ใต้ร่มธรรม
ประชาสัมพันธ์ => โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! => ข้อความที่เริ่มโดย: บัวผ่อง ที่ สิงหาคม 02, 2012, 08:25:45 pm
-
นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติจ๋าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
มามะ มา ลวกน้ำร้อนขูดขน...เอ๊ย... มาคนค้นคน
ชำแหละ ภูมิศีลในตน กันหน่อยเป็นไร ?
อืม...แบ่บว่า พรุ่งนี้ก็จะเข้าพรรษาแล้วอ่ะค่ะ
อิฉัน ก็เรยนึกครึ้มอกครึ้มใจ ใคร่จะ ขออนุญาต
เปิด เรียลลิตี้ คนค้นคน ออกอากาศ ณ ห้องอภิญญาแห่งนี้
และ ขอเชิญชวนเหล่านักปฏิบัติจ๋าาาาา
กับ บรรดาลูกกระรอก ทั้งหลาย
มานั่งทบทวน เพื่อ สำรวจตรวจเชคสภาพ ภูมิศีลในตน
ให้คนอ่านเขาได้รับรู้เอาไว้เป็น วิทยาทาน มั่งอ่ะจร้าาาา
เผื่อจะทำให้ หลาย ๆ คน ในที่นี้
อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจที่จะ หันมา ถือศีล5
ในช่วงเข้าพรรษานี้ ขึ้นมาได้มั่งง่ะ งิงิ
(http://www1.miccelltv.com/wp-content/uploads/2012/02/mctv2012141.jpg)
-
(http://sh1.files-media.com/ud/news/imgs/1/75/223020/5-510x340.jpg)
เอาล่ะ เนื่องจาก อิฉันเป็น คนที่เสนอหน้า มาตั้งประเด็น
อิฉัน จึงจำเป็น ต้องใช้สิทธิของการเป็น เลดี้เฟิร์ส
มานั่งเปิดใจ และ เปิดอก หยิบยกภูมิศีลในตน
ไปวางไว้บนเขียง ให้ ท่านผู้อ่านทุกคน ได้ชำแหละ แทะทึ้ง
พร้อมทั้งลวกน้ำร้อน ขูดขน ชั่งหา เนื้อนาบุญ
เป็นเคสแรก อ่ะคร้าาาาาาาาาาาาาาาาา
นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติจ๋าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
มามะ มา ลวกน้ำร้อนขูดขน...เอ๊ย... มาคนค้นคน
ชำแหละ ภูมิศีลในตน กันหน่อยเป็นไร ?
(http://www.daradaily.com/content/news/p1-18490.jpg)
(http://www.bloggang.com/data/t/theshocktime/picture/1335361516.jpg)
ก่อนอื่นก็ต้องขอ ออกตัวไว้ก่อนน้าาา ว่า
สมัยก่อน ตอนเข้าสู่วงการปฏิบัติ ใหม่ ๆ
อิฉัน ก็เคยถือ ศีล 5 ( ดังที่เคยเขียนไว้ ใน กระทู้เนี้ยะ (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,47.0.html) ) อ่ะค่ะ
ทว่า เด๋วนี้ อิฉันไม่ได้ถือ ศีล 5 แล้วง่ะ ( แต่ถือ ศีล 6 อิอิ )
อืม...ไงก็จะลองใช้ ศีล 5 มาเป็นบรรทัดฐาน
ในการสำรวจ ภูมิศีล ของตัวเอง ดูน้าาาา
ว่า ผลจะออกมาเป็นยังไง
และ ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
เพิ่มเติมตรงไหนมั่ง
-
เริ่มจาก
ศีลข้อ 1. ปาณาติปาตา เวรมณี ฯ
งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
(http://olddreamz.com/puzzle/mercy/MERCY.gif)
อันนี้ก็เกือบจะเปอร์เฟค อ่ะค่ะ
เดี๋ยวนี้ อิฉันก็จัดอยู่ในระดับ...
หมางับก็ไม่เตะ ยุงขบก็ไม่ตบ มดกัดก็ไม่บี้ อ่ะนะ
แถมยังงดใช้ ทรายอะเบต ใส่ถังน้ำ ในห้องน้ำด้วย
เพราะรู้สึกไม่ดี ที่ต้อง ฆาตกรรมหมู่ บรรดาลูกน้ำยุงลาย
เพื่อปกป้องตัวเองจากโรค ไข้เลือดออก,ไข้จับสั่น ฯลฯ อ่ะค่ะ
ก็เลยใช้วิธี ระมัดระวังตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด แทน
พยามไม่เปิดประตูทิ้งไว้ ให้ยุงแห่บินเข้ามาปาร์ตี้ในบ้าน
หรือไม่งั้น ถ้ายุงมันเล็ดลอดเข้ามา ในห้องได้
ก็หาถุงครอบมันไปทิ้งนอกบ้าน
แต่ถ้ามันดื้อด้าน ไล่ยังไงก็ไม่ไป
ก็จะหาโลชั่นทากันยุง มาใช้ เอา อ่ะค่ะ
ก็ได้ผลดี ในระดับหนึ่ง อ่ะนะ
แต่ถ้าจะมีใครมาแย้ง อิฉันว่า
การงดใช้ทรายอะเบตของ อิฉัน
มันมีผลกระทบทางระบาดวิทยา
ทำให้ รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ
ในการรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
และ มีคนไข้เป็นมาลาเรียขึ้นสมองตายมากขึ้น ฯลฯ
อิฉันก็พร้อมที่จะทำใจ ยอมรับ วิบาก
อันเป็นผลของ บัทเตอร์ ฟลาย เอฟเฟค
ที่เกิดจากการกระทำ ของอิฉัน เจ้าค่ะ
และ ถ้า ใครสามารถ พิสูจน์ดีเอ็นเอ ได้ว่า
ไอ้ยุง ตัวที่มันกัด จนลูกของเขาเป็น ไข้เลือดออกตาย นั้น
มันเป็น ยุงตัวที่เกิดจากลูกน้ำยุงลายในถังน้ำ ที่บ้านอิฉัน
อิฉันก็พร้อมจะ แสดงความรับผิดชอบ
ชดใช้ค่าเสียหายให้พวกเขา
แทนไอ้เจ้ายุงลายพวกนั้น ด้วยอ่ะค่ะ
แล้วก็จะ ไม่บ่นว่า พ่อแม่คนไหน สักคำด้วย ว่า
พวกมรึงดูแลลูกเต้ากันยังไง ฟระ
ถึงปล่อยให้ลูกมรึงถูกยุงกัด จนตาย5 งี้น่ะ
อ้อ ส่วน เมื่อเดือนที่แล้ว
นี่ก็ ตัดสินใจทำพิธี โบกมือบ๊ายบาย
เลิกใช้ชอล์คกันมด มาขีด
เพื่อ กันไม่ให้มดขึ้นน้ำขึ้นอาหาร ด้วยอ่ะ
( หลังจาก จำใจต้องใช้ ไอ้ชอล์คพวกนี้ อยู่หลายปี )
โดยที่รู้สึกเหมือนว่า เรากำลังใช้เอาอาหารมาล่อลวง
ทำให้เจ้ามดที่ไร้เดียงสา ต้องมาตายเพราะสารพิษจากชอล์คพวกนี้ ง่ะ
เฮ้อออ นี่ก็ไม่รู้จะเวิร์คไหม ?
เพราะ มดที่บ้าน มันจมูกไวโคตร ๆ
ขนาด ม่าม่าที่อยู่ในซองยังไม่ได้เปิด
มั๊นยังแอบมากัดจนเป็นรู
แล้วแอบขโมยกินมาม่า ของอิฉัน
จนอิ่มหนำสำราญ เลยอ่ะ
และ นอกจากนี้ อิน้องมด
มันยังชอบแอบมาไต่ตอม
แถวเหยือกน้ำ ที่อิฉันใช้ดื่มกินอีกด้วยนะ
แล้ววันดีคืนร้าย มันก็ยังเจื๋อกเดินซุ่มซ่าม
สะดุดขาตัวเอง ตกลงไปลอยแอ้งแม้ง
ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ในเหยือกน้ำ อีกตะหาก
เดือดร้อน ให้ เจ้าของบ้านที่แสนดีอย่างอิฉัน
ต้องมาเป็นทุกข์เป็นยากมาช่วยปฐมพยาบาล
ทำให้มันรอดพ้นจากการสำลักน้ำตายอี๊ก
เฮ้ออ สำหรับ ตอนนี้พอเลิกใช้ชอล์คกันมด แล้ว
ก็เลยต้องพยามไม่วางอาหารเรี่ยราด
กินเสร็จก็รีบโยนสารพัดกับข้าว และ ขนมนมเนย เข้าตู้เย็น
และ พยามหลีกเลี่ยงการวาง อาหารต่าง ๆ
อันจะเป็นการล่อหูล่อตา อิพวกน้องมด อ่ะ
ส่วน เหยือกน้ำต่าง ๆ นี่ก็เก็บเข้าตู้เย็นโลด
เหลือไว้แต่ ขวดน้ำที่มีฝาปิดมิดชิด อยู่ข้างนอก
ซึ่งก็พอกล้อมแกล้ม อยู่ร่วมบ้าน
ก๊ะ อิน้องมด มันได้อย่างสงบสุข อ่ะนะ
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกัน ที่เผลอเรอ
วางจานอาหารทิ้งไว้จนมดขึ้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะ เคาะไล่มด
หรือ เอาจานไปวางตากแดด
ให้มดมันร้อนจนทนไม่ไหว
แล้วเดินหนีไปเองอ่ะนะ
ทว่า เคยอ่านเจอ ไอ้หนุ่มคนหนึ่ง
เขียนไว้ ที่ห้องสาดหนา เวบพันติ๊ป ว่า
เวลา เจอมดขึ้นอาหารที่บ้านเขา
เขาจะใช้วิธี ปล่อยให้มดพวกนี้
กินอาหารในจานจนอิ่มหนำ เสียก่อน
แล้ว รอจนมัน เลิกราไม่มาตอมที่จานนั้นไปเอง
จึงจะเอาจานนั้นไปทำความสะอาด
อะโหย อ่านแล้ว ประทับใจ มากมายอ่ะค่ะ
ก็เลยเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แหะ ๆ
เวลามีมด แอบมาตอมอาหาร ก็เลยใช้วิธีเดียวกับเขา
โชคดีที่ อยู่แฟลตคนเดียว ก็เลยไม่ต้องห่วง
เรื่องที่จะต้องทำตัวซ่กม่ก รบกวน รูมเมท
แต่ก็พยามไม่สับเพร่าเผลอเรอบ่อย ๆ หรอกนะ
เออ อีกเรื่อง เดี๋ยวนี้ อิฉันพยามเลิก
ที่จะเดินเหยียบหญ้าด้วยค่ะ ( ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้ )
เพราะ ก่อนหน้านี้ มีใครคนหนึ่ง เคยบอก อิฉันว่า
คนธรรมดาอย่างเรา ไม่มีใครสามารถถือศีล 5
ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้หรอก
แค่เราเดินเหยียบหญ้าในสนามเนี่ย
ก็สามารถทำให้ มดให้แมงตายไปหลายสิบตัวแล้ว
งี้ ใครมันจะถือศีลได้แบบหมดจดล่ะ ?
ฟังคำพูดของเขาแล้ว อิฉันก็รู้สึกว่า
เออ จริงด้วยแฮะ การเหยียบหญ้าในสนาม
มันก็เหมือนการฆาตกรรมหมู่ พวกมดแมงแมลงต่าง ๆ
อย่างที่ เขาว่า จริง ๆ แต่สิ่งที่ อิฉัน คิดต่างจากเขาก็คือ
อิฉันเกิดความสงสัยว่า ไอ้เรื่องการเหยียบหญ้าในสนามเนี่ย
จริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของการ เลี่ยงไม่ได้ หรือว่า บ่ายเบี่ยง
เพียงเพื่อ ปกป้องความสะดวกสบายของตัวเองกันแน่วะ ?
