ใต้ร่มธรรม
คลายวิถีทุกข์ด้วยธรรมะ => ปัญหาชีวิต ความทุกข์ ความรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2012, 05:53:19 am
-
แรงบันดาลใจ...จากผู้ชายครึ่งท่อน เผิง สุ่ย หลิน
(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2139454&d=1341961077)
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ชูเดช ประชาชน คนคิดบวก
ใน ยามที่เราท้อแท้... กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีแรงฮึดและก้าวเดินต่อไป... แต่ทว่ากำลังใจจากคนอื่น ๆ นั้น มันไม่ได้มาทุกครั้งในยามที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นการสร้างกำลังใจจากตัวเราเองนั้น เป็นจุดเริ่มต้นในการที่จะก้าวข้ามผ่านปัญหาต่าง ๆ ได้ ถึงแม้ว่าอุปสรรคที่ประสบพบเจอมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่หากเรามีแรงฮึดเล็ก ๆ แค่เพียงฮึดเดียวเท่านั้น นั้นก็เพียงพอที่จะสร้างกำลังใจให้เราเดินต่อไปได้แล้วล่ะค่ะ...
และในวันนี้เราก็มีบทความดี ๆ มาแบ่งปันกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ถูกแชร์ส่งต่อผ่านโลกไซเบอร์กันอย่างมากมาย ที่เชื่อเลยว่า ถ้าใครได้อ่านแล้ว จะเกิด "แรงบันดาลใจ" ในการใช้ชีวิตอย่างแน่นอน ...
โดยในเฟซบุ๊ก "ชูเดช ประชาชน คนคิดบวก" ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับชายจีนคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถทับจนตัว ขาดสองท่อน แต่เขาก็สามารถยิ้มได้ และใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข แถมยังเปลี่ยนวิกฤติเลวร้าย ให้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ... ซึ่งเรื่องราวมีอยู่ว่า...
"เผิงสุ่ยหลิน I love you... ผมได้ยินเรื่องน่าสงสารของคนหลายคน รวมถึงตัวผมเองด้วยครับ แต่ต้องมาหยุด และสะดุดทันที เมื่อไปเจอเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจในการมีชีวิต และโอกาสของการประสบความสำเร็จของชีวิต จากคนคนหนึ่งครับ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าพอผมได้อ่านเรื่องราวของคน ๆ นี้ปั๊บ ผมรู้สึกว่าปัญหาอะไรของผมมันก็เล็กไปหมดครับ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเหมือนดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง 20 ขวดรวดครับ มันกระปรี้กระเปร่า และละอายใจตัวเองเป็นอย่างยิ่งครับ เรื่องนี้ทำให้คนอย่างผมที่วันนึงอาจจะต้อง "ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ " ไม่รู้สึกหวั่นใจ หรือ กลัวอีกต่อไปครับ ผมรู้สึกว่าผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วครับ
ผมอยากจะเล่าเรื่องราวของหนุ่มชาวจีนคนนี้ ให้ท่านฟังมากครับ เรื่องของชายคนนี้มีอยู่ว่า เขาได้รับอุบัติเหตุจากการโดนรถบรรทุกทับ ตัวขาดสองท่อน บาดเจ็บสาหัส ร่างกายโดนตัดทิ้งครึ่งตัว โดยที่เขาได้รับการผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่า อวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่สำคัญ ถูกตัดทิ้งและต่อเติมเสริมแต่งมากมาย นับไม่ถ้วน
เชื่อไหมครับว่า ความสูงของเขาตอนนี้ วัดส่วนสูงจากบั้นเอวขึ้นไป สูงแค่ 2 ฟุต 7นิ้ว ตัวเขาได้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมาก เมื่อเขารอดตายราวปาฏิหาริย์ และมีสุขภาพกลับคืนสมบูรณ์ เคลื่อนไหวไปมาบนรถล้อเข็นแบบครึ่งตัว
เขา ชื่อ เผิงสุ่ยหลิน ครับ นอกจากปาฏิหาริย์ จากการรอดตายจากอุบัติเหตุมาได้แล้ว รวมถึงการผ่าตัดอีกนับครั้งไม่ถ้วน นี่ยังไม่รวมกายภาพบำบัดอีกเป็นปี ๆ อีกนะครับ ไม่ใช่แค่นั้น....
คุณเชื่อหรือไม่ว่า ผู้ชายคนนี้ได้พลิกวิกฤติของชีวิต (ที่น่าจะเรียกว่า "ชีวิต" ) อย่างไม่น่าเชื่อ โดยการเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ต ขายสินค้าราคาถูก โอ้ แม่เจ้า! โดยที่เขาได้สร้างโอกาสจากร่างกายที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ตั้งเป็นชื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตขื่อว่า "Half man - Half Price Store" หรือ ร้านครึ่งคนครึ่งราคา
เชื่อไหมครับว่ากิจการของเขามีชื่อเสียงจากวิกฤติของเขาเอง ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนคับคั่ง สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เขาสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างน่าชื่นชม อย่างไม่น่าเชื่อครับ
เพื่อน ๆ ครับ วิกฤติและปัญหาที่เกิดขึ้นกับ เพื่อน ๆ ในขณะนี้ หากท่านมองว่า ท่านแย่แบบสุด ๆ แล้ว ผมอยากให้กำลังใจท่านด้วยการ ขอร้องให้ท่านมองไปที่ "เผิงสุ่ยหลิน" ครับ เพราะว่าคงไม่มีใครที่แย่ไปกว่าเขาอีกแล้ว จริงอยู่ร้านของเขาขายดีมาก ๆ แต่มีใครอยากตัวขาดครึ่งตัวบ้างไหมครับ ท่อนล่างไม่เหลือแล้ว ท่านลองคิดดูว่า ความสำคัญของส่วนล่างมันสำคัญขนาดไหนครับ ผู้ชายคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอย่างไรกัน ผมไม่อยากจะคิด น้ำตามันจะไหลครับ
เผิงสุ่ยหลิน ได้เคยกล่าวไว้ว่า "กำลังใจที่ดีที่สุด ต้องมาจากตัวเราเองครับ เพราะมันสามารถสร้างได้ทันทีและตลอดเวลา"
สำหรับผม...ผมเองก็มั่นใจเช่นนั้นครับ การที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มาให้ดูกัน เพราะว่าอยากให้ เพื่อน ๆ รู้สึกดีกับตัวท่านเองครับ ผมว่าเราโชคดีกันนะ อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยดีครับ ผมมั่นใจว่า ตัวเรามีอะไรต่ออะไรที่ดีในตัวเราอีกเยอะครับ เพียงแต่บางครั้ง คงต้องผ่านอุปสรรคและรอเวลาของเราให้มาถึงครับ
รักเพื่อน ๆ ในชมรมครับ สู้ด้วยกันครับ จุ๊บ จุ๊บ"
-http://hilight.kapook.com/view/73529-
.
