ใต้ร่มธรรม

อิ่มกาย อิ่มใจ => สุขภาพกับชีวิต => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 09:29:50 am

หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 09:29:50 am
108 เคล็ดกิน

รวบรวมสาระ  เพื่อประโยชน์ของสุขภาพ


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:07:53 pm
สารอาหารบำรุงเส้นผม 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 กุมภาพันธ์ 2553 15:39 น.

สำหรับสาวๆ แทบทุกคนแล้ว นอกจากหน้าตาต้องสดใส เสื้อผ้าต้องสวย เรื่องของเส้นผมและหนังศีรษะก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความงามที่หลายๆคนให้ความสำคัญ เพราะเส้นผมที่ดูมีสุขภาพดีก็จะทำให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นไปด้วย

"108 เคล็ดกิน" มีสารอาหารที่เส้นผมต้องการมาฝากกัน โดยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเส้นผมนั้นก็คือซิลิคอน ไอโอดีน กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส โดยในเมล็ดฟักทองและถั่วต่างๆ นั้นเป็นแหล่งรวมของสังกะสี ส่วนแตงกวาและข้าวโอ๊ต ก็มีซิลิกาที่เส้นผมต้องการ สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ งา และเมล็ดทานตะวัน ก็มีธาตุเหล็กอยู่มาก ต้องไม่ลืมกินปลาซึ่งเป็นแหล่งรวมโปรตีนและกรดโอเมก้า 3 ส่วนข้าวกล้องและธัญพืช ก็มีทั้งวิตามินบี ส่วนผักใบเขียวก็มีกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้สวยงาม

นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาผมร่วงก็เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล ใครที่มีปัญหาผมร่วงจะลองใช้น้ำกะทิช่วยดูก็ได้ เพราะน้ำกะทินั้นอุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย แค่ใช้หัวกะทิมาโชลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมตามปกติ
 
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:08:56 pm
"ผักกูด" เฟิร์นกินได้ 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 มกราคม 2553 18:09 น.

"ผักกูด" แม้เป็นผัก แต่ก็จัดอยู่ในพืชประเภทเฟิร์น ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะอย่างเช่นริมลำธาร หรือตามชายคลอง ซึ่งผักกูดสามารถเป็นตัวบ่งชี้สภาพแวดล้อมได้ เพราะหากสภาพแวดล้อมไม่ดี ผักกูดก็จะไม่ขึ้น

ผักกูดสามารถนำมาประกอบอาหารหลายอย่าง โดยเราจะนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาทำเป็นอาหาร แถมเมนูจากผักกูดก็ยังอร่อยถูกปากหลายๆ คนเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย แกงปลากับผักกูด จะกินสดๆ หรือลวกจิ้มกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรกินสดบ่อยนักเพราะจะมีสารออกซาเลตสูง โดยสารนี้จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญๆ อีกทั้งหากสะสมสารนี้ไปในร่างกายมากๆ ก็จะทำให้ออกซาเลตไปตกผลึกสะสมในไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เป็นนิ่ว จึงควรทำผักกูดให้สุกก่อนกิน

สารอาหารในผักกูดนั้นก็มีมากมาย โดยมีสารเบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็กสูง นอกจากนั้นก็ยังให้แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินซี ไนอาซีน ผักกูดยังเป็นผักพื้นบ้านของไทยที่มีสรรพคุณทางยา โดยจะช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับปัสสาวะ
 
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:10:00 pm
"มันฝรั่ง" อาหารเก่าแก่ของชาวโลก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
19 มกราคม 2553 14:55 น.

"มันฝรั่ง" เป็นพืชชนิดหัวใต้ดินที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์มายาวนานตั้งแต่ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่าต้นมันฝรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าอเมริกาใต้ และเป็นสารอาหารคาร์โบไฮเดรตหลักที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปัจจุบัน

แม้จะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเทียบกับข้าวแล้วในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มันฝรั่งจะให้แคลอรี่ในปริมาณที่น้อยกว่า นอกจากนั้นมันฝรั่งยังอุดมไปด้วยกากใย มีธาตุโปแทสเซียมสูง วิตามินซีสูง และมีธาตุเหล็กในปริมาณปานกลาง ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีเนื่องจากมีวิตามินซีเป็นตัวช่วยในการดูดซึม

มันฝรั่งยังช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ แก้อาการท้องผูก ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ช่วยในการห้ามเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันเส้นเลือดใหญ่แข็งตัว โพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการตะคริว อาการเจ็บปวดช้ำ ปวดประสาท และไขข้ออักเสบ นอกจากนั้น น้ำมันฝรั่งคั้นสดๆ ยังช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็กๆ วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน อาจเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติด้วยก็ได้
 
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:10:56 pm
หวานชุ่มคอกับ "มะขามเทศ" 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 มกราคม 2553 17:11 น.

มะขามนั้นถือเป็นต้นไม้ท้องถิ่นของบ้านเรา มีปลูกไปทั่วทั้งประเทศ และยังมีมะขามหลายชนิด ทั้งมะขามหวานกินอร่อยช่วยขับถ่าย มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันหวัด และสำหรับ "มะขามเทศ" ก็เป็นมะขามอีกหนึ่งชนิดที่กินอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน

"มะขามเทศ" นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ส่วนที่เรานำมากินกันนั้นก็คือผลของมัน ที่อยู่ในฝักโค้งเป็นวงกลม รสชาติของมะขามเทศจะออกหวานมัน ผสมรสฝาดนิดๆ กินอร่อยชุ่มคอ และยังมีประโยชน์ตรงที่เป็นผลไม้ไทยที่มีวิตามินอีสูงเป็นอันดับสองรองจากขนุนหนัง และให้วิตามินซีสูงเป็นอันดับสี่ รองจากฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด และมะขามป้อม ทั้งยังมีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ทั้งยังมีเส้นใยสูง ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ไม่เป็นโรคท้องผูกอีกด้วย

นอกจากนั้นแล้ว มะขามเทศยังถือเป็นพืชสมุนไพร คนโบราณมักนำเอาเปลือกมาต้มกับเกลือป่นแก้โรคปากเปื่อย ส่วนเปลือกต้นใช้ต้มน้ำเคี่ยวรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง ใช้อมแก้ปวดฟัน เปลือกใช้ทำยาย้อมผม และยาสระผมได้อีกด้วย
 
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:12:06 pm
เสริมสร้างสมองของเด็กๆด้วยธาตุเหล็กในผัก 5 ชนิด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
5 มกราคม 2553 16:50 น.

หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของเด็กๆ ได้เฮกันบ้าง เพราะวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมนั้นถือเป็น "วันเด็ก" ที่เด็กๆทุกคนจะได้ทำกิจกรรมสนุกๆมากมาย "108 เคล็ดกิน" ก็เลยนำเอาอาหารที่จะช่วยให้เด็กๆ แข็งแรงสมวัย มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เต็มที่มาฝากกัน นั่นก็คือสารอาหารสำคัญอย่าง "ธาตุเหล็ก" นั่นเอง

ธาตุเหล็กนั้นเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะเกิดภาวะโลหิตจาง และทำให้ความสามารถของเลือดในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงยังเนื้อเยื่อต่างๆลดประสิทธิภาพลง และสำหรับเด็กๆแล้ว ธาตุเหล็กถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาร่างกายและสมอง เพราะการขาดธาตุเหล็กจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ทำให้มีสมาธิในการเรียนต่ำ ความจำไม่ดี แถมยังมีอาการเหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ง่วงเหงาหาวนอน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และไม่มีกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ

และสำหรับคุณแม่ที่อยากจะให้ลูกๆได้รับธาตุเหล็กเต็มที่ "108 เคล็ดกิน" ก็มีผักพื้นบ้านที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับมาฝากกัน ได้แก่ ผักกูด ให้ธาตุเหล็ก 36.3 มิลลิกรัม/100 กรัม ถั่วฟักยาว ให้ธาตุเหล็ก 26 มิลลิกรัม/100 กรัม ผักแว่น ให้ธาตุเหล็ก 25.2 มิลลิกรัม/100 กรัม เห็ดฟาง ให้ธาตุเหล็ก 22.2 มิลลิกรัม/100 กรัม และพริกหวาน ให้ธาตุเหล็ก 17.2 มิลลิกรัม/100 กรัม คุณแม่ลองนำผักเหล่านี้มาทำอาหารจานอร่อยให้คุณลูกกิน ก็จะได้รับธาตุเหล็กกันถ้วนหน้า อ้อ...และหากอยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:13:00 pm
ดื่มสารต้านอนุมูลอิสระ ดื่ม"โกโก้"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
29 ธันวาคม 2552 17:09 น.

สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เป็นสารที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะสารตัวนี้รู้จักกันดีว่าเป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย

ส่วนมากแล้วสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะพบมากในอาหารประเภทผักผลไม้ แต่ในตอนนี้มีการศึกษาแล้วว่า "โกโก้" ก็เป็นเครื่องดื่มอย่างหนึ่งที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วยเช่นกัน และมีอยู่มากเสียด้วย

การวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

โกโก้นั้นถูกนำไปผลิตเป็นอาหารหลายๆ อย่าง เช่น ช็อกโกแลต ซึ่งก็ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ หากจะให้ดีก็ควรจะดื่มโกโก้โดยตรงจะดีกว่าการกินช็อคโกแลต เพราะในช็อกโกแลตแท่งขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2010, 06:13:57 pm
"ไก่งวง" พระเอกบนโต๊ะอาหารวันคริสต์มาส
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
22 ธันวาคม 2552 14:48 น.

"เทศกาลคริสต์มาส" ถือเป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลก เพราะถือเป็นวันประสูติของพระเยซู ซึ่งถือเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ อีกทั้งยังเป็นวันที่ครอบครัวญาติพี่น้องจะได้มาเจอกัน ในบ้านจะตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสประดับไฟไว้อย่างงดงาม มีการแลกของขวัญกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะได้กินอาหารมื้อใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกด้วย

อาหารที่มักจะกินกันในเทศกาลคริสต์มาสนั้นจะเป็นอาหารพิเศษที่ไม่ได้กินกันเป็นปกติทุกวัน โดยปกติแล้วมักจะมี "ไก่งวง" เป็นพระเอกในโต๊ะอาหาร สำหรับที่ประเทศอังกฤษนั้นมักจะกินไก่งวงคริสต์มาส ซึ่งเป็นไก่งวงตัวโตอบแล้วราดด้วยซอสเกรวี่ และมีของหวานเป็นพุดดิ้งคริสต์มาส มีลักษณะคล้ายเค้กก้อนกลมๆ สีน้ำตาล มีส่วนผสมของผลไม้แห้งจำพวกลูกเกด แอปเปิ้ล และราดด้วยบรั่นดี

ส่วนชาวเยอรมันก็มักจะมีจานเด็ดวันคริสต์มาสเป็นห่านย่างกรอบแบบโบราณ ยัดไส้ด้วยผลไม้และผัก เช่น ลูกเกด เก๋าลัด และมีมันฝรั่งบด หัวผักกาดแดง รวมทั้งแอปเปิ้ลเป็นเครื่องเคียง ชาวอิตาลีนอกจากจะกินไก่งวงแล้วก็ยังนิยมกินปลาในวันคริสต์มาสกันด้วย และชาวอเมริกัน ก็จะมีเครื่องดื่มแก้หนาวในช่วงคริสต์มาสอย่าง เอ๊กน็อก (Egg-Nog) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นครีม มีน้ำตาล นมสด และไข่ไก่ นำมาปั่นด้วยเครื่องปั่น จนทั่วและเหยาะด้วยเหล้ารัม หรือจะเป็นวิสกี้ หรือบรั่นดีก็ได้ตามใจชอบ
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 05, 2010, 09:52:20 pm
:47: มาแล้วสูตรเด็ดเคล็ดลับ เจ้าเดิมพี่หนุ่มเซียนกุ๊ก อิอิ มาเขียนแทรกขอบครับครับพี่ ^^ สู้ๆครับผม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:15:01 pm
"แกงกระหรี่" มีดีช่วยป้องกันความจำเสื่อม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 ธันวาคม 2552 16:39 น.
 

"แกงกะหรี่" อาหารจานอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ถือเป็นของโปรดของ "108 เคล็ดกิน" เวลากินได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะกินกับโรตีแบบอาหารอินเดียซึ่งเป็นต้นฉบับของแกงกะหรี่ก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ เพิ่งรู้ว่านอกจากความอร่อยแล้ว แกงกะหรี่ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยดุค ในนอร์ธ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าสารเคอร์คูมินที่อยู่ในขมิ้น ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่อยู่ในส่วนผสมหลักของแกงกะหรี่นั้น มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของหินปูนโปรตีนที่ชื่อแอมมิลอยด์ ในสมองที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของความจำเสื่อม และทางสมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาสนับสนุนผลทางการวิจัยนี้ โดยชี้ว่าชุมชนชาวอินเดียที่รับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ มีอัตราการเกิดของโรคความจำเสื่อมอย่างน่าประหลาดใจ

นอกจากนั้น ก็ยังมีงานวิจัยจากศูนย์ เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าสารเคอร์คิวมินตัวเดียวกันนี้ยังสามารถช่วยหยุดยั้งมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ โดยสถาบันได้ทดลองกับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม พบว่าหนูที่ได้รับสารเคอร์คิวมินเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้ก้อนเนื้อเล็กลงเรื่อยๆได้อีกด้วย
 

"มะกรูด" สมุนไพรคู่บ้าน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ธันวาคม 2552 14:32 น.
 
