัตรเครดิตด้วยนะ มิฉะนั้น คะแนนเครดิตสกอร์ของคุณย่ำแย่แน่นอน

หากมีข้อสงสัยด้านการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน MoneyGuru อยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th- หรือ -info@moneyguru.co.th-

เรื่อง : MoneyGuru

Create by -smethailandclub.com-



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 07, 2015, 09:39:37 am
7 เคล็ดลับเพื่ออัพเกรดให้เป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือน
6 มิ.ย. 58 22.09 น.

-http://money.sanook.com/284525/-


ทุกๆวันนี้ มนุษย์เงินเดือน หลายๆคนอาจจะกำลังบ่นว่า จะเอาอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ทุกวันนี้เราขยัน อดทน ตั้งใจทำงานจนจะตายคาออฟฟิศอยู่แล้ว มันยังไม่ดีพออีกหรอ!!!! ทำไมชีวิตถึงไม่ได้ก้าวหน้าเสียที

แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะครับ บางทีเราอาจจะมีแต่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่า วันนี้ @TAXBugnoms เลยมีแนวคิดดีๆ 7 ข้อ มาแบ่งปันให้ทุกคนประสบความความสำเร็จในฐานะ สุดยอดมนุษย์เงินเดือน มาฝาก อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า่มีอะไรบ้าง งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า

1. ความอดทน มนุษย์เงินเดือนที่ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ ล้วนเริ่มต้นจากความอดทนมานักต่อนัก ซึ่งความอดทนที่ว่าไม่ใช่ทนทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย อย่างที่ใครเค้าชอบพูดกันนะครับ แต่มันคือการอดทนทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากทำ เพราะนั่นคือ คุณสมบัติของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เรียกตัวเองว่า “มืออาชีพ”

2. การฝึกฝนและพยายาม ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาจากการทำงานในแต่ละวัน เอามาร่วมกันกับการ Focus เป้าหมายและมองหาหนทางสร้างอาชีพเพิ่มเติมที่ไม่ได้หยุดแค่การเป็นมนุษย์เงินเดือน เพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่ทำ หรือสร้างหนทางใหม่ๆให้กับสายงานที่เราทำอยู่ แบบนี้ คือ การฝึกฝนและพยายามที่ถูกต้องครับ

สำหรับบางคนอาจจะสงสัยว่า พยายามจะทำแค่ไหนถึงจะไปถึงฝันผมอยากแนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูครับโอกาส ความสำเร็จ และการอิ่มตัวมีจริงไหม?

3. สร้างความมีประสิทธิภาพ นายหมีแห่งออมมันนี่เคยสอนมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งไว้ว่า ทำงานมากแค่ไหนไม่ได้แปลว่าดี แต่การทำงานดีคือการทำงานฉลาดและมีประสิทธิภาพต่างหาก ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งต้องสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น โดยทำงานให้เสร็จรวดเร็วขึ้นและถูกต้องมากขึ้น เพราะยิ่งงานเร็วขึ้นเท่าไร เรายิ่งมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นมากยิ่งขึ้นได้อีก #จะขึ้นไปไหน

4. อย่าฉลาดจนเกินงาม ในสังคมไทยมีคำกล่าวไว้ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ใครเกินหน้าตา ซึ่งคล้ายๆกับวัฒนธรรมที่เรียกว่า The Tall Poppy Syndrome ของประเทศออสเตรเลียที่ไม่ต้องการให้ใครเด่นเกินหน้าใคร ถ้าใครเด่นเกินก็จะถูกกำจัดทิ้งไปเสีย ดังนั้น การแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราเหนือกว่า บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาชีวิตของมนุษย์เงินเดือนได้เหมือกัน เช่น การหักหน้าเจ้านายหรือผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เพื่อร่วมงานก็ตาม วิธีแก้ คือ แนะนำให้หันมาเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการความรู้สึกคนรอบข้างจะดีกว่า รับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ


แต่ถ้าเกิดคิดว่าอยากเปลี่ยนงานขึ้นมาจริงๆ
ลองตรวจสอบตัวเองที่บทความนี้เลยครับ
5 คำถามก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่

5. ตามข่าวสารให้ทัน ในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร การจัดการองค์ความรู้ให้สั้น กระชับ ฉับไว เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รู้ทันและรู้กว้าง เพื่อสร้างโอกาสให้กับชีวิต แต่ไม่ใช่เอาแต่ติดตามข่าวสารจนไม่ทำงานนะครับ แบบนั้นจะกลายเป็นปัญหาได้แน่ๆคร้าบ

6. หันมาสนใจเรื่องวางแผนการเงิน อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนไม่สามารถก้าวไปถึงขั้นสุดยอดได้นั้น เกิดจากปัญหาเรื่องการเงินซึ่งเป็นปัจจัยอันดับ 1 จนถึงกับมีคำกล่าวว่า “เงินไม่ได้สร้างความสุข แต่อย่างน้อยมันไม่ทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้น” ดังนั้นอย่าลืมวางแผนการเงินให้กับชีวิตกันด้วยนะครับ

ทำไม? มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรู้จักกับการวางแผนการเงิน
10 ขั้นตอนสู่อิสรภาพการเงินของมนุษย์เงินเดือน

7. เพลินกับการผ่อนคลายชีวิต มีคนกล่าวไว้ว่า “การพักผ่อนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน” ดังนั้นการทำงานที่คร่ำเคร่งมากเกินไปจนหลงลืมเวลาด้านอื่นๆของชีวิต ก็อาจจะทำให้กลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ ดังนั้นการผ่อนคลายเล็กๆน้อยๆ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ทำสปา เล่นกีฬาต่างๆ เพื่อสร้างองค์รวมของสุขภาพร่างกายที่ดี และเป็นการผ่อนคลายอีกวิธีหนึ่งที่ให้เราทำงานได้ดียิ่งขึ้นครับ

สุดท้ายแล้ว 7 เคล็ดลับที่จะมาแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนนี้ ถ้าบริหารจัดการให้ดีและทำได้ครบทุกข้อ ย่อมสามารถทำให้เรากลายเป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือนได้อย่างแน่นอนครับ และที่สำคัญกว่านั้น เราไม่ควรจบแค่อ่านผ่านๆเพียงอย่างเดียว แต่อย่าลืมนำไปปฎิบัติกันด้วยนะคร้าบบบบบบบบบบ

เรื่องและภาพจาก -www.aommoney.com-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 10, 2015, 10:23:02 pm
รายได้(ต่อเดือน) - เงินออม = ค่าใช้จ่าย

สูตรสมการทางการเงินอย่างง่ายๆ

ก่อนอื่น ต้องทราบก่อนว่า เรามีรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายรายปีเท่าไหร่ (เช่น ค่าประกันอัคคีภัย , ค่าประกันภัยรถยนต์ หรือ ค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายปีละครั้งหรือสองครั้ง เช่น ค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายของลูก) เราต้องนำมาเฉลี่ยต่อเดือน ในที่นี้ผมจะเรียกว่า ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน)

ต่อมาเราต้องทราบว่า รายจ่ายที่เราต้องจ่ายจริงๆในแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง (เช่น เงินที่ผ่อนบ้าน , ผ่อนสินเชื่อประเภทต่างๆ เป็นต้น) ในที่นี้ผมจะเรียกว่า ค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน

เมื่อเรารู้ค่าใช่้จ่าย (ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) และค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน) แล้ว เราต้องรู้รายรับ

เราต้องเฉลี่ยรายรับต่อเดือนให้รู้ว่า เรามีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่

อีกประการ หากเราต้องการมีเงินออม เราต้องคิดว่า เราจะเก็บเงินที่เราต้องการออมไว้เดือนละเท่าไหร่ (เงินจำนวนนี้ ต้องใจแข็ง ห้ามใช้ สำคัญมากขึ้นและดีขึ้นก็คือ เรานำเงินจำนวนนี้ นำไปลงทุนเพื่อหาดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก)

เราจะได้ไปคำนวนเรื่องเงินกัน

รายได้ต่อเดือน - เงินออม - (ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) = ค่าใช้จ่ายจริงต่อเดือน + ค่าใช้จ่ายประจำวัน

ค่าใช้จ่ายรายปี(เฉลี่ยต่อเดือน) ที่หักไว้ ผมแนะนำให้นำไปลงทุน แต่ต้องกะระยะเวลาที่สามารถถอนออกมาเพื่อนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายรายปีของประเภทนั้นๆได้

หากเรามีรายได้ที่น้อยลง เราต้องหาวิธีการที่จะพยุงการเงินในครอบครัวของเรา

มีวิธีอยู่ 2 วิธีคือ

1.การหารายได้เพิ่ม
นั่นคือการหางานอื่นทำให้มากขึ้น

2.การลดรายจ่าย
ผมว่าวิธีนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่ง่ายกว่าข้อที่ 1 การลดรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน แนะนำว่า ลองจดค่าใช่จ่ายประจำวัน แล้วกลับไปดูว่า ค่าใช้จ่ายประจำวัน เราจ่ายอะไรไปบ้าง เรื่องไหนที่จำเป็น เรื่องไหนที่ไม่จำเป็น หากเรื่องไหนที่ไม่จำเป็นก็ให้งดจ่ายในเรื่องนั้นๆ

ลองทำกันดู แต่หากอ่านแล้วงง ถามผมในกระทู้ฯได้ตลอดน๊ะครับ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลย ผมเป็นห่วงครับ

ด้วยรักและห่วงใย
sithiphong
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 14, 2015, 12:35:34 pm
หมอลำชื่อดังตกอับ ถูกหลานขับไล่ต้องมาอยู่วัด

-http://news.sanook.com/1811015/-

(http://pe1.isanook.com/ns/0/rp/r/w300/ya0xa0m1w0/aHR0cDovL3BlMS5pc2Fub29rLmNvbS9ucy8wL3VpLzM2Mi8xODExMDE1LzBmMjY5MTZiMjkxN2Q5NDc1NTgxMDExYTMxM2EyNDg5XzE0MzQwNTI2MTNfX21lZGl1bS5qcGc=.jpg)

(http://pe1.isanook.com/ns/0/rp/r/w620/ya0xa0m1w0/aHR0cDovL3BlMS5pc2Fub29rLmNvbS9ucy8wL3VpLzM2Mi8xODExMDE1LzM2ZjExODM4NTdmZTBiNWU4NTg4NGM1OWQ5MDc4YmQ4XzE0MzQwNTI2MTUuanBn.jpg)



(http://news.sanook.com/gallery/gallery/1811015/587847/)

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (11 มิ.ย.) พบหมอลำชื่อดังในอดีต ชีวิตตกอับลูกหลานขับไล่ออกจากบ้าน ต้องมาอาศัยที่วัดอดุลแก้วมอดี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ทราบชื่อ หมอลำนวลปรางค์ อุทัยทิพย์ อายุ 80 ปี

จากการสอบถาม นางนวลปรางค์ เล่าว่า ได้มาอาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เพราะไม่มีที่พึ่งพาแล้ว ก่อนหน้านี้เคยไปอยู่กับหลาน เพราะลูกและสามีที่เป็นอดีตนายอำเภอภูเวียง จ.ขอนแก่น ได้เสียชีวิตแล้ว แต่กลับถูกขับไล่ออกจากบ้าน ต่อมาจึงได้มาหอบข้าวของที่เหลือติดตัวมาขออาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยไร้ญาติติดต่อและออกตามหา

นางนวลปรางค์ ยังเล่าว่า ในอดีตเคยเป็นหมอลำกลอนชื่อดัง เคยได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติผู้มีสัมพันธ์ดีเด่นด้านวัฒนธรรมสัมพันธ์ มรดกอีสาน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2550 ย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เมื่ออายุ 20 ปี นางนวลปรางค์มีชื่อเสียงในด้านการขับร้องหมอลำที่ไพเราะ ทำให้มีงานแสดงติดต่อเข้ามามากมาย

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี ก็ได้แต่งงานกับอดีตนายอำเภอภูเวียง จ.ขอนแก่น 14 ปี ต่อมา สามีก็เสียชีวิต และลูกชายก็เสียชีวิต ทำให้หมอลำนวลปรางค์เหลือตัวคนเดียว และเริ่มมีอายุมากขึ้น การงานที่เคยติดต่อเข้ามาก็เริ่มน้อยลง จนในที่สุดก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน ซึ่งมีหลานและเหลนอยู่ แต่กลับถูกด่า และขับไล่ให้ออกจากบ้าน จนกระทั่งขอมาอาศัยอยู่ที่วัดอดุลย์แก้วมอดี

ด้าน เจ้าอาวาสวัดอดุลย์แก้วมอดี บอกว่า ได้ให้ความช่วยเหลือนางนวลปรางค์ ให้ที่พักอาศัยและข้าวปลาอาหาร เพราะเห็นว่าแก่แล้ว และไม่มีที่พึ่ง แต่ด้วยความไม่เหมาะสมที่ทางวัดไม่มีแม่ชี หรือเด็กวัดที่จะคอยช่วยเหลือนางนวลปรางค์ได้ ทางกรรมการหมู่บ้านจึงได้หารือเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยจะส่งไปอยู่ที่ บ้านพักคนชราที่ จ.นครพนม ซึ่งนางนวลปรางค์ก็ยินดีเดินทางไปในวันพรุ่งนี้

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 08, 2015, 10:27:38 pm
4 ขั้นตอนกำจัดปัญหาเรื่องเงินๆทองๆให้หายขาด

-http://money.sanook.com/292989/-

ในที่สุดก็ต้นเดือน ในที่สุดก็ได้เงินเดือน แต่ปัญหาคือ สองสัปดาห์ต่อจากนี้ เรายังจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้สบายๆ กันอยู่รึเปล่านี่สิครับ คิดว่าอาจจะเป็นพฤติกรรมการใช้เงินของคนไทยเราที่ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายดีเหลือเกิน

ดังนั้น เรามาดูวิธีการจัดการเงินเดือน ให้มีใช้ได้สบายๆ ตลอดทั้งเดือน แถมมีเหลือให้เก็บให้ออมอีกด้วยดีกว่าครับ

1. บันทึกทุกอย่าง
เริ่มต้นด้วยสิ่งที่ทั้งง่าย และยากที่สุดก่อนครับ คือการบันทึกรายรับ รายจ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราควักเงินจ่ายออกไป ไม่ว่าจะเป็นการออม การจ่ายหนี้สิน เงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน ค่ากิน ค่าใช้ ค่าเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายของธุรกิจ

การบันทึกรายรับ รายจ่ายเป็นสิ่งที่คนเรามองข้ามมากที่สุด แต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากครับ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนยิ่งจำเป็นจะต้องบันทึก เพราะว่าพวกเราได้เงินเป็นก้อน เดือนละเท่าๆ กัน แต่ว่ารายจ่ายของเราอาจจะไม่แน่นอน บางเดือนต้องทำฟัน บางเดือนโทรทัศน์เสีย คอมพิวเตอร์เสีย ต้องซ่อม ต้องมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่นๆ ที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกหลายอย่างครับ

ดังนั้นการบันทึกรายรับ รายจ่ายจะสามารถช่วยเตือนสติให้เราได้ ว่าเราเหลือเงินจริงๆ เท่าไหร่ ใช้ไปแล้วเท่าไหร่ เร็ว ช้าแค่ไหน บางคนพอเริ่มบันทึกหัวใจจะวาย เงินเดือนหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เพิ่งสัปดาห์แรกหลังได้เงินเดือนเอง ทีนี้ หากเราบันทึกรายจ่ายเอาไว้เราก็สามารถย้อนกลับมาดูได้แล้วครับว่าเราใช้อะไรฟุ่มเฟือยบ้าง และประหยัดอะไรได้อีกบ้างนั่นเองครับ

2. แยกประเภทค่าใช้จ่าย
ในการบริหารเงินของเรา เราควรแยกประเภทค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังต่อไปนี้ครับ...

> ค่าใช้จ่ายคงที่ (fixed expenses) เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่มียอดเท่าๆกัน ได้แก่ ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ฯลฯ

> ค่าใช้จ่ายผันแปร (variable expenses) เป็นรายจ่ายที่มียอดไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ได้แก่ ค่าน้ำทัน ค่าช้อปปิ้ง ค่ากินดื่มเที่ยวนอกบ้าน ค่าอาหาร

> ค่าใช้จ่ายเพื่อการออม และการลงทุน (savings and investment) เป็นค่าใช้จ่ายที่กันเอาไว้เพื่อการออม หรือ การลงทุนในแต่ละเดือน


3. ออมเงินแบบอัตโนมัติ
เพื่อความมั่นใจ ปัจจุบันนี้เราสามารถเปิดบัญชีเงินออมอัตโนมัติ โดยบัญชีนี้จะเป็นบัญชีที่แยกต่างหาก และสามารถตั้งให้ตัดเงินจากบัญชีที่เราได้รับเงินเดือนได้โดยอัตโนมัติเพื่อนำไปเก็บออมนั่นเองครับ โดยเราสามารถสอบถามบริการกับทางธนาคารได้เลยเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงว่าเดือนนี้เงินฝากเรามีเท่าไหร่ สิ่งที่ดีอีกอย่างของการออมวิธีนี้คือเป็นการช่วยสร้างวินัยในการออม การใช้เงินให้เราด้วยครับ

4. จ่ายบิลอัตโนมัติ
พูดถึงเรื่องการออมแล้ว เราก็สามารถชำระบิลต่างๆ ด้วยการตัดบัญชีอัตโนมัติอยู่เช่นกัน ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราไม่ลืมจ่ายเงินค่าโน่นนี่ แถมไม่จำเป็นจะต้องเสียค่าเดินทางที่จะต้องใช้ในการออกไปจ่ายบิลเหล่านี้ด้วยครับ โดยสามารถทำได้ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตก็ทำได้ เพียงแค่เราอย่าลืมตรวจสอบว่ารายละเอียดในบิลที่แจ้งมาถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องควรรีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีให้แก้ไขนะครับ

เห็นไหมครับ การบริหารเงิน ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย เพียงแค่เราสร้างวินัยให้ตัวเอง อะไรๆ ก็เป็นไปได้ครับ ทำได้ตาม 4 ข้อข้างต้นรับรองเราจะสามารถกำจัดปัญหาเรื่องเงินๆ จากชีวิตเราได้แน่นอนครับ

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2015, 09:21:52 pm
หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
โพสต์เมื่อ : 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:12:09

หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
-http://money.kapook.com/view123030.html-


         หนี้บัตรเครดิต เป็นแล้วสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้จะร้ายแรงแค่ไหน  ติดตามได้จากบทความนี้
   
         หนี้บัตรเครดิต  ที่หลายคนก่อไว้มาจากเหตุผลแตกต่างกันออกไป บางคนเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะความจำเป็น อยากได้สิ่งของราคาแพงแต่ไม่มีเงิน จึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่บางคนก็ต้องแบกรับภาระหลายทางไหนจะค่าเทอมลูก ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ดังนั้นภาระความจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันคือ การเป็นหนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่บวกกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สุดโหดทำให้หลายคนเกิดอาการเบี้ยวหนี้ พอเป็นหนี้แล้วไม่จ่ายหนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทวง พอทวงไม่ได้ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ จะเอาเวลาไหนไปศึกษากฎหมายบัตรเครดิต วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต มาบอกให้ทำความเข้าใจไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลย       

หากถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง คดีที่เกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นคดีประเภทใด

         ในกรณีที่คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายจะถือเป็น คดีแพ่ง  ส่วนโทษในคดีแพ่งจะมีเพียงการชำระหนี้และชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น       

หากถูกฟ้องจะต้องขึ้นศาลอะไร ที่ไหน

         กรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตจะเข้าข่ายคดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ซึ่งสถานที่ที่เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องลูกหนี้ ได้แก่ 1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล 2. ศาลที่มูลคดีเกิด (ที่ตั้งของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้ไปรับบัตรเครดิต)
   
ส่วนการจะฟ้องที่ศาลใดจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด

        2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง

         เช่น ศาลจังหวัด จะพิจารณาคดีแพ่งที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท

         ส่วนศาลแขวง จะพิจารณาคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท
   
คดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและมีอายุความกี่ปี

         ในคดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว เมื่อถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด อายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป  ส่วนคดีหนี้บัตรเครดิตจะมีอายุความทั้งสิ้น 2 ปี
     
เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้หรือไม่
 
         คำตอบคือ ได้ โดยเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิ์เรียกร้องของลูกหนี้ได้ โดยศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป ดังนี้   

        1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
   
        2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้
 
         ข้อควรรู้ หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิ์ก่อน


     
เจ้าหนี้สามารถทำเรื่องขออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้หรือไม่
   
         ข้อนี้อาจะยาวเสียหน่อย แต่คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตควรจะทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกรณีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ทำเรื่องขออายัดเงินเดือนครับ ถ้าลูกหนี้เพิกเฉยไม่ยอมติดต่อเจ้าหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายของฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจจะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้
   
        สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

                  ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท  (อายัดไม่ได้)

                  ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท   
 
            หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้   

        2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

        3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

        4. เงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง เจ้าหนี้จะสืบทราบและทำการร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไร

        5. บัญชีเงินฝาก (อายัดได้)

        6. เงิน กบข. (อายัดไม่ได้)

        7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท (อายัดไม่ได้) (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

            แต่ถ้าทำกองทุนต่าง ๆ กับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้

        8. เงินค่าวิทยฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

        9. หุ้น กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

        10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

        11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์ กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
 
            การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษีและประกันสังคม

กรณีคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่       

         ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส เจ้าหนี้มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง


       
ในกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้สินดังกล่าว
 
         หลายคนอาจสงสัยว่าหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ก่อนเสียชีวิต เรื่องนี้มีคำตอบครับ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินกันก่อนซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ว่า "หนี้" ถ้าคนไหนก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบครับ คนอื่นไม่เกี่ยว ดังนั้นชัดเจนแล้วว่า คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่าจะโดนทวงหนี้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นหนี้จะสิ้นสุดลงตามการตายของลูกหนี้ คนมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้กันไป โดยกฎหมายระบุไว้ว่า เมื่อลูกหนี้ได้เสียชีวิตลง เจ้าหนี้ก็จะต้องไปทวงหนี้เอาจากกองมรดกของลูกหนี้เท่านั้นครับ แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีมรดกก่อนตายก็จบครับเป็นอันว่า “เจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้คืนเลย”
     
         ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนลูกหนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ในทางปฏิบัติแล้วยังพอมีหนทางที่ลูกหนี้จะสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ได้ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกมา 3 วิธี ได้แก่ การประนอมหนี้ การโอนหนี้บัตรเครดิต และการปรับโครงสร้างหนี้
     
การประนอมหนี้
 
         การประนอมหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยินยอมลดจำนวนหนี้สินลง หรืออาจจะยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้ได้ผ่อนชำระในจำนวนเงินที่น้อยลงสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้ ส่วนจำนวนหนี้ที่ยอมลดให้จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ว่าบางครั้งเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ไม่สูงแต่ถือว่าดีกว่าไปฟ้องร้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายทางศาล และเป็นการรักษาชื่อเสียงของเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่เจ้าหนี้หน้าเลือด

การโอนหนี้บัตรเครดิต
     
         ส่วนใหญ่เวลาคนเป็นหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากหนี้จากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ ทำให้ต้องชำระหนี้หลายช่องทางพ่วงด้วยอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนบัตรที่ถือ ซึ่งภาระเรื่องดอกเบี้ยนี่แหละที่เป็นตัวการใหญ่ของปัญหาหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นจึงมีหลายสถาบันการเงินที่รับโอนหนี้ ซึ่งการโอนหนี้ก็คือ การถ่ายโอนหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงินเดิมไปรวมไว้ยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ ซึ่งลูกหนี้จะสะดวกในการรวมชำระหนี้ให้เป็นแห่งเดียว และจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง ง่ายต่อการชำระหนี้มากขึ้น

         ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานขึ้นทำให้มีเวลาในการตั้งตัวและหาเงินมาใช้หนี้ รวมไปถึงช่วยลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน เช่น การผ่อนบัตรเครดิต ต้องชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง ถ้าโอนหนี้แล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนได้น้อยลงขึ้นอยู่กับจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระกับทางสถาบันการเงิน
     
การปรับโครงสร้างหนี้
   
         เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้ในเวลาปัจจุบัน การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขอขยายเวลาชำระหนี้ออกไปโดยผ่อนค่างวดน้อยลง อัตราดอกเบี้ยคงเดิม, ขอจ่ายดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขอจ่ายเป็นค่างวดตามเงื่อนไขเดิม พร้อมกับขยายระยะเวลาการกู้ออกไป เป็นต้น ดังนั้นพูดได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
   
         การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคที่ใช้ได้จริงกับผู้คนในยุควัตถุนิยมอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปการมีบัตรเครดิตก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากเรารู้จักการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและรู้จักคำว่า พอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ก็สามารถมีบัตรเครดิตได้ ดังนั้นจึงอยากจะฝากข้อคิดถึงผู้ที่เป็นหนี้ทุกประเภทว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความจำเป็นและศักยภาพในการชำระหนี้ของเราเป็นหลัก เพราะถ้าทำตามความต้องการของตัวเองมากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดหนี้สินพะรุงพะรังจนเราไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด และอาจโดนฟ้องร้องจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินตามมาก็เป็นได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมบังคับคดี, ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, lukkid.com, บริษัท สำนักงานจรัสทนายความและการบัญชี จำกัด, บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด, บริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 20, 2015, 10:07:32 pm
ศคง.

https://www.facebook.com/hotline1213 (https://www.facebook.com/hotline1213)
-https://www.facebook.com/hotline1213?pnref=story-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 05, 2015, 10:55:48 am

เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558
-http://money.kapook.com/view128453.html-

 เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ควรรู้ไว้ ทวงหนี้อย่างไรไม่ผิดกฎหมาย ลูกหนี้ร้องเรียนได้หากพบถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ 2558

         เปิดข้อกฎหมายน่ารู้ สรุปสาระสำคัญใน พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2558 กับรายละเอียดที่เจ้าหนี้-ลูกหนี้ควรทราบ ทวงหนี้อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ทวงหนี้แบบใดเข้าข่ายคุกคามหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกหนี้ และลูกหนี้ควรปฏิบัติอย่างไร หากได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทวงหนี้

เจ้าหนี้ควรรู้

         ลูกหนี้เหนียวหนี้สุด ๆ แต่จะทวงหนี้ได้อย่างไรถึงจะไม่ผิดกฎหมาย และสามารถจ้างวางให้คนอื่นทำหน้าที่ทวงหนี้แทนได้หรือไม่ ใครเป็นเจ้าหนี้ควรเข้ามาดู รู้ไว้ก่อนทวงหนี้ ก่อนจะกลายเป็นฝ่ายเสียเงินค่าปรับแทนที่จะได้เงินคืน

         1. "ผู้ทวงถามหนี้" คือ เจ้าหนี้ ผู้ให้กู้เงิน ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม รวมถึงผู้ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้ทวงถามหนี้ อาทิ บริษัทรับทวงหนี้

         2. "ธุรกิจทวงถามหนี้" คือ ผู้ประกอบธุรกิจรับจ้างทวงหนี้ ซึ่งต้องได้รับการจดทะเบียนทวงถามหนี้ต่อนายทะเบียน กรณีผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นทนายความ ให้จดทะเบียนกับสภาทนายความ ผู้ฝ่าฝืนไม่ไปจดทะเบียนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         3. กรณีผู้ที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้อยู่หน้านี้ ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 90 วันนับแต่วันที่ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ (2 กันยายน) โดยระหว่างนี้ให้ยังประกอบธุรกิจได้อยู่

         4. ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ทหาร ตำรวจ ประกอบธุรกิจรับทวงหนี้ หรือไปช่วยคนอื่นทวงหนี้ที่ไม่ใช่หนี้ของตัวเอง เว้นแต่เป็นหนี้ของสามีภรรยา พ่อแม่ หรือลูก ให้สามารถทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         5. ห้ามทวงหนี้กับคนที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เป็นบุคคลที่ลูกหนี้ระบุให้ไปทวงถาม โดยมีข้อปฏิบัติคือ

         - ผู้ทวงหนี้ต้องแสดงตัว แจ้งชื่อ-สกุล พร้อมแสดงเจตนาว่าต้องการถามหาข้อมูลเพื่อติดต่อลูกหนี้

         - ผู้ทวงหนี้ห้ามเผยข้อมูลการเป็นหนี้ของลูกหนี้ ยกเว้นผู้ที่ได้ติดต่อนั้นเป็นสามี ภรรยา พ่อ-แม่ หรือลูกของลูกหนี้ โดยให้บอกเล่าเท่าที่จำเป็น

         - ห้ามใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย

         - ห้ามหลอกลวงหรือทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด เพื่อให้ได้ข้อมูลของลูกหนี้

         - ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         6. การทวงถามหนี้ ให้ปฏิบัติ ดังนี้

พ.ร.บ.ทวงหนี้ 2558

         - ติดต่อลูกหนี้ตามสถานที่ติดต่อที่ให้ไว้

         - ติดต่อในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-20.00 น. และในวันหยุดราชการ เวลา 8.00-18.00 น. หากฝ่าฝืนจะถูกสั่งระงับการดำเนินการ และหากยังฝ่าฝืนซ้ำจะถูกโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ติดต่อตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม

         - กรณีเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ทวงหนี้ต้องแสดงหลักฐานด้วยว่าตนเองได้รับมอบหมายมา

ลูกหนี้ควรรู้

         ถูกเจ้าหนี้หน้าโหดตามมาทวงเงินถึงที่ หากถูกข่มขู่คุกคามจะทำอย่างไรดี แถมใช้ลูกไม้มาหลอกทวงหนี้กันแบบนี้ จะมีใครเข้ามาดูแลได้บ้างนะ และการถูกปฏิบัติแบบใดที่ถือว่าไม่เป็นธรรม จำข้อกฎหมายเหล่านี้เอาไว้ จะได้ไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบ

         1. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ทวงหนี้

         - ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - เปิดเผยความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้คนอื่นได้รู้ ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ทวงหนี้ผ่านไปรษณีย์ หรือโทรสาร โดยมีข้อความแสดงการทวงหนี้ชัดเจน ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         - ห้ามระบุข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

         2. ห้ามทวงหนี้แบบหลอกให้เข้าใจผิด

         - ส่งเอกสารทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำของศาล เช่น ส่งเอกสารที่มีตราครุฑมาให้ลูกหนี้ ผู้ฝ่าฝืนจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - ทำให้เชื่อว่ามีการส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (Notice) จากทนายความ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - ใช้เอกสารที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าจะถูกดำเนินคดี หรือถูกยึดทรัพย์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         - แอบอ้างว่าเป็นการทวงหนี้จากบริษัทข้อมูลเครดิตใด ๆ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         3. การทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม ห้ามปฏิบัติดังนี้

         - เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ในอัตราเกินกว่าที่กำหนด

         - เสนอให้ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ตามเช็ค ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

         4. คณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงหนี้ของผู้ทวงถามหนี้ โดยหากลูกหนี้หรือคนอื่น ๆ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายจากผู้ทวงถามหนี้ สามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด

         5. ให้ที่ทำการปกครอง หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีอำนาจรับร้องเรียนการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ติดตามพฤติกรรมของผู้ทวงถามหนี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ราชกิจจานุเบกษา
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 04, 2015, 11:22:40 am
10 ความรู้ทางการเงินเปลี่ยนชีวิต
-http://money.sanook.com/320321/-

Money Coach

อิสรภาพทางความคิดยังมีไม่ได้ อย่าตะเกียกตะกายหาอิสรภาพทางการเงิน


ในทอล์คโชว์ MONEY COACH ON STAGE: ชาตินี้ไม่มีวันจน ผมได้เล่าถึง 10 ความรู้ทางการเงินที่ได้รับมาด้วยตัวเอง จากการเรียนรู้แบบ Street Smart (ข้างถนนนั่นเอง) คือ มั่วนิดๆ งงหน่อยๆ เล่นเอง เจ็บจริง แล้วค่อยๆสะสม ค่อยๆตลกผลึก จนกลายเป็นภูมิปัญญาในแบบฉบับตัวเอง

หลังจากจบทอล์คโชว์ มีผู้ฟังหลายท่านนำมาสรุปให้ฟังกัน วันนี้ผมเลยอยากเล่าให้ฟังในแบบต้นฉบับกันบ้าง ด้วยหวังว่าบทเรียนสิบกว่าปีของผม จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านไม่ต้องเสียเวลากับการลองผิดลองถูกในบางเรื่อง และที่สำคัญจะได้ปรับ MINDSET ให้ถูกต้องสำหรับการมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินกันได้รวดเร็วกันขึ้น

1) วิธีปลดหนี้ดีที่สุดคือสร้างทรัพย์สิน

ความรู้นี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในช่วงที่ชีวิตกำลังมุ่งหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ หลังจากพยายามทำตามแนวคิดทั่วไปที่สอนๆกัน ก็คือ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ สิ่งที่พบก็คือ ลดรายจ่ายเต็มที่แค่ไหน เราก็ลดได้แค่ประมาณหนึ่ง เพิ่มรายได้มากแค่ไหน เดือนหน้าก็ต้องหาใหม่อีก


แต่เมื่อเทียบงานที่สร้างรายได้เพิ่ม กับทรัพย์สิน (สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า โดยไม่ต้องทำงานตลอดเวลา) อย่างบ้านเช่า และธุรกิจฝึกอบรมที่ผมสร้างขึ้นมา กลับพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง งานที่ทำเดือนนี้ เดือนหน้าก็ต้องออกแรงทำอีก แต่ทรัพย์สินที่เราสร้างขึ้น จะช่วยผ่อนหนี้ให้เราในวันที่เรายังเป็นหนี้ และเมื่อหนี้หมดลงไป ทรัพย์สินก็จะยังสร้างกระแสเงินสดให้เราต่อ และทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด


ดังนั้น เหนื่อยหาเงินแก้หนี้ทั้งที วางแผนให้ดี สร้างทั้งงานที่ทำเงินและทรัพย์สินไปพร้อมๆกัน หาวิธีทำให้งานที่เราทำหนึ่งครั้ง หารายได้ให้เราได้มากกว่าหนึ่งครั้งหรือหาไปได้ตลอด แล้วการปลดหนี้ของเราจะเบาแรงลงเรื่อยๆ


2) กระแสเงินสดสำคัญที่สุด

ทุกกิจกรรมในโลกทางการเงิน ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการมีกระแสเงินสดคงเหลือเป็นบวก พนักงานประจำทำงานกินเงินเดือนก็สามารถมีชีวิตทางการเงินที่ดีได้ หากเขาใช้จ่ายไม่เกินรายได้ที่หามาได้ มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บทุกเดือน

บริษัทห้างร้านต่างๆ รวมไปถึงการลงทุนในทรัพย์สินให้เช่า สุดท้ายถ้าเราบริหารจัดการให้กระแสเงินสดเป็นบวก หรือมีกำไรได้ ธุรกิจก็อยู่ได้ การลงทุนก็ไปได้ เมื่ออยู่ได้ ไปได้ วันหนึ่งก็มีโอกาสต่อยอดเพิ่มความมั่งคั่งได้


หลายคนเวลาใช้ชีวิตหรือลงทุน มองแต่ผลตอบแทนที่จะได้ ทั้งๆที่กลยุทธ์สำคัญที่สุดกลยุทธ์แรกที่ต้องทำให้ได้ หากอยากมั่งคั่งก็คือ “ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้” และ “ไม่ขาดทุน”


3) HIGH UNDERSTANDING, HIGH RETURN

หลายครั้งที่แนวคิด High Risk High Return หยุดยั้งผู้คนที่แสวงหาความมั่งคั่งให้ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะเชื่อว่าถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย

ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ในมุมของคนที่กล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยง โลกของพวกเขาไม่มีเสี่ยงมากได้ผลตอบแทนมาก สิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้ก็คือ ยิ่งคุณรู้จักและเข้าใจสิ่งที่คุณทำมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น หรือ HIGH UNDERSTANDING, HIGH RETURN


คนทำงานมากประสบการณ์ทำเงินจากองค์ความรู้เดียวกันได้ดีกว่ามือใหม่ คนทำขนมซึ่งสาระวนเวลาอยู่กับการฝึกฝน พัฒนา ปรับสูตรใหม่ๆ ให้ผู้คนชอบและอยากลองทาน ย่อมทำเงินได้มากกว่าพ่อค้าแม่ค้าที่ทำขนมแค่ให้มีของขายยังชีพได้ หรือนักลงทุนที่พัฒนาความรู้และเชี่ยวชาญอยู่เสมอ และอยู่ในตลาดมานานกว่า ก็คงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะได้ผลตอบแทนสูงกว่ามือใหม่ หรือพวกมือเก่าที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเองและรักบรรยากาศการเป็นนักลงทุนผู้ไร้เดียงสาอยู่เสมอ

คีย์สำคัญของ High Understanding, High Return ก็คือ การลงทุน “เวลา” กับสิ่งที่สนใจ และเริ่มต้นลงมือทำจากสิ่งเล็กๆ (Start Small) แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นนักลงทุนผู้ช่ำชอง

4) การลงทุน คือ แผนการ

คนที่ลงทุนแล้วขาดทุนอยู่เสมอ เป็นเพราะพวกเขาคิดว่า การลงทุนเป็นเหตุการณ์ (Event) เช่น วันนี้ไปจองคอนโดมา หรือวันนี้จัดหุ้นตัวนั้นมา ฯลฯ แต่ถ้าพูดคุยหรือสอบถามเหตุผลในการซื้อและแผนการลงทุน ก็มักจะพบกับความว่างเปล่าอยู่เสมอ ถ้าการลงทุนมันง่าย แค่ฟังใครสักคนหรือฟังข่าว แล้วก็ลงทุนตามๆกัน แล้วก็รวย อย่างนี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องรวยจากการลงทุนกันหมดแล้วสิ

ที่จริงแล้ว การลงทุนนั้นเป็นกระบวนการ (Process) ที่มีผลลัพธ์ คือ แผนการลงทุน (Plan) ที่ชัดเจน (อธิบายได้สมกับเป็นเด็กวิดวะมากๆ 555)

อย่างผมเองตอนจะเริ่มต้นลงทุนบ้านเช่าเล็กๆ ราคาแค่ 1.35 ล้าน ผมยังต้องเดินดูบ้านเช่าตั้งเป็นสิบๆหลัง เพื่อให้เข้าใจว่าลูกค้าในตลาดเป็นใคร ชอบเช่าห้องแบบไหน ราคาเท่าไหร่ Demand-Supply เป็นอย่างไร จากนั้นจึงมาประเมินราคาซื้อ เจรจาต่อรอง จัดไฟแนนซ์เพื่อลงทุนซื้อ และตบตูดตบท้ายกันเบาๆด้วย แผนการรับมือความเสี่ยง โดยถามตัวเองง่ายๆว่า ก) บ้านเช่าที่ผมจะลงทุน มีโอกาสฉิบหายได้จากอะไรบ้าง และผมพอจะป้องกันอะไรได้บ้างมั้ย ข) ถ้าป้องกันไม่ได้ เจ็บสุดจะแค่ไหน และต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า มีแผนรับมือกับเรื่องนั้นๆ อย่างไร … ถ้าตอบไม่ได้ ก็จะยังไม่ลงทุน

จำไว้ว่า ถ้าคุณลงทุนด้วยปากกับหู (ถามเขา ฟังเขา แล้วก็เชื่อเขา) สุดท้ายคุณจะไม่มีทางมั่งคั่งร่ำรวยได้ เป็นได้เต็มที่ก็แค่ผู้ร่วมสนุก เพราะผลลัพธ์การลงทุนที่ดี ขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นนักลงทุนที่ีดีแค่ไหน และมีแผนการลงทุนอย่างไร

5) เงินวิ่งตามคุณค่า

Create Your Value and Money will Follow เป็นความเชื่อหลักที่ผมยึดถือมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ยิ่งเราสร้างคุณค่าได้มากเท่าไหร่ เงินก็ยิ่งหลั่งไหลมาหาเรามากขึ้นเท่านั้น

“คุณค่า” ในที่นี้หมายถึง ความสามารถในการแก้ไขปัญหาให้ผู้อื่น ทำในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ ทำในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ซึ่งในมุมมองของผม คุณค่าที่ว่านี้มีทั้งมิติความลึกและความกว้าง

ในมิติความลึก หมายถึง ความเป็นตัวจริงของคุณ ความเจ๋งของสินค้าและบริการของคุณ ถ้าดีจริง เจ๋งจริง ยังไงก็ขายได้ ส่วนในมิติความกว้างก็คือ ตลาดที่คุณเลือกเล่น ถ้าอยากประสบความสำเร็จทางการเงิน ต้องเลือกและลงมือสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าจำนวนมากเท่านั้น

ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อย ไม่มีคนทาน แต่ร้านอร่อยที่ตั้งอยู่หน้าหมู่บ้าน มีลูกค้าแค่ไม่กี่ราย ก็รวยไม่เท่ากับร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิดหลายสาขาและมีแฟรนไชส์ครับ … ถ้าอยากทำเงินล้าน คุณก็ต้องทำในสิ่งที่ Impact หรือส่งผลกระทบกับคนนับล้าน นั่นคือสิ่งที่คุณต้องจดจำ

6) ทรัพยากรทั้งโลกเป็นของเรา

แนวคิดข้อนี้บางคนฟังแล้วเอาไปตีความกันใหญ่โต หาว่าสอนให้เป็นคนเอาเปรียบสังคมบ้างหละ คิดแต่ประโยชน์ส่วนตนบ้างหละ ที่จริงแล้วผมสร้างประโยคที่ว่า “ทรัพยากรทั้งโลกเป็นของเรา” ก็เพื่อสอนเรื่อง เงินมาที่หลังไอเดีย ต่างหาก … ยังไง?

คนจำนวนไม่น้อยเวลาฝันว่าอยากทำอะไรสักอย่าง พวกเขามักมีข้ออ้างว่า ไม่มีเงิน ไม่มีคนช่วย ไม่มีเครื่องมือ ไม่มี ไม่มี ไม่มี ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งผมเองและผู้ประสบความสำเร็จอีกจำนวนมาก หลายคนก็เริ่มจากความไม่มีเหมือนกัน คนที่ไม่มีเงิน ไม่มีทุน ก็ต้องให้เวลากับไอเดียของตัวเองให้มาก เปลี่ยนไอเดียให้จับต้องได้เป็นรูปธรรมในเบื้องต้น ด้วยการเก็บข้อมูลและทำแผนการขึ้นมา

ไม่มีเงินใช้เงินคนอื่นได้ ไม่มีเครื่องจักร ก็จ้างเขาผลิตเอาได้ ไม่มีทีมงาน ก็ Outsource ได้ ไม่มีเวลา ก็จ้างลูกจ้างได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด เริ่มต้นแค่ลองทำอะไรจริงๆจังๆ กับ “ไอเดีย” ของเรา อย่ามัวแต่เล็ง แต่ฝัน เพราะนั่นไม่มีทางทำให้ความฝันเราเป็นจริงได้ครับ

7) กติกาพิเศษมีไว้สำหรับคนพิเศษ

โลกนี้เป็นโลกของการ “เจรจา” กติกาทั่วไปมีไว้สำหรับคนธรรมดา ถ้าไม่เคยคิดจะสอบถาม ตามหา หรือร้องขอ เราก็ต้องได้ในสิ่งที่คนทั่วไปได้กัน ทางเลือกก็น้อยลง ข้อจำกัดในการลงทุนหรือสร้างความมั่งคั่งก็เพิ่มขึ้น

เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างเช่น คนฝากเงินจำนวนเท่าๆกัน ฝากธนาคารเดียวกัน สาขาเดียวกัน ยังได้ดอกเบี้ยไม่เท่ากันเลย เพราะคนหนึ่งคุย คนหนึ่งร้องขอ (แต่ต้องฝากมากหน่อยนะ 555)

หรือคนสองคนเป็นหนี้เท่าๆกัน ค้างจ่ายมานานเท่าๆกัน คนหนึ่งเจรจาขอส่วนลด อีกคนหนึ่งยอมรับยอมจำนนต่อเงื่อนไขโดยดุษฎี แบบนี้ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายหนี้ได้ไม่เท่ากัน มันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าขอแล้วใช่ว่าจะได้ แต่ถึงยังไง ขอก็ยังมีโอกาสได้ แต่ถ้าไม่ขอ ไม่ถาม ไม่ลองคุย แบบนี้ยังไงก็ไม่ได้แน่นอน

ชีวิตเราเลือกได้ครับ ดังนั้นลองเลือกเอาเองดูว่า เราอยากได้กติกาแบบไหน

8) ยิ่ง Share ยิ่งมั่งคั่ง

ในอดีตผมเคยเป็นคนงกจนเกินพอดี คิดทำอะไรก็อยากได้ทั้งหมด ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้การก้าวสู่อิสรภาพทางการเงินของผมยากและช้า เพราะถ้าเราอยากได้ทั้งหมด เราก็ต้องทำเองทั้งหมด

การทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมันก็สนุกดีครับ แต่ถ้าเทียบกันแล้วยังไงมันก็สู้ทีมของมืออาชีพมารวมตัวกันไม่ได้ ถ้ายังจำเรื่องเงินวิ่งตามคุณค่ากันได้ ทีมที่แข็งแกร่งสร้างคุณค่าได้มากกว่า และยังตอบสนองความต้องการคนได้มากกว่าอีกด้วย

แม้ว่าจะต้องแบ่งเรื่องของผลกำไรให้กับทีมงานที่มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วน ผู้ส่งมอบ Outsource ลูกจ้างชั้นดี เอเยนต์การขายการตลาด แต่ก็นั่นแหละ 100 เปอร์เซ็นต์ของกำไร 1 ล้านที่รับอยู่คนเดียว อาจเทียบไม่ได้กับ 10 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจหรือการลงทุนที่มีขนาด 100 ล้านก็เป็นได้

ลองมองใหม่ คิดใหม่ สร้างทีม สร้างพันธมิตร แล้วแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างพอเหมาะพอสม ทำให้เรารวยได้มากกว่าและรวยได้เร็วกว่าครับ

9) นิยามอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง

คนทั่วไปนิยามคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การมีจำนวนมาก (100 ล้าน 1,000 ล้าน) ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกังวล และกลายเป็นที่มาของกระแสขยะแขยงการทำงานประจำ ด้วยเชื่อว่าไม่สามารถนำพาชีวิตไปถึงฝันได้

โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก ให้นิยามคำๆเดียวกันไว้ในเป็นสมการว่า “เมื่อไหร่ที่เรามีรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Passive Income มากกว่ารายจ่ายรวม เมื่อนั้นเราก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน”

สำหรับตัวผม ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่วิ่งหาคำๆนี้ ผมพบนิยามใหม่ที่คิดว่าน่าจะถูกต้องกว่า เบากว่า สบายกว่า และมีความสุขมากกว่า นิยามอิสรภาพทางการเงินในแบบของผมก็คือ “สิทธิในการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ” ไม่เกี่ยวว่าจะมีเงินมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตในแบบที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราคิดได้เองหรือเปล่า เลือกเองหรือเปล่า และได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบหรือไม่ ทำงานประจำก็มีอิสรภาพทางการเงินได้ หากนั่นเป็นสิ่งที่คุณเลือกมันด้วยตัวเอง

10) ความรู้ทางการเงินขั้นสูงสุด คือ การรู้จักและเข้าใจตัวเอง

คนเราแค่รู้จักและเข้าใจว่า “ความสุข” ในชีวิตของตัวเอง คือ อะไร และใช้ชีวิตในทุกวันให้มีความสุข นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเกิดมาชาติหนึ่ง

บ้านจะใหญ่หรือเล็กไม่เกี่ยว รถจะหรูหรือเปล่าไม่ใช่ประเด็น คนเราเกิดมาต่างกัน ดังนั้นไม่มีทางที่ความสุขในชีวิตของแต่ละคนจะเหมือนกัน และไม่มีทางที่อิสรภาพทางการเงินของแต่ละคนจะเท่ากันหรือเลียนแบบกันได้ ฟังแล้วอาจดู Abstract แต่ความสุขในชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้นจริงๆนะ

คนเราสามารถเริ่มต้นทำความรู้จักและเข้าใจตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการเลิกฟังคำพูดและความเห็นของคนอื่นที่มีต่อรูปแบบชีวิตของเรา แล้วหันมา ฟังเสียงหัวใจตัวเองอย่างจริงจัง อะไรทำแล้วมีความสุข วัดกันง่ายๆด้วยใจ

ผมมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่ก็ยังอยู่บ้านหลังเล็กๆ ราคา 2 ล้านกว่าบาท ขับรถโตโยต้าวีออส แต่ใช้ชีวิตมีความสุขทุกวัน เพราะออกแบบเวลาในแต่ละวันได้เอง ได้ทำงานที่รัก ไม่ต้องทำงานเพื่อเงิน ไม่รับงานที่ขัดกับความรู้สึกตัวเองแม้จะได้เงินมากมาย ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน เพราะไม่รู้สึกเหนื่อยและมีความสุขทุกวัน

ผมเชื่อและคิดอยู่เสมอ คนที่กำลังมุ่งมั่นมองหาอิสรภาพทางการเงินอยู่ในวันนี้ จะไม่มีทางหามันเจอได้เลยตราบชั่วชีวิต เพราะตราบใดที่ “อิสรภาพทางความคิดยังมีไม่ได้ ก็จงอย่าตะเกียกตะกายหาอิสรภาพทางการเงินเลย” (เดี๋ยวจะเหนื่อยไปชั่วชีวิต)

คนเราเกิดมาชาติเดียวครับ จงใช้ชาติหนึ่งชาติเดียวของพวกเราทุกคน ให้เป็นชาตินี้ที่ไม่มีวันจนนะครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2015, 08:47:55 am
ไขคำตอบลงทุน LTF-RMF ถือยาว...ใครว่าผลตอบแทนไม่ติดลบ
-http://money.sanook.com/328555/-



เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการลงทุนปี 2558 ฤดูกาลของการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี ได้วนกลับมาอีกครั้ง แต่รอบปีนี้พิเศษกว่าหลายปีก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก การลงทุนก็ยากขึ้น และต้องวางแผนลงทุนให้รัดกุมขึ้นด้วย

LTF-RMF หรือ "กองทุนแฝด" ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ที่ระบุว่าขนาดสินทรัพย์ล่าสุด ณ วันที่ 15 กันยายน 2558 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.19 แสนล้านบาท แบ่งเป็น LTF ขยายตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 2.53 แสนล้านบาท และ RMF อยู่ที่ 1.66 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 2555 (3 ปีก่อนหน้า) ที่มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 3.22 แสนล้านบาท แบ่งเป็น LTF อยู่ระดับ 1.99 แสนบาท RMF 1.23 แสนบาท

ผลตอบแทนลงทุน LTF ถดถอย

ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีทิศทางผันผวนอย่างมาก จากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก และปัจจัยเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศไทย ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนแฝดที่ลงทุนในหุ้นปรับตัวลดลง หรือบางกองทุนอยู่ในระดับที่ติดลบ ดังนั้นนักลงทุนหลายคนจึงมีคำถามที่ค้างคาใจว่า "ควรลงทุนในกองทุนแฝดอย่างไร ในช่วงที่เหลือของปีนี้"

โดยข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด พบว่าผลตอบแทนการลงทุนในกองทุน LTF ที่ลงทุนในหุ้น 100% แบบรายปีในปี 2554 ผลตอบแทนอยู่ที่ 11.35% แต่ปี 2555 ผลตอบแทนตกลงมาอยู่ที่ 2.38% ปี 2556 อยู่ที่ 5.88% และในปี 2557 พบว่าผลตอบแทนติดลบ -7.22%


(http://p2.s1sf.com/mn/0/ud/65/328555/mon3110582.jpg)

ตอบคำถามคาใจลงทุน LTF

"สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล" นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คำถามยอดนิยมได้แก่ "การลงทุน LTF ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ควรลงทุนอย่างไร รอซื้อช่วงปลายปีดีหรือไม่ ?" ทาง "บล.ฟิลลิป" มีความเห็นว่า นักลงทุนควรเริ่มลงทุนทันที และไม่ควรรอลงทุนช่วงปลายปี (เดือนธันวาคม) เพียงอย่างเดียว เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีเงินลงทุนไหลเข้ามาซื้อสุทธิ LTF ประมาณ 3.7 พันล้านบาทเท่านั้น จากปกติที่จะมีเงินลงทุนเข้าซื้อสุทธิปีละประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท หมายความว่ายังมีเงินเกือบ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท รอเข้าลงทุนในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นต่างปรับตัวขึ้น นักลงทุนอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

"หากพิจารณาความน่าจะเป็น ก็มีโอกาสถึง 100% ที่เงินจะไหลเข้าลงทุนกระจุกตัวในเดือนธันวาคมเมื่อทุกคนแย่งกันซื้อหุ้นก็จะแพงขึ้น เราจึงแนะนำให้ซื้อทันที ไม่ต้องไปรอซื้อช่วงปลายปี"

สำหรับคำถามที่ว่า "หาก LTF ครบกำหนดอายุไถ่ถอน ปี 2559 ควรถอนเงินลงทุนออกหรือไม่" ประเด็นนี้แนะนำว่า นักลงทุนควรวิเคราะห์ผลตอบแทนอย่างละเอียด โดยเฉพาะนักลงทุนที่เริ่มลงทุนในช่วงปลายปี 2555 และครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2559 ซึ่งแม้ภาพรวมจะสร้างกำไรได้ประมาณ 2.32% แต่ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ เพราะอัตราดังกล่าวรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปีเข้าไปแล้ว จึงแนะนำให้นักลงทุนถือต่อไปอีก 1-2 ปี เพื่อรอให้ได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง

ผลตอบแทนไม่ดีควรทำอย่างไร

อย่างไรก็ตาม อาจมีคำถามอีกว่า "เมื่อกองทุนเดิมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ ควรเปลี่ยนไปยังกอง LTF กองอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหรือไม่ ?" มุมมองของ "สานุพงศ์" อธิบายว่า สามารถทำได้แต่นักลงทุนควรวิเคราะห์ก่อนว่า กองทุน LTF ของตนเอง หากเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้น 70% ตราสารหนี้ 30% (70/30) แนะนำให้สามารถเปลี่ยนเป็นกองทุน LTF หุ้น 100% ได้ เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากราคาหุ้นที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

แต่หากนักลงทุนเลือกซื้อกองทุนLTF ที่ลงทุนในหุ้น 100% ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปยังประเภทอื่น เพราะการลงทุน LTF ที่มีสัดส่วนตราสารหนี้ ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นได้ ขณะเดียวกันแนะนำว่านักลงทุนไม่ควรปรับเปลี่ยนกองทุนบ่อย เพราะการจะหมุนเงินเข้าไปใน LTF ที่สร้างผลงานที่ดีในรอบ 1 ปี ถือเป็นดัชนีชี้วัดระยะสั้นเกินไป ซึ่งอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระยะยาวได้ อีกทั้งนักลงทุนจะมีต้นทุนเพิ่มจากค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนกองทุนด้วย

กสิกรไทยแนะหยุดวิตกลงทุนยาว

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า การลงทุนระยะยาวของ LTF นักลงทุนอาจกังวลต่อปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทำให้เลือกจังหวะการลงทุนได้ไม่ดีนัก จึงแนะนำวิธีซื้อหน่วยลงทุนสะสมเฉลี่ยรายเดือน ซึ่งการกำหนดวันซื้อกองทุนอย่างแน่นอน จะช่วยให้นักลงทุนมีต้นทุนที่ไม่ถูกหรือแพงไป เมื่อเทียบกับการลงทุนครั้งเดียวในช่วงปลายปี กลยุทธ์นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะมีต้นทุนที่เหมาะสม

นอกจากนี้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2559 จะอยู่ที่ 1,600 จุด สูงขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ระดับ 1,450 จุด เนื่องจากปีหน้าจะเริ่มมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น จึงจะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลดี

สำหรับความกังวลของนักลงทุนที่ว่า LTF กำลังจะหมดมาตรการสิทธิประโยชน์ภาษีในปี 2559 ส่วนตัวประเมินว่าทางออกของประเด็นนี้น่าจะมีทิศทางที่ดี และไม่ว่าผลสุดท้ายทางการจะตัดสินใจอย่างไร นักลงทุนก็ควรมีทั้งเงินออมระยะสั้น สำหรับการใช้จ่ายฉุกเฉิน และการลงทุนระยะยาว สำหรับการใช้จ่ายยามเกษียณ

ลุ้นคลังต่อเวลาลดหย่อนภาษีต้นปี′59

ด้านแหล่งข่าวตลาดทุนกล่าวว่า จากการหารือล่าสุดกับกระทรวงการคลัง พบว่ามีแนวโน้มที่ LTF จะได้รับการต่ออายุสิทธิประโยชน์ภาษี แต่อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ขยายอายุการออมจากเดิมที่กำหนดให้ลงทุน 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทิน เพื่อให้นักลงทุนได้ออมระยะยาวตามหลักการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจำเป็นต้องรอให้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

"ทางการเห็นด้วยกับแนวคิดการออมระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีเงินใช้หลังเกษียณ และที่ผ่านมา LTF-RMF มีส่วนสำคัญในการพยุงตลาดทุนไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติเทขายออกจากหุ้นไทย ดังนั้นทั้ง 2 กองแฝดจึงเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มเสถียรภาพตลาดการลงทุนได้ดี" แหล่งข่าวกล่าว

"ประสงค์ พูนธเนศ" อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ความชัดเจนเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อยู่ระหว่างพิจารณาถึงความเหมาะสม รวมถึงค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนมาตรการภาษี LTF ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปและเสนอกระทรวงการคลังได้ในช่วงต้นปี 2559

ถอดสูตรลงทุน RMF

สำหรับการลงทุนใน RMF ซึ่งต้องลงทุนและถือหน่วยลงทุนระยะยาว จนกระทั่งอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี "วีระ วุฒิคงศิริกูล" รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย อธิบายว่า นักลงทุนจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า "สามารถรับความเสี่ยงได้ระดับไหน ?" หากรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่มีสัดส่วนของหุ้นในอัตราที่สูงขึ้นได้ แม้กระทั่งการลงทุนใน RMF ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

จากนั้นนักลงทุนจึงมาวิเคราะห์เรื่อง "นโยบายการลงทุน" ของกองทุนที่สนใจ รวมถึงต้องสังเกตด้วยว่ากองทุนที่จะเลือกซื้อนั้น เป็น RMF ประเภทที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนี (Active Fund) หรือเป็น RMF ประเภทที่สร้างผลตอบแทนในระดับเดียวกันกับดัชนี (Passive Fund) โดยข้อดีของ Active Fund นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่า ผู้จัดการกองทุนจะพยายามปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าตลาด แต่หากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาด ก็อาจได้รับความเสี่ยงจากผลตอบแทนที่ลดลง

ส่วน Passive Fund ซึ่งจุดสังเกตตรงที่มักจะมีคำอ้างอิงว่า "SET50" หรือค่าดัชนีต่าง ๆ ไว้ในชื่อกองทุน จุดเด่นตรงที่ นักลงทุนจะมั่นใจได้ว่าในภาวะตลาดขาขึ้น กองทุนจะสร้างผลตอบแทนที่ไม่น้อยกว่าตลาดอย่างแน่นอน เพียงแต่หากเป็นช่วงตลาดขาลงก็ต้องรับความเสี่ยงเช่นกัน

การลงทุนระยะยาวอาจลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง...แต่หากลงทุนแบบไร้กลยุทธ์ไม่รู้เทคนิคการลงทุน ก็อาจสร้างความเสี่ยงทวีคูณ...โค้งสุดท้ายนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการแก้มืออีกครั้ง กับ "กองทุนแฝด"



หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2015, 08:58:28 am
คำว่า แบล็กลิสต์  ทางบจ.ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ  ไม่ให้ใช้คำนี้ 
แต่ใช้คำว่า เคยมีประวัติการค้างชำระหนี้กับสถาบันการเงิน

---------------------------------------------------------------------------



ติดแบล็กลิสต์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม
-http://money.sanook.com/328049/-


คอลัมน์สามัญสำนึก โดย เมตตา ทับทิม

นับแต่วินาทีนี้จนถึงราว ๆ ปลายเดือนเมษายน 2559 ลมหายใจเข้าออกคนอยากมีบ้านหนีไม่พ้น "มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ" ของรัฐบาล คสช.