http://hilight.kapook.com/view/73529 (http://hilight.kapook.com/view/73529)
.
-
ส่วนประเทศไทยเราเองก็มีผู้ที่สู้ชีวิต เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างกำลังใจให้ตนเองก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สู้ชีวิต! จากหนุ่มพิการไร้แขน กลายมาเป็นอาจารย์พิเศษ
(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2139455&d=1341961375)
(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2139456&d=1341961375)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ DuangAesthetic สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
วันนี้ (10 กรกฎาคม) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้นำเสนอเรื่องราวของ ชายหนุ่มวัย 25 ผู้พิการไร้แขน แต่กลายมาเป็นอาจารย์สอนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ให้กับลูกศิษย์โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา
โดยหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า "หมื่นชัย แก้วนา" เป็นผู้พิการไร้แขนมาตั้งแต่กำเนิด ในครอบครัวของเขามีพี่น้องจำนวน 3 คน มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาไม่มีแขน แต่เขาก็ใฝ่ฝันที่จะเรียนหนังสือให้ได้สูงที่สุด สำหรับอุปสรรคในการเรียนของเขานั้น ช่วงวัยเด็กไม่ว่าจะไปสมัครเรียนที่ไหน ๆ ก็ไม่มีใครรับ จนกระทั่งอายุ 9 ขวบ ทางโรงเรียนธรรมราชานุสรณ์ จ.ตาก ก็เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนในชั้นอนุบาล และเรียนต่อชั้นประถมที่โรงเรียนบ้านทุ่งกระเชาะ จากนั้นเรียนชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม ซึ่งในขณะที่เขากำลังเรียนชั้น ม.3 นั้น เขาก็คิดว่า ถ้าหากเขาเรียนสายสามัญทั่วไป อาจจะเสียเปรียบคนอื่น จึงเริ่มหันมาสนใจสายอาชีพ ที่โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา ในหลักสูตรช่างอิเล็กทรอนิกส์
ชายไร้แขนผู้นี้ ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 3 ปี เพื่อศึกษาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และลงมือปฏิบัติเองทั้ง ๆ ที่ไม่มีแขนทั้งสองข้าง โดยเขาบอกว่า แรก ๆ ก็ยาก แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะทำด้วยการใช้เท้าทั้งสองข้างจนเรียนจบหลักสูตร ทั้งนี้ ทางโรงเรียนก็ได้เห็นถึงความสามารถ เลยจ้างให้เขาเป็นช่างซ่อมอิเล็กทรอนิกส์ประจำโรงเรียน และได้ให้เขาเป็นครูพิเศษให้กับนักเรียนชั้นปีที่ 1 และปีที่ 2 ในวิชาซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น ส่วนการสอนของเขานั้น เขาสอนแบบยกตัวอย่าง และอธิบายให้นักเรียนฟังด้วยการใช้เท้าเขียนกระดาน และใช้แผ่นสไลด์ควบคู่กันไป
สำหรับการสอนหนังสือของเขานั้น ร่างกายที่พิการไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ เลย แต่อุปสรรคของเขานั้นก็คือผู้เรียนที่โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา ที่ผู้เรียนทุกคนเป็นคนพิการ ความสามารถของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
ส่วนการดำรงชีวิตในแต่ละวันของอาจารย์หมื่นศักดิ์นั้น เขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ว่าจะกินข้าว อาบน้ำ ดื่มน้ำ แต่งตัว แต่ก็มีบางเรื่องที่ให้เพื่อนช่วยบ้างนั้นก็คือการเอาเสื้่อใส่ในกางเกง หรือการยกของหนัก ๆ เพราะเขาไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ในช่วงเย็นของเขาก็ร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ นั่นก็คือการเล่นตะกร้อ ปั่นจักรยาน
อาจารย์หมื่นศักดิ์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ชีวิตของตนนั้นคิดอย่างเดียวคือต้องสู้ไปข้างหน้า ถึงลำบากแค่ไหนอย่างไรก็ต้องสู้ และยิ่งตนร่างกายเป็นแบบนี้ ยิ่งต้องสู้กว่าคนปกติถึง 2 เท่า ถ้าถามว่าตนเคยท้อไหม ตนไม่เคยท้อเลย เพราะต้องถ้าท้อก็คงไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน ส่วนการเรียนหนังสือนั้น ตอนเด็ก ๆ แม่ก็อยากให้เรียนเพื่อให้ตนพออ่านออกเขียนได้ จะได้ไม่ต้องไปเป็นขอทาน หรือโดนคนอื่นหลอก แต่ตอนนี้ตนทำให้ภูมิใจได้แล้ว เพราะตนเป็นครู สามารถสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก ๆ ได้อีกหลายคน อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะบอกว่า ถ้าใครที่กำลังท้ออยากให้มองมาที่ตน เพราะขนาดตนไม่มีแขนสักข้าง แต่ก็ยังสู้ และมีความสุขในชีวิตได้