 
 
 
"มะกรูด" เป็นสมุนไพรคู่บ้านที่หลายคนคงรู้จักและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะว่ามะกรูดนั้นอยู่คู่กับคนไทยมานาน และเราใช้มะกรูดในการปรุงอาหาร ใช้ทำยารักษาโรค และประโยชน์อีกสารพัด มะกรูดถือได้ว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน โดยจะไว้ปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เรามักใช้มะกรูดเป็นส่วนประกอบในอาหาร โดยในผิวและใบมะกรูดนั้น จะมีน้ำมันหอมระเหย เราจึงมักใช้ผิวมะกรูดเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความหอมในเครื่องแกงหลายชนิด ส่วนใบมะกรูดนั้นก็มีกลิ่นหอม ใช้แต่งกลิ่นในอาหารคาวหลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ส่วนน้ำมะกรูดใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยวและดับกลิ่นคาวปลา

พูดถึงประโยชน์สรรพคุณทางยา ในน้ำมะกรูด มีกรดซิตริกเป็นสารหลัก ซึ่งน้ำของมะกรูดนั้นสามารถแก้ปวดท้อง แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ไอช่วยละลายขับเสมหะ ฟอกเลือด ส่วนผิวผลสดและผลแห้งมีสรรพคุณแก้ลมหน้ามืด แก้วิงเวียน บำรุงหัวใจ ขับลมลำไส้ ขับระดู ใบใช้แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำใน มีสารต้านมะเร็งอีกด้วย ส่วนประโยชน์อย่างหนึ่งที่จะลืมกันไปไม่ได้เลยก็คือ สามารถนำเอามะกรูดมาสระผมเพื่อขจัดรังแคและทำให้ผมดกดำเงางามได้อีกด้วย
 
 

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:15:55 pm
"กระเจี๊ยบแดง-เขียว" กินก็ได้ ดื่มก็ดี
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2552 16:07 น.
 
 
 
 
หลายคนคงเคยได้ลองลิ้มรสน้ำกระเจี๊ยบ น้ำสมุนไพรสีแดงสด รสชื่นใจกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยทำความรู้จักกับ "กระเจี๊ยบ" กันอย่างจริงๆจังๆ โดยกระเจี๊ยบนั้นเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ปลูกกันทั่วไป แต่จะพบมากในภาคกลาง การบริโภคนั้นจะนำผลของมันมากิน โดยมีให้เลือกกินกันได้สองแบบ คือ "กระเจี๊ยบแดง" และ "กระเจี๊ยบเขียว"

สำหรับผลกระเจี๊ยบแดงนั้นมีลักษณะค่อนข้างกลม มีกลีบเลี้ยงหนาสีแดง เรามักจะนำผลแห้งใช้มาต้มทำน้ำกระเจี๊ยบ รสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ กัดเสมหะ แก้ไอ ช่วยย่อยอาหาร แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ช่วยขับปัสสวะ และยังสามารถลดไขมันในเลือด และสารสีแดงในผลกระเจี๊ยบนั้นก็ยังมีสาร anthocyanin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วย

ส่วนผลกระเจี๊ยบเขียวนั้น จะมีลักษณะยาวรีเป็นสีเขียว นิยมนำมาลวกกินกับน้ำพริก เมื่อเคี้ยวฝักกระเจี๊ยบเขียวแล้วจะรู้สึกลื่นๆในปาก เพราะฝักกระเจี๊ยบเขียวจะมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ที่ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เหมาะกับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง ช่วยระบาย และสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย
 

เลือกกินให้ถูกหลัก กลางกระแส"รักสุขภาพ"

˹ѧʗ;ԁ?좨҇ʴ͍?䅹젺 ?ú?ءÊ ʴ?ء?荧==



 
ชมรมโภชนวิทยา มหิดล พบคนไทยรักสุขภาพมากขึ้น พร้อมเปิดรับกระแสความคิดมุมมองกับ "อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?" โดยเฉพาะกลุ่มธัญญาหารยอดฮิต อาทิ งาดำ ถั่วเหลือง ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี มอลต์ เป็นต้น และยังหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีนมโคเพื่อเพิ่มแคลเซียม วิตามินและเกลือแร่สูง ส่งผลให้มีการนำมาแปรรูปหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น จึงแนะผู้บริโภคเลือกกินเลือกซื้ออย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้คุณค่าและประโยชน์อย่างแท้จริง

ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กระแสอาหารธรรมชาติมีมานานแล้วแต่จะเงียบหายไปเป็นบางช่วง เช่น การกินน้ำข้าวอาร์ซี โรยงาผสมในข้าว ดื่มน้ำข้าวกล้องงอก เป็นต้น จนปัจจุบันกระแสนี้ค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น เพราะคนไทยเริ่มใส่ใจตัวเองและมีปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งอาหารธรรมชาติหรือธัญญาหารที่กำลังมาแรงในเมืองไทย ได้แก่ ข้าวกล้อง งาดำ ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต มอลต์ ลูกเดือย และจมูกข้าวสาลี เพราะธัญญาหารเหล่านี้เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งวิตามิน เอ บี 1 บี 2 บี 12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก โฟเลต ไอโอดีน และมีใยอาหารสูง หลายคนนำมาเติมในเมนูอาหารและเครื่องดื่ม แต่ส่วนใหญ่จะเลือกแบบแปรรูปสำเร็จเป็นเครื่องดื่ม และอาหารเสริมมากกว่า เพราะจากข้อมูลคนยุคใหม่จะไม่ทำอาหาร ทำให้เทรนด์ในอนาคตอาจมาควบคู่กับเทคโนโลยีการแปรรูปที่สูงขึ้น และหลากหลายมากยิ่งขึ้นซึ่งก็น่าจะกลายเป็นเทรนด์ฮิตได้อย่างแน่นอน

 


ด้วยวิวัฒนาการและการตลาดทำให้อาหารธรรมชาติมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบเมล็ดแห้งบรรจุห่อหรือแบบแบ่งขายตามท้องตลาด ตลอดจนเครื่องดื่มธัญญาหารเพื่อสุขภาพแบบสำเร็จหรือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการอาหารในบางบริษัทก้าวหน้าถึงขั้นนำธัญญาหารมาบดละเอียดจนเนียนเป็นน้ำทำให้มีใยอาหาร แต่ปริมาณใยอาหารจะเพียงพอหรือไม่ต้องดูฉลากควบคู่กันไป หากเพียงพอ ก็ดื่มแทนการกินแบบเมล็ดได้ นอกจากนี้เครื่องดื่มที่เลือกตั้งมีไขมันต่ำและหวานน้อย ตัวอย่างเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยม เช่น เครื่องดื่มมอลต์ เครื่องดื่มผสมธัญญาหารหลากชนิด น้ำเต้าหู้ เป็นต้น ดังนั้น การอ่านรายละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ ส่วนกรณีเมล็ดแห้งต้องดูบรรจุภัณฑ์ วันเดือนปีผลิต วันหมดอายุ เครื่องหมายมาตรฐานอาหาร บริษัทที่ผลิตต้องน่าเชื่อถือ และไม่ควรซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณมากๆ เพราะจะทำให้ธัญญาหารต่างๆ ลดคุณค่าลง หรืออาจเกิดเชื้อราได้

"อย่างไรก็ตามกระแสนิยมก็ยังมีคนเชื่อแบบผิดๆ จึงไม่ควรตามกระแสมากเกินไป กินแบบพอดี ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ กินผักผลไม้มากขึ้น หันมากินธัญญาหารเพื่อเพิ่มเส้นใยให้ขับถ่ายง่ายและช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่งปกติร่างกายควรได้รับปริมาณใยอาหาร 20-25 กรัมต่อวัน หากมากเกินไปกากใยจะไปดูดสารอาหารอื่นๆ ดังนั้น เดินสายกลางตามหลักโภชนาการเป็นดีที่สุด" ผศ.ดร.เรวดี กล่าวเสริม

