ใต้ร่มธรรม

ประชาสัมพันธ์ => 108 โทรโข่ง => การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:51:37 am

หัวข้อ: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:51:37 am
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว


http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-883.html

.


http://board.palungjit.com/f6/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-228518-4.html

PaLungJit.com > ทั่วไป > จักรวาลคู่ขนาน

ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงิน


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:53:36 am
บทความนี้เขียนโดย sithiphong
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามนำบทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนไปหาผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยกเว้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น


ที่มา พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
และ
"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32

เรื่องของการเงินและการธนาคาร เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใคร เราจึงควรที่จะเรียนรู้ และรู้เท่าทันกับเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องการเงินหรือการธนาคาร อีกทั้งกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพที่นับวันจะพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนมากตามเทคโนโลยี จนบางครั้งบางคนตามเหล่ามิจฉาชีพไม่ทัน ผมจึงได้นำเรื่องราวต่างๆที่เคยประสบพบเห็นและได้เจอ นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:56:57 am
เรามาว่ากันเรื่องของบัญชีออมทรัพย์ ,บัญชีกระแสรายวัน และบัญชีฝากประจำกันก่อน
บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการฝากและถอนเงิน โดยมีบัตรเอทีเอ็มเป็นสิ่งที่สามารถถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มจากบัญชีของตนเอง หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยน้อย
บัญชีกระแสรายวัน เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการใช้ในธุรกิจของตนเอง มีการสั่งจ่ายเงิน(ถอนเงิน)ในบัญชีกระแสรายวันได้หลายทาง เช่น การจ่ายเช็ค ,การถอนเงินจากบัตรเอทีเอ็ม หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ยให้
บัญชีฝากประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่ต้องการออมเงิน โดยมีระยะเวลาต่างๆ เช่น การฝาก 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน เป็นต้น อัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารแต่ละแห่งเป็นผู้ที่กำหนดเองว่า จะให้อัตราดอกเบี้ยจำนวนเท่าไร แต่โดยปกติหากการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ถ้าระยะเวลาที่น้อย จะได้อัตราดอกเบี้ยน้อยว่า การฝากที่ใช้ระยะเวลาที่มากกว่า ส่วนการถอนเงินเมื่อครบกำหนดที่ระบุไว้( เช่น 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน) ผู้ฝากเงินย่อมมีสิทธิที่สามารถถอนเงินจากบัญชีนั้นๆได้ โดยถอนเงินที่ทำการธนาคาร แต่ถ้าหากว่าบัญชีเงินฝากประจำที่มีกำหนดระยะเวลามากกว่า 3 เดือน เช่น ระยะเวลา 12 เดือน แต่หากเจ้าของบัญชีมีความต้องการที่จะใช้เงินก่อน สามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำนั้นๆได้ แต่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายให้กับผู้ฝากเงินนั้น จะได้เป็นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์

การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ จะมีอีกเรื่องที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องคือ การเสียภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หากได้ดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี จะต้องเสียภาษี 15 % ส่วนบัญชีเงินฝากประจำ ไม่ว่าจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากจำนวนเท่าไร ต้องเสียภาษี 15 % เสมอ ภาษีที่ผู้ฝากเงิน(บัญชีเงินฝากประจำ) เสียให้กับกรมสรรพากร สามารถนำไปหักลดหย่อนในการยื่นแบบการเสียภาษีประจำปีได้
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:58:19 am
นอกเหนือจากบัญชีเงินฝากทั้ง 3 ประเภทแล้ว ยังมีบัญชีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีที่หลายๆคนชอบ และอีกหลายๆคนไม่ชอบ นั่นก็คือบัญชีเงินกู้
บัญชีเงินกู้จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
1.บัญชีเงินกู้ประจำ
2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ

สำหรับบัญชีเงินกู้นั้น เมื่อเอ่ยคำว่า “กู้เงิน” ต้องมีสิ่งหนึ่งตามมา นั่นก็คือ “ดอกเบี้ย” ดอกเบี้ยจะแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ “MOR (Minimum Overdraft Rate) ” , “MLR” (Minimum Loan Rate) , “MRR” (Minimum Retail Rate) และประเภทสุดท้าย (ที่ใครๆไม่ต้องการ)คือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัด

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MOR (Minimum Overdraft Rate) ” เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MLR” (Minimum Loan Rate) , “MRR” (Minimum Retail Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้ประจำ หรือบัญชีเงินกู้อื่นๆ

อัตราดอกเบี้ยทั้งสามประเภท เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ลอยตัว ไม่ใช่ล่องลอยไปในอากาศ แต่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารสามารถปรับขึ้นหรือลง ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการบริหารของธนาคารนั้นๆ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 08:59:51 am
ผมมาอธิบายต่อสำหรับบัญชีเงินกู้ประเภทต่างๆนะครับ

1.บัญชีเงินกู้ประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารให้กู้เงินเพื่อใช้สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย (แม้บางครั้ง ผู้กู้จะไม่ได้ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง แต่อาจจะเป็นการให้บุคคลอื่นเช่าก็มี) อัตราดอกเบี้ยก็จะแตกต่างกันในแต่ละธนาคาร จะใช้ประเภทของอัตราดอกเบี้ยอยู่ 2 ลักษณะคือ “MLR” (Minimum Loan Rate) หรือ “MRR” (Minimum Retail Rate) แล้วแต่ แต่ละธนาคารเป็นผู้ที่กำหนด

2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นบัญชีที่บุคคลที่ทำธุรกิจต่างๆ ใช้กันโดยบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจะเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นบัญชีที่ใช้สำหรับการหมุนเวียนในธุรกิจ โดยผู้ที่มีบัญชีประเภทนี้ ต้องนำโฉนดที่ดิน(จะมีสิ่งปลูกสร้างด้วนหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร) หรือนำบัญชีเงินฝากประจำ มาเป็นหลักประกันเงินกู้ประเภทนี้ หรือในบางครั้งก็จะเป็นผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นผู้ค้ำประกันส่วนตัวเต็มวงเงินก็มี บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีนี้ จะใช้อัตราดอกเบี้ย คือ “MOR (Minimum Overdraft Rate)

3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ เช่น การมีวงเงินหนังสือค้ำประกัน ,การมีวงเงินการเปิด LC และTR , วงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคล ,บัตรเครดิต สำหรับบัญชีเงินกู้ในกลุ่มนี้ ผมขออธิบายเฉพาะเรื่องของวงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตในช่วงต่อๆไป แต่เรื่องของวงเงินกู้ในประเภทอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะ ผมไม่ขออธิบายครับ

สิ่งต่างๆที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังนี้ หลายๆท่านคงทราบกันดีแล้ว แต่ผมนำมาเกริ่นเรื่องราวที่จะบอกกันต่อๆไป และเผื่อท่านใดที่ไม่ทราบ จะได้ทราบกัน

มาว่ากันต่อ

เรื่องของการนำเอกสาร(ของตนเอง) นำไปเปิดบัญชีกับธนาคาร เช่นบัตรประชาชน เวลาที่เราจะเซ็นชื่อเพื่อรับรองสำเนาถูกต้องนั้น เราควรที่จะเขียนลงบนสำเนาบัตรประชาชนว่า ใช้เพื่อเปิดบัญชี(ออมทรัพย์หรือกระแสรายวันหรือฝากประจำ) กับธนาคาร.....เท่านั้น และควรเขียนลงบนรูปสำเนาบัตรประชาชนด้วย

เรื่องของบัญชีธนาคารต่างๆที่เปิดไว้ เราควรจดประเภทของบัญชี ,เลขที่บัญชี ,ธนาคาร-สาขา และหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับสาขาที่เราเปิดบัญชีไว้ อีกทั้งหมายเลขโทรศัทพ์ที่สามารถติดต่อกับธนาคารกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน(เช่นบัตรเอทีเอ็มหาย)ไว้

ไม่ว่าจะเป็นบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำ เราไม่ควรจะนิ่งนอนใจ ควรที่จะไปปรับสมุดบัญชีเงินฝากทุกๆครั้งที่มีโอกาส หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เนื่องจากบางครั้งเราถอนเงิน ก็ไม่ได้ไปถอนเงินที่ทำการของธนาคาร แต่ถอนกับตุ้เอทีเอ็ม หรือการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง เพื่อที่จะได้ตรวจสอบการเงินของตนเองให้ถูกต้องตลอดเวลา

คงมีคำถาม ถามว่า ทำไมจึงต้องปรับสมุดบัญชีเงินฝากให้เป็นปัจจุบัน คำตอบผมจะมาบอกต่อๆไป ติดตามกันนะครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:01:22 am
ปัจจุบันนี้ โลกเราพัฒนาไปไกล เรื่องของการฝากเงิน ,การถอนเงิน ,การโอนเงิน สามารถกระทำได้ในสถานที่ต่างๆ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่ทำการสาขาของธนาคาร คือเรื่องของ “อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง” การสมัครใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ก็ไม่ได้ยากอะไร

อีกทั้งการโอนเงินก็สามารถโอนเงินผ่านต่างธนาคารได้อีกด้วย นับว่าเป็นการเพิ่มความสดวกให้กับผู้ใช้บริการกับธนาคาร เพียงแต่ผู้ที่ขอใช้บริการมีคอมพิวเตอร์และติดตั้งการใช้อินเตอร์เน็ต เท่านี้เองก็สามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งได้แล้ว
เรื่องของการใช้บริการนี้ เราเองต้องมีการตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆบัญชีและทุกๆธนาคาร นี่เป็นเรื่องนึงที่ต้องปรับสมุดบัญชีอยู่บ่อยๆและให้เป็นปัจจุบัน

สิ่งที่สำคัญอีกประการก็คือ เรื่องรหัสผ่าน การเก็บรหัสผ่านไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากมีผู้ที่ไม่ประสงค์ดี แฮกเข้าเครื่อง อย่างนี้เสร็จแน่นอน ถ้าจะเขียน(เพื่อกันลืม) ก็ต้องรู้ว่า เราจดไว้ที่ไหน จดอย่างไร(ให้เป็นสัญลักษณ์ที่เรารู้คนเดียว) และควรเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ เพื่อป้องกันผู้อื่นล่วงรู้ในรหัสผ่านของตนเอง

ส่วนบัญชีกระแสรายวัน ที่ทุกๆธนาคารจะไม่มีสมุดบัญชีให้ แต่จะเบิกเงินต้องเบิกผ่านเช็คส่วนบุคคล (ปัจจุบันราคาเช็คส่วนบุคคล ใบละ 15 บาท) เมื่อถึงสิ้นเดือน ธนาคารจะออกรายการทางบัญชีหรือStatement ให้กับลูกค้า ดังนั้น ควรตรวจสอบการจ่ายเช็คกับรายการทางบัญชีที่ธนาคารออกมาให้ถูกต้องตรงกัน หากมีข้อผิดพลาด ควรที่จะไปตรวจสอบกับธนาคาร ส่วนเรื่องการจ่ายเงินตามเช็ค(ส่วนบุคคล) หากมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย หรือด้วยเหตุอื่นๆ ธนาคารจะคิดค่าปรับ(จากผู้สั่งจ่ายหรือเจ้าของบัญชี) ขั้นต่ำ 300 บาท หรือ 0.20ของจำนวนเงินหน้าเช็ค

เรื่องต่อมาเป็นเรื่อง “บัตรประชาชน” ทุกๆท่านคงเคยได้รับรู้เรื่องที่ผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาบัตรประชาชนของผู้เคราะห์ร้าย ไปใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น การไปซื้อโทรศัพท์ก็ดี ,การไปสมัครบัตรเครดิตก็ดี แต่ยังมีอีกเรื่องก็คือ มีผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาบัตรประชาชน ไปให้กลุ่มที่รับทำบัตรประชาชนปลอม แล้วนำไปเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อวัตถุประสงค์(ร้าย)ต่างๆ เช่น การหลอกลวงให้ผู้เคราะห์ร้ายโอนเงินเข้าบัญชี หรือ การเปิดบัญชีธนาคาร แล้วเปิดใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ซึ่งจะใช้บัญชีที่เปิดขึ้นใหม่ ผูกกับบัญชีที่มีเงินมากๆ วิธีนี้ผู้ไม่ประสงค์ดี ต้องได้บัตรประชาชนปลอม ที่ข้อมูลบนบัตรประชาชนเหมือนกับข้อมูลบนบัตรประชาชนของผู้ที่มีเงินมากๆ เพียงแต่รูปในบัตรประชาชน(ปลอม) จะเป็นของผู้ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องปรับสมุดบัญชีอยู่บ่อยๆและให้เป็นปัจจุบัน จากสาเหตุของอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งนี้ มีกรณีตัวอย่างมาแล้ว ผู้เคราะห์ร้ายสูญเสียเงินไปหลายล้านบาท กว่าจะแจ้งความดำเนินคดี กว่าที่ตำรวจและธนาคารจะตรวจสอบ จนธนาคารคืนเงินให้(ต้องเป็นกรณีที่ธนาคารผิดเท่านั้น หากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เคราะห์ร้ายประมาทเลินเล่อหรือผิดเอง ก็ไม่ได้รับเงินคืน) ก็ใช้ระยะเวลาหลายๆเดือน บางกรณีเป็นปีก็มี ดังนั้นเวลาที่ท่านนำสำเนาบัตรประชาชนไปใช้ประกอบการกู้ยืมเงิน หรือการซื้อโทรศัพท์ หรือในเรื่องต่างๆ ท่านต้องเขียนบนสำเนา(บนรูปสำเนาบัตรประชาชนจริงๆ)ว่า ท่านใช้เพื่ออะไร เช่น ใช้ในการซื้อโทรศัพท์ยี่ห้อ....ที่ศูนย์บริการ.......เท่านั้น หรือใช้ในการเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคาร...เท่านั้น เป็นต้น
มาว่ากันต่ออีกเรื่อง มีผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดี ได้มาขอกู้เงินเพื่อซื้อที่ดินเปล่ากับธนาคาร ซึ่งเอกสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชนตัวจริง ,สำเนาทะเบียนบ้านตัวจริง ,รายการทางบัญชี(หรือstatement)ตัวจริงที่มีตราของอีกธนาคารประทับพร้อมกับลายเซ็นของผู้มีอำนาจลงนาม ,หนังสือรับรองรายได้จากบริษัทตัวจริง ซึ่งธนาคารได้อนุมัติวงเงินกู้ไปจำนวน 3,000,000 บาท เดือนแรกผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดีผ่อนตามปกติ เดือนที่สองก็หยุดผ่อน และเดือนต่อๆไปก็ไม่ผ่อนอีกเลย ธนาคารจึงฟ้องร้องกับผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดีรายนี้ ตอนที่ทนายความยื่นจดหมายทวงถามไป ผลปรากฏว่า ผู้เคราะห์ร้ายรีบมาที่ธนาคารทันที และแจ้งว่าตนเองไม่ได้กู้เงินกับธนาคารนี้ พร้อมทั้งแสดงเอกสารคือบัตรประชาชนตัวจริงและสำเนาทะเบียนบ้านตัวจริง เมื่อธนาคารได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า เอกสารต่างๆที่ผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดี นำมากู้เงินนั้น เป็นเอกสารปลอมทั้งหมด แต่กว่าจะตรวจสอบเรียบร้อยก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ผู้เคราะห์ร้ายก็ต้องเสียทั้งเงิน(ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าเดินทาง) และเสียเวลาการทำงานอีก
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:03:35 am
ว่ากันต่อในเรื่องของโทรศัพท์ หากมีผู้ที่โทรศัพท์มาเพื่อชักชวนให้เราสมัครไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต ,สินเชื่อบุคคล หรือสิทธิในการใช้บริการต่างๆ ฯลฯ เราควรที่จะต้องจดรายละเอียดไว้ว่า มีใครโทร.มา โทร.มาวันไหน เวลากี่โมง เบอร์ที่ผู้โทร.มาเบอร์โทร.อะไร สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เราเองสามารถตรวจสอบกลับไปได้ว่า บุคคลนั้นมีจริงหรือไม่ บริษัทนั้นมีจริงหรือไม่ และสิ่งที่สำคัญที่สุด จะต้องไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวไปโดยเด็ดขาด หรือการโทรศัพท์มาแจ้งเรื่องต่างๆ และให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม ขอให้รู้ไว้ว่า เป็นกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพร้อยเปอร์เซ็น โปรดย้ำกับตัวเองว่า อย่าโลภ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย สำคัญที่สุดคือย้ำและเตือนตนเองไว้เสมอ

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต การเก็บรักษาควรมีความระมัดระวังให้มากๆ คงมีคนสงสัยว่า ปกติบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ก็ต้องเก็บรักษาอย่างดีอยู่แล้ว ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะมาบอกกัน แต่ผมจะบอกว่า เคยมีกรณีที่เกิดขึ้นมาแล้ว ลองดูนะครับ
กรณีที่ว่านี้เป็นอย่างนี้ มีผู้หญิงคนนึง(เป็นผู้ชายก็ได้) เวลาไปทำงานก็นำกระเป๋าถือซึ่งในกระเป๋าถือใส่กระเป๋าเงิน (ใส่กันซับซ้อนเหลือเกิน) ไว้ในล็อกเกอร์ของบริษัท(เป็นประจำ) มีอยู่วันนึง ได้นำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า ปรากฏว่า ทางห้างสรรพสินค้าไม่รับบัตรเครดิต และแจ้งว่า บัตรเครดิตหมดอายุ ผู้หญิงท่านนี้ ก็นำบัตรเครดิตมาดู ปรากฏว่า บัตรเครดิตที่ตนเองนำออกมาเพื่อใช้ซื้อสินค้านั้น ไม่ใช่บัตรของตนเอง เนื่องจากชื่อที่ปรากฏบนบัตรเป็นชื่อของใครก็ไม่รู้ พอกลับไปถึงบ้านก็ไปตรวจสอบที่บ้านว่า บัตรเครดิตของตนเองอยู่ที่ไหน และทำไมจึงมีบัตรเครดิตของคนอื่นมาอยู่ในกระเป๋าของตน ผลปรากฏว่า ที่บ้านไม่มีใครรู้เรื่อง จึงได้โทรศัพท์ไปที่บริษัทบัตรเครดิต และสอบถามถึงบัตรเครดิตของตนเอง ปรากฏว่ามีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไปเป็นแสนบาท ผู้หญิงคนนี้ตกใจ (ไม่รู้ว่าเป็นลมหรือเปล่าครับ) จึงแจ้งว่า เขาไม่ได้ใช้ และขออายัดบัตรเครดิตใบนั้น ซึ่งการตรวจสอบต่อมาพบว่า มีพนักงานในบริษัทเดียวกัน แอบสับเปลี่ยนบัตรเครดิตของผู้เคราะห์ร้ายไป จึงมีการแจ้งความดำเนินคดี ณ ปัจจุบัน ผมไม่ทราบเรื่องราวต่อ รู้แต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ยกเลิกบัตรเครดิตทุกใบครับ

ส่วนอีกท่านเป็นผู้ชาย ท่านนี้เวลาไปที่ทำงาน มักจะนำกระเป๋าเงินใส่ไว้ในลิ้นชักที่โต๊ะทำงาน(และไม่ได้ล็อกลิ้นชักเสมอ) ในห้องที่ทำงานนั้น มีคนอยู่กันประมาณ 8 คน และโต๊ะก็อยู่ติดๆกัน มีอยู่วันนึง ในช่วงบ่าย ผู้ชายคนนี้ได้นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงิน (สงสัยว่าเงินในกระเป๋าเริ่มจะหมดหรือตอนเย็นจะไปเที่ยว) ผลก็คือ เครื่องเอทีเอ็มบอกว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่าย ทั้งๆที่ผู้ชายท่านนี้มีเงินในบัญชีหลักหลายหมื่นบาท จึงนำสมุดบัญชีไปตรวจสอบที่ธนาคาร ผลปรากฏว่า มีการถอนเงินจากบัญชีออกไปประมาณ 5 ครั้ง จนหมดบัญชี ผู้ชายท่านนี้จึงได้แจ้งกับธนาคารว่า เขาไม่เคยไปกดเงินเลย ทำไมมีการถอนเงินจากบัญชีไปได้ ธนาคารโกงเขา ทางธนาคารจึงได้ตรวจสอบการถอนเงิน(และตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ที่ตู้เอทีเอ็ม) ปรากฏว่า มีผู้หญิงมาถอนเงิน ทางธนาคารจึงได้เชิญผู้ชายท่านนี้ไปดูว่า ผู้หญิงที่มาถอนเงินนี้ เป็นใคร เมื่อผู้ชายคนนี้ได้เห็นแล้วก็ตกใจ เนื่องจากผู้หญิงที่มาถอนเงินเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับตนเอง ผู้ชายคนนี้จึงกลับไป เหตุการณ์ที่หลังจากนี้ก็ไม่ได้รับทราบอีก
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:05:03 am
อีกเรื่องก็คือ บัตรเครดิต เรื่องนี้จริงๆสามารถเขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ เพราะมีเหตุเกิดขึ้นอยู่มากมาย แต่เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟัง จะขอเล่าเพิ่มอีกสัก 2 เรื่องก็คือ ปัจจุบันนี้ มีเครื่องที่สามารถเก็บข้อมูลหลังบัตรเครดิต ที่มีขนาดเล็ก(ไม่เกินฝ่ามือ) ซึ่งเวลาที่ใช้บัตรเครดิต เราต้องใช้สายตาติดตามไปตลอด และให้รู้ว่า บัตรเครดิตของเรา ไปไหนบ้าง หรือทางที่ดีและเป็นไปได้ เดินตามไปเลยครับ จะได้สบายใจ เรื่องต่อมาก็คือ การใช้บัตรเครดิตในบางเรื่อง เช่น อาจจะมีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี หลอกลวงในเรื่องต่างๆ เช่นการขอข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต และมีการขอรหัส 3 ตัวหลังสุด รหัส 3 ตัวหลังสุดนี้แหละสำคัญ เพราะเป็นรหัสการตัดบัญชี เช่น บัตรเครดิตเลขที่ 1234 5678 9012 3456 789 ตัวเลข 789 หลังสุดนี้แหละครับ สำคัญมากๆ ต้องระวังอย่าให้ใครทราบ ก็อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่า การใช้บัตรเครดิต ต้องดูด้วยว่า บัตรเราไปไหนบ้าง เกิดผู้ถือบัตรเราไป แอบไปก๊อบข้อมูล (ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลงบนเครื่องเก็บข้อมูลหรือการจดรายละเอียดของเลขบัตรเครดิต) เราจะได้ทราบและป้องกันตนเองไว้ครับ

บทความนี้เขียนโดย sithiphong
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามนำบทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนไปหาผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยกเว้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:11:24 am
ที่มา fwd mail

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1065211&d=1280381697)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1065212&d=1280381697)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:13:26 am
ระวังถูกหลอก
http://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/PopularConner/Fraudalert/Pages/Fraudalert.aspx

ปัจจุบันสถาบันการเงินมีการให้บริการทางการเงินหลายรูปแบบ ให้ผู้ใช้บริการได้เลือกใช้ตามความต้องการ อย่างไรก็ดี มีผู้ทุจริต อาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยใช้กลโกงต่าง ๆ ในการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินหรือทำผลิตภัณฑ์ทางการเงินปลอม โดยที่ผู้ใช้บริการที่เป็นเจ้าของไม่รู้ตัว ดังนั้น ผู้ใช้บริการทางการเงิน ควรเพิ่มความระมัดระวัง ดังนี้



กลโกงบัตรเครดิต
กลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม
กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล
การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ
การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ
เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ
โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:15:23 am
กลโกงบัตรเครดิต

ปัจจุบันพบกลโกงบัตรเครดิตในประเทศไทยหลายวิธี ได้แก่
1. การใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกในแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิต แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำบัตรปลอม
และนำบัตรปลอมนั้นไปซื้อสินค้าหรือบริการ ทั้งนี้ ปัจจุบันสถาบันการเงินอยู่ระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบของบัตรเครดิตจากการเก็บข้อมูลในแถบแม่เหล็ก
มาเป็นการใช้ชิปแทน ซึ่งจะช่วยลดปัญหานี้ได้
2. การขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรเครดิตที่สูญหายไปใช้โดยเจ้าของบัตรไม่รู้ตัวดังนั้น หากพบว่าบัตรเครดิตสูญหายหรือถูกขโมย ให้รีบติดต่อสถาบันการเงิน
ผู้ออกบัตรเครดิตทันทีเพื่อขออายัดบัตร เพราะหากผู้อื่นนำไปใช้ ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินที่เกิดขึ้น
3. การปลอมแปลงเอกสารสำคัญเพื่อสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นลายเซ็น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงิน
ผู้ออกบัตรเครดิตหลงเชื่อ และนำบัตรเครดิตนั้นไปใช้จ่ายในนามของท่าน ทำให้ผู้ที่ถูกแอบอ้างเดือดร้อนเพราะถูกเรียกเก็บหนี้ที่ตนไม่ได้ก่อ
ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงบัตรเครดิต

1. ควรเก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ไว้ในที่ที่ปลอดภัย และไม่มอบเอกสารดังกล่าวให้กับผู้ไม่น่าไว้ใจ
2. ควรจดหมายเลขที่บัญชีบัตรเครดิตและหมายเลขโทรศัพท์ของแผนกบริการไว้ในที่ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์)
3. เพื่อป้องกันกลโกงแบบ Skimming หากท่านจ่ายค่าสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิต ท่านควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการอยู่ หรืออยู่บริเวณใกล้ ๆ
ในระยะที่สังเกตได้
4. หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตในร้านค้าที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวเรื่องการทุจริต
5. ท่านควรตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่ายในสลิปบัตรเครดิต เช่น จำนวนเงิน วันที่ทำรายการ เลขที่บัญชี ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต
และควรเก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตเอาไว้เพื่อใช้ตรวจกับใบแจ้งยอดบัญชีว่าถูกต้องและตรงกัน หากพบรายการผิดพลาด ต้องรีบแจ้งผู้ออกบัตรเครดิตทันที
6. ระมัดระวังการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่มีลักษณะน่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ Skimmer รวมทั้ง ในขณะที่กดรหัสเอทีเอ็ม
ต้องระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นด้วย
7. ควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้

กลโกงบัตรเครดิต
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:17:26 am
กลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

Phishing คือ การหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของการปลอมแปลง e-mail หรือสร้าง Website ปลอม เพื่อหลอกให้ลูกค้าเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงิน
หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต Username และ Password เป็นต้น ซึ่งสร้างความเสียหายทางการเงินต่อลูกค้าและสถาบันการเงิน
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในการใช้บริการการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
วิธีการที่พบในปัจจุบัน คือ การหลอกให้ลูกค้าหลงเชื่อว่ามี e-mail มาจากสถาบันการเงินและใช้หัวข้อและข้อความที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ขอให้ลูกค้าแจ้งยืนยัน
ข้อมูลทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยของบัญชีลูกค้า หรือ การแจ้งลูกค้าว่าถึงรอบระยะเวลาที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า หรือ
การแจ้งว่าบัญชีของลูกค้าได้ถูกอายัดไว้ชั่วคราว จึงขอให้ลูกค้ายืนยันข้อมูล เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าสามารถดำเนินการได้ต่อไป เป็นต้น
พร้อมใส่สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของสถาบันการเงินและ Hyperlink ที่ e-mail โดยมีชื่อโดเมนและ Subdirectory เหมือนกับ URL ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น Website ปลอม ที่เรียกว่า Spoofed Website หรือแนบแบบฟอร์มการสอบถามข้อมูล เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
เลขที่บัญชีเงินฝาก ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) เป็นต้น หลังจากที่ลูกค้าได้กรอกข้อมูลลงใน Website ปลอม หรือ
แบบฟอร์มการสอบถามนั้น ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น การโอนเงินหรือการชำระเงินให้บุคคลที่สามผ่านการให้บริการ Internet Banking
หรือ Telephone Banking หรือ Mobile Banking หรือ การซื้อสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตโดยใช้บัตรเครดิต เป็นต้น
ข้อแนะนำในการป้องกันการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

1. อย่าตอบรับ e-mail ที่ขอให้ท่านส่งข้อมูลส่วนตัวให้ รวมทั้ง ไม่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ไปกับ e-mail หรือ
การติดต่อทางโทรศัพท์ที่แอบอ้างมาจากสถาบันการเงิน
2. ไม่ควรใช้ Hyperlink ที่แนบมากับ e-mail หากต้องการเข้าใช้บริการ ให้เข้าผ่าน Website ของสถาบันการเงินนั้น ๆ โดยตรง



กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

ในปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก
แต่ยังมีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (สินเชื่อนอกระบบ) ที่เอาเปรียบผู้กู้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
ธุรกิจบริการเงินด่วนนอกระบบสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่นประกาศตามเสาไฟฟ้าหรือโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ Website ตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยมี
ข้อความเชิญชวนให้มาใช้บริการ เช่น ระบุว่า “ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 นาที” โดยสินเชื่อนอกระบบเหล่านี้จะมีอัตราดอกเบี้ย
ค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าปกติ
ตัวอย่าง
1. เมื่อลูกค้าติดต่อเข้าไปตามหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ระบุไว้ในโฆษณาผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ
ซึ่งลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดีหรือลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วก็สามารถใช้บริการนี้ได้
2. เมื่อลูกค้ายอมรับข้อตกลงในการให้สินเชื่อ ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะดำเนินการ ดังนี้
- กรณีลูกค้ามีบัตรเครดิตหรือบัตรของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้าหรือสินเชื่อเงินสดก็จะให้ไปซื้อสินค้าจากร้านค้า เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก
กล้องถ่ายรูปดิจิตอล และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
- กรณีลูกค้าไม่มีบัตรดังกล่าวก็จะพาไปทำบัตรสมาชิกของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้า หลังจากนั้นก็จะพาไปซื้อสินค้าจากร้านค้า
3. เมื่อได้สินค้าแล้ว ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะรับสินค้าไว้และจ่ายเงินสดให้ลูกค้าแทนโดยจะหักค่านายหน้าในการให้บริการไว้ประมาณ 30% เช่น
ซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 100,000 บาท หักค่านายหน้า 30% เป็นเงิน 30,000 บาท ลูกค้าได้รับเงินสด 70,000 บาท แต่เป็นหนี้เงินกู้ 100,000 บาท
4. หลังจากนั้น ลูกค้าสมาชิกบัตรจะต้องเป็นผู้ผ่อนชำระค่าสินค้าซึ่งรวมเงินต้น (100,000 บาท) พร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
กับสถาบันผู้ออกบัตรทำให้ผู้กู้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าดังกล่าวไปจำหน่ายต่อด้วย
ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

1. ควรใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแทนการกู้เงินนอกระบบ เนื่องจากการกู้เงิน
นอกระบบดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมจะแพงกว่าปกติ
2. ในการเลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวควรพิจารณาเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน
ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี) เป็นต้น
3. ระมัดระวังโฆษณาที่ระบุว่า “ดอกเบี้ยต่อเดือนน้อยนิด หรือดอกเบี้ย 0%” โดยต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราต่อเดือนหรือไม่ ถ้าใช่ให้คูณ 12
จึงจะได้อัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ต้องจ่ายจริง
นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยที่ท่านต้องจ่าย มีลักษณะเป็นจำนวนคงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ (Flat Rate) ท่านต้องลองคำนวณว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแบบลดต้นลดดอก
(Effective Rate) เป็นเท่าไรโดยคูณด้วย 1.8 นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ท่านต้องพิจารณาว่ายังมีค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
หากใช้บริการดังกล่าว เช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น
4. อย่าใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลเพียงเพื่อต้องการของแถมจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว เพราะท่านอาจประสบปัญหาหนี้สินได้ ควรระลึกอยู่เสมอว่า
ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:19:33 am
การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ


ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเจาะข้อมูลของลูกค้าธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้หาประโยชน์ในทางที่มิชอบ โดยใช้วิธีการอ้างว่าลูกค้าประชาชนมีหนี้อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพจะมีวิธีการดังต่อไปนี้
1. โทรศัพท์ไปหาลูกค้าประชาชนแจ้งว่า ท่านค้างชำระหนี้จำนวนหนึ่งและจะมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โทรมาสอบถามข้อมูลเพื่อจะแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ที่ค้างชำระนั้นให้ถูกต้อง
2. ต่อมาผู้ที่อยู่ในกลุ่มมิจฉาชีพอีกคนหนึ่งจะโทรศัพท์มาเป็นครั้งที่สองโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ธปท. มาขอข้อมูล เช่น วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM หรือหลอกลวงให้ไปที่ตู้ ATM และทำรายการตามที่บอก โดยอ้างว่าเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ซึ่งจะกลายเป็นการโอนเงินไปให้กลุ่มมิจฉาชีพ
นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน วิธีการปกติในการที่จะล่อลวงเอาเงินของลูกค้าประชาชนที่มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตร ATM หรือบัตรที่ใช้ในการถอนเงินต่าง ๆ พวกมิจฉาชีพจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของลูกค้าเสียก่อน โดยเฉพาะรหัสต่าง ๆ เช่น Security Code (หมายเลข 3 ตัวสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต) และใช้ข้อมูลรหัสดังกล่าวไปทำบัตรปลอมเพื่อลักลอบถอนเงินของลูกค้า
ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวงข้อมูล
1. โปรดทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ธปท. มีส่วนเกี่ยวข้องในการโทรศัพท์ขอข้อมูลท่านอย่างแน่นอน อย่าได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของพวกมิจฉาชีพ
2. อย่าได้เปิดเผยข้อมูลในบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM ของท่านให้แก่คนที่ท่านไม่รู้จักไม่ว่าจะมีข้อกล่าวอ้างประการใด
3. หากท่านได้รับโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลใด ๆ ขอให้ท่านตรวจสอบไปยังธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยไม่ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ผู้ขอข้อมูลแจ้งมา
4. หากมีเหตุที่ท่านไม่แน่ใจว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้ล่วงรู้ข้อมูลของท่านไปแล้วหรือไม่ ขอได้โปรดติดต่อกลับไปยังธนาคารเจ้าของบัตรหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรงเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ในการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจทำการยกเลิกบัตรและเปลี่ยนบัตรใหม่

การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ

ปัจจุบันมีมิจฉาชีพบางกลุ่มได้แอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรืออ้างเป็นพนักงานแห่งประเทศไทย ในการติดต่อกับประชาชนทั่วไปทั้งทางโทรศัพท์ หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เพื่อลวงให้เหยื่อหลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น ลวงว่ามีเงินโอนจากต่างประเทศ (ซึ่งมาจากการขายสินค้าหรือได้รับมรดก) เข้ามาอยู่ที่บัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว หากผู้รับต้องการเงินดังกล่าว ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน
ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวง
1. ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวของท่านกับบุคคลภายนอกที่ติดต่อเข้ามา โดยที่ท่านไม่รู้จักหรือไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เพราะท่านอาจถูกล่อลวงให้เสียทรัพย์ เมื่อท่านได้รับการติดต่อ ควรตั้งสติและไตร่ตรองความเป็นไปได้ของข้อความดังกล่าว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันต่าง ๆ ที่ถูกระบุชื่อ
2. อย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมใด ๆ กับบุคคลที่แอบอ้างเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากอาจเป็นการหลอกลวงโดยประสงค์ต่อทรัพย์สินของท่าน ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง ดูแลเสถียรภาพด้านนโยบายการเงิน กำกับดูแลสถาบันการเงิน และจัดตั้งระบบการชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนด มิได้มีหน้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น โอน-รับโอนเงินจากประชาชนโดยตรง (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2551)
ทั้งนี้ หากได้รับความเสียหายจากเรื่องดังกล่าวโปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปศท.) โทร. 0-2234-1068


 
 

 


ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:22:18 am
ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ

http://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/PopularConner/Fraudalert/Documents/beware.pdf

ดูตามลิงค์นะครับ

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:32:21 am

เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ

http://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/PopularConner/Fraudalert/Pages/ClipPolicity_C.aspx

โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.

ระวังถูกหลอก แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า ได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพแอบอ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ เจ้าหน้าที่แบงค์ชาติ โดยแจ้งว่า เหยื่อติดหนี้บัตรเครดิต หรือบางครั้งแจ้งสถานที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครติด ทำให้เหยื่อตกใจ หลังจากนั้นจะเสนอตัวเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยขอข้อมูลส่วนตัวหรือ ข้อมูลการเงินและให้ทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATM โดยให้โอนเงินเข้าบัญชี หรือบางรายให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์หน่วยงานภายใน ธปท. จริง แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว เช่น 0-2283-5355
ดังนั้น ธปท. จึงขอเตือนว่า อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว เพราะ ธปท. ไม่มีธุรกรรมทางการเงินโดยตรงกับประชาชนทั่วไป และไม่มีระเบียบปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดตามทวงถามหนี้สินของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่พบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว โทรศัพท์สอบถามมายัง ธปท.ได้ที่ ศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการปล่อยสินเชื่อ Hotline 0-2283-5900 ระหว่างเวลา 8.30 – 16.30 น.

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.

.




.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:41:25 am
เตือนภัย เว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) ว่าเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย !!!!!!!!!

ด้วยปรากฎว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพ ได้จัดทำเว็บไซต์ลอกเลียนแบบเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีข้อความ เนื้อหา และรูปภาพเลียนแบบเว็บไซต์ของ ธปท. รวมทั้งส่งเมล์ในนาม ธปท. แจ้งว่า บัญชีผู้ใช้งานมีปัญหา หรือ มีการพัฒนาระบบใหม่ เพื่อประกอบธุรกรรมทางเงินต่าง ๆ เช่น Internet Banking ซึ่งในเมล์ได้แนบ URL ที่มิจฉาชีพได้สร้างเลียนแบบไว้ ทำให้ผู้ที่ได้รับเมล์ความเข้าใจผิดและอาจหลงเชื่อดำเนินธุรกรรมทางการเงินผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว
ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงขอแจ้งเตือนทุกท่าน อย่าได้หลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อ ของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว เนื่องจาก ธปท. ไม่มีการดำเนินธุรกรรมทางการเงินโดยตรงกับประชาชนทั่วไป และโปรดสังเกต URL ของเว็บไซต์ ธปท. จะต้องขึ้นต้นด้วย www.bot.or.th หรือ www2.bot.or.th เท่านั้น


ตัวอย่าง : หน้าจอเว็บไซต์หลอกลวง
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1075029&d=1280890093)



ตัวอย่าง : ช่องทางติดต่อเพื่อลงทะเบียน
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1075030&d=1280890093)



ตัวอย่าง : Internet Banking
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1075031&d=1280890093)



ตัวอย่าง : หน้าจอ Login เพื่อเข้าใช้งาน
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1075032&d=1280890093)



ที่มา http://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/PopularConner/Fraudalert/Pages/phishing_web.aspx






.


.


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:50:24 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1075061&d=1280890712)


ฉบับที่ 3/2553


เรื่อง มิจฉาชีพโทรศัพท์หลอกลวงเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต


ด้วยปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพโทรศัพท์หลอกลวงประชาชน เพื่อให้ประชาชนทำธุรกรรม โอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพ ทำให้ประชาชนหลายรายได้รับความเดือดร้อนและบางรายต้องสูญเสียเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงขอแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงวิธีการหลอกลวง และแนะนำแนวทาง ที่ควรปฏิบัติ
ทั้งนี้ พฤติกรรมการหลอกลวงของกลุ่มมิจฉาชีพปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่นหลอกลวงว่าประชาชนเป็นหนี้บัตรเครดิตธนาคารพาณิชย์และจะช่วยเหลือแก้ไขรายการ หรือหลอกลวงเพื่อให้ได้รับข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เพื่อให้ทำรายการโอนเงินที่ตู้ ATM เข้าบัญชีของกลุ่มมิจฉาชีพ นอกจากนี้ยังหลอกลวงว่าประชาชนจะได้รับสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยต่ำตามโครงการพิเศษจากหน่วยงานรัฐ และให้ทำรายการโอนชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเข้าบัญชีกลุ่มมิจฉาชีพ เพื่อให้จะได้รับสินเชื่อนั้น ๆ ต่อไป


การโทรศัพท์หลอกลวงของกลุ่มมิจฉาชีพมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากขึ้นเป็นลำดับ โดยที่ ศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหาสินเชื่อ ธปท ได้รับเรื่องร้องเรียนช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2552 จำนวน 489 ราย แต่ในครึ่งแรกของเดือนมกราคม 2553 นี้ การร้องเรียนเกี่ยวกับการถูกหลอกลวงเพิ่มขึ้น 316 ราย รวมเป็นทั้งสิ้น 805 ราย


ทั้งนี้ ธปท. มีข้อแนะนำสำหรับประชาชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ คือ
(1) หากท่านได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ธปท. หรือธนาคารพาณิชย์ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าท่านเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อหรือ ขอตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของท่าน ขอให้ท่านอย่าตกใจและอย่าให้ข้อมูลส่วนตัว แต่ให้โทรศัพท์ไปสอบถามที่ Call Center ของธนาคารติดต่ออยู่ หรือมีบัตรเครดิต หรือให้ไปติดต่อที่ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกอ้างชื่อสาขาใดก็ได้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
(2) หากท่านมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์สอบถามที่ ศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทยโทรศัพท์ 02-2835900 ในวันทำการ ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.


ธนาคารแห่งประเทศไทย
20 มกราคม 2553


.

http://www.bot.or.th/Thai/PressAndSp...553/n0353t.pdf

.



.



.


.


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:55:26 am
เครดิตบูโร
ที่มา http://www.ncb.co.th/CreditBureau_What.htm


ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต

นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ค่ะ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ค่ะ มีค่าธรรมเนียม 200 บาท ค่ะ (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 50 ค่าธรรมเนียมลดเหลือ 100 บาท) ทั้งนี้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้ค่ะ

การรักษาความลับ
นอกจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะมีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลเครดิตเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อแล้วนั้น บริษัทยังมีหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลด้วยนะคะ โดยบริษัทจะเปิดเผยรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่สถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อเท่านั้นค่ะ นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกทำลาย หรือถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยคุ่ะ ดังนั้นคุณผู้ฟังก็มั่นใจได้เลยนะคะว่า ข้อมูลเครดิตของคุณผู้ฟังจะไม่ถูกนำไปเปิดเผยในทางอื่นใดค่ะ

การติดแบล็กลิส (Black List)
ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสจากเครดิตบูโรใช่ไหมค่ะ จริงๆ แล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสผู้ขอสินเชื่อนะคะ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อค่ะ เพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้นค่ะ ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ

รายงานข้อมูลเครดิต=รายงานผลการศึกษา
ท่านอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดเมื่อผู้ขอสินเชื่อได้ชำระสินเชื่อที่เคยผิดนัดชำระไปเรียบร้อยแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระยังปรากฏอยู่ในรายงานข้อมูลเครดิตอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าข้อมูลเครดิตถูกเก็บเป็นประวัติคล้ายกับรายงานผลการศึกษาค่ะ โดยการชำระหนี้ก็เหมือนผลการเรียน ที่จะได้ดีหรือไม่ อย่างไร ก็จะบันทึกตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากต้องการแก้ไขให้มีประวัติชำระที่ดีขึ้น ก็ต้องชำระหน้าที่ค้างไว้ให้เสร็จสิ้น เพราะจะเป็นเหมือนการสอบซ่อมเพื่อให้มีผลการเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีวินัยและความตั้งใจที่ดีนั่นเองค่ะ แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือการไปชำระหนี้ให้ครบถ้วนและตรงเวลาทุกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:04:41 am
การขอข้อมูลของตนเอง ณ ที่ทำการบริํษัทฯ





ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 มาตรา 25 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของข้อมูลให้เจ้าของข้อมูล มีสิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตน โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีความยินดีที่ให้ท่านตรวจสอบข้อมูล ดังนี้

ณ ที่ทำการบริษัทฯ (ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภคและข้อโต้แย้ง) มีขั้นตอนดังนี้


1. เจ้าของข้อมูลกรอก แบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต (บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล) และยื่นแบบฟอร์มพร้อมแนบหลักฐานประกอบคำขอ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ หลักฐานประกอบคำขอมีดังนี้
กรณีบุคคลธรรมดา
• บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริง หรือหนังสือเดินทางฉบับตัวจริงมาแสดง


ในกรณีที่มีการมอบอำนาจ ให้นำ
• หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง


กรณีนิติบุคคล
• สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมประทับตราบริษัท (ถ้ามี)
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง


ในกรณีที่มีการมอบอำนาจ ให้นำ
• หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล
• สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้องโดย กรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมประทับตราสำคัญบริษัท (ถ้ามี)
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
2. ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ
3. เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ ฉบับละ 20 บาท) 

สถานที่ตรวจสอบข้อมูลเครดิต
ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภคและข้อโต้แย้ง
ชั้น 2 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (สำนักงานใหญ่)
เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ : (66) 02-643-1250
โทรสาร: (66) 02-612-5895




 (http://www.ncb.co.th/salfenquiry.htm)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:14:49 am
รายงานข้อมูลเครดิตแสดงอะไร
http://www.ncb.co.th/credit_report.htm

1.ข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ถึงตัวลูกค้าและคุณสมบัติของลูกค้าที่ขอสินเชื่อ
รายงานจะแสดงข้อมูลบ่งชี้ของท่าน ได้แก่ ชื่อ นามสกุล หมายเลขประำจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ตามข้อมูุลที่ท่าน แจ้งในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ ที่เป็นสมาชิกของบริษัทฯ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956415&d=1273250482)

2.การชำระหนี้ที่ดี
รายงานบัญชีที่มีประวัติการชำระที่ดี หมายถึง ท่านได้ชำระยอดหนี้ครบถ้วนและตรงตามกำหนดที่ระบุในเงื่อนไขสัญญา ข้อมูลในรายงานจะแสดงดังนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956417&d=1273250482)

3.การผิดนัดชำระหนี้ หรือชำระหนี้ล่าช้า
หากท่านไม่ได้ชำระยอดหนี้หรือยอดใช้ไปของบัตรเครดิตตามเงื่อนไขการชำระเงิน ข้อมูลในรายงานจะแสดงดังนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956419&d=1273250482)

4.กรณีชำระหนี้เดิมที่เคยผิดนัดหรือชำระล่าช้า
หากท่านได้กลับมาชำระยอดหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2550 ในวันที่ 5เมษายน 2550 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 4,000 บาท รายงานจะแสดงข้อมูลดังนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956421&d=1273250482)




.



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:20:29 am
จากที่ผมเคยนำเรื่องราวของมิจฉาชีพ ที่หลอกให้ผู้ที่หลงเชื่อ โอนเงินเข้าบัญชีที่กลุ่มมิจฉาชีพเปิดบัญชีไว้

ปัจจุบันยังคงมีอยู่

เมื่อสักพักใหญ่ๆนี้ ลูกค้าผมได้โทร.มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาโดนไป 69,000 บาท โดยหลอกให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม โดยอ้างว่า คุณเป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนรหัสของบัตรเครดิต แล้วให้ไปทำรายการทางตู้เอทีเอ็ม โดยมิจฉาชีพได้บอกว่า ต้องเปลี่ยนรหัส จากรายการ Transfer ซึ่งให้กดตัวเลข (กลุ่มมิจฉาชีพได้บอกว่า ให้กดเลข 30000 เป็นภาษาพูดว่า สาม ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์)

หากท่านได้รับโทรศัพท์เช่นนี้ ขอให้ท่านติดต่อไปยังธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ และหากว่าท่านมีโทรศัพท์อีกเครื่อง พยายามคุยโดยหน่วงเหนี่ยวเวลาไว้ แล้วใช้โทรศัพท์อีกเครื่อง โทร.เข้าไปที่ศูนย์บริการของโทรศัพท์ท่าน โดยให้ศูนย์บริการโทรศัพท์พยายามตรวจสอบดูว่า เบอร์โทร.จากที่ไหนโทร.มาหาท่าน แล้วให้แจ้งตำรวจ(DSI) เพื่อจะเป็นหนทางในการช่วยกันปราบปราบเหล่ามิจฉาชีพนี้

ที่สำคัญ ท่านต้องไปติดต่อที่ธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ ห้ามไปทำรายการอะไรก็ตามที่ตู้เอทีเอ็ม โดยเด็ดขาด

เคยมีกรณีนี้กับเพื่อนร่วมงานผม เพื่อนร่วมงานก็เลยถือโอกาสด่ากลับไป

ขอให้โชคดีครับ

สำหรับคำว่า "Transfer" นี่คือการโอนเงินจากบัญชีของเราไปยังบัญชีบุคคลอื่น  

ต้องระวังครับ

---------------------------

คำว่า direct bank , banking transtions , money transfer , account holders แปลว่าอะไร
ตอบโดย prasit_khorat

direct bank
ธนาคารโดยตรง เป็น ธนาคาร โดยไม่ต้องๆ เครือข่ายสาขา. จะเสนอบริการทางการเงินโดย:

ธนาคารโทรศัพท์
ธนาคารออนไลน์
อัตโนมัติเครื่องบอก (มักจะผ่าน เครือข่าย interbank พันธมิตร)
ธนาคาร Mail
ธนาคาร Mobile
การกำจัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสาขาธนาคารธนาคารโดยตรงอาจมีสูง อัตราดอกเบี้ย และลดค่าบริการในผลิตภัณฑ์ของตนกว่าคู่แข่งดั้งเดิมของพวกเขา.
banking transaction
พำนักเงินเข้าบัญชีธนาคารจะทำรายการให้ตามหักเงิน. เพิ่มดอกเบี้ยในบัญชีเป็นรายการ. หักบัญชีเป็นรายการ. หักค่าใช้จ่ายธนาคารมีธุรกรรม. โดยทั่วไปประเภทใดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของเงินในบัญชีเป็นรายการ. คุณจะได้รับรายชื่อของพวกเขาในงบบัญชีธนาคาร.
account holders
ในนามของบัญชี (ผู้แทน)

money transfer
การโอนเงิน


ที่มา คำว่า direct bank , banking transtions , money transfer , account holders แปลว่าอะไร - มีคำตอบ - กูรู

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:24:38 am
การฟอกเงิน คืออะไร?

การฟอก (Laundry) โดยทั่วไปหมายความว่า ทำให้สะอาด หรือ ทำให้หมดมลทินซึ่งมีความหมายในแง่ดี แต่ “การฟอกเงิน” (Money Laundering) เป็นการกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ

ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดให้ดูเสมือนว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ “เงินสกปรก” หรือเงินที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ดูเหมือนเป็น “เงินสะอาด” เพื่อสามารถนำเงินที่ถูกฟอกไปใช้ในการกระทำความผิดอาญาต่อไป

ในปัจจุบันประเทศทั่วโลกถือว่าการฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรงการฟอกเงินมักจะเกี่ยวเนื่องกับอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งกระทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือองค์กร โดยมีลักษณะข้ามเขตข้ามพรมแดนประเทศและยากแก่การปราบปราม ผลของการฟอกเงินส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองปัจจุบันทั่วโลกจึงถือว่า การฟอกเงินเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรง

อาชญากรฟอกเงินกันอย่างไร?

การฟอกเงินอาจกระทำได้โดย ใช้รูปแบบและวิธีการต่างๆ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิม เช่น นำเงินสกปรกไปใส่ตุ่มฝังดิน หรือ ซ่อนในกำแพงหรือในถ้ำ จนกระทั่งถึง วิธีการที่ทันสมัยขึ้น เช่นนำเงินสกปรกไปให้บุคคลอื่น นำเงินฝากหรือโอนผ่านธนาคาร หรือเปิดบริษัทขึ้นเพื่อนำเงินเข้าสู่ระบบการเงินของบริษัท ดังตัวอย่างเช่น

ตัวอย่าง 1: มิจฉาชีพ ก ไม่มีอาชีพสุจริตอื่น ได้เงินจากการขายยาเสพติดมา 2 ล้านบาทนำเงิน 1 ล้านบาทไปซื้อรถยนต์ และอีก 1 ล้านบาท นำไปให้แก่ภรรยาและบุตร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีพิรุธ ทั้งการซื้อรถยนต์และนำเงินไปให้ภรรยาและบุตรถือเป็นการฟอกเงิน

ตัวอย่าง 2 : มิจฉาชีพ ข นำเงินที่ได้มาจากการค้าหญิงและเด็ก ไปให้เพื่อนสนิททำธุรกิจเงินกู้ รวมทั้งเปิดบริษัทขึ้นบังหน้า หาทางเอาเงินสกปรกที่ได้มาเข้าสู่ระบบการเงินของบริษัทเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เชื่อว่าตนเองได้เงินมาจากการประกอบอาชีพโดยสุจริตทั้งการทำธุรกิจ เงินกู้และการตั้งกิจการขึ้นบังหน้า

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการฟอกเงินผู้ร้ายอาจฟอกเงินโดยวิธีง่ายๆ ตามตัวอย่างแรก หรืออาจจะมีวิธีซับซ้อนขึ้นตามตัวอย่างหลัง หรืออาจจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดอาชญากรกระทำเพื่อปกปิดซ่อนเร้นและต้องการให้เงินสกปรกอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง ไม่ให้ถูกตรวจสอบได้ว่าได้มาโดยมิชอบ เพื่อจะหาทางใช้ประโยชน์จากเงินสกปรกเหล่านั้น โดยสร้างภาพให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าได้เงินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย

หลักการและสาระสำคัญของกฎหมายฟอกเงิน

การประกาศใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามการฟอกเงินและดำเนินการกับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งเกี่ยวกับการกระทผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สาระสำคัญของการฟอกเงินได้แก่

ความผิดอาญาฐานฟอกเงิน

กฎหมายนี้ได้ทำให้เกิดความผิดอาญาฐานใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังขณะการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ

(2) กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะ ที่แท้จริง การได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด

 


ความผิดมูลฐาน

ความผิดฐานฟอกเงินต้องเป็นการกระทำต่อเงิน หรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเพียงบางประเภทเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า ความผิดมูลฐาน ได้แก่

1. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

2. ความผิดเกี่ยวกับเพศ (เช่น การค้าประเวณีหญิงและเด็ก)

3. ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน

4. ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือการฉ้อโกงทางธุรกิจในสถาบันการเงิน

5. ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือ ในการยุติธรรม

6. ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชกหรือรีดทรัพย์

7. ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร

8. ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

ผลกระทบของการฟอกเงิน

- บางท่านอาจจะคิดว่าการฟอกเงินไม่เกี่ยวข้องกับคนทั่วๆ ไปเลย และเป็นเรื่องของผู้ร้าย เช่น นักค้ายาเสพติด เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล หรือผู้ประกอบอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ เท่านั้น

- ความจริงการฟอกเงิน ที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมมีผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง เงินที่ฟอกจะถูกใช้ในการค้าขายยาเสพติด การก่อการร้าย การค้าอาวุธและประกอบอาชญากรรมอย่างอื่น หรือแม้แต่การทุจริต ติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือนักการเมือง ทำให้การแผ่ขยายอาณาจักรขององค์กรเหล่าร้าย เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและยากแก่การสกัดกั้นเป็นปัญหา ของประชาคมโลก

- ในทางเศรษฐศาสตร์เงินสกปรกที่นำมาในธุรกิจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และตัวเลขแสดงฐานะทางเศรษฐกิจที่บิดเบือนไม่ตรงความเป็นจริง เพราะมีการนำเงินสกปรกเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทั้งที่เงินเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต หรือการสร้างงานที่ชอบด้วยกฏหมายขึ้นมาเลย

- นอกจากผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว การมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับยาเสพติดหรือการฟอกเงิน ย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ เปรียบเสมือนปลาเน่าตัวเดียว ที่อาจทำให้เหม็นไปทั้งข้อง แม้ประเทศนั้นจะมีสิ่งดึงดูดใจทางวัฒนธรรม ประเพณี หรือแหล่งท่องเที่ยวมากมายก็ตาม



สามารถอ่านรายละเอียดเเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

http://www.amlo.go.th/amlo_new/

แจ้งเตือนภัยฉ้อโกงประชาชน


ด้วยปัจจุบันพบการกระทำผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนในรูปแบบพฤติกรรมที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารแห่งประเทศไทยหลอกลวงประชาชนว่าเป็นหนี้กับธนาคารให้ทำการชำระหนี้ หากผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มพวกมิจฉาชีพแต่หากประชาชนไม่หลงเชื่อ ทางกลุ่มมิจฉาชีพ ก็จะดำเนินการต่อในขั้นที่ 2 โดยการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ข่มขู่ผู้เสียหายและหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยใช้ระบบอินเตอร์เน็ตโทรหาประชาชนมีผู้เสียหาย และคาดว่าจะมีการพัฒนาขึ้นอีกในหลายรูปแบบโดยคาดว่าจะมีการแพร่ระบาดอย่างหนักในปีนี้ จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หากพบการฉ้อโกงลักษณะดังกล่าว จะต้องมีสติไม่หลงเชื่อใครง่ายๆ และสิ่งแรกที่ควรกระทำคือการแจ้งและตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่มีการกล่าวอ้างถึงก่อนดำเนินการใดใด

http://www.amlo.go.th/amlo_new/ (http://hilight.kapook.com/view/14992)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:28:52 am
ที่มา Fwd mail ครับ

ตอนนี้มาอีกรูปแบบใหม่ นอกจากเครดิตการ์ด กรมสรรพากร ตอนนี้มาถึงศาลแล้ว

>>
ถึงทุกๆท่าน

ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้ ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่

ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข +886226994823
เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร.."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน แต่ไม่สามารถส่งหมายได้
ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"

ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)

ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่าโทร..มาจากศาล) แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลอาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้ ขอทราบชื่อ-นามสกุล ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ดิฉันไม่ให้ เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้ ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วย
เสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ

ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
- ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
- เป็นรหัสทางไกล 886 ซึ่งโทร..มาจากไต้หวัน

ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป
ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่นข้อมูลทางการเงิน
ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ ได้มากมาย !!!!!!!!

นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย

ขอบคุณค่ะ
 

http://board.palungjit.com/f179/เ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:33:36 am
เรื่องของสำเนาบัตรประชาชน


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=137923&d=1168995642)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2010, 10:54:36 am
สมาคมค้าทองคำเตือนระวังมิจฉาชีพหลอกซื้อขายเก็งกำไรทองคำ !

Matichon Online:

รายงานข่าวจากสมาคมค้าทองคำแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.53 ที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับแจ้งจากผู้ซื้อขายเก็งกำไรทองท่านหนึ่งว่า เมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษ ของวันที่ 3 พ.ค.53 มีผู้หญิงท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาแล้วแจ้งว่าโทรมาจากสมาคมค้าทองคำ และต้องการติดต่อกับผู้เล่นทองคำดังกล่าว จึงทำให้ผู้รับสายปลายทางไม่เชื่อว่าเป็นความจริงเนื่องจากว่าเป็นเวลาดึกมาก ทางสมาคมฯ คงไม่น่าจะโทรไปเช่นนี้ น่าจะเป็นพวกกลุ่มมิจฉาชีพ จนทำให้มิจฉาชีพดังกล่าวเริ่มไหวตัวทันและวางสายไป



รุ่งขึ้นในตอนเช้า ทางผู้เสียหายจึงได้โทรมาสอบถามกับทางสมาคมฯ ให้แน่ใจว่าไม่ได้โทรไปหา ซึ่งทางสมาคมฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่โทรไปแน่นอน และทราบว่ามิจฉาชีพได้ใช้เบอร์มือถือ 0863077594 และ 022376955 ในการโทรหาผู้เสียหาย ทางสมาคมฯ จึงได้ตรวจสอบไปยังเบอร์โทร 022376955 ที่โชว์บนมือถือผู้เสียหาย ปรากฎว่าเป็นเบอร์แฟกซ์ของบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างบริษัทหนึ่งในย่านบางรัก ซึ่งจากการได้พูดคุยทางบริษัทฯ แจ้งว่าช่วงเวลากลางคืนเป็นเวลาปิดทำการ และบริษัทปิดล็อก ไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้ แต่จะตรวจสอบอีกครั้งกับทางtot สำหรับเบอร์มือถือที่โชว์นั้น ทางสมาคมฯ ได้ตรวจสอบ และลองโทรไปปรากฎว่ามีผู้หญิงรับสาย แล้วพอเห็นท่าไม่ดีก็แกล้งทำเป็น ฮาโหลๆ ๆ ไม่ได้ยินแล้ววางสายไป โทรกลับไปอีกครั้งก็ไม่ยอมรับสายและปิดเครื่องทันที



สมาคมค้าทองคำขอแจ้งยืนยันว่า สมาคมฯ ไม่มีการซื้อขายทองใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่อ้างว่าโทรจากสมาคมเพื่อเชิญชวนให้ซื้อขายถือเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน และทางสมาคมฯ จะดำเนินการอย่างถึงที่สุดกับผู้แอบอ้าง หากท่านได้รับการติดต่อเช่นนี้ กรุณาสอบถามชื่อ และจดข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดไว้ และโทรแจ้งหรือสอบถาม สมาคมฯ ทันที ที่026232301-3 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม

Matichon Online: ˹ѧ
 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273574296&grpid=&catid=05)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: กระตุกหางแมว ที่ สิงหาคม 04, 2010, 02:07:01 pm
เรื่องเงินๆทองๆนี่มาอันดับต้นๆเลยแหะๆ
ทุกวันนี้ก็ยังเห็นอยู่เรื่อยๆ..

ขอบคุณมากครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 04, 2010, 09:46:00 pm
 :45: ขอบคุณมากครับพี่หนุ่ม มีประโยชน์มากมายมหาศาลครับพี่ อนุโมทนาด้วยนะครับผม
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 09:02:51 am
มาแนะนำ เรื่องของ "คอลล์เซ็นเตอร์" ที่โด่งดังกันในขณะนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1076428&d=1280974290)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 05, 2010, 10:40:01 am


 :13:  :45:  :13:

              :43:     
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: คนชล ที่ สิงหาคม 12, 2010, 07:41:22 pm
โจรมันทันสมัยกับยุคคอมพิวเตอร์จริงๆ  :16: มันพัฒนากันเร็วมากๆ  :14: ระวังๆๆๆๆๆ ตัวไว้คร๊าบบบ :17:
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 13, 2010, 08:55:47 am
 มาแล้ว Phishing web ธนาคารกรุงเทพ ระวังให้ดี

PaLungJit.com > ทั่ว ไป > จักรวาล คู่ขนาน

http://board.palungjit.com/f6/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-phishing-web-%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B5-82396.html


date 20-6-2007



.



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 22, 2010, 12:47:57 pm
การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย

การ กำหนดราคาทองของไทยนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยมีคณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมคอยดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยยึดถือหลักประชาธิปไตยในการกำหนดราคาทองคำ ถือเสียงส่วนมาก 3 ใน 5 เสียงในการตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยคณะกรรมการจาก

1.ห้างทองจินฮั้วเฮง

2.ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง

3.ห้างทองเลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์

4.ห้างทองหลูชั้งฮวด

5.ห้างทองแต้จิบฮุย

ซึ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม สำหรับในการกำหนดราคาทองของสมาคม จะอ้างอิงจากราคา Gold Spot บวกหรือลบค่า premium จาก ผู้ค้าทองในต่างประเทศ ( ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเป็นสภาวะการนำเข้า หรือการส่งออก ) แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาท จากนั้น จะทำการแปลงหน่วยน้ำหนักจากหน่วย ounze ให้เป็นหน่วยน้ำหนักของไทย คือ บาท โดยการตัดสินใจประกาศราคาทองในประเทศแต่ละครั้งนั้น ทางสมาคมจะต้องพิจาราณาองค์ประกอบของ Demand และ Supply ทองคำภายในประเทศเป็นสำคัญด้วย

สำหรับตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดราคาทองของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการดังนี้

1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot)

2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )

3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ

1. ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot)

เป็น ราคาอ้างอิงทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งยังไม่ได้มีการบวก หรือลบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการส่งมอบทองคำ เป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่มีการส่งมอบ ซึ่งหากท่านพิจารณาดูราคา Gold spot จะเห็นว่ามีทั้งฝั่ง Bid และ Ask ซึ่งก็คือราคารับซื้อ และราคาขายออกนั้นเอง ในการซื้อทองคำจากต่างประเทศนั้น ผู้ขายจะใช้ราคา Ask ในการคำนวณ ส่วนเมื่อเราขายกลับไปยังผู้ค้าทองคำต่างประเทศ จะใช้ราคา Bid ใน การคำนวณ ดังนั้นทางสมาคมเองก็เช่นกัน ในการกำหนดราคาทองภายในประเทศก็ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ว่าสภาวะตลาดทองคำภายในประเทศเป็นเช่นไร เช่นมีความต้องการซื้อทองคำอย่างมากก็ต้องนำเข้าทองคำ หรือหากมีความต้องการขายทองคำจำนวนมากก็ต้องส่งออกเป็นต้น

2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )

เมื่อ มีความต้องการซื้อทองคำจำนวนมากจากผู้สนใจลงทุนในทองคำ และปริมาณทองคำภายในประเทศมีไม่เพียงพอ ร้านค้าทองจึงจำเป็นต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือการซื้อจากผู้นำเข้า ซึ่งผู้นำเข้าก็ต้องซื้อต่ออีกทอดหนึ่งจากผู้ค้าในต่างประเทศ โดยจะมีการคิดค่า Premium

ค่า Premium ก็ คือค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่นำเข้า หรือส่งออกทองคำ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าความเสี่ยง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าประกันภัยต่างๆ ซึ่งถูกกำหนดมาโดยผู้ค้าทองในต่างประเทศ ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามาขายผู้ บริโภคในไทยนั้นเอง โดยในการคำนวนจะนำราคา Spot บวกค่า Premium ดัง กล่าวนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อมีประชาชนมาขายทองคำแท่ง คืนให้กับร้านทองจำนวนมากๆ ร้านทองจำเป็นต้องทำการขายกลับคืนมาให้กับบริษัทผู้นำเข้า และผู้นำเข้าก็จะทำการขายคืนกลับไปให้กับผู้ค้าทองในต่างประเทศอีกทอดนึง ซึ่งในจุดนี้ต่างประเทศจะใช้ราคา Spot ฝั่ง BID และหักลบค่าใช้จ่าย Premium ซึ่งในฝั่งขายออกนี้จะเรียกว่า Discount สำหรับสภาวะปกติค่า premium หรือ discount จะอยู่ที่ +1 ถึง 2 เหรียญ ต่อออนซ์ แต่ในสภาวะวิกฤตดังเช่นปัจจุบัน จากการที่ราคาทองคำในต่างประเทศลดลงอย่างมาก และรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากทุกประเทศในโลกพร้อมๆกัน ทำให้มี Demand ในโลกมาก เกิดการแย่งซื้อ ส่งผลให้มีการปรับขึ้นลงค่า premium และ discount จากผู้ค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ช่วง +10 ถึง 20 เหรียญต่อออนซ์ และในบางครั้งสูงถึง +25 เหรียญต่อออนซ์ด้วย อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน

3. ค่าเงินบาทต่อดอลล่าสหรัฐ

ค่า เงินบาทในการคำนวณราคาทองในประเทศ จะใช้อัตราการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน gold spot และมีการใช้ราคาในฝั่ง Bid และ Ask เช่นเดียวกัน สำหรับในสภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินเช่นปัจจุบัน แต่ละธนาคารก็จะบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วยเช่นกัน

4. Demand และ Supply ภายในประเทศ

คณะ กรรมการควบคุมราคาทองของสมาคม นอกจากจะพิจารณาราคา Gold Spot / ค่า Premium และค่าเงินบาท ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัย Demand / Supply ภายในประเทศด้วยเป็นหลัก เพื่อที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ โดยคณะกรรมการกำหนดราคาทั้ง 5 ท่าน จะพิจารณาจากปริมาณ และราคาจากการซื้อขายระหว่าง

4.1 ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกทองคำ

4.2 ร้านค้าทองเยาวราช

4.3 ร้านค้าส่งทองคำ

4.4 ร้านค้าปลีกทองคำ

4.5 ผู้ลงทุนทองคำรายใหญ่

4.6 ผู้ลงทุนทองคำรายย่อย

กล่าว คือ มิใช่ว่าร้านทองจะซื้อขายกับประชาชนผู้สนใจลงทุนในทองคำเพียงฝ่ายเดียว ตามที่ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกภาคส่วนล้วนมีการซื้อและขายทองคำด้วยกันเองตลอดเวลาด้วย และการซื้อขายของร้านค้าทองด้วยกันเองนั้นจะมีปริมาณที่มากกว่าการซื้อขาย กับผู้ลงทุนทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาคมประกาศราคาทองคำสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงจาก ตลาดต่างประเทศมากไป ร้านทองด้วยกันเองจะมีการวิ่งเข้าหาซื้อ หรือเทขายกันเอง ส่งผลให้สมาคมต้องปรับราคาให้เหมาะสมในที่สุด เพื่อสะท้อนถึงความต้องการทองคำของตลาดตามความเป็นจริง ตามกฎของ Demand / Supply กลไก ของตลาดดำเนินการไปด้วยตัวของมันเอง เช่น หากราคาทองของสมาคมประกาศต่ำกว่าตลาดโลกมาก ก็จะมีกลุ่มผู้ตระเวนซื้อทองรูปพรรณเก่าตามร้านทองทั่วประเทศ และขายทองให้ผู้ส่งออกต่างประเทศได้ส่วนต่างผลกำไรโดยตรง โดยไม่ผ่านร้านทองทำให้ร้านทองเสียรายได้ส่วนนี้ไปอย่างเห็นได้ชัด หรือหากมีการกำหนดราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ก็จะมีผู้นำเข้าทองนำทองมาขายให้ร้านทองโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากได้กำไรจากส่วนต่างที่มากนั้นจูงใจ

ดังนั้น การที่ผู้สนใจลงทุนในทองคำดูราคา Gold spot จาก Website ต่าง ประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ ก็จะได้ราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงในการซื้อขายที่มีการส่งมอบทองจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นในปัจจุบัน (ทองคำ แท่งขาดตลาดทั่วโลก) ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นว่าตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง

http://www.goldtraders.or.th/topic.php?id=39
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 22, 2010, 11:05:36 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 23, 2010, 10:36:10 pm
เรื่องต้องรู้ ก่อนเข้าสมรภูมิทองคำ                           


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
เรื่อง : สรวิศ อิ่มบำรุง

“ทองคำ” ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือก ที่นักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ รวมทั้งนักลงทุนไทยในปัจจุบัน

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แต่การจะลงทุนในทองคำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจจะพาให้เจ็บตัวได้เช่นเดียวกัน

ในสภาวะที่ทองคำ ได้กลับมาอยู่ในโฟกัสของถนนสายการลงทุนอีกรอบ อย่างน้อยถ้าเล็งเป้าเข้าไปลงทุนในทองคำ มีเรื่องอะไรบ้างที่นักลงทุนควรรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการลงทุนของตัวเอง

การลงทุนในทองคำมีเรื่องอะไรที่นักลงทุนควรจะรู้บ้าง เราลองมาฟังคำแนะนำจากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญกับการลงทุนในทองคำแนะนำกัน


รู้จักรูปแบบและต้นทุนการลงทุน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์" ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำว่า นักลงทุนควรจะต้องรู้จักรูปแบบการลงทุนในทองคำว่ามีอะไรบ้าง ทองคำแท่ง 99.99% ทองคำแท่ง 96.5% ทองรูปพรรณ กองทุนรวม หรือตั๋วสัญญา ซึ่งการลงทุนแต่ละรูปแบบจะมีต้นทุนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากจะมองในแง่ของการลงทุนแล้วทองรูปพรรณอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะมีต้นทุนค่ากำเน็จ ทำให้แพงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น

ในขณะที่การลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการลงทุนมากกว่า

“ในแง่ของต้นทุนการลงทุนในทองคำกองทุนรวมถือว่าค่อนข้างถูกกว่าการลงทุนใน รูปแบบอื่นๆ แม้ทองคำแท่งจะมีส่วนต่างของการซื้อเข้าขายออกประมาณ 100 บาท ก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่ทองคำแท่งขนาดมาตรฐานในบางครั้งก็จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม เข้าไปอีกต่างหาก ตรงนี้ผู้ลงทุนก็ต้องพิจารณาประกอบการลงทุนด้วยในเรื่องของต้นทุน”


รู้จักปัจจัยที่กระทบราคาทองคำ

นอกจากผู้ลงทุนควรจะรู้จักรูปแบบของการลงทุนในทองคำแล้ว ยังควรจะรู้จักปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำด้วย

- ค่าเงินดอลลาร์ โดย “โชติกา สวนานนท์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทยบอกว่า ราคาทองจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะทองคำซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อไรที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มค่าขึ้น ราคาทองจะปรับตัวลดลง

ดังจะเห็นได้จากราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา (สิ้นปี 2550-11 พ.ย.2551) ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 13.36% ในขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลงไปประมาณ 12.16% และในปี 2007 ที่ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมา 30.94% นั้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงไป 8.41%

“เป็นเรื่องยากที่จะวัดว่าค่าของทองควรจะอยู่ที่เท่าไร อยู่ที่คนให้ค่า แต่เมื่อคนมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงราคาทองจึงวิ่งขึ้นมา อยู่ที่มุมมองของคนที่มีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย”

- ดีมานด์ซัพพลาย ดร.วิน บอกว่า ในแง่ของดีมานด์และซัพพลายในตลาดโลกจะมีอยู่ 2 มิติ คือ มิติที่ 1 เป็นความต้องการบริโภคทองคำจริงๆ ในยามที่เศรษฐกิจโลกดี คนจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณความต้องการบริโภคทองคำมากขึ้น ในขณะที่ยามที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของคนจะลดน้อยลงไป ความต้องการบริโภคทองคำก็จะลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

และในมิติที่ 2 เป็นความต้องการบริโภคทองคำในแง่ของการลงทุน ซึ่งดูจะตรงข้ามกับมุมมองแรก คือ ในยามที่เศรษฐกิจแย่ คนมีแนวโน้มจะหันมาถือครองทองคำมากขึ้นในฐานะที่ทองคำมีคุณลักษณะของ สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง แต่ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็จะถือครองทองคำลดลง

"จะเห็นว่าราคาทองคำในมิติที่ 2 นี้ จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าออกในตลาดทองคำในลักษณะของ การลงทุน ต่างจากมุมมองในมิติแรกที่เป็นความต้องการใช้จริงๆ ของโลก ส่วนซัพพลายของทองในตลาดโลกค่อนข้างที่จะตึงตัว อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำไม่ควรจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่มีการประเมินกันว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ดังนั้น ราคาทองคำที่ระดับนี้จึงเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำ”

- เงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี (Inflation Hedge) ในยามที่อัตราเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น และในยามที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังจะมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้นในช่วงที่มีภาวะสงครามเกิดขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ผู้ลงทุน ควรจะต้องรู้


เป็นนักลงทุนสไตล์ไหน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร" ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่าผู้ลงทุนในทองคำ ควรจะค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนเป็น "นักลงทุนระยะยาว (Investor)" หรือ "นักลงทุนแบบซื้อมาขายไป (Trader)" ถ้าเป็นนักลงทุนแล้วปัจจุบันยังไม่มีทองคำในพอร์ตที่ราคาทองคำบาทละ 12,400-12,500 บาท สามารถที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนได้เป็นลักษณะซื้อเก็บไป

ส่วนตัวเองก็ซื้อเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ได้ขายอะไร เป็นส่วนที่คงจะส่งมอบความมั่งคั่งให้กับลูกหลานต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเป็นนักลงทุนควรจะซื้อแล้วถือยาว 6 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยมาดุว่าตอนนั้นราคาทองคำเป็นอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจ ขายก็ได้

แต่ถ้าเป็นเทรดเดอร์ซื้อมาขายไป ราคาทองคำขึ้นมาบาทละ 300-400 บาท กำไร 2-3% ก็ต้องขายทิ้งแล้วค่อยมารับกลับไปใหม่ที่ราคาต่ำกว่าเดิมในลักษณะของการเล่น รอบ ถ้าทำได้แบบนี้ทุกเดือนคุณจะมีกำไร 24-36% ดีกว่าผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3-4% ค่อนข้างมากทีเดียว

"ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ลงทุนโดยตรงในทองคำคงจะเหมาะกับผู้ ที่มีความรู้ ชอบศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล มีเวลาที่จะติดตามภาวะตลาด สามารถที่จะดูแลการลงทุนด้วยตัวเองได้ แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจจะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาที่จะติดตามการลงทุน มากนัก การซื้อขายก็ง่ายสะดวกคล่องตัวกว่าด้วย"


ใช้เงินเย็นลงยาว-ไม่ควรกู้มาลงทุน

โดย "จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี" นายกสมาคมค้าทองคำ แนะนำว่า การลงทุนในทองคำควรจะเป็นการลงทุนระยะยาวและใช้เงินเย็นลงทุน ไม่ควรจะกู้เงินมาลงทุน เพราะถึงจะมีกำไรก็ไม่คุ้มกัน แต่ถ้าเป็นเงินเย็นเมื่อนำมาลงทุนในกรณีที่ผิดพลาดขึ้นมาก็ยังมีทองคำอยู่ใน มือเก็บเอาไว้ได้ ไม่เป็นศูนย์แน่นอน

โดยถ้ามองในแง่ของการลงทุนควรจะเป็นการลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้งทอง 99.99% และ 96.5% เพราะไม่มีความแตกต่างกันลงทุนได้ทั้งคู่ เพราะเนื้อทองคำได้สะท้อนอยู่ในราคาแล้วทำให้ราคาทองคำ 96.5% ซึ่งเป็นทองคำมาตรฐานของไทยมีราคาที่ถูกกว่าทองคำ 99.99% ดังนั้นจะลงทุนทองคำ 99.99% หรือ 96.5% ก็ไม่ต่างกัน และควรจะแบ่งเงินมาลงทุนในทองคำประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมเท่านั้น

“แต่ในแง่ของจำนวนในการซื้อลงทุน ทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักมาตรฐานที่ลงทุนกันจะมีน้ำหนัก 1 ก.ก. ขึ้นไป หรือคิดเป็นน้ำหนักทองไทยประมาณ 65.6 บาท ส่วนทองคำแท่ง 96.5% จะลงทุนตั้งแต่ 10 บาท ขึ้นไป”


การลงทุนทางเลือกในพอร์ต

โชติกา บอกว่า ทองเป็นหนึ่งในประเภททรัพย์สิน (Aseet Class) ที่สำคัญที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนแต่ไม่ควรจะเยอะ อยู่ในส่วนที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) ส่วนการลงทุนพื้นฐานทั่วไปที่มีอยู่ในพอร์ตก็จะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ ส่วนทางเลือกการลงทุนอื่นก็จะเป็นทอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งไม่ควรจะเป็น 50% ของพอร์ต เพราะไม่ใช่หุ้นหรือตราสารหนี้ที่จะมาจัดสรรเงินทุนในลักษณะนั้น

ทองควรจะมี 5-10% ในพอร์ต แต่จะมีเท่าไรขึ้นกับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ ถ้าชอบทองมากๆ อาจจะ 15% ของพอร์ตก็ได้ แต่เป็นสินทรัพย์ที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตเพราะมีความสัมพันธ์กับหุ้นและตราสาร หนี้น้อยคือมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่ต่ำ

“นอกจากนี้ ทองยังมีดีมานด์ซัพพลายของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ทองยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีค่าในตัวเองโดยไม่ต้องมีดี มานด์ซัพพลายจึงเป็นสินทรัพย์ที่ดีมากเพราะเป็นของที่มีค่าเป็นแร่ธาตุที่มี ค่า เพราะฉะนั้นทองจึงมีค่าในตัวเอง ไม่ใช่ดิน หรือทองแดงที่อาจจะมีประโยชน์ทางอุตสาหกรรมที่จะต้องไปดูดีมานด์ซัพพลาย แต่ทองเป็นแร่ธาตุที่มีค่าเหมือนเพชร จึงเป็นสินทรัพย์ที่ควรจะให้ความสนใจแต่ไม่ควรจะมากเกินไปเท่าไร”


ความสะดวกสบายในการลงทุน

โชติกามองว่า สำหรับการลงทุนนั้น ความสะดวกสบายก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนตัวถ้าอยากซื้อทองจะไม่ไปเยาวราช เพื่อซื้อทองถ้ามองเป็นเรื่องลงทุน อาจจะไปซื้อแต่เวลาขายขึ้นมา เอาทองไปขายก็ไม่สะดวก แต่ขายทองผ่านกองทุนทำได้ง่ายเหมือนขายหุ้น

สมมติซื้อไว้ 10 บาท ขึ้นมาเป็น 13 บาท จะขายเอากำไรออกมา สามารถทำได้ทำที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนั่งรถไปที่ร้านทอง ในมุมนี้การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมน่าจะตอบโจทย์นักลงทุนได้ดีกว่าไม่ว่า จะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนในลักษณะเก็งกำไรก็ตาม

“ทุกอย่างในการลงทุนผู้ลงทุนควรจะต้องพิจารณาในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้ จ่ายในการลงทุน ซื้อกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีความสะดวกในการซื้อขาย สามารถที่จะซื้อขายได้ทันทีเหมือนหุ้น”

เช่นเดียวกับ ดร.วิน ที่มองว่า การพิจารณาในเรื่องของความสะดวกในการซื้อขายเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน ทองคำของบางร้านเขาซื้อเฉพาะทองคำร้านตัวเองเท่านั้น ถ้าซื้อทองคำจากต่างจังหวัดจะมาขายที่ร้านทองในเยาวราช บางครั้งเขาก็ไม่รับซื้อ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องคิดถึงด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนทองเยาวราชไปขายที่ไหนก็คงจะมีคนซื้อ แต่ราคาที่ได้ก็คงจะไม่ได้เต็มราคาแน่นอน เพราะร้านที่รับซื้อเขาก็ต้องคิดถึงกำไรที่จะได้รับเช่นเดียวกัน

"อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมค่อนข้างสะดวกสบาย ราคารับซื้อและขายคืนก็มีชัดเจนแน่นอน เหมือนกันทั่วประเทศ ซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จึงน่าจะเป็นรูปแบบการลงทุนในทองคำที่เหมาะกับการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง”

6 เรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนในทองคำ อาจจะพอเป็นไกด์ไลน์การลงทุน ก่อนกระโจนเข้าสมรภูมิทองคำ                                 

--------------------------------

การลงทุนคือการเสี่ยง การวิเคราะห์ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สภาพการเก็งกำไรทองคำมีความผันผวนสูง โปรดใช้ข้อมูลและวิจารณญาณของตนเองในการตัดสินใจ

Goldhips Board :: ��ҹ - ����ͧ��ͧ��� ��͹���������Էͧ��
.

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=930

.



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 23, 2010, 10:45:37 pm
รายละเอียดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

ที่มา : TFEX

ลักษณะของสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

Gold Futures เปิดซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 โดยมีลักษณะของสัญญาสรุปได้ดังนี้

+ สินค้าอ้างอิง
ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5%

+ ขนาดของสัญญา
1 สัญญามีขนาดเท่ากับ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท
หรือ 762.2 กรัม (ทองคำน้ำหนัก 1 บาท = 15.244 กรัม)

+ เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
เดือนคู่ (กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน สิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม) ใกล้ที่สุด 3 ลำดับ

+ ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำ
10 บาท ต่อ 1 สัญญา

+ ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน
ไม่เกิน + 20 % ของราคาที่ใช้ชำระราคาในวันทำการก่อนหน้า

+ เวลาซื้อขาย
Pre-open: 9.15 - 9.45
Morning session: 9.45 - 12.30
Pre-open: 14.00 - 14.30
Afternoon session: 14.30 - 16.55

+ การจำกัดฐานะ
ตลาดอนุพันธ์อาจประกาศกำหนดจำนวนการถือครองสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงสุดได้ตามที่เห็นสมควร

+ วันซื้อขายวันสุดท้าย
วันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ โดยในวันนั้น สัญญาที่จะหมดอายุจะซื้อขายได้ถึงเวลา 16.30 น.

+ ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายวันสุดท้าย
ใช้ราคา London Gold AM Fixing เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณ Final Settlement Price โดยการคำนวณจะปรับอัตราแลกเปลี่ยน น้ำหนักและความบริสุทธิ์ของทองคำตามสูตรการคำนวณ ดังนี้

อ้างอิงจาก:
ราคาต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท =
London Gold AM Fixing x (15.244/31.1035) x (0.965/0.995) x (THB/USD)

อ้างอิงจาก:
โดยที่

- London Gold AM Fixing เป็นราคาต่อ 1 troy ounce ของทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากับ 31.1035 กรัม โดยสามารถตรวจสอบราคาได้จาก http://www.lbma.org.uk/stats/goldfixg

- ทองคำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

- 0.965 คือ ตัวแปรที่ใช้ปรับค่าความบริสุทธิ์ของทองคำให้เป็น 96.5%

- อัตราแลกเปลี่ยน (THB/USD) เป็นอัตรา Thai Baht PM Fixing โดยคำนวณมาจากค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ ในชมรม ACI Thailand โดยสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้จาก Reuters หน้า <THBFIXP=> และตลาดอนุพันธ์ก็จะมีการประกาศอัตราที่ใช้คำนวณเหล่านี้ทุก ๆ วันซื้อขายวันสุดท้ายของ Gold Futures ใน เว็บไซต์ TFEX อีกด้วย


+ วิธีการส่งมอบ / ชำระราคา
ชำระราคาเป็นเงินสด

+ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและชำระราคา
ไม่เกินกว่า 50 บาท ต่อสัญญา โดยเรียกเก็บจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

+ ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขาย
ตลาดอนุพันธ์ไม่มีข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมนายหน้าการซื้อขาย อัตราค่าธรรมเนียมสามารถต่อรองได้เสรี

การลงทุนคือการเสี่ยง การวิเคราะห์ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สภาพการเก็งกำไรทองคำมีความผันผวนสูง โปรดใช้ข้อมูลและวิจารณญาณของตนเองในการตัดสินใจ

http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1174


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2010, 06:07:43 am
อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 สิงหาคม 2553 23:29 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000012462301.JPEG)

จากเศรษฐกิจในยุโรปที่ยังคงกดดันความเชื่อมั่นอยู่ในขณะนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายยังคงมองว่า ความต้องการซื้อทองคำมีมากขึ้น เพื่อป้องกันการลดค่าของสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของการลงทุนทองคำและกองทุนทองคำอยู่ที่ 9% และมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในครึ่งปีหลัง จึงสามารถลงทุนติดไว้ในพอร์ตประมาณ 5 -10%
       
       วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด บอกว่า   ราคาทองคำในระยะสั้น ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวได้อีกเนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่
       
       1. Investment demand ลดลงไป เนื่องจากความกังวลต่อเสถียรภาพค่าเงินยูโรลดลง รวมถึงเงินเฟ้อยังไม่ใช่ประเด็นในปีนี้เนื่องจากทั้งยุโรปและสหรัฐยังมีเงิน เฟ้อในระดับต่ำมาก ขณะที่นักลงทุนโยกเงินเข้าสู่ risky assets เช่นหุ้น มากขึ้น เพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดี และเศรษฐกิจยุโรปยังมีการฟื้นตัวแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ
       
       2. Physical demand ลดลง (ความต้องการทองคำไปเป็นเครื่องประดับหรือไปผลิตเป็นส่วนประกอบสินค้าอื่นๆ) เพราะเป็นช่วง Low season ของทุกปี โดยเฉพาะความต้องการทองคำจากอินเดียซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของ Physical demand ทั้งหมด
       
        และ 3. การที่ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือระดับ $1,200/oz. ซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญได้ ยิ่งทำให้เกิดแรงขายจากนักเก็งกำไรมากยิ่งขึ้น
       
       นายกสมาคม บลจ. บอกต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาทองคำน่าจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจาก มีเทศกาลต้องการทองคำที่อินเดียจะเริ่มขึ้นในไตรมาส 4 จึงจะมีความต้องการทองคำ (Physical demand) เพิ่มตามมา รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐที่เปราะบางยังคงเป็นความเสี่ยงที่ช่วยให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาบ้าง แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มากเหมือนกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และผลการสำรวจความต้องการลงทุนในทองคำล่าสุดของบริษัท Ipsos พบว่านักลงทุนในเอเชียมีแนว โน้มที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามากกว่านักลงทุนจากทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเหนือ
       
       โดยมีความต้องการที่จะถือทองคำเพื่อลงทุนและเพื่อเก็งกำไรในสัดส่วน ใกล้เคียงกัน ซึ่งความต้องการทองคำจากทวีปเอเชียจะมาจาก อินเดีย อินโดนีเซีย และ จีน เป็นหลัก เนื่องจากจะมีเทศกาลสำคัญๆ ที่จะเพิ่มความต้องการทองคำจำนวนมากในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมีเพียง 10% ของกลุ่มสำรวจที่ได้ซื้อทองคำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จึงยังมีโอกาสอีกมากที่พวกเขาจะลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะเมื่อราคาทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาสูงสุดในอดีตที่ได้ปรับ อัตราเงินเฟ้อแล้วซึ่งจะอยู่ที่ระดับ $2,300/oz.
       
       สำหรับในปีหน้า คาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปน่าจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการที่ Ben Bernanke ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในภาวะไม่แน่ไม่นอน แสดงว่าความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อ ดังนั้น ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment demand) ในอนาคตก็ยังคงมีอยู่ จึงคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำว่าจะยังคงเป็นขาขึ้นต่อในระยะยาว อย่างไรก็ตามจึงอยากให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนไปในทองคำบ้าง จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนโดยรวมของพอร์ตการลง ทุน
       
       ด้าน วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลัก ทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี(ไทย) จำกัด ยังแนะนำนักลงทุนว่า นักลงทุนควรทยอยลงทุนในทองคำและควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ดี และสามารถใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในหุ้นได้ดีเพราะมีความ สัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างต่ำ การลงทุนในทองคำจึงตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี
       
       ขณะเดียวกันมองว่าระดับราคาทอง ณ ปัจจุบันยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก แม้ราคาในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนลังเลที่จะ เข้าลงทุน แต่ทางบริษัทและนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งมองว่าราคาทองคำยังไม่แพงเกินไปและมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก ด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศกลับมาถือทองคำมากขึ้น กระแสเงินลงทุนจากกองทุน Gold ETF ต่างๆ (ETF Inflows)ที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง แต่ซัพพลายมีจำกัดและมีต้นทุนการผลิตสูง รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯและประเทศพัฒนาแล้ว
       
       "คาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ดอยช์แบงก์ คาดการณ์ว่าราคาทองเมื่อจบไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ 1,275 เหรียญสหรัฐ และจบสิ้นปีอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1,245 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าราคาเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,450 เหรียญสหรัฐ"
       
       ขณะที่ กิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า การ ที่รัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเศรษฐกิจเอเชียที่ฟื้นตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้ยังมีความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) และยังคงความเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe Haven)
       
       "เราคาดว่าในปีนี้ราคาทองคำน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,250-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่บริเวณ 18,700-19,500 บาท และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส4 โดยเป็นการปรับขึ้นเทียบจากสิ้นปี 2552 ราว 18%นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากการเข้าสะสมทองคำหรือถือสถานะ Long โกลด์ฟิวเจอร์ส ในจังหวะอ่อนค่าหรือพักฐานที่มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1,100-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่บริเวณ 16,500-17,200 บาท"

http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9530000117448

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2010, 11:36:06 am
ในกรณีของการลงทุน

ต้องศึกษาข้อมูลต่างๆให้ถี่ถ้วนก่อน 

มีคำพูดอยู่ประโยคนึงที่ว่า  การลงทุนอะไรก็ตาม ผลตอบแทนสูง  ความเสี่ยงต้องสูง  แต่การลงทุนอะไรก็ตาม  ผลตอบแทนต่ำ  ความเสี่ยงต้องต่ำเป็นธรรมดา

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 27, 2010, 09:02:26 am

กูรูชี้ราคาทองคำใกล้ขยับขึ้นอีกรอบ ชูจังหวะดีเก็บ"K-GOLD"เข้าพอร์ต
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2553 13:04 น.
 
 
นักวิเคราะห์กองทุนรวม มองราคาทองคำเตรียมปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในระยะสั้นนี้ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปยังไว้ใจไม่ได้ พร้อมเเนะระยะนี้เป็นจังหวะดีเก็บกองทุนเคโกลด์ของบลจ.กสิกรไทยเข้าพอร์ตรอทำกำไรในอนาคต
       
       นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล กล่าวว่า ข่าวร้ายจากต่างประเทศ ยังคงสร้างความกังวลแก่นักลงทุน โดยเฉพาะตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐ ทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนค่อนข้างมากรวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้เรายังคงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้โดยเฉพาะในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและน้ำมัน ทั้งนี้เรายังคงแนะนำลงทุนในกลุ่ม Emerging Market ในระยะยาว
       
       อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย โดยกองทุน SPDR ยังคงถือครองทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงเชื่อว่าราคาทองคำจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯต่ออนซ์ยังคงคำแนะนำสะสมสำหรับกองทุนทองคำโดยอาจเห็นการปรับตัวสร้างฐานในระยะสั้นซึ่งเราคิดว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้าสะสม และกองทุนทองคำที่แนะนำยังคงเป็น K-GOLD ของ บลจ. กสิกรไทย
       
       สำหรับกองทุนจีนอยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้นเราแนะนำให้ Wait and See ก่อนสำหรับในสัปดาห์นี้ การปรับฐานในรอบนี้ยังไม่สิ้นสุดเนื่องจากยังคงมีแรงขายทำกำไรหลังจากการปรับตัวขึ้นในรอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นเรายังคงเชื่อว่า A-share ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่โดยหลังจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวจากมาตรการลดความร้อนแรง แต่ได้ปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและการออกมาตรการใหม่ๆ จะชะลอตัวลง
       
       โดยกองทุนที่แนะนำยังคงเป็นกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ของบลจ. ทหารไทย ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักที่มีนโยบายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี FTSE/Xinhua China A50 Index ที่ประกอบไปด้วยหุ้น A-Share ที่มีสภาพคล่องสูง 50 ตัว จาก A-share ทั้งหมดราว 900 ตัว โดยลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ที่ชื่อว่า China A-share AccessProducts (CAAPs) (กองทุนหลักไม่ได้ลงทุนในหุ้น A-Share โดยตรง) ที่ออกโดยสถาบันการเงิน (CAAP Issuers) ที่เชื่อถือได้ เช่น UBS, Citigroup,Credit Suisse และ HSBC เป็นต้น
       
       นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า การเคลื่อไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมายังเคลื่อนไหวโดยไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาช่วยลดความไม่มั่นใจในภาพการฟื้นตัวที่อ่อนแอของสหรัฐฯ หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกประจำสัปดาห์ออกมาย่ำแย่ โดยเพิ่มขึ้นถึง 12,000 รายมาอยู่ที่ 500,000 รายถือเป็นระดับที่อ่อนเเอที่สุดนับตั้งแต่เดือนพย. 52 และตรงข้ามกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 12,000 ราย
       
       ขณะที่ฝั่งยุโรป แม้การประมูลพันธบัตรรัฐบาลไอร์แลนด์และสเปนจะได้รับการตอบรับที่ดี กรีซผ่านเงื่อนไขของ IMF/EU สำหรับเงินช่วยเหลืองวดถัดไปและเยอรมันปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP growth ปี 2553 มาอยู่ที่ 3.0% จากเดิมที่ 2.0% แต่ดูเหมือนว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับข่าวลบมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐ รวมไปถึงการปรับลดประมาณการณ์ GDP ของฝรั่งเศสจาก 2.5%เหลือ 2.0% ส่วนญี่ปุ่น ดัชนีนิเกอิยังคงปรับตัวอ่อนแอตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินเยนที่อาจกระทบต่อภาคส่งออก
       
       ทั้งนี้ความกังวลเกี่ยวกับภาพเศรษฐกิจกระตุ้นกระแสหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและหนุนให้ราคาทองทรงตัวในระดับสูงได้แม้ DollarIndex ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาราว 0.63% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กองทุน SPDR ยังคงสะสมทองคำเพิ่มต่อเนื่องและถือเพิ่มอีก 12.80 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนน้ำมันได้รับแรงกดดันทั้งจากภาพเศรษฐกิจ และ Dollar Index

http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9530000119029




.



.