อิฉันก็เลยลองงดเว้นการเดินเหยียบหญ้า ดูอ่ะค่ะ
ซึ่ง มันก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นอะไร
แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการเสียสละ
ความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกัน
จำได้ว่า บางครั้ง อิฉันต้องยอมเสียเวลาเดินอ้อมโลก
ไม่ยอมเดินไปทางเดียวกับชาวบ้านเขา
จนถูกมองว่า อินังนี่มันชอบทำอะไรประหลาด ๆ
เพียงเพราะ อิฉันพยามจะหลีกเลี่ยง
ไม่ให้เหยียบย่ำทำร้าย มดแมลงแมงกระบี้ต่าง ๆ
แต่ก็มีหลายครั้ง เหมือนกันนะ ที่ จำใจต้องเหยียบหญ้า
อาทิเช่น เวลาที่น้องชายมันจอดรถยนต์ไว้ข้างสนามหญ้าพอดี
ถ้าไม่เอาตรีนเหยียบหญ้า ก็ลงจากรถ ไม่ได้
ยกเว้นจะทำเรื่องมาก ขอออกทางด้านคนขับ
( แต่ก็อาจจะถูกรถเฉี่ยวตายได้ )
ซึ่งถ้าเจอเคสอิหลักอิเหลื่อแบบนี้
ก็จะทำใจเหยียบหญ้า
แต่ก็จะทำให้น้อยครั้งที่สุด และ เร็วที่สุดน่ะ
ซึ่งตอนที่เหยียบ ก็จะพยามปลง ๆ
แล้วกก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ระทมอะไร หรอกนะ
แต่ จะทำใจยอมรับวิบากต่าง ๆ ไปตามสภาพ
เพราะถือว่า มันเป็นเหตุสุดวิสัย หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
ก็แค่ยอมรับ ในวิบากที่ได้กระทำไป
ตามจำนวน มดแมงแมลงต่าง ๆ
ที่มันดันดวงซรวย มาแบนแต๊ดแต๋
ตายคาตรีนของเรา เท่านั้นอ่ะ
แต่ก็มีเรื่อง ขำ ๆ จะเล่าให้ฟังด้วยอ่ะ
เช้าวันหนึ่ง ต้องเดินกลับแฟลต
มีทางเลือก สามทางให้เดินผ่าน คือ
1. เดินลัดสนามหญ้า
2. เดินเลาะตามขอบพื้นดินข้างสนามหญ้า
3. เดิน อ้อมโลก ตรงพื้นซีเมนต์( ที่มักจะเลือกเดินตามปกติ )
วันนั้น นึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้
จู่ ๆ ก็อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ
มาเดินเลาะตามขอบพื้นดินข้างสนามหญ้า
ใจหนึ่งก็ คะยั้นคะยอว่า
เฮ้ย ไม่เป็นไรไม่ใช่สนามหญ้าสักหน่อย เดินได้น่า
ประหยัดเวลามากกว่าการไปเดินอ้อมโลก
บนพื้นซีเมนต์ เยอะเลย
แต่อีกใจก็แย้งว่า เฮ้ย แต่ถ้าเดินบนพื้นดินตรงนั้น
มันมีโอกาสเหยียบพวกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในดินได้นา
ถ้าเลี่ยงได้ ยอมเสียเวลาเดินบนพื้นซีเมนต์ดีกว่าไหม
ก็สองจิตสองใจลังเลอยู่นานเลย
ก่อนจะ ตัดสินใจเลือกเดินไปตามพื้นดิน
แล้วพยามบอกตัวเอง ประมาณ ว่า
เออน่า ก็แค่นี้เรื่อง จิ๊บ ๆ
ภาษพระเค้ายังว่า อาบัติปาจิตตีย์ เลยนิ
อย่าคิดมากเรยอ่ะ เด๋วเก๊าะกลายเป็น ..
ศีลพรตปรามาส หร็อก ฯลฯ
น่าขำ พอเดินเลาะไปตามพื้นดิน อย่างที่ใจมันเกลี้ยกล่อม
ได้แค่ สองสามก้าว เท่านั้น ก็เกิดอาการทนเดินต่อไปไม่ไหว ว่ะ
จู่ ๆ ใจมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ขึ้นมาซะงั้น
ทุกครั้งที่ก้าวขา มันจะรู้สึกฝืน ๆ ยังไงบอกไม่ถูกนะ
อารมณ์ประมาณ ว่า เรากำลังฝืนใจ
ให้กายมันเดินไปในทางที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
เลยความรู้สึกไม่ค่อยจะดีน่ะ
อาจเป็นเพราะ เจื๋อกไปแอบเห็นความมักง่าย
ที่มันหมกเม็ดอยู่ลึก ๆ ในอนุสัย ด้วยมั้ง
สุดท้ายก็เลยชะงักตรีน ตัดสินใจย้อนกลับไป
เดินอ้อมโลกบนพื้นซีเมนต์เหมือนเดิม
พร้อมกับบอกตัวเองอย่างขำ ๆ ว่า
เออๆ ยอมแล้ว ๆๆๆๆ กรูเปลี่ยนใจแล้วก็ได้
กรูทำงี้ ไม่ลงว้อยยยยยยยยยย
-
อืม...แต่จากเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่เกิดขึ้นตรงนั้น มันก็ทำให้อิฉันเห็นความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นภายในใจของตัวเองมากขึ้นเยอะเลยนะ
ใครคนหนึ่ง เคยบอกว่า คนเราจะเบียดเบียนชีวิตอื่นได้
ตามระดับความเคยชินอันเป็นปกติของเขา
แม่ค้าขายปลา ที่ฆ่าปลาเป็น อาจิณกรรม
เขาก็จะสามารถ ฆ่าปลาได้ด้วยความรู้สึกเคยชินเป็นปกติ
แต่ถ้าเมื่อไรที่เขา ต้องเขยิบไปฆ่าสัตว์ที่ใหญ่ ขึ้น
อาทิ เชือดไก่ เชือด หมู ที่เขายังไม่เคยทำ
เขาก็อาจะรู้สึกฝืน ๆทำไม่ลงในครั้งแรก ๆ
และ เมื่อไร ทำบ่อย ๆ ครั้งเข้า
การฆ่าสัตว์ใหญ่ก็จะกลายเป็นความปกติของเขา
จะว่าไป ไอ้อาการตะขิดตะขวงใจของอิฉันนั้น
มันก็คงคล้าย ๆ ไอ้อาการฝืนๆ ของ อิแม่ค้าปลาคนนั้น
ตอนที่ ต้อง เชือดหมูเชือดไก่ ล่ะมั้ง
เพียงแต่ว่า แทนที่จะเป็น หมูเป็นไก่
อิฉันกลับ ทำใจลำบากที่จะต้องไป เหยียบมดซักตัว
อะโหย รู้สึกขำตัวเองเหมือนกันนะ
ที่กลายเป็นผู้หญิงอ่อนไหว สไตล์ดราม่า ได้ถึงเพียงนี้
ผิดคอนเซปต์ของ อินังอเมซอนจอมโหด
ที่เพื่อนมันตั้งฉายา ให้เลยนะเนี่ย เฮ้อออออ
โดย สรุปแล้วสำหรับ ศีล ข้อ 1 นี้
อิฉันค่อนข้างทำได้ดี ในระดับหนึ่ง นะ
( แต่ก็ยังมีหลุด อยู่บ้าง อาทิเช่น
บางทีเดินไม่ระวัง ก็เผลอเหยียบหอยทาก
และ ตอนที่ต้องมานั่งจ่ายยาฆ่าพยาธิ
และ ยาฆ่าหิดฆ่าเหา ให้คนไข้ แหะ ๆ )
แต่ก็ถือ ว่า ยังโอเค แหล่ะ
อย่างน้อย สายอาชีพเภสัชที่อิฉันทำอยู่
ก็ เอื้ออำนวยในการถือศีลข้อ 1 มากกว่าหลายอาชีพนะ
ถ้าไปอยู่ในสาย อาชีพบางอย่าง เช่น สัตวบาล นี่
คงต้องลำบากใจในการถือศีล ยิ่งกว่านี้เยอะ
พี่คนหนึ่งเล่าให้ฟัง ประมาณว่า
ลูกชายแกเป็น สัตวบาล
ทำงานอยู่ในฟาร์มหมู
ต้องตรวจเชคสุขภาพหมู
แล้ว ยัง ต้องเซ็น ออร์เดอร์ฆ่าหมูล่วงหน้า แทบทุกวัน
แถมลูกหมูบางตัวที่เกิดมาพิการ ยังไม่ตายดี
บางทีก็ต้องสั่งให้เอาไปใส่ถุงโยนทิ้งถังขยะ
ทุกวันนี้ ลูกชายของ She เลยยังไม่กล้าบวช
เพราะเขารู้สึกว่า งานที่เขา ( เซ็นออร์เดอร์สั่งฆ่าหมูล่วงหน้า )
ทำให้ ศีลข้อ 1 ของเขาไม่หมดจด เลยยังบวชไม่ได้
เฮ้อออ จะว่าไปอิฉันก็โชคดี
มากกว่าลูกชายพี่เขาเยอะเลยเนอะ
บางที อาชีพ ก็มี ส่วนสำคัญ
ที่ทำให้ เราถือศีลข้อ 1 ได้ ลำบากนะ
นี่ยังคิดอยู่เลย ว่าถ้า อิฉันนึกครึ้ม
หันไปเล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไร
หุ้นของ ซีพี ก็จะเป็นกลุ่มหุ้น ต้องห้าม
สำหรับอิฉัน เลยอ่ะ
และ ถ้าเป็นไปได้ อิฉันตั้งใจว่า ต่อไป
ถ้า ตัดใจจากเนื้อหนั่น ๆ ของน้องหมูน้องไก่
กับ น้องหอยนางรม ได้เมื่อไร
อิฉัน ก็จะหันไปกิน มังสวิรัติ
เพื่อลดการเบียดเบียนชีวิตด้วยอ่ะ
( แต่ตอนนี้ ยังอดใจไม่ไหว แหะ ...แหะ... )
อืม...พูดถึง เรื่อง การกิน มังฯ
ป๋าเทพ โพธิ์งาม เป็น ไอดอล
ในเรื่อง มังสวิรัติ ที่ อิฉัน ซูฮก มากมาย เลยนะ
คอยดูนะ สักวันหนึ่ง อิฉัน จะพยาม
ละ ลด เลิก การเบียดเบียนชีวิต
ให้ได้เหมือนที่ ป๋า ทำได้ นะเจ้าคะ
เอ้า เอา ลิงค์ พวกนี้ มาฝากจร้าาาาา
อ่านผ่าน ๆ แล้ว รู้สึกเข้าท่าดี อิอิ
เทพ โพธิ์งาม: ตลกที่ไม่ยอมตลกกับการกินเนื้อสัตว์ (1) (http://www.oknation.net/blog/bluecandleshop/2010/02/19/entry-2)
เทพ โพธิ์งาม: ตลกที่ไม่ยอมตลกกับการกินเนื้อสัตว์ (2) (http://www.oknation.net/blog/bluecandleshop/2010/02/19/entry-3)
เทพ โพธิ์งาม: ตลกที่ไม่ยอมตลกกับการกินเนื้อสัตว์ (3) (http://www.oknation.net/blog/bluecandleshop/2010/02/23/entry-1)
(http://tepshow.files.wordpress.com/2012/06/19.jpg?w=1024)
-
ศีลข้อ2. อทินนาทานา เวรมณี ฯ
งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
(http://www.funnychix.com/pix/funny-pictures-squirrel-crime.jpg)
ถ้าหมายถึง ลักขโมยโต้ง ๆ นี่
สำหรับอิฉัน คงไม่มีให้เห็นหรอกนะ
แต่อันนี้ อิฉัน รวมไปถึง การมาทำงานสาย
การเบียดบังเวลาราชการ ไปทำธุระส่วนตัว
และการหยิบเอา วัสดุสำนักงาน มาใช้ส่วนตัว ด้วยอ่ะ
อืม...เรื่องพวกนี้ อิฉันก็ยังทำอยู่นะ (บ่อยด้วย)
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเท่าไร เพราะว่า
อิฉันไม่เคยเอาอะไรของโรงบาลไปใช้ฟรี ๆนี่หว่า
อิฉันได้ชดเชยมูลค่าความเสียหายให้
ด้วยการบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง
กับโรงพยาบาลทุกปีอยู่แล้ว
( เงินที่จ่ายไปน่ะ มากกว่าค่าเสียหายตั้งไม่รู้กี่เท่า )
ส่วนเรื่องการเอาเวลาหลวงไปทำงานราษฎร์ นี่ไม่ค่อยได้ทำอ่ะ
ส่วนใหญ่ จะไปธุระที่ไหน ก็ลาพักผ่อนไปโลด
แล้วเรื่องมาสาย นี่ก็ ชดเชยให้โรงพยาบาล
ด้วยการ ไม่ใช้สิทธิการลงไปพักผ่อน 1 ชม.
ในวันที่ต้องขึ้นเวรบ่าย แต่จะอยู่โยงทำงานกับคนอื่นต่อ ยาวไปเลย
ส่วนเรื่องโปรแกรมเถื่อน ในคอมพ์
นี่ก็โล๊ะออกจากโน๊ตบุ๊คของตัวเองจนหมดแล้ว
หันมาใช้ ฟรีแวร์ แทน ( ดังที่เคยเขียนเล่าไว้ใน ลิ้งค์นี้ (http://"http://board.palungjit.com/f34/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%95-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AF-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5-5-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AF-351135.html") อ่ะ )
ส่วนไฟล์เพลงไฟล์หนังละเมิดลิขสิทธิทั้งหลาย
ก็ตัดใจลบทิ้งจนเกลี้ยง แถม ยังใจป้ำ
บริจาคเงินสนับสนุนการศึกษา
เป็นค่าผิดผี ให้ป๋าบิลเกต ด้วย จำนวนหนึ่ง
เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ
ที่เคยแอบใช้ MS เถื่อน ,วินโดวส์เถื่อน ของป๋ามาเนิ่นนาน
แล้วก็งดซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ ทั้งหลายแหล่
หลีกเลี่ยงการดู หนังซูม และ ซีดี สามแผ่นร้อย
และ งดดูหนังที่โหลดมาจากเนต แบบละเมิดลิขสิทธิด้วย
เออ มีเรื่อง ขำ ๆ เกี่ยวกับ ศีลข้อนี้ด้วยนะ
เมื่อปีก่อนมั้ง นึกครึ้ม อะไรไม่รู้
อาจจะเบื่อเวบเสวนาธรรมะ มั้ง
ก็เลยเข้าไปดูเวบอย่างว่า ในเนตอ่ะคะ แหะ ๆ
พอคลิ๊ก เปิด คลิปโจ๋งครึ่ม ในนั้นดู
ตอนแรกมันก็หวือหวา วาบหวาม
และ ตื่นตาตื่นใจดีหรอกนะ
แต่พอดูไปดูมา จู่ ๆ มันก็ชักรู้สึกตะหงิด ๆ
ชักไม่แน่ใจว่า เฮ้ยยย ไอ้คลิปพวกนี้ น่ะ
มันตัดมาจาก ซีดีหนัง เอวี ละเมิดลิขสิทธิ รึปล่าวฟระ
ไอ้ครั้นจะ โพสถามไอ้คนโพสคลิป หรือก็เกรงใจมันอ่ะ
เด๋วมันจะด่าโคตรพ่อโคตรแม่ ว่า
ตรูอุส่าเอามาแชร์ให้ดูแล้วยังเจื๋อกเรื่องมาก อี๊กกก ฯลฯ
และ ในเมื่อความสงสัยในเรื่องนี้ มันไม่เคลียร์
ก็เลยกัดฟัน ตัดสินใจ เลิกดูคลิป ในเวบอย่างว่าเป็นการถาวรเลยค่ะ
เพราะไม่ต้องการให้ ศีลข้อ สอง ของตัวเองต้องมัวหมอง
เฮ้อออ จะมีใคร เหมือน อิฉัน ไหม เนี่ย
ตัดใจงด ดูคลิปหนังเอวี ได้
เพราะไม่ต้องการจะผิดศีลข้อ 2 !