 


รศ.พ.ญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ และประธานโครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาหารธรรมชาติ คือ อาหารที่ได้รับการปลูกและเติบโตตามธรรมชาติไม่มีการเติมสารเคมีใดๆ หากพูดตามหลักโภชนาการจะต้องเป็นอาหารครบ 5 หมู่ ประกอบด้วย ข้าว แป้งขัดสีน้อย ธัญญาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ และไขมัน การนำมาประกอบอาหารจะต้องสุก สะอาด และสงวนคุณค่าทางโภชนาการ หากปรุงอาหารเองจะดีมากแต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาบวกอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมจึงเกิดจุดเปลี่ยน จากอาหารธรรมชาติมาสู่อาหารสำเร็จรูปตามร้านค้า หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีน้ำตาล เกลือและไขมันสูง ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่ชื่นชอบอาหารตามสื่อโฆษณาเป็นทุนเดิม ประกอบกับการถูกตามใจ และชอบนั่งดูทีวี หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดวัน ส่งผลให้โรคร้ายเข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน และไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หอบ ภูมิแพ้โรคข้อและกระดูก มะเร็ง เป็นต้น

"โครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย" จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้เด็กนักเรียนมีวินัย มีการเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ รักการออกกำลังกาย โดยได้สำรวจนักเรียนในโรงเรียนภาครัฐพบว่ามีเด็กอ้วนร้อยละ 20 ภาคเอกชนพบร้อยละ 25-30 ซึ่ง 2 ใน 3 ของเด็กอ้วนมีความดันโลหิตสูงกว่าเด็กปกติ และ 3 ใน 4 มีไขมันในเลือดสูง นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องใส่ใจตั้งแต่ในครอบครัว เริ่มจากพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและส่งเสริมการกินที่ถูกต้องให้แก่ลูก หันกลับมากินอาหารธรรมชาติอย่าง ข้าวกล้อง ผัก ปลา ส่งเสริมให้กินผลไม้และธัญญาหารแทนขนมกรุบกรอบ งดน้ำหวานให้เด็กดื่มน้ำเปล่า และนมโคที่ไม่หวานหรือไขมันต่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

รศ.พ.ญ.ชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเลือกซื้ออาหารธรรมชาติ ขนมและเครื่องดื่มแปรรูปต่างๆ "ยึด" หลัก 3 ป. ในการเลือกซื้อคือ ป.-ปลอดภัย กินแล้วไม่มีโทษต่อร่างกาย สะอาด ไม่มีสีฉูดฉาด บรรจุภัณฑ์มิดชิด ดูฉลาก และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่มีวัตถุกันเสีย และสารปนเปื้อนต่อสุขภาพ ป.-ประโยชน์ สอนให้เด็กรู้จักเปรียบเทียบคุณค่าอาหารทางโภชนาการ และ ป.-ประหยัด สอนให้เด็กรู้จักคิดก่อนซื้อ ว่าสิ่งใดคุ้มค่าเงินที่จ่ายหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพขึ้นกับดุลพินิจ คงต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ที่ได้รับและความคุ้มค่า"

˹ѧ
 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNakE0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB3T0E9PQ)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:16:43 pm
น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น

˹ѧ

น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น




 
อาการความจำเสื่อมมากับความชรา ในสหรัฐมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมราว 5 ล้านคนและคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านคนภายใน 40 ปีข้างหน้า แต่นักวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำบลูเบอร์รี่และน้ำองุ่นทำให้ความจำดีขึ้นได้ด้วยวิธีง่ายๆ

ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ รับประทานน้ำบลูเบอร์รี่คั้นสดทุกวัน วันละ 2 แก้วเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน พบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลบลูเบอร์รี่ดิบๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย

นอกจากนี้ ยังทดลองให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำองุ่นคั้นสดด้วยซึ่งได้ผลเช่นเดียวกันเพราะองุ่นและบลูเบอร์รี่มีสารอินทรีย์โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) ในระดับสูงซึ่งพบในผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยเพิ่มสัญญาณหรือกระตุ้นเส้นประสาทในสมอง จึงช่วยพัฒนาความทรงจำและความคิดได้ดี รวมทั้งยังช่วยต่อต้านอาการอักเสบต่างๆ ได้ด้วย

 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNakE0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB3T0E9PQ)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:17:53 pm
มก. ชูงานวิจัย “น้ำคั้นจากใบข้าว” มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
Campus - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กุมภาพันธ์ 2553 14:43 น.
 
นักวิจัย มก.วิทยาเขตกำแพงแสน ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการจากผลิตภัณฑ์ “น้ำคั้นใบข้าว”เพื่อก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวไทย และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของอาหารสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค


 
 
น้ำคั้นจากใบข้าว” มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
 
 
ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ นิทรรศการบนเส้นทางงานวิจัย ใน“งานเกษตรแฟร์” ประจำปี 2553ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์ 2553ที่ผ่านมา ภายในงานเต็มไปด้วยผลงานวิจัยมากมาย และที่น่าจับตามองมากที่สุด คงต้องยกให้ผลงานวิจัย “น้ำคั้นจากใบข้าว” ของ ดร. ลักขณา เบ็ญจวรรณ์ นักวิจัยจากฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง สถาบันวิจัยและพัฒนากำแพงแสน และคณะวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน


 
 
 
 
ดร. ลักขณา กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการทำผลงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการและผลิตภัณฑ์จากน้ำคั้นใบข้าว (Nutritional Values of Juice from Thai-rice Leaves and Product Development) ซึ่งเป็นการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของน้ำคั้นจากใบข้าวไทย/ข้าวสาลี การใช้ประโยชน์จากใบข้าวและน้ำคั้นใบข้าวพันธุ์ไทย รวมถึงการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากวัตถุดิบดังกล่าวเพื่อก่อเกิดมูลค่าเพิ่มแก่ข้าวไทย และเป็นการเพิ่มทางเลือกในด้านความหลากหลายของอาหารสุขภาพที่ผลิตขึ้นภายในประเทศให้แก่ผู้บริโภคอีกด้วย


 
 
ชาใบข้าว
 
 
“จากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของน้ำคั้นใบข้าวพันธุ์ไทยเปรียบเทียบกับน้ำคั้นใบข้าวสาลีที่จำหน่ายในท้องตลาด พบว่าน้ำคั้นจากใบข้าวทุกพันธุ์ที่นำมาศึกษา คือ หอมมะลิ 105 สุพรรณบุรี 1 หางทับทิม ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวขาว และข้าวสาลี มีสภาวะเป็นกรดอย่างอ่อน มีค่าพีเอชอยู่ในช่วง 5.8-6.2 โดยน้ำคั้นใบข้าวสาลีมีปริมาณคลอโรฟิลสูงกว่าน้ำคั้นจากใบข้าวเจ้าและข้าวเหนียวถึง 6 เท่า คือ มีปริมาณ 638 mg/L และมีปริมาณแคลเซียม 67 mg/L ซึ่งสูงกว่าข้าวเจ้าและข้าวเหนียวถึง 3 เท่า ส่วนปริมาณของธาตุแมกนีเซียมนั้นพบว่าน้ำคั้นจากใบข้าวเจ้าและข้าวเหนียวมีปริมาณแมกนีเซียมสูงกว่าน้ำคั้นจากใบข้าวสาลี โดยน้ำคั้นใบข้าวหอมมะลิ มีปริมาณธาตุแมกนีเซียมและเหล็กสูงที่สุด คือ 677 mg/L และ 20 mg/L ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวพันธุ์อื่นๆ การตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ (Total Antioxidant Capacity) พบมีปริมาณสูงที่สุดในน้ำคั้นจากต้นกล้าข้าวหางทับทิม (150 mmol/L) รองลงมา คือ ข้าวสุพรรณบุรี 1 ข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวเหนียวดำ ตามลำดับ"