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: NATACHAI ที่ กันยายน 03, 2010, 06:09:26 pm
 :46:  :46:  :46:
 :45:  :45:  :45:
อนุโมทนาทุกเรื่องทุกเนื้อหา สาธุ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2010, 12:53:25 pm
ปรับตัวให้ทันเมื่อเงินบาทแข็งค่า


โดย : วิไลลักษณ์ @Momypedia

ช่วง นี้นอกจากเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองที่ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เรายังจะต้องติดตามเรื่องปากท้องกันด้วยค่ะ โดยเฉพาะตอนนี้เรื่องค่าเงินบาทแข็งตัวเป็นเรื่องที่หลายคนกำลังกังวลว่าจะ มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตและการใช้เงินของเราบ้างมั้ย

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เรามาทำความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องเงินบาทแข็งค่ากันซักนิดค่ะ เมื่อ เงินบาทแข็งค่าก็หมายความว่าเราจะใช้เงินบาทไทยน้อยลงเพื่อนำไปซื้อเงิน ดอลล่าร์ เช่น แต่เดิมต้องใช้ถึง 33 บาทเพื่อซื้อ 1 ดอลล่าร์ แต่เมื่อค่าเงินแข็งขึ้น เราก็อาจจะใช้แค่เพียง 30 บาทเพื่อซื้อ 1 ดอลล่าร์

เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกดีใช่มั้ยคะที่เราจ่ายน้อยลงแต่ได้มาก ขึ้น ถ้าจะไปเที่ยวเมืองนอกหรือซื้อของจากต่างประเทศเข้ามามันดีแน่นอนค่ะ แต่ในแง่ของธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยโดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่จะทำกำไรได้ น้อยลง คือขายของออกไปแล้วได้เงินดอลล่าร์กลับมา แต่เมื่อนำไปแลกเป็นเงินบาทกลับได้เงินน้อยลงกว่าที่ควรจะได้ ตอนนี้หลายคนเลยเริ่มกังวลกันแล้วว่าถ้าธุรกิจส่งออกที่เป็นรายได้หลักของ ประเทศเกิดแย่ลงเรื่อยๆ แล้วชาวบ้านอย่างเราๆ ล่ะ จะทำยังไงกันดี

วันนี้เรามีคำแนะนำการใช้เงินในช่วงเงินบาทแข็งค่าจาก คุณอิสริยะ สุวรรณนาคินทร์ พนักงานค้าเงิน ฝ่ายบริหารเงินจาก EXIM BANK มาฝากกันค่ะ

1. เงินบาทแข็งค่าไม่มีผลต่อการออมนะคะ ดังนั้นเรายังสามารถออมเงินได้ตามปกติเหมือนเดิมโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มหรือลดจากเดิมค่ะ


2. ในภาวะเช่นนี้เรายังสามารถจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคได้ตามปกติค่ะ ไม่จำเป็นต้องซื้อของตุนไว้ และข้าวของก็ไม่ได้แพงขึ้นเหมือนภาวะเงินเฟ้อค่ะ


3. ใครที่อยากไปเที่ยวเมืองนอก ช่วงเงินบาทแข็งค่าแบบนี้น่าจะเหมาะที่สุดค่ะ แต่ก็ต้องเช็คแนวโน้มค่าเงินในต่างประเทศให้ดีด้วย และควรแลกเงินไปในปริมาณที่พอเหมาะเพราะถ้าถือเงินตราต่างประเทศกลับมาแลก เป็นเงินบาทเป็นจำนวนมาก อาจจะทำให้เสียโอกาสคือการแลกกลับเป็นเงินบาทได้จำนวนที่น้อยลง


4. สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเงินบาทแข็งค่า ควรจะทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contact)ไว้ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ประกอบการสามารถรับรู้และควบคุมต้นทุนในการทำธุรกรรมได้ ชัดเจน และไม่ต้องสูญเสียรายได้จำนวนมากจากการแข็งค่าของเงินบาท


5. สำหรับคนที่มีเงินดอลล่าร์อยู่ในมือเพราะเคยคิดจะเก็บไว้เก็งราคา ตอนนี้ก็มีสองทางให้เลือกค่ะ หนึ่งคือยอมขายขาดทุนแลกซะตั้งแต่ตอนนี้เลย หรือ สองคือถือรอไว้ให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงค่อยนำมาแลก แต่วิธีที่สองค่อนข้างมีความเสี่ยงค่ะ เพราะ 1 ปีที่ผ่านมาบาทแข็งค่ามาแล้ว 9% ซึ่งอาจจะขาดทุนมากกว่าเดิม แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลวินิจของแต่ละบุคคลค่ะ

จริงๆ แล้วถ้าพูดถึงผลกระทบต่อคนทำงานทั่วไปอย่างเราก็อาจจะเห็นได้ไม่ชัดเจนมาก เท่าผู้ที่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก แต่ยังไงก็ตามการช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกัน อยู่เหมือนเดิมค่ะ อะไรซื้อได้หาได้ในบ้านเราก็ช่วยกันอุดหนุนให้เยอะๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือต้องรู้จักบริหารเงินให้ดี เพราะถึงภาวะเงินบาทแข็งค่าจะไม่กระทบเราเท่าไหร่จนเราใช้เงินเพลินแบบลืม เก็บหรือไม่ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ เราอาจจะเจอปัญหาที่เกิดจากตัวเอง ไม่ใช่จากระบบค่าเงินก็ได้นะคะ

 

จาก : เว็บไซต์


http://www.momypedia.com/knowledge/for_mom/detail.aspx?no=30057&title=%BB%C3%D1%BA%B5%D1%C7%E3%CB%E9%B7%D1%B9%E0%C1%D7%E8%CD%A4%E8%D2%E0%A7%D4%B9%BA%D2%B7%E1%A2%E7%A7%A4%E8%D2
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2010, 08:22:52 pm
ชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ /อ้วน อารีวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 ตุลาคม 2553 10:45 น.

jatung_32@yahoo.com

   
       ในปัจจุบันนี้ มีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย เพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก อันมีสาเหตุหลักจากการเป็นลูกหนี้และเป็นผู้ค้ำประกันนั้นเอง
       
       ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในช่วงปี 2548 - มิ.ย.2553 ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสูงถึง 57,838 คดี และที่เป็นบุคคลธรรมดาถูกฟ้องจนศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็มีจำนวนสูงมากถึง 117,085 ราย ซึ่งต่อมาศาลล้มละลายมีคำพิพากษาให้บุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคลล้มละลายถึง 39,356 ราย และนับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี
       
       และกล่าวได้ว่าปี 2554 ที่จะถึงนี้ จะเป็นปีมหกรรมคนล้มละลายแห่งชาติก็ว่าได้ อันเป็นผลมาจากสาเหตุเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อช่วงปี 2540 ทำให้มีบุคคลจำนวนใหญ่ถูกฟ้องศาลเพื่อขอให้บังคับชำระหนี้ในช่วงปี 2543-2544 ซึ่งจะครบกำหนดการบังคับชำระหนี้ภายใน 10 ปี หรือก็คือในปีหน้านี้เอง
       
       โดยเฉพาะข้า ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักเป็นผู้ค้ำประกันที่ดีมาก เนื่องจากตนเองจะเป็นทั้งผู้กู้และเป็นผู้ค้ำประกันให้กับเพื่อนร่วมงานที่ ต้องการจะกู้เช่นเดียวกับตนเอง จึงมีลักษณะเป็นสามเส้า คือ หากตนเองจะกู้เงิน ก็ต้องหาเพื่อนร่วมงานอีกสองคนมาช่วยกันค้ำประกัน และเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนก็ต้องการกู้และหาคนช่วยค้ำประกันให้ตนเองเช่น เดียวกัน ส่งผลให้เป็นทั้งลูกหนี้พร้อมกับเป็นผู้ค้ำประกันให้เพื่อนร่วมงานอีกสองคน ไปโดยปริยาย
       
       ปัญหาคือ เมื่อผู้กู้คนใดคนหนึ่งเจอปัญหาวิกฤตทางการเงินก็ย่อมมีโอกาสส่งผลกระทบต่อ ผู้ค้ำประกันคนอื่นได้เช่นกัน อีกทั้งโดยส่วนใหญ่มักจะกู้เงินในจำนวนที่ค่อนข้างสูง เมื่อทรัพย์สินที่ใช้เป็นประกันถูกขายทอดตลาดแล้วแต่ไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ย่อมมาจัดการทวงถามกับผู้ค้ำประกันอีกต่อหนึ่ง ส่งผลให้มีการยึดหลักทรัพย์เช่นบ้านที่ผู้ค้ำประกันฯ กำลังผ่อนส่งอยู่ขายทอดตลาด และหากมียอดหนี้สินขาดอีกหนึ่งล้านบาท ก็จะถูกฟ้องล้มละลายได้ทันที เพื่อตัดหนี้สูญของธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้
       
       กลุ่ม ลูกหนี้เหล่านี้ ไม่อาจเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ได้ ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายเกิดความเครียดอย่างรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือชิงลา ออกจากงาน หรือหากรอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตนเองก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นข้าราชการหรือเจ้าพนักงานรัฐวิสาหกิจไปโดยปริยาย
       
       เพราะการถูกฟ้องล้ม ละลายนั้น จะส่งผลต่อข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจอย่างมาก เพราะเมื่อใดที่ศาลมีคำพิพากษาว่าตนเองได้เป็นบุคคลล้มละลาย ย่อมส่งผลให้ต้องขาดจากคุณสมบัติการประกอบอาชีพ ส่งผลให้ตกงานในขณะนี้ที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 45-60 ปี จากผู้มีความเชี่ยวชาญหรือชำนาญการในงานที่ทำอยู่ ก็ต้องกลายเป็นคนสมองกลวงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไรต่อไป เนื่องจากทำงานอยู่ในราชการมาตลอดเวลาหลายสิบปี
       
       เนื่องจากหลักเกณฑ์ ในการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้ แบ่งตามลักษณะของเจ้าหนี้ ผู้เป็นโจทก์ออกเป็นการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้แบบไม่มีประกันตามมาตรา 9 ที่เจ้าหนี้จะฟ้อง ลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ ก็ต่อเมื่อ
       
       1. ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
       
       2. ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท และ
       
       3. หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม
       
       และการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา10 ซึ่งสามารถฟ้องคดีได้

   
       เมื่อเจ้าหนี้มีประกันไม่ ได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่า ตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน และเจ้าหนี้นั้นยอมสละหลักประกันอันเป็นประโยชน์แก่ตน หรือ เมื่อตีราคาหลักประกันมาในฟ้องแล้ว เมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หรือเงินยังขาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคล
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือได้มีการรวมตัวก่อตั้ง “ชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้” โดยบรรดาลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อผลักดันให้ รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจตลอดจนเรียกร้อง ให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องพ้นสภาพ จากการเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย
       
       โดยชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ ต้องการให้รัฐบาลติดตามแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนที่สุด มีการตั้งศูนย์ “แก้ไขปัญหาหนี้สินแบบเบ็ดเสร็จ" แบบ “ONE STOP SERVICE” เพื่อให้ความรู้หรือคำปรึกษาแก่ลูกหนี้ ในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหนี้ ตั้งแต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้ต้องทำอย่างไร หากต้องการประนอมหนี้ทำอย่างไร ตลอดจนการถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วต้องทำอย่างไร หรือมีวิธีการเยียวยาช่วยเหลือคนเดือดร้อนอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้คนเสพติดหนี้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
       
       และเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการประชุมทางวิชาการด้านกฎหมายล้มละลาย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ที่ถูกฟ้องล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ และได้เกิดข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับลูกหนี้ทั้งหลายที่เป็นข้า ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ดังนี้ว่า
       
       ควรมีการพิจารณาปรับ ปรุงหลักเกณฑ์การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามมาตรา 90/3 ที่กำหนดไว้เดิมว่าเมื่อลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้เจ้าหนี้คน เดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทนั้น หากยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการ ก็สามารถกระทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
       
       แต่กรณีที่ ลูกหนี้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือความสามารถในการชำระหนี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก็สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการได้ เพราะการเข้าสู่ กระบวนการฟื้นฟูกิจการก่อนที่จะมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าที่จะรอให้ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก่อน
       
       และอีกกรณี หนึ่งที่น่าสนใจ คือการนำทรัพย์สินของลูกหนี้ขายทอดตลาด โดยกรมบังคับคดีจะทำอย่างไรให้การขายทอดตลาดนี้ ลูกหนี้มีโอกาสขายทรัพย์สินในราคาที่เหมาะสมกับราคาท้องตลาดปัจจุบัน แม้ ว่าจะเป็นการขายทอดตลาดในครั้งที่สองหรือครั้งที่สามก็ตาม ก็ควรจะได้ราคาที่ไม่แตกต่างจากราคาขายทอดครั้งแรกมากจนเกินไป เพื่อให้มีเงินจากการขายทอดตลาดมากพอที่จะชำระหนี้ได้
       
       เนื่องจาก ระเบียบปฏิบัติของกรมบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ประกัน ครั้งที่1 จะอยู่ที่ 80% ของราคาทรัพย์สินเดิม และในการขายทอดตลาดครั้งที่2 จะอยู่ที่ 50% ของราคาทรัพย์สินเดิมเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย มีเพียงผู้ซื้อทรัพย์เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ และเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดก็จะถูกนำไปชำระในส่วนดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาชำระในยอดเงินกู้นั้นเอง


http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000150587

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 07, 2010, 06:25:13 pm
เตือนมีแก๊งตำรวจปลอม หลอกให้เหยื่อโอนเงิน

ผบ.คดีพิเศษเผยมีแก๊งตร.ปลอมหลอกโอนเงิน (ไอเอ็นเอ็น)

ผบ.คดี พิเศษ ดีเอสไอ เผย รับแจ้งข้อมูลจากตำรวจสังกัดดีเอสไอ ปลอมโทรหลอกให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มให้ มีเหยื่อหลงเชื่อหลายรายแล้ว แจ้งเตือนอย่าหลงเชื่อ

พ.อ.ปิยะ วัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางดีเอสไอ ได้รับแจ้งข้อมูลจากประชาชนที่ได้รับความเสียหาย จากการถูกแก๊งมิจฉาชีพ แอบอ้างว่า มียศเป็น ร้อยตำรวจเอก ของดีเอสไอ ได้รับคำสั่งจากตน ให้โทรไปหลอกลวงผู้เสียหายว่า บัญชีธนาคารของผู้เสียหาย มีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย จึงได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอกคนดังกล่าว โทรศัพท์มาติดต่อกับผู้เสียหาย เพื่อขออายัดเงินในบัญชีของผู้เสียหาย และขอให้ระงับการทำธุรกรรมใด ๆ จากนั้นได้สั่งให้ผู้เสียหาย ไปที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อทำธุรกรรมโอนเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็ม บางรายจะถูกสั่งให้เปลี่ยนรหัสผ่าน สำหรับบัตรเครดิตใบนั้นก่อน แล้วจึงให้โอนเงินไปที่บัญชีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามเลขที่บัญชีที่แจ้งจากทางโทรศัพท์ ปรากฏว่า มีผู้เสียหายหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อหลายรายและสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ดีเอสไอ จึงขอแจ้งเตือนว่า อย่างหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้ เป็นเด็ดขาด เพราะการที่จะยึดหรืออายัดเงินในบัญชีของบุคคลใดก็ตาม ทางดีเอสไอจะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังธนาคาร โดยอ้างอำนาจตามกฎหมาย เพื่อขอให้ธนาคารดำเนินการยึดอายัด และจะไม่โทรศัพท์ติดต่อไปยังพี่น้องประชาชน โดยตรงเป็นอันขาด ฉะนั้นหากมีการกล่าวอ้างว่า เป็นเจ้าพนักงานของดีเอสไอ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



ที่มา ไอ.เอ็น.เอ็น.



http://hilight.kapook.com/view/54204
.

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2011, 09:52:54 pm
เตือนผู้เสียภาษี ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษีใหม่



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หลังเปิดช่องทางพิเศษให้ยื่นภาษีทางอินเทอร์เน็ต ล่าสุดกรมสรรพากรเพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ หวังช่วยลดภาระผู้เสียภาษี

นาง จิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากรในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ในการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ของปี 2553 นั้น อยากให้ผู้เสียภาษีตรวจสอบรายละเอียดให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าได้กรอกรายการต่าง ๆ ตรงตามสิทธิและเงื่อนไขที่ตนควรได้รับหรือไม่ เพราะทางกรมสรรพากรได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม บางข้อหากกรอกรายละเอียดไม่ครบ นอกจากทำให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างล่าช้าแล้ว ผู้เสียภาษีอาจเสียผลประโยชน์ตามสิทธิที่มีอีกด้วย

สำหรับในปีภาษี 2553 มีมาตรการภาษีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อน ซึ่งมีผลต่อการคำนวณภาษี ดังนี้

1. ผู้เสียภาษี สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน 2553 – วันที่ 31 ธันวาคม 2553 มาหักค่า ลดหย่อนได้ตามที่ได้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อน เช่น เงินที่จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายเป็นค่าที่พักโรงแรมในประเทศ

2. ในกรณีที่ผู้เสียภาษีต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ได้ดังนี้

2.1 กรณีที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริงจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท

2.2 กรณีมีการจ่ายสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินได้จ่ายค่าซื้อหน่วยลงทุน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เงินได้ที่ได้รับยกเว้น เมื่อรวมเงินได้จากเบี้ยประกันภัย แบบบำนาญ หลังจากใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินจากเบี้ยประกันชีวิตอื่นแล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท

3. มาตรการภาษีให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ระหว่างวันที่ 1 กันยายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 มีดังนี้

3.1 สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีการบริจาค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยบริจาคผ่านตัวแทนรับบริจาคที่เป็นบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เช่น สถาบันการเงิน บริษัทมหาชน จำกัด สถานีโทรทัศน์ พรรคการเมือง องค์การของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ผู้บริจาคสามารถนำจำนวนเงินที่บริจาคมาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาได้ เมื่อรวมกับการบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ

3.2 สำหรับกรณีที่ผู้ประสบภัยเป็นบุคคลธรรมดา ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ส่วนคือ
- ตามเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (5) ถึง (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ เป็นจำนวนเท่าจำนวนความเสียหาย
- เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือชดเชย ที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย
- เงินชดเชยที่ได้รับจากภาครัฐ

4. สำหรับคนพิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับเงินได้ฯ ได้รับยกเว้นเงินได้ 19,000 บาท ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป

สำหรับมาตรการภาษีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนนั้น หากผู้เสียภาษีท่านใดมีข้อสงสัยสามารถโทรมาที่

ศูนย์ Call Center หมายเลข 1161
ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น.
หรือจะเข้ามาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Redirect ในหัวข้อ "ความรู้เรื่องภาษี"


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มติชนออนไลน์ และ กรมสรรพากร

กรรมสรรพากร


.

http://hilight.kapook.com/view/55866

.

http://www.rd.go.th/publish/43505.0.html

.

http://www.matichon.co.th/news_detai...atid=&subcatid

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 07, 2011, 09:47:14 pm
ลูกหนี้หนาว! แบงก์หนุนกรมบังคับคดีอายัดบัญชีเงินเดือน

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/64173196.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          ลูกหนี้หนาว! กรมบังคับคดีปรับระบบโครงสร้างยึดทรัพย์ขายทอดตลาดใหม่ จับมือธนาคารอายัดบัญชีเงินเดือนลูกหนี้แทนระบบเดิม เพื่อความรวดเร็ว

          นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ทางกรม บังคับคดีจะปรับโครงสร้างการขายทอดตลาดทรัพย์สินใหม่ เพื่อเร่งระบายทรัพย์สินที่มีอยู่กว่า 2 แสนล้านบาทให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคดีแพ่ง กรมบังคับคดีจะเปลี่ยนมาใช้วิธีการอายัดเงินเดือน หรือบัญชีธนาคารของลูกหนี้ ซึ่งสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 เดือน และมีต้นทุนต่ำกว่าวิธีการเดิมที่ใช้การยึดทรัพย์สินลูกหนี้ไปขายทอดตลาด ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี และเสียค่าใช้จ่ายดำเนินการมากกว่า โดยสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะมีกฎหมายรองรับอำนาจในการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่แล้ว

          อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวต่อว่า สำหรับ การอายัดเงินในบัญชีของลูกหนี้นั้น ไม่ได้ถูกอายัดทั้งหมด แต่จะมีการกันเงินอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของลูกหนี้ โดยต่อไปนี้จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และสถาบันการเงิน ทราบถึงข้อปฏิบัตินี้ โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่ต้องเปิดเผยบัญชีของลูกหนี้ ไม่สามารถอ้างต่อไปได้อีกว่าเป็นความลับของลูกค้า หากครั้งนี้ สถาบันการเงินใดไม่สามารถให้อายัดบัญชีได้ ก็ต้องให้เหตุผลต่อศาล

          ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังตัวแทนธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 2 แห่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ ล้วนเห็นด้วยกับกรมบังคับคดี โดยระบุว่า หากสามารถแก้ไขกระบวนการทางกฎหมายให้การบังคับชำระหนี้เร็วขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อระบบการเงินโดยรวม และเป็นผลดีต่อธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ อีกทั้งยังทำให้ลูกหนี้ในระบบมีระเบียบวินัยทางการเงินมากขึ้นด้วย



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มติชนออนไลน์ และ ประชาชาติธุรกิจ

(http://hilight.kapook.com/img_cms/logo/matichononline.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/prachachad.jpg)

http://hilight.kapook.com/view/56818

.

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 31, 2011, 10:04:17 pm
สมาร์ทโฟนจะมาแรงแทนบัตรเครดิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1429025&stc=1&d=1301584456)

อีวอลลิทหรือกระเป๋าตังค์อีเลคทรอนิคส์  ซึ่งกูเกิ้ลมีแผนจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นบัตรเครดิต เพียงแค่คุณมีโทรศัพท์ก็ทำธุรกรรมได้ โดยไม่ต้องพกทุกอย่างในกระเป๋าตังค์อีกต่อไป ลูกค้าเสียเวลาเพื่อหาบัตรที่ถูกต้องในการชำระราคาสินค้า เพียงแค่คุณรูดบัตรผ่านมือถือคุณ

 

เว็บยักษ์ใหญ่ได้ร่วมมือกับซิตี้กรุ๊ปและมาสเตอร์การ์ดในการพัฒนาระบบ จ่ายเงินผ่านมือถือโดยเฉพาะมือถือระบบแอนดรอย พวกเขาได้ปรึกษากับเวริโฟนผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านสื่ออิเลคทรอนิคส์

 

ดุ๊ก เบอร์เกอรอน ผู้บริหารบริษัทเวริโฟน กล่าวว่า โทรศัพท์นั้นฉลาดกว่าบัตรเครดิต มันเปิดประสบการณ์ที่หลากหลาย ณ จุดขายที่ผู้ค้าปลีกต้องการจริง

 

โทรศัพท์นั้นจะเก็บลักษณะนิสัยและแนวโน้มการซื้อของผู้ใช้ได้ ทำให้ผู้ค้าปลีกและธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการโฆษณาและลดราค้าได้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ในขั้นแรกผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานโปรแกรมการชำระเงินมือถือที่พัฒนาให้ตรงกับรุ่นมือถือที่ใช้ซึ่งต้องเป็นระบบแอนดรอย

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการบัตรเครดิตแบบแถบแม่ เหล็ก ผู้คนมักจะเข้าใจว่าอาจมีการขโมยข้อมูลในอากาศได้ แต่อันที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้มีความซับซ้อนมากกว่าเทคโนโลยีของแถบแม่เหล็ก ที่ใช้ในบัตรเครดิต ทำให้ยากต่อการขโมยข้อมูลการจับจ่ายของผู้ใช้  นิค ฮอลแลน นักวิเคราะห์การทำธุรกรรมบนมือถือของบริษัทแยงกี้กรุ๊ปกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301479184&grpid=&catid=09&subcatid=0904

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2011, 10:16:16 am
ผมคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554

วันนี้ผมมีเรื่องครับ จะเล่าให้ฟัง

ผมได้ออกไปหาลูกค้า เวลาประมาณ 13.17 น. ผมได้โทร.ไปหาคุณnongnooo จะแซวท่านโดจิ ผมบอกว่า ผมฝากบอกท่านโดจิด้วยว่า ผมไปทานข้าวหมกแพะ แถวๆบางรัก เผื่อ คุณnongnooo บอกว่า ท่านโดจิ เกือบได้ไปเจอลุงหนุ่มแล้ว แต่ท่านโดจิบอกว่า เบื่อ ก็เลยไปทานกันที่อื่น

หลังจากที่ผมคุยกับคุณnongnooo เรียบร้อย ผมได้โทร.ไปหาคนขับรถ ให้เขานำรถมารับผมและเพื่อนที่ทำงาน(2คน) พอจะเดินทางกลับที่ทำงาน ปรากฎว่า มีโทรศัพท์เข้ามาหาผม ผมมองที่โทรศัพท์ปรากฎว่า ขึ้นมาว่าเป็นเบอร์ส่วนตัว ผมก็บอกว่า สงสัยว่าที่โทร.มาจะไม่ดี

พอผมรับสาย เป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติ บอกว่า วันนี้ทางคุณ(คือผม) ได้ใช้บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย จำนวนเงิน สามพันเก้าร้อย..(ผมจำตัวเลขไม่ได้)... หากมีข้อสงสัยให้กด 9 เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ หากฟังซ้ำให้กด 1

ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมงานที่ไปด้วยกันว่า น่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.มาแน่ ให้เงียบๆ

ผมก็เลยกด 9

พอทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์รับสาย สอบถามผมว่า มีเรื่องอะไรที่ได้โทร.เข้ามา

ผมบอกว่า ก็เห็นว่า ทางคุณโทร.เข้ามาว่า ผมได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ไปจำนวน สามพันกว่าบาท

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกว่า แล้วทางคุณ(sithiphong) ได้ใช้บัตรไปตามนั้นจริงหรือเปล่า

ผมบอกว่า ผมได้ใช้ไปจริงๆ จำนวนเงินประมาณ 3 พันกว่าบาท แต่ผมจำไม่ได้ว่า ยอดเงินเท่าไหร่ สลิปอยู่ที่บ้าน

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า งั้นผมขอชื่อและนามสกุลด้วย

ผมก็เลยบอกไปว่า อ้าว ธนาคารต้องรู้สิครับว่า ผมชื่ออะไร ไม่อย่างนั้นจะโทร.มาหาผมถูกหรือ

เดี๋ยวมาต่อครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2236.html#post4581233


http://board.palungjit.com/f6/%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-287237.html


http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5587.0.html
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2011, 10:16:51 am
ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า ทางธนาคารก็ต้องสอบถามข้อมูลลูกค้า แล้วไม่ทราบว่า คุณชื่อ และนามสกุลอะไร

ผม ตอบไปว่า ธนาคารต้องรู้ชื่อและนามสกุลผมอยู่แล้ว เนื่องจากผมเป็นลูกค้าของธนาคาร เอ้ แต่ว่า คุณเป็นพนักงานธนาคารเหรอ พูดไทยไม่ค่อยชัดเลย ใช่คนไทยแน่หรือ (ลักษณะของการพูด เหมือนกับคนจีนที่พูดภาษาไทยได้แต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่)

ทางแก๊งคอ ลเซ็นเตอร์ ตอบกลับมาว่า ผมเป็นคนไทย (เสียงพูดพยายามจะพูดให้ชัดที่สุด) แล้วทางคุณ(คือผม)ชื่อและนามสกุล อะไร ทางธนาคารจะได้ตรวจสอบข้อมูลให้ว่า ได้ใช้บัตรเครดิตไปถูกต้องหรือไม่

ผมตอบไปว่า ผมว่าคุณไม่ใช่คนไทยแน่เลย

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตอบมาว่า ผมถามชื่อและนามสกุลคุณ แล้วคุณไม่ตอบ แสดงว่า ผมคุยกับหมาอยู่ (พูดลักษณะนี้ประมาณ 3 ครั้ง)

ผมก็หัวเราะ แล้วบอกไปว่า ผมรู้ว่าคุณเป็นพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำแบบนี้ บาปกรรมเยอะน๊ะ ไปหลอกลวงชาวบ้านเขา

ทาง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกมาอีกว่า แล้วมึงจะโอนมาคุยทำเห.. อะไร (พูดลักษณะนี้อีก 2 ครั้ง แล้วให้อีกคนที่เป็นผู้หญิงมาพูดต่อ (คนแรกเป็นผู้ชาย) แต่คราวนี้ ด่าผมมาเป็นชุดสาระพัดสัตว์ ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่า กริยาส่อสกุล ปรากฎว่า วางสายไปเลยครับ

มาเล่าสู่กันฟัง

เรื่องสำคัญที่สุดของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็คือ การที่พวกนี้ได้ชื่อ-นามสกุล , หมายเลขบัตรประชาชน และ ให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม

การ ที่พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ชื่อ - นามสกุล และหมายเลขบัตรประชาชนไป เขาจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้หลายๆเรื่อง เช่น การทำบัตรเครดิตปลอม การทำบัตรประชาชนปลอม

ส่วนการให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม นั่นก็การให้เราโอนเงินให้มัน

ห้ามบอก ชื่อ - นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และรายละเอียดส่วนตัวใดๆ และ ไม่ให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มโดยเด็ดขาดครับ

.
http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2236.html

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2011, 10:17:24 am
.

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1445695&stc=1&thumb=1&d=1302521751)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2011, 10:17:55 am
.
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1076428&stc=1&d=1280973619)


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 24, 2011, 08:58:31 am
จับโจรไม้จิ้มฟันเสียบตู้ATMกดเงินเหยื่อ










คมชัดลึก :สืบ ภาค1 ตามรวบ"โจรไม้จ้มฟัน"ลงมือช่วงเทศกาล ใช้ไม้จิ้มฟันเสียตู้เอทีเอ็ม ทำทียืนต่อแถวกดเงินแอบดูรหัสบัตรเครดิต บัตรติดเครื่องเข้าไปงัดออกก่อนกดเงินเกลี้ยง สารภาพเรียนวิชามารจากเพื่อนชาวมาเลเซีย พบประวัติก่อคดีโชกโชน





(23เม.ย.) เวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ภีมเดช สาระกูล ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.1 พร้อมด้วย พ.ต.ท.อุเทน นุ้ยพิน รองผกก.สส.3 บก.สส.ภ.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นายวสันต์ ศรีอักษร อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 10 ต.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสระบุรี ที่ 1078/2550 ลงวันที่ 5 พ.ย.2550 และหมายจับที่ 1087/2550 ลงวันที่ 8 พ.ย.2554 ในข้อหาลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ,ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นซึ่งเป็นบัตรที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มี สิทธิ์ใช้ในการเบิกถอนเงินสดโดยมิชอบ โดยจับกุมตัวได้ที่หน้าบ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่6 ต.แม่งแวง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
พ.ต.อ.ภีมเดช เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายก่อเหตุนำไม้จิ้มฟันเสียบไว้เสียบไว้ตามตู้เอทีเอ็ม เมื่อมีประชาชนมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม คนร้ายก็จะทำทีไปยืนต่อคิวที่ด้านหลังเพื่อคอยแอบดูรหัส เมื่อบัตรของประชาชนค้างอยู่ในตู้ คนร้ายก็จะเฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งเจ้าของบัตรเดินทางกลับไป จากนั้นคนร้ายก็จะแคะเอาบัตรออกมาและกดเงินสดไปจนหมดบัญชี โดยที่เจ้าของบัตรไม่รู้ โดยคนร้ายจะก่อเหตุในช่วงเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมากโดย เฉพาะที่จังหวัดตากและจังหวัดเชียงใหม่ จนมีผู้เสียหายเดินทางเข้าแจ้งความจำนวนมาก
ด้านพ.ต.ท.อุเทน กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่จึงสืบสวนหาเบาะแสของคนร้าย ซึ่งในเบื้องต้นชุดสืบสวนก็มีข้อมูลอยู่บางส่วนแล้ว จากนั้นได้ประสานงานไปยังสมาคมบริการธุรกิจบัตรเอทีเอ็ม และสภ.แม่สอด จ.ตาก จนทราบว่าคนร้ายรายนี้คือนายวสันต์ ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุมาแล้วที่สภ.วิหารแดง จ.สระบุรี ก่อนจะทำการจับกุมตัวได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมของกลางหมวกที่สวมใส่ขณะไปก่อเหตุที่จ.ตาก ส่วนคดีที่จ.เชียงใหม่ ชุดจับกุมมีหลักฐานเป็นภาพวงจรปิดที่สามารถจับภาพใบหน้าของนายวสันต์ ไว้ได้ชัดเจนขณะไปก่อเหตุที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคกรุงเทพ สาขาสารถี ในห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่านายวสันต์มีหมายจับในท้องที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ อีกด้วย ส่วนที่จ.ราชบุรี ไม่ได้มีการออกหมายจับ แต่หากพบว่าเป็นคนร้ายรายเดียวกันก็จะประสานไปยังท้องที่ที่เคยเกิดเหตุ เพื่ออายัดตัวไว้ หลังจากนี้จะส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสภ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อดำเนินคดีต่อไป
จากการสอบสวนนายวสันต์ ให้การอ้างว่า ก่อนหน้านี้เคยก่อเหตุดังกล่าวจริง แต่นานเป็น 10 ปีแล้ว โดยก่อเหตุในย่านฝั่งธนบุรี จากนั้นเมื่อถูกจับและพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2540 ก็ไม่เคยก่อเหตุดังกล่าวอีก ทั้งนี้คนร้ายที่ก่อเหตุมีหลายแก็งไม่ได้มีตนคนเดียว ซึ่งเหตุที่สภ.วิหารแดง จ.สระบุรี อ.แม่สอด จ.ตาก และที่จ.เชียงใหม่ ตนไม่ได้เป็นคนทำ หลังจากที่พ้นโทษมาก็มาเปิดบริษัทรับส่งเอกสารชื่อบริษัททูอินวัน และหลังจากถูกออกหมายจับที่สภ.วิหารแดง ก็หลบหนีไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านอาหารที่เกาะลันตา ทางภาคใต้ ก่อนจะย้ายไปเป็นลูกจ้างร้านอาหารที่อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
"สำหรับเทคนิคการใช้ไม้จิ้มฟันเสียบไว้ที่ตู้เอทีเอ็ม ผมเรียนรู้มาจากเพื่อนที่เป็นชาวมาเลเซีย ซึ่งทุกครั้งที่ก่อเหตุจะได้เงินครั้งละ 1-2 หมื่นบาท ส่วนบัตรเอทีเอ็มก็นำไปทิ้ง สำหรับตู้เอทีเอ็มที่ง่ายต่อการกระทำดังกล่าวจะเป็นตู้แบบเก่า ซึ่งจะมีอยู่ตามต่างจังหวัด ผมจึงอยากฝากเตือนประชาชนว่าอย่าไปกดเงินตู้ที่เก่าและให้ระวังกลุ่ม มิจฉาชีพแบบตนเพราะยังมีอีกหลายกลุ่ม"นายวสันต์ กล่าว





[url]http://www.komchadluek.net/detail/20110423/95530/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89ATM%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.html (http://www.komchadluek.net/detail/20110423/95530/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89ATM%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD.html)


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 01, 2011, 03:06:31 pm
ยุคแห่งการถือครอง“ทรัพย์สิน” (เคล็ด(ไม่)ลับ สู่ความมั่งคั่ง)

ถึงวันนี้ ความคิดที่ว่า “เงินสด” คือ พระเจ้า ดูเหมือนจะกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เพราะนับวัน “เงิน”? มีแต่จะด้อยมูลค่าลง อันเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” ว่ากันว่าในระยะยาวแล้ว เงินเฟ้อจะวิ่งที่ระดับ 3% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเลขดังกล่าวดูจะเป็นเพียงทฤษฎี เพราะไม่เคยเห็นข้าวปลาอาหารบ้านเราขึ้นราคาครั้งละ 3% กับเขาเสียที

และนั่นส่งผลให้การฝากเงินไว้กับสถาบันการเงิน กลายเป็นกลายลงทุนที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป เพราะนอกจากข้อดีในเรื่องสภาพคล่องแล้ว เงินฝากแทบจะไม่ให้สิทธิประโยชน์อย่างอื่นเลย ไหนจะดอกเบี้ยที่แสนจะต่ำ ไหนจะภาษี ไหนจะค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังนั้นนอกเหนือไปจากเงินสำรองใช้จ่ายเผื่อฉุกเฉินแล้ว เราไม่ควรลงทุนเงินที่เหลือใช้ไว้ในเงินฝากอีกต่อไป

เมื่อเงินฝากไม่ใช่ทางเลือก แล้วเราควรลงทุนในอะไรกันดี?

เพื่อให้ง่าย และไม่ต้องคิดอะไรมาก เรามาดูกันดีกว่าว่าคนที่เขามั่งคั่งไปแล้ว อย่างสิบมหาเศรษฐีของไทยนั้น เขาลงทุนในอะไรกัน เผื่อว่าเราจะได้ลงทุนกับเขาบ้าง แล้วจะได้รวยกันสักที [ข้อมูลการจัดอันดับจาก toptenthailand.com ประจำปี 2010]

1. เฉลียว อยู่วิทยา (ผู้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง)

2. เจริญ สิริวัฒนภักดี (ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของกิจการโรงแรมพลาซ่า แอทธินี่ และไอเอ็มเอ็ม)

3. ครอบครัว “จิราธิวัฒน์” (ธุรกิจค้าปลีก (ห้างเซ็นทรัล),อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม)

4. ธนินท์ เจียรวนนท์ (กิจการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.))

5. กฤตย์ รัตนรักษ์ (บริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) และหุ้น อาทิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง)

6. ประณีตศิลป์ วัชรพล (เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

7. วิชัย มาลีนนท์ (บีอีซีเวิร์ลด์ และไทยทีวีสีช่อง 3)

8. จำนงค์ ภิรมย์ภักดี (ประธานบริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์))

9. สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์)

10. อนันต์ อัศวโภคิน (บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์)

จะเห็นได้ว่า ทั้งสิบอันดับมหาเศรษฐีของไทยนั้น ต่างก็ถือครองสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สิน” (Assets) ด้วยกันทั้งสิ้น (ไม่มีใครรวยด้วยเงินฝากอีกเช่นเคย) แตกต่างกันที่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทใดก็เท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งทรัพย์สินออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ดังนี้

1) ตราสารทางการเงิน

2) อสังหาริมทรัพย์

3) ธุรกิจ

ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่สามารถนับรวมเป็นทรัพย์สินได้ ก็เช่น ทองคำ หรือของสะสมมีค่า (ปัจจุบันมีการถือทองในรูปตราสารการเงินเหมือนกัน)

ทีนี้เรามาทำความรู้จัก และเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของทรัพย์สินแต่ละประเภทกันหน่อยดีกว่า

ตราสารการเงิน (Paper Assets)

ตราสารการเงินก็คือ ทรัพย์สินที่อยู่ในรูปกระดาษทั้งหลาย ที่นิยมลงทุนกันมาก ก็ได้แก่ หุ้น และพันธบัตร ถือเป็นทรัพย์สินที่เข้าลงทุนได้ง่าย ออกจากการลงทุนก็ไม่ยาก แถมยังไม่ต้องบริหารจัดการใดๆ แต่เป็นทรัพย์สินที่ควบคุมได้ยาก รูปแบบผลตอบแทนมีสองลักษณะ คือ กำไรจากส่วนต่างการขาย (ซื้อถูกขายแพง) และกระแสเงินสดจากเงินปันผล (กรณีกิจการที่ลงทุนมีผลกำไรงาม และบริษัทมีนโยบายที่จะปันผล)

สำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนระดับที่สูงหรือต้องการมีอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุนในตราสารการเงิน จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมีปริมาณเงินลงทุนจำนวนหนึ่ง อย่างน้อยเริ่มต้นก็น่าจะต้องมี 1 ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้น เป็นการลงทุนเพื่อเรียนรู้เท่านั้นครับ

ข้อดี: เป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง?สูง (ซื้อง่ายขายคล่อง) เมื่อเทียบกันกับทรัพย์สินอีกสองประเภท และมักไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการตัวทรัพย์สินหรือตราสารนั้น เพียงแต่เลือกลงทุนตามจังหวะเวลาที่ถูกต้องเท่านั้น

ข้อเสีย: เป็นการลงทุนที่คุณไม่สามารถใช้พลังทวี (Leverage) ได้ หรือถ้าได้ก็น้อย เพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยเงินกู้เพื่อให้คุณไปลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรอย่างแน่นอน พูดให้ง่ายเข้าก็คือ การลงทุนในตราสารการเงินนั้นคุณมีโอกาสใช้เงินของคนอื่นหรือ OPM ได้น้อย หรืออาจต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมด

อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)

เมื่อพูดถึงอสังหาริมทรัพย์ คนจำนวนมากจะนึกถึงการลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะเราสามารถเริ่มต้นลงทุน??ในอสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินเพียงแสนสองแสนบาทได้สบาย โดยอาศัยพลังทวี (Leverage) จากเงินของสถาบันการเงินในอัตรา 1:10 ได้อย่างสบาย (เงินลงทุน 1 แสน ลงทุนทรัพย์สินระดับ 1 ล้านบาทได้)

รูปแบบการลงทุนและผลตอบแทนมีทั้งแบบกำไรจากส่วนต่าง อันเนื่องมาจากการซื้อขายเก็งกำไร (ซื้อถูกขายแพง) และการสร้างกระแสเงินสดจากการให้เช่า อาทิ บ้านเช่า คอนโค อพาร์ทเมนท์ เกสต์เฮ้าส์ หรือโรงงาน โกดังให้เช่า เป็นต้น

ข้อดี: เป็นการลงทุนที่สามารถใช้พลังทวีจากเงินคนอื่น (Other People’s Money, OPM) ได้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ การกู้เงินธนาคารมาซื้อบ้าน ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ก็จะปล่อยกู้ให้ถึง 80-90% ของราคาซื้อหรือราคาประเมิน??? (แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า) เลยทีเดียว ซึ่งการใช้เงินของคนอื่นนี้ จะช่วยให้เรามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าการใช้เงินตัวเอง

ข้อเสีย: แม้จะใช้พลังทวีช่วยให้เข้าครอบครองทรัพย์สินได้ง่ายขึ้น แต่อสังหาริมทรัพย์ก็มีข้อเสียในเรื่องสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำ คิดง่ายๆ หากวันนี้คุณไม่พอใจบ้านหลังที่คุณอาศัยอยู่ คุณสามารถขายมันได้วันนี้พรุุ่งนี้เลยหรือไม่ หรือหากคุณปล่อยทรัพย์สินให้เช่า ก็อาจมีเรื่องความยุ่งยากของการบริหารจัดการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ธุรกิจ (Business)

เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีสูตรสำเร็จ มีรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตอบสนองและแก้ปัญหาให้กับผู้คน ยิ่งธุรกิจของคุณแก้ปัญหาคนได้มากแค่ไหน คุณก็จะยิ่งร่ำรวยมากเท่านั้น ยกตัวอย่าง ร้านตัดผมก็ตอบสนองปัญหาคนผมยาว ถ้าเปิดร้านได้ 1 ร้าน ก็แก้ปัญหาคนได้กลุ่มหนึ่ง (รวยประมาณหนึ่ง) ถ้าเปิดแฟรนไชส์ร้านตัดผม ก็ตัดผมคนได้มากขึ้น รวยยิ่งขึ้น

ผลตอบแทนมีทั้งในรูปกระแสเงินสด นั่นคือ เงินปันผลจากกิจการ และกำไรจากการขายหุ้นกิจการ (ดูกรณีของคุณตันขายโออิชิเป็นตัวอย่าง)

ข้อดี: เป็นการลงทุนที่มีความหลากหลาย มีช่องว่างทางธุรกิจสำหรับไอเดียใหม่ๆ เสมอ สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องใช้เงิน หรือใช้พลังทวีจากเงินคนอื่น (OPM) ได้สูงสุดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินประเภทอื่น

ข้อเสีย: สภาพคล่องต่ำ เพราะการขายธุรกิจทิ้งทำได้ไม่ง่าย แถมยังต้องอาศัยความสามารถในการบริหารที่สูง

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีข้อตัดสินว่าทรัพย์สินใดดีกว่ากัน หรือดีที่สุด สิ่งสำคัญ คือ “จริต” ของผู้ลงทุนนั้นว่าชอบ สนุก และเข้าใจในทรัพย์สินประเภทใดเป็นพิเศษ ก็ควรที่จะเลือกลงทุนในทรัพย์สินประเภทนั้น ทั้งนี้เพราะการลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือ การลงทุนที่คุณสนใจ เข้าใจ และทำให้คุณนอนหลับฝันดี (High Understanding, High Returns)

คำถาม คือ ถึงวันนี้ คุณเริ่มต้นสร้างทรัพย์สินเพื่อการลงทุนของตัวเองหรือยัง ถ้ายัง ก็จงอย่าฝันไปไกลถึงความมั่งคั่งเลยครับ เดี๋ยวเหนื่อย

พบกันฉบับหน้าครับ

สนใจสัมมนาหลักสูตร Financial Literacy: พื้นฐานสู่อิสรภาพทางการเงิน รุ่นที่ 22 วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 14-15 พฤษภาคม ติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนสมัครได้ที่ www.bizkons.com (http://www.bizkons.com)

จักรพงษ์ เมษพันธุ์
financial.literacy@hotmail.com
วันที่ 1/5/2011

http://www.naewna.com/news.asp?ID=259558


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 07, 2011, 08:17:35 am
กูรูเตือนระวังทองคำโลกดิ่งเหวต่อ


บริษัทค้าทองล่วงหน้าประเมินแนวรับลึกสุด 1,460 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังนักเก็งกำไรแห่ทิ้ง
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ เปิดเผยว่า ราคาทองคำตลาดโลกวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ลงไปต่ำสุดระดับ1,453 เหรียญสหรัฐ ก่อนมาปิดที่ 1,481 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเทขายทำกำไรอย่างรุนแรง และมีการปรับฐานของราคาทองคำรวมทั้งโลหะเงิน
"ภาพรวมเป็นการปรับฐานทำกำไร โดยที่ระดับ 1,480 เหรียญสหรัฐ เป็นแนวรับที่สำคัญ และถ้าหลุดจากระดับนี้จะมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,460 เหรียญสหรัฐ" บริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ระบุ
ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ออกมาเปิดเผยปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางต่างๆ พบว่าส่วนใหญ่มีการเก็บสะสมทองคำเพิ่มมากขึ้น เป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 29 เม.ย.ปีนี้ พบว่าอยู่ระดับ1.899 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ5.684 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.588 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก ธปท.เข้าไปแทรกแซงค่าเงินไม่ให้แข็งเร็วเกินไป
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ตลาดหุ้นและน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาทองจะปรับตัวลงหลุด 1,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือปรับตัวลดลง 50 เหรียญสหรัฐ แต่การที่ราคาทองในไทยปรับลงไม่มากนัก เพราะค่าเงินสหรัฐแข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนลงจาก29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายจิตติ กล่าวว่า ราคาทองคำในประเทศที่ลดลง 500 บาท ทำให้บรรยากาศการซื้อขายทองในเยาวราชคึกคักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้ามาหาซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อเก็งกำไร




-http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/87525/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD-


.

http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E...B9%88%E0%B8%AD

http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/87525/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2011, 10:10:42 pm
ผู้ว่าฯ ธปท. เตือนลดหนี้บัตรเครดิต ชี้ช่องคนเบี้ยวหนี้


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

 
          ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  เตือนลดหนี้บัตรเครดิต สร้างนิสัยคนเบี้ยวหนี้ บิดเบือนกลไก ร้ายถึงขั้นเสียวินัยการคลัง
 
          จากกรณีที่ สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 โดยจะช่วยเหลือผู้ที่มีสถานะหนี้บัตรเครดิตปกติ (PL) นับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไปนั้น
 
          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.มีความเป็นห่วงมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตด้วยอัตราดอกเบี้ย 10% ของรัฐบาล จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมวินัยทางการเงินที่ไม่ดีแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นหนี้ก็ต้องมีการชำระหนี้เอง
 
           นอกจากนั้น รัฐบาลอาจเสียวินัยทางการคลัง หากมาตรการดังกล่าวเกิดความเสียหายจากกลไกการกำกับมีจุดอ่อน ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องนำภาษีประชาชนมาแก้ไขปัญหา และกลายเป็นการนำภาษีคนส่วนใหญ่มาช่วยคนส่วนน้อยซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
 
          ทางด้าน นายบัณฑูร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สถาบันการเงินผู้ให้บริการบัตรเครดิต จะได้รับผลกระทบจากมาตรการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลบ้าง จากลูกค้าที่โอนหนี้ไป แต่ยังไม่สามารถระบุความเสียหายได้อย่างชัดเจนว่าจะกระทบต่อธนาคารมากน้อยเพียงใด

รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คืออะไร

          สำหรับการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ โครงการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือการรีไฟแนนซ์ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ลูกค้าเคยผ่อนชำระ โดยเงื่อนไขของโครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะต้องเป็นบุคคลทั่วไปที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่มีสถานะปกติ คือ ไม่ติดเอ็นพีแอล. ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไป และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามเกณฑ์ของธนาคาร ไม่ต้องมีผู้ค้ำ วงเงินให้กู้ไม่เกิน 5 เท่า หรือเงินเดือน หรือรายได้ปัจจุบัน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 มิถุนายน - สิ้นเดือนสิงหาคม 2554

          ทั้งนี้ จากข้อมูลหนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ ขณะนี้อยู่ที่ 1.9 แสนล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่ประวัติดี 1.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นลูกหนี้ผ่อนชำระดอกเบี้ย หรือชำระขั้นต่ำ 10 % ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 35 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่กำหนดให้เข้าร่วมโครงการได้ แต่ก็คาดว่าธนาคารพาณิชย์เจ้าของบัตรจะมีการเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ เพื่อดึงลูกค้าไว้ ทำให้คาดว่าจะเหลือลูกหนี้เข้าร่วมโครงการประมาณ 20 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม โครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะไม่รับรีไฟแนนซ์บัตรของกลุ่มนอนแบงค์ เช่น อิออน ยูเมะพลัส หรือเฟิร์สช้อยส์ และสินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรกดเงินสด ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ผู้ถือบัตรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มแรงงาน ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะทำบัตรเครดิต กับธนาคารพาณิชย์ได้

เอกสารยื่น รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

          - หลักฐานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต
          - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้าน
          - เอกสารแสดงรายได้เช่น สลิปเงินเดือน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงการมีรายได้ที่เชื่อถือได้
          - หนังสือแสดงเจตจำนงค์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำกับธนาคารว่าจะไม่ก่อภาระหนี้บัตรเครดิตเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 1 ปี
          - ผู้ที่มีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ บัตรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องคืนก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ








[23 พฤษภาคม] ลูกหนี้เฮ! เปิดรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต 1 มิ.ย.นี้

          ลูกหนี้เฮ! รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตเปิดตัว 1 มิ.ย.  ในวงเงินไม่เกิน 3 แสน ผ่อน 3-5 ปี ไม่ต้องมีผู้ค้ำ

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังจะทำการเปิดตัว "โครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต" ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 3 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยได้ตกลงรายละเอียดและเงื่อนไข เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง เพื่อที่จะให้ลูกหนี้บัตรเครดิตยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารทั้ง 3 แห่ง ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป พร้อมกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการสิ้นปีนี้ หรือจนกว่าวงเงินเบื้องต้น หมื่นล้านบาทจะหมด






          โดย นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า แต่เดิมทางกระทรวงการคลังจะใช้เงินในโครงการถึง 50,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันพบว่า  ลูกหนี้มีหนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ 190,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นลูกหนี้ที่มีประวัติดี จำนวน 150,000 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหรือจ่ายชำระขั้นต่ำ 10% คิดเป็นวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยลูกหนี้กลุ่มนี้จะเป็นเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยเหลือ  ทั้งนี้กระทรวงการคลังเล็งเห็นว่า ทางธนาคารเจ้าของบัตร น่าจะต้องปรับตัว ยื่นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า จึงได้เปิดโครงการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตขึ้น

          พร้อมกันนี้ ยังได้แจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับวงเงิน 10,000 ล้านบาทว่า ทางธนาคารออมสินจะรับเงินไปดำเนินการ  4,500 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย 4,500 ล้านบาท และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย  1,000 ล้านบาท โดยทั้ง 3 ธนาคาร จะคิดดอกเบี้ยเท่ากันคือ 10% และจำกัดวงเงินต่อรายไม่เกินรายละ 300,000 บาท และไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกัน และไม่ได้ต้องขึ้นทะเบียนลูกหนี้ที่ธนาคารใดธนาคารหนึ่ง

          ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะรับรีไฟแนนซ์เฉพาะลูกหนี้บัตรเครดิตที่มีประวัติผ่อนชำระที่ดี โดยไม่รวมสินเชื่อส่วนบุคคล และไม่รวมบัตรกดเงินสดต่าง ๆ โดยจะมีเวลาผ่อนชำระ 3-5 ปี และไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกัน

          อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตวงเงิน 10,000 ล้านบาท ยังคงต้องมีการประเมินผลอีกครั้ง เพื่อสำรวจความต้องการของลูกหนี้ ซึ่งถ้าหากลูกหนี้ต้องการวงเงินที่สูงกว่านี้  อาจจะมีการขยายวงเงินได้

          ทางด้าน นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธอท. กล่าวว่า  พร้อมจะปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว  ซึ่งคุณสมบัติของผู้ที่จะยื่นเข้าโครงการ จะเป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่มียอดค้างชำระ และให้วงเงินรายละไม่เกิน 300,000 บาท รวมทั้งคิดอัตรากำไรที่ 10% ซึ่งทาง ธอท. สามารถรับได้ เพราะคุณสมบัติของลูกหนี้ดังกล่าว ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ และเป็นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

ครอบครัวข่าว 3

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/krobkruakao2.gif)

เดลินิวส์

(http://hilight.kapook.com/img_cms/logo/dailynews.jpg)

ไอ.เอ็น.เอ็น.

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/inn_logo.jpg)

ไทยโพสต์

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/thaipost.jpg)


http://hilight.kapook.com/view/59052


.





หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ พฤษภาคม 24, 2011, 11:45:28 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2011, 09:36:33 pm
ปปง.สั่งธนาคาร รายงานโอนเงินเกินแสนผ่านเอทีเอ็ม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          กฎหมายใหม่ สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มตั้งแต่แสนบาทขึ้นไป ล้อมคอกการฟอกเงินผ่านอีแบงค์กิ้ง

          พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป จะบังคับใช้กฎกระทรวงฉบับใหม่ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินสดที่ใช้เงินสดใน 9 กลุ่มอาชีพ ที่ต้องรายงานธุรกรรมต่อ ปปง. ซึ่งจะครอบคลุมเพิ่มเติมจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้สถาบันการเงินและธนาคาร ต้องรายงานธุรกรรมการเงินที่เป็นเงินสดตั้งแต่ 2 ล้านบาท ส่วนธุรกรรมที่ใช้ทรัพย์สินต้องรายงานตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป

          แต่สำหรับกฎหมายใหม่ กำหนดเพิ่มเติมให้ธนาคารต้องรายงานธุรกรรมทางอิเลคทรอนิกส์ ตั้งแต่ 700,000 บาท ขึ้นไปในส่วนของการโอนในรูปแบบ Wire Tranfer หรือการบริการทางการเงินที่ผ่านช่องทางเอทีเอ็ม หรือ อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง รวมทั้งการโอนเงินหรือทำธุรกรรมทางอิเลคทรอกนิกส์ที่เป็นเงินสด ตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป โดยจะต้องรายงานธุรกรรมเป็นประจำทุกเดือน เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายใช้สถาบันการเงินเป็นเครื่องมือฟอกเงิน

          สำหรับ 9 กลุ่มอาชีพ ที่ต้องรายงานธุรกรรมต่อ ปปง. ได้แก่...

          1. อาชีพเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางการเงินการลงทุนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
          2. ผู้ประกอบการอัญมณี เพชร พลอย ทองคำ
          3. อาชีพค้าหรือให้เช่ารถยนต์
          4. นายหน้า หรือตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
          5. อาชีพค้าของเก่าและวัตถุโบราณ
          6. อาชีพเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคล
          7. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเงินอิเลคทรอนิกส์
          8. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
          9. อาชีพเกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเลคทรอนิกส์



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก กรุงเทพธุรกิจ

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/logo/bangkokbiznews.jpg)



.

http://hilight.kapook.com/view/59390


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2011, 09:50:46 pm
เริ่มวันนี้! ลดหนี้บัตรเครดิต ช่วยเหลือลูกหนี้





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
            จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีภาระหนี้บัตรเครดิต และมีวินัยทางการเงิน  โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 มิถุนายน) ถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 นั้น …

           เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์ อำภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิต พร้อมเปิดการให้สินเชื่อแล้ว โดยทางธนาคารจะให้สินเชื่อเพื่อชำระหนี้กับลูกหนี้บัตรเครดิตรายที่มีเงื่อนไขชำระเงินขั้นต่ำได้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต และเป็นลูกหนี้ที่ดี ณ วันที่ 30 เมษายน  2554 เป็นต้นไป

           นายประสิทธิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการให้กู้นั้น ทางธนาคารจะให้ลูกหนี้กู้เพื่อนำเงินไปชำระหนี้บัตรเครดิตเต็มตามจำนวนของแต่ละบัตร และยกเลิกการใช้บัตรเครดิตใบนั้น แต่สำหรับกรณีที่มีหลายบัตร ลูกหนี้สามารถกู้ชำระเพียงบัตรใบใดใบหนึ่ง หรือทุกบัตรก็ได้ โดยธนาคารจะให้กู้ได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และเมื่อรวมกันวงเงินสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่เป็นสินเชื่อบุคคลที่มีอยู่กับธนาคาร ต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน โดยให้ผ่อนชำระเงินต้น พร้อมดอกเบี้นเป็นรายเดือน ๆ  ละเท่า ๆ กัน ภายในเวลา 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยMRR บวก 2.5% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 10% ต่อปี

           สำหรับโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิตที่กู้ผ่านธนาคาร ลูกหนี้ก็ยังสามารถทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ โดยเสียค่าเบี้ยประกัน 440 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท เบี้ยประกัน 880 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาท และเบี้ยประกัน 1,320 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 300,000 บาท
 
           ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ทางธนาคารได้จัดแพ็คเกจสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตรงเวลา โดยลดดอกเบี้ยลง 0.50% สำหรับลูกหนี้ผ่อนชำระตรงเวลา 1ปี และลดดอกเบี้ยลง 1% ในปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลูกหนี้ผ่อนชำระตามเงื่อนไขตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทางธนาคารจะให้สิทธิในการกู้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏและสินเชื่ออเนกประสงค์  โดยปีแรกจะลดดอกเบี้ยให้ 3.50% ต่อปี


นายกรณ์ จาติกวณิช



 [27 พฤษภาคม] กรณ์ ยัน รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตไม่ใช่นโยบาย


          รมว.คลัง ยัน นโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต ไม่ใช่นโยบายหาเสียงช่วงเลือกตั้ง มั่นใจ 10,000 ล้านบาท พอ

          นายกรณ์ จาติกวณิช รักษาการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง พยายามแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนมาโดยตลอด โดยเริ่มจากการแก้หนี้นอกระบบ จนถึงนโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต  ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เพราะประชาชนรอความช่วยเหลืออยู่ และขอยืนยันว่าการผลักดันนโยบายดังกล่าวในช่วงนี้ไม่ใช่เพื่อหาเสียงเลือกตั้งแต่อย่างใด โดยไม่แปลกใจที่นายแบงก์ส่วนใหญ่ จะมีมุมมองต่อนโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตในลักษณะดังกล่าว เพราะธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิตมีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายดังกล่าว

          นอกจากนี้ ยังยืนยันด้วยว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยให้แบงก์รัฐทั้ง 3 แห่ง ที่รับรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต เพราะเป็นเงื่อนไขทางธุรกิจของแต่ละแบงก์ และไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงของภาครัฐ โดยยืนยันว่า นโยบายดังกล่าวออกมาเพื่อเป็นทางเลือก และให้โอกาสลูกหนี้ที่ดี ในการลดภาระการจ่ายหนี้ และเชื่อว่าเม็ดเงิน 10,000 ล้านบาทจะเพียงพอต่อความต้องการ



รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

[25 พฤษภาคม] KTC เชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ไม่กระทบมาก


          ผู้ให้บริการบัตรเครดิตเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตทำลูกค้าหดแค่ 10%

          นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือเคทีซี กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต เพื่อแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าบัตรเครดิตว่า โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตอย่างแน่นอน เพราะจะมีลูกค้าที่ต้องการชำระหนี้ให้หมดเข้าร่วมโครงการนี้ แต่ก็คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากโครงการนี้มีวงเงินเพียง 10,000 ล้านบาท แต่ยอดเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในธุรกิจบัตรเครดิตมีถึง 190,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบกันแล้วมีสัดส่วนน้อยกว่ามาก

          นอกจากนี้ นายนิวัตต์ ยังกล่าวต่อด้วยว่า เบื้องต้นคาดการณ์ว่าผู้ให้บริการบัตรเครดิตทุกรายจะสูญเสียลูกค้าไปราว 10% เท่านั้น เพราะตามหลักเกณฑ์ลูกค้าที่จะเข้าร่วมโครงการรีไฟแนนซ์ต้องเลิกใช้บัตรเครดิตนั้น แต่เชื่อว่าลูกค้าหลายรายยังจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตอยู่ จึงอาจไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว หรือต้องพิจารณาให้ละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจ





[24 พฤษภาคม] ผู้ว่าฯ ธปท. เตือนลดหนี้บัตรเครดิต ชี้ช่องคนเบี้ยวหนี้
 
         ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  เตือนลดหนี้บัตรเครดิต สร้างนิสัยคนเบี้ยวหนี้ บิดเบือนกลไก ร้ายถึงขั้นเสียวินัยการคลัง
 
          จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 โดยจะช่วยเหลือผู้ที่มีสถานะหนี้บัตรเครดิตปกติ (PL) นับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไปนั้น
 
          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.มีความเป็นห่วงมาตรการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตด้วยอัตราดอกเบี้ย 10% ของรัฐบาล จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมวินัยทางการเงินที่ไม่ดีแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งโดยปกติถ้าเป็นหนี้ก็ต้องมีการชำระหนี้เอง
 
           นอกจากนั้น รัฐบาลอาจเสียวินัยทางการคลัง หากมาตรการดังกล่าวเกิดความเสียหายจากกลไกการกำกับมีจุดอ่อน ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องนำภาษีประชาชนมาแก้ไขปัญหา และกลายเป็นการนำภาษีคนส่วนใหญ่มาช่วยคนส่วนน้อยซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
 
          ทางด้าน นายบัณฑูร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สถาบันการเงินผู้ให้บริการบัตรเครดิต จะได้รับผลกระทบจากมาตรการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลบ้าง จากลูกค้าที่โอนหนี้ไป แต่ยังไม่สามารถระบุความเสียหายได้อย่างชัดเจนว่าจะกระทบต่อธนาคารมากน้อยเพียงใด

รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คืออะไร

          สำหรับการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ โครงการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต หรือการรีไฟแนนซ์ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงิน ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ลูกค้าเคยผ่อนชำระ โดยเงื่อนไขของโครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะต้องเป็นบุคคลทั่วไปที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่มีสถานะปกติ คือ ไม่ติดเอ็นพีแอล. ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 เป็นต้นไป และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามเกณฑ์ของธนาคาร ไม่ต้องมีผู้ค้ำ วงเงินให้กู้ไม่เกิน 5 เท่า หรือเงินเดือน หรือรายได้ปัจจุบัน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 มิถุนายน - สิ้นเดือนสิงหาคม 2554

          ทั้งนี้ จากข้อมูลหนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ ขณะนี้อยู่ที่ 1.9 แสนล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่ประวัติดี 1.5 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นลูกหนี้ผ่อนชำระดอกเบี้ย หรือชำระขั้นต่ำ 10 % ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 35 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่กำหนดให้เข้าร่วมโครงการได้ แต่ก็คาดว่าธนาคารพาณิชย์เจ้าของบัตรจะมีการเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ เพื่อดึงลูกค้าไว้ ทำให้คาดว่าจะเหลือลูกหนี้เข้าร่วมโครงการประมาณ 20 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม โครงการ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต จะไม่รับรีไฟแนนซ์บัตรของกลุ่มนอนแบงค์ เช่น อิออน ยูเมะพลัส หรือเฟิร์สช้อยส์ และสินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรกดเงินสด ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ผู้ถือบัตรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มแรงงาน ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะทำบัตรเครดิต กับธนาคารพาณิชย์ได้

เอกสารยื่น รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต

          - หลักฐานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต
          - สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้าน
          - เอกสารแสดงรายได้เช่น สลิปเงินเดือน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงการมีรายได้ที่เชื่อถือได้
          - หนังสือแสดงเจตจำนงค์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำกับธนาคารว่าจะไม่ก่อภาระหนี้บัตรเครดิตเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 1 ปี
          - ผู้ที่มีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ บัตรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องคืนก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ครอบครัวข่าว 3 , เดลินิวส์ , ไทยโพสต์ , ไอ.เอ็น.เอ็น. , สำนักข่าวไทย
   

.

http://hilight.kapook.com/view/59052

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 11, 2011, 09:03:30 am
รู้จักรายจ่ายของตัวเอง


บันทึกรายจ่ายเพื่อการรู้จักตนเอง อย่างน้อยของอย่างน้อยที่สุด ก็พอจะเห็นแววว่า จะพัฒนาหรือเปลี่ยนไปในทางที่รวยได้ยังไง ถึงจะ(ยัง) ไม่รวย แต่ก็ไม่จนไปกว่านี้!

เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์

แม้เงินจะซื้อทุกอย่างในชีวิตไม่ได้ แต่เงินก็ซื้อหลายๆ อย่างในชีวิตได้ ที่สำคัญคือมันให้โอกาสเราในการเป็นผู้เลือก และใช้ชีวิตอย่างที่เลือก เงินซื้อได้ไม่ทั้งหมดก็จริง แต่ถ้าพูดกันตามจริงเงินก็ซื้อได้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เขียนแล้วเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในท็อปไฟว์
ศิลปะของคนใช้เงินเป็น คือรู้ว่าจะใช้ซื้ออะไร ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของคนจน ซึ่งใช้จ่ายเงินเหมือนกระเชอก้นรั่ว คนที่ชอบบ่นว่าสิ้นเดือนไม่มีเงินเหลือ ชอบบ่นว่าค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตทำไมถึงได้สูงปรี๊ด (อย่าลืมรีบไปรีไฟแนนซ์นะ) พวกนี้คือพวกไม่รู้จักนิสัยในการใช้จ่ายของตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง และไม่มีเป้าหมายการออม ถ้าไม่อยากเป็นแบบนี้ ก็ต้องทำในสิ่งตรงกันข้าม

ทำความเข้าใจกับตัวเองผ่านรายจ่าย ก่อนอื่นขอให้ลองสำรวจตัวเองว่า มีการใช้จ่ายทำนองนี้บ้างหรือไม่



1.มื้อเที่ยงกินข้าวแกงจานละ 20 บาท ไม่ใส่ไข่ดาวนะ จะได้ประหยัด แต่ขากลับก่อนขึ้นออฟฟิศ ขอแวะซื้อกาแฟแบรนด์นอกถ้วยละ 100 กว่าบาท แหม...ก็มันติดกาแฟอ่ะ จริงๆ บนออฟฟิศก็มีบริการกาแฟฝาแดงให้ชงฟรีนะ แต่ไม่อยากกินเพราะรสชาติไม่คุ้นลิ้น

2.ช็อปปิ้งที่ตลาดนัดข้างตึกทุกวัน ถือเป็นการผ่อนคลายความเครียด และรักษาสมดุลชีวิต ซื้อเสื้อผ้าถูกๆ ใส่ แค่ตัวละ 159 บาท แต่สัปดาห์หนึ่งต้องซื้อไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าตัว จะได้เอาไปสลับแบบสลับสีกับเสื้อกระโปรงที่มีอยู่แล้ว (เต็มตู้เสื้อผ้าที่บ้าน) ถามว่าเสียดายเงินไหม-ก็ไม่นะ ตัวล่ะไม่กี่สตางค์...เศษเงินอ่ะ...ขำขำ

3.จากบ้านนั่งมอเตอร์ไซค์ออกมาที่ถนนใหญ่ ต่อแท็กซี่มาลงเรือ ขึ้นจากเรือแล้วไปรถไฟฟ้า ต่อจากรถไฟฟ้าขึ้นแท็กซี่เข้าออฟฟิศ รวมค่าเดินทางไป-กลับวันละไม่ต่ำกว่า 400 บาท

4.เนื้อตัวเหนียวกว่าคนทั่วไป ต้องให้คนอื่นอาบน้ำให้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1,500-3,000 บาท แถมต้องเตรียมเงินไว้คอยทิปอีกครั้งละ 300 บ้าง 500 บ้าง (กลัวถูกหาว่าไม่ป๋าไง)

5.สังคมจัดสุดสุด เย็นวันนี้สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนี้ เย็นพรุ่งนี้สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มโน้น ศุกร์สุดสัปดาห์มีนัดรียูเนียนกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมประถมอนุบาล ฯลฯ ตกค่าสังสรรค์วันเว้นวัน เหยียบสัปดาห์หนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท

6.วันหยุดก็ไม่หยุด ไม่อยากพักผ่อนที่บ้าน แต่ตะลอนๆ ออกไปไม่เว้น ชอบเปิดโลกกว้าง ดูหนังฟังเพลง ไปเล่นกอล์ฟ โยนโบว์ลและอื่นๆ ถ้าไม่ค่ำถ้าไม่มืดไม่กลับบ้าน

7.คลั่งเทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รุ่นใหม่ออกต้องตามติด เพราะกลัวเอาต์! เปลี่ยนมือถือหรือ PDA ทุก 3 เดือน ซื้อโน้ตบุ๊กใหม่ ซื้อคอมพ์ใหม่ทุกครั้งที่มีงานสินค้าไฮเทค

8.บอกใครๆ ว่าชอบอ่านหนังสือ แต่จริงๆ แล้วชอบดูแต่รูป ซื้อแมกกาซีน วารสารไทยเทศมาจนเต็มบ้านเต็มห้อง แต่ไม่เคยเปิดอ่าน (พลิกดูแต่รูป-มีคนอย่างนี้จริงๆ)

9.ชอบกินอาหารหรูๆ อย่างต่ำก็ต้องเดลิเวอรีสั่งมากินที่บ้าน

10.สมัครบัตรเครดิตเรื่อยไป ประมาณว่าอยากได้ของแถม (บางยี่ห้อก็แจกมาได้แค่ตุ๊กตาสตึๆ แต่ก็มีคนอยากได้แฮ่ะ) สมัครไปเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกเลิกทีหลัง แต่ขอโทษเถอะ เงินเดือนแค่หมื่นสองหมื่น แต่วงเงินบัตรรวมกันทั้งหมดมากกว่ารายได้รวมกันสามปีเสียอีก (ไม่รู้ผ่านอนุมัติมาได้ยังไงเนี่ย)

สรุปแล้วคือการไม่ประมาณตน ตัวเอง (มีปัญญา) จ่ายแค่ไหน ก็ควรวางแผนบริหารจัดการรายจ่ายให้เหมาะสม หมั่นเตือนตัวเองและทำบัญชีค่าใช้จ่าย ขอแนะนำการบันทึกรายจ่ายง่ายๆ แบบ Spread Sheet ในคอมพิวเตอร์ ขอให้ทำทุกวันโดยแบ่งเป็นหมวดๆ อย่างชัดเจน เช่น หมวดอาหาร หมวดค่าขนส่ง หมวดงานสังสันท์ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดเสื้อผ้าเครื่องประดับ หมวดภาษีสังคม (นานาซองทั้งหลาย) ฯลฯ

ที่สำคัญคือต้องลงบันทึกทุกวัน หรือในทันทีที่ทำได้ ทุกรายจ่ายที่จ่ายจริง-จดเลย เล็กน้อยแค่ไหนก็จำไว้ว่าต้องจด เช่น ให้เงินขอทานหน้าปากซอย 5 บาท หยอดกระป๋องมูลนิธิหมาพิการ 17 บาท ใส่ซองผ้าป่า 200 เงินหาย 500 ฯลฯ หลักการคือตามจริง และขอให้บันทึกต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน แล้วใช้โปรแกรม Spread Sheet เพื่อดูแพตเทิร์นการจ่าย หรือแบบแผนการใช้เงินของตัวเองว่า สุรุ่ยสุร่ายในหมวดใดสูงสุด รองลงมาๆๆๆ หรือหมวดไหนที่มีปัญหาวิธีนี้เราจะเช็กตัวเองได้ และสกัดกั้นการจ่ายได้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างน้อยก็จะรู้จักรายจ่ายของตัวเอง จับต้องได้ว่าใช้จ่ายด้านไหนเกินตัว จากนั้นวางแผนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายที่ควรลดมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายผันแปร (ค่าดูหนัง, ค่าเอนเตอร์เทน เป็นต้น) ส่วนค่าใช้จ่ายคงที่ส่วนใหญ่เป็นภาระหนี้สิน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ก็ควรมองหาโอกาสที่จะทำให้ลดลง

บันทึกรายจ่ายเพื่อการรู้จักตนเอง อย่างน้อยของอย่างน้อยที่สุด ก็พอจะเห็นแววว่า จะพัฒนาหรือเปลี่ยนไปในทางที่รวยได้ยังไง ถึงจะ(ยัง) ไม่รวย แต่ก็ไม่จนไปกว่านี้!




โพสต์ทูเดย์ ไลฟ์สไตล์ : รู้จักรายจ่ายของตัวเอง

.


http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E...B8%AD%E0%B8%87
.

http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C/92868/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 12, 2011, 05:32:45 pm
ออมสิน อนุมัติรีไฟแนนซ์ หนี้บัตรเครดิตแล้ว



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           

           ธนาคารออมสิน แจง ยอดลูกค้ายื่นขอรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต รวม 5,793 ราย คิดเป็นวงเงินกว่า 749 ล้านบาท อนุมัติแล้ว 254 ราย วงเงิน 25.03 ล้านบาท

           ความคืบหน้าการดำเนินโครงการรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ผ่านทางธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 - 10 มิถุนายน 2554 มีผู้สนใจยื่นผ่าน 650 สาขาทั่วประเทศ จำนวนขอกู้บัตรรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตกว่า 5,793 ราย วงเงินกว่า 749.7 ล้านบาท ทั้งนี้ทางธนาคารได้มีการอนุมัติวงเงินดังกล่าวไปแล้วจำนวน 254 ราย คิดเป็นวงเงิน 25.03 ล้านบาท



http://hilight.kapook.com/view/59052


[2 มิถุนายน] เริ่มแล้ว!  ลดหนี้บัตรเครดิต ช่วยเหลือลูกหนี้

            จากกรณีที่สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการ "ลดหนี้บัตรเครดิต" เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีภาระหนี้บัตรเครดิต และมีวินัยทางการเงิน  โดยวงเงินของโครงการรวม 3 ธนาคาร อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 มิถุนายน) ถึงสิ้นเดือน สิงหาคม 2554 นั้น …

           เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์ อำภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิต พร้อมเปิดการให้สินเชื่อแล้ว โดยทางธนาคารจะให้สินเชื่อเพื่อชำระหนี้กับลูกหนี้บัตรเครดิตรายที่มีเงื่อนไขชำระเงินขั้นต่ำได้ตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต และเป็นลูกหนี้ที่ดี ณ วันที่ 30 เมษายน  2554 เป็นต้นไป

           นายประสิทธิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการให้กู้นั้น ทางธนาคารจะให้ลูกหนี้กู้เพื่อนำเงินไปชำระหนี้บัตรเครดิตเต็มตามจำนวนของแต่ละบัตร และยกเลิกการใช้บัตรเครดิตใบนั้น แต่สำหรับกรณีที่มีหลายบัตร ลูกหนี้สามารถกู้ชำระเพียงบัตรใบใดใบหนึ่ง หรือทุกบัตรก็ได้ โดยธนาคารจะให้กู้ได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และเมื่อรวมกันวงเงินสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่เป็นสินเชื่อบุคคลที่มีอยู่กับธนาคาร ต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน โดยให้ผ่อนชำระเงินต้น พร้อมดอกเบี้นเป็นรายเดือน ๆ  ละเท่า ๆ กัน ภายในเวลา 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยMRR บวก 2.5% ต่อปี ปัจจุบันเท่ากับ 10% ต่อปี

           สำหรับโครงการลดภาระดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิตที่กู้ผ่านธนาคาร ลูกหนี้ก็ยังสามารถทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ โดยเสียค่าเบี้ยประกัน 440 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 100,000 บาท เบี้ยประกัน 880 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 200,000 บาท และเบี้ยประกัน 1,320 บาทต่อปี สำหรับวงเงินคุ้มครอง 300,000 บาท
 
           ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน ทางธนาคารได้จัดแพ็คเกจสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระตรงเวลา โดยลดดอกเบี้ยลง 0.50% สำหรับลูกหนี้ผ่อนชำระตรงเวลา 1ปี และลดดอกเบี้ยลง 1% ในปีถัดมา อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลูกหนี้ผ่อนชำระตามเงื่อนไขตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทางธนาคารจะให้สิทธิในการกู้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏและสินเชื่ออเนกประสงค์  โดยปีแรกจะลดดอกเบี้ยให้ 3.50% ต่อปี


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 17, 2011, 06:29:56 am
แฉกลโกงใหม่! ภัยคอลเซ็นเตอร์ เหยื่อสูญเงินนับล้าน

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/100_1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ยังคงตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทุกวันนี้มีเหยื่อรายหลายออกมาแฉถึงขั้นตอนกระบวนการที่โดนหลอก ให้บรรดาประชาชนรู้เท่าทัน แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สรรหารูปแบบวิธีการหลอกลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหยื่อตายใจและโอนเงินมาให้ใช้ อย่างสบายมือเลยทีเดียว

โดยเหยื่อรายล่าสุด ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ฟังว่า ตนมีเงินสะสมอยู่ในธนาคารอยู่ประมาณกว่าล้านบาท ซึ่งตนจะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ต้องเสียเงินที่มีทั้งหมดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยแก๊งดังกล่าว โทรมาหาตนทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วบอกกับตนว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ 4 หมื่นบาท ก่อนที่จะโอนสายโทรศัพท์ไปมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้าย ถูกโอนสายไปยังชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็น พันตำรวจโท จากดีเอสไอ ซึ่งชายดังกล่าว บอกกับตนว่า เงินที่อยู่ในบัญชีของตนนั้นเป็นเงินที่ถูกฟอก และมีความผิด ขณะเดียวกัน ก็พยายามหลอกล่อ ถามตนถึงจำนวนเงินในบัญชี ซึ่งตนตกใจเลยบอกจำนวนเงินดังกล่าวไป

จากนั้นคนร้ายก็ได้หลอกให้ตนไปกดเงิน โดยใช้หน้าจอภาษาอังกฤษ เพื่อให้ตนสับสน และหลอกให้ตนโอนเงินจำนวน 99,999 บาท ถึงสองครั้ง และให้ตนทำลายสลิปต์เงินทันที โดยอ้างว่าเป็นรหัสลับของทางราชการ อีกทั้งยังให้ตนเบิกเงินจากธนาคารจำนวน 1 ล้านบาท และไม่ยอมให้บอกใคร พร้อมทั้งติดตามดูพฤติกรรมของตนผ่านกล้องวงจรปิด เสร็จแล้วก็ให้ตนนำเงินเหล่านั้นโอนเข้าเครื่องรับฝากอัตโนมัติ จำนวน 3 บัญชี โดนโอนครั้งละ 100,000-200,000 บาท จนจำนวนเงินครบล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น คนร้ายยังทราบว่า ตนมีเงินอยู่ในธนาคารอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จึงออกอุบายให้ตนไปทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวต่อ แต่หลานสาวของตนทราบเรื่อง จึงสั่งระงับเงินที่เหลืออยู่ได้ ทำให้คนร้ายไหวตัวทัน และหนีไปได้ในที่สุด

ทางด้าน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยข้อมูลในการระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 ประเทศ โดยระบุว่า มีต้องหาทั้งสิ้น 692 คน เป็นชาวไต้หวัน 471 คน, จีน 214 คน, เวียดนาม 1 คน, เขมร 1 คน, เกาหลีใต้ 2 คน และไทย 3 คน ทั้งนี้คนร้ายในประเทศไทย จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร และบอกว่ามีหนี้บัตรเครดิต เสร็จแล้วจะโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจและบอกว่าเงินของเหยื่อเป็น เงินที่ถูกฟอก ซึ่งเหยื่อที่หลงกลเชื่อ ก็จะโอนเงินให้ทางเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นบัญชีกลางของทางราชการ

ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีกลยุทธใหม่ ๆ เพราะกลยุทธ์แบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล โดย วิธีใหม่นั้น เป็นการเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านรับสาย แล้วอ้างว่า ลูกหลานและญาติ ถูกจับไปเป็นตัวประกัน เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่น จากนั้นก็ทำเสียงเหมือนว่ามีการทำร้ายร่างกาย ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว ต้องโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมาในรูปแบบไหน อยากให้ประชาชนระมัดระวัง และไม่ให้หลงเชื่อโอนเงินให้ผู้อื่นง่าย ๆ อีกทั้ง อย่าให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวกับโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ครอบครัวข่าว 3

-http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/39570/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html-




.

-http://hilight.kapook.com/view/59847-

.

http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/39570/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html

http://hilight.kapook.com/view/59847

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: Plusz ที่ กรกฎาคม 24, 2011, 08:23:56 pm
ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม เยอะแยะมากมายจนอ่านไม่หมดเลยค่า  :14:
แต่อิ๋มอ่านอันนึงที่เกี่ยวกับ รายจ่ายของตัวเองค่ะ ตรงดี  :44:
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 24, 2011, 09:00:47 pm
ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม เยอะแยะมากมายจนอ่านไม่หมดเลยค่า  :14:
แต่อิ๋มอ่านอันนึงที่เกี่ยวกับ รายจ่ายของตัวเองค่ะ ตรงดี  :44:

รายได้ - เงินออม  =  ค่าใช้จ่าย

อิอิ

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: Plusz ที่ กรกฎาคม 24, 2011, 09:01:36 pm
ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม เยอะแยะมากมายจนอ่านไม่หมดเลยค่า  :14:
แต่อิ๋มอ่านอันนึงที่เกี่ยวกับ รายจ่ายของตัวเองค่ะ ตรงดี  :44:

รายได้ - เงินออม  =  ค่าใช้จ่าย

อิอิ

.

จ่ายไปต่ายมาเดี๋ยวก็หมดตัวละ เศร้า  :11: :11:
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 18, 2011, 09:32:50 pm
หลบลี้หนี'หนี้'และ'ลูกหนี้'

วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : หลบลี้หนี 'หนี้' และ 'ลูกหนี้'โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com

ด้วยความที่เป็นคน “อ่าน” ได้เรื่อยๆ ทำให้หลายๆ ครั้ง เพื่อนสนิทมิตรรักหรือคนรอบข้างมักจะมีหนังสือติดไม้ติดมือมาฝากอยู่บ่อยๆ ถูกจริตบ้าง ไม่ถูกจริตบ้าง แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรือความพยายาม เพียงแต่เล่มที่ “ชอบน้อย” ก็อาจจะใช้เวลานานกว่าเล่มที่ “ชอบมาก”


ส่วนตัวแล้ว คิดว่า “หนังสือ” ทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งช่วยคิด ช่วยหาคำตอบ ทางออก รวมทั้งยังช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาเบาบางจากภาวะรอบข้าง มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นหนังสือแนววัยรุ่น (ไม่รู้เหมือนกันว่าคนให้คิดยังไง) เป็นหนังสือแนวให้กำลังใจ ให้มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ซึ่งมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เสื้อผ้าหน้าผมมีส่วนอย่างมากกับชีวิตประจำวัน การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ สีหม่นหมอง หรือออกมาทำงานด้วยสภาพหัวฟู หน้าตาไม่แต่ง จะทำให้การใช้ชีวิตหดหู่ไปด้วย หนังสือยังยกตัวอย่างของผู้หญิงญี่ปุ่นซึ่งเน้นการแต่งตัวออกนอกบ้านที่ต้อง ยึด “แฟชั่น” ไว้ก่อน อย่างน้อยก็ทำให้คลายหดหู่ และชีวิตดูมีสีสันขึ้น

หรืออีกบทหนึ่งที่ว่าด้วย “สถานที่แห่งที่สามในชีวิต” นอก เหนือแห่งแรก คือ บ้าน และแห่งที่สอง คือ ที่ทำงานหรือโรงเรียน ผู้เขียนแนะนำให้เราเก็บสถานที่แห่งที่สามไว้ใน “จินตนาการ” เวลาจากปัญหา เครียดจากปัจจัยลบที่รุมเร้า ก็หาที่เงียบนั่งหลับตาคิดถึง “สถานที่” แห่งนั้น จะหลับตาเห็นทะเลกว้างไกล แม่น้ำสายยาวที่สงบนิ่ง หรือสนามหญ้าสีเขียวที่กว้างไกลสุดสายตา ใช้เวลาไม่นานก็จะฟื้นพลังชีวิตให้กลับคืนมาได้ไม่ยาก

ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด เพราะรู้สึกว่า เราตกอยู่ในโหมด “สับสนวุ่นวาย” ตามกระแสแห่งโลกยาวนานเหลือเกิน จนบางทีเราอาจจะอยากปล่อยชีวิตให้ “อ้อยอิ่ง” บ้าง
เช่นเดียวกับ “วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน” ที่สัปดาห์นี้อยากลอง “หลับตา” แล้วคิดถึงสถานที่แห่งที่สามหรือคิดเรื่องเงินอย่างสบายๆ เพื่อฟื้นพลังจากความยากในการบริหารเงิน ท่ามกลางความอลหม่านแห่งสถานการณ์ดูบ้าง

และไหนๆ ก็ว่าด้วยเรื่องของ “หนังสือ” ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว ดังนั้น วันนี้จึงขอต่อเนื่องเรื่องหนังสือที่เพิ่งได้รับจาก บริษัท ไพลินบุ๊คเน็ต จำกัด (มหาชน) ที่กรุณาส่งมาให้อ่าน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ต้องยอมรับว่า หนังสือพวกนี้เหมาะกับการพาเราออกจากความวุ่นวายมาก เพราะนอกจากราคาไม่แพงแล้ว ยัง “อ่านง่าย เข้าใจง่าย” ไม่ต้องตีความให้ยากเกินเข้าใจ

ที่เหมาะกับ “วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน” ก็ต้องยกให้เล่มนี้ “เคล็ดวิธีออมเงินให้ร่ำรวย” เขียนโดยนันทกานต์ ทรัพย์สุวรรณ ซึ่งจุดเด่นของหนังสือนอกจากจะ “อ่านง่าย” อย่างที่บอกไว้แล้ว หนังสือยังหยิบยกจากเรื่องใกล้ตัวที่เป็นลักษณะของการนำไปใช้ได้จริง ซึ่งต้องยอมรับว่าหลายครั้ง “ความเรียบง่าย” ก็กลายเป็นเสน่ห์ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ชีวิตไม่ต้องการความซับซ้อน การใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย ไม่ต้องปีนบันไดอ่าน แม้ว่า ไม่ได้แนะนำเทคนิคเลิศหรู หรือแนะนำการลงทุนชั้นเซียน แต่ก็ยังคงความมี “สาระ” ไว้ได้อย่างไม่พร่อง

หนังสือเล่มนี้มีหลายบทหลายตอนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อ “เทคนิคการใช้จ่ายและการออม” ซึ่งมีบัญญัติเรื่องนี้ถึง 19 ประการ หรือหัวข้อ “8 วิธีการออมเงินอย่าง ชาญฉลาด” รวมถึงหัวข้อ “11 วิธีคิดเพิ่มความรวย” ซึ่งเน้นเรื่องของการสร้างทัศนคติด้านบวก เช่น คิดว่าความรวยเกิดขึ้นได้เสมอ หรือการไม่ปล่อยให้ความจนมาครอบงำ ตลอดจนการสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเอง

แต่ที่จะขอหยิบยกมาฝาก เพราะรู้สึกว่า จะเหมาะกับคนหมู่มาก มีอยู่ 2 เรื่อง นั่นคือ 5 วิธีห่างไกลจากหนี้สิน ซึ่งได้แก่ การลดปริมาณบัตรเครดิตลง ยิ่งมีมาก แล้วยิ่งไม่มีวินัยในการใช้จ่าย ก็ทำให้มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงและแน่นอนว่าหนี้สินจะตามมา การฝึกนิสัยการชำระหนี้ให้ตรงเวลา ซึ่งผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ไม่ใช่แค่ต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ยเพิ่ม ขึ้น แต่ยังหมายถึงการสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองในการกู้ครั้งต่อไป เพราะเท่ากับประวัติการชำระหนี้ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว

เรื่องที่ 3 คือ รู้จักตรวจสอบก่อนจ่าย โดยเฉพาะในกรณีของบัตรเครดิตที่ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งจริงๆ สามารถขอยกเว้นจากผู้ให้บริการบัตรเครดิตได้ เลือกสิ่งที่ดีในการออม ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการฝากเงินเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝาก กับการนำเงินนั้นไปชำระหนี้เพื่อลดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่าแบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน

และสุดท้ายคือ รู้จักปรึกษาเมื่อมีปัญหา หมายถึงการปรึกษาเจ้าหนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้หาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือการยืดอายุหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหนี้จะมีความคิดผิดๆ นั่นคือ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ในทุกรูปแบบ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะหาทางออกร่วมกันได้

อีกหัวข้อในหนังสือเล่มนี้ที่คิดว่าหลายคนคงสนใจ เพราะมักประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน และไม่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือ เมื่อถูก “ยืมเงิน” หนังสือเล่มนี้แนะนำเทคนิคหลีกเลี่ยงพวกที่ชอบยืมเงิน 4 ข้อ นั่นคือ 1.ให้ปฏิเสธว่าไม่มี แล้วแกล้งขอยืมกลับ ว่ากันว่าได้ผลทีเดียว 2.กรณีที่ถูกยืมเป็นประจำ แล้วของเก่าก็ไม่ได้คืนสักที ก็ให้พูดตรงๆ ไปเลยว่า ถ้าของเก่าไม่คืน แล้วจะเอาที่ไหนไปให้ยืมอีก 3.คือ ต้องรู้จักพูดจาปฏิเสธ โดยอ้างเหตุผลเดือดร้อนของตัวเองบ้าง เช่น มีเรื่องต้องใช้เงิน ต้องจ่ายค่าเทอมลูก ญาติป่วยเข้าโรงพยาบาล ฯลฯ และข้อสุดท้าย คือ ให้เปิดบัญชีใหม่สำรองไว้ แล้วโชว์ให้คนที่ขอยืมดูบัญชีเก่าว่าไม่มีเงินเหลือจริงๆ ข้อนี้อาจทำให้หลุดพ้นจากข้อหา “คนไร้น้ำใจ” ได้
แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว คงต้องพิจารณาตามความจำเป็น ซึ่งคนถูกขอยืมจะรู้จักคนที่มายืมดีที่สุด ว่าเขาเป็นคนประเภทไหน เชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่ควรให้ความช่วยเหลือ เพราะเขาจะใช้เงินในทางที่ผิด การปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะดีที่สุด

หลังจาก “ลงลึก” เรื่องการลงทุนและการบริหารจัดการเงินมาหลายสัปดาห์ต่อเนื่องกันแล้ว สัปดาห์นี้ว่ากันเรื่องบ้านๆ ทั้งลดหนี้และลดจำนวนคนขอยืมเงิน ถือเสียว่า เป็นช่วง “หลับตา” ให้ผ่อนคลาย ตุนพลังไว้รับมือกับคลื่นลูกใหม่ที่จะถาโถมเข้ามา

http://www.komchadluek.net/detail/20110918/109418/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html (http://www.komchadluek.net/detail/20110918/109418/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html)

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2012, 07:15:54 am
แนะเก็บทอง-ลุยตลาดเกิดใหม่ หนีปัญหาหนี้ยุโรปไม่คืบ-USยังไม่ฟื้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2555 14:08 น.



นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนลงทุนในทองคำและสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ เหตุครึ่งปีแรกสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนหลังปัญหาหนี้ยุโรโซนยังไม่ชัดเจน และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่ฟื้นตัว

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลัง FED ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินไปจนถึงปี 2557 เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวต่อไปได้ และทำให้สภาพคล่องไหลกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้ำโภคภัณฑ์อย่างทองคำที่ได้รับผลดีไปเต็มๆ ราคาปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบ 1,750 - 1,800 US$/oz. ได้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในยุโรปยังไม่แน่นอน เรากำลังรอดูบทสรุปการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ที่คาดว่าจะรู้ผลในไม่ช้านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ายุโรปจะรอดพ้นจากวิกฤตหนี้ครั้งนี้แล้ว หากเรากลับไปดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของโปรตุเกสที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง สะท้อนความกังวลที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่โปรตุเกสอาจเลียนแบบกรีซ ในการขอเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้เอกชน นอกจากนี้ ยิ่งการเจรจาระหว่างกรีซและเจ้าหนี้ยืดเยื้อต่อไปก็จะยิ่งสร้างความกังวล เพิ่มขึ้น ทำให้เรายังคาดว่าครึ่งปีแรกของปี 2555 ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสที่จะต้องเผชิญกัลความผันผวนอยู่ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ทยอยลดพอร์ตการลงทุนลงเพื่อรับความผันผวนในระยะกลาง ซึ่งหากนักลงทุนลดพอร์ตแล้วให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน สำหรับเงินใหม่ที่จะนำมาลงทุนเราคงคำแนะนำให้ลงทุนพักเงินใน Money Market Fund ก่อน

โดยกองทุนตลาดเงินที่แนะนำยังเป็นPCASH ของ บลจ. ฟิลลิป และรอจังหวะความผันผวนเพื่อเก็บสะสมกองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก สำหรับการลงทุนระยะยาวโดยกองทุนรวมที่เราแนะนำได้แก่ ABAPAC (Aberdeen Asia Pacific ex Japan), T-Global Bond ของ บลจ. ธนชาต และกองทุนทองคำ T-Gold Bullion-H ของ บลจ. ธนชาต ที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับนักลงทุนกองทุน LTF สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์แรกที่เริ่มงดการซื้อและสับเปลี่ยนเข้ากองทุน KSDLTF แต่การสับเปลี่ยนออกยังคงทำได้ อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้นักลงทุนอยู่ใน KSDLTF ไปก่อน และสับเปลี่ยนออกเมื่อมีโอกาส

ทั้งนี้ เรายังคงต้องเน้นย้ำให้ระมัดระวังความผันผวน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัญหาหนี้ยุโรป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยช่วงต้นสัปดาห์ราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้รับแรงหนุนจากการขยายเวลาผ่อนคลาย นโยบายการเงิน คงอัตราดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0%(0 - 0.25%) ไปจนถึงปี 2557 และตลาดความคาดหวังว่าจะได้เห็นบทสรุปของการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ระหว่าง กรีซ และเจ้าหนี้เอกชน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ออกมาน่าผิดหวัง ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 377,000 ราย มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาส 4/54 ออกมา 2.8% ต่ำกว่าที่คาดกันไว้ที่ 3%นอกจากนี้ การเจรจาระหว่างกรีซ และเจ้าหนี้เอกชนยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้ง ขณะที่ Fitch ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศยุโรป (อิตาลี, สเปน, เบลเยียม, สโลวีเนีย และไซปรัส)

นอกจากนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา FED ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0 - 0.25% ต่อไปอีกจนถึงปี 2557 ซึ่งทำให้แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ในระยะยาวคาดว่าจะอ่อนค่าลงอีก และมีความคาดหวังว่าจะได้เห็นมาตรการ QE เพิ่มเติม เป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาสนในสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น ดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงอีกสัปดาห์โดยวันศุกร์ราคาทองคำปิดที่ 1,737.20 US$/oz. (+4.25% WoW) อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังคงทรงตัวแถวระดับ 100 US$/bbl. ตามเดิม โดยปัจจัยหลักยังคงเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตก กับอิหร่านภาวะตลาดประจำสัปดาห์

-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015564-

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2012, 07:16:30 am
สร้างทั้งพอร์ตให้เป็นกองทุนรวม(ภาค 2)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 กุมภาพันธ์ 2555 14:04 น.


โดยโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้มาเรียนรู้วิธีสร้างความมั่งคั่งด้วยวิธีนี้ได้ ด้วยการประดิษฐ์ “พอร์ตลงทุน” ของตัวเอง โดยใช้กองทุนรวมแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือหรือสินทรัพย์ลงทุนกันไปแล้วซึ่ง ในสัปดาห์นี้ เรามาเรียนรู้ 2 ขั้นตอนหลัก การสร้างพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ ที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จในการลงทุน กันก่อนนะครับ

ขั้นที่ 1.สร้างเป้าหมาย สร้างนโยบายตามสไตล์ของคุณเอง
เพราะคนเราอยากมีเงินออมไว้ใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ในเวลาที่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่เงินลงทุนก็มีปริมาณแตกต่างกัน ดังนั้น การออกแบบพอร์ต จึงต้องเริ่มจาก “แผนการลงทุน” ของแต่ละคนก่อน เช่น พอร์ตของคนทำงาน พอร์ตของคนโสด พอร์ตของคนสูงวัย ในขั้นตอนนี้ ถือว่าเป็นการสำรวจตัวเอง ว่าเรามีเป้าหมายทางการเงินอย่างไร มีรายได้ ภาระ หรือแผนชีวิตเช่นไร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ คือเงื่อนไขสำคัญเพื่อการกำหนดรูปแบบพอร์ตลงทุน ที่จะต้องสร้างผลตอบแทน ให้สนองตอบต่อแผนชีวิต เพราะอย่าลืมว่า “แผนชีวิต เป็นจริงได้ ใช้เงินทำ” อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่แล้วพอร์ตลงทุน มักมีรูปแบบนโยบาย ดังต่อไปนี้

- แบบปกป้องมั่นใจ-Capital Preservation : คือให้พอร์ตมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เน้นให้เงิน
ต้น หรือเงินลงทุนไม่สูญหาย ซึ่งการลงทุนแบบนี้ จะลดโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนสูงๆ เพราะต้องมีต้นทุนในการปกป้องเงินทุนไม่ให้หดหาย กองทุนรวมที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์แบบนี้ อาทิเช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นต้น

- แบบสร้างรายได้ประจำ-Current Income : ด้วยวัตถุประสงค์ที่คุณอยากได้กระแสเงินสดรับ
หรือรายได้ที่แน่นอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรายได้ประจำกลับมาใช้หมุนเวียน หรือมาลงทุนเพิ่ม กองทุนรวมที่ให้ดอกผลแบบนี้ ก็เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการจ่ายเงินปันผล กองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เป็นต้น

- แบบเพิ่มค่าเงินทุน-Capital Appreciation : เพื่อให้เงินลงทุนมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าเงินเริ่มลงทุนเริ่มต้น หรือเรียกอย่างง่ายๆ ว่า คุณมุ่งหวังให้ได้รับผลตอบแทนจำนวนมาก จากพอร์ตการลงทุน และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ โดยกองทุนรวมที่ตอบความต้องการแบบนี้ เช่น กองทุนรวมหุ้นสามัญที่เน้นลงทุนในกิจการที่เติบโต เป็นต้น อย่างไรก็ดี คนที่เลือกนโยบายพอร์ตแบบนี้ ต้องยอมรับว่า มีโอกาสทั้งได้ผลตอบแทนสูงและขาดทุนได้เช่นกัน

- แบบผลตอบแทนรวม-Total Return : เพื่อ ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ผสมผสานกันไป เพราะแต่ละรูปแบบกองทุนที่นำเงินไปลงทุน มีหลากหลายสินทรัพย์ ที่มีธรรมชาติของการเพิ่มค่า ความผันผวน ความมั่นคง ที่แตกต่างจากกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือเน้นให้มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยกองทุนรวมที่อยู่ในพอร์ตของคุณอาจเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น

ขั้นที่ 2.สร้างความรู้ ดูทางเลือก
เมื่อมีแผนการลงทุนของตัวเอง เลือกวัตถุประสงค์ และนโยบายการลงทุนของตนเองได้แล้ว ในขั้นตอนต่อไป เราต้องเตรียมความรู้ให้กับตัวเองเพิ่มเติม โดยสำรวจและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมการลงทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสร้างพอร์ตการลงทุนของเรา อาทิเช่น

สำรวจช่องทาง ตัวเลือกการลงทุน : เพราะสมัยนี้เป็นยุคของผู้บริโภคที่สามารถเลือกการลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ คล้ายๆ กับการสั่งตัดเสื้อผ้า เพราะความหลากหลายของสินค้าก็ดี บริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซื้อขายหน่วยลงทุน ทั้งช่องทางปกติที่มีอยู่ตามเคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์ บริษัหหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ซึ่งมีถึง 21 แห่ง หรือแม้กระทั่งโบรเกอร์ก็ยังให้บริการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม หรือการให้บริการทางการเงิน ผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ

ในขณะที่ กองทุนรวมก็มีหลากหลายนโยบาย ทั้งลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ในทองคำ หรือในน้ำมัน ซึ่งมีผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ขั้นตอนนี้ จึงถือว่าสำคัญมาก เพราะอย่างน้อยเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของสินทรัพย์ที่บริษัทหลัก ทรัพย์จัดการลงทุน นำเงินไปลงทุน ว่าให้ผลตอบแทนและมีความเสี่ยงเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถศึกษาหาข้อมูลได้ที่ Thai Mutual Fund ::AIMC:: หรือ website ของบริษัทจัดการทั้ง 21 แห่ง รวมถึงหนังสือชี้ชวนลงทุนของแต่ละกองทุนด้วย

ประเมินภาวะตลาด : อีกปัจจัยที่ต้องลงมือทำความเข้าใจ คือการศึกษาถึงสภาพเศรษฐกิจ ทั้งในระดับใหญ่หรือมหภาค และระดับย่อยคือจุลภาค ที่รายล้อมการลงทุนอยู่ เพื่อให้เราทราบว่าเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมระดับโลกและระดับประเทศเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคตด้วย เพราะตัวแปรทางเศรษฐกิจ บางตัวก็ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่จะเป็นผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบ ก็ต้องพิจารณาในรายละเอียดกันต่อไป แต่บางตัวแปรอาจส่งผลกระทบกับบางธุรกิจเท่านั้น เช่น เมื่อเกิดสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นขึ้น ธุรกิจส่วนมากได้รับผลกระทบในทางลบ เช่นกลุ่มยานยนต์ต้องหยุดผลิตชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นผลดีกับบางธุรกิจเช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาจจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สามารถส่งออกอาหารไปยังญี่ปุ่นได้มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องเรียนรู้และติดตาม เพื่อประเมินความเสี่ยงและพยากรณ์อัตราผลตอบแทนที่น่าจเกิดขึ้นและควรได้รับ โดยอาจอาศัยเครื่องมือต่างๆ ในการประเมินภาวะตลาด เช่น ความเห็นของเสียงข้างมาก หรือ ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาค (อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, การเติบโตของ GDP) เป็นต้น

ในสัปดาห์หน้ามาพบกับ 2 ขั้นตอนสุดท้าย ในการทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณ ก็จะออกดอกออกผลได้ตามแผนที่วางไว้ กันนะครับ


-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015555-

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2012, 07:18:28 am
ปุจฉา วิสัชนา ทองคำปีมังกร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
1 กุมภาพันธ์ 2555 00:00 น.    

   1.มองราคาทองคำ ณ วันนี้ว่าเป็นอย่างไร ทำไมราคาทองคำจึงลดลงเร็วและแรงช่วงปลายปีที่ผ่านมา
       
       - ราคาทองคำลดลงแรง เพราะถูกเก็งกำไรมากเกินไปในช่วงก่อนหน้า (ราคาทองคำขึ้นมาเร็วและแรงเกินไปในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว) จากความคาดหวังว่าจะมี QE3 และความกังวลว่าปัญหาหนี้ยุโรปจะลุกลามจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้มีแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปซื้อ USD ซึ่งเป็น Safe haven ซึ่งทองคำก็จะถูกขายออกมาด้วยเช่นกันเป็นเรื่องของ Greed - Fear
       
       - ทั้งนี้ ช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง กองทุนทองคำอย่าง SPDR ยังไม่ได้ขายออกมา
       
       2.ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในปีนี้มีอะไรบ้าง
       
       -ปัจจัยบวกคือ การอัดฉีดเงินของประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ยุโรปหรือสหรัฐ / นโยบายอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำมาก (โดยเฉพาะ FED ที่บอกว่าจะตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำไปจนถึงปี 2014) / Jewelry demand จากจีนและอินเดียที่เพิ่มต่อเนื่อง/ ธนาคารกลางหลายประเทศเพิ่มสัดส่วนทองคำในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น
       
       -ปัจจัยลบ คือ การกระทำอะไรก็ตามที่ตรงข้ามกับปัจจัยบวก ซึ่งเราคิดว่าคงไม่น่าจะมี
       
       -GOLD vs USD : ถึงทองคำจะให้ผลตอบแทนผกผันกับ USD บ้าง แต่ถ้ามองระยะยาวแล้วก็ไม่ได้มีผลมากนัก ในบางช่วงก็จะเห็นว่า ราคาทองคำกับ USD ไปในทางเดียวกันด้วยซ้ำ
       
       -Target : ไม่ควรคาดหวังราคาทองคำเกิน 10% ต่อปี ถ้าคิดจากราคาเฉลี่ยช่วงใกล้สิ้นปีก่อนที่บริเวณ $1,600/oz. เป้าหมายปีนี้ก็จะเท่ากับ $1,750/oz. (ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 11 ปี ตั้งแต่ปี 2001- ปัจจุบัน อยู่ที่ 18.1% ($266.55 ? $1,665/oz.)
       
       -Trend  : เชื่อว่าแนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้น ที่ยังมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และมาตรการต่างๆ ของนโยบายการคลังและการเงินที่ออกมา
       
       3.คิดว่าราคาทองคำระหว่างปีจะเคลื่อนไหวอย่างไร ปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มยุโรป จะส่งผลต่อราคาทองคำแค่ไหน
       
       - ทองคำมักจะให้ผลตอบแทนที่ดี ช่วงเดือน 3-4 และ เดือน 8-11 ในแต่ละปี ซึ่งไปตรงกับช่วง High season ของความต้องการทองคำจากอินเดีย ที่มีเทศกาลแต่งงานและเทศกาลปีใหม่ของอินเดีย
       
       -ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรป จะส่งผลต่อราคาทองคำแบบไหนนั้น ขึ้นกับว่า นโยบายที่จะใช้แก้ปัญหาจะออกมาในรูปแบบไหน ถ้าแก้ปัญหาด้วยนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องหรือคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ (แบบปัจจุบันที่เป็น) จะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ แต่ถ้าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Money Supply ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อทองคำมากนัก
       
       -4.ราคาทองคำวันนี้ถือว่าเข้าสู่ยุคฟองสบู่หรือยัง--
       
       -ยัง (ในที่นี้ ฟองสบู่คือ การที่ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ โดยเกินปัจจัยพื้นฐาน) เพราะ 1. ทองคำยังไม่ได้อยู่ในสภาพ over-owned (over-owned คือสภาพที่ทุกคนมีสินทรัพย์นั้นๆ อยู่ในพอร์ต เมื่อมีข่าวดี ก็จะเกิดการเทขายทำกำไรทันที ในที่นี้คือทองคำ) 2. แม้ทองคำอาจจะเข้าสู่ช่วง เก็งกำไรมากเกินไปในปี 2011 แต่ราคาทองคำได้ปรับฐานไปช่วงหนึ่งแล้วและปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ตามที่กล่าวในข้อ 2
       
       5.กองทุนบางกองที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ผลอัตราแลกเปลี่ยนเองมีผลต่อผลประกอบการกองทุนอย่างไร และเมื่อเปรียบเทียบกับทองคำที่ซื้อขายในประเทศก็ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกันใช่หรือไม่
       
       - ระยะยาวอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อผลตอบแทนของทองคำไม่มากนัก ในปี 2554 ผลตอบแทนของทองคำไทย (16%) ดีกว่าทองคำโลก (9%) โดยเป็นผลจากค่าเงิน แต่ในระยะยาวเราไม่ได้หวังจะได้กำไรจากค่าเงิน เพราะมองว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ
       
       - กองทุนที่ไม่ได้ทำการประกันความเสี่ยงสำหรับค่าเงิน เช่น บัวหลวงโกลด์ฟันด์ และบัวหลวงโกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BGOLD & BGOLDRMF) เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวกับราคาทองคำในประเทศ อีกทั้งเพื่อเป็นช่องทางในการกระจายการลงทุนสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินบาท (non BAHT asset) เพราะอยากให้นักลงทุนมองทองคำ เป็นอีกเงินตราสกุลหนึ่งในตลาดโลก ที่ไม่สามารถถูกพิมพ์เพิ่มขึ้นได้ตามความต้องการของธนาคารกลาง

http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014022 (http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000014022)

.