ขานมาตรการให้ฟังอีกรอบนะคะ รัฐบาลแจก 3 กลุ่ม เริ่มจาก "ด้านภาษี" ลดค่าโอน 2% จดจำนอง 1% เหลือ 0.01% คำนวณง่าย ๆ บ้าน คอนโดมิเนียมราคา 1 ล้านบาท เดิมจ่าย 3% หรือล้านละ 3 หมื่น เหลือล้านละ 300 บาท มีเวลาให้ 6 เดือน (คาดว่าหมดภายใน 30 เมษายน 2559)

กลุ่มที่สอง "ด้านการเงิน" ความจริงมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ หลายรัฐบาลก็เคยทำมาก่อน แต่รอบนี้เน้นช่วยคนที่กู้ไม่ผ่าน โดยสั่งให้ ธอส. (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) ตั้งวงเงิน 10,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ซื้ออสังหาฯ ไม่เกิน 3 ล้าน

ในแง่ดอกเบี้ยไม่ได้พิเศษวิลิศมาหราอะไรเลย เพราะปีแรก 3.50% ปีที่สอง 4.25% จากนั้นดอกเบี้ยลอยตัวตามเรต MRR (ดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย แพงกว่า MLR ซึ่งเป็นดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ ในที่สุดคนรวยก็ได้เปรียบอยู่ดี เฮ้อ)

ล่าสุดทางแบงก์ออมสินลุกขึ้นมาประกาศเติมเงินสินเชื่อให้อีก 10,000 ล้านบาท เงื่อนไขเดียวกันเป๊ะ แต่เร้าใจกว่านิดหน่อยตรงที่หลังจากดอกเบี้ย 2 ปีแรกแล้ว ปีที่เหลือตลอดอายุสัญญาเงินกู้ให้ดอกเบี้ย MRR-1%

ทั้งนี้ เงื่อนไขที่เหมือนพระมาโปรดก็คือผ่อนคลายเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อค่ะ จากเดิมเขาคำนวณจาก DSR (Debt Service Ratio) หรือสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ เดิมกู้เงินซื้อบ้านถ้าเรามีรายได้ 100 บาท สถาบันการเงินอนุญาตให้เราเป็นหนี้ได้ 30-40 บาท เขาถึงจะยอมปล่อยเงินกู้ให้ แต่รอบนี้เกณฑ์ดีเอสอาร์ขยับให้เล็กน้อย จาก 30% เป็น 50%

หมายความว่าถ้าเรามีรายได้ 100 บาท ตอนนี้มีหนี้ได้ถึง 50 บาท เขาก็จะยอมหลับตาข้างหนึ่งปล่อยกู้ให้ มีเวลาให้ 1 ปี (19 ตุลาคม 2558-18 ตุลาคม 2559)

กลุ่มที่สาม "ด้านสิทธิประโยชน์" ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่จะต้องซื้ออสังหาฯไม่เกิน 3 ล้าน ลดหย่อนได้ 20% 5 ปี เช่น ซื้อบ้าน 1 ล้าน ลดหย่อน 20% คือ 2 แสนบาท หาร 5 ปีเท่ากับปีละ 4 หมื่นบาท ก็คือขอลดหย่อนได้ปีละ 4 หมื่น เป็นต้น

อธิบายมาตั้งยืดยาว คิดว่าน่าจะจบครบถ้วนกระบวนความ แต่ที่ไหนได้ มีคำถามเซ็งแซ่อยู่ในโซเชียลมีเดียว่า กระผม/ดิฉันติดแบล็กลิสต์ (บัญชีดำ) กู้ซื้อบ้านได้หรือป่าว

คำถามนี้ไปทำการบ้านมาให้แล้วค่ะ จาก "น้องตุลย์"ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเงินของ น.ส.พ.ประชาชาติธุรกิจ นางตอบทันทีว่า ไม่ด๊ายค่ะ ไม่ได้เด็ดขาด

พร้อมกับได้รับคำยืนยันจาก ต้นทางมาจากเครดิตบูโร (บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด) อธิบายนิยามคำว่าแบล็กลิสต์ หมายถึงคุณเคยมีหนี้สินกับสถาบันการเงินและเบี้ยวจ่ายติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป คุณภาพสินเชื่อของคุณกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL ทันที

ปัญหาคือเมื่อมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์แล้ว จะปลดล็อกยังไง ทำได้รวดเร็วแค่ไหน

คำตอบเบื้องต้น ก็จะต้องติดต่อโดยตรงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ของเรา เจรจาประนีประนอมได้แค่ไหน เช่น พักเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ย ฯลฯ เมื่อคุยกันลงตัวแล้ว ทางสถาบันการเงินเจ้าหนี้จะส่งเรื่องไปเครดิตบูโร เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้เคยค้าง" หรือติดแบล็กลิสต์ กลายเป็น "ปิดบัญชี" (เงื่อนไขเวลากว่าจะจบนาน 36 เดือน)

ระหว่างนี้ ลูกหนี้ที่น่ารักทั้งหลายจะต้องช่วยตัวเอง ด้วยการสร้างวินัยการออม ไปเปิดบัญชีเงินฝาก ทางแบงก์เขาจะดูใจว่าเรามีวินัยแค่ไหน เร็วสุดต้องออมเงินติดต่อกัน 12 เดือนขึ้นไป การขอกู้ใหม่อีกรอบจึงมีโอกาสหวังผล

บางคำถามขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะคะ เช่น มีชื่อติดแบล็กลิสต์ แต่ก็อยากซื้อบ้านภายใต้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รอบนี้ ทันไหม ? ข้อแนะนำคือจะต้องไปจับเข่าคุยกับเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้เพียงอย่างเดียว ไม่แน่นะคะ ปาฏิหาริย์อาจจะมีจริงก็ได้

ก่อนจบ ฝากข้อคิดจากเครดิตบูโร ทั่นบอกว่า ...เครดิตดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง






หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2015, 08:13:57 pm
ใช้บัตรเครดิตอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้
-http://www.moneyguru.co.th/-
-http://money.sanook.com/329519/-


ปัจจุบัน การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นอะไรที่สะดวกรวดเร็ว และมีความคล่องตัวมากที่สุดในโลกของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าสินค้าที่มีราคาสูง หรือจ่ายค่าน้ำมัน ค่าน้ำค่าไฟ และสถาบันการเงินบางแห่งยังให้สิทธิประโยชน์จากการถือบัตรเครดิตอีกด้วย แต่ว่าการใช้บัตรเครดิต เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิตให้ หากใช้อย่างไม่ระมัดระวังจนเกินความสามารถในการหาเงินมาชำระหนี้ได้ทันเมื่อถึงกำหนด อาจทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต้องเป็นหนี้จำนวนมากได้ วันนี้ MoneyGuru.co.th ก็มีเคล็ดลับการใช้บัตรเครดิต แบบไม่ให้เป็นหนี้มานำเสนอกันครับ

1. อย่าจ่ายเกินความสามารถในการหาเงินสด


เวลามีบัตรเครดิต การใช้จ่ายจะสะดวกมากๆ แค่รูดบัตรก็สามารถซื้อสินค้าได้แล้ว จนอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินความสามารถในการหารายได้มาใช้เงินที่รูดบัตรไป และต้องตกเป็นหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ว่าหนี้บัตรเครดิตนั้น มีดอกเบี้ยจะสูงกว่าการกู้ยืมเงินปกติ ดังนั้น ควรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ให้เกินความสามารถในการหาเงินสดมาชำระหนี้ของตัวเอง จะทำให้ไม่ต้องตกเป็นหนี้ครับ อาจจะทำรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อเตือนความจำว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่บ้างแล้ว เพื่อไม่ให้เกินรายได้ที่จะหามาได้ตอนสิ้นเดือน

2. ชำระหนี้ให้ตรงเวลา


เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เราจะเป็นหนี้กับสถาบันการเงินตามยอดเงินที่ได้ใช้จ่ายไป และต้องนำเงินสดไปชำระกับสถาบันการเงินในเวลาที่กำหนด แต่หากคุณไม่สามารถชำระหนี้ให้ตรงเวลา คุณก็จะกลายเป็นลูกหนี้ผิดนัด สถาบันการเงินก็สามารถเรียกดอกเบี้ยผิดนัดคุณได้ ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้น ค่อนข้างสูง ดังนั้น ควรจ่ายหนี้ให้ตรงเวลา เพื่อจะได้ไม่ต้องมีหนี้ในส่วนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นครับ

3. ใช้เท่าที่จำเป็น


บัตรเครดิตอาจจะมีความสะดวกก็จริง เพราะสามารถใช้จ่ายได้แม้ไม่มีเงินสดอยู่กับตัว แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าจะไม่ใช้บัตรเครดิตพร่ำเพรื่อสำหรับการใช้จ่ายทุกรายการ คุณจะได้ไม่ติดนิสัยการจ่ายผ่านบัตรเครดิต และย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ยังไงก็ต้องหาเงินสดมาใช้หนี้ ดังนั้น บัตรเครดิตอาจใช้สำหรับชำระค่าสินค้าที่มีราคาสูง เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ การจ่ายผ่านบัตรเครดิตจะทำให้คุณไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก หรือ เวลาที่เงินไม่พอสำหรับการใช้จ่ายบางอย่าง เช่น การเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็อาจใช้บัตรเครดิตจ่ายแทน เป็นต้น

4. กันเงินสดไว้สำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิต


เวลาที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ควรกันเงินสดหรือวางแผนการกันเงินสด ไว้สำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิตเมื่อถึงกำหนดชำระ วิธีนี้ จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการชำระหนี้บัตรเครดิตได้ตรงเวลามากขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องการมีเงินไม่พอสำหรับจ่ายหนี้บัตรเครดิตครับ

5. ไม่ควรมีบัตรมากกว่า 2 ใบ


การมีบัตรเครดิตมากกว่า 2 ใบ นอกจากจะทำให้เกิดความสับสนในการใช้จ่ายเงินและไม่สามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังสร้างนิสัยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ฟุ่มเฟือยอีกด้วย เพราะบัตรเครดิตหลายใบ เมื่อรวมกันจะทำให้สามารถใช้ได้ในวงเงินที่สูง ดูเหมือนว่าจะใช้จ่ายได้มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถในการหาเงินมาชำระหนี้นั้นมีไม่มากพอ จะทำให้ตกเป็นหนี้ได้ง่าย และอาจเกิดการนำบัตรเครดิตอีกใบ ไปชำระหนี้บัตรเครดิตอีกใบแบบไม่จบสิ้น ดังนั้น ควรมีบัตรเครดิตไม่เกิน 2 ใบ เพื่อสร้างวินัยในการใช้จ่ายของตนเองนะครับ

5 วิธีข้างต้นในการใช้บัตรเครดิตไม่ให้เป็นหนี้นั้น ทำได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ แค่สร้างวินัยให้กับตัวเองในการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ ก็ทำให้คุณสามารถวางแผนการใช้บัตรเครดิตได้อย่างง่ายๆ เลยครับ และหากคุณผู้อ่านสนใจข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิต สามารถติดตามต่อได้ที่ MoneyGuru.co.th ครับ

อ้างอิง: pattanakit.net, oknation.net, sanook.com
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2015, 06:04:37 pm
รู้ไหม? ...โครงสร้างใหม่ภาษีรถ เริ่มใช้ 1 ม.ค.59 ทำรถยนต์แพงขึ้นเท่าไร !!
-http://money.sanook.com/340979/-

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมานายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมถึงความพร้อมในการจัดเก็บภาษีสรรพาสามิตรถยนต์ที่อิงจากการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์(CO2)ว่ากระทรวงการคลังกระทรวงอุตสาหกรรมมีความพร้อมที่จะจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์แบบใหม่ตั้งแต่วันที่1มกราคม2559เป็นต้นไป

โดยที่ผ่านมาได้ให้ผู้ประกอบการปรับตัวมาแล้วถึง3 ปี ซึ่งการจัดเก็บภาษีแบบใหม่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาผลิตรถยนต์ที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทยมากขึ้น


นายสมชายพูลสวัสด์อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่าขณะนี้กรมสรรพสามิตพร้อมจะออกประกาศเพื่อจัดเก็บภาษีสรรสามิตรถยนต์จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯแล้วเพื่อให้สามารถเริ่มจัดเก็บได้ตั้งแต่วันที่1มกราคมซึ่งรถยนต์กระทบกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรืออีโอคาร์จะไม่ได้รับผลกระทบ รถยนต์ที่ขนาด 1,800-2,000 ซีซีขึ้นไป จะต้องมีการจ่ายภาษีเพิ่มในอัตรา 3-5% จากที่เคยจัดเก็บในอัตรา 30-35% ก็จะจัดเก็บเพิ่มเป็น 35-40% คาดว่าภาษีใหม่นี้ทำให้กรมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพิ่มได้ 7-8 พันล้านบาท

นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ยืนยันว่ากระทบวนการตรวจสอบค่าคาร์บอนฯนั้นทำได้เร็ว ขณะนี้มีรถยนต์ที่ส่งมาตรวจสอบและได้ป้ายข้อมูลรถยนต์ หรือ อีโค สติกเกอร์ตั้งแต่ 1 ตุลาคม2558 จำนวน 677 ครอบคลุมรถยนต์กว่า 95%

-http://www.matichon.co.th/index.php#-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2016, 10:30:08 am
ไม่ยากครับ

เพียงแต่รู้จักการวางแผน การใช้จ่าย และ การออมเงิน
รู้ว่า สิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนไม่จำเป็น
ซื้อในแต่ละครั้งให้พอกับการใช้ในแต่ละเดือน

ต่อให้ทางห้างฯจัดวางสินค้ารูปแบบไหน
ก็ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะดึงเงินจากกระเป๋าเราออกไปได้

-----------------------------------------------


เราจะจับจ่ายมากขึ้นเมื่อเดินวนขวา รู้ให้ทันทริคการค้าของห้างทั่วไป
-http://money.kapook.com/view138594.html-

 วิธีช้อปปิ้งอย่างคุ้มค่าควรศึกษาทริคทางการค้าของห้างสรรพสินค้าไว้บ้าง แล้วรู้ยังว่าหากเดินช้อปปิ้งวนขวา เราอาจควักจ่ายเงินช้อปปิ้งมากขึ้นนะ

          เวลาที่เดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า น้อยคนนักที่จะรีบหยิบของใส่รถเข็นแล้วก็นำไปจ่ายเงิน นอกจากจะมีเวลาน้อยและรีบมากจริง ๆ เพราะเมื่อมีโอกาสได้ไปช้อปปิ้งแล้ว เราก็มักจะเดินเตร็ดเตร่ดูสินค้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งจุดนี้แหละค่ะที่ทำให้เราเผลอใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินจนเกินงบที่เคยกะไว้คร่าว ๆ และรู้อะไรไหมคะว่าทำไมเรามักจะอ้อยอิ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แถมยังได้สินค้าที่ไม่เคยคิดไว้ว่าจะซื้อติดไม้ติดมือกลับมาด้วย นั่นก็เพราะห้างสรรพสินค้าใช้หลักจิตวิทยาเดินวนขวากับเหล่าผู้บริโภคอย่างเราไง

          โดยผลการศึกษาจากหลายสถาบันยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะเดินช้อปปิ้งแบบเวียนทางขวาตามความเคยชิน แถมยังเป็นที่น่าสังเกตว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดทางเข้าสโตร์ให้ง่ายต่อการเดินไปทางด้านขวา ยังมีแนวโน้มจะขายดิบขายดีกว่าห้างสรรพสินค้าที่จัดประตูให้ง่ายต่อการเดินไปทั้ง 2 ด้าน และแย่ไปกว่านั้นคือห้างที่จัดทางเดินให้ง่ายต่อการเดินวนซ้าย ยังมีแนวโน้มจะซบเซามากกว่าใครอีกด้วย


          ดังนั้นสินค้าที่จะอยู่ทางด้านขวาในตำแหน่งแรก ๆ ก็ต้องเป็นของที่ยั่วยวนใจได้มากพอดู อย่างโซนเบเกอรี่และอาหารปรุงสดกลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกก็มักจะอยู่ทางด้านขวามือ รวมทั้งโซนสินค้าราคาถูกมากมายก็มักจะอยู่ด้านหน้าของตัวห้างอีกด้วย นั่นก็เพราะทางห้างสรรพสินค้าต้องการโน้มน้าวให้เราสนใจในตัวสินค้า และให้เราอยู่ในห้างให้ได้นานที่สุด

          นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ทางการจัดวางสินค้าอีกมากมายที่ใช้หลักทางจิตวิทยาเข้าช่วย อย่างสินค้าตัวท็อปที่เป็นที่ต้องการสูงก็มักจะไม่อยู่ในโซนด้านหน้าที่ฉวยหยิบง่าย แต่มักจะถูกจัดไว้ในโซนด้านหลัง โดยเราต้องเดินผ่านโซนสินค้าฟุ่มเฟือยแต่ดันลดราคาหนักมาก หรือจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ไปหลายรายการ ก่อนที่จะเจอเข้ากับสินค้าที่ต้องการจะซื้อ ซึ่งก็นับเป็นกลยุทธ์ทางการจัดสินค้าอย่างหนึ่งที่จะชักนำให้เราสนใจสินค้าตัวอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากลิสต์สินค้าในใจนั่นเองค่ะ

          ทั้งนี้ยังมีทริคในเรื่องของสีสันสดใส เช่น สีแดงสดและสีส้มของตัวสินค้าเข้ามากระตุ้นต่อมอยากช้อปปิ้งของเหล่าผู้บริโภคด้วยนะคะ ซึ่งในกรณีที่เราเป็นผู้บริโภคก็ควรจะรู้ทันเทคนิคเหล่านี้ไว้บ้าง จะได้คอยยับยั้งตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายจนเพลินเกินคำว่าคุ้มค่าไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
CRACKED, lifehacker
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2016, 09:04:14 pm
วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน
-http://money.sanook.com/347863/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

เงินมีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของคนเราในทุกๆด้าน เพราะสามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกใช้ซื้อสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้คนเราคุ้นเคยกับการใช้จ่ายเงินมากกว่าการ บริหารเงิน ที่หามาได้ เมื่อใช้จ่ายเงินไม่เป็นระบบเพราะขาดการบริหารก็กลายเป็นปัญหาและก่อให้เกิดหนี้สินตามมา


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน คือข้อคิดดีๆที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งวิธีเหล่านี้พ่อแม่ควรที่จะสอนลูกด้วยตัวเอง และควรฝึกเขาตั้งแต่เด็ก เพื่อปลูกฝังการรู้จัก บริหารเงิน ให้เป็นและการเก็บออมให้กับลูกน้อยของคุณนั่นเอง ว่าแต่มีอะไรบ้างนะ เราไปดูกันค่ะ


1.สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน
สอนลูกให้รู้จักค่าของเงิน เป็นการสอนลูกให้รู้จักการใช้จ่ายเงินที่ถูกต้องตั้งแต่ยังเล็กๆ การเลี้ยงลูกของพ่อแม่ในปัจจุบันไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้เด็กๆหลายๆคน เมื่อพ่อแม่พาเข้าร้านสะดวกซื้อก็จะหยิบจับสิ่งของที่ตนเองสนใจหรือต้องการทันที โดยไม่เห็นความสำคัญในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเด็กๆต้องรู้ว่าการเลือกซื้อสิ่งของควรเกิดจากความจำเป็นในการใช้มากกว่า ดังนั้นเมื่อลูกต้องการจะซื้ออะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็น ซึ่งในเวลานั้นคุณก็ไม่ค่อยคล่องเรื่องเงินสักเท่าไหร่ ไม่ควรตามใจลูกแต่ควรสอนลูกให้เขาเข้าใจว่าสิ่งสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นเลย โดยต้องสอนให้เขารู้คุณค่าของเงินด้วย เมื่อสอนแบบนี้บ่อยๆ เขาก็จะเข้าใจไปเอง แถมวิธีนี้ยังช่วยลดความเอาแต่ใจของลูกได้ด้วยนะ


2.ปลูกฝังวินัยการออม
การปลูกฝังวินัยการออมต้องทำให้เป็นนิสัย เชื่อว่าเด็กๆทุกคนถูกสอนให้เก็บออมโดยการหยอดกระปุกออมสิน แต่ไม่เคยสอนเด็กให้มีเป้าหมายในการออมเงิน เช่น หยอดกระปุกออมสินไว้เพื่อนำเงินที่ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร หรือสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินไว้เพื่อซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ เช่นซื้อของเล่นราคาแพงๆ ซึ่งนอกจากเป็นการสอนให้เด็กรู้จักเก็บออมเงินแล้ว ยังสอนให้เด็กรู้คุณค่าของเงินว่าเป็นสิ่งที่หายากอีกด้วย ดังนั้นพ่อแม่อย่าลืมที่จะสอนให้เขาเข้าใจด้วยนะคะว่าเราเก็บออมเงินไปเพื่ออะไร และการเก็บออมเงินมีประโยชน์ย่างไร หรืออาจจะสอนให้เขาเก็บออมเงินไว้ซื้อของที่ต้องการด้วยตัวเขาเองก็ได้


3.เรียนรู้ก่อนลงมือทำ
พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักลอกเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วลงมือทำตามโดยปราศจากการเรียนรู้ทำให้คนเหล่านี้ล้มเหลวในการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ก่อนลงมือทำ การเรียนรู้ทุกเรื่องราวก่อนลงมือทำเสมอสอนให้ทุกคนรู้จักคิด รู้จักการวางแผนและทำงานอย่างเป็นระบบ ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือมีภาระหนี้สินตามมาน้อยมาก และแน่นอนว่าการสอนให้เขาเรียนรู้ก่อนลงมือทำนั้นไม่ได้ทำให้ลดปัญหาทางการเงินลงเท่านั้น แต่ยังทำให้เราเป็นคนรอบคอบ คิดก่อนทำ ซึ่งจะนำไปสู่การประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายอีกด้วย


4. หาเงินก่อนใช้เงินเสมอ
เมื่อเราต้องการเงินสำหรับการใช้จ่ายสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ก็ควรหาหนทางเพื่อให้ได้เงินมาอย่างถูกต้อง เมื่อต้องการสิ่งใดก็ต้องลงมือทำเพื่อให้ได้เงินมาไม่ควรให้ความต้องการของตนเองไปทำร้ายหรือรบกวนคนอื่น หลีกเลี่ยงการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เช่น การกู้ยืมเงินประกันชีวิตหรือการกู้ยืมเงินที่ต้องนำเงินเก็บออมของเราค้ำประกันซึ่งวัยของลูกน้อยนั้นอาจไม่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง แต่คุณสามารถสอนให้เขาเก็บออมเงินเมื่ออยากได้สิ่งของที่ต้องการได้ ซึ่งจะทำให้เขาเรียนรู้ที่จะไม่รบกวนพ่อแม่เมื่อยากได้อะไรสักอย่าง แต่ขาจะเก็บเงินเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วยความพยายามของเขาเอง


5.เงินมีความสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต
การใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ทำให้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเงินจนลืมคิดไปว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต เมื่อคิดว่าเงินคือสิ่งที่สำคัญทำให้เกิดการแข่งขันในทุกๆด้าน แข่งกันประกอบอาชีพแข่งกันซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อบ่งบอกความมั่งมี แต่อย่าลืมว่าเงินไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป การมีเงินอาจไม่มีความสุข และการไปกู้ยืมเงินคนอื่นมาเพื่อให้ตนมีเงินใช้ก็ไม่ทำให้คนเรามีความสุขเหมือนกัน


วิธีบริหารเงิน ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน จึงนอกจากจะเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติเพื่อปลูกฝังให้เกิดความเคยชินในการ บริหารเงิน แล้ว ยังเป็นเรื่องของแนวคิดและมุมมองที่ทุกคนควรคิดวิเคราะห์และเรียนหลักการ บริหารเงิน เพื่อการดำรงชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนอยู่ในโรงเรียนทุกคนจึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างถูกต้องและเข้าใจเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง


และที่สำคัญอย่าลืมสอนลูกน้อยของคุณให้รู้จักบริหารการใช้จ่ายเงินตั้งแต่ยังเล็กนะคะ เพราะจะปลูกฝังนิสัยการใช้จ่ายเงินให้กับเขาไปจนโตนั่นเอง เมื่อถึงตอนนั้นหากเขามีวินัยในการจ่ายเงินที่ดีตั้งแต่เด็ก เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2016, 09:05:55 pm
คน 3 ประเภทที่ยังไงก็ ออมเงิน ไม่ได้ !
-http://money.sanook.com/347811/-


สนับสนุนเนื้อหา
-https://moneyhub.in.th/-

ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่เราทุกคนขวนขวายพอๆกับอนาคตที่เป็นไปตามที่เราอยากจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับว่าระหว่างที่เราจะไปทำตามความฝันของเรานั้น ก็มีเรื่องของเงินเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นว่าเงินเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินต่างๆตามมามากมาย เนื่องจากการใช้เงินที่เกินความพอดีนั่นเอง


ดังนั้นหากคุณอยากมีเงินเก็บออมและเป็นคนรวยกับเขาสักทีล่ะก็ จะต้องเลิกนิสัยแย่ๆ ในด้านการใช้จ่ายเงินของคุณซะ แล้วการเงินก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน


อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าความร่ำรวยนั้นมีรากฐานมาจากการ ออมเงิน เพราะนอกจากการ ออมเงิน จะเป็นการสร้างเงินของเราให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยการใช้เงินที่ดีให้แก่เราในระยะยาวอีกด้วย ดังนั้น เราจึงมักจะเห็นผู้ใหญ่หลายๆคนพยายามปลูกฝังนิสัยการออมให้ลูกหลานของตนตั้งแต่ยังเล็กๆอยู่ นั่นก็เพื่อหวังผลของการเงินที่ดีในระยะยาวนั่นเอง อีกอย่างการฝึกหัดตั้งแต่เด็กนั้นจะทำให้เด็กโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยในการ ออมเงิน มากขึ้น และมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้เขาสุขสบายในวันข้างหน้าไดนั่นเอง


แต่ก็ใช่ว่าการปลูกฝังให้เด็กๆมีนิสัยที่รักในการอดออมและวินัยทางการเงินที่ดีจะช่วยให้เด็กสามารถมีเงินเหลือใช้ได้ในอนาคตเสมอไป เนื่องจากในสมัยนี้มีปัจจัยหลายๆปัจจัยที่เข้ามามีผลต่อการใช้เงินของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินที่แพงมาก ค่าครองชีพที่ดูจะสูงล้ำหน้าเงินรายได้ของคนเกือบค่อนประเทศไป เป็นต้น ซึ่งบางครั้งแค่นิสัยการเงินที่ดีก็ยังจะเอาไม่อยู่เกือบมีปัญหาทางการเงินก็หลายครั้ง


แน่นอนว่าคนที่มีพื้นฐานรักในการอดออมและมีวินัยทางการเงินที่ดีย่อมได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนที่มีนิสัยบางอย่างที่ทำให้การอดออมดูจะล้มเหลวไปอยู่แล้ว ซึ่งนิสัยเสียๆที่จะมีผลกับการ ออมเงิน ของเรา ประกอบไปด้วย


คนที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย
หรือคนที่มีการใช้เงินเกินความจำเป็น คนในกลุ่มนี้มักจะมีความอยากได้อยากมีมาบดบังอยู่ เมื่อเห็นสิ่งต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดความอยากได้อยากมีก็มักจะลืมคิดไปว่าสิ่งนั้นจะสามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่ หรือสิ่งนั้นมีความจำเป็นมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็จ่ายเงินไปแล้ว บางคนที่ดีหน่อยก็อาจจะมานึกเสียดายทีหลังว่าไม่น่าใช้เงินไปแบบนั้น แต่บางคนนั้นไม่รู้สึกตัวเลยก็มีด้วยซ้ำ อันตรายมากจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยากมีอยากได้เหมือนเพื่อนด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่

อย่าลืมนะว่า เรากับเขาสถานะทางการเงินไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นใช้จ่ายเงินเท่าที่ความสามารถของตัวเองดีกว่า และควรยึดหลักการเก็บ ออมเงิน เป็นสำคัญด้วยนะ


คนที่ไม่มีวินัยในการออม
แน่นอนว่าการออมจะเป็นรากฐานของการมีเงินเก็บที่ดีในอนาคต ดังนั้นคนที่ขาดวินัยในการออมนั้นอาจจะมีเงินกินเงินใช้ในวันนี้ ณ ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าวันไหนเกิดขาดรายได้ขึ้นมา คนพวกนี้ก็จะไม่มีเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นรายได้หรือเงินเก็บก็ตาม ถึงอยากจะเอาเงินไปต่อยอดทำอะไรก็ทำไม่ได้เพราะตนเองไม่มีเงินที่สามรถนำไปใช้ได้โดยไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันเลยนั่นเอง

เพราะฉะนั้นการเก็บออมเงินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานไปสู่ความร่ำรวยได้ หากคุณอยากรวยกับเขาสักทีล่ะก็ สลัดนิสัยไม่มีวินัยในการออมเงินออกไปซะ แล้วมาเริ่มการออมเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้ากันดีกว่า


คนโลภ
เป็นอีกสิ่งที่พาให้คนมีการเงินที่ล้มเหลวมาแล้วนักต่อนัก คนพวกนี้มักจะอยากได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เสมอ และมักจะเลือกที่จะเสี่ยงเพื่อให้ได้มามากกว่าเดิมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีนั่นเอง เช่น การนำเงินไปลงทุน ซึ่งเป็นการนำเงินที่เรามีไปลงทุนในอะไรบางอย่างเพื่อสร้างกำไร แต่หากเกิดความโลภอยากได้เงินเยอะๆจนไปลงทุนในสิ่งที่ความเสี่ยงมากๆก็อาจจะทำให้ได้เงินจำนวนๆมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียเงินไปจนหมดก็ได้เช่นกัน และสุดท้ายเงินก้อนนั้นก็หายไป

ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเงินเยอะแล้วจะสามารถใช้เงินทำเงินให้กับเราได้อย่างง่ายดาย เพราะการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ควรเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนเพื่อป้องกันการขาดทุน และควรลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่านะ


ดังนั้นสรุปโดยรวมแล้วการมีนิสัยใช้เงินโดยไม่คิดน่าคิดหลังให้ดีและใช้เงินไปด้วยความโลภนั่นเองที่ทำให้เราไม่สามารถออมเงินได้ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีและรู้จักประมาณตนจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของการออมเงินนั่นเอง ใครที่ยังไม่สามารถออมเงินได้สักที


ลองสำรวจดูนะว่าตัวเองมีนิสัยแย่ๆ อย่างไรถึงทำให้ออมเงินไม่สำเร็จ จากนั้นก็ให้เลิกนิสัยแย่ๆ นั้นซะ แล้วหันมาออมเงินด้วยความตั้งใจจริง แค่นี้คุณก็จะมีเงินออมจากน้อยไปมาก และกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในที่สุด ทีนี้ก็สุขสบายไปอีกนานเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 14, 2016, 09:58:23 pm
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน RMF ลงทุนอย่างไร จึงคุ้มค่า....ใครเหมาะจะลงทุน?
-http://money.sanook.com/343883/-

วันนี้มาดูการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตและการบริหารเงิน ที่ได้ประโยชน์ทางภาษี  โดยการลงทุนระยะยาวในกองทุนคู่แฝดอีกกองทุน หลังจาก ครั้งก่อนเราเรียนรู้ในเรื่องกองทุน LTF ไปแล้ว

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกองทุน RMF ว่า เป็นการทุนแบบใด มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไร..สิ่งเหล่านี้จะตอบคำถามได้ว่า ใครเหมาะจะลงทุนในกองทุน RMF อย่างไร..

 

RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( retirement mutual fund) โดยหลักการคือ ต้องการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตหลังเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้ประจำ ดังนั้น  รูปแบบของกองทุนนี้จึงเน้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และ มีการออกแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงชีวิต ว่าแต่ละช่วงสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด

 

และการสนับสนุนโดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

 

• ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง

• ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)

• ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)

• การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

 

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อทำตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ

  1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

  2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน RMF มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหาก มีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปและต้องดำเนินการ ดังนี้

1. กรณีที่ลงทุนไม่ถึง 5 ปี และมีการผิดเงื่อนไข

    •ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

    •เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ต้องจ่ายภาษีของกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้  ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้ลงทุนขายคืน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรส่วนเกินทุนไว้ก่อน และเมื่อผู้ลงทุนไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ก็จะคำนวณอีกครั้ง ว่าจะต้องจ่ายเงินภาษีเพิ่มอีก หรือไม่ อย่างไร

 

2. กรณีที่ลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข

     • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

การชำระภาษีตาม 1. และ 2. ต้องชำระภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข และ/หรือ ขายคืนหน่วยลงทุน  หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี 

 

จากเงื่อนไขทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การสนับสนุนการลงทุนใน RMF ก็เพื่อต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาวจริงๆ ดังนั้น หากจะลงทุนใน RMF เราต้องมาตรวจสอบเงื่อนไขก่อนว่าเราสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่คือ

- ตอบตัวเองว่าต้องการออมเพื่อวัยเกษียณ

-มีวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และระยะยาว

-รู้จักตัวเอง-รู้ว่ามีเป้าหมายการลงทุนเป็นแบบใด สามารถออมเงินได้มากน้อยเพียงไร และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ขนาดไหน

-รู้จักผลิตภัณฑ์-รู้ว่านโยบายการลงทุนของ RMF ที่สนใจจะลงทุนเป็นอย่างไร เช่น มีความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง หรือสูง

-พิจารณาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

-เลือกลงทุนใน RMF ที่เหมาะสมกับตัวคุณ

 

โดยสรุป ไม่ใช่เรื่องง่ายหากมนุษย์เงินเดือนจะลงทุนใน RMF หาก ไม่สามารถรับภาระและมีวินัยในการใช้จ่ายการลงทุนอย่างแท้จริง และหาก มนุษย์เงินเดือนมีการลงทุนในรูปแบบอื่นที่เป็นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ก็ต้องชั่งใจให้ดีว่า พร้อมหรือไม่ที่จะลงทุนระยะยาวแบบ RMF………..

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html?menu_id=82-

-http://www.aimc.or.th/#2-

-http://www.bfiia.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=359633&Ntype=2-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 14, 2016, 10:03:23 pm
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน ใครควรลงทุนใน LTF และลงทุนอย่างไร ?
-http://money.sanook.com/342067/-

ช่วงปลายปีแบบนี้ มีข้อเสนอข้อแนะนำการบริหารเงินเพื่อประโยชน์ทางภาษีกันมากมาย เพราะ เปิดศักราชใหม่มา ผู้มีเงินได้ต้องทำหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อคำนวณภาษีตามหน้าที่กันแล้ว .. และ ข้อเสนอที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนก็คือ ....การเสนอแนะให้ลงทุนระยะยาวเพื่อได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะ การลงทุนใน กองทุน RMF และ LTF

การยกประเด็นการลงทุนในกองทุนแฝด RMF และ LTF เพื่อประโยชน์ทางภาษี ถูกยกแต่ประเด็นประโยชน์ทางภาษีจนบางครั้งละเลย ไปว่า แท้จริง กองทุน RMF และ LTF คือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเงื่อนไขที่ต้องเรียนรู้ทั้งในเรื่องความเสี่ยง และ รู้ว่า การลงทุนในกองทุนแฝดนี้ผลตอบแทนคือ อะไร...และใครควรลงทุนในกองทุนไหนอย่างไร

วันนี้เรามาเริ่มที่ กองทุน LTF หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ long-term equity fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เกิดมาจากแนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET และ MAI เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างวินัยในการออม ของผู้ลงทุนรายย่อยในระยะยาวมากยิ่งขึ้นด้วย

จากหลักการของการจัดตั้ง LTF ชัดเจนว่าเป็นการลงทุนในตราสารทุน หรือชัดเจนคือลงทุนในหุ้น ซึ่งมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนดชัดเจนว่า อย่างน้อย 5 ปี ปฏิทิน เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว ดังนั้นในการลงทุนผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่าในการลงทุนกองทุนประเภทนี้ มีความเสี่ยงอยู่ด้วย และผลตอบแทนขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารของผู้จัดการกองทุนเป็นสำคัญ ว่าจะสามารถพิชิตตลาดได้มากน้อยเพียงใด

นักลงทุนต้องคำนึงว่าตลอด 5 ปีผลตอบแทนที่ควรได้ควรเป็นเท่าไรจึงคุ้มกับการลงทุน โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนอื่นๆ หรือ หากมีฝีมือ ก็ลงทุนเองอาจได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนเล่านี้ก็ได้ เพราะ เมื่อลงทุนใน LTFแล้ว กรณีที่ผู้ลงทุนสั่งขายหรือสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน LTF หน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนจะถูกนำไปขายก่อน (First-In First-Out : FIFO) โดยผู้ลงทุนไม่สามารถกำหนดให้ บลจ.ขายหน่วยลงทุนก้อนอื่นที่ซื้อทีหลังได้ ตัวอย่างเช่น : ซื้อ LTF ในปี 2550 2551 2552 และ 2553 ต่อมาผู้ลงทุนต้องการขาย LTF บลจ.จะขายหน่วยลงทุนที่ซื้อในปี 2550 ก่อน และเรียงลำดับไปตามปีที่ซื้อก่อนเสมอ

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขนี้มีการปรับปรุงจากเดิมที่ได้รับการยกเว้นในการลงทุน LTF สูงสุด 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี
การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนี้ทำให้ เงินที่ลงทุนใน LTF แล้วได้สิทธิเว้นภาษี 15 % จึงเป็นเงินได้หลักที่ไม่ได้รับสิทธิใดๆมาก่อน หรือง่ายๆคือ จากเงินเดือนเป็นหลัก ส่วนรายได้จากอื่นๆ เช่นเงินปั่นผลที่ได้สิทธิประโยชน์มาแล้วจะไม่สามารถนำมาเป็นฐานในการลงทุนได้อีก ส่วนกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ การลงทุนใน LTF คือฐานเงินเดือนเป็นหลัก แล้วเงินเดือนเท่าไรเป็นต้นไปจึงควรเริ่มต้นลงทุนใน LTF ...?

ลองมาดูตัวอย่างของมนุษย์เงินเดือน โดยกำหนดเงื่อนไขว่าเป็นคนโสด ที่สามารถหักค่าลดหย่อยส่วนตัว ได้เพียงอย่างเดียวไม่นำค่าลดหย่อยอย่างอื่นมาคำนวณร่วมเพื่อความเข้าใจง่ายๆ กัน
จากฐานของรายได้ที่ที่เสียภาษีตามเกณฑ์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั้น ซึ่งเป็นภาษีแบบขั้นบันได โดยรายได้ 150,000 แรกได้รับการยกเว้น ดังโครงสร้างภาษีข้างล่างนี้

"ดูที่รูป"

หากท่านเป็นผู้มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะเป็นดังนี้ คือ

รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปี เท่ากับ เงินเดือน 20,000 บาท x 12 เดือน = 240,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ 240,000 – 60,000 – 30,000 = 150,000 บาท
ตามตัวอย่างนี้ เงินได้สุทธิที่นำมาคำนวณภาษีคือ 150,000 บาท ซึ่งจากฐานรายได้นี้ เท่ากับผู้มีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากได้รับยกเว้น ภาษีตามโครงสร้างอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะลงทุนใน LTF เพื่อผลประโยชน์จากการลดหย่อยภาษี

อีกตัวอย่าง หากเป็นผู้ที่มีเงินเดือน 25,000 บาท
รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปีเท่ากับ 25,000 บาท x 12 เดือน = 300,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเท่ากับ 300,000 – 60,000 – 30,000 = 210,000 บาท
ตามโครงสร้างรายได้ 150,000 บาทแรกได้รับยกเว้นดังนั้น
ภาษีที่ต้องเสีย คือ 210,000 – 150,000 = 60,000 ซึ่งตามโครงสร้างต้องเสียภาษี ในอัตรา 5 %เท่ากับ 60,000 x 0.05 = 3,000 บาท


และจากเงื่อนไขผลประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิทางภาษีสูงสุด 15 % ของเงินได้พึงประเมินในการลงทุน LTF ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณการลงทุนในLTF ดังนี้ คือ
เงินได้พึงประเมิน 300,000 x 0.15 = 45,000 บาท
นั่นคือสามารถซื้อกองทุน LTF ได้สูงสุด 45,000 บาท

นี้คือ ตัวอย่างของการลงทุนในกองทุนยอดฮิต ที่ช่วงปลายปี จะมีการโปรโมทให้กับมนุษย์เงินเดือนเข้ามาลงทุน โดยพยายามบอกถึงประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ แต่ที่จริงแล้ว หากท่านจะลงทุนในกองทุน ก็ต้องคำนึงในหลายๆด้าน ต้องรู้จักว่ากองทุนนั้นคืออะไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆคืออย่างไร
ไว้ครั้งหน้าเรามาดูการลงทุนในกองทุนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งคือ RMF ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรประกอบการตัดสินใจในการลงทุน เพื่อการบริหารเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/-

-http://www.aommoney.com/taxbugnoms-

-http://www.fundfine.com/-

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2016, 09:48:20 pm
คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2016, 09:52:38 pm
เงินทอง เก็บไว้ได้ ไม่เสีย
หากใช้จ่ายไม่ยั้ง ชีวิตจะพบกับความลำบาก

เมื่อเก็บเงินได้  มีเงินออม
ต้องศึกษาหาความรู้เรื่องเงินๆทองๆ และรู้จักการลงทุน
เพื่อเพิ่มเงินออมให้มากขึ้น
ที่สำคัญ ต้องให้เงินทำงานแทนเราตลอด 24 ชั่วโมง

เราจะสบายในตอนที่เราอายุมาก  ไม่ลำบากทั้งกายและทั้งใจ




คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2016, 10:44:50 pm
“RMF-LTF-ประกันชีวิตแบบบำนาญ” ประโยชน์ที่ได้มากกว่าการลดหย่อนภาษี
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006542 (http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006542)

โดย MGR Online    
20 มกราคม 2559 15:09 น.

คอลัมน์ บัวหลวง Money Tips
       โดย พนิต ปัญญาบดีกุล CFP®
       กองทุนบัวหลวง
       
       Retirement Mutual Fund (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เกิดขึ้นมาในปี 2544 แต่ในช่วงแรกยังไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร และความเข้าใจในเรื่องของการลงทุนก็ยังอยู่ในวงจำกัดเช่นกัน หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี Long-Term Equity Fund (LTF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ก็ถือกำเนิดตามมา เมื่อพูดถึง RMF และ LTF ผู้ลงทุนทราบดีว่าเป็นกองทุนที่ช่วยในการลดหย่อนหรือประหยัดภาษี
       
       ดังนั้นจึงขอทบทวนรายละเอียดของทั้ง 2 กองทุน และประโยชน์ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนใน RMF และ LTF ที่สำคัญมากกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว
       
       กองทุน RMF เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนและสร้างวินัยให้คนเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือในวัยที่พ้นจากการทำงานและไม่มีรายได้ประจำแล้ว ดังนั้นจึงเป็นกองทุนที่มีผลต่อเนื่องในระยะยาว ไม่มีการจ่ายปันผลใดๆ คืน ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี (เว้นได้ 1 ปี แต่ห้ามเกิน 2 ปี) และห้ามขายคืนก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกและจัดสรรการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และสามารถโอนย้ายระหว่างกองทุนทั้งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการเดียวกันหรือต่างกันได้ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองเมื่อเวลาผ่านไป
       
       กองทุน LTF เป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET mai ทำให้ตลาดทุนมีการพัฒนาและมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ดังกล่าวอาจจะไกลตัวเราที่เป็นประชาชนทั่วไป ดังนั้นอยากให้มองจุดประสงค์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ กองทุนนี้ช่วยให้คนไทยรู้จักการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาว ทำให้เกิดการเรียนรู้และไม่กลัวการลงทุนมากเหมือนในอดีต
       
       ด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวทำให้ LTF มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียน จะมีการจ่ายปันผลหรือไม่ก็ได้ และผู้ลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินในแต่ละก้อนที่ลงทุน (นับปีที่ลงทุนและปีที่ขายคืนด้วย) จากเดิม LTF มีอายุประมาณ 10 ปี นับตั้งแต่ปีแรกที่ตั้งขึ้น และกำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2559 แต่ล่าสุด ครม.ได้มีมติต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปอีก 3 ปี จนสิ้นสุดปี 2562 รวมทั้งเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนจากไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน เป็นไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน ตามรายละเอียดเงื่อนไของสรรพากร
       
       มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวม RMF และกองทุนรวม LTF ปี 2545-2558 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=3999)

  ประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้ เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ในปี 2554 สรรพากรได้ส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับคนไทยเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพหลังเกษียณอายุจากการทำงาน และช่วยให้มีเงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญนี้จึงมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ไม่มีการจ่ายปันผลประโยชน์เงินคืนอื่นใดก่อนที่จะรับเงินบำนาญ (ยกเว้นกรณีเสียชีวิต) โดยที่จะสามารถรับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปจนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี และต้องกำหนดการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายปี รายเดือน เป็นต้น
       
       มากกว่าประโยชน์ทางภาษี ถึงแม้ว่าเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นสิ่งจูงใจให้หลายๆ ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าว แต่จากจุดประสงค์หลักและประโยชน์ของทั้ง RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า อยากจะให้พิจารณาข้อมูลจากฝ่ายวิจัยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณของคนไทย จะเห็นได้ว่าร้อยละ 51 จะมีเงินออมไม่เพียงพอหลังเกษียณ และไม่สามารถพึ่งพาลูกหลานได้ถึงร้อยละ 32
       
       สัดส่วนของจำนวนคน จำแนกตามสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=4001)

นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาถึงการออมเงินของผู้สูงอายุในปี 2550 จากผลการสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 31.3 ไม่มีเงินออมเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตหลังเกษียณ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 53) มีมูลค่าการออมไม่เกิน 2 แสนบาท เท่ากับว่าถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 20 ปี ก็จะมีเงินใช้ไม่เกินเดือนละ 830 บาท หรือวันละ 28 บาทเท่านั้น ขณะที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 15 ที่มีมูลค่าการออมตั้งแต่ 700,000 บาทขึ้นไป
       
       อย่างไรก็ตาม การเก็บออมเงินระยะยาวใน RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ก็เป็นเพียงพื้นฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน และเป้าหมายชีวิตที่ตั้งไว้ ควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงินแบบรอบด้านด้วย


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2016, 10:40:41 pm
หุ้นตก หลบลงกองทุน REIT ดีมั้ย
-http://money.sanook.com/352167/-

-http://www.settrade.com/login.jsp?txtBrokerId=IPO-
สนับสนุนเนื้อหา

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

(http://p1.s1sf.com/mn/0/rp/r/w600/ya0xa0m1w0/aHR0cDovL3AxLnMxc2YuY29tL21uLzAvdWQvNzAvMzUyMTY3LzYwMF94XzYwMC5qcGc=.jpg)

ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องไปลงทุนอสังหริมทรัพย์ เพื่อเก็บค่าเช่า แต่มีปัญหาคือ เงินน้อย ทำเลดีๆไม่มี ยุ่งยาก ไม่มีเวลาดูแลเรื่องการซ่อมบำรุง และ เก็บค่าเช่า ขายต่อยาก ปัญหาร้อยแปดอย่าง นี่คือเหตุผลที่ต้องมารู้จัก กอง REIT กัน

REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนกับการลงทุนโดยตรง และ มีข้อจำกัดน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ


1. สินทรัพย์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee)
2. ทรัสตี (Trustee) มีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager)
3.ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) ทำหน้าที่บริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทนั้น ๆ เช่น ดูแลทรัพย์สินให้พร้อมเช่า จัดหาผู้เช่า จัดเก็บค่าเช่า เป็นต้น
4. REIT สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท และจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ได้
5. REIT สามารถกู้มาลงทุนได้ไม่เกิน 35% ของ สินทรัพย์รวม และถ้ามีการจัดอันดับว่า REIT นั้นมีคุณภาพผ่านระดับ Investment Grade ขึ้นไป ก็สามารถกู้ได้ถึง 60% ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ REIT มีโอกาสในการขยายธุรกิจสูงกว่า กองทุน Property Fund ที่กู้ได้แค่ 10% เท่านั้น REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


การลงทุนใน REIT เหมาะกับใคร?
REIT รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว REIT จะต้องจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างน้อย 90% ของกำไรสุทธิ พูดสั้นๆได้รับค่าเช่าเต็ม หักค่าคนดูแลนิดหน่อย ค่าเช่ามักไม่ค่อยมีความผันผวน ทำให้ REIT ไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภทเก็งกำไร แต่จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงของ REIT เรียงจากน้อยไปมาก คือ หุ้นกู้, REIT, หุ้น นั่นเอง


ข้อดีของการลงทุนใน REIT คือ ?
1) สามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ชอ บ โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ
2) ไม่ต้องเหนื่อย
3) กระจายความเสี่ยง เช่น เงิน1.0 ล้านบาท ถ้าเลือก 4 กองทุน จะได้ ทำเลที่ต่าง เป็นการกระจายความเสี่ยง เป็นต้น
4) REIT สามารถซื้อขายกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง
5) ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับดี จากข้อมูล SET SMART ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6-7% ต่อปี


ลองยกตัวอย่าง REIT :
AMATAR เป็น REIT ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ และสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (ชลบุรี) และนิคมอุตสาหรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) เพื่อเก็บค่าเช่าแล้วนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน


IMPACT GROWTH โครงการอิมเพคเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ


LHSC(LH Shopping Centers Leasehold REIT) โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21

นักลงทุนที่รัก ต้องประเมินตนเองว่ารับความเสี่ยงได้ระดับใด และทําความเข้าใจลักษณะของ REIT ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน นะคะ เน้นย้ำต้องดูที่ทำเล ทำเล และ ทำเล ก่อนตัดสินใจ ชัยชนะจะเป็นของท่านโชคเฮงรับทรัพย์

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2016, 08:54:08 pm
มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่ แค่ 8 ข้อ !
-http://money.sanook.com/354439/-

-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

ใครว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่มีวันรวย เราขอค้านเลยค่ะ มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่นอน เพราะคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแม้ว่าจะมีเงินเดือนที่คงที่และไม่มากนัก แต่หากรู้จักเก็บออมและบริหารการใช้จ่ายเงินให้ดี ก็สามารถที่จะก้าวนำตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราก็มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้รวยได้มาฝากกันค่ะ


1. ออมสัก 10-30% ทุกเดือน
เมื่อเงินเดือนออก เราจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม โดยออมแค่ 10-30% พอค่ะ เช่น ได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็อาจจะแบ่งออมไว้สัก 1000-3000 บาทนั่นเอง แค่นี้ก็จะทำให้มีเงินออมเหลือใช้ในแต่ละเดือนแล้วล่ะ โดยการออมเงินนั้นเราอาจจะออมใส่กระปุกออมสินไว้หรือฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้าให้ดีฝากธนาคารจะดีกว่า เพราะจะทำให้เรามีวินัยในการเก็บเงินมากขึ้นและไม่เผลอนำเงินออกมาใช้จนหมดนั่นเอง


2. ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
บัญชีรายรับ รายจ่ายก็นับว่าสำคัญมากเลยล่ะ เพราะการจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้จะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจ่ายอะไรไปบ้างและจำเป็นมากแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าในขณะนี้เราใช้จ่ายเงินไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอเพิ่มรายจ่ายไปมากกว่านี้นั่นเอง เรียกได้ว่ารายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือที่ลดความฟุ่มเฟือยได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
อยากรวยต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะคะ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเดือนนี้จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ หรืออีก 5 เดือนจะต้องเก็บเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้เราอาจจะใช้การตั้งเป้าหมายด้วยสิ่งจูงใจบางอย่าง เช่นจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเพื่อซื้อโทรศัพท์ เพื่อไปเที่ยวหรือเพื่อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นในการเก็บออมเงินได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


4. เลือกการลงทุนสักอย่างที่เหมาะกับคุณ
ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถทำกำไรด้วยการลงทุนได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนเมื่อมีเงินพอที่จะลงทุนโดยไม่เดือดร้อนได้แล้วและจะต้องเลือกลักษณะการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองที่สุดนั่นเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง คุณควรเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนก่อนแล้วค่อยใช้เงินที่เหลือจากการเก็บออมมาลงทุนนั่นเอง

5. ทำประกันสังคมไว้สิ
หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันสังคมจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของประกัน แต่หากคิดในทิศทางที่ตรงข้ามกันจะพบว่ามันมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดมากเลยล่ะ ลองคิดดูสิว่าหากเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องใช้เงินมากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังขาดรายได้อีกด้วย แต่หากทำประกันสังคมไว้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ยังได้เงินคืนจำนวนหนึ่งเลยล่ะ


นอกจากนี้ผู้หญิงเรายังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการคลอดบุตรได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะเข้าโรงพยาบาลหรือคลอดบุตรก็ยังมีเงินให้ใช้ และไม่รบกวนเงินเก็บจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มาทำประกันสังคมกันดีกว่าค่ะ


6. ชำระบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่หลายคนก็คงมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายเงินของแต่ละคนนั่นเอง แต่หากใช้บัตรเครดิตแล้วล่ะก็จะต้องจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาด้วยนะคะ เพราะหากปล่อยให้พ้นเวลาชำระไปล่ะก็ ดอกเบี้ยจะบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับตัวเองหรอกจริงไหมคะ


7. ช้อปปิ้งให้น้อยลง
สำหรับใครที่ติดนิสัยเงินเดือนออกทีไรก็ต้องไปช้อปปิ้งทุกที ต้องเปลี่ยนนิสัยของตัวเองกันหน่อยแล้วนะคะ เพราะการช้อปปิ้งนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุหลักของความยากจนเลย ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ลดลดการช้อปลงหน่อยก็ดีเหมือนกันเนอะ จะได้มีเงินเหลือเก็บและก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้นั่นเองค่ะ


8. พยายามลดค่าใช้จ่ายลง
เงินเดือนออกทีไรก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายสักที แถมบางครั้งยังไม่มีเงินเหลือใช้อีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปในแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรวยล่ะก็ จะต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่นการช้อปปิ้งบ่อยเกินไปหรือการกินข้าวนอกบ้าน เพราะมันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้างก็ดีนะคะ


อยากรวยไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนก็ตาม เพียงแค่เราปรับการใช้จ่ายเงินใหม่และขยันเก็บออมให้มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นก็เลี่ยงซะ
แค่นี้ก็จะมีเงินเก็บได้ไม่ยากแล้วล่ะ แถมยังก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วยนะ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลองทำตามวิธีของเราดูนะคะแล้วคุณก็จะก้าวไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยล่ะ

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub

------------------------------------------


3 สุดยอด วิธีออมเงิน จากหลักพันกลายเป็นหลักล้าน!
-http://money.sanook.com/354395/-

-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็พบกับผู้คนที่รู้จักการวางแผนการใช้เงิน การลงทุนเพื่อการต่อยอดของการออมกันมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรอบข้าง หรือว่าจะเป็นเหล่าคนดัง ดารานักร้อง หรือแม้แต่กระทั่งนักการเมืองนั่นเอง


จะสังเกตได้เลยว่าเขาได้นำเงินเก็บมาเพื่อทำการต่อยอด เพิ่มมูลค่า หรือทำการออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคตนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสาเหตุต้นมาจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอน หรือว่าจะเป็นการออมเพื่อเป็นการลงทุน หรือทำกิจการเพื่อที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่อนาคตวันข้างหน้าจะได้มีเงินทุนสำรองเพื่อที่จะใช้จ่ายกันนั่นเอง
จะดีแค่ไหนหากเรามีเงินใช้จ่ายแบบสบายๆ มีเงินในบัญชีเยอะแยะ วิธีออมเงิน จากหลักพันให้เป็นหลักล้านทำอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่เงินหลักพันจะกลายเป็นหลักล้านด้วยวิธีการเพียงแค่ 3 วิธี


ทุกข้อสงสัย การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เรามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นหลักประกันในการใช้จ่ายในอนาคต และยังเป็นวิธีที่จะทำให้เงินของเรางอกเงย ได้อีกด้วย จากการที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่ลองคิดดูว่ากว่าที่เงินเราจะงอกเงยได้ถึงจุดที่เรียกได้ว่า มั่งคั่ง ก็ต้องใช้เวลานาน หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการหวังผลตอบแทนจากการฝากเงิน ถ้าเราไม่ได้มีเงินได้มากขนาดตัวเลขถึงหลักล้านขึ้นไป


แล้วเราจะมี วิธีออมเงิน อย่างไรให้ได้รับผลประโยชน์สูงที่สุด ในกรณีเรามีเงินอยู่ในมือเพียงแค่หลักพันบาท เกี่ยวกับการออมเงินจากหลักพันสู่หลักล้าน งั้นเราไปพบกับ 3 วิธีการออมเงินจากหลักพันให้เป็นหลักล้านกันเลย


ออมเงินก่อนใช้
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าใด สิ่งแรกที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะหากใช้เงินแล้วค่อยออม รับรองว่าส่วนใหญ่จะใช้จนหมด ไม่เหลือออมแน่นอน ฉะนั้นเมื่อได้เงินเดือนควรเก็บเป็นเงินออมเสียก่อน เหลือเท่าไรค่อยใช้เท่านั้น แบ่งเก็บแบ่งไว้ใช้ให้ชัดเจน


ออม 1 ใน 4 ของเงินได้
สิ่งที่ต้องทำคือควรออมเงินอย่างน้อย 1 ใน 4 ของเงินเดือน หากทำงานไปสักระยะเงินเดือนสูงขึ้น สัดส่วนการออมก็ต้องสูงขึ้นตามด้วย นอกจากการออมเงินด้วยการฝากธนาคารคุณอาจออมเงินในรูปแบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดทำเลดีที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท


ออมพร้อมการลงทุน
การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับข้อดี จะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร และไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีข้อเสีย ดังนี้หากต้องการใช้เงิน ไม่สามารถถอนเงินได้ทันที จะต้องขายหน่วยลงทุนก่อนได้เงินในวันรุ่งขึ้น และกำหนดจำนวนเงินชั้นต่ำในการซื้อกองทุน เงินที่ได้รับคือ ราคา NAV (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนของวันนั้น)
การฝากบัญชี ข้อดีคือฝาก-ถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่มีชั้นต่ำในการฝากเงิน ข้อเสียคือดอกเบี้ยไม่สูง และต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยมากกว่าปีละ 20,000 บาท ที่มาของดอกผลจากการลงทุน... ปีละ 3-3.5%


เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบไม่ปันผล มีความเสี่ยง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ปีละ 5-7% เลือกกองทุนในกองทุนอลังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ


• แบบ Lease Hold ลงทุนแบบเซ้งระยะยาว 30 ปี ผลตอบแทนระยะแรกสูง แต่ราคาจะตกลงเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย
• แบบ Free Hold ลงทุนแบบซื้อขาด ผลตอบแทนระยะแรกไม่ค่อยสูง แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย เพราะราคาที่ดินปรับขึ้นทุกป ปีละ 18-20%


เลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน (กองทุนหุ้น) มีความเสี่ยง 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลตอบแทนสูง"ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว ยิ่งสบายเร็ว"


นอกจากรู้วิธีการออมเงินแล้วควรมีวินัยในการออมเป็นระบบทำให้เราเห็นภาพของเม็ดเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น


ยิ่งถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ และให้ความสำคัญเฉพาะรายจ่ายที่จำเป็นและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะยิ่งทำให้เรามีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมากขึ้นและขยับเข้าใกล้คำว่า มั่งคั่ง ได้เร็วขึ้นนะคะ


ควรรู้จักการประหยัดอดออมเพราะจะทำให้เรารู้ค่าของเงินมากขึ้น ถ้าเราเพิ่มทางเลือกในการออมให้หลากหลายเพื่อให้เงินของเรางอกเงยเป็นหลายแสนหลายล้าน ลองนำไปปรับใช้กับการออมในชีวิตประจำวัน แล้วจะรู้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดอีกต่อไป


การออมเงิน หรือการเก็บเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้านี้จะสามารถทำให้เรามีความมั่นใจ และความมั่นคงทางระบบการเงินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณได้ใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง ดำเนินชีวิตอยู่บนความหวาดระแวง หรือไม่มีความมั่นคงทางการเงินเสียแล้ว ชีวิตคุณจะเกิดความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเท่านั้น และบอกได้เลยว่าเมื่อถึงเวลา หรือเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงๆคุณจะเกิดความเครียดจนเดินไม่ถูกเลยนั่นเอง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คุณได้ริเริ่มทำการออมวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สายเอาเสียเลยนั่นเองค่ะ

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: tanawatwt ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2016, 12:32:46 am
แจกเว็บไซต์อัพเดทดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นตารางเปรียบเทียบทุกธนาคารครับ


มีบอกทั้งดอกเบี้ย ระยะเวลาฝาก เงื่อนไขต่างๆเลยครับ สะดวกมาก ^^



iMOney.in.th (http://imoney.in.th/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sonchai ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2016, 01:04:31 am
จริงๆมองว่าเงินทองต่อให้มีเยอะแค่ไหน ถ้าคุณไม่รู้จักใช้ซักวันก็จะหมดไป



บ้านภูเก็ต (http://www.kd.co.th/)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2016, 10:54:35 pm
ถ้าแต่งบัญชี  คนที่ดูเป็น ดูยังไงก็รู้

แต่ถ้าเป็นการเดินบัญชีจากข้อเท็จจริง นั่นเป็นสิ่งที่ดี


------------------------------------

เทคนิคการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ให้ดูดี
-http://money.sanook.com/363379/-


-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารดูจะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าของบัญชีต้องการทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่าง ที่เด่นชัดก็คือการขอสินเชื่อกู้ยืมเงินจากธนาคาร การสมัครเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อซื้อ-ขายหุ้น ที่จำเป็นต้องมีการพิจารณาการเดินบัญชีเพราะว่าผู้ให้บริการต้องการความมั่นใจว่า ผู้จะกู้นั้นมีความสามารถหรือมีความน่าจะสามารถในการชำระหนี้ได้ ผู้ที่ต้องการวางแผนไปยังอนาคตจึงควรรู้ถึงความสำคัญของการเดินบัญชีธนาคารซึ่งคงไม่สามารถปรับแต่งกันได้ในระยะสั้น ถ้าขาดความเข้าใจหรือแก่นแท้ของการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement)

รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร มีความสำคัญอย่างไร

การเดินบัญชีธนาคารเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของกระแสเงินสดของเจ้าของบัญชีธนาคารนั้น มีการบันทึกวันเดือนปีของธุรกรรมทางการเงิน รายการจำนวนเงินฝาก ถอนและโอน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถตกแต่งเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่จะให้กู้เงิน เช่น ธนาคาร มีสิทธิ์ขอเอกสารการเดินบัญชีธนาคารจากผู้ที่ต้องการกู้เงิน เอกสารการเดินบัญชีธนาคารจึงมีความสำคัญในแง่ของหลักฐานที่ช่วยยืนยันสถานะทางการเงินของบุคคล


ทำไมธนาคารจึงต้องการพิจารณารายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

ธนาคารหรือผู้ให้กู้เงินมีภาระความเสี่ยงหลังจากอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองทางคือเป็นหนี้ที่ดีและหนี้เสีย หนี้เสียคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กับธนาคารและอาจจะไม่สามารถติดตามเงินต้นคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ธนาคารจึงต้องมีความรอบคอบและต้องการความมั่นใจก่อนการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่แสดงหลักฐานการหมุนเวียนเงินเข้าออกบัญชีของเจ้าของบัญชี โดยธนาคารเองก็มีหลักการวิเคราะห์รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร ทั้งจำนวนเงินที่ฝากเข้าและถอนออก ความสม่ำเสมอ พฤติกรรมการถอนเงิน ยอดเงินคงเหลือ และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ

ทำไมบริษัทโบรกเกอร์ต้องการรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

การเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อจะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ก็จำเป็นต้องใช้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเช่นกัน ซึ่งก็มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดแตกต่างกัน ถ้าเป็นบัญชีแบบ Cash Balance หรือใช้ตามจำนวนเงินจริงที่มีการฝากไว้กับโบรกเกอร์ก็เข้มงวดน้อยกว่าบัญชีแบบ Credit Balance ที่มีการกู้ยืมเงินส่วนหนึ่งหรือยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ โบรกเกอร์จะพิจารณา Bank Statement เพื่อดูศักยภาพของผู้ขอเปิดบัญชี ถ้ามีความเหมาะสมจึงจะอนุมัติการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้


รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรเป็นอย่างไร

การเดินบัญชีธนาคารนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมากธนาคารหรือบริษัท จะขอแบบย้อนหลัง 6 เดือน เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และพิจารณาหลายเดือนติดต่อกัน เพื่อดูความสม่ำเสมอและรูปแบบหรือแพทเทิร์นในลักษณะซ้ำ ๆ กันเพื่อเปรียบเทียบ รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรมีเงินฝากเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เช่น บัญชีที่ใช้รับเงินเดือน เงินโอนจากค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ

นอกจากเงินฝากแล้ว การโอนเงินและถอนเงินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีการพิจารณา อย่างน้อยต้องถอนให้น้อยกว่าเงินที่เข้ามาในแต่ละเดือน จำนวนเงินและจำนวนครั้งที่ถอน จะถูกนำไปพิจารณาถึงพฤติกรรมการใช้เงิน ที่สำคัญควรมีเงินคงเหลือแต่ละเดือนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เช่น ปลายเดือนมกราคมเหลือเงินสะสม 25,000 บาท ต่อมาปลายเดือนกุมภาพันธ์เหลือเงินสะสม 27,000 บาท เดือนมีนาคมเหลือเงินสะสม 30,000 บาท ก็เข้าลักษณะว่าเป็นการใช้เงินที่น้อยกว่ารายจ่าย

บุคคลสามารถตกแต่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารได้หรือไม่

เนื่องจากรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งที่บันทึกธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านไปแล้ว บุคคลจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ถ้ามีการปลอมแปลงเอกสารการเดินบัญชีธนาคารก็เป็นเรื่องที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่บุคคลสามารถสร้างการเดินบัญชีธนาคารในอนาคตได้ โดยการตั้งเป้าหมาย เช่น คาดว่าจะขอกู้เงินจากธนาคารเดือนมกราคมปีหน้า ก็ต้องเริ่มฝากเงิน-ถอนเงินอย่างเป็นระบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีนี้ โดยระมัดระวังการถอนเงินแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือโอนเงินเล่นข้ามบัญชีตัวเองเพื่อเติมเต็มหน่วยจุดทศนิยม เช่น 0.23 บาท ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องผิดสังเกตที่ธนาคารจะดูอย่างละเอียด


ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

จริงอยู่ที่บุคคลสามารถสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารของตนเองได้ในรอบระยะเวลา 6 เดือนล่วงหน้าก่อนยื่นเรื่องขอกู้เงินธนาคาร เช่น การยืมเงินสดจากคนใกล้ชิดมาเข้าบัญชีและถอนออก ฝากเข้าหมุนเวียนกันไป แต่จะไม่มีประโยชน์เลยในระยะยาวเพราะว่ากำลังหลอกตัวเอง รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารควรจะมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเป็นไปตามพฤติกรรมของตนเองอย่างแท้จริง

การพยายามสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่สวยหรูเป็นเพียงเปลือกนอกและไม่เกิดประโยชน์ภายใน ควรจะปรับปรุงพฤติกรรมการใช้เงินที่แท้จริงของตนเองมากกว่า เช่น ทำงานที่มีรายได้สม่ำเสมอและวางแผนการใช้เงิน คุณควรจะรู้ว่าจะเหลือเงินเท่าใด ใช้จ่ายเงินเท่าใด เช่น รู้ว่าต้องใช้จ่ายเดือนละ 30,000 เมื่อเดือนนั้นมีเงินรายรับ 50,000 คุณก็อาจจะวางแผนการถอนเงิน 2-3 ครั้งต่อเดือน เช่น ครั้งละ 10,000 หรือ 15,000 บาท เป็นต้น

และลดการถอนเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าคุณขาดการวางแผนใช้จ่ายเงิน แต่ต้องไม่เป็นการออกแบบมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ

การใช้เงินอย่างมีแบบแผนทั้งการจัดการรายรับและวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง จะทำให้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยมีกรอบกว้าง ๆ กำหนดไว้ก็เพียงพอ เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การออกแบบ Bank Statement แต่เป็นการออกแบบวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณเองต่างหาก ซึ่งถ้าทำได้ดีก็จะเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวต่อไป

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2016, 10:58:26 pm
งบการเงินส่วนตัว วางแผนชีวิตของคุณวันนี้
-http://money.sanook.com/368057/-

การทำงบการใช้จ่ายอาจจะดูเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเราทุกคนนะคะ จะให้มานั่งแยกประเภทว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็เยอะเกิน ไหนจะค่าเช่า ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินลงทุน ค่าการศึกษา ค่าเอ็นเตอร์เทน ค่าอาหาร ค่าโน่นนี่นั่นอีกเยอะไปหมด ไหนจะต้องมาแบ่งเป็นประเภทย่อยลงไปอีก สรุป คนทำงงเอง จริงมั้ยคะ

นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายแต่ละประเภท ก็ใช่ว่าจะเท่ากันทุกเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังไงก็ไม่เท่ากันทุกเดือน ค่าซื้อของเข้าบ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน บางเดือนน้อย บางเดือนเยอะไม่เท่ากัน แล้วจะทำงบยังไง ว่าเดือนนึงเราต้องใช้เท่าไหร่ ต้องกันเงินไว้เท่าไหร่ถึงจะพอ แล้วแต่ละเดือนก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมานั่งทำงบประมาณรายเดือนอีกด้วย เรามาดูกันค่ะ ว่าการจัดทำงบประมาณนั้นมี่ความสำคัญอย่างไร