ขณะที่นักเรียนของอาจารย์หมื่นศักดิ์ ได้กล่าวว่า การสอนของอาจารย์หมื่นศักดิ์นั้น สอนเข้าใจง่าย และมีตัวอย่างประกอบมาให้ดูตลอดเวลา เพราะอาจารย์หมื่นศักดิ์จะเอาของจริง ๆ มาให้เรียนรู้และสัมผัสกัน ทำให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ นักเรียนทุกคนยังทึ่งในความสามารถของอาจารย์ และนำเรื่องราวชีวิตของอาจารย์มาเป็นแรงบันดาลใจอีกด้วย
หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิตเป็นอจ.พิเศษ 10July12 (http://www.youtube.com/watch?v=zmwqZOjJ1yk#)
หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิตเป็นอจ.พิเศษ 10July12 (http://www.youtube.com/watch?v=zmwqZOjJ1yk#)
คลิป หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิต : เครดิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ DuangAesthetic
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=zmwqZOjJ1yk-
-http://hilight.kapook.com/view/73537-
-
เป็นกำลังใจให้นะครับ
-
ซูฮก! ลุงพิษณุโลกสู้ชีวิต แม้ว่ามีร่างกายแค่ครึ่งท่อน
-http://hilight.kapook.com/view/76950-
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/pitsanulokman02.jpg)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Tanate Anudit สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ลุงพิษณุโลก สู้ชีวิตสุด ๆ ตอนเช้าขายล็อตเตอรี่ ตอนบ่ายซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หารายได้เลี้ยงครอบครัว แม้ว่าตัวเองมีร่างกายแค่ครึ่งท่อนก็ตาม ด้านชาวบ้านต่างยกย่องถึงความใจสู้
เมื่อวานนี้ (5 ตุลาคม) ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดพิษณุโลก รายงานว่า มีชายพิการ ร่างกายมีเพียงแค่ครึ่งท่อน แต่กลับไม่ย่อท้อต่อชีวิต ประกอบอาชีพขายล็อตเตอรี่ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเลี้ยงครอบครัว ทราบชื่อคือนายวัลลภ ปู่ใจดี วัย 53 ปี พักอยู่ที่กระต๊อบหลังเล็ก ต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงเดินทางไปตรวจสอบ
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/pitsanulokman03.jpg)
ทั้งนี้ นายวัลลภ เปิดเผยว่า เมื่อก่อนตนมีอาชีพรับจ้างขับรถ 10 ล้อขนส่งสินค้า จนถึง พ.ศ. 2544 เริ่มเกิดอาการปวดหลังมาก ในช่วงแรกจึงได้หาซื้อยาจากร้านขายยามาทาน กระทั่งทนไม่ไหว บวกกับขาที่เริ่มชา จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลพุทธชินราช จึงทราบว่า เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น เป็นอัมพาตไปครึ่งท่อนล่าง ดังนั้น ชีวิตในช่วง 2-3 ปีแรก ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่รักษาตัวและนอนอยู่กับบ้านเฉย ๆ ทว่าสมัยหนุ่มเคยเรียนวิชาซ่อมวิทยุ ตนจึงเปิดรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด พร้อมกับรับล็อตเตอรี่มาขาย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พ.ศ. 2551 กลับเกิดอาการแผลกดทับ เนื่องจากทำงานอย่างหนัก นั่งนานเกินไป ทางแพทย์จึงตัดสินใจที่จะตัดขาทิ้งทั้งสองข้าง เพราะเนื้อเน่าเสีย หลังจากตัดขา นายวัลลภก็รักษาแผลให้หาย แล้วกลับมาอยู่บ้าน
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/ratthakorn/Hot%20News/pitsanulokman01.jpg)
ทุกวันนี้ ชีวิตของนายวัลลภในแต่ละวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-12.00 น. ก็จะเดินทางไปขายล็อตเตอรี่ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช โดยใช้รถเข็นคนพิการแบบโยก เมื่อขายล็อตเตอรี่เสร็จ ก็กลับมาพักผ่อนประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเริ่มซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชาวบ้านนำมาให้ซ่อม เช่น พัดลม เตารีด เป็นต้น
นายวัลลภ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าร่างกายจะเหลือครึ่งท่อน แต่ก็ต้องการสร้างประโยชน์ ไม่เป็นภาระแก่คนอื่น จึงต้องลุกขึ้นสู้ เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว เราก็ทำได้
ขณะที่ นางประภา ปู่ใจดี ภรรยาของนายวัลลภ ที่เปิดรับซื้อของเก่าขายทุกวัน เปิดเผยว่า แม้ว่าทุกวันนี้นายวัลลภจะได้เบี้ยยังชีพผู้พิการเดือนละ 500 บาทอยู่แล้ว แต่การที่สามีเป็นคนสู้ชีวิต ทำให้ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น จนชาวบ้านต่างชื่นชมว่า เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมมาก ทำให้ครอบครัวที่มีกันอยู่ 4 คน มีกำลังใจขึ้นอย่างชัดเจน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.dailynews.co.th/thailand/159235-
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1349439272&grpid=03&catid=&subcatid=-
http://hilight.kapook.com/view/76950 (http://hilight.kapook.com/view/76950)
.