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 09:59:20 am
สมาคมฯ เดินหน้ากวาดล้างแก๊งทองปลอม เตรียมชง ปปง. ยึดทรัพย์
-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73-

(http://www.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0017.jpg)

(http://www.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0019.jpg)

หลังจากที่เกิดปัญหากลุ่มมิจฉาชีพได้นำทองปลอมไปหลอกขายตามร้านค้าทองต่างๆทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจการค้าทองคำของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้ประกอบการและผู้ผลิตซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมค้าทองคำได้เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวและพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องแต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป
 
จนกระทั่งได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาทองปลอม พร้อมระดมเงินจากร้านผู้ผลิต ในการจัดตั้ง “กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม” เพื่อดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการเข้าจับกุมทลายแหล่งผลิตทองปลอม โดยสมาคมค้าทองคำ ร่วมกับตำรวจนครบาล เข้าจับกุมโรงงานผลิตทองปลอม ภายในทาวน์เฮ้าส์เลขที่ 69/16 ซอยจรัญวิลล่า 13 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ ที่ดัดแปลงเป็นโรงงานทำทองรูปพรรณ มีโต๊ะสำหรับประกอบทอง 9 ตัว อุปกรณ์หลอมทอง และตราสัญลักษณ์ร้านทองในสมาคมค้าทองคำที่ถูกดัดแปลงขึ้นมา โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าใช้ทองคำแท้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์หุ้มเงิน ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่รู้ และนำไปฝากขายตามร้านขายทอง ย่านบางลำพู ประชาอุทิศ สะพานควาย และบางกรวย หรือขายฝากตามโรงรับจำนำ เนื่องจากไม่เผาไฟเพื่อตรวจสอบทอง ทำให้ยากต่อการถูกจับกุม ทั้งนี้ ตำรวจเชื่อว่าผู้ต้องหาทำเป็นขบวนการ สำหรับร้านทองที่เคยถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้หลอก สามารถแจ้งความได้ที่ สน.บางเสาธง
   จากการจับกุมดังกล่าว ทำให้ปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดทองปลอมลดน้อยลง แต่ทางสมาคมฯได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทลายแหล่งผลิตหรือการดำเนินการกับผู้ที่นำทองปลอมมาจำหน่ายให้กับร้านค้า ซึ่งล่าสุดได้มีการจับกุมและดำเนินคดีหลายราย โดยนายสมศักดิ์ ตัณฑชน กรรมการสมาคมค้าทองคำ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการแก้ไขปัญหาทองปลอม เปิดเผยว่า ได้มีการจับกุมแก๊งทองปลอมอีก 3 จุด คือที่ อ.ฝาง จ.ลำพูน ที่ จ.เชียงใหม่ และที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งทางสมาคมฯได้ส่งทนายขึ้นไปดำเนินการอย่างถึงที่สุด ซึ่งทั้ง 3 รายส่วนใหญ่พยายามแสดงตัวว่าเป็นชาวบ้านแต่เท่าที่ทราบแก๊งที่ อ.ฝาง น่าจะเป็นแก๊งใหญ่ ส่วนที่ จ.ลำพูน ก็เคยโดนดำเนินคดีมาแล้วหนึ่งครั้งก่อนที่จะมาถูกจับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
   การดำเนินงานของสมาคมฯจากนี้ไป จะเริ่มประสานงานต่ออย่างจริงจัง โดยจะไปเข้าพบกับทางตำรวจเพื่อดูหน่วยงานที่จะเข้ามาประสานงานเรื่องของการกวาดล้างจับกุม จากนั้นจะเข้าไปพูดคุยกับสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องของทนายที่จะเข้ามาฟ้องร้องคดี เนื่องจากในบางคดีอยู่ในพื้นที่ห่างไกล กว่าที่ทนายจากส่วนกลางจะไปถึงก็อาจจะไม่ทันการณ์ จึงอาจจะต้องใช้ทนายในพื้นที่เข้าดำเนินการ
นายสมศักดิ์ได้กล่าวถึงปัญหาในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นว่า ประการแรกคือ ผู้ผลิตไม่ยอมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งสมาคมฯ อยากให้ร้านค้าไปจดทะเบียนไว้ เพราะถือเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้าไปเอาผิดกับกลุ่มมิจฉาชีพ เพราะโทษในการละเมิดเครื่องหมายการค้าสูงมาก และประการที่สอง ร้านค้า ยอมความกัน ไม่พยายามฟ้องร้องให้สำเร็จ เพราะกลัวเสียเวลา แต่ขณะนี้ตำรวจได้ยกให้คดีเกี่ยวกับทองคำเป็นคดีพิเศษ ทางสถานีตำรวจแต่ละที่ก็อำนวยความสะดวก ทำงานง่ายขึ้น ไม่ต้องรอเป็นวัน ๆ
   ส่วนการกวาดล้างแหล่งผลิตนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ไม่อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อจับกุมได้ก็จะไม่มีการซัดทอดไปถึงบุคคลอื่น พยายามที่จะให้คดียุติโดยเร็ว ทำให้ยากต่อการขยายผล
สำหรับเทคนิคของกลุ่มมิจฉาชีพที่นำมาใช้ นอกเหนือจากเรื่องของการยัดไส้เงิน ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว อีกเทคนิคที่นิยมกันก็คือ เอาของจริงมาพยายามจะขายหรือขายฝาก เมื่อร้านทองตรวจเช็กเสร็จก็จะขอราคาสูง แต่ไม่สามารถทำได้จึงขอทองคืน จากนั้นก็พยายามหาเรื่องพูดคุยเพื่อเปลี่ยนเป็นของปลอม ก่อนที่จะเจรจาเรื่องราคาอีกรอบและตกลงซื้อขาย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีสมาธิตลอดเวลา เพราะกลุ่มมิจฉาชีพจะสังเกตตลอด หากร้านค้าเริ่มคล้อยตามก็จะลงมือทันที
“การแก้ปัญหา ร้านค้าจะต้องยอมเสียสละเวลาในการประสานกับสมาคมฯเพื่อส่งทนายเข้าไปดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้กลุ่มมิจฉาชีพเกิดความหวาดกลัว และตัดวงจรในส่วนนี้ไป ซึ่งทางสมาคมฯก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องของการป้องกัน การรวมตัวของผู้ประกอบการในพื้นที่ในการตั้งเป็นชมรมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะได้ช่วยกันระมัดระวังและมีการแจ้งข่าวสารกันหากเกิดปัญหาเรื่องของทองปลอมระบาดในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งสมาคมฯต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้หมดสิ้น”
 
   ด้านนายสมบูรณ์ ภุชงค์โสภาพันธุ์ กรรมการสมาคมฯ หนึ่งในคณะอนุกรรมการทองปลอม กล่าวว่า ปัญหาเรื่องของทองปลอมมีมานานแล้ว และกลุ่มมิจฉาชีพก็พัฒนารูปแบบการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทองราคาสูง กลุ่มมิจฉาชีพก็จะออกปฏิบัติการมากขึ้น โดยในอดีตอาจจะทำแค่เพียงไปซื้อสร้อยเงินมาชุบทองขาย ตอนหลังมีทองโปร่งยัดไส้ ซึ่งรูปแบบการปลอมแปลงก็จะละเอียดมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อจับได้ก็ไม่สามารถสาวถึงตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้ แต่คดีล่าสุดต้องขอชื่นชมความสามารถของตำรวจที่ติดตามคดีขยายผลจากคดีเล็กมาเป็นคดีใหญ่
อย่างไรก็ตาม มีการหลอกลวงอีกรูปแบบหนึ่งที่อยากให้ร้านทองระมัดระวัง ก็คือการทำทองเปอร์เซ็นต์ต่ำให้สีดูสวย เพราะส่วนมากร้านทองดูหรือว่าไม่มีเงินยัดไส้ภายในก็รับจำนำ แต่ว่าแนะนำให้ฝนกับหินดู ถ้าทองเปอร์เซ็นต์ต่ำลงมันก็จะสีหม่น ๆ ต้องดูที่หิน บางทีเห็นสภาพดี ๆ นึกว่าทอง อย่าไปดูยี่ห้อ แต่อยากให้ดูปฏิกิริยาของคนร้ายด้วย เพราะหากเรารู้จักลูกค้าของเราดี ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลง
“กลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราในฐานะ ที่ดูแลกลุ่มผู้ประกอบการ ก็ต้องหาวิธีการที่จะดำเนินการเมื่อกลุ่มมิจฉาชีพเห็นว่าสมาคมฯ มีการจัดตั้งกองทุน มีทีมงานที่ทำคดีกับคนร้ายก็อาจจะหยุดการดำเนินงาน หรืออาจจะเพลาการทำงานลงไป ที่สำคัญ ทางสมาคมฯกำลังดำเนินการขอให้คดีการปลอมเครื่องหมายการค้า เป็นความผิดที่ต้องถูกยึดทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับทางเลขาฯ ปปง. แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนทางเอกสาร หากการดำเนินงานสำเร็จ เงินที่กลุ่มมิจฉาชีพได้มาจากการหลอกร้านทอง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชนก็มีเหตุอันควรที่จะถูกยึดทรัพย์ได้” นายสมบูรณ์ กล่าว
    นายสมบูรณ์ยังได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของทองปลอมในเมืองไทยว่า มันเหมือนเทคโนโลยีมือถือ แรก ๆ ก็เป็นขั้นพื้นฐาน นำทองชุบซื้อตามตลาดนัดมาขาย ร้านทองก็เริ่มระมัดระวังตัว มีการนำวิธีการต่าง ๆ มาพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาไฟหรือฝนกับหินทองน้ำกรด จากนั้นก็พัฒนาเรื่อยมา ทองตลาดนัดจะเบาเพราะเป็นทองเหลือง เวลาร้านทองที่มีประสบการณ์จับก็จะรู้ทันที คนร้ายก็เริ่มพัฒนาเอาซิลเวอร์ชุบทองเป็นการพัฒนาไปอีกขั้น แต่ร้านทองก็ตรวจสอบได้ จึงพัฒนามาถึงขั้นสอดไส้เข้าไปข้างในทั้งปล้อง พอใส่ในปล้อง ร้านทองก็รู้และสร้อยคอที่มีปล้องต้องระวัง พอระวังตอนหลังคนร้ายก็ไม่ใส่ที่ปล้องและไปปลอมที่เนื้อทองเลย ยุคสุดท้ายที่ระบาดอยู่ ตัวปล้องนี่โปร่งใส แล้วเห็นว่าไม่มีการยัดไส้แต่เนื้อทองทำเปอร์เซ็นต์ต่ำ
 
    ขณะเดียวกันกลุ่มมิจฉาชีพก็มักจะจ้างผู้หญิง เด็ก คนสูงอายุ มาเป็นหน้าม้า เพราะเมื่อถูกจับกุมก็ขอความเห็นใจ และสังคมก็จะมองว่าเป็นคดีคนรวยรังแกคนจน แต่จริง ๆ พวกนี้คือมีอาชีพรับจ้าง เพราะถ้าเช็กจากประวัติคนร้ายก่อคดีมาหลายจังหวัดเป็นอาชีพเค้าเลย จากนี้ไปสมาคมฯ จะทำป้ายเตือน การรับจ้างเอาทองปลอมมาขายให้มีความผิดรับโทษทางกฎหมาย ทางสมาคมฯจะดำเนินคดีสูงสุด เหมือนไปเปิดบัญชีธนาคาร คนไม่รู้เรื่องก็ตกเป็นเหยื่อ หรือว่าพอรู้เรื่องแต่ก็เตือนให้รู้ว่าเอาจริง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประสานงานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ จัดหาทนายให้เมื่อคดีเกิดในจังหวัดไกล ๆ จะได้ไม่ต้องบินจากกรุงเทพฯ พร้อมกันนั้นจะขอความร่วมมือให้ขึ้นแบล็กลิสต์ทนายที่วิ่งคดีให้คนร้าย
 
    นายสมบูรณ์ ยังแนะนำร้านค้าเมื่อมีกลุ่มมิจฉาชีพนำทองปลอมมาจำหน่ายว่า ขั้นแรกต้องแจ้งตำรวจให้มาจับคนร้ายให้ได้ก่อนเอาตัวไปสถานีตำรวจลงบันทึกประจำวัน จากนั้นให้โทร.มายังสมาคมฯ สมาคมฯจะประสานงานหาเจ้าของร้าน เพราะในตัวสร้อยจะมีตรายี่ห้อผู้ผลิต ก่อนที่จะประสานตำรวจพื้นที่ และจัดส่งทนายไปดำเนินการ โดยร้านทองที่ถูกหลอกลวง เซ็นยินยอมให้ดำเนินการแทน ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลา และสมาคมฯ ก็สามารถตัดตอนขบวนการแก๊งทองปลอมให้หายไปจากวงการ
 
   อย่างไรก็ตามทางสมาคมฯขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับร้านค้าและประชาชนที่มาซื้อขายทองเกี่ยวกับข่าวการแพร่ระบาดของทองปลอมที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้หลายท่านอาจมีความกังวลว่า ถ้าไปซื้อทองแล้วจะเจอทองปลอมหรือไม่ หลายครั้งที่การเสนอข่าวอาจคลาดเคลื่อนจนทำให้เกิดความสับสน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจร้านทองแบบผิด ๆดังนั้นจึงขออธิบายทำความเข้าใจ ดังนี้
1. ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายผลิตทองปลอมนำมาขายหรือขายฝากกับร้านทองเท่านั้น ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภค
2. เมื่อร้านทองรับซื้อทองเก่าจากลูกค้า ซึ่งอาจเป็นคนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายนั้น ร้านทองจะไม่มีการนำทองเก่าที่รับซื้อจากลูกค้ามาขายซ้ำให้กับลูกค้ารายใหม่ แต่จะนำกลับไปหลอมเพื่อผลิตทองรูปพรรณชิ้นใหม่แทนทั้งหมด
     3. ดังนั้น ลูกค้าผู้บริโภคสามารถสบายใจได้เลยว่า หากท่านไปซื้อทองกับร้านทองใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะร้านเล็กหรือร้านใหญ่ กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เยาวราชหรือรอบนอก ท่านก็จะได้ทองคำแท้อย่างแน่นอน
   สำหรับรายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ ผู้ร่วมก่อตั้ง“กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม” (จากการปลอมแปลงของมิจฉาชีพ นำมาหลอกขายร้านทอง) มีดังนี้ "รายชื่อร้านทองผู้ผลิตที่ร่วมกองทุนฯ"
    หากร้านทองใด พบเห็นการปลอมแปลงสินค้า หรือนำทองรูปพรรณปลอมยี่ห้อผู้ผลิตฯ ตามรายชื่อ(ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนฯ) ด้านล่างนี้ มาขายกับร้านทองของท่านกรุณาแจ้งข้อมูลมายังสมาคมฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2675-8000 ทันที เพื่อร่วมมือร่วมใจกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวร้านทองทั่วประเทศ

ที่มา : คอลัมน์ "เรื่องจากปก"

วารสารทองคำ ฉบับที่ 35 โดยสมาคมค้าทองคำ

-www.goldtraders.or.th-

-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73]http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=73-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:01:42 am
รายชื่อผู้ผลิตทองรูปพรรณ ผู้ก่อตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม

ประกาศรายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ
ผู้ร่วมก่อตั้ง "กองทุนแก้ไขปัญหาทองปลอม"
(จากการปลอมแปลงของมิจฉาชีพ นำมาหลอกขายร้านทอง)
หากร้านทองใด พบเห็นการปลอมแปลงสินค้า หรือนำทองรูปพรรณปลอมยี่ห้อผู้ผลิตฯ ตามรายชื่อ(ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนฯ) ด้านล่างนี้ มาขายกับร้านทองของท่านฯ กรุณาแจ้งข้อมูลมายังสมาคมฯ ทันที
เพื่อดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
โทร. 0-2675-8000


ลำดับ    ชื่อร้าน
1    ห้างทองย่งฮะฮวดซุ่นกี่
2    ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ชั่งเซ้ง
3    บริษัท ห้างขายทอง ทองใบเยาวราช (สี่แยกวัดตึก) จำกัด
4    บริษัท ห้างขายทองโง้วชั้งเซ้ง จำกัด
5    บริษัท ชมพู (บ้วนหลี) จำกัด
6    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองไท้เส็งเฮง
7    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเคว่งหลี
8    ห้างทองอั้งเซ่งเฮง
9    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองพุดเซ้ง
10    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็งฮงฮวด
11    บริษัท ขายทองแต้จิ้งเส็ง พาณิชย์ จำกัด
12    ห้างหุ้นส่วนจำกัด จินชอง
13    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองจิบฮุย
14    ห้างทอง ลี้น่ำฮวด
15    ห้างทอง เจี้ยฮั้ว
16    คณะบุคคล ห้างทอง ทองไพโรจน์ ชัยภูมิ
17    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองก้วยเซ่งเฮง
18    บริษัท ห้างทองหยงเตียน จำกัด
19    บริษัท ทองเปียเซ้ง จำกัด
20    บริษัท ที.พี.เอช (2004) จำกัด
21    บริษัท ห้างทองนำเกียเฮง จำกัด
22    บริษัท โกลด์สยาม จำกัด
23    บริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด
24    บริษัท ห้างขายทอง โต๊ะกังเยาวราช จำกัด
25    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองบ้วนฮั่วล้ง
26    ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์
27    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างค้าทองยู่หลงกิมกี่
28    บริษัท จูเจียบเซ้ง จำกัด
29    บริษัท หลูชั่งเฮงเฮงฮวด จำกัด
30    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์
31    บริษัท ซินคีเชียงค้าส่ง จำกัด
32    บริษัท ห้างขายทองทองใบเยาวราช (1988) จำกัด
33    บริษัท แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด
34    บริษัท ห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง จำกัด
35    บริษัท ห้างทอง จิ้นไถ่เฮง จำกัด
36    บริษัท ห้างทอง เจียบเซ่งเฮง จำกัด
37    บริษัท ไฟน์โกลด์ จำกัด
38    บริษัท ทอง 24 กะรัต จำกัด
39    บริษัท ห้างทองลายกนก จำกัด
40    บริษัท เจริญช่างทอง จำกัด
41    บริษัท แต้จิบฮุย จำกัด
42    บริษัท วิทเฮงหลี 2003 จำกัด
43    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง
44    บริษัท ห้างทองซินเจี้ยเชียง จำกัด
45    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองน่ำเชียง
46    บริษัท บ้านช่างทอง จำกัด
47    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทอง คุณฮั้ว (หล่อ)
48    ห้างทองเพชรทองคำ
49    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองทองสวย
50    บริษัท ห้างค้าทอง หลูชั้งฮวด (2498) จำกัด
51    บริษัท ประพันธ์ (กิมฮวด) จำกัด
52    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองย่งใช้ฮวด
53    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทองเล้งหงษ์
54    บริษัท ห้างค้าทองหลูยู่ฮวด จำกัด
55    บริษัท ไดนามิค ดี-พลัส จำกัด
56    ห้างทอง โอ้วไจ้เซ้ง

หมายเหตุ :
ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายเป็นให้แก่ร้านทองเท่านั้น ผู้บริโภคไม่ต้องกังวล ท่านจะไม่เจอทองปลอมแน่นอน หากทำการซื้อทองกับร้านค้าทองทั่วไป  -http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

-http://www.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=8-

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:04:40 am
ทำความเข้าใจกับข่าวเรื่อง “ทองปลอม”
-http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

(http://neo.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0002.jpg)

(http://neo.goldtraders.or.th/uploads/picture/gta_article_image/Article_pic0003.jpg)

ตามที่มีข่าวเรื่องทองปลอมระบาด และมีการเข้าจับกุมทลายแหล่งผลิตทองปลอม โดย สมาคมค้าทองคำ ร่วมกับ ตำรวจ ตามข่าวที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายท่านอาจมีความกังวลว่า ถ้าไปซื้อทองแล้วจะเจอทองปลอมหรือไม่ หลายครั้งที่การเสนอข่าวอาจคลาดเคลื่อนจนทำให้เกิดความสับสน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจร้านทองแบบผิดๆ ดังนั้น จึงขออธิบายทำความเข้าใจ ดังนี้
1.ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายผลิตทองปลอมนำมาขายหรือขายฝากกับร้านทองเท่านั้น ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภค
2.เมื่อร้านทอง รับซื้อทองเก่าจากลูกค้า ซึ่งอาจเป็นคนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายนั้น ร้านทองจะไม่มีการนำทองเก่าที่รับซื้อจากลูกค้ามาขายซ้ำให้กับลูกค้ารายใหม่ แต่จะนำกลับไปหลอมเพื่อผลิตทองรูปพรรณชิ้นใหม่แทนทั้งหมด
3.ดังนั้น ลูกค้าผู้บริโภค สามารถสบายใจได้เลยว่า หากท่านไปซื้อทอง กับร้านทองใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะร้านเล็กหรือร้านใหญ่ กรุงเทพ หรือ ต่างจังหวัด  เยาวราช หรือ รอบนอก ท่านก็จะได้ทองคำแท้อย่างแน่นอน

4.หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือพบเบาะแสเรื่องทองปลอม กรุณาแจ้งได้ที่สมาคมค้าทองคำ โทร 0-2675-8000 เพื่อร่วมมือร่วมใจกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวร้านทองทั่วประเทศ

จับทองปลอม (http://www.youtube.com/watch?v=ZnU5ToXWkjM#ws)
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZnU5ToXWkjM-

-http://neo.goldtraders.or.th/ArticleView.aspx?gp=1&id=6-

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:06:44 am


รายชื่อร้านผู้ผลิตทองรูปพรรณ

ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความบริสุทธิ์ทองรูปพรรณจาก สคบ. ประจำปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗

(ร้านทองขายส่ง และร้านทองเยาวราช)
ลำดับที่    ผู้ประกอบธุรกิจ    ที่อยู่    โทรศัพท์
๑    บริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด    ๒๙๕-๒๙๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๐๐๗๗
๒    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองบ้วนฮั่วล้ง    ๖๐๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๔๕๒
๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างค้าทองยู่หลงกิมกี่    ๔๗๘-๔๘๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๑๔๒๗
๔    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองโต๊ะกังเยาวราช    ๓๕๖-๓๕๘-๓๖๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๘๘๔-๖
๕    บจ.ห้างขายทองทองใบเยาวราช( 1988)    ๓๗๔-๓๗๘ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๔๖๒๓
๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง    ๔๐๑-๔๐๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๐๒๐๒
๗    บริษัท ห้างค้าทอง หลูชั้งฮวด (2498) จำกัด    ๑๑๒-๑๑๔ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๕๘๒
๘    บริษัท หลูชั่งเฮงเฮงฮวด จำกัด    ๑๐๖-๑๐๘ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๖๒๘
๙    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทองเล้งหงษ์    ๑๕๑ ถนนจักรวรรดิ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๙๗๔๕
๑๐    บจ.ห้างขายทองทองใบเยาวราช(สี่แยกวัดตึก)    ๑๕๒-๑๕๔-๙๔ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๗๗๖
๑๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด  เลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์    ๖๓-๖๓/๑ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๒๕๔๔
๑๒    บริษัท แต้จิบฮุย จำกัด    ๑๐๒-๑๐๔ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๔๒๘
๑๓    บริษัท ซินคี่เชียงค้าส่ง จำกัด    ๑๔๓ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒๔๓๙๖
๑๔    บริษัท ห้างทองจิ้นไถ่เฮง จำกัด    ๔๑๒-๔๑๔ ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๑๗๘๗
๑๕    บริษัท จูเจียบเซ้ง จำกัด    ๑๐,๑๒,๑๔ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๗๕๒๑
๑๖    บริษัท แม่ทองสุก โกลด์สมิท จำกัด    ๑๒๑/๗-๙ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๖๙๙๖
๑๗    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทอง คุณฮั้ว (หล่อ)    ๑/๑๐-๑๒ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๘๐๖๕
๑๘    บริษัท บ้านช่างทอง จำกัด    ๘๕๕ ถนนมหาไชย แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๗๙๙๑
๑๙    

บริษัท ห้างค้าทองหลูยู่ฮวด จำกัด
   ๕๐๔-๕๐๖ ถนนมหาไชย แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๗๖๔๔
๒๐    บริษัท ห้างขายทองเลี่ยงเซ่งเฮง จำกัด    ๓๐๓ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๘๑๓๙
๒๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์    ๓๓๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๕๒๓๗
๒๒    บริษัท ที.พี.เฮช (๒๐๐๔)  จำกัด    ๓๑๖ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๖๖๙๑
๒๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด จินชอง    ๘๓ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๗๐๐
๒๔    บริษัท ค้าทองโซวเซ่งเฮง จำกัด    ๔๕๖ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๙๒๔๙
๒๕    บริษัท ทอง 24 กะรัต จำกัด    ๒๔๕-๒๔๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๙๔๕๗
๒๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด เล่งหงษ์เยาวราช ( 2529 )    ๓๑๘-๓๒๘ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๕๓๔๕
๒๗    

บริษัท สยามโกลด์แกลอรี่ จำกัด
   ๓๑๐ ถนนเยาวราช แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๕๓๐๓
๒๘    บริษัท  ทองเล่งหงษ์กรุ๊ป  จำกัด    ๔๗ ถนนเยาวราช แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๕๑๑๑
๒๙    

ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างทองย่งใช้ฮวด
   ๔ ถนนเยาวราช แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๖๒๓ ๖๙๐๐
๓๐    บริษัท ห้างทองซินเจี้ยเชียง จำกัด    ๑๒๑/๒-๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๙๗๘๗
๓๑    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองจิบฮุย    ๒๐๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๖๕๑๑-๓
๓๒    บริษัท ไฟน์โกลด์ จำกัด    ๑๐๗ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๔ ๙๘๑๒
๓๓    บริษัท ห้างทองลายกนก จำกัด    ๑๑๕/๑๐-๑๓ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๑๔๕
๓๔    บริษัท ห้างทอง เจียบเซ่งเฮง จำกัด    ๕๖ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๖๕๒๐
๓๕    บริษัท ประพันธ์ (กิมฮวด) จำกัด    ๙๗ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๖๒๓ ๘๐๐๑-๒
๓๖    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองไท้เส็งเฮง    ๑๑๓ ถนนพาหุรัด แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒ ๙๔๙๙
๓๗    ห้างทองเพชรทองคำ    ๒๔-๒๔/๑ ถนนบ้านหม้อ แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๔๙๑๕-๖
๓๘    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองพุดเซ้ง    ๒๙๔ ถนนตีทอง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๕ ๙๗๕๐
๓๙    บริษัท วิทเฮงหลี 2003 จำกัด    ๖๒ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๕๕๒๒
๔๐    ห้างหุ้นส่วน สามัญนิติบุคคล ชั่งเซ้ง    ๑๗๓ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๓๓๒๒
๔๑    บริษัท ห้างขายทองโง้วชั้งเซ้ง จำกัด    ๑๕๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๙๕๗๒
๔๒    บริษัท ชมพู ( บ้วนหลี ) จำกัด    ๕๔-๕๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๒๕๕๗
๔๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเอ็งฮงฮวด    ๓๔-๓๖ ถนนจักรวรรดิ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๒๘๖๒
๔๔    ห้างทองโอ้วไจ้เซ้ง    ๒๕๔-๒๕๖ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๐๐๘๑
๔๕    ห้างทอง เจี้ยฮั้ว    ๙๗ ถนนจักรวรรดิ์ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๓๕๔
๔๖    ห้างทอง อั้งเซ่งเฮง    ๔๐๐-๔๐๒ ถนนบริพัตร แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๒ ๖๓๓๐
๔๗    บริษัท เจริญช่างทอง จำกัด    ๑๖๖-๑๖๘ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๕ ๕๐๙๕
๔๘    

บริษัท  ทองเปียเซ้ง  จำกัด
   ๒๑๐ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๔๓๖๖
๔๙    บริษัท  ขายทองแต้จิ้งเส็ง พานิชย์  จำกัด    ๔๙ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๗๙๗๒
๕๐    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองน่ำเชียง    ๘๕-๘๗ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๑ ๑๒๐๒
๕๑    ห้างทองย่งฮะฮวดซุ่นกี่    ๒๑๓-๒๑๕ ถนนเจริญกรุง แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๐๓๓๕
๕๒    ห้างหุ้นส่วนจำกัด  ห้างทองก้วยเซ่งเฮง    ๖๕ ถนนบูรพา แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๖ ๑๒๒๒
๕๓    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองเคว่งหลี    ๘๕-๘๗ ถนนบูรพา แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๐๙๑๒
๕๔    ห้างทอง ลี้น่ำฮวด    ๔๗ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ     ๐ ๒๒๒๒ ๖๙๐๐
๕๕    คณะบุคคล ห้างทอง ทองไพโรจน์ ชัยภูมิ    ๖๕๗ ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๖ ๑๘๘๕
๕๖    บริษัท ห้างขายทองนำเกียเฮง  จำกัด    ๕๙ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพา เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๑ ๔๐๕๕
๕๗    

ห้างทองไล่ฮี่เซ้ง
   ๓๔๐-๓๔๒ ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๒ ๕๓๑๕
๕๘    

บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด(มหาชน)
   ๓๓๓ ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ    ๐ ๒๓๖๑ ๓๓๑๑
๕๙    ห้างทองตุ้นเฮงหลี    ๙ ถนนสถานี ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง    ๐ ๗๕๒๒ ๒๗๑๑
๖๐    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทองทองสวย    ๖๐๐/๒๔-๒๕ ถนนหน้าเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น    ๐ ๔๓๓๒ ๐๗๕๘-๙
๖๑    บริษัท  ไดนามิค  ดี-พลัส  จำกัด    ๒๕-๒๕/๑ ถนนกลางเมือง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น    ๐ ๔๓๒๗ ๐๙๗๖
๖๒    บริษัท โกลด์สยาม จำกัด    ๒-๔ ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ    ๐ ๒๖๒๓ ๘๘๕๖-๙
๖๓    ห้างทองกิมฮง    ๒๓๐-๒๓๒ ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ    ๐ ๒๒๒๓ ๕๕๘๓
๖๔    บริษัท ห้างทองหยงเตียน จำกัด    ๗/๑ ถนนธรรมนูญวิถี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา     ๐ ๗๔๓๕ ๕๕๕๙-๖๐

หมายเหตุ : ร้านทองค้าปลีกทั่วประเทศ จะมารับสินค้าจากผู้ผลิตตามรายชื่อข้างต้นไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค ดังนั้น ผู้บริโภคจะมั่นใจได้ว่า ท่านได้ซื้อทองรูปพรรณ มาตรฐาน ตามที่ สคบ. กำหนด  โดยท่านสามารถสอบถามทางร้านทองได้ว่าทองที่จำหน่าย รับมาจากผู้ผลิตรายใด ตรงตามรายชื่อข้างต้นหรือไม่

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: magicmo ที่ สิงหาคม 18, 2012, 10:49:40 am
 :17: :17:  สุดยอดเลยครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2012, 09:00:59 am
ไม่จำเป็น … อย่ากู้

ไม่จำเป็น … อย่ากู้ :
คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน :
โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com
-http://www.komchadluek.net/detail/20121007/141665/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E2%80%A6%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89.html#.UHDmoFHiHx8-


                เพิ่งวางสายจากพนักงานแบงก์ที่โทรศัพท์เข้ามาแจ้ง "สิทธิประโยชน์" ว่า แบงก์อนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคลให้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ดำเนินการนำเอกสารสำเนาบัตรประชาชนไปแสดงที่แบงก์ ก็สามารถได้รับสินเชื่อไปใช้ได้ตามอัธยาศัยอย่าง "ทันที"

   กว่าจะพูดกันรู้เรื่องว่า อนุมัติ ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคย ขอ ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน

                 ไม่นับรวมเอกสารสินเชื่อบุคคลที่กรอกข้อมูลมาเรียบร้อย รอแค่ "ลายเซ็น" ที่ส่งกลับไป และเอสเอ็มเอสแจ้งให้ไปก่อหนี้และสร้างหนี้เพิ่มที่ขยันส่งมาเป็นระยะๆทุกอย่างกลายเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ ที่เรายื่นขออัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว เหลือแค่มีสติอย่าเผลอตอบรับอัตโนมัติไปกับระบบด้วยก็พอ เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวเมื่อนั้น

                  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่า ทำให้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนก่อตัวสูงขึ้นจนแบงก์ชาติแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะจากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดของแบงก์ชาติ พบว่า สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้น โดยอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม จากระดับปกติซึ่งอยู่ที่ 30%

                  "เกริก วณิกกุล" รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบที่ยังไม่รู้ว่ามีสัดส่วนเท่าใด

                  ผู้บริหารแบงก์ชาติบอกด้วยว่า แม้จะเข้าใจว่า ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน และจำเป็นต้องก่อหนี้ แต่แบงก์ชาติเองก็มีเหตุผลที่ไม่ต้องการให้อัตราการก่อหนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป เพราะนอกจากจะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังมีเรื่องของการถูกขูดรีดหรือถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปอีกด้วย

                 "ถ้าหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเยอะ หรือกู้กันได้โดยไม่มีข้อจำกัด หนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคด้วย ดังนั้น แบงก์ชาติก็มีหน้าที่เข้าไปดูแล แต่ต้องดูแลทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งก็ต้องไม่กระทบกับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน และอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องดูแลไม่ให้ประชาชนกลุ่มนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไป"

                   อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแบงก์ชาติ ยืนยันว่า การดูแลของแบงก์ชาตินั้น จะพยายามไม่ให้สัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มสูงขึ้นไปมากกว่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องลดลง แม้ว่า เรื่องนี้ทางสหรัฐอเมริกาเคยมีการศึกษาว่า สัดส่วนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 28% ก็ตาม

                  "เรามีเครื่องมือที่ช่วยดูแลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเรื่องบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล เพียงแต่คงมีการพิจารณาเพิ่มเติมว่า เกณฑ์ส่วนไหนที่ยังไม่เหมาะสม ก็คงปรับปรุงเพิ่มเติม … แต่หัวใจสำคัญมันอยู่ตรงที่เวลาคุณกู้เงิน อย่างน้อยก็ควรผ่อนให้ได้ 10% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การกู้ในส่วนนี้ก็ควรผ่อนให้จบภายใน 1 เดือน"

                    จะว่าไปแล้ว ก็น่าเห็นใจ "คนเป็นหนี้" เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า ปัจจัยเร้ามันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นแบงก์โทรมาอนุมัติให้เป็นหนี้ทั้งที่ไม่ได้ขอ หรือสารพัดแคมเปญที่ส่งมาที่บ้าน ทั้งดอกเบี้ย 0% นาน 15 เดือนและอีกนานับแคมเปญที่ล่อใจให้เข้าไปติดกับดักหนี้ ดังนั้น ถ้ายังไม่แน่ใจว่า เราควรจะเป็นหนี้ดีหรือไม่ หรือเราพร้อมหรือยังที่จะเป็นหนี้ เว็บไซต์ของสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI) ให้คำแนะนำว่า ลอง "เช็ก" ตัวเองก่อนก่อหนี้ดูตามหัวข้อเหล่านี้ก่อนตัดสินใจ

                      ข้อแรก เรากำลังเป็นหนี้เพราะความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want)

                      ข้อสอง เราจะมีเงินเพียงพอผ่อนชำระหนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่

                      ข้อสาม ยอดเงินผ่อนหนี้จะมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ ข้อสี่ ดอกเบี้ยต่องวดและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายคุ้มค่ากับการเป็นหนี้หรือไม่

                       ข้อห้า ถ้าไม่เป็นหนี้วันนี้ เดือนหน้าเราจะเดือดร้อนหรือไม่

                       ข้อหก มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จากเจ้าหนี้รายอื่นหรือหนี้ประเภทอื่นหรือไม่

                       และข้อเจ็ด มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหนี้ใช่หรือไม่

                       ตอบคำถามทั้ง 7 ข้อ แล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็คงจะพอได้คำตอบว่า เรากำลังก่อหนี้โดยไม่จำเป็นใช่หรือไม่

                       ที่สำคัญต้องมีสติและพึงระลึกอยู่เสมอว่า โทรศัพท์จากพนักงานแบงก์ที่โทรมาเสนอสินเชื่อหรือแม้แต่เอกสารที่แบงก์หรือสถาบันการเงินที่ไม่ใช่แบงก์ส่งมานั้น ไม่ใช่เสนอเงินสดพร้อมใช้ให้ฟรีๆ แต่ทุกอย่างมาพร้อมกับดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยที่อัตราของสินเชื่อบุคคลที่จะสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ ยิ่งเมื่อตกลงใจเป็นหนี้แล้ว เกิดมีปัญหาผ่อนชำระล่าช้าหรือผ่อนชำระไม่ได้ อัตราเร่งของดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว

                       ท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า "ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่ากู้" เพราะที่น่าตกใจก็คือ มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ แต่รู้สึกว่า การมีเงินก้อนในบัญชีสามารถเพิ่มอำนาจให้ตัวเองได้ ไม่ว่าจะเผื่อฉุกเฉิน หรือว่าเผื่อไว้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง

                       "เงินก้อนในบัญชี" ที่มาจากเงินกู้ มาพร้อมกับดอกเบี้ยที่เราต้องจ่าย ขณะที่ "เงินก้อนในบัญชี" ที่มาจากเงินออม จะมาพร้อมกับดอกเบี้ยที่เราได้รับ เงินกู้จะลดทอนจำนวนเงินก้อนนั้น เพราะส่วนหนึ่งถูกดึงออกไปเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ ส่วนเงินออมจะเพิ่มจำนวนเงิน จากดอกเบี้ยเงินฝาก

                       ถ้าอยากเพิ่มอำนาจให้ตัวเองด้วยการมี "เงินก้อน" ก็ควรเลือกวิธีเก็บออม ไม่ใช่ใช้ทางลัดด้วยการกู้มาเก็บไว้ เพราะผลลัพธ์มันคนละเรื่องกัน

                      ปัญหาคือ ทำยังไงก็เริ่มต้น "ออม" ไม่ได้เสียที ก็ต้องย้อนกลับไปที่เดิมคือ ต้องทำให้รายรับมากกว่ารายจ่าย และวิธีที่ดีที่สุด ก็คือ การบันทึกรายรับรายจ่าย ขออนุญาตยกข้อแนะนำเรื่อง  "5 เหตุผลที่ควรบันทึกรายรับรายจ่าย" มาปิดท้าย

                        เหตุผลข้อที่ 1.ถ้าคุณต้องการเป็นเศรษฐี เพราะ "เงิน" เป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นเศรษฐี การบันทึกรายรับรายจ่ายก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณจัดการกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้อย่างจริงจัง

                        2.ถ้าคุณต้องการรู้จักตัวเองมากขึ้น การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" คือแหล่งข้อมูลที่ดีที่จะบอกเล่าถึงกิจกรรมที่คุณทำ พฤติกรรมที่คุณเป็น และการเปลี่ยนแหลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งคุณอาจจะอึ้งเมื่อได้รู้นิสัยของคุณเอง

                        3. ถ้าคุณต้องการตัวช่วยในการสร้างนิสัยทางการเงินที่ดี การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายในชีวิตได้ชัดเจนขึ้น และช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้คุณ

                        4. ถ้าคุณไม่รู้วิธีจัดการเงิน การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับการใช้จ่าย และความสามารถในการหาเงิน ซึ่งจะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                        และ 5. ถ้าคุณต้องการมีความสุขทุกวัน เพราะ "กิจกรรมต่างๆ" ในชีวิตเราล้วนเกี่ยวข้องกับเงินแทบทั้งนั้น "บันทึกรายรับรายจ่าย" จะช่วยให้คุณรู้ที่มาและที่ไปของเงิน จากกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ซึ่งคุณสามารถจัดการกับเงินๆ ทองๆ ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความสุขจากอิสรภาพทางการเงินก็จะเกิดขึ้น

                        ไม่มีอะไรยากเย็น เพราะถ้าคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้ !


http://www.komchadluek.net/detail/20121007/141665/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E2%80%A6%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89.html#.UHDmoFHiHx8 (http://www.komchadluek.net/detail/20121007/141665/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E2%80%A6%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89.html#.UHDmoFHiHx8)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2012, 08:54:01 pm
หากจะทำประกันชีวิต ต้องศึกษาข้อมูลทุกๆด้านให้ละเอียด ก่อนทำประกันชีวิตครับ

ต้องศึกษาทุกๆบริษัท  ต้องศึกษาเงื่อนไขต่างๆให้ดี

ให้เก็บเอกสารที่ตัวแทนนำมาอธิบายให้ท่านฟัง  โดยให้ตัวแทนเซ็นชื่อรับรอง(และให้ลงชื่อและนามสกุลด้วย)

ที่สำคัญ  ต้องสังเกตุคำอธิบายว่า  "อยู่ในเงื่อนไขของบริษัท" หรือทำนองนี้  นั่นจะเป็นสิ่งที่บริษัทประกันจะใช้แง่ของเงื่อนไขในกรมธรรม์หรือเงื่อนไขของบริษัท  มาปฎิเสธการจ่ายเงินค่าสินไหมได้

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2288729&d=1349763643)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2012, 09:23:04 pm
ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory)
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123057-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
8 ตุลาคม 2555 08:18 น.

คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       www.cway-investment.com (http://www.cway-investment.com)
       
       เคยได้ยินคำกล่าวของนักลงทุนรุ่นแรกที่ว่า "ถ้าจะเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้นั้น จำเป็นต้องใช้สัญชาติญาณ" เพราะสัญชาติญาณ เป็นตัวที่บอกเราว่าเมื่อไหร่ไม่น่าวางใจ เมื่อไหร่ที่อันตรายหรือ เมื่อไหร่ที่โอกาสดี แต่ทว่าสัญชาติญาณนั้นไม่ได้เกิดจากการเสียเงินไปอบรม หรือสามารถซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็จะมี แต่สัญชาติญาณเกิดจากการการสั่งสมชั่วโมงบิน หรือสะสมประสบการณ์ในตลาดหุ้น การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกตรงด้วยตนเอง
       
       การจะวัดว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง นั้นไม่ได้ดูที่การพูด ดูที่การนำเสนอตัวเอง ของคนนั้น จริงๆแล้วต้องดูที่ประสบการณ์ ชั่วโมงบิน ซึ่งความรู้และประสบการณ์มันจะตกผลึก ออกมาเป็นวิธีคิดและทัศนคติ มันจะฉายแสงความโดดเด่นหรือความสามารถของตัวตนออกมา เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเพิ่งหัดเล่นหุ้นได้ 1 ปีจะเก่งกว่าคนที่เล่นหุ้นทุกวัน 10 ปี ต่อให้ไอคิว 180 จะเป็น อัจริยะ จบดร. จบเมืองนอกหรืออะไรก็ตาม การเอาตัวรอดของมือใหม่ที่เพิ่งเขามาในสนามนี้ยังไงก็ยังไม่ครบถ้วนถึงขนาด ที่สำคัญยังถูกหลอก ถูกชักจูงด้วยกลวิธี 108 ต่างๆนานาในตลาดหุ้น
       
       ทฤษฏีหนึ่งที่ทำให้แมงเม่า โดยเฉพาะมือใหม่ขาดทุนมากๆนั้นคือ ทฤษฏีกบต้ม รูปแบบการทำให้ดูเหมือนจะช่วยเหลือ แต่เอาเปรียบ ดูเหมือนกำไร แต่จริงขาดทุน ดูเหมือนจะชนะแต่จริงๆแพ้ โดยใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงให้ถึงจุดนั้นๆช้าๆ ดังเช่นการต้มกบ มีนักวิทยาศาสตร์ทดลอง นำกบใส่ในหม้อน้ำร้อนเดือดๆ ปรากฏว่า กบตัวนั้นไม่เป็นอะไรเพราะเมื่อมันรู้สึกร้อน มันก็กระโดดออกจากหม้อ ต่างจากอีกตัวหนึ่งที่ถูกนำไปใส่ในหม้อน้ำเย็น จากนั้นๆค่อยๆเร่งไฟให้แรงเรื่อยๆช้าๆ กบชินกับอุณหภูมิน้ำก็ตายใจ จนเมื่อน้ำเริ่มเดือด ปรากฏว่ากบตัวนั้น สุกตายคาหมอ เพราะไม่สามารถหนีได้ทัน
       
       ทฤษฏีนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในตลาดหุ้น ตั้งแต่การดู ดัชนีตลาด จนถึงการดูหุ้นรายตัว ทุกอย่างมันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลง เรื่อยๆจนถึงสถานะหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจะรุนแรงและชัดเจนจนยากที่จะเอาตัวรอด แต่ถ้าเราเป็นคนสังเกต ช่างสังเกต มันย่อมมีโอกาสที่จะมองเห็น สิ่งที่ต้องระวังคือ "จิตใจ" เพราะพื้นฐานของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นล้วนมีความโลภและอยากได้กำไรเป็นพื้นฐาน สัญญาณเตือนการขาดทุน หรือสัญญาณในแง่ร้าย ที่ไม่ชัดเจน มักจะถูกปฏิเสธจากจิตใจของเรา ด้วยการสร้างเหตุผลดีๆ ข่าวบวกๆเข้ามา ต่อต้าน จนสุดท้ายก็จบลงที่หายนะ
       
       ตัวอย่างนี้มีให้ชัด เช่นคุณนวย ซื้อหุ้น MDZZZ ตามสัญญาณซื้อเทคนิค ทะยอยขายไปครึ่งหนึ่งเมื่อกำไร แต่แล้วก็มีข่าวเชียร์ พื้นฐานดี งบไตรมาส4แจ่ม ราคาวิ่งแรงสองวัน 15% คุณนวยตัดสินใจเข้าอีกรอบจัดเต็มอีกไม้ ปรากฏว่าราคาเริ่มนิ่ง สลับบวก สามวันต่อมาราคาเริ่มไหลลงช้าๆสลับเด้ง จนคุณนวยขาดทุน สัญญาณขายทางเทคนิค เริ่มมา ด้วยความคิดที่ว่า ราคาเป้าหมายยังสูง พื้นฐานไม่เปลี่ยน เดี่ยวก็เด้ง สุดท้ายคุณนวยติดดอย ขาดทุนไป 30% เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เป็นรูปแบบที่พบกันจนเคยชินทั้งหุ้นเล็ก หุ้นกลาง หุ้นใหญ่ไปจนถึงหุ้น IPO
       
       ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องเจอ คนที่เข้าใจและปรับตัวได้ เรียนจากความผิดพลาด ยึดมั่นในระบบ ไม่เอาอารมณ์มาใช้ในการซื้อขาย คุณก็จะอยู่รอด ส่วนคนที่ยังไม่ตระหนัก ไม่ยอมแก้ไขก็จะขาดทุน แพ้และตายจากไป การอยู่ในตลาดหุ้นก็เหมือนอยู่ในสนามรบ เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา หูตาต้องไว สมองต้องคิด อย่าประมาท อย่าตื่นตระหนก ที่สำคัญอย่าคิดแต่จะเอากำไร ควรรักษาตัวให้อยู่รอดยืนนาน จะดีที่สุดครับ

http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123057 (http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123057)
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:07:45 am
.
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/callcenter.jpg)

การหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์
มิจฉาชีพจะใช้โทรศัพท์ หรือบริการเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต (Voice over international protocol หรือ VolP) แอบอ้างเป็น
เจ้า หน้าที่สถาบันการเงิน หรือเจ้าพนักงานในหน่วยงานของรัฐ ฯลฯ เพื่อหลอกลวงเราให้เกิดความตกใจและกลัว แล้วจึงเสนอความช่วยเหลือโดยให้เราไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของกลุ่มมิจฉาชีพ เมื่อเราโอนเงินเสร็จ พวกเขาก็จะถอนเงินออกจากบัญชีนั้นทันที วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากในกลุ่มมิจฉาชีพจากต่างประเทศ
มิจฉาชีพทำให้เราตกใจ และกลัวได้อย่างไร
> อ้างว่า บัญชีของเราถูกนำไปใช้กับขบวนการค้ายาเสพติด และจะถูกอายัดโดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(ปปง.) จึงขอให้เราไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อยืนยันตัวตนและปลดรายการอายัด หรืออาจให้เราโอนเงินไปยังหน่วยงานของรัฐ
อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ให้โอนเงินไปยังบุคคลที่มีการอ้างถึงว่าเป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่น่าเชื่อถือ เช่น
นายตำรวจ เจ้าหน้าที่ธนาคาร เป็นต้น

> อ้างว่า โทรมาจากศูนย์กลางการอายัดบัตร หรือฝ่ายตรวจสอบจากแบงก์ชาติ โดยบอกเราว่าบัตรเครดิตหรือบัญชีของเรา
ถูกอายัด และขอให้เรายืนยันเลขที่บัญชี เลขที่บัตรเครดิตและรหัสเพื่อปลดอายัดบัตร หรือบัญชีของเรา

> อ้างว่า ข้อมูลของเราได้สูญหายไปกับน้ำท่วม จึงขอให้เราแจ้งรายละเอียดบัญชี ข้อมูลส่วนตัว แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้
เบิกถอนเงิน

> แจ้ง หรือ ข่มขู่เราว่า เรามีหนี้บัตรเครดิต ค่าโทรศัพท์ หรือบริการอื่นๆ ที่ต้องชำระทันที ไม่เช่นนั้น จะถูก
ดำเนินการตามกฎหมาย

> หลอกเอาผลตอบแทนสูงมาล่อ โดยการชักชวนเราไปลงทุนหรือเก็งกำไรในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน เราจึงอาจถูกหลอกได้
ป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงทางโทรศัพท์กันเถอะ
> หากมีคนโทรศัพท์มาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันการเงิน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นผู้ไม่หวังดี
เพราะสถาบันการเงิน และหน่วยงานของรัฐ ไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวและไม่มีนโยบายแจ้งให้ลูกค้าหรือประชาชน
โอนเงินผ่านทางโทรศัพท์ให้กับสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานของรัฐ

>เมื่อได้รับโทรศัพท์จากคนไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นเคย ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าตกใจและหลงเชื่อไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม

> อย่าโทรกลับเบอร์ที่ได้รับการแจ้ง แต่ควรเช็คเบอร์หน่วยงานที่ถูกอ้างถึงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้น
หรือ ติดต่อ 1133 เพื่อสอบถามเบอร์โทรของหน่วยงานที่ถูกอ้างถึง

> อย่าหวังผลกำไรจากการลงทุน หรือเก็งกำไรในธุรกิจใด ๆ ที่สูงเกินจริง เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของธุรกิจค้าเงินเถื่อนได้
แก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงทางโทรศัพท์มีวิธีเลือกเหยื่ออย่างไร
> ใช้วิธีสุ่มโทรศัพท์เข้าเบอร์มือถือที่ขึ้นต้นด้วย 08....09.....โดยวิธีการโทร.สุ่มตัวอย่างไปเรื่อยๆ เช่น 0818200000,
0818200001...เนื่องจากเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้งานมานาน และไม่ใช่หมายเลขที่ใช้งานชั่วคราว

> มักจะหลอกลวงว่าได้มีการอายัดบัญชีเงินฝากหรือบัตรเครดิตของเหยื่อ ที่มีอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกร ฯลฯ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ใช้บริการกับธนาคารขนาดใหญ่

...หากไม่แน่ใจ ควรติดต่อหรือโทรศัพท์สอบถามไปยังสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างจะดีกว่า...
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมิได้นิ่งนอนใจ มีการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จับกุมผู้ร่วมขบวนการมิจฉาชีพแก๊ง call center เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา


.


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:11:22 am

รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-

กลลวงผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Banking : e - banking) และบัตรกดเงินต่าง ๆ
1. ใช้เครื่องบันทึกข้อมุลในแถบแม่เหล็ก (Skimmer)
มิจฉาชีพจะทำการติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลในแถบแม่เหล็ก (Skimmer) ไว้ที่ช่องเสียบบัตรเพื่อคัดลอกข้อมูลในบัตรหรือนำแป้นกดตัวเลขปลอมครอบแป้น กดตัวเลขของตู้เอทีเอ็ม และทำการแอบดูรหัสผ่านจากการติดตั้งกล้องไว้ ณ ตู้เอทีเอ็ม หรือ แอบดู แล้วจึงนำข้อมูลดังกล่าวไปทำบัตรปลอมและถอนเงิน โอนเงิน หรือซื้อสินค้าและบริการในนามของเรา

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick1.jpg)

(http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Service/PublishingImages/atm.jpg)

ตู้ เอทีเอ็มที่ปลอดภัย ตู้เอทีเอ็มที่มีการตั้ง เครื่อง Skimmer และแป้นกดตัวเลขปลอม

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick3.jpg)

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick4.jpg)

ตู้เอทีเอ็มที่มีการติดตั้งกล้องขนาดเล็ก เพื่อแอบดูการกดรหัสของเรา

2. ใช้อุปกรณ์คัดลอกข้อมุล (Scanner)
มิจฉาชีพ จะทำการขโมยบัตรเดบิตหรือเครดิตของเรา แล้วนำไปรูดกับอุปกรณ์คัดลอกข้อมูลที่อยู่ในบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปผลิตบัตรปลอมสำหรับใช้ซื้อสินค้าและบริการ

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick5.jpg)

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick6.jpg)

เครื่องสแกนเนอร์ที่มิจฉาชีพใช้รูดเพื่อขโมยข้อมูลของเรา


.



หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:14:00 am
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-

3. ปลอมอีเมล์ และสร้างเว็บไซต์ธนาคารพาณิชย์ปลอม (Phishing)
มิจฉาชีพจะส่งอีเมล์แอบอ้างว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ คนรู้จัก หรือเพื่อนสนิท เพื่อขอข้อมูลทางการเงิน หรือให้ทำการโอนเงินให้
อีเมล์แอบอ้างมีลักษณะอย่างไร
อีเมล์จากธนาคารพาณิชย์

มิจฉาชีพ จะทำการส่งอีเมล์มาให้เราในหัวข้อและข้อความที่น่าเชื่อถือ อาจจะเป็นการแจ้งให้เรายืนยันข้อมูลทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการ รักษาความปลอดภัย หรือ อาจแจ้งว่าบัญชีของเราถูกอายัดไว้ชั่วคราว จึงขอให้ยืนยันข้อมูลส่วนตัวโดยให้กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มที่แนบมา หรือในลิงก์แนบที่เชื่อมไปยังเว็บไซต์ปลอมที่มีหน้าตาเหมือนเว็บไซต์ของสถาบันการเงินนั้นๆ แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้มานั้นไปใช้แอบอ้างทำการซื้อหรือชำระสินค้าและบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
อีเมล์จากคนรู้จัก เพื่อน หรือ ญาติสนิท

มิจฉาชีพ จะส่งอีเมล์มาหาเราโดยใช้อีเมล์ของคนรู้จักของเรา มีข้อความในลักษณะการขอความช่วยเหลือ โดยแอบอ้างว่าพวกเขาเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของเรา และกำลังเดือดร้อนด้วยเหตุต่างๆในต่างประเทศ จึงอยากขอให้เราโอนเงินให้พวกเขา
...เช็คข้อมุลกับสถาบันการเงิน หรือติดต่อไปหาคนรู้จักก่อนที่จะทำการโอนเงินหรือให้ข้อมูลใด ๆ...

ต้วอย่าง รูปแบบ อีเมล์และเว็บไซต์ที่แอบอ้างเป็นธนาคารพาณิชย์

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick7.jpg)

ตัวอย่าง รูปแบบ เว็บไซต์ปลอม

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick8.jpg)


4. การแท็บสายโทรศัพท์เพื่อดักขโมยข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรเครดิตที่ตู้พักสายโทรศัพท์
มิจฉาชีพ จะทำการดักขโมยข้อมูลของเราที่ถูกส่งจากร้านค้าไปยังสถาบันการเงินหรือผู้ ประกอบการบัตรเครดิตขณะที่มีการใช้จ่าย โดยมิจฉาชีพจะทำการติดตั้งเครื่องดักข้อมูลที่ตู้พักสายโทรศัพท์ แล้วนำข้อมูลที่ได้ ไปทำบัตรเครดิตปลอมเพื่อใช้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆในนามของเรา

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick9.jpg)

แบบนี้การใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตใช้จ่ายก็ไม่ปลอดภัยนะสิ...
ยังคงปลอดภัยอยู่ เพราะสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ร่วมกันป้องกันการดักขโมยข้อมูลด้วยวิธีการใส่รหัสข้อมูล (Encryption) ใน การรับส่งข้อมูลตั้งแต่ต้นทางและปลายทางทำให้ผู้ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถ อ่านข้อมูลได้ ดังนั้น หากมีการรูดบัตรในสถานที่ไม่มีความเสี่ยง จึงวางใจได้ว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรยังคงปลอดภัยอยู่


ทำอย่างไร...จึงจะปลอดภัยจากกลโกงผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
1. ไม่ใช้เอทีเอ็มที่ตั้งไว้ ณ จุดเสี่ยง เพราะคนร้ายสามารถติดอุปกรณ์บันทึกข้อมูลได้ง่าย และควรสังเกตตู้ก่อนใช้งานว่ามี
ลักษณะผิดปกติหรือไม่ เช่น แป้นพิมพ์มีลักษณะถูกครอบด้วยอุปกรณ์บางชนิด หรือมีกล่องแปะอยู่ข้างตู้ หรือมีอุปกรณ์
แปลกปลอมติดอยู่ในมุมที่สามารถมองเห็นการกดรหัสผ่านได้

2. หลีกเหลี่ยงการใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตกับร้านค้าที่มีความเสี่ยง หรือบริเวณที่มีข่าวการทุจริต

3. ใช้มือปิดบังทุกครั้งระหว่างการกดรหัสเอทีเอ็ม

4. หากใช้บัตรในการชำระสินค้าและบริการ ควรอยู่ในบริเวณที่มองเห็นการทำรายการ ทั้งนี้เพื่อป้องกันพนักงานนำบัตร
ไปรูดกับเครื่องคัดลอกข้อมูล (Scanner)

5. ไม่บอกรหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญทางการเงินแก่ผู้อื่น และไม่เขียนรหัสผ่านไว้บนบัตร นอกจากนี้ควรทำลายเอกสาร
แจ้งรหัสผ่าน และเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำทุก 3 เดือน

6. ไม่ควรใช้รหัสผ่านที่เหมือนกันสำหรับการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆของธนาคารพาณิชย์

7. เก็บใบบันทึกรายการไว้ทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบยอดใช้จ่าย และควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ หากมีเหตุ
สงสัยหรือผิดปกติ ให้รีบแจ้งธนาคารพาณิชย์เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาทันที

8. อ่านข้อควรระวังเกี่ยวกับพฤติกรรมการหลอกลวงรูปแบบต่างๆของธนาคารพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ

9. หากบัตรสูญหายหรือถูกขโมย ให้รีบแจ้งธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรดำเนินการอายัดบัตรทันที

10. ไม่ควรตอบรับอีเมล์จากคนที่ไม่รู้จัก คนคุ้นเคย หรือผู้ที่ขอให้ผู้ใช้บริการส่งข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลสำคัญทางการเงิน
ให้ เพราะธนาคารพาณิชย์ไม่มีนโยบายขอข้อมูลส่วนตัวลูกค้าผ่านทางอีเมล์ โทรศัพท์ หรือจดหมาย

11. ไม่ควรเชื่อมโยงลิงก์ที่แนบมากับอีเมล์ เมื่อต้องการเข้าใช้บริการธนาคารพาณิชย์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ควรพิมพ์
ชื่อเว็บไซต์และตรวจสอบการสะกดคำให้ถูกต้องทุกครั้ง


.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:19:31 am
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-


ภัยจากกลโกงบัตรเครดิต และบัตรผ่อนสินค้า
เป็นอย่างไรนะ...โกงผ่านบัตรเครดิต
มิจฉาชีพ จะทำการขโมย ข้อมูลบัตรเครดิต บัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเรา แล้วนำไปซื้อสินค้าและบริการต่างๆในนามของเรา โดยวิธีที่มิจฉาชีพนิยมใช้ มีดังนี้
1. ปลอมแปลงเอกสารสำคัญในการสมัครบัตรเครดิต เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงินออกบัตรให้ในนามของเรา

2. ขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรที่สูญหายไปใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว

3. ใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลของเราแล้วทำบัตรปลอม

4. หลอกลวงขอข้อมูลของบัตรและข้อมูลส่วนตัวของเรา แล้วนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลดังกล่าว
ได้แก่ ชื่อผู้ถือบัตร ประเภทของบัตร ธนาคารผู้ออกบัตร หมายเลขบัตร เดือน/ปี ที่ออกบัตร และเดือน/ปี ที่หมดอายุ รวมไปถึง
รหัสปลอดภัยเลข 3 -4 หลัก ที่ปรากฏอยู่บนบัตร


เตรียมพร้อม...ระวังภัยบัตรเครดิต

1. เซ็นชื่อหลังบัตรทันทีเมื่อได้รับบัตรใหม่
2. เก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่นๆไว้ในที่ปลอดภัยและไม่มอบให้กับ
ผู้ไม่น่าไว้ใจ
3. จดหมายเลขบัญชีบัตรเครดิต รหัสถอนเงินสด และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับแจ้งอายัดบัตรได้กรณีบัตรหายไว้ในที่
ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ หรือเก็บรวมกับบัตรเครดิต)
4. อย่าเปิดเผยรหัสถอนเงินสดให้กับผู้อื่น
5. อย่าเปิดเผยรหัสความปลอดภัยโดยไม่จำเป็น (สำหรับบัตร MasterCard และ Visa คือ
เลข 3 หลัก ที่อยู่ด้านหลังบัตร บริเวณขวามือของแถบลายเซ็น สำหรับบัตร American Express คือ เลข 4 หลัก
ที่อยู่ด้านหน้าบัตร บริเวณเหนือหมายเลขบัตรเครดิต )
6. พึงระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น เลขประจำตัวประชาชน และ วัน/เดือน/ปี เกิด เป็นต้น รวมถึงข้อมูล
ที่อยู่บนบัตรเครดิต ซึ่งสามารถนำไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ คือ
- ธนาคารผู้ออกบัตร และประเภทของบัตร
- ชื่อผู้ถือบัตร
- หมายเลขบัตรเครดิต
- เดือน/ปี ที่ออกบัตร และ เดือน/ปี ที่บัตรหมดอายุ
7. หลี่กเลี่ยงการใช้บัตรในร้านค้าหรือตู้เอทีเอ็มที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวการทุจริต หากจำเป็นต้องใช้ในสถานที่ดังกล่าว
ควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการ หรืออยู่บริเวณใกล้ๆในระยะที่สังเกตได้
8. การใช้บัตรที่ร้านค้าควรเช็คให้แน่ใจว่าได้บัตรเครดิตคืนมาทุกครั้ง และตรวจสอบชื่อ-นามสกุลบนบัตร
9. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนเซ็นชื่อใน Sales Slip และเก็บไว้เพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้ หากไม่ถูกต้อง แจ้งผู้ออกบัตร
ทันที
10. การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากตู้ ATM ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นรหัสเบิกถอนเงินสด
- ระมัดระวัง ATM ที่น่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิต เช่น เครื่องอ่านแถบ
แม่เหล็กที่ช่องเสียบบัตรเพื่อขโมยข้อมูล หรือเครื่องบันทึกข้อมูลที่แป้นกดรหัสเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว
11. การซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต ควรเลือกใช้บริการเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ
12. กรณีบัตรเครดิตหาย ต้องรีบแจ้งให้ผู้ออกบัตรทราบทันที (ทั้งนี้ คุณยังต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก่อนการแจ้งบัตรหาย)
13. ทำลายบัตรเครดิตก่อนที่คุณจะทิ้งบัตรเครดิต หรือเอกสารใดๆ เกี่ยวกับบัตรเครดิตทุกครั้ง เพื่อมิให้ผู้อื่นนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ

บัตรผ่อนสินค้า คืออะไร
บัตร ผ่อนสินค้า เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้า โดยส่วนมากมักใช้สำหรับการซื้อสินค้าเงินผ่อน ซึ่งผู้ซื้อยังไม่ต้องจ่ายค่าสินค้าเต็มจำนวน โดยบริษัทผู้ออกบัตรจะเป็นผู้ชำระค่าสินค้าเต็มจำนวนให้แทน หลังจากนั้นผู้ซื้อต้องชำระเงินค่าสินค้าและดอกเบี้ยคืนให้กับบริษัทผู้ออก บัตรจนครบสัญญา

มิจฉาชีพโกงผ่านบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตได้ด้วยหรือ

ได้สิ โดยใช้บัตรผ่อนสินค้าและบัตรเครดิตในการซื้อสินค้า

มิจฉาชีพทำอย่างไร

มิจฉาชีพ จะติดป้ายโฆษณาตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ หรือที่สาธารณะ ด้วยข้อความเชิญชวน เช่น ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับ เงินกู้นอกระบบ หากเราสนใจและติดต่อไปตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ มิจฉาชีพจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ โดยเราไม่จำเป็นต้องมีประวัติการเงินที่ดี หรือมีวงเงินเหลือในบัตรเครดิตมากนัก

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/trick11.jpg)

หาก เรายอมรับข้อตกลง มิจฉาชีพจะพาเราไปสมัครบัตรผ่อนสินค้าของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (หากเรามีบัตรผ่อนสินค้า หรือบัตรเครดิตอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสมัครใหม่) เมื่อได้บัตรแล้วมิจฉาชีพจะพาเราไปซื้อสินค้าโดยจ่ายผ่านบัตรนั้นๆของเรา หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะเป็นผู้รับซื้อสินค้านั้น โดยจะหักค่านายหน้าประมาณ 30%

ตัวอย่าง เช่น

เรา ตกลงกู้เงินนอกระบบกับกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว เขาก็จะพาเราไปทำบัตรผ่อนสินค้า (ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องทำ) เมื่อได้บัตรก็พาเราไปซื้อสินค้า สมมติราคาเท่ากับ 10,000 บาท มิจฉาชีพก็จะหักค่านายหน้า 30 % คิดเป็นเงิน 3,000 บาท เราก็จะได้เงินแค่ 7,000 บาท แต่เป็นหนี้ทั้งหมด 10,000 บาท

เรายังต้องเสียเงินค่าอย่างอื่นอีกไหม

เสียสิ เรายังคงต้องเสียเงินผ่อนชำระสินค้าพร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อีก 28% ให้กับผู้ออกบัตร โดยผู้ปล่อยกู้ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าไปจำหน่ายต่ออีกด้วย
ถ้าไม่อยากถูกโกงทำอย่างไร
1. ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ถูกกฎหมาย
เท่านั้น
2. พิจารณาเปรียบเทียบเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการ
จัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี ก่อนใช้บริการ
3. ระมัดระวังโฆษณาอัตราดอกเบี้ยที่แจ้งว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อเดือน หรือต่อปี

เกร็ดความรู้เรื่องดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยต่อปี = อัตราดอกเบี้ยต่อเดือน x 12
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยเงินต้นเท่ากันทุกงวด x 1.8
(Effective Rate) (Flat Rate)

(อ่านต่อ ความรู้เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย)
4. อย่าใช้บริการสินเชื่อเพียงเพราะต้องการของแถม ควรใช้เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องกู้ยืม



หลอกลวงเงินผ่านแชร์ลูกโซ่

แชร์ลูกโซ่ คืออะไร
เป็น กลโกงหลอกให้เราลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงผิดปกติ โดยในช่วงต้นจะมีการจ่ายผลตอบแทนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเงินที่เอามาจากนักลงทุนรายใหม่ ไม่ได้มาจากเงินลงทุนจริง ๆ ถ้าไม่มีนักลงทุนรายใหม่ ก็ไม่มีเงินจ่ายนักลงทุนรายเก่า แชร์ก็ปิดตัว ผู้ลงทุนก็เสียเงินไป

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/image.jpg)

แชร์แบบไหนที่ควรระวัง
- ที่ตั้งสำนักงานไม่มั่นคงถาวร เช่น เช่าตึกที่ไม่มีอาคารเป็นของตัวเอง ทรัพย์สินมีค่าในสำนักงานมีน้อย
- ไม่มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง แต่มีสินค้าซึ่งไม่ระบุแหล่งผลิตถาวร
- เก็บค่าสมัครสมาชิกเป็นจำนวนสูงมาก และมีการบังคับซื้อสินค้า
- ไม่เน้นการขายสินค้าแต่เน้นให้สร้างทีมให้หาสมาชิกและผู้ลงทุนรายใหม่ โดยหาสมาชิกได้มากจะได้ค่าตอบแทนมาก
- ลงทุนต่ำ ผลตอบแทนสูงและจ่ายค่าตอบแทนเร็วเกินเหตุ รับลงทุนแบบไม่จำกัดจำนวน
ทำไมถึงมีคนถูกหลอกผ่านแชร์ลูกโซ่

ผู้ที่ทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ใช้วีธีการ ดังนี้
- ใช้เครือข่ายจากความใกล้ชิดสนิทสนมใกล้ตัวที่เราไว้ใจได้
- อ้างถึงบุคคลที่น่าเชื่อถือว่าได้เข้าร่วมหุ้นกับบริษัทด้วย เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หรือเจ้านายเรา ฯลฯ พร้อมภาพบุคคลเหล่านั้น
ร่วมกิจกรรม
- แสดงหลักฐานเรื่องผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับมาแล้ว เช่น เงินที่เข้าบัญชี เพื่อให้เหยื่อเชื่อในประโยชน์ที่จะได้รับ
- ใช้สื่อโฆษณาสร้างความมั่นใจ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ
- แสดงแผนการลงทุนและสัญญาร่วมทุนให้ดู ทำให้เห็นว่าการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล
- จัดอมรมสัมมนาหรือแถลงข่าวเปิดตัวที่โรงแรมใหญ่ๆ และเชิญคนดังมาร่วมงานมากมาย
- มักจะหว่านล้อมและกดดันให้เหยื่อรีบตัดสินใจ โดยจะเชิญเหยื่อไปที่บริษัท แล้วพยายามให้ทีมงานแสดงให้เห็นถึงผลตอบ
แทนที่จะได้รับ หลังจากนั้นพยายามกดดันให้เหยื่อตัดสินใจ


(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/loan_1.jpg)

เงินกู้นอกระบบ (Loan Sharks) เป็นอย่างไร

ลักษณะของเงินกู้นอกระบบเป็นอย่างไร

- เป็นการให้กู้ยืมเงินจากกลุ่มบุคคลที่มักเป็นนายทุนมีอิทธิพลในท้องถิ่น
- เงินกู้ที่มีการติดป้ายประกาศตามป้ายรถประจำทาง ตู้สาธารณะ หรือบนรถบริการสาธารณะ โดยมีข้อความชักจูง เช่น
“เงินกู้ 100%” “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ” “เงินด่วนทันใจเพียงมีบัตรผ่อนสินค้าก็สามารถกู้ได้เต็มจำนวน” หรือ
“อนุมัติเร็วภายใน 3 ชม.” เป็นต้น
- เรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมากเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน แล้วแต่ข้อตกลง
- อาจมีสัญญากู้ยืม หรือไม่มีก็ได้
- อาจมีหรือไม่มีหลักประกันก็ได้ หากมีการเรียกหลักประกัน ผู้ให้กู้จะยึดหลักประกันไว้ พร้อมกับให้ผู้กู้เซ็นใบมอบฉันทะเพื่อ
โอนกรรมสิทธิ์ไว้ หากมีการผิดชำระหนี้ หลักประกันก็จะถูกยึด
- มีการติดตามทวงหนี้ที่มีลักษณะไม่เหมาะสม เช่น ขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย

ตัวอย่าง สมมติว่า กู้เงินจำนวน 10,000 บาท ผ่อนวันละ 220 บาท จำนวน 60 วัน ฉะนั้น ดอกเบี้ยทั้งสิ้น 3,200 บาท หรือคิด
เป็นอัตราร้อยละ 350.2 ต่อปี (ตัวเลขสมมติเท่านั้น)

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/loan_2.jpg)

ใครที่ใช้เงินกู้แบบนี้

ส่วนมากจะเป็นคนที่ไม่สามารถกู้เงินจาก
ธนาคารได้ เช่น

- คนที่มีรายได้น้อย หรือรายได้ไม่แน่นอน
- ประวัตการชำระหนี้ไม่ดี หรือไม่มีทรัพย์สินหรือ
บุคคลค้ำประกัน
- ต้องการใช้เงินเร่งด่วน


ถ้าเรากลายเป็นเหยื่อของเงินกู้นอกระบบ เราจะทำอย่างไร

แจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เราไม่สามารถฟ้องเองได้เนื่องจากความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย เกินอัตรา พ.ศ. 2475 เป็นความผิดตามอาญาแผ่นดิน ซึ่งผู้เสียหายคือ รัฐ

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:22:31 am
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-

ทำอย่างไรเมื่อคุณโดนหลอก
1. ตั้งสติให้ดี จดบันทึกและเก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลต่อไป
2. กรณีที่โอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพแล้ว ให้รีบดำเนินการดังนี้
o โทรศัพท์แจ้งไปยังฝ่ายบริการลูกค้า (Call center) ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
o โทรศัพท์แจ้งไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โทร. 1155 หรือ 1195
o โทรศัพท์แจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุ
3. กรณีถูกหลอกในเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน ให้รีบติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า (Call center) ของสถาบันการเงินนั้นๆ
เพื่อขอความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาเบื้องต้นก่อน
4. สามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับสถาบันการเงินนั้น ได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศ
ไทย เพื่อขอข้อมูลหรือขอคำแนะนำในแนวทางการดำเนินการ

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/image_webpart4%20copy.jpg)

1. ด้านสินเชื่อ การโกงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ท่านสามารถแจ้งเรื่อง หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ในเวลาทำการ 08.30 – 16.30 น. ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้
o สายด่วน ศคง. โทร. 1213 หรือ โทรสารหมายเลข 0-2283-6151
o Email address: fcc@bot.or.th
o ส่งจดหมาย หรือติดต่อเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาด้วยตนเองที่

ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) อาคาร 3 ชั้น 5
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา
เขตพระนคร กรุงเทพ 10200

ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
68/3 ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300

ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงหนือ
393 ถนนศรีจันทร์ ตำบลในเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000

ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้
472 ถนนเพชรเกษม อำเภอหาดหใญ่
จังหวัดสงขลา 90110


2. ด้านแชร์ลูกโซ่
ท่านสามารถติดต่อร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสได้ที่
ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงิน ภาคประชาชน
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง
o โทร 0-2273-9140, 0-2273-9021 ต่อ 2627 – 34
o สายด่วนการเงินนอกระบบ 1359 และ 1689
o Email address: 1359@mof.go.th หรือ fincrime@mof.go.th
o ส่งจดหมายมาที่ ตู้ ปณ. 1359 ปณจ. บางรัก

3. ด้านเงินกู้นอกระบบ
ท่านสามารถติดต่อร้องเรียนได้ที่
o สถานีตำรวจท้องที่ทุกแห่ง
o ศูนย์ปราบปรามการปล่อยเงินกู้และการทวงหนี้นอกระบบ (บก.ปคบ.)
· โทรศัพท์ 0-2513-0051 – 53
· สายด่วน ปคบ. 1135
· ส่งจดหมายมาที่ ตู้ ปณ. 459 ปณศ.สามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
Website: www.consumer.police.go.th (http://www.consumer.police.go.th)

.

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 03:10:08 pm
.
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) > บัตรเครดิต สิทธิที่ควรทราบ
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/creditcard.aspx-

บัตรเครดิต คืออะไร

บัตรเครดิตเป็นบัตรที่ธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-bank)
ออกให้แก่ผู้ถือบัตร เพื่อ

- ใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและบริการ
   เป็นการอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ถือบัตรโดยลดการพกพาเงินสดจำนวนมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายหรือถูกโจรกรรม

- ใช้ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM มาใช้ล่วงหน้า
   ผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดจากตู้ ATM มาใช้ก่อนล่วงหน้าได้ แต่มีข้อควรระวังในการใช้บริการ คือ คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการเบิกใช้เงินสดในอัตราที่ค่อนข้างสูง
 
ประโยชน์อื่น ๆ ของการใช้บัตรเครดิต เมื่อเทียบกับการใช้เงินสดยังมีอีก  เช่น

- ได้รับสินค้าก่อน และชำระเงินภายหลัง แต่ต้องชำระเต็มจำนวน และตรงกับวันที่กำหนดไว้ในใบแจ้งยอดรายการบัตรเครดิตไม่เช่นนั้น  จะมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ออกบัตร

- ได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ส่วนลดจากร้านค้า หรือ การสะสมคะแนนเพื่อแลกรางวัล เป็นต้น

บัตรเครดิต ใครมีสิทธิ์บ้าง

การมีบัตรเครดิตไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยผู้ออกบัตรจะพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเครดิต ดังนี้
 
1. ความน่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจาก ประวัติการใช้บริการสินเชื่อ ประวัติการชำระเงินคืน  วินัยในการใช้สินเชื่อ ประวัติการชำระหนี้ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau Co.,Ltd.) การมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง  อาชีพ และบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

2. ความสามารถในการชำระหนี้  ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

     - มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือ

     - มีเงินฝากเป็นหลักประกันเต็มวงเงิน หรือ

     - มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ

     - มีเงินฝากออมทรัพย์ หรือลงทุนในตราสารหนี้ หรือลงทุนในกองทุนรวมไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า  6 เดือน โดยวงเงินที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากผู้ออกบัตรเครดิตขึ้นกับการพิจารณาของผู้ออกบัตร แต่สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน


บัตรเครดิตเจ้าไหน น่าสนใจที่สุด


     ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีข้อกำหนดให้ผู้ออกบัตร เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่น ๆ โดยให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง  รวมทั้งให้ระบุในเอกสารชี้ชวน ใบสมัคร และสัญญา 
     ดังนั้น ก่อนเลือกใช้บริการผู้บริโภคควรศึกษาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งเรียกเก็บจากลูกค้า รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ท่านสามารถเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมเบื้องต้นได้จาก อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ << คลิกเพื่อดูรายละเอียด
 
     โดย ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บริการบัตรเครดิต ที่ประมวลจากอัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบในเว็บไซต์ของ ธปท. สรุปได้ ดังนี้

     - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า   0 -15,000 บาท  ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมรายปี   0 - 30,000 บาท ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านช่องทางต่างๆ   0 – 50 บาทต่อครั้ง
     - อัตราดอกเบี้ย   (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าบริการต่าง ๆ รวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปีไม่ได้)
     - ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต  (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินร้อยละ 3 ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนไม่ได้)
     - ค่าติดตามทวงถามหนี้  0 - 384 บาทต่องวด
     - ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินในการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ ร้อยละ 2 - 2.5 ของอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง
       ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายข้างต้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดรายการต่าง ๆ เพื่อความมั่นใจ
     นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์และความสะดวกอื่น ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
     - รอบระยะเวลาบัญชี
     - ระยะเวลาการชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย
     - จำนวนร้านค้าที่รับบัตร
     - ความสะดวกในการชำระเงิน
     - เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ
     - บริการเสริม และโปรโมชั่นต่าง ๆ
     - พันธมิตรทางธุรกิจของผู้ออกบัตร

      TIPS
    - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถต่อรองกับผู้ออกบัตรเพื่อขอยกเว้นการเรียกเก็บได้
     - สิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากบัตรเครดิตชนิดต่าง ๆ เช่น บัตรพลาตินัม (Platinum) คุณควรนำมาเปรียบเทียบกับเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้บัตรด้วย เนื่องจากค่าธรรมเนียมรายปีจะสูงกว่าบัตรธรรมดา

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/logocard.jpg)

 บัตรเครดิต...ใช้ที่ไหน

คุณสามารถใช้บัตรเครดิต

ซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่รับบัตรเครดิตในเครือข่ายบัตรเครดิตเท่านั้น

ซึ่งสามารถสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์หรือโลโก้ของเครือข่ายบัตรเครดิตที่ติดตามร้านค้า

และสถานที่ประกอบการต่าง ๆ   


ใช้บัตรเครดิตแล้ว ชำระเงินที่ไหน

เมื่อครบกำหนด คุณสามารถนำเงินไปชำระเงินค่าใช้บริการบัตรเครดิต ได้ที่

-  ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต

-  จุดบริการรับชำระเงินที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เคาน์เตอร์เซอร์วิส และธนาคารพาณิชย์อื่นที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เป็นต้น

- ช่องทางต่างๆ เช่น ตู้ ATM โทรศัพท์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ต หรือการทำข้อตกลงให้หักจากบัญชีเงินฝาก เป็นต้น

   ทั้งนี้ การชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ อาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน คุณควรศึกษาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียม  และเงื่อนไข บริการอื่นๆ เช่น จำนวนเงินที่รับชำระสูงสุด เป็นต้น

อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ
-http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=7-


ขั้นตอนการใช้บัตรเครดิต

ในปัจจุบันเราใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดกันอย่างแพร่หลาย   โดยเมื่อคุณเลือกสินค้าที่คุณพอใจได้แล้ว  คุณยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานขาย และภายในช่วงเวลาไม่กี่นาทีคุณก็สามารถรับสินค้าและเดินออกจากร้านได้  คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เบื้องหลังความสะดวกสบายและรวดเร็วนั้น  มีขั้นตอนการดำเนินงานอย่างไรบ้าง

โปรดดูแผนผังการใช้และการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตด้านล่างนี้

(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/flow.jpg)

การซื้อสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต

1. ผู้ซื้อยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย จากนั้นพนักงานขายจะนำบัตรเครดิตไปรูดที่เครื่องรูดบัตร (Electronic Data Capture: EDC) ซึ่งอาจเป็นของธนาคาร หรือ Non-bank แห่งอื่น (ซึ่งเรียกว่าสถาบันผู้รับบัตร หรือ Acquirer)

2. จากนั้น เครื่อง EDC จะส่งข้อมูลกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร

3. สถาบันผู้รับบัตรจะส่งข้อมูลต่อไปยังศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิต (เช่น VISA หรือ MASTER เป็นต้น)

4. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะส่งข้อมูลไปยังธนาคาร หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิตนั้น (ซึ่งเรียกว่าสถาบันผู้ออกบัตร หรือ Issuer) เพื่อขออนุมัติการใช้บัตรเครดิต

5. สถาบันผู้ออกบัตรจะตรวจสอบวงเงินว่ามีเพียงพอหรือไม่ และแจ้งการอนุมัติกลับไปยังศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิต

6. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร

7. สถาบันผู้รับบัตรจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังร้านค้าเพื่อพิมพ์ใบบันทึกการขาย (Sales Slip)

8. ผู้ซื้อตรวจสอบความถูกต้องของใบบันทึกรายการขาย (Sales Slip) ก่อนที่จะเซ็นชื่อ และเก็บ Sales Slip ไว้เป็นหลักฐานการชำระเงิน และเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้

การชำระเงิน

9. สถาบันผู้ออกบัตรจัดส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้ซื้อก่อนครบกำหนดชำระเงิน

10. ผู้ซื้อควรชำระค่าใช้จ่ายตามยอดหนี้ที่ระบุในใบแจ้งหนี้ให้แก่สถาบันผู้ออกบัตรภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้น ต้องเสียค่าดอกเบี้ยและค่าบริการต่างๆ


(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/symbol.jpg)

สัญลักษณ์บนบัตรเครดิต

เคยสงสัยไหม “ตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ บนบัตรเครดิตบอกอะไรบ้าง”  คำตอบ คือ บอกถึง

1. ผู้ออกบัตรเครดิต เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-bank ผู้ออกบัตรเครดิตนั้น

2. ผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเครดิตที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น วีซ่า (VISA) มาสเตอร์ (Master) เป็นต้น เป็นผู้ให้บริการรับส่งข้อมูลธุรกรรมของบัตรเครดิต เพื่อการอนุมัติรายการของการใช้บัตรเครดิตในแต่ละครั้ง

3. บริษัท ร้านค้า หรือห้างสรรพสินค้าที่ร่วมกับผู้ออกบัตรเครดิต โดยที่ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ส่วนลดค่าสินค้าและบริการ แก่ผู้ถือบัตรเครดิตนั้น ๆ ในการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าหรือบริการของตน

ใส่ใจกับใบแจ้งหนี้ และ Sale slip

 
คุณควรเก็บ Sales Slip ไว้เสมอ เพื่อ
- เป็นหลักฐานในการตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
- เป็นข้อมูลสำหรับตัวคุณเอง ว่าคุณได้ใช้จ่ายไปแล้วเท่าไหร่ในงวดนี้ และคุณต้องเตรียมเงินสดไว้เท่าไร เพื่อให้เพียงพอสำหรับการชำระเงินตามกำหนดเวลา

เมื่อคุณได้รับใบแจ้งหนี้ ( Credit Card Statement)
คุณต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บในใบแจ้งหนี้ และรายละเอียดต่าง ๆ ว่าถูกต้อง และ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือไม่  หากไม่ถูกต้องให้ทักท้วงไปยังผู้ออกบัตรทันที โดยสิ่งที่คุณต้องตรวจสอบมีดังนี้

1. การใช้จ่ายของคุณในงวดนี้
    - ตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละรายการใช้จ่าย เทียบกับ Sales Slip
    - ดูยอดรวมคงค้าง และกำหนดการชำระเงิน เพื่อที่คุณจะได้ไปชำระเงิน หรือนำเงินเข้าบัญชีภายในกำหนดเวลา
    - ในกรณีที่คุณมีเงินสดไม่เพียงพอสำหรับการชำระเงินเต็มจำนวน คุณต้องดูจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ (ซึ่งจะเท่ากับ 10% ของยอดคงค้าง)  ทั้งนี้ คุณจะมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ         

2. การชำระเงินของคุณในงวดที่แล้ว ดูยอดเรียกเก็บงวดที่แล้วเทียบกับยอดชำระเงินงวดที่แล้ว เพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ และเพื่อทราบว่าคุณยังมีภาระในการชำระเงินสำหรับงวดก่อนเท่าไหร่

3. ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ที่เรียกเก็บจากคุณ  อาทิเช่น ดอกเบี้ย (รวมถึงวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย) ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินค่าติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมรายปี เป็นต้น คุณต้องตรวจสอบว่าถูกต้อง และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือไม่  สำหรับค่าธรรมเนียมบางอย่าง เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถเจรจาต่อรองกับผู้ออกบัตร เพื่อขอยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากค่าธรรมเนียมได้

4. สิทธิประโยชน์ของคุณ อย่าลืมตรวจสอบความถูกต้องของสิทธิประโยชน์ที่คุณพึงได้รับจากบัตรเครดิตของคุณ เช่น คะแนนสะสมและวันหมดอายุของคะแนนสำหรับการแลกของรางวัล  หรือเครดิตเงินคืนจากการใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น

หากคุณมียอดค้างชำระ นอกจากภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายถึงร้อยละ 20 แล้ว




.

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 03:11:58 pm
.
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) > บัตรเครดิต สิทธิที่ควรทราบ
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/creditcard.aspx-

คิดให้ดี ก่อนก่อหนี้บัตรเดรดิต

บัตรเครดิต ควรใช้เป็นช่องทางในการชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรใช้เป็นช่องทางในการกู้เงิน เพราะเสียอัตราดอกเบี้ยแพง

- บัตรเครดิตทำให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่นทางการเงิน โดยที่ผู้ออกบัตรจ่ายเงินสดให้ก่อนล่วงหน้า  และผู้ถือบัตรได้รับสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยประมาณ 30-55 วัน ทำให้มีอำนาจการใช้จ่ายสูงขึ้นจากรายได้ปกติ  แต่อย่าลืมว่าคุณกำลังเอาเงินของผู้อื่นมาใช้ซึ่งผู้ถือบัตรต้องชำระคืนในภายหลัง  ดังนั้น ต้องระวังการใช้จ่ายที่เกินตัวหรือเกินจำเป็น เพื่อไม่ให้มีภาระที่ต้องชำระหนี้มากเกินความสามารถ

- คุณควรเตรียมเงินให้เพียงพอกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยและค่าปรับต่าง ๆ

- หากคุณมีบัตรเครดิตหลายใบ  ควรจดบันทึกหมายเลขบัตรเครดิต วงเงินสินเชื่อ ภาระหนี้ที่มีอยู่ และวันครบกำหนดชำระเงิน ฯลฯ ให้ครบถ้วน เพื่อวางแผนการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ให้ตรงเวลา


ปัญหาหนี้สินบัตรเครดิต...มีทางออก

1. อย่าท้อถอย ทุกปัญหามีทางแก้ไข

2. คุณต้องตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือน  โดยอาจทำเป็นตารางรายรับ - รายจ่าย เพื่อให้คุณทราบสถานะทางการเงินของคุณอย่างชัดเจน และรู้ว่าคุณมีเงินเหลือเท่าไหร่สำหรับชำระคืนหนี้สิน และเก็บออม นอกจากนั้น ยังช่วยให้รู้ว่าสามารถลดรายจ่ายรายการใดที่ไม่จำเป็นลงได้บ้าง

3. คุณต้องสำรวจภาระหนี้สินของตนเอง  โดยอาจทำเป็นตาราง มีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ประเภทหนี้  จำนวนเงินต้นค้างชำระ จำนวนดอกเบี้ยค้างชำระ และวันถึงกำหนดชำระ เป็นต้น เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการชำระเงินของคุณได้

4. คุณควรหยุดวงจรแห่งหนี้ ด้วยการอยู่ให้ได้ด้วยรายได้ของคุณในแต่ละเดือน และบอกกับตนเองว่า คุณจะไม่ก่อหนี้สินเพิ่มอีก ซึ่งรวมถึงการกู้ยืมเพื่อมาจ่ายหนี้เก่าด้วย แล้วทยอยผ่อนชำระหนี้สินเดิม แม้จะใช้เวลา แต่หนี้สินของคุณก็จะหมดไปในที่สุด

5. หากคุณมีภาระหนี้สินมากกว่าเงินคงเหลือในแต่ละเดือน คุณสามารถปรึกษากับเจ้าหนี้ หรือสถาบันผู้ออกบัตร เพื่อร่วมกันหาวิธีแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งมีหลายวิธี  เช่น การยืดอายุการชำระหนี้  การลดจำนวนเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือน หรือ การชำระเงินต้นโดยปลอดดอกเบี้ยให้ระยะเวลาหนึ่ง เป็นต้น


ข้อห้าม  อย่าหนีหนี้

คุณนำเงินของผู้อื่นมาใช้ คุณจึงมีหน้าที่ชำระเงินคืน  ดังนั้น เพื่อรักษาเครดิตของคุณไว้ เผื่อในอนาคต คุณอาจมีความจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารในจำนวนที่มากกว่าวงเงินสินเชื่อของบัตรเครดิต เช่น การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้าน หรือรถยนต์ เป็นต้นการหนีหนี้หรือไม่ชำระหนี้ จะทำให้คุณมีประวัติการเงินที่ไม่ดีบันทึกอยู่ในบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งหากคุณต้องการกู้เงินในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ก็จะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของคุณจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และทำให้คุณถูกปฏิเสธการขอกู้เงิน ทั้งนี้ ประวัติการชำระเงินจะถูกเก็บอยู่ที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้รับรายงาน


ใคร..มีหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาบัตรเครดิต

ปัญหาจากบัตรเครดิต เช่น ภาระหนี้ของผู้บริโภค การถูกขโมยข้อมูลไปใช้ ล้วนเป็นปัญหาที่หลายๆฝ่าย ตั้งแต่ผู้ออกบัตร ผู้ถือบัตร หรือแม้แต่ผู้กำกับดูแล ต่างต้องร่วมกันดูแลอย่างเหมาะสม กล่าวคือ

บริษัทผู้ออกบัตร ต้องให้ความรู้แก่ผู้ถือบัตรในการใช้บัตรเครดิตที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ต้องพัฒนาระบบและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัย ปลอดภัย เพื่อป้องกันการถูกขโมยข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย

ผู้ถือบัตร ต้องเรียนรู้การรักษาสิทธิของตนเอง รวมทั้งต้องเข้าใจหน้าที่ของผู้ถือบัตร และการเป็นลูกหนี้ที่ดีด้วย

ผู้กำกับดูแล ได้แก่ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ออกบัตรเครดิต โดยการออกหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมให้ผู้ออกบัตรถือปฏิบัติ เช่น ดอกเบี้ยสูงสุด ค่าธรรมเนียม กำกับ และตรวจสอบให้ผู้ออกบัตรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งคุ้มครองผู้ถือบัตรให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งรวมถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้องและจำเป็นต่าง ๆ เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ตลอดจนการใช้บัตรเครดิตอย่างถูกต้องเหมาะสม



รู้กฎหมายไว้...ไม่เสียเปรียบ


คุณรู้หรือไม่ว่า ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือไม่ใช่ก็ตาม จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตแต่ละประเภท ดังนี้

1. ธนาคารพาณิชย์ ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ. ศ. 2551 และ
    ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกตามความใน พ.ร.บ. ดังกล่าว 

2. ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-bank) ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
     (ปว. 58)  ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545  รวมถึงประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
     ที่ออกตามความใน ปว. 58

ข้อกำหนดสำคัญที่ผู้บริโภคควรรู้ มีดังนี้
(ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2555)

> กรณีผ่อนชำระ ผู้ถือบัตรต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้างทั้งสิ้น

> ห้ามผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยผิดนัด หรือเบี้ยปรับ หรือค่าบริการต่าง ๆ เป็นจำนวนรวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปี   (ดูวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก)  ทั้งนี้ ผู้ออกบัตรอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ในกรณีต่อไปนี้

              - กรณีเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิต ผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เพิ่มเติมได้อีก ไม่เกินร้อยละ 3

               - กรณีมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บได้ตามจริง และ/หรือพอสมควรแก่เหตุ แต่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ค่าบริการในการใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระภาษีอากร และค่าธรรมเนียมของทางราชการ และค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ เป็นต้น

  > หนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต ที่ยังไม่ได้โอนไปเป็นหนี้ตามสัญญาเดินสะพัด ห้ามเอาดอกเบี้ยทบเข้ากับเงินต้น แล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากัน

  > ห้ามนำเบี้ยปรับ และค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ มารวมกับหนี้ค้างชำระ เพื่อคิดเบี้ยปรับอีก

  > วิธีการติดตามทวงถามหนี้  ต้องอยู่ภายในขอบเขตของ กฎ กติกา มารยาท ที่กำหนดใน แนวปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้ ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย

  > เมื่อผู้ออกบัตรได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค  ผู้ออกบัตรต้องดำเนินการ ดังนี้

               -  ตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง

               - แจ้งความคืบหน้าของผลการตรวจสอบและขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ให้ผู้บริโภคทราบภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน

              - ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จ และแจ้งให้ผู้บริโภคทราบโดยเร็ว

 .