 
 
พร้อมดื่มได้ทันที
 
 



 
 
ต้นข้าว
 
 



 
 
เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี
 
 



 
 
 
 
ดร. ลักขณา กล่าวต่อว่า จากผลการวิจัยฯ ได้ทำการคัดเลือกพันธุ์ข้าวจำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ ข้าวเจ้าหอมมะลิ 105 ข้าวเจ้าสุพรรณบุรี 1 ข้าวเหนียวดำ และข้าวสาลี เพื่อใช้ในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นในระยะแรก ได้แก่ ชาใบข้าว วุ้นกะทิผสมน้ำคั้นใบข้าว น้ำคั้นใบข้าวพร้อมดื่ม ไอศกรีมและโยเกิร์ตผสมน้ำคั้นใบข้าว “จากการประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในด้านสี กลิ่น รส ความหวาน เนื้อสัมผัส และการยอมรับผลิตภัณฑ์ในภาพรวม พบว่าผู้บริโภคให้คะแนนความพึงพอใจต่อทุกผลิตภัณฑ์ในระดับดี คือ ได้คะแนนเฉลี่ยมากกว่า 4 จาก 5 คะแนน”

“ข้าว” พืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทย ซึ่งจากงานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่าข้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น ทั้งการนำไปบริโภค การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือการนำไปสร้างสรรค์เป็นงานฝีมือ และส่วนเหลือทิ้ง เช่น ฟางข้าว แกลบ ยังนำมาทำเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย
 

"มะตูม" ลดกำหนัด
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2553 14:49 น.
 
 
 
 
ในช่วงนี้อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนกันแล้ว ช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด "108 เคล็ดกิน" มักจะหาน้ำสมุนไพรเย็นๆ ดื่มดับกระหายและช่วยคลายร้อน อย่างเช่น "น้ำมะตูม" ที่เป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยแก้ร้อนในได้เป็นอย่างดี

"มะตูม" นั้น ถือเป็นผลไม้ไทยที่มีคุณค่าหลายอย่าง เรามักบริโภคมะตูมโดยการนำผลมาทำเป็นน้ำมะตูม หรือกินเป็นผลมะตูมแช่อิ่ม สรรพคุณของมะตูมนั้นก็คือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้ ทำให้ชุ่มคอ รักษาโรคหอบหืดได้ ส่วนใบมะตูมนั้นก็นำมากินได้เช่นกัน และมีสรรพคุณในการช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย รักษาอาการท้องเดิน

ใบมะตูมยังถือเป็นของมงคล ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระอิศวร เวลาบูชาพระอิศวรก็ต้องใช้ใบมะตูมนี้ด้วย ผลมะตูมยังมีสรรพคุณพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีฤทธิ์ลดความกำหนัด คลายกังวล และช่วยให้สมาธิดีขึ้น จึงนิยมใช้เป็นน้ำปานะถวายพระสงฆ์นั่นเอง
 

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:18:28 pm
คนกรุงสยอง 115 ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน

?Œ? ?Œ?ʴ ?ǨҠ115 የ??ѨǡØ?䁨䴩??ðҹ









คนกรุงสยอง 115ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน (ไทยรัฐ)


สธ.เผยตลาดสดทั่ว กทม.150 แห่ง 35 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน จี้ ปรับปรุงด่วน รับผักปนเปื้อนยาฆ่าแมลง-สารกันรา-ฟอร์มาลีน เกลื่อนตลาด "จุรินทร์" สั่งเข้มช่วงตรุษจีน


เมื่อวันที่ 11 ก.พ.นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย นายกสมาคมตลาดสดไทย และคณะ ออกรณรงค์อาหารปลอดภัยช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร (กทม.) 1 ใน 35 ตลาด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อระดับห้าดาวของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และมอบใบประกาศเกียรติคุณพร้อมป้ายรับรองมาตรฐานตลาดสดน่าซื้อ จำนวน 35 แห่ง


นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ใช้เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ ขนม และ ผลไม้ เป็นของเซ่นไหว้ แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะไม่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค สธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรุงเทพมหานคร กรมปศุสัตว์ และผู้ประกอบการตลาด ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยไม่มีสารปนเปื้อนอันตราย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลในด้านความปลอดภัยอาหารที่ผลิต นำเข้า และบริโภคภายในประเทศ ให้ได้มาตรฐานระดับสากล ผลการดำเนินงาน ขณะนี้ มีสถานที่ผลิตอาหารแปรรูปผ่านมาตรฐานจีเอ็มพี ร้อยละ 96 อาหารสดปลอดภัยจากสารอันตราย 6 ชนิด ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารฟอร์มาลิน สารกันรา และยาฆ่าแมลง ร้อยละ 96 ปัญหาที่ยังตรวจพบต่อเนื่อง ได้แก่ การพบยาฆ่าแมลงตกค้างในผักสดมากที่สุด รองลงมา คือฟอร์มาลินในอาหารทะเล และสารกันราในผักดอง ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการตลาดสด ให้ล้างตลาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนตามแผงจำหน่ายอาหาร เขียง และทางเดินในตลาดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ส่วนผู้จำหน่ายอาหารทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ และอาหารปรุงสุก ต้องเลือกสินค้ามาจำหน่ายจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะร้านค้าที่จำหน่ายเป็ด ไก่ โดยคุมเข้มเป็นพิเศษในการเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสด ใหม่ สีไม่คล้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่นำสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายมาชำแหละ เพื่อป้องกันไข้หวัดนก


"ตอนนี้ทั่วประเทศมีตลาดสด 1,536 แห่ง กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่าต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 3 ด้าน เพื่อรับรองมาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อ ได้แก่ 1.ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 2. ความปลอดภัยอาหาร อาหารที่จำหน่ายต้องปราศจากสารปนเปื้อน 6 ชนิด ได้แก่สารกันรา ยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลิน สารฟอกขาว และสารบอแร็กซ์ 3.เกณฑ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น มีราคาสมเหตุผล ตราชั่งได้มาตรฐาน มีจุดตรวจสารปนเปื้อน และ มีตลาดผ่านเกณฑ์แล้วร้อยละ 77 ที่น่าห่วงคือตลาดสดในเขต กทม.ที่มี 150 แห่ง แต่ผ่านเกณฑ์ 35 แห่ง จึงต้องเร่งให้ได้มาตรฐานทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:19:22 pm
"เต้าหู้ยี้" อีกหนึ่งประโยชน์จากถั่วเหลือง
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กุมภาพันธ์ 2553 18:03 น.
 