แต่ ถ้า คิดดูอีกที นี่ถ้าไม่ใช่เพราะศีลข้อ 2
อิฉันก็คงไปด้อม ๆ มอง ๆ เปิดเวบอย่างว่า
ดูคลิปหนังเอวี จนตาแฉะ และ มีอาการฮิสทีเรียกำเริบ ไปแล้วมั้ง
เฮ้อออ พอย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องนี้ ทีไรก็ขำกลิ้งนะ
นึกถึงคำว่า ถ้าเรารักษาศีล
ศีลก็จะรักษาเรา ขึ้นมาตะหงิด ๆ
จริงอย่างที่เขาว่าไว้จริง ๆ ด้วยแฮะ
(http://seemslegit.com/image/2127.jpg)
-
ข้อ3. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี ฯ
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
(http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/thegig/gig.gif)
(http://i.kapook.com/glitter/2011/th/08/T030811_03CC.gif)
แหม ? คือว่า เป็นสาวเป็นนาง อ่ะค่ะ
เรย ม่ะค่อยอยากจะพูดถึง ศีลข้อนี้เยยย
เด๋ว พลั้งเผลอ หลุดปาก อะไรไป โดยไม่ระวัง
กลัวมันจะไม่งามมมมมมม :'(
แต่พูดแล้วจาหาว่าคุย นะเจ้าคะ
พี่ที่ทำงานด้วย บอกว่า ถ้าอยู่ที่กำแพงเพชร
อิฉันจะได้รับสิทธิพิเศษ ให้ ไปกวนข้าวทิพย์ อ่ะค่ะ
แต่ ถึง จะไม่ได้อยู่ กำแพงเพชร
คนในโรงบาล ก็ มักจะขอร้องให้
ไปปักตะไคร้ อยู่บ่อย ๆ เวลาฝนตก ง่ะ งิงิ
แต่อิฉัน ม่ะยอมใจอ่อนทำตามที่พวกมันขอร้องหรอกนะ
เพราะ ด๋ว ฟ้าผ่าขึ้น มา มันจะเสียเครดิต ว่ะ เอิ๊ก ๆ
เอาล่ะ สรุปก็คือ ว่า ถึงแม้ศีลข้ออื่น ๆ
จะเคยขาดยับ จนเยินแล้วเยินอีกยังไง
แต่ สำหรับ ศีลข้อ 3 นั้น ก็ทู้ซ้รักษามันมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน
ไม่เคยทำ ศีลข้อนี้ ขาดเลย สักครั้งเลยอ่ะ
ถึงแม้อิฉันจะชอบทำไก่หยอกหมา
แหย่ กะชาวบ้านชาวช่องเป็นกิจวัตร
ทว่า ก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดหาเรื่อง
ไปปีนต้นงิ้วเล่น เป็นงานอดิเรก ซะทีนะ
แบ่บว่า ...
ถึงจะ แยกจิต ออกจากขันธ์ 5 ไม่ได้
แต่ก็มี วิจารณญาณ เพียงพอ
ที่จะโยนิโสฯ แยกแยะ ออก ว่า
คนไหน คือ...ผัวชาวบ้านเขา อ่ะค่ะ
(http://i.kapook.com/glitter/2011/th/11/T281111_04CC.gif)
-
ข้อ 4. มุสาวาทา เวรมณีฯ
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
(http://comments20.com/Recados/wp-content/uploads/2012/05/Funny-Squirrel-16.jpg)
สำหรับศีล ข้อ 4 นี้ อิฉันก็ทำได้ ไม่ยากส์ อ่ะ
สำหรับตอนนี้ ก็ เซ็นชื่อเข้าทำงาน ตามเวลาจริง
หลีกเลี่ยงการร่วมงานเลี้ยงสังสรรน์ ต่าง ๆ ในโรงพยาบาล
ทั้งงานเลี้ยงรับ-เลี้ยงส่ง งานกินเลี้ยงปีใหม่
หรือแม้กระทั่ง การไปเที่ยว OD ฯลฯ ด้วย
เพราะการเข้าร่วมงานพวกนี้
มัน มีอะไรที่ไม่ตรงไปตรงมา แฝงเร้น อยู่น่ะ
ถ้าใครอยู่ในแวดวงข้าราชการ ก็น่าจะพอเข้าใจอยู่
เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ หลวงเขาจะอนุญาต
ให้เราเอางบประมาณมาผลาญเล่น
กับ ความรื่นรมย์ส่วนตัว น่ะ
ส่วนใหญ่ งานเลี้ยงสังสรรน์ทั้งหลาย
ก็ล้วนแล้วแต่ เขียนโครงการแบบซิกแซก
แล้ว อาศัย เอารายเซ็นผู้เข้าร่วมงาน
ไปใช้ เบิกเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินการ ทั้งนั้น แหล่ะ
ตอนแรก อิฉันก็ไม่รู้หรอกนะ
มาเอะใจ ตอนที่ กำลังเซ็นชื่อ เข้างานกินเลี้ยงปีใหม่มั้ง
พอไปอ่าน หัวกระดาษใบเซ็นชื่อ ผ่านตา
ปรากฏว่า เฮ้ยยย มันกลับเป็นประมาณว่า
โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร อะไรก็ไม่รู้
( นั่งร้องเพลง กินเหล้า กันเนี่ยนะ
มันพัฒนาศักยภาพตรงไหนเนี่ย ? )
ไม่เห็นจะเกี่ยวกับ งานเลี้ยงเลย
แถม ตรูกินเลี้ยงตอน กลางคืนแท้ ๆ
แต่ ทำไมกลับต้องให้เซ็นชื่อ
ว่าเข้าร่วมกิจกรรม ทั้ง เช้า และ บ่าย ฟระ?
พอจับต้นชนปลาย เห็นความไม่โปร่งใสในการดำเนินการ
ก็เลยไม่อยากจะร่วมสังฆกรรม ในวงจรกรรม ด้วยน่ะ
ไอ้ครั้นจะเห็นแก่กิน แล้วทำมึนไปนั่งสังสรรน์
รับประทานดินเนอร์ ร่วมกันเฉย ๆ โดยไม่ไปเซ็นชื่อเข้างาน
ก็รู้สึกว่า มันตะขิดตะขวงใจ เหมือน เกลียดตัวกินไข่
เกลียดปลาไหล แต่กินน้ำแกง ยังไงก็ไม่รู้
สุดท้ายก็เลยตัดสินใจ หลีกเลี่ยงที่ จะเข้าไป
เป็นส่วนหนึ่งใน วงจรกรรม ร่วมกับคนพวกนี้น่ะ
เออ มีเรื่องจะเม้าส์โตย
ปกติจะเป็นคนที่มีลางสังหรณ์
เรื่อง จับสลากแจกรางวัล น่ะ
คือ เมื่อไรก็ตามที่เกิดความรู้สึก นี้ ขึ้นมาแว๊บ ๆ
อิฉันก็มักจะ ได้ รางวัลนั้น ๆ ตามที่รู้สึก เสมอน่ะ
เท่าที่สังเกตดูเจอมาบ่อย เหมือนกัน
ตานี้ วันที่ ตัดสินใจจะเลิก ไปกินเลี้ยงสังสรรน์
งานกินเลี้ยงปีใหม่ นั่นน่ะ ไอ้ ลางสังหรณ์ ตรงนี้ มันเกิดว่ะ
คือ มันรู้สึกมั่นใจว่า ถ้า เราอยู่ ร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้อ่ะนะ
เราจะได้รางวัล เป็น สร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง แหง๋ ๆ เลย
แต่ก็กัดฟัน ไม่อยู่ร่วม ด้วยหรอกนะ ทั้ง ๆ ที่รู้สึกเสียดายตะหงิด ๆ
กับ โชค ที่ กำลังจะได้รับ ( ตามลางสังหรณ์ ) เหมือนกัน
สุดท้าย แล้ว คนที่ได้รางวัลก็เป็น น้องคนที่อยู่ห้องยา เหมือนกัน
นี่ ยังคิดเล่น ๆ เลยนะ ว่า
ถ้าวันนั้นตัดสินใจ อยู่ร่วมงาน
แล้วนั่งลุ้น การจับฉลากชิงทอง ด้วย
บางที คนที่จะได้รางวัล มีโอกาสเป็น อิฉัน ค่อนข้างมาก เลยนะ
เพราะว่า ตอนเข้าไปในงาน ตอนจะเซ็นชื่อ เข้างาน
อิฉัน เข้าไปพร้อมไอ้น้องคนนั้น
หมายเลขเบอร์ฉลากที่ได้ ก็จะเป็นเบอร์ไล่เลี่ยกัน
แล้ว ตอนนั้น น้องมันต่อคิวเซ็นชื่อเข้างานต่อจากอิฉัน ซะด้วย
เพียงแต่ ตอนนั้น อิฉัน สละสิทธิ ไม่เซ็นชื่อ
และ ตัดใจไม่เข้าร่วมงานไง
น้องมันเลยได้หมายเลขลำดับของอิฉันไป
เฮ้ออ เสียด๊ายยยยยยยยยยยย ว่ะ
แต่ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้
ก็คงทำเหมือนเดิม นั่นแหล่ะ
คงจะไม่ยอมให้ ศีลข้อ 4 ของตัวเอง
ต้องมาแปดเปื้อนเพราะทอง 1 สลึง นั่นหรอกจร้าา
-
อืม...เดี๋ยวนี้ ถ้าจะว่า ไป ในเรื่องของ ศีล ข้อ 4 นี้
อิฉันลงลึก ไปถึง ระดับ สัจจะ ด้วยซ้ำ
สมัยเด็ก อิตาหมาน ( พ่ออะฮั้น )
เคยเสี้ยมสอนเสมอนะ ว่า
เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ เสียเข็มขัด อย่าเสียกางเกงใน !