-
จากเด็กอายุ 19 เริ่มต้นขายของ จนวันนี้อายุ 21 รายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน
-http://money.kapook.com/view83451.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม
หลายคนอาจมีความฝันว่าโตขึ้นหรือเรียนจบแล้ว ไม่อยากจะทำงานเป็นลูกล้าง หรือเป็นลูกน้องใคร อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรืออาจจะมีหลายคนที่ใฝ่ฝันอยากหารายได้จากการเป็นพนักงานรับเงินเดือนไปด้วยเพื่อความมั่นคง และหารายได้เสริมไป แต่หากเราไม่มีต้นทุนจะทำได้หรือเปล่า แล้วจะไปทำอะไรดี ? หากเพื่อน ๆ ยังหาคำตอบให้กับตัวเองยังไม่ได้ ลองมาอ่านบทความจากคุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม ที่อนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลจากประสบการณ์จริงมาเผยแพร่ให้อ่านกัน
คุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม เผยว่า เขาเริ่มทำงานตั้งแต่ยังไม่จบ ป.ตรีด้วยซ้ำ และปัจจุบันก็หาเงินรายได้แต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทเลยทีเดียว ถามว่าทั้งทำงาน และเรียนไปด้วยเหนื่อยไหม … เหนื่อยมาก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ไม่ท้อ เริ่มหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และไม่ย่ำอยู่กับที่นาน ๆ และที่สำคัญคือ เขาไม่ทิ้งความหวังของพ่อแม่ ไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ว่าแต่ คุณ PolizeHero_Bodin39 ทำได้อย่างไร ลองไปอ่านข้อคิดและประสบการณ์ที่ดีจากเขาคนนี้กันเลยค่ะ
จากเด็กอายุ 19 เริ่มต้นขายของ จนวันนี้อายุ 21 รายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน
สวัสดีครับ ผมเพียงอยากจะมาแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ หรือน้อง ๆ ได้ฟังกันครับ
จุดเริ่มต้นของการขายของของผมเริ่มจากที่ตอนอายุ 19 หลังจากชีวิต ม.ปลาย ก็ได้แอดมิชชั่นติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน ใช้ชีวิตอยู่ 1 ปีเต็ม กับสิ่งที่เราไม่ชอบเท่าไหร่ และคิดว่าจะซิ่วตั้งแต่วันที่ก้าวเข้าไป จริง ๆ ตอนนั้นสอบได้ที่ที่อยากเรียนแล้วครับ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ แต่ทางบ้านไม่ให้เรียน (ผมอยากเป็นตำรวจเลยหาทุกลู่ทางที่จะเข้าไปเป็นให้ได้)
หลังจากชีวิตเด็กวิศวะที่เรียนไปวัน ๆ จบไป 1 ปี ผมซิ่วมาเรียนคณะใหม่ ที่มหาวิทยาลัยย่านบางเขน มหาลัยเดิม แต่เปลี่ยนวิทยาเขต ทางบ้านได้ออกรถมอเตอร์ไซต์ให้ใหม่คันนึง เพราะคันเก่าก่อนจะจบวิศวะปี 1 ผมเอาไปแหกโค้งเบา ๆ มา คนไม่เป็นไร แต่รถเสียศูนย์นิดหน่อย
พอได้รถคันใหม่มาก็หาข้อมูลเกี่ยวกับของแต่งรถจนได้เข้าไปอยู่ในคลับ ๆ นึงของรถรุ่นนี้ หาความรู้จากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในคลับ จนมีอยู่วันนึง ผมไปได้ของแต่งรถชิ้นนึงมา ตอนแรกก็โพสต์ลงไปในคลับว่าไปแต่งอะไรมาเพิ่ม ปรากฏมีคนสนใจเยอะ วินาทีนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ความคิดขายของแว่บเข้ามาในสมอง … ผมจัดการโพสต์รายละเอียดลงไป ในโพสต์ตัวเอง
จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการขายสติกเกอร์ขอบล้อติดล้อแมกซ์รถมอเตอร์ไซต์ เชื่อไหมครับ สติกเกอร์ผมรับมา 60 บาท ผมขายชุดละ 90 บาท ใครให้ส่ง ปณ.แบบธรรมดา ผมคิด 100 บาท เท่ากับผมเหลือกำไรประมาณ 25 บาท/ชุด แถมบางครั้งต้องขี่รถไปส่งตามจุดนัดกำไรหักนู่นนี่เหลือ 15 บาท/ชุด
แต่สิ่งที่ผมทำมันไม่ได้แลกมาด้วยกำไรเพียงน้อยนิด มันแลกมาด้วยการที่คนในคลับเริ่มรู้จัก เริ่มรู้ว่าไอ้นี่มันขายของนะ
ต่อ ๆ มาผมก็เข้าไปคุยกับร้านขายของแต่งใกล้บ้านว่าจะเอาของมาขาย เค้าก็ยินดี และยอมให้ถ่ายรูปสินค้าแบบไม่แกะห่อ (มารู้ทีหลังราคาที่เค้าให้มามันสูงมากสำหรับเอาไปขายต่อ)
ผมก็เริ่มลงขายสินค้าอย่างอื่นลงขายเฉพาะในคลับ เอารูปมาลงพอมีออเดอร์ ค่อยไปเอาของ ช่วงแรกมีลูกค้าผิดนัด สั่งแล้วไม่เอา ก็ต้องทำโปรลดราคากันไประบายของ