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 03:16:07 pm
พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ. ศ. 2551
-http://www.bot.or.th/Thai/LawsAndRegulations/DocLib_ThaiLaw/Law_T31_Institution.pdf-

http://www.bot.or.th/Thai/LawsAndRegulations/DocLib_ThaiLaw/Law_T31_Institution.pdf (http://www.bot.or.th/Thai/LawsAndRegulations/DocLib_ThaiLaw/Law_T31_Institution.pdf)


ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกตามความใน พ.ร.บ.
-http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf-

http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf (http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf)



ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
(ปว. 58)  ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545  รวมถึงประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกตามความใน ปว. 58
-http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf-

http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf (http://www2.bot.or.th/fipcs/Documents/FPG/2551/ThaiPDF/fiba_notification%28new%29.pdf)



(ดูวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก)
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/interest/Pages/interest.aspx#nonbank-

http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/interest/Pages/interest.aspx#nonbank (http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/interest/Pages/interest.aspx#nonbank)


วิธีการติดตามทวงถามหนี้  ต้องอยู่ภายในขอบเขตของ กฎ กติกา มารยาท ที่กำหนดใน แนวปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้ ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
-http://www.bot.or.th/THAI/FINANCIALLITERACY/DUTY/Pages/duty_right.aspx#duty3-

http://www.bot.or.th/THAI/FINANCIALLITERACY/DUTY/Pages/duty_right.aspx#duty3 (http://www.bot.or.th/THAI/FINANCIALLITERACY/DUTY/Pages/duty_right.aspx#duty3)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 04:52:23 pm
.
ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) > สิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้บริการทางการเงิน
 รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ .. สิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้บริการทางการเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/duty/Pages/duty_right.aspx-


สิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้บริการทางการเงิน


เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทำให้สถาบันการเงินต่าง ๆ มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการเงินที่หลากหลายกับลูกค้าของตน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการแข่งขันทางธุรกิจ แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านั้นอาจมีความซับซ้อน และความเสี่ยง จึงอาจเป็นความสะดวกสบายที่นำภัยมาสู่ผู้บริโภคได้

ด้วยเหตุนี้ การเป็นผู้บริโภคในยุคที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมึความหลากหลาย ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องรู้จักสิทธิและหน้าที่ และการปกป้องสิทธิของตน เสมือนเป็นการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง จะได้ตัดสินใจเลือกใช้บริการทางการเงินได้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและความต้องการ แถมยังเป็นการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบอีกด้วย 

 

สิทธิในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และครบถ้วน

ผู้ใช้บริการทางการเงินมีสิทธิที่จะได้รับทราบรายละเอียด และเงื่อนไขการให้บริการต่าง ๆ ซึ่งสถาบันการเงินต้องเปิดเผยข้อมูล
ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการให้บริการต่างๆอย่างถูกต้อง ครบถ้วน เพียงพอ ต่อการเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจ และไม่บิดเบือน
ข้อเท็จจริงตามเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนด ดังนี้

    เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไว้ในที่เปิดเผย
    สังเกตุเห็นง่าย เช่น สำนักงานใหญ่ สาขาที่ทำการ รวมทั้งในเว็บไซต์ของตนเอง
    และของแบงก์ชาติ เพื่อสร้างความโปร่งใส และช่วยให้ลูกค้ามีข้อมูลเปรียบเทียบ
    เพื่อประกอบการตัดสินใจ
    เปิดเผยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ที่ผู้ฝากเงินได้รับให้แก่ผู้ฝากเงินทราบด้วย เช่น ในใบโฆษณาเงินฝากประจำที่มีการให้อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได เป็นต้น


เปิดเผยข้อมูลอย่างไร

 (http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/right1.jpg)

    เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินมีหน้าที่อธิบายลักษณะของผลิตภัณฑ์ทางการเงินและบริการต่างๆ ให้ท่านเข้าใจก่อนตัดสินใจ
    การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต้องมีความชัดเจนเข้าใจง่าย ให้ข้อมูลครบถ้วน ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด
    ไม่โฆษณาเกินจริง และต้องระบุอัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนและชัดเจน
    กรณีขอกู้เงินแล้วไม่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ สถาบันการเงินต้องมีหนังสือชี้แจงเหตุผลที่ไม่ให้เงินกู้ และท่านมีสิทธิในการขอคืนเอกสารประกอบการพิจารณาสินเชื่อ และต้องได้รับเอกสารคืนภายในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ท่านเกิดความเข้าใจ สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ และมีข้อมูลในการปรับปรุงประสิทธิภาพตนเองเพื่อขอสินเชื่อใหม่

สิทธิที่ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการติดตามทวงถามหนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดแนวนโยบายในการติดตามทวงถามหนี้ของสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับ
เพื่อความเหมาะสม และความเป็นธรรมกับลูกหนี้ดังนี้

    ติดตามทวงถามได้เฉพาะภายในเวลาที่กำหนด
      -  วันจันทร์ – วันศุกร์ ภายในเวลา 08.00 น. – 20.00 น.
      -  วันหยุดราชการ ภายในเวลา 08.00 น. – 18.00 น.
      -  ความถี่ในการติดต่อต้องเหมาะสม
    ต้องแสดงตัวและแจ้งวัตถุประสงค์ในการติดตามทวงถามหนี้
      -  กรณีเป็นสถาบันการเงิน ต้องแจ้งชื่อ และวัตถุประสงค์ในการติดต่อให้ลูกหนี้ได้รับทราบอย่างถูกต้องเหมาะสม
      -  กรณีเป็นผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ (ตัวแทนสถาบันการเงิน) ต้องแสดงเอกสาร
         ว่าได้รับอนุญาตจากผู้ประกอบธุรกิจให้ทำการแทน
    ต้องใช้วิธีการเรียกเก็บหนี้ที่เหมาะสม
      -  เก็บเงินได้จากลูกหนี้เท่านั้น ยกเว้นได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ หรือเป็นสิทธิตามกฏหมาย
      -  ไม่รบกวนหรือรังควานลูกหนี้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
      -  ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง หรือหยาบคาย ข่มขู่ และคุกคามในลักษณะที่ผิดกฏหมายเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้
      -  ห้ามปลอมแปลง บิดเบือนข้อมูล เอกสาร หรือแสดงท่าทางอันทำให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่าเอกสารเรียกเก็บหนี้
         หรือเอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ออกหรือได้รับอนุญาต หรือรับรองจากหน่วยงานของรัฐ หรือ
         บริษัทข้อมูลเครดิต
    ต้องเก็บรักษาความลับของลูกหนี้ ห้ามเปิดเผยข้อมูลหนี้ของลูกหนี้ให้บุคคลอื่นทราบระหว่างติดต่อทวงถามหนี้ แม้จะเป็นบุคคลในครอบครัว ยกเว้นได้รับความยินยอมจากลูกหนี้
    ต้องมีหลักฐานแสดงการรับเงินจากลูกหนี้ที่เหมาะสมและมีผลในทางกฎหมาย

ข้อควรรู้ก่อนเป็นลูกหนี้

     1.  ก่อนเป็นลูกหนี้ ผู้ประกอบการหรือสถาบันการเงินต้องแจ้งให้ผู้ที่มาขอกู้เงินครั้งแรกทราบในเรื่องต่อไปนี้
            -  ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในการกู้เงิน เช่น ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าปรับต่างๆ
            -  รายชื่อตัวแทนที่ทำหน้าที่ในการติดตามทวงถามหนี้

     2.  ขณะเป็นลูกหนี้
            -  ต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบล่วงหน้าหากมอบหมายให้ผู้อื่นเก็บหนี้แทน
            -  ต้องจัดส่งเอกสารยืนยันยอดหนี้ให้แก่ลูกหนี้

     3.  ลูกหนี้สามารถร้องเรียนได้ที่สถาบันการเงิน หรือแบงก์ชาติ หากสถาบันการเงินหรือตัวแทนมีพฤติกรรมในการติดตาม
          ทวงถามหนี้ไม่เหมาะสม หรือเข้าข่ายคุกคามลูกหนี้

หมายเหตุ : กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างยกร่าง พ.ร.บ. ติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรมเพื่อเป็นกฏหมายที่ใช้ควบคุมผู้ทวงถามหนี้
                    ของสินเชื่อทุกประเภท และสร้างความเป็นธรรมต่อลูกหนี้

สิทธิที่ได้รับความคุ้มครองเรื่องการรักษาความลับของข้อมูล


สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน รวมทั้ง บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร ต้องรักษาข้อมูลของลูกค้าเป็นความลับ จะใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าได้เฉพาะวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน หรือเพื่อผลประโยชน์ของลูกค้าเท่านั้น การเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าจะทำได้ต่อเมื่อ

    ลูกค้ายินยอมให้เปิดเผยข้อมูล ซึ่งต้องเซ็นชื่อในหนังสือยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น การยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลกับเครดิตบูโร
    กฏหมายอนุญาตหรือกำหนดไว้ เช่น การเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าตามคำสั่งศาล พนักงานสอบสวน กระทรวงการคลัง ผู้ตรวจการของแบงก์ชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย

เครดิตบูโรคือใคร เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร
เครดิตบูโร  จะทำหน้าที่จัดเก็บ รักษา รวบรวม และประมวลผล ข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าสถาบัน
การเงิน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วน คือ ข้อมูลของผู้ขอสินเชื่อหรือข้อมูลบ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน อีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการขอสินเชื่อ และการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลก่อน (อ่านเพิ่มเติม click)

เจ้าของข้อมูลมีสิทธิอะไรบ้าง

    สิทธิที่จะรู้ว่าเครดิตบูโรเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวอะไรบ้าง
    สิทธิที่การขอตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
    สิทธิการได้รับแจ้งผลการตรวจสอบข้อมูลภายในเวลาที่กำหนด
    สิทธิการโต้แย้งและขอแก้ไขหากข้อมูลส่วนตัวที่เก็บไว้ไม่ถูกต้อง
    สิทธิการขออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องความถูกต้องของข้อมูลที่ยังหาข้อยุติไม่ได้
    สิทธิการขอตรวจสอบข้อมูลโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม หากธนาคารปฏิเสธคำขอกู้ และออกเป็นหนังสือแจ้งสาเหตุที่ไม่อนุมัติ เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏในเครดิตบูโรไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด


(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/logo%20_1.jpg)

สิทธิในการร้องเรียนเมื่อประสบปัญหาการใช้บริการทางการเงิน

เมื่อประสบกับปัญหาในการใช้บริการทางการเงินสามารถร้องเรียนได้ที่

    สถาบันการเงินผู้ให้บริการ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
    เช่น การเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มแล้วไม่ได้รับเงิน เงินฝากในบัญชีสูญหาย มีผู้อื่นนำบัตรเครดิต
    ไปซื้อสินค้าและบริการ ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม
    รวมทั้งแจ้งขั้นตอนที่จะดำเนินการต่อไป หากต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
    ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีที่ท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือไม่ได้รับการชี้แจงจากสถาบันการเงิน รวมทั้งกรณีที่ท่านต้องการสอบถาม หรือขอข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่แบงก์ชาติดูแล เช่น ธนบัตร พันธบัตร ตราสารหนี้ และการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น

                                           ช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน หรือสอบถามข้อมูลทางการเงิน       
                           ธนาคารแห่งประเทศไทย มีช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนและสอบถามข้อมูลสำหรับบริการประชาชน ดังนี้

    โทรสายด่วน 1213 (บริการตอบรับอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง)
     เว็บไซต์ แบงก์ชาติ  www.bot.or.th (http://www.bot.or.th) และเลือก ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
    ส่ง e-mail ถึง ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) : fcc@bot.or.th
    ส่งโทรสาร (FAX) หมายเลข 0-2283-6151 หรือ
    ติดต่อขอพบเจ้าหน้าที่เพื่อรับคำปรึกษา ตามที่อยู่ด้านล่างนี้
     

    ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
    อาคาร 3 ชั้น 5
    ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่
    ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม
    เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

    ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
    ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
    68/3 ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก
    อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300
                 
    ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
    ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    393 ถนนศรีจันทร์ ตำบลในเมือง
    อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
     
    ส่วนคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
    ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้
    472 ถนนเพชรเกษม อำเภอหาดหใญ่
    จังหวัดสงขลา 90110
                 
     
(http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/PublishingImages/right2.jpg)

ขั้นตอนการรับเรื่องร้องเรียน หรือสอบถามข้อมูลทางการเงิน

 

หน้าที่ของผู้บริโภค

แม้ว่าสถาบันการเงินจะเล็งเห็นความสำคัญของการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์
ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่สิ่งสำคัญ คือ ผู้บริโภคมีหน้าที่ทำความเข้าใจเอกสาร และเงื่อนไขการ
ให้บริการต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจสมัครเป็นผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกหลอก หรือเอารัดเอาเปรียบ
และเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเลือกใช้บริการทางการเงินเหล่านั้น

 

ดูแลตัวเองอย่างไรให้พ้นภัยการเงิน

    ศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของบริการทางการเงิน เพื่อป้องกันการถูกหลอก หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ และเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของตนในการเปรียบเทียบผลตอบแทนในการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงิน
    อ่าน ศึกษา และทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ทางการเงินและเงื่อนไขการให้บริการ
    อย่างรอบคอบก่อนซื้อหรือตัดสินใจใช้บริการ
    วางแผนการเงินของตน เพื่อจะได้ทราบสถานะการเงิน และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์
    ทางการเงินได้สอดคล้องกับรายได้ของตนเอง
    อ่าน ทำความเข้าใจ และตรวจสอบสัญญาทุกครั้งก่อนลงนาม ซึ่งในเบื้องต้นต้องใส่ใจประเด็นสำคัญ ดังนี้

            จำนวนเงิน ที่ระบุในสัญญาเป็นจำนวนเงินที่ตกลงไว้หรือไม่ ตัวเลขตรงกับตัวหนังสือหรือไม่
            ระยะเวลา ทั้งวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดสัญญา
            ระบุรายละเอียด เช่น รายชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ ระยะเวลาการคิดดอกเบี้ย (ถ้ามี)
            ไว้ในสัญญาอย่างครบถ้วนถูกต้อง
            จำนวนเงินที่ต้องชำระต่องวด และจำนวนงวดที่ต้องชำระ
            ค่าปรับกรณีผิดนัดชำระหนี้
            ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ
            เงื่อนไขอื่นๆ ที่ระบุไว้ในสัญญา

    ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารที่ได้รับจากสถาบันการเงิน เช่น ใบแจ้งยอดการใช้เงิน ใบแจ้งข้อมูลเครดิต ใบเสร็จ
    รับเงิน เป็นต้น หากข้อมูลในเอกสารไม่ถูกต้อง รีบติดต่อกับสถาบันการเงินผู้ออกเอกสารทันที และติดตามให้สถาบันการเงินแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ควรเก็บเอกสารหลักฐาน หรือเอกสารการติดต่อให้มีการแก้ไขข้อมูลไว้อย่างน้อย 1 รอบบัญชี หรือจนกว่าจะได้รับหลักฐานยืนยันว่าข้อมูลได้แก้ไขถูกต้องแล้ว
    ต้องระมัดระวังก่อนลงนามในเอกสารเพิ่มเติม เพื่อสอบถามความยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลแก่บุคคลภายนอก เช่น “สามารถเปิดเผยข้อมูลให้แก่บริษัทในเครือได้” หรือ “ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลเพื่อให้บริการอื่นๆ ที่ลูกค้าสนใจได้” หากลงนามเท่ากับเราได้ให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลของเราแก่บุคคลอื่นได้

 

ทำตัวอย่างไรเมื่อเป็นลูกหนี้

    มีหน้าที่ต้องชำระหนี้อาจเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้กับเจ้าหนี้ตามจำนวนที่ได้ไปขอกู้ยืม
    หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาได้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย หรือค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในสัญญาภายใต้กรอบของกฏหมาย
    หากท่านไม่สามารถชำระหนี้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา ท่านสามารถติดต่อเจ้าหนี้เพื่อหาทางแก้ปัญหา
    ข้อสำคัญอย่าเบี้ยวหรือหนีหนี้เพราะท่านจะไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี

ก่อนผูกพันตนเองในฐานะลูกหนี้ควรทำความเข้าใจ ประเมินความสามารถในการชำระคืนหนี้
และตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาในสัญญาก่อนลงนามทุกครั้ง

 

 

ทำอย่างไรเมื่อเป็นผู้ค้ำประกัน

ผู้ค้ำประกัน คือ บุคคลที่สามที่เข้ามาผูกพันตนกับเจ้าหนี้ โดยยินยอมชำระหนี้แทนลูกหนี้ (ผู้กู้เงิน) หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้
ซึ่งการค้ำประกันจะจำกัดวงเงินค้ำประกันหรือไม่ก็ได้

กรณีที่จำกัดวงเงินค้ำประกัน : มีการระบุจำนวนเงินที่รับชำระหนี้แทนลูกหนี้ไว้ในรายละเอียดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

กรณีไม่จำกัดวงเงินค้ำประกัน : ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบหนี้สิน และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากภาระหนี้ทั้งหมด รวมถึง
ดอกเบี้ยผิดนัด ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าทนายความ ค่าดำเนินการติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมศาล

พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 กำหนดให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติ โดยในการทำสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคล
ให้มีการระบุเงินต้นในสัญญา และไม่ให้มีการทำข้อตกลงค้ำประกันแบบไม่จำกัดจำนวน

http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/duty/Pages/duty_right.aspx (http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/duty/Pages/duty_right.aspx)
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2012, 09:06:08 am
รวบแก๊งผลิตทองคำเก๊เขตภาษีเจริญ-เตือนระวังก่อนซื้อ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU1qQXlPVE0zT1E9PQ==&subcatid=-

(http://www.khaosod.co.th/online/2012/11/13520293791352029431l.jpg)


รวบแก๊งผลิตทองคำเก๊เขตภาษีเจริญ-เตือนระวังก่อนซื้อ

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. พ.ต.ท.ณฐกร คุ้มทรัพย์ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.สมยศ อุดรรักษาทรัพย์ สว.สส.สน.ชนะสงคราม พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม นำหมายค้นศาลอาญาธนบุรี เลขที่ ค.506/2555 ลงวันที่ 4 พ.ย.55 เข้าค้นบ้านเลขที่ 19/262 หมู่บ้านธารทองวิลล่า ซอยบางแวก 26 แยก 7 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กทม. หลังจับกุม น.ส.พรทิพย์ สุวรรณไตร อายุ 19 ปี ขณะนำทองปลอมมาหลอกขายที่ร้านทองประภัสสร ย่านสามเสน และขยายผลจนจับกุมนายพงษ์พิทักษ์ แสนรัตน์ อายุ 27 ปี และทราบว่ามีนายบุญช่วย ชัยโนนตุ่น อายุ 48 ปี เป็นหัวหน้าแก๊งมาเช่าบ้านสำหรับทำทองปลอมขาย

ตรวจค้นทาวน์เฮาส์สูง 2 ชั้น 1 คูหา พบเครื่องรีดทอง เครื่องชั่ง ตราประทับชื่อร้านทอง เครื่องหลอม เครื่องยืดทอง และทองเหลืองที่ถูกเป่าแล้วอีกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีรถ จยย.ฮอนด้า แอร์เบลด สีเทา-ดำ ทะเบียน รยม 647 กรุงเทพมหานคร 1 คัน ที่ห้องนอนชั้นสอง พบเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสพยาจำนวนหนึ่ง 

น.ส.ฉวีวรรณ พันเดช อายุ 28 ปี เจ้าของบ้านที่ให้นายบุญช่วยเช่าให้การว่า ตนให้นางสมจิต ชัยโนนตุ่น อายุ 50 ปี ภรรยาของนายบุญช่วย เช่าอยู่ได้ยังไม่ถึง 1 ปี ส่วนใหญ่นายบุญช่วยจะเข้ามาในช่วงเย็น และไม่พักค้างคืน โดยจะมีช่างทำทองขี่รถ จยย.มาทำทองอยู่ในบ้านทั้งคืน และออกจากบ้านไปในตอนเช้า ล่าสุดไม่เห็นนายบุญช่วยเข้ามาที่บ้าน 2-3 วันแล้ว กระทั่งมีตำรวจมาที่บ้านถึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นแก๊งทำทองปลอม

ด้านพ.ต.ท.สมยศกล่าวว่าขณะนี้นายบุญช่วยและนางสมจิตได้หลบหนีไป โดยแก๊งดังกล่าวถือเป็นแก๊งใหญ่ มีความชำนาญเรื่องทองมาก โดยนายบุญช่วยจะใช้วิธีเอาทองเหลืองมาทำเป็นทอง และใช้ทองจริงเคลือบด้านนอกอีกชั้น ทำให้ตรวจสอบได้ยากมาก ที่ผ่านมามีหลายร้านหลงเชื่อจึงฝากให้ร้านทองคอยระมัดระวัง

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU1qQXlPVE0zT1E9PQ==&subcatid= (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU1qQXlPVE0zT1E9PQ==&subcatid=)

.


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 06, 2013, 07:18:44 am
เตือนภัยออนไลน์!! จดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

-http://hitech.sanook.com/1386531/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%9A-apple-id-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95/-



เตือนภัยออนไลน์!! จดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

Sanook! Hitech วันนี้ขอนำเสนออีกหนึ่งวิธีการของเหล่ามิจฉาชีพ ซึ่งกรณีนี้อาจจะไม่ใช่คนแรกที่โดน...โดยระบุถึง User คนหนึ่งซื้อของในเว็บบอร์ดชื่อดัง Pantip.com ที่ได้รับจดหมายแจ้งระงับ apple id หลอกลวงเอาข้อมูลบัตรเครดิต

ทั้งนี้ผู้ใช้เว็บบอร์ดดังกล่าวได้โพสข้อความ ระบุว่า

(http://p4.s1sf.com/hi/0/ud/277/1386531/5.jpg)

เช้านี้ได้รับอีแมวจากแอปเปิ้ล เนื้อจดหมาย..แจ้งว่าแอปเปิ้ลไอดีถูกระงับ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอีเมล์ ให้คลิ๊กลิ้งค์เพื่อไปยืนยันตัวตนอีกครั้ง

(http://p4.s1sf.com/hi/0/ud/277/1386531/1.jpg)

หน้าที่ให้กรอก apple id ทำเนียนมาก หัวด้านบนเป็นของแอปเปิ้ลจริง แต่ตัว URL นั้นปลอม และ สามารถใส่อีเมล์/พาสเวิร์ดมั่วๆ ก็ผ่านได้

(http://p4.s1sf.com/hi/0/ud/277/1386531/2.jpg)

ถ้ามาถึงตรงนี้ยังไม่รู้ตัว กรอกบัตรเครดิตพร้อม รหัส CVC หลังบัตร แล้วกด verify ก็เสร็จโจรล่ะครับ

(http://p4.s1sf.com/hi/0/ud/277/1386531/3.jpg)

(http://p4.s1sf.com/hi/0/ud/277/1386531/4.jpg)

หวังว่าจะช่วยเตือนภัยให้เพื่อนๆ ในพันทิปได้ทันการณ์นะขอรับ เอวัง.

หมายเหตุ:

Phishing mail ไม่ใช่ของใหม่ครับ ประเด็นไม่ได้จะมาจาก Apple เจอมาหมด eBay PayPal FB แม้กระทั่งจากแบงก์ไทย

แค่คลิ๊กเข้าไปเห็น URL address ก็รู้แล้วครับ ถ้าเห็น mail ลักษณะนี้ก็ลบทิ้งไปได้เลย

ดู ตย. ได้เลยครับมีเป็นร้อย -https://www.google.co.th/search?q=phishing+mail&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=X&ei=5aOuUaDUAsPKrAfwyYCoBw&ved=0CEMQsAQ&biw=1196&bih=766-

ขอบคุณที่มา:  -www.pantip.com-  ที่มาต้นฉบับ -pantip.com/topic/30568990-


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:42:33 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ถามผู้รู้...แต่เรื่องยาวหน่อยนะครับ

ผมชื่อวรเทพครับ...เนื่องจากผมได้ดำเนินการกู้สินเชื่อสำหรับซื้อบ้านของโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา และตลอดระยะเวลาในการประสานงานกับทางธนาคารกรุงไทย ผมได้รับการติดต่อจากพนักงานชื่อ คุณตู่ ทางโทรศัพท์มาโดยตลอด และหลังจากสรุปการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ทางคุณตู่ ได้เชิญให้ผมเข้าไปเซ็นสัญญา ที่ธนาคากรุงไทย สาขาสะพานกรุงธน ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556 ในช่วงบ่าย ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว ผมได้เข้าไปตามเวลานัด แต่เนื่องจากเอกสารประกอบการอนุมัติสินเชื่อ ส่วนที่เป็นการทำประกันชีวิต ไม่ตรงตามที่ได้คุยกันแต่แรก แต่พนักงานท่านอื่น ไม่สามารถชี้แจงได้ เพราะคุณตู่ ไม่อยู่สาขา แต่ได้ไปออกงาน Money Expo ที่เมืองทองธานี ทั้งนี้พนักงานที่สาขาได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกับคุณตู่ แต่คุณตู่ก็โอนสายให้กับพนักงานอีกคน ซึ่งเป็นคนอธิบายเรื่องกรมธรรม์ ซึ่งผมเห็นว่ายังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ผมเลยไม่ได้ทำการเซ็นสัญญากู้สินเชื่อในวันและเวลาดังกล่าว ทางคุณตู่จึงได้นัดเข้าไปสาขาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 น.

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.55 น. ผมได้เดินทางไปยังธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน พร้อมกับลูกน้องที่ทำงาน (ต้องไปพร้อมกันเพราะนัดลูกค้าต่อตอนบ่าย 2) ได้พบกับคุณตู่ เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เป็นครั้งแรก และได้สอบถามเรื่องการกู้สินเชื่อซื้อบ้าน และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ในกรณีการกู้ของผม ผมจะไม่ทำประกันชีวิตได้หรือไม่ ระหว่างที่คุยกับคุณตู่นั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้นั่งของคุณตู่ โดยได้แนะนำตัวว่า ชื่อภา เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับประกันชีวิต กรุงไทย-แอกซ่า เข้ามาอธิบายเรื่องการทำประกันชีวิต และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าผมจะไม่ทำ และสอบถามไปยังคุณตู่ว่า ผมจะไม่ทำประกันชีวิต จะกู้ได้หรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติก็ให้ทางคุณตู่โทรไปบอกยังโครงการบ้านให้ด้วย

ระหว่างที่ผมคุยกับคุณตู่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยนั้น คุณภา ก็ไม่ได้หยุดพูด พยายามพูดแทรก ยั่วยุตลอดเวลา ซึ่งผมได้พยายามบอกให้คุณภา หยุดพูด เพราะผมไม่อยากฟัง และได้เชิญไปยังโต๊ะอื่น , คุณภา เดินไปจริง ประมาณ 30 วินาที แล้วก็เดินกลับมาหาเรื่องใหม่ ด้วยคำพูดยั่วยุอีกอย่างเดิม เช่น
-    อ๋อ..ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นท็อปเซลล์
-    ไม่เป็นไร พี่ขอเคลียร์กับผู้จัดการเองเคสนี้ พี่มีอำนาจสามารถเซ็นท์ได้
-    ไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่เลยเวลาจากไปใช่ใหมคะ??
-    คงไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่แล้วละสิ ก็คงไม่คิดจะแต่งงาน มีลูก มีผัว อยู่แล้วละลิ?? (ผมเป็นผู้ชายครับ)
-    ถ้าคุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน เพื่อจะไม่ต้องมีภาระให้ใครไง??

ที่สำคัญ มีบางช่วงที่คุณตู่ ต้องไปโทรศัพท์ โดยลุกออกไปจากโต๊ะ คุณภาได้เข้ามานั่งยังเก้าอี้คุณตู่ และบางทีใช้เม้าท์ คลิกหน้าจอ ผมไม่เห็นหรอกว่าหน้าจอขึ้นข้อมูลอะไรไว้บ้าง เนื่องจากจอคอมหันหลังให้ผม อีกทั้งโต๊ะของคุณตู่ เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมาย

ตลอดระยะเวลาประมาณ 30 นาที คุณภา ไม่หยุดพูดยั่วยุเลย  ผมเลยบอกคุณภา ว่า “ผมเป็นเซลล์มา 12 ปี ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผมไม่เคยเห็นประกันคนไหนมาขายประกันแล้วบอกผมว่า ถ้าผมตาย ผมจะได้เงิน 2 ล้าน”
ทางคุณภา ตอบว่า “ก็มันเป็นเรื่องจริง ใครๆ เขาก็พูดกันเป็นธรรมดา”
ผมเลยตอบไปว่า “งั้นผมยกตัวอย่าง ถ้ามีคนมาขายประกันให้คุณ มาขายให้แม่คุณ แล้วบอกว่า ถ้าแม่คุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน คุณเอาไหม??”
คุณภา ยืนกดโทรศัพท์มือถือ แล้วโยนใส่ด้านหน้าที่ผมนั่ง กระเด็นผ่านโต๊ะ แล้วตกไปกับพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณภา ได้โยนโทรศัพท์มือถือ แบบนี้มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าผม เพียงแต่ครั้งนี้มันกระเด็นเฉียดตัวผมไปหล่นกับพื้น

หลังจากนั้นคุณภา ได้โทรศัพท์ไปแจ้งความ โดยแจ้งต่อหน้าผมว่า “เป็นผู้ชาย ลักษณะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ทำการหมิ่นประมาท....” และก็เดินไปคุยด้านหลัง

ระหว่างนั้นผมได้ยินคุณภาแจ้งกับใครสักคนทางโทรศัพท์ ว่า “ผมก้าวร้าว” ตลอดเวลา
   
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที หลังจากที่คุณตู่ ได้ยืนยันแล้วว่าสินเชื่อไม่ผ่านหากไม่ทำประกันชีวิต จึงได้คืนเอกสารให้ผม ผมก็ได้ล่ำลา และลุกเดินจะออกจากสาขา ทางคุณภา มาเดินขวางแล้วแจ้งว่า ให้รอตำรวจก่อน เพราะได้ดำเนินการแจ้งความไว้แล้ว ผมก็รอจนตำรวจมา กลายเป็นว่า ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา และให้เข้าไปคุยกันในห้องผู้จัดการสาขา

ในห้องผู้จัดการสาขา มีตำรวจ 2 นาย, คุณตู่, เจ้าหน้าที่สาขาผู้หญิงสูงวัย, คุณภา, ผม และลูกน้อง รวมทั้งหมด 7 คน ซึ่งระหว่างการสนทนาทั้งหมด ผมได้ทำการบันทึกเสียงไว้ในโทรศัพท์มือถือ ความยาวประมาณ 13 นาที

ได้รับการบอกกล่าวจากทางตำรวจว่า คุณภา แจ้งกับตำรวจว่า "มีการหมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" ตำรวจเลยรีบมา และทางผมได้ชี้แจงกับตำรวจ เช่นเดียวกับเนื้อหาด้านบน และไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สุดท้ายตำรวจแจ้งให้ในห้องว่า กรณีนี้ไม่เข้าข่ายใดๆ ที่จะฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทได้ ซึ่งทางคุณภา และผมก็เข้าใจตรงกัน ก็ทำการขอโทษกันไป  ผมถึงได้ออกจากสาขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่ในคลิปเสียงที่ผมอัดไว้ เป็นการชื้แจงและรับทราบต่อหน้าตำรวจ

สิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดเลยคือ

1.    คุณภา เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า เป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยสาขาสี่แยกสะพานกรุงธนหรือไม่? ทำไมถึงมีอำนาจมากมาย คุยกับผู้จัดการสาขาได้ว่าจะอนุมัติเคสใครให้ทำประกันก็ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่(คุณตู่) ทำไม่ได้ เพราะผมไม่เห็นว่าเขาจะแต่งกายชุดพนักงานของธนาคารเลย และเป็นคนเดียวในสาขาด้วย ผมถามเขา เขาตอบว่าเขาเป็นพนักงานเอ้าซอร์ท สามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ในธนาคาร
2.    คุณภามีอำนาจมากมายขนาดที่สามารถนั่งโต๊ะคุณตู่ หรืออยู่หน้าคอมคุณตู่ ได้เลยหรือ ทั้งข้อมูลในคอมหรือเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่างๆ เท่าที่ผมทราบ ควรจะเป็นความลับของเจ้าหน้าที่แต่ละคนหรือไม่ ผมถามคุณภา ว่าเอกสารการกู้สินเชื่อของผมเป็นความลับไม่ใช่หรือ ทางคุณภายืนยันว่ามีสิทธิ์ดูได้เพราะเกี่ยวกับประกันที่เธอดูแล อยากทราบเหมือนกันว่า ที่อยู่หน้าคอมและเอกสารบนโต๊ะนั้น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประกันภัยทั้งหมดเลยหรือไม่
3.    สมควรหรือไม่ ที่ให้ตำรวจมาควบคุมตัวผมไม่ให้ออกจากสาขา แล้วแจ้งความว่า “หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ก้าวร้าว ไม่คำหยาบออกมาจากปากผมสักคำ และ ผมเชื่อว่ากล้องวงจรปิดที่สาขา สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทั้งหมด  ระหว่างที่ผมนั่งคุยที่โต๊ะคุณตู่ ผมไม่ได้ลุกจากที่นั่งด้วยซ้ำ คุณภาต่างหาก ทั้งเดิน ทั้งนั่ง โยนใส่โทรศัพท์ใส่หน้าผม แล้วถ้าลองเปลี่ยนจากโทรศัพท์เป็นของมีคมละ? หรือถ้าโทรศัพท์มันระเบิดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบผม เพราะโทรศัพท์ไอโฟน ก็เคยมีกรณีระเบิดมาแล้ว
4.    หากคุณภาเป็นพนักงานบริษัทกรุงไทยจริง อยากทราบว่า ธนาคารกรุงไทย ให้พนักงานทำกับลูกค้าของคุณแบบนี้หรือ?? ทั้งให้พนักงานมาทะเลาะกับลูกค้า, ให้พนักงานพูดจาเหยียดหยามเรื่องเพศ และให้ตำรวจมาควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา ต่อหน้าลูกน้องผม, ต่อหน้าพนักงานธนาคารและต่อหน้าลูกค้าธนาคาร ที่มาใช้บริการขณะนั้น มันถูกต้องแล้วหรือ??
5. การที่ใครสักคนจะเป็นเพศอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพศชาย หรือเพศหญิง จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากพนักงานธนาคารกรุงไทยหรือ?? ยุคสมัยของการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ สีผิว และเพศ มันน่าจะผ่านไปนานแล้ว
6.    เคยเกิดกรณีพนักงานโรงหนังแห่งหนึ่ง ตะคอกเถียงลูกค้าที่มาใช้บริการ สุดท้ายก็ต้องออกจากงานนั้นไป ถามว่าทางมาตรฐานและบรรทัดฐานของกรุงไทย จะจัดการเช่นไรกับกรณีนี้
7. ถ้ากู้ซื้อบ้าน และไม่ทำประกันได้หรือไม่ (อันนี้ไม่อยากได้คำตอบแล้ว)

ผมได้ทำการร้องเรียนผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไร เต็มที่ก็คงจะทำการขอโทษ ซึ่งการขอโทษมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากความรู้สีกที่เสียไปแล้ว ยังมีอื่นๆ ที่เสียตามมาอีก
- บ้านผมก็กู้ไม่ผ่าน
- ชื่อผมก็ต้องอยุ่ในบันทึกของตำรวจ
- ลูกน้อง การปกครองต่อไปจะเป็นอย่างไร
- เจ้าหน้าที่ธนาคารท่านอื่น ก็คงไม่อยากบริการลูกค้าเช่นผม
- ลูกค้าธนาคารช่วงเวลานั้น ตีหน้าผมไปแล้วว่า...
- ความกลัวที่จะเข้าไปใช้บริการกรุงไทย ผมไม่รู้ว่าหากพูดผิดหูเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือไม่ จะถูกแจ้งความว่า "หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" อีก
- ภาพในกล้องวงจรปิด "ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน"

เลยมาแชร์ และถามผู้รู้ครับ

 สมาชิกหมายเลข 839416
14 พฤษภาคม เวลา 13:27 น.  [IP: 125.25.37.119]


เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 77
มาตอบและขอบคุณพันทิพ ครับ

ได้รับการติดต่อจากผู้จัดการสาขาแล้วครับ ได้รับการขอโทษจากผู้จัดการ ในนามของธนาคาร ผู้จัดการแจ้งว่า เพิ่งได้ทราบเรื่อง จากสำนักงานใหญ่ จากเรื่องราวที่ผมโพสในพันทิพ และผู้จัดการสาขาจะเข้ามาพบที่ออฟฟิสผม ในวันพุธที่ 15 พ.ค. บ่าย 2

เห็นแจ้งว่าขอเข้าพบเพื่อชี้แจง และจะดูให้ว่าพอจะช่วยเหลือเคสนี้อย่างไรบ้าง

ผมได้แจ้งวันเวลาเข้าพบอีกครั้ง และรบกวนให้ทางผู้จัดการนำไฟล์ของกล้องวงจรปิดมาให้ด้วยจะได้เข้าใจตรงกัน แต่ผู้จัดการแจ้งว่า กล้องวงจรปิดมีเฉพาะที่เค้าเตอร์กับประตูทางเข้า บริเวณที่คุณตู่นั่งไม่มี เฮ้อ...กลายเป็นสิ่งที่ผมพูด ไม่มีน้ำหนักขึ้นมาทันที มีแต่พยานบุคคลคือลูกน้องผม กับเจ้าหน้าที่ธนาคารอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนหลังจะเป็นพยานให้หรือไม่

ผ่านพรุ่งนี้ไปได้ จะมาเล่าอีกทีนะครับ

ขอบคุณทุกความเห็นและพันทิพครับ


-------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 250
เจ้าของกระทู้นะครับ มาตอบแล้วแจ้งข่าวและความคืบหน้าครับ

15 พ.ค.56 เวลา 14.30 น.- เจ้าหน้าที่กรุงไทย(คุณตู่), คุณคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการสาขา(คห.163), เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า 4 ท่าน และลูกน้องผม(ผู้ร่วมเหตการณ์)

ทางเจ้าหน้าที่ทั้งจากกรุงไทย และกรุงไทยแอกซ่า ได้ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการ พร้อมกระเช้าผลไม้จากกรุงไทยแอกซ่า ครับ

จากนั้นผมได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามเนื้อความที่ตั้งกระทู้ และทางคุณคมสัน ได้เล่าผลทางการสอบสวนเจ้าหน้าที่สาขาก่อนที่จะมา ซึ่งไปในทิศทางเดียวกันกับเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม, คำพูดยั่วยุ เสียดสี, การโยนโทรศัพท์, การเดินเข้า-ออกระหว่างสนทนา และสุดท้ายคือการแจ้งตำรวจมาควบคุมตัวที่สาขาต่อหน้าพนักงาน และลูกค้าท่านอื่น

กรุงไทย
- ได้ชื้แจงแล้วว่า คุณภา ไม่ใช้พนักงานของธนาคารกรุงไทย แต่เป็นพนักงานของกรุงไทย-แอกซ่า ที่ประจำสาขานี้ และขณะนี้ได้ระงับ ไม่ให้เข้าไปยังสาขาแล้ว
- กล้องวงจรปิด ทางธนาคารได้นำรูปถ่ายภายในสาขา บริเวณที่ผมนั่งทำธุรกรรมอยู่ และเห็นว่าไม่มีกล้องวงจรปิดจริงๆ
- ในส่วนของสินเชื่อซื้อบ้าน ไม่มีเงื่อนไขว่า จะต้องซื้อประกันชีวิตด้วย และชี้แจงว่า กรณีของผม สินเชื่อได้ทำการอนุมัติแล้ว โดยได้ประสานงานกับทางโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ให้ดำเนินตามขั้นตอนต่อ แต่ที่คุณภาทำ คือการยัดเยียดการทำประกันชีวิต ซึ่งทางธนาคารไม่ได้มีนโยบายว่า การไม่ทำประกันชีวิต จะไม่อนุมัติสินเชื่อ

กรุงไทย-แอกซ่า
- ชี้แจงเรื่องไม่มีนโยบายให้ตัวแทนประกัน พูดคำว่า "ตาย" แต่ให้เลี่ยงใช้คำอื่นที่ไกลตัว แต่สื่อความหมายให้เข้าใจ
- ชี้แจงส่วนของพนักงาน (คุณภา) ว่าทางบริษัท ได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพนักงานคนดังกล่าว และไม่ได้เข้าข้างพนักงานแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดต่อสิ่งที่คุณภาทำ
- ชี้แจงเรื่องกรมธรรม์, ขั้นตอนการอธิบาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับ(ที่ไม่ได้รับข้อมูลตั้งแต่แรกเริ่ม)

จากการได้พูดคุยกันในวันนี้ เนื้อความไม่ได้เยอะมากมาย แต่เป็นเรื่องการชี้แจงในหัวข้อต่างๆ ข้างต้น เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ผมคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กร ทั้งจากธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า และผมเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว

สำหรับกรุงไทย-แอกซ่า ตามที่ได้คุยกัน ผมก็เห็นว่า คุณภา ได้ทำเรื่องแย่ๆ เพียงคนเดียว แต่ไม่ได้เกี่ยวกับองค์กร การขออภัยจากทางองค์กร ผมก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับธนาคารกรุงไทย ขอขอบคุณที่แสดงการรับผิดชอบครั้งนี้อย่างจริงใจ

เรื่องระหว่างผม, ธนาคารกรุงไทย และ กรุงไทย-แอกซ่า ก็จบด้วยความเข้าใจอันดีครับ

ป.ล. ก่อนกลับ เราได้ทำการฟังคลิปเสียงที่ผมได้ทำการบันทึกไว้พร้อมกัน และทุกท่านที่ได้ฟังก็ดูสีหน้าตกใจกับเหตุเสียงที่ได้ยินในคลิป ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสม



ตอบกระทู้- สำหรับหลายท่านที่มีข้อสงสัย ขอตอบดังนี้ครับ
- ผมมาโพสเพื่ออะไร -
     - เพื่อมาแชร์เรื่องราวที่ผมเจอ และมีข้อสงสัยบางอย่างที่ต้องการคำตอบ
     - ผมว่าพนักงานบริการที่บริการเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียน

- ทำไมตกลงทำประกันชีวิตแล้วเกิดเปลี่ยนใจ
     - ไม่ได้เปลี่ยนใจครับ เพียงแต่ว่า ตอนแรกแจ้งผมว่าเป็นประกันแบบเงินออม แต่พอมาเห็นกรมธรรม์จริง เป็นประกันแบบเงินออม ปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 26 ปี อันนี้ผมรับได้ แต่มีอีกส่วนที่รับไม่ได้คือ ต้องทำประกันเสริม จ่ายปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีการแจ้งมาก่อน เลยรู้สึกว่าไม่อยากทำ

- คลิปเสียง ทำไมไม่เอามาลง
     - อัดจากในไอโฟนครับ พยายามจะเอาลงแล้ว แต่ทำไม่เป็น แต่หลังจากได้ทำการพูดคุยกันทุกฝ่าย ทางธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า ก็ขอให้ผมส่งเป็นไฟล์เพื่อไปพิจารณา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (โพสไม่เป็นจริงๆ พยายามแนบไฟล์แล้ว มันเด้งกลับตลอดเลยครับ)

- ทำไมต้องอดทน ตอนที่ถูกยั่วยุ หรือโยนโทรศัพท์ใส่ ใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
     - เพราะขณะนั้นผมก็ตกใจเหมือนกัน (กำลังอึ้ง) ทำอะไรไม่ถูก
     - ผมไม่ได้ใจเย็นนะครับ ก็มีเถียงไปตลอดเหมือนกัน การที่ผมจะลุกยืน ชี้หน้าด่า หรือทำร้ายร่างกายคุณภา ซึ่งเป็นผู้หญิงมันก็คงไม่ถูกต้อง ถ้าทำไป เรื่องนี้จะออกมาอีกแบบเลย มีบางคห. บอกว่า "มวยถูกคู่" อันนี้ยอมรับครับ
     - คนเข้าไปกู้เงินธนาคาร ปกติเราก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แล้ว การจะตั้งหน้าเพื่อจะไปหาเรื่องคงไม่ใช่

- ทำไมต้องรอจนตำรวจมา
     - ไม่ได้รอจนตำรวจมาครับ แต่ว่าจะออกจากสาขาแล้ว คุณภาเข้ามาขวาง ไม่ให้ออกจากสาขา เพียงไม่ถึง 10 วินาที (10 วินาทีจริงๆ เพราะเร็วมาก) ตำรวจก็มาถึงสาขา

- ทำไมไม่แจ้งความกลับ
     - ขณะนั้นผมก็คิดไรไม่ออกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ตำรวจด้วยแล้ว คิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
     - ผมมีนัดลูกค้า ไว้ตอนบ่าย 2 เลยต้องรีบไป

เรื่องนี้ต้องให้เครดิตกับตำรวจด้วยครับ เพราะนอกจากจะมาระงับเหตุแล้ว ยังได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

- ชื่อวรเทพ ครับ ไม่ได้เป็นคนเดียวกับ gsg99 ครับ

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอบคุณทุกความคิดเห็น และเสนอแนะจากทุกๆ ท่านครับ ผมแค่อยากมาแชร์ประสบการณ์กับสิ่งที่ได้เจอครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:43:14 pm
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 163
ผม นายคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน ขอแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และต้องขอโทษแทนธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของธนาคาร  ที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นในสาขาที่กระผมรับผิดชอบ  ซึ่งกระผมได้สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้โทรศัพท์นัดหมายกับคุณวรเทพ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น   เรียบร้อยแล้ว
      กระผมขอยืนยันและให้ความเชื่อมั่นกับคุณวรเทพว่า  ถึงแม้จะไม่มีกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ผมรับรองว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
                                              ขอขอบคุณสำหรับทุกความเห็น และต้องขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง


ความคิดเห็นที่ 21
สวัสดีค่ะคุณลูกค้า
ธนาคารกรุงไทยขออภัยในความไม่สะดวกในการให้บริการค่ะ _/\_  รบกวนขอชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ ทางหลังบ้านเพื่อประสานงานตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนะคะ


เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-


ความคิดเห็นที่ 17
อ่า ตอบได้อย่างเดียวว่าคุณภาเป็นพนักงานกรุงไทย แอ็กซ่า ไม่ใช่พนักงานกรุงไทยครับ (แอ็กซ่าเป็นบริษัทที่เกิดจากกรุงไทยกับประกันแอ็กซ่าร่วมกันครับ)

งงมั๊ย ... เหมือนกับ KTC กับ KTB ครับ คนละบริษัทกัน แต่อยู่เครือเดียวกันประมาณนั้น

ส่วนเรื่องอื่นๆ อยากให้ฟ้องกลับฐานแจ้งความเท็จต่อจนท.ตำรวจ
และชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงไปที่บริษัทกรุงไทยแอ็กซ่า รวมถึงสำนักงานเขตที่ดูแลธ.กรุงไทย สาขานี้ครับครับ เพื่อไม่ให้เกิดเห็นการณ์แบบนี้อีก

ปล. เรื่องนี้ผมได้ฟังความข้างเดียว  รับทราบแค่ข้อมูลส่วนของ จขกท. ฉะนั้นจึงแนะนำตามที่เห็นในข้อความครับ หากข้อเท็จจริงผิดไปจากนี้ก็รอดูข้อมูลแล้วค่อยว่ากัน


ความคิดเห็นที่ 18
ของผมกู้กรุงไทยเหมือนกัน  แค่โทรไปคอลเซ็นเตอร์ บอกว่าไม่ได้ใบเสร็จมาหลายเดือนแล้ว

แค่เนี้ย  ผจก.สาขาที่เรากู้โดนตัดคะแนนเลยนะครับ  ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย แค่อยากได้ใบเสร็จไว้ป้องกันตัวเฉยๆ

ถ้ารู้ชื่อจริง นามสกุลจริง  ลองโทรไปคอลเซ็นเตอร์ดูครับ


ความคิดเห็นที่ 19
เขามาอ่านรู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกโมโหแทนคะ ( ถ้าเป็นตามคุณเล่ามานะคะ ) ลองยื่นเรื่องกับแบงค์อื่นดูคะ จริงๆเรื่องประกันทางแบงค์ไม่สิทธิบังคับเราทำนะ มีในกฎหมายห้ามไว้ด้วยคะ จะมีแต่ประกันประเภทที่ว่าเมื่อเรากู้ผ่านแล้วจะทำก้อคือประมาณว่าถ้าเราเป็นอะไรไปคนข้างหลังไม่ต้องรับภาระหนี้สิ้นที่เราเป็นอยู่ แต่การกระทำของพนักงานที่แสดงออกกับคุณ น่ากลัวที่สุด


ความคิดเห็นที่ 37
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ "จิตใจ" ของผู้อื่น ผู้นั้นกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ผู็ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวา่งโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อแนะนำโปรดหลอกถามให้ได้ว่าทำอย่างงี้เป็นประจำ)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ผู้ใดกระทำการโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อนี้ก็เช่นกัน ทำให้เค้าหลุดปากพูดว่าเค้าทำเป็นประจำ เจ้าหน้าจะได้นำไปประกอบการพิจารณาลงโทษขั้นสูงสุด)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379

อันนี้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวไหม

ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ(คือถ้าบอกล้างก็จะเป็นโมฆะถ้าให้การรับรองก็สมบูรณ์) แต่การถูกกลฉ้อฉลต้องถึงขนาดซึ่งถ้าไม่มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้ทำขึ้น



ความคิดเห็นที่ 41
อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ ในส่วนคำถามที่คุณอยากทราบ คงต้องให้ทางกรุงไทยมาชี้แจงแล้วล่ะ

แต่ในส่วนที่คุณเสียความรู้สึกนั้น คงต้องเสียความรู้สึกอยู่แล้ว แต่ส่วนอื่นๆ ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน

- ถ้าคุณกู้บ้านไม่ผ่าน คุณก็ไปติดต่อแบงค์อื่นก็ได้ ใช่ว่าจะมีแต่กรุงไทยที่คุณจะขอกู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องง้อแบงค์สักหน่อย
- ชื่อคุณไม่น่าจะอยู่ในบันทึกของตำรวจ เพราะคุณไม่ได้ถูกเชิญไปที่โรงพัก อีกทั้งยังมีหลักฐานว่าคุณไม่ได้หมิ่นประมาท (จากเทปที่อัดเสียง) ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ตำรวจคงไม่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้หรอกครับ
- จะปกครองลูกน้องยังไง ก็ปกครองเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ลูกน้องคุณคงเข้าใจ
- เจ้าหน้าที่คนอื่นจะบริการคุณหรือไม่ ทำไมต้องแคร์ แบงค์นี้ไม่บริการก็ไปใช้บริการที่อื่น หรือสาขาอื่น ผมคิดว่าคนที่ต้องอาย คือพนักงานแบงค์ที่คุณมีปัญหาด้วยมากกว่า ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่อลูกค้า ไม่ใช่ตัวคุณ
- ลูกค้าธนาคารคนอื่น ควรจะเห็นใจคุณมากกว่าที่จะประนามคุณ ถ้าคุณไม่ได้ทำนิสัย หรือมารยาทที่ไม่ดี แถมลูกค้าท่านอื่นสมควรที่จะไม่พอใจการบริการของแบงค์ซะด้วยซ้ำนะครับ
- ทำไมคุณต้องกลัวคนอื่นด้วยล่ะ ในเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่พอใจบริการของที่นี่ ก็ไปใช้บริการแบงค์อื่น หรือถ้าคุณคิดจะใช้บริการของที่นี่อยู่ ก็ไปใช้สาขาอื่น มีเจ้าหน้าที่คนอื่นยังยินดีต้อนรับ ใช้ว่าพนักงานแบงค์ทุกคน ทุกสาขาเขาจะบริการไม่ดีซะทุกคนสักหน่อย
- ภาพในกล้องวงจรปิดมันมีทุกที่ คุณเดินเข้า 7-11 มันก็มีกล้องวงจรปิด ถ้าไม่ได้ทำผิดสักอย่าง แล้วจะกลัวอะไร

ผมว่าคุณจะวิตกจริตเกินไปนะสำหรับหลายๆ เรื่อง ถ้าเป็นผมๆ ไม่แคร์หรอก ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง จะกลัวตำรวจ กลัวพนักงานคนอื่น จะอายใครทำไม คนที่อายคือคนที่ทำผิดมากกว่า

สำหรับความต้องการของคุณที่อยากจะให้ทางแบงค์ดำเนินการกับพนักงานที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คงต้องให้ทางแบงค์จัดการเอง

แต่สำหรับในเรื่องการทำประกัน ผมเห็นว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ แบงค์มีนโยบายเหมือนกันนะ ถ้าเขาจะไม่อนุมัติให้คุณกู้ หากคุณไม่ทำประกัน คุณก็ควรจะทำใจ เพราะเดี๋ยวนี้แบงค์นอกจากปล่อยกู้แล้ว ยังต้องทำรายการอื่นๆ อีก

ปัจจุบันเข้าแบงค์ฝาก-ถอนเงินธรรมดา พนักงานก็ยัดเยียดอยู่นั่นแหละ ทำประกันชีวิตไหมพี่ มีบัตรเครดิตหรือยัง สนใจซื้อกองทุนหรือเปล่า บลาๆๆๆ มากมายสารพัดสินค้า ที่จะพยายามยัดเยียดคุณ

ผมคิดว่าทุกแบงค์มีนโยบายคล้ายกันหมดแหละครับ เขาคิดว่าคนที่ไปขอกู้เดือดร้อน อยากได้เงิน เขาก็เลยได้โอกาสยัดเยียดสินค้าพ่วงมาให้ด้วยมากกว่าครับ



ความคิดเห็นที่ 154
เจ้าของกระทู้ทนให้เค้าพูดจาอย่างนี้อยู่่ได้ไง เป็นคนอื่นคงฟาดเปรี้ยงเข้าให้แล้ว
แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเราไปขอกู้เงินเค้า ก็ต้องทนฟัง ยอมๆไปหน่อย แต่เยอะขนาดนี้น่าจะจัดหนักหน่อย
แจ้งความกลับเลยครับ ร้องไปธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
แจ้งไปทาง คปภ. ให้ตรวจผลสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตว่ามีใหม ที่ขายๆกันอยู่เนี่ยะ ถ้ามีให้ถอนใบอนุญาต
และถ้าเค้าผิดจริงให้ทางธนาคารทำเป็นหนังสือมาครับ เซ้นด้วย ไม่ใช่มาขอโทษด้วยวาจาแล้วจบไป



ความคิดเห็นที่ 155
สงสัยว่า เรื่องทำประกันต้องตกลงกันก่อนแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ แล้วไม่ตรงตามเงื่อนไขคืออะไร ในเมื่อประกันบ้านมันมีแบบเดียว คือคุ้มครองจากการเสียชีวิตและชำระเบี้ยครั้งเดียว ถ้าลูกค้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาหนี้ก็เสียเป็นภาระกับธนาคาร ซึ่งธนาคารทุกที่เค้าก็ให้ทำหมด อาจจะยกเว้นแค่ออมสิน ถ้าเช่นนั้นรบกวนเจ้าของกระทู้บอกด้วยที่ว่าไม่ตรงตามที่คุยคืออะไร ผมไม่ได้เข้าข้างธนาคารและก็เห็นด้วยที่ว่าพนักงานที่ชื่อภาผิด แต่ผมแค่สงสัยประเด็นที่ จขกท กล่าวตอนแรกว่าตกลงทำไปแล้ว แล้วทำไมถึงเกิดเปลี่ยนใจ ทั้งที่ธนาคารอนุมัติแล้ว


http://pantip.com/topic/30484962 (http://pantip.com/topic/30484962)

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:51:14 pm
ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์...กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้
-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=534537-

ได้อ่าน ภัยใกล้ตัว..! สมัครบัตรเครดิต แถมหลอกขายประกันชีวิต เป็นหนี้ไม่รู้ตัว ยิ่งกว่าโดนกระชากกระเป๋า ของบล็อกเกอร์ สิปาง
เลยคิดว่าน่าจะนำเรื่องนี้มาลงให้เราได้รู้สิทธิของเราในฐานะผู้ซื้อ...เพื่อประโยชน์ของเราเอง ค่ะ
*****

ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์
กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้

ค้นหาใน บมจ. ไทยเศรษฐกิจประกันภัย http://www.tsi.co.th/tips.asp?tid=193 (http://www.tsi.co.th/tips.asp?tid=193)

ทุกวันนี้การเสนอขายสินค้าผ่านโทรศัพท์ หรือเทเลมาร์เก็ตติ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการทำตลาดสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะประกันภัยที่ใช้ช่องทางนี้ค่อนข้างมาก แม้ด้านหนึ่งการขายผ่านช่องทางนี้จะทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มรำคาญ และรู้สึก "ไม่ชอบ" จนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง เพราะ "ชอบ" ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้เช่นกัน เห็นได้จากยอดขายกรมธรรม์ผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้งในไตรมาสแรกปีนี้มีมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งประเมินภาพรวมทั้งปีอาจสร้างเบี้ยสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการบริหารความ "ชอบ" และ "ไม่ชอบ" ของคนสองกลุ่มนี้ก็คือ การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการขายผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง และไม่เป็นการรบกวนผู้บริโภคจนก่อให้เกิดความรำคาญ ซึ่งธุรกิจประกันภัยถือเป็นธุรกิจแรกที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การขายทั้งในเชิงของการเป็นมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพ และการเป็นกฎหมาย



หลักปฏิบัติที่สำคัญของการขายประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์นั้น

    ประการแรก ตัวแทนหรือนายหน้าที่จะโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันนั้นจะต้องสอบใบอนุญาตการเป็นตัวแทน
    ทั้งยังต้องขึ้นทะเบียนการเป็นผู้เสนอขายแบบประกันผ่านทางโทรศัพท์กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ด้วย
    ขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องวิเคราะห์ฐาน ลูกค้าเพื่อมาออกแบบกรมธรรม์ให้เหมาะสม
    รวมถึงแบบประกันที่จะเสนอขายต้องได้รับอนุมัติจาก คปภ.ก่อนเช่นกัน

การเสนอขาย

ในการโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันจะต้องอยู่ในช่วงวันจันทร์-เสาร์ ระหว่างเวลา 08.30-19.00 น. โดยขั้นตอนการเสนอขาย ตัวแทนต้องแจ้งชื่อ-สกุล, เลขที่ใบอนุญาต และชื่อบริษัทประกัน ซึ่งต้องชี้แจงว่าจะเป็นการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย

หากผู้บริโภคไม่สนใจและปฏิเสธที่จะสนทนาต่อตัวแทนก็ต้องยุติการเสนอขายทันที พร้อมกับบันทึกชื่อลูกค้ารายดังกล่าวไว้ในอีกบัญชีหนึ่งและต้องไม่ติดต่อไปเสนอขายกรมธรรม์แก่ลูกค้ารายนั้นอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน

ในกรณีที่ลูกค้าสนใจและอนุญาตให้เสนอขายกรมธรรม์ได้ ตัวแทนต้องขออนุญาตบันทึกเสียงการสนทนาก่อนจะเสนอขายและอธิบายรายละเอียดของแบบประกันทั้งความคุ้มครอง, ผลประโยชน์, ข้อยกเว้น, เบี้ยประกัน, ระยะเวลาเอาประกัน ไปจนถึงช่องทางการชำระเบี้ย

หลังการซื้อขาย

หลังจากตกลงซื้อกรมธรรม์ภายใน 7 วันหลังจากส่งกรมธรรม์ไปให้ผู้เอาประกันแล้ว บริษัทจะต้องโทรศัพท์ไปขอคำยืนยันจากผู้เอาประกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันยังมีระยะเวลาในการขอยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย (free look period) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์จากบริษัท ในกรณีนี้ผู้เอาประกันจะได้รับเบี้ยคืนเต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้บริโภคต้องการทราบว่าผู้เสนอขายได้ข้อมูลของตนเองมาได้อย่างไร ตัวแทนก็ต้องแจ้งถึงแหล่งที่มาของข้อมูลของผู้บริโภคด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ผู้บริโภคแต่ละรายอาจถูกโทรศัพท์ไปเสนอขายกรมธรรม์หลายครั้งจากหลายบริษัท เนื่องจากแต่ละบริษัทก็จะมีฐานข้อมูลของตนเองและไม่ได้เชื่อมโยงเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน ลูกค้ารายหนึ่งอาจปฏิเสธไปแล้วแต่กลับมีบริษัทอื่น โทร.เข้ามาเสนอขายอีกก็เป็นได้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่สมาคมประกันชีวิตไทย และภาคธุรกิจ รวมถึง คปภ.จะช่วยกันหาทางแก้ไขในอนาคตเพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลของผู้บริโภค ทั้งยังต้องไม่ขัดกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับลูกค้าของสถาบันการเงินอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้น่าจะได้เห็นระบบนี้อย่างแน่นอน

ที่มา นสพ บ้านเมือง

เคยโพสต์ไว้ที่นี่ -http://dhanita-rpk.spaces.live.com/Blog/cns!926D7AD01F9C551F!1103.entry-



--------------------------------------------------------------------------------

พนักงานของบริษัทนายหน้าประกันภัยต้องมีใบอนุญาตหรือไม่? ฉบับที่ 156
-http://www.sumret.com/content.php?id=919&group_id=26-


สวัสดีครับ .พบกับการก้าวไปอย่างมั่นคง ก้าวไปอย่างปลอดภัย กับ....ก้าวทันประกันภัยและ เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาเรามาก้าวทันกันต่อเลยครับ
                คำถาม  : จากคุณ  สมชาย กรุงเทพฯ “ ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อนให้เปิดบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัย มีคำถามอยากทราบว่า ลูกจ้างของบริษัทที่จะทำหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อรับประกันภัยนั้นต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าด้วยหรือไม่อย่างไร?”

                อ.ประสิทธิ์ : ก่อนอื่นต้องขออนุญาตนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอธิบายความกันก่อนนะครับว่า บุคคลที่ถือว่าเป็นคนกลางในธุรกิจประกันภัยในอันจะดำเนินการจัดทำประกันภัยก็คือ ตัวแทน  และ นายหน้า   ซึ่งตาม ปพพ.มาตรา 845 นั้นหมายถึง  “บุคคลหรือ นิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจบริการแก่สาธารณะ เพื่อชี้ช่องหรือจัดการให้ทำสัญญาประกันภัย ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย”  หรือพูดภาษาง่ายๆก็คือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทประกันภัย ที่ทำหน้าที่ในการขายประกันภัยและรับเบี้ยประกันภัย แทน บริษัทประกันภัยนั่นเองดังนั้นความเป็นตัวแทนหรือความเป็นนายหน้าในความหมายจึงคล้ายกันจะมี ความแตกต่างระหว่างการเป็นตัวแทน กับ การเป็นนายหน้าประกันภัยนั้น ก็มีเพียงเล็กน้อย คือ ตัวแทนหมายถึงคนที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นตัวแทนของบริษัทหนึ่งบริษัทใด โดยบุคคลนั้นจะทำหน้าที่ในการขายให้กับบริษัทนั้นๆเป็นการเฉพาะ ในขณะที่ บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าประกันภัยนั้น สามารถเสนอขายและดำเนินการเพื่อรับประกันภัยแทนบริษัทประกันภัยได้หลายบริษัท โดยเฉพาะการเป็นนายหน้าประกันภัย นั้นจะมีอยู่ สองแบบคือ   1. การเป็นนายหน้า แบบบุคคล ซึ่งหมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีใบอนุญาตเป็นหน้าหน้าประกันภัย และ 2. .การเป็นนายหน้าแบบนิติบุคคล  หมายถึง การประกอบธุรกิจเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย  ซึ่งจะเหมือนกันทั้งการประกันชีวิต และ การประกันวินาศภัย

             ทีนี้เรามาเข้าคำถามของคุณ สมชายครับที่ถามว่าการดำเนินการประกอบธุรกิจเป็นบริษัท นายหน้าประกันภัยนั้นจะมีข้อบังคับอย่างไรบ้าง..โดยผมอธิบายเป็นสามขั้นตอนดังนี้ครับ

             ขั้นตอนที่หนึ่ง : การขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดนั้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท
                          จำกัดทั่วไป
            ขั้นตอนที่สอง : การยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ
                          ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( แบบ นว.5 ) โดยต้องมีรายละเอียดอันเป็นสาระ
                          สำคัญดังนี้

             1.    บริษัทนั้นต้องมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการนายหน้าประกันวินาศภัย

             2.    ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า สองล้านบาทโดยการชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า

             3.    กรรมการ 3  ในสี่ ต้องมีสัญชาติไทย และต้องมีใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัยไม่น้อยกว่า 5 คน

             4.    เอกสารประกอบการขอยื่นต้องยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลนั้นต้องครบสมบูรณ์ตามประกาศนายทะเบียน เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนใขในการออกใบอนุญาตให้นิติบุคคลเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย

ขั้นตอนที่สาม : ต้องเปิดดำเนินการธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยภายใน 2 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตโดย
              การดำเนินการนั้นต้องปฏิบัตตามกฎหมายและข้อบังคับตลอดจนกฎระเบียบของ คปภ. ดังนี้
               1.    ต้องดำรงกองทุนไม่น้อยกว่า หนึ่งล้านบาทตลอดเวลาที่ได้รับใบอนุญาต
               2.    ต้องจัดทำสมุดทะเบียน และสมุดบัญชี และเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจ
               3.    ต้องยื่นรายงานผลประกอบการธุรกิจต่อนายทะเบียนตามที่กำหนด
               4.    ต้องมีนายหน้าปฏิบัติงานประจำในสำนักงานนิติบุคคลนั้นไม่นอยกว่า 1 คนเพื่อให้บริการประชาชน
               5.    ต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยให้เป็นผู้สามารถดำเนินการเพื่อรับประกันภัยและรับค่าเบี้ยประกันภัยได้

               ดังนั้นจากคำถามของคุณสมชาย ที่ถามว่าพนักงานลูกจ้างของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจะต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าหรือไม่นั้น.. คำตอบจึงไม่จำเป็นครับเพราะว่าบริษัทนายหน้านั้นเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการใดๆก็จะเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัทจำกัดทั่วไปคือลูกจ้างที่ทำการในทางที่จ้างตามที่นายจ้างมอบหมายให้กระทำการก็มีผลผูกพันกับนิติบุคคลนั้นแล้ว เพียงแต่สิ่งที่บริษัทนายหน้าจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนของการเสนอขายและรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยนั้นต้องให้ทางบริษัททำหนังสือมอบอำนาจให้กับพนักงานที่มีหน้าที่ในกการรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย มาตรา 66:    วรรคสองกำหนดว่า นายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงิน อาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยนั้น    ( หากฝ่าฝืนมีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี  ปรับไม่เกิน  200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )และ มาตรา 66/2:    ที่กำหนดไว้ว่า นายหน้าประกันวินาศภัย หรือ พนักงานของบริษัทต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจจากบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท นายหน้าประกันวินาศภัย หรือพนักงาน ของบริษัทภัยต้องออกเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท (ปรับไม่เกิน 30,000 บาท) และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทหรือผู้เอาประกันภัย   ( โทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ) และนอกจากนี้แล้วคุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการเองก็ต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำเสนอขายประกันภัยของพนักงานของท่านด้วยอีกทางหนึ่งเนื่องจากได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยต้องแสดงใบอนุญาตการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าทุกครั้งที่มีการสเสนอขายประกันให้กับลูกค้าประชาชน คุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการก็ต้องแจ้งให้พนักงานต้องแจ้งและแสดงใบอนุญาตการเป็นนายหน้านิติบุคคลให้กับลูกค้าหรือประชาชนทุกครั้งเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการเสนอขายในช่องทางหนึ่งช่องทางใดก็ตาม

             ดูเหมือนว่ารายละเอียดและเงื่อนไขจะมากทำให้เกิดความยุ่งยากหรือไม่... ก็ต้องขอเรียนกับคุณสมชาย และท่านผู้อ่านด้วยนะครับว่า อาชีพการเป็นตัวแทน หรือ นายหน้านั้น จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งที่ผ่านมานั้นค่อนข้างมีปัญหา การที่กฎหมายมีการกำหนดไว้ให้เป็นเช่นนี้นั้นก็เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพตัวแทน หรือ นายหน้าให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการกำหนดอีกครับว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยจะต้องเข้ารับการอบรมทุกครั้งก่อนมีการต่ออายุใบอนุญาตเพื่อปลุกจิตสำนึกการให้บริการ อันเป็นการส่งเสริมจรรยาบรรณในอาชีพเพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองและการบริการที่ดีจากธุรกิจประกันภัย หากมองในภาพรวมแล้วประชาชนทั่วไปย่อมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน ...ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องจรรยาบรรณของตัวแทน และ นายหน้าประกันวินาศภัยกันครับ...แล้วพบกัน..สวัสดีครับ.  ประสิทธิ์  คำเกิด                 


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 156 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 36-31 พฤษภาคม 2552
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 09, 2013, 02:59:05 pm
วิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย เทคนิคง่าย ๆ ที่ควรรู้
-http://hilight.kapook.com/view/86389-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/annira/info-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A203.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการ การใช้บัตรเครดิตถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก และยังเป็นการแบ่งเบาภาระสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อน แต่ต้องการซื้อสินค้าราคาค่อนข้างสูง รวมทั้งสามารถใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้อีกด้วย แน่นอนว่า การที่สามารถใช้บัตรรูดซื้อสินค้าหรือบริการ รวมทั้งกดเงินสดได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินที่มีอยู่ในบัญชี แม้จะเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้บัตร แต่ถือเป็นข้อเสียที่ให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรได้เช่นกัน

          ทั้งนี้ เพื่อให้เราสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างสบายใจหายห่วง วันนี้เราจึงนำวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัยมาฝาก ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

          1. ลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรทันทีที่ได้รับบัตรใหม่

          2. เก็บรักษาบัตรไว้ในที่ปลอดภัย

          3. ไม่ควรเขียนหรือเก็บรหัสไว้รวมกับบัตร

          4. หากเป็นไปได้ ควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาในขณะที่ร้านค้ากำลังดำเนินการขออนุมัติวงเงิน

          5. ต้องตรวจสอบหมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร และยอดเงินในเซลส์สลิปว่าถูกต้องหรือไม่ก่อนลงลายมือชื่อ

          6. ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้รับบัตรคืนหลังการใช้ทุกครั้ง และบัตรที่ร้านค้าคืนมาต้องไม่สลับกับบัตรของผู้อื่น

          7. พึงระวังว่าร้านค้ารูดบัตรเพียงครั้งเดียวต่อการทำรายการซื้อขายหนึ่งครั้ง หากมีการรูดบัตรเกินควรสอบถามและขอทำลายใบเสร็จ ที่บันทึกข้อมูลผิดหรือรายการที่ยกเลิกแล้ว

          8. ตรวจสอบใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนกับใบเสร็จที่มี หากมีรายการเรียกเก็บเงินใดที่ไม่ถูกต้องให้แจ้งผู้ออกบัตรทันที

          9. หากไม่ได้รับใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนตรงตามเวลา ให้สอบถามไปยังผู้ออกบัตรถึงสาเหตุที่ล่าช้า

          10. ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด อย่าเซ็นชื่อลงในใบบันทึกรายการที่ยังมิได้เขียนจำนวนเงิน

          11. อย่าแจ้งรหัสส่วนตัวที่ใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินจากเครื่อง ATM ให้คนอื่นทราบอย่างเด็ดขาด

          12. ไม่ควรเปิดเผยข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ของท่านกับใครขณะใช้บัตรเครดิต และแสดงบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่น ๆ เมื่อท่านเห็นสมควรว่าจำเป็นเท่านั้น

          13. ในการตั้งรหัสบัตรเพื่อกดเงินสด พยายามเลือกรหัสที่ท่านสามารถจำได้ง่าย แต่ไม่ควรใช้ตัวเลขที่ผู้อื่นอาจเดาได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ วันเกิด ทะเบียนรถ เป็นต้น

          14. หากรู้สึกว่าพนักงานขายทางโทรศัพท์คะยั้นคะยอขอหมายเลขบัตรเครดิตของท่าน ให้สงสัยไว้ก่อนและปฏิเสธไป

          15. อย่าวางบัตรไว้ใกล้แหล่งที่เป็นแม่เหล็ก เพราะแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรจะได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านข้อมูลจากบัตรได้

          16. หากบัตรของท่านติดอยู่ในเครื่อง ATM ควรระวังผู้ที่แสดงความหวังดีเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้ที่มาช่วยอาจแฝงด้วยเจตนาที่ไม่ดีและอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อล่วงรู้รหัสบัตรของท่าน แล้วอาจนำบัตรของท่านที่ค้างอยู่ในตู้ ATM มากดถอนเงินในภายหลัง

          17. จดจำหมายเลขบัตรและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ออกบัตร เพื่อติดต่อสถาบันผู้ออกบัตรได้ทันทีในกรณีบัตรสูญหาย ถูกขโมย หรือสอบถามข้อสงสัย ตลอดจนเมื่อมีปัญหาจากการใช้บัตร

          สำหรับใครที่ใช้บัตรเครดิตค่อนข้างบ่อย คงต้องหัดทำตัวเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งการปฏิบัติตามวิธีในข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่บัตรเครดิตของเราจะถูกลักลอบนำไปใช้หรือโดนปลอมแปลงได้


หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2556


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
bfiia.org, bot.or.th

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 10, 2013, 10:31:23 pm
ไฮโซแจ้งจับสองผัวเมียตุ๋นเงินแชร์ลูกโซ๋สูญ 100 ล้าน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    10 มิถุนายน 2556 17:12 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069867-

(http://pics.manager.co.th/Images/556000007310701.JPEG)

กลุ่มผู้เสียหายนับสิบรายพร้อมทนายความแจ้งความกองปราบฯ ถูกสองสามีภรรยานักธุรกิจอสังหาฯ หลอกเงินไปลงทุนทำแชร์ลูกโซ๋รวมลงทุนทำธุรกิจ มูลค่ากว่า 100 ล้าน ก่อนเชิดเงินหนีตามระเบียบ
       
       วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นางณัฎฐ์รดา อมรสินสถิตย์ อายุ 35 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงิน บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นบรรดานักธุรกิจ รวม 14 ราย พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายวชิระ พูลเพิ่ม อายุ 34 ปี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และนางพิมลพรรณ พูลเพิ่ม อายุ 32 ปี เจ้าของธุรกิจร้านหนังสือ สองสามีภรรยา หลังจากถูกทั้งสอง หลอกลวงให้นำเงินไปร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภท เช่น ร้านจำหน่ายแผ่นซีดี ธุรกิจคาร์แคร์ รวมทั้งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 75 ล้านบาท
       
       นางณัฎฐ์รดากล่าวว่า รู้จักกับนางพิมลพรรณมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากเคยเรียนมาด้วยกัน กระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานางพิมลพรรณได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านจำหน่ายแผ่นซีดี โดยวางโครงการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งด้านการบริหารงาน ซึ่งตนเพียงแต่นำเงินมาลงทุนด้วยเท่านั้นก็จะได้รับผลตอบแทน 10% จากเงินที่นำมาลงทุน โดยครั้งแรกเมื่อปี 2554 ตนได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนก็ได้รับเงินปันผลตอบแทนจริง จึงติดต่อกับลูกค้าบริษัทที่ตนทำงานอยู่ให้ร่วมนำเงินมาลงทุนธุรกิจดังกล่าว รวมเป็นเงิน 48 ล้านบาท ซึ่งระยะแรกก็ยังได้รับเงินตอบแทนเป็นรายเดือน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ได้รับเงิน
       
       นางณัฏฐ์รดากล่าวต่อว่า เมื่อเริ่มผิดสังเกตว่าไม่มีการจ่ายเงินปันผลตอบแทนมาให้ ตนจึงพยายามติดต่อกับนางพิมลพรรณ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไปก็จะรับสายตลอด รวมทั้งติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนด้วย นอกจากนี้ ตนมาทราบภายหลังว่า นางพิมลพรรณกับสามียังหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายรายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจคาร์แคร์ ซึ่งอ้างว่ามีโครงการที่ได้จัดซื้อที่ดินไว้แล้ว หรือจะเป็นโครงการเปิดร้านหนังสือ ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางรายนางพิมลพรรณ เคยพาไปดูธุรกิจที่เปิดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว ทำให้ผู้เสียหายยิ่งหลงเชื่อว่าไม่น่าจะถูกหลอกลวง
       
       “หลังจากตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ก็พบว่านางพิมลพรรณกับสามีจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และมีการโอนเงินที่อ้างว่าเป็นปันผลผ่านบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่ละราย โดยพบว่าน่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายสิบรายที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท” นางณัฏฐ์รดากล่าว
       
       ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจ และมีการบอกต่อๆ กัน มีการนำเงินจากผู้เสียหายรายหนึ่งไปจ่ายให้กับอีกราย สลับกันไปมา จนที่สุดอาจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทันจึงติดค้างการจ่ายเงินคืนให้ผู้เสียหาย เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณัฐปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ก่อนจะพิจารณาออกหมายเรียกบุคคลทั้งสองเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
       
       ผบก.ป.กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่วนกรณีการตรวจสอบบัญชีธนาคารและเส้นทางการเงินก็จะประสานธนาคารเจ้าของบัญชีในการตรวจสอบ และหากมีการยักย้ายเงิน หรือการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินก็จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการต่อไป


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 02:33:42 pm
แฉ “แคลิฟอร์เนีย ว้าว” ไม่เจ๊งจริง แอบขน 1.6 พันล้านออกนอก แถมไปตั้งใหม่ในฟิลิปปินส์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 มิถุนายน 2556 17:27 น.
-http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000068755-

(http://pics.manager.co.th/Images/556000007198901.JPEG)

ปปง.เผยเส้นทางการเงิน “แคลิฟอร์เนีย ว้าว” ไม่เจ๊งจริง ผลตรวจสอบพบหลักฐานโอนเงินออกไปต่างประเทศกว่า 1.6 พันล้าน ทั้งที่มีสถานะล้มละลาย และแจ้งขาดทุนตลอด เร่งประสาน ก.ล.ต. เอาผิดฐานฉ้อโกง ระบุมีการไปตั้งบริษัทใหม่ในฟิลิปปินส์ และประเทศต่างๆ ด้วย
       
       พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนท์ หลังมีประชาชนซึ่งเป็นสมาชิกฟิตเนสได้รับผลกระทบ โดยระบุว่า จากการตรวจสอบพบพฤติการณ์ของบริษัทดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน
       
       ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้อง พบว่า มีการโอนเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการทำธุรกรรมรายปีตั้งแต่ปี พ.ศ.2545-พ.ศ.2556 ซึ่งตั้งแต่บริษัทแคลิฟอร์เนียเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2549 มีการแจ้งผลกำไรเพียง 1 ปี หลังจากนั้น แจ้งผลประกอบการขาดทุนโดยตลอด แต่กลับมีการโอนเงินไปต่างประเทศต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะปี 2553 มีการโอนเงินออกไปต่างประเทศสูงสุดถึงกว่า 495 ล้านบาท รวม 10 ปี มีเงินหมุนเวียนกว่า 1,600 ล้านบาท
       
       พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินในแต่ละช่วงเวลา พบว่า มูลค่าสูงสุดของการทำธุรกรรมเกิดขึ้นในช่วง 3 ปี คือ พ.ศ.2552-2554 โดย 99% เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบ SWIFT คือ การโอนเงินออกไปต่างประเทศ ธุรกรรมของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าวฯ เกือบทั้งหมดจึงเป็นการโอนเงินออกไปต่างประเทศ และจากการตรวจสอบบุคคลเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในเบื้องต้นมีจำนวน 10 ราย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้เพราะอยู่ระหว่างขยายผล
       
       “พฤติการณ์โอนเงินจำนวนมากไปต่างประเทศที่ตรวจพบ ขณะที่แจ้งผลประกอบการขาดทุน แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารของแคลิฟอร์เนีย ว้าวฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องส่อเจตนาที่จะฉ้อโกงลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ หรือเรียกได้ว่า เป็นการวางแผนฉ้อโกงอย่างเป็นระบบ” พ.ต.อ.สีหนาท กล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ปปง.รู้ปลายทางประเทศที่มีการโอนเงินไปแล้ว และพบข้อมูลว่า บริษัทแคลิฟอร์เนียฯ ที่มีสถานะล้มละลายขณะนี้ แต่กลับมีการไปตั้งบริษัทใหม่ในฟิลิปปินส์ และประเทศต่างๆ ด้วย
       
       พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ปปง.จะจัดส่งข้อมูลให้แก่หน่วยบังคับใช้กฎหมายที่ดำเนินคดีเรื่องนี้อยู่ โดยเฉพาะกองปราบปราม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อตรวจสอบว่าเหตุใดบริษัทดังกล่าวจึงทำเช่นนี้ได้ ก.ล.ต.ตรวจสอบพบความผิดปกติหรือไม่ ในส่วนของ ปปง. จะดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และติดตามเงินที่มีการโอนออกไปต่างประเทศโดยไม่ถูกต้อง เพราะกรณีนี้นอกจากสมาชิกผู้ใช้บริการเสียหายแล้ว ผู้ถือหุ้นก็เสียหาย รวมถึงประเทศไทยเสียหายทางด้านภาษี

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 02:35:36 pm
ปปง.-กลต.เร่งสอบแคลิฟอร์เนีย ว้าว

-http://www.posttoday.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/227894/%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%95-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2-%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7-


(http://www.posttoday.com/media/content/2013/06/12/B9C95EB0111B491E9E4540DE0C059A88.jpg)

กล.ต.-ปปง.สอบเส้นทางการเงิน"แคลิฟอร์เนีย ว้าว" หลังพบเข้าข่ายฉ้อโกง สาวลึกถึงผู้สอบบัญชี

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า กำลังประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ (CAWOW) หลังพบว่า บริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยจะตรวจสอบงบดุลของบริษัทย้อนหลัง

นอกจากนี้ ยังพบว่างบดุลของบริษัท มีการเซ็นรับรองโดยผู้สอบบัญชีรายหนึ่ง จึงต้องดูว่าการตรวจสอบบัญชีนั้นถูกต้องหรือไม่ มีข้อผิดพลาดอะไร รวมทั้งต้องใช้กฎหมายใดดำเนินการ

ด้านกรมบังคับคดี เปิดรับยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของ บริษัท แคลิฟอเนียร์ ว้าวฯ โดยเปิดให้ลูกค้า เจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ที่กรมบังคับคดี ฝ่ายคำคู่ความ ชั้น 2 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ซึ่งตามข้อมูลพบว่ามีลูกค้าร่วม 7 หมื่นราย





ก.ล.ต.พร้อมสอบกรณีแคลิฟอร์เนียว้าวให้ถึงที่สุด

-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20130610/510324/%E0%B8%81.%E0%B8%A5.%E0%B8%95.%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94.html-

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2013/06/10/images/news_img_510324_1.jpg)

นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.ยังไม่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรณีให้เข้าตรวจสอบข้อมูลของบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW) หลัง ปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ CAWOW พบว่าบริษัทดังกล่าว มีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ และพบการยักยอกเงินออกนอกประเทศรวมกว่า 1.6 พันล้านบาท

"ยังไม่ได้รับเรื่องนี้ แต่คาดว่าจะมีการประสานงานกันในเรื่องนี้ระหว่าง ก.ล.ต.กับ ปปง. เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันในด้านกฎหมาย เราประสานกันอยู่แล้ว ในส่วนของ ก.ล.ต.มีข้อมูลใดที่เราต้องดูเพิ่มเติมบ้าง คงเป็นในแง่ที่เกี่ยวกับ บจ. แต่ตอนนี้ยังบอกชัดเจนไม่ได้ แต่ดูจากข่าวก็เป็นเรื่องงบการเงิน แต่ยังพูดไม่ได้ เพราะเราต้องได้รับข้อมูลก่อน และเราจะตรวจสอบให้ถึงที่สุด แต่บอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของข้อมูล"

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ก.ล.ต.ไม่สามารถตรวจสอบการกระทำความผิดของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ได้ทุกกรณี และไม่สามารถให้ความมั่นใจผู้ลงทุนได้ 100% เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ดี แต่อาจจะมีบ้างในบางบริษัทที่มีปัญหา

"ในแง่ของการป้องกันผู้ลงทุนไม่ให้เกิดความเสียหายจากาการลงทุน ก็ต้องยอมรับว่าในระดับใดๆ ไม่สามารถป้องกันได้ 100% และกรณีของ CAWOW ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าผิดหรือไม่ อย่างไร แต่มันก็ไม่มีระบบอะไรที่ป้องกันได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งถ้าเป็นเรื่องของงบการเงิน ก็ถือว่าเป็นเรื่องของผู้สอบบัญชี แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรที่ป้องกัน 100%"

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 02:38:11 pm
ในกรณีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

ต้องเข้าไปดูปัจจัยต่างๆ สถานะทางการเงินของบริษัท ให้ดีๆ 

เนื่องจาก มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีผลประกอบการขาดทุน แต่มีการโอนเงินไปต่างประเทศ  เป็นร้อยบริษัทฯ

โปรดใช้ความระมัดระวังอย่างสูง

ข้อมูลจากรายการ ตีกลองร้องทุกข์ สถานี TNN

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 02:42:03 pm
ปปง.เตรียมอายัดทรัพย์สินตัวการแคลิฟอร์เนีย ว้าว
-http://www.dailynews.co.th/crime/210208-


(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/210208.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/210208/0.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/210208/1.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/210208/2.jpg)

ปปง.เตรียมอายัดทรัพย์สินตัวการแคลอฟอร์เนีย ว้าว ตรวจสอบพบนางแบบไทยชื่อดังกับเศรษฐีแคนาดาถ่ายเทโอนเงินไปต่างประเทศ

วันนี้( 7 มิ.ย.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ร.ต.อ.สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. แถลงข่าวผลการตรวจสอบบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนท์ จำกัด (มหาชน) หลังปิดการให้บริการฟิตเนสแคลิฟอร์เนีย ว้าว ทุกสาขาทำให้มีสมาชิกฟิตเนสฯ ที่ได้จ่ายค่าสมาชิกล่วงหน้าได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ เบื้องต้นพบความผิดเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เตรียมอายัดทรัพย์สินพร้อมประสานกองบังคับการปราบกรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(ปคบ.) ดำเนินคดี

พ.ต.อ.สีหนาท  กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากมีประชาชนผู้ใช้บริการของสถานออกกำลังกายแคลิฟอร์เนีย ว้าว กว่า 1,000 คน ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่บริษัทฯ ปิดการให้บริการฟิตเนส แคลิฟอร์เนีย ว้าว เกือบทุกสาขา โดยไม่แจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า ดังนั้นกลุ่มประชาชนที่เป็นสมาชิกผู้ใช้บริการจึงได้เข้าร้องเรียนต่อนายตวง อันทะไชย ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอความช่วยเหลือ ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2556คณะกรรมาธิการฯ ได้จัดประชุมเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยมีผู้แทนจาก 7 หน่วยงานและผู้แทนของ ปปง.เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา

จากการประสานข้อมูลกันเบื้องต้น ปปง.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทำของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว  เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หลังการสอบสวนพบว่าบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว ไม่ได้มีเจตนาทำธุรกิจให้บริหารฟิตเนสตั้งแต่ต้น แต่ได้ประกอบกิจการโดยการวางแผนอย่างชาญฉลาด เพื่อระดมเงินจากตลาดหลักทรัพย์และจากสมาชิกที่ใช้บริการของฟิตเนสแคลิฟอร์เนีย ว้าว จากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว พบว่าปริมาณธุรกรรมที่มีการทำมาแต่ละปี มีรายได้เข้ามาจำนวนมากมาย แต่รายได้ที่เข้ามาในบริษัทไม่ได้มีการนำรายได้มาใช้ในการประกอบการ แต่กลับนำเงินรายได้ที่ได้มาส่งโอนออกไปต่างประเทศ

พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนพบว่า บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว มีการโอนเงินออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการทำธุรกรรมรายปีตั้งแต่ปี2545 – 2556 บางช่วงเวลามีการทำธุรกรรมจำนวนสูงกว่า 400ล้านบาท เมื่อพิจารณาในภาพรวมพบว่ามีธุรกรรมหมุนเวียนในช่วง 10 ปีมานี้ กว่า 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินในแต่ละช่วงเวลา พบว่ามูลค่าสูงสุดของการทำธุรกรรมเกิดขึ้นในช่วง 3 ปี คือ 2552 – 2554 โดยร้อยละ 99 เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบSWIFT คือ การโอนเงินออกไปต่างประเทศกว่า 1,699 ล้านบาท อาจกล่าวได้ว่าธุรกรรมของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เกือบทั้งหมดเป็นการโอนเงินออกไปยังต่างประเทศ

 ขณะเดียวกันบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว ได้มีการระดมเงินทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยตั้งเป็นบริษัทมหาชน พร้อมจัดให้มีการซื้อขายหุ้น เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2548 จนกระทั่งปี 2554 ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย “SP” หรือการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ แต่ขณะที่มีการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ แต่กลับพบว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2554 มีเงินไหลออกจากบริษัทสูงกว่า 400 ล้านบาท และปี2553 เกือบ 500 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าบริษัทมีความตั้งใจที่จะประกอบกิจการจริง โดยผู้เกี่ยวข้องระดับดำเนินการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวน 10ราย ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ เริ่มมีโอนเงินที่ได้จากกิจการออกไปตั้งแต่ปี 2555เรื่อยมา แม้ว่าในช่วงต้นของการประกอบกิจการ ธุรกิจยังประสบภาวะขาดทุนก็ตาม แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารของแคลิฟอร์เนีย ว้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องส่อเจตนาที่จะฉ้อโกงลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ

พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ปปง.จะติดตามอายัดเงินของบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว แม้ว่าจะมีการโอนไปต่างประเทศทั้งหมดแล้ว โดยทราบประเทศปลายทางที่มีการโอนเงินไปแล้ว โดยบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ได้ปิดสาขาฟิตเนส ทุกแห่งพร้อมมีสถานะเป็นบริษัทล้มละลาย พร้อมจะประสาน บก.ปคบ.เพื่อให้ดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน และจะสอบถามสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ปล่อยให้บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว สร้างความเสียหายให้ผู้ลงทุนได้อย่างไร เพราะมีการแต่งบัญชีเป็นเท็จ

มีรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าวฯ มีนายเอริค เลอวีน ชาวแคนาดา อายุ 55 ปี ประธานกรรมการบริหารฯ เป็นสามีของ จอย วราลักษณ์ วาณิชย์กุล อายุ 40 ปี นางแบบแนวหน้าของเมืองไทย โดยทั้งคู่สร้างความฮือฮา จัดพิธีหมั่นในโรงแรมหรูสุดอลังการ เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2554 โดยมีสินสอดทองหมั้นเป็นเพชรหนัก24 กะรัต มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ส่วนงานแต่งงาน ทั้งคู่ได้วางแพลนบินลัดฟ้าไปแต่งยังแดนภารตะอินเดีย ที่เมืองริชิเกช รัฐอุตตราขัณฑ์ ตามประเพณีโบราณ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ปีเดียวกัน ก่อนจะจัดงานฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมสุดหรูบนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่ง ปปง.เตรียมเข้าตรวจสอบทรัพย์สินพร้อมอายัดมหาเศรษฐีชาวแคนาดาพร้อมพวกต่อไป หลังสืบทราบว่าจะมีการไปเปิดฟิสเนิสแคลิฟอร์เนีย ว้าว ในประเทศอาเซี่ยนอีก



--------------------------------

ปปง.เผยแคลิฟอร์เนียว้าวพบโอนเงินออกนอก
-http://news.sanook.com/1190193/%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%87.%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81/-

(http://p3.s1sf.com/ns/0/ud/238/1190193/457665-01.jpg)

เลขาฯ ปปง. เผย คดี แคลิฟอร์เนีย ว้าว พบมีการโอนเงินออกนอกประเทศ จ่อเข้าข่ายกฎหมายการฟอกเงิน

พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. กรณีสถานออกกำลังกาย บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน)  หลังจากบริษัทดังกล่าวปิดให้บริการเกือบทุกสาขา โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ส่งผลให้ประชาชนรวมถึงผู้ถือหุ้นจำนวนมากได้รับความเสียหาย เบื้องต้น ปปง. พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของ บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เข้าข่ายกระทำความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชน  นอกจากนี้ จากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 ราย ประ
กอบด้วย ชาวไทยและชาวต่างชาติ พบว่ามีการโอนเงินที่ได้รับจากการประกอบกิจการออกไปนอกประเทศโดยตลอด แม้แต่ในช่วงที่บริษัทประสบภาวะขาดทุน ทำให้เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวส่อเจตนาฉ้อโกงลูกค้าตั้งแต่เริ่มกิจการและจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป

จากกรณีที่ ภาคประชาสังคม แสดงความห่วงใย หลังมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. 2556 โดยเฉพาะกระบวนการกำหนดรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด ว่าจะมีความคลุมเครือ สุ่มเสี่ยงทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกขึ้นบัญชี หรือได้รับผลกระทบ โดยผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีอาจไม่ใช่ผู้ที่สนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย และการกำหนดรายชื่ออาจซ้ำเติมปัญหาภาคใต้ และทำให้การเจรจาสันติภาพล้มเหลวหรือไม่นั้น

พ.ต.อ.สีหนาท ระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการเสนอชื่อไปจำนวน 7 คน ก่อนที่จะมีการเสนอรายชื่อได้มี คณะกรรมการพิจารณา ประกอบด้วยหลายหน่วยงานเป็นผู้กลั่นกรอง ก่อนส่งให้ อัยการ พิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเป็นบุคคลที่ถูกกำหนด ซึ่งมีการดำเนินการไปด้วยความระมัดระวัง และตนคิดว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และไม่กระทบต่อการเจรจาสันติภาพแต่อย่างใด




ฟิตเนสดัง แคลิฟอร์เนีย ว้าว ถูกฟ้องล้มละลาย
-http://hilight.kapook.com/view/70501-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก californiawowx.com

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc/cali.jpg)

                ธนาคารกรุงเทพ ฟ้องล้มละลาย ฟิตเนสชื่อดัง แคลิฟอร์เนีย ว้าว (California Wow) หลังไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามตกลง เป็นเงินกว่า 75 ล้านบาท

                ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นฟ้องล้มละลายต่อ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) บริษัทให้บริการออกกำลังกายชื่อดัง เนื่องจาก บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ติดหนี้กู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงเทพ เป็นเงิน 71.9 ล้านบาท บวกกับดอกเบี้ยจำนวน 3.97 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดหนี้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงิน 75.87 ล้านบาท โดยทางบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามตกลง จึงต้องยื่นขอฟ้องล้มละลายต่อศาล

                ทั้งนี้การให้บริการของ แคลิฟอร์เนีย ว้าว จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องรอการยืนยันจากผู้บริหารอีกครั้ง

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 02:45:40 pm
กนง.-กนส.ห่วงหนี้ครัวเรือนสูงหวั่นกระทบเสถียรภาพการเงิน
-http://www.naewna.com/business/55773-

 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)รายงานผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ว่า ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าภาพรวมระบบเศรษฐกิจการเงินไทยมีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ แม้จะชะลอลงในไตรมาสที่ 1จากอุปสงค์ในประเทศชะลอ หลังจากที่เร่งตัวมากในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากมีแรงส่งจากปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ในเกณฑ์ดี

                ขณะที่ภาคการส่งออกยังทรงตัวและขยายตัวช้า  ตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก อนึ่ง ตัวเลขส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ยังขยายตัวได้ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ดี มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) บางส่วนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานสูงและมีอัตรากำไรต่ำ ที่เคยได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

                ด้านตลาดการเงินที่ประชุมเห็นว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สะท้อนการปรับตัวของค่าเงินบาทหลังจากค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคแข็งค่าไปในปีก่อนแล้ว และเป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ระยะยาว สะท้อนถึงความต้องการลงทุนที่แท้จริงในระดับหนึ่ง

                อย่างไรก็ดี เงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีแนวโน้มผันผวนและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในระยะต่อไป จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ถือเป็นปัจจัยที่จะสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าและตลาดการเงินที่ยังอ่อนไหวต่อข่าวสาร อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดระดับสภาพคล่องในตลาดเร็วขึ้นส่งผลให้เงินทุนไหลออกได้

                สำหรับระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ยังมีความมั่นคง สินเชื่อขยายตัวต่อเนื่อง จากสินเชื่ออุปโภคบริโภคและ สินเชื่อ SME เป็นหลัก แม้จะเริ่มชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจบ้าง แต่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี เงินกองทุนและเงินสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงิน ในอนาคตได้อย่างไรก็ตาม การขยายตัวและการแข่งขันที่สูงของสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อ SME ทำให้ต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อกลุ่มนี้ต่อไป

                นอกจากนี้ยังเห็นว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและเร่งขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินที่ต้องติดตามใกล้ชิด แม้ว่าหนี้บางส่วนจะใช้ในการซื้อบ้านและสินทรัพย์ถาวร แต่ก็อาจทำให้สภาพคล่องทางการเงินของครัวเรือนลดลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้อ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2013, 06:40:03 am
ทลายแก๊งค์ทองปลอม รายการแจ้งคลายทุกข์ 06 พ.ค.56
-http://www.youtube.com/watch?v=h-X1sy4jFeY-


ทลายแก๊งค์ทองปลอม รายการแจ้งคลายทุกข์ 06 พ.ค.56 (http://www.youtube.com/watch?v=h-X1sy4jFeY#)

ทลายแก๊งค์ทองปลอม รายการแจ้งคลายทุกข์ 06 พ.ค.56 (http://www.youtube.com/watch?v=h-X1sy4jFeY#)

.----------------------------------------------------------------------------



เทคนิคการดูทองปลอม
-http://www.youtube.com/watch?v=qGWdDp5CYHE-

เทคนิคการดูทองปลอม (http://www.youtube.com/watch?v=qGWdDp5CYHE#)

เทคนิคการดูทองปลอม (http://www.youtube.com/watch?v=qGWdDp5CYHE#)



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2013, 07:30:45 pm
กรมบังคับคดีขายทอดตลาด แคลิฟอร์เนีย ว้าว
-http://hilight.kapook.com/view/88868-


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/ETC/179237499-cw21.jpg)


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/ETC/467100-01.jpg)



กรมบังคับคดีขายทอดตลาด แคลิฟอร์เนีย ว้าว (ไอเอ็นเอ็น)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์

          กรมบังคับคดี ประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินแคลิฟอร์เนีย ว้าว ตามบัญชียึดทรัพย์ ด้าน เลขาฯ ปปง. ย้ำ ยังมีการติดตามอายัดทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง

          เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ได้ออกประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี ขายทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ตามมาตรา 19 วรรคท้าย ของคดีล้มล้มละลายกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ล.3777/2555 ซึ่งมีผู้เป็นโจทย์คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) กับบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) โดยทรัพย์สินดังกล่าวกำหนดขาย ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งกรมบังคับคดี ได้ดำเนินการขายทรัพย์สินที่โกดัง ตำบลถนนขาด จังหวัดนครปฐม และจะขายจนกว่าจะแล้วเสร็จ

          ด้าน พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยกับว่า บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว ยังถูกร้องเรียนจากผู้เสียหายประมาณ 1,712 ราย ความเสียหายประมาณ 30-40 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ปปง. กำลังติดตามอายัดเงินของ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว แม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีการโอนไปต่างประเทศทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ ต้องการให้ผู้เสียหายที่ได้ร้องเรียนมา ไม่ต้องกังวล เพราะปปง. กำลังติดตามอายัดทรัพย์อยู่อย่างต่อเนื่อง และกำลังดำเนินการยึดทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ โดยการร่วมมือกับ กรมบังคับคดี แม้การติดตามทรัพย์ อาจจะล่าช้าบ้างก็ตาม


ไอเอ็นเอ็น
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2013, 09:56:02 pm
ประกัน-ขายตรง มีจ๋อย-ครม. ดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
-http://hilight.kapook.com/view/89620-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          วราเทพ รัตนากร เร่งเดินหน้าผลักดันการออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หวังแก้ปัญหาเอกชนละเมิดนำข้อมูลไปใช้ในทางธุรกิจที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชน

          นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ว่า หลังได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เป็นประธานกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ว่า จะเร่งเดินหน้าผลักดันการออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ..... ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของ ครม. แล้ว และจะพยายามผลักดันให้รัฐสภาหยิบยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมาพิจารณาเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้สามารถคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทุกคนได้

          ทั้งนี้ นายวราเทพ เผยว่า ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2554 ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่รัฐบาลมีอยู่ หน่วยงานราชการจะสามารถเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อมีการยินยอมจากผู้นั้นเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เอกชนมีอยู่เป็นการเฉพาะ จึงเกิดปัญหาการละเมิดนำข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ไปใช้ในทางธุรกิจ ซึ่งอาจสร้างความรำคาญและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนได้

          นอกจากนี้ นายวราเทพ ยังได้ยกตัวอย่างว่า เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยเจอสถานการณ์ที่จู่ ๆ มีโทรศัพท์เข้ามาเสนอขายประกัน บัตรเครดิต หรือขายสินค้าอื่น ๆ โดยที่เราไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์กับบริษัทนั้น ๆ ซึ่งหากมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่บังคับใช้กับเอกชนนี้แล้ว หากมีคนที่โทรเข้ามาหรือติดต่อเข้ามาด้วยวิธีการต่าง ๆ ก็จะสามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายสอบถามได้ว่าเขาเอาข้อมูลมาจากไหน และเมื่อสอบถามถึงต้นตอแล้ว ก็สามารถให้ผู้ที่เอาข้อมูลของเราไปเผยแผร่รับผิดชอบในความเสียหายหรือลบข้อมูลของเราออกจากฐานระบบได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าเอกชนจะให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ เพราะเป็นการปกป้องสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ซึ่งหากทำได้ก็จะส่งผลดีต่อธุรกิจในแง่ของความน่าเชื่อถือ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
กรุงเทพธุรกิจ


http://hilight.kapook.com/view/89620 (http://hilight.kapook.com/view/89620)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2013, 10:16:44 pm
8กฏเหล็กพาสเวิร์ดปลอดภัย

-http://men.sanook.com/1235/8%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2/-


การตั้งพาสส์เวิร์ดถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสของหลายๆ คน เพราะบางทีไม่รู้จะเลือกเอาอะไรมาตั้ง ง่ายไปก็ไม่ดี กลัวโดนจับได้ ยากไปก็กลัวจะจำไม่ได้อีก สุดท้ายก็เลือกเอาแบบที่ง่ายที่สุด แล้วก็เกิดปัญหา โดนแอบเข้าใช้งานจนได้

ฉะนั้นแล้วถ้าไม่อยากถูกหลอก ก็แนะนำว่าตั้งให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าพาสส์เวิร์ดที่ตั้งปลอดภัยดีหรือยัง ก็ลองดูว่าคุณได้คิดตามสิ่งต่างๆ เหล่านี้บ้างมั้ย

1. ควรมีตัวอักษรอย่างน้อย 8 ตัว และประกอบด้วยอักษรตัวใหญ่ และตัวเล็ก ตัวเลขและสัญลักษณ์ ผสมกันยิ่งปลอดภัย
2. เลี่ยงการใช้วัน เดือน ปีเกิด ชื่อตัว (ชื่อแฟน เพื่อนสนิท พ่อแม่พี่น้อง ฯลฯ) หรือข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรามาใช้
3. ใช้รหัสผ่านแยกกัน หากเป็นคนละบัญชีผู้ใช้งาน โดยเฉพาะรหัสผ่านที่ใช้เข้าถึงข้อมูลสำคัญ อาจจะใช้วิธีตั้งพาสส์เวิร์ดเป็นพวกเดียวกัน แต่เปลี่ยนตัวเลขที่ตามหลังเพื่อแยกความแตกต่าง
4. อย่าเลือก "จัดเก็บรหัสผ่านอัตโนมัติ" (Remember Password) หากต้องใช้เครื่องร่วมกับผู้อื่น
5. อย่าบอกหรือส่งพาสส์เวิร์ดให้ใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะ วาจา อีเมล์ หรือ SMS ระลึกไว้ว่า เป็นรหัสลับ "ของคุณ" เท่านั้น
6. อย่าจดรหัสผ่านลงบนกระดาษ หรือสมุดโน้ตใดๆ ถ้าจำเป็น เก็บเอกสารไว้ในที่ปลอดภัย
7. เปลี่ยนรหัสผ่านทุกๆ 3 เดือน เพื่อลดโอกาสที่ใครจะมาถอดรหัสของคุณ
8. การพิมพ์รหัสผ่านเป็นภาษาไทย แต่ใช้แป้นพิมพ์ภาษาอังกฤษ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ให้จำได้ง่ายขึ้น
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2013, 05:26:45 am
KTC เตือน เลี่ยงทำธุรกรรมออนไลน์ผ่าน Free WiFi
-http://www.moneychannel.co.th/index.php/2012-06-30-12-32-32/18292-r61.html-

ผู้บริหารเคทีซี เตือน ผู้ถือบัตรเครดิตทำธุรกรรมออนไลน์จากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Free WiFi  มีความเสี่ยงสูงถูกแฮก ข้อมูล พบปีนี้ความเสียหายพุ่งแตะ 6- 7 หมื่นบาทต่อเดือน

นายพรชัย  วิจิตรบูรพัฒน์  ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย Internal Audit  บริษัทบัตรกรุงไทยหรือ KTC  บอกว่า ปัจจุบัน การทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต มีความเสี่ยงในการถูกล้วงข้อมูลมากขึ้น   โดยเฉพาะธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน ซึ่งที่ผ่านมา KTC พบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต ไปซื้อสินค้าและบริการ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมข้อมูล อยู่ในระดับหลักพันบาทต่อเดือน  แต่ขณะนี้ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแตะระดับ 6 หมื่น - 7 หมื่นบาทต่อเดือน และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง    เนื่องจากปัจจุบันธุรกรรมออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟน ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวก และสามารถใช้บริการได้ทุกสถานที่
       
ความเสียหายส่วนใหญ่พบว่า เกิดจากการเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตผ่าน Free WiFi จึงเป็นโอกาสที่กลุ่มมิจฉาชีพ จะใช้เทคโนโลยี เข้าไปดึงข้อมูลของผู้ถือบัตรเครดิต และนำไปใช้แอบอ้านในการซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2013, 08:19:02 pm
แบงก์พันปลอม ระบาด จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าโดนหลอกอื้อ
-http://hilight.kapook.com/view/89989-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/crime/473462-01.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/crime/473462-02.jpg)



ผวา!แบงก์พันปลอมระบาดอำนาจเจริญ (ไอเอ็นเอ็น)
 
            แบงก์พันปลอมระบาดอำนาจเจริญ แม่ค้าโดนหลอกซื้อสินค้า วอนตำรวจเร่งสกัด ด้านตำรวจเผย แม่ค้าโดนหลอกแล้วหลายราย คาดเป็นพวกแขกขาว

            วันที่ 19 สิงหาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสว่าง ไชยนา อายุ 40 ปี แม่ค้าขายลูกชิ้น ในตลาดสดวิชิตสิน ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ได้เข้าร้องสื่อมวลชน เพื่อให้แจ้งชาวบ้าน ระมัดระวังธนบัตรใบละ 1,000 บาทปลอม ซึ่งมีคนร้ายเข้ามาหลอกซื้อสินค้า โดยหวังเอาเงินทอนที่เป็นธนบัตรจริง ที่ถูกต้องตามกฎหมายจากแม่ค้าไปแทน

            โดย นางสว่าง เล่าว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาประมาณ 20.00 น. มีคนมาขอซื้อลูกชิ้น ในราคา 30 บาท โดยใช้ธนบัตรใบละ 1,000 บาท จ่ายซื้อของ จากการสังเกตคนร้ายเป็นผู้ชาย อายุ 23-25 ปี รูปร่างสูง ขาว จะทำทีมีถุงสัมภาระมาขอฝากแม่ค้า เพื่อให้คนเชื่อใจ จากนั้นจะใช้ธนบัตรปลอม ขอซื้อของจำนวนไม่มาก แต่จะเร่งให้รีบทอนเงิน และเมื่อได้เงินทอนแล้ว จะรีบเดินไปซื้อของอีกหลาย ๆ อย่าง แล้วก็หนีหายไปไม่กลับมาเอาของฝากที่วางไว้ก่อนเลย

            ด้าน พ.ต.อ.สถาพร เอมโอษฐ์ ผกก.สภ.เมืองอำนาจเจริญ ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่ ออกสกัดจับแล้ว โดยมีข้อมูลจากแม่ค้าในตลาดสดหลายรายที่โดนหลอก สูญเงินไปแล้วหลายราย สงสัยจะเป็นแขกขาว คนต่างชาติซึ่งลงพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ ยโสธร และ อุบลราชธานี ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่ามักเข้าไปต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้าน เอาสิ่งของไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งตำรวจกำลังให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความในวันนี้


ไอเอ็นเอ็น
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 01, 2013, 08:41:23 am
เตือนภัย! คอทอง... ระวังโดนล้วงตับยัดไส้ทองปลอม
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 เวลา 09:29 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/440/229629-


ภัยสังคมยุคนี้มีมากมายจนตามแทบไม่ทัน แต่เพื่อป้องกันการโดนหลอกจึงจำเป็นที่ต้องติดตามเพื่อระวังภัย!