 
 
 
เรามักจะเห็น "เต้าหู้ยี้" อยู่ในส่วนผสมของอาหารต่างๆ เช่น ในน้ำจิ้มสุกี้หรือผัดผัก บางคนอาจพลิกแพลงนำเต้าหู้ยี้มาประกอบอาหารอย่างยำเต้าหู้ยี้ หรือหลนเต้าหู้ยี้ เป็นต้น เอ...ว่าแต่เจ้าเต้าหู้ยี้นี้คืออะไรกันแน่ ทำจากเต้าหู้หรือเปล่า แล้วสีแดงๆ ที่เรามักเห็นในเต้าหู้ยี้นั้นคืออะไร

"เต้าหู้ยี้" นี้มีที่มาจากเมืองจีน ชาวจีนเรียกเต้าหู้ยี้ว่า "ซูฟู" ซึ่งเต้าหู้ยี้ก็เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง โดยใช้เต้าหู้ไปอบฆ่าเชื้อ แล้วใส่เชื้อราบ่มให้เจริญเติบโตประมาณ 1 อาทิตย์ ก่อนจะนำไปหมักในน้ำเกลืออีกครั้งหนึ่ง ส่วนมากเรามักจะเห็นเต้าหู้ยี้เป็นสีแดงหรือสีเหลือง นั่นก็เพราะสารปรุงแต่งที่ใส่ เช่น เต้าหู้ยี้สีแดงนั้นก็เพราะเติมข้าวแดงลงไป บ้างก็เติมกานพลู ข้าวหมัก ทำให้ได้สีสันต่างกันไปด้วย

เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ยี้จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น เกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม นอกจากนั้นก็ยังให้วิตามินเอ บี1 บี2 ดี อี เค และไนอะซีนอีกด้วย
 
 
มี“เต้าเจี้ยว” ไม่ขาดโปรตีน
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2553 15:42 น.
 
 
 
 
เมื่อตอนที่แล้ว "108 เคล็ดกิน" พูดถึงเต้าหู้ยี้ไปแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเครื่องปรุงอีกประเภทที่ทำมาจากถั่วเหลืองเหมือนกัน และเป็นการถนอมอาหารชองชาวจีนเช่นกัน นั่นก็คือ "เต้าเจี้ยว" ที่ได้จากการนำเอาถั่วเหลืองไปต้มหรือนึ่ง จากนำไปบ่มกับเชื้อราแล้วหมักใส่ขวดไว้จนได้เป็นเต้าเจี้ยวที่เรากินกัน

ส่วนมากแล้วเราจะใช้เต้าเจี้ยวในการปรุงรสอาหาร หรือทำเป็นเครื่องจิ้ม เช่น หลนเต้าเจี้ยว หรือผสมกับอาหาร เช่น ราดหน้า ผัดผัก น้ำจิ้มข้าวมันไก่ เป็นต้น เพื่อปรุงให้ได้รสอร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้รสชาติดีแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโปรตีนในอาหารได้อีกด้วย เพราะเต้าเจี้ยวทำจากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง อีกทั้งในเต้าเจี้ยวยังไม่มีแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต ทำให้ถั่วเหลืองเป็นอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และยังให้วิตามินเอ วิตามินบี 1, บี 2 และไนอะซีน

จึงถือว่าเต้าเจี้ยวเป็นเครื่องปรุงที่ให้ทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
 
ตะไคร้


ตะไคร้
http://www.chuankin.com/properties_t...roperty_type=2

สรรพคุณน่ารู้ : หมวดพืชสวนครัว :
ตะไคร้



ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น

สรรพคุณ
ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว : เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย
 (http://www.chuankin.com/properties_text.php?property_id=30&property_type=2)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:22:00 pm
เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2553 16:14 น.
 
 
 
 
"108 เคล็ดกิน" เองก็ไม่เคยนับหรอก ก็แค่เคี้ยวๆไปให้พอรู้สึกได้ว่าสามารถกลืนลงไปได้โดยไม่ติดคอ แต่รู้ไหมว่า การเคี้ยวนั้นก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีผลการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า การเคี้ยวให้ละเอียดนั้นจะเป็นการช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง เพราะฟันช่วยผ่อนแรงกระเพาะอาหารไปแล้ว และยังช่วยให้มีสุขภาพดี อายุยืนยาว นอกจากนั้นการเคี้ยวยังมีผลต่อการทำงานของสมอง เพราะการเคี้ยวนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หูให้หลั่งฮอร์โมนออกมา และการที่ฟันบนและฟันล่างได้กระทบกันนั้นก็จะเป็นการออกกำลังกายสมองไปด้วย

แต่มีคำถามว่า แล้วต้องเคี้ยวคำละกี่ครั้งจึงจะพอ? มีคำแนะนำว่า เคี้ยว 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง เคี้ยว 50 ที จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์และช่วยลดความอ้วน เคี้ยว 60 ที จะดีต่อการกินอาหารที่มีกากไยมาก ลดอาการท้องผูก คราวนี้เริ่มเคี้ยวยากหน่อยเพราะต้องเคี้ยว 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น ความจำดีขึ้น เคี้ยว 100 ที ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้มาก ลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ เคี้ยว 150 ที ระบบการทำงานของกระเพาะและลำไส้จะดีขึ้น และสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังให้เคี้ยว 200 ที ก็จะหายอย่างรวดเร็ว
 
 


ถั่งเช่า สมุนไพรแก้อาการนกเขาไม่ขัน

สมุนไพร ถั่งเช่า แก้นกเขาไม่ขัน






ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก skn.ac.th , wikipedia

นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มมากมาย สำหรับ "ถั่งเช่า" หรือ "หนอนเทวดา" เห็ดมหัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างดีเยี่ยมพอ ๆ กับยาไวอะกร้า ยิ่งล่าสุด หลังจากได้มีการนำเห็ดชนิดนี้เข้ามาปลูกในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ก็ดูเหมือนว่า "ถั่งเช่า" จะยิ่งได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมมากขึ้น

แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่า "ถั่งเช่า" คืออะไร หน้าตาเป็นยังไง และมีที่ไปที่มาอย่างไร ถ้าหากท่านเป็นอีกคนที่ยังไม่รู้จักเห็ดชนิดนี้แล้วล่ะก็ วันนี้กระปุกจะพาท่านไปรู้จักพร้อม ๆ กันค่ะ

เห็ดถั่งเช่า หรือ ชื่อเต็มว่า ตังถั่งแห่เช่า เป็นราแมลงในกลุ่ม Ascomycetes มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Cordyceps Sinensis ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง และส่วนบนของตัวหนอนที่มีเห็ดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. มีแหล่งกำเนิดเฉพาะถิ่น คือ ในพื้นที่สูง 4,000-5,000 เมตร จากระดับ น้ำทะเล เช่น ประเทศจีน ภูฏาน และทิเบต เกิดขึ้นโดยสปอร์เชื้อราจะเข้าสู่ตัวอ่อนของ หนอนผีเสื้อค้างคาว ที่ฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว และเมื่อถึงฤดูร้อน ก้านสปอร์จะเติบโต ขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนต้นหญ้าที่ขึ้นเฉพาะฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" หรือ "หนาวหนอนร้อนหญ้า"