ช่วงแรกเหนื่อยมาก ขี่รถกลับบ้านจาก ม.เกษตร ไปแมคโครลาดพร้าวตรงตะวันนา ไปส่งของที่ได้กำไร 15 บาท แต่ก็นั่นล่ะเราอยากให้คนรู้จัก ต้องยอมเหนื่อยหน่อย
พอมาช่วงกลาง ๆ ขายได้สัก 2-3 เดือน เริ่มสต็อคสินค้าที่ขายดีไว้ทีละชุด เพื่อที่จะให้การขายราบรื่นไม่ต้องบอกลูกค้าว่ารอเช็คของ บางทีลูกค้าก็ขาดการติดต่อไปเลย อีกอย่างเวลาออกจากบ้าน ก็ไม่มีมือถือสำหรับ ตอบเฟซกลุ่ม
ช่วงแรกเดือน ๆ นึงขายได้ 1,000 ก็เก่งแล้ว ความคิดตอนนั้นขอแค่เก็บเงินฝากประจำได้เดือนละ 1-2000 ก็พอ อ้อลืมบอก ตอนเรียนวิศวะ 1 ปี ผมมีเงินเก็บอยู่ 30,000 บาท กลับมาเปิดบัญชีฝากประจำแบบรายปี ทิ้งไว้ พอขายไปได้สัก 3-4 เดือน ก็มีประกาศจากกลุ่มว่าห้ามลงขายของถ้าไม่ติดแบนเนอร์ ตอนนั้นการติดแบนเนอร์ยังต้องเสียเงินรายเดือนให้ทางเว็บคลับ ผมจึงจำใจต้องมาสร้างเพจในเฟซบุ๊คขายของซะเอง
จึงเริ่มปรับปรุงรูปสินค้าที่ถ่ายให้ดูดีขึ้นแต่งภาพให้ดูแล้วน่าสนใจ เริ่มสร้างเพจของตัวเอง แรก ๆ ตื่นเต้นกับยอดไลค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาก ๆ เริ่มขายได้เหมือนมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่ก็นั่นล่ะ สินค้ายังน้อยและยังได้มาในราคาสูงอยู่ ผมจึงลองหาร้านขายของแต่งที่ใหม่ (ซึ่งในตอนหลังเจ้าของร้านทั้งพี่ผู้ชายและพี่ผู้หญิงมีบุญคุณต่อผมมาก ๆ) จนได้ที่ใหม่ซึ่งส่งของผมในราคาที่ต่ำกว่าที่เก่าแบบมาก ๆ บางอย่างนี่ 40% แต่ผมก็ยังรับของกับที่เก่าอยู่บ้างนะครับ เพราะบุญคุณเริ่มแรกที่เค้าให้ผมมาผมไม่เคยลืม
เวลาผ่านไป 4-5 เดือน ผมเริ่มเข้าที่มีคนมาสั่งของอยู่ไม่ขาดแต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ส่วนภาพสินค้า พี่เจ้าของร้านที่ใหม่ เมตตาให้ผมยืมของมาก่อนโดยแกะห่อถ่ายรูปได้ตามสบาย … นี่ล่ะครับผมได้เจอคนดีดีที่ให้โอกาสเด็กที่คิดเริ่มต้นธุรกิจอย่างผมเป็นโชคดีของผมเหลือเกิน
การค้าขายยังดำเนินต่อไปผมรับของเพิ่มมากขึ้นหลากหลายประเภทที่ใส่เฉพาะรถรุ่นเดียว สาเหตุที่เลือกขายเฉพาะรุ่นเพราะผมมองดูแล้วว่า เราสามารถเจาะกลุ่มตลาดได้ง่าย ซึ่งมันไม่กว้างเกินไป จนอาจทำให้เกิดปัญหาการสต็อคของที่จำนวนเยอะ ๆ หลากหลายประเภท เราเจาะเข้ากลุ่มตลาดรุ่นนั้น ๆ และลูกค้าจะเกาะติดเราไปตลอด เช่นทุกวันนี้
40 % ของยอดสั่งซื้อในปัจจุบันเป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อขายกัน เนื่องจากผมมีการเพิ่มสินค้าเรื่อย ๆ แต่ก็ยังใช้แนวทางเดิมคือ เจาะเฉพาะตลาดกลุ่มนั้น ไม่กว้าง แต่เจาะลึกครอบคลุมสินค้าเกือบทุกประเภทที่เป็นของแต่งรถรุ่นนั้น
ถามว่าผมเรียนบริหารมาไหม หรือเรียนการตลาดมาไหม ตอบได้เลยว่าไม่ แต่สังคมสภาพแวดล้อม รวมทั้งเว็บพันทิปดอทคอม ทำให้ทัศนคติ แนวทาง ของผมไม่ตัน เพราะเราเรียนรู้จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้หมด ถ้าคนเราสนใจอะไรแล้วผมคิดว่ายังไงเราก็ทำสำเร็จแน่นอน
สิ่งที่ทำให้ยอดขายผมต่อเนื่องตลอดคือ สมาร์ทโฟน เพราะเราสามารถตอบลูกค้าได้ทันท่วงทีและทุกที่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เลิกเรียนแล้วค่อยกลับไปตอบ ลูกค้าก็ไม่ค่อยชอบ เพราะไม่รวดเร็ว ถามทีรอเป็นวัน
แล้วผมเอาเงินที่ไหนมาซื้อสมาร์ทโฟน ?
ตอบ : ยังจำได้ไหมครับช่วงต้นที่ผมบอกผมฝากเงินแบบฝากประจำเป็นก้อนไว้จำนวนหนึ่ง ผมศึกษาจากในพันทิปว่า มีการทำบัตรเครดิตของธนาคาร SCB ที่ใช้แค่เงินฝากค้ำประกันไว้ ภาษาแบงก์เรียก จำนองหรืออะไรนี่ล่ะผมลืมละครับ
ผมดำเนินเรื่องเลย เพียงแค่ 2 วันทางธนาคารเรียกเอกสารเพิ่มเติม และหลังจากนั้นอาทิตย์กว่า ๆ ทางธนาคารอนุมัติบัตรเครดิตมา ให้ผมรอบัตรอยู่หลายอาทิตย์ธนาคารก็เรียกให้ไปรับบัตร
ทุกคนอาจจะงงทำไมผมไม่ถอนเงินสดออกมาซื้อไปเลยหมดเรื่อง ?
ตอบ : เพราะผมวางแผนไว้ครับ ผมเอาบัตรเครดิตมาถือไว้ และยื่นเรื่องขอผ่อน 0% 10 เดือน เหตุผลเพราะผมอยากเก็บเงินก้อนไว้ยามฉุกเฉิน และผมเจียดรายได้กำไรจากแต่ละเดือนไปผ่อน เห็นไหมครับ ดอกเบี้ยก็ไม่เสีย แถมยังมีของไว้ใช้ และเงินก้อนก็ยังอยู่ ถึงแม้ขั้นตอนการถอดจะยุ่งยากหลายขั้นตอน แต่เงินเราก็ยังอยู่ครบใช่ไหมครับ ?