การจัดทำงบประมาณ หรือ budget คือ งบประมาณส่วนบุคคล คือ การวางแผนการประมาณรายได้ รายจ่ายล่วงหน้า เพื่อทำการจัดสรรเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยมีการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ วิธีการจัดหมวดหมู่ของรายจ่าย และมีการตรวจสอบควบคุมรายจ่ายโดยจัดสรรเป็นงบประมาณตามเหมาะสมได้

การทำงบประมาณการเงินส่วนบุคคล เพื่อวางแผนจัดสรรเงินที่เรามีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ ทำให้เราสามารถมีเงินใช้จ่าย มีเงินเก็บออม มีเงินลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านการเงินในอนาคตของเรา และครอบครัวต่อไป

ทำงบการเงินส่วนบุคคล ใครว่าต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก

วันนี้เรามาดูวิธีการจัดการงบการเงินส่วนตัว แบบที่ หนี้ก็จ่ายครบ เงินก็มีใช้ กันดีกว่าค่ะ วิธีคิดง่ายๆ คือการวางงบแบบ 50/30/10/10 เป็นวิธีการแบ่งเงินเดือนออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็จะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เราสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่ขาดมือนั่นเองค่ะ

วิธีการจัดการด้านการเงินแบบนี้ทั้งยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย แต่ช่วยทำให้คุณมีเป้าหมายด้านการเงินชัดเจน และไม่หลุดออกนอกวงโคจรค่ะ มาดูวิธีการกันเลยค่ะ

1. 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
เราทุกคนต่างก็รอวันนั้นของเดือนจริงมั้ยคะ วันเงินเดือนออก การแบ่งเงินก้อนแรกง่ายๆ คือการนำยอดเงินเดือน หลังหักภาษี หลังหักเงินส่งกองทุนเลี้ยงชีพ (เพราะบางบริษัทมีบริการนี้ให้พนักงาน) มาหารสองค่ะ

ตัวอย่าง
เงินเดือน 20,000 หลังหักประกันสังคม 4% (20000*4/100=800) เหลือ 20000-800 = 19,200 บาท
ยกยอด 19,200 บาท แบ่งครึ่ง ได้แก่ 19200/2 = 9,600 บาท

พอได้อย่างนี้แล้ว ก็ให้นำเงินจำนวนนี้ที่เราแบ่งไว้สำหรับจ่ายค่าเช่า ค่าเดินทาง ค่าอาหารที่ใช้จ่ายรายเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ที่เป็นรายจ่ายรายเดือนของเราทั้งหมดค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ สูตรการทำงบประมาณแบบนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจำเป็นนะคะ เรามาดูส่วนต่อไปกันก่อนค่ะ

2. 30% เพื่อการปลดหนี้
สิ่งต่อมาที่จะต้องคิดหลังจากได้เงินเดือนอีกอย่างก็คือ ฉันจะต้องจ่ายหนี้ใครบ้าง ถูกมั้ยคะ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่คุณจะนำมาจ่ายหนี้นั่นเองค่ะ

ตัวอย่าง
30% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*30/100 = 5,760 บาท

เงินจำนวนนี้เป็นส่วนที่เราจะต้องนำไปใช้จ่ายค่าหนี้บัตรเครดิต ค่าหวยป้าปากซอย ฯลฯ

3. 10% เพื่อการออม
จะลืมการเตรียมการเพื่ออนาคตของเราไม่ได้ค่ะ การวางแผนเผื่ออนาคตเป็นสิ่งสำคัญนะคะ ดังนั้นเราก็จำเป็นจะต้องมีเงินส่วนหนึ่งที่เรากันไว้เพื่อเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตของเราด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเพื่อทริปต่างประเทศที่เราฝันไว้ เก็บเงินซื้อรถ เก็บเงินเพื่อออมหรือลงทุนกินดอกเบี้ยก็รวมอยู่ในส่วนนี้ค่ะ

โดยเราสามารถแบ่งย่อยเงินส่วนนี้ออกเป็นหลายๆ กระปุกได้ อาจจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งฝากบัญชีเพื่อการออม อีกส่วนอาจจะนำไปลงทุนแบบ DCA อีกส่วนอาจจะเก็บเพื่อทริปในฝันของเรา เป็นต้นค่ะ

ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท
แบ่งเป็น 3 ส่วนเพื่อแยกเก็บตามจุดประสงค์ 1,920/3 = 640 บาท

4. 10% เพื่อให้รางวัลตัวเอง
เงินก้อนนี้ตามชื่อเลยค่ะ เอาไว้ให้รางวัลตัวเอง งบไปกินจิ้มจุ่ม เก็บเงินซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ต้องการ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อกระเป๋า ซื้อของให้ตัวเอง หรือค่ากินค่าเที่ยวก็อยู่ในจำนวนนี้ค่ะ ทำงานหนักมาทั้งเดือน จะไม่ให้รางวัลตัวเองหน่อย ก็เดี๋ยวจะหมดกำลังใจกันซะก่อนนะคะ

ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท

สิ่งสำคัญคือ ระบบการจัดสรรปันส่วนรายได้แบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวค่ะ คุณสามารถจัดแบ่งปรับเปลี่ยนได้ตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

หากคุณมีหนี้เยอะ แทนที่จะแบ่ง 30% เพื่อใช้หนี้ก็อาจจะแบ่งเยอะหน่อยเพื่อนำไปปลดหนี้ก็ได้เหมือนกัน เราอาจจะเปลี่ยนสูตรเป็น 50/40/5/5 แทนเพราะว่าเราต้องการจะใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ

ตัวอย่าง
สูตร 50/40/5/5

แบ่งเงิน 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
แบ่ง 40% สำหรับการใช้หนี้ เงิน
เก็บออมลงทุนอาจจะลดเหลือ 5%
แล้วส่วนให้รางวัลตัวเองลดเหลือ 5%

เห็นมั้ยคะว่าการใช้สูตรนี้ยืดหยุ่นแค่ไหน การทำงบการเงินเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำนะคะ แต่ว่ามันไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอไปค่ะ ลองนำสูตรดังกล่าวไปปรับใช้งานดูกับชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ

 
MASii
สนับสนุนข้อมูล
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2016, 09:48:24 pm
หักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว จะต้องยื่นคำนวณภาษีอีกไหม
-http://money.kapook.com/view143840.html-

 จัดการกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย อย่างรายได้ เงินปันผลกองทุนรวม และเงินปันผลหุ้นสามัญอย่างถูกวิธี จะช่วยให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างคุ้มค่า

          ช่วงเดือนมีนาคมน่าจะเป็นเวลาที่หลายคนกำลังรวบรวมเอกสารต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งปัญหาที่มักพบบ่อย ๆ คือ คนที่มีรายได้อื่นนอกจากเงินเดือนแต่ไม่ได้ยื่นแสดงรายได้ดังกล่าวด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น ไม่รู้ว่าต้องนำมารวมในแบบประเมิน หรือคิดว่าหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว แปลว่าเราหมดภาระภาษีแล้ว หรือจงใจเลี่ยงไม่แสดงรายได้เพราะคิดว่าทางการไม่น่าจะตรวจเจอ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็วจะทำให้เกิดการลงโทษคือ มีเบี้ยปรับตามมา แล้วเราจะจัดการกับภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายไปแล้วอย่างไร K-Expert มีคำแนะนำในเรื่องนี้มาฝากค่ะ

          ในทางกฎหมาย "ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าไม่ผิด" เพราะการจะแยกระหว่างคนที่ไม่รู้แล้วไม่ได้ยื่นภาษีออกจากคนที่รู้แต่จงใจไม่ยื่นภาษีนั้นทำได้ยาก จึงเป็นหน้าที่ของผู้ยื่นแบบประเมินที่จะต้องทำความเข้าใจเพื่อให้สามารถยื่นภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนค่ะ

          หลายคนมีรายได้เสริม เช่น เป็นวิทยากรในงานสัมมนา เป็นอาจารย์รับเชิญสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิช่วยออกข้อสอบ เป็นต้น เงินที่ได้มาจากงานเหล่านี้ถือเป็นเงินได้ประเภท 40 (2) คือมาจากการรับจ้างที่จะได้เงินเมื่อทำงานเสร็จสิ้น เวลาได้เงินมานั้นผู้ว่าจ้างจะทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายนำส่งกรมสรรพากร 3% ของเงินได้

          สำหรับคนที่รับงานในลักษณะที่เข้าข่ายนักแสดงสาธารณะ เช่น ถ่ายโฆษณา เล่นละคร แสดงตลก ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% ของเงินได้

          ผู้มีเงินได้อย่างเรา ๆ มักคิดไปเองว่า ผู้ว่าจ้างได้ "จ่ายภาษีแทน" ให้เรียบร้อยแล้ว แต่การหักภาษี ณ ที่จ่ายเหล่านี้เป็นเพียงการนำส่งภาษีบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นผู้มีเงินได้ยังคงต้องนำไปรวมคำนวณกับเงินได้ประเภทอื่น ๆ ของตัวเองเพื่อยื่นภาษีอีกครั้ง

หลายคนมักถามว่าแล้วกรมสรรพากรจะรู้ได้อย่างไร กรมสรรพากรรู้ค่ะ เพราะตอนผู้ว่าจ้างทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้นต้องมีการระบุว่ารายได้นี้จ่ายให้ใคร โดยบันทึกข้อมูลเลขที่บัตรประชาชนของผู้รับเงินไว้ด้วย ซึ่งข้อมูลนี้อยู่ในระบบเรียบร้อยแล้ว ใครที่คิดว่าตัวเองยื่นภาษีพลาดไปก็ขอให้ไปแจ้งสำนักงานสรรพากรพื้นที่เพื่อคำนวณภาษีใหม่จะดีกว่าค่ะ

          ส่วนคนที่ได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมเวลาที่เราไปเปิดบัญชีกองทุนรวมนั้นจะมีช่องให้เลือกว่าจะยินยอมให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไว้หรือไม่ หลายคนมักเลือกไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย แต่การทำแบบนี้จะทำให้เกิดภาระความรับผิดชอบตามมาโดยผู้มีเงินได้ต้องนำเงินปันผลจากกองทุนรวมมายื่นเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษีด้วย และที่สำคัญกว่านั้นผู้ที่เลือกยินยอมบ้าง ไม่ยินยอมบ้าง ต้องยื่นแสดงเงินปันผลของกองทุนรวมอื่น ๆ ทุกรายการ แม้ว่าบางกองทุนจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้วก็ตามค่ะ

          สำหรับคนที่คาดว่าจะมีรายได้ในฐานภาษีตั้งแต่ 15% ขึ้นไป แนะนำให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และต้องหักสำหรับทุกกองทุนรวมด้วยเพราะการหักภาษี ณ ที่จ่ายในกรณีของเงินปันผลกองทุนรวมนั้นถือเป็นภาษีสุดท้ายคือ "จ่ายแล้วจบ" ไม่ต้องนำมารวมคำนวณในฐานภาษีของเราทำให้เกิดประโยชน์ทางภาษีมากกว่าค่ะ

          การลืมแสดงรายการเงินได้สองประเภทที่ได้กล่าวข้างต้นนั้นจะส่งผลให้เกิดการตีความว่ามีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงภาษีและทำให้เกิดเบี้ยปรับตามมา อย่างไรก็ดี มีเงินได้อีกประเภทหนึ่งที่เรามักลืมนำมาแสดง ทำให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่คุ้มเงินได้นั้นก็คือ "เงินปันผลหุ้นสามัญ" ค่ะ

          เงินปันผลที่เราได้รับจากหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และถือเป็นภาษีสุดท้ายเช่นกัน แต่การละเลยไม่นำเงินปันผลจากหุ้นมารวมคำนวณนี้อาจทำให้พลาดโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จาก "เครดิตภาษีเงินปันผล" เพราะเงินปันผลที่เราได้รับมานั้นเป็นกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่หักภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว หากนำเงินก้อนเดียวกันที่เคยถูกหักภาษีไปแล้วมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดาอีกจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการเสียภาษี กรมสรรพากรจึงกำหนดเรื่องเครดิตภาษีเงินปันผลขึ้นมาเพื่อขจัดความซ้ำซ้อนนี้ และทำให้เราเสียภาษีตามความเป็นจริงค่ะ

          เห็นไหมคะว่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายมีความสำคัญต่อการวางแผนภาษีไม่น้อยเลย อย่าลืมศึกษารายละเอียดให้เข้าใจและยื่นภาษีให้ถูกต้องกันด้วยนะคะ

K-Expert Action

          - เลือกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลกองทุนรวม สำหรับผู้ที่มีฐานภาษีตั้งแต่ 15% ขึ้นไป
          - ขอเครดิตภาษีเงินปันผลจากหุ้นสามัญเพื่อไม่ให้เสียภาษีซ้ำซ้อน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://k-expert.askkbank.com/Pages/K-ExpertHome.aspx-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2016, 06:14:15 am
สินเชื่อส่วนบุคคล กับ สินเชื่อบัตรกดเงินสด คิดให้ดีเลือกให้ถูก
-http://money.sanook.com/370095/-


-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

แน่นอนว่าหลายคนคงไม่อยากเป็นหนี้ เป็นสิน กัน แต่ถ้ามีความจำเป็นกันจะทำยังไงดี แต่นะว่าจำเป็น ถ้าต้องเป็นหนี้เพื่อไปท่องเที่ยว เพื่อให้มีรูปถ่ายมาอวดคนอื่นๆ บนหน้าเฟสว่าฉันก็ไปมาแล้วนะที่นี้ ขอย้ำว่าอย่าทำดีกว่า หรือจะเป็นหนี้เพื่อให้เพื่อนเห็นว่าฉันนี้แบรนด์เนมนะจ๊ะ ก็จะย้ำเน้นๆ อีกว่าหยุดคิดไปได้เลย...เป็นหนี้เพื่อความจำเป็นดีกว่า เช่น ต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องจ่ายค่าเทอมให้ลูก หรือต้องซ่อมรถถ้าไม่ซ่อมไม่มีทำงานแน่ หรือจะเป็นต้องซ่อมบ้าน ถ้าไม่ทำน้ำรั่วเข้าบ้านของในบ้านพังอีกต่างหาก

โดยสินเชื่อด่วนด่วนแบบนี้ก็มีให้เลือก 2 แบบ คือ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือจะเป็นสินเชื่อบัตรกดเงินสด ที่ว่าด่วนก็คือ แต่ละธนาคารจะใช้เอกสารและเวลาในการพิจารณาอนุมัติไม่มาก 3-5 วันก็รู้ผลแล้ว แต่ดอกเบี้ยของสินเชื่อทั้ง 2 ตัวนี้ก็แพงอยู่ ประมาณ 28% ต่อปี แต่เวลาทีเซลล์โทรมาขายจะบอกเราแค่ว่า 2% ต่อเดือน ซึ่งทำให้หลายคนติดกับดักมาแล้ว

ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเงินสด คือ สินเชื่อที่ธนาคารให้เราเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว จะใช้อะไรก็ได้ ธนาคารจะไม่มาตรวจสอบเราเหมือนกับเวลาเรากู้ซื้อบ้านหรือรถยนต์ที่จะต้องให้เห็นว่าซื้อบ้านจริง ซื้อรถยนต์จริง ทีนี้พอได้เงินก้อนมาก็สนุกละซิเรา ไม่มีใครมาบังคับว่าจะเอาเงินไปทำอะไรบ้าง ก็กลายเป็นว่าเอาไปใช้แบบไม่คิด แต่เวลาจ่ายคืนนี่ซิคิดหนักจนแทบเป็นบ้ากันเลยทีเดียว

เรามาดูที่สินเชื่อส่วนบุคคลกันก่อนดีกว่า สินเชื่อส่วนบุคคล คือ เมื่อธนาคารพิจารณาอนุมัติวงเงินให้เราแล้ว ธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับเรามาหนึ่งก้อน เราจะเอาไปทำอะไรก็ได้ จ่ายค่าเทอมลูก ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน หรือจะเอาไปปลดหนี้บัตรเครดิต ก็ได้แต่ต้องห้ามใช้เงินจากบัตรเครดิตอีก ไม่งั้นก็จะเป็นงูกินหางไปเรื่อยๆ เวลาจ่ายคืนก็จะต้องจ่ายคืนให้ธนาคารเป็นงวดๆ เช่น 12 เดือน 24 เดือนหรือสูงสุดอาจจะเป็น 84 เดือนกันเลยทีเดียว และแต่ละงวดก็จะจ่ายเงินที่เท่ากันทุกงวด แต่บางธนาคารก็ใจดีหากเรามีเงินมาจ่ายเพิ่มในแต่ละงวดก็จะไปตัดเงินต้นให้เราทันที ก็จะช่วยให้เราประหยัดดอกเบี้ยได้

ส่วนสินเชื่อบัตรกดเงินสด ก็คือ เมื่อธนาคารอนุมัติวงเงินให้เราแล้ว เราจะได้มาเป็นบัตร 1 ใบ พร้อมกับรหัสกดเงินเหมือนกับบัตรเอทีเอ็ม ที่เราสามารถกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารไหนก็ได้ เมื่อกดเงินเอาเงินออกมาเราถึงจะถูกคิดดอกเบี้ย และเมื่อนำเงินไปคืนทั้งจำนวนก็จะถูกคิดดอกเบี้ยด้วยจำนวนเงินที่กดออกมาและจำนวนวันที่เอาเงินออกมาด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากเราจ่ายคืนด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ ส่วนที่เหลือก็จะถูกคิดดอกเบี้ยต่อไป แต่ไม่ใช่ลดต้นลดดอกเหมือนกับสินเชื่อส่วนบุคคล แต่เราจะถูกคิดดอกเบี้ยด้วยจำนวนเงินก้อนแรกที่กดเงินออกมา เช่น กดมา 10,000 บาท จ่ายคืนเพียง 1,000 บาท เราก็จะถูกคิดดอกเบี้ยที่ 10,000 บาทไปตลอดจนกว่าจะจ่ายคืนหมด

ทีนี้ก่อนที่จะเป็นหนี้สินอะไรสักอย่างก็ต้องคิดกันให้ดีว่าเป็นหนี้แล้ว เอาใช้เรื่องจำเป็นจริงๆ ใช่หรือเปล่า เพราะถ้าไม่ใช่ก็ต้องคิดให้ดีๆ เพราะดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายสำหรับสินเชื่อทั้ง 2 อย่างนี้ ประมาณ 10 เท่าของดอกเบี้ยเงินฝากกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนจะเป็นหนี้ต้องท่องไว้ว่า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ ไม่มีก็ไม่ต้องซื้อ ไม่มีก็ไม่ต้องเที่ยว ใช้ของที่มีอยู่ก่อน นอนอยู่บ้านชิวๆ ดีกว่า จำไว้ให้ขึ้นใจ ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้ ที่เหลือก็แบ่งไปเก็บ พอมีแล้วก็ค่อยซื้อ ค่อยเที่ยว จะได้ไม่ทุกข์กันทีหลัง
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 19, 2016, 10:03:04 pm
ครม.ไฟเขียวปรับภาษีเงินได้บุคคลฯ เริ่มหัก ณ ที่จ่ายปี′60-ขุนคลังยันไม่ขึ้น VAT
-http://money.sanook.com/375947/-


ประชาชาติธุรกิจ สนับสนุนเนื้อหา


ครม.ไฟเขียวปรับภาษีเงินได้บุคคลฯ เริ่มหัก ณ ที่จ่ายปี′60 แลกรัฐสูญรายได้ 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี หวังเพิ่มจับจ่ายดันเก็บ VAT ได้เพิ่มขึ้นทดแทน "อภิศักดิ์" ยันยังไม่ปรับขึ้น VAT ช่วงปี 2559 นี้ ชี้รอเศรษฐกิจโลกฟื้น-รัฐต้องการงบฯเพิ่ม

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (19 เม.ย.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ หลังจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อนได้เห็นชอบคงอัตราจัดเก็บภาษีนิติบุคคลไว้ที่ 20% ไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้อัตราภาษีที่แท้จริง (effective rate) ออกมาใกล้เคียงกัน โดยหลักใหญ่ ๆ จะปรับอยู่ 3 เรื่อง คือ 1) การหักค่าใช้จ่าย 2) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ และ 3) ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยให้มีผลในการหักภาษี ณ ที่จ่ายตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป (เริ่มยื่นแบบฯ ต้นปี 2561)

สำหรับรายละเอียดการปรับปรุงทั้ง 3 เรื่อง ประกอบด้วย

1) ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ(2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าแห่งลิขสิทธิ์โดยให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของค่าแห่งลิขสิทธิ์แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าวแต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้

2) ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อน ดังนี้

(1) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท

(2) ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท

(3) ค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท และจำกัดจำนวนไม่เกิน 3 คน เป็นคนละ 30,000 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร (จากเดิมที่ให้หักลดหย่อน 2,000 บาท/คน)

(4) ในกรณีที่คู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท

(5) กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท และ

(6) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท

และ 3) ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ดูตาราง)

ดูรูป

"การปรับปรุงขั้นเงินได้ และอัตราภาษีเที่ยวนี้ยังเหมือนกับในพระราชกฤษฎีกาครั้งที่แล้ว คือมี 7 ขั้นอัตรา แต่เฉพาะเรตที่เก็บ 35% เดิมจะเก็บจากที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,001 บาทขึ้นไป จะเปลี่ยนเป็นต้องเสียเมื่อรายได้ 5,000,001 บาทขึ้นไป ดังนั้นคนมีเงินได้ 4,000,001-5,000,000 บาท จะเสียที่ 30% คือได้ลดลงมา ซึ่งคนกลุ่มนี้มีแค่ราว 20,000 คน จากผู้เสียภาษีทั้งสิ้น 10.3 ล้านคน" นายอภิศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ดังนี้

(1) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว

- หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท

- หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท

(2) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน

- หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

- หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท

(3) กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

และ (4) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

"ถามว่าทำไมเราปรับสูตรนี้ ก็เพราะว่า ถ้าเราดูภาษีนิติบุคคล 20% เมื่อรวมกับเงินปันผลอีก 10% จะมีเอฟเฟ็กต์ทีฟเรตที่ 28% ฉะนั้นการปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามสูตรที่ว่านี้ เมื่อคำนวณเฉลี่ยออกมา เอฟเฟ็กต์ทีฟเรตจะอยู่ที่ 29% ซึ่งใกล้เคียงกัน จากของเดิมที่อัตราต่างกันมาก คนรายได้สูงจะไปตั้งบริษัท เพื่อจะได้เสียภาษีน้อย แต่อันนี้การเสียภาษีน้อยก็จะไม่เกิด" นายอภิศักดิ์กล่าว

รมว.คลัง กล่าวว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้มีเงินได้โดยผู้เสียภาษีที่มีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนและหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น จะเริ่มเสียภาษีเมื่อมีเงินได้ 26,000 บาทต่อเดือน

ขณะที่คาดว่าการปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปราว 32,000 ล้านบาทต่อปี แต่หวังว่าจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้มากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วน 41% ของรายได้ภาษีทุกประเภท

"สิ่งที่เราหวัง คือเงินรายได้ภาษีที่หายไปนี้ จะกลับไปสู่ประชาชน แล้วกลับไปหมุน ทำให้เกิดรายจ่ายที่มากขึ้น พอเขาใช้จ่ายเราก็จะได้ VAT ซึ่งปกติภาษีบุคคลฯ มีสัดส่วนประมาณ 17% ภาษีนิติบุคคล 32% VAT 41% ภาษีธุรกิจเฉพาะประมาณ 3% ภาษีปิโตรเลียมประมาณ 5% และอื่น ๆ ที่เหลือ ก็หวังว่าเมื่อลดในส่วน 17% ก็จะไปเพิ่ม VAT ให้มากขึ้นกว่า 41%" รมว.คลังกล่าว

นอกจากนี้ รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลจะยังไม่มีการปรับขึ้นภาษี VAT ในช่วงปี 2559 นี้ เพราะยังจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภาครัฐ และจะกลับมาพิจารณาว่าจะปรับขึ้น VAT หรือไม่อีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวได้ดี และเมื่อรัฐไม่มีงบประมาณเพียงพอต่อความต้องการลงทุนเพิ่ม
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2016, 10:25:47 pm
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับใหม่ ดูชัด ๆ เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไรถึงต้องเสียภาษี
-http://money.kapook.com/view146748.html-

 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับโครงสร้างครั้งนี้ช่วยเสียภาษีน้อยลง แต่มนุษย์เงินเดือนจะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนเท่าไรกัน ลองมาดู

        มนุษย์เงินเดือนได้เฮกันดัง ๆ เมื่อคณะรัฐมนตรีไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ซึ่งมีทั้งเพิ่มวงเงินหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวเป็น 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มค่าลดหย่อนทั้งส่วนตัว คู่สมรส บุตร รวมทั้งปรับอัตราภาษีในช่วงอัตราร้อยละ 30-35 ที่จากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป (อ่านข่าว ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560 ค่าลดหย่อนเพียบ เงินเดือน 26,000 ถึงเสียภาษี)

          การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ดังกล่าว ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีในอัตราน้อยลง ซึ่งทางเพจเฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department) ก็ได้ทำภาพมาให้ดูกันชัด ๆ ว่า มนุษย์เงินเดือนจะเริ่มมีภาษีที่เงินเดือนแค่ไหน หากใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=4126;image)
รูปแรก

กรณีโสด หรือสมรสแต่แยกยื่นภาษี

         - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 25,833 บาท
         - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 28,333 บาท
         - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 30,833 บาท
         - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 33,333 บาท
         - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 35,833 บาท

กรณีคู่สมรสมีเงินได้และรวมยื่นภาษี

         - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวและคู่สมรสเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 39,166 บาท
         - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 44,166 บาท
         - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 49,166 บาท
         - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 54,166 บาท
         - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 59,166 บาท

         ส่วนใครที่มีค่าลดหย่อนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันชีวิต, กองทุน LTF-RMF, ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา, เงินบริจาคต่าง ๆ ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้นที่จะต้องเสียภาษีในปี 2560 ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย โดยการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะใช้สำหรับการยื่นแบบภาษีในปี 2561

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=6968.0;attach=4128;image)
รูปที่สอง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
กรมสรรพากร, เฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department)
-https://www.facebook.com/RevenueDepartment/photos/a.195554743806681.53390.193960577299431/1273309289364549/?type=3-
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2016, 07:32:42 am
เอาแล้ว!! อีก 2 ปี ข้างหน้า ธนาคารปิด ห้างใหญ่ปิด ลูกจ้างตกงาน รู้ก่อนได้เปรียบ…
-http://www.zabbzeed.com/4025-


ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างที่คุณคิดไม่ถึง อยากให้ผู้ชมทุกคนได้ฟังคลิปนี้ ว่าโลกเรา สังคมเรา

กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน คุณต้องปรับตัว คุณต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยน ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนคุณ

แรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นใหม่ หลังการประมูลจบครบทุกคลื่น
https://www.youtube.com/watch?v=vbCQN1jGnEI (https://www.youtube.com/watch?v=vbCQN1jGnEI)
-https://www.youtube.com/watch?v=vbCQN1jGnEI-


เรียบเรียงโดย : แซ่บภัทร
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 16, 2016, 05:41:21 am
อยากพ้นกรรมเรื่อง “หนี้สิน” ต้องแก้ที่ต้นเหตุ!
-http://horoscope.sanook.com/110029/-


การเป็นหนี้โดยไม่จำเป็นและปัญหาความเดือนร้อนจากการเป็นหนี้รู้สึกว่าทำอะไรก็ติดขัดไปหมด จะได้เงินก็มีคนมาตัดหน้า ทำอะไรก็มีคนมาขวางเพราะเราอาจจะเคยโกหก หรือ เอาเปรียบใครมา เป็นวิบากกรรม หาได้มาก็มีเรื่องต้องจ่าย ทำอะไรติดขัดไม่ราบรื่น พบกับอุปสรรคต่างๆ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเสียหาย ไร้คนช่วยเหลือมองไปทางไหนก็มืดมน ซึ่งมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้

1.พ้นกรรมหนี้สินจะทำอย่างไร หนี้สิน ถือเป็นผลพวงของกรรมอย่างหนึ่งอันเกิดจากกิเลสความต้องการในทางกามารมณ์ ที่ควบคุมไม่ได้ เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็นเหมือนดังเช่นผู้อื่นจึงก่อให้เกิดความพยายามตะเกียกตะกายที่จะมีทรัพย์สินให้มากขึ้น โดยที่ไม่ได้สำรวจศักยภาพความสามารถในการหารายได้ให้พอกับค่าใช้จ่าย จึงเกิดแต่ความทุกข์และกลายเป็นหนี้ในที่สุด

2. “อย่าคิดที่จะเพิ่มหนี้อีก” หากอยากเป็นคนดีก็ต้องหยุดทำความชั่วเสียก่อน อยากหยุดหนี้สินก็ต้องหยุดสร้างหนี้ฉันนั้น ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิตใบหนึ่งด้วยจำนวนเงินที่มากพอแล้ว ก็ไม่ควรไปสร้างหนี้เพิ่มให้กลายเป็นภาระดินพอกหางหมู หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นในทางธรรมก็คือ “ลดความอยากลงเสีย” หนี้ก็จะไม่เพิ่มขึ้น

3. ลดการใช้จ่ายเกินความจำเป็น คนที่ประสบปัญหามีหนี้มากก็เพราะมัวปล่อยจิตใจให้ไหลไปตามความอยากเพราะ “การซื้อหาด้วยอารมณ์” มากกว่า “การซื้อหาด้วยเหตุผล” จึงเป็นเหตุให้เป็นหนี้สินมากมาย ซึ่งเมื่อได้ของสิ่งนั้นมาแล้วก็ใช่ว่าจะได้ใช้สอยอย่างคุ้มค่าตามที่ซื้อไปหรือไม่

4. หลีกเลี่ยงการหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะก่อให้เกิดหนี้ เช่น การใช้บัตรเครดิต เปรียบเหมือนถ้าคุณเป็นจอมยุทธที่ชอบท่องเที่ยวในยุทธภพต้องการเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม และให้สัญญากับตนเองว่าจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายใคร แต่บังเอิญได้พกกระบี่อย่างดีที่สุดติดตัวไว้อำนวยความสะดวกที่จะสังหารผู้อื่นได้ทุกเมื่อ เช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการพลั้งเผลอฆ่าคนได้แน่นอน
การใช้บัตรเครดิตเพื่อการใช้จ่ายที่ดีนั้น ควรใช้บัตรเครดิตเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าบัตร จะต้องมีวงเงินอยู่ในขั้นต่ำที่สุด ที่สำคัญต้องสามารถรูดใช้ได้ไม่เกิน 25% ของรายได้ และแนวทางป้องกันหนี้บัตรเครดิตที่ดีที่สุดก็คือ การเลิกใช้บัตรเครดิตไปเลย เพราะการมีบัตรเครดิตจะทำให้ชะล่าใจ จับจ่ายซื้อของอย่างเกินความจำเป็น

5. มีการจัดสรรเงินทองอย่างเป็นระบบ เป็นข้อหนึ่งในหลักธรรมที่ว่า “สมถชีวิตา” หรือ เลี้ยงชีพให้เหมาะสม โดยการแบ่งเงินรายได้ออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ เช่น เก็บเงิน 60% และไว้ใช้จ่ายอีก 40% วิธีนี้จะทำให้มีเงินเก็บที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ที่สำคัญหากเราได้รับเงินพิเศษที่นอกเหนือไปจากเงินรายได้ที่ได้รับตามปกติแล้ว ก็ควรนำเอาเงินส่วนนั้นเก็บไว้เป็นทุนฉุกเฉินสำรองเอาไว้ เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินคุณก็จะได้มีเงินทุนสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นได้

6. ต้องชำระหนี้สิน ไม่มีใครหนีหนี้ได้พ้นต่อให้เราหลบหนีไปไกลสักเท่าไหร่ก็จะถูกตามทวงถามเอาคืนได้สักวันหนึ่ง เพียงแต่การจ่ายหนี้นั้นต้องกระทำอย่างมีปัญญาด้วย สิ่งหนึ่งที่ควรพึงระลึกเอาไว้เสมอ ๆ ก็คือ การชำระหนี้อย่างพอดี ๆ ควรผ่อนชำระหนี้สินอย่างพอเหมาะตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น เพื่อที่จะได้เงินเหลือใช้ทำอย่างอื่นต่อไป การทุ่มใช้หนี้ทั้งหมดจนไม่มีเงินเหลือไว้กินไว้ใช้ ต่อยอดชีวิตให้เดินหน้าต่อไปย่อมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่เราต้องแสดงเจตจำนงการใช้หนี้ให้ชัดเจน นอกจากนั้นแล้วก็ควรไล่ดูหนี้สินที่มีทั้งหมด ตรวจสอบดูว่าตนเองมีหนี้สินอะไรบ้าง และแต่ละอย่างต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อจะได้คำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้อย่างลงตัว ทั้งค่าใช้จ่าย เงินเก็บ และเงินชำระหนี้

7. มีการวางแผนการใช้จ่ายและการใช้ชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือการคิดก่อนทำ การวางแผนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้รู้ว่าวันหนึ่งๆ เราจะต้องจ่ายอะไรบ้าง และต้องมีการจำกัดวงเงินเมื่อต้องออกไปแสวงหาความสุขส่วนตัวทั้งหลาย คือไม่ว่าจะสนุกมากน้อยเพียงใด ก็ต้องใช้จ่ายตามวงเงินที่ได้กำหนดเอาไว้จะดีที่สุด วิธีนี้จะได้ผลมากน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวจิตคุณเองที่จะต้องซื่อสัตย์ และที่สำคัญต้องเลิกนิสัยการขอหยิบยืมเงินคนอื่นรวมถึงฝึกความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้านอกกายมากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือของใช้ต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น หากลองสำรวจจิตตนเองก็จะพบว่า สิ่งใดที่เราอยากได้มามากๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตมากนัก จิตก็จะเบื่อหน่ายในสิ่งนั้นได้เร็ว เพียงแค่ 3 วัน 7 วันก็ทำให้รู้สึกเฉยๆ หรือเบื่อหน่ายได้แล้ว

8. เพิ่มรายได้ด้วยงานพิเศษ รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เราสามารถวางแผนจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างลงตัวมากขึ้น และยังช่วยให้มีเงินเหลือไปชำระหนี้บางส่วนได้อีกด้วย สิ่งนี้ต้องเริ่มต้นด้วยจิตที่ขยันขันแข็งจะสร้างรายได้ ซึ่งจะนำไปสู่การหางานพิเศษที่ไม่หนักหนาจนเกินไปในช่วงนอกเวลางานปกติ เมื่อมีรายได้มากขึ้นย่อมสามารถคลี่คลายปัญหาหนี้สินได้เร็วขึ้นเช่นกัน

9. ออมเงิน หรือการรักษาให้ดี ถือเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเราเองได้มากที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ว่าเราจะมีภาระหนี้สินหรือไม่ หรือจะมีเงินรายได้มากน้อยขนาดไหน การออมเงินทีละเล็กละน้อย ก็จะทำให้เราได้มีเงินเก็บซึ่งเป็นเงินก้อนขึ้นมาเอง และเงินส่วนนี้เองจะเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้จ่ายในอนาคตต่อไปได้ หนี้สินที่เกิดขึ้นกับตัวเราทั้งหมดมีเหตุจากความโลภ ความอยาก จงระงับความอยากให้มากที่สุดแล้วโอกาสเกิดหนี้ก็จะน้อยลง โอกาสจะเบี้ยวหนี้ หนีหนี้ก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีพื้นฐานมาจากธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าด้วยคาถา “หัวใจเศรษฐี” ที่ว่า “อุอากาสะ” คือ ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร และเลี้ยงชีวิตให้เหมาะสม ใครได้ประพฤติปฏิบัติตามก็จะพ้นหนี้สินได้และไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทรัพย์และความเป็นอยู่อีกต่อไป
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2018, 07:45:55 pm
มีน้องท่านนึงที่สนิทกันมาก จะซื้อบ้าน โทร.มาหาผมและสอบถามในเรื่องของโปรโมชั่นต่างๆของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผมเองได้ให้คำแนะนำไปบางส่วนแล้ว ผมเห็นว่า ผมน่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน แต่ผมว่ามีหลายๆท่านที่ทราบในเรื่องนี้แล้ว และมีบางท่านที่ไม่ทราบในเรื่องเหล่านี้

ผมจึงมาแนะนำเบื้องต้น เรื่องของการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่ามีวิธีคิดอย่างไร

เรื่องแรก การคำนวนว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ใน 3 ปีแรก หรือในทุกๆ 3 ปี ว่ามีค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยระหว่างธนาคารหลายๆแห่ง

ผมยกตัวอย่างเพื่อการอธิบายครับ

ธนาคาร A มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร A อัตรา MRR เท่ากับ 7.120%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ปีแรก = 3.00%

ปีที่ 2 และปีที่ 3 = MRR-2.00%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

ปีแรก 3.00%ต่อปี ให้นำ 3 คูณ 12(เดือน) ได้ผลลัพย์คือ 36

ปีที่สอง และ ปีที่ 3 MRR-2.00% ให้นำ MRR(คือ 7.120 – 2.00 ที่นำ 2 มาลบ จากโปรโมชั่น) ได้เท่ากับ 5.120 แล้วให้นำ 5.120 คูณ 24 (เดือน ทำไมต้องนำ 24 มาคูณ เนื่องจาก 1 ปี มี 12 เดือน แต่ในโปรโมชั่น 2 ปีถัดมา จะมีจำนวนเดือนคือ 24 เดือน) ได้ผลลัพย์ 122.88

แล้วนำผลลัพย์ทั้งสองยอด(คือ 36 และ 122.88) มาบวกกัน 36+122.88 จะได้ผลลัพย์เท่ากับ 158.88 เมื่อได้ผลลัพย์ 158.88 แล้วให้นำผลลัพย์นี้ มาหารด้วยจำนวนเดือนของ 3 ปี(36 เดือน) 158.88 หาร 36 จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.413%

ธนาคาร B มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร B อัตรา MLR เท่ากับ 6.250%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เดือนที่ 1 – 6 (6 เดือนแรก) = 0.00% เดือนที่ 7 – 12 (6เดือนต่อมา) = MLR -1.00%

ปีที่ 2 MLR -0.50

ปีที่ 3 = MLR-0.75%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

เดือนที่ 1-6 (6 เดือนแรก ในปีแรก) ให้นำ 0.00 คูณ 6 (เดือน) ได้ผลลัพย์ 0.00

เดือนที่ 7-12 (6 เดือนหลัง ในปีแรก) ให้นำ 6.250-1.00 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.250 แล้วนำมาคูณ 6 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 31.50

ปีที่ 2 ให้นำ 6.250 -0.50 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.750 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 69.000

ปีที่ 3 ให้นำ 6.250 – 0.75 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.500 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 66.000

ให้นำผลลัพย์ทั้ง 4 ยอด มาบวกกัน ( 0.00 + 31.50 + 69.00 + 66.00 ) จะได้เท่ากับ 166.50 แล้วนำ 166.50 หารด้วย 36 (เดือน เนื่องจาก ระยะเวลา 3 ปี จะเท่ากับ 36 เดือน) จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.625

ดังนั้น เมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่าง ธนาคาร A กับ ธนาคาร B จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปี ของธนาคาร A จะถูกกว่า ธนาคาร B

ผมจะให้มองอีก 3 ประเด็น

ประเด็นแรก ธนาคาร B เสนออัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0.00% (ไม่คิดดอกเบี้ย) แต่ธนาคาร A เสนออัตราดอกเบี้ยใน 1 ปีแรก 3.00% นั้นเป็นวิธีการคำนวนของแต่ละธนาคารว่า จะทำให้ลูกค้าเตะตาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่จะชอบมี 0% แต่หารู้ไม่ว่า ในปีที่ 2 และ ปีที่ 3 ทางธนาคารได้บวกในส่วนเพิ่มที่ธนาคารจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารที่คิดดอกเบี้ยในปีแรก *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สอง การคิดประเภทอัตราดอกเบี้ย เป็น MLR หรือ MRR นั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ว่าจะคิดประเภทอัตราดอกเบี้ยในแบบไหน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สาม หากเราสามารถลดดอกเบี้ยได้ เราจะประหยัดเงินของเราได้ และจะทำให้เราสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ครบกำหนดเร็วขึ้น ผมยกตัวอย่างให้เห็น

ภาระหนี้ 2,768,501.69 บาท หากเราได้ลดดอกเบี้ย 0.50% (ได้ลดไป 50 สตางค์) เราจะลดการจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน(สมมุติว่า 1 เดือนมี 30วัน) ไปจำนวน 1,137.74 บาท (คิดจาก 2,768,501.69 คูณ 0.50 หาร 100 เมื่อได้ผลลัพย์จำนวน 13,842.51 แล้วนำ 13,842.51 ไปคูณ 30 (จำนวนวัน) หารด้วย 365 ( 1 ปีมี 365 วัน) จะได้ผลลัพย์สุทธิ 1,137.74 บาท ผลลัพย์นี้ก็คือ ดอกเบี้ยที่เราได้ลด ลดแล้วไปทำอะไร เงินที่ได้นี้ จะไปชำระต้นเงินกู้ ถึงแม้ว่า เราจะจ่ายเงินชำระหนี้ต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาจะสั้นลง

เพราะ

1.เมื่อต้นเงินชำระมากขึ้น ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

2.การชำระต้นเงินได้มากขึ้น ทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้น้อยลงด้วยเช่นกัน

เรื่องสุดท้าย ไม่ว่าเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไหน จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในการใช้บริการแต่ละธนาคาร อีกส่วนหนึ่งที่ผมมองก็คือ service (การให้บริการ) ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการก่อนการขาย , การให้บริการระหว่างการขาย และ การให้บริการหลังการขาย ว่า มีการบริการที่ดีและประทับใจลูกค้าหรือไม่ ต่อให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากันเล็กน้อย บางครั้ง ลูกค้าอาจจะเลือกผู้ที่ให้บริการที่ดีกว่า ก็เป็นได้

ลูกค้า มีสิทธิในการเลือกใช้บริการของสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิตต่างๆ หากเราใช้บริการแล้วทางสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ได้ให้บริการเรา ตามเจตนาที่เราต้องการ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีสิทธิที่จะร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น หากเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เราสามารถร้องเรียนผ่าน ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้

มาต่อกันเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อว่า ในแต่ละเดือน เราสามารถคำนวนในเบื้องต้นในเรื่องของจำนวนดอกเบี้ยได้ เรามาดูกันว่า คิดดอกเบี้ยอย่างไร

ผมยกตัวอย่างดังนี้

นาย โน๊ตตี้ โบ๊ตซัง มีวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 5,000,000 บาท(ห้าล้านบาทถ้วน) อัตราดอกเบี้ย MRR - 1.00%ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ 7.120%) อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ 6.120%) ระยะเวลาการขอกู้ 30 ปี ( 360 เดือน ) หลังจากนั้น 5 ปีต่อมา มีภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท เราอยากทราบดอกเบี้ยที่จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ มาดูวิธีการคำนวนกัน

นำภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ย 6.120% (4,556,127.50 คูณ 6.120 หาร 100) จะได้ผลลัพย์ คือ 278,835.003 บาท

ให้นำ 278,835.003 หารด้วย 365 (เป็นจำนวนวันใน 1 ปี) (278,835.003 หาร 365) จะได้ผลลัพย์ คือ 763.931 (นี่คือจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน)

ให้นำผลลัพย์จำนวนดอกเบี้ยต่อวัน คือ 763.931 คูณกับจำนวนวัน (โดยปกติ สินเชื่อจะมีการชำระหนี้ทุกวันสิ้นเดือน แต่หากว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด อาจจะมีการชำระในวันทำการถัดไป) ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันทำการ เมื่อรวมจำนวนวันแล้วได้ 30 วัน เราจะนำ 763.931 คูณด้วย 30(วัน) ผลลัพย์ก็คือ 22,917.945 บาท (เป็นดอกเบี้ยของเดือนนั้นๆ) หากเดือนไหนมี 31 วัน เราต้องนำ 31 ไปคูณผลลัพย์ที่เป็นจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน

ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด คือ วันเสาร์ เราจะต้องไปชำระในวันจันทร์ เราต้องนับจำนวนวันเพิ่มขึ้นอีก 3 วัน คือ วันศุกร์ , วันเสาร์ และวันอาทิตย์ แต่หากวันสิ้นเดือนเป็นวันศุกร์ เราก็ไม่ต้องเพิ่มจำนวนวันดังกล่าว

อีกเรื่องก็คือ การชำระหนี้สินเชื่อในแต่ละเดือน ในวันที่เราชำระหนี้ นั่นหมายถึง เราชำระดอกเบี้ยตั้งแต่ที่เราชำระครั้งที่แล้วจนถึงวันที่เราชำระ แต่ในวันที่เราชำระ ดอกเบี้ยของวันนั้น ในระบบของแต่ละธนาคาร ยังไม่ได้ประมวลผลให้ จึงทำให้ดอกเบี้ยของในวันที่เราชำระหนี้ในเดือนนั้นๆ เราต้องไปชำระในเดือนถัดไป

สรุปเรื่องของการคำนวนจำนวนดอกเบี้ยในแต่ละเดือน

ต้นเงินกู้ (ภาระหนี้ปัจจุบัน) คูณด้วยอัตราดอกเบี้ย หาร 100 แล้วนำไปคูณจำนวนวัน หารด้วย 365 (วัน)

อีกเรื่องที่อยากจะบอกกัน ในกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หากเราไปขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร(การป้องกันRefinanceไปยังสถาบันการเงินอื่น) แล้ว หากเรายังไม่พอใจ เราไปขอลดได้อีก หรือ เราสามารถที่จะแจ้งขอย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังสถาบันการเงินอื่นได้ ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย

เกือบลืม ผมมา กระซิบกันเบาๆ ว่า โดยปรกติ กรมธรรมประกันอัคคีภัย ที่เราต้องทำในกรณีที่เราต้องทำในตอนที่เราใช้วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีอยู่ข้อนึงที่มักจะไม่ทราบกันก็คือ หากเกิดความเสียหายจากน้ำที่อยู่ภายในบ้าน เช่น ท่อน้ำภายในบ้านแตก หรือเกิดรอยรั่ว ขึ้นทำให้น้ำรั่วออกมาทำความเสียหายให้กับ พื้นบ้าน (เช่นพื้นปาร์เก้) หรือคิ้ว หรือส่วนอื่นๆ (ที่เป็นอุปกรณ์ของบ้าน แต่ไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านเพิ่มเติมหรือเฟอร์นิเจอร์) เราสามารถแจ้งเคลมประกันได้ด้วย

ผมขอต่ออีกนิด เรื่องของการเสนอขายประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตที่เป็นรายสามัญ(จ่ายค่าเบี้ยประกันทุกๆปี) หรือ การประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้ของสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในชื่อแบบไหน ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก คปภ. เป็น ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต เสมอ ผู้ที่เสนอขายต้องแสดงใบอนุญาตและแจ้งชื่อ นามสกุล และเลขที่ใบอนุญาต ให้ลูกค้าทราบเสมอ

ส่วนเรื่องการเสนอการขายประกันวินาสภัย เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตเช่นกัน เป็นใบอนุญาต ตัวแทนประกันวินาสภัย หรือ นายหน้าประกันวินาสภัย เหมือนกับการเสนอขายประกันชีวิตที่ผมได้อธิบายให้ทราบไปแล้ว

ในส่วนของ บริษัทประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือ ประกันวินาสภัย(เช่น ประกันรถยนต์ , ประกันอัคคีภัยต่างๆ เป็นต้น) หากผู้ที่เสนอขาย ไม่ได้ปฎิบัติตามที่ผมแจ้ง หรือ มีปัญหาในเรื่องของการบริการต่างๆ , การเคลมสินไหมต่างๆ เป็นต้น เราสามารถร้องเรียนผ่าน คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ได้เช่นกัน

ในเจตนาผมที่นำมาลง เพื่อเป็นวิทยาทานให้หลายๆคนที่ไม่ทราบ ได้ทราบกัน ผมยึดถือในเรื่องที่ในหลวงที่เคยสอนประชาชนของท่านว่า พระองค์ท่านให้เบ็ดมาเพื่อตกปลา แต่ไม่ยอมให้ปลา ผมหวังว่า สิ่งที่ผมได้อธิบายไปนี้ มีประโยชน์กับท่านบ้างไม่มากก็น้อย ครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2018, 09:21:31 pm
ผมเขียนคำว่า ผลลัพย์ ผิด

ที่ถูกต้อง ต้องเขียนว่า ผลลัพธ์

ต้องขอโทษด้วยครับ

มีน้องท่านนึงที่สนิทกันมาก จะซื้อบ้าน โทร.มาหาผมและสอบถามในเรื่องของโปรโมชั่นต่างๆของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผมเองได้ให้คำแนะนำไปบางส่วนแล้ว ผมเห็นว่า ผมน่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน แต่ผมว่ามีหลายๆท่านที่ทราบในเรื่องนี้แล้ว และมีบางท่านที่ไม่ทราบในเรื่องเหล่านี้

ผมจึงมาแนะนำเบื้องต้น เรื่องของการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่ามีวิธีคิดอย่างไร

เรื่องแรก การคำนวนว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ใน 3 ปีแรก หรือในทุกๆ 3 ปี ว่ามีค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยระหว่างธนาคารหลายๆแห่ง

ผมยกตัวอย่างเพื่อการอธิบายครับ

ธนาคาร A มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร A อัตรา MRR เท่ากับ 7.120%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ปีแรก = 3.00%

ปีที่ 2 และปีที่ 3 = MRR-2.00%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

ปีแรก 3.00%ต่อปี ให้นำ 3 คูณ 12(เดือน) ได้ผลลัพย์คือ 36

ปีที่สอง และ ปีที่ 3 MRR-2.00% ให้นำ MRR(คือ 7.120 – 2.00 ที่นำ 2 มาลบ จากโปรโมชั่น) ได้เท่ากับ 5.120 แล้วให้นำ 5.120 คูณ 24 (เดือน ทำไมต้องนำ 24 มาคูณ เนื่องจาก 1 ปี มี 12 เดือน แต่ในโปรโมชั่น 2 ปีถัดมา จะมีจำนวนเดือนคือ 24 เดือน) ได้ผลลัพย์ 122.88

แล้วนำผลลัพย์ทั้งสองยอด(คือ 36 และ 122.88) มาบวกกัน 36+122.88 จะได้ผลลัพย์เท่ากับ 158.88 เมื่อได้ผลลัพย์ 158.88 แล้วให้นำผลลัพย์นี้ มาหารด้วยจำนวนเดือนของ 3 ปี(36 เดือน) 158.88 หาร 36 จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.413%

ธนาคาร B มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร B อัตรา MLR เท่ากับ 6.250%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เดือนที่ 1 – 6 (6 เดือนแรก) = 0.00% เดือนที่ 7 – 12 (6เดือนต่อมา) = MLR -1.00%

ปีที่ 2 MLR -0.50

ปีที่ 3 = MLR-0.75%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

เดือนที่ 1-6 (6 เดือนแรก ในปีแรก) ให้นำ 0.00 คูณ 6 (เดือน) ได้ผลลัพย์ 0.00

เดือนที่ 7-12 (6 เดือนหลัง ในปีแรก) ให้นำ 6.250-1.00 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.250 แล้วนำมาคูณ 6 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 31.50

ปีที่ 2 ให้นำ 6.250 -0.50 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.750 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 69.000

ปีที่ 3 ให้นำ 6.250 – 0.75 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.500 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 66.000

ให้นำผลลัพย์ทั้ง 4 ยอด มาบวกกัน ( 0.00 + 31.50 + 69.00 + 66.00 ) จะได้เท่ากับ 166.50 แล้วนำ 166.50 หารด้วย 36 (เดือน เนื่องจาก ระยะเวลา 3 ปี จะเท่ากับ 36 เดือน) จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.625

ดังนั้น เมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่าง ธนาคาร A กับ ธนาคาร B จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปี ของธนาคาร A จะถูกกว่า ธนาคาร B

ผมจะให้มองอีก 3 ประเด็น

ประเด็นแรก ธนาคาร B เสนออัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0.00% (ไม่คิดดอกเบี้ย) แต่ธนาคาร A เสนออัตราดอกเบี้ยใน 1 ปีแรก 3.00% นั้นเป็นวิธีการคำนวนของแต่ละธนาคารว่า จะทำให้ลูกค้าเตะตาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่จะชอบมี 0% แต่หารู้ไม่ว่า ในปีที่ 2 และ ปีที่ 3 ทางธนาคารได้บวกในส่วนเพิ่มที่ธนาคารจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารที่คิดดอกเบี้ยในปีแรก *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สอง การคิดประเภทอัตราดอกเบี้ย เป็น MLR หรือ MRR นั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ว่าจะคิดประเภทอัตราดอกเบี้ยในแบบไหน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สาม หากเราสามารถลดดอกเบี้ยได้ เราจะประหยัดเงินของเราได้ และจะทำให้เราสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ครบกำหนดเร็วขึ้น ผมยกตัวอย่างให้เห็น

ภาระหนี้ 2,768,501.69 บาท หากเราได้ลดดอกเบี้ย 0.50% (ได้ลดไป 50 สตางค์) เราจะลดการจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน(สมมุติว่า 1 เดือนมี 30วัน) ไปจำนวน 1,137.74 บาท (คิดจาก 2,768,501.69 คูณ 0.50 หาร 100 เมื่อได้ผลลัพย์จำนวน 13,842.51 แล้วนำ 13,842.51 ไปคูณ 30 (จำนวนวัน) หารด้วย 365 ( 1 ปีมี 365 วัน) จะได้ผลลัพย์สุทธิ 1,137.74 บาท ผลลัพย์นี้ก็คือ ดอกเบี้ยที่เราได้ลด ลดแล้วไปทำอะไร เงินที่ได้นี้ จะไปชำระต้นเงินกู้ ถึงแม้ว่า เราจะจ่ายเงินชำระหนี้ต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาจะสั้นลง

เพราะ

1.เมื่อต้นเงินชำระมากขึ้น ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

2.การชำระต้นเงินได้มากขึ้น ทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้น้อยลงด้วยเช่นกัน

เรื่องสุดท้าย ไม่ว่าเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไหน จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในการใช้บริการแต่ละธนาคาร อีกส่วนหนึ่งที่ผมมองก็คือ service (การให้บริการ) ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการก่อนการขาย , การให้บริการระหว่างการขาย และ การให้บริการหลังการขาย ว่า มีการบริการที่ดีและประทับใจลูกค้าหรือไม่ ต่อให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากันเล็กน้อย บางครั้ง ลูกค้าอาจจะเลือกผู้ที่ให้บริการที่ดีกว่า ก็เป็นได้

ลูกค้า มีสิทธิในการเลือกใช้บริการของสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิตต่างๆ หากเราใช้บริการแล้วทางสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ได้ให้บริการเรา ตามเจตนาที่เราต้องการ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีสิทธิที่จะร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น หากเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เราสามารถร้องเรียนผ่าน ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้

มาต่อกันเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อว่า ในแต่ละเดือน เราสามารถคำนวนในเบื้องต้นในเรื่องของจำนวนดอกเบี้ยได้ เรามาดูกันว่า คิดดอกเบี้ยอย่างไร

ผมยกตัวอย่างดังนี้

นาย โน๊ตตี้ โบ๊ตซัง มีวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 5,000,000 บาท(ห้าล้านบาทถ้วน) อัตราดอกเบี้ย MRR - 1.00%ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ 7.120%) อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ 6.120%) ระยะเวลาการขอกู้ 30 ปี ( 360 เดือน ) หลังจากนั้น 5 ปีต่อมา มีภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท เราอยากทราบดอกเบี้ยที่จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ มาดูวิธีการคำนวนกัน

นำภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ย 6.120% (4,556,127.50 คูณ 6.120 หาร 100) จะได้ผลลัพย์ คือ 278,835.003 บาท

ให้นำ 278,835.003 หารด้วย 365 (เป็นจำนวนวันใน 1 ปี) (278,835.003 หาร 365) จะได้ผลลัพย์ คือ 763.931 (นี่คือจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน)

ให้นำผลลัพย์จำนวนดอกเบี้ยต่อวัน คือ 763.931 คูณกับจำนวนวัน (โดยปกติ สินเชื่อจะมีการชำระหนี้ทุกวันสิ้นเดือน แต่หากว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด อาจจะมีการชำระในวันทำการถัดไป) ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันทำการ เมื่อรวมจำนวนวันแล้วได้ 30 วัน เราจะนำ 763.931 คูณด้วย 30(วัน) ผลลัพย์ก็คือ 22,917.945 บาท (เป็นดอกเบี้ยของเดือนนั้นๆ) หากเดือนไหนมี 31 วัน เราต้องนำ 31 ไปคูณผลลัพย์ที่เป็นจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน

ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด คือ วันเสาร์ เราจะต้องไปชำระในวันจันทร์ เราต้องนับจำนวนวันเพิ่มขึ้นอีก 3 วัน คือ วันศุกร์ , วันเสาร์ และวันอาทิตย์ แต่หากวันสิ้นเดือนเป็นวันศุกร์ เราก็ไม่ต้องเพิ่มจำนวนวันดังกล่าว

อีกเรื่องก็คือ การชำระหนี้สินเชื่อในแต่ละเดือน ในวันที่เราชำระหนี้ นั่นหมายถึง เราชำระดอกเบี้ยตั้งแต่ที่เราชำระครั้งที่แล้วจนถึงวันที่เราชำระ แต่ในวันที่เราชำระ ดอกเบี้ยของวันนั้น ในระบบของแต่ละธนาคาร ยังไม่ได้ประมวลผลให้ จึงทำให้ดอกเบี้ยของในวันที่เราชำระหนี้ในเดือนนั้นๆ เราต้องไปชำระในเดือนถัดไป

สรุปเรื่องของการคำนวนจำนวนดอกเบี้ยในแต่ละเดือน

ต้นเงินกู้ (ภาระหนี้ปัจจุบัน) คูณด้วยอัตราดอกเบี้ย หาร 100 แล้วนำไปคูณจำนวนวัน หารด้วย 365 (วัน)

อีกเรื่องที่อยากจะบอกกัน ในกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หากเราไปขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร(การป้องกันRefinanceไปยังสถาบันการเงินอื่น) แล้ว หากเรายังไม่พอใจ เราไปขอลดได้อีก หรือ เราสามารถที่จะแจ้งขอย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังสถาบันการเงินอื่นได้ ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย

เกือบลืม ผมมา กระซิบกันเบาๆ ว่า โดยปรกติ กรมธรรมประกันอัคคีภัย ที่เราต้องทำในกรณีที่เราต้องทำในตอนที่เราใช้วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีอยู่ข้อนึงที่มักจะไม่ทราบกันก็คือ หากเกิดความเสียหายจากน้ำที่อยู่ภายในบ้าน เช่น ท่อน้ำภายในบ้านแตก หรือเกิดรอยรั่ว ขึ้นทำให้น้ำรั่วออกมาทำความเสียหายให้กับ พื้นบ้าน (เช่นพื้นปาร์เก้) หรือคิ้ว หรือส่วนอื่นๆ (ที่เป็นอุปกรณ์ของบ้าน แต่ไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านเพิ่มเติมหรือเฟอร์นิเจอร์) เราสามารถแจ้งเคลมประกันได้ด้วย

ผมขอต่ออีกนิด เรื่องของการเสนอขายประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตที่เป็นรายสามัญ(จ่ายค่าเบี้ยประกันทุกๆปี) หรือ การประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้ของสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในชื่อแบบไหน ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก คปภ. เป็น ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต เสมอ ผู้ที่เสนอขายต้องแสดงใบอนุญาตและแจ้งชื่อ นามสกุล และเลขที่ใบอนุญาต ให้ลูกค้าทราบเสมอ

ส่วนเรื่องการเสนอการขายประกันวินาสภัย เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตเช่นกัน เป็นใบอนุญาต ตัวแทนประกันวินาสภัย หรือ นายหน้าประกันวินาสภัย เหมือนกับการเสนอขายประกันชีวิตที่ผมได้อธิบายให้ทราบไปแล้ว

ในส่วนของ บริษัทประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือ ประกันวินาสภัย(เช่น ประกันรถยนต์ , ประกันอัคคีภัยต่างๆ เป็นต้น) หากผู้ที่เสนอขาย ไม่ได้ปฎิบัติตามที่ผมแจ้ง หรือ มีปัญหาในเรื่องของการบริการต่างๆ , การเคลมสินไหมต่างๆ เป็นต้น เราสามารถร้องเรียนผ่าน คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ได้เช่นกัน

ในเจตนาผมที่นำมาลง เพื่อเป็นวิทยาทานให้หลายๆคนที่ไม่ทราบ ได้ทราบกัน ผมยึดถือในเรื่องที่ในหลวงที่เคยสอนประชาชนของท่านว่า พระองค์ท่านให้เบ็ดมาเพื่อตกปลา แต่ไม่ยอมให้ปลา ผมหวังว่า สิ่งที่ผมได้อธิบายไปนี้ มีประโยชน์กับท่านบ้างไม่มากก็น้อย ครับ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 13, 2018, 09:56:46 am
วันนี้ ผมขอนำเรื่องของการประกันชีวิตในเบื้องต้น  นำมาลงให้อ่านกัน  ความเห็นส่วนตัวผม  การประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดี  มีประโยชน์ มีคุณค่า  อ่านให้ครบทุกบรรทัดน๊ะครับ

แต่เราต้องเลือก  เรื่องที่ต้องเลือก มีดังนี้
1.บริษัทที่รับทำประกัน  ต้องมีความน่าเชื่อถือ  มีปัญหาในเรื่องของการติดต่อ  , มีปัญหาในเรื่องของประวัติในการเคลมของบุคคลอื่นๆ  เป็นต้น

2.ประเภทของกรมธรรม มีทั้งเรื่องของระยะเวลาในการส่งเบี้ยฯ ,  จำนวนทุนประกัน (ซึ่งมีผลกับค่าเบี้ยประกันรายปีที่มีจำนวนมากหรือจำนวนน้อย)

3.ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต  ต้องเลือกคนที่ไว้วางใจในการบริการเรา และ ต้องเลือกคนที่มีความรอบรู้ มีความสามารถในการแนะนำในเรื่องของประกันชีวิตให้เราได้

4.ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต ก่อนที่นำเสนอประกันชีวิต ต้องแสดงใบอนุญาต และ ต้องแจ้งชื่อ - นามสกุล และเลขที่ในใบอนุญาตเสมอ  เพราะการขายประกันชีวิต ต้องได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เสมอ



********** มาถึงประเด็นสำคัญ  การทำประกันชีวิต ต้องเป็นการทำโดยความสมัครใจ  ต้องไม่มีการบังคับทั้งทางตรง และ ทางอ้อม โดยเด็ดขาด  หากเจอในปัญหานี้

เป็นต้นว่า

การขอสินเชื่อใหม่  ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อธุรกิจ แล้วธนาคารมีการแจ้งว่า ต้องทำประกันชีวิต  หากไม่ทำประกันชีวิต วงเงินสินเชื่อจะไม่ผ่าน

หรือ

การขอลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศํย (การRifinance(การย้ายวงเงิน) สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น)  ว่า  ต้องทำประกันชีวิต  (หรือต้องประกันวินาศภัย เช่น ประกันอุบัติเหตุ)  หากไม่ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัยแล้ว ไม่สามารถดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยได้  หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่มากนัก

เพราะการทำประกันชีวิต หรือ การทำประกันวินาศภัย ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของลูกค้าเป็นหลัก  ต้องไม่มีประเด็นในเรื่องอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องได้  หากพบเรื่องราวในประเด็นนี้  สามารถร้องเรียนเข้าไปที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)  ผมแนะนำว่า ควรทำเป็นหนังสือ และให้ทาง คปภ.แจ้งกลับมาเป็นหนังสือด้วย ผมว่าดีที่สุด  โดยปกติส่วนตัวหากมีเหตุเกิดขึ้น ผมจะทำเป็นหนังสือ จะได้เป็นหลักฐานเก็บไว้ด้วยครับ

การร้องเรียน สามารถร้องเรียนไปได้ที่
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
1. การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. ไม่เป็นเหตุให้อายุความฟ้องคดีตามกฎหมายสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด
2. สำนักงาน คปภ.ขอสงวนสิทธิในการไม่ดำเนินการตามเรื่องที่ยื่นหากปรากฎว่าข้อความที่ร้องเรียนไม่ถูกต้องหรือไม่อาจติดต่อผู้ร้องเรียนได้
3. หากตรวจสอบพบว่าเลขประจำตัวประชาชนที่กรอกไม่ตรงกับเลขประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง จะถือว่าเป็นการแจ้งเบาะแสให้ทราบเท่านั้น

ทั้งนี้ ท่านสามารถร้องร้อนผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
1. กระดานรับร้องเรียน
2. ทาง e-mail: ppd@oic.or.th
3. ที่สำนักงาน คปภ. โดยตรง

ติดต่อ/ร้องเรียน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
ที่อยู่ : 22/79 อาคาร สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทร. 0-2515-3999 โทรสาร. 0-2515-3970  **********