อิฉันก็เรยเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสัจจะ ค่อนข้างมากนะ
ประมาณว่า ถ้าพูดแร้วทำไม่ได้ มรึงก็อย่าเสือกพูด ! เอิ๊ก ๆ
ยิ่งเมื่อนึกครึ้ม มาถือศีลเล่นเป็นงานอดิเรก อ่ะนะ
อะโหย สัจจะ มันยิ่งโดนสแกนไวรัส
ชนิด สามเวลาหลังอาหารเรยมั้ง
จะยกตัวอย่างเรื่อง สัจจะ เล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่เกิดกับตัวเองให้ฟังนะ
เพราะ เคยตกปากสัญญาไว้กับแม่ค้า
ว่า ตอนเย็นจะไปซื้อขนมหวาน ร้านเขา
เย็นวันนั้น อิฉันเลยต้องถ่อสังขาร
ขี่มอเตอร์ไซด์ปุเลง ๆ ออกไป ทั้งที่ฝนตกพรำ ๆ
เพียง เพื่อไปซื้อ หนมหวาน ร้านนั้น
เนื่อง ด้วยไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง
(และขี้เกียจมานั่งต่อศีล ข้อ 4 )
แต่ ปรากฏว่า พอไปถึงร้านนั้น จิง ๆ
แม่ค้า ดันปิด ร้านหนี อิฉันว่ะ
เฮ้อออ อดกินหนมหวานเรยอ่ะ
เพราะ พลั้งปาก ไปว่า ถ้าถูกเจี๋ยนอมยิ้ม
จะไม่ขโมย บัตร ปชช. ชาวบ้าน
มาสมัครล็อคอินใหม่ที่พันธ์ทิป
สุดท้าย ถึงตอนนี้ อิฉัน ก็เรย ม่ะสามารถ
มี อมยิ้มใหม่ ไว้โพส กาทู้แถวนั้นได้
ต้องอาศัย ร่างทรง ตล๊อด
ทั้ง ๆ ที่ ถ้าจะซิกแซก เลี่ยงบาลี จิง ๆ
อิฉันมีคนที่พร้อมจะให้ยื้มบัตร ปชช. ไปสมัครเสมอนะ
น่าเสียดาย ที่สัจจะ มันค้ำคอ
( เฮ้ออ ไม่น่าฟอร์มมากเรยตรู )
และอีกเรื่อง เกี่ยวกับ สัจจะ
ไปสั่งซื้อ ต้มยำกุ้ง กับแม่ค้า ในตลาด
แร้วลืมไปเอา พอขี่รถกลับโรงบาล
มาได้ หลายกิโล (เลยครึ่งทาง แระ )
เพิ่งนึกได้ ว่า เออ กรูลืมไปจ่ายเงิน+เอาแกงที่สั่งแม่ค้าไว้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอน ยังไม่ได้ ถือศีล
อิฉันก็คงจะ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ขี่รถกลับโรงบาล
โดย ไม่เสียเวลา ย้อนกลับไปเอา แกงถุงละแค่ 30 บาท หรอกนะ
แต่ พอ แบกศีลไว้แร้ว ก็กลับทำไม่ได้แฮะ
มันจะเห็น ฟาม มักง่าย ของตัวเอง โผล่หางแพลม ๆ
เวลา ไม่รักษาสัญญิงสัญญา ที่ให้ไว้กับชาวบ้านน่ะ
รู้สึกว่า เฮ้ย เมิงกะลัง เบียดเบียนแม่ค้าเค้านะ
ถ้า ไม่รักษาคำพูด ไม่ไปเอาแกงถุงนั้น
อิคนมักง่าย แว้ด ๆ ฉอด ๆ ฯลฯ
พอโดน อิเจ้หิ(ริโอตตัปปะ ) มัน บ่นแว้ด ๆ หนัก ๆ เข้า
ก็เรยชักรำคาญ ต้องยอมรักษาฟอร์มนักปฏิบัติ
ด้วยการย้อนกลับไปเอาแกงถุงนั้น
( ไม่คุ้มค่าน้ำมันรถเล๊ยยย พับผ่า )
แต่ ก็ไม่ได้ รู้สึกว่า ขาดทุน อะไร หรอกนะ
อย่างน้อย บทเรียนอันมีค่า ที่อิฉันได้ จาก เรื่องนี้ ก็คือ
อิฉันได้ฝึกการรักษาสัจจะ ฝึกละทิ้ง ความมักง่ายแห่งตน
อันเป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงในการเป็นนักปฏิบัตินะ
ไม่รู้ดิ คน มานะจัด อย่างอิฉัน คิดเสมอ ว่า
ถ้าริจะเป็นนักปฏิบัติ กะอีแค่ รักษา วาจาสัตย์ ตัวเองไม่ได้
ก็อย่า ทะลึ่งเรียกตัวเอง ว่านักปฏิบัติ เรยว่ะ
เด๋วจะพาล ขายขี้หน้า ไปถึงคูบาอาจานซะเปล่า ๆ อิอิ
-
เออ มีเรื่องขำ ๆ เกี่ยวกับ ศีล ข้อ 4 อีกเรื่อง
มาเม้าส์ให้ฟังโตย พอถือศีลข้อนี้ละเอียดขึ้น
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง คนไข้ มาถามจะขอเปลี่ยน
เอา ยาแก้ปวดยี่ห้อเดิมที่เคยกินแล้วติดใจ
แล้ว ไอ้เรา ไม่ชัวร์ ว่า ตอนนั้นในห้องยา
ยังมี ยาแก้ปวด ยี่ห้อนั้น อยู่ไหม
แต่ตอนนั้นมันขี้เกียจเสียเวลา เดินไปดูที่หลังห้อง
ก็เลย บอกปัดไปว่า ตอนนี้ ในห้องยาไม่มี ยายี่ห้อนี้ แล้ว
( แต่จริง ๆ ไม่แน่ใจหรอกว่า ยังมี ยายี่ห้อนั้นหรือไม่ )
จากนั้น ก็ แนะนำ ให้ คนไข้หันไปใช้ยี่ห้อใหม่
ที่เราจ่ายให้ไปให้ไป เพราะตัวยามันเหมือนกัน
ซึ่งพอคนไข้รับยาเสร็จ แล้วเดินกลับออกไป
ไอ้เรากลับยังรู้สึกคาใจไงก็ไม่รู้น่ะ
ที่ทำตัวมักง่าย พูดจาอะไรออกไป
โดยที่ไม่แน่ใจแบบนั้น
ก็เลยต้องย้อนไปเชคยา ที่อยู่ หลังห้องอีกครั้ง
ปรากฏว่า ไปเจอ ยายี่ห้อเดิม ที่ป้าอยากได้ พอดี
ทีนี้ ทำไงล่ะ ? จะเฉย ๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้นะ
เพราะ ไง ก่อนหน้านี้ เราก็ไม่ได้โกหก อะไรนิ
เก๊าะเราเองก็ไม่แน่ใจ ว่าจะมียายี่ห้อนี้ หรือไม่ ? นี่นะ
แต่ ถึงงั้นก็ยังรู้สึก ตะขิดตะขวงใจอยู่ดี
ก็เลยต้อง ถ่อสังขารเดินแถ่ด ๆๆๆ
ออกไปตาม คนไข้ แล้ว เอา ยายี่ห้อนั้น
ไปเปลี่ยนให้เขา อีกหน
อิอิ คนไข้มันคงจะงง มากมายอ่ะ
ว่าทำไม อิหมอคนนี้ มันถึงได้ ใส่ใจเอายามาเปลี่ยนให้
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ มันเป็นแค่เรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
เฮ้ออ แต่พอทำงี้ แล้ว ค่อยรู้สึกว่ามันหมดจด
และรู้สึกว่า สบายใจขึ้นมาหน่อยนะ ว่า..
-
ถึงเราจะมักง่าย เผลอทำอะไร
ที่มันก้าวล่วงศีลไปแล้ว
เราก็ยังมีจิตคิดพยาม
ที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น
และ แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แล้ว
แต่ถึงจะค่อนข้างมั่นใจ ในศีลข้อ 4 ของตน
แต่ก็ยังมีเรื่องให้รู้สึกว่าเป็น หนามยอกใจ
เกี่ยวกับ ศีลข้อ นี้ แบบ ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกันนะ
อืม...จะยกตัวอย่าง ให้ อ่านเล่น ๆ เป็น อุทาหรณ์ แระกัน
อย่างเรื่อง เซ็นเอกสารทางราชการไง
โรงบาลจ้างคนมาทำความสะอาดแฟลต
โดยมีเงื่อนไขว่า ให้ต้องเป็น คนนอกเท่านั้น ห้ามคนในโรงบาลทำ
( เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง )
แต่ พอถึงเวลาจริง ๆ ผู้รับผิดชอบก็เห็นแก่พวกพ้อง ( มั้ง )
เรย หาทาง ซิกแซก ให้ลูกจ้างในโรงบาล เป็นคนรับงานนี้ไปทำจนได้
แต่หั้ย สามีของเค้า (ที่เป็นคนนอก) เป็นคนเซ็นปฏิบัติงาน+รับเงิน แทน
เฮ้ออ การเห็นแก่พวกพ้อง มันก็เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้โดยทั่ว ๆ ไป นั่นแหล่ะ
เห็นจนชินแระ แต่ที่มันทำหั้ยรู้สึก อิหลักอิเหลื่อ และ ตะขิด ตะขวงใจ ก็คือ
ตัวอิฉันเอง ต้องโดนลากเข้าไปเป็น ฟันเฟือง ในวงจรกรรมนั้นด้วยไง
เงื่อนไขการ ตรวจรับงานทำความสะอาดแฟลต
จะต้องให้ ข้าราชการที่อยู่ในแฟลต นั้น
เป็นคนเซ็นตรวจรับ เพื่อความสมเหตุสมผล
แล้วบังเอิญตอนนั้น ในแฟลตก็มี แต่ลูกจ้าง อ่ะ
มีข้าราชการแค่ สองพระหน่อ คือ
น้องหมอฟันคนนึง ก๊ะ อิฉัน อีกหนึ่ง
ทางฝ่ายบริหารก็เรยโบ๊ย มาให้อิฉันเซ็น
เพราะเห็นว่า อิฉันนั้น มีอาวุโสกว่า ( แปลว่าแก่ ):'(
และ ที่สำคัญ ห้องยาอยู่ใกล้ ฝ่ายบริหาร
เดินเอาเอกสารมาหั้ยเซ็นง่ายดี
ตอนแรกที่ต้องเซ็นตรวจรับ
ก็ทำใจลำบากเหมือนกันนะ
เพราะรู้เรยว่า ต้องก้าวล่วงศีล ข้อ 4 อีกแระ ตรู
ก็รู้ก็เห็นกันอยู่ ว่า จิง ๆ แล้ว ใครกันแน่
ที่ไปเช็ดถูปัดกวาดที่แฟลตเหย็ง ๆ
แต่ก็ต้องรู้เห็นเป็นใจ กับชาวบ้าน
ช่วยกันโกหกหลอกลวง หลวง
ว่า อีกคนเป็นคนทำความสะอาด
อืม...จิง ๆ จะปฏิเสธ ไม่เป็นผู้เซ็นตรวจรับก็ได้นะ
การพูดจาแบ่บบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
เพื่อ หลีกเลี่ยงการทำหั้ยศีลถลอก
แบบดูดีมีหลักการนั้น มันง่ายนิดเดียว
ถ้าเราไม่เซ็นซะอย่าง เด๋วฝ่ายบริหาร
มันก็ วิ่งไปขอหั้ย น้องหมอฟันอีกคน
มาเป็นคนเซ็นตรวจรับแทนก็ได้
ซึ่งน้องเองมันก็คงไม่รู้สึกรู้สา
หรือวิตกจริตเดือดร้อนอะไร กับเรื่องแค่นี้หรอกนะ
เพราะมัน ม่ะได้ถือศีล 5 ในฮาเร็ม เหมือนเรานี่หว่า
ตอนแรกก็ว่าจะทำงั้นนะ
แต่ พอจะทำจิง ๆ อิเจ้หิฯ ก็ดันเสือก
มีอาการ ตะขิดตะขวงใจขึ้นมาอีกแระ
มันบอกว่า นี่แหน่ะนังนู๋บี
การลอยตัวอยู่เหนือปัญหา
ราวกับ แม่ดอกบัวผ่องเป็นยองเป็นใยงี้
มันก็เหมือนการป้ายขรี้หั้ยคนอื่น ไงไม่รู้ว่ะ
สุดท้ายก็เรยได้แต่กัดฟันบอกตัวเองว่า
กรูทำไม่ลงว่ะ
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเซ็นชื่อตรวจรับในเอกสารซะเอง
โดยทำใจที่จะยอม ก้มหน้ารับกรรม ที่ทำลงไปนั้น
พร้อมกับปลอบใจ อิเจ้หิฯ ไป พลาง ประมาณว่า
เหอะน่า ขนาด พระเยซู
ยังยอมรับ บาป แทนมนุษยชาติได้เรย
เธอว์ก็หลับหูรับตาช่วงแบ่งเบา
ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระบุตรซะมั่งสิวะ
ผิดศีลแค่นี้ไม่ถึงกับถูกธรณีสูบหรอกย่ะเธอว์
อย่างมากก็แค่ได้มีโอกาสไปออนเซ็น
นอนแช่น้ำอุ่นเล่นในกะทะทองแดง แค่ ชาติ สองชาติ เอ๊ง
ที่สำคัญ ขืน ผลักภาระ ให้อิน้องหมอฟัน
มันไปสร้างเวรสร้างกรรมแทนเรา
น้องมันคงจะต้อง ไป ทนทุกข์
ในกะทะทองแดง แทนเราอ่า
แถม อินู๋นี่ มัน ก็ม่ะได้เป็นนักปฏิบัติ
ไม่รู้จักเจริญสติปัฏฐานเหมียนเราซะด้วย
มันจะถึก เอ๊ย ทนมือทนตรีนทั่นยมบาลได้ เร๊อออ
ดังนั้น ตรูยอม ซรวยแทนมันก็ได้ฟระ เอิ๊ก ๆ
-
อนึ่ง นั่น คือ การจงใจ ทำให้ ศีลถลอก อีกดอกส์ ของอิฉันนะ
ส่วนเรื่อง สัจจะ นี่ก็ ถลอก บ่อย ๆ เหมือนกันจร้าาาาาา
เรื่องล่าสุด นี่ก็มีเรื่อง ไปสัญญิง สัญญาก๊ะ แควนคลับ
ว่าจา ตอบ จม. แควน ๆ ในทุกเรื่องทุกประเด็นที่ค้างคา
ให้เสร็จภายในอาทิตย์ก่อนนู้นนน
แต่ ก็ลากยาววววววววววววววววยิ่งเขียน ก็ยิ่งบาน
ปั่นน้ำลาย มาปิดงบประมาณไม่เสร็จซ้าที
จิง ๆ ถ้าจะสักแต่ว่าโพสเรื่อยเปื่อย
เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ
เพื่อรักษาสัจจะ อิฉันก็ทำได้นะ แต่ก็ทำไม่ลงว่ะ
เพราะมันเหมือนการทรยศแควน ๆ อ่ะคร้าาา
เฮ้อออ แต่นี่ ก็มิลู้เหมือนกันว่า
หายหน้าหายตาไปเป็นชาติงี้
แฟนานุแฟน มันจาเบื่อขี้หน้ากัน
จนแอบปันใจ หนีอิเจ้นู๋บี
ไปปลื้มอินังแพนเค้ก แทน อ๊ะปล่าวเนี่ย อ่ะซิก ๆ
อิอิ แพล่ม ๆ น้ำท่วมทุ่ง อีกแระ กรู
เอา ผักบุ้งมาฝาก มั่งก็ได้
สรุป สำหรับ อิฉัน แล้ว
ตอนนี้ สถานะของ ศีลข้อ 4 ค่อนข้างดีถึงดีมาก
แต่ก็มี วจีมุสา บ้าง ( ดังที่เล่า ไปข้างต้น )
ซึ่งก็คงต้อง ก้มหน้าก้มตารับวิบากกรรม ที่ได้กระทำนั้นไป
แล้ว ต่อไปก็คงต้อง พยามหลีกเลี่ยง
วจีที่ก่อให้เกิดการ มุสา ให้มากที่สุด
( เท่าที่พอจะกล้อมแกล้มทำได้ )
-
อ้อ มีเทคนิคเกี่ยวกับการรักษาศีลข้อนี้มาฝาก
กรณี ที่ต้องตอบคำถามที่ทำให้ลำบากใจ
และ รู้สึก อิหลักอิเหลื่อ ที่ต้องตอบความจริง
ที่มันอาจจะ ทำร้ายจิตใจคนฟัง ได้
ประมาณว่า พูดโกหก ก็ผิดศีล
พูดความจริงก็อาจจะผิดใจกัน :'(
ถ้าเจอเหตุการณ์งี้ แนะนำว่า ให้พยามพูดความจริง
แต่ก็ต้องรักษา น้ำใจ คนฟัง แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
อาทิเช่น ถ้าเพื่อนเรา ถามว่า
ขนมที่เขาหัดทำ มาให้ลองชิม อร่อยไหม ?
