(http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201206/04/444804350.jpg)
เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 13 : โลกวรรค
01.เรื่องภิกษุหนุ่ม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า หีนัง ธมฺมํ เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ติดตามพระภิกษุชราไปที่บ้านของนางวิสาขา หลังจากฉันข้าวยาคูแล้ว ภิกษุชราออกจากบ้านนางวิชาเพื่อไปบ้านอื่น จึงได้ปล่อยให้ภิกษุหนุ่มอยู่ที่บ้านของนางวิสาขารูปเดียว หลานของนางวิสาขาขณะกรองน้ำถวายภิกษุหนุ่ม แลเห็นเงาของตัวเองอยูในตุ่มน้ำก็ส่งเสียงหัวเราะ เมื่อภิกษุหนุ่มเห็นหลานสาวของนางวิสาขาหัวเราะ ก็ได้มองหน้าเธอแล้วก็หัวเราะบ้าง หลานสาวของนางวิสาขาเกิดอารมณ์เสียเมื่อเห็นภิกษุหนุ่มหัวเราะ จึงส่งเสียงตะโกนด่าไปว่า คนหัวขาด หัวเราะอะไร ภิกษุหนุ่มด่ากลับไปบ้างว่า เจ้าน่ะแหละหัวขาด แม่เจ้าก็หัวขาด พ่อเจ้าก็หัวขาด
หลานสาวของนางวิสาขาร้องไห้ไปฟ้องนางวิสาขาที่โรงครัว นางวิสาขาจึงมาพูดกับภิกษุหนุ่มว่า ท่านเจ้าคะ อย่าโกรธเลย คำที่พูดเป็นคำไม่หนักสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีผมและเล็บอันตัดแล้ว ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มอันตัดแล้ว ผู้ถือกระเบื้องตัด ณ ท่ามกลาง เที่ยวไปเพื่อภิกษา” ภิกษุหนุ่มตอบว่า มันก็จริงอยู่แต่นางไม่น่าจะมาด่าว่าหัวขาดอย่างนั้น นางวิสาขาจึงไม่สามารถให้ภิกษุยอมรับฟังเหตุผลนาง และเมื่อพระเถระกลับมาที่บ้านนางวิสาขา ท่านก็ไม่สามารถพูดให้ภิกษุหนุ่มนิ่งได้ ต่อมาพระศาสดาได้เสด็จมาตรัสถามถึงสาเหตุของการทะเลาะวิวาทนั้น และทรงมองกาลไกลว่าพระภิกษุหนุ่มจะได้บรรลุโสดาปัตติผล ทั้งทรงเห็นว่าพระองค์ควรจะเข้าข้างภิกษุหนุ่ม จึงตรัสกับนางวิสาขาว่า
เป็นการไม่สมควรที่หลานสาวของท่านด่าสาวกของเราว่าหัวขาดเช่นนั้น ภิกษุหนุ่มพอได้ยินพระศาสดาตรัสเข้าข้างเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นยืนพนมมือถวายบังคมพระศาสดา แล้วกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบปัญหานั่นด้วยดี อุปัชฌาย์ของข้าพระองค์และมหาอุบาสิกา ย่อมไม่ทราบด้วยดี “ พระศาสดาทรงมีพระประสงค์จะกระตุ้นให้ภิกษุตอบสนองดำรัสของพระองค์มากยิ่งขึ้น จึงตรัสว่า “การหัวเราะปรารภกามคุณเป็นธรรมอันเลว อนึ่ง การเสพธรรมที่ชื่อว่าเลว และการอยู่ร่วมกับความประมาทย่อมไม่ควร”
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย
ปมาเทน น สํวเส
มิจฺฉาทิฏฐึ น เสเวยฺย
น สิยา โลกวฑฺฒโน ฯ
(อ่านว่า)
ฮีนัง ทำมัง นะ เสเวยยะ
ปะมาเทนะ นะ สังวะเส
มิดฉาทิดถิง นะ เสเวยยะ
นะ สิยา โลกวัดทะโน.
(แปลว่า)
บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว
ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยความประมาท
ไม่พึงเสพความเห็นผิด
ไม่พึงเป็นคนรกโลก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุหนุ่มตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่ชนทั้งหลายผู้ประชุมกัน.