-------------------------------------------------------------------------

การประกันชีวิต คืออะไร
ที่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

การประกันชีวิต เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้น ก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่าย ให้แก่ผู้ได้รับภัย

การประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

1.ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน

2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด

3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภท อุตสาหกรรม

แบบของการประกันชีวิต
การประกันชีวิตมีมากมายหลายแบบ แต่ละแบบจะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป
แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ
 
1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือ บุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น

2. แบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกัน ภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด

3. แบบชั่วระยะเวลา เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอา ประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง การเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา

4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอา ประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ

ประโยชน์ของการทำประกันชีวิต
 
1.ด้านการออม

ลักษณะการออมของการทำประกันภัยนั้นจะเป็นในลักษณะแบบกึ่งบังคับ โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีหน้าที่ในการจ่ายเบี้ยประกัน อย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญา ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อไว้ใช้ยามชรา  หรือออมไว้เพื่อเก็บเป็นทุนการศึกษาของบุตรหลาน ทั้งนี้การออมวิธีนี้ไม่สามารถถอนเงิน  ในลักษณะของการฝากเงินได้ แต่สามารถเวนคืนกรมธรรม์ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืนจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะการทำประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว

2.ชีวิตของผู้เอาประกันภัย

การประกันชีวิตสามารถช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยได้ ในกรณีการทำประกันคุ้มครองการเจ็บป่วย หรือการประกันอุบัติเหตุ ผู้เอาประกันภัยจะได้เงินทดแทนเพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพในกรณีทุพพลภาพโดยสิ้นเชิงได้

3.ด้านการให้ความคุ้มครองและบรรเทาความเดือนร้อนให้กับผู้ที่อยู่ในอุปการะคุณ

การทำประกันชีวิตจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงิน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว

4.ด้านการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

เนื่องจากรัฐบาลได้ให้การส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ทำประกันชีวิตก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปใช้เป็นค่า ลดหย่อนใน การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับแบบทั่วไป และ 200,000 บาทสำหรับ แบบบำนาญ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาสนใจการทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นเพื่อความมั่นคงในชีวิต

5.ด้านอื่นๆ

การทำประกันชีวิตเปรียบเสมือนการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อกรมธรรม์ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีมูลค่าเงินสด
หากผู้เอาประกันภัยมีความจำเป็นทางการเงินก็สามารถขอกู้เงินจำนวนหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไปใช้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้

ขั้นตอนดำเนินการ

1. ติดต่อบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย

2. เลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ

3. วงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการ โดยพิจารณาประกอบกับรายได้ประจำที่ได้รับ และกำลังความสามารถในการส่งเบี้ยประกันภัย

4. กรอก รายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม กรมธรรม์

5. ใน กรณีที่ตัวแทนเป็นผู้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตแทนท่าน ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอเมื่อได้รับกรมธรรม์ ควรตรวจสอบความถูกต้อง หากพบข้อมูลที่ผิด เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ฯลฯ ให้ทักท้วงบริษัทเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง

6. จ่าย ค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนดทุกครั้ง โดยติดต่อชำระที่บริษัท สาขา หรือทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือผ่านธนาคารในกรณีชำระผ่านตัวแทนของบริษัท ให้เรียกใบเสร็จรับเงินตามแบบพิมพ์ของบริษัทเก็บไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง

7.แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบ ถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์

*****8. ติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงาน คปภ.เขต สำนักงาน คปภ.ภาค และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทุกครั้งที่มีปัญหา*****

ที่มา http://www.oic.or.th/th/consumer/fund/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99 (http://www.oic.or.th/th/consumer/fund/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99)

ที่มา http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95#1 (http://www.oic.or.th/th/consumer/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95#1)

 #ประกันชีวิต
#ร้องเรียนผ่านคปภ.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#สินเชื่อRefinance
#ธนาคารพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 13, 2018, 10:00:25 am
มีน้องท่านนึงที่สนิทกันมาก จะซื้อบ้าน โทร.มาหาผมและสอบถามในเรื่องของโปรโมชั่นต่างๆของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผมเองได้ให้คำแนะนำไปบางส่วนแล้ว ผมเห็นว่า ผมน่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน แต่ผมว่ามีหลายๆท่านที่ทราบในเรื่องนี้แล้ว และมีบางท่านที่ไม่ทราบในเรื่องเหล่านี้

ผมจึงมาแนะนำเบื้องต้น เรื่องของการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่ามีวิธีคิดอย่างไร

เรื่องแรก การคำนวนว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ใน 3 ปีแรก หรือในทุกๆ 3 ปี ว่ามีค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยระหว่างธนาคารหลายๆแห่ง

ผมยกตัวอย่างเพื่อการอธิบายครับ

ธนาคาร A มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร A อัตรา MRR เท่ากับ 7.120%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ปีแรก = 3.00%

ปีที่ 2 และปีที่ 3 = MRR-2.00%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

ปีแรก 3.00%ต่อปี ให้นำ 3 คูณ 12(เดือน) ได้ผลลัพย์คือ 36

ปีที่สอง และ ปีที่ 3 MRR-2.00% ให้นำ MRR(คือ 7.120 – 2.00 ที่นำ 2 มาลบ จากโปรโมชั่น) ได้เท่ากับ 5.120 แล้วให้นำ 5.120 คูณ 24 (เดือน ทำไมต้องนำ 24 มาคูณ เนื่องจาก 1 ปี มี 12 เดือน แต่ในโปรโมชั่น 2 ปีถัดมา จะมีจำนวนเดือนคือ 24 เดือน) ได้ผลลัพย์ 122.88

แล้วนำผลลัพย์ทั้งสองยอด(คือ 36 และ 122.88) มาบวกกัน 36+122.88 จะได้ผลลัพย์เท่ากับ 158.88 เมื่อได้ผลลัพย์ 158.88 แล้วให้นำผลลัพย์นี้ มาหารด้วยจำนวนเดือนของ 3 ปี(36 เดือน) 158.88 หาร 36 จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.413%

ธนาคาร B มีโปรโมชั่น ดังนี้

อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร B อัตรา MLR เท่ากับ 6.250%ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เดือนที่ 1 – 6 (6 เดือนแรก) = 0.00% เดือนที่ 7 – 12 (6เดือนต่อมา) = MLR -1.00%

ปีที่ 2 MLR -0.50

ปีที่ 3 = MLR-0.75%

วิธีคำนวนดอกเบี้ย

เดือนที่ 1-6 (6 เดือนแรก ในปีแรก) ให้นำ 0.00 คูณ 6 (เดือน) ได้ผลลัพย์ 0.00

เดือนที่ 7-12 (6 เดือนหลัง ในปีแรก) ให้นำ 6.250-1.00 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.250 แล้วนำมาคูณ 6 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 31.50

ปีที่ 2 ให้นำ 6.250 -0.50 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.750 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 69.000

ปีที่ 3 ให้นำ 6.250 – 0.75 ( 6.250 คืออัตราดอกเบี้ย MLR) จะได้อัตราดอกเบี้ย 5.500 แล้วนำมาคูณ 12 (เดือน) จะได้ผลลัพย์ 66.000

ให้นำผลลัพย์ทั้ง 4 ยอด มาบวกกัน ( 0.00 + 31.50 + 69.00 + 66.00 ) จะได้เท่ากับ 166.50 แล้วนำ 166.50 หารด้วย 36 (เดือน เนื่องจาก ระยะเวลา 3 ปี จะเท่ากับ 36 เดือน) จะได้ผลลัพย์สุทธิที่เป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ก็คือ 4.625

ดังนั้น เมื่อเทียบอัตราดอกเบี้ยระหว่าง ธนาคาร A กับ ธนาคาร B จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปี ของธนาคาร A จะถูกกว่า ธนาคาร B

ผมจะให้มองอีก 3 ประเด็น

ประเด็นแรก ธนาคาร B เสนออัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0.00% (ไม่คิดดอกเบี้ย) แต่ธนาคาร A เสนออัตราดอกเบี้ยใน 1 ปีแรก 3.00% นั้นเป็นวิธีการคำนวนของแต่ละธนาคารว่า จะทำให้ลูกค้าเตะตาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่จะชอบมี 0% แต่หารู้ไม่ว่า ในปีที่ 2 และ ปีที่ 3 ทางธนาคารได้บวกในส่วนเพิ่มที่ธนาคารจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารที่คิดดอกเบี้ยในปีแรก *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สอง การคิดประเภทอัตราดอกเบี้ย เป็น MLR หรือ MRR นั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ว่าจะคิดประเภทอัตราดอกเบี้ยในแบบไหน แต่ก็อีกนั่นแหละครับ *****แต่ผมจะบอกว่า หากเรารู้วิธีการคำนวนแล้ว เราจะไม่หลงกลในเรื่องนี้*****

ประเด็นที่สาม หากเราสามารถลดดอกเบี้ยได้ เราจะประหยัดเงินของเราได้ และจะทำให้เราสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ครบกำหนดเร็วขึ้น ผมยกตัวอย่างให้เห็น

ภาระหนี้ 2,768,501.69 บาท หากเราได้ลดดอกเบี้ย 0.50% (ได้ลดไป 50 สตางค์) เราจะลดการจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือน(สมมุติว่า 1 เดือนมี 30วัน) ไปจำนวน 1,137.74 บาท (คิดจาก 2,768,501.69 คูณ 0.50 หาร 100 เมื่อได้ผลลัพย์จำนวน 13,842.51 แล้วนำ 13,842.51 ไปคูณ 30 (จำนวนวัน) หารด้วย 365 ( 1 ปีมี 365 วัน) จะได้ผลลัพย์สุทธิ 1,137.74 บาท ผลลัพย์นี้ก็คือ ดอกเบี้ยที่เราได้ลด ลดแล้วไปทำอะไร เงินที่ได้นี้ จะไปชำระต้นเงินกู้ ถึงแม้ว่า เราจะจ่ายเงินชำระหนี้ต่อเดือนเท่าเดิม แต่ระยะเวลาจะสั้นลง

เพราะ

1.เมื่อต้นเงินชำระมากขึ้น ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง

2.การชำระต้นเงินได้มากขึ้น ทำให้ระยะเวลาการชำระหนี้น้อยลงด้วยเช่นกัน

เรื่องสุดท้าย ไม่ว่าเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไหน จะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจในการใช้บริการแต่ละธนาคาร อีกส่วนหนึ่งที่ผมมองก็คือ service (การให้บริการ) ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการก่อนการขาย , การให้บริการระหว่างการขาย และ การให้บริการหลังการขาย ว่า มีการบริการที่ดีและประทับใจลูกค้าหรือไม่ ต่อให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากันเล็กน้อย บางครั้ง ลูกค้าอาจจะเลือกผู้ที่ให้บริการที่ดีกว่า ก็เป็นได้

ลูกค้า มีสิทธิในการเลือกใช้บริการของสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น บริษัทบัตรเครดิตต่างๆ หากเราใช้บริการแล้วทางสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ได้ให้บริการเรา ตามเจตนาที่เราต้องการ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีสิทธิที่จะร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น หากเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือ ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เราสามารถร้องเรียนผ่าน ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้

มาต่อกันเรื่องการคิดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อว่า ในแต่ละเดือน เราสามารถคำนวนในเบื้องต้นในเรื่องของจำนวนดอกเบี้ยได้ เรามาดูกันว่า คิดดอกเบี้ยอย่างไร

ผมยกตัวอย่างดังนี้

นาย โน๊ตตี้ โบ๊ตซัง มีวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 5,000,000 บาท(ห้าล้านบาทถ้วน) อัตราดอกเบี้ย MRR - 1.00%ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ 7.120%) อัตราดอกเบี้ย เท่ากับ 6.120%) ระยะเวลาการขอกู้ 30 ปี ( 360 เดือน ) หลังจากนั้น 5 ปีต่อมา มีภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท เราอยากทราบดอกเบี้ยที่จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ มาดูวิธีการคำนวนกัน

นำภาระหนี้คงเหลือ 4,556,127.50 บาท คูณกับอัตราดอกเบี้ย 6.120% (4,556,127.50 คูณ 6.120 หาร 100) จะได้ผลลัพย์ คือ 278,835.003 บาท

ให้นำ 278,835.003 หารด้วย 365 (เป็นจำนวนวันใน 1 ปี) (278,835.003 หาร 365) จะได้ผลลัพย์ คือ 763.931 (นี่คือจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน)

ให้นำผลลัพย์จำนวนดอกเบี้ยต่อวัน คือ 763.931 คูณกับจำนวนวัน (โดยปกติ สินเชื่อจะมีการชำระหนี้ทุกวันสิ้นเดือน แต่หากว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด อาจจะมีการชำระในวันทำการถัดไป) ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันทำการ เมื่อรวมจำนวนวันแล้วได้ 30 วัน เราจะนำ 763.931 คูณด้วย 30(วัน) ผลลัพย์ก็คือ 22,917.945 บาท (เป็นดอกเบี้ยของเดือนนั้นๆ) หากเดือนไหนมี 31 วัน เราต้องนำ 31 ไปคูณผลลัพย์ที่เป็นจำนวนดอกเบี้ยต่อวัน

ในบรรทัดนี้ ผมสมมุติว่า วันสิ้นเดือนเป็นวันหยุด คือ วันเสาร์ เราจะต้องไปชำระในวันจันทร์ เราต้องนับจำนวนวันเพิ่มขึ้นอีก 3 วัน คือ วันศุกร์ , วันเสาร์ และวันอาทิตย์ แต่หากวันสิ้นเดือนเป็นวันศุกร์ เราก็ไม่ต้องเพิ่มจำนวนวันดังกล่าว

อีกเรื่องก็คือ การชำระหนี้สินเชื่อในแต่ละเดือน ในวันที่เราชำระหนี้ นั่นหมายถึง เราชำระดอกเบี้ยตั้งแต่ที่เราชำระครั้งที่แล้วจนถึงวันที่เราชำระ แต่ในวันที่เราชำระ ดอกเบี้ยของวันนั้น ในระบบของแต่ละธนาคาร ยังไม่ได้ประมวลผลให้ จึงทำให้ดอกเบี้ยของในวันที่เราชำระหนี้ในเดือนนั้นๆ เราต้องไปชำระในเดือนถัดไป

สรุปเรื่องของการคำนวนจำนวนดอกเบี้ยในแต่ละเดือน

ต้นเงินกู้ (ภาระหนี้ปัจจุบัน) คูณด้วยอัตราดอกเบี้ย หาร 100 แล้วนำไปคูณจำนวนวัน หารด้วย 365 (วัน)

อีกเรื่องที่อยากจะบอกกัน ในกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หากเราไปขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร(การป้องกันRefinanceไปยังสถาบันการเงินอื่น) แล้ว หากเรายังไม่พอใจ เราไปขอลดได้อีก หรือ เราสามารถที่จะแจ้งขอย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังสถาบันการเงินอื่นได้ ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย

เกือบลืม ผมมา กระซิบกันเบาๆ ว่า โดยปรกติ กรมธรรมประกันอัคคีภัย ที่เราต้องทำในกรณีที่เราต้องทำในตอนที่เราใช้วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีอยู่ข้อนึงที่มักจะไม่ทราบกันก็คือ หากเกิดความเสียหายจากน้ำที่อยู่ภายในบ้าน เช่น ท่อน้ำภายในบ้านแตก หรือเกิดรอยรั่ว ขึ้นทำให้น้ำรั่วออกมาทำความเสียหายให้กับ พื้นบ้าน (เช่นพื้นปาร์เก้) หรือคิ้ว หรือส่วนอื่นๆ (ที่เป็นอุปกรณ์ของบ้าน แต่ไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านเพิ่มเติมหรือเฟอร์นิเจอร์) เราสามารถแจ้งเคลมประกันได้ด้วย

ผมขอต่ออีกนิด เรื่องของการเสนอขายประกันชีวิต ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตที่เป็นรายสามัญ(จ่ายค่าเบี้ยประกันทุกๆปี) หรือ การประกันชีวิตคุ้มครองภาระหนี้ของสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในชื่อแบบไหน ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก คปภ. เป็น ตัวแทนประกันชีวิต หรือ นายหน้าประกันชีวิต เสมอ ผู้ที่เสนอขายต้องแสดงใบอนุญาตและแจ้งชื่อ นามสกุล และเลขที่ใบอนุญาต ให้ลูกค้าทราบเสมอ

ส่วนเรื่องการเสนอการขายประกันวินาสภัย เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA ผู้ที่เสนอขาย ต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตเช่นกัน เป็นใบอนุญาต ตัวแทนประกันวินาสภัย หรือ นายหน้าประกันวินาสภัย เหมือนกับการเสนอขายประกันชีวิตที่ผมได้อธิบายให้ทราบไปแล้ว

ในส่วนของ บริษัทประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือ ประกันวินาสภัย(เช่น ประกันรถยนต์ , ประกันอัคคีภัยต่างๆ เป็นต้น) หากผู้ที่เสนอขาย ไม่ได้ปฎิบัติตามที่ผมแจ้ง หรือ มีปัญหาในเรื่องของการบริการต่างๆ , การเคลมสินไหมต่างๆ เป็นต้น เราสามารถร้องเรียนผ่าน คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ได้เช่นกัน

ในเจตนาผมที่นำมาลง เพื่อเป็นวิทยาทานให้หลายๆคนที่ไม่ทราบ ได้ทราบกัน ผมยึดถือในเรื่องที่ในหลวงที่เคยสอนประชาชนของท่านว่า พระองค์ท่านให้เบ็ดมาเพื่อตกปลา แต่ไม่ยอมให้ปลา ผมหวังว่า สิ่งที่ผมได้อธิบายไปนี้ มีประโยชน์กับท่านบ้างไม่มากก็น้อย ครับ

#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#การRefinanceสินเชื่อ
#การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
#อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#ธนาคารพาณิชย์
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2018, 08:40:11 pm
วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องประเภทของอัตราดอกเบี้ย ว่ามีประเภทไหนบ้าง แล้วแต่ละประเภทคืออะไร  ผมนำมาให้อ่านกันโดยอยู่ในไฟล์รูปประกอบ และมาดูเรื่องของประโยชน์ของการ Refinance สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินเดิม หากท่านใดเห็นว่าดี  แชร์ต่อกันได้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์ ครับ

มี 2 ตอน  ตอนนี้ตอนที่ 1 จาก 2 ตอน

ผมเองเคยทำไฟล์ที่เป็น Excel ในการใช้เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ผลที่ได้ ได้อะไร  ซึ่งสามารถใช้คำนวณเพื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย 2 โปรโมชั่น   หากพี่ๆ  เพื่อนๆ  น้องๆ ท่านใดสนใจ แจ้งมาได้ ผมรบกวนแจ้งผ่านไลน์ส่วนตัว หรือ ส่งข้อความส่วนตัวเข้าของ FaceBook ได้ ผมจะส่งไฟล์ให้ไว้ใช้กันครับ

มาคุยกันในเจตนาที่ผมให้ความรู้กับบางท่านที่ไม่รู้ในเรื่องนี้ ผมอยากให้ความรู้เป็นวิทยาทาน  อานิสงส์ในการเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน ผมขออธิษฐานว่า ขอให้ผมเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องราวต่างๆที่มีผู้ที่อธิบายในเรื่องนั้นๆได้โดยง่ายด้วยเทอญ

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของการดำรงชีวิตในปัจจุบันสำหรับผู้ที่ซื้อบ้าน โดยใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์  ผมจะใช้คำว่า ธนาคาร แทนคำว่า สถาบันการเงิน เพราะว่าผมจะขอคุยกันในเรื่องของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีอยู่กับธนาคารเท่านั้น

ก่อนที่จะคุยกันในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย  ผมอยากคุยในเรื่องของ “การให้บริการ (Service)”  ในมุมมองของผมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  ในบางครั้งอาจจะมีมากกว่าเรื่องของอัตราดอกเบี้ยด้วยซ้ำ  หากสถาบันการเงินไหนที่บริการดี  ผมว่าหลายๆท่านคงไม่อยากย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงินแน่นอน  เนื่องจากการย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงิน  มีความยุ่งยากพอสมควร ไหนจะต้องเตรียมเอกสารที่ค่อนข้างเยอะอยู่  ไหนจะเสียเวลาในการไปติดต่อกับสถาบันการเงินอื่นๆ ไหนจะต้องไปดำเนินการในการทำนิติกรรมที่กรมที่ดินอีก  แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยยังแพงกว่า แถมการบริการห่วยแตก  มีแต่คนที่ต้องการย้ายวงเงินสินเชื่อไปยังอีกสถาบันการเงินแน่นอน  ถึงแม้จะต้องเตรียมเอกสารอย่างเยอะ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเวลาในการดำเนินการในเรื่องต่างๆอย่างมากก็ตาม  และอีกเรื่องที่จะบอกก็คือ  เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินมองออกหรือไม่ว่า ในใจของเราต้องการอะไร  มีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินนั้นๆ  มองเราไม่ออกก็มีอยู่มาก  เป็นอย่างนั้นหรือไม่ครับท่านผู้อ่าน

เรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัย  ในกรณีที่เราขอกู้  ทางธนาคารจะมีประเภทสินเชื่ออีกประเภทก็คือ วงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน (ในแต่ละธนาคารจะเรียกชื่อแตกต่างกันไป)  ซึ่งเป็นวงเงินที่เราสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้ในการตกแต่งบ้าน หรือ นำไปชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระหนี้

มาคุยกันในเรื่องของการ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยกัน (และไม่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านพร้อมที่ดิน)  หาก Refinance เราจะต้องใช้วงเงินสินเชื่อฯมาไม่น้อยกว่า 3 ปี ถึงสามารถที่จะ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังธนาคารฯอื่นได้ และ จะมีค่าใช้จ่ายหลักๆอยู่ไม่กี่อย่าง ดังนี้

1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (เป็นอัตราร้อยละเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร  บางธนาคารก็ไม่มี)

2.ค่าธรรมเนียมการประเมินราคา (ค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2,500.-บาท ถึง 15,000.-บาท แล้วแต่ราคาประเมินของแต่ละธนาคาร และขึ้นอยู่กับวงเงินกู้ฯด้วย)

3.ค่าอากรสัญญากู้ฯ  โดยปกติคิด 0.05% ของวงเงินกู้ เช่น วงเงินกู้ 1,000,000.-บาท ทางธนาคารจะคิดค่าอากร 500.-บาท กับ คู่ฉบับ อีก 5 บาท  (วิธีคิด นำ 1,000,000.- คูณ 0.05% ก็จะได้ผลลัพธ์คือ 500.-บาท)  ค่าอากรสัญญากู้ฯนี้ ทางธนาคารจะต้องนำส่งให้กับกรมสรรพากร

4.การประกันอัคคีภัย  ในการทำประกันอัคคีภัย เงื่อนไขอยู่แต่ละธนาคารว่า จะให้ทำประกันอัคคีภัยกี่ปี  มีตั้งแต่ 1 ปี  ไปจนถึง 30 ปีก็มี  แต่โดยปกติจะให้ทำประกันอัคคีภัยกัน 3 ปี

5.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แล้วแต่ทางธนาคารจะเป็นผู้กำหนด ในบางธนาคารไม่มี

6.ค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่กรมที่ดิน  จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1%ของวงเงินการจดจำนอง(หรือวงเงินสินเชื่อทั้งหมด (ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัยและ/หรือวงเงินสินเชื่อบ้านแลกเงิน) ที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคาร)

7.บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขในการรับ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย เช่น หากปิดก่อน 3 ปี หากปิดก่อนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรือ ค่าธรรมเนียมบางเรื่องที่ธนาคารยกเว้นให้ในครั้งแรก ธนาคารอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเหล่านั้น หรือ บางธนาคารอาจจะขอปรับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นโปรโมชั่นที่เราได้รับ เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคาร  ส่วนในเรื่องที่ชำระต้นเงินบางส่วน  บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขในการห้ามชำระต้นเงิน  แต่บางธนาคารสามารถชำระต้นเงินได้และห้ามปิดก่อน 3 ปี

ในกรณีที่จะRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย  หากเราRefinance ไปยังธนาคารอื่น เราสามารถย้ายวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย และวงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน ไปทั้งสองวงเงินได้ โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับธนาคารนั้นๆ  แต่หากเราขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม จะขอลดได้เพียงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (ในบางช่วง บางธนาคารอาจมีโปรโมชั่นในการใช้วงเงิน สินเชื่อบ้านแลกเงิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง) ส่วนวงเงินกู้  จะได้วงเงินเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร  (บางธนาคารฯให้ 100% ของราคาประเมินของธนาคาร  บางธนาคารให้ 85% ของราคาประเมินของธนาคาร  บางธนาคารให้ 80% ของราคาประเมินของธนาคาร)

เรามาว่ากันต่อในเรื่องการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่จะRefinance ไปธนาคารอื่น กับ การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม และ การไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ผมขอใช้ต้นเงินกู้เป็นตัวเลขกลมๆ จะได้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น ผมขอคำนวนเฉพาะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย  ส่วนอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแลกเงินในวิธีเดียวกัน

นายโบ๊ตตี้ นามสกุลโน๊ตซัง  มีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท  ระยะเวลาการกู้ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ปัจจุบันเท่ากับ MLR-1.00%ต่อปี (MLR = 6.250) ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่เราจะจ่ายก็คือ 5.250% (ได้จากดอกเบี้ย MLR 6.250 ลบ 1.00 จะได้ผลลัพธ์คือ 5.250)  ปัจจุบันมีภาระหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่เป็นต้นเงินกู้ 2,600,000.- บาท ผ่อนชำระเดือนละ 17,600.-บาท 

การคำนวนอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ปีต่อมา

วิธีการคำนวน  เราทราบอยู่แล้วว่า เราต้องชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยต่อเดือน เป็นจำนวนเท่าไหร่  ตามตัวอย่าง เราผ่อนชำระเดือนละ 17,600.-บาท เราจะคำนวนว่า ในแต่ละเดือนเราต้องชำระดอกเบี้ยเท่าไหร่  ต้องชำระต้นเงินกู้เท่าไหร่  เราใช้ยอดภาระหนี้สินปัจจุบัน คือ 2,600,000.- คูณกับอัตราดอกเบี้ย คือ 5.250 หาร 100 (ที่หาร 100 ก็คืออัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็น%ต่อปี)  แล้วนำไปหาร 12 ( จำนวน 12 เดือนใน 1 ปี) ผลลัพธ์จะได้เป็นดอกเบี้ยต่อเดือน  เป็นจำนวน 11,375.-บาท

เมื่อเราได้ยอดดอกเบี้ยต่อเดือนที่คำนวนได้เท่ากับ 11,375.- แล้วนำไปหักออกจากยอดเงินที่เราชำระต่อเดือนก็คือ 17,600.- เมื่อหักออกแล้วนั่นก็คือ เงินที่เราขำระต้นเงินกู้  เราจะได้ยอดที่เราชำระต้นเงินกู้ก็คือ 17,600 – 11,375 เท่ากับ 6,225.-บาท 

นี่เป็นการคำนวนการชำระต่อเดือน  ส่วนในเดือนถัดไป  คำนวนในลักษณะเดียวกัน  เพียงแต่เปลี่ยนแปลงยอดภาระหนี้ใหม่  ตามตัวอย่างจากเดิม 2,600,000.-บาท เป็นยอดภาระหนี้ใหม่ จำนวน 2,593,775.-บาท คำนวนแบบนี้ในทุกๆเดือน

ในกรณีที่เราอยู่ธนาคารเดิม มีวิธีการคำนวนดังนี้

วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ 2,600,000.-บาท หากเรายังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม(ที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคารมา)  เราชำระต้นเงินไปจำนวน 242,139.98 บาท และชำระดอกเบี้ยไปจำนวน 391,460.02 บาท  การคำนวนดูตามตาราง 1

ในกรณีที่เรา Refinance ไปสถาบันการเงินอื่น หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม การคำนวนให้ดูตามตารางที่ 2

ผมขอยกตัวอย่างโปรโมชั่นดังนี้

อัตราดอกเบี้ยในปีแรก 2.90%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 คือ MRR-3.00%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 3 คือ MRR -2.00%ต่อปี
หลังจากนั้น(ในปีที่ 4 เป็นต้นไป) คือ MRR-0.50%ต่อปี

ผมจะคำนวนให้ดูใน 3 ปีแรกว่า เราจะจ่ายต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าไหร่  โดยภาระหนี้ปัจจุบันและเงื่อนไขอื่นๆคงเดิม(ยกเว้นแต่เรื่องอัตราดอกเบี้ย)
วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ภาระหนี้ 2,600,000.-บาท หากเราRefinanceสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือเราขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม  เราจะชำระต้นเงินไปจำนวน 358,782.82 บาท และชำระดอกเบี้ยไปจำนวน 274,817.18 บาท  การคำนวนดูตามตาราง 2

ผมมาเปรียบเทียบ ตารางที่ 1 (ที่เรายังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม) กับ ตารางที่ 2 (ที่เราRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม) ให้ดูว่า การชำระต้นเงินกู้ และ การชำระดอกเบี้ยมีความแตกต่างกันอย่างไร

ทบทวนกันก่อน กันงง กันลืม  ตารางที่ 1 เป็นการชำระเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยเดิมของสถาบันการเงินเดิม  ส่วนตารางที่ 2 เป็นการชำระเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยที่ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม

1.การชำระต้นเงินกู้  จากตารางที่ 1 ชำระต้นเงินกู้ จำนวน  242,139.98 บาท  แต่จากตารางที่ 2 ชำระต้นเงินกู้ จำนวน 358,782.82 บาท  ส่วนต่างจากตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จำนวน 116,642.84 บาท

2.และการชำระดอกเบี้ย จากตารางที่ 1 ชำระดอกเบี้ย จำนวน 393,477.50 บาท แต่จากตารางที่ 2 ชำระดอกเบี้ย จำนวน 274,817.18 บาท ส่วนต่างจากตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จำนวน 116,642.84 บาท

ผลต่างทั้งสองข้อ คือ จำนวน 116,642.84 บาท นั่นหมายความว่าอะไร   หมายความว่า หากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น  หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม  จำนวนเงินที่ผมบอกไปก็คือ 116,642.84 บาท แทนที่จะนำไปชำระดอกเบี้ย   แต่เราสามารถนำไปชำระต้นเงินกู้ได้ เรื่องที่มีผลมากกว่านั้นก็คือ ทำให้เราชำระหนี้เสร็จสิ้นได้เร็วมากขึ้นไปอีก

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2018, 08:42:41 pm
ตอนที่ 2 จาก 2 ตอน

มาต่อกันในเรื่องของ***** ค่าใช้จ่ายหากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น ***** 

ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผมได้บอกไปในเบื้องต้น  นั้น  เราต้องมาคำนวนกันในลักษณะที่เป็นตัวเงิน  ไม่สามารถที่จะคำนวนเป็นอัตราเปอร์เซ็นได้
ผมยกตัวอย่าง(เดิม)

ภาระหนี้ที่จะ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 2,600,000.-บาท  ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในกรณีที่ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น คือ

1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ร้อยละ 1 ของวงเงินนิติกรรม จำนวน 26,000.-บาท (ได้จาก 2,600,000 คูณ 1%)

2.ค่าธรรมเนียมการประเมินราคา ประมาณ 2,800.-บาท

3.ค่าอากรสัญญากู้ฯ  จำนวน 1,305.-บาท (ได้จาก 2,600,000 คูณ 0.05% จะได้ 1,300.-บาท บวก คู่ฉบับสัญญากู้ฯ 5 บาท)

4.การประกันอัคคีภัย  โดยประมาณไม่เกิน 10,000 บาท

5.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประมาณ 1,000.-บาท

6.ค่าธรรมเนียมการจดจำนองที่กรมที่ดิน  โดยประมาณ 26,000.-บาท (คิดประมาณ 1% ของวงเงินจำนอง(หรือวงเงินกู้) 2,600,000 คูณ 1 หาร 100 )
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยประมาณ 67,105.-บาท

หากเราใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเดิม ปัจจุบันเท่ากับ MLR-1.00%ต่อปี (MLR = 6.250) ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่เราจะจ่ายก็คือ 5.250% เราจ่ายดอกเบี้ยไปทั้งหมด 391,460.02 บาท

หากเราใช้ อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่เรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น หรือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม อัตราดอกเบี้ยในปีแรก 2.90%ต่อปี อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 2 คือ MRR-3.00%ต่อปี อัตราดอกเบี้ยในปีที่ 3 คือ MRR -2.00%ต่อปี หลังจากนั้น(ในปีที่ 4 เป็นต้นไป) คือ MRR-0.50%ต่อปี เราจ่ายดอกเบี้ยไป จำนวน 274,817.18 บาท

เมื่อหักกลบกันระหว่างตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2 จะได้ส่วนต่าง(ของดอกเบี้ยที่ได้ลดเนื่องจากการ Refinance ไปสถาบันการเงินอื่น) จำนวน 116,642.84 บาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายที่ผมบอกไปในเบื้องต้น จำนวน 67,105.-บาท เรายังมีส่วนต่างที่ไปชำระต้นเงินกู้ได้มากขึ้น หากเรา Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น

แต่หากเราขอลดดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม เราก็ไม่ต้องจ่ายในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมได้บอกไป เพียงแต่เงื่อนไขของอัตราดอกเบี้ย ต้องลดได้มากกว่าเดิม และที่สำคัญเราต้องลองคำนวนดูครับว่า การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินเดิม หรือ การ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น ประเด็นไหนจะดีที่สุดสำหรับตัวเรา

เพิ่มเติมอีกนิด สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย  หากมีคนมาบอกว่า คำนวนค่าใช้จ่ายเป็น% นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง การเปรียบเทียบต้องเป็นการเปรียบเทียบในรูปแบบเดียวกัน หากเป็นจำนวนเงิน ต้องนำจำนวนเงินมาเปรียบเทียบ แต่หากเป็นเปอร์เซ็น ต้องนำเรื่องของเปอร์เซ็นมาเปรียบเทียบ  ไม่ใช่ว่า นำจำนวนเงินมาคำนวนเปรียบเทียบกับเปอร์เซ็น  เช่น ผมบอกว่า ผมหนัก 70 กิโลเมตร  เป็นไปได้หรือเปล่าครับ  ที่ถูกต้อง ต้องบอกว่าผมหนัก 70 กิโลกรัม  แต่หากจะนำค่าใช้จ่ายมาคำนวนเป็นเปอร์เซ็น  ต้องนำระยะเวลาในการกู้ทั้งหมด มาคำนวนเป็นเปอร์เซ็น  ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ จะน้อยมากๆ  เช่น ค่าใช้จ่ายที่ผมคำนวนในเบื้องต้นจำนวน 67,105.-บาท หากจะคำนวนว่า จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ต้องนำระยะเวลาในการกู้ที่เหลือ หรือ ที่ขอกู้ใหม่ มาคำนวน เช่น เหลือระยะเวลาในการกู้ตามตัวอย่าง 204 เดือน ( 17ปี )  (เดิมระยะเวลาการกู้ 240 เดือน ผ่อนไปแล้ว 36 เดือน คงเหลือระยะเวลาการผ่อนอีก 204 เดือน) ส่วนตัวผม  ไม่ไปคำนวน แต่ผมใช้วิธีข้างบนดีกว่า เห็นเป็นเม็ดเงินที่ได้ลดอย่างชัดเจน

แต่ถ้าต้องการที่จะทราบว่า ค่าธรรมเนียมดังกล่าวคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นของวงเงินกู้ในระยะเวลาการกู้  สามารถคำนวนได้ดังนี้   นำค่าใช้จ่าย(ตามตัวอย่าง) 67,105.-บาท หารด้วย(วงเงินกู้) 2,600,000.-บาท ผลลัพธ์ที่ได้คือ 0.02581%  โดยมีระยะเวลา 17 ปี  แต่หากจะคิดตามระยะเวลา 1 ปี  ให้นำผลลัพธ์ 0.02581 หารด้วย 17(ปี) ผลลัพธ์ที่ได้คือ 0.000152% เฉลี่ยปีละ 3,947.353 บาท  (คิดมาจาก 0.000152 คูณด้วย (วงเงินกู้)  2,600,000.-)  และเมื่อคิดกลับไปสู่ค่าธรรมเนียมทั้งหมด  ก็ให้นำค่าเฉลี่ยต่อปี คือ 3,947.353 คูณด้วย 17 (ปี)  ผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปก็คือ 67,105.-บาทครับ

ส่วนเรื่องของการประกันชีวิต และ ประกันวินาศภัย  ผมเคยนำเรื่องนี้ไปลงไว้ในครั้งก่อนแล้ว  เพิ่มเติมอีกนิด  การทำประกันชีวิต และ การทำประกันวินาศภัย ต้องเป็นการทำโดยสมัครใจ และเห็นประโยชน์ของการประกันชีวิต และ ประกันวินาศภัย เท่านั้น ต้องไม่มีเงื่อนไขอื่น เช่น หากไม่ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัยแล้ว การขอสินเชื่อใหม่ หรือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยไม่ผ่าน   ยกเว้นจะเป็นโปรโมชั่นของแต่ละธนาคาร(ที่ประกาศเป็นทางการและมีเอกสารยืนยันว่า เป็นประกาศของธนาคาร) ว่า หากทำประกันชีวิต จะมีส่วนลดของอัตราดอกเบี้ย มากกว่าที่ ไม่ทำประกันชีวิต  หากมีการบังคับให้ทำประกันชีวิต หรือ ประกันวินาศภัย สามารถร้องเรียนผ่าน  สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ได้ในหลายช่องทาง

สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน  หากสงสัยโทร.มาคุยกันได้ ยินดีให้คำปรึกษาครับ

#สถาบันการเงิน
#ธนาคารพาณิชย์
#สินเชื่อที่อยู่อาศัย
#อัตราดอกเบี้ย
#ประกันชีวิต
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#คปภ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2018, 01:33:05 pm
มาต่อกันเรื่องของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
จากที่ผมเขียนและเคยนำมาลงให้อ่านกัน มาเพิ่มเติมในความรู้กันครับ
ในเจตนาที่ลงนี้ ผมต้องการให้ความรู้กับท่านผู้อ่าน เพื่อสร้างแนวคิดและสร้างประโยชน์ของตัวท่านเองในการจัดการทางการเงินของท่านเอง  บุญกุศลนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ในเรื่องต่างๆได้อย่างง่ายด้วยเทอญ
ผมจะมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หากเรามีการขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ การRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปสถาบันการเงินอื่นใน 3 ปีแรก หรือ ทุกๆ 3 ปี เราจะได้อะไร หรือ เสียอะไรบ้าง
มายกตัวอย่างกันเลย  ในตัวอย่างจะสมมุติว่า อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญาฯ แต่หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ตัวเลขทั้งหมดจะมีการเปลี่ยนแปลงไป และในเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ผมสมมุติตัวเลขขึ้นมา เพื่อให้ดูง่ายขึ้น และตัวเลขเป็นตัวเลขโดยประมาณการ แต่มีความใกล้เคียง ครับ
ธนาคารแก้มหอม
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในกรณ๊ที่มีการ Refinance ไปยังธนาคารแก้มหอม
อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.75%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MRR-3.85 หรือเท่ากับ 2.90%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-0.50%ต่อปี หรือเท่ากับ  6.25%ต่อปี
ค่าธรรมเนียมต่างๆมีดังนี้
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้  ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
6.ในกรณีที่ปิดบัญชีก่อน 3 ปี จะคิดอัตราดอกเบี้ย MRR% ต่อปี และเรียกคืนค่าธรรมเนียมในข้อ 5
.
ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
อัตราดอกเบี้ย MRR = 7.125%ต่อปี
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ย ในกรณีที่ลูกค้าขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
อัตราดอกเบี้ย 1 ปีแรก 3.50%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 MRR-3.00%ต่อปี หรือเท่ากับ 4.125%ต่อปี
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.75%ต่อปี หรือเท่ากับ 5.625%ต่อปี
ค่าธรรมเนียมต่างๆไม่มี (ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัยที่จะต้องต่ออายุ (สมมุติ) จำนวน 10,000.-บาท)
.
มาถึงข้อมูลเจ้าของบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย
นายโน๊ตตี้ นามสกุลลูกพี่โบ๊ตซัง  อายุปัจจุบัน 35 ปี เดิมมีวงเงินที่อยู่อาศัย 3,300,000.-บาท ทำประกันอัคคีภัยไว้ 3 ปี   ปัจจุบันเมื่อครบ 3 ปี ภาระหนี้ลดเหลือ 3,000,000.-บาท มีค่าประกันอัคคีภัยที่ต้องจ่ายจำนวน 10,000.-บาท โดยใช้วงเงินสินเชื่อที่ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
ระยะเวลาคงเหลือในการกู้ตามสัญญากู้ฯ 25 ปี (300 เดือน) ผ่อนชำระเดือนละ 18,900.-บาท
อัตราดอกเบี้ยเดิมที่ใช้อยู่คือ MRR-1.75%ต่อปี คือ 5.375%ต่อปี
.
มาดูผลการคำนวนกันครับ
ในกรณีที่ไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่  (เป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม) 
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 1
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 212,876.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 467,523.24 บาท
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,249,249.59 บาท
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน
.
ในกรณีที่ 2 การขอลดอัตราดอกเบี้ย กับ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 2
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 348,854.83 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 331,545.17 บาท
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 1,867,726.09 บาท
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 258 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ
.
ในกรณีที่ 3 การ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไป ธนาคารแก้มหอม
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 3
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 437,632.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 242,767.24 บาท
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,135,738.- บาท
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ เช่นกัน
แต่ในกรณีที่ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไปธนาคารแก้มหอม ยังมีค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกจำนวน 44,305.-บาท ตามรายละเอียดดังนี้
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้  ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
เมื่อนำค่าธรรมเนียมต่างๆ จำนวน 44,305.- หักออกจากจำนวนดอกเบี้ย (ในกรณีที่ 2 คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่) ที่สามารถลดการจ่ายดอกเบี้ย และ นำเงินจำนวนนี้ ไปชำระต้นเงินกู้ได้อีก จำนวน 44,472.94 บาท (ได้จากการคำนวณตาข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4 คือ 30,000 + 1,505 + 2,800 + 10,000 จะได้เท่ากับ 44,472.94 บาท)
หมายเหตุ  ในกรณีนี้ ผมไม่นำเงินที่ได้จากการเวนคืนกรมธรรมประกันอัคคีภัยที่ต่ออายุกับธนาคารณัชชี่ มารวมคำนวณด้วย เนื่องจากผมไม่ทราบการคำนวณของบริษัทที่รับประกันอัคคีภัย 
(ในกรณีที่มีการ Refinance จากสถาบันการเงินหนึ่ง  ไปยังอีก สถาบันการเงินอีกแห่ง  ส่วนใหญ่ วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครบ 3 ปีไปแล้ว  แต่หากว่า มีการดำเนินการก่อนที่จะครบกำหนด 3 ปี  แต่เราแจ้งการขอ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น  เราจะไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน และต้องไปดำเนินการขอวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอื่น ก่อนที่จะครบ 3 ปีด้วยเช่นกัน)
.
มาสรุปกันก็คือ  หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าไหร่  ผลดีและผลเสียที่เราจะได้ก็คือ
1.ลดการชำระดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญากู้ฯได้มาก  นี่ผมเพียงแค่คำนวณเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา 3 ปี เท่านั้นเอง  หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุกๆ 3 ปี (สามารถดูได้จาก ตารางที่ 4) เราจะประหยัดเงินที่เราต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินได้มากขึ้น
2.ระยะเวลาในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะลดลง  จากเดิมต้องผ่อน 25 ปี (จากตัวอย่าง)  เราสามารถผ่อนเหลือเพียง 21 ปี  แต่ถ้าสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุก 3 ปี  ระยะเวลาที่จะต้องผ่อนชำระ จะลดลงไปมากกว่านี้อีก
3.เราอาจจะเสียเวลาในการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จะต้องนำไปยื่นขอกู้กับสถาบันการเงินอื่นๆ 
4.ในการขอสินเชื่อนั้น  ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาในความสามารถในการชำระหนี้คืน  หากเรามีวินัยทางการเงินที่ดี  มีการชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของสินเชื่อประเภทไหนๆก็ตาม ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ,  รายได้ของเรามีความชัดเจน ,  มีเอกสารที่เชื่อถือได้ประกอบในการขอสินเชื่อ  ผลการพิจารณา น่าจะผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ได้
5. *****ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านเอง  ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง***** 
6.สุดท้าย  ผมแนะนำให้อ่านให้ละเอียด และแนะนำให้ท่านผู้อ่านไปศึกษาต่อกับท่านผู้รู้ หรือ ตามเว็บไซด์ที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม  ท่านผู้อ่านจะได้แนวคิดต่างๆ ที่มีผลต่อตัวท่านเอง และ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของท่านมาก  หากท่านยังต้องใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ เรื่องใดที่ผมสามารถแนะนำให้ท่านได้ ผมยินดีครับ
#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#การRefinanceสินเชื่อ
#การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
#อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#ธนาคารพาณิชย์
#สินเชื่อRefinance
#สถาบันการเงิน
#อัตราดอกเบี้ย
#ประกันชีวิต
#ร้องเรียนผ่านคปภ.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#คปภ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2018, 08:28:37 am
ที่มา เกิดผล แก้วเกิด

#ซื้อประกันจากนายหน้า กับ #ตัวแทนประกัน ศาลท่านว่า ไม่เหมือนกัน

เคยมีข่าวกรณีที่มีประชาชน ถูกบริษัทประกันชีวิต ไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือค่าสินไหมทดแทนในกรณีเจ็บป่วย โดยอ้างว่า ผู้เอาประกัน ไม่แจ้ง หรือ ปกปิดคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ว่า เคยมีโรคประจำตัว หรือมีโรคประจำตัว หรือเคยรักษาโรค ในระหว่างทำประกันสุขภาพ

ประมาณว่า ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ๊ากคำ...!!!

ความจริงแล้ว ผู้ทำประกันอาจเคยแจ้งต่อผู้ขาย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของบริษัทประกันไปแล้ว...

ส่วนคนขาย จะจดแจ้งตามที่บอกหรือไม่ก็ไม่ทราบ

คดีนี้ โจทก์เป็นผู้ทำประกันสุขภาพ โดยมีจำเลยเป็นบริษัทประกันฯ

หลังโจทก์ทำประกันก็ล้มป่วย จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าประกันสุขภาพให้ โดยอ้างว่า โจทก์ปิดบังเกี่ยวกับสุขภาพ ว่าเคยเป็นโรคตับอักเสบ

โจทก์ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ปิดบัง และเคยเข้ารับการรักษาตัว ตัวแทนของจำเลย (คนขายประกัน) ก็เคยมาเยี่ยมโจทก์ และทราบดีว่า โจทก์ป่วยเพราะตับอักเสบ

จำเลยต่อสู้ว่า #คนขายประกันให้โจทก์เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต #ไม่ใช่ตัวแทนประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

จำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญา และคืนเบี้ยประกันให้โจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าสินไหมทดแทนใดๆ

สู้กันไปถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท

คดีนี้ คนขายประกันไม่ใช่ตัวแทนจำเลยเพราะไม่มีหนังสือมอบอำนาจ หรือหนังสือตั้งตัวแทน จึงมีฐานะเป็นเพียง นายหน้าประกันชีวิต นิติกรรมจึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้

#หมายเหตุ ผมไม่เห็นพ้องด้วยกับฎีกานี้นะครับ #ชาวบ้านจะรู้อย่างไร #ใครเป็นตัวแทน #ใครเป็นนายหน้า หนังสือมอบอำนาจ ก็เป็นเรื่องระหว่างตัวแทนกับบริษัท เมื่อบริษัท รับเงินเบี้ยประกันไปแล้ว จนออกกรมธรรม์ให้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ย่อมเข้าใจว่า สัญญาย่อมถูกต้องทั้งหมด

ไม่แปลกใจว่า ทำไมบริษัทประกันภัยถึงหัวหมอตลอด

ผมนำตัวอย่างบัตรตัวแทน และ บัตรนายหน้ามาให้ดูครับ

ซื้อประกันกับนายหน้า ศาลไม่คุ้มครองนะครับ

ฎีกาที่ 1333/2551
ตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ มาตรา 5 ได้ให้คำจำกัดความของตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า ช. เป็นตัวแทนประกันชีวิตผู้ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากจำเลยให้ทำสัญญาประกันชีวิตในนามของจำเลยได้ เช่นนี้ ช. จึงเป็นเพียงตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเท่านั้นไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตาม ป.พ.พ. การที่ ช. ได้ทราบหรือควรทราบข้อเท็จจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ. จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่ นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบว่าหลังจาก ส. เสียชีวิตจำเลยได้ตรวจสอบหลักฐานและประวัติเกี่ยวกับสุขภาพของ ส. ทราบผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2540 ว่า ส. ปกปิดข้อความจริงว่าเคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบ หากจำเลยทราบความจริงจำเลยจะไม่ต่ออายุกรมธรรม์ประกันชีวิตกับ ส. โดยโจทก์ไม่นำสืบหักล้าง ดังนั้น การที่ ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น ย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2540 จึงเป็นการบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้แล้ว

#ซื้อประกันจากนายหน้า
#ซื้อประกันจากตัวแทนประกัน

ที่มา เกิดผล แก้วเกิด
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=394241677653601&id=100012033163351 (https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=394241677653601&id=100012033163351)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2018, 08:47:19 am
มาบอกเพิ่มเติม

ต้องขอดูใบอนุญาตทุกครั้งที่มีผู้มาเสนอขายประกัน  ห้ามตกลงทำประกันกับคนที่ขายทางโทรศัพท์ เพราะเวลาการติดต่อกับบริษัทประกัน  ติดต่อโคตรยาก ถึงยากที่สุด  เหมือนกับที่ภรรยาผมเจอมา (ไว้ผมมาแจ้งความคืบหน้า เรื่อง ประกันอาวุโสโอเค ของ เอไอเอ)

ในเบื้องต้นหากผู้ขายแจ้งว่า เป็นนายหน้าประกันชีวิต หรือ เป็นตัวแทนประกันชีวิต  ต้องขอดูใบมอบอำนาจของบริษัท   และหากมีโทรศัพท์มือถือ  ให้นำโทรศัพท์มือถือ ถ่ายรูปใบอนุญาต กับ ใบมอบอำนาจฯ เก็บไว้  หากมีปัญหาเกิดขึ้น  จะได้ทราบว่า นายหน้าประกันชีวิต หรือ ตัวแทนประกันชีวิต  เป็นใคร  ถ้าไม่ให้ถ่าย เราก็ไม่ต้องซื้อ  หรือ ไปซื้อกับคนที่ให้ถ่าย

เอกสารที่เกี่ยวข้องทุกแผ่น ไม่ว่าเป็นกระดาษที่ทางตัวแทน หรือ นายหน้า เขียนอธิบายให้เราเข้าใจถึงรายละเอียดของกรมธรรม์  เราต้องเก็บไว้เสมอ เก็บรวมกับกรมธรรม์ไว้  เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้นำเอกสารดังกล่าว ไปพิจารณาในการดำเนินการในเรื่องอื่นๆต่อไปครับ

ที่มา เกิดผล แก้วเกิด

#ซื้อประกันจากนายหน้า กับ #ตัวแทนประกัน ศาลท่านว่า ไม่เหมือนกัน

เคยมีข่าวกรณีที่มีประชาชน ถูกบริษัทประกันชีวิต ไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือค่าสินไหมทดแทนในกรณีเจ็บป่วย โดยอ้างว่า ผู้เอาประกัน ไม่แจ้ง หรือ ปกปิดคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ ว่า เคยมีโรคประจำตัว หรือมีโรคประจำตัว หรือเคยรักษาโรค ในระหว่างทำประกันสุขภาพ

ประมาณว่า ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ๊ากคำ...!!!

ความจริงแล้ว ผู้ทำประกันอาจเคยแจ้งต่อผู้ขาย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของบริษัทประกันไปแล้ว...

ส่วนคนขาย จะจดแจ้งตามที่บอกหรือไม่ก็ไม่ทราบ

คดีนี้ โจทก์เป็นผู้ทำประกันสุขภาพ โดยมีจำเลยเป็นบริษัทประกันฯ

หลังโจทก์ทำประกันก็ล้มป่วย จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าประกันสุขภาพให้ โดยอ้างว่า โจทก์ปิดบังเกี่ยวกับสุขภาพ ว่าเคยเป็นโรคตับอักเสบ

โจทก์ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ปิดบัง และเคยเข้ารับการรักษาตัว ตัวแทนของจำเลย (คนขายประกัน) ก็เคยมาเยี่ยมโจทก์ และทราบดีว่า โจทก์ป่วยเพราะตับอักเสบ

จำเลยต่อสู้ว่า #คนขายประกันให้โจทก์เป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต #ไม่ใช่ตัวแทนประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

จำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญา และคืนเบี้ยประกันให้โจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าสินไหมทดแทนใดๆ

สู้กันไปถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท

คดีนี้ คนขายประกันไม่ใช่ตัวแทนจำเลยเพราะไม่มีหนังสือมอบอำนาจ หรือหนังสือตั้งตัวแทน จึงมีฐานะเป็นเพียง นายหน้าประกันชีวิต นิติกรรมจึงไม่ผูกพันธ์จำเลย

จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาได้

#หมายเหตุ ผมไม่เห็นพ้องด้วยกับฎีกานี้นะครับ #ชาวบ้านจะรู้อย่างไร #ใครเป็นตัวแทน #ใครเป็นนายหน้า หนังสือมอบอำนาจ ก็เป็นเรื่องระหว่างตัวแทนกับบริษัท เมื่อบริษัท รับเงินเบี้ยประกันไปแล้ว จนออกกรมธรรม์ให้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ย่อมเข้าใจว่า สัญญาย่อมถูกต้องทั้งหมด

ไม่แปลกใจว่า ทำไมบริษัทประกันภัยถึงหัวหมอตลอด

ผมนำตัวอย่างบัตรตัวแทน และ บัตรนายหน้ามาให้ดูครับ

ซื้อประกันกับนายหน้า ศาลไม่คุ้มครองนะครับ

ฎีกาที่ 1333/2551
ตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ มาตรา 5 ได้ให้คำจำกัดความของตัวแทนประกันชีวิตว่าหมายความว่า ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า ช. เป็นตัวแทนประกันชีวิตผู้ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากจำเลยให้ทำสัญญาประกันชีวิตในนามของจำเลยได้ เช่นนี้ ช. จึงเป็นเพียงตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเท่านั้นไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลย จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตาม ป.พ.พ. การที่ ช. ได้ทราบหรือควรทราบข้อเท็จจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ. จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่ นอกจากนี้จำเลยยังนำสืบว่าหลังจาก ส. เสียชีวิตจำเลยได้ตรวจสอบหลักฐานและประวัติเกี่ยวกับสุขภาพของ ส. ทราบผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2540 ว่า ส. ปกปิดข้อความจริงว่าเคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบ หากจำเลยทราบความจริงจำเลยจะไม่ต่ออายุกรมธรรม์ประกันชีวิตกับ ส. โดยโจทก์ไม่นำสืบหักล้าง ดังนั้น การที่ ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น ย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2540 จึงเป็นการบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้แล้ว

#ซื้อประกันจากนายหน้า
#ซื้อประกันจากตัวแทนประกัน

ที่มา เกิดผล แก้วเกิด
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=394241677653601&id=100012033163351 (https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=394241677653601&id=100012033163351)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 18, 2018, 12:46:21 pm
มาเล่าสู่กันฟัง เรื่องการหักบัญชีบัตรเครดิต KTC ที่แจ้งการชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตอาวุโสโอเค กับ บจ.เอไอเอ

ภรรยาผม ได้เคยแจ้งการทำประกันชีวิตอาวุโสโอเค ให้กับคุณพ่อ กับ เอไอเอ โดยแจ้งให้ตัดบัญชีบัตรเครดิตในการชำระค่าเบี้ยฯ
แต่ต่อมาทางภรรยาผม ไม่ต้องการที่จะส่งค่าเบี้ยฯ ผมจึงได้ทำหนังสือให้ภรรยาผม ในการแจ้งเรื่องนี้กับ บจ.เอไอเอ โดยจะเปลี่ยนแปลงประเภทกรมธรรม์เป็นประเภทขยายระยะเวลา ตามตารางมูลค่าเวนคืนเงินสด (ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยฯอีก) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 วันครบกำหนด 21 สิงหาคม 2564 จนกระทั่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อย

และผมได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง บมจ.บัตรกรุงไทย ( KTC ) โดยทำหนังสือฉบับแรกไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 และมีการติดต่อประสานงานเบื้องต้นหลายๆรอบ แต่สุดท้ายหนังสือของ KTC ที่ส่งกลับมาให้ผม มีการตอบมาไม่ตรงกับที่ผมได้สอบถามไป ผมจึงจำเป็นต้องสอบถามในเรื่องนี้ โดยสอบถามไปยังกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ จะได้มีอำนาจสูงสุดในการตอบปัญหา

แต่ถ้าผมไม่ได้รับหนังสือตอบจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผมจะทำหนังสือฉบับต่อไปในการสอบถามในเรื่องดังกล่าว แต่จะทำเรื่องผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอคำตอบในเรื่องดังกล่าวนี้ ครับ

หากมีผลความคืบหน้า จะมาแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบกัน
เพื่อเป็นวิทยาทานในความรู้ ในการติดต่อกับสถาบันการเงินทั้งธนาคาร และ NonBank ครับ

 #ktcrealprivileges
#ktc
#บริษัทบัตรกรุงไทยจำกัดมหาชน
#บัตรกรุงไทย
#ktcบริษัทบัตรกรุงไทยอาคารไทยมิททาวเวอร์
#ktcกรุงไทย
#ktcกรุงไทยจํากัด
#ธนาคารพาณิชย์
#ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
#Nonbank
#บริษัทประกันภัย
#บมจบัตรกรุงไทย
#AIA
#AIAประกันชีวิต
#บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์จำกัด
#ประกันชีวิตอาวุโสโอเค

.....$$$------------------$$$.....

จดหมายฉบับที่ 1

หนังสือฉบับนี้ เป็นหนังสือฉบับแรกที่ผมส่งให้กับ KTC เนื้อหามีในลักษณะนี้

วันที่ 8 ธันวาคม 2560

เรื่อง การหักบัญชีบัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต

เรียน ผู้จัดการ แผนกBackend

บมจ.บัตรกรุงไทย

ข้าพเจ้า นายaaa บัตรเครดิตหมายเลข 1111 2222 3333 4444 โดยข้าพเจ้าได้ทำบัตรเสริมให้กับนางสาวsss บัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น

ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์ยกเลิกการหักบัญชีบัตรเครดิตของนางสาวsss บัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 ในการชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ของกรมธรรมเลขที่ T7777777777 (ผู้เอาประกันภัยชื่อนาย(พ่อของนางสาวsss) แบบการประกันภัยตลอดชีพพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ (ไม่มีเงินปันผล) ) บจ.เอไอเอ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป เมื่อท่านได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว กรุณาแจ้งผลการดำเนินการเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมายังข้าพเจ้าตามที่อยู่ด้านบนไม่เกิน 45 วันนับตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 จักขอบพระคุณยิ่ง แต่หากท่านไม่ได้แจ้งการดำเนินการของท่าน ข้าพเจ้าขอสอบถามในเรื่องดังกล่าวผ่านหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการ

ขอแสดงความนับถือ

.........................................

(นายaaa) (นางสาวsss )

.....$$$------------------$$$.....

จดหมายฉบับที่ 2

หนังสือฉบับนี้ เป็นหนังสือฉบับที่สองที่ผมได้ส่งไปยัง บมจ.บัตรกรุงไทย และผมได้ส่งสำเนาหนังสือตอบรับการยกเลิกการหักบัญชีบัตรเครดิต KTC ในการชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตฯ ของ บจ.เอไอเอ ไปด้วย

วันที่ 3 มกราคม 2561

เรื่อง การหักบัญชีบัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต

เรียน ผู้จัดการ แผนกBackend

บมจ.บัตรกรุงไทย

ตามหนังสือของข้าพเจ้า ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เรื่อง การหักบัญชีบัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 ของนางสาวsss เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต ของกรมธรรมเลขที่ T7777777777 (ผู้เอาประกันภัยชื่อนาย(พ่อของนางสาวsss) แบบการประกันภัยตลอดชีพพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ (ไม่มีเงินปันผล) ) บจ.เอไอเอ ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น

ข้าพเจ้าขอนำส่งสำเนาหนังสือตอบรับจาก บจ.เอไอเอ ฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2560 มายังท่าน เพื่อดำเนินการในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป และกรุณาแจ้งผลการดำเนินการเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมายังข้าพเจ้าตามที่อยู่ด้านบนไม่เกิน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับจดหมายฉบับนี้

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการ

ขอแสดงความนับถือ

.........................................

(นายaaa)

.....$$$------------------$$$.....

จดหมายจาก KTC ที่แจ้งผลมาให้ผม

ทำให้ผมต้องทำจดหมายอีกรอบ ไปสอบถามทาง KTC แต่สอบถามไปยังกรรมการผู้จัดการใหญ่ จะได้ตอบให้ตรงประเด็นครับ

หนังสือของ KTC ที่แจ้งมา ตอบผมมาว่า จากการตรวจสอบไม่พบยอดเรียกเก็บเงินค่าเบี้ยประกัน AIA ผ่านบัตรเครดิต KTC เลขที่ 6666 7777 8888 9999 มีผลนับตั้งแต่งวดกำหนด วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป โดยอ้างอิงจากเอกสารตอบรับการขอยกเลิกการใช้บริการหักชำระค่าเบี้ยประกันอัตโนมัติ ออกโดย บริษัท เอไอเอ จำกัด ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2560

.....$$$------------------$$$.....