แทนที่เราจะตอบว่า ตามที่ใจคิด ว่า
แมร่งไม่อร่อยเลย ว้อยยยยยยย
รับประทานแล้ว รสชาติหมาม่ายแหล่กเลยว่ะ
เราก็อาจจะ เลี่ยงไปตอบว่า
ขนมนี้ กินแล้ว รู้สึกว่า รสชาติ ยังไม่ถูกใจเราอ่ะ
เรารู้สึกว่า มันหวานไป เค็มไป ฯลฯ สำหรับเรานะ
แต่ก็ นานาจิตตัง อ่ะ คนอื่นกินแล้วอาจจะชอบก็ได้ ฯลฯ
หรือ บางครั้ง หาก มีคนมาถาม ในเรื่องบางเรื่อง
ที่ เราไม่อยากจะเปิดเผยความจริง
ให้เกิดการกระทบกระทั่ง
เราก็อาจจะพูดเลี่ยง ๆ
โดยใช้ประโยค ที่แสดงความรู้สึก
มาเป็นตัวช่วยในการตอบก็ได้นะ
อาทิเช่น ลำบากใจจัง
ถ้าต้องมานั่งตอบคำถามนี้
ขออนุญาต ไม่พูดแล้วกันนะ
ไปถามกันเอาเองแล้วกัน ฯลฯ
อิอิ แค่นี้ เราก็ สามารถพูดจาได้
โดยที่ไม่ผิดศีล และ ผิดใจกันได้แล้วล่ะ
อืม...ไม่รู้สิ พอถือศีลข้อนี้บ่อย ๆ เข้า
สังเกต เห็นว่า จิตมันจะเกิดสติ ขึ้นมาเสมอ
เวลาเราจะอ้าปากพูด นะ
แถมยังมีการพัฒนา แทคติค สารพัด
เกี่ยวกับการหลบหลีก
ในเรื่องที่จะทำผิดศีล ข้อ4พวกนี้ ได้เองน่ะ
คือปากมันจะสามารถกลั่นกรอง
ตอบคำถามได้อย่างตรงไปตรงได้ง่ายขึ้น
และ ก็ไม่ทำให้ใครต้องเสียน้ำใจ ด้วยอ่ะ
อันนี้ เฉพาะ กรณี ตั้งใจจะประนีประนอมอะนะ
แต่ถ้าหมั่นไส้ขึ้นมา อิฉันก็ เม้งแตก
แบ่บไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เหมือนกันว่ะ แหะ ๆ
เหอะ จริง ๆ ถ้าครึ้ม ๆ ขึ้นมาวันไหน
ก็ว่า จะลอง ทำพิธี ปิดวาจา
เลิกเม้าส์แตกเป็นต่อยหอย ดูเหมือนกันนะ
อย่างน้อย ถ้าทำได้จริง ก็ลด การสร้างปฏิฆะ
ให้เกิดเป็นเวรเป็นกรรม ร่วมวัฏฏะ
ก๊ะ ชาวบ้าน ได้จมหู เรย เนอะ
(http://i.123g.us/c/eapr_aprilfoolsday_happy/th/123067_th.gif)
-
ข้อ 5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี ฯ
งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
(http://www.bloggang.com/data/i/itoursab/picture/1304750917.jpg)
อืม....นอกจากศีลข้อ 3 ( กาเม สุมิจฉาฯ ) แล้ว
ก็มี ศีล ข้อ 5 นี่แหล่ะ ที่ ถือได้แบ่บชิล ๆ เป็นอันดับ 2
โดยไม่ต้องกลัว ว่า มันจะถลอกกกกกก อิอิ
เฮ้ออ อิฉันไม่ได้แตะ น้ำเมา มาหลายปีดีดัก แระ
แม้แต่ กระแช่ หรือ น้ำตาลเมา ก็ ไม่เอาทั้งน้านนน
โชคดีที่เป็นคนไม่นิยม บริโภค แอลกอฮอล์ เข้ากระแสเลือด อ่ะ
เลยไม่เคยต้องมา ทุกขัง กาละมัง เพราะ ศีลข้อนี้ซะที นะ
(http://photos1.hi5.com/0137/149/872/jSJs2R149872-02.jpg)
อ้อ เพิ่มเติม อีกสัก ดอกส์ สองดอกส์ แระกันเน๊าะ
ศีลข้อ 6 วิกาลโภชนา เวรมณี ฯ
เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
(http://www.getgreatcodes.com/graphics/funny/6/funnypic053.gif)
อันนี้ ก็ กิน 2 มื้อ ( เช้า กับ เที่ยง ) จนเป็น ปกติแระ
เพราะ ถ้าพูดกันตาม หลักของวิทยาศาสตร์สุขภาพ
จริง ๆ แล้ว คนเรา กินอาหาร แค่ 2 มื้อ ก็เพียงพอนะ
แล้วก็ดี ต่อสุขภาพด้วย เพราะ กระเพาะลำไส้ จะได้พักมั่ง
ไม่ต้องมาวุ่นวายกับการ ย่อยและ ดูดซึมอาหาร มากเกินไป
เคย มีคนบอกว่า อาหารมื้อเช้า นี่
มันจะช่วย บำรุง สมอง เค้าจึงให้กิน หนัก ๆ
และ มื้อ เที่ยง นี่ก็ บำรุง กำลัง ต้องหม่ำแยะ ๆ
แต่ มื้อเย็น นี่ เค้าว่า บำรุงกาม ว่ะ
ดังนั้น ในมื้อเย็น นักปฏิบัติ อย่างเรา
ไม่ต้องโด๊ป แยะก้อด้ายยย
เด๋วไฟราคะมันกำเริบเสิบสาน อ่ะหุหุ
อีกอย่าง ในกรณีที่เราไม่ได้ ใช้แรงงาน ไปขนอิฐขนปูน
มื้อเย็นนี่ มันก็เหมือนการบริโภคอาหารที่เกินจำเป็นนะ
กินเสร็จ ก็นอนอึดทึด เกิดเป็นไขมันสะสม
จนอ้วนตุ้ย ส่งผลเสียต่อ สุขภาพ อีกแหน่ะ
ด้วยเหตุนี้ อิฉันจึง หันมา กิน 2 มื้อ น่ะในวันธรรมดา อ่ะ
ส่วนถ้าวันหยุดที่ไม่ขึ้นเวร นี่ ก็ จะ กินมื้อเดียว
เพราะ ไม่ค่อยได้ใช้แคลอรี่ มาก
และหลังจาก เวลาอาหารมื้อเที่ยง ของตัวเองนี่
จะกินเฉพาะ น้ำเปล่า นะ น้ำปานะ ก็ งดดื่ม
เนื่องจากไม่ต้องการ ดื่ม เพราะ ความอยาก น่ะ
แต่บางที ถ้าเสบียงแยะ เคลียร์สต๊อกของกินไม่ทัน
อาทิเช่น ขนมปังที่ซื้อมาใกล้หมดอายุ ฯลฯ
ก็ ขยายเวลา เป็น กิน 2 มื้อ
คือ เช้า เที่ยง เหมือนวันปกติ อ่ะ
เท่าที่ ทำ ๆ มา ก็โอเคนะ
เพียงแต่ เวลาในการกินอาหาร
อาจจะ คลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น ไปมั่ง
ก็ตาม สภาพ การทำงาน นั่นแหล่ะ
บางวันคนไข้แยะ ก็ลงพักเที่ยงช้า
เกาะกินข้าวเที่ยง ตอนบ่ายโมงกว่า
( แต่พยาม ไม่ให้เกิน บ่าย 2 โมง )
แต่ ในวันหยุด บางทีก็ตื่นสาย โร่
ตารางเวลาการกิน ก็เลยต้องปรับ
ให้มันเหมาะสม กับสภาพโดยยึดตามหลักของ นาฬิกาชีวิต (http://school.obec.go.th/bannongtapan/data/lifeclock.pdf)อ่ะ
คือ ปกติ จะกำหนดเวลากิน
ให้อยู่ในช่วง 7.30 น. ถึง 9.30 น. น่ะ
เพราะ ถ้า เกินกว่านั้น ก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพ
แต่พอตื่นสาย หรือ ทำอะไรเพลิน เกินเวลากิน
ก็จะเลื่อนไปกิน มื้อเดียว ตอนเที่ยง แทนอ่ะ
ส่วน ระหว่าง รอกินมื้อ เที่ยง นี่
ก็ จะอาศัยกินน้ำหวาน สัก แก้ว สองแก้ว
ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด แก้โมโหหิวแป๊บ ๆ
หรือ บางที ก็หา ขนมเบา ๆ กิน เป็น ออร์เดิร์ฟ
แต่ส่วนใหญ่ จะเน้นให้กิน น้ำหวาน อ่ะ
เพราะวันหยุด ตั้งใจจะกินมื้อเดียว
ไม่อยากกินจุบกินจิบ จร้าาาา
มันเสียอิมเมจ นักปฏิบัติ 555 :39:
-
ศีลข้อ 7
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา
มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี ฯ
เว้นจากพูด ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ
และดูการเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงตกแต่งร่างกาย
ด้วยเครื่องประดับและดอกไม้ของหอม
เครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวให้งามต่าง ๆ)
(http://www.dekchalad.net/img/p/315-364-large.jpg)
ข้อนี้ ยังทำไม่ได้ อ่ะ ไอ้เรื่อง งดดูละเม็งละคร
และ ระบำรำฟ้อน เนี่ย ไม่ยากนะ อยากทำเมื่อไรก็ทำได้
แต่ ว่าไอ้เรื่องจะให้ เลิกใช้ โรออน ดับกลิ่นเต่า
หรือ งดทาแป้งกันเหนียวตัว เนี่ย มันก็ ลำบากใจพิลึก
เพราะ ด้วย สภาพงาน ที่ต้องนั่งจ่ายยางก ๆ ให้คนไข้
ขืนปล่อยเนื้อปล่อยตัว ให้เหม็นตลบ หรือ
ก็สงสารคนไข้ ที่มารับยาด้วย อ่ะ แหะ ๆ
และ ถึงจะ ใช้สารส้ม ระงับกลิ่นเต่าเอา
แต่ ไอ้แป้ง และ สบู่ถูตัวเนี่ย ที่วางขายอยู่ เนี่ย
มันก็มีแต่สารพัดกลิ่นหอม
ครั้นจะไปหาซื้อแบบปราศจากน้ำหอม หรือ
มันก็รู้สึกว่า มันวุ่นวายและยุ่งยาก จังเลยอ่ะ
ก็เลย ยังไม่คิดจะถือศีล ข้อนี้ อย่างจริงจัง
อีกอย่าง ไอ้เรื่องเครื่องประทินกลิ่นหอม
และ เครื่องสำอางค์ทั้งหลายเนี่ย มันไม่ค่อยมีอิทธิพลอะไร
กับ คนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจ กับเรื่องความสวยความงาม อย่างอิฉัน หร็อก
ใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร ดังนั้น ข้อ 7 นี่จะถือเมื่อไรก็ได้
( แต่ตอนนี้ ยังขี้เกียจ ถือ แหะ ๆ )
(http://i.verylol.com/1/funny_monkey_exchange_roses.jpg)
-
ศีลข้อ 8 อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี ฯ
เว้นจากนั่ง นอน เหนือเตียง ตั่ง มีเท้าสูงเกินประมาณ
และที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี ฯ
(http://media1.break.com/dnet/media/2010/7/16/43%20Sleep%20Monkey%20Sleep.jpg)
อันนี้ ก็ลองทำ ดูแระ
แต่ดันรู้สึก ว่า ศีลข้อนี้ กระจอกเกินไป
ไม่มี อะไร ท้าทาย เอาซะเรย อ่ะ
เลย หาเรื่อง ไม่ทำ ซะงั้น 555555
คือมันไม่ได้รู้สึกว่า จะลำบากลำบนอะไรเล๊ย
ที่ต้องนอนพื้น น่ะ ก็แค่ต้องคอยระวังนิดหน่อย
เวลาขยับตัวเปลี่ยนท่านอน
กระดูกซี่โครงมันจะได้ ไม่ ครูดกับพื้น
จนเจ็บ ก็แค่นั้น
ที่สำคัญ สมัย สิบปีก่อน ตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ
ตอนที่ยัง จัดข้าวของ ไม่เข้าที่เข้าทาง
( และยังไม่ได้ ซื้อเตียง ซื้อที่นอนมาใช้ )
อิฉันก็เคย เอาผ้าห่มผืนบาง ๆ มาปู
แล้วนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น ตั้งหลายเดือน นิ
ตอนนั้น ยังไม่รู้จัก คำว่า ถือศีลปฏิบัติธรรม ด้วยซ้ำ
ก็นอนได้สบาย ๆ ไม่เห็นมันจะลำบาก อะไร ตรงไหน เลย
คือ บังเอิญ เป็น พวกปรับตัวเก่ง เหมือน จิ้งจก น่ะ
เวลาปกติ ก็จะเป็น พวก ลัทธิ เสพสุข
จู้จี้เรื่องการกินการอยู่ได้สารพัด
( ต้องกินดี ๆ อยู่ดี ๆ นอนดี ๆ )
แต่ครั้น เมื่อไรต้องอยู่ในสถานะการณ์ คับขัน
ร่างกายมันก็สามารถ ปรับสภาพ
ให้กินง่าย อยู่ง่าย นอนง่าย ได้เฉยเลยอ่ะ
จึงรู้สึกว่า ไอ้การ ถือศีลข้อนี้
สำหรับอิฉัน แล้ว มัน ไม่ได้ช่วย
ในเรื่อง ของการฝึกตน ที่ตรงไหน
ก็เลยไม่คิดจะ ถือศีลข้อนี้ อ่ะ
(http://koreansunshine.files.wordpress.com/2011/05/sleeping_monkey.jpg?w=600)
-
อ้ออ จริง สิ เคยมี ใครคนหนึ่งเคยเขียน เล่าสู่กันฟัง
เกี่ยวกับ เรื่องศีล ไว้ ใน บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=07-2012&date=11&group=1&gblog=11) ว่า
เรื่องมือถือสากปากถือศีล นี่ ก็เนอะ พูดยาก
เพราะเขาใช้กับพวกปากพูดอย่างหนึ่งแต่ใจทำอย่างหนึ่ง
พวกหน้าเนื้อใจเสือทำตัวเป็นผู้ทรงศีลแต่ใจไม่เคยมีศีล
เข้าข่ายหน้าไหว้หลังหลอก อะ
แต่พวกที่ตั้งใจรักษาศีล5จริงจัง แต่ศีลยังพร่องอยู่
เพราะยังไม่ถึงขั้นพระโสดาบันที่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว
ก็ไม่นับเป็นมือถือสากปากศีล เนาะ
เป็นปุถุชนที่ตั้งใจรักษาศีล นี่ยังมีทำผิดศีลกันได้
เพราะมีเหตุมีปัจจัยทำให้ศีลพร่อง แล้วถ้ารู้ตัวว่าศีลยังพร่อง
เขาไม่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลนะ เพราะรู้ว่าศีลพร่อง
แปลว่ายอมรับความจริงของตัวเอง ก็จะมีการขวนขวาย
ปรับปรุงหลีกเลี่ยงกันไป หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ยอมรับความ
จริงแอ่นอกรับกรรมไปในเรื่องนั้นๆ ไม่หนีกรรม ก็มี
คือรู้สภาพตามจริงของตัวเอง
ต่างจากพวกงักปุ๊กคุ๊ง ที่เป็นพวกอันตรายหลอกคนอื่น
และหลอกตัวเองอีก หลงทางกู่ไม่กลับ ไม่มีศีลก็คิดว่ามีศีล
ทำชั่วก็ไม่รู้ชั่ว ทำผิดศีลก็ไม่รู้ผิด อานิสงค์ของศีลก็ไม่รู้
ทำผิดศีลแล้วจะมีผลเสียมาที่ตัวเองอย่างไรก็ไม่รู้
พวกเนี้ยลำบาก หลงทางหลงผิด หน้ามืดแต่คิดว่าตัวเอง
เป็นผู้ดี เป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้เคร่งศีล ทำผิดก็ไม่รู้ตัว
พวกเนี้ย อตร. ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้อาจซรวยได้!!!