ถั่งเช่า มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) มีฤทธิ์บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด และมีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ดังนั้นเมื่อกินเห็ดชนิดนี้เข้าไป ก็จะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็น เวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว




ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า



และไม่เพียงแค่นั้น ถั่งเช่า ยังมีสรรพคุณอื่นอีกมายมาย ได้แก่ ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ อาการไอ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่น ความจำดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ ต่อต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิต้านทางของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชราได้

แต่ด้วยความที่เห็ดชนิดนี้หายาก ทั้งยังมีสรรพคุณดีเยี่ยม จึงทำให้เห็ดถั่งเช่ามีราคาสูงมาก คือ สูงถึงกิโลกรัมละ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งการรับประทานนั้นสามารถรับประทานได้โดยการรับประทานสด ตากแห้ง หรือ นำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม ซึ่งในไทยพบในรูปแบบของกาแฟแล้วค่ะ

และนี่ก็คือเรื่องราวของเห็ดถั่งเช่าที่นำมาฝากกัน ก็เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่ไม่เพียงแต่รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ มีสรรพคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ว่าแต่.. ราคากิโลกรัมละ 2 แสนบาทขนาดนี้ จะรับประทานทีก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก เลยล่ะค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- vcharkarn.com
- biothai.net
- tpma.or.th

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:23:34 pm
กิน"ถั่วแดง" หัวใจเข้มแข็ง
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2553 14:58 น.
 
 
 
 
"ถั่ว" เป็นธัญพืชที่ทราบกันดีแล้วว่ามีประโยชน์มากมาย ในทางการแพทย์จีนถือว่าถั่วชนิดต่างๆจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น ถั่วดำมีประโยชน์ต่อไต ถั่วเหลืองมีประโยชน์ต่อม้าม ถั่วเขียวใประโยชน์ต่อตับ ถั่วขาวมีประโยชน์ถ่อปอด

และสำหรับถั่วแดงนั้น แพทย์จีนถือว่าช่วยบำรุงหัวใจ ประเภทอาการใจสั่น ช่วยในการบำรุงระบบประสาท บำรุงลำไส้ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้น ถั่วแดงยังมีทั้งสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี และเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดี ทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ และยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

ถั่วแดงมักถูกใช้ประกอบอาหารในรูปของขนมหวานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วแดงบดกินกับไอศกรีม ฯลฯ ซึ่งก็ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์เลยทีเดียว
 


“หัวบัวหิมะ” ผลไม้นำเข้าจากจีน
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2553 17:55 น.
 
 
 
 
สาวๆที่รักสวยรักงาม อาจจะพอรู้จัก "บัวหิมะ" หรือ "จง หัว ฟู เป่า" ที่เป็นผลิตภัณฑ์ ครีมทำให้ผิวพรรณ นวลเนียน เปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย กันอยู่บ้าง

แต่ตอนนี้ “108เคล็ดกิน” จะพาไปรู้จักกับ “หัวบัวหิมะ” กันบ้าง ซึ่งเป็นพืชคนละชนิดกันแต่ชื่อพ้องตรงกัน ทั้งยังนำเข้าจากจีนเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตามแถบชายแดนทางภาคเหนือกันบ้างแล้ว

หัวบัวหิมะ มีชื่อในภาษาจีนว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ผลของบัวหิมะ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius หรือในภาษาอังกฤษรู้จักกันในนามของ Yacon จัดเป็นพืชในตระกูล ทานตะวัน ความสูงของต้นประมาณ 2 - 3 เมตร เมื่อโตเต็มที่จะแทงดอกสีเหลืองเล็กๆ ที่จะลงหัวที่มีลักษณะภายนอกคล้ายหัวมันเทศมาก

หัวบัวหิมะเริ่มปลูกกันมากขึ้นในมณฑลยูอิ๋นหนาน ของประเทศจีน เนื่องจากพบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดอะมิโน แร่ธาตุหลักและจุลธาตุอีกหลายชนิด โดยเฉพาะ แคลเซี่ยม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียมที่มีอยู่ในสัดส่วนสูงเป็นพิเศษ

มีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในการควบคุมปรับปรุงของเหลวในเลือด ลดน้ำตาล ไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นการป้องกันและเยียวยาอาการของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายในกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะได้ดี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบายท้อง ป้องกันท้องเสีย สารก่อมะเร็งร้าย รสชาติของ เสวี่ยเหลียนกว่อ คล้ายคลึงกับผลสาลี่ ที่มีเปลือกบาง กรอบ รสออกหวาน ฉ่ำน้ำ นิยมกินกันสดๆ
 


ผักพื้นบ้าน จานสุขภาพ

˹ѧ

ผักพื้นบ้าน จานสุขภาพ

http://www.khaosod.co.th/view_news.p...MHdOQzB3TlE9PQ==


น้ำพริกกับผักเหนาะ

 
เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนตำบลตำนาน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ "โครงการอาหารสุขภาพจากผักพื้นบ้านชุมชนตำบลตำนาน" เพื่อศึกษารวบรวมและฟื้นฟูองค์ความรู้จากผักพื้นบ้าน พร้อมสนับสนุนให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ของอาหารพื้นบ้านที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

นางชุติมา เกื้อเส้ง หัวหน้าโครงการและประธานเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในชุมชนพบว่าชาวบ้านป่วยเป็นโรคโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกคนมีแนวคิดอยากปลูกผักกินเองเพื่อป้องกันโรคภัยจากสารเคมีที่แฝงมากับอาหารที่ซื้อจากตลาด แต่ชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของผักพื้นบ้าน รวมถึงไม่รู้วิธีการปรุงอาหารจากผักเหล่านี้ เนื่องจากภูมิปัญญาในการประกอบอาหารท้องถิ่นถูกกลืนหายไปตามสภาวะเศรษฐกิจ ทางเครือข่ายจึงดำเนินงานแก้ปัญหานี้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญ พร้อมกลับมาปลูกพืชและปรุงอาหารจากผักพื้นบ้าน

โครงการนี้เริ่มจากการสร้างชุดองค์ความรู้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของผักพื้นบ้าน โดยร่วมกับแกนนำชุมชนลงสำรวจผักพื้นบ้าน พบว่ามีผักพื้นบ้านมากถึง 126 ชนิด และยังพบด้วยว่าเป็นพืชผักริมรั้ว ซึ่งเป็นทั้งอาหาร สมุนไพร และยาเกือบทั้งหมด บางชนิดเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ขี้พร้าไฟ ฟักข้าว หนามชิด ผักพื้นบ้านยังเชื่อมโยงกับสภาพสิ่งแวดล้อมของชุมชนและสภาพสังคม เพราะการเกษตรแผนใหม่ทำให้ผักพื้นบ้านหลายชนิดสูญหายไป
ชุติมา เกื้อเส้ง /สรรค์ อัศโรดร /รมย์ เกื้อเส้ง