จดหมายของผมฉบับที่ 3 ที่ส่งไปสอบถาม

แต่ฉบับนี้ส่งไปสอบถามกับ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ KTC ครับ

วันที่ 16 มีนาคม 2561

เรื่อง การแจ้งยกเลิกหักบัญชีบัตรเครดิต และแนะนำในเรื่องพนักงานที่ให้บริการ

เรียน กรรมการผู้จัดการใหญ่

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน)

ตามหนังสือของข้าพเจ้า นายaaa หนังสือของข้าพเจ้าฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เรื่องการหักบัญชีบัตรเครดิตหมายเลข 6666 7777 8888 9999 ความละเอียดแจ้งแล้วนั้น

ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้

1. เรื่องหนังสือแจ้งผลการยกเลิกหักบัญชีบัตรเครดิต ในเจตนาของหนังสือของข้าพเจ้า แสดงเจตนาให้ทาง บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) แจ้งผลการยกเลิกการหักบัญชีบัตรเครดิตฯ ไม่ใช่แจ้งการตรวจสอบไม่พบยอดเรียกเก็บเงินจากทาง บจ.เอไอเอ และวันที่ในจดหมายของข้าพเจ้ากับวันที่ในเนื้อหาในจดหมายแจ้งของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) เป็นคนละวันที่กัน ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตำหนิในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะการอ่านและทำความเข้าใจในจดหมายของข้าพเจ้า ทางผู้อำนวยการฝ่ายบริการสมาชิกบัตรและผู้อำนวยการฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ทำความเข้าใจให้ละเอียด และไม่ได้ตรวจสอบให้เรื่องราวต่างๆให้ละเอียด ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านดำเนินการแจ้งผลการดำเนินการในเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้าทราบอีกครั้ง ส่วนในเรื่องพนักงานCall Center ของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) แจ้งมาว่า เป็นการทำเรื่องผ่านบจ.เอไอเอ ไม่ได้ทำเรื่องผ่าน บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือแจ้งว่าทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน ในความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเจ้าของบัตรเครดิต จึงมีสิทธิในการแจ้งไม่ให้หักบัญชีบัตรเครดิตได้ เพราะหากมีการเรียกเก็บมาแต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมจ่ายเงิน ข้าพเจ้าจะมีปัญหาทันที ปัญหาที่ตามมาคือ ทาง บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) จะคิดดอกเบี้ยผิดนัด และค่าติดตามหนี้ ผลที่ร้ายกว่านั้นคือ ข้าพเจ้าและนางสาวsss (ภรรยาของข้าพเจ้า)ฯ มีประวัติการค้างชำระบัตรเครดิต ประวัติฯนี้ จะไปปรากฎที่ข้อมูลของข้าพเจ้าที่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ทำให้ข้าพเจ้าและ นางสาวsss (ภรรยาของข้าพเจ้า)ฯ ไม่สามารถที่จะใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้อีก และบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) เป็นเจ้าของบัตรเครดิตที่ข้าพเจ้าและ นางสาวsss (ภรรยาของข้าพเจ้า)ฯ เป็นสมาชิกของท่าน ท่านจึงมีสิทธิ์ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้



2. ขอชมเชยพนักงาน Call Center รายคุณวัชมล ในวันที่ 20 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 12.59 น. (ตามเอกสารแนบ 3 และเอกสารแนบ 4) ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปที่ 0-2123-5000 บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ทางคุณวัชมลรับสาย ทางคุณวัชมลได้ช่วยในการประสานงานให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างดี และเกิดความประทับใจในการให้บริการของพนักงานท่านนี้ ทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ต้องมีพนักงาน Call Center ในลักษณะนี้มากๆ จะส่งผลดีต่อการให้บริการลูกค้า ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) รายละเอียดอยู่ในเอกสารแนบ 3 และเอกสารแนบ 4

3. ข้าพเจ้าขอตำหนิการทำงานของพนักงาน Call Center ดังนี้

3.1 คุณวิชยะ(เป็นผู้ชาย) ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปที่ 0-2123-5000 บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) วันที่ 13 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 13.20 น. คุณวิชยะรับสาย ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์ให้ทางคุณวิชยะ แต่ข้าพเจ้าแจ้งยังไม่จบเรื่อง ทางคุณวิชยะได้ตัดสายโทรศัพท์ของข้าพเจ้าทิ้งไป ซึ่งการคุยกับพนักงานCall Centerคนอื่นๆไม่มีในลักษณะนี้

3.2 คุณวิชุดา ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์เข้าไปที่ 0-2123-5000 บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) วันที่ 13 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 13.20 น. ข้าพเจ้าได้แจ้งทางคุณวิชุดาว่า ในการติดต่อประสานงานในเรื่องนี้ ขอให้ติดต่อกับข้าพเจ้า ไม่ให้ติดต่อไปที่ นางสาวsss (ภรรยาของข้าพเจ้า)ฯ แต่ทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ยังติดต่อกลับไปหา นางสาวsss (ภรรยาของข้าพเจ้า)ฯ อีก ข้าพเจ้าขอสอบถามว่า ในการแจ้งเจตนาไป ทำไมทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 16.29 น. คุณรัชมล รับสาย ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ทางคุณรัชมล ว่าในการติดต่อประสานงานในเรื่องนี้ ให้ติดต่อที่ข้าพเจ้า หลังจากนั้น ในการประสานงานจึงได้ติดต่อมาที่ข้าพเจ้า (ตามเอกสารแนบ 3)

3.3 ในการที่ข้าพเจ้าติดต่อไปในวันที่ 19 ธันวาคม 2560 (ตามเอกสาร แนบ3) และ ทางบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ติดต่อข้าพเจ้ากลับมาในวันที่ 20 ธันวาคม 2560 (ตามเอกสารแนบ 4) พนักงาน Call Center ที่ข้าพเจ้าได้จดรายละเอียดไว้ เป็นบุคคลคนเดียวกัน คือคุณรัชมล หรือคุณวัชมล แต่ข้าพเจ้าอาจจะฟังไม่ชัดจึงทำให้จดชื่อพนักงานผิดไป และสำหรับชื่อพนักงานของ Call Center คนอื่น ข้าพเจ้าอาจจะจดชื่อ ไม่ถูกต้องกับชื่อจริงๆของพนักงานคนนั้น เนื่องจากเป็นการจดจากการฟังและการคุยทางโทรศัพท์

3.4 ในการติดต่อประสานงานในเรื่องนี้ ทางพนักงาน Call Center ราย คุณรัศมี (ตามเอกสารแนบ 5) และ คุณกิตติยา (ตามเอกสารแนบ 6) และคุณสุภาพร (ตามหนังสือของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ที่ CC-FECC-0016/2561 ฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2561 ) ไม่ได้เข้าใจในเจตนาที่ข้าพเจ้าแจ้งไป ทั้งๆที่ข้าพเจ้าแจ้งไปโดยใช้ภาษาไทย ไม่ใช่แจ้งไปโดยใช้ภาษาต่างประเทศ ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านดำเนินการในเรื่องการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องตามเจตนาของลูกค้า และหากในเรื่องต่างๆที่ลูกค้าแจ้งเข้ามายัง Call Center ทางพนักงาน Call Center ไม่สามารถตัดสินใจได้ ควรแจ้งเรื่องดังกล่าวไปยังผู้ที่มีตำแหน่งที่มีอำนาจในการพิจารณาในเรื่องนั้นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ เพื่อประโยชน์ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ในการให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ จะทำให้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ได้เป็นอย่างดี

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการ และข้าพเจ้าขอให้ท่านดำเนินการตอบจดหมายฉบับนี้กลับมาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยส่งให้ข้าพเจ้าตามที่อยู่ด้านบน ภายในไม่เกิน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ แต่หากข้าพเจ้าไม่ได้รับจดหมายของท่านภายในระยะเวลาดังกล่าว ข้าพเจ้าจะขอสอบถามท่านอีกครั้งโดยสอบถามผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย และข้าพเจ้าแจ้งเรื่องนี้ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวรวมทั้งสื่อออนไลน์ที่ข้าพเจ้าได้เคยแจ้งในเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว และในการลงเรื่องดังกล่าวข้าพเจ้าลงรายละเอียดเพื่อเป็นวิทยาทาน,เป็นความรู้ให้กับบุคคลอื่นๆเพื่อเป็นความรู้และใช้ประโยชน์ในการติดต่อกับหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ

.................................................................

(นายaaa)



ที่มา https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/816763928509995 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/816763928509995)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2018, 10:51:26 am
เรามาทำความรู้จักเรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) กันสักเล็กน้อย
.
เจตนาที่ผมนำมาลง เพื่อให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
ผมดำเนินรอยตามพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องที่สอนคนให้ตกปลาให้เป็น ไม่ใช่การให้ปลาไปกิน
เมื่อให้ปลาไปกิน กินหมดแล้ว ก็ยังลำบาก หากินไม่เป็น  ดังนั้น การให้ความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในความคิดเห็นของผม
.
.
ผมจะยกตัวอย่างให้อ่านกัน
.
นายโน๊ตตี้ นามสกุลลูกพี่โบ๊ตซัง เป็นลูกค้า
ธนาคารณัชชี่ เป็นธนาคารที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ธนาคารวิไม่ว่าต้อม เป็นธนาคารพาณิชย์อีกธนาคาร
ธนาคารแก้มหอม เป็นธนาคารพาณิชย์อีกแห่ง
บริษัทประกันภัย ออนนี่ โดยนายออนนี่ มีใบอนุญาตประกันวินาสภัย และ เป็นบริษัทประกันภัยที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ทำประกันอัคคีภัยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยไว้
บริษัทประกันภัย ชายหล่อ  โดยมีนายชายหล่อ มีใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาสภัย
.
มาต่อกัน
.
นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง  ได้ใช้วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารณัชชี่ และได้ทำประกันอัคคีภัยไว้ที่บริษัทประกันภัย ออนนี่ ระยะเวลาที่ทำประกันอัคคีภัยคือ 3 ปี
.
ต่อมาอีก 2 ปีครึ่ง ก่อนที่จะครบกำหนด นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ได้พบกับ นายชายหล่อ ที่เป็นเจ้านายเก่า  นายชายหล่อได้ทราบเรื่องที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ที่ได้ทำประกันอัคคีภัยไว้จะครบ 3 ปี  นายชายหล่อ ได้ชักชวนให้มาทำประกันอัคคีภัยที่ บริษัทประกันภัยชายหล่อ  หลังจากที่ได้คุยกันในรายละเอียด นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ได้ตอบตกลง
.
นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ได้ไปติดต่อกับธนาคารณัชชี่ โดยทำหนังสือแจ้งความประสงค์ว่า จะขอเปลี่ยนแปลงการทำประกันอัคคีภัย จากเดิมที่ทำไว้ที่ บริษัทประกันภัย ออนนี่  จะเปลี่ยนไปเป็น บริษัทประกันภัย ชายหล่อ
.
ทางธนาคารณัชชี่ ต้องยินยอมให้นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง เปลี่ยนแปลงการทำประกันอัคคีภัยจาก บริษัทประกันภัย ออนนี่ เป็น บริษัทประกันภัย ชายหล่อ  และห้ามธนาคารณัชชี่ อ้างว่า เป็นระเบียบของธนาคาร
.
หากระเบียบของธนาคารใดๆก็ตามทุกธนาคาร ขัดแย้งกับกฎหมาย หรือ ประกาศ/ระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย  ระเบียบของธนาคารนั้นๆ ใช้ไม่ได้/เป็นโมฆะตั้งแต่เริ่มต้น
.
แต่การทำประกันอัคคีภัยของสินเชื่อที่อยู่อาศํย  จำเป็นต้องทำ  ไม่ทำไม่ได้ เนื่องจากข้อความในสัญญากู้ฯ จะระบุไว้อยู่แล้วว่า ต้องทำประกันอัคคีภัย
อีกส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องของการป้องกันความเสี่ยงของตัวลูกค้าและธนาคาร  ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เรื่องของไฟไหม้บ้านได้ และที่เคยกระซิบกันไว้ว่า ในเรื่องของน้ำ  หากเป็นน้ำที่อยู่ภายในบ้าน เกิดรั่วออกจากท่อน้ำ แล้วไปทำความเสียหายให้กับตัวบ้าน หรือสิ่งควบของบ้าน สามารถแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยได้
.
และในเรื่องของการ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย หากนายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ไปแจ้งความประสงค์ที่จะขอ Refinance ทางธนาคารณัชชี่ ต้องไม่ขัดขวาง / ถ่วงเวลา / ไม่ขายผลิตภัณฑ์เช่น ให้ทำประกันชีวิตเพิ่มเติม หรือ ให้ทำประกันวินาสภัย( PA / ประกันอุบัติเหตุ ) เพิ่มเติม โดยที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ไม่ยินอม และทางธนาคารณัชชี่ ต้องดำเนินการในเรื่องของ Refinance ผมแนะนำอย่างนี้ว่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปธนาคารแก้มหอม ให้ทำเป็นหนังสือไปแจ้ง และให้ทางธนาคารณัชชี่ เซ็นรับเอกสารดังกล่าว  หากธนาคารณัชชี่ ไม่ดำเนินการเช่น การถ่วงเวลา  ขั้นต่อไปให้ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ทำหนังสือแจ้งในเรื่องนี้ ่ผานศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ธนาคารแห่งประเทศไทย ในหนังสืออาจจะแจ้งเพิ่มเติมในกรณีถูกบังคับให้ทำประกันชีวิตเพิ่มเติม หรือ ให้ทำประกันวินาสภัย( PA / ประกันอุบัติเหตุ ) เพิ่มเติมไปด้วย
.
มาต่ออีกเรื่อง
ต่อมา นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ได้เปิดบริษัททำธุรกิจ  ซึ่งต้องการเงินที่มาใช้ในบริษัท  นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง  ได้ไปขอสินเชื่อธุรกิจกับ ธนาคารวิไม่ว่าต้อม ทางธนาคารวิไม่ว่าต้อม ต้องไม่นำเสนอประกันชีวิต หรือ ให้ทำประกันวินาสภัย( PA / ประกันอุบัติเหตุ ) ในกรณีที่หากไม่ทำ วงเงินสินเชื่อจะไม่ผ่านการพิจารณา
.
และผู้ที่นำเสนอ ประกันชีวิตเพิ่มเติม ต้องมีใบอนุญาตตัวแทนประชีวิตหรือใบอนุญาตนายหน้าประกันชีวิต / ประกันวินาสภัย( PA / ประกันอุบัติเหตุ ) ต้องมีใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาสภัย หรือ ใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาสภัย  โดยผู้นำเสนอต้องแจ้งให้กับลูกค้าก่อนเสมอ หรือหากมีการนำเสนอในสถานที่ทำการ ในสถานที่ทำการต้องติดประกาศรายละเอียดของผู้ที่มีใบอนุญาตว่า มีใครบ้าง ทุกสถานที่ทำการ

---------------------------------------------------

เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct)
.
ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.
ประกาศ ธปท. 12 ม.ค. 2561 (สกส.1/2561)
.
การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct)
.
https://www.bot.or.th/app/FIPCS/Thai/PFIPCS_List.aspx (https://www.bot.or.th/app/FIPCS/Thai/PFIPCS_List.aspx)
.
https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610034.pdf (https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610034.pdf)
.
#การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม
#Marketconduct
#ธนาคารแห่งประเทศไทย
#สถาบันการเงิน
#ธนาคาร
ที่มา อัลบั้ม Market conduct
https://www.facebook.com/noom.sithiphong (https://www.facebook.com/noom.sithiphong)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 31, 2018, 11:01:00 am
เรามาเรียนรู้กันต่อเรื่องของสินเชื่อที่อยู่อาศัยกัน เนื้อหาอาจจะยาวไปสักนิด แต่อ่านแล้วนำไปคิด จะดีกับชีวิตของท่านเอง
ผมดำเนินรอยตามพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องที่สอนคนให้ตกปลาให้เป็น ไม่ใช่การให้ปลาไปกิน
เมื่อให้ปลาไปกิน กินหมดแล้ว ก็ยังลำบาก หากินไม่เป็น  ดังนั้น การให้ความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในความคิดเห็นของผม
และผมเองมีไฟล์คำนวณที่ผมทำเอง เป็นไฟล์Excel หากท่านใดสนใจแจ้งมาผ่านไลน์ส่วนตัวผม  แจ้ง ชื่อกับ Email แล้วผมจะส่งให้ท่าน  และเมื่อท่านสงสัยว่า จะกรอกข้อมูลอย่างไร โทร.มาสอบถามผมได้ครับ
.
ที่มา https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/822811464571908 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/822811464571908)
.
นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล อายุปัจจุบัน 44 ปี สถานภาพโสด
ธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ (เป็นธนาคารที่นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน)
ธนาคารโอ๊ะโอ๋ (เป็นธนาคารพาณิชย์อีกแห่ง โดยมีนายปัดรับผิด รับแต่ชอบ เป็นผู้จัดการ)
บริษัทประกันภัย ออนนี่ (มีนายออนนี่ เป็นผู้จัดการ และเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตประกันวินาสภัย)
บริษัทประกันภัย ชายหล่อ (มีนายชายหล่อ เป็นผู้จัดการ และเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตประกันวินาสภัย)
.
มาว่ากันต่อครับ
นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้มีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ 4,000,000.-บาท(4 ล้านบาท) และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเพิ่ม วงเงิน 500,000 บาท รวมวงเงินกู้ 4,500,000 บาท มีระยะเวลาการใช้สินเชื่อ 20 ปี กับธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ และได้ทำประกันอัคคีภัย 3 ปี กับบริษัทประกันภัย ออนนี่ เมื่อเวลาผ่านไปไวเมื่อลมกรด เวลาผ่านไป 3 ปี  นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล  วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยของนางสาวแป๋วแหวว ภาระหนี้ลดเหลือ 3,600,000.-บาท และวงเงินกู้เพิ่มเติมสินเชื่อบ้านได้เงินเพิ่ม ภาระหนี้ลดเหลือ 450,000 บาท ได้ไปทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยกับ ธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ แล้วทางธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 3.09%ต่อปีทั้งสองวงเงิน  และได้จ่ายค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยต่อไปอีก 3 ปี
.
เหมือนเดิม เวลาวิ่งไปไม่เคยรอใคร ผ่านไปอีก 1 ปี
มีอยู่วันนึง นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้ไปเจอกับ นายปัดรับผิด รับแต่ชอบ ที่เป็นเพื่อนกัน  นายปัดรับผิด รับแต่ชอบ ได้ทราบว่า นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล มีวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเดิม 
.
จึงชักชวนให้ Refinance มายังธนาคารโอ๊ะโอ๋  ที่จะให้อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก 3.09%ต่อปี โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมดังนี้ 1.ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 2.ค่าธรรมเนียมการโอนที่กรมที่ดิน 3.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก (โดยทำประกันอัคคีภัยกับบริษัทประกันภัยชายหล่อ) 4.ค่าอากรสัญญากู้ฯใหม่ มีระยะเวลาการใช้วงเงินสินเชื่อ 16 ปี  และที่สำคัญคือ การรวมวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิม และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเดิม  ให้เป็นวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย วงเงินเดียว (ซึ่งมีผลต่อการนำ #ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ไปคำนวณในการ #หักลดหย่อนภาษีประจำปี กับ #กรรมสรรพากร ที่จะได้จำนวนดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น)  นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้ไปลองคำนวณดูว่า ในกรณีการRefinance ไปยังธนาคารโอ๊ะโอ๋ ดีกว่าการใช้บริการที่ธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ ที่เป็นธนาคารเดิมที่ใช้บริการอยู่
.
เมื่อนางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้ไปคำนวณและไตร่ตรอง ดังนี้
.
1.อัตราดอกเบี้ยทั้งธนาคารโอ๊ะโอ๋ (ที่เป็นธนาคารใหม่) กับ ธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ(ที่เป็นธนาคารเดิมที่ใช้บริการอยู่) มีอัตราดอกเบี้ยที่เท่ากันใน 3 ปี เรื่องนี้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
.
2.อัตราดอกเบี้ยหลังจาก 3 ปีไปแล้ว ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ เนื่องจากสามารถทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยได้ตลอด ถึงแม้ว่าทำเรื่องลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ยังไม่ถึง 3 ปี ก็สามารถทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยได้ใหม่อีกครั้ง จะทำกี่ครั้งก็ได้ในทุกเวลา
.
3.การบริการ ขอไม่พูดถึง
.
4.เรื่องที่ได้ประโยชน์จากการ Refinance ก็คือ การรวมวงเงินทั้งสองวงเงิน (วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิม และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเดิม)  ทำให้มีผลของเรื่องจำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับธนาคาร ที่สามารถนำไปคำนวนในการหักลดหย่อนภาษีประจำปีกับกรมสรรพากร
.
4.1หากเป็นธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ จำนวนดอกเบี้ยที่นำไปคำนวณการหักลดหย่อนภาษีประจำปีกับกรมสรรพากร จะมีเพียง จำนวนดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเท่านั้น ส่วนจำนวนดอกเบี้ยของวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงิน ไม่สามารถนำไปคำนวนการหักลดหย่อนภาษีประจำปีกับกรมสรรพากรได้
.
4.2หาก Refinance ไปยังธนาคารโอ๊ะโอ๋ สามารถนำจำนวนดอกเบี้ยทั้งหมด ไปคำนวณการหักลดหย่อนภาษีประจำปีกับกรมสรรพากรได้  (เนื่องจากเป็นการรวมวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิม และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเดิม)  เรื่องนี้ธนาคารโอ๊ะโอ๋ (ธนาคารที่นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล จะRefinance วงเงินสินเชื่อไปอยู่ด้วย) ได้เปรียบขึ้นมาทันที
.
5.เรื่องของประกันอัคคีภัย 
.
5.1เดิมทำประกันอัคคีภัย และมีการต่ออายุออกไปอีก 3 ปี (ใช้ระยะเวลาไปแล้ว 1 ปี)  ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยได้จ่ายให้กับ บริษัทประกันภัย ออนนี่ ไปแล้ว หากยังคงใช้วงเงินสินเชื่ออยู่  ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยที่นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล จ่ายไปแล้ว ถือเสมือนว่า ได้จ่ายเงินไปแล้ว แต่หากว่า นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้ Refinance วงเงินสินเชื่อไปยังธนาคารโอ๊ะโอ๋ นางสาวแป๋วแหวว สามารถขอเวนคืนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลืออยู่ตามระยะเวลาในกรมธรรม์ฯได้
.
5.2 หากมีการ Refinance วงเงินสินเชื่อไปยัง ธนาคารโอ๊ะโอ๋  ทางธนาคารโอ๊ะโอ๋ จะเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยแทนให้ ในเรื่องนี้ ธนาคารโอ๊ะโอ๋ ได้เปรียบอีก (นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้เปรียบในเรื่องที่ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย อีก 3 ปี)
.
6.เรื่องของระยะเวลาการใช้สินเชื่อ เพื่อความยุติธรรม ต้องใช้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ คือ 16 ปี เรื่องนี้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
.
นางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล สรุปในประเด็นสำคัญได้ดังนี้
.
1.เรื่องของจำนวนดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัย หาก Refinance ไปธนาคารโอ๊ะโอ๋ (ธนาคารใหม่) จะมีมากกว่า การอยู่ที่ธนคารบอยไม่ดื่มค่ะ ส่งผลในเรื่องของการนำดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปคำนวณหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี อีก 3 ปี
.
2.ค่าเบี้ยประกันภัย ในกรณีที่ Refinance ไปธนาคารโอ๊ะโอ๋ ทางธนาคารโอ๊ะโอ๋ เป็นผู้ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยกับบริษัทประกันภัยชายหล่อ แทน และสามารถเวนคืนค่าเบี้ยประกันภัย กับบริษัทประกันภัย ออนนี่ (ธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ ที่เป็นธนาคารเดิม) ได้ ทำให้มีเงินกลับคืนมายังนางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล
.
3.อัตราดอกเบี้ย ใน 3 ปี ของธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ(ธนาคารเดิม) กับ ธนาคารโอ๊ะโอ๋ (ธนาคารใหม่) ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน
.
พอนางสาวแป๋วแหวว ศิษย์หมีพูล ได้วิเคราะห์ผลได้ผลเสียแล้ว ก็ตัดสินใจว่า จะ Refinance สินเชื่อวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิม และวงเงินกู้เพิ่มเติมจากสินเชื่อบ้านได้เงินเดิม จากธนาคารบอยไม่ดื่มค่ะ ไปยังธนาคารโอ๊ะโอ๋ โดยรวมมาเป็นวงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินเดียว ที่มีนายปัดรับผิด รับแต่ชอบ ที่มาชักชวน 
.
หากเป็นท่านผู้อ่าน  ท่านคิดอย่างไรหากเป็นตัวท่าน
.
มาย้ำกันครับว่า หากมีการขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย(หลังจาก 3 ปีแรก) จากธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ ต่อมาอีก 3 เดือน , 6 เดือน หรือ เวลาไหนก็ได้  หากท่านเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับการลดจากธนาคาร ยังสูงอยู่ และได้ทราบว่า มีธนาคารอื่นให้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าธนาคารเดิม  ท่านสามารถเข้าไปทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก โดยไม่จำเป็นให้ครบอีก 3 ปี
.
ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ และประกาศในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์  เช่น เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย  ประกาศ ธปท. 12 ม.ค. 2561 (สกส.1/2561)  https://www.bot.or.th/app/FIPCS/Thai/PFIPCS_List.aspx (https://www.bot.or.th/app/FIPCS/Thai/PFIPCS_List.aspx)
https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610034.pdf (https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2561/ThaiPDF/25610034.pdf)
.
แต่หากท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมในการให้บริการของธนาคาร  ผมแนะนำตามนี้
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
โทร.1213
https://www.1213.or.th/th/Pages/default.aspx (https://www.1213.or.th/th/Pages/default.aspx)
----------------------------------------------------------
ช่องทางรับเรื่องร้องเรียน
https://www.1213.or.th/th/aboutfcc/complainthandling/Pages/complainthandling.aspx (https://www.1213.or.th/th/aboutfcc/complainthandling/Pages/complainthandling.aspx)เป็นรายละเอียดที่สามารถร้องเรียนกับ ธปท.ได้
----------------------------------------------------------
ตารางแสดงระยะเวลาการให้บริการทางการเงิน (SLA)
https://www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/SLA.aspx (https://www.1213.or.th/th/tools/programs/Pages/SLA.aspx)
เป็นตารางแสดงระยะเวลาที่ธนาคารได้แจ้งกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่า เป็นระยะเวลาที่ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งให้บริการกับลูกค้าในเรื่องต่างๆ
----------------------------------------------------------

เงื่อนไขการร้องเรียน
https://www.1213.or.th/th/aboutfcc/complainthandling/pages/complain-condition.aspx (https://www.1213.or.th/th/aboutfcc/complainthandling/pages/complain-condition.aspx)เป็นหน้าจอที่เข้าสู่ระบบการร้องเรียน
. .
#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#การRefinanceสินเชื่อ
#การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
#อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#ธนาคารพาณิชย์
#สินเชื่อRefinance
#สถาบันการเงิน
#อัตราดอกเบี้ย
#ประกันชีวิต
#ร้องเรียนผ่านคปภ.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#คปภ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2018, 01:01:01 pm
เมื่อธนาคาร "ฟรีค่าธรรมเนียม" คนออมเงินแบบเราได้ประโยชน์อะไรบ้าง?

by อภินิหารเงินออม,Apr 5, 2018 4:35 PM

บทความนี้เป็น Advertorial



ฟรี ฟรี ฟรี!! ค่าธรรมเนียมธนาคาร
"ฟรีค่าธรรมเนียม" เรารอมาเนิ่นนานเหลือเกิน สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริงๆสักที (เฉพาะการใช้บริการธนาคารออนไลน์) เชื่อว่าทันทีที่เห็นข่าวนี้ หลายคนมักจะแชร์ไปบอกพ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อนๆด้วยความดีใจว่า ต่อไปไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมธนาคารอีกต่อไป ในขณะที่อีกมองมุมหนึ่งที่รับรู้ได้จากปรากฎการณ์นี้ คือ  ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ก็ต้องยอมถอย เพื่อก้าวต่อไปที่ไกลกว่าเดิม และเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่า เราก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ



“สังคมไร้เงินสด” คืออะไร?
เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกับสังคมไร้เงินสดกันมาสักระยะแล้ว เช่น การใช้บัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS , MRT  การเติมเงินเล่นเกมส์ การโอนเงินหรือจ่ายบิลผ่านมือถือ การลงทุนหุ้นหรือกองทุนรวมแบบออนไลน์ การซื้อตั๋วเครื่องบินแบบออนไลน์ การจ่ายเงินผ่าน QR Code และอื่นๆที่กำลังจะตามมาอีกมากมาย ทั้งหมดนี้ทำให้เราใช้จ่ายโดยไม่ต้องใช้เงินสด

เรียกง่าย ๆ ว่า "โลกอนาคตเป็นยุคที่เราไม่ใช้จ่ายเงินในรูปแบบเหรียญหรือธนบัตรอีกต่อไป เพราะเงินของเราจะกลายเป็นเพียงตัวเลขที่อยู่ในระบบ"

ถ้าต้องการดูยอดเงินคงเหลือหรือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็ทำธุรกรรมการเงินได้แบบออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์หรือแอพธนาคารบนมือถือ ทำให้ชีวิตของเราง่ายและสะดวกมากขึ้น เพราะทำได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องกังวลกับเวลาเปิดปิดของธนาคารอีกต่อไป



สิ่งที่เราได้รับจากการฟรีค่าธรรมเนียมครั้งนี้

    เราประหยัดเงินมากขึ้น

        จากเดิมที่ต้องเสียเงินยิบย่อยทั้งการโอนข้ามเขต โอนต่างธนาคาร จ่ายบิลสินค้าและบริการ การเติมเงินนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมมากหรือน้อยแตกต่างกันไป แต่ตอนนี้ฟรีทุกอย่างแล้วจ้า ทำให้มีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นมากขึ้น


    เราจัดการเงินได้ง่ายขึ้น

        เมื่อเราแยกบัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่ายออกจากกัน โดยเหลือเงินไว้ใน “บัญชีฟรีค่าธรรมเนียม” นี้ตามจำนวนเงินที่จะใช้จ่ายในแต่ละเดือน เรียกง่ายๆว่าให้เป็นบัญชีเงินผ่าน เพื่อใช้จ่ายส่วนตัวในเรื่องต่างๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราดูแลเงินได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ใช้เกินเงินที่มีในบัญชี รู้ว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้างผ่านทางมือถือ เหมือนมีผู้ช่วยจดรายจ่ายให้เราแบบอัตโนมัติ 



ฟรีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง?
การแข่งขันในตลาดดุเดือดมากๆ จึงทำให้นโยบายของธนาคารต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในขณะที่เราก็ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะใช้บริการธนาคารออนไลน์ที่ไหน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานธุรกรรมการเงินของเราให้ได้มากที่สุด อภินิหารเงินออมจึงขอรวบรวมข้อมูลที่อัพเดทที่สุดในขณะนี้ ณ วันที่ 1 เม.ย. 61 มาให้เห็นภาพรวมว่าธนาคารหลักๆแต่ละแห่งที่ประกาศว่า “ฟรีค่าธรรมเนียม” นั้นมีเงื่อนไขอะไรแตกต่างกันบ้าง? (เฉพาะช่องทาง Internet , Mobile Banking และ ATM)

ตาราง ให้ดูจากรูปที่แนบ
จากตารางสรุปนี้จะเห็นว่าแต่ละธนาคารมีรายละเอียดแตกต่างกัน ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้วก็จะฟรีค่าธรรมเนียมได้เต็ม 100%

    ช่องทาง Internet และ Mobile Banking ส่วนใหญ่จะ “ฟรีไม่จำกัด” คล้ายๆกัน

    ช่องทาง ATM นั้นมีจุดที่แตกต่างกัน เพราะสิ่งของทุกอย่างล้วนมีต้นทุน คำว่า “ฟรี” ก็เช่นกัน ต้นทุนที่ว่านี้ คือ ค่าธรรมเนียมบัตรรายปีที่แต่ละธนาคารเก็บค่าใช้บริการบัตร ATM ไม่เท่ากัน ถ้าเราเลือกที่จะฟรีค่าธรรมเนียมแล้ว ควรเลือกต้นทุนที่เป็นค่าธรรมเนียมรายปี ATM ที่ราคาไม่สูง เพื่อทำให้เราประหยัดรายจ่ายได้มากขึ้นนะคะ



ข้อดี และข้อควรระวังของการใช้บริการเมื่อธนาคารออนไลน์ ฟรีค่าธรรมเนียม

    ข้อดี
        ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะฟรีค่าธรรมเนียม ทำให้เรามีเงินเหลือไปใช้อย่างอื่นได้มากขึ้น

        เราจัดการเรื่องเงินทุกอย่างได้ในระบบออนไลน์ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

    ข้อควรระวัง
        แม้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยในของธนาคารจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังตัวเอง อาจจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกได้ เช่น การถูกหลอกให้โอนเงิน การตอบอีเมลล์ที่ไม่รู้จักหรือโหลดโปรแกรมแปลกๆลงคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ

        ทางที่ดีเราควรติดตามข่าวสารตลอดเวลาว่ากลุ่มมิจฉาชีพอัพเลเวลไปถึงไหนแล้ว เราจะได้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อนะคะ

หากทุกเดือนเราต้องทำธุรกรรมการเงินเหล่านี้ เช่น ถอนเงิน โอนเงิน จ่ายบิล เติมเงิน โดยทำผ่านทั้งช่องทางบริการ Internet , Mobile Banking และ ATM ควรแยกบัญชีเพื่อการออมและการใช้จ่ายออกจากกัน เพื่อป้องกันการสับสนเผลอดึงเงินออมออกมาใช้จ่าย



ซึ่งการมีบัญชีเพื่อรายจ่ายโดยเฉพาะนั้น ควรเป็นบัญชีที่ "ฟรีค่าธรรมเนียม" เพราะทำให้เราประหยัดรายจ่าย ของเราได้ ยกตัวอย่าง เช่น “บัญชีฟรีเว่อร์ไลท์” ของธนาคารธนชาต ก็อาจจะตอบโจทย์ความต้องการตรงจุดนี้ได้ (เผื่อใครยังไม่รู้ จริงๆแล้วบัญชีฟรีเว่อร์ไลท์ของธนาคารธนชาตเขา ให้โอนเงินฟรีค่าธรรมเนียม มาตั้งนานแล้วนะจ๊ะ ไม่ได้ตามกระแสแต่อยางใด) โดยท่ามกลางกระแสความฟรีนี้ เรียกได้ว่าธนชาตจัดเต็มไม่น้อยหน้าใคร เพราะให้ลูกค้าออมทรัพย์ธนชาต โอนเงิน และ จ่ายบิล ฟรีไม่มีค่าธรรมเนียม ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ถือได้ว่าได้ใจลูกค้าไปเต็มๆ



“บัญชีฟรีเว่อร์ไลท์” ที่ตอบโจทย์ความคุ้มทุกการใช้จ่ายยังไง?
บัญชีฟรีเว่อร์ไลท์ เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้จ่าย เพราะทำเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบออนไลน์ ในกรณีที่ใช้บริการผ่านทางเคาน์เตอร์ของสาขาธนาคารและช่องทางอื่นๆ จะเสียค่าธรรมเนียมตามปกติ แต่ถ้าเป็นช่องทาง Internet , Mobile Banking และ ATM จะฟรีค่าธรรมเนียมจ้า


ใช้บริการผ่านช่องทาง Internet และ Mobile Banking ผ่าน Thanachart Connect โมบายแอพ และ Thanachart i-Net ฟรีค่าธรรมเนียม ดังนี้

    การโอนเงินข้ามเขตในธนาคารเดียวกัน

    การโอนเงินต่างธนาคาร

    การจ่ายบิลค่าสินค้าและบริการ

    การเติมเงิน



ใช้บริการผ่านช่องทาง ATM ฟรีค่าธรรมเนียม ดังนี้

    ฟรี!! ไม่จำกัด ผ่านตู้ ATM ทุกธนาคาร

        การสอบถามยอด กดเงินผ่านตู้ ATM (ในเขต)

    ฟรี!! ไม่จำกัด ผ่านตู้ ATM ธนชาต

        การโอนเงินต่างธนาคารผ่านตู้ ATM

        การจ่ายบิลค่าสินค้าและบริการ


ในขณะที่ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตมีค่าใช้จ่ายปีละ  250 บาท ถือว่ากลางๆและค่อนข้างประหยัดกว่าที่อื่นถ้าเทียบกับธนาคารอื่นๆ ที่ฟรีค่าธรรมเนียมเหมือนกัน แต่เก็บค่าธรรมเนียมบัตร ATM หรือบัตรเดบิตที่รายปีสูงกว่า

“สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้เราจัดการเงินได้ง่ายขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เพราะประหยัดเงินที่ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมยิบย่อย”

ที่มา
https://aommoney.com/stories/pajaree/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/1677#jfovm8t494
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 05, 2018, 10:18:42 pm
ว่าด้วยเรื่อง #อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ #บัญชีเงินกู้  #อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก  #บัญชีเงินฝาก ของ #ธนาคาร
เรื่องนี้ ผมเคยเขียนไว้สมัยโบราณนานมากแล้ว เขียนไว้ประมาณ 19 มิถุนายน 2551
.----------------------------------------
เรื่องของการเงินและการธนาคาร เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใคร เราจึงควรที่จะเรียนรู้ และรู้เท่าทันกับเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องการเงินหรือการธนาคาร อีกทั้งกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพที่นับวันจะพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนมากตามเทคโนโลยี จนบางครั้งบางคนตามเหล่ามิจฉาชีพไม่ทัน ผมจึงได้นำเรื่องราวต่างๆที่เคยประสบพบเห็นและได้เจอ นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
.
เรามาว่ากันเรื่องของบัญชีออมทรัพย์ ,บัญชีกระแสรายวัน และบัญชีฝากประจำกันก่อน
.
บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการฝากและถอนเงิน โดยมีบัตรเอทีเอ็มเป็นสิ่งที่สามารถถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มจากบัญชีของตนเอง หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยน้อย
.
บัญชีกระแสรายวัน เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการใช้ในธุรกิจของตนเอง มีการสั่งจ่ายเงิน(ถอนเงิน)ในบัญชีกระแสรายวันได้หลายทาง เช่น การจ่ายเช็ค ,การถอนเงินจากบัตรเอทีเอ็ม หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ยให้
.
บัญชีฝากประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่ต้องการออมเงิน โดยมีระยะเวลาต่างๆ เช่น การฝาก 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน เป็นต้น อัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารแต่ละแห่งเป็นผู้ที่กำหนดเองว่า จะให้อัตราดอกเบี้ยจำนวนเท่าไร แต่โดยปกติหากการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ถ้าระยะเวลาที่น้อย จะได้อัตราดอกเบี้ยน้อยว่า การฝากที่ใช้ระยะเวลาที่มากกว่า ส่วนการถอนเงินเมื่อครบกำหนดที่ระบุไว้( เช่น 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน) ผู้ฝากเงินย่อมมีสิทธิที่สามารถถอนเงินจากบัญชีนั้นๆได้ โดยถอนเงินที่ทำการธนาคาร แต่ถ้าหากว่าบัญชีเงินฝากประจำที่มีกำหนดระยะเวลามากกว่า 3 เดือน เช่น ระยะเวลา 12 เดือน แต่หากเจ้าของบัญชีมีความต้องการที่จะใช้เงินก่อน สามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำนั้นๆได้ แต่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายให้กับผู้ฝากเงินนั้น จะได้เป็นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์
.
การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ จะมีอีกเรื่องที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องคือ การเสียภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หากได้ดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี จะต้องเสียภาษี 15 % ส่วนบัญชีเงินฝากประจำ ไม่ว่าจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากจำนวนเท่าไร ต้องเสียภาษี 15 % เสมอ ภาษีที่ผู้ฝากเงิน(บัญชีเงินฝากประจำ) เสียให้กับกรมสรรพากร สามารถนำไปหักลดหย่อนในการยื่นแบบการเสียภาษีประจำปีได้
.
นอกเหนือจากบัญชีเงินฝากทั้ง 3 ประเภทแล้ว ยังมีบัญชีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีที่หลายๆคนชอบ และอีกหลายๆคนไม่ชอบ นั่นก็คือบัญชีเงินกู้
.
บัญชีเงินกู้จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
1.บัญชีเงินกู้ประจำ
2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ
.
สำหรับบัญชีเงินกู้นั้น เมื่อเอ่ยคำว่า “กู้เงิน” ต้องมีสิ่งหนึ่งตามมา นั่นก็คือ “ดอกเบี้ย” ดอกเบี้ยจะแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ “ #MOR ( #MinimumOverdraftRate ) ” , “ #MLR  ( #MinimumLoanRate) ” , “ #MRR  ( #MinimumRetailRate) ” และประเภทสุดท้าย (ที่ใครๆไม่ต้องการ)คือ #อัตราดอกเบี้ยผิดนัด
.
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MOR (Minimum Overdraft Rate) ” เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
.
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MLR” (Minimum Loan Rate) , “MRR” (Minimum Retail Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้ประจำ หรือบัญชีเงินกู้อื่นๆ
.
อัตราดอกเบี้ยทั้งสามประเภท เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ลอยตัว ไม่ใช่ล่องลอยไปในอากาศ แต่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารสามารถปรับขึ้นหรือลง ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการบริหารของธนาคารนั้นๆ
.
ผมมาอธิบายต่อสำหรับบัญชีเงินกู้ประเภทต่างๆนะครับ
.
1.บัญชีเงินกู้ประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารให้กู้เงินเพื่อใช้สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย (แม้บางครั้ง ผู้กู้จะไม่ได้ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง แต่อาจจะเป็นการให้บุคคลอื่นเช่าก็มี) อัตราดอกเบี้ยก็จะแตกต่างกันในแต่ละธนาคาร จะใช้ประเภทของอัตราดอกเบี้ยอยู่ 2 ลักษณะคือ “MLR” (Minimum Loan Rate) หรือ “MRR” (Minimum Retail Rate) แล้วแต่ แต่ละธนาคารเป็นผู้ที่กำหนด
.
2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นบัญชีที่บุคคลที่ทำธุรกิจต่างๆ ใช้กันโดยบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจะเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นบัญชีที่ใช้สำหรับการหมุนเวียนในธุรกิจ โดยผู้ที่มีบัญชีประเภทนี้ ต้องนำโฉนดที่ดิน(จะมีสิ่งปลูกสร้างด้วนหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร) หรือนำบัญชีเงินฝากประจำ มาเป็นหลักประกันเงินกู้ประเภทนี้ หรือในบางครั้งก็จะเป็นผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นผู้ค้ำประกันส่วนตัวเต็มวงเงินก็มี บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีนี้ จะใช้อัตราดอกเบี้ย คือ “MOR (Minimum Overdraft Rate)
.
3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ เช่น การมีวงเงินหนังสือค้ำประกัน ,การมีวงเงินการเปิด LC และTR , วงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคล ,บัตรเครดิต สำหรับบัญชีเงินกู้ในกลุ่มนี้ ผมขออธิบายเฉพาะเรื่องของวงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตในช่วงต่อๆไป แต่เรื่องของวงเงินกู้ในประเภทอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะ ผมไม่ขออธิบายครับ
.
สิ่งต่างๆที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังนี้ หลายๆท่านคงทราบกันดีแล้ว แต่ผมนำมาเกริ่นเรื่องราวที่จะบอกกันต่อๆไป และเผื่อท่านใดที่ไม่ทราบ จะได้ทราบกัน
.
มาว่ากันต่อ
.
เรื่องของการนำเอกสาร(ของตนเอง) นำไปเปิดบัญชีกับธนาคาร เช่นบัตรประชาชน เวลาที่เราจะเซ็นชื่อเพื่อรับรองสำเนาถูกต้องนั้น เราควรที่จะเขียนลงบนสำเนาบัตรประชาชนว่า ใช้เพื่อเปิดบัญชี(ออมทรัพย์หรือกระแสรายวันหรือฝากประจำ) กับธนาคาร.....เท่านั้น และควรเขียนลงบนรูปสำเนาบัตรประชาชนด้วย
.
เรื่องของบัญชีธนาคารต่างๆที่เปิดไว้ เราควรจดประเภทของบัญชี ,เลขที่บัญชี ,ธนาคาร-สาขา และหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับสาขาที่เราเปิดบัญชีไว้ อีกทั้งหมายเลขโทรศัทพ์ที่สามารถติดต่อกับธนาคารกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน(เช่นบัตรเอทีเอ็มหาย)ไว้
.
https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/page-873
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2018, 05:30:16 am
ว่าด้วยเรื่อง #สามยทรัพย์ และ #ภารยทรัพย์
ผมขอนำมาลงให้อ่านกัน เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น  ขอให้อ่านให้ครบครับ จะได้เป็นประโยชน์กับตัวของท่านเอง
ขอขอบคุณ ที่มา ทุกๆ ที่มา เป็นอย่างสูง ครับ
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934834770036243?__xts__%5B0%5D=68.ARBrOJhIfuhMTiX84T17Lsjdg__mE8y7t8bt9KT8ZEYgmZPsZ3aOMASN3PudVWUNshiugn3mZfPC5f9yGnX8MXrBjxZHWSe0D_PpwmKsgjwuXYdPkMkpHk5c_nuu1YTmOLc4I6HuCjZnsezkMcl4y-ePDNz137l3jMuYWqQiMssJq4SZ7S1H&__tn__=K-R (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934834770036243?__xts__%5B0%5D=68.ARBrOJhIfuhMTiX84T17Lsjdg__mE8y7t8bt9KT8ZEYgmZPsZ3aOMASN3PudVWUNshiugn3mZfPC5f9yGnX8MXrBjxZHWSe0D_PpwmKsgjwuXYdPkMkpHk5c_nuu1YTmOLc4I6HuCjZnsezkMcl4y-ePDNz137l3jMuYWqQiMssJq4SZ7S1H&__tn__=K-R)
.
*****--------------------------*****
.
สามยทรัพย์   (สามะยะ-) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอม, คู่กับ ภารยทรัพย์.
ภารยทรัพย์   (พาระยะซับ) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอม, คู่กับ สามยทรัพย์.
ที่มา https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A (https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A)
.
*****--------------------------*****
.
ภารยทรัพย์   (พาระยะซับ) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอม, คู่กับ สามยทรัพย์.
สามยทรัพย์   (สามะยะ-) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอม, คู่กับ ภารยทรัพย์.

อังกฤษ-ไทย: ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน [เชื่อมโยงจาก royin.go.th แบบอัตโนมัติและผ่านการปรับแก้]
servient property   ภารยทรัพย์ [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕]
easement   สิทธิเหนือภารยทรัพย์ [ดู servitude ประกอบ] [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔]
easement   สิทธิใช้ภาระจำยอม, สิทธิเหนือภารยทรัพย์ [ดู servitude ประกอบ] [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕]
ที่มา  https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A (https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A)
.
*****--------------------------*****
.
ทางภาระจำยอม และ ทางจำเป็น
การตรวจสอบทางเข้าออก ทางภาระจำยอม ทางจำเป็น
.
การตรวจสอบทางเข้าออกแปลงที่ดินมีความสำคัญ และต้องตรวจถึงกรรมสิทธิ์แปลงที่ดินที่ใช้เป็นทางเข้าออก เพราะไม่ใช่ว่ามีป้ายของเทศบาลหรือของกทมติดอยู่จะแปลว่าทางนั้นเป็นทางสาธารณประโยชน์ เกิดไปเจอเจ้าของที่ซึ่งใช้เป็นทางมาเล่นแง่ทางกฎหมายภายหลังไม่ให้ใช้เป็นทางผ่านเข้าออกจะเสียเวลาและ (อาจหมายถึง) เสียเงินทองอีกต่างหาก
.
ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินการตรวจสอบทางเข้าออกนับเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าที่ประเมิน การตรวจสอบว่าถนนทางเข้าออกเป็นทางประเภทใด มีปัญหาจำกัดสิทธิหรือ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
.
    ถนนสาธารณประโยชน์
    ถนนภายใต้การจัดสรรที่ดิน สำหรับแปลงที่อยู่ภายใต้โครงการจัดสรร แปลงอื่นนอกโครงการจะมาใช้ไม่ได้
    ถนนส่วนบุคคลทั่วไปที่แบ่งเป็นทางเข้าออกไว้ ซึ่งอาจะให้ใช้โดยทั่วไป หรือเป็นทางภาระจำยอม หรือทางจำเป็นก็ได้
.
ถนนตามข้อ 1 และ 2 จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นถนนส่วนบุคคลอาจจะต้องมาตรวจสอบโดยละเอียด ถนนหรือซอยบางสายอาจจะเป็นถนนอุทิศโดยปริยายก็ได้
.
ถนนอุทิศคืออะไร มีผลอย่างไรบ้าง

    การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ ย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนำอุทิศ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนโอน แม้หนังสืออุทิศระบุว่าจะไปจดทะเบียนก็ตาม และศาลจะบังคับให้ผู้อุทิศไปจดทะเบียนก็ไม่ได้เช่นกัน
    เมื่อมีการอุทิศให้แล้ว แม้ผู้ที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศก็ตาม ก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
    การอุทิศให้สาธารณะอาจทำโดยปริยาย คือ การยอมให้ประชาชนใช้สอยที่ดิน โดยไม่หวงกั้น ก็ได้
    ทรัพย์ใดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมเป็นตลอดไป แม้พลเมืองจะเลิกใช้ไปแล้วก็ตาม
.
แต่ถนนส่วนบุคคล จะต้องตรวจสอบว่าเป็นทางที่ใช้เฉพาะเจ้าของแปลงหรือเปิดทางให้คนอื่นใช้ โดยเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นหรือไม่
.
ทางภาระจำยอมและทางจำเป็น

แปลงที่ดินที่ไม่ได้ติดถนน ซอย ทางสาธารณะ จะต้องขอทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นแล้วแต่กรณี
ทางภาระจำยอม

ทางภาระจำยอม คือทางที่ได้มีการระบุไว้ที่แปลงที่เป็นภารยทรัพย์ (คือแปลงถนน) ว่ายอมให้แปลงสามยทรัพย์ (แปลงที่ดินที่ได้ประโยชน์จากทาง) โดยคนที่จะขอเปิดทางภาระจำยอม จะมีหลักดังนี้

    ผู้ที่จะฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ติดทางที่จะขอเท่านั้น
    การได้ภาระจำยอมโดยอายุความเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้น ผู้ที่จะอ้างการได้มาซึ่งทางภาระจำยอมโดยอายุความจึงต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น ผู้เป็นเจ้าของบ้านแต่มิได้เป็นเจ้าของที่ดินไม่อาจอ้างการได้สิทธิโดยอายุความได้
    ผู้เช่าหรือผู้อาศัยซึ่งใช้เดินผ่านที่ดินของผู้อื่น แม้จะไม่มีสิทธิได้ภาระจำยอม แต่หากต่อมาบุคคลดังกล่าวได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในภายหลังก็มีสิทธิในภาระจำยอมได้ และมีสิทธินับระยะเวลาตอนใช้ภารยทรัพย์ในขณะเป็นผู้เช่าผู้อาศัยรวมเข้ากับระยะเวลาภายหลังได้กรรมสิทธิ์ด้วย
.
    กรณีกรรมสิทธิ์รวม เมื่อได้มีการแบ่งแยกครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว ย่อมนับอายุในการเดินเพื่อภาระจำยอมได้ แต่ถ้ายังไม่ได้แยกครอบครองก็ยังไม่เริ่มนับ
    อายุความภาระจำยอม ไม่ว่าที่ดินจะเป็น น.ส.4 หรือ น.ส.3 ก็ต้องใช้เวลาเดิน 10 ปี เพราะมาตรา 1401 ให้อายุความได้สิทธิในลักษณะ 3 มาใช้ ซึ่งได้แก่ มาตรา 1382 ครอบครองปรปักษ์ 10 ปี
.
    การใช้ภาระจำยอมโดยถือวิสาสะ หรือได้ขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินแล้ว เท่ากับยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน ไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
    การได้ภาระจำยอมโดยอายุความไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนหรือค่าเสียหายแก่ภารยทรัพย์
    เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิกระทำทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษา และใช้ภาระจำยอม การจดทะเบียนภาระจำยอมก็เป็นการกระทำเพื่อรักษาสิทธิ เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จดทะเบียนภาระจำยอมได้
    ภาระจำยอมที่เกิดขึ้นโดยสัญญา เมื่อมีการจำหน่ายสามายทรัพย์ ภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ เว้นแต่ข้อสัญญากำหนดไว้เป็นอย่างอื่นแม้จะยังไม่จดทะเบียนก็ตาม
.
กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
.
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 4

มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอม อันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบต่อทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา 1388 เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์

มาตรา 1389 ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้

มาตรา 1390 เจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถทำอะไรซึ่งจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวก

มาตรา 1391 เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ ก็แต่น้อยสุดตามพฤติการณ์ เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วย ต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ

มาตรา 1392 ถ้าภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง

มาตรา 1393 ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระจำยอม ภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ซึ่งได้จำหน่ายหรือตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่น

มาตรา 1394 ถ้ามีการแบ่งแยกภารยทรัพย์ ภาระจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก แต่ถ้าในส่วนใดภาระจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ เจ้าของส่วนนั้นจะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมก็ได้

มาตรา 1395 ถ้ามีการแบ่งแยกสามยทรัพย์ ภาระจำยอมยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกส่วนที่แยกออกนั้น แต่ถ้าภาระจำยอมนั้นไม่ใช้ และใช้ไม่ได้ตามรูปการเพื่อประโยชน์แก่ส่วนใด เจ้าของภารยทรัพย์จะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนนั้นก็ได้

มาตรา 1396 ภาระจำยอมซึ่งเจ้าของรวมแห่งสามยทรัพย์คนหนึ่งได้มา หรือใช้อยู่นั้น ให้ถือว่าเจ้าของรวมได้มาหรือใช้อยู่ด้วยกันทุกคน

มาตรา 1397 ถ้าภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดท่านว่าภาระจำยอมสิ้นไป

มาตรา 1398 ถ้าภารยทรัพย์และสามยทรัพย์ตกเป็นของเจ้าของคนเดียวกัน ท่านว่าเจ้าของจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมก็ได้ แต่ถ้ายังมิได้เพิกถอนทะเบียนไซร้ภาระจำยอมยังคงมีอยู่ในส่วนบุคคลภายนอก

มาตรา 1399 ภาระจำยอมจะหมดไปถ้ามิได้ใช้สิบปี

มาตรา 1400 ถ้าภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ถือว่าภาระจำยอมนั้นสิ้นไป แต่ถ้ากลับใช้ภาระจำยอมอีก ให้ถือว่าภาระจำยอมนั้นกลับมีขึ้นอีก แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ก่อน ถ้าภาระจำยอมยังเป็นประโยชน์แก่สามยทรัพย์อยู่ แต่เมื่อเทียบกับภาระอันตกอยู่กับภารยทรัพย์แล้วประโยชน์นั้นน้อย เจ้าของภารยทรัพย์จะขอให้พ้นจากภาระจำยอมทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้แต่ต้องใช้ค่าทดแทน

มาตรา 1401 ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ทางจำเป็น

ทางจำเป็นเกิดจากกรณีที่ที่ดินถูกล้อมจนไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ต้องเป็นทางสาธารณะที่ใช้งานได้สะดวก เช่น ถ้าติดคลองสาธารณะ แต่คลองนั้นตื้นเขินจนไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้หรือใช้ได้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่สามารถใช้สัญจรได้ตลอดปี หรือที่ที่มีความลาดชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก ก็ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะ แต่ถ้าเป็นเพียงเนินดินที่ยังสามารถเข้าออกสะดวกทั้งคนทั้งรถก็ไม่สามารถขอเปิดทางจำเป็นได้

ผู้ขอเปิดทางจำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น ถ้าเป็นเพียงเจ้าของโรงเรียนสิ่งปลูกสร้างไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินจะขอเปิดทางจำเป็นไม่ได้

การได้สิทธิใช้ทางจำเป็น ไม่จำเป็นต้องมีนิติกรรมสัญญาระหว่างเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมกับเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพราะทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย แม้เพิ่งเข้ามาอยู่ในที่ดินซึ่งถูกล้อมก็ขอใช้ทางจำเป็นได้ แต่ถ้าก่อนซื้อที่ดินมาได้รู้อยู่แล้วว่าทางจำเป็นใช้เฉพาะเดินเข้าออกเท่านั้น เมื่อซื้อทีดินมาแล้วจะขอขยายทางจำเป็นเพื่อใช้รถยนต์ผ่านทางจำเป็นไม่ได้

ทางจำเป็นคงมีอยู่ตราบเท่าที่ยังจำเป็น ถ้าต่อมาผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินซื้อที่ดินแปลงต่อเนื่องทำให้มีทางออกสู่สาธารณะได้ถือว่าทางจำเป็นนั้นสิ้นสุดเพราะหมดความจำเป็น
ข้อแตกต่างระหว่างทางจำเป็นกับทางภาระจำยอม

ทางจำเป็นกับทางภาระจำยอมจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่พอจะแยกให้เห็นความแตกต่างได้ดังนี้

    ผู้ที่จะใช้สิทธิในทางจำเป็นได้จะต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น หากเป็นเจ้าของโรงเรือนแต่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน แม้จะถูกที่ดินอื่นล้อมก็ไม่มีสิทธิขอใช้ทางจำเป็น
    การใช้ทางจำเป็นจะต้องเป็นการขอผ่านไปสู่ทางสาธารณะเท่านั้น จะขอผ่านไปสู่สถานที่หรือทางอย่างอื่นนอกจากทางสาธารณะไม่ได้ แต่ทางภาระจำยอมผ่านไปสู่ที่ใดก็ได้
    ทางจำเป็นเกิดขึ้นกรณีที่ที่ดินถูกล้อมอยู่จนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ เป็นการได้สิทธิโดยกฎหมาย แต่การขอใช้ทางภาระจำยอมไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ดินที่ถูกล้อมจนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ แม้ที่ดินไม่ถูกล้อมก็สามารถขอใช้ทางภาระจำยอมได้ โดยอาจได้สิทธิภาระจำยอมโดยนิติกรรม หรือโดยอายุความ
    ผู้ขอใช้ทางจำเป็นจะต้องเสียค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ แต่ทางภาระจำยอมโดยนิติกรรม กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเสียค่าทดแทนจึงแล้วแต่จะตกลงกันว่าจะมีการเสียค่าทดแทนหรือไม่
    ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย การได้สิทธิไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนภาระจำยอมที่ได้มาโดยนิติกรรมต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 1299 วรรค 1 มิฉะนั้นไม่บริบูรณ์

การพิจารณาทางจำเป็น

การทำทางผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ต้องให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้ขอผ่านและให้ที่ดินที่ล้อมอยู่เสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นอาจขอทางจำเป็นทำถนนให้รถยนต์ผ่านได้ แต่ถ้าผู้ขอทางจำเป็นไม่มีรถยนต์ใช้จะขอทำถนนสำหรับรถยนต์ไม่ได้ ถือว่าเกินความจำเป็น

การใช้ทางจำเป็นไม่จำกัดอาจเป็นทางน้ำก็ได้ เช่น ที่ดินตั้งอยู่ในบริเวณที่มีทางสาธารณะเป็นทางน้ำ การสัญจรไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ เช่นนี้จะขอทางน้ำสำหรับใช้เรือผ่านไปมาได้ เว้นแต่จะเกินจำเป็นแก่ผู้ขอผ่านและเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ให้ผ่านมาก เช่น ขอขุดคูคลองในที่ดินปิดล้อม เป็นเหตุให้เสียเนื้อที่มากอาจให้ได้เฉพาะแต่เดินผ่านที่ดินก็ได้

การที่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะขอใช้ทางจำเป็นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ต้องพิจารณาด้านที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุด และเหมาะสมแก่ความจำเป็นที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะออกทางใดก็ได้ อย่างไรก็ดี แม้จะออกได้ก็ต้องให้เขาได้รับความเสียหายน้อยที่สุดจะเลือกตามชอบใจไม่ได้
การได้มาและการสิ้นสุดของทางจำเป็น

โดยที่ทางจำเป็นเป็นเรื่องการได้สิทธิโดยกฎหมาย ดังนั้น ทางจำเป็นจึงไม่ต้องจดทะเบียนแต่ประการใด แต่ผู้ขอใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนอันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดจากการใช้ทางจำเป็นนั้นให้แก่เจ้าของที่ดินที่ให้ใช้ทาง อาจมีการตกลงกันให้จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมก็ได้ ทางจำเป็นนั้นก็กลายเป็นทางภาระจำยอม

แม้จะบอกว่าทางจำเป็นไม่ต้องจดทะเบียน แต่หากมีกรณีพิพาทตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องขึ้นศาล อาศัยคำพิพากษาของศาลให้จดทะเบียนทางจำเป็น ดำเนินการโดยอนุโลมปฏิบัติเช่นเดียวกับการจดทะเบียนภาระจำยอม

ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยเป็นการได้สิทธิตามกฎหมายเมื่อมีความจำเป็น ดังนั้น ถ้าหมดความจำเป็นไม่ถูกล้อมเมื่อใด เช่น ซื้อที่ดินติดต่อกับทางสาธารณะออกเองได้ทางจำเป็นก็จะต้องสิ้นสุดไป เว้นแต่ไปจดขอเป็นทางภาระจำยอม

หลักกฎหมายเกี่ยวกับทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 แดนแห่งกรรมสิทธิ์ และการใช้กรรมสิทธิ์ บัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา 1349 ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่สาธารณะได้ ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันมีระดับที่ดินกับ ทางสาธารณะ สูงกว่ากันมากให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ

ที่และวิธีทาทางผ่านนั้นต้องให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้

มาตรา 1350 ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่สาธารณะไซร้ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน
ค่าทดแทน

ในเรื่องการขอใช้ทางจำเป็น กฎหมายบังคับว่า ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ โดยค่าทดแทนอาจมีได้ 2 ประการ คือ

    ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่มีทางผ่าน เช่นตัดต้นไม้แผ้วทาง ขุดคูคลอง
    ค่าทดแทนที่เป็นค่าใช้ที่ดินของเขาเป็นทาง การที่ต้องมีทางผ่านไปย่อมทำให้เจ้าของที่ดินไม่ได้ใช้ที่ดินตรงนั้นทำประโยชน์ได้ตามประสงค์ การใช้ค่าทดแทนในกรณีนี้คล้ายกับเป็นค่าเช่า จะตกลงกันเป็นรายปีหรือเป็นเงินก้อนก็ได้

หลักกฎหมายเกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป บัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา 1304 สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น

    ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน
    ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่าที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ
    ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่าป้อม และโรงทหาร สานักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์

มาตรา 1305 ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น จะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 1306 มิให้ยกอายุความขึ้นสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

มาตรา 1307 มิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
ที่มา https://medium.com/laws-and-regulations/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81-1085f3a43564 (https://medium.com/laws-and-regulations/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81-1085f3a43564)
.
*****--------------------------*****
.
ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม
เขียนโดย bopitv เมื่อ พฤ, 01/24/2008 - 00:51. | in

    นิติศาสตร์ บทความกฎหมาย ทางจำเป็น ภารจำยอม

วันที่เอกสารถูกสร้าง:
23/01/2008
ที่มา:
www.dtl-law.com (http://www.dtl-law.com)

ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม


        ทางจำเป็น

        ทางจำเป็น เป็นเรื่องของที่ดินที่ถูกล้อมจนไม่มีทางออกสู่สาธารณะ ดังนั้นกฎหมายจึงได้บัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อมให้มีสิทธิผ่านที่ดินแปลงอื่นที่ล้อมอยู่ที่ใกล้ที่สุดออกไปสู่ทางสาธารณะได้ (เจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อม รวมถึง คนในครอบครัวและบริวารด้วย)

        ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา ๑๓๔๙ บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทาง สาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ ทางสาธารณะได้ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเลหรือมีที่ชัน อันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรค ต้นบังคับ ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะ ผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพื่อความ เสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหาย เพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้”


        การได้มา

        ทางจำเป็น เป็นการใช้สิทธิโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นการได้สิทธิโดยผลแห่งกฎหมาย

        องค์ประกอบของทางจำเป็น

        1.ต้องเป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่

        2.ที่ดินที่ถูกล้อมนั้นต้องไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ (ข้อยกเว้น ถ้ามีทางออกอยู่ตามหลักข้างต้น แต่ต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชัน ซึ่งมีระดับสูงกว่ากันมาก ก็นำหลักข้างต้นมาใช้ได้


        วิธีทำทางจำเป็น

        ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิจะผ่าน โดยให้ทำให้พอควรแก่ความจำเป็นแต่ต้องคำนึงถึงความเสียหายของที่ดินที่จะต้องทำทางผ่านให้น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นจะทำเป็นถนนก็ได้ สิทธิของเจ้าของที่ดินที่ถูกทางผ่าน ผู้มีสิทธิใช้ทางผ่านต้องใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นซึ่งอาจคิดเป็นเงินครั้งเดียวหรือรายปีก็ได้ (นอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗


        ภารจำยอม

        ภารจำยอม คือทรัพยสิทธิชนิดหนึ่งที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิโดยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หนึ่งๆที่เรียกว่า ภารทรัพย์ ต้องรับกรรมหรือภาระบางอย่างที่กระทบกระเทือนต่อทรัพย์สินของตน หรือทำให้ต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นเพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่า สามยทรัพย์

        ตัวอย่าง เช่น การที่เจ้าของที่ดินแปลง ก. มีสิทธิเดินผ่านที่ดินแปลง ข. หรือมีสิทธิวางท่อน้ำผ่านหรือมีสิทธิปลูกโรงเรือนล่วงล้ำเข้าไป ดังนี้เรียกว่า เจ้าของที่ดินแปลง ก.มีภารจำยอมเหนือที่ดินแปลง ข.