(http://www.watkaokrailas.com/article/art_41907937.jpg)
11. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปฐพฺยา เอกราเชน เป็นต้น
นายกาละ บุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จะปลีกตัวออกห่าง เมื่อพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่บ้าน ท่านเศรษฐี มีความหวั่นเกรงว่า หากบุตรชายยังประพฤติตัวอย่างนี้ ก็จะไม่แคล้วไปตกนรก จึงต้องการแก้ไขพฤติกรรมของบุตรชาย ด้วยการใช้กุศโลบายใช้เงินเป็นตัวล่อ โดยท่านเศรษฐีได้บอกกับบุตรว่า จะให้เงิน 100 กหาปณะ หากบุตรรักษาอุโบสถ และไปวัดฟังธรรม นายกาละผู้บุตรก็ได้รับอุโบสถ แล้วนอนค้างที่วัดและกลับมาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่ได้ฟังธรรม เมื่อบุตรกลับมาจากวัด ท่านเศรษฐีพูดขึ้นว่า “บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาให้เขาเร็ว” แต่บุตรบอกเศรษฐีผู้บิดาว่าจะรับประทานอาหารก็ต่อเมื่อได้เงิน 100 กหาปณะก่อนเท่านั้น เศรษฐีก็ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่บุตร และบุตรก็จึงยอมรับประทานอาหาร
ในวันรุ่งขึ้น บิดาก็ได้กล่าวกับบุตรอีกว่า “พ่อคุณ เราจักให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า เจ้าจงยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา” นายกาละผู้บุตรก็ได้ไปที่วัดอีกครั้งหนึ่ง และได้ตั้งใจว่าจะเรียนธรรมให้ได้สักบทหนึ่งก็จะรีบกลับบ้าน พระศาสดาได้ทรงบันดาลให้นายกาละจำบทธรรมอะไรไม่ได้สักบท แม้จะพยายามอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่พอนายกาละยืนฟังนานๆเข้าด้วยจิตใจจดจ่อก็จึงได้บรรลุโสดาบัน
ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มีพระศาสดาเป็นประมุข ท่านเศรษฐีพอเห็นบุตรเดินมาก็นึกชอบใจ แต่ทว่าในวันนี้ พฤติกรรมของนายกาละ ไม่เหมือนวันวาน วันนี้เขากลับตั้งจิตอธิษฐานขออย่าให้บิดานำเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา และขอให้ช่วยปกปิดเรื่องที่ตนไปรักษาอุโบสถเพื่อแลกกับเงินหนึ่งพันกหาปณะ
เศรษฐีได้ถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ และสั่งให้คนยกอาหารมาให้บุตรด้วย นายกาละก็ได้นั่งรับประทานอาหารด้วยอาการนิ่งสงบ ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา เศรษฐีให้คนวางห่อปหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า “พ่อคุณ นี่ไงเงินจำนวนหนึ่งพันกหาปณะที่พ่อรับปากว่าจะให้ลูกหากลูกไปสมาทานอุโบสถและฟังธรรมในวัด” นายกาละเห็นบิดาให้คนนำถุงเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา ก็นึกละอายแก่ใจ พูดว่า ผมไม่รับ แม้จะถูกคะยั้นคะยอให้รับอย่างไร ก็บอกว่า ไม่รับ ๆ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ ข้าพระองค์ ชอบใจอาการของบุตร” เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า “เรื่องอะไรหรือ มหาเศรษฐี” จึงกราบทูลว่า “ในวันก่อน บุตรของข้าพระองค์นี้ อันข้าพระองค์พูดว่า เราจักให้กหาปณะแก่เจ้า แล้วส่งไปวิหาร ในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้ว ไม่ปรารถนาจะบริโภคอาหาร แต่วันนี้ เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระองค์ให้”
พระศาสดาตรัสว่า “ อย่างนั้น มหาเศรษฐี วันนี้ โสดาปัตติผลนั่นแล ของบุตรของท่าน ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ แม้กว่าสมบัติในเทวโลก และพรหมโลก”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ปฐพฺยา เอกรชฺเชน
สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปัจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ วรํ ฯ
(อ่านว่า)
ปะถับพะยา เอกะรัดเชนะ
สักคัดสะ คะมะเนะ วา
สับพะโลกาทิปัดเจนะ
โสตาปัดติผะลัง วะรัง.
(แปลว่า)
โสดาปัตติผล
ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
กว่าการไปสู่สวรรค์
และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น .
(http://1.bp.blogspot.com/-OW8rD6kzozk/TqvQy_cgfSI/AAAAAAAAIXI/SlZX3rZ0ai0/s320/IMG_6159-3.jpg)
เรื่องย่อและพระคาถาพระธรรมบท
(๑๗ พ.ย.๕๑)
-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/2008/11/17/entry-4