ล่าสุด ภัยสังคมอีกรูปแบบที่พัฒนาฝีมือให้แนบเนียมจนเซียนทองยังต้องอึ้ง!  คือ “ภัยทองคำยัดไส้” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา

สืบเนื่องจากกรณี นายสุเทพ ณัฐกานต์กนก เจ้าของร้านทองกรุงเทพตราหัวใจคู่ และ น.ส.ภัทรียา รัตน์ศิริมณีเวทย์ ตัวแทนจากร้านทองไทเฮ้งล้ง ตราช้าง ตั้งอยู่ในตัวเมืองนคร ราชสีมา เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ว่าถูกแก๊งต้มตุ๋นเข้ามาหลอกให้รับซื้อทองแท่งยัดไส้ น้ำหนักรวม 4 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามจับกุม นางวรนุช กันโต อายุ 44 ปี ผู้ที่นำทองมาขาย และนางศิริพร จิตรติกรกุล ผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของทองไว้ได้ โดยในเบื้องต้นทั้งคู่ยังให้การปฏิเสธ อ้างว่าได้ซื้อทองแท่งมาจากร้านทองแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา มาเก็บไว้ ก่อนมีปัญหาเงินขาดมือ จึงนำทองออกมาขาย ทำให้เพิ่งทราบว่าเป็นทองยัดไส้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

กระทั่งวานนี้ ( 29 ส.ค.) พ.ต.ท.มงคล แก้วโพธิ์ สว.สส.สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนติดตามคดี เปิดเผยว่า ล่าสุดได้ส่งของกลางไปให้สมาคมผู้ค้าทองตรวจสอบอย่างละเอียดว่า วัตถุที่อยู่ภายในทองแท่งคืออะไร ได้มาจากไหน และถูกทำขึ้นมาได้อย่างไร แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ทองแท่งที่ถูกทำขึ้นมีความละเอียดมาก ทั้งเรื่องน้ำหนัก รูปพรรณ และสัญลักษณ์อื่น ๆ ทำได้อย่างแนบเนียน เชื่อว่าน่าจะทำเป็นขบวนการใหญ่ หรือเป็นฝีมือของช่างผู้เชี่ยวชาญ

นายชัยชนะ ประพฤทธิพงษ์ ประธานชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุนายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ได้รับปากว่าจะช่วยดำเนินการตรวจสอบให้ โดยจะนำส่งของกลางไปตรวจสอบยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งตนยังได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่บริษัทที่นำเข้าทองแท่งจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตทองแท่งยักษ์ใหญ่ว่า จะส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบเรื่องราวด้วยตนเอง เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้บริษัทผู้ผลิตได้รับผลกระทบในเรื่องชื่อเสียงด้วย

“แนวทางป้องกัน ทางชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังสมาชิก ผ่านทางไลน์ เอสเอ็มเอส รวมทั้งเฟซบุ๊ก เพื่อให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพนำทองยัดไส้มาขาย และช่วยกันดำเนินการตรวจสอบว่าพบทองยัดไส้ในพื้นที่ใดอีก แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบ อาจเป็นเพราะผู้ที่มีทองแท่งไว้ในครอบครองอาจไม่กล้าพิสูจน์” นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวว่า การพิสูจน์ ว่าเป็นทองจริงหรือทองยัดไส้ ทำได้วิธีการเดียว คือ การใช้ไฟเผา หรือนำไปหลอม เพราะเมื่อทองคำแท่งร้อนจนใกล้ถึงจุดหลอมละลาย ตัวที่ยัดไส้อยู่ข้างในจะหลอมละลายเร็วกว่าเนื้อทอง ซึ่งส่งผลให้ปริแตกและดันตัวออกมาด้านนอก แต่การเผาพิสูจน์หากพบเป็นทองจริงก็จะทำให้ทองเสียมูลค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ และจะทำให้ราคาตกลงไปด้วย ตอนนี้จึงต้องรอให้ทางสมาคมร้านค้าทองคำ หาวิธีตรวจสอบทองที่จะไม่ทำให้เสียมูลค่า

ช่วงนี้สถานการณ์ราคาทองคำในประเทศก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องสุญเปล่าต้องระวังให้ดี เพราะภัยนี้อาจทำให้เงินหมดกระเป๋าได้.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 01, 2013, 07:47:46 pm
ตร.ออกหมายจับแก๊งทวงหนี้โหดบุกทำร้ายแม่ค้าขนมหวาน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    31 สิงหาคม 2556 18:23 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109347-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000011505401.JPEG)
(แฟ้มภาพ) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการป.ป.ส.เข้าเยี่ยมผู้เสียหาย


ตำรวจ สน.บางเขน ออกหมายจับแก๊งทวงหนี้เงินกู้นอกระบบสุดโหด ยกพวกบุกบ้านแม่ค้าขายขนม ทำลายข้าวของพร้อมทำร้ายร่างกายคนในบ้าน ขณะที่ “พงศพัศ” รุดเยี่ยมมอบเงินเยียวยา
       
       วันนี้ (31 ส.ค.) พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน เปิดเผยความคืบหน้ากรณีแก๊งทวงหนี้เงินกู้นอกระบบจำนวน 15 คน พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าทำลายข้าวของภายในบ้านเลขที่ 5/9 ม.4 ซอยเพิ่มสิน 20 แยก 13 ถนนเพิ่มสิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. บ้านของนางปาริฉัตร เกิดสาย อายุ 50 ปี แม่ค้าขายขนมในตลาดเทพทิพย์ ย่านสายไหม และทำร้ายร่างกายคนในบ้านทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 รายว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับ นายชุติเทพ สุโพธิ์ หรือกรีน อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 ต.คลีกลิ้ง อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นนายหน้ามาปล่อยเงินกู้ให้กับผู้เสียหาย และในคืนก่อเหตุก็ได้เป็นหัวหน้าทีมนำลูกน้องมาถล่มบ้านดังกล่าวด้วย โดยออกหมายจับ 4 ข้อหา คือ 1. บุกรุกในยามวิกาล 2. ทำให้เสียทรัพย์ 3. ทำร้ายร่างกาย และ 4. ทำผิด พ.ร.บ.เงินกู้ฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
       
       ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส.พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน เดินทางไปที่บ้านเกิดเหตุเพื่อเยี่ยมผู้เสียหาย พร้อมมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 30,000 บาท เพื่อช่วยค่าซ่อมแซมจักรยานยนต์ และของในบ้านที่ถูกทำลายเสียหาย และแบ่งไปชดใช้คืนเจ้าหนี้เงินกู้ที่ติดค้างอยู่อีก 7,000 บาท
       
       พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า วันนี้ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจผู้เสียหาย เมื่อทราบเรื่องทาง ป.ป.ส.มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของเยาวชนที่เคยติดยาเสพติดและเข้ารับการบำบัดกับทาง ป.ป.ส. ก็พบว่ามีชื่อตรงกันกับบุคคลที่ถูกออกหมายจับ จึงประสานข้อมูลมายัง สน.บางเขน และทราบว่าเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่เมื่อพ้นโทษออกมาก็จะมารับจ้างปล่อยเงินกู้และทวงหนี้ เพื่อแลกกับเงิน และยาเสพติด และส่วนใหญ่พวกเงินกู้นอกระบบเหล่านี้จะเป็นคนต่างจังหวัดที่มีฐานะดี โดยได้มอบเงินให้ผู้เสียหายไปส่วนหนึ่ง และอยากฝากเตือนถึงประชาชนว่า หากเป็นไปได้ไม่ควรที่จะไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ เพราะจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ยังดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
       
       อย่างไรก็ตาม ขอฝากเตือนไปยังขบวนการเงินกู้นอกระบบด้วยว่ารัฐบาลมีนโยบายปราบปรามอยู่แล้ว หากไม่หยุดก็จะดำเนินการเด็ดขาดไม่มีความปรานี



ตร.รวบแล้วแก๊งทวงหนี้โหด
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    1 กันยายน 2556 15:39 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109599-

ตำรวจรวบแล้วแก๊งทวงหนี้โหด รับถูกเบี้ยวจ่ายดอก โมโหจึงพาพวกบุกไปถล่มบ้านยับ ตรวจสอบพบอดีตเคยเป็นลูกสมุนแก๊งเงินกู้ ก่อนแยกตัวออกมาปล่อยเงินกู้เอง
       
       วันนี้ (1 ก.ย.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.กฤษฎิ์ เปียแก้ว ผบก.น.2 พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน พ.ต.ท.สมศักดิ์ โปสัยะคุปต์ รอง ผกก.สส.สน.บางเขน พ.ต.ท.เสน่ห์ มณีฉาย สว.สส.สน.บางเขน พ.ต.ต.พงศ์สุรวัฒน์ วงษ์สารัมย์ สว.สส.สน.บางเขน และชุดสืบสวนร่วมแถลงข่าวจับ นายชุติเทพ สุโพธิ์ หรือกรีน อายุ 18 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1510/2556 ลงวันที่ 31 ส.ค. 2556, นายอนันต์ บุญหล้า หรือมิตร อายุ 21 ปี, นายปภพ กล่ำผ่องศรี หรือโกโก้ อายุ 21 ปี, นายธนพล มาทา หรือโก้ อายุ 21 ปี, นายมาโนชญ์ เจิมขุนทด หรือม้ง อายุ 20 ปี, นายศรันย์ สนใจ หรืออั้น อายุ 25 ปี, นายกว้าง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี, นายสมปอง จันทร์มา หรืออาท อายุ 22 ปี, นายวีรยุทธ์ โพธิ์สังข์ หรือเฟก อายุ 25 ปี และนายสมยศ ชมหมี หรือมอส อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาแก๊งทวงหนี้โหด พร้อมของกลางรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ผบ 1515 นครราชสีมา จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นสปาร์ค ทะเบียน สพจ 636 กรุงเทพมหานคร ท่อนไม้และขวดโซดา
       
       พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงดึกวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ต้องหาที่นำโดยนายชุติเทพ หัวหน้าแก๊ง ได้ร่วมกันเข้าไปทำร้ายร่างกายและข้าวของอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายภายในบ้านของนางปารีฉัตร สายเกิด อายุ 50 ปี แม่ค้าขนมหวาน ซึ่งเป็นลูกหนี้เงินกู้นอกระบบของนายชุติเทพ ส่งผลให้นายฉัตรชัย คารีวงศ์ และนายสมชาย เกิดสาย ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป จนนางปารีฉัตร ผู้บริหารของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องออกมาให้การช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบหาเบาะแสจนทราบว่าเป็นฝีมือกลุ่มผู้ต้องหา จึงพยายามกดดันจนกลุ่มผู้ต้องหายอมออกมามอบตัวในที่สุด
       
       ด้านนายชุติเทพรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของเงินทุนที่นำมาปล่อยกู้ เพราะเคยรับจ้างทวงหนี้เงินกู้นอกระบบมาแล้วตอนอยู่ที่ จ.ระยอง โดยพยายามจดจำวิธีการทำมาจากลูกพี่เก่า จากนั้นเมื่อเก็บเงินได้ประมาณ 80,000 บาท จึงแยกตัวมาปล่อยเงินกู้เอง คิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ซึ่งที่ผ่านมาเพิ่งปล่อยไปได้ประมาณ 4 เดือน แต่กลับถูกลูกหนี้เบี้ยวจ่ายดอกจึงเกิดความโมโห ก่อนเกิดเหตุตั้งวงกินเหล้ากับกลุ่มเพื่อน เมื่อเมาได้ที่จึงโทรศัพท์ไปทวงหนี้กับผู้เสียหาย เมื่อถูกปฏิเสธจึงพาพรรคพวกไปก่อเหตุดังกล่าว
       
       ขณะที่ พ.ต.อ.เจริญกล่าวว่า ตามแนวทางการสืบสวนในเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้ เคยเป็นอดีตลูกน้องของนายโรจน์ นายทุนแก๊งเงินกู้รายใหญ่ย่านเมืองนนทบุรี แต่ได้แยกตัวออกมาทำเอง ซึ่งขณะนี้ทราบว่ายังมีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่อีกประมาณ 5 คน คงต้องมีการขยายผลออกหมายจับเพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือต่อไป
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายสมชาย เกิดสาย ซึ่งถูกกลุ่มผู้ต้องหาทำร้ายที่แขนซ้าย ได้เกิดความโมโห และเดินเข้ามาชี้ตัวคนที่ทำร้ายตนเอง จากนั้นได้ใช้หลังมือขวาตบเข้าที่หลังศีรษะไป 1 ครั้ง จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวออกไปจากการแถลงข่าวทันที
       
       ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางมาร่วมแถลงข่าวพร้อมกับนำอุกรณ์การตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหาด้วย จากนั้นได้มีการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ต้องหา พร้อมแสดงความห่วงใย เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นเยาวชน
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานายชุติเทพ ประกอบด้วย ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิดอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้ต้องหารายอื่นถูกแจ้งข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ คุมตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 21, 2013, 08:38:27 am
รวบแก๊งต่างชาติปลอมเอทีเอ็ม
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2556 เวลา 16:46 น.
-http://www.dailynews.co.th/crime/234571-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/234571.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/234571/0.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/234571/1.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/234571/2.jpg)
สตม.รวบแก๊งต่างชาติเตรียมติดกล้องจิ๋วดูรหัสบัตรเอทีเอ็มคนไทย ก่อนนำไปใส่บัตรปลอมกดนอกประเทศ




           เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เขตสาทร พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ณัฐธร เพราะสุนทร รอง ผบช.สตม.  ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายโรบิน จอร์น ฟอล์คเนอร์ อายุ 25 ปี สัญชาติอังกฤษ นายเดวิด แอนเดย์เซ่น อีแวนส์ อายุ 26 ปี สัญชาติอังกฤษ นายฟาง เกิง เหนียน อายุ 27 ปี สัญชาติ ไต้หวัน พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์  332 ใบ  เงินสด  760,900 บาท เครื่องสกิมเมอร์  1 เครื่อง โดยจับกุมนายโรบิน และนายเดวิดได้ที่บริเวณซอยลาซาล 10  ก่อนขยายผลจับกุมนายฟาง ได้ที่บริเวณซอยลาซาล 28 
           พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวว่า  ชุดสืบสวนได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ธ.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ว่ามีแก๊งชาวต่างชาติลักลอบปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์  ก่อนนำมาใช้ในพื้นที่จ.สมุทรปราการ รอยต่อ เขตบางนา จึงได้วางแผนเพื่อทำการจับกุม โดยจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตตามจุดเสี่ยงต่างๆในซอยลาซาล และพื้นที่ข้างเคียง กระทั่งพบชายต่างชาติต้องสงสัย ทราบชื่อต่อมาคือนายโรบิน กับนายเดวิด สวมหมวกนิรภัย ขี่จยย. ยามาฮ่า นูโว มากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย บริเวณซอยลาซาล 10 เขตบางนา  จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหลายใบภายในกระเป๋าคาดเอว  จึงจับกุมทั้งสอง พร้อมขยายผลจับกุมนายฟาง เพื่อนร่วมทีมได้อีก 1 คน ที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย หน้าร้านซีพีเฟรชมาร์ท ซอยลาซาล 28 ขณะกำลังกดเงิน จึงทำการจับกุม จากนั้นขยายผลไปตรวจค้นภายในห้องพักย่านถนนสุขุมวิท 64 ซอยสิริวานิช พบเครื่องสกิมเมอร์ ติดกล้องขนาดเล็ก สำหรับติดไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม รวมมูลค่าความเสียหาย 3 ล้านบาท
            พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวต่อไปอีกว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายรายนี้ จะนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แฮ็กข้อมูลมาจากต่างประเทศแล้วนำข้อมูลใส่ในบัตร จากนั้นจะนำบัตรมากดในประเทศไทย สร้างความเสียหาย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เจ้าหน้าที่พบเครื่องสกิมเมอร์ติดกล้องขนาดเล็กเอาไว้   คาดว่าคนร้ายน่าจะวางแผนนำเครื่องดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย โดยนำมาแฮ็กข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของคนไทย และติดกล้องเพื่อให้ดูรหัสบัตร จากนั้นก็จะนำข้อมูลที่แฮ็กได้ใส่บัตร นำไปกดในต่างประเทศ  แต่โชคดีที่คนร้ายรายนี้ยังไม่ได้ข้อมูลบัตรในระเทศไทยไป   อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่า ต้องระมัดระวังการกดเอทีเอ็มแต่ละครั้ง แนะนำให้เอามือปิดบังไว้ไม่ให้บุคคลอื่น หรือกล้อง เห็นรหัสบัตร  เพราะรหัสถือเป็นสิ่งสำคัญ หากคนร้ายได้ทั้งข้อมูลและรหัสไป ก็จะง่ายในการนำไปกดเงิน นอกจากนี้ หากพบสิ่งผิดปกติที่ตู้เอทีเอ็ม ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือธนาคาร เพื่อทำการตรวจสอบทันที เพราะคนร้ายอาจนำอุปกรณ์มาติดไว้
            จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้การรับสารภาพว่า  เริ่มกระทำผิดมาตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. สำหรับเงินที่กดมาได้จะนำไปใช้จ่ายกันเอง บางส่วนก็จะแบ่งให้ญาติ  ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติทั้งสาม ไม่พบการทำความผิดก่อนหน้านี้ มีเพียงนายฟาง ที่อยู่ในประเทศไทยเกินวีซ่า  ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น อยู่ระหว่างสอบสวนของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นแจ้งข้อหา ปลอมและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ควบคุมตัวส่งพงส.สน.บางนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 21, 2013, 08:08:54 pm

แกะรอยยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2556 เวลา 16:38 น.
-http://www.dailynews.co.th/crime/234759-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/234759.jpg)

ดีเอสไอยันเดินหน้าแกะรอย ยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ขณะที่ ปปง.เผยพบหลักฐานการโอนเงินออก 60 ล้าน ร่วมลงทุนทําสายการบินแต่เจ๊ง สหกรณ์ฯนัดสมาชิกประชุมสางปัญหาพรุ่งนี้




เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายกิตติก้อง คณาจันทร์ ผอ.ศูนย์ปราบปรามคดีฟอกเงินและยาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและพวก ร่วมกันยักยอกทรัพย์กว่า 12,000 ล้านบาท เปิดเผยความคืบหน้าหลังที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมของสำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) มีมติให้อายัดทรัพย์ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานสหกรณ์ฯ เพิ่มเติมจํานวน 37 รายการ มูลค่ากว่า 227ล้านบาท และเห็นชอบให้ปปง.คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายด้วยการนำทรัพย์สินที่อายัดออกไป ขายเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้สหกรณ์ว่า ทรัพย์สินของนายศุภชัยที่ปปง.ดำเนินการส่วนใหญ่เป็นที่ดินซึ่งหลายรายการได้ มาตั้งแต่ปี 2540-2541 ซึ่งขณะนั้นนายศุภชัยยังไม่ได้เป็น ประธานสหกรณ์ฯ แต่ต้องมีการพิสูจน์ต่อไปว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการฉ้อโกงหรือไม่ ส่วนที่อายัดเพิ่มเติมพบเอกสารหลักฐานว่ามาจากการยักยอกในช่วงที่เข้ามาบริ หารงานสหกรณ์ช่วงปี 2550-2551

นายกิตติก้อง ยังกล่าวถึงกรณีการสอบปากคํา นายวัฒชานนท์ นวอิศรารักษ์ ประธานกลุ่มบริษัท รัฐประชา และ ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัทจํานวน 27 แห่งที่อ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเพื่อกู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนั้น เบื้องต้นนายวัฒชานนท์ปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องและถูกปลอมลายมือชื่อโดยนาย วัฒชานนท์ได้แจ้งความ และยื่นฟ้องนายศุภชัยไปแล้ว ประเด็นสําคัญที่ต้องสอบสวนต่อคือการที่นายวัฒชานนท์มีรายได้จากการได้รับ ค่าคอมมิชชั่นจากการหาสมาชิกนำเงินมาฝากกับสหกรณ์ฯโดยได้รับค่าตอบแทน 10% ของยอดเงินฝาก

แหล่งข่าวชุดพนักงานสอบสวนจาก ปปง.เปิดเผยว่า สําหรับทรัพย์สินที่ปปง. ทําการอายัดเพิ่มเติมส่วนใหญ่เป็นของนายศุภชัย และอดีตผู้ช่วยรมว.คลังซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของสหกรณ์ ซึ่งขณะนี้ปปง. ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพบเอกสารหลักฐานเป็นเช็คว่ามีการสั่งเช็คจํานวน 60 ล้านบาท และเงินจํานวนนี้มีการนําไปลงทุน ในสายการบิน u - airline ซึ่งเป็นหนึ่งในการลงทุนในเครือ u group , u bank , u life และ u inter ทั้งนี้ พบว่าสายการบิน u - airline เป็นสายการบินที่บินตรงจาก กรุงเทพฯไปดูไบ เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ แต่ล่าสุด สายการบินดังกล่าวปิดกิจการไปแล้วและคาดว่าเงินที่ได้ยักยอกไปจะนําไปลงทุน ในกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้(22ก.ย.) สหกรณ์ฯได้นัดประชุมสมาชิกที่โรงเรียนบ้านบางกะปิ เพื่อติดตามสถานการณ์และหาข้อตกลงร่วมกัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปร่วมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีและตั้งโต๊ะ รับเรื่องร้องเรียนด้วย..


http://www.dailynews.co.th/crime/234759 (http://www.dailynews.co.th/crime/234759)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 22, 2013, 10:47:57 am
พบหลักฐานหลอกเหยื่อโอนเงินแลกใบปริญญา กคพ.สั่งฟัน 7 ผู้ก่อตั้ง ม.สันติภาพโลก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1379752564&grpid=00&catid=&subcatid=-

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  เมื่อวันที่ 21 กันยายน  พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน หัวหน้าสำนักสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก และการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย กล่าวถึงความคืบหน้าคดี ว่า ขณะนี้มติคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ลงความเห็นให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมก่อตั้ง ม.สันติภาพโลกที่มีนายสวัสดิ์ บันเทิงสุข เป็นอธิการบดีฯ เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มอีก จำนวน 7 รายข้อหา ร่วมตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนผิดกฎหมาย ,ฉ้อโกงประชาชน และ กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการลงข้อความโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ามหาวิทยาลัยเอกชน รวมถึงมีการเก็บเงินในการมอบปริญญาฯ และการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการมอบใบประกาศวุฒิการศึกษา (ป.เอก) ให้ผู้มีชื่อเสียง หลังพบหลักฐานเส้นทางการโอนเงินของผู้เสียหายที่โอนให้กับกลุ่มผู้ต้องหา เพื่อแลกกับใบปริญญาเอก รายละ  30,000 - 150,000 บาท  อย่างไรก็ตามดีเอสไอจะส่งหมายเรียกให้บุคคลทั้ง 7 มารับทราบข้อกล่าวหาได้ภายในเดือนตุลาคมนี้


พ.ต.ท.ศักกพล กล่าวต่อว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการแจกปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับประชาชน ดารา นักแสดงที่สร้างชื่อเสียงให้กับสังคมประเทศของ ม.สันติภาพโลกนั้น พบว่ายังมีความพยายามจัดงานแจกใบปริญญาดังกล่าวให้กับประชาชนอยู่ โดยสืบพบมีการจัดเตรียมสถานที่ เสื้อครุย และกลุ่มคนที่จะเข้ารับปริญญาไว้พร้อม  โดยได้นัดมอบปริญญาดังกล่าวกันในเมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งทางดีเอสไอก็จะติดตามดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากพบมีการแอบอ้างในส่วนที่ขัดต่อกฎหมายไทยจะดำเนินคดีเพิ่มเติมทันที


"การดำเนินคดีกับกุล่มที่ก่อตั้ง ม.สันติภาพโลก สาขา 2 ของ นายศุภณัฐ ดอนจันทร์ และนายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ นั้นยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเบื้องต้นได้ตรวจพบหลักฐานเส้นทางการเงินจำนวนนับล้านบาท ซึ่งเป็นเงินของผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีและเข้ามูลนิธิศรัทธาเพื่อแลกกับใบปริญญา คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษได้ภายในเดือนกันยายนนี้"   พ.ต.ท.ศักกพล กล่าว

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 10:26:53 am
ร้องปวีณาถูกทวงหนี้โหดปีนบ้านไล่ซ้อมถึงห้องนอน
-http://www.dailynews.co.th/thailand/238120-


(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/238120.jpg)
สาวใหญ่ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบ โร่ร้องปวีณาช่วยเหลือ หลังโดนเจ้าหนี้โหดปีนเข้าบ้าน ทวงเงินถึงในห้องนอน พอไม่ได้ดังใจก็เข้าทำร้ายร่างกายจนบอบช้ำไปทั้งตัว





เมื่อวันที่ 5 ต.ค. นางปาน  (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี  ชาวจังหวัดระยอง  เข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจาก นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและ ว่า ได้ถูกเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ บุกปีนเข้าไปในบ้านถึงในห้องนอนทวงหนี้ 1.5 หมื่นบาท แต่เนื่องจากยังไม่มีให้ เลยถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ

นางปาน (นามสมมุติ) กล่าวว่า ตนมีอาชีพตัดเย็บชุดยูนิฟอร์มให้กับพนักงานในสนามกอล์ฟ เมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาตนมีความจำเป็นเรื่องเงินจึงหากู้เงิน มีคนแนะนำให้ไปกู้ที่นางพร (นามสมมุติ) ซึ่งมีอาชีพปล่อยเงินกู้ และเป็นที่รู้จักกันดีใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง  เพราะเป็นคนปล่อยเงินกู้รายใหญ่ ดอกเบี้ยรายวัน ร้อยละ 20 บาท แต่ส่วนของตนมีรถไปคำประกันจึงเหลือดอกเบี้ยแค่ ร้อยละ 10  ต่อเดือน เมื่อไปติดต่อขอกู้เงิน 3 แสนบาท นางพรก็ตกลงโดยให้เอารถกระบะมาจอดจำนำไว้ด้วย และตนได้รับเงินมาเพียงจำนวน  2.7 แสนบาท เพราะถูกหักดอกเดือนแรกไปก่อน 3 หมื่นบาท ซึ่งสามีตนรับราชการกำลังรอกู้เงินสหกรณ์ถ้าได้เงินก็จะรีบมาไถ่ถอนทันที

จนกระทั่ง ผ่านมาได้ 4 เดือน ตนเองต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 3 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 1.2 แสนบาท กระทั่งช่วงเดือน พ.ค. 56  ตนเองก็ป่วยเป็นโรคกรวยไตอักเสบ ต้องเข้าออกรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็กพระนางเจ้าศิริกิตจึงไม่สามารถทำงานหาเงินและขาดส่งดอกเบี้ยราย เดือนละ 3 หมื่นบาทได้ จึงเจรจากับนางพรขอให้เอาดอกเบี้ยของเดือนที่ค้างมารวมกับเงินต้น ทำให้ต้องหมุนเงินไปมา เสียแต่ดอกเบี้ยตกวันละ 900 บาท

ต่อมาวันที่ 8 มิ.ย.56 สามีของตนเอง ได้กู้เงินสหกรณ์เพื่อนำไปชำระให้กับ นางพร 285,000 บาท แต่ยังไม่ครบจำนวนเงินกู้ในบัญชีของนางพร เพราะยังมีส่วนเกินที่เป็นดอกเบี้ย ทำให้มียอดค้างอยู่อีก จำนวน 15,000 บาท และได้นำรถกระบะกลับ แต่สัญญาเงินกู้ นางพรยังไม่ได้ยกเลิกเพราะยังจ่ายเงินต้นไม่ครบ และตนเองขอเจรจากับนางพร เพื่อขอเวลาหาเงินสักระยะก่อน แต่นางพรก็บอกกับตนว่าไม่ได้จะต้องหามาจ่ายให้โดยเร็ว จากนั้นนางพร จึงได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่สามีของตน และบอกว่าให้นำเงินมาชำระ ทางด้านสามีตนก็พยายามเจรจากับนางพร เพื่อขอเวลาหาเงินเช่นกัน แต่ก็ถูกนางพรต่อว่า ด่าเสียๆ หายๆ

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. ขณะที่ตนเองอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว ได้มีนายกอล์ฟ (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นสามีของนางพร กับพวกรวม 3 คน มาตะโกนเรียกตนอยู่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งตนคิดว่าไม่ปลอดภัยแน่ จึงได้โทรศัพท์แจ้งเพื่อนที่รู้จักกันทราบ โดยเพื่อนได้โทรแจ้งตำรวจในพื้นที่ให้ แต่ตนยังไม่ทันได้ไปเปิดประตูนายกอล์ฟ ได้ปีนเข้ามาภายในบ้านและบุกเข้าไปในห้องนอนในบ้านของตน ทวงถามถึงหนี้ที่ตนค้างอยู่

เมื่อตนเองบอกว่ายังหาเงินไม่ได้ และ พยายามอ้อนวอนขอเวลาหาเงิน แต่นายกอล์ฟกลับใช้เท้าเตะเข้าที่ใบหน้า ก่อนเข้าตบตีซ้้ำได้รับบาดเจ็บไปทั้วร่าง พร้อมกับข่มขู่ว่าจะทำอะไรตนก็ได้ และยังใช้โทรศัพท์โทรเรียกเพื่อนให้เข้ามาอีก 2-3 คน เพื่อทำทีให้กลุ่มเพื่อนเฝ้าตนเองไว้ก่อนทั้งหมดจะหลบหนีไป ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านฉาง ได้เข้ามาที่บ้าน พบว่าตนเองถูกทำร้ายจริง จึงส่งตัวไปยัง รพ.บ้านฉางทำการรักษา มีบาดแผลฟกช้ำตามใบหน้าและตามลำตัว บริเวณหัวคิวแตกต้องเย็บถึง 7 เข็ม ก่อนจะเข้าแจ้งความภายหลัง

อย่างไรก็ตามตนเองกับสามีก็ไม่กล้าที่จะกลับไปอยู่ที่บ้านที่เกิดเหตุอีก ต้องหลบซ่อนไปอาศัยตามบ้านญาติ คนรู้จัก เนื่องจากกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะพฤติกรรมของนางพรและนายกอล์ฟนั้นอุกอาจ ทวงหนี้โหดทำร้ายร่างกายเป็นที่รู้กันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าแจ้งความ ตนจึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากนางปวีณา ขอให้ช่วยเหลือด้วย

ภายหลังรับเรื่องนางปวีณา หงสกุล รมว.พม.และประธานมูลนิธิปวีณากล่าวว่า เรื่องปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดและมีการทำร้ายข่มขู่ลูกหนี้ เกิดขึ้นมากในทั่วทุกข์พื้นที่ จำเป็นต้องมีมาตรการเด็กขาดกับกลุ่มผู้ปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยโหดอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ขณะนี้ได้ประสานไปยังพล.ต.ต.สมนึก บุรมิ ผบก.จ.ระยอง และ พ.ต.อ.เทอดเกียรติ  วิริยสถิตย์กุล  ผกก.สภ.บ้านฉาง จ.ระยอง  เพื่อเร่งดำเนินการติดตามผู้กระทำผิดหรือเจ้าหนี้นอกระบบมาดำเนินคดีโดยเร็ว ส่วนความเป็นอยู่ของผู้เสียหายนั้นทางมูลนิธิปวีณาฯและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะดูแลอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมจังหวัดระยองไปเยี่ยมบ้าน และให้ความช่วยเหลือ ทั้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลเรื่องความปลอดภัยและแจ้งความคืบหน้าด้านคดีกลับมาให้ทราบด้วยต่อไป

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2013, 05:55:18 am
ปปง.-กลต.เร่งสอบแคลิฟอร์เนีย ว้าว

-http://www.posttoday.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/227894/%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%95-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2-%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7-


(http://www.posttoday.com/media/content/2013/06/12/B9C95EB0111B491E9E4540DE0C059A88.jpg)

กล.ต.-ปปง.สอบเส้นทางการเงิน"แคลิฟอร์เนีย ว้าว" หลังพบเข้าข่ายฉ้อโกง สาวลึกถึงผู้สอบบัญชี

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า กำลังประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ (CAWOW) หลังพบว่า บริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยจะตรวจสอบงบดุลของบริษัทย้อนหลัง

นอกจากนี้ ยังพบว่างบดุลของบริษัท มีการเซ็นรับรองโดยผู้สอบบัญชีรายหนึ่ง จึงต้องดูว่าการตรวจสอบบัญชีนั้นถูกต้องหรือไม่ มีข้อผิดพลาดอะไร รวมทั้งต้องใช้กฎหมายใดดำเนินการ

ด้านกรมบังคับคดี เปิดรับยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของ บริษัท แคลิฟอเนียร์ ว้าวฯ โดยเปิดให้ลูกค้า เจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ที่กรมบังคับคดี ฝ่ายคำคู่ความ ชั้น 2 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ซึ่งตามข้อมูลพบว่ามีลูกค้าร่วม 7 หมื่นราย





ก.ล.ต.พร้อมสอบกรณีแคลิฟอร์เนียว้าวให้ถึงที่สุด

-http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20130610/510324/%E0%B8%81.%E0%B8%A5.%E0%B8%95.%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94.html-

(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2013/06/10/images/news_img_510324_1.jpg)

นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.ยังไม่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการป้อง กันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรณีให้เข้าตรวจสอบข้อมูลของบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) (CAWOW) หลัง ปปง.ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ CAWOW พบว่าบริษัทดังกล่าว มีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการ และพบการยักยอกเงินออกนอกประเทศรวมกว่า 1.6 พันล้านบาท

"ยังไม่ได้รับเรื่องนี้ แต่คาดว่าจะมีการประสานงานกันในเรื่องนี้ระหว่าง ก.ล.ต.กับ ปปง. เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันในด้านกฎหมาย เราประสานกันอยู่แล้ว ในส่วนของ ก.ล.ต.มีข้อมูลใดที่เราต้องดูเพิ่มเติมบ้าง คงเป็นในแง่ที่เกี่ยวกับ บจ. แต่ตอนนี้ยังบอกชัดเจนไม่ได้ แต่ดูจากข่าวก็เป็นเรื่องงบการเงิน แต่ยังพูดไม่ได้ เพราะเราต้องได้รับข้อมูลก่อน และเราจะตรวจสอบให้ถึงที่สุด แต่บอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของข้อมูล"

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ก.ล.ต.ไม่สามารถตรวจสอบการกระทำความผิดของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ได้ทุกกรณี และไม่สามารถให้ความมั่นใจผู้ลงทุนได้ 100% เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ดี แต่อาจจะมีบ้างในบางบริษัทที่มีปัญหา

"ในแง่ของการป้องกันผู้ลงทุนไม่ให้เกิดความเสียหายจากาการลงทุน ก็ต้องยอมรับว่าในระดับใดๆ ไม่สามารถป้องกันได้ 100% และกรณีของ CAWOW ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าผิดหรือไม่ อย่างไร แต่มันก็ไม่มีระบบอะไรที่ป้องกันได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งถ้าเป็นเรื่องของงบการเงิน ก็ถือว่าเป็นเรื่องของผู้สอบบัญชี แต่ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรที่ป้องกัน 100%"

เปิดผลสอบ "แคลิฟอร์เนีย ว้าว" ไม่พบทุจริต "ก.ล.ต.-ดีเอสไอ" หยุดการตรวจสอบแล้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2556 23:44 น.
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000125680-

เปิดผลสอบ "แคลิฟอร์เนีย ว้าว" ไม่พบทุจริต กรณีโอนเงินของคณะกรรมการ หรือผู้บริหารออกไปยังต่างประเทศ "ก.ล.ต.-ดีเอสไอ" หยุดตรวจสอบแล้ว คาดหาก "เอริค เลอวีน" มีการโอนเงินออกไปต่างประเทศสูงถึง 1,700 ล้านบาท ตามที่สมาชิกร้องเรียนจริง เชื่อว่าจะสามารถตรวจสอบหาหลักฐานได้ไม่ยากนัก
       
       นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ตรวจสอบไม่พบข้อมูลหลักฐาน ที่บ่งชี้ว่าได้มีการกระทำทุจริต ของบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ CAWOW จากก่อนหน้าผู้ตรวจสอบบัญชีได้ตั้งข้อสังเกตแสดงความเห็นถึงฐานะของบริษัทว่ากำลังประสบปัญหา
       
       ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีข้อมูลพบรายการโอนเงินออกไปต่างประเทศ เป็นผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีการกระทำผิดหรือไม่ โดยขณะนี้ ปปง.ยังไม่มีการส่งข้อมูลดังกล่าวมายัง ก.ล.ต.
       
       “ก.ล.ต.ตรวจสอบกรณีของบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ที่ได้หารือร่วมกับผู้สอบบัญชี ถึงตอนนี้ไม่พบข้อมูลว่าบ่งบอกว่ามีการทุจริต ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากกิจการของบริษัท ทำให้ลูกค้าสมาชิกที่ได้รับผลกระทบเข้า ร้องเรียน ถ้า ปปง.ซึ่งเป็นผู้ตรวจเส้นทางการเงินมีข้อมูลเพิ่มส่งเข้ามาให้ ก.ล.ต.ก็พร้อมร่วมมือดำเนินการต่อ”
       
       ด้านรายงานข่าวจากวงการตลาดทุน ระบุว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว ทั้ง ก.ล.ต.และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยุติการสอบสวนแล้ว หลังได้ผลตรวจสอบออกมาว่าไม่พบการกระทำความผิดในกรณีโอนเงินของคณะกรรมการ หรือผู้บริหารออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งหากมีการโอนเงินออกไปต่างประเทศสูงถึง 1,700 ล้านบาท ที่สมาชิกร้องเรียนจริง เชื่อว่าจะสามารถตรวจสอบหาหลักฐานได้ไม่ยากนัก
       
       ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้มีการตั้งและ ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีบุคลากรที่เป็นอดีตตำรวจเพื่อไปตรวจสอบในเชิงลึก แต่ก็ไม่พบความผิดตามที่ได้มีการกล่าวหา
       
       สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2553-2554 ก่อนบริษัทจะประสบปัญหาทางธุรกิจ มีรายได้ต่อปีที่ไม่สูง โดยยังไม่หักค่าใช้จ่ายที่ประมาณ 600-700 ล้านบาท ประกอบกับในช่วงธุรกิจมีปัญหา นายเอริค เลอวีน ในฐานะ ผู้บริหารและผู้ถือหุ้น ยังใส่เงินส่วนตัวเข้าช่วยธุรกิจให้อยู่รอด


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 12, 2013, 09:20:41 pm
‘จ๊อด เชิญยิ้ม‘ โร่แจ้งความถูกให้ค้ำเงินกู้

-http://news.sanook.com/1263377/%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%891/-

(http://pe2.isanook.com/ns/0/ud/252/1263377/3.jpg)

(http://pe1.isanook.com/ns/0/ui/252/1263377/486572-02_1381571859__medium.jpg)

จ๊อด เชิญยิ้ม โร่แจ้งความ หลังถูกหลอกให้ค้ำประกัน กู้เงินนอกระบบเกือบ 200,000 บาท

นายสุราษฎ์ ผ่องอินทรีกุล หรือ จ๊อด เชิญยิ้ม อายุ 53 ปี พร้อมภรรยาและเพื่อนบ้าน เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.วิชิต ผังคี ร้อยเวรสอบสวน สภ.ปากเกร็ด พร้อมด้วย พ.ต.อ.นฤนาท พุทไธสง ผกก.สภ.ปากเกร็ด พ.ต.ท.โสวัชร์ ไชยสงคราม รอง ผกก.สส.สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยอ้างว่าถูก น.ส.ยุพา แสงทองคำ อายุ 47 ปี เจ้าของร้านตัดผม ยุบาร์เบอร์ เขตหลักสี่ กทม. หลอกให้ค้ำประกันเงินกู้และกู้เงินนอกระบบให้เป็นเงินจำนวนเกือบ 200,000 บาท แลัวหลบหนีไป

จากการสอบสวน นายจ๊อด เชิญยิ้ม ทราบว่า ตนพร้อมพวกค้ำประกันให้ น.ส.ยุพา รวมเจ้าหน้าที่กว่า 10 ราย และพวกตนต้องใช้หนี้แทน วันละ 4,000 บาท ทำให้ครอบครัวลำบากต้องมาใช้หนี้แทน จึงเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะกลัวเจ้าหนี้ทั้งหลายจะมาข่มขู่ทำร้ายตนและครอบครัว

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และจะทำการสืบสวนถึงรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ถึงจะชี้แจงขั้นตอนว่ามีส่วนไหนที่ทางกฎหมายแพ่งและอาญาจะสามารถดำเนินคดีต่อไปได้


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2013, 06:19:47 am
ซิมฟรี ไม่มีในโลก!? ข้อควรระวังในการรับซิมฟรีรายเดือน

-http://hitech.sanook.com/1387580/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/-


ซิมฟรี ไม่มีในโลก!? ข้อควรระวังในการรับซิมฟรีรายเดือน

วันนี้ทางทีมงาน Sanook! Hitech ขอนำเสนอบทความดีๆ จากทาง www.it24hrs.com (http://www.it24hrs.com) แม้จะไม่ใช่บทความใหม่นัก แต่เรื่องของ การแจกซิมฟรี ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอยู่เสมอ..............

หากคุณเดินทางไปยังตลาด บริเวณท่ารถทัวร์ หรือบูธกิจกรรมด้านนอก จะเห็นกิจกรรมที่ผู้ให้บริการมือถือบางรายทำกันคือ แจกซิมฟรี ซึ่งซิมส่วนใหญ่เป็นซิมรายเดือนด้วย

iT24Hrs ไอที24ชั่วโมง 14June2012 (http://www.youtube.com/watch?v=9AkpQDpHZP4#)
iT24Hrs ไอที24ชั่วโมง 14June2012

iT24Hrs ไอที24ชั่วโมง 14June2012 (http://www.youtube.com/watch?v=9AkpQDpHZP4#)
-http://www.youtube.com/watch?v=9AkpQDpHZP4-


แต่หลังจากรับซิมมาแล้วแม้ไม่ได้โทรเปิดใช้บริการ บิลค่าโทรศัพท์ก็มาถึงบ้านทันที ซีงกรณีนี้โดนกันมาแล้วหลายราย เป็นกรณีเดียวกันกับการ์ตูนนี้

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/1.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/2.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/3.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/4.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/5.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/5.jpg)

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387580/6.jpg)

จากการ์ตูนด้านบนนี้ หลายท่านคงเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มาแล้ว
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนรับซิมฟรีมีดังนี้

    ซิมฟรีที่จะรับนี้ เป็นของค่ายผู้ให้บริการมือถือรายใด ?  เป็นรายเดือนหรือเติมเงิน , โปรโมชั่นอะไร ?
    สอบถามว่าที่มาของซิมมาจากไหน? มาจากผู้ให้บริการมือถือโดยตรงหรือเปล่า ?  น่าเชื่อถือมั้ย ? หากไม่ใช่มาจากผู้ให้บริการมือถือโดยตรง ก็อย่ารับ
    สอบถามให้ชัดเจนว่าถ้าซิมหายทำอย่างไร ? ซึ่งถ้าคุณสมัครเป็นรายเดือนจะต้องแจ้งเป็นหนังสือเพื่อยกเลิกบริการที่ ลูกค้าสัมพันธ์ ของค่ายผู้ให้บริการมือถือที่ท่านสมัครรับซิมรายเดือน มิฉะนั้นจะมีใบแจ้งหนี้มาทุกเดือนทั้งๆที่ไม่ได้เปิดใช้งานซิม
    หากคุณตัดสินใจรับซิมรายเดือน จะต้องอ่านพิจารณาสัญญาก่อนลงมือเซ็นชื่อรับสัญญาด้วยตัวคุณเอง (แนะนำอย่างเพิ่งให้เอกสารสำคัญ เช่นสำเนาบัตรประชาชนให้กับเจ้าหน้าที่ ในกรณีหากเจ้าหน้าที่ยังไม่นำรายละเอียดสัญญามาให้อ่าน เพราะ หากส่งสำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรประชาชนแล้ว เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลและเซ็นเองได้)
    หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว ต้องเก็บสำเนาเอกสารสัญญา และเก็บข้อมูลที่อยู่ของผู้ประกอบการเป็นหลักฐานว่า ได้ซื้อซิมจากใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ราคาเท่าไหร่ ?
    เก็บใบเสร็จ , ใบแจ้งหนี้ คำรับรอง ตลอดจนใบปลิวโฆษณาแผ่นพับช่วงที่รับซิมฟรีนั้นไว้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่สามารถสืบพยานได้

ซิมฟรีไม่มีในโลก!!! กิจกรรมที่ทางผู้ให้บริการมือถือแจกซิมฟรีนั้นเป็นการทำเพื่อขายฐานลูกค้า อย่างรวดเร็วอย่างเดียว แม้คุณจะไม่ต้องเสียค่าซิม แต่ก็ต้องระวังตั้งแต่การรับซิม ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้แกะซิมมาเปิดใช้บริการ การให้ข้อมูลเอกสารสำคัญอย่างสำเนาบัตรประชาชน ก็ถือว่าเปิดใช้บริการแล้ว และหากคุณรับซิมฟรีนี้จะต้องมีใบสัญญาและข้อมูลจากผู้ประกอบการที่แจกซิมฟรี นี้เก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย!!

ข้อมูลและภาพจาก หนังสือ  ”โทร  เท่าทัน” โดยกลุ่มงานรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (เปลี่ยนชื่อจากชื่อเดิมคือ สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม )

สนับสนุนเนื้อหา: www.facebook.com/it24hrs (http://www.facebook.com/it24hrs), www.it24hrs.com (http://www.it24hrs.com)


http://hitech.sanook.com/1387580/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/ (http://hitech.sanook.com/1387580/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/)

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2013, 10:15:35 pm
เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 1
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=PSVPY4e38Tw-

เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 1 (http://www.youtube.com/watch?v=PSVPY4e38Tw#)

เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 1 (http://www.youtube.com/watch?v=PSVPY4e38Tw#)




เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 2
-http://www.youtube.com/watch?v=mtxhVfJWL5g-

เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 2 (http://www.youtube.com/watch?v=mtxhVfJWL5g#)

เปิดโปงมิจฉาชีพลวงเหยื่อจากความเชื่อใจ ตอนที่ 2 (http://www.youtube.com/watch?v=mtxhVfJWL5g#)

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2013, 08:18:36 am
กสทช.เตือนปิด "โรมมิ่ง" ขณะเยือนหนองคายชมบั้งไฟพญานาค ระวังค่าโทรพุ่งเป็นแสน
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1382096373&grpid=00&catid=&subcatid=-

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า กสทช. ออกประกาศเตือนผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือที่เดินทางไปเที่ยวเทศกาลบั้งไฟพญานาค วันออกพรรษา จ.หนองคาย ซึ่งติดกับประเทศลาว ต้องระมัดระวังและตรวจสอบกับเครือข่ายผู้ให้บริการแจ้งปิดบริการข้ามแดนอัตโนมัติ (โรมมิ่ง)  เพื่อป้องกันปัญหาการเชื่อมต่อสัญญาณของประเทศเพื่อนบ้านอัตโนมัติ และทำให้เกิดค่าใช้บริการที่มีราคาสูง
 
ทั้งนี้ หากผู้ใช้บริการไม่ได้แจ้งกับเครือข่ายเพื่อปิดสัญญาณ จะทำให้สัญญาณจากประเทศลาวเชื่อมต่อโครงข่ายอัตโนมัติ ส่งผลให้จะถูกเรียกเก็บค่าบริการรับสายในอัตราโรมมิ่งจากประเทศลาว แม้จะยังอยู่ในพรมแดนประเทศไทยก็ตาม

ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคควรดำเนินการ คือ การปิดบริการกับศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ของผู้ให้บริการเครือข่าย หรือ การกดปิดบริการที่ตัวเครื่อง โดยเฉพาะการใช้งานดาต้า ซึ่งแต่ละเครือข่ายจะไม่เหมือนกัน รวมทั้งควรสังเกตสัญลักษณ์ชื่อเครือข่ายที่ขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ หากไม่ใช่เครือข่ายที่ใช้บริการอยู่ในไทย แสดงว่ากำลังโรมมิ่งอยู่
 
นายประวิทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า เคยมีกรณีร้องเรียนค่าบริการดาต้าโรมมิ่งจากการเดินทางไปประเทศสิงคโปร์เพียง 3 วันถูกเรียกค่าบริการถึง 2 แสนบาท หรือกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคชาวแคนาดาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ถูกคิดค่าบริการดาต้าโรมมิ่ง 200ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศมีกฎหมายกำหนดไว้ว่า หากผู้บริโภคไม่สมัครใช้บริการ ห้ามเปิดบริการโรมมิ่งให้กับผู้บริโภค  แตกต่างจากประเทศไทยที่ผู้ให้บริการจะเปิดบริการให้อัตโนมัติ โดยเปิดบริการโรมมิ่งให้ทันทีพร้อมการเปิดซิม ซึ่งหากผู้ใช้บริการไม่ทราบ เมื่อเดินทางไปยังต่างประเทศ หรือแม้แต่พื้นที่ชายแดน ก็จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจากการเชื่อมต่อกับสัญญาณโทรศัพท์ของประเทศเพื่อนบ้านและทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 03, 2013, 08:25:00 pm
ตร.รวบหนุ่มออสซี่แก๊งบัตรเครดิตปลอม ตระเวนกดเงินทั่วเมืองพัทยา

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE16UTFNak0yT1E9PQ==&subcatid=-

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=online/2013/11/13834523691383452408l.jpg&width=260&height=260)

วันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.ชิดเดชา สองห้อง สวป.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายอรรถวิทย์ จุติเวช เจ้าหน้าที่สืบสวนและตรวจสอบด้านร้านค้ารับบัตรเครดิตสายบริหารทางการป้องกันการทุจริตของธนาคารทยพานิชย์ ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายปีเตอร์ จูนาส (Peter Junas) อายุ 42 ปี สัญชาติออสเตรเลีย  พร้อมของกลาง บัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมสีขาวล้วน และหลากสี ด้านหลังมีแถบแม่เหล็กจำนวน 271 ใบ เงินสด 10,000 บาท มาสอบสวน ที่ สภ.เมืองพัทยา หลังเข้าจับกุม ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดจับกุม ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารไทยพานิชย์ว่า มีชาวต่างชาตินำบัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมมาใช้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติตามตู้เอทีเอ็ม ในเขตเมืองพัทยา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะอยู่ต่างประเทศ คาดว่าน่าจะมีแก๊งปลอมบัตรเครดิตข้ามชาติ เข้ามาในพื้นที่ จึงออกสืบสวนหาข่าวและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบกลุ่มชายต่างชาติได้ขับรถยนต์มาจอด แล้วลงเดินตระเวณกดเงินตามตู้บริการเงินด่วนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 56  จึงทำการออกสืบสวนหาข่าว
               
จนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนเป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มดังกล่าวพักที่บริเวณโรงแรมดิไอคอนเพลส ม.6 ซ.เนินพลับหวาน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงได้ออกติดตามดูพฤติการณ์จนพบชายต่างชาติมีลักษณะการแต่งกายและรูปร่างคล้ายกับผู้ก่อเหตุที่ได้ตรวจสอบในภาพกล้วงวงจรปิดเดินสะพายกระเป๋าสีดำอยู่บริเวณลานจอดรถของโรงแรมดิไอคอนเพลส จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม จากการตรวจสอบพบว่านายปีเตอร์ จูนาส (Peter Junas) เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยาจับกุมในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรมาแล้ว สอบสวนเบื้องต้นให้การรับสารภาพว่าได้ใช้บัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมกดเงินตามตู้เงินด่วนจริง และ ยังรับว่าได้บัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมมาจากเพื่อน ชื่อเล่นไอเยน ชาวสเปน(ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง)อายุประมาณ 42 ปี โดยจะนำเงินที่ได้จากการกดเงินส่งให้กับนายไอเยน ส่วนตนจะได้ค่ากด 25 เปอร์เซ็นจากยอดที่กด
 
ภายหลังจากการสอบสวนแล้วจึงได้แจ้งข้อหาได้ทำบัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมขึ้นและนำบัตรอิเล็คทรอนิกส์ปลอมไปใช้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ(ATM)ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 07, 2013, 10:01:05 pm
ตู้เอทีเอ็มตึกออลซีซั่น ถูกแฮก! สูญหลายหมื่น งดกดเงิน

-http://news.sanook.com/1307378/%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/-


(7 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทวิตเตอร์ วิทยุ จส.100 (@js100radio) ได้โพสต์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการใช้บริการกดเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็ม ภายในอาคารออลซีซั่น ย่านสาทร หลังพบผู้เสียหายจำนวนมาก ถูกโจรกรรมข้อมูล สููญเงินในบัญชีหลายหมื่นบาท

ตามรายงานระบุว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากกระแสข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ว่าเกิดกรณีกดเงินผ่านตู้เอทีเอ็มและพบว่าถูกโจรกรรม เบื้องต้นพบผู้เสียหายกว่า 30 ราย เงินในบัญชีสูญหายไปตั้งแต่ 30,000 - 70,000 บาท โดยตู้เอทีเอ็มที่มีปัญหาพบว่าเกิดปัญหาตั้งอยู่ที่ย่านถนนวิทยุ ได้แก่ อาคารออลซีซั่น และอาคารโรเล็กซ์

พ.ต.ท.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.ลุมพีนี ได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนว่า งดใช้บัตรเอทีเอ็มทุกธนาคารกดเงินที่อาคารออลซีซั่นและอาคารโรเล็กซ์ หลังพบผู้เสียหายหลายราย เบื้องต้นพบว่า ข้อมูลถูกโจรกรรมโอนเงินไปยังประเทศยูเครน ขณะนี้กำลังสืบสวนสอบสวนอยู่

ขณะที่ทางด้าน สมาคมธนาคารไทย สั่งงดใช้บริการตู้เอทีเอ็มที่อาคารดังกล่าวที่กล่าวข้างต้น พร้อมกับแจ้งเตือนว่า ควรใช้มือบดบังขณะกดรหัสเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นทางธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

ขอบคุณข้อมูลจาก ทวิตเตอร์ วิทยุ จส.100
-https://twitter.com/js100radio-


-------------------------------------------------------------------------
.
โดนมิจฉาชีพมาขอซื้อ S4 ยกกล่อง แล้วจ่ายแบงค์ปลอม

-http://hitech.sanook.com/1387784/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-s4-%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-

โดนมิจฉาชีพมาขอซื้อ S4 ยกกล่อง แล้วจ่ายแบงค์ปลอม

กลายเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ที่ทางทีมงานอ่านเจอมา เลยอยากนำมาฝากกันครับ เมื่อมีกรณีขโมยมือถือกันต่อหน้าต่อตาโดยมูลดังกล่าวนั้นทางทีมงาน Sanook! Hitech เจอมาจาก เว็บไซต์ pantipmarket.com ซึ่งผู้เสียหายได้โพสรายละเอียดไว้ดังนี้

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387784/13671479-1.jpg)
ช่วยด้วยคะ โดยขโมยมือถือ


ทำที่เป็นมาขอซื้อ เราบริสุทธิ์ใจนัดเจอในคอนโด มันก็อ้างว่ามาจาก พระราม 2 ขี่มอเตอร์ไซด์มา มาไม่เป็น ให้เรามารอที่ bts บางนาได้ไหม เราบอกว่าได้ ปรากฎว่า มันบอกว่า มารอข้างล่างนะ เพราะมันขี่มอเตอร์ไซด์มาไกล คุยราคากันไว้ 18,000 บาทถ้วน สรุปผ่านไปได้ประมาณ 1 ชม. มันโทรมาบอกว่าถึงพระโขนงแล้ว ใกล้ถึงแล้ว ให้มารอได้เลย


แต่มันบอกว่า มันมารออีกฝั่ง เราก็ งง (ก็นัดกันหน้ากรมอุตุ) จะไปรอฝั่งตรงข้ามทำไม ซึ่งแถวนั้นช่วงค่าๆ จะเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคนเลย สรุปเราเลยนัดมันมาที่หน้าปั๊ม Esso หน้าปากซอยลาซาล เราอยู่รอมันประมาณ 20 นาที มันโทรมาบอกว่า มันรอฝั่งตรงข้าม ซึ่งฝั่งตรงข้ามถนนโล่ง รถไม่ติด (แต่ฝั่งที่เรายืนรอรถติดมาก) ด้วยความที่เราเห็นใจมัน เพราะคิดว่ามันบิดมอเตอร์ไซด์มาไกลจากพระราม 2 มาถึงซอยลาซาล

เราเลยยินดีข้ามสะพานลอยไปหามัน ณ จุดที่มันบอก ปรากฎว่า มันขอดูเครื่องเราก็เลยเปิดเครื่องให้มันดู พอมันดูได้ไม่นาน มันก็ทำเป็นควักเงินออกจากกระเป๋าสะพายของมันแล้วก็เก็บเข้าไปเหมือนเดิม ทำเป็นควักมานับแล้วเก็บ เราก็บริสุทธิ์ใจยังไม่เอาตังค์กับมัน รอจนให้มันเช็คสภาพเครื่องจนพอใจ จนมันพอใจมันบอก OK เราเลยยื่นถุงให้มัน ยกกล่องพร้ออมใบเสร็จตามรูปภาพ

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1387784/13671479-4.jpg)

ปรากฎว่า ระหว่างที่เรายื่น มันก็ยื่นเงินมา เรากำลังจะนับเงิน ระหว่างที่เราคลี่แบงค์ออกจากหนังยาง มันบิดมอเตอร์ไซด์หนีไปเลย (เลวมาก) เราดูเลขทะเบียนรถไม่ทัน เพราะตกใจ และทำอะไรไม่ถูกเลย เราพยายามจะมองหา แต่ไม่เห็นแล้วว่ามันขี่ไปทางไหน เรากำลังจะไปแจ้งความ จึงอยากมาบอกให้พ่อค้า แม่ค้า หรือคนขาย หลายๆคน รู้นะ มิจฉาชีพมันมาได้หลายรูปแบบจริงๆ

มิจฉาชีพ เป็นผู้ชาย ผอมผิวขาว มีนวดนิดหน่อย และใส่หมวกกันน็อคเต็มใบ แต่เอาหมวกขึ้นครึ่งใบที่หัว ไม่ได้ถอดออกหมด และคร่อมมอเตอร์ไซด์ไว้ตลอด ขี่มอเตอร์ไซด์ยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร เราจำไม่ได้ เพราะตกใจมาก และ มืดด้วย

เบอร์มือถือของมัน 088-9319xxx (แต่เช็คใน Google ไม่พบอะไรเลย เหมือนซิม 1 บาท)

เราเคยขายให้ใครหลายๆ คน เจอหลายๆ คนที่มาซื้อนัดเจอแบบนี้ก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอเลวๆ แบบนี้ เพราะปกติคนที่มาซื้อ บางทีมาไกล เราก็เห็นใจ เราเลยต้องยอมออกมาหาคนซื้อที่ปากซอยตามนัด แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาแบบนี้ มาเจอไอ้เลวคนนี้รายแรก

ตอนที่เราคลี่แบงค์พัน ใบที่ 2 เราเห็นลายการ์ตูน เรารู้เลยว่าแบงค์กาโม่ เราเอามือไปคว้าด้านหลังมอเตอร์ไซด์ของมันแต่ไม่ทันเพราะมันบิดไปแล้ว เพราะตอนนั้นถนนโล่งมาก

เตือนภัยให้ทุกคนทราบนะ เราเอารูปมาลงไว้ ก็จะไปแจ้งความก็ไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือไม่

จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีเหล่าสมาชิกเข้ามาความเห็นที่ในมุมต่างๆ มากมาย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกรณีที่อยากให้อ่านและจำไว้เป็นประสบการณ์นะครับ!!

ที่มา: www.pantipmarket.com (http://www.pantipmarket.com)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 09, 2013, 06:10:28 pm
สังเกตก่อนใช้...ตู้เอทีเอ็มปลอดภัย ไร้เครื่องสกิมเมอร์ฉกข้อมูล
-http://hilight.kapook.com/view/93328-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวมิจฉาชีพลอบติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม เพื่อขโมยข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มของผู้ใช้งานแล้วกดเงินออกไปใช้เอง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเงินไปฟรี ๆ อย่างน่าเจ็บใจ แต่ถ้าเราลองสังเกตดูตู้เอทีเอ็มที่เราจะเข้าไปใช้ทำธุรกรรมสักนิด ก็อาจพอช่วยป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของกลุ่มโจรไฮเทคเป็นรายต่อไปได้ แน่นอนว่ากระปุกดอทคอมมีคำแนะนำมาฝากกันด้วย


ก่อนอื่นมารู้จักเครื่องที่มีชื่อว่า "สกิมเมอร์" (Skimmer) กันก่อน

            สกิมเมอร์ เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก ๆ ที่คนร้ายสร้างขึ้นด้วยการนำแถบแม่เหล็กวงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สามารถพกพาได้ และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ จากนั้นนำไปติดตั้งไว้ที่ช่องรูดบัตรของตู้เอทีเอ็ม

            เมื่อมีคนนำบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิตมารูด หรือสอดบัตรเข้าช่องเสียบบัตร แล้วกดรหัส ตัวแถบแม่เหล็กของสกิมเมอร์ก็จะบันทึกข้อมูลแล้วส่งไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ หรืออาจส่งข้อมูลต่อไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของมิจฉาชีพเลยก็ได้ จากนั้นหน้าจอเอทีเอ็มอาจแสดงข้อความว่า "ขออภัย เครื่องไม่สามารถทำรายการได้" หรือ "ท่านทำรายการเรียบร้อยแล้ว กรุณารับเงิน" ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องอ่านบัตรปลอมที่ใช้

            เมื่อมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มและรหัสผ่านไปแล้ว ก็จะนำข้อมูลนั้นไปสร้างบัตรปลอมที่มีข้อมูลในแถบแม่เหล็กเหมือนกับบัตรจริง ซึ่งสามารถนำไปกดเงิน หรือรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรจริงทุกประการ ทั้งนี้ คนร้ายบางคนอาจไม่นำข้อมูลไปทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลไปขายต่อในอินเทอร์เน็ตอีกทอดก็มี


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าตู้เอทีเอ็มตู้ไหนปลอดภัย ไร้สกิมเมอร์?

            เนื่องจากมิจฉาชีพมักซ่อนเครื่องสกิมเมอร์ไว้อย่างแนบเนียนมาก ดังนั้น การตรวจสอบอาจทำได้ไม่ง่ายนัก แต่อย่างน้อยก็มีแนวทางที่จะช่วยให้เราสังเกตเบื้องต้น เพื่อดูว่าตู้เอทีเอ็มนั้นเสี่ยงต่อการใช้งานหรือไม่ นั่นก็คือ

            ตรวจดูสิ่งผิดปกติรอบตู้เอทีเอ็มก่อนใช้งาน เพื่อดูว่ามีกล้องตัวเล็กซุกซ่อนอยู่หรือไม่ โดยมิจฉาชีพอาจติดกล่องใส่ใบปลิวไว้บริเวณเครื่อง เพื่อใช้ซ่อนกล้อง ถ้าพบเห็นกล่องใส่ใบปลิวแปลก ๆ ไม่ควรใช้เครื่องดังกล่าว และควรแจ้งให้ธนาคารทราบทันที

            ตรวจสอบบริเวณที่สอดบัตร หรือตรงแป้นกดตัวเลขว่ามีอุปกรณ์แปลกปลอมติดอยู่หรือไม่ หากสังเกตเห็นอุปกรณ์แปลกปลอม ให้รีบแจ้งให้ธนาคารทราบ

            ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตู้เอทีเอ็มดู เพราะหากมีตัวสกิมเมอร์ติดอยู่ การโยกอาจจะทำให้ตัวสกิมเมอร์หลุดออกมาได้ เนื่องจากปกติแล้ว คนร้ายจะไม่ติดตั้งเครื่องนี้ไว้อย่างแน่นหนาเท่าใดนัก เพราะต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปใช้ติดตั้งตู้อื่น ๆ ด้วย

            หากเครื่องเอทีเอ็มเกิดขัดข้อง และบัตรติดอยู่ในเครื่อง ให้รีบแจ้งธนาคารเพื่ออายัดบัตรทันที เพราะการที่เครื่องขัดข้องอาจเป็นเล่ห์กลของคนร้ายที่ใช้เศษไม้ หรือไม้จิ้มฟันใส่เข้าไปในช่องอ่านบัตร เพื่อให้บัตรของผู้ใช้บริการติดอยู่ที่เครื่อง แล้วจะทำทีเข้ามาช่วยเหลือกดรหัสให้

            หากใส่บัตรไปในเครื่องแล้วไม่มีไฟกะพริบรอบช่องเสียบบัตร ควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพราะตู้นั้นอาจมีการติดตัวสกิมเมอร์ไว้ดูดข้อมูล


            นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ลองมาดูวิธีการใช้เครื่องเอทีเอ็มอย่างปลอดภัยกัน โดยเราควรจะต้อง...

            ตรวจสอบบริเวณเครื่องเอทีเอ็มที่จะเข้าไปใช้ว่ามีบุคคลต้องสงสัยอยู่หรือไม่ หากพบ ให้เปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            ใช้มือบังแป้นกดรหัสส่วนตัวขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ข้าง ๆ หรือกล้องที่มิจฉาชีพแอบติดตั้งไว้มองเห็นรหัสส่วนตัวของเรา

            ใช้ลำตัวบังหน้าจอ ยืนประชิดกับตัวเครื่อง ขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังมองเห็น
 
            พยายามใช้เครื่องเอทีเอ็มเครื่องที่เคยใช้เป็นประจำ เพราะหากเกิดความผิดปกติขึ้นเราจะสังเกตเห็นทันที

            พยายามเลือกใช้เครื่องเอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในที่ปลอดภัย มีคนพลุกพล่าน ในที่มีแสงสว่าง ไม่ใช่ที่เปลี่ยว เช่น ในสาขาของธนาคาร หรือตามร้านค้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพราะสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านจะทำให้คนร้ายยากที่จะนำกล้องมาติดตั้งเพื่อแอบดูรหัสส่วนตัว

            หากพบความผิดปกติของเครื่อง ให้กดปุ่ม "ยกเลิก" เพื่อยุติการทำธุรกรรมนั้นทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องเอทีเอ็มที่มีข้อความ หรือป้ายที่แจ้งเตือนว่า ข้อความแนะนำการใช้เครื่องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความถูกติดเหนือช่องรับบัตร เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายที่จะติดข้อความหรือป้ายประกาศใด ๆ บนเครื่อง โดยเฉพาะกรณีที่มีการดัดแปลงเครื่อง

            เก็บสลิปข้อมูลการใช้บัตรเอทีเอ็มทุกครั้ง เพื่อไว้ใช้เปรียบเทียบกับรายการเดินบัญชีประจำเดือนของคุณ

            ไม่ควรรีบร้อนทำธุรกรรม ควรเก็บบัตรและธนบัตรเข้ากระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากบริเวณเครื่อง

            หลีกเลี่ยงการใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มที่เดาง่าย เช่น เลขตอง เลขสวย เลขที่เรียงกัน รวมทั้งเลขที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขวันเกิด ทะเบียนรถ อายุ ฯลฯ ควรตั้งรหัสให้เดายาก โดยทั้ง 4 หลัก ไม่ควรจะเป็นเลขซ้ำกัน เพื่อให้การสุ่มหมายเลขรหัสบัตรทำได้ยากขึ้น

            ควรเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นประจำ และให้รีบเปลี่ยนรหัสบัตรทันทีเมื่อมีบุคคลอื่นทราบรหัสบัตรของคุณ เพราะคุณไม่ควรให้ใครรู้รหัสเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือตำรวจ

            ควรจำกัดวงเงินการถอนในแต่ละวันไว้ โดยแจ้งไปยังธนาคาร เพื่อที่หากมิจฉาชีพได้นำบัตร หรือรหัสของคุณไปกด จะยังคงรักษาเงินไว้ได้บางส่วน

            ลองจดจำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ จะได้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพในยุคไอที !


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เดลินิวส์
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-

, ธนาคารกรุงเทพ
-http://www.bangkokbank.com/BangkokBankThai/WebServices/YourSecurityFirst/Howyouprotectyourself/Pages/HowtosafeguardyoursecuritywhenusingATM.aspx-

, ธนาคารกสิกรไทย
-http://www.kasikornbank.com/TH/ServicesChannel/SearchServiceChannel/ElectronicMachines/Pages/KATM.aspx-

-------------------------------------------------------------------------

แนะนำวิธีสังเกตตู้เอทีเอ็มที่ต้องสงสัยว่าจะมีเครื่องสกิมเมอร์ติดตั้งอยู่ เพื่อเฝ้าระวังภัยก่อนเงินของเราจะเกิดการสูญหาย
วันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:24 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465143.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465144.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465145.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465146.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/465147.jpg)




เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ภายหลังจากมีคนร้ายชาวต่างชาติติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม ก่อนลักข้อมูลบัตรไปกดเงินจนเสียหายไปเป็นเงินหลายแสน แต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้จักเจ้าเครื่องดังกล่าวว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร จึงเสนอข้อมูลไว้ให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีสังเกตุสิ่งผิดปกติก่อนจะเสียบบัตรที่ตู้เอทีเอ็ม

วิธีสังเกตในการใช้บริการตู้เอทีเอ็ม คือก่อนใช้บริการทุกครั้ง ควรตรวจสิ่งดูผิดปกติ เช่น มีกล่องประชาสัมพันธ์ กล่องใส่ใบปลิว ติดที่หน้าตู้ ซึ่งเป็นการโฆษณาอื่นที่ไม่ใช่ของธนาคารหรือไม่ เพราะอาจจะมีกล้องตัวเล็กถูกซุกซ่อนไว้แอบถ่ายอยู่ จากนั้นก็ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ของตู้ได้ ถ้าไม่เป็นมาตรฐานของธนาคารมันจะหลุดออกมา เนื่องจากปกติมิจฉาชีพจะไม่ติดตั้งให้แน่นแบบถาวร เนื่องจากต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปที่ตู้อื่นด้วย

แต่ผู้มาใช้บริการบางรายอาจจะมาทำธุรกรรมที่ตู้ด้วยความเร่งรีบจนลืมระมัดระวัง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่พอจะช่วยสังเกตุถึงความผิดปกติได้คือ ตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคาร ก่อนที่จะเสียบบัตรจะต้องมีไฟกะพริบล้อมรอบช่องเสียบบัตรทุกครั้ง ดังนั้นถ้าไม่มีไฟกะพริบปรากฏให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีเครื่องดูดข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพื่อความปลอดภัย

สำหรับ เครื่องสกิมเมอร์ (skimmer เครื่องดูดหรือกวาดข้อมูล) นั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คนร้ายสร้างขึ้น โดยนำเครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก วงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สกิมเมอร์มีหลายขนาดตั้งแต่เท่ากับกล่องใส่รองเท้าไปจนถึงขนาดเท่าซองบุหรี่ที่คนร้ายซ่อนไว้ในอุ้งมือได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จึงสามารถพกพาได้สะดวก เมื่อนำบัตรเครดิต (หรือบัตรเดบิตเช่นบัตร ATM) มารูด สกิมเมอร์จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กและนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ สกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำน้อยจะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตได้ 50 ใบ ส่วนสกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำมากอาจเก็บข้อมูลได้หลายหมื่นใบ และเมื่อลักลอบดูดข้อมูลจากบัตรเครดิตไปแล้ว คนร้ายก็จะนำไปสร้างบัตรปลอมซึ่งมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า “บัตรสี” เป็นบัตรเครดิตปลอมที่มีสี มีลวดลาย และมีตัวพิมพ์นูนเหมือนของจริงทุกอย่าง รวมทั้งมีข้อมูลในแถบแม่เหล็กอย่างถูกต้องอีกด้วย บัตรแบบนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่งเช่นเดียวกับบัตรจริง บัตรปลอมอีกแบบเรียกว่า “บัตรขาว” เป็นบัตรพลาสติกสีขาวมีเพียงแถบแม่เหล็กเก็บข้อมูล ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปใช้ในหลายๆ แหล่ง เช่นนำไปกดเงินสดจากตู้ ATM หรือนำไปใช้กับร้านค้าที่ทุจริต คนร้ายบางคนไม่ทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลบัตรของเราไปขายในอินเตอร์เน็ตก็มี
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 17, 2013, 09:03:49 am

8 ข้อเตือนภัยก่อนใช้ INTERNET BANKING

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/8_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89_INTERNET_BANKING/-


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้คนเราต่างต้องใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งต่างคิดค้นบริการทางอินเตอร์เน็ตหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าหรือผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน แถมยังได้รับบริการที่รวดเร็วทันใจเพียงแค่คลิกเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อทำธุรกรรมการเงินต่างๆ เมื่อมีข้อดีมากมาย ก็มีข้อควรระวังในเรื่องของความปลอดภัย ที่แม้ว่าธนาคารจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยให้กับลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่พยายามหาช่องโหว่ด้วยวิธีการต่างๆ ล่อล่วงเอา ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ ซึ่งผู้ใช้บริการเองก็ต้องรู้เท่าทัน เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

1. ผู้สมัครใช้บริการทางการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต ต้องเก็บรักษารหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) และรหัสรักษาความปลอดภัย (Security Password) เป็นความลับ

2. หมั่นเปลี่ยนรหัส ผ่านอยู่เสมอ และไม่ควรใช้รหัสผ่านที่บุคคลอื่นคาดเดาได้ง่าย

3. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เช่น รหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) รหัสเอทีเอ็ม (ATM PIN) รหัสบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี หมายเลขบัตร หรือข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทางอีเมล์ใดๆ

4. อย่าตอบกลับอีเมล์ที่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ มาให้ปรับปรุงข้อมูลหรือยืนยันความถูกต้อง

5. หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ (link) ที่แนบมากับอีเมล์ที่ไม่ทราบชื่อผู้ ส่ง หรืออีเมล์ที่ขอข้อมูลส่วนบุคคล เพราะอาจมีโปรแกรมสอดแนม (Spyware) แนบมากับลิงค์เหล่านั้นเพื่อโจรกรรมข้อมูล

6. คลิก ออกจากระบบ (Log out) เมื่อเลิกใช้อีเมล์หรือทำรายการทางการเงินต่างๆ แต่ละครั้งเรียบร้อยแล้ว

7. ตรวจสอบความถูกต้องของรายการธุรกรรม และยอดเงินในบัญชีของตนเองอย่าง สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันรายการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น

8. หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่น เช่น ในร้านอินเตอร์เน็ต เพราะอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดีพอ


ที่มาข้อมูลและภาพ xn--r3ckmn7exc7b.com

http://guru.sanook.com/pedia/topic/8_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89_INTERNET_BANKING/ (http://guru.sanook.com/pedia/topic/8_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89_INTERNET_BANKING/)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ พฤศจิกายน 18, 2013, 07:13:11 pm
 :42: เคยเจอตู้กดเงินตอนดึกๆ ไฟไม่กระพริบเหมือนกันครับพี่หนุ่ม ผมก็งงๆ เลยไม่ได้เสียบบัตร
เสียวๆเหมือนกันครับ

ส่วนเรื่องแบงค์กาโม่นี่ เป็นตลกร้ายจริงๆนะครับ อ่านแล้วขำๆ แต่คนได้แบงค์กาโม่ไปคงขำไม่ออก
ช่วงนี้คนหากินกันแปลกๆผิดๆเยอะนะครับ

ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 07, 2013, 11:36:22 pm
เผยแฮกเกอร์ล้วงข้อมูลรหัสผ่านทั่วโลกไปแล้ว 2 ล้านบัญชี

-http://money.kapook.com/view77813.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           บริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ เผยผลการวิจัย พบแฮกเกอร์ทั่วโลกจารกรรมข้อมูลรหัสผ่าน เข้าสู่เว็บไซด์ต่าง ๆ จากผู้ใช้ทั่วโลก รวมแล้วราว 2 ล้านรหัส

           เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2556 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ทรัสต์เวฟ (Trustwave) บริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ เผยผลการวิจัย พบแฮกเกอร์ทั่วโลกได้เคยจารกรรมข้อมูลรหัสผ่านที่ผู้ใช้งานทั่วโลกใช้เพื่อเข้าสู่เว็บไซด์ต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยาฮู, กูเกิล และฮอตเมล รวมทั้งอีเมลธนาคารออนไลน์และเว็บไซต์อื่น ๆ รวมแล้วราว 2 ล้านรหัส

           โดยการจารกรรมข้อมูลส่วนใหญ่นั้น เกิดจากการที่แฮกเกอร์ได้ส่งมัลแวร์หรือไวรัสเข้าไปติดตั้งและแฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ ซึ่งมัลแวร์หรือไวรัสนั้นจะทำหน้าที่ดักจับข้อมูลรหัสผ่านที่ผู้ใช้งานใช้ล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์ต่าง ๆ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก่อนส่งชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านของผู้ใช้งานนั้นมายังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์

           นอกจากนี้ จากผลการวิจัยการติดตามเซิร์ฟเวอร์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังพบว่า มีข้อมูลส่วนตัวในบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ถูกบุกรุกโดยแฮกเกอร์มากถึง 93,000 เว็บไซต์ อาทิ เฟซบุ๊ก 318,000 บัญชี, จีเมล กูเกิล และยูทูบ รวม 70,000 บัญชี, ยาฮู 60,000 บัญชี และทวิตเตอร์อีก 22,000 บัญชี

           ด้าน จอห์น มิลเลอร์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยความปลอดภัยของทรัสต์เวฟ เผยว่า แม้ว่าทางทีมวิจัยของบริษัทจะยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าบัญชีต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกแฮกเกอร์ล็อกอินเข้ามา แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของแฮกเกอร์ ซึ่งในขณะนี้ทางทีมผู้วิจัยเองก็ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดว่าไวรัสตัวนี้ได้บุกรุกเข้าไปแฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของผู้ใช้งานกี่เครื่องแล้วกันแน่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะติดตามจำนวนคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อเหล่านั้น

           อย่างไรก็ตาม จอห์น ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของพวกเขาติดเชื้อหรือไม่ว่า ผู้ใช้งานสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการอัพเดทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องของพวกเขา รวมทั้งอัพเดทแพทช์ล่าสุดของอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์, Adobe (ADBE) และ Java

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2013, 07:31:01 pm
ต้องการยกเลิกบัตรเครดิตที่ไม่ใช้งาน ทำได้ทันทีหรือไม่

-http://money.kapook.com/view78098.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          สมัครบัตรเครดิตไว้ โดยไม่เคยใช้ แต่กลับถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในช่วงสิ้นปี กรณีนี้เจ้าของบัตรสามารถยกเลิกการใช้บริการได้ทันทีหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ

          สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาน่าปวดหัว หลังจากเคยสมัครบัตรเครดิตไว้ โดยไม่เคยเปิดใช้งาน แต่ในช่วงสิ้นปีกลับถูกเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม หนำซ้ำเมื่อจะขอยกการใช้บัตรเครดิตทันที ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากพนักงานอ้างว่า ต้องรอตัดรอบบิลใหม่ จนกลายเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่รู้ตัว เพื่อคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ กระปุกดอทคอมซึ่งได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากเว็บไซต์ decha.com จึงนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

          คำถาม : สมัครบัตรเครดิตแต่ไม่เคยแจ้งเปิดใช้งาน พอถึงสิ้นปีกลับถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม และเมื่อโทรไปคอลเซ็นเตอร์  ทางพนักงานบอกว่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียมให้  แต่พอขอปิดบัตรเลย พนักงานกลับบอกว่าปิดไม่ได้ เนื่องจากบัตรได้ต่ออายุไปแล้ว คงต้องรอช่วงเดือนธันวาคม ของปีถัดไป กรณีนี้หากต้องการปิดบัตรทันที จะต้องทำอย่างไรบ้าง

          คำตอบ :  สำหรับกรณีดังกล่าว เจ้าของบัตรเครดิตควรทำหนังสือบอกเลิกสัญญาการใช้บริการบัตรเครดิต ด้วยการส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับอย่างเป็นทางการไปถึงคู่สัญญา และหากผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยมิชอบอีก ผู้ใช้บริการที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว มีสิทธิที่จะยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ตามความมาตรา 20 (1) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้ทันที


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 05:32:50 pm
อีกแล้ว!! เตือนภัย ลูกค้าธนาคาร แม้ไม่ได้เปิด e-Banking ก็โดนขโมยเงินได้!

ขอบคุณที่มา:  -www.it24hrs.com-

-http://hitech.sanook.com/1388218/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-e-banking-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%80/-


จากเหตุการณ์ เตือนภัย Internet Banking รูปแบบใหม่!! ปลอมเป็นคุณ ด้วยหลักฐานปลอม สวมรอยโอนเงินออก สูญหลายแสน! ที่ เคยนำเสนอมาแล้ว….มาคราวนี้ ได้รับข้อมูลใหม่ จากผู้เสียหายอีกท่าน ที่ใช้บริการบัญชีออมทรัพย์ธนาคารเดี่ยวกันกับเคสที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ คราวนี้ หนักกว่าเดิม! เพราะผู้เสียหายรายนี้ ไม่เคยมีบัญชี Internet Banking ด้วยซ้ำ! แต่โดนคนร้ายสวมรอยใช้เอกสารปลอม เปิดบัญชีใหม่แบงค์เดียวกัน แต่ต่างสาขา และคนร้ายก็ไปจัดการเปิดใช้ internet banking เอง ขโมยเงินเจ้าของบัญชีตัวจริงไป รวมกว่า 5 แสนบาท!!!


iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13 (http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo#)
-http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo-

iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13 (http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo#)
iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13


คุณเอ ไชยเดช ศิริวัฒนกุล ผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้ ได้ แจ้งความที่ สน.หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม หลังพบว่าบัญชีของตัวเองเงินหายไปกว่า 560,000 บาท ซึ่งทางผู้เสียหายได้ไปตรวจสอบกับธนาคารแห่งดังกล่าวสาขาใน อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสาขาที่เจ้าของบัญชีตัวจริงเปิดไว้   ใน ชื่อบัญชี ธนัท ศิริวัฒนกุล  (ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเจ้าของบัญชี  ก่อนที่เปลี่ยนชื่อเป็น คุณชยเดช [ เมื่อ 14 มิย. 53 ] และเปลี่ยนชื่อเป็นคุณ ไชยเดช [เมื่อ 17 มิย. 53])

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2356;image)

พบ ว่ามีคนร้ายไปสวมรอยเปิดบัญชีใหม่และเปิดบริการธนาคารบนอินเตอร์เน็ต (internet bangking) เมื่อวันทื่ 30 เมษายน  โดยเปิดที่ธนาคารเดียวกัน แต่คนร้ายไปเปิดที่สาขา กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร  โดยหลักฐานการเปิดบัญชีนั้น คน ร้ายใช้เอกสารปลอมโดยยื่นบัตรข้าราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ระดับ 7 อ.หาดใหญ่ ที่ระบุชื่อ นาย ชยเดช ศิริวัฒนกุล ให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร   ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของบัญชีตัวจริง คุณชยเดช  ศิริวัฒนกุล ไม่ได้รับราชการเลย     และเปลี่ยนชื่อจาก ชยเดช เป็น ไชยเดช เมื่อ 17 มิย 53     จากที่ทีมงานสัมภาษณ์ผู้เสียหาย เค้าให้สัมภาษณ์ว่า  คาดว่าคนร้ายทราบชื่อข้อมูลเราเป็น ชยเดช เลยทำบัตรราชการปลอมเป็นชื่อ ชยเดช ไว้ไปเปิดบัญชีธนาคาร

จากนั้นคนร้ายก็ขอเปิดใช้บริการ internet banking ด้วย! ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อคนร้ายเป็นคนเปิดใช้บริการ internet banking เอง… username และ password จึงเป็นสิ่งที่คนร้ายทราบแน่นอน เพราะเป็นคนเลือกเอง! ส่วนเบอร์มือถือสำหรับรับรหัส OTP (One time password) ที่ธนาคารจะส่งมาเข้ามือถือ ผ่านทาง SMS เพื่อให้รหัสอีกชั้นหนึ่งเวลามีการทำธุรกรรมการเงินผ่าน internet banking ก็ใช้เบอร์มือถือของคนร้าย (เพราะคนร้ายเป็นคนแจ้งเบอร์เอง)…

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2358;image)

คราวนี้คนร้ายเข้า Login ผ่านทาง Internet Banking แล้วสั่งโอนเงินออกจากบัญชีไปได้อย่างสบายๆ เพราะได้ครบทั้ง username, password, OTP โดยขโมยเงินจากเจ้าของบัญชีตัวจริง ครั้งละ 100,000 บาท จำนวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นคนร้ายก็สั่งโอนเงิน ขโมยอีกประมาณ 67,000 และยังสั่งโอนเงินทีละน้อยๆ   โดยที่เจ้าของบัญชีตัวจริงไม่รู้ตัว จนกระทั่ง มารู้ตัวว่าโดนขโมย เมื่อวันที่ 16พฤษภาคม  2556 และไปแจ้งความ ที่ สน.หาดใหญ่ และตอนนี้อยู่ในระหว่างตามจับคนร้าย

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2360;image)

จะเห็นได้ว่าคนร้ายได้พยายามใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ใช่การขโมยเงิน แบบเก่าๆแล้ว จะใช้วิธีสวมรอยเป็นคุณ ขโมยเงิน เป็นวิธีที่โจรเลือกใช้ที่ฮิตและแนบเนียนมากขึ้น …. ลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารต้องหมั่นตรวจสอบบัญชี และระมัดระวังในเรื่องหลักฐานส่วนตัวต่างๆ เช่นบัตรประชาชน  เป็นต้น และทางธนาคารเองต้องตรวจเฉพาะบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น ไม่ใช่บัตรข้าราชการซึ่งสามารถปลอมแปลงได้ง่าย

“ในเมื่อกรณีแบบนี้ ก็จะเห็นได้ว่าลูกค้าไม่อาจจะป้องกันตนเองได้เลย แถมเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แม้ไม่มีบัญชี e-banking …. คุณคิดว่า ธนาคาร ควรปรับปรุงระบบไหม? ”
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 05:38:06 pm
อีกแล้ว!! เตือนภัย ลูกค้าธนาคาร แม้ไม่ได้เปิด e-Banking ก็โดนขโมยเงินได้!

ขอบคุณที่มา:  -www.it24hrs.com-

-http://hitech.sanook.com/1388218/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-e-banking-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%80/-


จากเหตุการณ์ เตือนภัย Internet Banking รูปแบบใหม่!! ปลอมเป็นคุณ ด้วยหลักฐานปลอม สวมรอยโอนเงินออก สูญหลายแสน! ที่ เคยนำเสนอมาแล้ว….มาคราวนี้ ได้รับข้อมูลใหม่ จากผู้เสียหายอีกท่าน ที่ใช้บริการบัญชีออมทรัพย์ธนาคารเดี่ยวกันกับเคสที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ คราวนี้ หนักกว่าเดิม! เพราะผู้เสียหายรายนี้ ไม่เคยมีบัญชี Internet Banking ด้วยซ้ำ! แต่โดนคนร้ายสวมรอยใช้เอกสารปลอม เปิดบัญชีใหม่แบงค์เดียวกัน แต่ต่างสาขา และคนร้ายก็ไปจัดการเปิดใช้ internet banking เอง ขโมยเงินเจ้าของบัญชีตัวจริงไป รวมกว่า 5 แสนบาท!!!


iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13 (http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo#)
-http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo-

iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13 (http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo#)
iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13


คุณเอ ไชยเดช ศิริวัฒนกุล ผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้ ได้ แจ้งความที่ สน.หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม หลังพบว่าบัญชีของตัวเองเงินหายไปกว่า 560,000 บาท ซึ่งทางผู้เสียหายได้ไปตรวจสอบกับธนาคารแห่งดังกล่าวสาขาใน อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสาขาที่เจ้าของบัญชีตัวจริงเปิดไว้   ใน ชื่อบัญชี ธนัท ศิริวัฒนกุล  (ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเจ้าของบัญชี  ก่อนที่เปลี่ยนชื่อเป็น คุณชยเดช [ เมื่อ 14 มิย. 53 ] และเปลี่ยนชื่อเป็นคุณ ไชยเดช [เมื่อ 17 มิย. 53])

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2356;image)

พบ ว่ามีคนร้ายไปสวมรอยเปิดบัญชีใหม่และเปิดบริการธนาคารบนอินเตอร์เน็ต (internet bangking) เมื่อวันทื่ 30 เมษายน  โดยเปิดที่ธนาคารเดียวกัน แต่คนร้ายไปเปิดที่สาขา กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร  โดยหลักฐานการเปิดบัญชีนั้น คน ร้ายใช้เอกสารปลอมโดยยื่นบัตรข้าราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ระดับ 7 อ.หาดใหญ่ ที่ระบุชื่อ นาย ชยเดช ศิริวัฒนกุล ให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร   ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของบัญชีตัวจริง คุณชยเดช  ศิริวัฒนกุล ไม่ได้รับราชการเลย     และเปลี่ยนชื่อจาก ชยเดช เป็น ไชยเดช เมื่อ 17 มิย 53     จากที่ทีมงานสัมภาษณ์ผู้เสียหาย เค้าให้สัมภาษณ์ว่า  คาดว่าคนร้ายทราบชื่อข้อมูลเราเป็น ชยเดช เลยทำบัตรราชการปลอมเป็นชื่อ ชยเดช ไว้ไปเปิดบัญชีธนาคาร

จากนั้นคนร้ายก็ขอเปิดใช้บริการ internet banking ด้วย! ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อคนร้ายเป็นคนเปิดใช้บริการ internet banking เอง… username และ password จึงเป็นสิ่งที่คนร้ายทราบแน่นอน เพราะเป็นคนเลือกเอง! ส่วนเบอร์มือถือสำหรับรับรหัส OTP (One time password) ที่ธนาคารจะส่งมาเข้ามือถือ ผ่านทาง SMS เพื่อให้รหัสอีกชั้นหนึ่งเวลามีการทำธุรกรรมการเงินผ่าน internet banking ก็ใช้เบอร์มือถือของคนร้าย (เพราะคนร้ายเป็นคนแจ้งเบอร์เอง)…

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2358;image)

คราวนี้คนร้ายเข้า Login ผ่านทาง Internet Banking แล้วสั่งโอนเงินออกจากบัญชีไปได้อย่างสบายๆ เพราะได้ครบทั้ง username, password, OTP โดยขโมยเงินจากเจ้าของบัญชีตัวจริง ครั้งละ 100,000 บาท จำนวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นคนร้ายก็สั่งโอนเงิน ขโมยอีกประมาณ 67,000 และยังสั่งโอนเงินทีละน้อยๆ   โดยที่เจ้าของบัญชีตัวจริงไม่รู้ตัว จนกระทั่ง มารู้ตัวว่าโดนขโมย เมื่อวันที่ 16พฤษภาคม  2556 และไปแจ้งความ ที่ สน.หาดใหญ่ และตอนนี้อยู่ในระหว่างตามจับคนร้าย

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=2360;image)

จะเห็นได้ว่าคนร้ายได้พยายามใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ใช่การขโมยเงิน แบบเก่าๆแล้ว จะใช้วิธีสวมรอยเป็นคุณ ขโมยเงิน เป็นวิธีที่โจรเลือกใช้ที่ฮิตและแนบเนียนมากขึ้น …. ลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารต้องหมั่นตรวจสอบบัญชี และระมัดระวังในเรื่องหลักฐานส่วนตัวต่างๆ เช่นบัตรประชาชน  เป็นต้น และทางธนาคารเองต้องตรวจเฉพาะบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น ไม่ใช่บัตรข้าราชการซึ่งสามารถปลอมแปลงได้ง่าย

“ในเมื่อกรณีแบบนี้ ก็จะเห็นได้ว่าลูกค้าไม่อาจจะป้องกันตนเองได้เลย แถมเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แม้ไม่มีบัญชี e-banking …. คุณคิดว่า ธนาคาร ควรปรับปรุงระบบไหม? ”



กรณีนี้  ธนาคารต้องรับผิดชอบ และ ผู้เสียหาย หากเกิดความเสียหายเนื่องจากเงินที่ต้องนำไปใช้ หรือ ดอกเบี้ยที่ควรได้  ธนาคารต้องรับผิดชอบ

เนื่องจากความผิด เกิดจากความผิดพลาดการปฎิบัติงานของธนาคารเอง



.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 10:48:04 am
เตือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเลขาฯปปง.หลอกโอนเงิน


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1390904169&grpid=&catid=19&subcatid=1905-


เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เลขาธิการ ปปง.) เปิดเผยว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องราว ร้องทุกข์ แจ้งเบาะแส สายด่วน ปปง. 1710 มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเลขาธิการ ปปง. แจ้งผู้เสียหายว่ามีผู้แอบอ้างนำบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งผู้เสียหายจะต้องถูกดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สิน โดยสำนักงาน ปปง.จะต้องตรวจสอบเงินในบัญชี หากต้องการ “พิสูจน์ตนเอง” และต้องการ “ช่วยราชการ” ในการจัดการทางกฎหมายกับผู้แอบอ้างที่นำบัญชีของผู้เสียหายไปใช้กระทำความผิด ผู้เสียหายต้องโอนเงินผ่านเครื่องรับจ่ายเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) หรือโอนผ่านเครื่องรับฝากเงินสดอัตโนมัติ (ซีดีเอ็ม) เพื่อตรวจพิสูจน์ สารเสพติด และเมื่อตรวจสอบเรียบร้อยจะโอนเงินคืนกลับไปยังบัญชีผู้เสียหายในภายหลัง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินไปเรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายจะไม่สามารถติดต่อมิจฉาชีพทางโทรศัพท์ได้อีก


พ.ต.อ.สีหนาทกล่าวต่อว่า ล่าสุด ปลายปี 2556 มีผู้เสียหาย 2 ราย อายุประมาณ 40-45 ปี ขอปกปิดนาม ถูกหลอกลวงด้วยวิธีการดังกล่าว หลงเชื่อจึงโอนเงินไปให้มิจฉาชีพ ครั้งละ 300,000-700,000 บาท รวมถึงการถูกหลอกลวงให้ไปกู้เงินมาเพิ่มอีกด้วย รวมมูลค่าที่โอนเงินไปกว่า 5,000,000 บาท โดยมิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และน่าเชื่อถือ ดังต่อไปนี้ เริ่มจากโทรศัพท์มาพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เสียหายว่าเป็นเลขาธิการ ปปง.จริง แสดงความจริงใจและต้องการจะช่วยเหลือผู้เสียหายเพื่อ “พิสูจน์ตนเอง” และเพื่อให้ผู้เสียหายได้ “ช่วยราชการ” ของสำนักงาน ปปง. ในการปราบปรามผู้กระทำความผิด โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีการเดียวกันนี้หลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายราย ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด


เมื่อผู้เสียหายรายใดที่หลงเชื่อ มิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์ต่างให้ดูน่าเชื่อถือ ด้วยการกล่าวอ้างกับผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายมิได้ถูกแอบอ้างนำบัญชีไปใช้กระทำความผิดเพียงคนเดียว ยังมีผู้เสียหายรายอื่นที่ต้องการ “พิสูจน์ตนเอง” และ “ช่วยราชการ” เช่นกัน พร้อมเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์ให้เป็นแบบคุย 3 สาย เพื่อให้ผู้เสียหายที่หลงเชื่อมาพูดคุยและปรึกษาหารือกัน โดยมีมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเลขาธิการ ปปง. ร่วมพูดคุยด้วย จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เสียหายว่าไม่ได้ถูกหลอกลวง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ และต้องการ “พิสูจน์ตนเอง” และ “ช่วยราชการ” ของสำนักงาน ปปง. มิจฉาชีพจะหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มหรือเครื่องรับฝากเงินสด และกำชับให้ทำลายสลิปการโอนเงินทุกครั้ง


พ.ต.อ.สีหนาทกล่าวอีกว่า เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปให้มิจฉาชีพระยะหนึ่งแล้ว มิจฉาชีพเหล่านั้นจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความน่าเชื่อถือให้กับผู้เสียหายด้วยการโอนเงินจำนวนหนึ่งคืนกลับมาให้ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจและแสดงความเป็นห่วง ถ้าผู้เสียหายต้องการนำเงินไปใช้ทำธุรกรรมประเภทต่างๆ เช่น จ่ายค่าบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิต จ่ายค่าผ่อนงวดรถยนต์ เป็นต้น ขณะที่พูดคุยมิจฉาชีพจะข่มขู่ผู้เสียหายให้เกิดความกลัว และไม่ให้ผู้เสียหายติดต่อหรือสอบถามเรื่องใดๆ มายังสำนักงาน ปปง. เพราะอาจเป็นอันตราย ประกอบกับอ้างว่าสำนักงาน ปปง.ทำงานเชิงลับมาก ผู้เสียหายจึงไม่กล้าติดต่อหรือสอบถามรายละเอียดใดๆ จากสำนักงาน ปปง.

 

พ.ต.อ.สีหนาทกล่าวว่า เมื่อผู้เสียหายโอนเงินให้กับมิจฉาชีพจนหมดบัญชีเงินฝากแล้ว มิจฉาชีพจะโน้มน้าวให้ผู้เสียหายแสวงหาเงินจากแหล่งอื่นๆ เช่น การจำนองบ้าน รถ ที่ดิน หรือจำนำทรัพย์สิน เพื่อนำเงินทั้งหมดมา “พิสูจน์ตนเอง” และ “ช่วยราชการ” ของสำนักงาน ปปง. และหากผู้เสียหายเป็นข้าราชการ มิจฉาชีพก็จะโน้มน้าวให้กู้เงินสหกรณ์ ออมทรัพย์ สินเชื่อธนวัฏ กองทุนต่างๆ ของข้าราชการ เป็นต้น โดยให้เหตุผลว่ามีมิจฉาชีพซึ่งทำงานที่ธนาคารพยายามใช้เอกสารปลอมของผู้เสียหายทำเรื่องกู้เงินที่ธนาคารหรือสหกรณ์นั้นๆ จึงแนะนำให้ผู้เสียหายทำการกู้เงินตัดหน้า ก่อนที่จะถูกมิจฉาชีพที่ปลอมเอกสารนำเงินของผู้เสียหายไป

 

เลขาธิการ ปปง.กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรูปแบบและวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพดังกล่าวจะมีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น หากมีผู้แอบอ้างว่าเป็นเลขาธิการ ปปง. แล้วอ้างว่ามีการใช้บัญชีของผู้เสียหายในการฟอกเงิน ต้องถูกออกหมายจับกุม ถูกอายัดเงินในบัญชี ขอให้ประชาชนให้ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อ เนื่องจากไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะหลักการปฏิบัติตามข้อเท็จจริงหน่วยราชการจะดำเนินการใดๆ ก็ตามจะต้องมีหนังสือแจ้งให้ไปพบ ณ สถานที่ราชการ ในวัน เวลา ราชการเท่านั้น และหากผู้เสียหายได้มีการโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพแล้ว ห้ามทำลายสลิปการโอนเงินหรือห้ามฉีกโดยเด็ดขาดให้เก็บไว้เป็นหลักฐานและส่งสำนักงาน ปปง. โดยด่วน เพื่อจะได้ติดตามร่องรอยบัญชีการโอนเงินซึ่งสำนักงาน ปปง.สามารถทำการระงับการโอนเงินในบัญชีดังกล่าวคืนให้กับผู้เสียหายได้

 

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและรู้เท่าทันมิจฉาชีพเหล่านี้ ขอให้ประชาชนทุกคนตั้งสติ เตือนตนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพโดยเด็ดขาด ควรวางโทรศัพท์ทันที ไม่ควรพูดหรือเจรจาเพราะมิจฉาชีพจะมีวิธีพูดให้เหยื่อกลัว และไม่กล้าวางสาย ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อหากมีข้อสงสัยให้เปิดเว็บไซต์ของสำนักงาน ปปง. ที่ www.amlo.go.th (http://www.amlo.go.th) หรือโทรสายด่วน ปปง. 1710 เพื่อสอบถามข้อมูลโดยตรง ซึ่งบนเว็บไซต์ของสำนักงาน ปปง. จะมีการแจ้งเตือนประชาชนกรณีดังกล่าวด้วย ส่วนการติดตามคนร้าย ปปง.จะนำสลิปโอนเงินของผู้เสียหายไปตรวจสอบเส้นทางการเงินต่อไปโดยเชื่อว่าคนร้ายน่าจะถอนเงินออกไปทันที

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 14, 2014, 08:49:50 pm
สุดช็อก ค่าโทรศัพท์สูงลิบ 1.4 ล้าน เหตุเปิดโรมมิ่ง แต่ไปประเทศที่ไม่มีโรมมิ่ง

-http://hilight.kapook.com/view/99305-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
           เป็นเรื่องเป็นราวอีกแล้ว..สำหรับการใช้บริการโทรศัพท์มือถือในต่างประเทศ รวมถึงแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ที่ล่าสุดลูกค้า DTAC ซึ่งเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้ใช้เปิดการใช้โรมมิ่งโทรข้ามประเทศแบบปกติ แต่กลับบ้านมาเปิดบิลค่าใช้จ่าย ถึงกับช็อก ! เพราะค่าบริการสูงเกือบถึง 1.4 ล้านบาท เลยทีเดียว

          โดย คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ได้รายงานผ่านทวิตเตอร์ @yoware เกี่ยวกับกิจกรรมวันสิทธิผู้บริโภคสากล ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ กทม. ในวันนี้ (14 มีนาคม 2557) ว่า..  ในงานดังกล่าวได้ระบุถึงปัญหาโรมมิ่งอินเทอร์เน็ตรั่ว โดยผู้ใช้หลายคนไม่ทราบว่าต้องเสียอะไรอย่างไร และไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายแพง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะปิดอย่างไร

           หลังจากนั้น คุณจันทรดี เผยว่า ใช้บริการ DTAC เดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และได้เปิดแพ็กเกจเน็ต โดยไม่รู้ว่าประเทศซาอุฯ ไม่อยู่ในแพ็กเกจดังกล่าว เมื่อเปิดซองบิลก็ถึงกับตกใจ เพราะค่าบริการสูงถึง 1,390,794.40 บาทเลยทีเดียว (บิลออกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2556) ซึ่งหลังจากที่เจอบิลค่าใช้บริการสูงลิบ ทางผู้ใช้ก็ได้ไกล่เกลี่ย แต่ทาง DTAC ก็ยังเกลี้ยกล่อมให้จ่ายถึง 5 แสนบาท ผ่อนเดือนละ 4,000 บาท นานถึง 10 ปี ทางผู้ใช้เลยตัดสินใจสู้คดีดังกล่าว...

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/general%20news/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.jpg)

ภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ @yoware

           รายงานระบุด้วยว่า โดยชาวเน็ตส่วนมากแนะนำให้ทางค่ายมือถือควรกำหนดเพดานโรมมิ่งตามที่ผู้ใช้ต้องการ และมีการเตือนหรือตัดการให้บริการหากมีการใช้ถึงเพดานดังกล่าวแล้ว จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ รวมไปถึงควรจะแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการดังกล่าวอย่างละเอียด

           อย่างไรก็ดี กรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเนื่องจากผู้ใช้ไม่ทราบเงื่อนไขและไม่เข้าใจถึงการใช้บริการดังกล่าว ซึ่งได้มีผู้ตั้งกระทู้ร้องเรียนอยู่เป็นประจำ โดยเคสล่าสุดคือกรณีของ คุณ Forsd ที่ตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม โดยระบุว่า พี่สาวเดินทางไปฮ่องกง และใช้บริการโรมมิ่งของ DTAC ซึ่งใช้งานไป 3 วัน ค่าบริการสูงถึง 2 ล้านบาท เลยทีเดียว...




หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2014, 08:15:18 am
เผยเคล็ดไม่ลับ 9 ข้อ สกัดภัยร้ายการเงิน


-http://money.sanook.com/178354/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-9-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/-

-http://www.prachachat.net/index.php-

แคสเปอร์สกี้ แลป พร้อมปกป้องคุ้มครองเงินในบัญชีธนาคารของคุณ ด้วยเคล็ดไม่ลับสำหรับปกป้องบัตรธนาคาร ทั้งบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด ให้รอดพ้นเงื้อมมือมิจฉาชีพที่จ้องฉกเงินคุณทุกวิธีทาง


1.เก็บข้อมูลบัตรธนาคารเป็นความลับ

จำไว้เสมอว่า เพียงแค่มีข้อมูลไม่กี่อย่างเกี่ยวกับบัตรธนาคาร (บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด) ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขหน้าบัตร หรือรหัสตรวจสอบ มิจฉาชีพก็สามารถขโมยเงินในบัญชีคุณได้แล้ว

 

2.เก็บรหัส CVV เป็นความลับขั้นสุดยอด

รหัส CVV คือรหัส 3 หลัก อยู่ด้านหลังบัตรธนาคาร ใช้สำหรับตรวจสอบขั้นสุดท้ายในการทำธุรกรรม มิจฉาชีพอาจแอบจดหรือถ่ายรูปบัตรธนาคารของคุณไว้ได้ เวลาที่คุณจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรหรือถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม คุณควรป้องกันโดยลบรหัส CVV ออกหรือหาเทปกาวมาปิดทับ ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงบัตรไม่ใช่เรื่องที่ธนาคารจะแนะนำ แต่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะป้องกันคุณจากมิจฉาชีพได้

 

3.อย่าเผลอถ่ายรูปบัตรธนาคาร

อย่าซุกซนถ่ายรูปบัตรธนาคารเก็บไว้ หรือโพสต์ไว้ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะเท่ากับเป็นการประกาศข้อมูลลับให้ผู้ไม่หวังดี

 

4.เก็บรักษาบัตรไว้ในที่ปลอดภัย

บัตรพลาสติกเล็กๆ ใบนี้ ควรได้รับการดูแลป้องกันอย่างดี ควรฝึกนิสัยการเก็บบัตรลงกระเป๋าสตางค์ทุกครั้งหลังใช้งาน จะช่วยลดปัญหาหลงลืมบัตรและบัตรหายได้ ไม่ควรเก็บบัตรไว้ใกล้ๆ กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องใช้ที่มีสนามแม่เหล็ก เพราะอาจจะลบข้อมูลในบัตรได้

 

5.หลอกหัวขโมย

การหลอกหัวขโมยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยปกป้องบัตรธนาคารของคุณได้เพียงเขียนรหัสปลอม (ย้ำ! รหัสปลอมที่ตั้งขึ้นใหม่) จำนวน 3 ชุดลงในเศษกระดาษและเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เมื่อเจ้าหัวขโมยเจอรหัสนี้ ก็จะนำไปลองกดที่ตู้เอทีเอ็มทันที เมื่อกดรหัสผิด 3 ครั้ง บัตรของคุณจะถูกระงับทันที ไม่สามารถถอนเงินได้อีก การทำบัตรใหม่ก็ไม่ยุ่งยาก เท่านี้คุณก็จะรักษาเงินในบัญชีได้ครบทุกบาททุกสตางค์

 

6.จดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ธนาคาร

ควรจดหมายเลขโทรศัพท์ธนาคารไว้ใกล้ตัว หรือบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หากเกิดกรณีฉุกเฉิน จะได้สามารถติดต่อธนาคารเพื่ออายัติบัตรได้ทันท่วงที

 

7.ตั้งค่าการรักษาความปลอดภัย 2 ชั้น

การตั้งค่า 2 ชั้นอาจทำให้ธุรกรรมออนไลน์ช้าลงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่จะช่วยป้องกันการเบิกถอนหรือจ่ายเงินโดยมิจฉาชีพได้

 

8.ตรวจสอบตู้เอทีเอ็มก่อนใช้งานทุกครั้ง

ก่อนเสียบบัตรเข้าเครื่อง ควรตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์แปลกๆ น่าสงสัย ติดตั้งไว้ด้วยหรือไม่ อาจจะเป็นพวกแป้นกดรหัส ช่องเสียบบัตร หรือกล้องเว็บแคมตัวจิ๋ว

 

9.สังเกต HTTPS

ในการทำธุรกรรมออนไลน์ ควรตรวจสอบดูที่ช่อง URL ว่าเป็น http หรือไม่ ซึ่งต่างจาก URL ปกติที่จะมีเพียง http ตัวอย่างเช่น http://www.online.com (http://www.online.com) นั่นแปลว่าเว็บไซต์ธุรกรรมของคุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ควรใช้โซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Kaspersky Internet Security - Multi-Device ซึ่งมีฟังก์ชั่น Safe Banking คอยปกป้องคุ้มครองทุกการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2014, 08:11:14 am

เจาะคดีแก๊งแบงก์ปลอม อาละวาดลวงซื้อน้ำมัน ป่วนทั่วกรุงเก่า-อ่างทอง


-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5UUXhOREk0T1E9PQ==&sectionid=-


วิเชียร นรสิงห์ สุรศักดิ์ หริ่มสืบ เรื่อง/ภาพ


(http://javascript:WindowOpen('show_image.html?image=online/2014/03/13954142891395414304l.jpg','700','525');)

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=online/2014/03/13954142891395414304l.jpg&width=260&height=260)

เจ้า ของปั๊มน้ำมันละแวกย่านกรุงเก่า พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง ต่างต้องปวดเศียรเวียนเกล้า กับแก๊งคนร้ายที่อาศัยช่วงมืดค่ำมาขอซื้อน้ำมันครั้งละ 500-600 ลิตร ก่อนใช้แบงก์ปลอมจ่ายเป็นค่าน้ำมัน

กระทั่งล่าสุดไปก่อเหตุกับปั๊มน้ำมันบางจาก ในพื้นที่ ม.8 ต.โรงช้าง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

โดย เมื่อเวลาประมาณตี 5 วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ชายหนุ่ม 2 คน ขับปิกอัพเชฟโรเลต สีขาว ทะเบียน กฉ 6328 สุพรรณบุรี บรรทุกถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร รวม 3 ใบ มาในกระบะท้าย ก่อนขอซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงรวม 600 ลิตร

ด้วย ความที่มีข่าวระแคะระคายมาเข้าหูว่า มีแก๊งคนร้ายลวงใช้แบงก์ปลอมหลอกซื้อน้ำมัน ทำให้นายสามารถ อินทร์อุไร อายุ 35 ปี เจ้าของปั๊มน้ำมันดังกล่าว จึงออกมายืนคุมเชิงระหว่างที่พนักงานเติมน้ำมันให้ลูกค้ารายนี้

แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เจ้าของปั๊มระแวงไว้ทุกประการ!!?

ทันทีที่พนักงานของปั๊มเติมน้ำมันเต็ม ทุกถัง คิดเป็นเงินรวม 18,000 บาท

คนร้ายก็เข้าไปนั่งในรถทันทีเหมือนจะ ขับรถออกจากปั๊มไปเลย

นาย สามารถจึงรีบเดินเข้าไปเกาะประตูรถพร้อมขอเงินค่าน้ำมัน ซึ่งคนร้ายก็ยื่นเงินเป็นแบงก์ 1,000 บาท มาให้ปึกหนึ่ง เขาจึงยื่นมือเข้าไปรับเพื่อนับว่าครบถ้วนหรือไม่

แต่ทันทีที่มือสัมผัสกับเงินปึกดังกล่าว เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นแบงก์ปลอม จึงตะโกนโวยวายขึ้น

จนคนร้ายตกใจรีบบึ่งรถออกไปทันที หายวับไปกับความมืดต่อหน้าต่อตาเขา

หลัง เกิดเหตุ พ.ต.อ.อนุสรณ์ วะยาคำ ผกก.สภ.ป่าโมก นำกำลังรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทำให้พบว่า กล้องวงจรปิดของปั๊ม ดังกล่าวจับภาพคนร้ายและรถได้อย่างชัดเจน จึงประสานไปยังท้องที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ข้างเคียงกัน โดยเฉพาะ บก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดเหตุแบบเดียวกันหลายครั้ง

แล้วความพยายามของตำรวจก็เป็นผล สำเร็จในช่วงค่ำวันเดียวกัน เมื่อพล.ต.ต.เสริมคิด สิทธิชัยกานต์ ผบก.ภ.จว.พระนคร ศรีอยุธยา พ.ต.อ.ภูวดิท ชนะคชภัทร์ รอง ผบก. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.บาง ปะหัน สภ.บางไทร

บุกเข้าจับกุม ตัว นายคมสัน วงศ์สุขชัยกิจ อายุ 25 ปี และ นายภานุวัฒน์ รามศร อายุ 31 ปี ชาว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ได้คาบ้านพักในพื้นที่ อ.บางไทร พร้อมรถปิกอัพเชฟโรเลต สีขาว ทะเบียน กฉ 6328 สุพรรณบุรี และน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมาก ก่อนคุมตัวไปสอบสวน

เบื้องต้นผู้ต้องหา ซัดทอดถึงนายวรพจน์ สุขเกศา อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 ม.1 ต.แคออก อ.บางไทร ว่าเป็นผู้ผลิตแบงก์ปลอมที่ใช้ก่อเหตุ

เจ้าหน้าที่จึงตามไป จับตัวได้คาห้องพักเลขที่ 5203 หอพักกีรติจินดา ม.6 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมของกลางเครื่องถ่ายเอกสารสีแบบเลเซอร์ 1 เครื่อง ธนบัตรปลอมฉบับละ 100 บาท 500 บาท และ 1,000 บาท จำนวนหลายสิบใบ กระดาษ เอ 4 จำนวนหนึ่ง ยาบ้าอีก 100 เม็ด

ซึ่งนายวรพจน์ก็ก้มหน้ายอมรับสารภาพว่า รับจ้างผลิตแบงก์ปลอมให้แก๊งคนร้ายนำไปหลอกซื้อน้ำมันจริง โดยได้ยาบ้าเป็นค่าจ้าง

รุ่ง เช้าวันที่ 19 มี.ค. ผู้การเสริมคิดก็นำทีมสอบปากคำนายคมสันและนายภานุวัฒน์ ซึ่งทั้งคู่ก็สารภาพอย่างหมดเปลือกว่า ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เท่าที่จำได้มีเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ลงมือที่ ปั๊มน้ำมันคอสโม่ ม.3 ต.ขยาย อ.บางปะหัน ได้น้ำมันไป 200 ลิตร

วันที่ 16 มี.ค. ก่อเหตุที่ปั๊มน้ำมันพีที ม.3 ต.ตานิม อ.บางปะหัน ได้น้ำมันไป 51 ลิตร วันที่ 17 มี.ค. ลวงซื้อน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.วัฒนชัย ม.3 ต.หันสัง อ.บางปะหัน

สุดท้ายก็ที่ปั๊มน้ำมันบางจากของนายสามารถที่ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง รวมมูลค่าความเสียหายหลายหมื่นบาท

ก่อนถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมตัวได้ยกแก๊งดังกล่าว

นาย คมสันยังสารภาพอีกว่า ก่อนเริ่มลงมือก่อเหตุทั้งหมดนั้น ได้รู้จักกับนายวรพจน์ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ และติดยาบ้างอมแงม จึงใช้ยาบ้าล่อให้นายวรพจน์ร่วมมือ ด้วยการผลิตแบงก์ปลอมนำไปลวงซื้อน้ำมัน เพื่อนำไปขายต่อ

แต่ก็ไปไม่รอด เพราะถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้อย่างชัดเจน ต้องเข้าไปชดใช้กรรมหลังมุ้งสายบัวยกแก๊ง

นับเป็นอีกหนึ่งผลงานของตำรวจอ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ที่ร่วมกันสืบสวนจนทลายแก๊งคนร้ายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2014, 12:44:37 am
เตือนภัย! แอปธนาคารปลอมระบาดใน Playstore
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 มีนาคม 2557 23:35 น.

-http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034392-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003557202.JPEG)
 ธนาคารไทยเร่งออกโรงเตือนลูกค้าทุกช่องทางให้ระวังแอปปลอมระบาดในกูเกิล เพลย์สโตร์ บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ย้ำทางแก้ไขก่อนดาวน์โหลดควรดูชื่อผู้พัฒนาให้แน่ชัด ป้องกันอันตรายจากกลุ่มมิจฉาชีพได้

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003557203.JPEG)
       ธนาคารไทยเริ่มประกาศออกทุกช่องการสื่อสารเพื่อให้ลูกค้ารับทราบถึงแอปพลิเคชันปลอมที่กำลังระบาดอยู่ Playstore ของระบบแอนดรอยด์ โดยรายชื่อธนาคารที่มีการปลอมแอปพลิเคชันมี 5 ธนาคารได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรี และสุดท้ายธนาคารธนชาติ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003557204.JPEG)
       โดยธนาคารกรุงไทยมีข้อความเตือนผ่านระบบไลน์ว่า “โปรดระวัง!!! App.ปลอมบนระบบปฏิบัติการ Android หากต้องการดาวน์โหลด หรือทำธุรกรรมผ่าน App : KTB netbank โปรดสังเกตชื่อผู้ผลิต app. ของจริงคือ Krung Thai Bank PCL. เท่านั้น หากพบ App.ต้องสงสัย อย่าดาวน์โหลด หรือติดตั้ง และโทรแจ้ง 1551 เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน ทราบแล้วอย่าลืมบอกต่อเพื่อนๆ นะครับ”

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003557205.JPEG)
       ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ก็ออกข้อความเตือนผ่านระบบไลน์และทวิตเตอร์เช่นกันว่า “ขณะนี้มี mobile app Internet Banking ปลอมของหลายธนาคารที่ไม่ได้ทำโดยธนาคารเอง อยู่บน Google Play Store แนะวิธีสังเกตตามภาพ” โดยธนาคารไทยพาณิชย์แจ้งผ่านทวิตเตอร์ว่ากำลังอยู่ระหว่างประสานงานกับทางกูเกิลเพลย์
       
       ทั้งนี้บริษัทที่ทำแอปดังกล่าวขึ้นมามีชื่อผู้พัฒนาว่า ‘SCIENTIFIKA MEDIA’ โดยแอปพลิเคชันทั้งหมดของ 5 ธนาคารเริ่มเผยแพร่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 วันเดียวกันทั้งหมด โดยจำนวนการดาวน์โหลดยังเป็น 0 ครั้ง และในรายละเอียดแจ้งว่าเป็นเพียง Launcher สำหรับการเข้าสู่หน้าเว็บของธนาคาร พร้อมรายละเอียดที่แจ้งว่าสามารถทำธุรกรรมต่างๆไว้อย่างครบถ้วน โดยเวอร์ชันที่เผยแพร่ล้วนเป็นเวอร์ชัน 1.0 ทั้งสิ้น



http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034392 (http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034392)

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2014, 10:03:21 pm
ยอด ATM ถูกแฮกเกอร์ดูดเงินพุ่ง 40 ราย เสียหายเกือบ 7 แสน

-http://hilight.kapook.com/view/100534-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanistha/ATM.jpg)

ยอดATMถูกแฮกเกอร์ดูดเงินประชาชื่นพุ่ง40ราย  (ไอเอ็นเอ็น)

          ยอดผู้เสียหายจากแก๊งคนร้ายแฮกบัตรเอทีเอ็ม เพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 ราย เสียหายเกือบ 7 แสนบาท ขณะที่ตำรวจ ร่วมประชุมหามาตรการป้องกัน

          วันนี้ (9 เมษายน 2557) ร.ต.ท.คมสัน ทุติยานนท์ พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น เปิดเผยความคืบหน้า เหตุแก๊งคนร้ายแฮกบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายเพื่อนำไปกดเงินในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมาว่า ในขณะนี้มียอดผู้เข้าแจ้งความเพิ่มเป็น 40 ราย รวมมูลค่าประมาณ 679,900 บาท ซึ่งในส่วนเจ้าหน้าที่ทราบจุดหมายปลายทางของตู้เอทีเอ็มที่เงินได้ถูกกดออกตามต่างจังหวัดนั้น ได้มีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่นั้น ๆ เพื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในการหารายละเอียดคนร้ายต่อไป

          โดยวันพรุ่งนี้ (10 เมษายน 2557) เวลา 10.30 น. พ.ต.อ.ณัฏฐ์ภาณพ วัชรเสวี ผกก.สน.ประชาชื่น พ.ต.ท.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์ พงส.ผนพ. (หน.) สน.ประชาชื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และเจ้าหน้าที่ธนาคารทุกแห่งที่รับแจ้ง จะร่วมประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประชุมเร่งรัดคดีดังกล่าว และหามาตรการในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

          ในส่วนของคดีนั้น ในขณะนี้ตำรวจได้รวบรวม รหัสตู้เอทีเอ็ม ที่ถูกกดเงินไปอยู่ ซึ่งในวันที่ 10 เมษายน นี้ จะนำไปให้เจ้าหน้าที่ธนาคารตรวจสอบว่ารหัสใดและเป็นธนาคารใดบ้าง
 
INN News
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ เมษายน 09, 2014, 10:25:56 pm
 :30: แอปธนาคารปลอมระบาดใน Playstore น่ากลัวมากครับพี่หนุ่ม
ผมเองไม่ลงแอพธนาคารเลยครับ เสียวๆ
มือถือมันถึงตัวเราง่ายครับ เวลาทำธุรกรรมออนไลน์ มันก็แจ้งsms ในมือถือเลย


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2014, 10:45:42 pm
พี่เองก็ไม่เคยลงเช่นกัน ไม่ไว้ใจ

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2014, 06:56:37 am
ไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณา รู้ให้ลึกกับการทำ “ประกันชีวิต”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 เมษายน 2557 01:06 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000041107-

เคยไหมที่ทำประกันเพราะเกรงใจ และเคยหรือไม่ทำประกันชีวิตแต่ไม่รู้ว่ากรมธรรม์คุ้มครองอะไรบ้าง ...วันนี้ทีมงาน “ASTVผู้จัดการ” จะพาไปรู้จักประกันชีวิต และไม่ลืมที่จะบอกถึงเทคนิคดีๆ ในการทำประกันอีกด้วย....
       
       โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.นิยามว่า“การประกันชีวิต” เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้นก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับภัย
       
       โดยการประกันชีวิตแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
       
       1. ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
       
       2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
       
       3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
       
       สำหรับรูปแบบของการประกันชีวิตที่เป็นแบบพื้นฐานนั้นมี 4 แบบ คือ
       
       1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น
       
       2. แบบสะสมทรัพย์เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
       
       3. แบบชั่วระยะเวลาเป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่นๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา
       
       4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปีเป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ
       
       ทั้งนี้ รูปแบบของกรมธรรม์จะมีหลายรูปแบบและตั้งชื่อเป็นนามเฉพาะของแต่ละบริษัท ทุกรูปแบบพร้อมอัตราเบี้ยประกันภัยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนประกันชีวิต (อธิบดีกรมการประกันภัย) ก่อนจะนำเสนอขายแก่ประชาชน แต่โดยหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์รูปแบบใดหรือชื่ออะไรก็ตาม จะอยู่ภายใต้แบบของการประกันชีวิตรวม 4 แบบ คือ
       
       1. แบบชั่วระยะเวลา ให้ความคุ้มครองในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ โดยบริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้นั้น
       
       2. แบบตลอดชีพ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม
       
       ทั้งแบบ 1 และแบบ 2 เป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
       
       3. แบบสะสมทรัพย์ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือจ่ายเงินเอาประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่มีชีวิตอยู่รอดพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       4. แบบเงินได้ประจำ บริษัทจะจ่ายเงินได้ประจำ หรือเงินบำนาญให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยเริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติเนื่องจากความชรา ไปจนถึงวันที่กำหนดไว้ (อาจเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือตลอดอายุก็ได้)
       
       แบบ 3 ส่วนท้าย และแบบ 4 เป็นการจ่ายเงินโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เอาประกันภัยต้องมีชีวิตรอดอยู่จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       สำหรับเทคนิคการทำประกันชีวิตให้คุ้มค่าและให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตได้แก่
       
       1.ทำความเข้าใจ เรียนรู้ และศึกษาประกันชีวิตมีหลากหลายประเภท และหลากหลายความคุ้มครอง ผู้ที่ต้องการทำประกันควรศึกษาข้อมูลให้ดี โดยเฉพาะเรื่องของผลประโยชน์และเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย นอกจากนี้เราไม่ควรมองข้ามเรื่องการเปรียบเทียบกรมธรรม์ประเภทเดียวกันแต่คนละบริษัท แน่นอนว่ากรมธรรม์เหมือนกันแต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของค่าใช้จ่าย
       
       2ไม่ควรมองข้ามการตรวจสุขภาพการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะประกันสุขภาพนั้น การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะโรคบางชนิดนั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกัน และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการเคลมประกันในอนาคต
       
       3.ซื้อประกันให้ครอบคลุมหนี้ที่มีการทำประกันชีวิตที่ดีควรที่จะรู้ความเสี่ยงและภาระที่เรามีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาระในการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือค่าเล่าเรียนบุตร รวมถึงการประเมินสวัสดิการที่เราได้รับ และเมื่อคำนวณทั้งหมดแล้วก็จะได้ตัวเลขหรือจำนวนเงินที่ควรจะมีหากเราเกิดเสียชีวิตขึ้นมา ซึ่งการทำประกันก็ควรจะครอบคลุมหนี้ที่เรามีเพื่อไม่เป็นภาระให้แก่คนที่อยู่ข้างหลัง
       
       4. รายได้เพิ่มควรเพิ่มทุนประกันแน่นอนว่าหากรายได้เพิ่มเราก็ควรที่จะเพิ่มทุนประกัน ซึ่งในทุนประกันที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะไม่พอในอนาคต
       
       5. จ่ายเบี้ยพอดี ไม่เป็นภาระอย่าลืมว่าการทำประกันส่วนใหญ่เป็นภาระระยะยาว การจ่ายเงินที่ยาวๆ นั้นอาจจะมีความเสี่ยงที่เราไม่อาจรับรู้ได้ในอนาคต ซึ่ง ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน หรือ TSI แนะนำว่า เบี้ยประกันชีวิตต่อปีไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี
       
       ขอบคุณข้อมูลจาก คปภ.
       และ TSI

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 25, 2014, 08:26:40 am
เตือนภัย เลขบัตรประชาชน รูปแบบใหม่

-http://money.sanook.com/184745/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0
%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0
%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0
%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88/-

นอกจากเครดิตการ์ด กรมสรรพากร ตอนนี้มาถึงศาลแล้ว มีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้ ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่

มีทนายความท่านหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จัก เป็นระบบเสียงอัตโนมัติ อ้างว่าโทรจากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร และแจ้งว่ามีหมายส่งถึงท่าน แต่ไม่สามารถส่งหมายได้ ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป

กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ

กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่

ด้วยความที่เป็นทนายความ ท่านจึงสงสัยและจับพิรุธได้ ดังนี้

1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา

2. เบอร์โทรศัพท์แปลกๆ เหมือนโทรมาจากต่างประเทศ

3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร

4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความหรือตรวจสอบข้อมูลทางโทรศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทรไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)

ทนายความท่านนี้จึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้ว่าเขามีลูกเล่นอย่างไร


สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ทำให้เหมือนจริงว่าโทรมาจากศาล) แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาล อาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้ ขอทราบชื่อ-นามสกุล จึงแจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ทนายความท่านนี้ไม่ให้ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็บอกว่า การติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน ทนายความจึงบอกไปว่า การตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้ ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน ทนายความจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าที่ศาลที่จะต้องติดต่อ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ

ทนายความท่านได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า

- ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ

- เป็นรหัสทางไกล 886 ซึ่งโทรมาจากไต้หวัน

ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆ ท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไรบ้าง เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของท่านได้ เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ

นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ ญาติสนิทมิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย

(ข้อมูลนี้ได้รับมาจากผู้หวังดีที่แชร์มาให้ หากท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์ให้แชร์ต่อๆกันไป)

 

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ อี-คอมเมิร์ซ เวิร์คช็อป (e-Commerce Workshop)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 09:43:14 am
เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี เรามีคำแนะนำมาฝาก


-http://money.kapook.com/view89516.html-


ลดหนี้…… บัตรเครดิต เทคนิคดีๆ ที่ควรรู้  (ธนาคารกสิกรไทย)

          เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี ไม่จ่ายบัตรเครดิต หนี้บัตรเครดิต ไม่จ่าย ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝาก

          ปัญหาหนึ่งของคนมีหนี้บัตรเครดิตที่ยังไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แถมใช้จ่ายเงินด้วยความฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเงินไม่เป็น อาจก่อให้เกิดปัญหาไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทันเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าปรับจากการผิดเงื่อนไขการชำระ ดอกเบี้ยที่คิดจากยอดค้างชำระ ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลเสียจากความเครียดที่มีเพิ่มขึ้น และสุขภาพจิตที่เสียไปเมื่อขาดเงินชำระหนี้

          เริ่มแรกเมื่อใช้บัตรเครดิตใหม่ ๆ ไม่มีใครคิดอยากเป็นหนี้ แต่พอเริ่มใช้สักระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีกำลังซื้อจากเงินในอนาคตมากขึ้น จากเดิมที่เคยชำระแบบเต็มวงเงิน เริ่มเปลี่ยนเป็นการชำระเพียงบางส่วน ดังนั้น หากไม่มีวินัยในการใช้เงินที่ดีแล้ว จะเริ่มมีการค้างชำระหนี้บัตรเครดิตจาก 1 เดือน เป็น 2 เดือน 3 เดือน และในที่สุดก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งส่งผลต่อการขอกู้เงิน หรือการขอสินเชื่อในครั้งต่อ ๆ ไป เช่น ในอนาคตหากมีความประสงค์ต้องการซื้อบ้าน รถยนต์ จะทำให้สูญเสียโอกาสในการกู้เงิน เพราะการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่าง  ๆ ในปัจจุบัน ใช้วิธีดูประวัติการผ่อนชำระผ่านทางระบบข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (Credit Bureau) กล่าวคือ หากเป็นผู้ที่มีประวัติการผ่อนชำระไม่ดี อาจไม่สามารถกู้เงินได้อีกในครั้งต่อไป ดังนั้น คุณผู้อ่านควรรู้จักวิธีบริหารจัดการหนี้ เผื่อไว้สำหรับเวลาที่เดือดร้อนเรื่องเงินจริง ๆ จะได้สามารถพึ่งพาเครดิตของตัวเองได้ ไม่ต้องไปขอหยิบขอยืมเงินใครมาใช้

          สำหรับวิธีบริหารจัดการหนี้นั้น ขอเริ่มจากหนี้ที่ง่ายที่สุด คือ หนี้บัตรเครดิต การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีความง่ายและสะดวกสบาย แต่ หากขาดการวางแผนที่ดี อาจก่อให้เกิดเป็นหนี้สินได้ หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้อันดับแรกที่ควรชำระ เนื่องจากดอกเบี้ยสูงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตจะ เริ่มคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่มีการจ่ายเงินแทนลูกค้าออกไป สำหรับเทคนิคการบริหารจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีนั้น มีดังต่อไปนี้

          ไม่มีเงินจ่าย อย่าได้รูดบัตร ใช้จ่ายให้น้อยกว่า หรือเท่ากับเงินสดที่มีเท่านั้น

          ชำระเต็มจำนวน... ตรงตามเวลา จะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย รวมถึงค่าปรับต่าง ๆ ได้

          ถือบัตรที่เหมาะกับ Lifestyle มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงได้ เช่น เติมน้ำมันผ่านบัตรเครดิตให้ส่วนลดสูงถึง 5% เติมเงินค่าเดินทางรถไฟฟ้าผ่านบัตรเครดิตมีส่วนลดพิเศษ เป็นต้น

           อ่าน Statement อย่างละเอียด เพื่อทบทวนรายจ่ายในแต่ละเดือน

          ใช้ Statement เป็นบันทึกการใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น

          ใช้สิทธิประโยชน์จาก Point อย่างเหมาะสม ไม่เป็นเหยื่อโปรโมชั่น ของบัตรเครดิต

เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี

          สำหรับผู้ที่เริ่มมีหนี้บัตรเครดิต และต้องการหาทางออก มีเคล็ดลับดี ๆ ในการลดหนี้ ก่อนอื่นควรรู้จักกับหนี้ที่เหมาะสมของบัตรเครดิตก่อน คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า มีหนี้บัตรเครดิตเท่าไร ถึงจะไม่เกินตัว สำหรับจำนวนหนี้ที่ต้องผ่อนชำระบัตรเครดิตนั้น ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้สุทธิต่อเดือน หรือ ไม่ควรกู้เกิน 20% ของรายได้สุทธิตลอดทั้งปี เพราะจะส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ เคล็ดลับในการลดหนี้บัตรเครดิต ขอแนะนำ เทคนิคดี ๆ ที่ควรรู้ มีดังต่อไปนี้

          อันดับแรกต้องใจแข็ง ไม่ก่อหนี้เพิ่ม ซื้อเฉพาะสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยารักษาโรค ค่าเดินทางมาทำงาน เสื้อผ้าตามความจำเป็น ฯลฯ มีข้อคิดดี ๆ สำหรับการประหยัดเงินเพื่อมาชำระหนี้เพิ่ม คือ “ถึงแม้ว่าจะถูกแค่ไหน ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ซื้อ”

          อันดับต่อมา ควรชำระหนี้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง ๆ ก่อน หากมีเฉพาะบัตรเครดิต ควรเลือกปิดบัตรที่มียอดหนี้คงเหลือต่ำ ๆ ก่อน  แล้วทยอยปิดบัตรที่มียอดคงเหลือน้อยใบต่อไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการลดหนี้ ทั้งนี้ ควรมีการบันทึกบัญชีรับ-จ่าย ควบคู่กันไปด้วย เพื่อดูความสามารถในการชำระหนี้เพิ่ม (จะได้หมดเร็ว ๆ) และหากต้องการมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ “บัตรเดบิต” แทน “บัตรเครดิต” เพื่อที่จะได้ใช้จ่ายตามเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีเงินมาชำระหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ ซึ่งการใช้บัตรเดบิตก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง และพยายามหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อนำมาชำระหนี้

          อันดับสุดท้ายที่แนะนำ คือ การขายสินทรัพย์เพื่อนำมาชำระหนี้ พิจารณาสินทรัพย์ที่มีอยู่และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หากนำมาชำระหนี้แล้วจะทำให้ลดดอกเบี้ยจ่ายและเงินต้น ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง

          นอกจากนี้ การวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าเป็นรายเดือน จัดแยกค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค และใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนด จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือเก็บมาชำระหนี้มากขึ้น



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A4_015.aspx-
โดย คนอง ศรีพิบูลพานิชย์
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 12:11:55 pm

เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ
: โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล

-http://www.komchadluek.net/detail/20140530/185572.html-
 
                           วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตำรวจภูธรภาค 8 แถลงข่าวจับกุมแก๊งสกิมเมอร์ชาวฝรั่งเศส ขณะใช้บัตรเอทีเอ็มปลอมกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ได้ของกลางเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 71 ใบ เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ
 
                           เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นแก๊งสกิมเมอร์ที่ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม กดเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ ตามแหล่งท่องเที่ยวของไทยและเอเชีย เนื่องจากระบบป้องกันข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ง่ายต่อการปลอมแปลง
 
                           ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ระหว่างนั่งคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้บริหารรายนี้ก็บ่นให้ฟังว่า เพิ่งจะโทรศัพท์ยกเลิกบัตรเครดิต หลังจากได้รับแจ้งจากสถาบันการเงินเจ้าของบัตรว่า บัตรของเธอสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล และอาจจะถูกนำไปใช้โดยอาชญากร ถามว่ามีอะไรบอกเหตุ เธอเล่าว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยซื้อของออนไลน์ ไม่เคยให้ข้อมูลแก่แหล่งที่ไม่แน่ใจหรือพิจารณาแล้วว่า มีความเสี่ยง เรียกว่า การใช้งานทุกครั้งเป็นไปอย่างรอบคอบ แต่ก็ยังเข้าข่ายจะเกิดปัญหาจนได้
 
                           สุดท้ายต้องยกเลิกบัตรเก่า และรอสถาบันการเงินส่งบัตรใบใหม่มาให้
 
                           ถึงแม้ “เจ้าของบัตร” จะเข้มงวดแค่ไหน และสถาบันการเงินจะพยายามทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ดูเหมือนกับอาชญากรจะมีวิธีการที่ซับซ้อนมากขึ้น การแชร์แล้วแชร์อีกเพื่อบอกกล่าวถึงวิธีป้องกัน รวมถึงวิธีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ก็กลายเป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวซ้ำๆ ล่าสุดผู้ให้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่าง “มาสเตอร์การ์ด” ก็ออกมาให้คำแนะนำ (ซ้ำๆ) ถึง 7 ขั้นตอนง่ายๆ ในการป้องกันการโจรกรรมและปลอมแปลง
 
                           ถึงเป็นเรื่องซ้ำๆ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เชื่อเถอะว่า เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม
 
                           คำแนะนำข้อแรก คือ เซ็นชื่อบนบัตรของคุณ โดยคุณควรจะต้องเซ็นลายมือชื่อบนบัตรใหม่ทันทีที่คุณได้รับมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเซ็นแทนในกรณีที่บัตรสูญหายหรือถูกขโมยแล้วอาจนำไปรูดซื้อสินค้า สอง - ให้ระวังผู้ไม่หวังดีมาหลอกล้วงข้อมูล อย่าตอบอีเมลหรือข้อความทางโทรศัพท์ที่น่าสงสัย โดยเฉพาะกรณีที่ขอให้คุณบอกข้อมูลส่วนตัว เพราะนั่นอาจเป็นแผนของแก๊งมิจฉาชีพที่จ้องจะขโมยข้อมูลของคุณ
 
                           สาม - หาข้อมูลก่อนเสมอ ก่อนที่จะซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ ควรค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เราไม่คุ้นเคย โดยการค้นหาจากอินเทอร์เน็ต สอบถามเพื่อนๆ หรือโทรสอบถามสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่หมายเลข 1166 ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราซื้อสินค้าหรือบริการกับบริษัทที่มีชื่อเสียงไว้ใจได้เท่านั้น
สี่ - ป้องกันข้อมูลของตัวเอง โดยเก็บรักษาข้อมูลบัตรในโทรศัพท์ด้วยวิธีที่ปลอดภัยรัดกุม ต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยใช้รหัสผ่านหรือรหัสลับเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยปกป้องข้อมูลในกรณีที่มือถือสูญหายหรือถูกขโมย
 
                           ห้า - ตรวจสอบซ้ำ หมั่นตรวจสอบบัตรเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบัตรใบไหนหายไป หลายคนมักคิดว่าบัตรต่างๆ ยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ควรตรวจสอบเสมอว่า บัตรทุกใบอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย หก - ตรวจทานอย่างละเอียด ตรวจทานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตอย่างละเอียดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรายการที่น่าสงสัยพ่วงมาด้วย ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทุกรายการที่ไม่คุ้นเคย โดยไล่เลียงดูในรายละเอียดของใบแจ้งหนี้ที่ได้รับ
 
                           สุดท้าย - ฉีกเอกสารก่อนทิ้ง ถ้าเราได้รับใบแจ้งยอดบัญชี หรือข้อมูลบัตรที่เป็นเอกสาร ควรฉีกเอกสารเหล่านั้นก่อนทิ้งลงถังขยะ ทั้งนี้ เพื่อรักษาข้อมูลสำคัญให้ปลอดภัย หลังจากที่เอกสารพวกนั้นหลุดจากมือไปแล้ว
 
                           มาสเตอร์การ์ดยังแนะนำเรื่องการช็อปปิ้งออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย โดยอ้างถึงรายงานการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของมาสเตอร์การ์ด โดยระบุว่า คนไทยเป็นหนึ่งในผู้ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่มาสเตอร์การ์ดนำมาใช้ในกระบวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์แล้ว ลูกค้าสามารถป้องกันตัวเองได้ โดยข้อแรก - ต้องรู้จักร้านค้าที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นดีพอ ตรวจสอบชื่อเสียงเรียงนามของผู้ขาย โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สอบถามจากเพื่อนๆ ตรวจสอบกับ สคบ. และดูว่ามีเว็บไซต์ที่ลูกค้ารายอื่นๆ แสดงความเห็นไว้หรือไม่ พึงระวังร้านค้าออนไลน์ที่เสนอราคาถูกเกินไป เพราะร้านพวกนี้มีแนวโน้มที่จะหลอกลวงลูกค้า
 
                           สอง - ตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัย ถ้าต้องให้หมายเลขบัตรเครดิตทางออนไลน์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อของเรามีความปลอดภัย เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะแสดงไอคอนพิเศษ เช่น รูปกุญแจเพื่อแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมีความปลอดภัย นอกจากนี้ บนเว็บไซต์ของร้านค้าจำนวนมาก ยังแจ้งให้ทราบกรณีมีข้อควรระวังด้านความปลอดภัย ดังนั้น ควรมองหา คำแนะนำนี้ ถ้าหาไม่พบ ก็ควรสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
 
                           สาม - ป้องกันอีเมลของตัวเอง อีเมลไม่ถือเป็นรูปแบบของการสื่อสารที่มีความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อปกป้องหมายเลขบัญชีและหลีกเลี่ยงการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต ไม่ควรส่งหมายเลขบัญชีหรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ทางอีเมล สุดท้าย - ป้องกัน PIN และหมายเลขบัญชีของตัวเอง อย่าไว้ใจพนักงานขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ทางโทรศัพท์ หรือใครก็ตามที่ไม่รู้จัก ถ้าข้อเสนอฟังดูดีเกินจริง ควรสละสิทธิ์นั้น การให้หมายเลขบัตรสำหรับชำระเงินก็ต่อเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว หรือหากได้เริ่มต้นเจรจาต่อรอง ก็ไม่ควรเปิดเผยรหัส PIN หรือรหัสผ่านเข้าบัญชีใดๆ แก่ร้านค้าออนไลน์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม และไม่ควรใช้หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือ PIN เป็นรหัสผ่าน
 
                           ส่วนถ้าหากสงสัยว่า โดนโจรกรรมหรือปลอมแปลง สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ โทรหาธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้ทันที บัตรอาจถูกยกเลิกและผู้ออกบัตรจะออกบัตรใหม่ให้ แต่ควรตรวจสอบที่อยู่ให้ถูกต้องก่อนสิ้นสุดขั้นตอนนี้
 
                           อย่าไปบ่น อย่าไปท้อ โลกมันก็ซับซ้อนแบบนี้นั่นแหละ
 
----------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 04, 2014, 09:56:20 pm
รวบแก๊งเงินกู้โหดร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกบ้านยึดทรัพย์

-http://hilight.kapook.com/view/103239-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/pree/ee/s_34.jpg)




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้โพสต์โดย คุณเรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          ตำรวจ สภ.สัตหีบ ร่วมกับทหาร รวบตัวแก๊งเงินกู้นอกระบบ คิดดอกเบี้ยโหดร้อยละ 60 หากไม่จ่ายดอกเบี้ยเจอบุกบ้านยึดทรัพย์

          วันนี้ (4 มิถุนายน 2557) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และทหารจากฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมแก๊งเงินกู้นอกระบบ โต๊ะเงินกู้ฮั้ว พัทยา ได้ทั้งหมด 7 คน คือ

            นายเวชยัน หลักทอง อายุ 35 ปี
            นายต่อศักดิ์ นิกรพล อายุ 26 ปี
            นายทนงศักดิ์ ทิวะกะลิน อายุ 35 ปี
            นายสุทัศน์ โอ้ระลึก อายุ 29 ปี
            นายอรินันท์ นันชัยเครือ อายุ 30 ปี
            นายวิชิต หลักทอง อายุ 31 ปี
            นายสันติกุล บังกุล อายุ 34 ปี

          พร้อมของกลางเป็นคีมตัดเหล็ก อาวุธปืน และกระสุนปืน จำนวน 15 นัด

          โดยนางสาวบรรเจิด ทองก้อน อายุ 45 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนกู้เงินมาจำนวน 200,000 บาท และต้องส่งดอกเบี้ยวันละ 4,000 บาท ทุกวันเป็นประจำ แต่หากวันไหนไม่มีส่งก็จะถูกข่มขู่ และหากไม่ยอมจ่ายก็จะโดนกลุ่มผู้ต้องหาบุกเข้ามายึดทรัพย์สินในบ้าน เพื่อนำไปขายหาเงินมาขัดดอก แต่ตนไม่กล้าแจ้งความเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย

          ในขณะที่นางปรียาพร หมดจด อายุ 42 ปี ผู้เสียหายอีกราย ให้การว่า ตนกู้เงินมาจำนวน 50,000 บาท และจะต้องจ่ายดอกวันละ 1,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 60 ต่อเดือน ซึ่งตนได้ส่งดอกไม่เคยขาดจนเมื่อวานไม่อยู่ จึงบอกกลุ่มผู้ต้องหาให้มารับเงินในอีกวัน แต่กลุ่มผู้ต้องหาไม่ยอม พร้อมทั้งนำคีมตัดเหล็กตัดกุญแจบ้านของตนและเข้ามายึดรถจักรยานเพื่อนำไปขายขัดดอก เมื่อเพื่อนบ้านเห็นจึงโทรศัพท์มาบอก ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งตำรวจเพราะคิดว่ากลุ่มผู้ต้องหากระทำเกินกว่าเหตุ

          ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่า ได้ทำการติดตามดูพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหามาโดยตลอด จนได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีดังกล่าว



เรื่องเล่าเช้านี้ รวบแก๊งเงินกู้รีดดอกโหด ร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกยึดทรัพย์ 4 มิถุนายน 2014 (http://www.youtube.com/watch?v=QbGAunkbbxk#ws)
-http://www.youtube.com/watch?v=QbGAunkbbxk-

 คลิป เรื่องเล่าเช้านี้ รวบแก๊งเงินกู้รีดดอกโหด ร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกยึดทรัพย์ 4 มิถุนายน 2014 เครดิตจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 07, 2014, 11:39:19 am
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ 

และยังคงเกิดขึ้นอีกต่อๆไป 

ยังไม่มีวี่แววจะไม่เกิดขึ้นอีก

เพราะฉะนั้น  จะทำอะไร  จะทำอย่างไร  ที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ทั้งหลาย  ต้องมีความระมัดระวังกัน


---------------------------------------------------------


น้องคว้าอีโต้ฟันพี่ดับคาที่ หลังขอแบ่งมรดกจากแม่

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/crime06.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/crime07.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์

          สลด น้องชายคว้ามีดอีโต้กระหน่ำฟันพี่ชายดับคาที่ เหตุทะเลาะขอแบ่งมรดกจากแม่

          เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2557 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมภายในบ้าน 2 ชั้นที่ ต.ซำ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ หลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตคือ นายไพบูลย์ อาจวงศ์ อายุ 42 ปี สภาพศพถูกของมีคมฟันตามร่างกาย 4-5 แห่ง นอนจมกองเลือดเสียชีวิตคาที่ โดยมี นางทุมมา อาจวงศ์ อายุ 70 ปี มารดาของผู้ตาย นั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ใกล้ศพ

          จากการสอบสวนเบื้องต้น นางทุมมาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนายไพบูลย์พร้อมด้วย นายสัญญา อาจวงศ์ อายุ 30 ปี น้องชายของผู้ตาย ได้นั่งดูทีวีกันอยู่ และได้ดูข่าวมีคนนำเด็กไปทิ้ง จากนั้นนายสัญญาได้พูดขึ้นว่าจะไปขอเด็กมาเลี้ยง แต่ผู้ตายกลับบอกว่าไม่มีสมบัติจะแบ่งให้ นายสัญญาจึงไม่พอใจและขอแบ่งที่นาซึ่งมีอยู่ 9 ไร่จากตน แต่ตนไม่แบ่งให้เนื่องจากนายสัญญาได้ยืมเงินจากพี่สาวและยังไม่นอมคืน โดยยื่นเงื่อนไขว่าหากอยากได้ที่นาจะต้องคืนเงินพี่สาวก่อน นายสัญญาจึงไม่พอใจและปรี่เข้ามาทำร้ายตน

          ด้านนายไพบูลย์ผู้ตายเห็นดังนั้นจึงเข้ามาขวาง ก่อนเกิดการชกต่อยขึ้น จากนั้นนายสัญญาได้วิ่งไปคว้ามีดอีโต้ที่วางอยู่บนแคร่ มากระหน่ำฟันเข้าร่างของผู้ตายไม่ยั้งมือ จนนายไพบูลย์เสียชีวิตคาที่

          ต่อมา พ.ต.อ.วินัย เกตุพันธุ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามจับกุมนายสัญญา ผู้ต้องหารายนี้ได้โดยละม่อม ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าลงมือกระทำผิดจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ พร้อมตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากนั้นได้ควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://news.springnewstv.tv/49182
/%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8
%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7
%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%89-

.


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 02:49:28 pm
ไม่อยากต้องเป็นแบบข้างล่าง  อย่าให้ยืมเงิน

ถ้าจะให้ยืมเงิน ให้ตัดสินใจ(ในใจ)ว่า ยกเงินให้ หรือ ตัดหนี้สูญ



------------------------------------------------------------------



5 วิธีทวงเงินลูกหนี้

-http://money.sanook.com/188901/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89/-




กระแสเงินสดในองค์กรถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการอยู่รอดสำหรับเจ้าของธุรกิจรายย่อยเลยทีเดียว มีบริษัทมากมายที่ต้องปิดตัวลงไปอย่างน่าเสียดายเพราะสนใจแต่รายรับและยอดขายโดยลืมให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดหมุนเวียนในระบบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการที่เรามีลูกค้ามากและผลประกอบการเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าในช่วงเวลานั้นเราจะมีเงินสดในระบบเยอะตามเสมอไป เพราะในการทำธุรกิจลูกค้าบางส่วนมักเลือกที่จะใช้วิธีผ่อนจ่ายหรือค้างชำระหนี้ไว้จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายที่กำหนดชำระแทนที่จะจ่ายสดทุกครั้ง

ทั้งนี้เพราะลูกค้าเองโดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นองค์กรใหญ่ๆ ก็ต้องการให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบเช่นกัน ก่อนที่จะเริ่มเกิดปัญหาว่าเราขาดเงินสดในการใช้จ่ายหมุนเวียนซึ่งมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากลูกค้าชำระหนี้ล่าช้า เราควรพิจารณาหาวิธีในการทวงเงินจากลูกค้าแบบละมุนละม่อมแต่มีประสิทธิภาพและใช้ได้ผล เพื่อป้องกันปัญหาขาดเงินสดในระบบอันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับธุรกิจเราได้



1.ให้ส่วนลดหากจ่ายก่อนกำหนด

กระตุ้นให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าบริการเร็วขึ้นด้วยการเสนอส่วนลดราคาให้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องชำระเงินก่อนเวลาที่กำหนดเท่านั้น อาจใช้เทคสร้างความน่าสนใจโดยไฮไลท์เงื่อนไขส่วนลดเหล่านี้ลงไปในสัญญาหรือใบแจ้งหนี้ด้วยเพื่อให้มองเห็นได้ชัด โดยปกติแล้วลูกค้าส่วนมากมีแนวโน้มที่จะคว้าโอกาสเหล่านี้เพราะผลประโยชน์ตกเป็นของฝั่งลูกค้าเองอย่างเห็นได้ชัด บางทีการยอมเสียเงินส่วนน้อยเป็นค่าส่วนลดให้กับลูกค้าเพื่อได้เงินก้อนมาเพื่อไปหมุนเวียนหรือนำไปลงทุนอย่างอื่นอาจทำให้เราได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด

2.ให้ชำระแบบออนไลน์

ในปัจจุบันมีธุรกิจหลายรายแล้วที่เริ่มใช้ระบบชำระเงินออนไลน์ โดยการไปผูกบัญชีกับทางธนาคารต่างๆ ซึ่งส่วนที่ดีที่สุดของวิธีนี้ก็คือเงินของลูกค้านั้นจะถูกตัดออกจากบัญชีเพื่อมาโอนเข้าบัญชีเงินฝากเราอัตโนมัติและตรงตามเวลาที่เรากำหนดไว้อย่างแน่นอน โดยวิธีนี้ช่วยให้การบริหารเงินทั้งของทางฝั่งเราและฝั่งลูกค้าสะดวกขึ้นด้วย

3.ถ่วงเวลางาน


นี่เป็นข้อที่สามารถทำได้ยากในสถานการณ์จริง แต่เมื่อไรที่เราพบว่างานที่ลูกค้าสั่งหรือกระบวนการขายได้ดำเนินมาถึงครึ่งทาง แต่ลูกค้าชำระหนี้ได้ช้าหรือไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ เราก็ควรหยุดสิ่งที่เราทำอยู่ก่อนชั่วคราว พร้อมกับยืนกรานว่าต้องได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ก่อนเราจึงจะดำเนินการต่อจนเสร็จสิ้น วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความกดดันและทำให้เราถือไพ่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ถึงแม้ว่าวิธีถ่วงเวลางานนี้จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ แต่การต่อรองด้วยผลประโยชน์ของลูกค้าก็ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าหากต่อรองไม่ดีก็อาจทำให้เสียความรู้สึกและลามไปถึงขั้นเสียความสัมพันธ์กับลูกค้าที่สั่งสมกันมาเลยก็ได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีนี้ก็ควรลองใช้วิธีอื่นดูก่อน ถ้าหากวิธีอื่นใช้ไม่ได้ผลและลูกค้าแสดงอาการว่าจะเอาเปรียบเราอย่างเห็นได้ชัด วิธีการจัดการขั้นเด็ดขาดเช่นนี้ก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

4.ทวงน้อย แต่ทวงบ่อย



เมื่อไรก็ตามที่เราออกใบแจ้งหนี้โดยมียอดรวมเป็นจำนวนเงินมากๆ จะสังเกตได้ว่าหนี้ก้อนนั้นมักจะชำระกลับมาช้ากว่าปกติ ลูกค้าบางรายมักจะจ่ายเงินคืนนานกว่า 30 วันเมื่อต้องชำระหนี้เป็นแสน แต่ถ้าเราแบ่งแจ้งหนี้ทีละ 20,000 - 30,000 บาทมักจะได้รับเงินคืนใกล้เคียงกับเวลาที่กำหนดกว่ามากๆ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องวิเคราะห์และหาจำนวนเงินที่แน่นอนว่า เราต้องกำหนดใบแจ้งหนี้ให้กับลูกค้าแต่ละรายสักเท่าไรที่จะทำให้ลูกค้าเหล่านั้นคืนเงินได้ตรงเวลาที่สุด และใช้วิธีแบ่งจ่ายในจำนวนเงินเท่านั้นเป็นงวดๆ แทน

5.ปรับความเข้าใจ



การพูดคุยกับลูกค้าเพื่อปรับความเข้าใจเรื่องรายละเอียดในงาน รวมถึงเพื่อรักษาความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่บางครั้งเราก็กลับมองข้ามการพูดคุยไปอย่างน่าเสียดายเมื่อเป็นเรื่องของการทวงหนี้ ลองเริ่มต้นสนทนากับลูกค้าเกี่ยวกับระบบเจ้าหนี้-ลูกหนี้ตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยกัน ว่าถ้าซื้อขายกับเราจะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ อย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวันที่ชำระ อัตราดอกเบี้ยเมื่อชำระหนี้ช้ากว่ากำหนด หรือส่วนลดเมื่อลูกค้าจ่ายก่อน ทั้งนี้เราอาจพูดตรงๆ กับลูกค้าว่าในการทำธุรกิจเราก็มีเจ้าหนี้ที่ต้องชำระเหมือนกัน ถ้าหากลูกค้าชำระเงินจากเราช้าแล้วจะมีผลกระทบอะไรต่อการทำงานบ้าง ซึ่งลูกค้าที่ดีส่วนมากก็จะเข้าใจและพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เรากำหนดไว้แต่แรกเพื่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดี


 
เงินสดถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ ถึงแม้ว่าเราจะมีรายได้หรือกำไรมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในรูปแบบของกระแสเงินสดก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะในการทำธุรกิจเราต้องอาศัยเงินสดหมุนเวียนในกระบวนการต่างๆ การที่ยอมให้ลูกค้าทั้งหลายชำระเงินได้ช้าไม่ตรงตามเวลาอาจกลายเป็นปัญหาที่ตามมาเมื่อเราไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเพื่อนำไปชำระหนี้ต่ออีกที ทำให้บางครั้งเราอาจต้องทำความเข้าใจเรื่องระบบการชำระเงินกับลูกค้าให้ชัดเจน รวมถึงอาจต้องยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อให้เงินในระบบมีเสถียรภาพและมีสำรองไว้ในยามฉุกเฉินตลอดเวลา

ข้อมูลและภาพประกอบจาก http://www.sentangsedtee.com/ (http://www.sentangsedtee.com/)


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 02:51:08 pm
“แก๊งฉกข้อมูลบัตร ATM” รู้ทันภัยใกล้ตัว

-http://www.sentangsedtee.com/news_detail.php?rich_id=1105&section=1&column_id=1-


 สมเจตน์ หงษ์ไกรเลิศ
เรื่องเด่นประจำฉบับ
วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557



(http://www.sentangsedtee.com/images_rich/2014/06/1105-140611064623.jpg)



ไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็กอยู่ ก็ย่อมเป็นเป้าหมายจากมิจฉาชีพอยู่แล้ว ยิ่งประเทศเพื่อนบ้านเราเปลี่ยนไปใช้ชิปการ์ดกันหมด แก๊งเหล่านี้ก็ยิ่งพุ่งเป้ามายังไทยมากขึ้น


เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมจำได้ว่าเคยเตือนเกี่ยวกับการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตสำหรับกดเงินจาก ìตู้เอทีเอ็มî อย่างปลอดภัยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กระนั้น ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เรื่องนี้ก็กลับขึ้นมาเป็นกระแสข่าวอีกครั้ง เมื่อมีลูกค้าบางรายที่ถูกมิจฉาชีพเหล่านี้ขโมยข้อมูลบัตร เพื่อไปปลอมบัตรขึ้นใหม่ในต่างประเทศและกดเงินออกจากบัญชีไปเรียบร้อย

          ครั้งนี้ก็ยังเจอปัญหากันไปอีกหลายราย วงเงินความเสียหายแต่ละคนก็แตกต่างกันไปครับ บางรายก็โดนหนักเป็นหลักแสนบาท ซึ่งธนาคารเจ้าของบัตรก็ออกตัวว่ายินดีรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลูกค้าทุกราย

          โอกาสนี้ผมจึงอยากจะแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหานี้อีกครั้ง จากที่เคยได้คุยกับผู้บริหารของธนาคารหลายแห่ง ซึ่งดูแลปัญหานี้โดยตรง รวมถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจวิธีการโจรกรรมข้อมูลของมิจฉาชีพเหล่านี้ และสามารถป้องกันได้อย่างถูกต้อง

แกะกลโกงก๊อบปี้บัตรเอทีเอ็ม

          กลโกงของแก๊งนี้อยู่ที่ "สร้างบัตรใบใหม่ขึ้นมา" เพื่อไปกดเงินจากบัญชีของเรา ดังนั้น จึงต้องการ "ข้อมูล" ของเรา 2 อย่างก็คือ "ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของบัตร" เพื่อไปทำปลอมขึ้นมาใหม่ และ "รหัสบัตร" เพื่อสามารถเข้าถึงบัญชีเงินฝากของเราและทำคำสั่งเบิกถอนเงินได้

          ฉะนั้น แก๊งเหล่านี้ก็จะทำ 2 อย่าง คือ ติด "อุปกรณ์คัดลอกข้อมูลบัตร" หรือเรียกว่า สกิมเมอร์ (Skimmer) ครอบหน้าช่องเสียบบัตรของตู้เอทีเอ็ม เมื่อเราเสียบบัตรเข้าไปตามปกติ อุปกรณ์นี้ก็จะคัดลอกข้อมูลซึ่งถูกเก็บอยู่ใน ìแถบแม่เหล็กî ด้านหลังของบัตร ก่อนจะส่งไปยังขบวนการในต่างประเทศเพื่อสร้างบัตรใบใหม่ขึ้นมา อีกอย่างหนึ่งก็จะติด ìกล้องขนาดเล็กî ไว้ตรงบริเวณตู้เอทีเอ็มด้วย เพื่อจับภาพการกด "รหัสบัตร"

          เมื่อได้ 2 อย่างนี้ไปก็เรียบร้อยครับ เขาสามารถกดเงินออกจากบัญชีเราโดยตรง หรือจะโอนออกไปยังบัญชีปลายทางที่ต้องการ

ไทย คือประเทศเป้าหมายหลัก

          ผู้บริหารแบงก์ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า จากคำสัมภาษณ์มิจฉาชีพที่เคยจับกุมได้ ระบุว่า ìไทยî คือหนึ่งในประเทศเป้าหมายหลักของการโจรกรรมลักษณะนี้ครับ เพราะเหตุผลเดียวก็คือ ìบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตî ที่ใช้ในไทยกว่า 57 ล้านใบนั้น เกือบ 98% ยังเป็นบัตรแบบ "แถบแม่เหล็ก" ซึ่งสามารถคัดลอกข้อมูลได้ง่าย และมีเพียงส่วนน้อยราว 2% เท่านั้นที่เป็นบัตรเดบิตแบบ "ชิปการ์ด" ซึ่งไม่สามารถคัดลอกข้อมูลด้วยเจ้าเครื่อง Skimmer

          หากยังจำกันได้ เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ìบัตรเครดิตî ก็เคยเจอปัญหานี้เช่นกัน โดยเฉพาะการรูดชำระค่าน้ำมัน จากนั้นผู้ให้บริการบัตรเครดิตในไทยก็หันมาใช้ระบบชิปการ์ดกันหมดเพื่อป้องกันปัญหา ฉะนั้น ปัญหานี้จึงมาผุดที่บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแทน

          "ไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็กอยู่ ก็ย่อมเป็นเป้าหมายจากมิจฉาชีพอยู่แล้ว ยิ่งประเทศเพื่อนบ้านเราเปลี่ยนไปใช้ชิปการ์ดกันหมด แก๊งเหล่านี้ก็ยิ่งพุ่งเป้ามายังไทยมากขึ้น"

          นี่คือคำเตือนจากผู้บริหารแบงก์คนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงพัฒนาบัตรมานับสิบปี

ขอความร่วมมือแบงก์ใช้ชิปการ์ด

          ช่วง 3-4 เดือนหลังจากที่เป็นข่าวครั้งที่แล้ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ก็ขอความร่วมมือกับบรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ให้เร่งพัฒนาระบบไปสู่การใช้ "ชิปการ์ด" มากขึ้น ตั้งเป้าหมายภายใน 2 ปีข้างหน้าต้องเริ่มต้นได้แล้ว

          ในมุมของธนาคารพาณิชย์เองก็นับเป็นภาระไม่น้อยกับการลงทุนใหม่ ทั้งเปลี่ยนตู้เอทีเอ็มหลายหมื่นตู้ และบัตรอีกหลายสิบล้านใบ แม้แต่ "ธนาคารกรุงเทพ" ซึ่งเป็นรายเดียวในไทยเวลานี้ที่ให้บริการบัตรเดบิตแบบชิปการ์ด หลังจากทำมา 5-6 ปีแล้ว ก็ยอมรับว่าเพิ่งจะเปลี่ยนระบบตู้เอทีเอ็มให้รองรับชิปการ์ดได้ครบ 100% ในปีที่แล้ว ขณะที่ลูกค้าซึ่งใช้บัตรแบบชิปการ์ดก็ยังมีไม่มากนัก ประมาณ 1 ล้านใบ เทียบกับบัตรทั้งระบบดังกล่าวมาแล้วก็ยังน้อยมาก

          อย่างไรก็ตาม หลายแบงก์ก็พยายามพัฒนาระบบมาสกัดเรื่องนี้ครับ บางแบงก์พยายามติดตั้งระบบป้องกันที่ตู้เอทีเอ็ม บางแบงก์พยายามออกแบบตู้ให้ไม่สามารถนำเครื่อง Skimmer มาติดได้ง่ายๆ เป็นต้น แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า โจรยุคนี้ก็พัฒนาได้เร็วไม่แพ้กัน สามารถสรรหาวิธีที่จะโจรกรรมได้แนบเนียนขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ

วิธีใช้บัตรกดเงินอย่างปลอดภัย

          แม้ธนาคารจะหามาตรการป้องกันปัญหานี้กันอย่างเต็มที่ แต่เงินของเรา ก็ต้องเป็น "เรา" ที่ต้องรู้จักป้องกันตัวเองกันก่อนครับ เพื่อมิให้มิจฉาชีพเหล่านี้ได้ข้อมูล 2 อย่างของเราไปได้ก็คือ ข้อมูลบัตร และรหัสผ่าน ซึ่งผมขอแนะนำวิธีการดังต่อไปนี้ครับ

          - สังเกตถึงความผิดปกติของตู้เอทีเอ็มก่อนครับ ว่ามีอะไรผิดปกติไปจากที่ควรจะมีหรือเปล่า เช่น ฝาครอบจุดรับบัตร หรือกล้องตัวเล็กๆ ที่อาจแอบติดไว้ เป็นต้น รวมถึงถ้าเป็นไปได้ควรเลือกตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดูปลอดภัยและถ้าเป็นตู้ที่เรากดประจำก็จะสังเกตความผิดปกติได้ง่ายที่สุด

          - ขณะกดรหัสผ่าน ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นมาปิดให้มิดชิด ปกติผมจะใช้กระเป๋าสตางค์นี่แหละครับ กางออกแล้วคว่ำปิดมือเลย หรือถ้าถือหนังสือไปด้วยผมก็จะใช้หนังสือทั้งเล่มปิดเลยครับ พร้อมกับใช้ตัวบังมิให้คนด้านหลังหรือด้านข้างสังเกตเห็นด้วย ใครจะว่าเราโอเวอร์ก็ช่างเขาครับ นึกเอาไว้ "นี่เงินเรา"

          - ควรเปลี่ยนรหัสเป็นระยะครับ และควรเป็นรหัสที่รู้คนเดียว ไม่ใช่รหัสที่เดาได้ง่ายเกินไป รวมถึงควรทำธุรกรรมการเงินด้วยตนเองครับ ไม่ควรให้คนอื่นไปทำแทน

          -ข้อนี้แนะนำไว้เพิ่มเติม เพราะจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็คือ อาจสมัครบริการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของบัญชีผ่าน SMS ซึ่งธนาคารจะคิดค่าบริการปีละ 150-200 บาท แต่หากเทียบแล้วเฉลี่ยต่อวันแล้วก็ยังไม่ถึง 1 บาทด้วยซ้ำนะครับ เงินเข้า-เงินออก ก็รู้ได้ทันทีตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่ใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงกิ้งและโมบายแบงกิ้ง ผมแนะนำครับ อุ่นใจดี นอกจากนี้ก็อาจเปลี่ยนมาใช้บัตรเดบิตแบบ "ชิปการ์ด" แทนครับ แต่มีข้อจำกัดนิดหน่อยตรงที่มีเฉพาะธนาคารกรุงเทพเท่านั้น และทำธุรกรรมได้ที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพเท่านั้นด้วย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 8,300 ตู้ทั่วประเทศ ช่วงนี้ธนาคารก็พยายามโปรโมตให้ลูกค้าหันมาใช้บัตรนี้แทน โดยคิดค่าธรรมเนียมเท่าบัตรเดบิตปกติครับ

          ทุก "ความสะดวกสบาย" ก็เป็นเรื่องปกติที่จะตามมาด้วย "ต้นทุน" เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในรูป "ความเสี่ยง" หรือ "ค่าใช้จ่าย" บางอย่าง แม้โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีครับ แต่เราสามารถอยู่อย่างมีความสุขได้เสมอครับ


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2014, 09:54:24 pm
ทำบัตรพ่วง "สินเชื่อ-ประกัน" เมื่อการแข่งขันละเมิดผู้บริโภค


-http://www.naewna.com/scoop/107711-


(http://www.naewna.com/uploads/news/source/107711.jpg)



 หากยังจำกันได้ ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีประเด็นเล็กๆ ประเด็นหนึ่งที่ถูกส่งต่อกันในโลกออนไลน์ กรณีลูกค้าไปทำบัตรกดเงินสดอัตโนมัติ (ATM) ที่ธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง และพบว่าพนักงานมักเสนอขายบัตรเงินสดสำหรับซื้อสินค้า (Debit Card) บ้าง หรือขายบัตรชนิดที่พ่วงประกันชีวิตบ้าง โดยอ้างว่าบัตร ATM แบบธรรมดาหมด แม้กระทั่งบอกว่าธนาคารได้ยกเลิกบัตร ATM แบบธรรมดาไปแล้ว หรือกรณีคล้ายๆ กัน คือการขายพ่วงระหว่างประกันชีวิต-ประกันภัย กับสินเชื่อรูปแบบต่างๆ

หลังจากนั้นได้มีผู้เข้ามาบอกเล่าประสบการณ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับธนาคารหลายเจ้า กระทั่งผู้บริหารธนาคารยักษ์ใหญ่ ต้องออกมาปฏิเสธผ่านสื่อ ว่าไม่เคยมีนโยบายบังคับขายบัตรเดบิตหรือขายประกัน และคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้จัดการสาขาทำกันเอง เพื่อหวังให้มียอดขายมากๆ อันจะมีผลต่อการประเมินประจำปี

ทว่าในมุมของพนักงานเอง กลับบอกว่าทางธนาคารบางเจ้า มีนโยบายให้พนักงานต้องทำยอดขายบัตรเดบิต ประกันชีวิต รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของธนาคาร เช่น กรณีของ “ธนาคารกรุงไทย” ทั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ก็มีนโยบายดังกล่าวเช่นกัน

ไม่นานมานี้ พนักงาน ธ.กรุงไทย กลุ่มหนึ่ง ได้ร้องเรียนผ่านมาทาง “รายงานพิเศษแนวหน้า” เล่าว่านโยบายของผู้บริหารใหม่ ต้องการทำให้ธนาคารสามารถแข่งขันได้เหมือนเอกชน และกลายเป็นธนาคารอันดับ 1 ของประเทศภายใน 3 ปี ซึ่งจริงๆ แล้วก็ถือเป็นความคิดที่ดี แต่ปัญหาคือการปรับเปลี่ยนทำอย่างกะทันหันจนพนักงานส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีการตั้งเกณฑ์ชี้วัดประสิทธิภาพพนักงานจากการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นหลัก

“ระบบใหม่มันเป็นอย่างไรถึงทำให้พนักงานเครียด? คือการทำงานเน้นขายเต็มร้อย มีทั้งเดินตลาด โทรหาลูกค้า ประชุมกันทุกวันเช้า-เย็น ทุกๆ วันต้องมีรายชื่อลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์กันทุกๆ คน ทั้งเบอร์โทรวันละ 10 รายต่อคน กลับบ้านก็ดึกทุกวันเพราะต้องหาข้อมูลลูกค้า และเปิดบัญชีทำบัตร ATM เอามาจากคนที่ไปเดินตลาดกลับมาตอนเย็น เป้าหมายสาขาก็สูงมากๆ ขายไม่ได้ตามเป้าเงินเดือน-โบนัสก็จะได้น้อย ตามเป้าหมายที่แต่ละคนหามาได้”

พนักงานกลุ่มนี้ เล่าว่าทุกวันนี้เงินเดือนส่วนใหญ่มาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นหลัก นอกจากนี้ ไม่ว่าจะทำงานตำแหน่งใดก็ตาม ก็จะต้องถูกบังคับให้ทำยอดขายด้วย เช่นสมุห์บัญชีอาจต้องไปขายสินเชื่อ ก็จะต้องรู้เรื่องสินเชื่อและไปทำงานด้านสินเชื่อ ลงนามอนุมัติสัญญาสินเชื่อแทนหัวหน้าสินเชื่อ ในทางกลับกัน หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อก็ต้องไปทำงานตำแหน่งสมุห์บัญชีได้ด้วย ทั้งที่งานของ 2 ฝ่ายนี้ใช้ความรู้ความชำนาญคนละด้านกัน

ขณะที่โครงการลาออกก่อนเกษียณ (Early Retire) ที่ผ่านมาระบุว่าผู้เข้าร่วม ต้องเป็นพนักงานที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นพนักงานที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 20 ปี แต่โครงการนี้ในปี 2557 กลับให้ เฉพาะพนักงานที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเพราะกลัวพนักงานจะลาออกเป็นจำนวนมาก เพราะไม่สามารถทนกับระบบดังกล่าวได้

“ท่านผู้บริหารทำไมไม่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนระบบงานไปทีละนิด เล่นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ ใครบ้างจะไม่ลาออกเพราะปรับตัวไม่ทัน แต่พอพนักงานอยากลาออกก็ไม่ให้สิทธิ์เขา บีบให้พนักงานลาออกไปเองโดยไม่ต้องเข้าโครงการนี้ มันรู้สึกไม่เป็นธรรมเลย”

พนักงานกลุ่มนี้กล่าว และย้ำว่าพนักงานรุ่นเก่าส่วนมากเคยชินกับการทำงานระบบเดิมในลักษณะองค์กรภาครัฐ ดังนั้นหากต้องการให้ธนาคารกรุงไทยแข่งขันได้เทียบเท่ากับธนาคารเอกชนเจ้าอื่นๆ ควรจะแปรรูปไปเสียดีกว่า และหากจะแปรรูปจริง ก็ควรมีมาตรการเยียวยาที่เป็นธรรมกับบรรดาพนักงานเก่าๆ ด้วย มิใช่ใช้วิธีการลดต้นทุนด้วยการบีบพนักงานออก อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

อีกด้านหนึ่ง นายเวทย์ นุชเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย รักษาการผู้บริหารสายงาน สายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย เคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 26 พ.ย. 2555 ระบุว่า การขายผลิตภัณฑ์ของธนาคารและบริษัทลูกพ่วงกัน เป็นนโยบายที่ธนาคารทุกแห่งดำเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ย้ำว่าเป็นเพียงการเสนอทางเลือกให้ลูกค้าเท่านั้น มิใช่การบังคับขายแต่อย่างใด

สอดคล้องกับคำชี้แจงของธนาคาร 3 เจ้า คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย เมื่อเดือน พ.ค. 2556 กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ไม่ใช่นโยบายของทางธนาคารที่จะเพิ่มยอดขายบัตรเดบิตพ่วงประกันชีวิต แต่น่าจะเป็นบางสาขาที่ทำกันเองมากกว่า เพราะต้องการทำยอดเพื่อให้ได้ผลงานสำหรับการประเมินประจำปี

และยังย้ำด้วยว่า เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะบัตรเดบิตพ่วงประกันชีวิตเป็นเพียงบัตรทางเลือก ที่ธนาคารคิดขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับ Life Style (วิถีชีวิต) ของลูกค้า ไม่ใช่ให้พนักงานไปบังคับลูกค้าสมัครบัตรดังกล่าว หรือใช้โอกาสช่วงที่บัตรเอทีเอ็มหมด เสนอขายบัตรเดบิตพ่วงประกันชีวิต ที่พนักงานได้ค่า Commission (ส่วนแบ่งการขาย) ด้วย

ทั้งนี้หากเกิดกรณีบัตร ATM หมด ให้ลูกค้าสอบถามพนักงานของแต่ละสาขาเลยว่า อีกกี่วันบัตร ATM จะมา แล้วให้เดินทางไปในวันดังกล่าว แต่ถ้าถึงเวลาที่พนักงานแจ้งไว้แล้ว บัตรเอทีเอ็มยังไม่มาอีก ลูกค้าสามารถโทรร้องเรียนไปที่ Call Center ของแต่ละธนาคารได้ทันที

อีกด้านหนึ่ง นางสาลินี วังตาล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเมื่อ 29 เม.ย. 2557 ว่า ที่ผ่านมาได้รับเรื่องร้องเรียนทำนองนี้บ่อยมาก ซึ่งได้กำชับธนาคารต่างๆ ไปแล้วใน 3 ประเด็น คือ 1.กำชับธนาคารพาณิชย์ห้ามบังคับขายสินเชื่อพ่วงประกัน และให้สิทธิกับลูกค้าในการตัดสินใจเลือกบริษัทประกันด้วยตนเอง

2.ให้ใช้ข้อความที่เข้าใจง่ายในการเสนอสินเชื่อและประกันกับลูกค้า เพราะที่ผ่านมามีรายละเอียดและความซับซ้อนที่อาจทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจที่สับสน และ 3.ให้สาขาธนาคารพาณิชย์ดูแลลูกค้าหลังการซื้อประกัน เพราะถือเป็นนายหน้าที่เป็นตัวแทนของลูกค้า หลังพบกรณีมีข้อร้องเรียนว่าไม่ได้รับความสะดวกในการรับค่าสินไหมทดแทน

นอกจากนี้ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กำชับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ไม่ให้มีการขายผลิตภัณฑ์เงินฝากและประกันทางโทรศัพท์มากเกินไปจนเป็นการรบกวนผู้บริโภค และหากเจ้าหน้าที่ธนาคารมาเสนอขายประกันทางโทรศัพท์ ประชาชนสามารถตอบปฏิเสธการขายได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังศูนย์รวมข้อมูลของธนาคารแต่ละแห่ง เพื่อไม่ให้มีการมาเสนอขายซ้ำซ้อนอีก

ปัญหา “ขายบัตรพ่วงประกัน-ขายประกันพ่วงสินเชื่อ” ยังคงมีเรื่องร้องเรียนผ่านสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และในจำนวนนี้มักเป็นธนาคารระดับชั้นนำของประเทศ 4-5 แห่งที่มีการแข่งขันสูง คำถามคือ..แนวทางแบบนี้เป็นธรรมหรือไม่? เพราะด้านหนึ่งกระทบต่อสิทธิผู้บริโภค ที่ถูกธนาคารบีบให้ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องการ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงเกินความจำเป็น

อีกด้านหนึ่ง พนักงานธนาคารก็ถูกบีบให้ต้องขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากๆ ทั้งที่อาจจะไม่ได้มีความชำนาญ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ตัวแทนขายประกันที่มีคุณภาพ ต้องผ่านการอบรมจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หรือผู้ที่จะเป็นตัวแทนขายกองทุนต่างๆ ก็ต้องผ่านการอบรมจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เช่นกัน ปัญหาคือพนักงานที่มาขายประกัน หรือกองทุนต่างๆ ของธนาคาร มีความรู้เพียงพอหรือเปล่า?

ไหนๆ ช่วงนี้ก็เข้าสู่บรรยากาศการปฏิรูปประเทศแล้ว “สิทธิผู้บริโภค” เรื่องใกล้ตัวชีวิตประชาชนมากที่สุด ก็น่าจะถูกบรรจุเข้าเป็นหัวข้อปฏิรูปด้วยอีกเรื่องหนึ่ง

-SCOOP@NAEWNA.COM-

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 08:44:13 am
เว็บเอ็มไทยรายงาน - ปล่อยลูกซื้อไอเท็มคุ้กกี้รัน โดนบิลเรียกเก็บเงินกว่า 3 หมื่นบาท!

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd016TXpNak00TlE9PQ==&sectionid=-


เอ็มไทย : วันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา สมาชิกเฟซบุ๊คท่านหนึ่ง ได้โพสต์ภาพเตือนภัยชาวสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับการปล่อยให้เด็กเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ และกดซื้อไอเท็มเกมส์โดยไม่ได้อยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง อาจจะเกิดเหตุการณ์อึ้งแบบนี้ได้

โดยสมาชิกเฟซบุ๊คคนดังกล่าวได้โพสต์ภาพบิลโทรศัพท์ของผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งที่มีการเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเป็นเงิน 33,415.49 บาท ซึ่งเป็นค่าแพคเกจ 599 บาท ส่วนที่เหลือเป็นค่าไอเท็มที่ซื้อจากเกมส์คุ้กกี้รัน 

ทั้งนี้ชาวสังคมออนไลน์ได้แสดงความคิดเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะมีความรอบคอบปลอดภัยและดูแลเด็กให้มากขึ้นรวมถึงการผูกบัญชีเกมส์กับโทรศัพท์มือถือควรมีการตั้งรหัสก่อนซื้อ ซึ่งหากเป็นแบบกรณีนี้ก็คงต้องชำระเงินตามความเป็นจริง


(http://javascript:WindowOpen('show_image.html?image=online/2014/06/14033323851403332416l.jpg','700','525');)

(http://javascript:WindowOpen('show_image.html?image=online/2014/06/14033323851403332438l.jpg','700','525');)

(http://www.khaosod.co.th/online/2014/06/14033323851403332416l.jpg)

(http://www.khaosod.co.th/online/2014/06/14033323851403332438l.jpg)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 08:55:05 am
 8 เทคนิคช็อปออนไลน์แบบสบายใจ


-http://www.komchadluek.net/detail/20140622/186848.html-



 
                           อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ถูกเปรียบเทียบให้เป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 ของชีวิตผู้คนในเมือง บวกกับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีให้เลือกอย่างหลากหลายมากขึ้นครอบคลุมทุกระดับราคา นับเป็น 2 ปัจจัยสำคัญที่เร่งเครื่องให้ความนิยมในการช็อปปิ้งออนไลน์ในหมู่คนไทยขยายวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากอัตราการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซขยับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 30% ต่อปี เพื่อส่งเสริมให้นักช็อปออนไลน์ชาวไทยมีประสบการณ์ที่ดีทุกครั้งที่ช็อปออนไลน์ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว “ราคูเท็น (Rakuten)” เจ้าของราคูเท็นตลาดดอทคอม (Rakuten TARAD.com) ในประเทศไทย มีการรวบรวมคำแนะนำในการช็อปปิ้งซื้อสินค้าออนไลน์ให้สบายใจมาแบ่งปันแก่นักช็อปชาวไทยใน 8 แง่มุมดังนี้
 
                           1.ช็อปออนไลน์ผ่านอุปกรณ์ส่วนตัว เพิ่มความปลอดภัยให้ข้อมูลสมาชิกตลอดจนข้อมูลการชำระเงินของคุณได้ง่ายๆ แค่หลีกเลี่ยงทำรายการช็อปออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์สาธารณะ
 
                           2.ดูรายละเอียดให้ถี่ถ้วนแน่ใจก่อนคลิกซื้อ นักช็อปออนไลน์มืออาชีพต้องไม่ลืมที่จะเลื่อนเม้าส์ลงอ่านข้อมูลสินค้าอย่างถี่ถ้วนก่อนคลิกสั่งซื้อ นอกเหนือจากราคาสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ชื่อรุ่น สี ไซส์ น้ำหนัก คุณสมบัติ การรับประกันและแหล่งที่มาของสินค้า อาทิ ประกันครอบคลุมศูนย์บริการในเมืองไทยหรือไม่ หรือวันหมดอายุและวันที่ผลิตสำหรับสินค้าเพื่อการบริโภค หากเป็นไปได้ ควรมองหาช่องทางการซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งมักจะมีนโยบายการันตีคืนเงินกรณีไม่ได้รับสินค้า หรือกรณีสินค้าที่ได้รับบกพร่องด้านคุณภาพ เขียนไว้บนเว็บไซต์อย่างชัดเจน เพื่อมอบความเชื่อมั่นและความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค
 
                           3.ทำความรู้จักร้านค้าออนไลน์ ดูตัวตนและความน่าเชื่อถือของร้านค้า การซื้อสินค้าจากร้านค้าที่มีหน้าโฮมเพจเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ นอกเหนือจากจะอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ให้แก่ลูกค้าได้มากกว่าแล้ว ยังเป็นส่วนสะท้อนความตั้งใจในการทำธุรกิจออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
 
                           4.เลือกรูปแบบการชำระเงินที่ตรงสไตล์คุณ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก รวดเร็ว การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้ง Paysbuy หรือบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ตของธนาคารต่างๆ การชำระเงินสดปลายทางเมื่อสินค้าส่งถึงมือ (Cash on Delivery) หรืออาจเลือกชำระผ่านช่องทางออฟไลน์ที่คุ้นเคยอย่างเครื่องเอทีเอ็ม หรือ จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสต่างๆ ด้วยการสั่งพิมพ์เอกสารแล้วนำไปชำระด้วยบาร์โค้ด
 
                           5.สำรวจโปรโมชั่นให้ครบแบบนักช็อปมือโปร จากฟีด (Feed) สินค้าที่คุณสนใจบนโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ หากมีลิงค์ให้คลิกกลับมาที่หน้าร้านค้าบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเมื่อไหร่ อย่าลืมมองหาโปรโมชั่นเสริม ซึ่งโดยปกติแล้วเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า อาทิ โค้ดส่วนลดพิเศษ ของแถม คูปองต่างๆ ตลอดจนทางเลือกในการผ่อนชำระด้วยบัตรเครดิตจากธนาคารต่างๆ
 
                           6.สมัครสมาชิกก่อนซื้อเพื่อสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า หากพบว่าเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซดังกล่าวมีระบบสมาชิกให้บริการอยู่แล้ว เพราะการมีระบบสมาชิกย่อมหมายถึงสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าเฉพาะสมาชิกที่แลกมาด้วยระยะเวลาการสมัครไม่กี่นาที ทั้งยังสะดวกและง่ายต่อการสื่อสารกับร้านค้าหรือเว็บไซต์ได้อย่างฉับไวเพียงแค่อ้างอิงข้อมูลหรือหมายเลขสมาชิก
 
                           7.รอรับสินค้าอย่างไรสบายใจหลังช็อป ภายหลังจากทำรายการสั่งซื้อสินค้าพร้อมชำระเงินเสร็จสิ้นก็เข้าสู่ระยเวลาการรอคอย โดยปกติระยะเวลาการส่งสินค้ามีตั้งแต่ 1-7 วันขึ้นอยู่กับรูปแบบการชำระเงินและการส่งสินค้าที่ท่านเลือก อาทิ ท่านที่เลือกชำระเงินด้วย Cash on Delivery เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการใช้สินค้าโดยด่วนได้วันทำการรุ่งขึ้น เป็นต้น หากยังไม่ได้รับสินค้าภายในระยะเวลาดังกล่าว ได้เวลาที่นักช็อปควรเข้าไปตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อบนระบบ หรือเทคโนโลยีในปัจจุบัน เปิดเราให้สามารถติดต่อร้านค้าหรือผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆได้มากมาย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ รวมถึงการส่งอีเมล เพื่อลดเวลาการรอคอย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการโทรศัพท์ไปสอบถาม
 
                           8.รีวิวหรือให้คะแนนร้านค้าหลังช็อป จะดีแค่ไหนหากนักช็อปออนไลน์สามารถเห็นคำยืนยัน/คำแนะนำจากนักช็อปท่านอื่นๆ ให้มั่นใจก่อนช็อป ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสมัยใหม่จึงให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นรีวิวร้านค้า เพื่อสร้างความมั่นใจในการช็อปสินค้าในรูปแบบของการบอกต่อ ทำให้นักช็อปออนไลน์ทุกคนมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ให้แก่เพื่อนนักช็อปด้วยกัน ด้วยการให้ความเห็นต่อร้านค้าบนบริการรีวิวร้านค้า
 
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 06:17:27 pm
แฉ! แก๊งสกิมเมอร์


http://www.youtube.com/watch?v=7VxNHoeLaVU#t=12 (http://www.youtube.com/watch?v=7VxNHoeLaVU#t=12)

-http://www.youtube.com/watch?v=7VxNHoeLaVU#t=12-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2014, 07:57:19 pm
รวบเจ้าพ่อเงินกู้วัย 18 ปล่อยกู้นอกระบบ กวาดเดือนละ 2 แสน

-http://hilight.kapook.com/view/104676-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/thitima/Politics/14045236501404523715l.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  ข่าวสด

           โจ๋ วัย 18 หัวหน้าแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบ ถูกตำรวจจับคาบ้าน อ้างได้ปล่อยเงินกู้นอกระบบมานานนับปีแล้ว มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 2 แสน

           วันนี้ (5 กรกฎาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 38/157 หมู่บ้านสวนสุวัฒนา พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่า บ้านหลังดังกล่าวมีการลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบ

           ทั้งนี้ บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นายเอ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี หัวหน้าเงินกู้นอกระบบ และเจ้าหน้าที่ยังพบสมุดบัญชีลูกค้าเงินกู้เล่มใหญ่จำนวน 4 เล่ม สมุดบัญชีธนาคารกสิกรไทยนับ 10 เล่ม นามบัตรติดต่อเงินกู้นอกระบบ วงเงิน 5,000 บาท ถึง 500,000 บาท ระบุชื่อ มั่งมี เงินทุนธุรกิจ กว่า 1,000 ใบ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง หมวกกันน็อกอีกกว่า 10 ใบ รวมถึงรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน

           จากการสอบสวน นายเอ รับสารภาพว่า ลูกค้าเงินกู้นอกระบบส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแม่ค้า-พ่อค้า และอาชีพรับจ้างทั่วไป โดยจะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 บาท ทั้งนี้รายได้ต่อเดือนของตนนั้นมากกว่า 2 แสนบาท และได้แอบลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบมานานนับปีแล้ว มีลูกน้องในสังกัดคอยวิ่งเก็บเงินกู้ลูกค้า 3-4 คน

           เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้คุมตัว นายเอ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะสอบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป         


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05EVXlNelkxTUE9PQ==&subcatid=-


-----------------------------------------------------------------------------

น่าจะมีกฎหมายยึดทรัพย์คนพวกนี้  ทั้งครอบครัว  ถ้าหาหลักฐานไม่ได้ว่า เงินหรือทรัพย์สินที่มีอยู่  ไม่มีที่มาที่ไป 

หรือไม่ก็ ทำปืนลั่น  จะได้ไม่เปลืองภาษีอากร

.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 07, 2014, 09:44:26 pm
ขอทานบรรดาศักดิ์ เปิดท้ายรถเก๋งกินข้าวชิล ๆ


-http://hilight.kapook.com/view/104738-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ราตรี แมงกาเบี้ย
       
           แชร์ทั่ว ! ขอทานบรรดาศักดิ์ เปิดท้ายรถเก๋งนั่งกินข้าวชิล ๆ ก่อนเปลี่ยนวีลแชร์ขอทาน ที่องค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม

           เป็นภาพที่ถูกส่งต่ออย่างมากในโลกออนไลน์เลยทีเดียว สำหรับภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่กำลังนั่งพักรับประทานอาหาร อยู่ด้านท้ายของรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ทะเบียน กบ 9100 และใกล้ ๆ กันนั้น มีรถวีลแชร์อยู่ใกล้ ๆ รถด้วย โดยมีข้อความใต้ภาพระบุว่า...

           "พบแล้ว…ขอทานบรรดาศักดิ์ รถเก๋ง ฮอนด้า สีดำ จอดริมรั้ว องค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม หญิงชายคู่หนึ่งมีรถวีลแชร์อยู่ข้าง ๆ ถึงเวลาออกทำมาหากินค่อยเปลี่ยนชุดขอทาน ตระเวนออกไปขอทานทั่วองค์พระปฐมเจดีย์ สุดยอดแห่งอาชีพไหมล่ะ / ภาพโดย Whipcream Srisuksai สายข่าว Online..มือฉมัง ค้นพบมา..ศุกร์ที่ 4 ก.ค. 57"

            อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก บ้างก็บอกว่ากินดีอยู่ดีกว่าคนทำงานหากินธรรมดา ๆ เสียอีก บางคนก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเคยเห็นกรณีนี้มานักต่อนักแล้ว แถมหลังจากเลิกขอทานยังพบตั้งวงเล่นการพนันอีกด้วย


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/facebook/10519208_676791349041282_964762986322296121_n.jpg)



หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 02:02:08 pm
ผวาแบงก์พันปลอม ระบาดหนัก เร่ซื้อของร้านค้า-ผู้เสียหายหลายราย


-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05qTTBNems0TWc9PQ==&sectionid=-



(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=online/2014/07/14063439821406344039l.jpg&width=260&height=260)


 วันที่ 26 ก.ค. นางสุภาพร สมศรีงาม อายุ 37 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ขายเครื่องดื่มชาพะยอม หน้าโรงพยาบาลศูนย์ตรัง อยู่บ้านเลขที่ 78 ถ.น้ำผุด ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ข่าวสดว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่กำลังขายของอยู่ ได้มีลูกค้าลักษณะคล้ายทอมกับผู้หญิงคู่หนึ่ง ทำทีเข้ามาซื้อน้ำในร้าน โดยสั่งชาเย็น 1 แก้ว และใช้ธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จ่ายให้ ซึ่งทางพนักงานในร้านก็รับไว้ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าธนบัตรใบดังกล่าวเป็นของปลอม เพิ่งมาทราบอีกทีก็ตอนที่ปิดร้านและทำบัญชี

 นางสุภาพร กล่าวต่อว่า มิจฉาชีพได้อาศัยช่วงเวลาที่กำลังชุลมุน มีลูกค้าเข้ามาในร้านเยอะ ทำทีเข้ามาซื้อของ โดยใช้ธนบัตรสภาพใหม่เอี่ยม หากไม่สังเกตก็ไม่ทราบว่าเป็นของปลอม จึงอยากฝากเตือนไปยังประชาชนคนอื่น ให้ระมัดระวังไว้ด้วย เพราะทราบว่า ขณะนี้พบแบงก์ปลอมจำนวนมากในพื้นที่ จ.ตรัง มีผู้เสียหายหลายรายแล้ว จึงขอเตือนไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

 ส่วนผู้เสียหายอีกรายคือ น.ส. นิลเนตร เงินศรี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 325 ม.10 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง กล่าวว่า แม่ค้าขายไก่ทอด 5 ดาว สาขาใกล้กับโลตัส เอ็กซ์เพรส ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง กล่าวว่า เมื่อเวลา 19.40 น. วันที่ 19 ก.ค. มีผู้หญิงเข้ามาซื้อของที่ร้าน ในราคา 37 บาท โดยใช้ธนบัตร ฉบับละ 1,000 บาท หมายเลขบนบัตร 9A 3828862 และเหรียญบาทอีก 7 เหรียญ รวม 1,007 บาท จ่ายให้ผู้เสียหายจึงทอนให้ไป 970 บาท และได้ตรวจสอบอีกครั้ง พบว่าเป็นธนบัตรปลอม จึงรีบเข้ามาแจ้งความ

 นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวรายงาน ในพื้นที่ จ.ตรัง ขณะนี้ทราบว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหลายรายแล้ว โดยขณะนี้ที่พบเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท หมายเลข 9A3828862 ถูกแก๊งมิจฉาชีพนำมาใช้หลายพื้นที่ โดยเฉพาะใน อ.เมืองตรัง และอำเภอใกล้เคียง พฤติกรรม คือ มักจะใช้ธนบัตร 1,000 บาท ครั้งละ 1 ฉบับ เพราะหมายเลขจะเหมือนกัน ผู้เสียหายบางรายก็เข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีแล้ว แต่บางรายก็ยังไม่แจ้ง

 พล.ต.ต.จีรวัฒน์ อุดมสุด ผู้บังคับการ ตำรวจภูธร จ.ตรัง กล่าวว่า ขณะนี้ ได้รับการร้องเรียนว่ามีผู้นำธนบัตรปลอมใบละ 1,000 บาทมาใช้ในพื้นที่ จ.ตรังและยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร ซึ่งตอนนี้ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อเพื่อให้ประชาชนระมัดระวัง เมื่อมีการรับธนบัตรมาให้มีการเปรียบเทียบถึงลักษณะทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ได้สั่งให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนทุกพื้นที่หากประชาชนพบผู้ต้องสงสัย หรือผู้กระทำความผิดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อติดตามจับกุม ผ่านหมายเลข 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาต่อไป

 สำหรับ ผู้กระทำความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10-20 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-40,000 บาท หากรู้ว่าเป็นเงินปลอม แต่ยังนำมาใช้ ก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-15 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000- 30,000 บาท แต่หากได้มาโดยไม่รู้ หรือรู้ในภายหลัง แต่ยังนำออกมาใช้ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนให้ใช้ความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินด้วย
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 02, 2014, 07:29:23 am
ไปธนาคาร ให้เข้าคิวตามระเบียบของเขา

ถ้านำเหรียญไปเข้าแล้วไม่รับ

แนะนำให้ทำหนังสือและแจ้งไปที่ ธปท. ตามลิงค์นี้

http://www.bot.or.th/Thai/Feedback/_layouts/Application/Feedback/Feedback.aspx (http://www.bot.or.th/Thai/Feedback/_layouts/Application/Feedback/Feedback.aspx)

-http://www.bot.or.th/Thai/Feedback/_layouts/Application/Feedback/Feedback.aspx-




----------------------------------------------------------------------------------------------



ไทยพาณิชย์ โพสต์เสียใจ ข่าวธนาคารไม่รับฝากเงินเหรียญ เด็ก 5 ขวบ

-http://money.kapook.com/view94761.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Lovemom Love Crochet

            ไทยพาณิชย์ โพสต์ชี้แจง ข่าวธนาคารไม่รับฝากเงินเหรียญ เด็ก 5 ขวบ บอกขออภัยและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เผยตักเตือนพนักงานแล้ว

            จากข่าวที่สร้างความข้องใจให้ใครหลาย ๆ คน สำหรับกรณีที่เด็กวัย 5 ขวบ นำเงินที่ได้จากการหยอดกระปุกมาฝากธนาคาร จำนวน 7,000 บาท แต่ธนาคารไม่รับฝาก เนื่องจากเป็นเงินเหรียญทั้งหมด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น จากการตรวจสอบล่าสุด พบว่า ที่หน้าเฟซบุ๊ก SCB Thailand ของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้มีการโพสต์ข้อความถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม โดยระบุว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้พูดคุยสร้างความเข้าใจกับครอบครัวของลูกค้ารายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ดังนี้
 
            "จากกรณีที่มีข่าว SCB สาขาบิ๊กซี หางดง 2 ปฏิเสธรับฝากเหรียญนั้น โดยเมื่อลูกค้าได้โพสต์ข้อความใน Facebook ส่วนตัวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ทาง SCB ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เข้าไปขออภัยและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในวันเดียวกันนั้นเลย เพื่อที่จะได้แก้ไขข้อบกพร่องในการบริการอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ผู้จัดการสาขายังได้ติดต่อเข้าพบเพื่อขออภัยลูกค้า และสร้างความเข้าใจอันดีกับลูกค้าและครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

            ธนาคารมีความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ดำเนินการตักเตือนพนักงานตามระเบียบของธนาคาร พร้อมกับกำชับพนักงานทุกสาขาให้รักษามาตรฐานการให้บริการตามระเบียบของธนาคารอย่างเคร่งครัดค่ะ"

(http://img.kapook.com/u/pimjun/women/scb.jpg)


            ทั้งนี้ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ได้รับการเผยแพร่ผ่าน เฟซบุ๊ก Lovemom Love Crochet ที่โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2557 ระบุว่า...

            "เหรียญ 6,600 บาท ที่ลูกสาวหยอดกระปุกกับแบงก์ 400 ที่คุณแม่เติมให้ เป็น 7,000 บาท เราอุตส่าห์ช่วยกัน 3 คน พ่อ แม่ลูก นับใส่ถุงแล้ว พาลูกไปฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซีหางดง 2 เชียงใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธหน้าหงายเงิบออกมา บอกว่าตู้เซฟเต็ม ไม่มีที่เก็บ ให้เอาไป ธ.กรุงเทพ ที่อยู่ติดกัน..

            เราหน้าแตกไม่เท่าไรค่ะ แต่สงสารลูก เขาภูมิใจมากที่จะได้ฝากเงินครั้งแรก มีสมุดบัญชีเล่มแรก น้องกลับถูกปฏิเสธออกมา น้อง 5 ขวบ ถามแม่ว่า "ทำไมเขาไม่รับฝากเงินหนูคะ" เด็กน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คุณแม่ก็เลยได้แต่ปลอบน้องว่า "พี่เขาไม่ว่างค่ะลูก" ก็เลยพาลูกกลับบ้านก่อน ตั้งหลักใหม่ ไม่อยากให้ลูกผิดหวังซ้ำสอง"

(http://img.kapook.com/u/fontip/etc/news_30.jpg)

   ซึ่งจากข้อความดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของพนักงานธนาคาร พร้อมทวงถามว่า เงินเหรียญไม่มีค่าหรืออย่างไร หรือเป็นเพราะขี้เกียจนับเงิน และไม่ว่าจะเป็นเหรียญบาท เหรียญ 25 หรือ 50 สตางค์ พนักงานก็ต้องบริการลูกค้า เนื่องจากเงินไม่ว่าจะหน่วยเล็กแค่ไหนก็ถือว่าเป็นเงินเช่นกัน


http://money.kapook.com/view94761.html (http://money.kapook.com/view94761.html)


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 08:23:36 am
ใครๆ อาจจะมองว่าเหรียญบาท เหรียญ5บาท มีค่าน้อย แต่ในความเป็นจริงเหรียญกษาปณ์เหล่านี้สามารถใช้ฝากหรือชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไม่ต่างจากธนบัตร เพียงแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องเข้าใจ

วันเสาร์ 2 สิงหาคม 2557 เวลา 05:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/256506/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2!+%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81-


จากกรณีที่มีการแชร์ภาพและข้อความเหรียญผู้ปกครองพาลูกสาววัย5ขวบ นำเงินเหรียญที่หยอดกระปุกได้กว่า6600บาท ไปฝากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธว่าตู้เซฟเต็ม ไม่มีที่เก็บ ให้นำไปธนาคารพาณิชย์อื่นที่อยู่ติดกันนั้น ได้สร้างคำถามให้เด็กน้อยไร้เดียงสาว่า "ทำไมเขาไม่รับฝากเงินหนูคะ" จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และข้อสงสัยในสังคมว่า การรับฝากเหรียญของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันใช้หลักเกณฑ์ใดในการตอบรับหรือปฏิเสธการรับฝาก มีค่าธรรมเนียมการรับฝากอย่างไร และหากธนาคารไม่รับฝากตัวลูกค้าเองจะต้องดำเนินการอย่างไรกับเหรียญที่เหมือนไร้ค่าในปัจจุบันนี้

เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ทราบว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้าไปกำกับดูแลเรื่องการรับฝากหรือไม่รับฝากเหรียญกษาปณ์ของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเป็นการทำข้อตกลงของชมรมธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารจะตั้งหลักเกณฑ์และค่าธรรมเนียมการรับฝากเหรียญกษาปณ์ไว้ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ1ของมูลค่าเหรียญกษาปณ์, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ฝากเงินไม่เกิน 2,000บาท ไม่คิดค่าบริการ หากยอดเงินฝากส่วนที่เกิน2,000บาท คิดร้อยละ1 ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ฝากหรือแลกเงินทั้งหมดตั้งแต่100 เหรียญขึ้นไป, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ไม่เกิน500เหรียญ ไม่คิดค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 501เหรียญขึ้นไป ร้อยละ1ของมูลค่ารวม, ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ2ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน100บาท ยอดเงินฝากต่ำกว่า100บาท ไม่คิดค่าบริการ, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ตั้งแต่ 200เหรียญ ขึ้นไปอัตราค่าบริการร้อยละ2ของจำนวนรวมมูลค่าเหรียญขั้นต่ำ20บาท

ทั้งนี้ กฎกระทรวงได้กำหนดจำนวนเหรียญกษาปณ์ที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย กล่าวคือ เหรียญ1สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน5บาท,เหรียญ5, 10, 25, 50สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน10บาท,เหรียญ1บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาท, เหรียญ5 บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาทและเหรียญ10บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน1,000บาท

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) 1213

หากธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการรับฝากเหรียญ สามารถร้องเรียนมายัง ศคง. โดยส่ง Email มาที่ fcc@bot.or.thและระบุข้อมูลดังนี้

1. ชื่อ – นามสกุลจริงของผู้ร้องเรียน

2. ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดต่อได้

3. สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง

4. รายละเอียดเรื่องร้องเรียน

5. เอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ หากมีเหรียญเป็นจำนวนมาก สามารถรวบรวมเหรียญดังกล่าวไปแลกคืนได้ที่สำนักบริหารเงินตรา กรมธนารักษ์ โทร. 0-2280-7404-8

ขอบคุณข้อมูลจาก -http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=1,http://www.treasury.go.th/ewt_news.php?nid=93&filename=index-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 08:36:26 am
แนะผู้บริโภคซื้อสินค้าออนไลน์ อย่างมั่นใจไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ - ไขปัญหาผู้บริโภค


ทั้งนี้เมื่อผู้บริโภคตกลงซื้อขายสินค้าและโอนเงินไปแล้วกลับไม่สามารถติดต่อผู้ขายสินค้าได้หรือซื้อสินค้านั้นแล้วพบว่าสินค้านั้นเป็นของปลอม
วันเสาร์ 2 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/256409/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%8C+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-



เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คนในสังคมจึงเริ่มหันมาปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หลายต่อหลายคนอาศัยความทันสมัยของระบบเทคโนโลยีเป็นช่องทางในการดำเนินธุรกิจซื้อขายดังเช่นระบบ  Social และเว็บไซต์ที่ต่างก็เปิดกว้างให้พ่อค้าแม่ขายทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ได้อย่างเสรี

ปัจจุบันการซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกว่า “การซื้อสินค้าออนไลน์” ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีความสะดวกสบาย ประหยัดเวลาและค่าเดินทาง ซึ่งข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยระบุว่าธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 25-30 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.32-1.35 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มว่าธุรกิจดังกล่าว จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ธุรกิจออนไลน์นับเป็นการดำเนินกิจกรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้ซื้อสินค้าและผู้ขายสินค้าไม่จำเป็นจะต้องพบเจอกันก็สามารถซื้อขายสินค้าได้โดยง่ายเนื่องจากขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า การชำระเงินและการจัดส่งสินค้าจะดำเนินการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มมิจฉาชีพแอบแฝงมาใช้ช่องทางดังกล่าวในการเอาเปรียบ หรือหลอกลวงผู้บริโภคได้ โดยการลงประกาศเสนอขายสินค้าหรือแอบอ้างว่าเป็นผู้แทนจากผู้ประกอบการนำเสนอขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าราคาทั่วไป

ทั้งนี้เมื่อผู้บริโภคตกลงซื้อขายสินค้าและโอนเงินไปแล้วกลับไม่สามารถติดต่อผู้ขายสินค้าได้หรือซื้อสินค้านั้นแล้วพบว่าสินค้านั้นเป็นของปลอม ผู้บริโภคจึงขาดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์อื่น ๆ ที่มีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการผู้บริโภคจึงขอแนะนำการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าออนไลน์เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความระมัดระวังสักนิดก่อนที่จะเลือกซื้อสินค้าบนช่องทางอินเทอร์เน็ตดังนี้

ผู้บริโภคควรเลือกซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าที่มีการจดทะเบียนร้านค้ากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบประวัติการขายสินค้าของผู้ขาย ตรวจสอบแหล่งที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้และไม่ควรสั่งซื้อสินค้า จากผู้ประกาศขายสินค้าที่ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่อยู่ได้อย่างชัดเจน

หากผู้ขายมีบริการชำระผ่านบัตรเครดิตผู้บริโภคควรชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิตเพราะหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการซื้อขายสามารถระงับการชำระค่าสินค้าได้ในกรณีที่ต้องโอนเงินชำระสินค้าให้ก่อนควรตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์หลักฐานการโอนและเลขบัญชีผู้รับโอนปลายทางเพื่อป้องกันการหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 09:10:23 am
 เลือกบัตรเครดิตผิด! ทำไงดี???
 