แหะแหะ เพราะงั้น ถึงจะทำอาบัติปาจิตตีย์ แบ่บจิ๊บ ๆ
ไปหมดทั้งข้อ1-4 อิอ่อนมันก็ยังบอกว่า มันไม่ได้มือถือสาก
ปากถือศีล นะว้อย (อิอิ) เพราะมันรู้ว่าทำผิดไปแร้ว แต่ว่า
ก็ไม่ได้meบ่อยๆจนติดเป็นสันดาน
ทำเมื่อจำเป็นเท่าน้านนนน อาทิเช่น
1.เรื่องเดินลัดตัดสนามนี่ ก็มีบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัยทำให้
ต้องจำใจเดินลัดสนามก็มีง่ะ แต่ไม่บ่อย รู้ว่าไม่ดีแต่บางที
มันก็จำเป็น ง่ะ
2.โปรแกรมเถื่อนก็ยังมี แหะ แหะ แต่ว่าก็ไม่ได้ใช้เอาไป
หาตังค์ ง่ะ ใช้เพื่อการศึกษา เห็นเฮียบิล เขาชอบทำบุญกุศล
ก็คงไม่ได้มาอาฆาตมาดร้ายอิอ่อนมากมายหรอกเนอะ
อีกอย่าง ลิขสิทธิวินโดว์ ที่ติดเครื่องมาตอนซื้อก็ไม่ได้ใช้
เพราะมันห่วย ต้องไปใช้เวอร์ชั่นแผ่นผี แทนก็มี
ตอนทำร้านเกมส์ก็มีอุดหนุนวินโดว์หมดไปเป็นแสนนะ
ที่ซื้อแล้วใช้ไปแป๊บๆก็ตกรุ่น ก็โดนบังคับให้ซื้อเวอร์ชั่นใหม่
อีกอัพเกรดไม่ได้ ซื้อทิ้งซื้อขว้างก็หลายดอกส์
3.เรื่องแอบวิสาสะใช้ของที่ทำงานฟรีก็มีบ้างอยู่แล้ว
มะได้ตั้งใจโกง แต่มันจำเป็นในบางโอกาส แหะ แหะ
4.เรื่องเวลางานก็มีบ้างเนาะ แต่โดยรวมก็รับผิดชอบงาน
เต็มที่ ถือว่าตอบแทนกันไปตามโอกาส แต่เรื่องรูดบัตร
เซ็นต์บัตรแบบโกงๆนี่ ทำไม่ลง ง่ะ
ก็เรียกว่า มีศีลแต่ไม่บริสุทธิ เนาะ ก็ธรรมชาติของเรา
มันเป็นปุถุชนคนมีกิเลสนี่นา เรื่องไหลลงต่ำทำผิดศีล
ก็เป็นปกติแต่การมีสติรู้ดีรู้ชั่ว คือโปรแกรมป้องกันตัวเอง
ไม่ให้ไหลลงสู่ที่ต่ำแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เิกิด และยืดอก
ยอมรับทุกการกระทำของตัวเองทั้งดีและเลว รวมถึงยอมรับ
ผลกรรมนั้นๆตามจริง โดยไม่ต้องมีข้อโต้แย้งกับใคร
ความในใจอิอ่อน ก็มีเท่านี้ อะจ้ะ
โดย: อิอ่อน IP: 124.120.246.123 วันที่: 13 กรกฎาคม 2555 เวลา:10:28:56 น.
ฟังแล้ว อิฉัน ค่อนข้างเห็นด้วยกับอิอ่อน มันนะ
โดยเฉพาะ ที่บอกว่า
เป็นปุถุชนที่ตั้งใจรักษาศีล นี่ยังมีทำผิดศีลกันได้
เพราะมีเหตุมีปัจจัยทำให้ศีลพร่อง แล้วถ้ารู้ตัวว่าศีลยังพร่อง
เขาไม่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลนะ เพราะรู้ว่าศีลพร่อง
แปลว่ายอมรับความจริงของตัวเอง ก็จะมีการขวนขวาย
ปรับปรุงหลีกเลี่ยงกันไป หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ยอมรับความ
จริงแอ่นอกรับกรรมไปในเรื่องนั้นๆ ไม่หนีกรรม ก็มี
คือรู้สภาพตามจริงของตัวเอง
ต่างจากพวกงักปุ๊กคุ๊ง ที่เป็นพวกอันตรายหลอกคนอื่น
และหลอกตัวเองอีก หลงทางกู่ไม่กลับ ไม่มีศีลก็คิดว่ามีศีล
ทำชั่วก็ไม่รู้ชั่ว ทำผิดศีลก็ไม่รู้ผิด อานิสงค์ของศีลก็ไม่รู้
ทำผิดศีลแล้วจะมีผลเสียมาที่ตัวเองอย่างไรก็ไม่รู้
พวกเนี้ยลำบาก หลงทางหลงผิด หน้ามืดแต่คิดว่าตัวเอง
เป็นผู้ดี เป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้เคร่งศีล ทำผิดก็ไม่รู้ตัว
พวกเนี้ย อตร. ไม่ควรคบหาและเข้าใกล้อาจซรวยได้!!!
มันทำให้อิฉัน นึกถึงใครคนหนึ่ง
ที่ ผ่านเข้ามาในชีวิตจัง
ตอนนั้น เลยเที่ยงวันมาแล้ว
แต่คนไข้ที่รอรับยา ยังไม่หมด( รอหมอตรวจอยู่ )
พอรู้เรื่องนี้ตอนที่กำลังจะก้าวเท้า ออกจากห้องยา ลงไปพัก
อิฉันก็เลยตัดสินใจจะอยู่รอรับคนไข้
เพื่อ ช่วยชาวบ้านทำงานต่อ
แล้วพูด ติดตลก ประมาณว่า
ที่ไม่ลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้านเนี่ย
ไม่ใช่ อยากจะทำตัวเป็นคนดีนะว้อยยยย
แต่ ถ้าลงไปพักก่อน เดี๋ยวจะรู้สึกผิด ก็เลยต้องอยู่ต่อ !
ลงก่อน แล้วมันรู้สึกเหมือน เอาเปรียบคนอื่น ฯลฯ
ใครคนนั้น ฟังที่อิฉันพูด แล้ว ก็แย้ง
สอน อิฉัน ประมาณ ว่า
ถ้าเราไปคิดว่า
มันเป็นการเอาเปรียบ
มันก็จะเป็น การเอาเปรียบ
แต่ถ้าเรา ไม่คิดว่า
มันเป็นการเอาเปรียบ
มันก็จะไม่เป็นการเอา เปรียบ
ฟังแล้ว ก็รู้สึก นะ ว่า มันช่างเป็นธรรมะ
ซึ่งสอนให้ เข้าถึงหลักแห่งการปล่อยวาง ได้คมคายสไตล์เซน
ที่ กระทบจิตกระทบใจชะมัดเลย
แต่ฟังไง มันก็ยัง ตะขิดตะขวงใจ อยู่ดี ว่ะ
ถ้าจะให้ เอาหลักการปล่อยวาง เช่นนี้ มาใช้กับ เคสของอิฉัน
เนื่องจากเกิดความคลางแคลงใจ ว่า
การลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้าน
โดยที่ไม่มีเหตุปัจจัยอันสมควรมารองรับ
นอกจาก คำว่า กรูหิวแล้ว กรูอยากรีบไปกินข้าว
แล้วเอาเวลามานั่งเม้าส์ชิล ๆ กับกลุ่มก๊วนตัวเอง เนี่ย
มันเป็นเรื่องของการปล่อยวางตรงไหนฟระ ?
ที่สำคัญ คนที่เอาธรรมะเรื่องนี้มาพูด นั้น
ก็เป็น คนที่มักจะขอตัว
ลงไปพักกินข้าวเที่ยงก่อนชาวบ้านเขา
และ ชอบเอาเวลาหลวง ไปทำงานราษฏร์ เสมอ
อาทิเช่น บ่นว่าเมื่อยขอตัวไปนวด
/ ไปทำธุระ( ซื้อทองเก็งกำไร )
/ ไปทำฟัน/ ไปฝังเข็มทำหน้าเด้ง /ไปทำบุญฯลฯ
แถมเผลอ ๆ บางวันขึ้นเวรทำโอที ด้วยกันสองคน
ก็ยัง ขอขึ้นมาทำงานเลท เพราะ ตั้งใจจะไปทำบุญ
เลย อยากจะ นั่งฟังหลวงพี่ เทศน์ตอนเช้า ๆ
แต่พอหลวงพี่ รู้เข้า ว่า เอาเวลาขึ้นเวร มานั่งฟังเทศน์
ท่านก็เลยไล่ให้กลับโรงบาล ทันที
เพราะไม่อยากให้ลูกศิษย์ลูกหา เบียดบังเวลาหลวง
อนึ่ง เมื่อเห็น ภูมิหลัง ของคนพูด เป็นเช่นนี้
ก็เลยมองเห็น รากเหง้าของ พฤติกรรม ของเขา มั้ง
จึงรู้สึกไม่ค่อยดี เท่าไรนัก ที่ต้องฟัง งักปุ๊กคุ้ง
มาคุยฟุ้งเรื่อง ธรรมมะ และ การปล่อยวาง
เพียงเพื่อที่เขาจะได้ รู้สึกดี รู้สึกสบายใจ
ที่ไม่ถูก หิริโอตตัปปะ มันคอย ทิ่มแทง อ่ะ
เฮ้ออ เจอเรื่องงี้ แล้ว
อิการ์ฟิลด์ มันก็ปรี๊ดแตก เลยอ่ะ
แถม มันยังเสือกมานะ จัด
ถึงขนาด หลีกเลี่ยง เลิกพูดจาเล่นหัว
ทำตัวสนิทสนม กับ คน ๆ นั้นเลยนะ
( จะพูดด้วยเฉพาะ เรื่องงาน เท่านั้น )
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญ
ที่ทำให้ อิการ์ฟิลด์ มันกลายเป็นงี้นะ
เหตุผล จริง ๆ ก็คือ
แมร่ง มันพูดจาไม่เข้ารูหูกรู กรูเลยเลิกคบ !