        การได้มาซึ่งภารจำยอม

        กรรมสิทธิ์แห่งภารจำยอม อาจจะได้มาโดยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ

        1.โดยนิติกรรม

        2.โดยอายุความ

        3.โดยผลแห่งกฎหมาย

        โดยนิติกรรม เป็นการตกลงระหว่างเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่จะให้อสังหาริมทรัพย์หนึ่ง ตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมเพื่อเป็นประโยชน์แก่อีกอสังหาริมทรัพย์หนึ่ง โดยอาจจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ได้

        ตัวอย่าง เช่น เจ้าของที่ดินแปลง ก. ยอมให้เจ้าของที่ดินแปลง ข. ได้ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลง ก. สำหรับการเปิดทางสู่ทางสาธารณะมีกำหนด 10 ปี หรือ เจ้าของที่ดินแปลง ก. ตกลงว่า จะไม่ปลูกอาคารปิดกั้นทางลมและแสงสว่างแก่โรงเรือนของ ข. มีกำหนด 20 ปี

        การทำนิติกรรมเพื่อให้มาซึ่งภารจำยอมนี้ อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก กล่าวคือ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถใช้ยันบุคคลภายนอกได้ แต่ก็อาจจะใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาในฐานะเป็นบุคคลสิทธิได้ นอกจากนี้ สิทธิดังกล่าวย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา ๑๕๙๙ และ๑๖๐๐

        โดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ที่บัญญัติไว้ว่า “ ภารจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ ๓ แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

        อายุความได้สิทธิที่จะนำมาใช้กับภารจำยอมคือมาตรา ๑๓๘๒ อันเกี่ยวข้องกับการครอบครองโดยปรปักษ์ ดังนั้น หากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ใช้อสังหาริมทรัพย์อื่น โดยสงบและเปิดเผยและมีเจตนาที่จะให้ได้ในสิทธิภารจำยอมของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี ย่อมได้ภารจำยอมเหืออสังหาริมทรัพย์นั้น โดยไม่จำเป็นว่า จะต้องมีประชาชนทั่วไปหรือบุคคลใช้เป็นประจำด้วยหรือไม่ และสืบเนื่องตามมาตรา ๑๓๘๗ ที่กล่าวเพียงเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ดังนั้นสามยทรัพย์และภารทรัพย์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ติดกันก็ได้ อาจจะมีที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นคั่นอยู่ระหว่างกลางก็ได้เช่นกัน


        สิทธิและหน้าที่ของสามยทรัพย์

        1.เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำการใดอันเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์

        ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๘ การดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์นั้น สามารถกระทำได้ในขอบเขตเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าหากเป็นการเพิ่มภาระให้แก่เจ้าของภารยทรัพย์แล้วก็ไม่สามารถกระทำได้ ตัวอย่างเช่น หากได้ภารจำยอมให้ทำทางเดินกว้าง ๑ เมตรสำหรับเดินทาง จะสร้างเป็นทางกว้าง ๓ เมตรสำหรับรถใช้สัญจร ย่อมไม่อาจกระทำได้ หรือได้รับภารจำยอมให้ใช้น้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกบนสามยทรัพย์ ก็ไม่สามารถที่จะขยายไปจนถึงใช้น้ำสำหรับอุปโภคสำหรับกิจการอื่น ที่จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของภารยทรัพย์ได้

        เช่นเดียวกันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๙ ยังได้บัญญัติเพิ่มเติมไว้ ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ท่านว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้ อันหมายความว่า แม้ความต้องการของเจ้าของสามยทรัพย์จะเปลี่ยนแปลง ก็ยังไม่สามารถที่จะกระทำการใดๆอันเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์ได้ เช่น แต่เดิมได้ภารจำยอมให้นำรถบรรทุกผ่านที่ดินภารยทรัพย์เพื่อนำผลไม้ไปขายปีละ สองเดือน แต่เมื่อเปลี่ยนประเภทของไม้ผลที่ปลูก ทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น จะนำรถบรรทุกผ่านเป็นปีละ สี่หรือห้าเดือน เช่นนี้ย่อมไม่ได้ เพราะถือเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าของภารยทรัพย์ในการต้องดูแลและซ่อมแซมทางที่อาจจะเกิดความเสีบหาย

        2.เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการใดๆเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมได้โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการนั้นๆเอง ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๓๙๑ ความว่า “ เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันเป็นจำเป็น เพื่อรักษาและใช้ภารจำยอม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในกรณีนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

        เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนประโยชน์ที่ได้รับ” เช่น หากได้ภารจำยอมให้ตัดถนนผ่านภารยทรัพย์ เจ้าของสามยทรัพย์ ก็มีสิทธิที่จะถมหรือปรับปรุง ตกแต่งให้เป็นถนนที่พร้อมสำหรับใช้สอย โดยต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และถ้าหากจำเป็นก็อาจจะตัดต้นไม้สองข้างทางได้ แต่ต้องกระทำเท่าที่จำเป็น ตามที่บทบัญญัติมาตราที่ ๑๓๘๘ และ ๑๓๘๙ ในข้างต้น และตามวรรคสอง หากประโยชน์ที่ได้จากการดัดแปลงนั้น เป็นผลดีต่อเจ้าของภารยทรัพย์ด้วยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องช่วยกันออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามส่วนแบ่งแห่งประโยชน์ที่เจ้าของภารยทรัพย์ได้รับ


        สิทธิและหน้าที่ของเจ้าของภารยทรัพย์

        1. เจ้าของภารยทรัพย์ ไม่สามารถกระทำการใดๆอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงหรือเสื่อมความสะดวกได้ ตามมาตรา ๑๓๙๐ “ ท่านมิให้เจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใดๆอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดหรือเสื่อมความสะดวกไปมิได้”

        เมื่อสังหาริมทรัพย์ใดอยู่ใต้ภารยจำยอมแล้ว เจ้าของภารยทรัพย์ก็มีหน้าที่ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นกับอสังหาริมทรัพย์ของตนในทุกกรณี โดยไม่มีสิทธิที่จะขัดขวางใดๆ เช่น ได้ภารจำยอมให้ทำทางเดินผ่านที่ดิน เจ้าของที่ดินไม่สามารถนำหินหรือสิ่งใดมากีดขวางเส้นทาง และถ้าเจ้าของสามยทรัพย์ได้รับความเสียหายเพราะการขัดขวางนั้นๆ ก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายได้

        2. เจ้าของภารยทรัพย์มีสิทธิขอให้ย้ายภารจำยอมไปยังส่วนอื่นของภารยทรัพย์ได้ หากการกระทำนั้น ไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลงไป และการกระทำดังกล่าวจะต้องเป็นประโยชน์กับเจ้าของภารยทรัพย์ด้วย โดยทั้งนี้ เจ้าของภารยทรัพย์ต้องยอมออกค่าใช้จ่ายเอง ตามมาตรา ๑๓๙๒ “ ถ้าภารจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ แต่ต้องแสดงได้ว่า การย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตน และรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำใหความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดลง”

        ตัวอย่าง เช่น ในกรณีที่มีบ้านติดกัน บ้านหลังหนึ่งได้ภารจำยอมให้วางท่อน้ำหันไปยังอีกบ้าน เจ้าของบ้านที่อยู่ปลายท่ออาจจะยกเอข้ออ้างเรื่องความไม่สะดวกของการรองรับน้ำ มาขอให้เจ้าของบ้านสามยทรัพย์หันท่อไปทางอื่นได้ โดยต้องยอมออกค่าใช้จ่ายในการย้ายท่อให้เอง


        การระงับสิ้นไปของภารจำยอม

        1.เมื่อมีนิติกรรมที่กำหนดให้ภารจำยอมหมดสิ้นไป ระหว่างเจ้าของสามยทรัพย์และเจ้าของภารยทรัพย์ ซึ่งนิติกรรมดังกล่าวนี้ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา ๑๒๙๙ และ ๑๓๐๑ จึงจะใช้ยันบุคคลภายนอกได้

        2.เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไป ตามมาตรา ๑๓๙๗ “ ถ้าภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ได้สลายไปทั้งหมด ท่านว่าภารจำยอมย่อมสิ้นไป” แต่ถ้าหากมีการสลายไปเพียงบางส่วน ภารจำยอมก็ยังสามารถใช้การต่อได้

        3.เมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์แห่งภารจำยอมเป็นเวลาสิบปี ตามมาตรา ๑๓๙๙ “ ภารจำยอมนั้น ถ้ามิได้ใช้สิบปี ท่านว่าย่อมสิ้นไป” บทบัญญัติดังกล่าวใช้ครอบคลุมถึงภารจำยอมในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นทางนิติกรรม อายุความหรือผลแห่งกฎหมาย แต่ในกรณีที่เป็นภารจำยอมที่ได้มาโดยการจดทะเบียน เวลายกเลิกก็ต้องจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่เช่นกัน

        4.เมื่อภารยทรัพย์และสามายทรัพย์ตกเป็นเจ้าของคนเดียวก้น ตามมาตรา ๑๓๙๘ “ ถ้าภารยทรัพย์และสามายทรัพย์ตกเป็นเจ้าของคนเดียวกัน ท่านว่า เจ้าของจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอมก็ได้ แต่ถ้ายังมิได้เพิกถอนไซร้ ถารจำยอมยังมีอยู่ในส่วนบุคคลภายนอก” ทั้งนี้เนื่องจาก ภารจำยอมเกิดขึ้นในกรณีบนพื้นฐานของความขัดแย้งของอสังหาริมทรัพย์ระหว่างสองบุคคล ดังนั้น เมื่อเจ้าของได้กลายเป็นคนเดียวกันแล้ว ภารจำยอมย่อมหมดไป แต่ถ้าภารจำยอมนั้นได้มาจากการจดทะเบียน ก็จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนเพิกถอนระงับต่อหน้าเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถอ้างยันต่อบุคคลได้ในกรณีใดๆ ไม่ว่าบุคคลภายนอกจะเป็นผู้สุจริตหรือเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม

        หากเป็นกรณีตรงข้าม คือได้ภารจำยอมโดยอายุความและไม่ได้จดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ไม่ต้องจดทะเบียนระงับแต่อย่างใดและสามารถใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้เลย เนื่องจากอายุความของภารจำยอมจะต้องมีการนับใหม่เมื่อระงับไปแล้ว ไม่สามารถจะนับอายุความเดิมรวมไปด้วย

        5. เมือภารจำยอมไม่มีความจำเป็นหรือหมดประโยชน์ต่อสามายทรัพย์ หรือมีประโยชน์เหลือน้อยจนไม่คุ้มกับภาระที่ภารยทรัพย์ต้องรับอยู่ ตาม ปพพ. มาตรา ๑๔๐๐ ที่บัญญัติว่า เมื่อภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามายทรัพย์ไซร้ ท่านว่า ภารจำยอมนั้นสิ้นไป แต่ถ้าความเป็นไปมีทางให้กลับใช้ภารจำยอมได้ไซร้ ท่านว่า ภารจำยอมนั้นย่อมกลับมีอีก แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ในมาตราก่อน

        ถ้าภารจำยอมยังเป็นประโยชน์แก่สามายทรัพย์บ้าง แต่เมื่อเทียบกันภารยะอันตกอยู่แก่ภารยทรัพย์แล้ว ประโยชน์นั้นน้อยนักไซร้ ท่านว่าเจ้าของภารยทรัพย็จะขอให้พ้นจากภารจำยอมทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้ แต่ต้องใช้ค่าทดแทน”

        การสิ้นสุดของภารจำยอมโดยวิธีนี้ อาจจะทำให้ภารจำยอมเกิดขึ้นอีกก็ได้ หากภารจำยอมนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสามายทรัพย์ต่อไป และเจ้าของสามายทรัพย์สามารถเรียกร้องสิทธิได้ภายใน 10 ปี นับตั้งแต่การยกเลิกในครั้งแรก


        สรุป ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม

        1.ทางจำเป็นเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ดินโดยเฉพาะ ในขณะที่ภารจำยอมได้ครอบคลุมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่น บ้าน อาคาร ด้วย

        2.ทางจำเป็นนั้น เป็นข้อจำกัดกรรมสิทธิ์ ที่ได้มาโดยกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องทำหนังสือและจดทะเบียน(ตามมาตรา 1338) ในขณะที่ภารทรัพย์หรือกรรมสิทธิ์อันเกี่ยวกับภารจำยอมนั้น จำเป็นที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน (ตามมาตรา 1299) จึงจะมีผลสมบูรณ์และใช้ยันบุคคลภายนอกได้ ไม่ว่าจะได้มาโดยผลแห่งนิติกรรมหรือายุความก็ตาม

        3.ทางจำเป็นนั้น ต้องเป็นการใช้เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่ภารจำยอมนั้นจะอาศัยออกไปยังที่อื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นทางสาธารณะก็ได้

        4.กรรมสิทธิ์ของทางจำเป็นนั้น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์ผ่านทางไม่สามารถได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม เพราะการผ่านทางหรือทำทางจำเป็นนั้น ถือเป็นการผ่านโดยสุจริตและเคารพในสิทธิของเจ้าของที่ดินผู้มีสิทธิในทางเดินผ่าน ในขณะที่การได้ซึ่งภาระจำยอมนั้น สามารถได้กรรมสิทธิ์มาตามหลักของการครอบครองโดยปรปักษ์ ( ตามมาตรา)

        5.ทางจำเป็นนั้น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์จะต้องจ่ายค่าทดแทนเสมอ แต่ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์ในภาระจำยอมนั้น ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายทดแทนใดๆ นอกจากการเสียค่าบำรุงอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นๆเอง

        6.การได้กรรมสิทธิ์แห่งทางจำเป็นนั้น จะมีขึ้นได้เมื่อที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าต่อมาที่ดินแปลงนั้นมีทางออกสู่ทางสาธารณะ ความจำเป็นในการใช้ทางจำเป็นก็จะหมดสิ้นไป ส่วนการยกเลิกภาระจำยอมนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการตกลงซึ่งกันและกัน หรือหากเป็นการได้ภาระจำยอมตามอายุความ ต้องเป็นในกรณีที่ไม่ได้มีการใช้กรรมสิทธินั้นเป็นเวลา สิบปี

---------------

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

www.dtl-law.com (http://www.dtl-law.com)

ประเภทของหน้า: บทความกฎหมาย
ที่มา http://www.openbase.in.th/node/1963 (http://www.openbase.in.th/node/1963)
.
*****--------------------------*****
.
สิทธิการใช้ทางภาระจำยอม
โดยคุณ webmaster เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 00:00:00
ข้อเท็จจริงและประเด็นคำถาม:

ข้อเท็จจริง

ที่ดินหลังบ้านซึ่งพ่อแม่ได้ขายไปตั้ง 20 ปีที่แล้วกับผู้ซื้อทำหมู่บ้านจัดสรร โดยระบุหลังโฉนดว่าต้องอนุญาตให้สามารถเดินเข้าออกได้ 1.25 เมตรสำหรับลูกหลานที่ยังอาศัยอยู่ ซึ่งเราก็เดินเข้าออกในหมู่บ้านนี้กันมาตลอด ต่อมาผู้ทำหมู่บ้านจัดสรรได้ขายที่ดินต่อไปแก่ผู้ซื้อรายใหม่  ผู้ซื้อรายปัจจุบันได้ปิดทางเดินไว้  ไม่ทราบว่าผู้ซื้อรายปัจจุบันมีสิทธิปิดกั้นทางเดินที่จดทะเบียนระบุหลังโฉนดหรือไม่

ประเด็นคำถาม

1. การได้มาซึ่งทางภาระจำยอมได้มาโดยวิธีใดบ้าง

2. สิทธิ-หน้าที่ของผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในภารยทรัพย์และสามยทรัพย์ที่จดทะเบียนภาระจำยอมมีอยู่อย่างไร

3. ผู้ซื้อที่ดินภารยทรัพย์ที่จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเดินไว้สามารถปิดกั้นทางทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ต่อสามยทรัพย์ได้หรือไม่
ความเห็นและข้อเสนอแนะ:

ตามกฎหมายแล้วผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมมีสิทธิเต็มที่เหนือทรัพย์สินนั้น  แต่มีบางกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องถูกจำกัดสิทธิเด็ดขาดในทรัพย์สินซึ่งภาระจำยอมก็เป็นข้อจำกัดสิทธิ คือ เจ้าของทรัพย์ (เจ้าของภารยทรัพย์) ต้องยอมให้ผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินข้างเคียง (สามยทรัพย์) ใช้สิทธิเหนือที่ดินภารยทรัพย์ เช่น ทางภาระจำยอมนั้นเจ้าของภารยทรัพย์ต้องยอมให้ผู้ใช้ประโยชน์ในสามยทรัพย์เดินผ่านที่ดินภารยทรัพย์ เจ้าของภารยทรัพย์จะอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินห้ามมิให้ผู้ใช้ประโยชน์ในสามยทรัพย์เดินผ่านทางภาระจำยอมไม่ได้

ภาระจำยอมนั้นมีวิธีการได้มาอยู่สองวิธีหลักด้วยกันคือ  ได้มาโดยนิติกรรม เช่น ทำสัญญาตกลงเรื่องภาระจำยอมระหว่างเจ้าของที่ดิน  และได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น โดยอายุความ เป็นต้น  การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมนั้นหากไม่ดำเนินการจดทะเบียนไว้ จะใช้บังคับกันแต่เฉพาะคู่สัญญาที่เข้าทำการตกลงเท่านั้น  บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาไม่สามารถอ้างภาระจำยอมได้  ตรงข้ามกับการได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมที่ได้จดทะเบียนที่บุคคลที่เกี่ยวกับที่ดินสามารถอ้างสิทธิภาระจำยอมได้ตลอดตราบเท่าที่ยังมีการบันทึกภาระจำยอมไว้ในทะเบียน

กรณีที่ท่านเจอปัญหานั้น ที่ดินหลังบ้านท่านเป็นภารยทรัพย์  และที่ดินของท่านเป็นสามยทรัพย์  เมื่อบิดาท่านในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ได้จดทะเบียนทางภาระจำยอมเหนือที่ดินหลังบ้านซึ่งเป็นภารยทรัพย์ไว้ ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกการจดทะเบียน  ไม่ว่าที่ดินหลังบ้านที่เป็นภารยทรัพย์จะขายเปลี่ยนมือกันไปกี่รายก็ตาม  ผู้เป็นเจ้าของที่ดินภารยทรัพย์ก็ถูกจำกัดสิทธิไม่อาจปิดทางภาระจำยอมที่จดทะเบียน  การที่เจ้าของที่ดินรายใหม่ปิดทางภาระจำยอมซึ่งจดทะเบียนไว้จึงเป็นการกระทำไปโดยไม่มีสิทธิจะกระทำ  บิดาท่านในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์สามารถเรียกร้องให้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์เปิดทางภาระจำยอม  แต่หากยังไม่ยอมเปิดทาง  ท่านก็ต้องดำเนินการขออำนาจศาลออกคำพิพากษามาบังคับเจ้าของภารยทรัพย์ต่อไป
.
ข้อถือสิทธิ
คำถาม - คำตอบที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาข้อกฎหมายใน คลินิกกฎหมาย จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายแก่ผู้เข้าชมเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้แทนการวินิจฉัยในการดำเนินคดีของทนายความแก่ลูกความเฉพาะรายได้ เนื่องจากการวินิจฉัยปัญหาของลูกความแต่ละรายมีรายละเอียดข้อมูลที่แตกต่างกัน หากมีการนำข้อมูลเว็บไซต์ไปใช้โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย ศูนย์นิติศาสตร์จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ที่มา  http://www.tulawcenter.org/?q=law-clinic/content/51 (http://www.tulawcenter.org/?q=law-clinic/content/51)
.
*****--------------------------*****
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2018, 05:31:18 am
#คำพิพากษาศาลฎีกา ว่าด้วยเรื่อง #สามยทรัพย์ กับ #ภารยทรัพย์
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934840646702322?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934840646702322?__tn__=K-R)
.
*****__________________*****
.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3551/2543
 แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
 เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางภาระจำยอม ส่วนบริษัท ท. เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็น ผู้แทนของบริษัท การที่จำเลยทั้งสองยอมให้รถยนต์ของบริษัทและรถยนต์ของผู้มาติดต่อธุรกิจกับบริษัทจอดในทางภาระจำยอมนั้นในลักษณะปิดกั้น หรือกีดขวางการใช้ทางดังกล่าวเข้าออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ทาง ภาระจำยอม ย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ตาม ป.พ.พ. ม. 1390 โจทก์มีสิทธิ ห้ามจำเลยทั้งสองประกอบกรรมดังกล่าวได้
แม้คำขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมจะระบุให้ใช้เป็นทางเดิน แต่เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมีการสัญจรตามถนนและตรอกซอกซอยด้วยรถยนต์เป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับทางเท้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ใช้รถยนต์ในทางภาระจำยอมเช่นกัน ฉะนั้นการที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ใช้รถยนต์ผ่านทางภาระจำยอมซึ่งเดิมเคยใช้เป็นทางเท้า ย่อมเป็นการใช้ทางภาระจำยอมสัญจรตามปกติ ไม่เป็นการทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1388 และโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิใช้รถยนต์เข้าออกทางภาระจำยอมตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนรถยนต์ที่ใช้ว่ามีจำนวนมากหรือน้อย เหตุนี้การใช้รถยนต์เข้าออกเป็นจำนวน 200 คัน ผ่านทางภาระจำยอม หากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ยังดูแลรักษาทางภาระจำยอมมิให้เกิดความเสียหาย ก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นแก่ทางภาระจำยอมนั้น ส่วนเสาไฟฟ้าที่จำเลยทั้งสองขอให้รื้อถอนเป็นเสาไฟฟ้าถาวร ที่โจทก์ขอให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการเพิ่มแทนเสาไฟฟ้าเดิม ซึ่งเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงและความเจริญของบ้านเมือง หาได้ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิปักเสาไฟฟ้าทั้งสองต้นนั้นได้
ที่มา  https://deka.in.th/view-91162.html (https://deka.in.th/view-91162.html)
.
*****__________________*****
.
บทบรรณาธิการสมัย 63 เล่มที่ 1-14
หมอเค้ก:

บทบรรณาธิการเล่มที่ ๔ สมัย ๖๓

   
     คำถาม การได้ภ่าระจำยอมโดยทางนิติกรรมซึ่งได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนกงานเจ้าหน้าที่ หากต่อมามีการโอนภารยทรัพย์ไปใหแก่บุคคลอื่น ภาระจำยอมจะตกติดไปกับภารยทรัพย์หรือไม่
     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๘๙/๒๕๕๒ ภาระจำยอมเป็นทรัพย์สินที่ก่อตั้งขึ้นด้วยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๕๘ และการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งภาระจำยอมของโจทก์ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก แล้วจึงเป็นทรัพยสิทธิที่สมบูรณ์ มีผลทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ ของ ค. ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๑๘๔ ของโจทก์ใช้สำหรับรถยนต์เข้าออกได้ทั้งแปลง เมื่อบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ภาระจำยอมย่อมตกติดไปกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๙๓ จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ มาจาก ค. จึงต้องยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสำหรับรถยนต์เข้าออก และต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๑๘๔ ของโจทก์ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๘๗ ภาระจำยอมดังกล่าวจะสิ้นไปเมื่อภารยทรัพย์หรือ สามยทรัพย์สลายไปทั้งหมด หรือสิ้นไปเพราะไม่ได้ใช้สิบปี หรือสิ้นไปเพราะภาระจำยอมนั้นหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๙๗ มาตรา ๑๓๙๙ และมาตรา ๑๔๐๐ และกฎหมายมิได้ให้อำนาจแก่เจ้าของภารยทรัพย์ที่จะเลิกภาระจำยอมได้
     คำถาม การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมแต่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอม หากต่อมามีการโอนอสังหาริมทรัพย์(ภารยทรัพย์) ดังกล่าวไปให้แก่บุคคลอื่น ดังนี้ ระหว่างผู้ได้ภาระจำยอมกับผู้รับโอนภารยทรัพย์ผลเกี่ยวกับภาระจำยอมจะเป็นอย่างไร
     คำตอบ (ก) การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมแต่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๒๙/๒๕๔๒ แม้ ท.เจ้าของที่ดินเดิมยินยอมให้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ อันเป็นกรณีที่โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมก็ตาม แต่เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาย่อมไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง และคงใช้บังคับได้ในฐานะบุคคลสิทธิเฉพาะโจทก์กับ ท.ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น แต่ไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ท.ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยถือว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอก ทั้งในเรื่องให้ หาได้มีบทบัญญัติให้ผู้รับต้องรับหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ผู้ให้ไปด้วยอย่างกรณีทายาทรับมรดกไม่ ความยินยอมดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันให้จำเลยต้องจดทะเบียนภาระจำยอมหรือเปิดทางพิพาทแก่โจทก์
     อย่างไรก็ดี แม้การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมจะไม่บริบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนการได้มา แต่หากปรากฎว่าได้ใช้ทางโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๑/๒๕๕๑ ตามหนังสือสัญญาซื้อขายข้อ ๓ ระบุว่า น.ผู้ขายยอมให้ทางต่อเมื่อที่ดินส่วนอื่นได้ขายให้กับคนอื่น น.ได้ยินยอมจะให้ทางเดินกว้าง ๒ เมตร ความยาวจนถึงถนนใหญ่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เห็นได้ว่า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินจากน.ซึ่งแบ่งขายที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินให้แก่โจทก์ เพื่อประสงค์ให้โจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของน. อันมีลักษณะเป็นการได้ประโยชน์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อาศัยสิทธิของน.แต่เพียงฝ่ายเดียว ข้อตกลงที่ให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมอันเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่จดทะเบียนการได้มา จึงไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก อย่างไรก็ตาม แม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของโจทก์จะไม่บริบูรณ์ดังกล่าว หากปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี โจทก์ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒
     (ข) การได้ภาระจำยอมโดยอายุความแต่ยะงไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัย ดังนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๕๙/๒๕๕๑ แม้โจทก์จะซื้อที่ดินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดแต่ก่อนเวลาที่โจทก์จะได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าว จำเลยได้ใช้ที่ดินตลอดมาโดยสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอมติดต่อกันเกิน ๑๐ ปี จำเลยในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ย่อมได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑ มิใช่เพียงรุกล้ำใช้อย่างสภาพทางจำเป็นแม้จำเลยจะยังไม่ไปจดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมก็หาทำให้สิทธิดังกล่าวสิ้นไป เพราะทรัพย์วัตถุแห่งสิทธิเป็นประธานภาระจำยอมมีลักษณะเป็นสิทธิประเภทรอนสิทธิมิใช่การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ จึงไม่อยู่ในบังคับหลักกฎหมายที่ว่าสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียน มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖๒/๒๕๔๘ คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๗๖๔ โดยอายุความ อันเป็นทรัพยสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ กรณีหาใช่เป็นภาระจำยอมโดยนิติกรรมซึ่งยังมิได้จดทะเบียนอันเป็นบุคคลสิทธิไม่ จำเลยทั้งสองหาอาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ได้ไม่เพราะสิทธิตามความหมายในบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกันแต่ภาระจำยอมเป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิเป็นสิทธิคนละประเภทกัน ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นผู้สืบสิทธิจากคู่ความในคดีก่อน คำว่าพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง

หมอเค้ก:
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๘๒/๒๕๔๑ คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ส.เจ้าของภารยทรัพย์ที่จำเลยรับโอนต่อมาโดยจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นก็ตาม แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ จึงเป็นการที่โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมอันเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ เป็นทรัพยสิทธิคนละประเภทกับกรรมสิทธิ์ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์มีอำนาจในอสังหาริมทรัพย์ของตนเอง และเนื่องจากภาระจำยอมเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ มิได้มุ่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะภาระจำยอมจึงย่อมตกติดไปกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์แม้จะมีการโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวไปให้แก่บุคคลอื่น ภาระจำยอมก็หาได้หมดสิ้นไป เว้นแต่กรณีจะต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น ภาระจำยอมจึงจะระงับดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจจะยกขึ้นต่อสู้กับสิทธิภาระจำยอมของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยด้วยในฐานะที่เป็นเจ้าของภารยทรัพย์
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๐๘-๕๘๑๒/๒๕๓๗ สิทธิภาระจำยอมของโจทก์ได้มีขึ้นโดยผลแห่งกฎหมายรับรอง และจะสิ้นสุดไปก็โดยเหตุต่างๆ ที่กฎหมายกำหนด ส่วนของจำเลยทั้งหมดที่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์โดยทางทะเบียนไม่เป็นเหตุให้สิทธิภาระจำยอมของโจทก์สิ้นสุดลงได้
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๖-๘๑๘/๒๕๓๓ ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิประเภทที่จำกัดตัดทอนกรรมสิทธิ์เป็นทรัพยสิทธิที่ผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเป็นสามยทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนตัวบุคคล แม้เจ้าของภารยทรัพย์จะเปลี่ยนตัวไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ ส่วนมาตรา ๑๒๙๙ ที่บัญญัติว่า "สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว" นั้น หมายความถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพยสิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาเป็นการได้สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์แล้วสร้างกำแพงปิดล้อมที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้รถยนต์วิ่งเข้าออกที่ดินของโจทก์ กรณีจึงมิใช่การโต้เถียงกันในเรื่องการได้สิทธิในทรัพยสิทธิอันเดียวกัน จำเลยจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทต้องสิ้นไปหาได้ไม่
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๘๔/๒๕๓๓ ภารจำยอมจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อภารยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปี ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗ หรือมาตรา ๑๓๙๙และภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิประเภทที่จำกัดตัดทอนกรรมสิทธิ์ เป็นทรัพยสิทธิที่ผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเป็นสามยทรัพย์ไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนตัวบุคคล ดังนั้นแม้เจ้าของภารยทรัพย์จะเปลี่ยนตัวไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ ส่วนสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนที่มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วนั้น หมายความถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น จำเลยซื้อที่ดินภารยทรัพย์เป็นการได้สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์ มิใช่การได้สิทธิใทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับภาระจำยอม จำเลยจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทต้องสิ้นไปหาได้ไม่
     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๐๓/๒๕๓๓ ผู้ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอมและไม่ว่าผู้รับโอนภารยทรัพย์จะรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตามก็ไม่อาจต่อสู้กับสิทธิภาระจำยอมดังกล่าวได้
     คำถาม การฟ้องเท็จในคดีแพ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่
     คำตอบ การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดทางอาญา และการฟ้องกับการยื่นคำให้การในคดีแพ่ง ไม่เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๗๔/๒๕๑๓ การฟ้องเท็จนั้น ป.อ. มาตรา ๑๘๕ บัญญัติว่าต้องเป็นการฟ้องเท็จในคดีอาญา การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดทางอาญาแต่อย่างใด การฟ้องเท็จในคดีแพ่งจะถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องความกับการแจ้งความต่อเจ้าพักงานเป็นการกระทำคนละประเภท การฟ้องความเป็นวิธีดำเนินการตามกระบวนวิธีพิจารณาความ ไม่ใช่เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ตามที่โจทก์อ้าง และคำให้การที่จำเลยยื่นต่อศาลนั้นก็เป็นวิธีดำเนินการตามกระบวนพิจารณาความเช่นกัน หาใช่เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การฟ้องและการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องจึงชอบแล้ว...ฯลฯ
     การยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ เพื่อตั้งประเด็น แม้ผู้พิพากษาเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ หากข้อความเป็นเท็จก็ไม่เป็นการแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ เช่นกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๒/๒๕๑๘ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๐/๒๕๑๕) เป็นการใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕
     คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๐/๒๕๑๕ คำร้องคัดค้านที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น แม้ว่าผู้พิพากษาจะเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ หากจะฟังว่าตามคำร้องคัดค้านนั้นเป็นเท็จก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดและจะนำมาตรา ๑๓๗ ประมวลกฎหมายอาญามาบังคับไม่ได้และเมื่อการยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว เป็นการแสดงข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของจำเลยแม้ข้อความนั้นจะเป็นหมิ่นประมาทโจทก์ กรณีก็ต้องด้วยข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๑ จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
     โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก จำเลย ยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อตั้งประเด็นระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นแม้ว่าผู้พิพากษาจะเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านนั้น ก็เป็นการยื่นคำคู่ความเพื่อตั้งประเด็นในการพิจารณาคดีของศาลหากจะรับฟังว่าข้อความตามคำร้องคัดค้านของจำเลยเป็นเท็จ ก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดและจะนำมาตรา ๑๓๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้แก่กรณีเช่นนี้ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้มิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่การยื่นคำคู่ความเพื่อตั้งประเด็นในการพิจารณาคดีของศาลดังกล่าวข้างต้น


                     นายประเสริฐ   เสียงสุทธิวงศ์
                        บรรณาธิการ

หมอเค้ก:
บทบรรณาธิการเล่มที่ ๕ สมัย ๖๓

     คำถาม สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่ามีเหตุจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน แต่กระทำโดยป้องกันอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน หากความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาท ผู้กระทำจะมีความผิดอย่างไร

     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๖๘/๒๕๕๑ จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาลักผลไม้ในไร่และผู้ตายเดินเข้ามาจะทำร้ายจำเลย  แต่ผู้ตายไม่ได้มีอาวุธหรือพูดข่มขู่หรือมีกริยาอาการว่าจะทำร้ายจำเลยโดยวิธีใด  อันจะทำให้จำเลยได้รับอันตรายร้ายแรง  หากจำเลยเพียงแต่ยิงข่มขู่ก็น่าจะเป็นการเพียงพอที่จะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหลบหนีไปได้เพราะผู้ตายมิใช่คนร้าย  การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายบริเวณหน้าท้อง  ๑  นัดจนผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังใส่กระสุนปืนลูกซองเข้าไปใหม่แล้วยิงผู้ตายที่ศรีษะซ้ำอีก  ๑  นัดจนถึงแก่ความตาย  จึงเป็นการกระทำโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา   ๖๙ และความสำคัญผิดของจำเลยเกิดขึ้นโดยความประมาท  เนื่องจากมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบว่าผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจริงหรือไม่  จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  ๒๙๑  โดยผลของมาตรา ๖๒  วรรคสองด้วย

     เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ และ ๖๒ วรรคแรก กับมาตรา ๒๙๑ ประกอบด้วยมาตรา ๖๒ วรรคสอง อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ และ ๖๒ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามมาตรา ๙๐

     คำถาม ที่ดินที่จำนองมีการบ่งแยกออกเป็นหลายแปลงก่อนที่ผู้รับจำนองจะฟ้องบังคับจำนอง ดังนี้ ผู้รับจำนองมีสิทธิขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินทุกแปลงที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินจำนองหรือไม่

     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๑๔ – ๘๓๑๕/๒๕๕๑ จำเลยฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๕ ตามสัญญาจำนองได้มีการแบ่งแยกออกเป็นอีก ๘ แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ จึงถือว่าเป็นคนละแปลงกันและในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและมิได้ขอบังคับถึงที่ดินเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ทั้งไม่ได้ระบุไว้ในคำพิพากษาให้ขายทอดตลาดไปพร้อมกับที่ดินเลขที่ ๖๘๕ ดังกล่าว การที่โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ด้วย จึงเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับตามคำพิพากษานั้น

     เห็นว่าแม้จะมีการแบ่งแยกที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ ๖๘๕ ออกเป็นอีก ๘ แปลง ตามโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองได้ตกลงยินยอมให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่จำนองออกไปโดยปลอดจากการจำนอง ต้องถือว่าการจำนองยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นทั้งหมดทุกส่วนที่แบ่งแยกออกไปด้วยกันอยู่นั่นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๗ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินทุกแปลงที่แบ่งแยกออกไปจากที่ดินที่จำนองจากทรัพย์ที่จำนองได้ ดั้งนั้นการที่โจทก์บังคับจำนองเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ด้วย จึงมิใช่การบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยอันจะทำให้การบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับตามคำพิพากษาแต่อย่างใด

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๘๖๒/๒๕๕๒ ภายหลังจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทแล้วมีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทออกเป็นแปลงย่อยอีก ๓ แปลง ซึ่งที่ดินที่แบ่งแยกนี้ต้องติดจำนองทุกแปลง บุคคลใดรับโอนไปผู้รับจำนองติดตามไปบังคับจำนองได้เพราะเป็นทรัพย์สินซึ่งจำนองอยู่เดิมแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนจำนองก็ยังครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง เมื่อคำขอท้ายฟ้องได้ขอให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๗ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับจำนองเฉพาะที่ดินแปลงย่อยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินพิพาทด้วย
     คำถาม ผู้ได้ภาระจำยอมโดยอายุความมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ กรณีที่เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์โอนที่ดินที่มีทางภาระจำยอมให้แก่บุคคลอื่นหรือไม่
     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๐/๒๕๕๑ อำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ เป็นอำนาจของเจ้าหนี้ โจทก์ที่ ๑ อ้างว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ภาระจำยอมโดยอายุความในการเดินผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๓ อันเป็นการกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิในทรัพย์ของผู้อื่นในลักษณะของทรัพยสิทธิ เมื่อเป็นเรื่องของทรัพยสิทธิโจทก์ที่ ๑ จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ แต่ต้องไปว่ากล่าวเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ในส่วนที่ว่าด้วยภาระจำยอม ส่วนโจทก์ที่ ๒ นั้นได้ความเพียงว่าเป็นผู้เช่าที่ดินจากโจทก์ที่ ๑ โดยไม่ปรากฏว่ามีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ ๒ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอนการฉ้อฉลได้เช่นกัน
             
     หมายเหตุ (โดย อ.ไพโรจน์ วายุภาพ)

หมอเค้ก:
     โจทก์ที่ ๑ อ้างว่าได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งเป็นเรื่องทรัพยสิทธิในบรรพ ๔ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันให้จำเลยที่ ๑ ต้องจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ ได้ แต่ถ้ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิภาระจำยอมในทางเดิน ย่อมก่อให้เกิดหนี้ทำให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ ได้

     คำถาม กรณีผู้จำนองถึงแก่กรรม หากผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อนตาม ปพพ.มาตรา 728 หรือ 735 และต้องบอกกล่าวแก่ผู้ใด

     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๕๕๓/๒๕๕๒ ในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง ปพพ.มาตรา ๗๒๘ บังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้ในคำบอกกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะต้องกำหนดเวลาให้ผู้จำนองชำระหนี้จำนอง และกำหนดเวลาดังกล่าวจะต้องเป็นกำหนดเวลาอันสมควรด้วย เพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไปขายทอดตลาดเอกเงินมาชำระหนี้ การบอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขซึ่งโจทก์ผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อนจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ การบอกกล่าวดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาซึ่งจะต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือผู้จำนอง เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรมก่อนผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าว แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วย ปพพ.มาตรา ๗๒๘

     เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรม มรดกของผู้จำนองซึ่งรวมถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้จำนองย่อมตกทอดแก่ทายาทตาม ปพพ.มาตรา ๑๕๙๙ ,๑๖๐๐ ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว โจทก์ผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนอง โจทก์ต้องมีหนังสือบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อนตาม ปพพ.มาตรา ๗๓๕ ถ้ายังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดกโจทก์ต้องบอกกล่าวแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมือนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนองการบอกกล่าวนี้ต้องทำเป็นจดหมายหรือหนังสือ และต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน โจทก์จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้จำนองก่อนฟ้อง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง

     คำถาม การบังคับขู่เข็ญให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ถือเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินในความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ หรือไม่
 
     คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

     คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๔๕/๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ ใช้กำลังทำร้ายชกต่อยผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ ๒ พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ ๑ กระชากคอเสื้อ ผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ ๑ ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออก และพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินมิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ ๑ ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ ๒ อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้วจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ

noranit:
ขอบคุณ คุณ ป้า หมอ  หลายๆๆ  เด้อ..........
ที่มา http://www.thaijudge.com/index.php?topic=304.5;wap2 (http://www.thaijudge.com/index.php?topic=304.5;wap2)
.
*****__________________*****
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2018, 12:52:16 pm
ผมนำมาลงอีกรอบ จะได้อ่าน กัน ลืม เจตนาเพื่อให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
.
ผมดำเนินรอยตามพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องที่สอนคนให้ตกปลาให้เป็น ไม่ใช่การให้ปลาไปกิน
.
เมื่อให้ปลาไปกิน กินหมดแล้ว ก็ยังลำบาก หากินไม่เป็น ดังนั้น การให้ความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในความคิดเห็นของผม
.
และผมเองมีไฟล์คำนวณที่ผมทำเอง เป็นไฟล์Excel หากท่านใดสนใจแจ้งมาผ่านไลน์ส่วนตัวผม แจ้ง ชื่อกับ Email แล้วผมจะส่งให้ท่าน และเมื่อท่านสงสัยว่า จะกรอกข้อมูลอย่างไร โทร.มาสอบถามผมได้ครับ
.
#เทคนิคการคำนวนเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้เห็นว่า #หากลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว จะ #ประหยัดเงินในกระเป๋าในการผ่อนชำระสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ได้อย่างไร

.
ที่มา https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/789939917859063 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/789939917859063)
จากที่ผมเขียนและเคยนำมาลงให้อ่านกัน
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786109688242086 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786109688242086)
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786860394833682 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786860394833682)
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/788218648031190 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/788218648031190)
.
ในเจตนาที่ลงนี้ ผมต้องการให้ความรู้กับท่านผู้อ่าน เพื่อสร้างแนวคิดและสร้างประโยชน์ของตัวท่านเองในการจัดการทางการเงินของท่านเอง บุญกุศลนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ในเรื่องต่างๆได้อย่างง่ายด้วยเทอญ
.
ผมจะมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หากเรามีการขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ การRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปสถาบันการเงินอื่นใน 3 ปีแรก หรือ ทุกๆ 3 ปี เราจะได้อะไร หรือ เสียอะไรบ้าง
.
**********_____ย้ำ ย้ำ และ ย้ำ ว่า ปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะไปขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมแล้วไม่ถึง 3 ปี ถึงแม้จะไปขอลดอัตราดอกเบี้ยมาไม่กี่เดือน เมื่อเราเห็นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารอื่นต่ำกว่า เราสามารถเข้าไปทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งได้_____**********
.
มายกตัวอย่างกันเลย ในตัวอย่างจะสมมุติว่า อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญาฯ แต่หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ตัวเลขทั้งหมดจะมีการเปลี่ยนแปลงไป และในเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ผมสมมุติตัวเลขขึ้นมา เพื่อให้ดูง่ายขึ้น และตัวเลขเป็นตัวเลขโดยประมาณการ แต่มีความใกล้เคียง ครับ
.
ธนาคารแก้มหอม
.
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในกรณีที่มีการ Refinance ไปยังธนาคารแก้มหอม
.
อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.75%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MRR-3.85 หรือเท่ากับ 2.90%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-0.50%ต่อปี หรือเท่ากับ 6.25%ต่อปี
.
ค่าธรรมเนียมต่างๆมีดังนี้
.
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
6.ในกรณีที่ปิดบัญชีก่อน 3 ปี จะคิดอัตราดอกเบี้ย MRR% ต่อปี และเรียกคืนค่าธรรมเนียมในข้อ 5
.
ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
อัตราดอกเบี้ย MRR = 7.125%ต่อปี
.
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ย ในกรณีที่ลูกค้าขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
.
อัตราดอกเบี้ย 1 ปีแรก 3.50%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 MRR-3.00%ต่อปี หรือเท่ากับ 4.125%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.75%ต่อปี หรือเท่ากับ 5.625%ต่อปี
.
ค่าธรรมเนียมต่างๆไม่มี (ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัยที่จะต้องต่ออายุ (สมมุติ) จำนวน 10,000.-บาท)
.
มาถึงข้อมูลเจ้าของบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย
.
นายโน๊ตตี้ นามสกุลลูกพี่โบ๊ตซัง อายุปัจจุบัน 35 ปี เดิมมีวงเงินที่อยู่อาศัย 3,300,000.-บาท ทำประกันอัคคีภัยไว้ 3 ปี ปัจจุบันเมื่อครบ 3 ปี ภาระหนี้ลดเหลือ 3,000,000.-บาท มีค่าประกันอัคคีภัยที่ต้องจ่ายจำนวน 10,000.-บาท โดยใช้วงเงินสินเชื่อที่ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
ระยะเวลาคงเหลือในการกู้ตามสัญญากู้ฯ 25 ปี (300 เดือน) ผ่อนชำระเดือนละ 18,900.-บาท
.
อัตราดอกเบี้ยเดิมที่ใช้อยู่คือ MRR-1.75%ต่อปี คือ 5.375%ต่อปี
.
มาดูผลการคำนวนกันครับ
.
ในกรณีที่ไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่ (เป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม)
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 1
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 212,876.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 467,523.24 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,249,249.59 บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน
.
ในกรณีที่ 2 การขอลดอัตราดอกเบี้ย กับ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 2
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 348,854.83 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 331,545.17 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 1,867,726.09 บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 258 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ
.
ในกรณีที่ 3 การ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไป ธนาคารแก้มหอม
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 3
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 437,632.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 242,767.24 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,135,738.- บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ เช่นกัน
.
แต่ในกรณีที่ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไปธนาคารแก้มหอม ยังมีค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกจำนวน 44,305.-บาท ตามรายละเอียดดังนี้
.
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
.
เมื่อนำค่าธรรมเนียมต่างๆ จำนวน 44,305.- หักออกจากจำนวนดอกเบี้ย (ในกรณีที่ 2 คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่) ที่สามารถลดการจ่ายดอกเบี้ย และ นำเงินจำนวนนี้ ไปชำระต้นเงินกู้ได้อีก จำนวน 44,472.94 บาท (ได้จากการคำนวณตาข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4 คือ 30,000 + 1,505 + 2,800 + 10,000 จะได้เท่ากับ 44,472.94 บาท)
.
หมายเหตุ ในกรณีนี้ ผมไม่นำเงินที่ได้จากการเวนคืนกรมธรรมประกันอัคคีภัยที่ต่ออายุกับธนาคารณัชชี่ มารวมคำนวณด้วย เนื่องจากผมไม่ทราบการคำนวณของบริษัทที่รับประกันอัคคีภัย
(ในกรณีที่มีการ Refinance จากสถาบันการเงินหนึ่ง ไปยังอีก สถาบันการเงินอีกแห่ง ส่วนใหญ่ วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครบ 3 ปีไปแล้ว แต่หากว่า มีการดำเนินการก่อนที่จะครบกำหนด 3 ปี แต่เราแจ้งการขอ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น เราจะไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน และต้องไปดำเนินการขอวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอื่น ก่อนที่จะครบ 3 ปีด้วยเช่นกัน)
.
มาสรุปกันก็คือ หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าไหร่ ผลดีและผลเสียที่เราจะได้ก็คือ
.
1.ลดการชำระดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญากู้ฯได้มาก นี่ผมเพียงแค่คำนวณเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา 3 ปี เท่านั้นเอง หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุกๆ 3 ปี (สามารถดูได้จาก ตารางที่ 4) เราจะประหยัดเงินที่เราต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินได้มากขึ้น
.
2.ระยะเวลาในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะลดลง จากเดิมต้องผ่อน 25 ปี (จากตัวอย่าง) เราสามารถผ่อนเหลือเพียง 21 ปี แต่ถ้าสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุก 3 ปี ระยะเวลาที่จะต้องผ่อนชำระ จะลดลงไปมากกว่านี้อีก
.
3.เราอาจจะเสียเวลาในการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จะต้องนำไปยื่นขอกู้กับสถาบันการเงินอื่นๆ
.
4.ในการขอสินเชื่อนั้น ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาในความสามารถในการชำระหนี้คืน หากเรามีวินัยทางการเงินที่ดี มีการชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของสินเชื่อประเภทไหนๆก็ตาม ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด , รายได้ของเรามีความชัดเจน , มีเอกสารที่เชื่อถือได้ประกอบในการขอสินเชื่อ ผลการพิจารณา น่าจะผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ได้
.
5. *****ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านเอง ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง*****
.
6.สุดท้าย ผมแนะนำให้อ่านให้ละเอียด และแนะนำให้ท่านผู้อ่านไปศึกษาต่อกับท่านผู้รู้ หรือ ตามเว็บไซด์ที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม ท่านผู้อ่านจะได้แนวคิดต่างๆ ที่มีผลต่อตัวท่านเอง และ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของท่านมาก หากท่านยังต้องใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ เรื่องใดที่ผมสามารถแนะนำให้ท่านได้ ผมยินดีครับ
.
#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#การRefinanceสินเชื่อ
#การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
#อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#ธนาคารพาณิชย์
#สินเชื่อRefinance
#สถาบันการเงิน
#อัตราดอกเบี้ย
#ประกันชีวิต
#ร้องเรียนผ่านคปภ.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#คปภ
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 30, 2019, 11:40:18 am
เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิต
.
#บัตรเครดิต
#ธนาคาร
#ธนาคารแห่งประเทศไทย
#สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค  #สคบ
#บัตรเครดิตถูกขโมย
#คำพิพากษาศาลฎีกา
.
---------------------
.
บัตรเครดิตถูกขโมย เจ้าของบัตรต้องรับผิดหรือไม่ (มีฎีกา)
.
บัตรเครดิตหายถูกขโมย แม้ถูกคนร้ายนำไปใช้ เจ้าของบัตร ไม่ต้องรับผิด เพราะ???
.
ปัญหาบัตรเครดิตถูกนำไปใช้เกิดขึ้นมากในบริบทของสังคม วิธีการแก้ปัญหาคือต้องรักษาและระวัง แต่ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ทีมงานทนายกฤษดา ได้ค้นคว้าคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้มาให้พิจารณา

.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552

.

ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลันเพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที

นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้นและไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้

ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านเจมาร์ทไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์

.

มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา

.

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th

.

https://www.lawyers.in.th/2014/12/02/credit-card-lost/?fbclid=IwAR1LMSe_7C4NH8TojsRCaBb2szCFfLlJiMyBx6MMmhv10DTCTLcJ0TmysCc (https://www.lawyers.in.th/2014/12/02/credit-card-lost/?fbclid=IwAR1LMSe_7C4NH8TojsRCaBb2szCFfLlJiMyBx6MMmhv10DTCTLcJ0TmysCc)

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2019, 10:50:15 pm
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า LTF ไม่ต่ออายุหลังสิ้นปีนี้?
.
ป็นประเด็นมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับที่ออกข่าวแย้มๆ มาว่า สรรพากรจะไม่ต่อสิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุนรวม LTF แล้วหลังปี 2562 (2019) หรือปีนี้
.
ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อยังยืนยันเช่นเดิม ก็จะแปลว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนนะครับ คราวนี้ มันมีหลายประเด็นที่เราในฐานะผู้เสียภาษีอาจสงสัยและเกิดตั้งคำถามขึ้นมา ผมลองรวบรวมคำถาม และตอบเป็นข้อๆ ให้หายสงสัยตามนี้ก็แล้วกัน
.
1.ถ้าไม่ต่ออายุ LTF เงินที่ครบเงื่อนไข ควรขายหรือย้ายกองออกไปไหม?   
.
อันนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเงินลงทุนของเราเอง ผมเห็นหลายกรณี นักลงทุนที่ลงทุนใน LTF แล้วครบกำหนด เขาไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรต่อ และพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือต่อไป และให้ผู้จัดการกองทุนบริหารต่อ หากยังทำได้ดี เราก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม ดีกว่าไถ่ถอนออกมาแล้วเอาไปฝากประจำ หรือ ออมทรัพย์เอาผลตอบแทนต่ำติดดินครับ
.
แต่ถ้าจะโยกเงินออกมา สิ่งที่ต้องคิดคือ เรามีสินทรัพย์เป้าหมายที่จะลงทุนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบแล้ว จะให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือเปล่า และอย่าลืมว่า การเข้าออกกองทุนมันมีค่าธรรมเนียม ซึ่งคุณคงต้องเอาส่วนนี้มาพิจารณาประกอบด้วย
.
2. เม็ดเงิน LTF ที่ถอนออกไป จะทำให้ตลาดหุ้นตกรึเปล่า?
.
หลายคนเชื่อว่า พอไม่ต่ออายุ LTF ก็แปลว่า เม็ดเงินในกองทุน LTF จะค่อยๆ ลดลง เพราะนักลงทุนทยอยไถ่ถอนออกไปเรื่อยๆ คำถามคือ มันจะถึงขั้นถอนกันจนตลาดหุ้นตกตามแรงขายไหม คำตอบคือ เม็ดเงินลงทุนใน LTF ทั้งหมด คิดเป็นเพียงแค่ประมาณ 4 % ของ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย และเงื่อนไขการไถ่ถอน นักลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมดในปีเดียวอยู่แล้ว เพราะติดเงื่อนไขถือครองให้ครบ 7 ปีปฏิทิน
.
ซึ่งก็หมายความว่า เม็ดเงินลงทุนใน LTF จะค่อยๆ ถูกทยอยขายออกมาในอีก 6-7 ปีข้างหน้า (หากทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องขายออก) แต่มุมมองส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่จะไม่ขายออกมา และถือเงินลงทุนก้อนนั้นต่อไป ทำให้เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลยครับ ตรงนี้ขอให้สบายใจได้ระดับหนึ่ง
.
3. กองทุนจะติดลบไหม  ถ้าไม่มีเงินใหม่เข้ามาใน LTF?
.
โดยปกติแล้ว ทีมบริหารกองทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน แต่ละบลจ. จะมีการกำหนดกลยุทธ์และการลงทุนตามแต่ละโมเดลซึ่งเป็นไปได้นโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่ง LTF ของแต่ละบลจ. ส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในโมเดลการลงทุน ซึ่งมีกองทุนรวมปกติ ที่ไม่ใช่ LTF ที่ต้องบริหารจัดการต่ออยู่แล้ว ดังนั้น ในแง่การทำงานของผู้จัดการกองทุน จึงไม่ได้เกิดความยากมากขึ้น จากการที่ไม่มีเงินลงทุนเข้ามาใหม่ใน LTF
.
และจากการศึกษาของทีม Finnomena Analytics เราพบว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมที่ไม่มี Flow ไหลเข้าออกจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กองทุนรวมที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าออกในระยะสั้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งตีความได้ว่า กองทุนที่นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยๆ อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่อง จนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนบ้าง ซึ่งถ้าเชื่อในประเด็นนี้ ก็แปลว่า การไม่มีเงินใหม่เข้าลงทุนใน LTF อาจเป็นการดีต่อผลการดำเนินงานกองทุนด้วย
.
จะยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าขนาดของกองทุน LTF นั้นๆ ที่เราลงทุนอยู่ มีขนาดเล็กมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการบริหารพอร์ตของผู้จัดการกองทุนให้ลดลง นักลงทุนจึงควรคิดทั้งสองมุม และติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องด้วย
.
4. NAV จะลดลงเรื่อยๆ รึเปล่า?
.
นักลงทุนหลายคนเข้าใจผิดว่า เงินขายออกจากกองทุนเยอะๆ แล้วจะทำให้กองทุนมี NAV ที่ลดลง ยกตัวอย่างรูปด้านล่าง ซึ่งเป็นราคาต่อหน่วย และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน TMBCOF ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 3 เม.ย. 2562)
.
ดูรูป 4
.
จะเห็นว่า NAV ของกองทุน TMBCOF วิ่งขึ้นมาตามตลาดหุ้นจีนที่รีบาวน์ต่อเนื่องในไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา แต่จะเห็นว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนไม่ได้วิ่งขึ้นตาม NAV สาเหตุเป็นเพราะ ระหว่างที่ขึ้นมา มีนักลงทุนขายทำกำไรออกจากกองทุนรวมออกไปด้วย ซึ่งนี่ก็คือ หลักฐานว่า ถึงจะมีแรงขายออกจากกองทุนที่เราถือ มันก็ไม่ได้เกี่ยวว่าจะทำให้ NAV กองทุนลดลง
.
(การดูกราฟมูลค่าทรัพย์สินสุทธินี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปดูได้ผ่าน Mobile Application ของ FINNOMENA นะครับ)
.
NAV จะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในเวลานั้นๆ มากกว่าว่าราคาสูงขึ้นหรือลดลงหรือเปล่านะครับ
.
5. กองทุนรวม LTF ที่มีอยู่ไว้แล้ว จะต้องถูกปิดลงไปด้วยหรือเปล่า?
.
กองทุนรวมนั้นๆ จะยังคงมีสถานะตามกฎหมายอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้สิทธิลดหย่อนแล้ว โดย บลจ. น่าจะเปลี่ยนนโยบายกองทุนให้เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมทั่วไป และนักลงทุนที่ใส่เงินใหม่เข้าไป ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปีอีกต่อไป
.
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีเงื่อนไขครับ เพราะถ้ากองทุนมีขนาดเล็กลงมาก จนบลจ.นั้นๆ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุนอยู่ในระดับที่ไม่คุ้มทุน ทางบลจ. อาจมีการเสนอถือหน่วยเพื่อควบรวมกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน ให้ได้ Economies of Scale หรืออาจเสนอผู้ลงทุนที่ครบเงื่อนไขระยะเวลาลงทุน ให้สับเปลี่ยนไปยังกองทุนที่มีนโยบายใกล้เคียงกัน และให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นๆ ก็ได้ครับ

6. ถ้าไม่ต่ออายุมาตรการส่งเสริม LTF เราสามารถขายได้ทุกก้อนที่ซื้อมาก่อนเลยไหม?
.
ใจเย็นๆ นะครับ การไม่ต่ออายุ LTF คือ การไม่ให้สิทธิกับเงินก้อนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เงินก้อนเก่าๆ ที่ลงทุนมาแล้วจะไม่ได้สิทธิด้วย ดังนั้น เงินลงทุนก้อนที่เราซื้อก่อนปี 2562 เรายังจำเป็นต้องถือให้ครบตามเงื่อนไขเดิม คือ 7 ปีปฏิทิน ไม่เปลี่นแปลงไปจากนี้แต่อย่างใดครับ
.
ซึ่งถ้าดูจากเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนได้ ที่มีการปรับเปลี่ยนจาก 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทินเมื่อปี 2559 ก็จะพบว่า ปี 2563 และปี 2564 กอง LTF จะไม่มีเงินถูกขายออกมา ทำให้ขนาดกองทุนจะไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะมีการขายอีกครั้งคือในปี 2565 ซึ่งมาจากยอดซื้อ LTF ในปี 2559 ที่ใช้เงื่อนไขใหม่ในการถือครองคือ 7 ปีปฏิทินนั่นเองครับ
.
7. ถ้าถือครบกำหนดขายคืนได้ แต่ตอนนั้น NAV ยังขาดทุน ควรทำอย่างไร?
.
ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนครับ เราคงต้องพิจารณาดูว่า ปัญหาขาดทุนที่เกิดขึ้น มาจากเงื่อนไขของตลาดหุ้นที่มันผันผวนเป็นขาลง หรือเกิดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเองที่อาจจะไม่ดีเท่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผย Peer Performance เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มไว้ให้เราได้ตรวจสอบทุกเดือน รวมถึงศึกษานโยบาย วิธีการลงทุนของกองทุนว่าถูกจริตนิสัยกับเราหรือเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีครับว่า จะถือไปก่อน หรือว่าจะขายดี
.
ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ความสามารถของกองทุน สามารถดูได้ใน Mobile Application ของ FINNOMENA ใน Function “Fund” และเลือกเมนูผลตอบแทน
.
ดูรูปที่ 7
.
กองทุนตัวอย่างคือ UOBLTF จะเห็นว่า มีการแสดงผลตอบแทนย้อนหลังขอกองทุน และค่า S.D. เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนประเภทเดียวกัน ซึ่งหากผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ก็แปลได้ว่า เป็นกองทุนที่ดีระดับหนึ่ง ในขณะเดียว ถ้าค่า S.D. ต่ำกว่าเฉลี่ยกลุ่ม ก็แปลว่า กองทุนมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งก็แปลว่า มีการบริหารความเสี่ยงดีเช่นกัน
.
และใน App FINNOMENA จะเห็นว่า มีการใส่ tag สีเขียว แบ่งเป็น 3 tag คือ ดีที่สุด, ดีมาก และ ดี ตรงนี้ จากกองทุนนั้นๆ ได้ tag ดีที่สุด จะแปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 1-5 ซึ่งแปลว่า ให้ค่าดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน ขณะที่ tag ดีมาก แปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5-25 และ tag ดี คือ อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ 25-50 ก็ถือว่าดีกว่ากองทุนประเภทเดียวกันกับกองทุนอื่นๆ อีกกว่าครึ่งที่มีขายอยู่ในตลาด ตรงนี้ ก็จะช่วยในการวิเคราะห์กองทุนได้เช่นเดียวกัน
.
สรุปจากทั้งหมดเลยก็คือ หาก LTF ไม่ต่ออายุจริงๆ ในแง่ของเงินลงทุนเก่า ไม่น่ามีผลกระทบอะไรกับนักลงทุนมาก และหากกระทบจริง เราก็เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วหลังจากอ่านบทความนี้ ส่วนทางสรรพากรจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ เพื่อชดเชยการหายไปของ LTF หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ซึ่งหากได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็จะมาแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
.
https://www.finnomena.com/mr-messenger/what-happened-if-ltf/?fbclid=IwAR1IKU-1wXoc7lZUXZ3c6uXvhXJtGyob5ESLiugJ55yrNFPvVmZqNgbsSAE (https://www.finnomena.com/mr-messenger/what-happened-if-ltf/?fbclid=IwAR1IKU-1wXoc7lZUXZ3c6uXvhXJtGyob5ESLiugJ55yrNFPvVmZqNgbsSAE)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2019, 08:16:18 am
ระมัดระวังตนเองไว้

ไม่เกิดเหตุ ไม่เป็นไร

ถ้าเกิดเหตุ จะได้ไม่เจ็บตัวมาก
.
.
.
.***********************************
.
.
.
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
09/08/2562
.
'พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ปี 2551
.
กล่าวในงานสัมมนา World Government Summit 2019 ที่นครดูไบ ว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ หรือ ปีหน้า จึงเตือนรัฐบาลทุกประเทศเตรียมหามาตรการรับมือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
.
15 กุมภาพันธ์ 2562-"พอล ครุกแมน" นักเศรษศาสตร์ชื่อดัง คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ผู้เคยทำนายวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียได้อย่างแม่นยำกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว ได้กล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อ "Global Trade : Future Foresight and Analysis for Goverments" ว่า มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปีนี้ เมื่อดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคที่ปรับตัวลง ค่าจ้างแรงงานที่แทบจะไม่ปรับขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ยังคงขยายตัว และการขาดความมั่นใจของบรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจ พร้อมทั้งอ้างถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรโซน) ในปี 2562 และ 2563 ว่า น่าจะขยายตัวในอัตราลดลงจาก 1.9% ในปี 2561 เหลือเพียง 1.3% ในปีนี้ (2562) จากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.6% ในปี 2563
.
อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกขณะนี้เริ่มแผ่วลง แต่บรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่าง ๆ ยังคงคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะไม่ถดถอยอย่างรุนแรง การที่บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่มีเครื่องมือเหลืออยู่สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจขาลง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นแล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม เขากล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะขาดความเตรียมพร้อมสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยหลัก ๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เรามักจะรับมืออย่างไร้ประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะขาดมาตรการรองรับเพื่อป้องกันผลกระทบอยู่เสมอ (Safety Net)
.
บ่อยครั้งที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ขาดเครื่องมือป้องกันแรงกระแทก เมื่อตลาดเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ การวางแผนป้องกันความเสี่ยงก็มีน้อยมาก ยิ่งโลกกำลังเผชิญภาวะสงครามการค้าและนโยบายตั้งกำแพงปกป้องตัวเอง ก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น รัฐบาลต่าง ๆ ก็มักจะถูกดึงความสนใจและทรัพยากรต่าง ๆ ออกไปจากสิ่งที่เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง "ดูเหมือนจะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ สะสมอยู่ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่มีนโยบายที่ดีมารับมือ" ครุกแมน กล่าวและว่า เฟดเหลือช่องว่างให้ลดดอกเบี้ยลงได้อีกไม่มาก ส่วนนโยบายการคลังถ้าเตรียมให้พร้อม ก็ยังจะพอมีพื้นที่ (ให้รับมือ) เหลืออยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลานี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นการตอบสนองอย่างฉับไวได้ ดังนั้น จึงเดิมพันได้เลยว่า โลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาอย่างแน่นอน
.
ครุกแมน วิเคราะห์ด้วยว่า กลุ่มยูโรโซนเผชิญกับภาวะชะลอตัว ที่อีกนิดเดียวก็จะเป็นการถดถอยแล้วอย่างชัดเจน และไม่เหลือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ จะลดดอกเบี้ยลงอีกก็ไม่ได้แล้ว เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ตกอยู่ในแดนลบอยู่แล้ว "ยุโรปกำลังเป็นจุดอันตรายที่อาจจะรุนแรงขึ้นเทียบเท่ากับจีน" ครุกแมนทำนาย
.
อนึ่ง "Recession" คือ "ภาวะถดถอย" ทางเศรษฐกิจ โดยเทคนิค คือ การเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาส เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น ถ้าติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ก็ถือว่าเป็นเศรษฐกิจถดถอย
.
ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า รัฐบาลนานาประเทศควรเตรียมความพร้อมรับมือกับพายุเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากเหตุปัจจัยหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี การเพิ่มความเข้มงวดด้านการเงิน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเบร็กซิทและผลกระทบที่จะตามมา รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
.
นายไมเคิล สโตรแบค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนระดับโลกของธนาคารเครดิต สวิส เปิดเผยว่า เครดิต สวิส ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นทั่วโลกสู่ระดับ Neutral จากเดิมที่ระดับ Overweight ซึ่งการปรับลดมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่ตลาดเผชิญความเสี่ยงระยะสั้นจากหลายปัจจัย รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีนี้ ถูกผลักดันจากการปรับการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ มากกว่าที่เกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส
.
"ถึงแม้ว่า เรายังคงคาดการณ์ว่า ผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังคงน่าดึงดูดใจในปีนี้ แต่เราก็ยอมรับว่า มีความเสี่ยงระยะสั้นหลายประการ"
.
http://www.thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=34617&rand=1550237000&fbclid=IwAR1dWlnwvAQOBito6R9MYaIheJwNIvKDl8RQbp4v_aIVWz0pnzcz5C2vTwk (http://www.thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=34617&rand=1550237000&fbclid=IwAR1dWlnwvAQOBito6R9MYaIheJwNIvKDl8RQbp4v_aIVWz0pnzcz5C2vTwk)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 11, 2019, 02:25:32 pm
ต้องเตรียมตัวกันไว้ก่อน

ยังต้องปรับตัวเองให้มากที่สุด

ศึกษาในเรื่องต่างๆให้เยอะมากที่สุด

จะได้ไม่เจ็บตัวเยอะ ครับ

เพิ่มเติม

อย่าใช้จ่ายฟุ้มเฟือย

เรียนรู้เรื่องการลงทุนประเภทต่างๆ ให้มากๆด้วย

*********************************************

บทความของ ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร

เตรียมตัวกันยัง​?
ปีหน้าชัดเจนขึ้นแน่นอน

2G ทำให้
โทรเลขเลิกใช้ถาวร

3G มา Email
ก็มาแทนจดหมาย
โทรศัพท์บ้านหดหาย...

4G E- book มา
ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ร่วง!

E- commerce
จะทำให้ห้างสรรพสินค้าพัง!