หลังจากนั้น ยอดขายผมพุ่งขึ้นกว่า 50% จากเดิม เพราะการถามตอบที่รวดเร็ว ทันใจ เพราะการมีผู้ใหญ่ใจดีมอบโอกาสและความเมตตาให้ผม เพราะความมุ่งมั่น ตั้งใจ เพราะความใฝ่ดี
บางทีผมก็มีความคิดอยากจะเที่ยวเหมือนวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ที่บ้านผมไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดเอาเงินไปละลายกับน้ำชารสขมคอ หรือเอาไฟมาเผากระดาษมวนเล่น ออกไปเที่ยวผับเที่ยวร้านเหล้าตอนกลางคืน เวลากลางคืนที่เด็กรุ่นเดียวกับผมใช้ชีวิตไปกับแสงสีเสียง เป็นเวลาที่ผมนั่งตอบลูกค้านั่งสรุปยอดแต่ละวัน นั่งแพ็คของส่งวันต่อไป
จากเมื่อก่อนที่ผมใช้เงินแบบไม่รู้คุณค่า มาวันนี้การคิดก่อนซื้อ มันเกิดขึ้นกับผมโดยไม่รู้ตัว เพราะเงินเราหามาเองได้ ผมอาจจะต้องอาศัยเงินรายสัปดาห์ของทางบ้านเหมือนเดิม
แต่กิจกรรมนอกเหนือจากนั้นทั้งในมหาลัยและอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม ผมสามารถจ่ายมันได้ด้วยเงินของผมเอง จนปัจจุบันรายได้ของผมบางเดือน เช่นเดือนมกราคมที่ผ่านมา รายได้ 30,000 กว่าบาท อย่างเดือนนี้กุมภาพันธ์ ผ่านไปครึ่งเดือน ได้ 10,000 ปลายๆ พอใจแล้วครับสำหรับ อายุเท่านี้
แต่อยากให้น้อง ๆ วัย ม.ปลาย หรือที่กำลังจะขึ้นมหาลัย ไม่ท้อครับ ชีวิตมีอะไรมากกว่าในห้องเรียน ในอนาคตผมคงต้องเริ่มหาอะไรใหม่ ๆ บ้างแล้ว เพราะการย่ำอยู่กับที่นาน ๆ มันช้าเกินไปสำหรับยุคนี้สมัยนี้ ^^
มันก็เหนื่อยนะครับ ทั้งเรียนทั้งทำงาน ปัจจุบันผมรับซ่อมคอมอยู่ที่บ้าน ขายของแต่งรถมอเตอร์ไซต์ผ่านทางเน็ต เรียนอยู่ปีที่ 2 ม.เกษตร (กำลังขึ้นปี 3) เรียนรามคำแหงรหัส 55 หน่วยกิตรวม 90 หน่วยกิต คณะรัฐศาสตร์ ความฝันผมไม่ทิ้งครับ ผมยังมุ่งมั่นทำตามฝันที่จะเป็นตำรวจเหมือนเดิม แต่ระหว่างทางของความฝัน แต่ละคนมีหนทางต่างกันไป ผมได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายในชีวิต ที่หาไม่ได้จากห้องเรียน
ม.เกษตร ผมเรียนให้พ่อแม่ เพราะเป็นมหาลัยปิด
ม.ราม ผมเรียนเพื่อความฝันของตัวเอง เพื่อตัวเอง
ขายของผมทำเพื่อเก็บประสบการณ์สั่งสมเงินไว้ทำกิจกรรมในอนาคต ที่อาจยังมองไม่เห็น
ขอบคุณพื้นที่เล็ก ๆ ในนี้ที่สอนและแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้ผม ได้
ความรู้ความสำเร็จส่วนหนึ่งของผมมาจากในนี้ล่ะครับพันทิป ^^
-
10 สิ่ง สร้างสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4
โพสต์เมื่อ :
-http://health.kapook.com/view90261.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
10 สิ่งที่ค้นพบความสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4 บทความดี ๆ ที่ให้กำลังใจผู้ป่วยเป็นมะเร็งทุกคน
เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เปรียบเสมือนยาชูกำลังสำหรับหัวใจขนานใหญ่เลยล่ะ สำหรับเรื่องราวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวและความรู้สึก...หลังจากที่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่ 4... แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
หากย้อนความก่อนที่จะต้องเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกว่า ชีวิตในวัยเด็กของเขาเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ถูกสั่งสอนให้พยายามเรียนเก่ง ๆ และพยายามสอบให้ได้ที่ดี ๆ ซึ่งเขาก็สามารถเข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ และเป็นที่รู้กันดีว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีอิสระ และเขาก็ได้ใช้อิสระในชีวิตเยอะขึ้น ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป...
จนกระทั่งเรียนจบ เขาก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญอย่างเต็มตัว.. คือทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ใช้ชีวิตสลับขั้ว ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน และสังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 ปี (ปัจจุบันอายุ 30 นิด ๆ) เขาก็ตัดสินใจบอกลาชีวิตกลางคืน เมื่อพบว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกต่อไป และเริ่มรู้สึกรับไม่ไหวแบบชีวิตแบบนั้น ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้ลองมาใช้ชีวิตในแบบปกติทั่วไปดูบ้าง ทำงานกลางวัน นอนกลางคืน แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลานี้ก็เป็น 1 ปีที่เกิดความสับสนไม่น้อย เพราะสิ่งที่เป็นไปยังไม่ "ใช่" ตัวเขาเลย จนกระทั่งเขาได้ "เจอ" กับบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต....นั่นก็คือการตรวจพบ "มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma)" โดยอยู่ระดับ stage 4b (T1N3M0)
โจทย์หนักระดับชีวิตอย่างนี้ ทำให้เขาใช้สิ่งที่มีอยู่ในการจัดการนั่นก็คือ "สติ" โดยใช้ปัญญาและความเพียร และเขาก็พบคำตอบ ก็คือความสุข... ซึ่งความสุขที่เขาได้รับยามที่เจ็บป่วยนี้ เป็นยาวิเศษที่ทำให้เขายิ้มและมีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้...