-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189351.html-

 
         คุณเพิ่งได้รับบัตรเครดิตที่คุณสมัครไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พร้อมวงเงินที่น่าพอใจ ซึ่งอาจจะเป็นบัตรเครดิตประเภทคืนเงิน บัตรเครดิตช้อปปิ้ง บัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ แต่เมื่อคุณใช้ไปได้สักพัก คุณกลับรู้สึกว่า ตายล่ะ! สไตล์การใช้เงินของเราไม่เหมาะกับบัตรเครดิตประเภทนี้เลย ทำอย่างไรดี วันนี้ MoneyGuru.co.th ขอเอาเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสถานการณ์นี้มาฝากกัน
 
 
         วิธีแก้ทั่วไป
         จริงๆ แล้ววิธีแก้ปัญหานั้น จะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเรามีปัญหากับเจ้าบัตรนี้ที่จุดไหน แต่คร่าวๆ ก็คือ เราอยากจะ "ปิดบัตรเครดิต" นั้นทิ้ง แล้วสมัครบัตรใหม่ ซึ่งถามว่าทำได้หรือไม่ ต้องบอกว่าทำได้ แต่สิ่งที่คุณต้องระวังคือ ผลกระทบต่อเครดิตบูโร เพราะเครดิตบูโรที่ดีจะขึ้นอยู่กับความยาวนานของการคงบัญชีบัตรเครดิตเอาไว้ เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการยกเลิกจริงๆ ยิ่งคุณรู้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี หลังจากนั้น รีบเลือกบัตรเครดิตที่ดีที่สุดสำหรับคุณ แล้วสมัครบัตรเครดิตนั้นเสีย และหลังจากนั้น ก็ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย ก็สามารถสร้างเครดิตบูโรให้กลับมาดีตามเดิมได้ หรือถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร การเปิดบัตรเครดิตเพิ่มอีกซักหนึ่งใบ ก็ไม่เสียหายอะไร และอาจจะเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะคุณจะได้รับวงเงินรวมมากขึ้น และการคิดคะแนนเครดิตบูโรอีกส่วนหนึ่งคือ อัตราส่วนยอดการใช้จ่ายต่อวงเงิน เพราะฉะนั้น ยิ่งวงเงินเยอะ ยิ่งดีนั่นเอง
 
         อย่างไรก็ตาม หากมาดูกันเจาะลึกถ้าแต่ละคนมีปัญหากับบัตรเครดิตของตนเองต่างกัน แล้วเราจะแก้อย่างไร?
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตเงินคืน
         คุณได้รับบัตรเครดิตแบบเน้นการคืนเงินจากการช้อปปิ้งมา 1 ใบ และเน้นว่าจะได้มากเมื่อช้อปปิ้งกับศูนย์การค้า A และในเครือเท่านั้น เวลาผ่านไปสองเดือน คุณมีเหตุให้ต้องย้ายบ้าน และในละแวกบ้านคุณไม่มีห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้คุณไม่สามารถช้อปปิ้ง และได้รับเงินคืนอีกต่อไปเหมือนที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้คุณอยากปิดบัตรนั้นเสีย  สำหรับวิธีแก้คือ ลองยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตรดู และเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ธนาคารมักมีปัตรเครดิตเงินคืนมากกว่าหนึ่งบัตร บางทีธนาคารสามารถอณุญาตให้คุณเปลี่ยนบัตรเป็นบัตรประเภทอื่นได้ เพียงแค่คุณต้องระวังในเรื่องค่าธรรมเนียมรายปี อัตราดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากบัตรเดิมแค่นั้นเอง
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ หรือสะสมคะแนน
         ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักมีคนมีปัญหากับบัตรเครดิตแบบสะสมแอร์ไมล์มากขึ้น เพราะอัตราการแลกที่สูงขึ้น หรือข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเวลาแลกจริงๆ เพราะฉะนั้น ทำให้การแลกไมล์ เพื่อได้ตั๋วเครื่องบิน หรือส่วนลดทำได้ยากกว่าเดิม หรือไม่ก็ต้องใช้จ่ายมหาศาล กว่าจะได้ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นซักหนึ่งใบ สิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับบัตรเครดิตสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัลเช่นเดียวกัน ที่ของแต่ละชิ้นที่คุณอยากได้ ต้องใช้คะแนนสูงมากจนแทยจะเป็นลมเลยทีเดียว แล้วแถมบัตรเครดิตพวกนี้ มีค่าธรรมเนียมรายปีแพงเสียด้วยสิ ทำให้คุณกลับมาคิดใหม่ว่า นี่เราทำบัตรเครดิตอันนี้แล้วจะคุ้มค่าจริงหรืออ? 
 
         วิธีแก้คือ คล้ายๆ กับข้อแรก คือ ติดต่อกับธนาคาร ลองดูว่าเขาอนุญาติให้คุณสมัครบัตรใหม่ที่อาจจะได้สิทธิพิเศษน้อยลง แต่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีเท่าเดิมได้หรือไม่ ส่วนบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์นั้น ด้วยความที่เป็นบัตรเครดิตประเภทร่วมธุรกิจของธนาคารกับสายการบิน อาจจะเป็นการยากที่คุณจะเปลี่ยนไปสู่บัตรร่วมของสายการบินอื่น แต่คุณอาจเปลี่ยนไปยังบัตรร่วมกับสายการบินเดิม ที่ต่ำลงมา และเสียค่าธรรมเนียมน้อยลง เป็นต้น
 
         หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อบัตรเครดิต เราอยู่ข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 09:14:34 am
 เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล
-k_wuttikul@hotmail.com-


-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189224.html-

 
                           ในขณะที่ “คนแคระทั้งเจ็ด” เป็นเพื่อนตัวเล็กที่แสนดี ผู้ให้ที่พักพิงกับสโนไวท์ เจ้าหญิงน้อยแสนสวยในเทพนิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์ ที่ถูกราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายริษยาในความงามจนหาทางกำจัดเธอทุกวิธี แต่สำหรับ “เงินทองต้องรู้” วันนี้ “คนแคระทั้งเจ็ด” กลับมีความหมายในทางตรงข้าม เพราะหมายถึง “อุปสรรค 7 ประการ” ที่ทำให้หลายคนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข เพราะถูกทำให้ “แคระแกร็น” เสียก่อน
 
                           เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผลวิจัยการเตรียมความพร้อมการวางแผนการเงินของคนวัยทำงาน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน วัตถุประสงค์ก็เพื่อติดตามพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยทำงาน อายุ 40-60 ปี เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมกับวัยเกษียณ
 
                           ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของการนำเสนอผลวิจัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำบทสรุปฉบับย่อ โดยระบุว่า กลุ่มคนทำงานช่วงอายุ 40-60 ปี ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณ และมีอัตราการออมและอัตราการใช้เงินออมอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ซึ่งหากแยกกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม พบว่า เป็นกลุ่มเกษียณสุข 44% เกษียณพอเพียง 27% และเกษียณทุกข์ 29%
 
                           บทวิจัยของ ดร.บุญเลิศ จิตรมณีโรจน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บ่งชี้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตกอยู่ในกลุ่มเกษียณทุกข์จำนวน 29% นั้น มี “ข้อผิดพลาด” ในการวางแผนเพื่อเกษียณอยู่ 7 ประการ ทำให้คนที่อยู่ในวัยนี้มีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ
 
                           “ข้อผิดพลาด” ที่ทำให้เงินออมกลายเป็น “แคระแกร็น” ทั้งเจ็ดประการ คือ เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร มีความมั่นใจมากเกินควร ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร ประมาณอายุคาดเฉลี่ยน้อยเกินควร ออมเงินไว้น้อยเกินควร และเกษียณอายุก่อนกำหนดเร็วเกินควร
 
                           ลองแยกดูทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องแรก “เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร” บทวิจัยระบุว่า คนส่วนใหญ่รู้จักวางแผนการออม ที่มุ่งเน้นการออมเงินในช่วงวัยทำงาน แต่ขาดความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนเกษียณ ซึ่งมุ่งเน้นที่รายได้ในวัยหลังเกษียณ ผลการสำรวจพบว่า คนทำงานช่วงอายุ 21-30 ปี เริ่มวางแผนเกษียณในสัดส่วน 20% อายุ 31-40 ปี สัดส่วน 27% อายุ 41-50 ปี สัดส่วน 35% และอายุระหว่าง 51-60 ปี คิดเป็น 19%
 
                           ดังนั้น อายุเฉลี่ยในการเริ่มวางแผนเกษียณจึงอยู่ที่ 42 ปี ซึ่งช้าเกินไป !
 
                           มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงก่อนอายุ 40 ปี เราอาจให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อเรื่องอื่นก่อน เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน รวมทั้งท่องเที่ยวและสันทนาการ
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 2  การวางแผนด้วยความมั่นใจมากเกินควร เพราะทั้งๆ ที่กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณเลย แต่กลับมั่นใจว่า คุณภาพชีวิตหลังเกษียณจะใกล้เคียงกับปัจจุบัน มีสัดส่วนสูงถึง 43% ส่วนอีก 28% เชื่อว่าคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นกว่าปกติ สิริรวมแล้วกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 71% ขณะที่คนที่ไม่แน่ใจมีจำนวน 22% และคนที่เชื่อว่าชีวิตหลังเกษียณจะแย่กว่าปัจจุบัน มีจำนวนเพียง 7%
 
                           มีผลสำรวจพนักงานชาวอเมริกันจำนวน 1,057 คน เมื่อปี 2552 พบว่า มีเพียง 47% ที่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณ แต่มีคนมากถึง 61% ที่ตอบว่า ตนเองมีความมั่นใจมากและมากที่สุดที่จะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งก็อาจจะสะท้อนได้ว่า “หลักคิด” ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะชาติใด ก็น่าจะใกล้เคียงกัน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 3  ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ทั้งนี้ เพราะกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และละเลยผลของเงินเฟ้อในอนาคต โดยจากผลสำรวจพบว่า ในปัจจุบันกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในหุ้น 11% และเพิ่มเป็น 18% ในวัยเกษียณ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว กฎของการลงทุนในหุ้นข้อหนึ่ง ก็คือ สัดส่วนการลงทุนในหุ้น เท่า 100 ลบด้วยอายุ แปลว่า ยิ่งอายุมากขึ้น สัดส่วนการลงทุนในหุ้นยิ่งควรจะลดลง
 
                           ส่วนข้อผิดพลาดประการที่ 4 ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในปีแรกหลังเกษียณต่อรายได้ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการวางแผนมีค่าเฉลี่ยเพียง 34% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ 70% ซึ่งเป็นค่าขั้นต่ำที่นิยมใช้ในการวางแผนทางการเงิน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 5  การประมาณอายุขัยเฉลี่ยน้อยเกินควร โดยอายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศชาย คือ 76.5 ปี ซึ่งมากกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรชายไทยซึ่งอยู่ที่ 74 ปี ดังนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพชีวิต เพราะพยายามใช้เงินในช่วงหลังเกษียณน้อยๆ เพื่อจะได้มีเงินใช้ตลอดช่วงอายุ ขณะที่อายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง คือ 76.6 ปี น้อยกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรหญิงไทยซึ่งอยู่ที่ 79 ปี ดังนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากการมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เงินออมเพื่อเกษียณหมดก่อนสิ้นอายุขัย เพราะพวกเธอคิดว่า อายุจะสั้น ทั้งๆ ที่จริง อายุคาดเฉลี่ยของผู้หญิงยืนยาวกว่านั้น
 
                           มาถึงข้อผิดพลาดประการที่ 6  การออมเงินไว้น้อยเกินควร ถ้าพิจารณาสินทรัพย์เพื่อการเกษียณไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ แต่ถ้ารวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมเพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           และข้อผิดพลาดประการสุดท้าย  การเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยพบว่า 28% ของกลุ่มตัวอย่างต้องการเกษียณก่อนกำหนด แต่ผู้ที่ต้องการเกษียณก่อนกำหนดส่วนใหญ่มีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           บทวิจัยยังปิดท้ายด้วยการสรุปว่า กลุ่มของผู้ตอบที่มีโอกาสเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ ได้แก่ 1.เพศหญิง อายุ 51-60 ปี 2.เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เลย  และ 3.เป็นกลุ่มที่ขาดการได้รับความรู้หรือขาดความเข้าใจหรือไม่เคยวางแผนเกษียณ
 
                           ส่วนตัวแล้วเกลียดคำว่า “มนุษย์ป้า” เพราะรู้สึกไม่แฟร์กับคนที่ไม่ได้ตั้งใจมีพฤติกรรมเบียดเบียนหรือเบียดบังคนอื่น แต่อาจจะทำอะไรไม่ถูกที่ถูกทาง เพราะความ “ไม่รู้” กฎกติกามารยาทที่ “คนรุ่นใหม่” สร้างขึ้น แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเขียนมาถึงย่อหน้าสุดท้ายก็อดนึกถึง “มนุษย์ป้ากับคนแคระ (แกร็น) ทั้งเจ็ด” ไม่ได้
 

-------------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล -k_wuttikul@hotmail.com-)
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 12:32:28 pm
ทริคช้อปออนไลน์ให้ปลอดภัย ที่นักช้อปต้องรู้ !

-http://money.kapook.com/view94640.html-


ช้อปออนไลน์ ให้ปลอดภัย คุ้มจ่าย ได้ของ ไม่โดนปล้น (Lisa)

          สนุกกับการช้อปผ่านเว็บไซต์กันบ่อย ๆ ล่ะสิ บอกเลยว่า อะไรที่ดูง่าย ๆ อาจแฝงมากับความไม่ปลอดภัย ยิ่งยุคนี้มีกลลวงมากมายให้เรากลายเป็นเหยื่อได้โดยไม่รู้ตัว

          ประการแรกนั่นคือ สินค้าที่เราเล็งไว้ไม่ได้เห็นด้วยตา จับด้วยมือ หรือสวมใส่ก่อนซื้อจริง บ้างก็สวยเว่อร์อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าระดับโปรเฟสชันแนล รู้ดีว่าภาพสวย ๆ นั้นจะทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการง่ายขึ้น ฉะนั้นผู้ซื้ออย่างเราต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าอาจจะโดนหลอกได้ด้วยภาพ นอกจากว่าสินค้าชิ้นนี้ แบรนด์นั้นเรารู้จักดีอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม "ของสวยแต่รูป" นี้ยังเป็นความ "ไม่เวิร์ก" ที่เบสิกมากสำหรับนักช้อปออนไลน์ เพราะพิษภัยอันตรายจากการช้อปปิ้งด้วยวิธีนี้มันลามไปได้ไกลกว่านั้น

แม่ค้าวายร้าย-เชิดเงินหนี

          คุณชิ แม่ค้าออนไลน์ได้มาระบายความทุกข์ใจไว้ในเว็บไซต์พันทิปเพื่อเป็นอุทาหรณ์พร้อมประจานความขี้โกงของ แม่ค้าออนไลน์ด้วยกัน ที่เชิดเงินค่ารองเท้าของเธอไปหลายพันบาท เธอไม่ใช่คนเดียวที่โดนหลอกให้จ่ายเงินไปก่อน แต่ยังมีลูกค้าเพจเฟซบุ๊กขายรองเท้านี้อีกหลายรายที่เสียเงินไปแต่ไม่ได้ของ รวม ๆ แล้วผู้ร้ายในคราบเจ้าของร้านออนไลน์ได้เงินไปร่วมแสน หนำซ้ำยังไม่แคร์ที่โดนลูกค้าเข้ามาด่าผ่านสื่อ เพราะการแจ้งความของคุณชิ กลับทำอะไรคนขายไม่ได้

          กรณีเช่นนี้ นักช้อปออนไลน์ตัวยงไม่หลงกลง่าย ๆ แต่หลายครั้งก็พลาดได้ เพราะความไว้ใจและราคาออนไลน์มันยวนใจนัก (สินค้าออนไลน์มักราคาถูกกว่าในช็อปเนี่ยสิ) แถมส่งของถึงบ้านอีกต่างหาก เลยกลายเป็นช่องทางหาเงินของมิจฉาชีพ เพราะการซื้อของออนไลน์ต้องชำระเงินก่อนเท่านั้นจึงจะจัดส่ง เนื่องจากแม่ค้าก็กลัวถูกลูกค้าโกงในทางกลับกัน

          นอกเหนือไปจากการเชิดเงินหนี อีกกลโกงที่พบเจอบ่อย ๆ คือแม่ค้าวายร้ายขายของปลอม โดยใช้ราคาที่ถูกเว่อร์เป็นตัวล่อ มักเกิดขึ้นกับสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย อย่างไรก็ตามถึงจะโดนเชิดเงินหรือได้ของย้อมแมว ผู้ซื้ออย่างเรายังพอจะป้องกันตัวเองได้ และสามารถแจ้งความดำเนินคดี แต่หากเป็นเว็บช้อปปิ้งออนไลน์ที่รับจ่ายด้วยบัตรเครดิต ภัยที่ตามมาน่าปวดหัวกว่าเยอะ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าบัตรเราอาจจะ ถูกนำไปใช้โดยบุคคลที่สาม

ช้อปออนไลน์

 ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตทำได้

          ช่วงคริสต์มาสปลายปี 2556 มีรายงานข่าวว่า แฮกเกอร์แดนมะกันทำแสบ ฉกข้อมูลบัตรเครดิตนับล้านใบไปขายในตลาดมืดและบนอินเทอร์เน็ต บางธนาคารไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ ส่วนบางแห่งก็ยังลังเลว่าจะยกเลิกบัตรดีหรือไม่เพราะใกล้ช่วงเทศกาลที่คนจับจ่ายใช้สอยมากกว่าปกติ จึงแก้ปัญหาด้วยการซื้อข้อมูลลูกค้ากลับมาจากตลาดมืด โดยปกปิดเรื่องนี้ไว้ หวานคอแฮกเกอร์เลยสิ

          วิธีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตง่ายนิดเดียว คือ สร้างหน้าเว็บปลอมสวมรอยหน้าเว็บจริง หรือที่เรียกว่า เว็บ Phishing เพื่อดักขโมยข้อมูลซึ่งมีหลายรูปแบบมากทั้งแบบหน้าเว็บร้านค้า ธนาคาร หรือเว็บจ่ายเงิน ฉะนั้นไม่ว่าเราจะเป็นคนชาติไหน หากเข้าไปซื้อของออนไลน์ที่โยงใยกันทั่วโลก โดยเฉพาะเว็บแบรนด์เนมสากลต่าง ๆ ก็มีสิทธิ์โดนทั้งนั้น อย่างในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ที่พบว่าการหลอกลวงในรูปแบบฟิชชิ่งเพิ่มขึ้นถึง 585% เลยทีเดียว โดยครอบคลุมแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมากกว่า 300 แบรนด์ทั่วโลก

          นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีหลอกล่อให้ดาวน์โหลดมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว จำพวกป๊อปอัพให้คลิกดาวน์โหลดเป็นต้น โปรแกรมมัลแวร์ก็จะเข้าไปสิงสู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าเป็นโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ที่โยงเป็นระบบเครือข่ายอย่างในสถานที่ทำงาน ก็จะทำลายระบบและโจรกรรมข้อมูลกันได้ง่ายๆ การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นการขายข้อมูลบริษัทไปซะงั้น รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆ ต้องป้องกันตัวเองให้ดี ที่สำคัญอย่าเผลอหลงเชื่อกลต่างๆ ไม่ว่าราคาที่ยวนใจปิดปกติ การโหลดข้อมูลที่ไม่ต้องการ และเช็กตรวจสอบฟีดแบ็กของผู้ขายนั้นๆ บ้างหากมีช่องทาง เพื่อความปลอดภัยสบายใจไว้ก่อน

ถ้าโดนโกงทำอะไรได้บ้าง

          สำหรับภัยร้ายที่เกิดจากกลโกงของแม่ค้า หากเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร สามารถแจ้งธนาคารว่า เป็นการโอนผิดบัญชี ธนาคารก็จะตรวจสอบไปยังบัญชีปลายทาง หากแม่ค้ามีใบเสร็จยืนยันหรือหลักฐานการขายสินค้าก็แล้วไป แต่ถ้าไม่มีธนาคารก็จะโอนเงินกลับมายังบัญชีเรา นอกจากนี้หากมีผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับเราเยอะ ให้รวมตัวกันและนำหลักฐานที่โดนโกงไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ถ้ามียอดโกงมากถึงขั้นแถลงข่าวกันได้เลย

ช้อปอย่างไรให้ปลอดภัย

          • เลือกช้อปกับร้านค้าที่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือช้อปผ่านเว็บไซต์ขายของอย่าง Weloveshopping และ Tarad เป็นต้น เพราะแม่ค้าพ่อค้าในนี้ต้องลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน และหมายเลขบัญชี อย่างน้อยถ้าโกงเราก็ยังสามารถตามตัวได้ง่าย

          • สินค้าที่มีราคาสูงอาจต่อรองด้วยการขอจ่ายมัดจำก่อน และนัดดูของกัน เมื่อรับสินค้าเรียบร้อยจึงจ่ายเงินที่เหลือให้

          • ถ้ากลัวถูกแฮกข้อมูลบัตรเครดิตต้องพิจารณาก่อนคลิกทุกครั้งที่เปิดหน้าเว็บเพจใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะ Web search เช่น Google, MSN และ Yahoo พวกนี้เป็นเว็บที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นที่รวมของลิงก์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งอาจมีลิงก์มัลแวร์แฝงตัวอยู่ และเมื่อจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างข้อมูลบัตรเครดิต ก็สังเกตที่ช่อง URL ว่ามีการเข้ารหัสความปลอดภัยแบบ https รึเปล่า

          • อัพเดตโปรแกรมแอนตี้ไวรัส หมั่นสแกนไวรัสและมัลแวร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ จะได้ไม่ถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวไปแบบไม่รู้ตัว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.lisaguru.com/wp/blog/smart/v15n14-featured/-

.


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 14, 2014, 07:57:56 pm
แจ้งเตือนหน้าเว็บไซต์หลอกลวง สวมรอยเว็บธนาคาร Online ในไทย


แจ้งเตือนหน้าเว็บไซต์หลอกลวง สวมรอยเว็บธนาคาร Online ในไทย

เว็บไซต์ ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย หรือในชื่อย่อว่า ไทยเซิร์ต ได้แจ้งข่าวผ่านทาง Twitter ของตนเอง ให้ระวังหน้าเว็บปลอมของธนาคารหลายแห่งในประเทศไทย เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกรุงไทย

โดยใน Twitter ของ Thaicert ได้จับภาพหน้าจอของหน้าเว็บไซต์ปลอมดังกล่าว ซึ่งประกอบไปด้วยธนาคารไทยพาณิชย์

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1391505/unnamed_qq_screenshot20140909151618.jpg)
รูปที่แนบไฟล์ รูปที่ 1

และธนาคารกรุงไทย

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1391505/unnamed_qq_screenshot20140909151636.jpg)
รูปที่แนบไฟล์ รูปที่ 2

ซึ่งลิงค์ดังกล่าว อาจจะเกิดจากการล่อหลวงให้ผู้ใช้หลงเข้าไปได้ ผ่านทาง E-mail หรือ ผ่านเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการขโมยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ของผู้ที่เผลอกรอกลงไป จึงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ ในการระมัดระวังอย่างยิ่งกับการเข้าใช้งานเว็บไซต์ธนาคารผ่านอินเตอรเน็ต ที่ควรจะเข้าผ่านหน้าเว็บของธนาคารจริงๆ และตรวจดูที่อยู่ของเว็บไซท์ ต้องมีเครื่องหมายแสดงการรับรองความปลอดภัยในการเข้ารหัสเว็บไซต์ ที่มีสัญลักษณ์เป็นสากลคือ รูปกุญแจสีเขียวและตามด้วยชื่อบริษัทของเว็บไซต์ที่ได้รับการรับรองนั้นๆ รวมทั้งการเข้ารหัสเว็บไซต์ผ่าน HTTPS ที่จะแสดงให้เห็นอย่างเช่น

(http://p3.isanook.com/hi/0/ud/278/1391505/unnamed_qq_screenshot20140909151648.jpg)
รูปที่แนบไฟล์ รูปที่ 3
ธนาคารกรุงไทย ktb ธนาคารไทยพาณิชย์ scb

ที่มา ThaiCERT Twitter รูปจาก www.flickr.com/photos/bankenverband/14568955953/ (http://www.flickr.com/photos/bankenverband/14568955953/#)

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 22, 2014, 05:59:20 am
กดเงินเจอของจริง! พบเครื่องสกิมมิง-กล้องรูเข็มตู้ ATM กสิกรไทย รามคำแหง 58/3 (ชมคลิป)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 กันยายน 2557 01:02 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000108665-


ลูกค้ากดเงินสดผงะ พบเครื่องสกิมมิ่งและกล้องรูเข็มบนเครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารกสิกรไทย หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ปากซอยรามคำแหง 58/3 ใกล้แยกลำสาลี เผยช่วงกดเงินสังเกตไฟช่องเสียบบัตรไม่กระพริบ เคาะออกมารู้สึกหลวมๆ ก่อนถอดออกมาเป็นเครื่องอ่านข้อมูล ส่วนด้านบนตู้พบกล้องรูเข็มยึดติดกับด้านบน แนะเวลากดเงินเอามือบังกันกล้องรูเข็ม
       
วานนี้ (21 ก.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก เข้าตรวจสอบตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ปากซอยรามคำแหง 58/3 ถนนรามคำแหง ขาเข้า เชิงสะพานข้ามแยกลำสาลี แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ หลังผู้เสียหายรายหนึ่งสังเกตความผิดปกติของช่องสอดบัตร ที่เกิดเหตุเป็นเครื่องเอทีเอ็มยี่ห้อ NCR พบกรอบพลาสติกสีเขียวโปร่งแสง ที่ออกแบบมาเพื่อประกบเข้ากับช่องสอดบัตร ด้านในบรรจุแผงวงจรที่เรียกว่าเครื่องสกิมมิง สำหรับอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กบนบัตรเอทีเอ็ม ส่วนด้านบนตู้เอทีเอ็มพบกล้องรูเข็มถูกติดเข้ากับท่อนพลาสติกสีเขียว ซึ่งเป็นสีเดียวกับเครื่องเอทีเอ็ม พร้อมถ่านสำหรับลักลอบดูรหัสบัตรเอทีเอ็มเวลาเหยื่อเข้ามาใช้บริการ
       
       ผู้เสียหายเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ขณะที่ตนเสียบบัตรเอทีเอ็ม สังเกตไฟบริเวณช่องเสียบบัตรไม่กระพริบ เมื่อลองเคาะออกมาจะรู้สึกหลวม คล้ายจะหลุดออกมา และเมื่อดึงออกมาเบาๆ จึงพบว่ามีคนร้ายทำกรอบพลาสติกสีเขียวครอบอีกชั้น ภายในมีวงจรที่เรียกว่าเครื่องสกิมมิง สำหรับอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กบนบัตรเอทีเอ็ม จากนั้นเมื่อสังเกตด้านบนเครื่องเอทีเอ็มพบกล้องรูเข็มขนาดเล็กถูกติดตั้งประกบเข้ากับก้านสีเขียวสำหรับติด้านบนเครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งหากไม่สังเกตก็จะไม่รู้ คิดว่าเป็นของธนาคาร คาดว่าเป็นขบวนการโจรกรรมข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็ม เพื่อปลอมแปลงบัตรนำไปกดเงินสดออกจากบัญชี
       
       "วิธีสังเกตง่ายๆ ปกติเวลาจะใส่บัตรเราต้องดูให้แน่ใจก่อนว่ามีไฟกระพริบหรือเปล่า เคาะๆ ดูว่ารู้สึกแน่นๆ ไหม ลองดึงออกมาดู ถ้าแน่นก็ไม่มีปัญหา ส่วนวิธีป้องกัน ต่อให้ได้ข้อมูลบัตรเราไป แต่ถ้าไม่มีรหัสกดบัตร 4 หลัก ก็เอาเงินไปไม่ได้ ดังนั้นเวลากดเงินให้เอามือปิดเลขด้วย ไม่ได้เพื่อป้องกันคนข้างหลัง แต่ป้องกันกล้องรูเข็มที่แอบติดไว้" ผู้เสียหายระบุ




หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 22, 2014, 06:00:01 am
กดเงินเจอของจริง! พบเครื่องสกิมมิง-กล้องรูเข็มตู้ ATM กสิกรไทย รามคำแหง 58/3 (ชมคลิป)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 กันยายน 2557 01:02 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000108665-

ชมคลิป ตามลิงค์ครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 05, 2014, 08:38:24 am
.


รู้ว่า เป็นสถานที่แห่งไหน  ก็อย่าไปใช้บริการ เนื่องจากไม่มีความปลอดภัย  นี่แค่ทรัพย์สินในล็อกเกอร์  ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น




-------------------------------------------------------------



เตือนภัย โจรงัดล็อกเกอร์ฟิตเนสดัง ขโมยของลูกค้า

-http://hilight.kapook.com/view/109086-


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/z-1jpeg-o.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/z-31jpeg-o.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ meawhoi สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
 

         เตือนภัยโจรงัดล็อกเกอร์ในฟิตเนสดังย่านบางกะปิ แต่ฟิตเนสกลับเพิกเฉย ไม่ยอมให้ตำรวจเข้าตรวจสอบ-ไม่รับผิดชอบของลูกค้า ชาวเน็ตวิจารณ์หนัก

         เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 มีรายงานว่า ในโลกออนไลน์ ได้มีการแชร์เรื่องราวร้องทุกข์ของลูกค้าในฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งฟิตเนสแห่งนี้มีลูกค้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่มีความปลอดภัย เพราะลูกค้าคนหนึ่งของฟิตเนสกลับถูกงัดล็อกเกอร์ สูญเสียของมีค่าจำนวนมาก ทว่า ทางฟิตเนสเองกลับเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ จนกลายมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์

          ทั้งนี้ คุณ meawhoi สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม  ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มีลูกค้าคนหนึ่งไปใช้บริการฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านบางกะปิ แต่ล็อกเกอร์ของลูกค้าคนนั้นกลับถูกงัด สร้อยคอทองคำ 3 บาทและพระเครื่องหลวงปู่ทวด 2 องค์หายไป จนกระทั่งลูกค้าคนดังกล่าวต้องไปแจ้งความกับตำรวจ เมื่อตำรวจส่งหน่วยพิสูจน์หลักฐานมาที่ฟิตเนส เจ้าหน้าที่ฟิตเนสกลับไม่ยอมให้เข้าไป โดยอ้างว่ามีคนมาใช้บริการเยอะ กลัวว่าลูกค่าคนอื่น ๆ จะตกใจ เจ้าหน้าที่เลยต้องกลับไปก่อน ภายหลังทางฟิตเนสได้โทรให้กองพิสูจน์หลักฐานกลับมาใหม่ ก็ไม่มีคนรับสายอีก ทำให้เจ้าทุกข์ร้อนใจมาก จึงพยายามขอเบอร์สำนักงานใหญ่ แต่เจ้าของสาขากลับบ่ายเบี่ยง เพราะมองว่าอย่างไรเจ้าทุกข์ก็ต้องกลับมาที่ฟิตเนสอยู่ดี

          เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 1 อาทิตย์ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ซึ่งทำให้เชื่อว่า ทุกวันนี้โจรก็ยังคงอยู่ในฟิตเนสและคงรอจังหวะงัดแงะของมีค่าจากสมาชิกคนอื่น ๆ ส่วนทางฟิตเนสเองก็ไม่ได้รับผิดชอบกับมูลค่าความเสียหายของลูกค้า เนื่องจากอ้างว่าไม่มีนโนบาย

          เรื่องนี้ถูกส่งต่อและถูกเผยแพร่อย่างมากในสังคมออนไลน์ บ้างก็มีการเตือนให้ลูกค้าฟิตเนส ระมัดระวังการเข้าฟิตเนส และอยากให้มีการเสริมความปลอดภัยภายในฟิตเนสให้มากกว่านี้




หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2014, 10:57:10 am
ทำไมไม่ดำเนินคดีกับ กลุ่มคนที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบ 


ไม่รู้ว่า เป็นเพราะอะไร


-----------------------------------------------------------------------------------


สาวใหญ่จุดไฟเผาตัวพ้นขีดอันตรายแล้ว “น้องสาว” เผยเจ้าหนี้ตะลึงไม่คิดว่าจะทำจริง
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    16 ตุลาคม 2557 12:49 น.

-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000119214-


 แพทย์แถลงอาการสาวใหญ่เมืองลพบุรีจุดไฟเผาตัวเองพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อาการอื่นต้องรอประเมินเป็นระยะ ทั้งความลึกบาดแผล-ปอด-ดวงตา ด้านน้องสาวเผยกู้ 2.5 แสน แต่ถูกทบสารพัดจนบานเป็น 3.5 ล้าน ล่าสุดเจ้าหนี้โทร.มาหาบอก ตกตะลึงไม่คิดว่าจะทำจริง เลยสวนอย่ามาซ้ำเติม
       
       จากณีกรณีนางสังเวียน รักษาเพ็ชร์ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/4 หมู่ 2 ต.วังจั่น อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ใช้น้ำมันราดใส่ตัวเองก่อนจุดไฟเผาบาดเจ็บสาหัส ภายในศูนย์บริการประชาชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หลังมายื่นหนังสือร้องทุกข์ปัญหานี้สิน 1.5 ล้านบาท เหตุเกิดเช้าวันที่ 15 ตุลาคม ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
       
       วันนี้ (16 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล นพ.ผลเลิศ พันธุ์ธนกุล รองคณบดีฝ่ายบริการ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เปิดเผยว่า คนเจ็บยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และไม่ได้มีอาการต้านเครื่องช่วยหายใจ แต่ยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน โดยเบื้องต้นอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับทรงตัว และยังไม่สามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่ถูกไฟไหม้ 50% ตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงลำตัวว่ามีความลึกระดับไหน เนื่องจากแผลยังบวมอยู่
       
       “จุดนี้แพทย์ยังเป็นห่วง ต้องรอผลหลังผ่าตัดอีกครั้งช่วงบ่ายนี้ เพื่อประเมินอาการต่อไป ส่วนจะกลับมาปกติ อวัยวะใช้งานได้เหมือนเดิมหรือไม่ ต้องประเมินผลกันอีกครั้ง”
       
       นพ.ผลเลิศกล่าวว่า ตอนนี้แพทย์เป็นห่วงเรื่องปัสสาวะที่ขับออกมาน้อย เนื่องจากการไหลเวียนของเสียไปที่ไตน้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำที่ให้คนไข้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่จากการวิเคราะห์ระบบไตพบว่ามีเกณฑ์ใช้ได้ปกติ ตอนนี้คนเจ็บมีขวัญกำลังใจดี ชีพจรและความดันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ปลายประสาทยังใช้ได้ ส่วนปอดต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าต้องรับการเอกซเรย์หรือไม่ จากนี้ต้องคอยประเมินอาการอย่างใกล้ชิด
       
       “สำหรับดวงตาเบื้องต้นพบว่าอาการบวมยุบลงเล็กน้อย แต่เนื่องจากคนเจ็บใช้เครื่องช่วยหายใจ จึงไม่สามารถสื่อสารกับแพทย์ผู้รักษาได้ ทำให้ยังประเมินเรื่องการมองเห็นได้ไม่ชัดเจน”
       
       นพ.ผลเลิศกล่าวว่า ช่วงเช้าทาง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาสอบถามอาการ ตอนนี้ทางโรงพยาบาลมุ่งรักษาคนเจ็บให้หาย โดยสามารถโอนสิทธิการรักษาที่ จ.ลพบุรี มารักษาที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลได้ตามสิทธิฉุกเฉินซึ่งตามกฎหมายสามารถรักษาได้ 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ถ้านานกว่านั้นต้องประสานสิทธิกันอีกครั้ง และดูว่าคนเจ็บมีความพร้อมที่จะย้ายโรงพยาบาลได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็จะดูแลจนกว่าจะอยู่ในภาวะปลอดภัย
       
       ด้าน น.ส.จันทร์จ๋า ทองอร่าม อายุ 41 ปี น้องสาวผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า เดินทางมาที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวานนี้เพราะเป็นห่วงสุขภาพของพี่สาว เมื่อมาเห็นรู้สึกตกใจจนร้องไห้ออกมา อยากให้พี่สาวหายเร็วๆ วิงวอนขอความยุติธรรมให้พี่สาวด้วยว่าอย่าซ้ำเติม เพราะนิสัยของพี่สาวเป็นคนขี้กลัว คาดว่าที่ก่อเหตุคงจะมีความเครียดหาทางออกไม่ได้เพราะว่าถูกเจ้าหนี้ทวงถามอยู่ตลอดเวลา
       
       น.ส.จันทร์จ๋ากล่าวว่า เวลาประมาณ 02.00 น.วันที่ 15 ตุบลาคม พี่สาวโทรศัพท์มาชวนให้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาร้องทุกข์พร้อมกันซึ่งก็ได้พูดคุยกันตลอดเวลา พอเวลา 05.30 น.พี่สาวก็มาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิด้วยรถตู้ ก่อนจะต่อรถเมล์มาที่เกิดเหตุ ปกติจะเป็นคนพาพี่สาวมาที่ศูนย์มา 6 ครั้งแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 7 โดยพี่สาวมาคนเดียว
       
       “ส่วนน้ำมันไม่ได้พกก่อนออกจากบ้าน น่าจะหาซื้อระหว่างทาง ส่วนมีดก็พกไว้ป้องกันตัว และที่นาทั้งหมดก็เป็นของเจ้าหนี้”
       
       น.ส.จันทร์จ๋ากล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้ครั้งนี้เกิดจาก 5 ปีก่อนได้ไปกู้เงินมาเรื่อยๆ รวม 250,000 บาท ก็เลยรับจ้างทวงหนี้เพื่อชดใช้หนี้เดิม แต่หลังๆทวงไม่ค่อยได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ค่อยดี และคิดว่า 2 ปีที่ผ่านมาทำนาก็หวังจะได้เงินมาชดใช้หนี้ แต่ไม่เป็นดังที่หวัง เจ้าหนี้ก็เลยทบหนี้ต่างๆ นานา ทำให้หนี้ทั้งหมดรวม 3.5 ล้านบาท แต่ไกล่เกลี่ยลดเหลือ 1.5 ล้านบาทซึ่งมากกว่าเงินต้นจำนวนมาก ทำให้เกิดความเครียดและมาก่อเหตุ
       
       “หลังเกิดเหตุเจ้าหนี้โทรศัพท์มาหาบอกว่ารู้สึกตกตะลึง ไม่คิดว่าพี่สาวจะทำจริง ก็เลยบอกไปว่าอย่ามาซ้ำเติมอีก ก่อนจะวางสายไป หลังเกิดเหตุก็มีนักข่าวเดินทางไปที่บ้านของเจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้ก็ปิดบ้านไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ เลย”

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 03:31:36 pm
ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้นอกระบบจนล้นพ้นตัว


-http://money.sanook.com/227669/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7/-


ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่มีมานานและไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายรวดเร็วตราบที่คนยังมีปัญหาพื้นฐาน  คือ รายได้ ไม่พอกับรายจ่าย  ส่วนรากลึกของปัญหาค่อนข้างจะซับซ้อนลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการสร้างรายได้  ขาดปัจจัยพื้นฐานในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งบางคนติดการพนันจึงต้องไปกู้นอกระบบก็มี ฯลฯ

แต่ประเด็นหนี้นอกระบบถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง  แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งที่ลูกหนี้กระทำกับตัวเอง หรือ เจ้าหนี้กระทำกับลูกหนี้ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้สั่งการให้ส่วนราชการมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

กรณีที่ลูกหนี้มีการกระทำรุนแรงต่อตัวเองไม่ว่า จุดไฟเผาตัวเอง  หรือ ผูกคอตาย ก็ตาม ทำให้เกิดความสงสัย ว่า กลไกต่างๆที่รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมีปัญหาหรือไม่อย่างไร  หรือ ลูกหนี้ไม่เข้าใจ  ไม่รู้ว่ามีกลไก ของทางการที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้

ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ  ทางการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อเข้ามาดูแลแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะไกล่เกลี่ยหนี้ กับเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยโหด หรือ คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด   และ มีการดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบโดยให้ธนาคารรัฐไม่ว่า ธ.ก.ส.หรือออมสิน เข้ามาดำเนินการ พร้อมกับ ส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยของลูกหนี้รายเดิมขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของหนี้นอกระบบนั้น ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในกลไกว่า เหตุใดการไปกู้ยืมเงินกับนายทุนแล้ว ไฉนหนี้เหล่านั้นถึงได้งอกงามใช้หนี้อย่างไรก็ไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที่....?

ในเรื่องนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ศคง. ให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ยิ่ง รวมถึงเสนอแนะว่า หากเป็นหนี้นอกระบบจำนวนมากมายแล้วจะมีหน่วยงานไหนบ้างที่สามารถช่วยเหลือแก้ไขหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

ลักษณะกลโกงการเงินนอกระบบ
เงินกู้นอกระบบ/เงินกู้โดยตรง

ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบมักเป็นผู้ให้กู้ที่ไม่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสถาบันการเงินกำหนด โดยจะบอกตัวเลขดอกเบี้ยหรือเงินคืนน้อย ๆ เพื่อดึงดูดผู้กู้

นอกจากนี้ผู้ให้กู้บางรายยังบังคับให้ลูกหนี้เซ็นสัญญาเงินกู้ที่ไม่ได้กรอกข้อความ หรือระบุจำนวนเงินกู้เกินจริง เช่น กู้ 10,000 บาท แต่ให้กรอกตัวเลขสูงถึง 30,000 บาท แต่ที่น่ากลัวคือ การทวงหนี้ด้วยวิธีที่โหดร้ายหรือผิดกฎหมาย เช่น ขู่กรรโชก ประจาน หรือทำร้ายร่างกาย

 

ข้อสังเกต
จำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้แจ้งต่อผู้กู้นั้น มักจะเป็นจำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยต่อวันเพื่อให้ผู้กู้รู้สึกว่าเป็นจำนวนเงินน้อย แต่เมื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนเทียบกับเงินต้นแล้วจะพบว่าดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้เรียกเก็บ จะสูงกว่าสถาบันการเงินที่มีทางการกำกับดูแลเป็นจำนวนมาก

สัญญาอำพรางเงินกู้ (หลีกเลี่ยงการให้กู้โดยตรง)
นายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้ใช้บัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตซื้อสินค้าที่มีมูลค่าแพงว่าเงินกู้ เช่น ต้องการกู้เงิน 20,000 จะให้ซื้อสินค้ามูลค่า 26,000 บาท เมื่อได้สินค้านายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้นำสินค้านั้นมาแลกกับเงินกู้จำนวน 20,000 บาท แล้วผู้กู้จะต้องรับผิดชอบชำระค่าสินค้ากับบริษัทบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตพร้อมทั้งดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

ข้อสังเกต
นายทุนเงินกู้ไม่ต้องรับความเสี่ยงในการปล่อยกู้เงินในครั้งนี้ เพราะทันทีที่จ่ายเงินให้กับผู้กู้ไป นายทุนเงินกู้จะได้รับสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จ่ายให้ผู้กู้ไป


วิธีป้องกันกลโกงการเงินนอกระบบ /เงินกู้นอกระบบ

0วางแผนรายรับรายจ่ายล่วงหน้าและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาเงินไม่พอใช้ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้
0ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองก่อนก่อหนี้
0ศึกษารายละเอียดของผู้ให้กู้ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือการทวงหนี้โหด
0เลือกกู้เงินในระบบ เพราะมีสัญญาการกู้เงินที่ชัดเจนและเป็นธรรมมากกว่า
0หากจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบ ให้ศึกษาเงื่อนไข รายละเอียดสัญญาให้ดีก่อนเซ็นสัญญา


สิ่งที่ควรทำเมื่อตกเป็นเหยื่อกลโกงการเงินนอกระบบ/เงินกู้นอกระบบ

หนี้นอกระบบส่วนมากเป็นหนี้ที่ผู้กู้ต้องรับภาระดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ผู้กู้จึงควรหาแหล่งเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ามาชำระคืน แต่หากไม่สามารถกู้ยืมในระบบได้ ผู้กู้อาจต้องยอมขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อนำมาชำระหนี้ แก้ไขปัญหาดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถชำระคืนได้ หากตกเป็นเหยื่อเงินกู้นอกระบบ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ดังนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่ง ศูนย์ดำรงธรรมมีอยู่ทุกจังหวัด ดังนั้น ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบสามารถเข้ามาปรึกษา นำข้อเท็จจริงมาหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

หรือใครที่มีเพื่อน ญาติพี่น้อง  ที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบก็ช่วยกันแนะนำเข้าไปใช้บริการ เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อย่าปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหาคิดว่าไม่มีทางออกจนต้องใช้วิธีการจบชีวิตเพื่อหนีปัญหาอีกเลย  เพราะการหาทางออกแบบนั้นใช่ว่าปัญหาจะหมดไปอาจทิ้งปัญหาไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังต้องตามแก้อีกเช่นเดิม...

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบบางส่วนจาก ศคง.    -http://www.1213.or.th/-

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 03:32:50 pm
ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้นอกระบบจนล้นพ้นตัว


-http://money.sanook.com/227669/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7/-


ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่มีมานานและไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายรวดเร็วตราบที่คนยังมีปัญหาพื้นฐาน  คือ รายได้ ไม่พอกับรายจ่าย  ส่วนรากลึกของปัญหาค่อนข้างจะซับซ้อนลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการสร้างรายได้  ขาดปัจจัยพื้นฐานในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งบางคนติดการพนันจึงต้องไปกู้นอกระบบก็มี ฯลฯ

แต่ประเด็นหนี้นอกระบบถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง  แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งที่ลูกหนี้กระทำกับตัวเอง หรือ เจ้าหนี้กระทำกับลูกหนี้ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้สั่งการให้ส่วนราชการมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

กรณีที่ลูกหนี้มีการกระทำรุนแรงต่อตัวเองไม่ว่า จุดไฟเผาตัวเอง  หรือ ผูกคอตาย ก็ตาม ทำให้เกิดความสงสัย ว่า กลไกต่างๆที่รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมีปัญหาหรือไม่อย่างไร  หรือ ลูกหนี้ไม่เข้าใจ  ไม่รู้ว่ามีกลไก ของทางการที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้

ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ  ทางการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อเข้ามาดูแลแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะไกล่เกลี่ยหนี้ กับเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยโหด หรือ คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด   และ มีการดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบโดยให้ธนาคารรัฐไม่ว่า ธ.ก.ส.หรือออมสิน เข้ามาดำเนินการ พร้อมกับ ส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยของลูกหนี้รายเดิมขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของหนี้นอกระบบนั้น ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในกลไกว่า เหตุใดการไปกู้ยืมเงินกับนายทุนแล้ว ไฉนหนี้เหล่านั้นถึงได้งอกงามใช้หนี้อย่างไรก็ไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที่....?

ในเรื่องนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ศคง. ให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ยิ่ง รวมถึงเสนอแนะว่า หากเป็นหนี้นอกระบบจำนวนมากมายแล้วจะมีหน่วยงานไหนบ้างที่สามารถช่วยเหลือแก้ไขหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

ลักษณะกลโกงการเงินนอกระบบ
เงินกู้นอกระบบ/เงินกู้โดยตรง

ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบมักเป็นผู้ให้กู้ที่ไม่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสถาบันการเงินกำหนด โดยจะบอกตัวเลขดอกเบี้ยหรือเงินคืนน้อย ๆ เพื่อดึงดูดผู้กู้

นอกจากนี้ผู้ให้กู้บางรายยังบังคับให้ลูกหนี้เซ็นสัญญาเงินกู้ที่ไม่ได้กรอกข้อความ หรือระบุจำนวนเงินกู้เกินจริง เช่น กู้ 10,000 บาท แต่ให้กรอกตัวเลขสูงถึง 30,000 บาท แต่ที่น่ากลัวคือ การทวงหนี้ด้วยวิธีที่โหดร้ายหรือผิดกฎหมาย เช่น ขู่กรรโชก ประจาน หรือทำร้ายร่างกาย

 

ข้อสังเกต
จำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้แจ้งต่อผู้กู้นั้น มักจะเป็นจำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยต่อวันเพื่อให้ผู้กู้รู้สึกว่าเป็นจำนวนเงินน้อย แต่เมื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนเทียบกับเงินต้นแล้วจะพบว่าดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้เรียกเก็บ จะสูงกว่าสถาบันการเงินที่มีทางการกำกับดูแลเป็นจำนวนมาก

สัญญาอำพรางเงินกู้ (หลีกเลี่ยงการให้กู้โดยตรง)
นายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้ใช้บัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตซื้อสินค้าที่มีมูลค่าแพงว่าเงินกู้ เช่น ต้องการกู้เงิน 20,000 จะให้ซื้อสินค้ามูลค่า 26,000 บาท เมื่อได้สินค้านายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้นำสินค้านั้นมาแลกกับเงินกู้จำนวน 20,000 บาท แล้วผู้กู้จะต้องรับผิดชอบชำระค่าสินค้ากับบริษัทบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตพร้อมทั้งดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

ข้อสังเกต
นายทุนเงินกู้ไม่ต้องรับความเสี่ยงในการปล่อยกู้เงินในครั้งนี้ เพราะทันทีที่จ่ายเงินให้กับผู้กู้ไป นายทุนเงินกู้จะได้รับสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จ่ายให้ผู้กู้ไป


วิธีป้องกันกลโกงการเงินนอกระบบ /เงินกู้นอกระบบ

0วางแผนรายรับรายจ่ายล่วงหน้าและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาเงินไม่พอใช้ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้
0ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองก่อนก่อหนี้
0ศึกษารายละเอียดของผู้ให้กู้ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือการทวงหนี้โหด
0เลือกกู้เงินในระบบ เพราะมีสัญญาการกู้เงินที่ชัดเจนและเป็นธรรมมากกว่า
0หากจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบ ให้ศึกษาเงื่อนไข รายละเอียดสัญญาให้ดีก่อนเซ็นสัญญา


สิ่งที่ควรทำเมื่อตกเป็นเหยื่อกลโกงการเงินนอกระบบ/เงินกู้นอกระบบ

หนี้นอกระบบส่วนมากเป็นหนี้ที่ผู้กู้ต้องรับภาระดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ผู้กู้จึงควรหาแหล่งเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ามาชำระคืน แต่หากไม่สามารถกู้ยืมในระบบได้ ผู้กู้อาจต้องยอมขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อนำมาชำระหนี้ แก้ไขปัญหาดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถชำระคืนได้ หากตกเป็นเหยื่อเงินกู้นอกระบบ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ดังนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่ง ศูนย์ดำรงธรรมมีอยู่ทุกจังหวัด ดังนั้น ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบสามารถเข้ามาปรึกษา นำข้อเท็จจริงมาหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

หรือใครที่มีเพื่อน ญาติพี่น้อง  ที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบก็ช่วยกันแนะนำเข้าไปใช้บริการ เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อย่าปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหาคิดว่าไม่มีทางออกจนต้องใช้วิธีการจบชีวิตเพื่อหนีปัญหาอีกเลย  เพราะการหาทางออกแบบนั้นใช่ว่าปัญหาจะหมดไปอาจทิ้งปัญหาไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังต้องตามแก้อีกเช่นเดิม...

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบบางส่วนจาก ศคง.    -http://www.1213.or.th/-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 03:33:32 pm
ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้นอกระบบจนล้นพ้นตัว


-http://money.sanook.com/227669/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7/-


ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่มีมานานและไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายรวดเร็วตราบที่คนยังมีปัญหาพื้นฐาน  คือ รายได้ ไม่พอกับรายจ่าย  ส่วนรากลึกของปัญหาค่อนข้างจะซับซ้อนลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการสร้างรายได้  ขาดปัจจัยพื้นฐานในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งบางคนติดการพนันจึงต้องไปกู้นอกระบบก็มี ฯลฯ

แต่ประเด็นหนี้นอกระบบถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง  แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งที่ลูกหนี้กระทำกับตัวเอง หรือ เจ้าหนี้กระทำกับลูกหนี้ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้สั่งการให้ส่วนราชการมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

กรณีที่ลูกหนี้มีการกระทำรุนแรงต่อตัวเองไม่ว่า จุดไฟเผาตัวเอง  หรือ ผูกคอตาย ก็ตาม ทำให้เกิดความสงสัย ว่า กลไกต่างๆที่รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมีปัญหาหรือไม่อย่างไร  หรือ ลูกหนี้ไม่เข้าใจ  ไม่รู้ว่ามีกลไก ของทางการที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้

ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ  ทางการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อเข้ามาดูแลแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะไกล่เกลี่ยหนี้ กับเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยโหด หรือ คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด   และ มีการดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบโดยให้ธนาคารรัฐไม่ว่า ธ.ก.ส.หรือออมสิน เข้ามาดำเนินการ พร้อมกับ ส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยของลูกหนี้รายเดิมขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของหนี้นอกระบบนั้น ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในกลไกว่า เหตุใดการไปกู้ยืมเงินกับนายทุนแล้ว ไฉนหนี้เหล่านั้นถึงได้งอกงามใช้หนี้อย่างไรก็ไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที่....?

ในเรื่องนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ศคง. ให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ยิ่ง รวมถึงเสนอแนะว่า หากเป็นหนี้นอกระบบจำนวนมากมายแล้วจะมีหน่วยงานไหนบ้างที่สามารถช่วยเหลือแก้ไขหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

ลักษณะกลโกงการเงินนอกระบบ
เงินกู้นอกระบบ/เงินกู้โดยตรง

ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบมักเป็นผู้ให้กู้ที่ไม่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสถาบันการเงินกำหนด โดยจะบอกตัวเลขดอกเบี้ยหรือเงินคืนน้อย ๆ เพื่อดึงดูดผู้กู้

นอกจากนี้ผู้ให้กู้บางรายยังบังคับให้ลูกหนี้เซ็นสัญญาเงินกู้ที่ไม่ได้กรอกข้อความ หรือระบุจำนวนเงินกู้เกินจริง เช่น กู้ 10,000 บาท แต่ให้กรอกตัวเลขสูงถึง 30,000 บาท แต่ที่น่ากลัวคือ การทวงหนี้ด้วยวิธีที่โหดร้ายหรือผิดกฎหมาย เช่น ขู่กรรโชก ประจาน หรือทำร้ายร่างกาย

 

ข้อสังเกต
จำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้แจ้งต่อผู้กู้นั้น มักจะเป็นจำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยต่อวันเพื่อให้ผู้กู้รู้สึกว่าเป็นจำนวนเงินน้อย แต่เมื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนเทียบกับเงินต้นแล้วจะพบว่าดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้เรียกเก็บ จะสูงกว่าสถาบันการเงินที่มีทางการกำกับดูแลเป็นจำนวนมาก

สัญญาอำพรางเงินกู้ (หลีกเลี่ยงการให้กู้โดยตรง)
นายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้ใช้บัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตซื้อสินค้าที่มีมูลค่าแพงว่าเงินกู้ เช่น ต้องการกู้เงิน 20,000 จะให้ซื้อสินค้ามูลค่า 26,000 บาท เมื่อได้สินค้านายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้นำสินค้านั้นมาแลกกับเงินกู้จำนวน 20,000 บาท แล้วผู้กู้จะต้องรับผิดชอบชำระค่าสินค้ากับบริษัทบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตพร้อมทั้งดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

ข้อสังเกต
นายทุนเงินกู้ไม่ต้องรับความเสี่ยงในการปล่อยกู้เงินในครั้งนี้ เพราะทันทีที่จ่ายเงินให้กับผู้กู้ไป นายทุนเงินกู้จะได้รับสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จ่ายให้ผู้กู้ไป


วิธีป้องกันกลโกงการเงินนอกระบบ /เงินกู้นอกระบบ

0วางแผนรายรับรายจ่ายล่วงหน้าและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาเงินไม่พอใช้ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้
0ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองก่อนก่อหนี้
0ศึกษารายละเอียดของผู้ให้กู้ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือการทวงหนี้โหด
0เลือกกู้เงินในระบบ เพราะมีสัญญาการกู้เงินที่ชัดเจนและเป็นธรรมมากกว่า
0หากจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบ ให้ศึกษาเงื่อนไข รายละเอียดสัญญาให้ดีก่อนเซ็นสัญญา


สิ่งที่ควรทำเมื่อตกเป็นเหยื่อกลโกงการเงินนอกระบบ/เงินกู้นอกระบบ

หนี้นอกระบบส่วนมากเป็นหนี้ที่ผู้กู้ต้องรับภาระดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ผู้กู้จึงควรหาแหล่งเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ามาชำระคืน แต่หากไม่สามารถกู้ยืมในระบบได้ ผู้กู้อาจต้องยอมขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อนำมาชำระหนี้ แก้ไขปัญหาดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถชำระคืนได้ หากตกเป็นเหยื่อเงินกู้นอกระบบ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ดังนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่ง ศูนย์ดำรงธรรมมีอยู่ทุกจังหวัด ดังนั้น ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบสามารถเข้ามาปรึกษา นำข้อเท็จจริงมาหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

หรือใครที่มีเพื่อน ญาติพี่น้อง  ที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบก็ช่วยกันแนะนำเข้าไปใช้บริการ เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อย่าปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหาคิดว่าไม่มีทางออกจนต้องใช้วิธีการจบชีวิตเพื่อหนีปัญหาอีกเลย  เพราะการหาทางออกแบบนั้นใช่ว่าปัญหาจะหมดไปอาจทิ้งปัญหาไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังต้องตามแก้อีกเช่นเดิม...

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบบางส่วนจาก ศคง.    -http://www.1213.or.th/-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 08:31:50 pm
จับแก๊งสกิมเมอร์ชาวจีน คาโรงแรมย่านเยาวราช
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม

-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127554-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000013174401.JPEG)
นายจง เซี่ยวผิง นายหยาง ไห่ฉาง น.ส.หวง จือหง และ 4.นายหลิว กังโจว ผู้ต้องหาชาวจีน




ปอศ.จับแก๊งสกิมเมอร์สัญชาติจีน 4 รายคาโรงแรมย่านเยาวราช หลังได้รับการประสานจากแบงก์กสิกรไทยว่ามีคนร้ายตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็ม ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่อ้างว่าจะได้ค่าตอบแทนเป็นงินสดร้อยละ 10 จากขบวนการใหญ่อยู่ที่มณฑลเจียงซู ประเทศจีน
       
       วันนี้ (5 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พ.ต.อ.ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล รรท.ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.ท.จักรกริช เสริบุตร รอง ผกก.5 บก.ปอศ. และพ.ต.ต.ชยานนท์ ทองแถม สว.กก 5.บก.ปอศ. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม 1. นายจง เซี่ยวผิง (Mr. Zhong xiaoping) อายุ 46 ปี 2. นายหยาง ไห่ฉาง ( Mr. Yang haichang) อายุ 37 ปี 3. น.ส.หวง จือหง (Ms.Huang zhihong) อายุ 29 ปี และ 4. นายหลิว กังโจว (Mr.Lui ganzhou) อายุ 38 ปี ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นชาวจีน พร้อมของกลาง บัตรเอทีเอ็มปลอม 65 ใบ กระดาษจดบันทึกและจดรหัสถอนเงินของบัตรต่างๆ 17 แผ่น สมุดจดรหัสบัตรฯ 1 เล่ม เครื่องอ่านคัดลอกและบันทึกข้อมูลบัตรฯ(เครื่องสกิมเมอร์) 1 ชุด โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง อุปกรณ์ติดตั้งกล้องขนาดเล็กพร้อมวงจรไฟฟ้า 2 ชุด และโทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนเยาวราช แขวงและเขตสัมพันธวงศ์ เมื่อเวลา 08.30 น.ที่ผ่านมา
       
       พ.ต.อ.ธงชัยกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยว่ามีกลุ่มชาวจีนใช้บัตรเอทีเอ็มปลอม ตระเวนถอนเงินสดจากตู้กดเงินในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มปลอมที่คนร้ายนำไปกดนั้น เป็นข้อมูลบัตรของธนาคารในประเทศอเมริกา คูเวต บาห์เรน อินเดีย ออสเตรเลีย ดูไบ ยุโรป ฯลฯ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่นำเครื่องคัดลอกข้อมูล (สกิมเมอร์)ไปติดตามตู้ถอนเงินในประเทศไทย ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงติดตามจับกุมเพื่อขยายผลกระทั่งทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว หนีไปกบดานอยู่ในย่านเยาวราช จึงเฝ้าติดตามกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 4 ราย
       
       จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำการดังกล่าวจริง โดยจะนำบัตรเอทีเอ็มปลอมซึ่งรับมาจากนายจีจา ชาวจีน ไปผลัดกันตระเวนกดเงินตามตู้กดเงินในพื้นที่กรุงเทพฯ จริง หากดำเนินการสำเร็จจะได้ค่าตอบแทนเป็นงินสด ร้อยละ 10 ของเงินที่สามารถกดมาได้ โดยจะมีหัวหน้าขบวนการใหญ่อยู่ที่มณฑลเจียงซู ประเทศจีนเป็นผู้คอยสั่งการอีกทอดหนึ่ง
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางการสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหาว่ามีหัวหน้าขบวนการใหญ่อยู่ในประเทศจีน เนื่องจากหลักฐานที่พบมีทั้งบัตรเอทีเอ็มปลอม เครื่องคัดลอกข้อมูล (เครื่องสกิมเมอร์) และยังพบว่ามีอุปกรณ์ติดตั้งกล้องขนาดเล็กพร้อมต่อวงจรไฟฟ้าอีกด้วย ถือว่าครบทั้งกระบวนการในการลักลอบกดเงินจากตู้เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะนำเงินที่กดได้มาแบ่งกันเองไม่ได้ส่งต่อให้หัวหน้าใหญ่ตามที่อ้าง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนเพิ่มเติมว่ามีการนำเครื่องสกิมเมอร์ไปติดตั้งที่ใด หรือมีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมโดยมิชอบ, ร่วมกันปลอมแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และร่วมกันทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรินิกส์ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.เพื่อดำเนินคดีต่อไป


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2014, 10:48:24 pm
8 ข้อเตือนภัยก่อนใช้ INTERNET BANKING

-http://guru.sanook.com/9709/8-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-INTERNET-BANKING/-


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้คนเราต่างต้องใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งต่างคิดค้นบริการทางอินเตอร์เน็ตหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าหรือผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน แถมยังได้รับบริการที่รวดเร็วทันใจเพียงแค่คลิกเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อทำธุรกรรมการเงินต่างๆ เมื่อมีข้อดีมากมาย ก็มีข้อควรระวังในเรื่องของความปลอดภัย ที่แม้ว่าธนาคารจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยให้กับลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่พยายามหาช่องโหว่ด้วยวิธีการต่างๆ ล่อล่วงเอา ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ ซึ่งผู้ใช้บริการเองก็ต้องรู้เท่าทัน เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

1. ผู้สมัครใช้บริการทางการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต ต้องเก็บรักษารหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) และรหัสรักษาความปลอดภัย (Security Password) เป็นความลับ

2. หมั่นเปลี่ยนรหัส ผ่านอยู่เสมอ และไม่ควรใช้รหัสผ่านที่บุคคลอื่นคาดเดาได้ง่าย

3. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เช่น รหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) รหัสเอทีเอ็ม (ATM PIN) รหัสบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี หมายเลขบัตร หรือข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทางอีเมล์ใดๆ

4. อย่าตอบกลับอีเมล์ที่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ มาให้ปรับปรุงข้อมูลหรือยืนยันความถูกต้อง

5. หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ (link) ที่แนบมากับอีเมล์ที่ไม่ทราบชื่อผู้ ส่ง หรืออีเมล์ที่ขอข้อมูลส่วนบุคคล เพราะอาจมีโปรแกรมสอดแนม (Spyware) แนบมากับลิงค์เหล่านั้นเพื่อโจรกรรมข้อมูล

6. คลิก ออกจากระบบ (Log out) เมื่อเลิกใช้อีเมล์หรือทำรายการทางการเงินต่างๆ แต่ละครั้งเรียบร้อยแล้ว

7. ตรวจสอบความถูกต้องของรายการธุรกรรม และยอดเงินในบัญชีของตนเองอย่าง สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันรายการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น

8. หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่น เช่น ในร้านอินเตอร์เน็ต เพราะอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดีพอ


ที่มาข้อมูลและภาพ -xn--r3ckmn7exc7b.com-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2014, 03:02:55 am
ตัวอย่างบริษัท ที่ไม่ควรทำงานด้วย

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ เอชอาร์ คอร์เนอร์ โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ -http://tamrongsakk.blogspot.com-

-http://campus.sanook.com/1375685/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-


ผมเพิ่งไปบรรยายหลักสูตร Public Training ให้กับบริษัทจัดฝึกอบรมแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ และมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประสานงานฝึกอบรมของบริษัท เธอเล่าให้ฟังว่า...เมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาด ๆ และได้ไปทำงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องหนังส่งออกมียี่ห้อแห่งหนึ่งแถว ๆ สุขุมวิท ซึ่งทำได้ประมาณเดือนครึ่งก็ตัดสินใจลาออก

"ทำไมถึงลาออกเร็วนักล่ะ ?" ผมถามด้วยความอยากรู้

เธอจึงเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ลาออก เพราะบริษัทดังกล่าวมีการปฏิบัติต่อพนักงานใหม่อย่างเธอ ดังนี้

1.บริษัทรับเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานประจำสำนักงานดูแลงานธุรการทั่วไปในสำนักงาน แต่บริษัทมีเงื่อนไขว่าจะต้องหักเงินค้ำประกันความเสียหายในการทำงาน 3,000 บาท โดยหักจากเงินเดือนในเดือนแรกเต็มจำนวน

2.เธอเซ็นสัญญาจ้างใน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานกับบริษัท เวลาทำงาน 08.00-17.00 น. เมื่อเธอขอสำเนาสัญญาจ้าง ฝ่ายบุคคลปฏิเสธไม่ยอมให้สัญญาจ้าง และบอกว่าสัญญาจ้างเป็นความลับต้องเก็บไว้ที่บริษัท

3.เมื่อทำงานไปประมาณเกือบเดือน ผู้บริหารก็สั่งให้เธอไปออกงานอีเวนต์ขายกระเป๋า, เครื่องหนังของบริษัทที่ศูนย์แสดงสินค้าชื่อดังแถว ๆ แจ้งวัฒนะ ซึ่งไกลจากที่ทำงาน (แถวสุขุมวิท) แถมไปขายเกินเวลาจนถึงประมาณสี่ทุ่มโดยบริษัทไม่ได้มีการจ่ายค่าล่วงเวลา และบอกว่าเป็นงานที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ


ถ้าไม่ทำจะถือว่าขัดคำ สั่งของบริษัท สรุปคือให้ไปขายสินค้าให้กับบริษัท 5 วันไม่ได้โอทีเลยแม้แต่วันเดียว แถมไม่มีค่าพาหนะเดินทางอะไรให้เลย

4.หลังจากขายของครบ 5 วันแล้วไม่ได้โอที เธอจึงตัดสินใจลาออก ซึ่งก็เขียนใบลาออกส่งให้กับหัวหน้า แต่หัวหน้าบอกว่าไม่อนุมัติการลาออก โดยอ้างว่าตามระเบียบของบริษัทจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสีย ก่อนถึงจะลาออกได้ ดังนั้น ถ้าเธอจะลาออกบริษัทจะยึดเงินค้ำประกันการทำงาน 3,000 บาท เพราะถือว่าทำให้บริษัทเสียหายหาคนมาแทนไม่ทัน

เป็นไงบ้างครับ เรื่องจริงจากชีวิตจริงของคนทำงานที่เพิ่งจบใหม่ ??

แต่น้องคนนี้แกก็ตัดสินใจลาออก โดยยอมให้บริษัทยึดเงินค้ำประกัน 3,000 บาท นะครับ เพราะเชื่อที่บริษัทบอกว่าบริษัทมีสิทธิ์หักได้ แต่แกถามผมว่า...ที่จริงแล้วบริษัทมีสิทธิ์จะยึดเงินค้ำประกันไว้ตามระเบียบ ที่บริษัทกล่าวอ้างหรือไม่ ?

จากเรื่องจริงที่ผมเล่ามานี้เป็น อุทาหรณ์ที่ผมอยากจะนำมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ (รวมถึงบอกให้น้องคนนี้ได้ทราบ) สิ่งที่ถูกต้องดังนี้ครับ

1.บริษัทไม่มีสิทธิ์ที่จะหักเงินค้ำประกันการทำงานตั้งแต่แรกแล้วนะครับ เพราะตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) ปี 2551 ระบุไว้ในมาตรา 10 ระบุไว้ชัดเจนว่า "....ห้ามมิให้นายจ้างเรียก หรือรับหลักประกันการทำงาน หรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือการค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะ หรือสภาพงานที่ทำนั้น ลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้...."

จะเห็นได้ว่ากรณีของน้องคนนี้เธอไม่ได้ทำงานที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หรือทรัพย์สินของบริษัทอะไรเลย

ดังนั้น ถ้าท่านไปสมัครงาน และบริษัทนั้นเรียกเงินค้ำประกัน (หรือแม้แต่จะให้หาคนมาค้ำประกัน) ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน หรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ผมว่าท่านควรคิดดูให้ดี ๆ ว่าเราควรจะทำงานกับบริษัทที่ส่อเจตนาทำผิดกฎหมายแรงงาน และเอาเปรียบพนักงาน ตั้งแต่แรกแบบนี้หรือไม่

2.สัญญาจ้างงานไม่ใช่ ความลับตามที่ฝ่ายบุคคล (ซึ่งผมมั่นใจว่าต้องไม่ใช่ฝ่ายบุคคลมืออาชีพอย่างแน่นอน เพราะคนที่เป็นมืออาชีพ HR จะต้องไม่พูดอย่างนี้) กล่าวอ้าง ซึ่งหากเป็นมืออาชีพควรจะให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่ด้วย เพื่อยืนยันเงื่อนไขสภาพการจ้างอย่างโปร่งใสชัดเจน ซึ่งผมไม่เห็นว่าการให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่จะเป็นเรื่องลับอะไรเลย

3.การที่บริษัทสั่งให้ไปทำงานออกอีเวนต์ จนเลยเวลาทำงานปกติแล้วไม่ให้ค่าล่วงเวลาก็ผิดกฎหมายแรงงานอีกด้วย แถมยังมาอ้างว่าถ้าไม่ไปทำจะถือว่าขัดคำสั่งบริษัท กรณีนี้หากไม่ไปทำงานออกอีเวนต์ก็ไม่ถือว่าขัดคำสั่งนายจ้างนะครับ เพราะงานของน้องคนนี้เป็นงานธุรการทั่วไปไม่มีหน้าที่ไปออกอีเวนต์ขายของ ซึ่งเป็นงานของฝ่ายขายครับ

ผมถึงบอกว่าคนที่ทำฝ่ายบุคคลบริษัทแห่ง นี้คงเป็นใครสักคนที่บริษัทเป็นคนอุปโลกน์ให้ว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแบบ กลวง ๆ ที่ไม่ใช่มืออาชีพ ซึ่งคนพวกนี้แหละครับที่ทำให้พนักงานอื่น ๆ มองคนที่ทำงานฝ่ายบุคคลในแง่เสียหาย

มองว่า HR เป็นพวกที่ชอบเอาเปรียบพนักงาน พวกบ้าอำนาจ ฯลฯ

ซึ่งผมว่าท่านที่เป็น HR มืออาชีพควรจะต้องนำกรณีที่ผมเล่ามานี้เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้มีพฤติกรรมทำนองนี้ด้วยนะครับ

4.ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า "การลาออกเป็นสิทธิ์ของลูกจ้าง" เมื่อพนักงานยื่นใบลาออก และระบุว่าการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ การลาออกจะมีผลตามวันที่ระบุไว้ โดยไม่ต้องรอว่านายจ้างจะอนุมัติหรือไม่ (แต่การเป็นพนักงานที่ดีก็ควรทำตามระเบียบบริษัทซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้ยื่น ล่วงหน้า 30 วัน)

แต่กรณีบริษัทที่มีพฤติกรรมแบบนี้ที่มาอ้างว่าการ ลาออกต้องทำตามระเบียบคือให้ผู้บริหารอนุมัติเสียก่อนถึงจะลาออกได้ อ้างแบบนี้ก็ผิดแล้วล่ะครับ แถมมายึดเงินค้ำประกันไว้ 3,000 บาทไม่ยอมจ่ายคืนเสียอีก

ทั้ง ๆ ที่พนักงานก็ไม่ได้ทำอะไรให้บริษัทเสียหายเลย

ผมบอกน้องคนนี้ไปว่าถ้าไปร้องเรียนกับแรงงานเขตพื้นที่หรือไปฟ้องศาลแรงงานล่ะ ได้คืนแน่ ๆ แถมยังจะได้ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดชำระอีกร้อยละสิบห้าต่อปีต่างหาก แต่น้องเขาก็บอกว่าไม่อยากเสียเวลาไปศาล ก็เลยปล่อยให้บริษัทขี้โกงรายนี้เอาเปรียบลูกจ้างหน้าใหม่รายอื่นอีกต่อไป

ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่ออยากจะฝากข้อเตือนใจถึง HR มืออาชีพทุกท่านได้ทราบไว้เป็นข้อคิด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นจะต้องให้ความรู้กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัททราบด้วยว่าการ กระทำอะไรบ้างที่ผิดกฎหมายแรงงานเป็นการเอาเปรียบพนักงาน

อะไรถูกอะไรผิด อะไรทำได้หรือไม่ควรทำ ฯลฯ

เพราะหากทำไปแล้ว จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกในทางลบกับบริษัท หรือจะเกิดปัญหากับบริษัทในอนาคต ซึ่งการเป็น HR มืออาชีพจำเป็นจะต้องกล้าพูดความจริง และทำในสิ่งที่ถูกต้องครับ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:50:26 am
แฉหมดเปลือก ธุรกิจทำงานผ่านเน็ต ไม่จำกัดวุฒิ ที่แท้ก็คือ...

-http://money.kapook.com/view108428.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ชาวเน็ตเปิดโปงโฆษณาชวนคนทำงานหารายได้พิเศษ โว แค่มีอินเทอร์เน็ตก็สร้างรายได้หลักหมื่น ไม่จำกัดวุฒิ ที่แท้คืออะไรกันแน่
 
           เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเห็นข้อความ หรือใบปลิวที่เขียนเชิญชวนให้คนมาทำงานพิเศษผ่านอินเทอร์เน็ต โดยระบุว่าเป็นงานง่าย ๆ มีเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ทำได้ ให้รายได้ดีหลักหมื่นขึ้นไป และไม่จำกัดวุฒิการศึกษาด้วย ซึ่งชวนน่าสงสัยไม่น้อยว่า นี่คืองานประเภทไหนกันแน่ มีด้วยหรืองานง่าย ๆ สบาย ๆ รายได้ดีขนาดนี้ ฟังดูแล้วน่าดึงดูดใจไม่น้อย จึงพยายามหาคำตอบกัน

           และล่าสุดก็มีผู้ไขข้อข้องใจให้แล้ว โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 1753904 ได้ตั้งกระทู้ชื่อ "แฉหมดเปลือก.......... ไอ้ธุรกิจหารายได้พิเศษ ทำงานผ่านเน็ต ไม่จำกัดวุฒิ - มันคืออะไรกันแน่?" ลงในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม อธิบายให้รู้ว่างานที่ว่าคือทำอะไรกันแน่ พร้อมกับเตือนภัยคนที่คิดจะไปทำงานตามโฆษณาดังกล่าวด้วย

           โดยเจ้าของกระทู้เล่าว่า ก่อนหน้านี้มีเพื่อนชวนไปทำงานที่โฆษณาว่า "รับสมัครงานโปรโมทเว็บไซต์ ทำหน้าที่ส่งเมล รายได้ 10,000-50,000  บาทต่อเดือน อายุ 17 ปีขึ้นไป (ไม่จำกัดวุฒิ) ใช้ Internet และ คอมพิวเตอร์พื้นฐานได้" จึงสงสัยว่าแค่เล่นอินเทอร์เน็ตก็ได้เงินขนาดนี้จริงหรือ เจ้าของกระทู้จึงเดินทางไปที่ตึกออลซีซั่นตามที่ระบุไว้ เมื่อไปถึงก็ได้รับคำตอบวา ให้ทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต ส่งอีเมลหาลูกค้า จากนั้นก็นัดให้ไปพบอีกครั้งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

           วันรุ่งขึ้น เพื่อนโทรมาปลุกให้ไปที่โรงแรมด้วยกัน ซึ่งเมื่อไปถึงหน้างานก็ทราบว่า ต้องจ่ายค่าเข้าร่วมงาน 600 บาท โดยเป็นค่าสัมมนาและค่าอาหารกลางวัน และเน้นย้ำว่าต้องเข้าฟังวันนี้ ไม่เช่นนั้นจะพลาดโอกาส เมื่อเข้าไปในห้องก็มีคนขึ้นมาพูดถึงความสำเร็จของตัวเองที่ได้เงินเดือนละเป็นแสนเป็นล้าน แต่เจ้าของกระทู้กลับรู้สึกแปลก ๆ และคิดจะกลับออกจากงาน แต่กลับถูกด่าว่าไม่มีมารยาท ทำให้ต้องนั่งฟังไปจนถึง 6 โมงเย็น แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบสักทีว่าคืองานอะไร กระทั่งตอนท้ายงานมีคนมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับไปที่ตึกออลซีซั่นอีกครั้ง เพื่อฟังเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจะได้บันทึกข้อมูลลงในบริษัทเลย

           กระทั่งวันรุ่งขึ้น เจ้าของกระทู้ตัดสินใจกลับไปที่ตึกออลซีซั่นอีกครั้ง และนั่งฟังการบรรยายผ่านไป 6 ชั่วโมงก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไร จนมาถึง 30 นาทีก็ถึงบางอ้อ เมื่อมีการเปิดเผยชื่อผลิตภัณฑ์ขายตรงออกมา ทำให้รู้ว่า ธุรกิจนี้คือการขายตรงนั่นเอง โดยต้องเสียเงินค่าส่งทุนเป็นซูเปอร์เวเซอร์ 38,000 บาท เพื่อนำผลิตภัณท์ไปขายต่อ สร้างความงุนงงให้เจ้าของกระทู้เป็นอย่างมากว่า งานนี้เกี่ยวกับการใช้อีเมลอย่างไร และเหมือนเป็นการหลอกลวงให้คนไปฟังมากกว่าหรือไม่ เพราะสัปดาห์หนึ่งมีคนถูกชวนไปร่วมงานกว่า 500 คน เสียค่าเข้าฟังคนละ 600 บาท ดูแล้วช่างไม่แฟร์กับคนที่ไม่รู้เรื่องเลย จึงฝากช่วยแชร์และเตือนคนที่กำลังคิดจะไปทำงานตามโฆษณาแบบนี้ เพื่อไม่ให้ถูกหลอก

           และแน่นอนว่าหลังจากกระทู้ดังกล่าวถูกแชร์ต่อกัน ก็มีคนเข้ามาคอมเม้นท์พร้อมแสดงความคิดเห็น และร่วมแชร์ประสบการณ์เป็นจำนวนมาก โดยหลายคนบอกเช่นกันว่า เคยถูกหลอกให้ไปฟังมาแล้ว หลังจากฟังไปสักพักถึงรู้ว่าเป็นการขายตรง ซึ่งทำกันเป็นขบวนการเลยทีเดียว ที่น่าตกใจก็คือ มีหลายบริษัทที่ลงโฆษณาแบบนี้เพื่อดึงให้คนไม่รู้มาเข้าร่วม



หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2015, 06:24:29 am
ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


-http://money.sanook.com/243899/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AE-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A1.%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2/-


-http://www.matichon.co.th/index.php-

ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผอ.สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 3 วาระ เรียบร้อย คาดว่าจะมีผลบังคับต้นปี 2558 นี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ได้รับการคุ้มครองจากการทวงหนี้จากเจ้าหนี้ หรือผู้ทำหน้าที่แทนในการทวงหนี้มากขึ้น

สำหรับข้อห้ามที่ระบุไว้ในร่างกฎหมาย พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ มี 5 ข้อ ได้แก่

1.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ติดต่อบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสถานที่ติดต่อลูกหนี้

2.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ กระทำการในลักษณะที่เป็นการละเมิด และคุกคาม ในการติดตามทวงถามหนี้ อาทิ ใช้ความรุนแรง ใช้วาจา หรือภาษาดูหมิ่น ถากถาง เสียดสี การเปิดเผยความเป็นหนี้ของผู้บริโภคแก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

3.ห้ามติดตามทวงหนี้เกินสมควรแก่เหตุรวมถึงการติดต่อทางโทรศัพท์วันละหลายครั้ง และก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญ

4.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้กระทำการในลักษณะที่เป็นเท็จ หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในการติดตามทวงหนี้ เช่น ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี รัฐ หน่วยงานของรัฐ ทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย ทำให้เชื่อว่าหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดี ถูกยึดหรืออายัดทรัพย์หรือเงินเดือน ข่มขู่ว่าจะดำเนินการใด ทั้งที่ไม่มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมาย

5.ห้ามไม่ให้ผู้ติดตามหนี้ ติดตามทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม อาทิ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใดๆ เว้นแต่ได้มีการตกลงไว้ล่วงหน้า ติดต่อลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้โดยทางไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก หรือโทรสาร ใช้ภาษา สัญลักษณ์ ชื่อทางธุรกิจ บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดตามทวงถามหนี้ ส่วนการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ให้ติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้แจ้งไว้ ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยได้พยายามตามสมควรแล้ว ให้ถือเอาสถานที่ติดต่ออื่น เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการติดต่อได้ สำหรับการติดต่อลูกหนี้ทางโทรศัพท์ โทรสาร หรือติดต่อบุคคล สำหรับวันทำการให้ติดต่อได้ในเวลา 08.00-20.00 น. ส่วนวันหยุดราชการติดต่อได้ในเวลา 08.00-18.00 น. เว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร


ด้านบทกำหนดโทษแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โทษทางปกครองจะถูกปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 24 และทางอาญาจะถูกเพิกถอนการจดทะเบียน และจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษขั้นสูงสุด รวมทั้งให้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ขึ้นมาดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานด้วย
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 07, 2015, 10:17:40 pm
ชาวบ้านผวาแบงก์ร้อยปลอมระบาด บอกเหมือนของจริงมาก
โพสต์เมื่อ : 7 มกราคม 2558 เวลา 13:59:18
-http://money.kapook.com/view108779.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ชาวบ้าน ต.ลอ จ.พะเยา เก็บแบงก์ร้อยได้ แจ้งนายกเทศมนตรีตำบล สรุปเป็นของปลอมทั้งหมด เตรียมประกาศให้ชาวบ้านระมัดระวังการโดนหลอก

           วันที่ 7 มกราคม 2558 นายสมชาย เข็มเพชร ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบล (ทต.) เวียงลอ อ.จุน จ.พะเยา เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 06.00 น. นายสุเทพ ไกลทา ชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 4 ต.ลอ ได้เข้ามาพบตนและนางอุบลวรรณ เข็มเพชร นายก ทต.เวียงลอ ที่บ้านพัก พร้อมกับกระดาษที่มีรูปร่างคล้ายกับธนบัตรชนิดใบละ 100 บาท จำนวน 3 ใบ โดยระบุว่าพบตกหล่นระหว่างทางสายบ้านปางป้อม-สันหลวง หมู่ 4 ต.ลอ ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่นายสุเทพ กำลังกลับมาจากการไปดูเตาเผาถ่านจึงนำมาแจ้งนายก ทต.เวียงลอ เพื่อดำเนินการต่อไป

           ทั้งนี้ นางอุบลวรรณ นายก ทต.เวียงลอ กล่าวว่า นายสุเทพได้นำกระดาษที่คล้ายธนบัตรชนิดละ 100 บาท มาให้ตนดูจำนวน 3 ใบ บอกว่าเก็บได้ระหว่างทางสายบ้านปางป้อม-สันกลาง หมู่ 4 ตกหล่นอยู่ข้างทาง ซ้อนกันอยู่ 3 ใบ กลัวว่าจะเป็นของปลอมจึงนำมาให้ตนตรวจสอบเบื้องต้น จากนั้นตนจึงได้ประสานงานไปยัง สภ.จุน ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ ปรากฏว่ากระดาษทั้งสามใบเป็นธนบัตรชนิดละ 100 บาท ปลอมทั้งหมด โดยหากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่ทราบว่าเป็นของปลอม เพราะทำเหมือนของจริงมาก แต่ถ้าสังเกตให้ละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่าไม่มีลายน้ำ เมื่อหยดน้ำลงไปสีบนธนบัตรปลอมก็จาง หากเป็นเวลากลางคืนอาจจะถูกหลอกได้ง่ายมาก

           อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จุน ได้นำธนบัตรปลอมทั้ง 3 ใบ ไปทำการลงบันทึกประจำวันและตรวจสอบหาที่มาของธนบัตรปลอมดังกล่าวต่อไปแล้ว นอกจากนี้ นายก ทต.เวียงลอ ยังเตรียมออกประกาศแจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ระมัดระวังธนบัตรปลอมที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะร้านค้าต่าง ๆ หากไม่ระวังอาจจะถูกหลอกโดยมีคนนำธนบัตรปลอมมาซื้อของ รวมทั้งในตลาดสดก็ต้องระวัง เพราะมีการซื้อขายกันในเวลาเช้ามืด เสี่ยงต่อการระบาดของธนบัตรปลอมมาก


อ่านรายละเอียดจาก-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU1EWXdORE15TkE9PQ==&subcatid=-


(http://javascript:WindowOpen('show_image.html?image=online/2015/01/14206043241420604469l.jpg','700','525');)

รูปจากข่าวสด
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU1EWXdORE15TkE9PQ==&subcatid=-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 28, 2015, 09:42:35 pm
ตะลึง! ขอทานข้ามชาติอู้ฟู่ พกเงินสดกว่า 2 หมื่น

-http://news.sanook.com/1738889/-

(http://pe2.isanook.com/ns/0/ud/347/1738889/deseee.jpg)

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ชัยนาท ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกำลังเข้าตรวจสอบจัดระเบียบขอทานตามนโยบายของรัฐบาล ที่ตลาดเทศบาลเมืองชัยนาท บนถนนคงธรรม

จากการตรวจสอบ ปรากฏว่าไม่มีขอทานที่เป็นคนไทยแม้แต่รายเดียว แต่พบขอทานเป็นชายชาวต่างชาติ สัญชาติจีน นั่งขอเงินประชาชนที่เดินซื้อของภายในตลาด เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาสอบสวน ทราบชื่อ นายฉู่ เป่าฉง อายุ 40 ปี มือพิการทั้ง 2 ข้าง ตรวสอบในตัวพบเงินเหรียญที่ได้จากการขอทานจำนวน 480 บาท แต่เจ้าหน้าที่ต้องพบกับสิ่งที่ทำให้ตะลึงทั้งชุดเมื่อค้นในกระเป๋าสะพายของนายฉู่ พบเงินสดเป็นธนบัตรรวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 21,540 บาท

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายฉู่ไปตรวจค้นในที่พักซึ่งเป็นโรงแรมอยู่กลางเมืองใกล้จุดที่นายฉู่นั่งขอทาน ก็ได้พบเงินไทยชนิดเหรียญอีกจำนวนมาก จากการสอบสวนทราบว่า นายฉู่เคยทำงานอยู่ในโรงงานที่เมืองจีน แต่ถูกยางมะตอยกัดจนนิ้วกุด ปัจจุบันตกงาน เพื่อนบ้านที่เมืองจีนชักชวนให้มาเป็นขอทานที่ประเทศไทย บอกว่าได้เงินดี เพราะคนไทยขี้สงสาร เห็นใจคนพิการ จึงได้ทำเรื่องเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา อ้างว่าเงินที่พบเป็นเงินที่ติดตัวมาจากเมืองจีน

ทั้งนี้ จากผลการกวาดล้างจัดระเบียบขอทานตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.เป็นวันแรกนั้น นายอนุสันต์ เทียนทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผย เมื่อวันที่ 27ม.ค.ว่า จับกุมขอทานได้ทั้งสิ้น 107 คน เป็นคนไทย 87 คน ต่างด้าว 20 คน แยกเป็น กทม.มากที่สุด

เบื้องต้นยังไม่พบรายใด เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งขอทานคนไทยถูกนำส่งสถานสงเคราะห์เยียวยาฟื้นฟู คนต่างด้าวได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผลักดันส่งกลับประเทศ

ขอบคุณภาพประกอบจาก ไอเอ็นเอ็น

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2015, 07:50:49 pm
จะบอกว่า โกรธ ก็ ต้องยอม โกรธ



------------------------------------------------------------------------------------------

เจ้าหนี้ สุดทนติดชื่อลูกหนี้ประจานทั่วรถ ไม่ให้ก็อายกันไป

-http://hilight.kapook.com/view/115084-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/0_todayinfo/r59ie5.jpg)
เจ้าหนี้ติดชื่อลูกหนี้ประจานทั่วรถ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก JI Nakklee

           ไม่จ่ายก็อายกันไป ! เจ้าหนี้ติดชื่อ 15 ลูกหนี้ ประจานทั่วรถตู้ รวม ๆ ราคาแล้วร่วมล้านบาท บอกยืมกูไม่ให้ก็โกรธ พอทวงแถมยังท้าให้ฟ้อง

           เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ เลยล่ะ บางคนตอนมาขอยืมเงิน พูดดีเสียจริงจะให้ทำอะไรก็ยอมทุกอย่าง..รับปากจะคืนตอนนั้นตอนนี้ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เจ้าหนี้ก็ต้องหนักใจ กับเหตุผลล้านแปด !! ทวงบ่อย ๆ ก็เกรงใจ (ใครเป็นบ้าง) แต่ไม่ใช่กับเจ้าหนี้คนนี้... ที่ขอติดชื่อลูกหนี้ประจานกันไปเลย ให้ทวงจนเหนื่อยดีนัก ฮึ๊ยยยย

            โดยภาพดังกล่าว เป็นภาพของคุณ JI Nakklee ที่ได้บันทึกภาพของรถตู้คันหนึ่ง มองแวบแรกนึกว่ารถตู้โดยสารทั่วไปที่มีป้ายเขียนบอกสถานที่ แต่เมื่ออ่านดูดี ๆ แล้วกลับกลายเป็นชื่อคน 15 คน พร้อมจำนวนเงินเอาไว้ แถมยังมีคติประจำใจเอาไว้ประชดลูกหนี้ว่า.. ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย !! และ ยืมกูจัง ไม่ให้ก็โกรธ ให้ก็ไม่คืน ทวงก็ด่า แถมท้าให้ฟ้อง มึนจังมึง

           อย่างไรก็ดี เมื่อรวม ๆ จำนวนเงินที่เจ้าหนี้ติดบนรถตู้เป็นเงินร่วม 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งคุณ JI Nakklee ระบุว่า รถคันดังกล่าวจอดอยู่ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าข้อความดังกล่าวติดเพราะประจานลูกหนี้หรือนำมาติดเพื่อให้คนสนใจ แต่ที่แน่ ๆ ถ้าลูกหนี้มาเห็น คงจะเจ็บจี๊ดไม่น้อยเลยล่ะ





หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2015, 10:12:41 pm
แก๊งคอลเซ็นเตอร์แสบ ใช้เบอร์ ปปง. โทรหลอกเหยื่อโอนเงินกว่า 6 แสน

-http://hilight.kapook.com/view/116251-

  แก๊งคอลเซ็นเตอร์ช่างกล้าใช้เบอร์โทรศัพท์สำนักงาน ปปง. โทรหลอกเหยื่อว่ามีชื่อเข้าไปพัวพันกับคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก่อนถูกหลอกโอนเงิน 665,000 บาท

             วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้รับการร้องเรียนจาก นางอศรสุดา พิทักษ์ธรรม อายุ 45 ปี ว่าตัวเองได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งใช้โทรศัพท์หมายเลข 061-3234998 โทรมาหลอกให้โอนเงินจำนวน 665,000 บาทไปให้ อ้างว่าธนาคารกสิกรไทย สาขาบ้านบึง จ.ชลบุรี ได้อนุมัติเงินกู้แล้ว ทั้งที่ตนไม่เคยกู้เงิน

             โดยนางอศรสุดา กล่าวว่า ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งอ้างชื่อว่า ร.ต.อ. ธวัชชัย อยู่สกุล ทำงานที่สำนักงานป้องกันและปราบปราการฟอกเงิน ได้ใช้เบอร์โทรศัพท์ 02-219-3600 ของสำนักงาน ปปง. โทรมาหาตนและยังบอกให้ตนโทรไปตรวจสอบว่าเป็นเบอร์ของ ปปง. จริงหรือไม่ ตนจึงได้โทรไปที่ 1113 ว่าเบอร์ 02-219-3600 เป็นเบอร์ของสำนักงาน ปปง. จริง ตนจึงเริ่มหลงเชื่อ โดยชายคนดังกล่าวได้บอกว่าเอกสารทั้งหมดของนางสุจิตรา ที่เป็นคนยื่นแบบเงินกู้ซึ่งมีชื่อตนรวมอยู่ด้วย มีประวัติพัวพันเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด ถ้าจะอนุญาตให้ทำการยกเลิก ต้องให้รายละเอียด และให้พูดกับ พ.ต.อ. วรรณพงศ์

             นางอศรสุดา กล่าวต่อว่า ซึ่งทาง พ.ต.อ. วรรณพงศ์ ได้ให้คำแนะนำว่า ให้ถอนเงินออกจากธนาคาร เพราะหากนางสุจิตราถูกดำเนินคดีจะพัวพันถึงตนด้วย ตนตกใจจึงตัดสินใจไปถอนเงิน ซึ่งขณะที่กำลังถอนเงิน พ.ต.อ. วรรณพงศ์ บอกว่าต้องให้ความร่วมมือกับทางราชการ โดยการนำเงินมารันตัวเลขและให้โอนเงินเป็นจำนวน 665,000 บาท เข้าบัญชีนายเฉลิม ชมพู่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาหน้าเมือง จ.ขอนแก่น และบัญชีนายศุภชัย กันใจ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเทสโก้โลตัส อ.แม่สาย จ.เชียงราย

             ต่อมาเมื่อตนกลับถึงบ้านก็รู้สึกเอะใจว่าจะถูกหลอก จึงได้โทรไปยัง เบอร์ 02-219-3600 ของสำนักงาน ปปง. และสอบถามว่า ร.ต.อ. ธวัชชัย อยู่สกุล ทำงานที่นี่หรือไม่ และได้รับคำตอบว่าไม่มี ส่วนเบอร์ติดต่ออื่น ๆ ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แนะนำให้เอาสลิปโอนเงินให้แจ้งตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน แต่เบอร์ที่โทรหาตนเป็นเบอร์สำนักงาน ปปง. จริง จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบด้วย



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424425727-


หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2015, 10:25:21 pm
อยากจะบอกว่า  อย่าค้ำประกันใคร 

หากจะค้ำฯ ต้องมั่นใจว่า สามารถใช้หนี้แทนได้

หรือ การให้ยืมเงิน

ต้องมั่นใจว่า การให้ยืมไปแล้ว ให้ตัดใจและตัดหนี้สูญทันที



-----------------------------------------------------------------------------------


สท.คนดังเมืองอุตรดิตถ์ผูกคอตายคาบ้าน คาดเครียดเรื่องหนี้ค้ำประกันเพื่อนเกือบล้าน
-http://news.sanook.com/1777778/-


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

เมื่อเวลา 15.00 น. (9 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ รับแจ้งเหตุคนผูกคอตายภายในบ้าน ต.ท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ชั้นเดียวชื่อ โกยีคารเซ็นเตอร์ เปิดให้บริการซื้อขายเกี่ยวกับรถยนต์

ที่บริเวณหลังบ้านตรงกับประตูทางออกของด้านหลังบ้าน พบศพนายบัณฑิต อุตสาหะกานนท์ หรือ "โกยี" เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ เขต 1 ในสภาพเปลือยกายท่อนบนไม่ใส่เสื้อผ้า นุ่งกางเกงขาสั้นลายผลไม้สีขาว ผูกคอตายเสียชีวิตในสภาพลิ้นจุกปากบนกำแพง โดยมีสายไฟสำหรับชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ผูกอยู่ที่คอและร้อยผ่านช่องระบายอากาศพันกับหน้าต่างห้องครัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้ปลดสายไฟออกแล้วนำร่างลงมาวางไว้บนพื้น

จากการชันสูตรพลิกศพไม่พบบาดแผลอื่นต่างร่างกาย คาดเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตมานานกว่า 2 ชั่วโมง พบเพียงแต่รอยปูนและสีที่ติดอยู่ตามนิ้วมือทั้ง 2 ข้าง

สอบสวนทราบว่า ผู้ตายได้ไปค้ำประกันรถยนต์ให้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แต่เพื่อนขาดสภาพคล่อง จนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องและคดีขึ้นสู่ศาล เจ้าตัวหวั่นต้องชดใช้เงินแทนเพื่อนเป็นเงินจำนวนเกือบ 1 ล้านบาท ด้วยความเครียดและกลัดกลุ้มไม่รู้จะหาหยิบยืมเงินจากใครไปใช้หนี้จากการค้ำประกันครั้งนี้ จึงเป็นเหตุให้ผูกคอตาย

เช่นเดียวกับทางญาติพี่น้องต่างก็เชื่อว่าปัญหาน่าจะมาจากเรื่องหนี้ที่ค้ำประกันให้เพื่อน เพราะเคยบ่นให้ญาติพี่น้องฟังว่าหาทางออกเรื่องเงินไม่เจอ แต่ไม่คิดว่าจะหาทางออกให้กับตนเองด้วยวิธีนี้ และไม่ติดใจเอาความใด
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2015, 09:43:12 pm
ปาระเบิดสังหารเอ็ม 67 ใส่บ้านพัทลุง โชคดีไม่ทำงาน

-http://news.sanook.com/1798330/-

ปาระเบิดสังหารชนิดเอ็ม 67 ใส่บ้านโชคดีไม่ทำงาน พบเป็นเจ้าหนี้มาทวงเงินที่ค้างไว้

พ.ต.ต.ธีรยุทธิ์ มิตรมุสิก สวป.สภ.เมืองพัทลุง รับแจ้งจากพลเมืองดีพบระเบิดสังหารชนิดขว้างตกอยู่ที่ข้างบ้านเลขที่ 91 ม.6 ต.ปรางหมู่ อ.เมืองพัทลุง หลังรับแจ้งจึงเดินทางรุดสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดอีโอดีพัทลุง ในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของ นายบุญธรรม อายุ 56 ปี ตรงพงหญ้าหน้าบ้าน เจ้าหน้าที่พบระเบิดสังหารชนิดเอ็ม 67 ยังไม่ถอดสลักตกอยู่ 1 ลูก จึงได้ทำการเก็บเพื่อนำไปทำลายต่อไป

จากการสอบถาม นายสุขโชค เดชแสง อายุ 25 ปี บุตรชาย นายบุญธรรม ได้ความว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มี นายโดม ซึ่งตนไม่ทราบชื่อจริง และที่อยู่ รูปร่างลักษณะอ้วน ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาปาระเบิดใส่บ้าน เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายโดม เดินมาทวงเงินที่ติดค้างอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ตนยังหามาใช้ไม่ได้ ทำให้ นายโดม โกรธแค้น จึงนำระเบิดมาขว้างใส่บ้าน แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงานดังกล่าว จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ



--------------------------------------------------------------------------------


ทำไม ไม่ปราบปรามให้เด็ดขาด

.




หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2015, 10:22:36 pm
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2015, 09:20:14 pm
หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
โพสต์เมื่อ : 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:12:09

หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
-http://money.kapook.com/view123030.html-


         หนี้บัตรเครดิต เป็นแล้วสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้จะร้ายแรงแค่ไหน  ติดตามได้จากบทความนี้
   
         หนี้บัตรเครดิต  ที่หลายคนก่อไว้มาจากเหตุผลแตกต่างกันออกไป บางคนเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะความจำเป็น อยากได้สิ่งของราคาแพงแต่ไม่มีเงิน จึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่บางคนก็ต้องแบกรับภาระหลายทางไหนจะค่าเทอมลูก ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ดังนั้นภาระความจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันคือ การเป็นหนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่บวกกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สุดโหดทำให้หลายคนเกิดอาการเบี้ยวหนี้ พอเป็นหนี้แล้วไม่จ่ายหนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทวง พอทวงไม่ได้ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ จะเอาเวลาไหนไปศึกษากฎหมายบัตรเครดิต วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต มาบอกให้ทำความเข้าใจไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลย       

หากถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง คดีที่เกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นคดีประเภทใด

         ในกรณีที่คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายจะถือเป็น คดีแพ่ง  ส่วนโทษในคดีแพ่งจะมีเพียงการชำระหนี้และชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น       

หากถูกฟ้องจะต้องขึ้นศาลอะไร ที่ไหน

         กรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตจะเข้าข่ายคดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ซึ่งสถานที่ที่เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องลูกหนี้ ได้แก่ 1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล 2. ศาลที่มูลคดีเกิด (ที่ตั้งของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้ไปรับบัตรเครดิต)
   
ส่วนการจะฟ้องที่ศาลใดจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด

        2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง

         เช่น ศาลจังหวัด จะพิจารณาคดีแพ่งที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท

         ส่วนศาลแขวง จะพิจารณาคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท
   
คดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและมีอายุความกี่ปี

         ในคดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว เมื่อถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด อายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป  ส่วนคดีหนี้บัตรเครดิตจะมีอายุความทั้งสิ้น 2 ปี
     
เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้หรือไม่
 
         คำตอบคือ ได้ โดยเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิ์เรียกร้องของลูกหนี้ได้ โดยศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป ดังนี้   

        1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
   
        2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้
 
         ข้อควรรู้ หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิ์ก่อน


     
เจ้าหนี้สามารถทำเรื่องขออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้หรือไม่
   
         ข้อนี้อาจะยาวเสียหน่อย แต่คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตควรจะทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกรณีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ทำเรื่องขออายัดเงินเดือนครับ ถ้าลูกหนี้เพิกเฉยไม่ยอมติดต่อเจ้าหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายของฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจจะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้
   
        สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

                  ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท  (อายัดไม่ได้)

                  ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท   
 
            หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้   

        2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

        3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

        4. เงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง เจ้าหนี้จะสืบทราบและทำการร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไร

        5. บัญชีเงินฝาก (อายัดได้)

        6. เงิน กบข. (อายัดไม่ได้)

        7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท (อายัดไม่ได้) (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

            แต่ถ้าทำกองทุนต่าง ๆ กับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้

        8. เงินค่าวิทยฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

        9. หุ้น กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

        10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

        11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์ กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
 
            การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษีและประกันสังคม

กรณีคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่       

         ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส เจ้าหนี้มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง


       
ในกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้สินดังกล่าว
 
         หลายคนอาจสงสัยว่าหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ก่อนเสียชีวิต เรื่องนี้มีคำตอบครับ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินกันก่อนซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ว่า "หนี้" ถ้าคนไหนก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบครับ คนอื่นไม่เกี่ยว ดังนั้นชัดเจนแล้วว่า คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่าจะโดนทวงหนี้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นหนี้จะสิ้นสุดลงตามการตายของลูกหนี้ คนมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้กันไป โดยกฎหมายระบุไว้ว่า เมื่อลูกหนี้ได้เสียชีวิตลง เจ้าหนี้ก็จะต้องไปทวงหนี้เอาจากกองมรดกของลูกหนี้เท่านั้นครับ แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีมรดกก่อนตายก็จบครับเป็นอันว่า “เจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้คืนเลย”
     
         ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนลูกหนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ในทางปฏิบัติแล้วยังพอมีหนทางที่ลูกหนี้จะสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ได้ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกมา 3 วิธี ได้แก่ การประนอมหนี้ การโอนหนี้บัตรเครดิต และการปรับโครงสร้างหนี้
     
การประนอมหนี้
 
         การประนอมหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยินยอมลดจำนวนหนี้สินลง หรืออาจจะยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้ได้ผ่อนชำระในจำนวนเงินที่น้อยลงสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้ ส่วนจำนวนหนี้ที่ยอมลดให้จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ว่าบางครั้งเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ไม่สูงแต่ถือว่าดีกว่าไปฟ้องร้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายทางศาล และเป็นการรักษาชื่อเสียงของเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่เจ้าหนี้หน้าเลือด

การโอนหนี้บัตรเครดิต
     
         ส่วนใหญ่เวลาคนเป็นหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากหนี้จากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ ทำให้ต้องชำระหนี้หลายช่องทางพ่วงด้วยอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนบัตรที่ถือ ซึ่งภาระเรื่องดอกเบี้ยนี่แหละที่เป็นตัวการใหญ่ของปัญหาหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นจึงมีหลายสถาบันการเงินที่รับโอนหนี้ ซึ่งการโอนหนี้ก็คือ การถ่ายโอนหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงินเดิมไปรวมไว้ยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ ซึ่งลูกหนี้จะสะดวกในการรวมชำระหนี้ให้เป็นแห่งเดียว และจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง ง่ายต่อการชำระหนี้มากขึ้น

         ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานขึ้นทำให้มีเวลาในการตั้งตัวและหาเงินมาใช้หนี้ รวมไปถึงช่วยลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน เช่น การผ่อนบัตรเครดิต ต้องชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง ถ้าโอนหนี้แล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนได้น้อยลงขึ้นอยู่กับจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระกับทางสถาบันการเงิน
     
การปรับโครงสร้างหนี้
   
         เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้ในเวลาปัจจุบัน การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขอขยายเวลาชำระหนี้ออกไปโดยผ่อนค่างวดน้อยลง อัตราดอกเบี้ยคงเดิม, ขอจ่ายดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขอจ่ายเป็นค่างวดตามเงื่อนไขเดิม พร้อมกับขยายระยะเวลาการกู้ออกไป เป็นต้น ดังนั้นพูดได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
   
         การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคที่ใช้ได้จริงกับผู้คนในยุควัตถุนิยมอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปการมีบัตรเครดิตก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากเรารู้จักการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและรู้จักคำว่า พอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ก็สามารถมีบัตรเครดิตได้ ดังนั้นจึงอยากจะฝากข้อคิดถึงผู้ที่เป็นหนี้ทุกประเภทว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความจำเป็นและศักยภาพในการชำระหนี้ของเราเป็นหลัก เพราะถ้าทำตามความต้องการของตัวเองมากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดหนี้สินพะรุงพะรังจนเราไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด และอาจโดนฟ้องร้องจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินตามมาก็เป็นได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมบังคับคดี, ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, lukkid.com, บริษัท สำนักงานจรัสทนายความและการบัญชี จำกัด, บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด, บริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 18, 2015, 09:51:42 pm
เตือนภัย แก๊งโจรแสบแอบดูรหัส ATM ก่อนสลับกดเงินเหยื่อ 5 หมื่น ลอยนวล

-http://hilight.kapook.com/view/126623-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/surattana/bell/-1_2.jpg)


 แก๊งโจรแสบแอบดูรหัส ATM ก่อนสลับกดเงินเหยื่อ 5 หมื่น ลอยนวล ด้านตำรวจเร่งไล่ล่า เหยื่อเผยทำทีมาพูดคุยขอดูบัตร ก่อนสลับหน้าตาเฉย ขณะที่กล้องวงจรปิดเผยทำงานกันเป็นทีม ให้อีกคนมาแอบจำรหัส ก่อนที่จะให้คนร้ายอีกคนมาสลับบัตร

          วันนี้ (18 กันยายน 2558) เมื่อเวลา 13.50 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจาก นางวาสนา สุขอ้วน อายุ 39 ปี ว่า ถูกคนร้ายใช้อุบายสลับบัตรเอทีเอ็มหลบหนีไป ขณะที่กำลังกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขากันทรารมย์

          ทั้งนี้ นางวาสนา ให้การว่า ขณะที่กำลังกดเงินอยู่นั้น ก็มีคนร้ายเป็นหญิงใส่เสื้อและกระโปรงสีขาว รูปร่างหน้าตาดี พูดจาสุภาพ เข้ามาพูดคุยตีสนิท ก่อนที่จะขอดูบัตรเอทีเอ็มแล้วฉวยโอกาสสลับบัตรเอทีเอ็มเป็นเอทีเอ็มปลอมมาคืนให้ ซึ่งหลังจากทราบว่าตนถูกคนร้ายหลอก ก็รีบแจ้งร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเกรงว่าคนร้ายจะนำเงินสดออกจากบัญชี

          หลังรับแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ติดต่อขอข้อมูลจากภาพกล้องวงจรปิด พบว่า คนร้ายทำงานกันเป็นกลุ่ม โดยได้ส่งคนหนึ่งไปยืนสังเกตการณ์และยืนหลังนางวาสนาเพื่อจดจำรหัสบัตรเอทีเอ็ม ก่อนที่จะให้คนร้ายอีกคนเข้ามาพูดคุยและสลับบัตร จากนั้นได้นำเงินไปกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพหน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาห้วยขะยุง อ.วารินชำราบ จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวกลุ่มคนร้ายนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


เตือนภัย!แก๊งแสบแอบดูรหัสพร้อมเปลี่ยนบัตรATM
https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY (https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY)
-https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY-





https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY (https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY)
-https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY-
เตือนภัย!แก๊งแสบแอบดูรหัสพร้อมเปลี่ยนบัตรATM


ภาพจาก TNN 24

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.dailynews.co.th/regional/348818-

.