E- Banking ธนาคารจะปิดสาขาเกิน 50%

Operation
กำลังจะตกงานอีกมาก

5G จะมาปี 2020
มาพร้อม Fintech , Blockchain,
และ Digital Business
and Robotic

Download หนังยาว 2 ชั่วโมง ไม่เกิน 2 นาที

E-Learning
ถล่มมหาวิทยาลัยแน่นอน!

Logistic มีแต่ Robot

คำถาม
แล้วคนจะทำงานอะไร?
คำตอบ:
ทุกคนจะเป็นนายตัวเอง
ผลิตสินค้าหรือขายบริการ
แบบ freelance ....

มีพนักงานเท่าที่จำเป็น
เพราะทุกอย่าง
จะ run บน internet
และระบบ automation

จะเกิดอาชีพใหม่ๆ
สินค้าใหม่ๆ มากขึ้น
และทุกคนจะซื้อขายกัน
ภายใต้ระบบblockchain
โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
อีกต่อไป ....

ดังนั้น ทุกคนต้องหาตัวเองให้เจอ แล้วทำในสิ่งที่รักที่ชอบให้ดีที่สุด !
เสาะหาความรู้เรื่อง technology เพราะเราเราต้องอยู่กับมัน !
เรียนรู้การทำธุรกิจออนไลน์
รู้ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน
เพื่อเปิดโลกทรรศน์...
และอย่าลืมดูแลร่างกายและจิตใจของเราด้วย เพราะมันคือ

ต้นทุนอันประเมินค่าไม่ได้!

ผู้เขียน : ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2019, 09:17:57 am
ผู้โพส  คุณทวีสุข ธรรมศักดิ์
27 พฤศจิกายน 2562 เวลา 22:52 น. ·
.
ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ปัญหาท้าทายของทั้งโลก
.
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก
.
โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
.
“คริสตีน ลาการ์ด” กล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกในฐานะประธานธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ต่อที่ประชุมการธนาคารยุโรป (ยูโรเปียน แบงกิ้ง คอนเฟอเรนซ์) ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา ถ่ายทอดพลวัตในระบบการค้าและระบบเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างชัดเจน
.
อดีตกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนทุกคนว่า การค้าของทั้งโลกกำลังจัดระเบียบทั้งหมดใหม่ซึ่งส่งผลสะท้อนต่อเนื่องให้เกิดการจัดระบบเศรษฐกิจของโลกเสียใหม่ตามมาด้วย
.
เหตุปัจจัยแรกของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งคงอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อผสมผสานเข้ากับความไม่แน่นอนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้การค้าโลกชะลอตัว ลดลงมากถึงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
.
ปริมาณการค้าโลกที่ลดลงมหาศาล กดดันให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลดต่ำลงสู่ระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
.
ประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจรุดหน้า ซึ่งถูกเรียกรวม ๆ ว่า อีเมิร์จจิ้ง คันทรีส์ทั้งหลาย เคยพึ่งพาอาศัยการค้าโลกและห่วงโซ่ซัพพลายของโลก ในการส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศตนมาตลอด แต่พอเกิดความขัดแย้งทางการค้าขึ้น สิ่งที่เคยพึ่งพาและนำมาใช้อย่างได้ผล ก็ไม่เป็นผลอีกต่อไป
.
ขณะที่เหตุปัจจัยอีกประการก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือพัฒนาการของเทคโนโลยี ที่ก้าวรุดหน้าไม่หยุดยั้ง ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกกันติดปากในปัจจุบันว่า การ “ดิสรัปชั่น” รูปแบบทางเศรษฐกิจที่คุ้นเคยกันมาแต่ไหนแต่ไร
.
“เรากำลังเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก เปลี่ยนจากการแสวงหาอุปสงค์ภายนอกมาเป็นการแสวงหาอุปสงค์ภายใน เปลี่ยนจากการลงทุนไปเป็นการบริโภค เปลี่ยนจากการผลิตไปเป็นการบริการ”
.
ผู้ที่ผลักดันให้เกิดการ “ชิฟต์” จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่งดังกล่าวนั้น ลาการ์ดบอกว่า คือบรรดา “ตลาดเกิดใหม่” หรืออีเมิร์จจิ้ง คันทรีส์นั่นเอง
.
เมื่อส่งออกไม่ได้ ความต้องการจากภายนอกก็ไม่มีบทบาทในการสร้างความเติบโตต่อเนื่องให้กับประเทศเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้อีกแล้ว เมื่อซัพพลายเชนเปลี่ยนแปลง หรือถูกโละทิ้ง การลงทุนผลิตเพื่อการส่งออกก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักในการผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ การให้ความสำคัญต่อธุรกิจบริการจึงเป็นสิ่งจำเป็น
.
ประเทศที่มีปัญหาในขณะที่่โลกกำลังจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่ คือประเทศที่ไม่ได้ส่งสินค้าซึ่งเป็น “สินค้าสุดท้าย” (ไฟนัล โปรดักต์) ซึ่งผู้บริโภคต้องการ แต่เป็นประเทศที่ส่งออก “สินค้าทุน”(แคปิตอล โปรดักต์) เช่น เครื่องจักรสำหรับการผลิต กับประเทศที่ส่งออก “สินค้าช่วงกลาง” (อินเตอร์มิเดียต โปรดักต์) ที่ผลิตและส่งออกไปยังประเทศที่นำไปประกอบเป็นสินค้าสุดท้ายอีกต่อหนึ่ง
.
เธอบอกว่า การผลิตของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในเขตยูโรโซนล้วนแล้วแต่เน้นหนักไปที่สินค้าทุนและสินค้าช่วงกลางดังกล่าวนี้ทั้งสิ้น
.
เศรษฐกิจโลก ซึ่งแต่เดิมเคยวางอยู่บนพื้นฐานของการค้าระหว่างประเทศ และใช้การเปิดตลาดการค้าให้กว้างขวางมากขึ้น เป็นหนทางในการสร้างการเติบโตต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่สามารถคงรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป เมื่อบางประเทศรวมทั้งสหรัฐ ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ไม่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญต่อระบบการค้าพหุภาคีอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อการลงทุนและสั่นคลอนความเชื่อมั่นของตลาดเงินตลาดทุนไปทั่วโลก
.
โมเดลเศรษฐกิจของโลกก็เปลี่ยนไป โมเดลเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
.
นี่คือสิ่งที่ ลาการ์ด เรียกว่า “ความจริงใหม่” ที่ทุกคนต้องตระหนัก
.
สิ่งที่ คริสตีน ลาการ์ด เรียกร้องให้สหภาพยุโรปดำเนินการ ไม่ใช่การผละหนีจากระบบการค้าพหุภาคี แต่ต้องผสมผสานนโยบายให้ดี ภาครัฐต้องลงทุนอย่างเหมาะสม ทุกประเทศต้องร่วมมือก้าวไปในทิศทางเดียวกัน
.
แต่ละประเทศ รวมทั้งยุโรป ต้อง “ลงทุน” และสร้างสรรค์ “นวัตกรรม” ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวต่อไป
.
https://www.facebook.com/251902048251841/photos/a.252846874824025/2391953957579962/?type=3&eid=ARBAKWUcFUao0Lpqx6Xsyy3pceGUOFPkHCU9BUpqVI4jsMiZGqJCilhnQDAVDFbxS7oYr9RaAAzs8Prj&__tn__=EHH-R (https://www.facebook.com/251902048251841/photos/a.252846874824025/2391953957579962/?type=3&eid=ARBAKWUcFUao0Lpqx6Xsyy3pceGUOFPkHCU9BUpqVI4jsMiZGqJCilhnQDAVDFbxS7oYr9RaAAzs8Prj&__tn__=EHH-R)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2019, 09:25:10 pm
.
.
สัญญาเงินกู้หาย ฟ้องร้องดำเนินคดีกันได้หรือไม่
.
คำตอบ
.
เคยมีคำพิพากษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2536 วินิจฉัยไว้ดังนี้
.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินแล้วนำสืบว่าการยืมเงินมีมูลหนี้เดิมมาจากการซื้อขายรถยนต์ เป็นการสืบถึงที่มาแห่งหนี้โดยละเอียดว่าหนี้นั้นมีมูลมาอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น เมื่อการยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว เพียงแต่ขาดหลักฐานแห่งการกู้ยืม ตามกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 เท่านั้น หนี้ดังกล่าวมีการจำนองเป็นประกัน เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญายืมจึงย่อมบังคับเอากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้จำนองได้ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ว่า การนำสืบถึงมูลหนี้เดิมของการยืมเป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) แล้ว จำเลยที่ 2และที่ 3 จะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
.
สรุปกล่าวคือ กรณีที่หลักฐานการกุ้ยืมหาย ในกรณีที่ผู้ให้กู้ยืมเคยมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ แต่ต่อมาหลักฐายดังกล่าวสูญหายไป ผู้ให้กู้มีสิทธินำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบแทนได้
.
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
.
 0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th
.
https://www.lawyers.in.th/2019/03/16/loan-contract-lost/?fbclid=IwAR0IowJhYSwc1H0j5xvGWOMh8ZPpfEMG7LKUMZht4rlXTrTJTIEZWLPmFLI (https://www.lawyers.in.th/2019/03/16/loan-contract-lost/?fbclid=IwAR0IowJhYSwc1H0j5xvGWOMh8ZPpfEMG7LKUMZht4rlXTrTJTIEZWLPmFLI)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2020, 05:22:24 am
อยากให้อ่านกันครับ
จะได้เตรียมตัว หาวิธีการรับมือ และ แก้ไขในเหตุต่างๆที่เราคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

โพสโดย aomMONEY
1 มกราคม 2563
#คำอวยพรปีใหม่ 2563 “ จง อย่า ตก งาน”
.
เป็นโอกาสอันดีมากครับที่ คอลัมน์ #มีสลึงพึงบรรจบ ได้พับลิชในวันขึ้นปีใหม่พอดี วันนี้หลายคนคงเริ่มเดินทางหลังจากพักผ่อนยาว ก็ขอให้เดินทางปลอดภัยเมาไม่ขับ ใช้สติในการดูแลชีวิตและทรัพย์สินนะครับ ส่วนตัวผมเองปีใหม่ก็เป็นวาระที่ดีที่เราไปสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ ปีนี้ผมก็มีโอกาสไปขอพรแม่ของผมพระอรหันต์ในบ้านเช่นกันครับ
.
ด้วยความที่ปีที่ผ่านมาผมตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน ซึ่งจะต้องผ่อนไปอีก 25 ปีเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต ก็ทำให้แม่ค่อนข้างเป็นห่วง ปีใหม่ปีนี้แม่เลยอวยพรนอกจากเรื่องสุขภาพแข็งแรงและคิดอะไรขอให้สมหวังแล้ว
.
แม่ยังฝากเตือนสติมาด้วยว่า “ปีใหม่นี้ขอให้อย่าตกงาน” พอฟังแล้วก็สะอึกเล็กน้อย ก็เลยถามไปแม่ก็บอกว่าเป็นห่วงเห็นช่วงนี้บริษัทหลายแห่งปิดตัว และผมเองก็มีโอกาสอยู่ในบริษัทที่เลย์ออฟใหญ่ไป 2 ครั้งแม้ผมจะรอดมาได้แต่องค์กรก็สาหัสเหมือนกัน
.
พอมานั่งคิดก็จริงของแม่ เพราะถ้าย้อนไปดูเมื่อธันวาคม 2562 ที่เพิ่งผ่านมาสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากรในประเทศไทย พบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2562 จำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ 37.71 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนลดลง 5.5 แสนคน
.
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ที่มีจำนวนผู้มีงานทำ 38.26 ล้านคน โดยเหตุผลในการว่างงานนั้นพบว่าแรงงานจำนวน 4.75 หมื่นคน ระบุว่า ถูกนายจ้างเลิกจ้าง หยุด ปิดกิจการ โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเพียง 1.89 หมื่นคน หรือเพิ่มขึ้น 251% และมีแรงงานจำนวน 3.85 หมื่นคน ระบุว่า ว่างงานเพราะหมดสัญญาจ้างงาน
.
สัญญาณดังกล่าวบอกเราว่า ปี 2563 นี้เหนื่อยแน่ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานรอปรับเงินเดือนไปวันต่อวัน เดือนต่อเดือน เพราะภาวะการจ้างงานไม่แน่นอนถ้าคุณไม่ใช่ข้าราชการโอกาสตกงานมีสูง แล้วถ้ายิ่งมีภาระที่ต้องผ่อนบ้านหรือรถระยะยาวนี่เครียดหนักแน่นอน
.
อย่างที่เคยบอกแล้วเราควรมีเงินสำรองเผื่อตกงาน 4-6 เดือน ตอนนี้พวกเรามีเงินเก็บเดือนละเท่าไหร่กันครับ? เอาใหม่ตอนนี้เรามีแผนที่จะใช้เงินซื้อของ ไปเที่ยว ช้อปปิ้งเท่าไหร่กันครับ?
.
ตอนนี้คือช่วงเวลาแห่งการลดรายจ่าย รัดเข็มขัด เพิ่มเงินออม ไม่มีใครรู้ว่าปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจจะมาเมื่อไหร่ เงินบาทจะอ่อนตัวเมื่อไหร่ เศรษฐกิจจีนที่เราฝากความหวังไว้ก็เริ่มทำท่าจะไม่ดีเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง
.
คำตอบสุดท้ายตอนนี้ก็คือ “จงอย่าตกงาน” ทำงานที่คุณทำให้ดี รักงานที่คุณทำให้มากๆ อดทนอีกนิดเวลาที่มันมีปัญหาการลาออกโดยที่ไม่มีงานรองรับนั้นไม่แน่ใจว่าเราจะเป็นคนว่างงานไปอีกนานเท่าไหร่
.
ในโอกาสนี้ผมขอส่งมอบคำอวยพรของคุณแม่ผมให้กับแฟนเพจ aomMONEY ทุกท่าน ขอให้สนุกกับงานทำงานให้สนุกให้ออกมาดีดังใจ และ “จงอย่าตกงาน” สวัสดีปีใหม่ 2563 ครับ
.
คอลัมน์ #มีสลึงพึงบรรจบ โดย Mr. #Priceless
https://www.facebook.com/aommoneyth/photos/a.699033976816412/2568085126577945/?type=3&theater (https://www.facebook.com/aommoneyth/photos/a.699033976816412/2568085126577945/?type=3&theater)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 07, 2020, 12:00:40 pm
โพสโดย ทวีสุข ธรรมศักดิ์
วันที่ 7 มีนาคม 2563

จำได้ว่าก่อนเลือกตั้งถูกถามว่าคิดยังงัยตอนนั้นตอบไปว่า
ถ้าไม่ชอบใครก็เลือกคนนั้นมาเป็นรัฐบาล ตอนนี้เห็นสภาพนะครับ
ไปตอบกันเอง

เรื่องแจกเงิน..เอาอารมณ์ออกก่อน...แล้วเปิดสมองด้วย..ก่อนอ่าน

ทำไมต้องแจกเงิน????

ตอนปี 2556-57 เรามีปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนในระบบ
เพราะ...การบริโภคภายในต่ำ..คนส่วนใหญ่เงินไม่ค่อยคล่อง
จนเกือบเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ

แต่อยู่ๆก็เหมือนโชคช่วย..นักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากจีนแห่มาไทยเยอะมาก
เราก็เลยลงทุนทั้ง สร้างโรงแรม คอนโด เพื่อรองรับกันในปริมาณมหาศาล
ก็...ทำให้เงินหมุนอยู่ช่วงหนึ่ง
บวกกับ...คนแห่ไปซื้อคอนโด..เพื่อลงทุน

......ทุกคนคิดว่า...จีน..จะโตตลอดไป...หายนะจึงเกิดขึ้น

จึงก่อหนี้มาลงทุนประมาณว่า..เงินหาได้ง่ายๆ
แต่..ลืมไปว่าเงินที่มี..คือ..การก่อหนี้..ทั้งสิ้น

ปี 2019 จีนชะลอการลงทุนและท่องเที่ยวลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ปี 2020 เจอโรคระบาดทุกอย่างหยุดอย่างฉับพลัน

ปัญหาคือ..??
- การบริโภคจากภายในอ่อนแอ่อยู่แล้ว ก็มาเจอเงินที่มาจากภายนอกหายไปอีก
- ผู้บริโภค หรือ M3 เป็นหนี้สินระยะยาวจากอสังหาริมทรัพย์เก็งกำไร หนี้จากการกู้มาเพื่อชีวิต ดี๋ดี โชว์บนโซเชียล
การบริโภคยิ่งลด
- ไม่มีผลตอบแทนการจากออม..คนเลยขนเงินไปเสี่ยงสารพัดรูปแบบ เงินออมก็หายไปแบบไม่มีวันกลับ

ทั้งหมดนี้ทำให้การบริโภคลดลง...ปัญหาคือ???
- เมื่อบริโภคลดลง...ผู้ผลิตก็จะมีรายได้ลดลง
ปัญหาเรื่องหนี้+ดอกเบี้ย....ค่าแรงค่าเงินเดือน...ค่าใช้จ่ายต่างๆ
- การเลิกจ้างก็จะตามมา
- เมื่อไม่มีจ่ายดอกเบี้ย....หนี้เสียก็ตามมา
- หนี้เสียมาก...ธนาคารก็จะมีความเสี่ยง

ท่องเที่ยว..ปัญหาคือ?
คิดง่ายๆว่า..เวลาไปเที่ยว..เราทำอะไรบ้าง

- ทานอาหาร...มีกี่โรงงานทั้งเล็กและใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง..อาหารที่ทาน
- การจ้างงาน..เมื่อเงินไม่หมุน...ก็ไม่มีจ่าย
- โรงแรม..อะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง..ผู้คนมากมายที่คอยให้บริการ
- การขนส่ง ตั้งแต่...เครื่องบิน..รถไฟ..รถไฟฟ้า..รถทัวร์..รถตู้..รถแท็กซี่

เมื่อทั้งหมดนี้ไม่มีเงินหมุนในระบบ..ก็ไม่มีรายได้ใช่มั๊ยครับ

การแจกเงินคือ...การเลี้ยง..ระบบให้หมุนไปเพื่อรอเวลากลับมาหมุนใหม่

ก็อย่างที่ผมบอกว่า...รอบนี้คือ...รอบใหญ่ในรอบ 100 ปี
มีหลายอย่างมากมายในปัญหาเชิงโครงสร้างของโลก
และ....ไม่มีใครมีประสบการณ์..เพื่อรับปัญหา
เพราะทุกคนมีแต่ประสบการณ์...ขาขึ้น..รอบใหญ่
จึงเชื่อว่า....วิกฤติเกิด...เดี๋ยวก็จบ
เลยแก้ปัญหา...แบบ..เดี๋ยวก็จบ

แต่...ไม่เคยเจอ..วิกฤติแบบ...เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของระบบ

เราจึงเห็น
...ไอ้โง่..ผู้เรืองปัญญา..ที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
แต่..เสื..ก...ขยัน...เต็มไปหมด

ก็อย่างที่บอกเสมอ..ไม่ต้องรอเพิ่งใครหรอกครับ

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..ดีที่สุด

ทวีสุข ธรรมศักดิ์

https://www.facebook.com/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-251902048251841/?__tn__=kC-R&eid=ARBclC3cpSIfAg1jE4paBniz93Ypb0a5D-XIRmlPcHTe9Jwoa0X0awh44xkcaDCP7UZ4Yq7d594QYp-Z&hc_ref=ARSwIFCslFKXrkReZcbbh7KnaGUKwWCykseqMzuaYcsSHrXwvFwPB6v6mGyGtZ25ks4&fref=nf&__xts__%5B0%5D=68.ARAb8syDzPECrKpznPV3ja8D7lB-oKZivVctykGnbyN1Q-TIbUZNbItKmuNCJjRmGWhCzrbJPnYKGP4zhczv4O92c7EiJi8nPXKFAkpV1KM0bp_sIDXvMlz7gI0WMTeGD90TEB89AZX5fJGDeqgq7OMllc590xc9SaP8bt_OVi9EnIR9drZXrsTiB9ayd8zJKRe3savK5rsyBd261e8XigNCg4ISLtnylmZSzvm8VLO0jArOLvyAsvJJsuts2t7wEi4HbVJ6MtTpivUG9RitbHZKERNenckb0J2jo2bnmpnEPMJ4Twg95CYojvvkv3Er96l9_vBZqaJFEenTt2pK74uNOP1hvFXn_bZEQUsWPuvQvXYM3Us (https://www.facebook.com/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-251902048251841/?__tn__=kC-R&eid=ARBclC3cpSIfAg1jE4paBniz93Ypb0a5D-XIRmlPcHTe9Jwoa0X0awh44xkcaDCP7UZ4Yq7d594QYp-Z&hc_ref=ARSwIFCslFKXrkReZcbbh7KnaGUKwWCykseqMzuaYcsSHrXwvFwPB6v6mGyGtZ25ks4&fref=nf&__xts__%5B0%5D=68.ARAb8syDzPECrKpznPV3ja8D7lB-oKZivVctykGnbyN1Q-TIbUZNbItKmuNCJjRmGWhCzrbJPnYKGP4zhczv4O92c7EiJi8nPXKFAkpV1KM0bp_sIDXvMlz7gI0WMTeGD90TEB89AZX5fJGDeqgq7OMllc590xc9SaP8bt_OVi9EnIR9drZXrsTiB9ayd8zJKRe3savK5rsyBd261e8XigNCg4ISLtnylmZSzvm8VLO0jArOLvyAsvJJsuts2t7wEi4HbVJ6MtTpivUG9RitbHZKERNenckb0J2jo2bnmpnEPMJ4Twg95CYojvvkv3Er96l9_vBZqaJFEenTt2pK74uNOP1hvFXn_bZEQUsWPuvQvXYM3Us)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 14, 2020, 01:43:25 pm
วิเคราะห์คดีแชร์ วิธีฟ้องคดีและอายุความในการฟ้อง
August 23, 2017

    ความหมายของการเล่นแชร์

การเล่นแชร์ คือ สัญญาชนิดหนึ่ง มีคู่ความ 2 ฝ่าย คือ นายวงแชร์ ฝ่ายหนึ่ง กับลูกวงแชร์ อีกฝ่ายหนึ่ง ปกตินายวงแชร์จะเป็นบุคคลเดียว ส่วนลูกวงแชร์จะมีหลายคน

    รวมบทความเกี่ยวกับการเล่นแชร์

เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาวิเคราะห์ แชร์ล้มผิดฉ้อโกงหรือไม่

วิเคราะห์คดีแชร์ ท้าวแชร์ออนไลน์เปิดแชร์หลายวงมีความผิดหรือไม่ และเลขาวง หรือผู้ช่วยถือเป็นตัวการร่วมหรือไม่

ท้าวแชร์ ตั้งแชร์เกิน 3 วง มีโทษจำคุกหรือไม่

    ประเภทของการเล่นแชร์

ในการเล่นจะกำหนดจำนวนเงินแต่ละงวดและวิธีการประมูลซึ่งวิธีการประมูลมี 2 ประเภท คือ

ประมูลหักดอกเบี้ย เช่น จำนวนเงินแชร์ 10,000 บาท หากลูกวงแชร์ผู้ประมูลให้ผลประโยชน์ 1,500 บาท เป็นดอกเบี้ยซึ่งสูงกว่าลูกวงแชร์อื่น ก็จะเป็นผู้ชนะการประมูล ลูกวงแชร์ที่ประมูลได้ก็ต้องรับเงินงวดนั้น 8,500 บาท

แต่ถ้าเป็นแชร์ชนิดดอกตาม ลูกวงแชร์ที่ประมูลไม่ได้ก็ต้องชำระเต็ม 10,000 บาท แต่จะได้รับคืนจากผู้ประมูลได้ในภายหลัง

    สิทธิพิเศษของเท้าหรือนายวงแชร์

ปกตินายวงแชร์ได้สิทธิพิเศษ คือได้รับเงินเต็มในเดือนแรก ตามตัวอย่างข้างต้นหากมีผู้เล่น 20 คน ผู้เข้าเล่นหรือลูกวงแชร์จะต้องชำระเงินคนละ 10,000 บาท ให้แก่นายวงแชร์ โดยนายวงแชร์ไม่ต้องเสียดอกแต่มีหน้าที่ที่จะใช้คืนลูกวงแชร์ทุกงวดๆ ละ 10,000 บาท และมีหน้าที่จัดการประมูลและรวบรวมเงินจากลูกวงแชร์ที่ประมูลไม่ได้ มอบให้แก่ผู้ที่ประมูลได้

มีข้อพิจารณาว่าหากผิดสัญญาเล่นแชร์ดังกล่าว คู่สัญญาจะต้องฟ้องคดีภายในกี่ปี เนื่องจากสัญญาเล่นแชร์ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายไว้โดยเฉพาะ จึงต้องปรับข้อเท็จจริงในข้อสัญญาเข้ากับบทบัญญัติเรื่องอายุความ

    กรณีผิดสัญญาเล่นแชร์เกิดขึ้นได้ 4 กรณี คือ

1. นายวงแชร์ผิดสัญญาไม่รวบรวมเงินมอบให้แก่ลูกวงแชร์ซึ่งประมูลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2530 โจทก์ตกลงเล่นแชร์กับจำเลย จำเลยเป็นนายวงแชร์ เมื่อลูกวงแชร์คนใดเปียแชร์ได้จะได้รับเช็คจากจำเลยซึ่งเก็บมาจากลูกวงแชร์ทุกคนโดยจำเลยลงชื่อสลักหลังและรับผิดชอบกรณีเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์เปียแชร์ได้และนำเช็คที่ได้รับจากจำเลยบางฉบับไปชำระหนี้แก่ ก. แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมา ก. ถึงแก่กรรม ว. ภริยา ก. ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สลักหลังให้ชำระเงินตามเช็ค ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่ ว. ไป เช่นนี้ ถือว่าโจทก์ยังไม่ได้รับเงินค่าแชร์ตามเช็คดังกล่าวจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามข้อตกลงในการเล่นแชร์ และอายุความของสิทธิเรียกร้องในกรณีผิดสัญญาเล่นแชร์นี้มีกำหนดสิบปี การที่โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันให้โจทก์นำเช็คที่ได้รับจากการเล่นแชร์ไปเรียกเก็บเงินดังกล่าวนั้นไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ และโจทก์มิใช่คู่ความในคดีที่ ว.ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่ ว. ฟ้องจำเลยดังกล่าว

2. ลูกวงแชร์ผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่างวดให้แก่นายวงแชร์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2480 สัญญากู้เงินในเรื่องเล่นแชร์วิธีกำหนดเวลาที่ลูกวงจะต้องนำเงินส่งให้นายวงเป็นงวดๆ นั้น มีกำหนดอายุความฟ้องร้องเพียง 5 ปี นอกจากนี้ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2516 และ 284/2516

3. ลูกวงแชร์ผิดสัญญากันเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2537 มูลหนี้ตามฟ้องโจทก์ไม่ใช่มูลหนี้การกู้ยืมเงินตามความหมายของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี รวมอยู่ในมูลหนี้ จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว มูลหนี้เดิมเกิดจากจำเลยที่ 1 ร่วมเล่นแชร์กับโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระหนี้ค่าแชร์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คถือว่าโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ค่าแชร์ การชำระหนี้ด้วยเช็คเช่นนี้ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงอาศัยมูลหนี้เดิมตามสัญญาการเล่นแชร์หาได้ฟ้องให้รับผิดตามเช็คไม่ อายุความเกี่ยวกับการฟ้องเรียกเงินค่าแชร์ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ใหม่) เมื่อนับตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2525 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสามชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ครั้งสุดท้าย และเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2530 ซึ่งเป็นวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

4. กรณีลูกวงแชร์ผิดสัญญา นายวงแชร์ชำระหนี้แทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1553/2537 โจทก์เล่นแชร์กับจำเลยโดยโจทก์เป็นนายวง จำเลยประมูลแชร์ได้และออกเช็คให้แก่ลูกวงคนอื่นๆ ไว้ เมื่อเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ในฐานะนายวงได้ชำระเงินตามเช็คไปแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยอันเป็นการเรียกเงินที่ออกทดรองไปก่อนคืน สิทธิเรียกร้องเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 3 กรณีแรกมีข้อสัญญาที่เหมือนกันอยู่ 2 กรณี คือ กรณีที่นายวงแชร์ผิดสัญญากับลูกวงแชร์ และลูกวงแชร์ผิดสัญญากันเอง กล่าวคือ ผู้ที่ผิดสัญญามีหน้าที่รับผิดชอบชำระหนี้ให้แก่อีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว ส่วนกรณีลูกวงแชร์ผิดสัญญาต่อนายวงแชร์ กรณีนี้ลูกวงแชร์มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะชำระเป็นงวดๆ อายุความจึงต่างกัน ศิริชัย วัฒนโยธิน


มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา

0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th

ที่มา https://www.lawyers.in.th/2017/08/23/law-chain-link-cases/?fbclid=IwAR24kgCoPmOu7yqZOZK-jdShs_rdX4LM_SytQeDnNrcYBuDt8f-gLewLfgI (https://www.lawyers.in.th/2017/08/23/law-chain-link-cases/?fbclid=IwAR24kgCoPmOu7yqZOZK-jdShs_rdX4LM_SytQeDnNrcYBuDt8f-gLewLfgI)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 12, 2020, 11:30:57 am
ขอให้ทุกท่าน  #ระมัดระวังตนเอง และ #ระมัดระวังครอบครัว  กันให้มากๆ
.
เชื้อโรคนี้ เป็น #เชื้อโรคใหม่  ที่โลกนี้พึ่งได้พบเจอ
.
ขอให้ทำตาม #มาตรการที่ทางการแพทย์ แจ้งมาให้ปฎิบัติตาม
.
ย้ำว่า #เชื้อCovid19  ไม่มีวันหายไปจากโลกนี้
.
เชื้อCovid-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์และโลกนี้ตราบนิรันดร์
.
เพียงแต่มนุษย์เราจะควบคุมเชื้อโรคนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
.
อีกเรื่อง  หลังจาก #วิกฤตการCovid19 ผ่านพ้นไป
.
#ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และ #ระบบเศรษฐกิจของโลก จะ #เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
.
ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีๆ  ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
.
เรื่องสุดท้าย  วิกฤตในครั้งนี้  ในความเห็นส่วนตัวผมคือ #สงครามโลกครั้งที่3  เป็นสงครามโลกระหว่าง #มนุษยชาติ กับ #เชื้อโรค
.
เราทุกคน ต้อง #ร่วมมือ #ร่วมใจ กันฝ่าฟันให้พ้นจากสงครามโลกในครั้งนี้ไปด้วยกัน
.
.
.฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
.
.
“COVID-19” ไวรัส "ฆ่า" ไม่ตาย? | 11 เม.ย. 63 | TNN ข่าวดึก
https://www.youtube.com/watch?v=cSexpSxfkCg (https://www.youtube.com/watch?v=cSexpSxfkCg)

TNN ช่อง 16 11 เม.ย. 2020
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2020, 04:30:08 am
ฟ้องคดีผู้บริโภคไม่ต้องใช้ทนาย...ทำได้จริง!
.
เขียนโดย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค วันที่ 14 เมษายน 2563.
.
ฟ้องคดีผู้บริโภคไม่ต้องใช้ทนาย : กรณีตัวอย่าง ฟ้องร้านทองเอาเปรียบ รับซื้อทองราคาต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
.
          หลายคนมักมีความเชื่อว่า การฟ้องศาลเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องใช้เงินเยอะ  แถมใช้เวลานาน  ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นความจริง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กฎหมายก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น  นั้นคือ “พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551” โดยจุดเด่นของกฎหมายฉบับนี้ คือ ช่วยให้ผู้บริโภคที่เป็นผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีได้เอง กล่าวคือ เมื่อถูกละเมิดสิทธิ สามารถเอาหลักฐานที่มีไปศาล ฟ้องด้วยวาจาได้ ไม่จำเป็นต้องมีทนาย ซึ่งจะมีเจ้าพนักงานคดีเป็นผู้ทำบันทึกรายละเอียดของคำฟ้อง จากนั้นให้ผู้บริโภคในฐานะโจทก์ลงลายมือชื่อรับรอง ซึ่งโจทก์จะมีการยื่นหลักฐานพยานแนบมาพร้อมคำฟ้องด้วย เช่น หนังสือรับรองบริษัท เอกสารเกี่ยวกับสัญญา ใบเสร็จ ภาพแคปเจอร์จากแชทสนทนา ภาพรูปถ่ายสินค้า ภาพคำสัญญาหรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
.
          นอกจากนี้ ยังมีข้อดีอีกหลายประการ เช่น ผู้บริโภคยังได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องคดี ผ่อนคลายเรื่องหลักฐานเป็นหนังสือ อายุความยาวกว่าคดีแพ่งทั่วไป ไม่เคร่งครัดกระบวนการพิจารณา ภาระการพิสูจน์เป็นของผู้ประกอบการศาลพิพากษาเกินคำขอได้ เป็นต้น

.
ทำได้จริง ตัวอย่างฟ้องร้านทองเอาเปรียบ รับซื้อทองราคาต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
.
แม้เราจะทำความเข้าใจกฎหมายบ้างแล้ว เห็นข้อดีหลายอย่าง หลายคนคงอยากทราบว่าแล้วเคยมีใครไปฟ้องคดีเองบ้าง จึงขอยกตัวอย่างกรณีน่าสนใจของ “คุณภัทรกร ทีปบุญรัตน์” ผู้บริโภคที่มีความสตรองในการพิทักษ์สิทธิของตนเอง และเห็นปัญหาว่าเรื่องผู้บริโภคไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่อาจเกิดได้กับผู้บริโภคอื่นๆ เนื่องจากเขามองว่าเวลาที่ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการก็ไม่ได้ทำกับแค่คนใดคนหนึ่ง ดังนั้น หากฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคก็น่าจะช่วยเหลือตนเองและคนอื่นๆ ได้ มีคดีที่เป็นตัวอย่าง และหากคดีตัวอย่างนี้ชนะ ผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนคำสั่งจะได้ไม่ทำพฤติกรรมดังกล่าวอีก
.
สำหรับจุดเริ่มต้นในการฟ้องคดี เริ่มจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 บุคคลใกล้ชิดในครอบครัวได้ไปซื้อทองรูปพรรณจากร้านทองแห่งหนึ่ง ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2563 คนใกล้ชิดต้องการเงินสดไว้ใช้จ่ายในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อโควิด-19 จึงนำทองรูปพรรณไปขายคืนให้กับร้านทองร้านเดิมที่เคยซื้อมา เพื่อเเปลงเป็นเงินสด แต่กลับพบว่า ร้านดังกล่าวรับซื้อทองในราคา 22,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าที่สมาคมค้าทองคำประกาศ คือ 24,741.12 บาท อีกทั้งพนักงานขายและร้านทองก็ไม่ได้แสดงราคารับซื้อที่ถูกต้องไว้ที่หน้าร้านอีกด้วย คุณภัทรกรเห็นว่าการกระทำแบบนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตามประกาศของสำนักกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น เมื่อเห็นว่าถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาจึงติดต่อกลับไปที่ร้านทองเพื่อขอเลิกสัญญา โดยจะส่งมอบเงินสดเพื่อขอทองรูปพรรณคืน  ต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกันได้นำทองรูปพรรณไปขายใหม่ แต่ได้รับการปฎิเสธรับซื้อในราคาตามประกาศรับซื้อของสมาคมค้าทองคำ จากนั้นจึงได้รวบรวมเอกสารหลักฐานและไปยื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภคด้วยตนเอง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
.
ในสถานการณ์ที่เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังแพร่ระบาด เขามองว่า น่าจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่นำทองคำไปขาย เพราะต้องการสำรองเงินสดไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่อาจจะไม่ได้ตรวจสอบราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ขณะที่ร้านทองหลายแห่งก็รับซื้อทองในราคาที่ต่ำว่าประกาศของสมาคมค้าทองคำ ทั้งที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ‘ร้านทองต้อง ซื้อ - ขายทองตามราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ’ เขาคิดว่าการฟ้องคดีเป็นคดีผู้บริโภคน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคโดยรวมได้
.
นอกจากนี้ เขายังตัดสินใจฟ้องคดีโดยไม่ใช้ทนายอีกด้วย เนื่องจากทราบมาว่าหากผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิ สามารถไปใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยตัวเอง โดยไปให้ถ้อยแถลงด้วยวาจาต่อนิติกรของศาลได้ ด้วยสาเหตุนี้จึงฟ้องเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้กับผู้บริโภครายอื่นๆ ได้ทราบว่าหากถูกละเมิดสิทธิ สามารถฟ้องคดีได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีทนายก็ได้ อย่างไรก็ตาม การฟ้องคดีในช่วงที่ไวรัสกำลังระบาดก็ทำให้มีข้อจำกัดในการให้ถ้อยแถลง จึงต้องกลับมาเขียนถ้อยแถลงด้วยตัวเองและส่งให้นิติกรแก้ไขให้ ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี จนสามารถยื่นฟ้องได้ในวันที่ 9 เมษายน 2563 เป็นคดีผู้บริโภคเลขที่ ผบ1453/63
.
ล่าสุด (14 เมษายน 2563) เขายังไปใช้สิทธิทางอาญา แจ้งเรื่องร้องเรียนที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเอาโทษทางอาญาต่อร้านทอง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 29 ที่กำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจดําเนินการใดๆ จงใจที่จะทําให้ราคาต่ำเกินสมควรหรือสูงเกินสมควร หรือทําให้ปั่นป่วนซึ่งราคาสินค้าหรือบริการใด” เพื่อให้ร้านทองที่เคยเอาเปรียบเขา และรวมถึงร้านที่ปัจจุบันยังมีการรับซื้อทองในราคาต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดและมีบทลงโทษจริงๆ
.
ทั้งนี้ คุณภัทรกรฝากเตือนมาว่า ใครที่จะนำทองไปแปรเป็นเงินสด ให้ติดตามราคาจากประกาศสมาคมค้าทองคำ และซื้อขายทองกับร้านที่ยึดราคาตามประกาศฯ เท่านั้น เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของตัวเอง
.
https://www.consumerthai.org/news-consumerthai/consumers-news/product-and-other/4457-630414_consumer-protection.html?fbclid=IwAR1SiumSbCsAXUk2kwphFHAs_3ezSMzbqtVP56JBMLGCw167BdLrkRhumfA (https://www.consumerthai.org/news-consumerthai/consumers-news/product-and-other/4457-630414_consumer-protection.html?fbclid=IwAR1SiumSbCsAXUk2kwphFHAs_3ezSMzbqtVP56JBMLGCw167BdLrkRhumfA)
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 25, 2020, 11:05:37 am
เคยเรียนในลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว

พอมาอ่านเจอ ก็เลยอยากนำมาลงให้ทุกท่านได้อ่านกัน

อ่านแล้วคิดกันครับว่า ในอนาคต เราจะทำงานอย่างไร
.
.
.
.
.฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
.
.
.
.
อีกสอง สามปี ข้างหน้า คน 4 ประเภท จะหางานทำยาก มากขึ้น หากไม่ปรับตัว
.
เตรียมพร้อมกันหรือยัง…? อีกสองถึงสามปี ข้างหน้าชัดเจน ขึ้นแน่นอน
.
ยุค 2 G ถือกำเนิดทำให้..โทรเลขเลิกใช้ถาวร
.
ต่อมา 3 G ถือกำเนิดทำให้..Email มาแทนที่จดหมาย โทรศัพท์บ้าน หดหาย

ปัจจุบัน 4 G ก่อให้เกิดอะไรใหม่ๆ มากขึ้นส่วนสิงเก่าๆ ก็ถูกลืมไว้ข้างหลัง
.

การดูวีดิโอผ่านออนไลน์ ทำให้ ทีวีหลายๆ ช่องปิดตัวลง
.
ค้าขายออนไลน์ ได้รับความนิยม แต่ห้างสรรพสินค้า กลับยอดขายตก
.
เร็วๆนี้ 5 G กำลังเกิดขึ้น
.

มาพร้อมกับ Block chain, Fintech , Digital Business , A I และจักรกล ที่มาแทนที่คน จักรกล และ ปัญญาประดิษฐ์
.
สิ่งเหล่านี้ จะเข้ามาแทนในสิ่งที่เรา คิดไม่ถึง มากอย่าง ไม่น่าเชื่อ และการที่ไม่เชื่อ ว่าจะมาแทนขนาดนั้น ก็เหมือนกับ ที่รุ่นพ่อแม่
.
เราไม่คิดว่าโลกทุก อย่างจะมารวม ในมือถือเ ครื่องเดียว ได้ขนาดนี้
.
คำกล่าวที่ว่า…ในอนาคตอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้างาน 50% ของมนุษย์ จะถูกแทนที่ ด้วยหุ่นยนต์ หรืออีกความหมายหนึ่ง ก็คือ
.
ใน 10 ปีต่อไป คนกว่าครึ่ง จะตกงาน เมื่อก่อน เราอาจนึกภาพไม่ออก แต่เมื่อนานวันเข้าเรื่องเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
.
และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เร็วกว่าที่คิด เพราะในช่วงปี สองปี ที่ผ่านมาเรา ต่างเห็นบริษัทต่างๆ ทยอยปลดพนักงาน ออกลดจำนวนพนักงาน
.
ลงเพื่อ ลดรายจ่ายไม่รับพนักงานใหม่ เพิ่มพนักงาน ที่ได้อยู่ต่อ ก็ต้องทำงาน หนักมากขึ้น
.
บางครั้งต้อง ทำงานแทน ตำแหน่งคนที่ออกไป ด้วยและบางบริษัทก็เริ่มแทนที่พนักงาน ด้วยเครื่องจักร
.
อย่าคิดว่า เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องไกลตัวเพราะ ในหลายๆประเทศ ที่พัฒนาแล้ว เริ่มทยอยปรับโครงสร้าง
.
องค์กรครั้งใหญ่ เมื่อทั้งโลกเริ่มขยับ ในไม่ช้าเราก็คงต้องปรับตัว ตามส่วนคนที่ไม่ปรับตัว ตามก็อาจถูกทิ้งไว้ ข้างหลัง
.
.
.
คน 4 ประเภทที่จะตกงาน และอยู่ยาก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
.
.
ประเภทที่ 1 คนที่ทำงาน แบบเดิมๆซ้ำๆ
.
พนักงาน ที่ต้องทำงานแบบเดิมซ้ำๆ เช่นแพคของประกอบชิ้นส่วน พนักงานต้อนรับ คนรับออเดอร์ เช็คคลังสินค้า เช็คสต๊อค
.
ของงานที่อาศัย แค่การจับวาง ให้เข้าที่งาน ที่ทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่ได้อาศัย การคิดวิเคราห์ หรือการตัดสินใจใดๆ
.
เรียกว่าทำงานด้านเดียว คล้ายๆ หุ่นยนต์จึงไม่แปลกเลย หากจะถูกแทน ที่ด้วยหุ่นยนต์จริงๆ
.
เพราะในมุมมอง ของนายจ้างหุ่นยนต์ ไม่ขาดลา มาสาย ไม่บ่น ไม่หยุดงานประท้วง ไม่เรียกร้องขึ้นเงินเดือน ไม่เรียกร้อง สวัสดิการเพิ่ม
.
.
.
ประเภทที่ 2 คนที่นอกเหนือจาก 8 ชั่วโมง ไม่เรียนรู้
.
มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ทำงานที่โกดังสินค้า เป็นงานง่ายๆ แค่เช็คจำนวนสินค้า ในคลังเป็นเหมือนงาน ที่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์
.
ในอนาคต แต่เมื่อทำงาน ปีแรกเขาก็ค้นพบ ว่ามีสินค้าบางชนิด ที่ถูกสต๊อคเอาไว้ ในคลังและ ถูกจัดส่ง เป็นจำนวนมาก
.
เขาไปค้นหา ข้อมูลต่อ และพบว่าสินค้าชนิดนี้ เป็นที่ต้องการของตลาดมาก ด้วยความที่อยู่ ในวงการนี้ อยู่แล้ว
.
เขาเริ่ม เกิดไอเดีย…มองหาแหล่ง ผลิตที่ต้นทุนถูกได้ และเริ่มนำมาลง หน้าเว็ปเพื่อขายออนไลน์ ผ่านไป 3 ปีธุรกิจขยายตัว อย่างรวดเร็ว
.
ปีที่ 5 เขาก็เปิดบริษัท ของตัวเอง ตลอดระยะเวลาแห่งงาน เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาไม่เคย หยุดทำก็คือ ใช้เวลานอกเหนือจาก 8 ชั่วโมง
.
ในการเรียนรู้ ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งการเรียนรู้ ความรู้เติบโต ขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดด ทุกคนมีอินเตอร์เน็ต
.
สามารถเข้าถึงความรู้ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แค่ปลายนิ้ว อยู่ที่ว่าคุณจะใช้โอกาส ที่มีไขว่คว้า หรือนั่งรอ วันถูกแทนที่
.
.
.
ประเภทที่ 3 คนที่ร่วมงานกับคนอื่นไม่เป็น
.
ถ้ามีโจทย์ว่า ปล่อยมนุษย์ 1 คนไว้ในป่า กับลิง 1 ตัวไว้ในป่า คุณคิดว่าใครจะเอา ตัวรอดในป่า ได้นานกว่ากัน แน่นอนต้องเป็นลิง
.
แต่ ถ้าเปลี่ยนโจทย์เป็น…ปล่อยมนุษย์ 10 คนไว้ในป่า กับลิง 10 ตัว ไว้ในป่า คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
.
เมื่อเวลาผ่านไป หลายร้อยปี มนุษย์ 10 คนสามารถสร้างสรรค์ อารยธรรม ให้เกิดขึ้นได้ แน่นอน
.
ทีนี้ เห็นภาพหรือยัง ทีมเวิร์คที่ดี นี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่า หุ่นยนต์ การร่วมมือกันการทำงาน เป็นทีม
.
และการ รู้จักปรับตัว ให้ทำงานร่วมกัน ได้เป็นทักษะ ที่ทำให้มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิต ที่พัฒนา ไปได้ไกลกว่า สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ บนโลก
.
.
.
ประเภทที่ 4 คนที่ไม่เข้าใจ การลงทุนในตัวเอง
.
ถ้าเราเก็บเงินได้ 1 แสนต่อปีภายใน 10 ปีเก็บได้ 1 ล้านนี่คือเก่งหรอ ไม่ใช่ เพราะเมื่อคุณใช้เวลา 10 ปี
.
ถึงจะเก็บเงินได้ 1 ล้าน คนอื่นอาจจะใช้ เวลาแค่ปีเดียว ยิ่งคุณอายุยังน้อย ยิ่งต้องรู้จักการลงทุน เพราะมันจะเป็นเครื่องทุ่นแรง
.
ให้คุนไม่ต้องเหนื่อย ทำงาน ในอนาคต เมื่อคุณเริ่มลงทุน กับตัวเอง บางคน ออกเดินทางเที่ยวรอบโลก
.
“ไปเจอธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจใน ต่างประเทศ แต่ในบ้านเรา ยังไม่มีก็นำไอเดียกลับมาต่อ ยอดเป็นธุรกิจ ของตัวเอง
.
บางคน ”ไปเรียนคอส การขายเสริมหลัง เลิกงาน “ อาจไม่ได้รวย ในทันที แต่การได้ทำความรู้
.
จักคนมากมายก็นำพาโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้เหมือนกัน
.
บางคน..”ไปเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย“ จนค้นพบช่องทางธุรกิจ เปิดยิมขายอาหารเสริม สำหรับคนรักสุขภาพ
.
หลายปีผ่านไป คุณจะพบว่าเงิน ที่คุณใช้ไป ทำให้คุณค่าของตัวเอง เพิ่มขึ้นคุณได้ คืนกลับมาหลายเท่า
.
จะเห็นว่า ตัวอย่างที่หยิบยกมานั้น ไม่ได้เจาะจง ถึงอาชีพใด เพราะทุกอาชีพล้วน มีโอกาสตกงานได้ทั้งนั้น
.
แต่ยกตัวอย่า งให้เห็นถึงทัศนะ คติที่จะเป็นสิ่งตัดสิน ว่าคุณจะถูกแทนที่หรือได้ไปต่อ
.
เมื่อก่อนปลาใหญ่กินปลาเล็ก ตอนนี้ ต้องเปลี่ยนเป็นปลาเร็วกินปลาช้า สิ่งใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้น
.
มักมาพร้อมกับโอกาส ทางธุรกิจ แต่เมื่อโอกาสผ่านไป คนที่ช้าก็จะไม่มีทางได้สัมผัส
.
ในยุคนี้ พวกเราต้องมีสัญชาตญาณ ของวิกฤตค้นหา และแก้ไข้ข้อบกพร่อง ของตัวเองอย่างทันท่วงที
.
เพื่อที่จะพัฒนาต่อไป ในทิศทางที่ดี ยิ่งขึ้นสิ่งใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้น มักมาพร้อมกับ โอกาสทางธุรกิจ
.
แต่เมื่อโอกาสผ่านไป คุณจะพบว่า คุณถูกคนอื่นๆ ทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว
.
เหมือนที่เราเริ่ม เห็นกันแล้ว ในทุกวันนี้ แท็กซี่ที่ไม่ซื่อสัตย์ จะถูก อูเบอร์ แย่งงาน
.
พนักงานที่ไม่ขยัน และไม่พัฒนาตัวเอง จะถูกหุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่
.
เถ้าแก่ ที่ไม่ขยันจะถูกแย่งตลาด โดยคู่แข่งที่ขยัน และเก่งกว่า
.
แหล่งที่มา : bitcoretech
.
ที่มา stand-smiling.com/อีกสอง-สามปี-ข้างหน้า-คน-4
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 26, 2020, 03:32:10 pm
ผมว่า ไม่ใช่แค่ธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น
.
ธุรกิจอื่นๆ  ก็จะประสบกับการดำเนินธุรกิจเช่นกัน
.
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว , ธุรกิจโรงแรม  ฯลฯ
.
หรือแม้กระทั่ง การดำรงชีวิตของตนเอง
.
ในความเห็นส่วนตัวผม  กว่าธุรกิจ และ ระบบเศรษฐกิจ ในประเทศไทย กว่าจะฟื้นตัว กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ น่าจะใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี คือ จะเริ่มดีขึ้นในปี 2566
.
ประคองตัวเองกันไปให้ได้  ด้วย ความปราถนาดี
.
ลองไปอ่านกันดู ครับ  จะได้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต และ แนวทางในการดำเนินธุรกิจของตนเอง
.
.
.*****************************************
.
.
บทเรียนจาก “อู่ฮั่น” แม้เปิดเมืองแล้ว ก็ยังไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร
.
ByBoom @BillionMinset
.23 April 2020
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นำมาซึ่งมาตรการปิดเมืองต่างๆ นั้น ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก
.
และถึงแม้ว่าจะกลับมาเปิดเมืองตามปกติ แต่ก็ใช่ว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จะกลับมาเป็นปกติโดยทันที
.
เราจะพาคุณไปเรียนรู้จากเมืองอู่ฮั่น เมืองแรกของโลกที่โดนสั่งปิดเพราะโรคระบาดครั้งนี้..
.
ในความเป็นปกติ ที่ไม่ปกติ
.
หลังจาก 2 เดือนกว่าๆ ของการล็อกดาวน์ ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมืองอู่ฮั่นก็ได้กลับมาเปิดอีกครั้ง
.
ในขณะที่โรงพยาบาลสนามที่สร้างมาพิเศษ ได้ทยอยปิดตัวลง
.
ผู้คนเริ่มเดินทางไปไหนมาไหน ออกมาจับจ่ายใช้สอย พนักงานกลับมาทำงาน โรงงานก็กลับมาเปิดอีกครั้ง
.
แต่เพราะโควิด-19 ได้คร่าชีวิตชาวอู่ฮั่นไปประมาณ 2,500 ราย
.
ผู้คนจึงยังคงใช้ชีวิตแบบ “รักษาระยะห่าง” เป็นเรื่องปกติ
.
การใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องปกติ

การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้านค้า หรือก่อนเข้าทำงานกลายมาเป็นเรื่องปกติ
.
และเมืองอู่ฮั่นก็ยังคงเหมือนกับหลายๆ เมืองทั่วโลก นั่นก็คือผู้คนใช้ชีวิตแบบระมัดระวัง เพราะกลัวว่าโรคระบาดอาจจะกลับมาระบาดหนักขึ้นอีกครั้ง
.
ร้านอาหาร ธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบ
.
หลายคนอาจจะคิดว่า เมื่อกลับมาเปิดเมือง ธุรกิจอาหารที่ประสบปัญหาด้านยอดขาย จะมีลูกค้ากลับมากินกันอย่างคับคั่ง
.
ร้านหมูกะทะ ร้านชาบู จะต้องเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งรอคอยวันเปิดเมืองมาโดยตลอด.. แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือ!?
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ตามไปสัมภาษณ์ชีวิตของเจ้าของร้านหม้อไฟรายหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีร้านเปิดกว่า 10 สาขา
.
เมื่อเกิดการปิดเมือง ร้านทั้งหมดของเขาได้รับผลกระทบทันที เขาต้องตัดสินใจปิด 7 สาขารอง และเปิดเพียง 3 สาขาใหญ่ เพื่อทำตลาดแบบเดลิเวอรี่
.
แม้จะมีบริการเดลิเวอรี่มาช่วยอำนวยความสะดวก แต่ก็ยังคงทำยอดขายได้ประมาณ 20% ของยอดขายในช่วงปกติเท่านั้น
.
จนกระทั่งเมืองอู่ฮั่นกลับมาเปิดอีกครั้ง ก็ใช่ว่าลูกค้าจะกลับมาในทันทีทันใด
.
ธุรกิจร้านอาหารยังคงได้รับผลกระทบ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากก่อนโรคระบาด
.
จากเดิมที่ตอนพักเที่ยงจะไปแออัดกันในร้านอาหารแถวออฟฟิศ มาถึงตอนนี้พวกเขาทำกับข้าวมาทานเองมากขึ้น บ้างก็ใช้วิธีสั่งเดลิเวอรี่จากร้านอื่นที่ไกลกว่ามาทานได้
.
โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านหม้อไฟ ชาบู ปิ้งย่าง ที่อาจจะต้องเสี่ยงกับการทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงกับการไปตักวัตถุดิบที่ปนเปื้อนร่วมกับคนอื่น
.
ก่อนหน้าการระบาด ลูกค้าในเมืองอู่ฮั่นที่จะมากินร้านหม้อไฟแห่งนี้ในช่วงเวลาอาหารเย็น ต้องรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้มันกลับดูเงียบเหงาลงอย่างชัดเจน
.
ย้อนกลับมามองที่ประเทศไทย
.
ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ นั่นก็คือ “การท่องเที่ยว” และ “การส่งออก”
.
แม้ในไทยโรคโควิด-19 จะไม่ระบาดรุนแรง แต่ก็ระบาดรุนแรงมากทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา จึงน่าจะส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยวไทยและการส่งออกของไทยอย่างมหาศาล
.
แม้ธนาคารโลกจะประเมินไว้ว่า ผลกระทบจากโควิดทำให้ปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทย อาจติดลบได้ถึง -5% แล้วมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในปีหน้า
.
แต่เราก็ไม่สามารถรู้ว่า ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน ไทยเราจะฟื้นตัวในปีหน้าได้จริงหรือไม่!?
.
กลับมาที่เรื่องของการเปิดเมือง ยอดผู้ติดเชื้อของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ดี หลังจากนี้เราอาจจะได้เห็นมาตรการที่ผ่อนคลายลง
.
และถึงแม้จะผ่อนคลายถึงขั้น “อนุญาตเปิดทุกอย่างได้” แต่โรคระบาดก็ยังคงไม่หายไป เช่นเดียวกับความกังวลของผู้คนในสังคม ก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน
.
โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านอาหาร หรือสถานบันเทิง ที่จะต้องมีคนเข้าไปแออัดกันในสถานที่แห่งเดียว คงจะเป็นงานเหนื่อยของเจ้าของธุรกิจ ที่จะต้องหาวิธีในการสร้างความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง
.
คุณคิดว่า.. หลังจากกลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว ร้านอาหารเป็นอย่างไร!?
.
ร้านจะต้องลดจำนวนโต๊ะลง เพื่อเพิ่มที่ว่างภายในร้านให้มากยิ่งขึ้นรึเปล่า!?
.
ร้านที่ขายแบบกลับบ้าน อาจจะได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่ร้านแบบปิด จะได้รับความนิยมน้อยลงหรือไม่!?
.
หรือการเดลิเวอรี่ โดยไม่ต้องสนใจหน้าร้านเลย จะกลายมาเป็นอีกรูปแบบใหม่ของการเปิดร้านอาหารในอนาคตได้หรือไม่!?
.
คุณมีความคิดเห็นอย่างไร มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันครับ…
.
ที่มา https://www.billionmindset.com/case-study-from-restaurant-in-wuhan/?fbclid=IwAR1yNIbXK8jjQYDmPMJrycUNKXNJNnIEamRZRCVCFDaD8tA5D0qcgBjy4Qo (https://www.billionmindset.com/case-study-from-restaurant-in-wuhan/?fbclid=IwAR1yNIbXK8jjQYDmPMJrycUNKXNJNnIEamRZRCVCFDaD8tA5D0qcgBjy4Qo)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 28, 2020, 08:01:08 pm
ผมอยากให้ทุกคน  คิด #วางแผนทางการเงิน , #การทำงานของตนเอง และ #การดำรงชีวิตในทุกๆด้านให้ดีๆ
.
ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ ต้องศึกษาและเรียนรู้ให้เท่าทันกับการวิวัฒนาการทางการเงินของโลก
.
เช่น #บล็อกเชน (#blockchain)  ,   #แอปพลิเคชัน ต่างๆ  (#application) , #ระบบงานต่างๆของสถาบันการเงิน ที่จะไปเกี่ยวของกับ #การทำธุรกิจ ต่างๆ ไม่ว่าเป็น #ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ , #การค้าขาย หรือ #การใช้แรงงาน เป็นต้น
.
เพราะปัจจุบันนี้  มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก   ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำงานมากขึ้นไปอีก
.
#เรียนรู้ให้สิ่งเหล่านี้ที่ผมบอกไปข้างต้น  #ให้มาทำงานให้ตัวเรา
และ #ให้เงินทำงานแทนตัวเรา
.
ด้วยความปรารถนาดี
.
.
.*************************************
.
.
โพสโดย นายปั้นเงิน
วันที่ 27 เมษายน 2563 เวลา 18:13 น. ·

วิกฤตโรคระบาด “COVID-19” น่าจะเป็นวิกฤตการเงินที่คนวัย 23-30 ปีหรือกลุ่ม First Jobber ได้รับผลกระทบกับตัวเองเป็นครั้งแรก
.
เพราะวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่ผ่านมา อย่างต้มยำกุ้ง ปี 1997 หรือ Subprime Crisis ปี 2008 อาจจะเป็นวิกฤตที่ First Jobber รู้จัก แต่ผลกระทบจากวิกฤตการเงินในยุคก่อนหน้าไม่ได้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้โดยตรง
.
แม้ COVID-19 จะเป็นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี แต่สำหรับคนอายุ 25-30 ปีแล้ว โรคระบาดชนิดนี้ไม่ได้มีฤทธิ์ร้ายทำให้วัยหนุ่มสาวต้องเจ็บป่วยจนถึงขั้นวิกฤต
.
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ความเสียหายที่รุนแรงในวงกว้าง COVID-19 เป็นพายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
.
แค่อยู่ร่วมกับวิกฤตและเอาตัวรอดให้ได้ในสภาวะนี้ ผมคิดว่าหลายคนก็พยายามสู้กันอย่างเต็มที่แล้ว...
.
ซึ่งผมคิดว่าหลังจากนี้ คนที่รอดมาได้ ก็คงจะใช้ชีวิตอย่างรอบคอบขึ้นกว่าเดิม
.
และหลายคนก็คงเริ่มคิดถึง แผนการรับมือ และ แผนการฉุกเฉิน กันบ้างแล้วล่ะ
.

.
ในสถานการณ์จริง ผมคิดว่า “แผนการรับมือ” จะถูกนำมาใช้กับเหตุการณ์หรือวิกฤตในอนาคตที่มันมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้น และเราคาดการณ์มันไว้ล่วงหน้าแล้ว
.
ถ้าตอนปลายปี 2019 ผมบอกทุกคนว่า “โควิด-19” จะกลายมาเป็นโรคระบาดรุนแรงในเดือนมกรา 2020 แล้วสมมติว่าทุกคนเชื่อผม ทุกคนก็จะเตรียมแผนรับมือผลเสียหายล่วงหน้า ใครกังวลเรื่องไหนก็จะวางแผนรับมือในเรื่องนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์จะเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงเพียงนี้ แผนการรับมือด้านต่างๆในชีวิตก็เลยถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการรับมือสักเท่าไหร่
.
สังเกตได้จาก ประกันภัยโควิด-19 ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับการวางแผนประกันสุขภาพมากเท่าที่ควร พอมีความเสี่ยงเรื่องการเงินเข้ามา ก็เลยต้องรีบทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
.
ถ้าเป็นโรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ค่ารักษาโรคนี้จะอยู่ประมาณ 25,000 หยวน บวกลบ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 115,000 บาท ยังไม่รวมค่าตรวจและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ค่ารักษาในบางโรงพยาบาลอาจจะสูงกว่านี้ แล้วช่วงพักฟื้นตัวจะใช้เงินอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้
.
ประกันโควิดจึงรับมือความเสียหายได้บางส่วน แต่ไม่ใช่กับทั้งหมด...
.

.
ต่างจากแผนการฉุกเฉิน ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุการณ์ที่มันมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน ความเสียหายเป็นเท่าไหร่ โอกาสเกิดความเสี่ยงเป็นเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถประเมินได้
.
รู้เพียงแต่ว่ามันมีความเสี่ยงที่น่ากลัวนั้นอยู่
.
ประกันสุขภาพ และ เงินสดสำรองในบัญชีออมทรัพย์ ก็เลยกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของ “แผนการฉุกเฉิน”
.
ในเวลาแบบนี้ ใครที่มีไว้อยู่แล้วก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง เราแทบไม่ต้องทำอะไรมากมายในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน เพราะมีการวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว
.
เพราะสภาพคล่อง คือ สิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีภาระค่าใช้จ่ายคงที่ทุกเดือน
.
“เงินสดสำรอง” ก็กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมาในเวลานี้ ทันทีที่มีประกาศ พรก.ฉุกเฉิน หลายบริษัทปลดพนักงานบางส่วน หยุดการจ้างงาน หรือปรับลดเงินเดือน
.
ถ้ารายได้น้อยลง หรือไม่มีรายได้เลย แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนยังคงวิ่งอยู่เหมือนเดิม ก็อาจจะลำบากเราต้องไปใช้เงินในส่วนอื่น เช่น เงินลงทุน หรือเงินกู้ยืม ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
.
เงินสดสำรองยามฉุกเฉินที่ควรตุนไว้ เท่ากับค่าใช้จ่าย 6-12 เดือนของเรา ก็เลยเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ในแผนการฉุกเฉิน เพราะในอนาคตยังมีสถานการณ์ที่เราคาดไม่ถึงรออยู่อีกมากมาย
.
ส่วนใครที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย
.
เพราะเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องฉุกเฉินเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว
.
...
.
แผนการฉุกเฉิน มีไว้เพื่อให้อุ่นใจ และคลายความกังวลได้บางส่วนเมื่อความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจริง แล้วค่อยใช้เงินหรือเวลาในส่วนที่เหลือในการสร้างแผนการรับมือแบบเร่งด่วนขึ้นมา
.
บาดแผลจากวิกฤตการณ์อาจสร้างความปวดร้าวให้กับเราได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าหนทางชีวิตของคนหนุ่มสาวอย่างเรายังปูทางได้อีกยาวไกล สิ่งล้ำค่าที่เราได้รับมาเมื่อพายุพัดผ่านไปมันคือ “บทเรียนและประสบการณ์” ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
.
ผู้ใหญ่มักจะสอนเราเสมอว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ” ผมไม่รู้ว่าฟ้าจะสวยงามแค่ไหนเมื่อฝนผ่านไป แต่จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า..
.
พายุที่เข้ามาไม่สามารถโหมกระหน่ำเราได้ตลอดกาล
.
This too shall pass...แล้วมันจะผ่านไป
.
ปั้นเงิน
.
#นายปั้นเงิน #aomMONEYGURU #ออมมันนี่ฝ่าวิกฤตโควิด19
.
ที่มา https://www.facebook.com/artisanmoney/?__tn__=kCH-R&eid=ARCPlsyZkeG4Io0gl-KRxfSQS5NRltoull-0QcQHfXLwjCKTqI-4nzxJgjeWm8cMWbvzzCxxv-PLn6DB&hc_ref=ARTFH_18pzrKD2FWCEm4TDsqMeMICHiPs4GmR5gjrHkDzpOA1IrJOQHQReP7h3s3ktc&fref=nf (https://www.facebook.com/artisanmoney/?__tn__=kCH-R&eid=ARCPlsyZkeG4Io0gl-KRxfSQS5NRltoull-0QcQHfXLwjCKTqI-4nzxJgjeWm8cMWbvzzCxxv-PLn6DB&hc_ref=ARTFH_18pzrKD2FWCEm4TDsqMeMICHiPs4GmR5gjrHkDzpOA1IrJOQHQReP7h3s3ktc&fref=nf)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 12:07:08 pm
อยากให้ฟังกัน  แล้วนำไปคิด
เมื่อคิดแล้วจะได้ความรู้
นำความรู้ไปปฎิบัติเพื่อตนเอง
.
.
.****************************
.
.
อ.วีระ แนะวิธีรวย..เงินงอก รู้เท่าทันการลงทุน (05ธ.ค.62) ฟังหูไว้หู | 9 MCOT HD
.
https://www.youtube.com/watch?v=yYY5oy9jYik (https://www.youtube.com/watch?v=yYY5oy9jYik)
.
โพสโดย
9 MCOT Official
6 ธ.ค. 2562
.
ฟังหูไว้หู |05ธ.ค.62 OnAir
.
.
.-----------------------------
.
.
#รายได้
#การลงทุน
#เงินต่อเงิน
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 05:36:07 pm
รู้ยัง! เพิ่มคุ้มครองประกันรถใหม่ ตายรับขั้นต่ำ 1 ล้านต่อราย ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้
.
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 - 14:19 น.
.
ประกันภัยรถยนต์ปรับเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ.กรณีเสียชีวิตบุคคลภายนอกจ่าย 500,000 บาท และภาคสมัครใจ จ่ายขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท รวมจ่ายขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อราย เริ่มดีเดย์ 1 เม.ย.2563
.
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมกับ สำนักงาน คปภ. กำหนดหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยปรับเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. จากเดิม 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท โดยไม่ขึ้นค่าเบี้ยประกันภัย และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ปรับความคุ้มครองขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ผู้ประสบภัยจากรถได้รับค่าสินไหมทดแทนทั้งสองกรมธรรม์รวมกัน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อราย เป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
.
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ร่วมพิจารณาปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทั้งการประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจ เพื่อยกระดับมาตรฐานในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วนและเป็นธรรม โดยมีสาระสำคัญ คือ การปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. กรณีผู้ประสบภัยจากรถเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือสูญเสียอวัยวะถึงขนาดที่กำหนด จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด และปรับความคุ้มครองการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยกำหนดเกณฑ์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หากประชาชนที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุทางรถ จะได้รับความคุ้มครองทั้งจากประกันภัย พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมกันขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาทต่อราย โดยมีผลคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
.