"Life is Miracle"
1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว
ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่น ๆ ซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลองนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสม ๆ กันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว (รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน
มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น.... ในกรณีของผมช่วงวันแรก ๆ ที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุด ๆ เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสมระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อ ๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่น ๆ ในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม
3. รับมือกับอดีตด้วย ด้วยการยอมรับความจริงในปัจจุบันหนึ่งข้อเท็จจริงในชีวิต
คือคุณไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้วมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมารบกวนจิตใจ จนชีวิตในปัจจุบันแย่ไปด้วย
4. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เชื่อเถอะว่าทุกคนมีปัญหา มีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าใครก็ตาม ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เชื่อผมเถอะครับ ไม่ว่าคุณเป็นใครในโลกใบนี้ จะรวย หรือ จน จะสวย จะหล่อ หรือ รูปร่างหน้าตาไม่ดี ถ้าเอาชีวิตไปเทียบกับคนอื่นมันไม่มีความสุขหรอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักมองหาความสมบูรณ์แบบ เวลาคุณเอาตัวไปเทียบกับคนอื่นแล้วเจอ ความไม่สมบูรณ์ในตัวคุณมันจะเป็นจุดกำเนิดของความทุกข์ หันมามองสิ่งที่จะสร้างความสุขให้ตัวคุณเองจริง ๆ ดีกว่า เช่น เรื่อง The Bucket List ที่ผมจะเขียนไว้ข้างล่าง
5. รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง
แต่อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เริ่มมองหาคุณค่าของตัวเอง มันจะมีมุมหนึ่งในชีวิตคุณที่มีค่าควรแก่การมีชีวิต คุณเชื่อผมเถอะว่าตัวคุณมีค่าแกใครคนหนึ่งบนโลกนี้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวคุณเองนั้นแหละครับ
6. หาความฝันจริง ๆ ให้เจอ
มันควรจะเป็นความฝันของคุณเองไม่ใช้ความฝันของคนอื่น หรือสิ่งที่สังคมคาดหวัง เพราะตอนคุณจะตาย ความฝันจะเป็นสิ่งที่คุณนึกถึงอย่างแรก ๆ ไม่ใช่เงิน ทอง ฐานะทาง สังคม อะไร พวกนั้นเลย และรู้ไว้เถอะว่า คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งอย่าง วิธีที่ผมจะแนะนำง่าย ๆ คือ เขียน list มันออกมาใส่กระดาษ เพราะความฝันบางอย่าง แก่แล้วก็ทำไม่ได้ บางอย่างอาจต้องใช้เงินทองสูง ผมเลยอยากให้ เริ่มเขียน list มันออกมาครับ คุณจะเห็นภาพและวางแผนถูก นั้นคือ ประเด็นที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มเขียนมันออกมา คุณจะเห็นภาพความฝันของคุณชัดเจนขึ้น คุณจะเริ่มแยกออกว่าสิ่งไหนคือความฝันจริง ๆ สิ่งไหนเป็นมายาคติ ที่เกิดจากการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ
7. ความกังวล การคิดมากจนเกินไป ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ ต่าง ๆ ออกมาดีขึ้น
มีแต่จะคอยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ลง บางทีคำว่า รู้จักพอ ก็เหมาะกับหลาย ๆ สถานการณ์ เช่น ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเป็น เวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ร้อยทั้งร้อยมักจะ Google หาว่าชนิดที่ตัวเองเป็น มีโอกาสรอดมากไหม มีคนเป็นเยอะไหม รักษาที่ไหน ต้องกินอาหารอะไร ทำตัวเป็นแก้วก้นรั่ว ที่หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ ซึ่งมันจะทำให้ความคิดในแง่ลบเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราส่งผลให้ จิตตก เครียด ขาดสติ ร่างกายแย่ตามไปด้วย
ยิ่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ณ ปัจจุบัน คุณจะเจอข้อมูลเชิงลบเยอะไปหมด (อารมณ์ประมาณว่า ไม่เคยมีใครรอดจากมะเร็งเลย เป็นแล้วตายหมด) เชื่อผมเถอะอ่านพวกนี้มาก ๆ แล้วจิตตก ผมผ่านมาแล้ว รวมถึงคำแนะนำที่ไม่ได้มาจากผู้รู้ที่ศึกษามันจริง ๆ จัง ๆ ยาวิเศษ อาหารมหัศจรรย์ ที่ถูกแชร์กัน จนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกรอง (ผมไม่ได้การต่อต้านการขายอาหารเสริมนะครับ แต่ผมต่อต้านคนที่เอามันไปใช้ผิด ๆ ) ซึ่งนั้นคือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมอยากเขียนแชร์มุมมองในด้านนี้เกี่ยวกับมะเร็งขึ้นมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมหลาย ๆ อย่างในช่วงรักษา มันเป็นผลสะท้อนมาจาก การที่สังคมเรามองเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันส่งผลให้หลายอย่างคลาดเคลื่อนตามกันไปหมดครับ เช่น เรามองศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาที่ตัวโรคที่เป็นเลย ไม่ได้มองในมุมของการปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้มี สติ และ ปัญญาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดได้อย่างถูกต้อง
ผลเสียในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นทั้งระดับจิตใจ ( อย่างน้อยที่สุดก็เกิด Paradox of choice ขึ้นล่ะ ) และในระดับของตัวโรคเองที่ การรักษาที่ถูกต้องจะช้าออกไป ซึ่งเวลา 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน นั้นอาจหมายถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งทีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเจอกับตัวเองเลย เรื่องที่ถูกส่งไปรักษาด้วยพลังมหัศจรรย์นี้เขียนได้เป็นฉากเลย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ ส่วนที่บอกว่าถ้าไม่อยากให้กังวลมากไปควรทำไง ทำอย่างไรให้มีความพอดี อ่านข้อข้างล่างต่อเลยครับ
8. สติ