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 20, 2015, 09:38:40 am
เตือนระวังมิจฉาชีพหลอกเก็บค่าไฟ หลังเจ้าของอู่ซ่อมรถโดนตุ๋น 9 พัน

-http://hilight.kapook.com/view/126658-

  เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพแจ้งบิลค่าไฟปลอม หลังเหยื่อเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถที่โคราชโดนตุ๋นไป 9,000 บาท

          เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 เว็บไซต์นิวส์ คอนเน็ก รายงานว่า เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารี จ.นครราชสีมา ได้เข้าตรวจสอบอู่ซ่อมรถยนต์ หลังมีการอ้างว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจำนวน 9,000 บาท

          ทั้งนี้นางรัตนา มาวขุนทด ผู้เสียหายเปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อมีชายอายุประมาณ 30-35 ปี ห้อยบัตรพนักงานการไฟฟ้า นำใบแจ้งเตือนการตัดหม้อไฟมาให้ ซึ่งตนก็ไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด จึงมอบเงินจำนวน 9,000 บาทแก่ชายคนดังกล่าวไป เพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม วันที่ 13 กันยายน ตนกลับถูกตัดหม้อไฟ ดังนั้นได้เข้าไปแจ้งต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารีว่า จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับนำบิลมาให้ดู แต่สุดท้ายก็ทราบว่า เป็นบิลปลอม

          ขณะที่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารี ได้แจ้งเตือนประชาชนระวังกลุ่มมิจฉาชีพ พร้อมกับติดตัวอย่างใบค่าไฟฟ้าของจริงและของปลอมเอาไว้ นอกจากนี้ ขอยืนยันว่า ทางหน่วยงานไม่มีนโยบายเก็บค่าไฟฟ้าตามบ้านเรือน

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/energy01.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/energy02.jpg)

ภาพจาก นิวส์ คอนเน็ก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.newsconnect.co.th/pagedetail.php?typenews=3&idnews=2944-

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 27, 2015, 05:40:29 pm


แก๊งปล่อยกู้แสบ ! อ้างรุ่นใหญ่ "พล.ต.อ. จักรทิพย์" ขู่ทวงหนี้-ไม่จ่ายโดนซ้อม

-http://hilight.kapook.com/view/126988-

 แก๊งปล่อยกู้แสบ ! อ้างรุ่นใหญ่ "พล.ต.อ. จักรทิพย์" ขู่ทวงหนี้-ไม่จ่ายโดนซ้อม บอกรอง ผบ.ตร. เป็นเจ้าของเงิน สารภาพนำเงินลงขันแล้วปล่อยกู้ ดอกเบี้ยสุดโหดร้อยละ 20 บาทต่อวัน

            วันที่ 27 กันยายน 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 จ.นครราชสีมา ได้นำตัว นายราชัน โชติพินิจ อายุ 36 ปี พร้อมพวกซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ อายุระหว่าง 19-45 ปี รวม 14 คน พร้อมกับของกลางคือ สมุดจดบันทึกเงินที่นำมาปล่อยกู้และเงินสดหลายพันบาท มาดำเนินคดี หลังสืบทราบว่ามีพฤติกรรมปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังแอบอ้างชื่อของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ ว่าเป็นเจ้าของเงินที่มาปล่อยกู้

 ทั้งนี้การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจากมีชาวบ้านในเขตตัวเมืองโคราชร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินสายปล่อยเงินกู้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดหลายแห่ง โดยมีพฤติกรรมข่มขู่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยก็โหดถึงร้อยละ 20 ต่อวัน ที่สำคัญแก๊งนี้ยังอ้างชื่อของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ รอง ผบ.ตร. ว่าเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวด้วย จึงสืบตัวและกระจายกำลังจับกุมได้หลายจุดในเมืองโคราช

            อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนนายราชัน หัวหน้าแก๊ง ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันปล่อยเงินกู้จริง โดยแต่ละคนนำเงินมาลงขันปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวัน ไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด ส่วนที่ต้องแอบอ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็เพราะต้องการให้ลูกหนี้เกรงกลัวและยอมจ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งการตามเก็บหนี้ จะตระเวณขี่จักรยานยนต์ไล่ตามเก็บจากลูกค้า หากใครบ่ายเบี่ยงก็ขู่ บางคนก็ทำร้ายร่างกายให้หวาดกลัว

            เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตั้งข้อหาให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา ดำเนินคดีต่อไป
 
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @TNAMCOT 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.dailynews.co.th/regional/350642-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 28, 2015, 08:29:37 pm
อุทาหรณ์ ! สำเนาบัตรประชาชนหลุด ตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนบาท

-http://money.kapook.com/view130334.html-

 อุทาหรณ์เตือนใจ ใครหลาย ๆ คนระวังสำเนาบัตรประชาชนที่ใช้สมัครงานหรือติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ หลุด อาจตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนแบบไม่รู้ตัว ชาวเน็ตแนะวิธีป้องกันมิจฉาชีพนำเอกสารไปใช้ประโยชน์ต่อ

           วันที่ 28 กันยายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนนี้ชาวโซเชียลกำลังให้ความสนใจกระทู้ "เตือนภัย เป็นหนี้บัตรเครดิตกว่า 150,000+ โดยไม่รู้ตัว" ของ คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม  ที่ได้โพสต์เล่าเรื่องราวจากประสบการณ์จริง หลังตกเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคาร 2 แห่ง ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่เคยสมัคร

           โดยระบุว่า  เมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2558 เจ้าของกระทู้ได้รับจดหมายทวงหนี้บัตรเครดิตจากธนาคาร A ที่ถูกส่งไปยังบ้านตามที่ระบุไว้ในบัตรประชาชน ทั้งนี้ ใบแจ้งหนี้ระบุว่า ตนเป็นหนี้จำนวน 76,000 กว่าบาท ซึ่งตอนที่น้องสาวถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูก็คิดว่า คงถูกมิจฉาชีพส่งข้อมูลปลอมมาหลอก แต่เมื่อลองโทรไปสอบถามกับธนาคาร A จึงทราบว่า เป็นหนี้บัตรเครดิตจริง ๆ ทั้งที่ไม่เคยสมัคร

           ต่อมา ตนได้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคาร A เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทำให้ทราบว่า บัตรเครดิตถูกเปิดใช้ที่ธนาคาร A สาขารังสิต ช่วงเดือนมีนาคม 2558 มีวงเงิน 73,000 บาท แต่ใช้เกินวงเดือน ยอดรวมทั้งหมดจึงเป็น 76,000 กว่าบาท และเมื่อเดินทางไปยังธนาคาร A สาขารังสิต เพื่อแจ้งความ เจ้าหน้าที่ของธนาคาร ชื่อว่า น.ส.Y ก็มาชี้แจงให้ทราบว่า ได้มีฝ่ายบุคคลของ บจก.XXX เอาหลักฐานของพนักงาน (สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเรา) มายื่นกับธนาคารเพื่อสมัครบัตรเครดิตให้พนักงาน พร้อมทั้งนำสลิปเงินเดือน สเตทเม้นท์และใบเสียภาษีมาประกอบการสมัคร ประกอบกับธนาคารได้โทรไปสอบถามตามเบอร์ของ บจก.XXX ก็ยืนยันว่า พนักงานที่สมัครใช้บัตรเครดิตมีตัวตนจริง จึงอนุมัติบัตรเครดิต

           ตนจึงพยายามขอข้อมูลคนที่มาเปิดบัตรเครดิต ปรากฏว่า น.ส.Y ปฏิเสธ เนื่องจากเป็นข้อมูลของลูกค้า แต่ น.ส.Y จะส่งเรื่องไปให้สำนักงานใหญ่ดำเนินการต่อให้ หลังจากนั้นตนก็ได้เช็กกับเครดิตบูโร พบว่า มีคนร้ายแอบใช้บัตรเครดิตของธนาคาร B อีก 2 ใบ วงเงินใบละ 40,000 บาท หลังทราบเรื่องก็รีบเดินทางไปธนาคาร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ก่อนจะไปแจ้งความและนำเอกสารไปติดต่อธนาคารซึ่งเป็นสถานที่เปิดใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทันที เรียกว่า กว่าจะเดินเรื่องจนหลุดพ้นหนี้บัตรเครดิตที่ตนเองไม่ได้ก่อ ก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนทีเดียว

           นอกจากนี้ เจ้าของกระทู้ยังได้โพสต์เล่าการสอบถามเรื่องการทำบัตรเครดิตกับพนักงานของธนาคาร เพิ่มเติมด้วยว่า

           1. เราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้คนร้ายไปเปิดบัตรมั่วซั่วอีก?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ป้องกันไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ รอว่าจะมีเซอร์ไพรส์จากธนาคารไหน แล้วค่อยตามไปแจ้งเรื่อง

           2. เราสามารถฝากเอกสารให้เพื่อนหรือใครมาสมัครบัตรเครดิตแทนเราได้ไหม?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า  ได้

           3. เจ้าของหลักฐานไม่ต้องเซ็นชื่อต่อหน้าพนักงานเหรอ?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า แล้วแต่กรณีว่า ลูกค้ากับพนักงานมีข้อตกลงกันว่าอย่างไร

           4. ถ้าเราทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ล่ะ จะช่วยได้ไหม?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ไม่ได้ เพราะข้อมูลยังเป็นข้อมูลของเรา


           อย่างไรก็ดี คุณ Ordinary diary ยังตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่หลุดไปถึงมือคนร้ายนั้น อาจหลุดไปกับการสมัครงานเมื่อช่วงต้นปี 2557 เนื่องจากแฟนของคุณ Ordinary diary ที่ยื่นใบสมัครที่เดียวกัน ก็ถูกนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัตรเครดิตในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

           ภายหลังที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีบรรดาชาวเน็ตเข้ามาสอบถามว่า ธนาคารต้นเรื่องทั้ง 2 แห่งคือที่ไหนกัน เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่ตรวจเช็กข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียด ก่อนอนุมัติบัตรเครดิต หรือมัวแต่คิดเพิ่มยอดจนไม่สนใจอะไร ขณะที่บางส่วนก็เข้ามาต่อว่า บริษัทรับสมัครงานที่ทางเจ้าของกระทู้คาดว่าอาจเป็นต้นตอที่ทำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหลุดไปอยู่ในมือมิจฉาชีพว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีจรรยาบรรณในการจัดเก็บเอกสารส่วนตัวหรือทำลายเอกสารสำคัญของผู้สมัครงานเลย และบางส่วนก็เข้ามาแนะนำเทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย อาทิ ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เป็นต้น


  เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม



  เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย
-http://hilight.kapook.com/view/86082-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/annira/info-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-2.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้าน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สิ่งสำคัญที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องของการเซ็นชื่อรับรองในสำเนาเอกสารเหล่านั้น เนื่องจากอาจมีบางท่านเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารอย่างไม่รัดกุม จนส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง หรืออาจเป็นเพราะบางท่านไม่ทราบว่าควรเซ็นสำเนาอย่างไรถึงจะถูกวิธี ดังนั้นวันนี้เราจึงนำข้อมูลมาฝากกันค่ะ
 
วิธีเซ็นชื่อรับรองสําเนาถูกต้อง

          1. การเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง จะใช้วิธีขีดเส้นคร่อมบนตัวสำเนาในส่วนที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเอกสารหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากการขีดคร่อม และเขียนข้อความกำกับบนสำเนาเอกสารนั้น ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพนำสำเนาเอกสารนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ แต่บางครั้งการขีดคร่อมเอกสารเพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐาน หากทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้สำเนาเอกสารฉบับนั้น ไม่สามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หรืออาจกลายเป็นลักษณะของการขีดฆ่าเอกสารทิ้งนั่นเอง

          2. ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะการสมัครงานเท่านั้น" หรือ "ใช้สำหรับติดต่อเรื่อง...เท่านั้น"

          3. นอกจากเขียนรายละเอียดกำกับการใช้แล้ว เจ้าของเอกสารควรระบุ วัน เดือน ปี ณ วันที่ยื่นเรื่อง ลงบนสำเนาดังกล่าว ซึ่งจะช่วยกำหนดอายุการใช้สำเนาเหล่านั้นได้

          4. ต้องเขียนข้อความทั้งหมดทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงเอกสาร แต่อย่าทับบริเวณสาระสำคัญของสำเนาเอกสาร เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด

          สำหรับวิธีการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเจ้าของเอกสาร โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่มีชื่อของเราไปใช้ได้อย่างง่ายดาย

           นอกจากนี้ การเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่หรือพนักงานที่เราติดต่อเพื่อทำธุรกรรม ย่อมปลอดภัยกว่าการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารแล้วส่งทางไปรษณีย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เอกสารดังกล่าวอาจตกหล่นสูญหาย หรืออาจถูกมิจฉาชีพนำไปดัดแปลงแก้ไขจนสร้างความเดือดร้อนให้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ถ้าจำเป็นจะต้องยื่นเอกสารสำคัญเพื่อติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ ก็อย่าลืมนำวิธีดังกล่าวไปใช้กันนะคะ
 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค , เว็บไซต์กองบิน 4

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2016, 10:17:27 pm
อุทาหรณ์.. จ่ายหนี้แทนนับล้าน เหตุเซ็นค้ำประกันทุนการศึกษาให้อาจารย์ ม.ดัง
-http://education.kapook.com/view140280.html-

อุทาหรณ์ คิดให้ดีก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร มิเช่นนั้นอาจเจอบทเรียนราคาแพง ชดใช้หนี้ทุนการศึกษานับล้าน อีกฝ่ายอ้างไม่มีเงิน ทั้งที่มีงานดี รายได้สูง ใช้ชีวิตหรูหรา

         เชื่อว่าคนส่วนมากคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับคำเตือนให้คิดตรองดูดี ๆ ก่อนจะเซ็นค้ำประกันให้ใคร เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องเผชิญสิ่งใดในอนาคต จากการลงนามในสัญญาเพียงครั้งเดียวนั้น อย่างกรณีล่าสุด (26 มกราคม 2559) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @nimdaex ก็ได้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแชร์ต่อเรื่องราวอุทาหรณ์จากการค้ำประกัน ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทพ.เผด็จ หมอทอม ประสบมากับตัวหลังจากได้เซ็นค้ำสัญญาทุนการศึกษาให้อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรม คณะทันตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดอีกฝ่ายกลับไม่ยอมชำระหนี้ อ้างว่าไม่มีเงินทั้งที่มีอาชีพการงานที่ดี อาศัยในอพาร์ทเม้นท์หรูในต่างประเทศ ทิ้งภาระทั้งหมดให้แก่ตัวเขาและบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกันค้ำประกันให้ต้องเป็นผู้รับกรรมแทน

         โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทพ.เผด็จ หมอทอม ได้ร่วมกับอาจารย์และเพื่อนร่วมงานคนอื่น เซ็นค้ำประกันให้กับอดีตอาจารย์รายหนึ่งซึ่งรับทุนศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ด้วยเห็นแก่คณะและหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่สิ่งที่ได้รับคือฝ่ายนั้นบอกว่าไม่มีเงิน ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อยู่อพาร์ทเม้นท์หรูหราในสหัฐฯ ปล่อยให้ตัวเขาที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก 4 คนต้องมาชดใช้กรรมแทน เป็นจำนวนเงินถึง 2.2 ล้านบาท

ดังนั้นเขาจึงอยากให้เรื่องดังกล่าวได้เตือนสติคนอื่น ๆ ที่กำลังจะค้ำประกันให้ใคร อยากให้รู้ว่าการศึกษาและชาติตระกูลไม่ได้ช่วยอะไร อยากให้คิดดี ๆ ก่อนจะทำธุรกรรมกับใครแม้จะปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายก็ตาม

         ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผย ก็ได้มีชาวเน็ตอีกหลายรายเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน บอกเล่าถึงคนที่ผิดนัดชำระหนี้แล้วหนีหายไป ปล่อยให้เป็นภาระของคนค้ำประกันที่ต้องชำระเงินแทน ทำกันได้แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน ขณะที่อีกหลายคนยังวิจารณ์ว่าพฤติกรรมและจิตใจคนกลุ่มนี้ การศึกษานั้นไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้จริง ๆ

ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2016, 08:39:08 pm
ต้องช่วยกันแชร์ คนที่ไม่รับผิดชอบ

คนที่ยอมค้ำประกันให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกรณีไหนก็ตาม

1.ไม่ว่าจะเป็นในกรณีการค้ำประกันเงินกู้
ที่มีการค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันไม่ได้ใช้เงินกู้

2.ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันอื่นๆ เช่น การค้ำประกันในเรื่องของการศึกษา เมื่อเรียนจบแล้ว ควรมาทำตามข้อตกลง(หรือตามสัญญาฯ) แต่หากไม่ต้องการทำตามข้อตกลง ก็ให้จ่ายเงินใช้หนีทุนการศึกษาเอง ไม่ใช่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบ

หรือพวกที่กู้ กยศ.ที่ทำงานแล้ว แต่ไม่ยอมมาใช้หนี้ กยศ. แต่มีเงินไปซื้อมือถือดีๆ มีเงินไปเที่ยว คนพวกนี้ก็ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ

คนที่ให้ผู้ค้ำประกัน เป็นคนที่รับผิดชอบในภาระหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้ สังคมต้องไม่ให้ตนเหล่านี้ มีพื้นที่ยืนในสังคมได้ บางกรณี ครอบครัว , วงศ์ตระกูล , สถาบันการศึกษา ได้พยายามอบรมสั่งสอนอย่างดีและเต็มที่แล้ว แต่พฤติกรรมยังยอดแย่เหมือนเดิม ยอดแย่ตามความคิดและสันดานตัวเอง



----------------------------------------------------


อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
-http://education.kapook.com/view140447.html-

อาจารย์สาวทันตแพทย์หนีทุนโดนจัดหนัก ชาวเน็ตขุดเบาะแสใหม่เพียบ ทั้งบ้านที่อยู่ เงินเดือน และกิจการครอบครัว เรียกได้ว่าไร้ที่ยืนในสังคมแน่นอน

จากกรณีดังในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์สาวหนีการใช้หนี้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จนทำให้ผู้ค้ำประกันต้องเสียเงินร่วม 10 ล้านบาทแทนเธอนั้น

ล่าสุด วันที่ 31 มกราคม 2559 สมาชิกเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ได้ออกมารวบรวมเบาะแสเพื่อแฉแหลก ทั้งเรื่องบ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 45 ล้านบาท และข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ ของอาจารย์สาวรายนี้

โดยมีการโพสต์ภาพบ้านจาก Google Maps และข้อความระบุว่า “จากภาพมุมสูงอีกมุมจาก google map บ้านเธอมูลค่า 45 ล้านบาท ที่พึ่งซื้อเมื่อปี 2014 ในบ้านมีรถไม่ทราบยี่ห้อจอดอยู่นอกโรงจอดรถ 1 คัน มี Sunroof นะครับ แต่ชาวเนตเดาว่า น่าจะยี่ห้อเดียวกับชื่อเธอ..... ลองหารุ่นมาเทียบดูครับ

ส่วนอีกโพสต์หนึ่ง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนรายปีของตำแหน่ง Senior Lecturer ซึ่งเป็นตำแหน่งของอาจารย์หนีทุนรายนี้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปรากฏว่ารายรับต่อปีอยู่ที่ 171,466 - 227,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6-8.2 ล้านบาท)

และโพสต์ล่าสุด เป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจคลินิกทำฟันของเธอ มีรายได้ประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท หากรวมเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตำแหน่งอาจารย์ด้วยแล้ว จะมีรายได้รวมประมาณ 1.2 ล้านเหรียญต่อปี หรือราว 42 ล้านบาท (ยังไม่หักภาษี)

จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าอาจารย์หนีทุนรายดังกล่าวเป็นผู้มีฐานะคนหนึ่ง ที่มีรายรับต่อปีมากพอจะชดใช้เงินทุนการศึกษาคืนได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งนี้ หากมีเบาะแสใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว กระปุกดอทคอมจะรวบรวมมานำเสนอให้ท่านได้ทราบในลำดับต่อไป

ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-

-----------------------------------------------------------

อ.มหิดล แจงดราม่าร้อน อ.สาว เบี้ยวใช้ทุน พร้อมเผยเหตุผลที่เลือกให้เรียนต่อ
-http://education.kapook.com/view140437.html-

อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล แจงปมร้อนอาจารย์เบี้ยวใช้ทุน 10 ล้าน บอกจำเป็นต้องตามผู้ค้ำมาใช้เงินรัฐ ชี้เกณฑ์คัดเลือกบุคคล บอกตอนนั้นดูแค่ปัจจุบันจะประเมินเป็น 10 ปีไม่ได้

เป็นเรื่องราวดราม่าที่สังคมโซเชียลแชร์กันกระหน่ำเลยทีเดียว กรณีที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ของภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขอทุนไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด เมื่อปร 2536 โดยขณะนั้นมีผู้ค้ำประกัน 4 ราย แต่สุดท้ายอาจารย์หญิงคนดังกล่าวกลับไม่มาทำงานใช้ทุนที่เมืองไทย ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องจ่ายเงินคืน 3 เท่า จากที่ได้รับ คือ 10 ล้าน หรือต้องใช้คืน 30 ล้านบาท จากผู้ให้ค้ำประกันทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ล่าสุดวันที่ 30 มกราคม 2559 ทางด้านศาสตรจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ก็ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าที่ทางมหาวิทยาลัยเสนอชื่อดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และมองว่าสามารถกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วการขอทุนเมื่อเรียนจบก็ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน โดยทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัด นั่นก็คือมหาวิทยาลัยมหิดล เพราะในตอนนั้นที่ขอไปเป็นทุนของรัฐบาล และอาจารย์คนดังกล่าวเพิ่งเรียนจบและทำงานได้เพียง 1 ปี จึงต้องมีผู้รับประกัน 4 ราย โดยอาจารย์คนดังกล่าวได้ขอทุนทั้งปริญญาโทและเอก งบประมาณในการศึกษาจำนวน 10 ปี 10 ล้านบาท

ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ประมาณปี 2547 อาจารย์หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งมายังมหาวิทยาลับว่า ขอยกเลิกที่จะกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอทุนรัฐบาลยังไงก็ต้องชดใช้เงินคืนทำให้กระทรวงการคลังประสานมายังมหาวิทยาลัยให้เร่งติดตามอาจารย์ดังกล่าวเพื่อให้ใช้เงินคืนเพราะเป็นเงินของประเทศ แต่เมื่อติดต่อไมไ่ด้ ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนกฎหมาย ด้วยการประสานและติดตามไปยังผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ให้ชดใช้แทน และตลอดเวลาที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือ เจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนเงินที่จะใช้คืนกับรัฐ ให้เหลือจำนวนเท่าเงินทุน 10 ล้านบาท

สำหรับประเด็นที่อาจารย์สาวไปมีครอบครัวที่นั่นแล้วปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานและใช้ทุนคืน ทางกระทรวงก็ต้องประสานมายังมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องติดตามจากผู้ค้ำประกัน เพราะเงินดังกล่าวต้องคืนให้รัฐบาล และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรก จริง ๆ แล้วมีบุคคลที่ขอทุนไปเรียนต่างประเทศแล้วเบี้ยวไม่ชดใช้มีอยู่ประปราย แต่ที่ผ่านมาสังคมไม่ได้มีสื่อโซเชียลมากขนาดนี้ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว

ท้ายนี้ ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกคนที่จะเสนอให้ขอทุนรัฐบาล จริง ๆ แล้วก็ได้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ดูภูมิหลัง ดูประวัติและพฤติกรรมบุคคลนั้น ๆ แต่เป็นการดูแต่ช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถมีทางตอบได้เลยว่า อีก 10 ต่อมา บุคคลนั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร

เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย

ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/684957-

------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มคนไทยในอเมริกาลุกฮือ ต่อต้านหมอฟันหนีทุน ตั้งเป้าลงขันจ้างทนายลงดาบ
-http://education.kapook.com/view140462.html-


กลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาทราบข่าว "หมอฟันหนีทุน" จากกระแสโซเชียล เริ่มลุกฮือต่อต้าน อาจมีการลงขันจ้างทนายให้จัดการ

จากกรณี “ทันตแพทย์หนีทุน” ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วสังคมออนไลน์ หลังจากเฟซบุ๊กชื่อ เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้โพสต์ระบายความในใจหลังถูกทันตแพทย์สาวรายหนึ่งซึ่งเคยขอให้เซ็นค้ำประกันเงินทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ภายหลังกลับถูกเบี้ยว ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อชดใช้ทุน ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องร่วมกันใช้เงินค่าปรับกว่า 8 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น (อ่านข่าว : ทันตแพทย์หนีทุน ทั้งหมด คลิก)

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กของทันตแพทย์เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้มีกลุ่มประชาชนที่อ้างว่าอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความให้กำลังใจและเล่าว่าทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกันนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ต้นสังกัดของทันตแพทย์หนีทุนรายดังกล่าวจะไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในกลุ่มบุคคลผู้ร่วมงานซึ่งสังกัดองค์กรเดียวกันนั้นไม่เห็นดีเห็นงามด้วย

โดยข้อความระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ คนไทยในอเมริกาหลายฝ่ายกำลังพยายามหาทางเคลื่อนไหวกดดันหน่วยงานต้นสังกัด และทันตแพทย์คนดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากมีความคืบหน้า จะนำมาแจ้งให้ทราบเป็นลำดับต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มอบข้อความให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จด้วยว่า “ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีคนไทยจำนวนมากช่วยกันลงขันบริจาคจ้างทนายไปสู้คดีที่อเมริกา คุณหมออย่าดูแคลนน้ำใจคนไทยในประเทศนี้เกินไป เรื่องราวตอนนี้มันเกินกว่าแค่จะชดใช้เงินคืนและขอโทษครูตนเองที่ตัวเองอกตัญญูไปแล้ว มันเป็นเรื่องของคุณธรรมและความถูกต้องเป็นธรรมล้วน ๆ”

ด้านชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องราวดังกล่าวมาตลอด ก็ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จอย่างล้นหลาม พร้อมบอกว่าถ้ามีการว่าจ้างทนายจริง พวกตนก็พร้อมจะช่วยลงขันอีกแรง แต่ด้านนายแพทย์เผด็จกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะฟ้องใครทั้งสิ้น

เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย
-http://news.kapook.com/topics/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-


ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก เผด็จ พูลวิทยกิจ
-https://www.facebook.com/padetunity-

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ -http://dailynews.co.th/regional/376638-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 12:30:32 pm
อุทาหรณ์! โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่ (ชมคลิป)
โดย MGR Online       
27 กุมภาพันธ์ 2559 09:38 น. (แก้ไขล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2559 14:07 น.)
-http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000020934-


https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA (https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA)
-https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA-
อุทาหรณ์!โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้/สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่


 ลำปาง - ครอบครัวหญิงชาวลำปาง วัย 67 ปี รวม 7 ชีวิต โดนฟ้องไล่พ้นบ้านที่สร้างมากับมือ อยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หลังโอนสิทธิให้ “อดีตว่าที่ลูกเขย” นำไปค้ำกู้เงินใช้หนี้ สุดท้ายโดนฟ้องไล่ให้ออกภายใน 3 มีนาฯ นี้ แถมโดนจับเข้าคุก ผญบ. และจนท.ต้องลงขันช่วยประกัน บอกลงทุนก้มกราบเท้าหนุ่มแสบกลางศาลแล้วยังไม่ยอม

 วันนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดคดีความที่สะเทือนใจผู้คนในสังคมเมืองลำปาง และน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนทั่วไปขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่ชาวลำปางโอนกรรมสิทธิ์บ้าน และที่ดินให้แก่แฟนหนุ่มของลูกสาวที่คบหาอยู่นำไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินมาใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอกถูกฟ้อง จนทำให้ 7 ชีวิตในครอบครัวต้องไร้ที่อยู่ในต้นเดือนหน้านี้
       
       ล่าสุด นายสมภพ สุวรรณปัญญา เจ้าหน้าที่ชุด ททท. (ทำทันที) ของจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนายวัชระ ปาโกวงศ์ กำนันตำบลบ่อแฮ้ว นางเพียรใจ บุญเพ็ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.15 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 554 ม.15 ต.บ่อแฮ้ว หลังได้รับการร้องเรียน และขอความช่วยเหลือจาก นางจุลี รุจิฉาย อายุ 67 ปี เนื่องจากถูกศาลมีคำสั่งขับไล่ออกจากบ้านของตนเอง
       
       จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นางจุลี รุจิฉาย โดยมีสมาชิกในบ้านรวม 7 คน กำลังพากันวิตกกังวล และเป็นทุกข์อย่างมาก เนื่องจากจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ภายในวันที่ 3 มีนาคม 59 ที่จะถึงนี้
       
       สอบถาม น.ส.สุจิตรา รุจิฉาย อายุ 43 ปี บุตรสาว กล่าวว่า เมื่อปี 2549 ตนเองได้ไปทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์ และได้รู้จักคบหากันกับนาย ภ.(ขอปิดชื่อ-นามสกุล) ประมาณ 4-5 ปี ระหว่างนั้นได้ช่วย นาย ภ. ปล่อยเงินกู้ และขายหวย แต่มีลูกค้าเบี้ยวเงินจนสูญเงินไปร่วม 3 แสนบาท
       
       หลังจากนั้น นาย ภ.ได้บอกแก่ตนเองว่า ต้องหาเงินมาใช้คืนคนที่ปล่อยเงินกู้ โดยอ้างว่า เป็นเสธ.ทหาร หากไม่มีจ่ายจะถูกฆ่า ตนจึงพานาย ภ. มาบ้านที่จังหวัดลำปาง โดยได้บอกกับแม่คือ นางจุลี ว่า “หากไม่มีเงินคืนเขาจะมาฆ่าลูก ขอให้แม่โอนที่ดินซึ่งเป็นบ้านหลังที่อยู่กันนี้ให้เขาเพื่อนำไปกู้เงินจากธนาคารมาใช้คืน โดยขอกู้เงิน 500,000 บาท แล้วนำไปจ่ายหนี้ 3 แสนบาท เหลือ 2 แสนจะนำมาคืนแม่”
       
       แต่พอกู้เงินได้วันถัดมานาย ภ. ก็หายไป ไม่ได้นำเงินมาให้แม่แต่อย่างใด ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังเชื่อใจแฟนหนุ่ม จึงได้ช่วยส่งเงินกู้ต่อทางธนาคารเดือนละ 4 พันกว่าบาท ซึ่งบางเดือนก็ส่งช้า เนื่องจากขณะนั้นตนเองทำงานได้เงินเพียงวันละ 174 บาท นาย ภ.ก็จะโทร.มาต่อว่า ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อให้มาทำสัญญาว่า หากตนส่งเงินครบให้โอนที่ดินคืนให้ แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด
       
       น.ส.สุจิตรา กล่าวอีกว่า หลังจาก 1 ปีผ่านไปก็รู้ว่าคงโดนหลอกแล้วตนจึงหยุดส่งเงิน จนกระทั่งมีหมายศาลฟ้องขับไล่มาที่บ้าน แม่เปิดดูก็ตกใจ แต่ไม่รู้ไปปรึกษาใคร ทนายก็ไม่มี ไปศาลก็มีคนบอกว่า ไม่ต้องนำทนายไปเพราะแค่ไปตกลงกันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงกลับพบเขาเตรียมทนายมา และเขียนเนื้อหามาหมดแล้วพร้อมกับขู่ว่า หากเล่าเรื่องทั้งหมดจะไล่ออกจากบ้านทันที ตนเองจึงยอมเซ็นชื่อกับแม่ในสัญญาประนีประนอม
       
       “หลังการเซ็นสัญญาทำให้เราที่เป็นเจ้าของบ้านกลายเป็นคนเช่า และค้างค่าเช่าเขาเกือบ 3 แสนบาท และหากต้องการซื้อบ้านคืนเขาเรียก 1.3 ล้านบาท ซึ่งตนเองและครอบครัวไม่มีปัญญาซื้อ”
       
       น.ส.สุจิตรา ระบุด้วยว่า 2 วันก่อนมีตำรวจมาจับตัวทุกคนที่บ้านไปที่สถานีตำรวจ และให้ไปลงบันทึกการจับกุม จากนั้นนำตัวไปศาลทนายก็ไม่มี เมื่อไปถึงที่ห้องรับส่งหนังสือก็มีคนมาบอกว่า ทำไมไม่ออกจากพื้นที่ เขาให้ออกทำไมไม่ออก แม่บอกว่าออกแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าไม่มีที่อยู่ก็จะหาที่อยู่ให้คือ ไปอยู่ในคุกสัก 6 เดือน เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับร้องไห้ และนั่งลงไปกราบเท้านาย ภ. แต่นาย ภ.ได้เดินหนีออกจากศาลไปทันที
       
       หลังจากนั้น เราพ่อแม่ลูกถูกคุมขัง ได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังผู้ใหญ่บ้าน ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่ ททท. (ทำทันที) และได้เฉลี่ยเงินกันคนละ 5 พันบาทเพื่อขอประกันตัว รวม 4 คนได้ 2 หมื่น จึงได้ออกมาที่บ้าน
       
       “จากนี้ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบ้านนี้ก็เป็นบ้านดั้งเดิมที่ครอบครัวมีอยู่แค่ที่เดียว เมื่อศาลสั่งให้ออกภายในวันที่ 3 มีนาคมนี้ ตนเองก็คงต้องออก และคงไปขออาศัยกับคนที่รู้จักก่อนเพราะหมดแล้วทุกอย่าง”
       
       นางจุลี กล่าวด้วยน้ำตาว่า ที่ดินผืนนี้ซื้อมาเมื่อ 50-60 ปีก่อนด้วยเงิน 5 ร้อยบาท พื้นที่ 1 ไร่ 66 ตร.ว.ขณะนั้นเป็นป่า ตนต้องมาแผ้วถางหญ้าออก และมาปลูกบ้านช่วยกันทำมา แต่ด้วยความรักลูกกลัวเขาจะมาทำร้ายจึงยอมเซ็นเอกสารให้เขาไป และเชื่อใจชายคนนั้นว่า คงจะทำตมที่พูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำตามที่พูด
       
       “สุดปัญญาแล้ว หากเขาอยากได้ก็ให้เขาเอาไป แม่ตายก็เอาไปไม่ได้ เขาตายก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องยอมทำใจแม่ไปกราบตีนมันๆ ยังไม่ยอม”

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2016, 10:11:21 pm
ให้ระมัดระวังกัน  เรื่องของเงินๆทองๆ 
ไม่มีเรื่องไหนที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย จะได้ผลตอบแทนสูง

ถ้ามีในลักษณะนี้  ให้รู้ไว้เลยว่า โดนหลอกแล้ว

สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน  ต้องเรียนรู้เรื่องของเงินๆทองๆไว้
จะได้เป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง  ไม่ให้ถูกหลอกได้ ครับ


-------------------------------------------




ปปง. อายัด 300 ล้าน แก๊งโกงหวยสหกรณ์ออมทรัพย์ครู
-http://hilight.kapook.com/view/133974-

 ปปง. อายัดทรัพย์แก๊งโกงสลากกินแบ่งครู กว่า 300 ล้านบาท พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนหลอกออมเงิน 1 พัน กู้ได้ 1 ล้าน

            วันที่ 11 มีนาคม 2559 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เวลา 10.00 น. พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม  ครั้งที่ 4 โดยมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการของ นายศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ซึ่งเป็นของบริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด ไว้ชั่วคราว กว่า 100 รายการ ได้แก่ ที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์ สมุทรปราการ อาคารชุดย่านรัชดา มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

            ทั้งนี้ เนื่องจากนายศรีสุข กับพวกได้ร่วมกันหลอกทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย เป็นจำนวน 3 สัญญา 25,000 เล่ม ในราคาถูก แต่กลับนำเงินไปหมุนเวียนในระบบที่ไม่ตรงตามสัญญา และทางสหกรณ์กลับไม่ได้สลากจริง จึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน

            ส่วนอีกคดีคืออายัดทรัพย์ของวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมเกษตรกรไทยกับพวกไว้ชั่วคราว จำนวน 146 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 6 แสนบาท หลังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพร้อมกับมีการตั้งเครือข่ายประจำจังหวัดเพื่อหาเครือข่ายเพิ่มเติม โดยเสนอแผนงานและผลประโยชน์สูง เช่น การออมเงิน 1 พันบาท สามารถกู้เงินได้ 1 ล้านบาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางเครือข่ายสามารถดำเนินการได้จริงตามที่เชิญชวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

            ด้านนายสันติ เจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ได้กล่าวขอบคุณพร้อมบอกว่า ขบวนการดังกล่าวได้มีการแอบอ้างใช้รูปของผู้บริหารระดับสูงเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ และยังได้ฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อถึงผลกำไรที่เกินจริง

หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2016, 10:22:39 pm
ธปท. แนะวิธีตรวจสอบแบงก์ 1,000 ปลอม หลังพบระบาด-เหมือนจริงมาก
-http://money.kapook.com/view144086.html-

ธปท. แนะวิธีตรวจสอบธนบัตร จริงหรือปลอม เพียงแค่สัมผัส-ส่องดู-ตะแคงข้าง หลังพบแบงก์ 1,000 ปลอม ระบาด-เหมือนจริงมาก

          วันที่ 16 มีนาคม 2559 เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ รายงานว่า นายวรพร ตั้งสง่าศักดิ์ศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงกระแสข่าว พบธนบัตรปลอมชนิด 1,000 บาท ที่มีความเหมือนจริงทุกประการ เว้นเพียงมีภาพครุฑไม่สมบูรณ์ โดยชี้แจงว่า ในการตรวจสอบธนบัตรว่าเป็นของจริงหรือปลอมนั้นจะต้องตรวจสอบลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงหลายจุดประกอบกัน ซึ่งหากพบว่าทุกจุดมีความถูกต้อง ธนบัตรดังกล่าวก็เป็นธนบัตรจริง แต่อาจเป็นธนบัตรชำรุด ซึ่งประชาชนสามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ที่ธนาคารออมสินหรือธนาคารพาณิชย์

          อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถทำการตรวจสอบธนบัตรได้ด้วยตนเองง่าย ๆ 3 วิธี ดังนี้

          1. การสัมผัส : เนื้อกระดาษธนบัตร เป็นกระดาษชนิดพิเศษ มีความเหนียว แกร่ง ทนต่อการพับดึง และให้ความรู้สึกแตกต่างจากกระดาษทั่วไป และเมื่อสัมผัสตัวเลขแจ้งราคา กับคำว่ารัฐบาลไทย จะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์

          2. การยกส่อง : เมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่าง จะเห็นลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในเนื้อกระดาษอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงรูปลายไทยขนาดเล็กที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ และแถบสีโลหะฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ บนแถบมีตัวเลขและตัวอักษรแจ้งชนิดราคา

          3. การพลิกเอียง : บริเวณมุมของธนบัตร พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ชนิดพิเศษ เมื่อพลิกธนบัตรไปมาสีของตัวเลขจะเปลี่ยนสลับจากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้

สามารถอ่านวิธีสังเกตธนบัตรเพิ่มเติมได้ที่ bot.or.th

          ทั้งนี้หากผู้ใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อมาที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทรศัพท์ 1213 หรือ แผนกวิเทศสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ สายออกบัตรธนาคาร โทรศัพท์ 0-2356 8687-90

ภาพและข้อมูลจาก เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์, bot.or.th

-https://www.bot.or.th/Thai/Pages/default.aspx-
-https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/default.aspx-

-https://www.facebook.com/MiddayNewsTV3/posts/906012226179075-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 16, 2016, 12:55:44 pm
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ประเภทการเงิน ฉบับที่ 169 เอทีเอ็มแบบธรรมดา ธนาคารยังมีบริการไหม
-http://www.chaladsue.com/new/index.php/2015-03-12-09-57-19/2067-test2169-

เปิดหัวเรื่องมาแบบนี้ เพราะมีคำถามจากผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ที่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารพร้อมกับทำบัตรเอทีเอ็ม เพื่อไว้อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่างๆ แต่ปัญหาที่เป็นประสบการณ์ร่วมกันคือ ธนาคารมักเสนอบัตรเอทีเอ็มแบบที่มีลักษณะเป็นบัตรเดบิตไปด้วย(สามารถใช้บัตรรูดแทนเงินสดได้ตามจำนวนเงินที่มีในบัญชี) หรือไม่ก็เสนอบัตรที่มีการทำประกันภัยไปด้วย ทำให้ค่าธรรมเนียมในการทำบัตรพุ่งพรวดไปหลายร้อยบาท

เรื่องนี้มิใช่เพิ่งมามีปัญหา แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เวลามีการโวยวายผ่านสื่อขึ้นมาสักครั้ง ทุกธนาคารก็ให้คำตอบประมาณว่า ธนาคารไม่มีการบังคับ(แบบตรงๆ) ว่าทุกคนต้องทำบัตรเอทีเอ็มชนิดพิเศษ ผู้บริโภคสามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ ซึ่งก็จริง แต่ในสถานการณ์จริง ผู้บริโภคมักถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องเลือกทำบัตรเอทีเอ็มแบบพิเศษด้วยข้ออ้างประเภท “บัตรเอทีเอ็มธรรมดาหมด ต้องรอหลายอาทิตย์กว่าบัตรจะมา” หรือ “บัตรแบบนี้ดีกว่าเยอะ สามารถเบิกถอนได้คราวละมากๆ” เป็นต้น ผู้บริโภคหลายคนจึงเลือกเอาความสะดวก ไหนๆ ก็มาแล้ว ทำไปให้เสร็จๆ เพื่อไม่ต้องเสียเวลามาอีก จึงจำยอมทำไป ทั้งที่ไม่เต็มใจเท่าไหร่ เสียงบ่นเสียงครวญจึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะค่าธรรมเนียมบัตรประเภทพิเศษนี้ จะวนเวียนมาอีกทุกๆ ปี ซึ่งเป็นเรื่องเกินความจำเป็น

ปัญหาการเปิดใช้บริการเอทีเอ็ม

ปัญหาการเงินการธนาคารเป็นประเด็นหนึ่งที่ คณะกรรมการองค์การอิสระภาคประชาชน ให้ความสำคัญและในปี2557 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มทดลองทำหน้าที่ ได้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อการแก้ไขปัญหาที่ทางคณะกรรมการฯ มองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน คือ

1.ยกเลิกการขายพ่วง บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม ร่วมกับการขายประกัน ข้อเสนอนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยทำหนังสือตอบว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย จะขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ และออกประกาศ หรือกำหนดมาตรการบังคับ ห้ามการขายพ่วงบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม และประกันภัย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย จะให้แยกแบบฟอร์มการสมัคร (แยกโต๊ะสำหรับการขายประกันโดยเฉพาะ)

2.ยกเลิกการบังคับ ทำบัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็มธรรมดา ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งว่า ได้ทำหนังสือถึงธนาคารต่างๆ เพื่อจัดการปัญหาการบังคับทำบัตรเดบิตแทนบัตรเอทีเอ็มแล้ว

3.ลดราคาค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขต ข้อเสนอนี้ ในขั้นต้น ธนาคารแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแล้ว(มีเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร)

อย่างไรก็ตาม แม้มีการตอบรับเรื่องการจัดการแก้ไขปัญหา การบังคับทำบัตรเดบิตแทนเอทีเอ็มธรรมดา โดยธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีเสียงร้องเรียนมาจากฟากผู้บริโภคว่า ปัญหายังไม่หมดไป ธนาคารหลายแห่งยังมามุขเดิมๆ คือพยายามบ่ายเบี่ยงการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ของผู้บริโภค ดังนั้นในการประชุมคณะอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชนด้านการเงินและการธนาคาร  ครั้งที่ 5/2557 จึงมีมติให้ทดลองติดตามมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภคของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า มีผลในทางปฏิบัติจริงหรือไม่ ในประเด็น 1) บัตรเอทีเอ็มธรรมดายังทำได้อยู่หรือไม่ 2) ค่าธรรมเนียมการทำบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต ตรงกับที่ทางธนาคารแจ้งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยฉลาดซื้อขออาสาทดสอบเรื่องดังกล่าว

 

ขั้นตอนการทดสอบ

1.เราเลือกธนาคารเป้าหมาย 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยเลือกจาก 3 สาขาของแต่ละธนาคาร ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

2.จัดหาอาสาสมัครเพื่อไปทดลองเปิดบัญชีและทำบัตรเอทีเอ็ม โดยในการทดสอบอาสาสมัครจะบอกเพียงขอทำบัตรเอทีเอ็มเท่านั้นเพื่อดูการเสนอบริการของพนักงานว่ามีการให้ข้อมูลแบบใด เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงค่อยยืนยันว่าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาเท่านั้น เพื่อดูว่าพนักงานจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และอาสาสมัครยังสามารถทำเฉพาะบัตรเอทีเอ็มธรรมดาได้หรือไม่

3.ก่อนจะส่งอาสาสมัครไปเปิดบัญชี เราได้ตรวจสอบข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดูข้อมูลเรื่องค่าธรรมเนียมการทำบัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต ที่แต่ละธนาคารได้แจ้งไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งพบว่า ธนาคารกรุงเทพ ได้ยกเลิกการให้บริการบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาแล้ว มีเพียงบัตรเดบิต “บีเฟิร์ส” เท่านั้น

รูปที่ 1

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=4108;image)

จากตารางจะเห็นว่า การทำบัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ แบบธรรมดาจะเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า+รายปี ไม่เกิน 300 บาท เว้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีค่ารายปี 250 บาท+แรกเข้า 100 บาท รวมเป็นเงิน 350 บาท ข้อสังเกตคือ บัตรเอทีเอ็มธรรมดา ของธนาคารกสิกรไทย กรุงศรีฯ และไทยพาณิชย์จะมีค่าธรรมเนียมแรกเข้า+รายปี ไม่แตกต่างจากการทำบัตรเดบิตแบบธรรมดา เว้นของธนาคารกรุงไทยที่ค่าธรรมเนียมบัตรธรรมดาจะถูกกว่าบัตรเดบิต คือ บัตรเอทีเอ็มธรรมดา 230 บาท บัตรเดบิตธรรมดา 300 บาท

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=4110;image)
รูปที่ 2
KTB
บมจ.ธนาคารกรุงไทย

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=4112;image)
รูปที่ 3
SCB
บมจ.ไทยพาณิชย์

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=4114;image)
รูปที่ 4
Kbank
บมจ.กสิกรไทย

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=738.0;attach=4116;image)
รูปที่ 5
Bay
บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา


จากการทดลองสรุปว่า 12 สาขาของธนาคารเป้าหมาย ที่อาสาสมัครได้ทดลองเปิดบัญชีใหม่พร้อมทำบัตรเอทีเอ็ม พบว่า ไม่สามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ ถึง 6 สาขา (50%) โดยธนาคารกสิกรไทยทำไม่ได้เลยทั้ง 3 สาขาที่อาสาสมัครได้ทดลองขอใช้บริการ รองลงมาคือ ธนาคารกรุงไทย ทำไม่ได้ 2 สาขา ไทยพาณิชย์ ทำไม่ได้ 1 สาขา(อ้างบัตรหมดเช่นกัน) ส่วนที่ต้องปรบมือให้ คือธนาคารกรุงศรีฯ อาสาสมัครของเราสามารถเปิดบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ทั้งสามสาขา

 

ฉลาดซื้อแนะ

1.ถ้าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาจริงๆ ขอให้ยืนยันกับทางพนักงานว่าต้องการทำบัตรเอทีเอ็มธรรมดาเท่านั้น ซึ่งค่าธรรมเนียมจะไม่เกิน 300 บาท เว้นธนาคารไทยพาณิชย์ 350 บาท

2.ระวังพนักงานเล่นกลกับท่าน กรณีที่บัตรเอทีเอ็มธรรมดาของธนาคารอาจมีหลายประเภท ท่านอาจได้ประเภทที่ค่าธรรมเนียมสูงแทนบัตรธรรมดาที่ค่าธรรมเนียมต่ำ  หรือได้เป็นบัตรเดบิตมาแบบงงๆ เพราะค่าธรรมเนียมเท่ากัน

3.โปรดเลือกบริการโดยคำนึงถึงความเสี่ยง ด้วยค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มกับบัตรเดบิต อาจไม่ได้มีราคาต่างกัน ท่านจึงอาจเลือกบัตรเดบิตเพื่อความสะดวก แต่การเลือกใช้บัตรเดบิตต้องคำนึงเรื่องความปลอดภัย เพราะบัตรเดบิตสามารถนำไปรูดซื้อสินค้าได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิต เพียงแต่ไม่เกินยอดเงินในบัญชี ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงในการสุญเงิน หากท่านทำบัตรสูญหายหรือถูกขโมยไปใช้ เพราะผู้ไม่หวังดีต่อท่านจะสามารถรูดซื้อสินค้าได้ง่ายๆ เพียงแค่ปลอมลายมือชื่อของท่านเวลาซื้อของเท่านั้น(ร้านค้าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้พิจารณาเรื่องลายมือชื่อสักเท่าไร) ดังนั้นท่านอาจสูญเงินทั้งหมดในบัญชีไปได้ง่ายๆ

4.ถ้าพบปัญหาว่าไม่สามารถทำบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาๆ ได้ เพราะการอ้างเรื่องบัตรหมด ท่านควรทำหนังสือร้องเรียนต่อธนาคารดังกล่าว โดยการส่งจดหมายถึงธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานใหญ่ของธนาคารนั้น เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการให้บริการ ถ้าจะไม่มีบัตรแบบธรรมดาแล้ว ก็ควรประกาศยกเลิกไปอย่างเป็นทางการ
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 07:40:58 pm
กลโกงของโจรออนไลน์กับวิธีป้องกันครับ
-https://www.facebook.com/hotline1213/photos/a.361487233951356.1073741828.358835237549889/787600391340036/?type=3&theater-
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2016, 10:05:13 pm
หนุ่มเครียด ! ถูกเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเกลี้ยงเกือบล้านบาท
-http://hilight.kapook.com/view/141065-


 หนุ่มเครียดนั่งประท้วงกลางถนนหน้า สตช. หลังโดนคนร้ายหลอกธนาคารเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเก็บทั้งชีวิตเกลี้ยงบัญชีเกือบ 1 ล้านบาท  ขณะที่ทางแบงก์แถลงพร้อมช่วยเหลือลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และเร่งประสานหาทางติดตามตัวคนร้าย

          เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านประดับยนต์ อายุ 28 ปี และครอบครัว ได้นั่งประท้วงกลางถนนพระราม 1 หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประท้วงกรณีตนเองถูกคนร้ายโอนเงินทั้งหมดในชีวิตที่ฝากเอาไว้ในบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยคนร้ายใช้วิธีติดต่อขอเปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปจากนั้นโทรไปเปลี่ยนรหัส แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking และโอนเงินในบัญชีไปจนเกลี้ยง จำนวน 986,700 บาท พร้อมมอบหลักฐานข้อมูลคนร้ายให้ พ.ต.อ.ธวัชศักดิ์ โปตระนันทน์ รอง ผบก.อก.สทส.

มิจฉาชีพขโมยเงิน

          นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ กล่าวว่า ตนอยากเรียกร้องให้ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เนื่องมีคนร้ายไปหลอกขอรหัสผ่านแอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking โอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขากรุงศรีอยุธยา ไปจนหมดบัญชี โดยคนร้ายได้ไปแจ้งกับทางทรูว่าซิมหายต้องการขอซิมใหม่ โดยใช้สำเนาบัตรประชาชนปลอมที่ทำขึ้นมา ข้อมูลในบัตรเป็นของตน แต่ภาพเป็นของคนร้าย ซึ่งปกติแล้วการขอซิมใหม่ของทรูจะต้องใช้บัตรจริงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าทางทรูทำซิมใหม่ให้คนร้ายได้อย่างไร และตั้งแต่วันเกิดเหตุทางทรูไม่เคยติดต่อมาหาหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด หลังเกิดเรื่องตนเป็นผู้ดำเนินเรื่องเองทั้งหมด จากนั้นเมื่อได้ซิมใหม่ก็โทรไปขอรหัสผ่าน K-Mobile Banking กับคอลเซ็นเตอร์โดยใช้ข้อมูลในบัตรประชาชนของตน เมื่อได้รหัสมาคนร้ายก็โอนเงินออกจากบัญชีไปจนหมดรวมทั้งสิ้น จำนวน 986,700 บาท เหลือเงินนบัญชีเพียง 58 บาท

มิจฉาชีพขโมยเงิน

          ส่วนทางธนาคารกสิกรไทยนั้น ตนใช้ธนคารนี้มานานกว่า 5 ปี เพราะเชื่อว่าธนาคารนี้มีความมั่นคงและปลอดภัย แต่กลับต้องมาหมดตัวเพราะกรณีดังกล่าว แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ทางธนาคารได้ติดต่อกลับมาหาตนว่าสามารถชดใช้ได้เพียง 33% จากความเสียหายเท่านั้น ส่วนที่เหลือไปให้ตามเอาเองกับทรูและคนร้าย โดยขณะนี้ตนได้ไปแจ้งความเอาไว้แล้วที่ สภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นวัดเกิดเหตุ แต่ตำรวจระบุว่าไม่สามารถดำเนินคดีเพราะถือว่าทางธนาคารเป็นผู้เสียหาย แต่ทางธนาคารกับทรูไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทำให้ตนต้องเป็นคนสืบหาข้อมูลของคนร้ายเองจนขณะนี้ได้ภาพใบหน้าของคนร้าย ภาพเจ้าของบัญชีรับโอนเงินของตน และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทรูช้็อปขณะกำลังติดต่อขอซิมใหม่

มิจฉาชีพขโมยเงิน

           ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเคสของตนไม่ใช่เคสแรก เพราะมีผู้โดนคนร้ายกลุ่มนี้ถอนเงินออกจนหมดธนาคารมาแล้วกว่า 6 ราย แต่บางรายกลับได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารอย่างเต็มที่ ตนจึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมด้วยวิธีดังกล่าว เพราะหมดสิ้นหนทางในการตามเงินคืนแล้วในตอนนี้

          จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางธนาคารกสิกรไทย ได้ออกคำชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า

               1. จากจำนวนเงินที่ลูกค้าถูกคนร้ายถอนไป เนื่องจากคนร้ายได้ข้อมูลจากลูกค้าไปทำทุจริต  ธนาคารเสนอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระของลูกค้าครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ถูกทุจริต และจะช่วยลูกค้าอย่างเต็มที่ในการติดตามตัวคนร้าย

               2. ลูกค้ามั่นใจได้ว่าระบบของธนาคารมีความปลอดภัย เนื่องจากเรามีการ verify ตัวตนลูกค้าก่อนให้บริการทุกครั้ง ทั้งนี้ทางธนาคารขอแนะนำว่า ลูกค้าควรเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการ

          รวมถึงธนาคารจะดำเนินการในการติดต่อผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในด้านการ verify ตัวตนลูกค้าในการออก sim ใหม่ ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิด fraud รับ OTP ในการโอนเงินในครั้งนี้
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 20, 2016, 08:41:20 pm
กสิกรไทย คืนเงินทั้งหมด หนุ่มโดนตุ๋น Mobile Banking กวาดเงินเกลี้ยงบัญชี
-http://hilight.kapook.com/view/141123-


 ธนาคารกสิกรไทย ติดต่อขอรับผิดชอบค่าเสียหายให้เหยื่อถูกคนร้ายโอนเงินเก็บทั้งชีวิตเกลี้ยงบัญชีเกือบ 1 ล้านบาท ด้วยการคืนเงินทั้งหมด  100% พร้อมเตือนหากต้องการส่งบัตรประชาชนให้ใคร อย่าลืมปิดบาร์โค้ดด้านซ้ายมือด้วย

          จากกรณี นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านประดับยนต์ อายุ 28 ปี และครอบครัว ได้นั่งประท้วงหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังถูกคนร้ายโอนเงินจำนวน 986,700 บาท ที่ฝากเอาไว้ในบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยคนร้ายใช้วิธีติดต่อขอเปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปก่อนโทรไปเปลี่ยนรหัส แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking และโอนเงินในบัญชีไปจนเกลี้ยง ซึ่งภายหลังธนาคารกสิกรยอมคืนเงินให้ร้อยละ 33 ของเงินที่สูญไปเท่านั้น
[อ่านข่าว : หนุ่มเครียด ! ถูกเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเกลี้ยงเกือบล้านบาท]
-http://hilight.kapook.com/view/141065-



          ความคืบหน้าล่าสุด (20 สิงหาคม 2559) ทางธนาคารกสิกรไทยได้ติดต่อทางผู้เสียหายเพื่อขอเจรจาคืนเงินให้ทั้งหมด ก่อนจะดำเนินคดีฟ้องร้องกับกลุ่มคนร้ายที่ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งทนายความออกมาแสดงความคิดเห็นว่าทางธนาคารต้องรับผิดชอบฐานปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชีมาทำธุรกรรมการเงิน และในกรณีนี้ผู้เสียหายสามารถแจ้งความได้โดยไม่ต้องรอให้ธนาคารดำเนินคดี

          อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายพันธุ์สุธี  ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตนขอขอบคุณทางธนาคารกสิกรไทยที่ออกมารับผิดชอบ และขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือพ่อค้าธรรมดาอย่างตน ซึ่งตอนนี้ทางธนาคารเองได้ขอความร่วมมือกับตำรวจให้ช่วยจับคนร้าย แต่ครั้งนี้ขอให้เป็นบทเรียนกับธนาคารและโทรศัพท์มือถือ ว่าให้ระวังมิจฉาชีพต่าง ๆ ดังนั้น เรื่องบัตรประชาชนสำคัญมาก ตอนนี้คนร้ายได้บัตรประชาชนสามารถไปหลอกค่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อไปเปลี่ยนซิมการ์ดได้ จึงอยากให้ค่ายมือถือและธนาคารมีความรอบคอบ และหากต้องการเปลี่ยนรหัสใด ๆ ต้องทำผ่านเคาท์เตอร์เท่านั้น

          สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่ต้องการส่งบัตรประชาชนให้ลูกค้านั้น ให้ทำการปิดเลข 13 หลัก วันเดือนปีเกิด และบาร์โค้ดด้านซ้ายสุด ซึ่งบาร์โค้ดนี้จะมีเลข 13 หลักอยู่ หากไม่ปิดบาร์โค้ด คนร้ายสามารภใช้แอพพลิเคชั่นสแกนเลขได้เลย เรื่องนี้ไม่มีใครรู้และขอให้ประชาชนระวัง



ภาพจาก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
-https://www.facebook.com/Helpcrimevictimclub/videos/1076087975838656/-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก thaich8
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 01, 2023, 11:43:13 am
.
.
.
ปลอมเสียงหลอกเป็นคนรู้จักเพื่อยืมเงิน -ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย
.
ที่มา และ โพสโดย เฟซบุ๊ก ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.
วันที่ 1 สิงหาคม 2566
.
.
????????‍♀️ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย
????ปลอมเสียงหลอกเป็นคนรู้จักเพื่อยืมเงิน
.
????กลโกงของคนร้าย :
.
1. คนร้ายติดต่อหาเหยื่อผ่านทางโทรศัพท์โดยใช้เครื่องมือปลอมเสียงอ้างว่าเป็นคนรู้จักของเหยื่อ
.
2. คนร้ายแจ้งเหยื่อว่าตนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ให้เหยื่อบันทึกเบอร์ที่ใช้แอบอ้างไว้
.
3. ในวันถัดไป คนร้ายจะโทรศัพท์หาเหยื่ออ้างเหตุจำเป็นต้องใช้เงินด่วน
เช่น ต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่ App ธนาคารตนเองโอนเงินไม่ได้ หรือต้องชำระเงินค่าสินค้า
.
4. คนร้ายจะส่งเลขบัญชีรับเงิน (บัญชีม้า) ไปให้เหยื่อ
หากเหยื่อเกิดความสงสัยว่าเหตุใดชื่อบัญชีที่ได้รับมา ไม่ตรงกับชื่อคนที่คนร้ายแอบอ้าง
คนร้ายก็จะอ้างว่าเป็นเลขบัญชีของทางร้านค้า และจะกดดันเหยื่อว่าตนเองเดือดร้อน ต้องรีบใช้เงิน
.
5. เมื่อเหยื่อหลงกลโอนเงินไปให้คนร้ายแล้ว คนร้ายจะบล็อคเบอร์โทรศัพท์ของเหยื่อ
.
.
????ข้อสังเกต :
.
1. คนร้ายมีข้อมูลชื่อ หน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ของคนที่ถูกแอบอ้างและเหยื่อ
2. ชื่อบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน (บัญชีม้า) ไม่ตรงกับคนที่คนร้ายแอบอ้าง
.
.
????ข้อควรระวัง และแนวทางป้องกัน :
1. ให้สอบถามรายละเอียดเชิงลึกระหว่างคนที่ถูกแอบอ้างกับเหยื่อหรือผู้ที่ได้รับโทรศัพท์คนร้าย
2. ให้ติดต่อกลับทางช่องทางอื่น เช่น ไลน์ facebook หรือเบอร์โทรศัพท์เดิม
3. กรณีให้โอนเงินเข้าบัญชีคนอื่นหรือบัญชีม้า โดยอ้างว่าเป็นบัญชีของเลขา ร้านค้า เพื่อน หรืออื่นๆ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นคนร้าย
4. ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ด้วยแอปพลิเคชัน Whoscall (เป็นแอปพลิเคชันแจ้งเตือนเบอร์มิจฉาชีพที่โทรเข้ามาได้เบื้องต้น)
.
.
❌ไม่เชื่อ ❌ไม่รีบ ❌ไม่โอน
.
???? "ตำรวจไซเบอร์ ให้ความรู้ รู้ทันความคิดมิจฉาชีพ"
.
#ตำรวจไซเบอร์ #เตือนภัยออนไลน์ #ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย
#ปลอมเสียง #หลอกยืมเงิน #หลอกโอนเงิน
.
.
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
???? ด้วยความห่วงใย จากตำรวจไซเบอร์
????โทรปรึกษาสอบถาม 1441 หรือ 081-866-3000
แจ้งความออนไลน์ ได้ที่
????https://www.thaipoliceonline.com/
???? หรือ แอดไลน์@police1441 แชทบอทกับหมวดขวัญดาว ตลอด 24 ชั่วโมง
.
.
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2023, 09:39:13 pm
.
.
.
ผู้เชี่ยวชาญ แนะวิธีเอาตัวรอดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงิน
เบื้องหลังข่าว กับ กาย สวิตต์
.
https://www.youtube.com/watch?v=2Gdo1mi3q9c (https://www.youtube.com/watch?v=2Gdo1mi3q9c)
.
CH7HD News
11 ส.ค. 2023
.
.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
หลังจากที่วันก่อน เรานำเสนอข่าว ดาราสาวช่อง 7HD ถูกมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า หลอกอ้างว่าจะดำเนินการคืนเงินค่าประกันไฟฟ้าให้ โดยให้ผู้เสียหาย สลับซิมการ์ด จากโทรศัพท์ไอโฟน มาใส่ในแอนดรอยด์ แล้วหลอกให้โหลดแอปจากลิงก์ กรอกชื่อ เบอร์โทร จนสุดท้ายถูกดูดเงินในบัญชีไปเกือบ 200,000 บาท วันนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีการเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกดูดเงิน
.
เหตุการณ์นี้ คุณอ้อม อังคณา อึ๊งเจริญ ดารานักแสดงของช่อง 7HD เป็นผู้เสียหาย โดยคนร้ายคุยกับคุณพ่อก่อน และบอกข้อมูลจริงที่ถูกต้องด้วยว่า คุณพ่อทำเรื่องขอคืนเงินประกันค่าไฟฟ้า แต่ยังไม่ได้เงิน นี่เป็นจุดแรก ทำให้คุณพ่อตายใจไปแล้ว 1 คน ซึ่งคุณอ้อมสงสัยว่า ทำไมคนร้ายรู้ข้อมูลที่คุณพ่อเคยไปดำเนินการกับการไฟฟ้าไว้
.
จุดที่ 2 ที่คุณอ้อมรู้สึกว่า ข้อมูลของคุณพ่อเธอรั่วไหล ก็คือเมื่อเธอได้คุยกับคนร้าย คนร้ายก็รู้ด้วยว่า พ่อของเธอพิการ ซึ่งตรงจุดนี้ เธอก็สงสัยเหมือนกันว่า ข้อมูลที่ลึกลงไปแบบนี้ ตกไปอยู่ในมือของคนร้ายได้ด้วย นำมาสู่การหลงเชื่อ นำซิมออกจากมือถือไอโฟน ไปใส่ในมือถือแอนดรอยด์ของพ่อ ตามคำแนะนำของคนร้าย แล้วกดลิงก์ที่คนร้ายส่งมา กรอกชื่อ ใส่เบอร์โทรศัพท์ จนถูกดูดเงินจากบัญชีธนาคารไปเกือบ 200,000 บาท
.
.
อาจารย์ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ ข่าวเย็นประเด็นร้อน ว่า เรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ยืนยันมีล้านเปอร์เซ็นต์ และเป็นทั่วโลก ซึ่ง รั่วไหลได้หลายแบบ ประกอบด้วย หน่วยงานรัฐและเอกชนโดนคนร้ายแฮ็กข้อมูล, คนร้ายติดต่อซื้อข้อมูลจากคนดูแลระบบหรือไอที, ตัวเราเองลงแอปฯ ต่าง ๆ และ แอปฯ เหล่านั้นเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์
.
ส่วนข้อมูลของคนไทย ที่รั่วไหลไปแน่ ๆ มีอย่างน้อย 5 อย่าง ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, วันเกิด, เลขประจำตัวประชาชน, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ ซึ่งแก๊งคนร้าย มักจะมีข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ และรู้ถึงกิจกรรมที่ผู้เสียหายทำผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย เช่น การซื้อสินค้าผ่านแอปฯ จ่ายเงินทำธุรกรรมผ่านแอปฯ การติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ บนมือถือ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เมื่อตกอยู่ในมือคนร้าย จะนำมาเป็นข้อมูลแรก ๆ ที่หลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จากนั้นขั้นตอนต่อไปก็ให้แอดไลน์คุยกัน
.
ส่วนกรณีน้องอ้อม ดาราสาวช่อง 7 ถูกคนร้ายลวงให้นำซิมจากเครื่องไอโฟน ไปใส่ในเครื่องของพ่อ ซึ่งเป็นแอนดรอยด์ แล้วส่งลิ้งก์การไฟฟ้า หรือ PEA มาให้กด จากนั้นใส่ชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ แล้วคนร้ายชวนคุยระหว่างหลอกดูดเงิน โดยใช้เวลาราว 30-40 นาทีนั้น
.
อาจารย์ปริญญา บอกว่า คนร้ายไม่สามารถรีโมตลงแอปดูดเงินในไอโฟนได้ จึงหลอกให้ถอดซิมไปใส่ในเครื่องแอนดรอยด์ ซึ่งลิ้งก์แอปการไฟฟ้าหรือ PEA ที่คนร้ายส่งมาให้กด เป็นแอปธนาคารของคนร้าย ที่ซ่อนมาในรูปของแอป PEA เมื่อเราไปกดดาวน์โหลดหรืออินสตอลในเครื่องแล้ว แอปธนาคารของคนร้าย จะติดตั้งในโทรศัพท์เราโดยไม่รู้ตัว แต่ตัวแอปที่แสดงหน้าจอโทรศัพท์ ถูกพรางตัวว่าเป็นแอป PEA
.
แต่อาจารย์ปริญญา ก็บอกว่า ลำพังการที่เราใส่เฉพาะชื่อและเบอร์โทรศัพท์ คนร้ายก็ยังไม่สามารถดูดเงินได้ ต้องมีขั้นตอนที่เผลอยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP ที่ส่งมาในเครื่องแอนดรอยด์ที่เราใส่ซิมไว้ และเผลอไปใส่รหัสด้วย คนร้ายจึงรู้รหัสแอปธนาคารเรา และทำการโอนเงินออกจากแอปธนาคารที่ลงพรางไว้เป็นหน้าแอป PEA ซึ่งสังเกตได้ว่าช่วงที่หน้าจอหมุนหรือเป็นสีขาว นั่นแหละคือช่วงที่คนร้ายกำลังถอนเงิน โดยพรางหน้าจอไว้ให้หมุนหรือเป็นสีขาว โดยทุกวันนี้ ถ้าโอนเงินออกเกิน 50,000 บาทต่อครั้ง จะต้องสแกนใบหน้า จึงพบว่าในการถอนเงินออกจากบัญชีน้องอ้อม โอนออกครั้งละ 49,850 บาท จำนวน 4 ครั้ง เพื่อเลี่ยงการสแกนใบหน้า
.
อาจารย์ปริญญา แนะนำว่า ช่วงที่คนร้ายดูดเงินออกจากแอปบัญชีธนาคาร คนร้ายก็จะชวนคุยผ่านการโทรทางไลน์ที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นโดยไม่วางสาย เพื่อเบี่ยงเบน ดึงความสนใจผู้เสียหายไม่ให้ไปสนใจกับโทรศัพท์ที่กำลังหมุน หรือหน้าจอกำลังเปลี่ยนเป็นสีขาว ซึ่งเป็นช่วงที่คนร้ายกำลังดูดเงินออก ถ้าเห็นแบบนี้ และฉุกคิดได้ว่า กำลังถูกหลอกดูดเงิน ให้รีบปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ เพื่อตัดการถอนเงินที่กำลังถอนอยู่ทันที คนร้ายจะทำอะไรต่อไม่ได้ จากนั้นให้ติดต่อธนาคารเพื่อระงับการทำธุรกรรมทุกอย่างก่อน จึงค่อยเปิดเครื่องโทรศัพท์ ส่วนการดึงซิมการ์ดออกระหว่างรู้ตัวว่าถูกดูดเงินก็ไม่มีประโยชน์ เพราะบางทีเราต่อไวไฟกับโทรศัพท์ไว้ เครื่องยังทำงานต่อได้
.
.
กรณีที่อาจารย์ปริญญา บอกว่าให้ปิดเครื่องและติดต่อธนาคารอายัดบัญชีนั้น ปัจจุบัน หลัง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บังคับใช้ไปเมื่อ 17 มีนาคม 2566 จะมีข้อสำคัญ 3 ข้อที่จะช่วยเหลือผู้เสียหายได้ไว คือ
.
1. เมื่อผู้เสียหายแจ้งกรณีการโดนหลอกกับธนาคาร จะได้ Bank ID Case มา ซึ่งเบื้องต้นธนาคารอาจอายัดบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ภายในธนาคารเดียวกันได้ ชั่วคราวที่ 72 ชม.
.
2. นำเลข Bank ID Case เข้าแจ้งความต่อตำรวจผ่านช่องทางต่าง ๆ
.
3. เมื่อธนาคารได้รับหมายอายัดจากตำรวจ จึงสามารถขยายเวลาอายัดบัญชีได้
.
สุดท้าย อาจารย์เอนก สรุปว่า ตัวแอปธนาคารที่อยู่ในเครื่องไอโฟนตั้งแต่แรก คนร้ายเข้าไปทำอะไรไม่ได้ จึงหลอกให้ถอดซิมมาใช้กับแอนดรอยด์ และก็จัดการดูดเงินผ่านแอนดรอยด์ ดังนั้นการป้องกันตั้งแต่ต้น ถ้ามีใครอ้างเป็นหน่วยงานต่าง ๆ โทรมา ให้บอกยังไม่ว่างคุย ขอเบอร์โทร เดี๋ยวโทรกลับ ซึ่งพวกนี้มักรู้ว่าเรารู้ทัน จะวางหูใส่ทันที ไม่มีการให้เบอร์โทรเรา แต่ถ้าหลวมตัวคุย ก็ให้คิดว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานไหน มาเสียเวลาคุยกับคุณนาน ๆ ขนาดนั้น หรือถ้าหลวมตัวไปกว่านั้นอีก ถ้าหากคุณใช้ไอโฟน แล้วเขาออกอุบายให้ถอดซิมไปใส่แอนดรอยด์ ให้ถือว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน เพราะแอปต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐมีทั้งในระบบไอโอเอส และแอนดรอยด์ สุดท้ายถ้าหลวมตัวไปอีก จนไปกดโหลดลิงค์ที่เขาส่งมา หน้าจอหมุนให้รอ แสดงว่ากำลังถูกดูดเงินก็ให้ปิดเครื่องทันที และรีบแจ้งธนาคารเพื่ออายัดบัญชี เอา Bank ID Case ไปแจ้งความ
.
.
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2023, 09:39:47 pm
.
.
.
ระงับทัน 1 บัญชี ‘ตาล ประวีณมัย’ ด้าน ‘อ.ฝน ไซเบอร์’ ชี้หลอกสแกนหน้า สร้างแอปฯปลอม ครอบแอปฯจริง
.
https://www.youtube.com/watch?v=serXqC3PAdo&t=4s (https://www.youtube.com/watch?v=serXqC3PAdo&t=4s)
.
เรื่องเล่าเช้านี้
11 ส.ค. 2023
.
.
อ.ฝน ไซเบอร์’ ชี้กลยุทธมิจฉาชีพ ดูดเงินผู้ประกาศช่อง 3 แอดวานซ์ของมิจฉาชีพ หลอกสแกนใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตน โดยนำไปสร้างแอปปลอม มาครอบแอปธนาคาร อีกที ก่อนทำธุรกรรม โอนเงิน เข้า-ออกได้ ด้าน ‘ชัยวุฒิ’ สั่งตรวจสอบปัญหาธนาคาร ระงับบัญชีม้าล่าช้า ทั้งที่แก้กฎหมายให้อำนาจ - เพิ่มโทษแล้ว
.
จากกรณีผู้ประกาศข่าว ชื่อดัง น.ส.ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ถูกมิจฉาชีพโทร.หา อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ให้อัพเดตข้อมูลที่ดิน เสียภาษีก่อนให้แอดไลน์ ติดตั้งแอพฯ สุดท้ายถูกดูดเงินออกจากบัญชีธนาคาร สูญไปกว่า 1 ล้านบาท
.
วานนี้ (วันที่ 10 ส.ค.) นายนรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล หรือที่รู้จัก อาจารย์ฝน ไซเบอร์ กล่าวถึงกลวิธีแยบยลของมิจฉาชีพ ผ่านแอปดูดเงิน ระบุว่า กรณีของคุณประวีณมัย เป็นการทำงานขั้นแอดวานซ์ของมิจฉาชีพ ที่รู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์หลายแห่งปรับปรุงมาตรการเบิกเงินเกิน 50,000 บาทต้องสแกนใบหน้า จึงหลอกให้สแกนหน้า เพื่อยืนยันตัวตน แล้วมิจฉาชีพก็นำไปสร้างแอปปลอม มาครอบแอปธนาคาร อีกที เพื่อนำมาทำธุรกรรมธนาคาร โอนเงิน เข้า-ออกได้
.
อ.ฝน บอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่มักพบ มิจฉาชีพมักจะให้เหยื่อใช้โทรศัพท์ในระบบแอนดรอยด์ มากกว่าใช้ระบบ IOS จาก App Store เพราะแอนดรอยด์จะทำอะไรได้ง่ายกว่า แต่ในทางกลับกัน ในส่วนของ App Store ปัจจุบันมิจฉาชีพก็ก้าวหน้าถึงขนาดไปสร้าง App Store ปลอมได้ ด้วยการให้เหยื่อกดลิงค์ตามไป และไปโหลดแอป ซึ่งมีหน้าตาคล้าย App Store ประชาชนหลายคนจึงเข้าใจว่ากำลังติดตั้งแอป จาก App Store อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องต้องระวัง
.
ดังนั้นแล้ว จึงอย่าหลงกลเอาข้อมูลสำคัญให้ตั้งแต่ต้น เพื่อติดตั้งแอปโดยไม่รู้ที่มา แม้จะเป็นหน่วยงานราชการ ต้องไม่เชื่อไว้ก่อน ซึ่งมิจฉาชีพปัจจุบันใช้การพูดด้วยหลักจิตวิทยาขั้นสูงให้หลงเชื่อ จึงไม่ควรเชื่อ แล้วบอกจะติดต่อกลับเท่านั้น
.
สมาคมธนาคารไทย เตรียมหารือ สร้างความตระหนักรู้ เรื่องความปลอดภัยออนไลน์ให้มากขึ้น หลังมิจฉาชีพรุกหนัก พัฒนารูปแบบการหลอกลวงถึงขั้นพัฒนาแอปฯปลอมแสกนใบหน้า พร้อมย้ำธนาคารสามารถอายัดบัญชีได้ทันที หากพบความผิดปกติในการเบิกถอนเงินจากบัญชี
.
นายธีรวัฒน์ อัศวโภคี ประธานชมรมตรวจสอบและป้องกันการทุจริต สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพได้มีการพัฒนารูปแบบในการหลอกลวงได้อย่างแนบเนียนมากขึ้น ทั้งการสร้างช่องทางในการเข้าถึงข้อมูล เช่น การให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปฯ มีการพัฒนาแอปฯปลอมให้สามารถแสกนใบหน้า เพื่อใช้ยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมต่าง ๆ
.
โดยยอมรับว่าที่ผ่านมา หลังจากภาคธนาคารได้พัฒนาเรื่องการสแกนใบหน้า กรณีการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนมาก ๆ มิจฉาชีพก็ได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงเช่นกัน ซึ่งทางภาคธนาคารก็ต้องไปหารือถึงแนวทางแก้ไขต่อไป ซึ่งทางชมรมฯ ซึ่งประกอบด้วยธนาคารต่างๆ ได้หารือถึงแนวทางที่จะต้องสร้างความตระหนักรู้ถึงการป้องกันอาชญากรรมบนออนไลน์แก่สาธารณะให้มากขึ้น ให้ทันกับกลโกงของมิจฉาชีพ ซึ่งการสร้างความตระหนักถึงอันตรายและการป้องกันที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันความเสียหายได้มากที่สุด
.
แต่หากพลาดกดลิ้งค์ ลงแอปฯปลอม ให้พินโค้ด และแสกนใบหน้าไปแล้ว และรู้ตัวทีหลังว่าถูกมิจฉาชีพหลอก ให้ผู้เสียหายรีบติดต่อ แจ้งธนาคารทันที เพื่อให้ธนาคารออกแบงก์ “เคสไอดี” เพื่อนำรหัสไปแจ้งความ ขณะเดียวกันธนาคารจะระงับบัญชีที่มีปัญหาทันที เป็นเวลา 3 วัน เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน แต่หากต้องการให้ธนาคารระงับบัญชีนานกว่า 3 วัน จำเป็นต้องใช้ใบแจ้งความ ซึ่งเป็นกระบวนการตามกฎหมาย มีข้อมูลด้วยว่าเกือบ 100% ของผู้ที่ถูกหลอก เป็นการโจมตีผ่านระบบแอนดรอยด์มากที่สุด
.
ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และบอกว่าตอนนี้ อยู่ระหว่างตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น
.
นายชัยวุฒิย้ำว่า การอายัดบัญชีหรือระงับบัญชีม้านั้น ได้มีการแก้กฎหมายและออกเป็นพระราชกำหนดปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งให้อํานาจทางธนาคารสามารถระงับบัญชีได้เลย เมื่อมีเหตุอันสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า หรือประชาชนที่โดนหลอกลวงก็สามารถแจ้งให้ธนาคารระงับบัญชีได้เลย และเมื่อเป็นบัญชีม้า มีผู้เสียหายมาร้องเรียน ธนาคารต้องระงับบัญชีเลยตามกฎหมายฉบับใหม่ ทั้งนี้สำหรับเหตุการณ์ที่ผู้ไปร้องเรียนกับทางธนาคารแล้วไม่ยอมรับบัญชี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องจะดำเนินการตรวจสอบต่อไป
.
.
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 02, 2023, 03:09:53 pm
.
.
.
วิเคราะห์ชอตต่อชอตจากของจริง แก๊งคอลเซนเตอร์หลอกดูดเงิน
สังเกตยังไง รู้ไว้ไม่พลาด ไม่สูญเงิน I DGTH
.
https://www.youtube.com/watch?v=gIkgyZVzRbA (https://www.youtube.com/watch?v=gIkgyZVzRbA)
.
iT24Hrs
28 ส.ค. 2023
.
.
วิเคราะห์ชอตต่อชอต แก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกดูดเงิน สังเกตยังไง รู้ไว้ไม่พลาด ไม่สูญเงิน I DGTH
จากกรณีที่คุณตาลปวีณามัยโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ติดตั้งแอป ดูดเงินแล้วก็ศูนย์เงินไปกว่าล้านบาท และก็มีอีกหลายคนเลยที่โดนเหมือนกัน
และก็มีเหยื่อท่านหนึ่งได้อัดการสนทนากับแก๊งเอาไว้แบบสมบูรณ์ เราเลยจะมาตีแผ่กันแบบช็อตต่อช็อต มีจุดสังเกตตรงไหนบ้าง จะได้สามารถระมัดระวังป้องกันตัวเองได้
.
.
00:00 เริ่มต้น
01:05 คนร้ายมักจะอ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการ
01:50 จุดสังเกตที่1 คนร้ายมักจะให้แอดไลน์ ไม่ให้เบอร์ 02
02:22 จุดสังเกตที่2 คนร้ายส่งลิงก์มาให้เรา / เว๊บไซต์หลอก ดูที่ URL
04:44 จุดสังเกตที่3 การโหลดแอปฯ นอกสโตร์
06:58 จุดสังเกตที่4 โทรศัพท์แจ้งเตือน
08:56 จุดสังเกตที่5 เปิดโหมดการช่วยเหลือ
09:22 จุดสังเกตที่6 โทรศัพท์แจ้งเตือนเกี่ยวกับการถูกแคสการระยะไกล
10:39 จุดสังเกตที่7 สแกนใบหน้า
12:21 ถ้ารู้ตัวว่าโดนหลอกแล้วต้องทำอย่างไร
14:03 โทรศัพท์ที่เราติดตั้งแอปฯ ดูดเงินไปแล้วควรทำอย่างไรต่อ
16:20 ถ้าต้องการเก็บโทรศัพท์ไว้เป็นหลักฐานต้องทำอย่างไร
16:56 ถ้าต้องการเอาโทรศัพท์ที่โดนหลอกเงินไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ต้องทำอย่างไร
.
.
อย่างกรณีที่เป็นข่าวล่าสุด คนร้ายเขาแอบอ้างว่าเป็นกรมที่ดิน ซึ่งหลักการ เนี่ย ก็คือว่าคนร้ายเขาก็มักจะหลอกว่าเป็นหน่วยงานราชการ ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องตระหนักไว้ก็คือ คนร้ายจะอ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการ เพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือ ทําไม รู้ข้อมูลของเราเป๊ะขนาดนี้ แล้วพอเราเริ่มหลงเชื่อ เขาก็จะโทร แล้วจิดสังเกตที่สำคัญของมิจฉาชีพคืออะไร แล้วเราจะสามารถตรวจสอบอย่างไรได้บ้าง
.
ถ้าเรายอมแอดไลน์แล้วก็ไปคุยกับเขาต่อ สิ่งที่คนร้ายมักจะทําก็คือ มักจะส่งลิงค์มาเพื่อให้เราไปติดตั้งแอปฯ อันตราย แอปฯ ซึ่งแอปพวกนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง อันตรายแค่ไหน ถ้าเราระวังตัว ไม่กดลิงก์ คนร้ายจะใช้วิธีอะไรหลอกเราได้บ้าง ถ้าคนร้ายใช้วิธีทําเป็นเว็บไซต์หลอกขึ้นมา แล้วก็ส่งลิงก์มาให้ หรือบอก URL ให้เราพิมพ์ตามเข้าไปใน Browner เราจะสังเกตยังไงได้บ้างว่าเว็ปไซต์นั้นเป็นเว๊บปลอม
.
ถ้าเราถลําตัวไปแล้ว สิ่งที่คนร้ายจะทําก็คือ ให้เราไปหาสักจุดหนึ่ง อาจจะเป็นรูป เป็นลิงก์หรืออะไรก็ได้สักที่หนึ่ง คลิกไป ถ้าเราคลิกเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อันตรายแค่ไหน
.
พอกดดาวน์โหลดอย่างที่คนร้ายบอกแล้ว มันก็จะไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ซึ่งก็จะเป็นแอปพลิเคชันที่จะมาดูดเงินเรา หรือสามารถเข้ามาควบคุมมือถือของเราจากทางไกล แล้วแอปฯ ไหนบ้างที่อันตราย แอปนอกสโตร์คืออะไร อันตรายแค่ไหน มือถือ Andriod กับ iSO มีความปลอดภัยต่างกันเรื่องไม่ OS ไหนที่อันตรายคนร้ายใช่เยอะมากกว่ากัน
.
โทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนว่า ไฟล์อาจเป็นอันตราย คุณต้องการดาวน์โหลดสมาร์ทแลนด์ .apk ต่อไปไหม เราอาจเริ่มเอะใจ แต่คนร้ายเขาก็จะมีวิธีการในการพูดให้เรารู้สึกว่า เอ้ย! มันไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องตกใจเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ามันเป็นการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ ก็แล้วแต่สารพัดวิธีที่เขาจะมาหลอกลวงเรา ซึ่งถ้าเราโหลดเข้ามาจะเป้นอันตรายอย่างไรบ้าง
.
พอติดตั้งเสร็จคนร้ายก็จะให้เราล็อกอินด้วย ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ของเราและต้องมีการสแกนใบหน้า ซึ่งเป้นเรื่องที่อันตรายมากๆ หลังจากนั้นระบบจะให้ เรา ตั้งรหัสผ่าน ตั้งพิน โดยคนร้ายก็พูดหลอกต่างต่างนานาว่ามีความจําเป็นที่จะต้องตั้งแล้วก็ให้เป็นพินที่เราสามารถจําได้ง่ายด้วย เพราะว่าเดี๋ยวต้องใช้กันต่อและโดยทั่วไป ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดที่อันตรายมากเหมือนกัน
.
แต่ถ้าตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนร้ายก็จะให้เราคลิกเพื่อเปิดใช้งานก่อนหน้านี้ ธนาคารหลายหลายธนาคารเขาก็มาบอกว่า วิธีหนึ่งที่จะป้องกันพวกแอปดูดเงินจากทางไกลได้เนี่ย ให้ไปปิดโหมดการช่วยเหลือแต่ว่ามิจฉาชีพเขาก็พัฒนาขึ้นอีกขั้น เขาก็มีวิธีการพูดหลอกล่อเพื่อให้เราเชื่อแล้วเราก็เปิดตามเขา แล้วเค้าใช้วิธีไหนในการหลอกเราล่ะ
.
จากนั้นเครื่องก็จะถูกล็อค แล้วสังเกตตรงนี้ มันมีป๊อปอัพขึ้นมาบอกแล้วว่า ตอนเนี้ยได้เริ่มบันทึกหรือ ด้วย smartlands แล้ว smartlands คืออะไร อันตรายแค่ไหน วิธีแก้ไขคืออะไร
.
แล้วจุดสังเกตอื่น ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีอะไรบ้างแค่วางมือถือไว้เฉยเฉย คนร้ายสามารถดูดเงินออกไปเลยำด้มั้ย คนร้ายทำอย่างไร แล้วถ้าเวลาโอนเงินต้องมีการสแกนใบหน้า คนร้ายจะหลอกเราด้วยวิธีไหน เราจะป้องกันตัวอย่างไรได้บ้าง
.
ถ้าเราโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกแล้วเราต้องทำยังไงบ้างเพื่อไม่ให้สูญเสียเงินไปจากบัญชี มีวิธีไหนป้องกันได้บ้าง ต้องแจ้งความหรือไม่ ต้องโทรแจ้งธนาคารหรือไม่
.
คําถามต่อมา แล้วเจ้าเครื่องที่เราได้พลาดพลั้งติดตั้งเจ้าแอปอันตรายลงเครื่องเราไปแล้ว จากนี้ไปเราจะต้องทํายังไงต่อ ถ้าหากต้องการที่จะใช้โทรศัพท์เป็นหลักฐานต้องทำอย่างไรบ้าง แล้วหลังจากถ้าต้องการนำโทรศัพท์กลับมาใช้อีกครั้งต้องทำอย่างไรบ้าง สามารถติดตามได้ในคลิปนี้เลย ขอขอบคุณ อาจารย์ฝน นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล (อาจารย์ฝน) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อุปนายกสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ หรือ TISA และเจ้าของเพจ : อาจารย์ฝนสอนเอง ที่ให้คำแนะนำ
.
และต้องขอขอบคุณผู้เสียหายที่ได้อัดคลิปการสนทนาไว้ตลอดและอนุญาตให้เราได้นำมาให้ทุกท่านได้ดูและได้มาเตือนกันจากของจริงเลยนะคะ
.
(ออกอากาศเมื่อ เสาร์ 26 ส.ค.66 ในรายการดิจิทัล ไทยแลนด์ ทางช่อง 3 กด 33 )
.
.
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 16, 2023, 11:09:19 am
.
.
เรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จะมาหลอกลวงเงิน
.
จะบอกว่า ยากที่จะหลอกผู้ที่รู้เท่าทัน
.
และ มาแนะนำวิธีการง่ายๆให้ทราบกัน
.
1.หน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน , ธนาคารทุกธนาคาร
จะไม่มีการโทร.มา หรือ ต้องแอดฯไลน์ คุยกัน
.
ถ้าจะคุย ให้ไปค้นหาเบอร์โทร.จากหน่วยงานนั้นๆโดยตรง
หรือไปที่หน่วยงานนั้นๆ หรือหน่วยงานที่มีสาขาอยู่ในพื้นที่ของตนเอง
.
2.ห้ามโหลดแอป.ต่างๆที่มีคนส่งลิงค์มาให้อย่างเด็ดขาด
.
การโหลดแอป.ต่างๆ ต้องไปโหลดที่
Google play store (ระบบ Android)
หรือ
App Store (ระบบ IOS (ระบบปฏิบัติการไอโอเอสและไอแพดโอเอส) ของ แอปเปิล)
.
3.ห้ามโอนเงินเด็ดขาด
.
4.ต้องรู้ตนเองว่า ถ้าไม่ได้กระทำอะไรผิด ไม่ต้องไปกลัวอะไร สำหรับการข่มขู่
.
เพียงแค่นี้ครับ  ก็ไม่โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงแล้วครับ
.
.*********************************.
.
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คุยอย่างเนียน เหมือนตำรวจจริง! | อีจัน EJAN
.
https://www.youtube.com/watch?v=nHucw27Cwwc (https://www.youtube.com/watch?v=nHucw27Cwwc)
.
Ejan
16 ก.ย. 2023
.
.
หัวข้อ: Re: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 14, 2023, 12:21:18 pm
.
.
.
เหตุนี้ !...มีเรื่อง..ซื้อประกันทางโทรศัพท์เพราะด่วนตอบตกลง มีทางออก
เขียนโดย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ที่มา เว็บไซด์ ffcthailand
.
เขียนเมื่อ 11-10-2023 14:42
.
.
จั่วหัวเรื่องมาแบบนี้ มันต้องมีปัญหาน่ะแหละ! ใครเคยเจอเคสแบบนี้ต้องมาตามเรื่องของผู้บริโภครายล่าสุด ที่มาร้องกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อขอความช่วยเหลือ
.
เรื่องของเรื่อง มีอยู่ว่า ผู้ร้องรายนี้ได้ซื้อประกันรถยนต์ทางโทรศัพท์ที่มีนายหน้ามาเสนอขาย เบี้ยประกัน 5 แสน สามารถซ่อมศูนย์ได้ทั่วประเทศ เจ้าตัวจึงตัดสินใจทำเพราะคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์ ผ่านไปหลายวันมาเจอปัญหาบางอย่างจึงต้องการยกเลิก แต่พอโทรศัพท์ไปที่บริษัทประกัน มันไม่ง่ายน่ะสิ! เพราะไคำตอบว่า ต้องรอให้ได้รับเล่มกรมธรรม์ก่อน อ้าว!ทำไมต้องรออ้ะ ก็เพราะไม่อยากทำประกันถึงต้องขอยกเลิกไง แต่..ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เพราะบริษัทได้ตัดบัตรเครดิตเรียกเก็บเบี้ยประกันงวดแรกไปแล้วน่ะสิ!
.
เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของผู้ร้องรายนี้ เกิดความสงสัยประเด็นที่ว่า ทำไมบริษัทประกันถึงตัดบัตรเครดิตอัตโนมัติไปได้ ! ผู้ร้องบอกว่า ตอนนั้นนายหน้าที่โทรศัพท์มาขายประกัน ไม่บอกความจริงเรื่องที่มาจาากบริษัทประกันแห่งหนึ่งแต่กลับอ้างว่ามาจากบริษัทรถเจ้าหนึ่งที่ผู้ร้องเป็นเจ้าของ 1 คัน จึงได้บอกเลขหน้าบัตรและวันหมดอายุ จนมารู้หลังจากถูกตัดบัตรเครดิตไปแล้ว แบบนี้เท่ากับหลอกลวงกัน จึงโทรศัพท์ไปที่บริษัทประกันเจ้านั้น เพื่อให้จัดการยกเลิกการทำประกัน และต้องโอนเงิน 25,445.21 บาท กลับคืนมาด้วย แต่อีกฝ่ายทำเงียบเฉย ถึงแม้พยายามติดต่อทางไลน์ และเบอร์บริษัท กลับไม่มีสัญญาณตอบกลับ ถือเป็นการหลอกลวง ไม่ได้รับความเป็นธรรม
.
จากเรื่องราวข้างต้น ถือว่าเคสนี้ ผู้ร้อง “ได้เผลอตกลงทำสัญญาซื้อประกันทางโทรศัพท์ แต่ต้องการบอกเลิกภายหลัง” ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผู้บริโภคมีสิทธิ์ปฏิเสธ หรือบอกยกเลิกสัญญา หากยังไม่ได้รับกรมธรรม์ หรือไม่พึงพอใจ สามารถบอกเลิกได้ตลอดเวลา แต่หากได้รับกรมธรรม์มาแล้ว ก็ยังสามารถขอยกเลิกได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับกรรมธรรม์ โดยต้องทำจดหมายบอกเลิกสัญญาพร้อมแนบกรรมธรรม์ประกันชีวิตส่งไปรษณีย์ ลงทะเบียนถึงบริษัทที่รับประกันภัย หากชำระเบี้ยประกันเป็นเงินสดหรือกรณีชำระผ่านบัตรเครดิต ให้แนบสำเนาบอกเลิกสัญญาแจ้งไปยังบริษัทบัตรเครดิตทั้งสองกรณี บริษัทประกันต้องคืนเงินทั้งหมดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่แจ้งยกเลิก แต่หากบริษัทประกันปฏิเสธการยกเลิกประกัน สามารถร้องเรียนได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย คปภ. หรือ สายด่วน 1186
.
ล่าสุด 9 ตุลาคม 2566 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ติดต่อผู้ร้องสอบเพื่อถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ทางผู้ร้องแจ้งว่า บริษัทประกันดำเนินการคืนเงินให้ครบถ้วนแล้ว จึงขอยุติเรื่องร้องเรียน เอาละนี่ถือเป็นเรื่องดี ที่จบกันด้วยดีทั้ง2 ฝ่าย
.
ทีนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีคำแนะนำ สำหรับผู้บริโภค ที่ยังไม่ได้ทำสัญญา ถ้าประกันโทรมาขาย แต่ผู้บริโภคไม่ต้องการจะทำประกันนั้น และยังไม่ได้ตกลงทำสัญญา ให้วางสาย ได้เลย โดยบริษัทประกันจะไม่สามารถโทรกลับมาเสนอขายอีกเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่โดนปฏิเสธ ถ้าตัวแทนประกันไม่ยอมวางสาย ให้ขอชื่อ – นามสกุลผู้ขาย และชื่อบริษัทประกัน เพื่อแจ้งต่อ คปภ. สายด่วน 1186 ซึ่งผู้บริโภคมีสิทธิสอบถามตัวแทนประกันว่าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตนเองมาได้อย่างไร
.
การเสนอขายประกันผ่านทางโทรศัพท์ ทำได้ในวันจันทร์ ถึง วันเสาร์ ระหว่างเวลา 8.30 – 19.00 น.ยกเว้นกรณีที่ยินยอมนัดหมายล่วงหน้า หากโทรเกินเวลา จดชื่อและเลขที่ใบอนุญาตของตัวแทนแจ้งต่อ คปภ. สายด่วน 1186
.
ปิดท้ายขอเตือนใจผู้บริโภคทุกคน หากถูกตื้อทำประกันทางโทรศัพท์ จงจำไว้ว่า อย่าปัดความรำคาญด้วยคำว่า "ตกลง" หรือ คำว่า “สนใจ”เพียงเท่านี้ เสียงของผู้บริโภคจะถูกเอาไว้เป็นการยืนยันได้สมัครบริการประกันชีวิต ถือว่า “สัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว” ดังนั้น หากไม่อยากเกิดปัญหา ขอให้ยืนยันคำเดียวง่ายๆ ว่า “ไม่สนใจ” เพราะฉะนั้น หากมีใครโทรศัพท์มาชวนคุยเรื่องทำประกัน ถ้าคุณไม่ได้มีแผนจะทำประกันแล้วล่ะก็...ขอแนะนำให้บอกปัดไปเลย ไม่ต้องฟัง เพราะไม่อย่างนั้นอาจโดนคารมนายหน้าขายประกันใช้เทคนิคทำทีเป็นโทรมาสอบถามข้อมูลแล้วให้พูดตาม หรือพูดหว่านล้อมให้คุณตอบ “ตกลง” โดยกว่าจะรู้ตัวอีกที เงินก็ถูกหักจากบัตรเครดิตไปซื้อประกันนั้นซะแล้ว นอกจากนี้ ต้องขอเตือนภัย เพราะยังมีพวกแก๊งมิจฉาชีพหลอกขายประกันทางโทรศัพท์มากมาย โดยอ้างการเก็บเบี้ยถูก คุ้มครองสูง แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ กลับไม่สามารถเคลมประกัน หรือติดต่อไม่ได้ ลองคิดดูว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ปัญหาเกิดทันที เพราะเราไม่เคยเห็นหน้าตาของคนขายประกันเลย . อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ วิธีการป้องกันเพื่อ “ตัดไฟแต่ต้นลม “ คือ เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามาชักชวนให้ซื้อประกัน หากคุณไม่ได้สนใจจริงๆ ก็ไม่ต้องฟัง อาจบอกไปเลยว่าไม่มีเงินทำ เป็นหนี้เยอะมาก หรือตกงานอยู่ แล้วขอวางสายไปเลย
.
เครดิตเรื่อง : ฟิตรีนา อาลี เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
.
.
.