แหะ...แหะ... บทอิการ์ฟิลด์
มันนึกรั้นจะเอาแต่ใจ ขึ้นมาจริง ๆ นี่
อินังคิตตี้ มันก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน ว่ะ
ก็เลยต้อง ปล่อยเลยตามเลย แทนการปล่อยวางอัตตา
อืม... ในเมื่อ เรายังไม่สามารถ ละ มานะ ในตนได้
บางทีการมี ช่องว่างระหว่างกัน ที่ห่างไกลมากขึ้น
มันก็จะช่วยลดการเกิดปฏิฆะ ได้เหมือนกัน นะ
เฮ้อออ ชักจะเริ่มเข้าใจ ป๋าโจ ผัวอิอ่อน เลยว่ะ
ว่าทำไม อีถึงเปิดแน่บ เอ๊ย เดินหนี เวลาที่เจอคนแบบงักปุ๊กคุ้ง
-
จริงสิ ใคร อีกคนหนึ่ง ก็เคยบอก ใน บล็อกเดียวกัน ว่า
พอดี วันนี้เป็นคลอด หลบ
จะมาบอกว่า ศีลอยู่ที่เจตนา หากไปคิดมากเราจะอยู่บนโลก
ใบนี้แบบเบี้ยวลำบาก เจตนากุศลก็ลุยไปเลย
อย่าหวั่นแม้วันมามาก
ใครจะว่าเรามือถือสาก ปากถือศีล ก็เรื่องของมัน
แค่เราไม่มองคนอื่น เป็นอย่างที่คนอื่นมองเราก็พอ
มันก็ชิวๆ
ติดดี ก็ยังดีกว่าติดชั่ว
ไม่ใช่กลัวคนอื่นจะมองเราติดดี เราก็เลยประพฤติตัว
เพราะขาดการสังวร
สุดท้ายเรานั้นแระ มือถือสากปากถือศีล
โดย: หลบภัย IP: 58.181.134.142 วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:01:21 น.
ฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นด้วย(บางส่วน )กับอินู๋มันนะ
โดยเฉพาะ ที่บอกว่า
ศีลอยู่ที่เจตนา
เจตนากุศลก็ลุยไปเลย
อย่าหวั่นแม้วันมามาก
แต่ทีนี้ ปัญหา มันไม่ได้อยู่ที่
วันนั้น มามาก หรือ มาน้อย อ่ะดิ
ปัญหา มันอยู่ที่ เรามองเห็น รากเหง้า ของมโนกรรม
อันเป็น เจตนา ที่แท้จริง ของเรา ได้หรือไม่ ตะหาก
ที่สำคัญ เจตนานั้น มันเป็น กุศล จริงๆ
หรือว่า มันมีวาระซ่อนเร้น แอบแฝงอยู่กันแน่ ?
อิฉัน จึงมักจะย้ำให้ชาวบ้านชาวช่อง ฟัง เสมอ ๆ ไง
ว่า การซื่อสัตย์กับตัณหา และ อัตตา ตัวเอง นั้น
มันเป็น กฏมณเฑียรบาล ของการเป็นนักปฏิบัติ
ถ้า ทำตาม กฏมณเฑียรบาล อันนี้ ไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมัน
อ้อ จริงสิ ส่วนคำแนะนำ ที่ อินู๋มัน
มา ชี้โพรงให้ลูกกระอก บอกอิฉัน ว่า
ศีลอยู่ที่เจตนา หากไปคิดมาก
เราจะอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ ลำบาก
นั้น อิฉัน กับ เห็นต่าง นะ
เพราะการจะตัดสินใจเลือกถือศีลสักข้อ
อิฉันจะ พิณา ลงลึก ถึง ระดับรากเหง้าของที่มาที่ไป
ในการบัญญัติศีล ข้อนั้น เลยนะ ถ้าโอเค ถึงจะถือ
ก็เลย ขอคิด ค้าน ความคิดเห็นในเรื่องนี้ ของอินู๋มัน
สำหรับอิฉันแล้ว ศีล แปลว่า ปกติ ว่ะ
และ การที่เราเคารพ สิทธิ ของชีวิตอื่น
จนต้องเพียรพยามที่จะคิดไตร่ตรองให้มาก ๆ
ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพื่อที่จะไม่ให้ การกระทำ ของเรา
ไป เบียดเบียน แล ละเมิด สิทธิ และ ชีวิต ของผู้อื่น นั้น
มันหาได้ ทำให้ เรา ต้องทนอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ อย่างลำบาก เลย
ตรงกันข้าม การมีที่เรา มีจิตคิดจะไป เบียดเบียน ผู้อื่น ตะหาก
ที่ ทำให้ เรารู้สึกว่า เราอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ลำบาก
เรื่องนี้ มันทำให้ อิฉัน นึกถึง เรื่องการตัดสินใจ
ที่จะ ไม่เดินเลาะสนามหญ้า
ที่อิฉัน เคย แพล่ม ไว้ ก่อนหน้านี้จัง
น่าขำนะ ทำไม การเดินเลาะสนามหญ้า
ที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ได้แบบชิล ๆ
มันกับทำให้ อิฉัน รู้สึกว่า
มันเป็น เรื่องลำบากมากมาย ที่จะกระทำ
ทว่า การเสียเวลาเดินอ้อมโลก
บนพื้นซีเมนต์ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ
เพียงเพื่อ จะเลี่ยงการเหยียบมดเหยียบแมง
มันกลับเป็นอะไรที่ อิฉัน รู้สึก ลั้ลลา ที่จะทำ นะ
พูดแล้ว ก็นึกถึงคำพูด
ที่ป๋าขันธ์ เคยสอน อิฉันขึ้นมา ตะหงิด ๆ นะ
คำว่า ปกติ มันต้องคู่กับ สุข ก็กลายเป็น ปกติสุข
พอจิตใจเป็น ปกติสุข เห็นสัตว์ก็ไม่ได้อยากไปฆ่าเขา
เห็นทรัพย์ของคนอื่นก็ไม่อยากได้
ไม่อยากไปโกหกปิดบังอะไรกับใคร
เห็นลูกเมียคนอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกกำหนัด
เห็นสุรายาเมา ก็ไม่ได้อยากไปกินให้เมามาย
ทีนี้แล้วการแสดงออกมันก็ ออกมาภายนอก งดงาม
เพราะมีสติสำรวม ระวัง ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน
จะหัวเราะ ร้องไห้ โมโห โกรธา มันก็ออกด้วยความพอดี ตามเหตุปัจจัย
ถ้ายังละกิเลสได้ไม่หมด ก็มีคุณธรรมคอยระงับไม่ให้กิเลสแสดงตัวมากเกินไป
และก็ นึกถึง คำพูดที่ อิตา มหาวัฏ บอกไว้นะ ว่า
กฎหมายอ่อนโยนสำหรับหรับผู้ประพฤติดี
เข้มแข็ง ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ศรัทธาเชื่อฟัง
รุนแรงป่าเถื่อนสำหรับผู้ละเมิด
เฮ้ออ ไม่รู้สินะ ใน มุมมอง ของอิฉัน แล้ว
ศีล ก็เหมือนกับ กฏหมาย นั่นแหล่ะ
เพียงแต่ กฏหมาย มันถูกสร้างขึ้นมา
เพื่อ ลด การเกิด ปฏิฆะ ระหว่าง คน
เพื่อ ให้เกิด ความเป็นปกติ ในโลกแห่ง โลกียะ เท่านั้น
ทว่า ในส่วนของศีล มันละเอียด และ ลุ่มลึกกว่านั้น มากนะ
เพราะ นอกจาก ศีลมันจะ ช่วยลดการ เกิด ปฏิฆะ
อันเกิดเนื่องมาจาก การที่เรา ไป เบียดเบียน
ล่วงล้ำ แล ละเมิด ในสิทธิ( โดยสมมุติ ) ของชีวิต อื่น แล้ว
ศีล ยัง ทำให้เรา เห็นรากเหง้า ของการการะทำ
อันจะ ช่วยให้เราได้ ขัดเกลา กิเลส ตัณหา และ อัตตา
ที่ตกตะกอนนอนเนื่อง ในอนุสัย
เพื่อ เปลี่ยน โคตรภู ได้ด้วยว่ะ
ซึ่งตอนนี้ อินู๋ คิตตี้ มันก็ กะลัง พยามที่จะ
ปฏืบัติการ มิซชั่น อิมพอสสิเบิล
คิดจะเปลี่ยนโคตรภู ให้ ไอ้เจ้า การ์ฟิลด์ อยู่ เหมือนกัน ว่ะ
(นี่ ก็ไม่รู้ มันจะทำ สำเร็จไหม หุหุ )
-
เออ จิงดิ มีคนเข้าไปบ่นให้ฟัง ที่ บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน
เกี่ยวกับ เรื่อง ศีล 5 ก๊ะ การแอบอ่าน หนังสือ ใน บุ๊ค สโตร์ ด้วย อ่ะ
มัน บอกว่า
(http://www.absurdityisnothing.net/wp-content/uploads/2011/06/orangutan-dog-friendship-5.jpg)
ชวนพีนู๋บีคุยนะ พี่เคยเข้าไปร้านหนังสือ
แล้วอ่านหนังสือโดยไม่ซื่อหรือเปล่าพี่นู่บีว่า
เรา อ่านแล้วจำเอาโดยไม่ซื่อนี้ผิดใหม เอาละซิ
คราวหน้าถ้าไม่ซื้อหนังสือเขาห้ามเปิดอ่านน่า
เดียวชาวเน็ตเขาปวดหัวหาคำตอบให้ตัวเองอีก
เหอ อะไรไม่รู้เรื่อง อีกและไปก่อนนะ
ก็แค่รูปยึดเอาเป็นสัญญาของใครของเรา
ตามอัตถยาสัยแล้วกัน ไม่รู้เขียนถูกหรื่อเป่ลา
ป ปลิง
ถ้าเพื่อนซื้อหนังสือแล้วเรายืมเพื่อนอ่าน
เราจะผิดใม๊ ถ้าเราความจำดี
นี้ หนักเลยเอาความคิดคนอื่นมาเป็นของเรา
โดย: ก็แค่รูป IP: 49.48.150.213 วันที่: 19 กรกฎาคม 2555 เวลา:18:37:17 น.
อืม...ไหน ๆ อิฉัน ก็กำลังโพสกระทู้
เกี่ยวกับ ศีล 5 ท้าอธรรม อยู่แระ
เก๊าะเรย แวะเอา คำตอบพวกนี้ มาแปะ ไว้
ใหมันเข้ามาอ่าน ในกาทู้นี้ เอาเองก็แระกัล
( เรทติ้ง กาทู้ อิฉันจาได้ วิ่ง ๆ 5555 )
เอาล่ะ คำถามแรก
ชวนพีนู๋บีคุยนะ พี่เคยเข้าไปร้านหนังสือ
แล้วอ่านหนังสือโดยไม่ซื่อหรือเปล่าพี่นู่บีว่า
เราอ่านแล้วจำเอาโดยไม่ซื่อนี้ผิดใหม
เอาละซิ คราวหน้าถ้าไม่ซื้อหนังสือเขาห้ามเปิดอ่านน่า
อิอิ เคยสิจ๊ะ ทำไมจะไม่เคยล่ะ
สมัยยังละอ่อน ทำบ่อยจะตายไป
เฮ้ยย นี่ ๆ รู้แล้ว เหยียบไว้เลยนะ
พี่เคยเข้าไปแอ๊บเนียน ยืน อ่าน เอ๊ย ยืน เลือกการ์ตูน
ในร้านเช่าหนังสือ ทีละเป็น หลาย ชม.
จน เจ้าของร้าน มันแอบค้อน เลยมั้ง 5555
เผลอ ๆ บางทีก็แอบลอก กลอนเพราะ ๆ
ใน การ์ดอวยพร ที่เขาวางขายในร้านด้วย
สมัยเรียนมหาลัย นี่ ก็เป็นซีร็อกหนังสือเป็นเล่ม ๆ ด้วยนะ
แต่เดี๋ยวนี้ พี่ เลิกแล้วค่ะ
เพราะ พี่นึกครึ้ม เลยว่าจะ บำเพ็ญเพียร แบบ กระรอกโพธิสัตว์ว่ะ
และ เนื่องจาก พี่ คิดว่า ตัวเอง สวย แจ่ม เจ๋ง
กว่า อิพวกลูกกระรอก อ่ะ เรย กะว่า
จะ ไม่ บำเพ็ญเพียร แบบบ้าน ๆ ธรรมดา ๆ หรอก นะ
แต่ พี่ว่าจะ บำเพ็ญเพียร สไตล์ สัมมาวายามะ
โดยมี สัมมัปปธาน 4 เป็นที่ยึดเหนี่ยว ว่ะ
( ก็ว่าจะทำ เท่าที่ อิการ์ฟิลด์ มันจะอนุยาด ให้ทำ อ่ะนะ อิอิ )
ดังนั้น ความระยำ อะไร ที่พี่ทำ
แล้ว รู้สึกว่า มันขัดกับ หลักสัมมัปปทาน 4
พี่ ก็พร้อมที่จะ ลด ละ เลิก ว่ะ
( เท่าที่พอจะกล้อมแกล้ม ทำได้ โดยไม่ลำบากใจว่ะ )
เออล่ะ เพื่อไม่ให้ ชาวเน็ตเขาปวดหัวหาคำตอบให้ตัวเองอีก
พี่ จะ ยก เคส เรื่องการแอบอ่านหนังสือ ในร้าน
มาถกเป็น กรณี ศึกษา ให้เป็นทาน
กับคุณน้องก็แล้วกันนะจ๊ะ ทูนหัววววววว
การจะยืนอ่านหนังสือ ในร้าน นั้น
ก่อนอื่น ต้อง สำรวจดูก่อน ว่า
เจ้าของร้านมัน เขี้ยว ไหม
เอ๊ย ไม่ใช่ พี่หมายความว่า
การกระทำนั้น จะนำมา ซึ่ง ปฏิฆะ
ระหว่าง เรา กับ เจ้าของร้านขายหนังสือ ไหม ?