ควรอยู่กับติดกับตัวให้เป็นความเคยชิน คือเรื่องนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่หลาย ๆ ครั้งในสังคมเราที่สิ่งนี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธ อารมณ์กลัว อารมณ์เศร้า คำแนะนำง่าย ๆ ของผมที่จะทำให้อารมณ์เหล่านี้ลดลงคือ มั่นฝึกการเจริญ สติบ่อย ๆ บางคนทำสมาธิ บางคนเน้นสวดมนต์ แต่ในกรณีของผมคือผสม ๆ กันไป ถ้ารู้ว่าจิตจะตกให้เริ่มฟังเพลงคลาสสิคพวก Mozart ,Chopin อะไรพวกนั้น (ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังเลย) รวมถึงเย็น ๆ เดินจงกลม (แต่ไม่เต็มรูปแบบ) เพราะเนื่องจากมันเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ก่อนนอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ซักหน่อย (ผมทำเพื่อมีสตินะครับ ไม่เกี่ยวกับปาฎิหาริย์อะไรทั้งนั้น) พร้อมทั้งให้เชื่อผมเถอะว่าชีวิตเกิดมาเพื่อถูกทดสอบตลอดเวลา
ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ ซึ่งสติจะช่วยให้คุณผ่านบททดสอบไปได้อย่างไม่ยากเย็น ในทุก ๆ ครั้ง ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งด้วยแล้ว สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ในเวลาไม่คาดฝันเสมอ อย่างเช่น ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนปกติ ง่าย ๆ วันหนึ่ง ผมนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านดี ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เกิดจามแค่ทีเดียว เลือดก็ไหลออกจากจมูกไม่หยุด ต้องไปที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว (ส่วนสาเหตุเนื่องมาจากช่วงที่ผมรับการฉายแสง เนื้อเยื้อบริเวณจมูกเปราะบางมากกว่าปกติ) เรียกได้ว่าช่วงนั้นร่างกายพร้อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ ค่าตัวเลขต่าง ๆ ของร่างกายแย่กว่ามาตรฐานคนปกติทุกอย่าง ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ของผู้ป่วยที่รับคีโมที่มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนปกติ (ผมรับทั้งคีโมและฉายแสงพร้อมกัน) สติเลยต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา เพราะนอกจากมันจะส่งส่งต่อชีวิตเราแล้ว มันยังส่งผลต่อคนรอบข้างเราด้วย และเวลามีสติรอยยิ้มกับอารมณ์ขันมันมักจะตามออกมา
9. ความหวังเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่คุณควรเตรียมวิธีรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วย
ในผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกเราทุกชีวิต ความหวังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ถูกลืมออกไปจากชีวิต ดังนั้นถ้าเราพัฒนา ฝึกรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วยแล้ว เราจะสามารถใช้ชีวิตบนความหวังได้อย่างไม่มีคำว่าสะดุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในกรณีของผม ในช่วงการรักษา หลาย ๆ ครั้ง การที่ต้องเดินเข้าไปในห้องตรวจ แล้วคุณ หมอ มองผลตรวจ ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี พร้อมบอกว่าผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง ตัวรอยโรคยังคงไม่หายไป (ทุกครั้งหมายถึงเวลาบนโลกของผมเหลือน้อยลงไปทุกที ) เกิดขึ้น หลายครั้งมาก แต่สิ่งที่ต่างกันออกไประหว่างครั้งแรก ๆ กับครั้งหลัง ๆ คือ ความสุขของชีวิตผมไม่เคยสะดุดลงไปด้วย กลับกันที่ความหวังมันกลับโตมากขึ้นทุกครั้ง บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่บอกว่า "อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ"
10. ออกจากเงื่อนไขของ "เวลา"
ข้อนี้เป็นข้อที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุดเพราะถ้าทำข้อนี้ได้ 9 ข้อข้างบนก็จะทำง่ายตามไปด้วย รวมถึงเป็นเหมือนเสาหลักที่ยึดโยงแนวคิดด้านบนที่ผมเขียนมายาว ๆ เข้าด้วยกันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัวของแต่ละคนขึ้นมา
โดยในกรณีของผมและผู้ป่วยมะเร็งหลาย ๆ คนโชคดีที่ถูกบังคับด้วยตัวโรคที่เป็นทำให้เริ่มมองเห็นความสำคัญของข้อนี้แบบจริงจัง ถ้ากำลังงงว่าผมกำลังพูดถึงอะไร ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน
คุณอาจเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า "จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย" พวกนั้นบ่อย ๆ ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็งคำพูดประมาณนี้มันเปลี่ยนจากคำคมบนหน้าเฟซบุ๊กมาเป็นความผู้สึกที่เกิดขึ้นจริงทุก ๆ วัน คำพูดต่าง ๆ ที่ชอบพูดในอดีต เช่น วันนี้ไม่มีเวลา หรือ เดียวค่อยทำเวลาเหลือเฟือ กลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตบนเงื่อนไขของเวลา จนลืมมองหารูปแบบชีวิตที่สามารถมีความสุขได้โดย การปฏิบัติที่ไม่จำกัดเวลา ไม่ถูกยึดโยงกับเวลา ส่งผลแห่งความสุขทุกครั้งที่ปฏิบัติ ได้ทันที ซึ่งนั้นจะทำให้ทั้งคุณและครอบครัว มีความสุขไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
และนั้นคือ 10 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
"Once cancer happens it changes the way you live for the rest of your life"
----Hayley Mills----
อย่างไรก็ดี...ล่าสุด เขาก็ได้เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก Aboutlifethailand แชร์เรื่องราวข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งและข้อคิด รวมถึงกำลังใจดี ๆ ให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งด้วย... ไม่ว่าคุณจะต้องเจอเรื่องร้ายอะไร แค่ลองปรับความคิด ใช้สติในการมองทุกอย่าง ถึงอาการป่วยจะไม่ดีขึ้น อย่างน้อยการมองโลกในแง่ดีก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ว่าไหม.. ยังไงกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนอาการดีวันดีคืน ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย ยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสู้ ๆ นะคะ
http://health.kapook.com/view90261.html (http://health.kapook.com/view90261.html)