    เปิดรายละเอียด-เงื่อนไข “แจกเงินฟรี” 2 พันบาท ต้านพิษโควิด-19

.
สำหรับการปรับเพิ่มความคุ้มครองกรมธรรม์การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับประชาชนที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรด้วยความรวดเร็ว และเป็นธรรม สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า การจ่ายค่าสินไหมทดแทนในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) นี้ ได้เคยมีการปรับเพิ่มมาเป็นลำดับ โดยปรับเพิ่มจาก 200,000 บาท เป็น 300,000 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 และครั้งนี้ปรับเพิ่ม จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท ซึ่งผลจากการเพิ่มความคุ้มครองโดยไม่เพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยนี้ คาดว่าจะทำให้บริษัทประกันภัยต้องแบกรับภาระต้นทุนความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินกว่า 2,700 ล้านบาท แต่การปรับเพิ่มความคุ้มครองในครั้งนี้ สมาคมฯ เชื่อว่าจะสามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ ที่สำคัญประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการได้รับความคุ้มครองและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมมากขึ้น
.
นายอานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวแล้ว สมาคมฯ จะได้เร่งดำเนินการจัดประชุมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายแนวทางในการปฏิบัติตามกรมธรรม์ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยน และระดมความคิดเห็นระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. บริษัทประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดจัดการประชุมชี้แจงขึ้นทั้งหมดรวม 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึง 16 มีนาคม 2563 รวม 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ชลบุรี และขอนแก่น ตามลำดับ ซึ่งการจัดครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ได้รับเกียรติจาก ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานในพิธี
.
นอกจากนี้ สมาคมฯ จะได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารความรู้ ความเข้าใจไปยังประชาชนทุกภาคส่วนให้ได้รับทราบถึงสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองที่ได้รับจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวอีกด้วย
.
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า การประชุมชี้แจงการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจครั้งนี้จัดเป็นครั้งแรก และเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีความสำคัญต่อประชาชน จากอุบัติเหตุของไทยติดอันดับโลก โดยประกันภัยในประเทศไทยมีพอร์ตประกันรถค่อนข้างเป็นพอร์ตใหญ่ เบี้ยประกันรถยนต์ทั้งระบบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายมีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พี่น้องประชาชนอยากได้รับก็คือการเยียวยาเรื่องประกันภัย
.
ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านประกันรถยนต์รุนแรง มีการแข่งขั้นด้านตลาดในการบริการด้านสินไหมทดแทน แต่รู้สึกดีใจที่มีนวัตกรรมเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่จำเป็นต้องทำคือ หนุนให้ประชาชนทำประกันภัยมากขึ้น ซึ่งต้องสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการประกันภัย แม้ปัจจุบันยังเป็นสัดส่วนที่น้อย อย่างกรณีภาคบังคับควรจะต้องเป็น 100% หรืออย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 90%
.
“เราผนึกกำลังกับภาคอุตสากรรมประกันภัย ด้านกำกับและส่งเสริมเป็นพันธมิตรในหลายๆเรื่องโดยไม่กระทบกับความเป็นกลาง โดยมีความจำเป็นปรับปรุงประกันภัยรถยนต์ และคู่มือตีความเพื่อสะท้อนปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลง และลดการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ที่ทำให้ตัวกรมธรรม์ต้องมีความชัดเจนสะท้อนภาวะปัจจุบัน จึงได้ปรับปรุงพิกัดอัตราเบี้ยใหม่ จากการประชุมหารืออย่างเข้มข้นอาจจะมีความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียก็จบลงได้อย่างลงตัว ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบแล้วจากทุกฝ่าย” นายสุทธิพลกล่าว
.
เบื้องต้นได้ลงนามไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.63 โดยให้เวลาบริษัทประกันปรับปรุง และเป็นของขวัญประชาชน โดยคำสั่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.63
.
ขณะนี้คู่มือตีความกำลังจะเข้าตามมาในไม่ช้า ซึ่งเดินหน้าไปพอสมควร ภายในเดือนนี้น่าจะมีความคืบหหน้าและภายในช่วงสงกรานต์นี้จะแล้วเสร็จทั้งหมด รวมถึงการกำหนดเบี้ยรหัสรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าด้วย
.
ที่มา https://www.prachachat.net/finance/news-423815 (https://www.prachachat.net/finance/news-423815)
.

หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2021, 07:31:43 pm
.
7 เทคนิคใช้ 'บัตรเครดิต' ไม่ติดกับดัก 'หนี้บัตรเครดิต'
.
2 มกราคม 2564
.
โพสโดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
.
เปิด 7 วิธีใช้ "บัตรเครดิต" ให้ไม่ติดกับดักวังวน "หนี้" และ "ดอกเบี้ย" แถมยังทำให้คุณ "รวย" ขึ้น!
.

"บัตรเครดิต" จะเป็นเพื่อนรักหรือศัตรูตัวฉกาจ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเรา บางครั้งบัตรเครดิตทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และมีสิทธิประโยชน์ แต่บางครั้งถ้าใช้ไม่เป็น ขาดความรู้ความเข้าใจจะติดกับดักที่หอมหวาน และอาจกลายเป็นผู้ที่มีหนี้สินที่ไม่ควรจะมีได้ง่ายๆ
.
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนไปดูวิธีใช้บัตรเครดิตที่ควรทำ 7 ข้อ ที่จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ติดกับดักหนี้ และทำให้คุณสนุกกับการบริหารเงินในฐานะ "ลูกหนี้ชั้นดี"
.
.
 1. ไม่จ่ายแค่ "ขั้นต่ำ" เด็ดขาด!
.
การใช้บัตรเครดิตแบบผิดๆ คือ การให้บัตรเครดิตเป็น "เจ้าหนี้เงินกู้" คือใช้รูดสินค้าจำนวนมากในคราวเดียว หรือรูดรวมภายในยอดบิลเดียวกัน ยอดหนี้จะกองเพนินเป็นกองใหญ่ แล้วมาทยอยจ่ายขั้นต่ำทีหลัง
.
เช่น ยอดเต็ม 20,000 บาท จ่ายขั้นต่ำที่ 10% ของยอดที่ใช้ คือ 2,000 บาท บัตรเครดิตจะคิดดอกเบี้ยขั้นต่ำ 18-20% ต่อปีทันที ซึ่งหากจ่ายขั้นต่ำไปจนเรื่อยๆ ทุกๆ เดือนดอกเบี้ยจะพอกพูนเป็นเงินต้นและคิดดอกเบี้ยทับอีกตลบจนกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้
.
สาเหตุที่ควรจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำโดยเด็ดขาดคือ เพราะหลังจากที่มีการจ่ายขั้นต่ำ ผู้ให้บริการจะคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบ 2 เด้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
.
ดอกเบี้ยเด้งที่ 1 .วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 1 : ยอดที่ใช้จ่ายทั้งหมด x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / จำนวนวันใน 1 ปี
.
ดังนั้นดอกเบี้ยเด้งที่ 1 คือ 20,000 x 18% x 22 / 365 = 216.99 บาท
.
ดอกเบี้ยเด้งที่ 2
.
วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 2 : ยอดคงค้าง x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ชำระคืนบางส่วน ถึงวันสรุปยอดบัญชีครั้งถัดไป / จำนวนวันใน 1 ปี
.
ดังนั้นดอกเบี้ยเด้งที่ 2 คือ 18,000 x 18% x 12 /365 = 168.66 บาท
.
เพราะฉะนั้น วันสรุปบัญชีรอบใหม่ จะต้องจ่าย 216.99 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 1) + 168.66 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 2) และ 18,000 (ยอดคงค้าง) รวมเป็น 18,385.65 บาท .
โดยจะถูกคิดดอกเบี้ยในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจ่ายครบทั้งต้นทั้งดอก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังจ่ายยอดเก่าไม่หมดแล้วรูดยอดใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก หนี้บัตรเครดิตเหล่านี้จะกระชากคุณลงสู่วังวนหนี้ในทันที และแน่นอนว่าถ้าไม่สามารถชำระได้หมดตามระยะเวลา คุณจะถูกตราหน้าเป็นลูกหนี้ชั้นแย่ และส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อที่จำเป็นในอนาคตได้
.
2. จำกัดวงเงิน ต่อรอบบิล
.
ปกติวงเงินในบัตรเครดิตมักจะอนุมัติประมาณ 1.5 ของเงินเดือนขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าการมีบัตรเครดิต ทำให้เราเหมือนมีเงินสำรองก้อนหนึ่งอยู่ในมือ แต่ถ้ารูดเต็มวงเปรี๊ยะตั้งแต่รอบแรก โดยไม่มีเงินสำรองจ่าย แล้วรอเงินเดือนที่จำนวนพอๆ กับเงินที่ใช้ไปล่วงหน้าไปจ่ายบัตรเครดิต ชีวิตคุณจะเปลี่ยนเป็นคนทำงานเพื่อถวายตัวให้หนี้บัตรเครดิตไม่รู้จบ
.
ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิตในแต่ละเดือนจึงควร "จำกัดวงเงินที่จะใช้แต่ละเดือนให้ชัดเจน" โดยประเมินตามกำลังการจ่ายของตัวเอง เช่น วงเงินทั้งหมด 30,000 บาท จำกัดการใช้ต่อเดือน 10,000 บาท เพื่อเป็นกรอบเตือนสติไม่ให้ใช้เงินเกินกำลังในการชำระคืนในแต่ละเดือน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยป้องกันการรูดเพลินเกินห้ามใจ และกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ตามมา
.
3. รูดเท่าไร จ่ายเท่านั้น
.
“จ่ายเต็มจำนวนทุกครั้ง” เป็นวิถีของลูกหนี้ชั้นดี ที่ทำให้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ เพราะการชำระเต็มจำนวนตามเวลาที่กำหนด หรือจ่ายภายในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (แต่ละบัตรมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน) จะไม่ถูกคิดดอกเบี้ยใดๆ เลย ในทางตรงกันข้าม หากจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำจะถูกคิดดอกเบี้ยแบบ 2 เด้งตามวิธีการคิดเบื้องต้นในข้อที่ 1 ด้วย
.
นอกจากการจ่ายเต็มวงเงินที่ใช้จะช่วยให้เป็นกันชนไม่ให้เราหลุดเข้าไปในกับดักของหนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยโตเร็วมากๆ แล้ว ยังทำให้คุณกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตตามมาไม่หวาดไม่ไหวได้ในอนาคตอีกด้วย
.
4. ไม่มีเงินไม่รูด หรือเก็บเงินก่อนรูด
.
หลายคนเข้าใจว่า บัตรเครดิตทำหน้าที่เป็น "เงินอนาคต" ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในอนาคตเราอาจจะไม่เงินก้อนนั้น และการรูดซื้อของไปล่วงหน้า เท่ากับเรากำลังมีเงินติดลบเสียด้วยซ้ำ
.
การเก็บเงินก่อนรูดเป็นการสร้างเงินสำรองขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเรามีกำลังที่จะชำระเงินคืนได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดควรมีเงินสดสำรอง 50% ของสินค้าที่จะซื้อผ่านบัตรเครดิต เพื่อเตรียมสะสมสำหรับจ่ายเต็มจำนวนในเดือนถัดไป
.
หรืออีกหนึ่งวิธีคือการ "ซ้อมเป็นหนี้" ก่อนผ่อนชำระจริง เช่น ต้องการซื้อสินค้าราคา 30,000 บาท โดยใช้สิทธิประโยชน์ผ่อน 0% เป็นเงิน 3,000 เป็นเวลา 10 เดือน จะต้องมีการหักเงินเข้าบัญชีเพื่อซ้อมผ่อน ก่อนจ่ายจริงอย่างน้อย 3-5 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเงินเกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในโปรแกรมผ่อนชำระ เราจะยังสามารถผ่อนชำระได้ตรงตามเวลา แบบปลอดดอกเบี้ยได้สบายๆ
.
แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะเกินครึ่งของคนที่ติดกับดักหนี้บัตรเครดิต คือคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถหาเงินมาจ่ายได้ในอนาคต ทั้งๆ ที่ไม่มีเงินในมือ และปราศจากการวางแผนในจุดนี้กันทั้งนั้น
.
 5. จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน
.
จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน การจ่ายเงินคืนบัตรเครดิตตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดทันทีที่สรุปยอดบิล หรือจ่ายก่อนวันครบกำหนดชำระ นอกจากเราจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยที่ไม่ควรเสียแล้ว การจ่ายเงินตามเวลาที่กำหนดยังช่วยรักษาสถานะลูกหนี้ชั้นดี ที่อาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคตด้วย
.
6. ทำความเข้าใจ "ใบแจ้งหนี้"
.
เอกสารแจ้งหนี้ หรือใบแจ้งหนี้แบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม และไม่ยอมศึกษาอย่างละเอียด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการตรวจสอบใบแจ้งหนี้อย่างละเอียดทั้งวันที่สรุปยอด วันครบกำหนดชำระ โดยเฉพาะช่วงที่มีการผ่อนจ่าย ที่อาจมีการคำนวณดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หากไม่ตรวจสอบและทำความเข้าใจการคิดอัตราดอกเบี้ย หรือรอบการจ่ายในแต่ละเดือนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนนำไปสู่การวางแผนชำระหนี้ผิด อาจส่งผลกระทบด้านการเงินอื่นๆ ที่ตามมาได้
.
สำหรับผู้ให้บริการบัตรเครดิตในปัจจุบันสามารถตรวจสอบยอดเงินที่ใช้ ยอดเงินที่ชำระ ที่อัพเดทแบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่นของแต่ละธนาคาร ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของการใช้จ่ายของตัวเองได้อย่างละเอียด และสามารถระงับการใช้งานได้ทันท่วงทีเมื่อมีแจ้งเตือนการใช้บัตรที่ผิดปกติ
.
 7. ใช้สิทธิพิเศษของบัตรให้เป็นประโยชน์
.
ข้อดีของการใช้เครดิตที่แตกต่างจากการใช้เงินสด คือ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ "เงินสดให้ไม่ได้" ซึ่งการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้จะตามมาอัตโนมัติ ถ้าใช้เราสามารถบริหารจัดการบัตรเครดิตได้ 6 ข้อด้านบน หรือรักษาสถานะลูกค้าชั้นดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยบัตรเครดิตแต่ละธนาคาร หรือบัตรแต่ละประเภทย่อมให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป
.
ฉะนั้นก่อนเลือกสมัครบัตรเครดิต ลองเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเองมากที่สุด เช่น สายช้อปปิ้ง เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ร่วมกับร้านรีเทล ศูนย์การค้า หรือร้านที่ใช้บริการเป็นประจำ เป็นต้น
.
สำหรับสิทธิพิเศษของบัตรมีหลายรูปแบบ ขอยก 3 ตัวอย่างที่มีให้ในบัตรเครดิตส่วนใหญ่ อย่าง การใช้แต้มบัตรเครดิต การผ่อน 0% และการรับเครดิตเงินคืน
.
ใช้แต้ม : ทุกครั้งที่มีการใช้และจ่ายคืนผ่านบริการผ่านบัตรเครดิตจะได้รับแต้มสะสมตามข้อกำหนดของแต่ละบัตร ซึ่งบรรดาแต้มเหล่านี้จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อใช้จ่ายอย่างมีวินัย แต้มเหล่านี้สามารถสะสม เพื่อแลกรับของกำนัลรูปแบบต่างๆ ได้ ตั้งแต่ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างชานมไข่มุก ไต่ขึ้นไปเป็นของใช้ เช่น กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้แต่ส่วนลดค่าบริการร้านอาหาร โรงแรมชั้นนำ ฯลฯ ซึ่งแต้มเหล่านี้คือกำไรที่สามารถลดต้นทุนการใช้เงินของเราในครั้งต่อๆ ไปได้
.
ผ่อน 0% : โปรโมชั่นยอดฮิตที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้าบางอย่างที่มีมูลค่าสูงได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว สามารถทยอยจ่ายเป็นก้อนเล็กๆ โดยไม่มีเสียดอกเบี้ยใดๆ เลย
.
อย่างไรก็ตาม การผ่อน 0% มีข้อควรระวัง คือการเลือกการผ่อนเป็นระยะเวลานาน พร้อมกันหลายๆ สินค้า ซึ่งทำให้ต้องแบกภาระต่อไปเป็นเวลานาน และอาจมีเงินไม่เพียงพอต่อการผ่อนจ่าย ซึ่งเป็นกับดักให้หลายต่อหลายคนเดินทางไปสู่วังวนของการชำระหนี้ไม่ตรงเวลาเพราะชักหน้าไม่ถึงหลัง และโดนหนี้ล้มทับได้เช่นกัน
.
เครดิตเงินคืน : หรือที่เรียกกันติดปากว่า Cashback เป็นสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้ได้เงินคืนเข้าสู่บัญชีบัตรเครดิตทุกครั้งที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เสมือนได้ส่วนลดในการใช้จ่ายแต่ละรอบ ทั้งนี้ เงื่อนไขของการให้เครดิตเงินคืนแต่ละครั้ง มักจะมีเงื่อนไขกำหนดอยู่ เพราะฉะนั้นอย่ารูดเพื่อหวังเงินคืนจนลืมมองดอกจันตัวเล็กๆ ที่ระบุเงื่อนไขอยู่ด้วย
.
ที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนเผลอใช้บัตรเครดิตหละหลวมไปจาก 7 ข้อที่กล่าวถึงบ้าง บางข้ออาจไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมาก แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือบ่อยครั้งขึ้น ผลของการใช้บัตรเครดิตแบบไม่ระมัดระวังเหล่านี้จะกลับมาเล่นงานในระยาวได้เช่นกัน
.
เพราะเจ้าหนี้ในอนาคตของคุณจะสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการชำระหนี้ย้อนหลังที่ปรากฏในเครดิตบูโร หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau) เป็นเวลา 36 เดือนหรือ 3 ปี ซึ่งหากประวัติการชำระหนี้ไม่น่ารักอย่างที่ควรจะเป็น ก็มีส่วนทำให้โอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อที่มีความจำเป็นหลุดลอย (ในระยะเวลาหนึ่ง) ได้เช่นกัน
.
ฉะนั้น ก่อนที่จะสมัครบัตรเครดิต หรือก่อนหยิบบัตรเครดิตมาใช้ทุกครั้ง อย่าลืมทบทวนถึงวิธีการใช้บัตรเครดิตทั้ง 7 ข้อนี้ เพื่อสุขภาพการเงินที่ดีของตัวเอง
.
.
.


หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2021, 10:26:10 pm
.
#การหักลดหย่อนภาษี  #กรณีใบอนุโมทนาบัตร
#กรมสรรพากร
.
คำพิพากษาฎีกาที่ 7700/2548 
.
นาย วุฒิวาร วาระศิริ โจทก์
กรมสรรพากรจำเลย
.
เรื่อง การหักลดหย่อน กรณีใบอนุโมทนาบัตร
.
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29
.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 ตรี , 47(7)
.
คดีนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพียงว่า ใบอนุโมทนาบัตรที่ระบุชื่อโจทก์และครอบครัวเป็นผู้บริจาค โจทก์สามารถนำไปหักลดหย่อนเงินบริจาคได้หรือไม่ การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ไม่มีใบอนุโมทนาบัตรของวัดมาแสดง แต่โจทก์พิสูจน์พยานบุคคลว่ามีการบริจาคจริง โจทก์ก็ย่อมนำไปหักเป็นค่าลดหย่อนได้จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 แม้คู่ความจะหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว
.
มาตรา 47 (7) แห่ง ป. รัษฎากร ให้สิทธิผู้มีเงินได้พึงประเมินนำเงินที่ตนบริจาคมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ โดยหักได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินที่หักรายจ่ายแล้ว เมื่อใบอนุโมทนาบัตรที่โจทก์นำมาหักเป็นค่าลดหย่อนระบุชื่อโจทก์และครอบครัวเป็นผู้บริจาค โจทก์จึงมีสิทธินำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้
.
การที่ใบอนุโมทนาบัตรระบุชื่อโจทก์และครอบครัวเป็นผู้บริจาคก็เพื่อเหตุผลทางด้านจิตใจและความเชื่อทางศาสนาว่า บุคคลในครอบครัวของโจทก์ทุกคนได้ร่วมกันทำบุญกุศล เมื่อโจทก์เป็นผู้มีชื่อระบุในใบอนุโมทนาบัตรเพียงคนเดียวโดยไม่มีชื่อบุคคลอื่นร่วมด้วย โจทก์จึงมีสิทธินำเงินบริจาคทั้งจำนวนตามที่ปรากฏในใบอนุโมทนาบัตรพิพาท มาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของโจทก์ได้
.
การขอคืนภาษีอากรที่นำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสีย หรือไม่มีหน้าที่ต้องเสีย ผู้เสียภาษีจะต้องยื่นคำร้องขอคืนภาษีต่อเจ้าพนักงานของจำเลย ตาม ป. รัษฎากร มาตรา 27 ตรี การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 21,806 บาท ที่โจทก์นำไปชำระแก่จำเลยตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีแล้วจึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
.
ที่มา เว็บไซด์กรมสรรพากร ( rd.go.th )
https://www.rd.go.th/36246.html (https://www.rd.go.th/36246.html)
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2021, 08:54:32 pm
.
เชื่อว่า มีหลายๆท่าน  ได้ยินคำว่า รีไฟแนนซ์ (Refinance) กันมาบ่อยๆ   บางท่านอาจจะมีการดำเนินการ รีไฟแนนซ์กันมาแน่ๆ
 .
แต่ทราบความหมายกันหรือไม่
.
ความหมายของคำว่า รีไฟแนนซ์ (Refinance) ไม่ใช่การย้ายวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งไปยังสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น
.
สินเชื่อที่สามารถ รีไฟแนนซ์ (Refinance) สามารถดำเนินการได้กับทุกประเภทของวงเงินสินเชื่อ
.
วันนี้ ผมนำความหมายของคำว่า รีไฟแนนซ์ (Refinance) มาฝากกัน
.
.
.
.
.
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การก่อหนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า โดยที่ได้รับประโยชน์ที่ดีกว่าจากการก่อหนี้ก้อนใหม่ นั่นคือการได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวด หรือต้องการรวมหนี้จากเจ้าหนี้หลายรายเป็นเจ้าหนี้รายเดียว หรือต้องการชำระเงินต้นให้รวดเร็วขึ้น
.
ปัจจุบันลูกหนี้นิยมการทำ Refinance สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งในการ Refinance ลูกหนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการ Refinance สินเชื่อบ้านเพราะหนี้ระยะยาวที่มีเงินต้นค่อนข้างสูง
.
            ในการ Refinance สินเชื่อบ้านเพื่อลดภาระอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงนี้ ลูกหนี้ควรพิจารณาเปรียบเทียบภาระดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเดิมกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายสถาบันการเงิน (Switching Cost) ประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
.
     สถาบันการเงินเดิม : ค่าเบี้ยปรับสำหรับกรณีที่ไถ่ถอนก่อนกำหนดซึ่งสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะคิดค่าปรับประมาณ 2 – 5% ของวงเงินกู้หรือยอดเงินต้นคงเหลือถ้าไถ่ถอนบ้านในช่วง 2 – 3 ปีแรก ตามที่ระบุในสัญญา
.
     สถาบันการเงินใหม่  : ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ประมาณ 0.25 – 2% ของราคาประเมินของกรมที่ดินหรือประมาณ 15,000 – 10,000 บาท ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ประมาณ 0.25 – 2% และค่าประกันอัคคีภัย
.
     กรมที่ดิน : ค่าธรรมเนียมการจดจำนองประมาณ 1% และค่าอากรประมาณ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่
.
ที่มา: หนังสือ 365+1 คำศัพท์การเงินและการลงทุน
.
ที่มา เว็บไซด์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
.
.
.
.
.
#Refinance
#รีไฟแนนซ์
#การก่อหนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า
#โดยที่ได้รับประโยชน์ที่ดีกว่าจากการก่อหนี้ก้อนใหม่
#สถาบันการเงิน
#สินเชื่อบ้าน
#สินเชื่อบัตรเครดิต
#สินเชื่อส่วนบุคคล
#สินเชื่อธุรกิจ
#สินเชื่อSME
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 31, 2021, 02:43:20 pm
.
คิดให้ดี….ก่อนเป็นหนี้แทนคนอื่น
.
โพสโดย ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย
.
.
เคยหรือไม่...ที่คนรอบข้าง เช่น ญาติพี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน หรือคนใกล้ชิดอีกมากมายขอให้เราช่วยเหลือเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ว่าจะขอยืมเงิน หรือให้ช่วยค้ำประกันเงินกู้
.
          แม้ว่าการช่วยเหลือจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจช่วยใครทันทีที่ฟังคำขอร้องหรือเรื่องราวที่น่าเห็นใจ อยากชวนให้หยุดคิดสักนิดถึงผลที่จะตามมาจนอาจส่งผลกระทบกับตัวเราและครอบครัว ก่อนจะมานั่งเสียใจภายหลังเพียงเพราะความหวังดีที่กลับมาทำร้ายตัวเราเองที่ต้องเป็นหนี้แทนคนอื่น มาดูกันว่าเคยเจอเหตุการณ์ต่อไปนี้ด้วยตัวเองหรือเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้จากคนอื่นหรือไม่ และจะมีวิธีการป้องกันอย่างไร
.
เหตุการณ์ไหนบ้างที่อาจทำให้เราเป็นหนี้แทนคนอื่น
.
กู้เงินมาเพื่อให้ยืมต่อ
.
โก้ได้รับโทรศัพท์จากพี่โอซึ่งเป็นญาติสนิทโทรมาขอยืมเงินจำนวน 100,000 บาทเพื่อใช้ลงทุนทำธุรกิจขายของเล่นเด็ก แต่ตอนนี้โก้ก็ไม่มีเงินเก็บมากขนาดนั้น จึงบอกพี่โอว่าจะกดเงินจากบัตรเครดิตของตัวเองให้พี่โอยืม แล้วให้พี่โอเป็นคนผ่อนโดยโอนเงินมาให้โก้ทุกเดือนตามยอดขั้นต่ำในใบแจ้งหนี้ ซึ่งพี่โอก็ตอบตกลง โก้จึงกดเงินจากบัตรเครดิตและให้พี่โอยืมตามที่คุยกัน ต่อมาโก้ได้รับใบแจ้งหนี้จากบัตรเครดิตให้ชำระหนี้ โก้จึงติดต่อพี่โอให้โอนเงินมาให้โก้ แต่พี่โอตอบโก้ว่าของที่สั่งมาขายไม่ค่อยดี จึงไม่มีเงินที่จะให้โก้ไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตที่กดมา สุดท้ายโก้เลยเดือดร้อนเพราะเป็นหนี้จากบัตรเครดิตที่กู้แทนพี่โอในที่สุด
.
กู้แทนคนอื่น
.
ก้องมีน้องสาวชื่อกิ๊บ กิ๊บเป็นเด็กจบใหม่เพิ่งเข้าทำงานรายได้จึงยังไม่สูง แต่กิ๊บใฝ่ฝันอยากจะมีรถยนต์เป็นของตัวเองเพื่อขับไปทำงาน และคอยรับส่งพ่อกับแม่ จึงไปยื่นขอสินเชื่อรถกับสถาบันการเงินแต่ไม่ผ่าน กิ๊บจึงไปขอร้องก้องให้กู้ซื้อรถยนต์เป็นชื่อก้องแทน โดยสัญญาว่าจะผ่อนชำระค่างวดในแต่ละเดือนให้ ก้องตกลงตามที่กิ๊บขอ แต่พอผ่านไป 6 เดือน เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อที่ทำงานของกิ๊บประสบปัญหารายได้ตกต่ำ กิ๊บถูกให้ออกจากงานและไม่สามารถจ่ายค่างวดรถตามที่ตกลงกับก้องได้ ก้องจึงต้องเป็นหนี้แทนกิ๊บในที่สุด

ช่วยค้ำประกันเงินกู้
.
แอนกับฟลุคเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง 2 คนสนิทกันมากและมักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี เมื่อทั้งคู่เริ่มทำงานและสร้างครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่กันเสมอ ต่อมาวันหนึ่งฟลุคขอให้แอนช่วยค้ำประกันสินเชื่อจำนวน 400,000 บาท เพื่อเอาเงินไปร่วมหุ้นเปิดร้านกาแฟกับญาติ แอนก็ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือเพื่อนโดยที่ไม่ได้ปรึกษากับครอบครัวเลยเพราะคิดว่ารู้จักกับฟลุคมาตั้งแต่เด็กไม่มีวันเบี้ยวหรือหนีหนี้แน่นอน 3 เดือนต่อมาแอนก็ต้องเจอข่าวร้ายว่าฟลุคถูกให้ออกจากงานด้วยเหตุผลที่คาดไม่ถึงแถมร้านกาแฟก็ปิดตัวลงเพราะขายไม่ดี และทิ้งภาระหนี้อันหนักอึ้งไว้จนทำให้แอนกับครอบครัวต้องเดือดร้อนจากการตัดสินใจช่วยค้ำประกัน
.
(หมายเหตุ : การค้ำประกัน คือ สัญญาประเภทหนึ่งที่ผู้ค้ำประกันสัญญากับเจ้าหนี้ว่า “ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้นั้นแทน” เมื่อมีการทำสัญญาลักษณะนี้เจ้าหนี้จะมีสิทธิเรียกร้อง หรือฟ้องให้คนค้ำประกันรับผิดแทนได้ โดยเป็นการประกันการชำระหนี้ให้บุคคลอื่นนั่นเอง ชึ่งมักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้ที่ขอกู้เงินเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ซื้อรถใหม่ กู้อเนกประสงค์ แต่สถาบันการเงินหรือสหกรณ์ไม่อนุมัติเงินกู้ให้เนื่องจากไม่มีหลักประกันเพียงพอ จึงต้องใช้บุคคลค้ำประกันสินเชื่อ หรือว่าที่เจ้าหนี้อาจต้องการให้ผู้กู้มีทั้งหลักประกันและผู้ค้ำประกันจึงจะมีความมั่นใจมากพอที่จะปล่อยกู้ให้)
.
ลืมประเมินสถานการณ์ตนเองให้คนอื่นยืมจนไม่พอใช้
.
เพื่อนของพลอยโทร. หาพลอยว่ารถกำลังจะถูกยึดเพราะขาดส่งมา 3 งวดแล้ว เดือนหน้าเก็บเงินจากลูกค้าได้จะรีบโอนคืนให้ พลอยสงสารเพื่อนมากจึงให้เพื่อนยืมเงิน 20,000 บาท ที่เก็บไว้จ่ายค่าเทอมลูกในอีก 2 เดือนข้างหน้า และลืมคิดไปว่าตอนนี้พลอยเองก็มีภาระหนี้ค่อนข้างมาก รายจ่ายของครอบครัวก็สูงจนเกือบจะเท่ากับรายได้ และลืมคิดไปว่าหากเพื่อนไม่คืนหนี้ที่ยืมไปพลอยจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าเทอมลูก เมื่อถึงเวลาที่พลอยต้องจ่ายค่าเทอมลูกเพื่อนก็ยังไม่คืนเงินให้ สุดท้ายพลอยต้องไปกู้เงินมาจ่ายค่าเทอมลูก และกลายเป็นหนี้เพราะช่วยเพื่อนโดยลืมประเมินสถานการณ์ของตนเอง
.
.
ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจให้ยืมเงิน หรือค้ำประกันเงินกู้
.
1. ถามวัตถุประสงค์ของการยืมเงินหรือการค้ำประกันเงินกู้
.
          เราควรถามรายละเอียดต่าง ๆ จากคนที่จะขอยืมเงินหรือให้ค้ำประกันเงินกู้ ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไร เหตุใดจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเรา เช่น เงินไม่พอใช้จ่าย ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จ่ายค่าบัตรเครดิต หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน นอกจากนี้ เราต้องประเมินเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น คนที่จะขอยืมเงินหรือให้ค้ำประกันเงินกู้มีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ หากเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้คงเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ดีแน่นอน เราในฐานะว่าที่เจ้าหนี้หรือผู้ค้ำประกันมีสิทธิ์ที่จะซักถามจนสิ้นสงสัยและไม่ต้องเกรงใจ เพราะคำถามเหล่านี้จะช่วยทำให้เราทราบข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะช่วยหรือไม่ ได้ดียิ่งขึ้น
.
2. ประเมินสถานะทางการเงินของตัวเอง
.
          สิ่งแรกที่ควรคิดถึงก่อนก็คือ ถ้าเราช่วยเขาเราจะมีโอกาสกลายเป็นคนที่เดือดร้อนไปด้วยอีกคนหรือไม่ หากเขาไม่คืนเงินหรือเราต้องจ่ายหนี้ที่เราค้ำประกันแทนเขา เราจะไหวไหม ดังนั้น จึงต้องประเมิน “สถานะทางการเงินของตัวเราเอง” ว่า
.
เรามีความเดือดร้อน หรือปัญหาด้านการเงินหรือไม่
.
มีหนี้สินเท่าไร มีรายรับ-รายจ่ายเป็นอย่างไร มีสภาพคล่องเพียงพอหรือไม่ โดยให้คิดถึงทั้งสถานะปัจจุบันและคาดการณ์ไปถึงภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากโดนเบี้ยวหนี้
.
มีเงินออมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ เพียงพอหรือไม่ และมีเงินออมสำหรับรายจ่ายก้อนใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าหรือยัง เช่น ค่าเทอมลูก ค่าผ่าตัดของสมาชิกในบ้าน เงินที่เตรียมไว้ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ ซึ่งเงินออมทั้ง 2 ก้อนนี้เป็นเงินที่เรากันไว้เพื่อความจำเป็นในชีวิตของเรา จึงไม่ควรเอาไปให้ใครยืม
.
3. ไตร่ตรองเรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเงิน
.
          นอกจากความเสี่ยงเรื่องเงินแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ เมื่อคนที่ยืมเงินหรือขอให้ช่วยค้ำประกันเงินกู้ไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ ก็บ่ายเบี่ยงหลบหน้า ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากคุย หรือเป็นปัญหาอีกด้านหนึ่งคือคนที่ให้ยืมไม่กล้าทวงเงินเพราะกลัวกระทบต่อความสัมพันธ์ อีกปัญหาที่พบบ่อยก็คือ เกิดความวิตกกังวลและความเครียดสะสมทั้งตัวผู้ให้ยืม ผู้ขอยืม และผู้ค้ำประกัน ส่งผลต่อสุขภาพและอารมณ์ บั่นทอนให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง จึงต้องคิดถึงปัญหาเหล่านี้ไว้ด้วย
.
4. ปรึกษาครอบครัว
.
          ถ้าเราแต่งงานแล้ว อย่าด่วนตัดสินใจให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้ให้ใครโดยไม่ปรึกษาคู่ชีวิตหรือครอบครัว เพราะนอกจากใช้ชีวิตร่วมกันแล้วส่วนใหญ่ก็ใช้และรับผิดชอบเงินร่วมกันด้วย ดังนั้น ครอบครัวควรรับรู้และร่วมตัดสินใจ เช่น ช่วยเราคิดว่าจะให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้หรือไม่ เป็นจำนวนเงินเท่าไร ซึ่งคู่สมรสที่จดทะเบียนต้องเซ็นหนังสือยินยอมหรือรับทราบว่าสามีหรือภรรยาของตนเองค้ำประกันเงินกู้ให้คนอื่นด้วย นอกจากนี้ เรื่องราวอาจบานปลายไปสู่ปัญหาครอบครัว เช่น ทะเลาะเบาะแว้งจนต้องหย่าร้าง หรือหากถูกยึดบ้านไปขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ ครอบครัวก็จะเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ความคิดเห็นของครอบครัวอาจทำให้เราได้มุมมองที่ไม่เคยนึกถึง และหากครอบครัวไม่เห็นด้วย ก็ควรเคารพการตัดสินใจ และปฏิเสธการให้ยืมเงิน หรือค้ำประกันเงินกู้ไป
.หากในที่สุดแล้ว เราตัดสินใจจะให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้ ก็ควรหาวิธีป้องกันความเสียหายหรือลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่รับได้ โดยสามารถใช้วิธีดังต่อไปนี้
.
วิธีป้องกันความเสียหาย หรือลดความเสี่ยง
.
กำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่จะช่วยเหลือ เช่น ให้ยืม หรือค้ำประเงินกู้ไม่เกิน 20,000 บาท (เรารับภาระได้เท่านี้ โดยไม่เดือดร้อน) การกำหนดจำนวนเงินสูงสุดแบบนี้ จะช่วยป้องกันความเสียหายเท่าที่เรายอมรับได้ หากไม่ได้เงินที่ให้ยืมไปคืนหรือต้องจ่ายหนี้แทน
.
การให้ยืมเงิน
.
มีสิ่งของเป็นหลักประกัน เช่น ทองคำ วิธีนี้จะช่วยเราลดความเสี่ยงหากไม่ได้รับเงินที่ให้ยืมไปคืน เพราะยังมีหลักประกันที่สามารถขายเป็นเงินกลับมาได้
.
ไม่กู้ยืมเงินจากที่อื่นมาให้ยืม เช่น ไม่กดเงินบัตรเครดิต หรือกู้ยืมเงินจากที่
ต่าง ๆ มาให้คนอื่นยืมต่อ  เราจะได้ไม่เป็นหนี้แทนคนอื่น และยังมีวงเงินกู้สำหรับตัวเองไว้ใช้ยามจำเป็นอีกด้วย
.
การค้ำประกันเงินกู้
.
อ่านเงื่อนไขการค้ำประกันให้ครบถ้วน ก่อนที่จะลงชื่อในสัญญาค้ำประกันใด ๆ ก็ตาม ควรอ่านรายละเอียดในสัญญาให้ครบถ้วนก่อนลงชื่อทุกครั้ง ว่าเป็นการค้ำประกันหนี้อะไร จำนวนเท่าไร (เป็นไปตามที่ตกลงหรือไม่) รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของการค้ำประกันเงินกู้เพราะหากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกร้องให้เราชำระหนี้แทนลูกหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน
.
เก็บสัญญาการค้ำประกันเงินกู้ ควรเก็บสำเนาสัญญาหนังสือค้ำประกันเงินกู้ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ทราบถึงสิทธิ์และขอบเขตความรับผิดชอบจากการค้ำประกันเงินกู้ตามสัญญา
.
สุดท้ายที่อยากจะฝากไว้ คือ การช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ดีถ้าเราสามารถช่วยได้ แต่ก็อย่าลืมหันมองดูตัวเราเองด้วยว่าสามารถช่วยเหลือได้เต็มที่แค่ไหน ช่วยแล้วทำให้ตัวเราเองและครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่ ถ้าตอนนี้ยังช่วยไม่ไหวอาจจะช่วยรับฟังปัญหา หรือให้คำแนะนำไปก่อน และเมื่อถึงโอกาสหน้าที่เรามีความพร้อมมากกว่านี้ค่อยช่วยตามสมควร
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 15, 2021, 09:10:51 pm
.
กำไรรับหมด ขาดทุนไม่รับ ?????  !!!!!!!!!!
.
ในกรณีที่จะทำประกันฉบับอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ประเภทใดๆก็ตาม
ต้องไปดู *****#ความน่าเชื่อถือของบริษัท***** นั้นๆให้ดีๆ
.
ให้ดูถึงผู้บริหารของบริษัทนั้นๆด้วย
เพราะ *****#ผู้บริหารของบริษัท***** เป็นผู้ที่ต้องประเมินความเสี่ยงในการขายกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือ ประกันวินาสภัย นั่นหมายถึง ความสามารถในการบริหารเงินที่มีผลต่อผู้เอาประกัน และ ต้องรักษาประโยชน์ทั้งผู้เอาประกันและบริษัท
ความน่าเชื่อถือ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
.
อีกเรื่อง การดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัย ต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า (ผู้เอาประกัน)
หากมีการเอาเปรียบกัน บริษัทจะเหลือความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า(ผู้เอาประกัน)อีกไหม
.
อีกทั้ง สมาคมประกันภัยวินาศภัยไทยเอง มีการดำเนินการที่เข้าข่ายในการเข้าข้างบริษัทประกันอีกด้วย
.
ย้ำครับว่า อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม  และ บางท่านมีบทเรียนไปแล้วด้วย ครับ
.
#ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน
.
.
.
.
.
คปภ. ถกด่วนภาคธุรกิจประกันวินาศภัย กรณีประกันภัย COVID-19 เจอจ่ายจบ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัยและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน
.
ที่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
15 พฤศจิกายน 2564
.
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมประกันภัยวินาศภัยไทย มีหนังสือลงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ถึงประธานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ประธานบอร์ด คปภ.) ขอให้พิจารณาทบทวน Macroprudential Supervision สำหรับการรับประกันภัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
.
โดยเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) พิจารณาทบทวนคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่อง ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท ในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
.
และต่อมานายกสมาคมประกันวินาศภัยมีหนังสือลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ขอเข้าพบเพื่อรายงานสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ รวมทั้งนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่อง ข้อกำหนดห้ามไม่ให้บริษัทรับประกันเพื่อวินาศภัยอันเดียวกันเกินกว่า 10% ของเงินกองทุนตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากหากเกิดความเสียหายขนาดใหญ่ขึ้นแล้วการจ่าย ค่าสินไหมทดแทนจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อฐานะความมั่นคงทางการเงินของบริษัทได้ ซึ่งจะเห็นว่ากรณีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัย COVID-19 ถือเป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ และได้ส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยเกินกว่า 10% ไปเป็นจํานวนมาก นั้น
.
.
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และป้องกันมิให้ปัญหาลุกลามบานปลาย สำนักงาน คปภ. จึงได้มีหนังสือเชิญนายกสมาคมฯ และกรรมการบริหารสมาคมฯ ทุกคนเข้าประชุมหารือกับเลขาธิการ คปภ. และคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. และรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมในวันนี้ (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564) โดยมี   บริษัทประกันวินาศภัยที่เสนอขายประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ เข้าร่วมประชุมด้วย
.
.
ทั้งนี้ ในวันนี้ (15 พฤศจิกายน 2564) นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยและกรรมการบริหารสมาคมฯ ได้ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาและประมาณการค่าสินไหมทดแทนประกันภัย COVID-19 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของบริษัทประกันวินาศภัยที่เสนอขายประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ จะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะส่งผลให้บริษัทมีปัญหาเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน
.
ส่วนประเด็นการขอยกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564  สมาคมฯ ให้ข้อมูลว่าการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าในอนาคตจะสูงขึ้นอีก จึงมีความจำเป็นที่ต้องขอยกเลิกคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบต่อบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัย COVID-19
.
ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันให้ยึดถือประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญในการแก้ไขปัญหา โดยสำนักงาน คปภ. ยินดีที่จะรับฟังข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมของรายบริษัทประกันวินาศภัยที่เสนอขายประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบเพื่อพิจารณามาตรการเยียวยาผลกระทบให้ตรงกับปัญหาของแต่ละบริษัท และส่งเสริมการทำทางเลือกให้ผู้เอาประกันภัยเลือกเปลี่ยนความคุ้มครองหรือประเภทกรมธรรม์ประกันภัยหรือทางเลือกอื่น ๆ ด้วยความสมัครใจของผู้เอาประกันภัย จึงเห็นว่าบริษัทที่ประสบปัญหาสามารถใช้แนวทางนี้ในการบรรเทาผลกระทบไปก่อนได้
.
ส่วนประเด็นที่ยังเห็นไม่สอดคล้องกันในเรื่อง การขอยกเลิกเงื่อนไข   การใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท ในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย เพราะสำนักงาน คปภ. เห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกัยภัยโดยภาพรวมด้วย ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะได้มีการหารือร่วมกัน เพื่อให้ได้มาตรการที่เหมาะสมต่อไป
.
.
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมกับสมาคมฯ แล้ว เลขาธิการ คปภ. ได้ประชุมร่วมกับรองเลขาธิการ คปภ. ทั้งสามด้าน รวมทั้งผู้ช่วยเลขาธิการ สายงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมมีมติดังนี้
.
.
1. การดำเนินการในแก้ปัญหา สำนักงาน คปภ. จะยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นสำคัญ   
.
.
2. คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เรื่อง ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท ในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ยังมีผลบังคับตามกฎหมายอยู่ บริษัทต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ยังเห็นไม่สอดคล้องกัน จะได้มีการหารือร่วมกัน เพื่อให้ได้มาตรการ ที่เหมาะสมต่อไป
.
.
3. สำนักงาน คปภ. ได้รับทราบความเดือดร้อนของภาคธุรกิจและยินดีให้ความช่วยเหลือเพื่อให้พ้นวิกฤต โดยที่ผ่านมา คปภ. ได้ผ่อนคลายกฎกติกาให้ไปแล้วหลายเรื่อง แต่มาตรการการช่วยเหลือบริษัทที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด จะต้องขึ้นอยู่กับสถิติ ตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกต้อง แม่นยำและผลกระทบต่าง ๆ ในทุกมิติ ซึ่งต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ และที่สำคัญจะต้องไม่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเดือดร้อน และต้องไม่เป็นการรอนสิทธิของประชาชนผู้เอาประกันภัย
.
.
4. จะเร่งเชิญบริษัทประกันวินาศภัยที่เสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ มาสอบถามและขอข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการจัดทำ Stress Test เพื่อประเมินความทนทานของรายบริษัทและระบบประกันภัยภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงจำลองสำหรับการแพร่ระบาดของ COVID-19
.
.
5. บริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับผลกระทบจากการเสนอขายประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ อาจพิจารณา เข้าร่วมโครงการผ่อนผันเพิ่มเติม เพื่อเสริมมาตรการเยียวยาให้บริษัทมีสภาพคล่องพร้อมที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัย COVID-19 ให้กับผู้เอาประกันภัยได้มากขึ้น
.
.
6. หากสมาคมฯ ต้องการเสนอมาตรการผ่อนผันเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับผลกระทบ ให้เร่งนำเสนอ เพื่อสำนักงาน คปภ. จะได้กลั่นกรองและเร่งนำเสนอต่อบอร์ด คปภ. โดยเร็ว
.
.
7. ในระหว่างที่มีการดำเนินการข้างต้น หากบริษัทประกันวินาศภัยใดที่ประสบปัญหาต้องการดำเนินการเพื่อมิให้ปัญหาการขาดสภาพคล่องลุกลามบานปลาย การเสนอแนวทางปรับปรุงเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 โดยเสนอทางเลือก\ที่น่าสนใจในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยประเภทเดิม หรือปรับเปลี่ยนไปให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นที่อาจเป็นประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยมากขึ้น
.
สามารถกระทำได้เฉพาะกรณีที่เป็นเรื่อง ความสมัครใจของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
.
บริษัทไม่สามารถไปบังคับผู้เอาประกันภัยให้ยอมรับการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย หรือยอมรับเงื่อนไขความคุ้มครองใหม่ของบริษัท
.
ดังนั้น การเปลี่ยนสิทธิหน้าที่หรือความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยจะสามารถกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้มีการแสดงเจตนา หรือให้ความยินยอมโดยชัดแจ้งในการตอบรับข้อเสนอของบริษัทเท่านั้น
.
นอกจากนี้ ในกรณีของบริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ผู้บริหารของบริษัทชี้แจงและได้ตรวจสอบ\ข้อเท็จจริงแล้ว ได้รับการยืนยันว่า การดำเนินการของบริษัทเป็นการเสนอทางเลือกให้กับผู้เอาประกันภัย โดยเป็นไป ด้วยความสมัครใจของผู้เอาประกันภัย จะไม่มีการบังคับผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด โดยเป็นวิธีการที่บริษัทพยายามหาแนวทางบริหารความเสี่ยงเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องเพื่อให้อยู่รอดได้ และยืนยันจะปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียน
.
โดยสำนักงาน คปภ.ได้กำชับให้บริษัทดำเนินการดังกล่าว ด้วยความสมัครใจของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยไม่ยอมรับทางเลือกที่เป็นข้อเสนอของบริษัท สัญญาประกันภัยของผู้เอาประกันภัยก็ยังมีผลบังคับต่อไปเหมือนเดิมทุกประการ
.
.
“ขอให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจว่า สำนักงาน คปภ. จะดำเนินการอย่างเต็มที่ และจะติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย แต่อย่างไรก็ตาม ก็พร้อมที่จะรับฟังและหามาตรการเยียวยาปัญหาให้บริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับผลกระทบจากการเสนอขายประกันภัย COVID-19 ด้วย เพราะการประกอบธุรกิจประกันภัยต้องอยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่นของประชาชน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
.
.
.
.
.
คปภ.ห้าม บ.ประกันยกเลิก - เปลี่ยนเงื่อนไข “เจอ จ่าย จบ” ฝ่ายเดียว | คนชนข่าว | 15 พ.ย. 64
.
https://www.youtube.com/watch?v=j-aCKy_1Oww (https://www.youtube.com/watch?v=j-aCKy_1Oww)
.
TNN Online
15 พ.ย. 2021
.
หลังจากเป็นประเด็นร้อน เดอะวัน ประกันภัย แจ้งยกเลิกกรมธรรม์ ประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ” วันนี้ คปภ.ได้มีการแถลงห้ามบริษัทประกันยกเลิกหรือเปลี่ยนเงื่อนไขฝ่ายเดียว ต้องมีการยินยอมทั้งสองฝ่าย ติดตามได้ในรายการ “คนชนข่าว” โดยโมไนย เย็นบุตร ทาง TNN16
.
.
.
.
.
คปภ.แถลง! ห้ามเลิกประกันโควิดเจอจ่ายจบ | 15-11-64 | ข่าวเย็นไทยรัฐ
.
https://www.youtube.com/watch?v=O1ek82BXEXI (https://www.youtube.com/watch?v=O1ek82BXEXI)
.
Thairath Online
15พ.ย. 2021
.
มาดูประเด็นร้อยที่เกิดขึ้นช่วง เสาร์อาทิตย์ กันหน่อย
เพราะมีบริษัท เดอะวันประกันภัยส่งจดหมาย บีบคนทำประกันโควิดเจอจ่ายจบ ยกเลิก กรรมธรรม์
พร้อมกับยื่นข้อเสนอแต่เป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถเลือกได้
.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย #คปภ.
#ประกันโควิดเจอจ่ายจบ
#ประกันCovid19เจอจ่ายจบ
#บริษัทประกันภัย
#สมาคมประกันภัยวินาศภัยไทย
#ผู้บริหารของบริษัทประกันภัย
#บริหารความเสี่ยง
#ผู้ทำประกันโควิดเจอจ่ายจบ
#ผู้ทำประกันCovid19เจอจ่ายจบ
#Covid19
#ประกันชีวิต
#ประกันวินาสภัย
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2022, 04:52:30 pm
.
อัพเดท! ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2565 ล่าสุดเสีย 100% แล้วจ้า !!
.
https://www.youtube.com/watch?v=kflupLey_A4 (https://www.youtube.com/watch?v=kflupLey_A4)
.
โพสโดย TAXBugnoms
25 ม.ค. 2022
.
กระทรวงการคลัง เดินหน้าเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 100% ใครได้ยินแบบนี้เป็นต้องหนาวว่า 100% ที่ว่ามันเสียแบบไหนยังไง พรี่หนอมสรุปเรื่อง #ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งหมดนี้อัพเดทให้ฟังในคลิปนี้ครับผม
.
อันดับแรก สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อนคือ วิธีคำนวณภาษีที่คำนวณจาก ภาษี = ราคาประเมิน x อัตราภาษี
.
โดยอัตราภาษีจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แบ่งออกเป็น เกษตร / ที่อยู่ / อื่น ๆ / รกร้าง ซึ่งมีการจัดเก็บในอัตราที่ต่างกัน โดยเกษตรถูกสุด ส่วนรกร้างแพงสุด ครับผม
.
แบบไหนเรียกเกษตร แบบไหนเรียกอยู่อาศัย ดูประกาศได้ที่นี่ครับ
เกษตร : https://bit.ly/3fQLbgr (https://bit.ly/3fQLbgr)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/126/T_0020.PDF (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/126/T_0020.PDF)
ที่อยู่อาศัย : https://bit.ly/33QD7Ke (https://bit.ly/33QD7Ke)
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/126/T_0018.PDF (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/126/T_0018.PDF)
.
อย่างไรอัตราภาษีของแต่ละประเภทการใช้งาน ที่เราเคยเสียในปี 2563 - 2564 ยังต่ออายุ ให้ลดต่อไปในปี 2565 เป็นต้นไป ซึ่งประกาศเป็นกฤษฏีกาเรียบร้อยแล้ว โดยเสียในอัตราต่อไปนี้
.
- เกษตรกรรม อยู่ที่ 0.01-0.1%
- ที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 0.02-0.1%
- อื่นๆ และ รกร้าง อยู่ที่ 0.3-0.7%
.
โดยส่วนที่อยู่อาศัยมียกเว้น บ้านหลังหลักยกเว้น 50 ล้านบาท (กรณีมีทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)
หรือยกเว้น 10 ล้านบาท (กรณีสิ่งปลูกสร้าง) โดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
.
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ การไม่ลด 90% ต่อให้ในปี 2565 เหมือนปี 2563 - 2564 ที่ผ่านมา
ซึ่งแปลว่าเราต้องกลับไปเสียภาษีที่ดินในอัตรา 100% ไม่ได้ลดนั่นเอง
.
ตรงนีัพรี่หนอมแนะนำให้ลองคิดแบบนี้ว่า ในปีที่แล้ว เสียภาษีที่ดินไว้เท่าไร เช่น ถ้าเสียไว้ 20 บาท ก็แปลว่า จริงๆ แล้วเราต้องเสีย 200 บาท แต่ได้สิทธิ์ลดภาษี 90% ทำให้เสียแค่ 20 บาท ดังนั้นปีนี้ต้องกลับมาเสีย 200 บาทนั่นเองครับ
.
นอกจากนั้นอาจจะต้องเช็คเพิ่มเติม สำหรับคนที่ได้รับสิทธิ์ลดตามมาตรการผ่อนปรนในส่วนของภาษีที่ดินที่จ่ายมากกว่าภาษีโรงเรือน (3 ปีแรก) เพราะอาจจะต้องเสียมากขึ้นกว่านั้นก็เป็นไปได้ครับ
.
อ่านบทความเรื่องนี้ได้ที่นีครับ
https://www.taxbugnoms.co/land-and-building-tax/ (https://www.taxbugnoms.co/land-and-building-tax/)
.
0:00 Intro
0:20 3 ข้อสำคัญที่ต้องรู้
1:51 ใครมีหน้าที่เสียภาษี
2:30 วิธีคำนวณภาษี
4:05 การยกเว้นราคาประเมิน
5:50 เจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ใช่เจ้าบ้าน
6:30 การลดอัตราภาษี
7:29 อัตราภาษีแต่ละประเภท
9:49 การลดภาษีเพิ่มเติม
10:35 ไม่ลดภาษีที่ดินต่อ
11:33 บรรเทาภาระภาษี
12:49 ตัวอย่างการคำนวณภาษี
14:00 สรุป
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 01, 2022, 06:38:51 pm
.
สำหรับท่านใดที่ทำประกัน ไม่ว่าจะเป็น #ประกันชีวิต และ #ประกันวินาสภัย
ให้ดำเนินการติดตามในเรื่องนี้ให้ดี
หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถโทร.หรือเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ของ #คปภ.ได้ที่ #สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทุกสาขา ครับ
.
.
.
.
.
ปิดอาคเนย์-ไทยประกันภัย มีผลวันนี้ เลขาฯ คปภ.คอนเฟิร์ม
.
วันที่ 1 เมษายน 2565 - 15:01 น.
.
โพสโดย prachachat
.
คปภ.เผย กระทรวงการคลังมีคำสั่งเพิกถอนธุรกิจ “อาคเนย์ประกันภัย-ไทยประกันภัย” มีผลตั้งแต่ 1 เม.ย.65 เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย

วันที่ 1 เมษายน 2565 นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีผลตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 นี้
.
ตามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 670/2565 และคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 671/2565 ตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
.
.
.
.
.
เตรียมรับมือ หาก คปภ.ปิดกิจการ "อาคเนย์ฯ-ไทยประกันภัย"
.
โพสโดย nationtv
01 เม.ย. 2565
.
ลุ้นอีกครั้ง ในวันนี้ หาก คปภ.ลงดาบเพิกถอนใบอนุญาตปิดกิจการ “อาคเนย์ประกันภัย-ไทยประกันภัย” หากไร้เงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ เหตุถอดใจหวั่นเคลมเสี่ยงพุ่งหลังสงกรานต์ สุดท้ายโยน “กองทุนประกันวินาศภัย” อุ้ม วางมาตรการคุ้มครองสิทธิทุกกรมธรรม์
.
ในวันนี้ (1 เมษายน 2565) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นำโดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. และผู้บริหารระดับสูง คปภ.ทุกหน่วยงาน ได้นัดแถลงข่าวด่วน เรื่อง การดำเนินการด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย กรณีบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในเวลา 13.30-15.00 น. ผ่านระบบออนไลน์
.
หลังจากก่อนหน้านี้ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาคปภ. กล่าวถึง แนวทางการเพิกถอนใบอนุญาตนั้น จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ที่ไม่มีทางเลือกอื่น หากกลุ่มบริษัทไปทบทวนแล้วยังยืนยันที่จะไม่เพิ่มทุน
.
ขณะที่ ในวงการประกันภัยคาดการณ์ ไปในทิศทางเดียวกันว่า สุดท้ายแล้วต้องเพิกถอนใบอนุญาตปิดกิจการ เหตุยอดเคลมที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง และการขายทรัพย์สินก็ไม่เพียงพอ กับยอดเคลมค้างจ่ายอีกจำนวนมาก กว่า 30,000 กรมธรรม์  หากไม่เพิ่มทุนก็ไม่สามารถดำรงเงินกองทุนไว้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด และคาดว่าหลังสงกรานต์ยอดติดเชื้อสูงได้อีก  จึงเป็นเหตุให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ถอดใจไม่เพิ่มทุน หลังจากเพิ่มทุนไปสองรอบเกือบ10,000 ล้านบาท
.
อย่างไรก็ตาม หากมีการเพิกถอนใบอนุญาตธุรกิจประกันภัย จะมีแนวทางดูแลคุ้มครองสิทธิผู้เอาประกันภัย ดังนี้
.
ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยบริษัทแล้ว บอร์ด คปภ. ได้อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 60 และมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัย เป็นผู้ชำระบัญชี เช่นเดียวกับ 2 บริษัทฯ ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปก่อนหน้านี้ คือ  เอเชียประกันภัย และเดอะวันประกันภัย
.
อีกทั้ง หากมีการเพิกถอนใบอนุญาตปิดกิจการบริษัทประกันภัยเพิ่มเติม จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่น หรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวม
.
ขณะเดียวกัน ทาง สำนักงาน คปภ. จะเตรียมมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย เพื่อรองรับมิให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลกระทบ น่าจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน 2 บริษัทฯ ที่ปิดไปก่อนหน้านี้  โดยบูรณาการความร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัย (ในฐานะผู้ชำระบัญชี) และบริษัทประกันวินาศภัย  ดังนี้
.
.
-ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายและได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัทแล้ว สามารถติดต่อกองทุนประกันวินาศภัย เพื่อขอรับชำระหนี้โดยกองทุนประกันภัยวินาศภัยจะเข้ารับช่วงจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้มีการอนุมัติค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว 
.
-ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไว้กับบริษัทฯ สามารถยื่นเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะพิจารณาค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
.
- ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยทุกประเภทของบริษัทฯ ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตปิดกิจการ สามารถที่จะดำเนินการในส่วนของกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว  ได้แก่ ขอรับคืนเบี้ยประกันภัยที่เหลือจากกองทุนประกันวินาศภัย โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะคืนเบี้ยประกันภัย  ให้ตามส่วนระยะเวลาตามความคุ้มครองที่เหลืออยู่  หรือ นำเบี้ยประกันภัยที่จะได้รับคืนไปใช้แทนเงินสดในการเลือกซื้อประกันภัยได้จากบริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิตที่เข้าร่วมโครงการ ได้ทุกประเภทกรมธรรม์ประกันภัย
.
.
-สำนักงาน คปภ. ได้จัดตั้งศูนย์ให้คำแนะนำ รับเรื่องร้องเรียน และอำนวยความสะดวกในการรับคำขอรับชำระหนี้ รวมทั้งการสนับสนุนบุคลากรในการรับคำขอรับชำระหนี้ ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ส่วนกลางและสำนักงาน คปภ. ส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
.
-จะมีการจัดเตรียมสถานที่ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กองทุนประกันวินาศภัย และ สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการรับเอกสารหลักฐานการขอรับชำระหนี้แล้วส่งต่อให้กองทุนประกันวินาศภัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยสามารถยื่นได้ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด
.
ที่มาของรูป nationtv
.
หัวข้อ: Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2022, 02:02:59 pm
.
ระวังภัยร้ายจากมิจฉาชีพ สร้างแอปฯ เงินกู้ปลอม
.
โพสโดย Anti-Fake News Center Thailand
16 มิถุนายน 2565
.
ระวังภัยร้ายจากมิจฉาชีพ สร้างแอปฯ เงินกู้ปลอม
.
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ปล่อยเงินกู้ออนไลน์จำนวนมากมาย ซึ่งบ่อยครั้งมิจฉาชีพก็ใช้แอปฯ เงินกู้เหล่านี้ มาหลอกลวงเรา โดยมักใช้คำโฆษณาที่ชักจูง เช่น อนุมัติไวใน 10 - 15 นาที ติดแบล็กลิสต์ก็สามารถกู้ได้ ผ่อนจ่ายได้ รายเดือนวงเงินสูง เป็นต้น
.
1. สร้างแอปพลิเคชั่นสำหรับเปิดกู้เงินที่ดูน่าเชื่อถือ
.
2. เรียกเก็บเงินเพื่อเป็นค่าค้ำประกัน หรือค่ามัดจำ
.
3. ดอกเบี้ยมีอัตราสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ระยะเวลาชำระไม่เกิน 1 สัปดาห์
.
4. ใช้คำพูดไม่สุภาพ ด่า ข่มขู่ หากไม่ทำตามเงื่อนไข
.
5. ได้รับเงินกู้ไม่เต็มจำนวน โดยอ้างว่าหักค่าบริการ ค่าธรรมเนียม โดยหักมากกว่า 40%
.
6. ปล่อยวงเงินกู้สูงกว่าที่ขอ เพื่อเรียกเก็บคืนเงินต้นรวมดอกเบี้ยที่สูง
.
7. ส่งข้อความไปข่มขู่กับบุคคลในรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ หรือโพสต์ประจานผู้กู้ผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้รีบนำเงินมาชำระ
.
หากท่านต้องการกู้เงิน ควรเลือกผู้ให้บริการด้านสินเชื่อที่ถูกกฎหมาย ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th/app/BotLicenseCheck (https://www.bot.or.th/app/BotLicenseCheck)
.
ที่มา : กองปราบปราม
#ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม #AntiFakeNewsCenter #AFNCThailand #เงินกู้ #หลอกลวง #แอปกู้เงิน
.