ถ้าร้านขายหนังสือ บางร้าน
เขาไม่อยากให้เราอ่าน
ถึงขนาด ไปสรรหาเอา ถุงพลาสติกมาห่อ
เราก็อย่าเสือกหน้าด้าน
แอบฉีกถุง ควักหนังสือมาอ่าน
หรือ ถึง เขาไม่ห่อถุงพลาสติกไว้
แต่ มายืนทำตาขวาง ๆ ปัดโน่นปัดนี่ ใกล้ ๆเรา
ก็ อย่าเข้าไปอ่านในร้านนั้น
ให้มันเกิด ปฏิฆะ ต่อกันเรยว่ะ
แต่จะว่าไปเดี๋ยวนี้ ร้านหนังสือ บางร้าน
เขาก็ใจป้ำ จัดมุมเล็ก ๆให้ บรรดาหนอนหนังสือ
มานั่งชิล ๆ จิบกาแฟ แล้วกระดิกตรีน
นอนอ่านหนังสือ ในร้านได้อยู่แล้วนิ
เรื่องนี้เมันก็คงคล้าย ๆ กับ การทำมาร์เกตติ้ง
เวลาที่ อิพวกแม่ค้าขายขนม
มันเอา ขนมชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถาดเอาไว้
เพื่อให้ ลูกค้า ลองชิม นั่นแหล่ะ กินเสร็จ พอใจก็ซื้อ
ถ้า ไม่พอใจ ไม่ซื้อ ไม่หา ก็ไม่ว่าอะไร
ไม่งั้นก็เหมือน การลองใส่เสื้อที่ขายใน บูติก อ่ะ
เฮ้ออ คุณน้องนี่ ถ้าจะไม่ใช่ หนอนหนังสือ ตัวแม่ แฮะ
จะบอกอะไร ให้นะ คนที่เขาเป็นหนอนหนังสือ
ที่อ่านหนังสือ มาจนทะลุ อ่ะน่ะ
ถ้าเขาพอใจหนังสือเล่มไหน
ต่อให้ อ่านจบไป สามรอบแปดรอบ
เขาก็พร้อมจะ สอย หนังสือเล่มนั้น
มาสะสมไว้ในคอลเลคชั่นส่วนตัวจร้าา
เพื่อ เสพกำซาบให้ชื่นทรวง ว่ะ
หนอนหนังสือไฮโซ เขาไม่นิยม ไปยืนหัวโด่
แอบ ๆ ซ่อนๆ ลักอ่านขโมยอ่าน หรอกนะ
ทำแบบนั้น มันไม่ได้ ฟิลลิ่ง ในการอ่าน อ่า 555
แล้วถ้า เจอหนังสือ สักเล่มอ่ะนะ
แค่ เขาอ่านเรื่องย่อที่ปกหลัง + ชื่อคนอ่าน
เขาก็ ตอบได้แระ ว่า ตรูจะซื้อหนังสือ เล่มนั้นไหม
ดังนั้น สรุป ก็คือว่า ถ้า เป็น หนอนหนังสือ
ที่มีภูมิกึ๋นและ ปฏิภาณไหวพริบ ที่ดีพอ
เขาจะ ฉลาดเลือก เข้าร้านหนังสือ ได้ถูกทีถูกทาง
ปฏิฆะระหว่าง ลูกค้า กับ เจ้าของร้านตรงนี้
มันก็จะ ไม่มี อยู่แล้ว อ่ะจร้าาาาา
แต่ ปัญหา เรื่อง ปฏิฆะ ระหว่างกัน นี้
มันก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บ ๆ สำหรับนักปฏิบัติตัวแม่ว่ะ
ประเด็น ที่พึงจะสังวร สำรวม ระวัง มากกว่านั้น
ก็คือ การเกิด อกุศลกรรม ในใจเรา มากกว่า นะ
เมื่อไรก็ตามที่ จิตเรา มันตั้งใจมั่น คิดที่จะ เอาแต่ได้
เมื่อนั้น ศีล ข้อ 2 มันก็มัวหมองแล้ว
ยกตัวอย่างนะ
ถ้า คุณ หยิบหนังสือที่ขาย ในร้านมาอ่านผ่าน ๆ
เพราะต้องการ เอาข้อมูลที่ได้ มาประกอบการตัดสินใจ
ว่า หนังสือเล่มนี้ สมควรซื้อหามาเชยชม หรือ ไม่
อันนี้ เค้าเรียก ชิมลางเป็น ออร์เดิร์ฟ
ก่อนตัดสินใจจะเลือกซื้อมาเปิบ
คิดว่า เรื่องนี้ ถ้าเจ้าของร้าน โอเค
ก็จะ ไม่เกิด ปฏิฆะ ระหว่างกัน แระ
จึงน่าจะ เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
ทั้งทางโลก และ ทางธรรม นะ
แต่ ถ้า เมื่อไร คุณ มีจิตตั้งใจแต่แรกเริ่ม แล้ว
ว่า กรูจะมา นั่งอ่าน หนังสือฟรี
สไตล์ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ ว่ะ ชะเอิงเอย ฯลฯ
อีแบ่บนี้ ต่อให้ คุณไปนั่งอ่านหนังสือ
ในร้านที่เขา เต็มใจให้ลูกค้า
มานั่งอ่านนอนอ่านหนังสือในร้านได้
มันก็ เริ่ม มีกลิ่น ทะแม้ง ๆ แล้วนะ
เรียกว่า ถึงจะ ชอบด้วยกฏหมาย
แต่ก็ไม่ถูกต้องทางธรรม อ่ะ
แม้ กฏหมายจะเอาผิดอะไรกับคุณไม่ได้
แต่กฏแห่งกรรม มันพร้อมที่จะเอาคืนเสมอนะ
เพราะ คุณได้สร้าง อกุศลกรรม ในจิต
บ่มเพาะนิสัย ชอบคิดเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เอาไว้ ในจิตแล้ว
และ ถ้าทำจนเป็น อาจิณกรรม บ่อย ๆ
มันก็จะ สะสมเป็นนิสัย และ ติดไปเป็นสันดาน
แล้วกลายเป็น อนุสัย เป็น โคตรภู แบบ ข้ามภพข้ามชาติ
นั่นแหล่ะ ความสยองขวัญ อันเป็นบทลงโทษ
ของ กฏแห่งกรรมของจริง ล่ะ
เอาล่ะ คุณพี่ ฝอยมาถึงตรงนี้ แล้ว
หวังว่า คุณน้อง คงจะเก็ท และ ตอบตัวเองได้ว่า
ถ้าเพื่อนซื้อหนังสือแล้วเรายืมเพื่อนอ่าน เราจะผิดใม๊
ถ้าเราความจำดีนี้ หนักเลย
เอาความคิดคนอื่นมาเป็นของเรา นี่มันผิดไหม ?
ลองดูที่ รากเหง้าของ การกระทำ
อย่างซื่อสัตย์ต่ออัตตาตัวเอง
ก็จะ รู้ซึ้งถึงก้นบึ้ง อ่ะจร้าาาาาาาาา
(http://lh5.ggpht.com/_2MdJ6BRhzjE/S9OtDdb4RkI/AAAAAAAAAZE/ZL9S785zGVw/MonkeyToilet.jpg)
-
อืม...ถ้าคนเรา ถ้าทำไป โดยไม่รู้ ก็ย่อม ไม่ผิด
แต่ ถ้า เรา รู้แล้ว จะทำยังไง นี่สิ ที่มันจะเป็น ตัวชี้วัด
ความเป็น นักปฏิบัติตัวพ่อตัวแม่
พี่เชื่อว่ะ ว่า ศีลน่ะ ถ้า ถือให้มัน ถูกที่ ถูกท่า และ ถูกทาง
มันก็จะมีกลไกแบบออโต้ มากระตุกหาง คอยเตือนเรา
เวลาที่ เรากำลังจะ ก้าวล่วงศีล นะ
แถม ครึ้ม ๆ มันยังจะ หาทางหนีทีไล่
ที่ทำให้เรามีทางออก ที่ หมดจดงดงาม
และ ปลอดโปร่งโล่งฉะบาย ได้เสมอจร้าาา
จะเล่า นิทานก่อนนอนให้ ฟัง เอาป่ะ
กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไร
มีเด็กญิ๋งคนหนึ่ง ชื่อ นู๋ส้ม เธอเป็น หนอนหนังสือตัวเอ้
วันหนึ่ง เธอ สมคบคิด กับ น้องชาย
ร่วมกัน ไปเช่าหนังสือการ์ตูนที่ ร้านหนังสือเช่า
แล้วแกล้ง ทำเป็นหลงลืม ไม่เอาไปคืน
( มันก็คือ ขโมย นั่นแหล่ะ แหะ ๆ )
แถม บางครั้ง เวลาไปนั่งอ่านนิตยสาร ที่ห้องสมุด
เจอ รูปตุ๊กตุ่น ตุ๊กตาสวย พร้อม ชุดสวย ๆ
เธอก็แอบฉีกหนังสือเขา เอารูปสวย ๆ พวกนั้น
มาตัดไปเล่น เป็น ตุ๊กตากระดาษ
( ก็ทำเลียนแบบ อิพวกรุ่นพี่
แก๊งค์ที่ เคยชวนเธอไปขโมย ปากกา นั่นแหล่ะ )
ครั้นพอโตขึ้น พอเธอนึกครึ้ม หันมาถือศีล 5
จู่ ๆ วันหนึ่ง เรื่องราวในอดีต เรื่องนี้
มันก็ ดันหวนกลับมา ให้ระลึกถึง แว้บ ๆ ว่ะ
หลังจากที่เธอ หลงลืม มันไปเกือบ 20 ปีได้มั้ง
เฮ้ออ อุส่า คิดว่า เคลียร์ หนี้เวรหนี้กรรม
เกี่ยวกับ ศีลข้อ2 ในเรื่องพรรณนี้
จนหมดสิ้นไปแล้วเชียวน้าาา
แต่ ขยะที่เผลอเอาไปซุกใต้พรม
ก็ดันเสือกโผล่มาอี๊ก ทำไงได้ล่ะทีนี้
อินู๋ส้มมันก็เลยต้องตามไปชดใช้กรรม
แบบ ทบต้นทบดอก น่ะสิคะ
เฮ้ออ ไอ้หนังสือการ์ตูน แค่ เล่มสองเล่ม
ที่เคย ขอลืม มาจากร้านเช่านั่น
อินู๋มันก็โล๊ะไปบริจาคห้องสมุด หมดแล้ว
ส่วน ไอ้ การ์ตูนกระดาษ ที่ฉีกมาจากนิตยสาร น่ะหรือ
มัน ก็ เปื่อยเป็นปุ๋ย อยู่หลุมไหนแล้วก็ไม่ทราบ
รู้ไหม หลังจากที่ สแกนกรรม
จนระลึกรู้ ความระย้ำ ในอดีต ของตน
อินู๋ส้ม มัน แก้กรรม ให้ตัวเอง ยังไง
มันเขียน จม.สารภาพความผิด
เอาไปสอดไว้ที่ประตูร้านการ์ตูนนั่น
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ
ชดใช้ค่าเสียหายจ่ายค่า การ์ตูนที่หลอยมา
เป็นจำนวนเงิน เกิน 10 เท่า ของราคาหน้าปก
ส่วน ในเคส ฉีกนิตยสาร ในห้องสมุด นี่ก็เหมือนกัน
นี่ยังนึกขำอยู่เลย ไม่รู้ว่า ถ้าอิเจ้าของร้าน นั่น
มันอ่าน จม. นั่น แล้วจะทำหน้ายังไง
และก็ไม่รู้ เหมือนกันว่า ปฏิฆะในใจระหว่างกัน
จะ ได้รับการอโหสิกรรม หรือ ไม่
แต่ที่รู้ สึกแน่ ๆ คือ รู้สึก ว่าใจของเรา
มัน หมดจด มากขึ้นนะ
เพราะ ว่า เราได้พยามรับผิดชอบ
กับความระยำที่ตัวเองเคยสร้างไว้ อย่าง เต็มที่ แล้ว
(http://www.pilenz.com/blog/wp-content/uploads/2007/03/seri150.jpg)
ที่มา :
http://board.palungjit.com/f181/นี่-ๆ-เหล่านักปฏิบัติจ๋าาา-ใครบ้างคร้าาา-ที่ยังถือศีล-5-อยู่มั่ง-ขอเสียงหน่อยจร้าาา-349227.html#post6489764 (http://board.palungjit.com/f181/นี่-ๆ-เหล่านักปฏิบัติจ๋าาา-ใครบ้างคร้าาา-ที่ยังถือศีล-5-อยู่มั่ง-ขอเสียงหน่อยจร้าาา-349227.html#post6489764)