 


ด้าน นายสรรค์ อัศโรดร อายุ 66 ปี แพทย์พื้นบ้าน กรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ กล่าวว่า ผักพื้นบ้านส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นผักที่ขึ้นเองตามฤดูกาล ไม่ต้องปลูก ไม่ต้องลงทุนดูแลรักษา รวมทั้งไม่ต้องใช้ปุ๋ยสารเคมี แต่ปัจจุบันยังขาดการอนุรักษ์ และไม่เห็นความสำคัญจึงทำให้ผักพื้นบ้านถูกทำลายไป

"ปัจจุบันคนป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจกันมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการกินอาหารที่มันและหวานมากเกินไป โรคเหล่านี้ถ้าเข้าใจแล้วหันมากินเปรี้ยวให้มากกว่าอาหารที่มัน และกินอาหารพื้นบ้านจะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้ เช่น น้ำพริกทุกชนิดจะมีมะนาว หัวหอม กระ เทียม พริกขี้หนู สมุนไพรเหล่านี้ช่วยละลาย ไขมัน เมื่อรวมกับวิตามินและเกลือแร่ที่เราได้จากผักเหนาะนานาชนิด เช่น สะตอ กระโดน ถ้าเรากินสม่ำเสมอจะช่วยได้ เพราะการกินอาหารพื้นบ้านตามที่ครอบครัวได้รับการถ่ายทอดมาแทบจะไม่ต้องศึกษาเรื่องโปรตีน คาร์โบ ไฮเดรตอะไรเลย เพราะภูมิปัญญาโบราณนั้นมีความสมดุลในธาตุต่างๆ ของร่างกายและอาหารอยู่แล้ว" นายสรรค์กล่าว
การหุงข้าวแบบโบราณ

อาหารที่ปรุงจากผักพื้นบ้าน

 


นางรมย์ เกื้อเส้ง อายุ 54 ปี แกนนำกลุ่มวิสาหกิจชุมชน บ้านหมู่ 13 ตำบลตำนาน เล่าว่า ทุกวันนี้ซื้อผักจากตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้วซึ่งมีอย่างมากมาย ทั้งตำลึง ผักหวาน มะเขือ ซื้อเฉพาะวัตถุดิบที่จำเป็นและหาไม่ได้ในชุมชนเท่านั้น ส่วนมากคนในท้องถิ่นจะไม่ค่อยสนใจผักพื้นบ้านเพราะมันยุ่งยาก บ้างก็ขี้เกียจไปเก็บไปหา ซื้อเอาดีกว่าเพราะติดความสะดวกสบาย แต่การทำกับข้าวโดยใช้ผักพื้นบ้านจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวไปได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 50 บาท เวลาทำเสร็จก็จะอธิบายให้คนในครอบครัว ลูกหลานว่าผักพื้นบ้านที่นำมาทำกับข้าวในแต่ละวันนั้นมีประโยชน์อย่างไร บอกสรรพคุณให้เขาได้รู้เลยว่ากินแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง ปัจจุบันคนในหมู่บ้านเริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้านกันมากขึ้น

นางงามจิตต์ จันทรสาธิต ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวว่า ถ้าชุมชนหันมาสนใจปลูกผักพื้นบ้านแล้วพัฒนาตำรับอาหารหรือเมนูอาหารที่อาจต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง น่าจะจูงใจให้คนหันมาบริโภคผักพื้นบ้านกันได้มากขึ้น เพราะบางครั้งผักพื้นบ้านดีๆ คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักแล้วว่ากินอย่างไรถึงจะอร่อย มีประโยชน์อะไร นำไปปรุงอาหารได้อย่างไร โครงการนี้จะส่งผลดีกับชุมชน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างแต่ละชุมชน สิ่งที่ได้นอกเหนือไปจากการที่ชาวบ้านจะได้ฟื้นฟูรักษาตำรับอาหารพื้นบ้านกลับมาแล้ว ยังได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนให้กลับคืนมาอีกด้วย
 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROc1lXUXdNVEExTURRMU13PT0=&sectionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB3TlE9PQ)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:24:46 pm
มา "กินเปลี่ยนโลก" กันเถอะ
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2553 15:54 น.
 
 
 
 
มูลนิธิชีววิถี หรือ Biothai เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชุมชนคนรักป่า และสถาบันต้นกล้า ได้จัด "โครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก" (Slow Food Thailand) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องวิกฤตของอาหาร เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของเรา โดยการมองย้อนกลับไปยังที่มาของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการปลูก เลี้ยง ขนส่ง แปรรูป ขาย ตลอดจนสิ่งที่เกิดตามมาหลังจากเรากินเข้าไปแล้ว เช่น ปัญหาสุขภาพปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

"108 เคล็ดกิน" จึงขอพาไปทำความรู้จักการ "กินเปลี่ยนโลก" ที่กินได้ไม่ยาก เพียงกินอาหารตาม 3 เงื่อนไขหลัก ๆ ดังนี้ คือ อาหารดีมีคุณค่า (Good)วัตถุดิบคุณภาพดี สดใหม่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการปรุง เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด (Clean)วัตถุดิบมาจากระบบการผลิตที่ปลอดสารเคมี และไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นธรรม (Fair)ราคาเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ซื้อ

สำหรับวิธีรณรงค์ง่ายๆ ที่เปลี่ยนโลกได้ทุกวัน ก็มีหลากหลาย เช่น "ไม่เอาสารเคมี" ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีน บอแรกซ์ ผงชูรส สารกันบูด ป้องกันการกินเพื่อตายผ่อนส่ง

"มาปลูกกิน" เราปลูกกินเองได้ เช่น โหระพา กะเพรา สะระแหน่ พริก ตะไคร้ ใบเตย หรือลองปล่อยให้ถั่วพลู บวบ เลื้อยตามรั้วบ้านดูบ้างก็เข้าท่าไม่หยอก จัดวางตัดแต่งดีๆ เป็นสวนสวยกินได้ ปลอดภัย ลดรายจ่ายไปในตัว

"มาทำกินเอง" เราแน่ใจว่าสด สะอาด มีคุณค่า แน่นอนเพราะเราต้องเลือกวัตถุดิบเองและสามารถปรุงรสให้ถูกปากเราได้ ไม่ต้องอารมณ์เสีย นอกจากนั้น การเข้าครัวยังเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ทุกวัน.
 
 

สับปะรดสารพัดประโยชน์
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > สับปะรดสารพัดประโยชน์



ทราบหรือไม่ว่าสับปะรดเป็นผลไม้มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

- ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

- ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

- ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และยังช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

- ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานสับปะรดกันดีกว่า.


ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน
ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์



สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง...

ดื่มน้ำคั้นหัวผักกาดแดง จะทำให้มีความทรหดอดทนเพิ่มขึ้น ออกกำลังได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกถึงร้อยละ 16

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอกเซอเตอร์ของอังกฤษได้ค้นพบเป็นคนแรกว่า สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ อย่างที่ไม่เคยพบกันมาก่อน จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง สงสัยว่าเป็นเพราะสารไนเตรท ได้เปลี่ยนเป็นไนเตรทออกไซด์ขึ้นในตัว จึงใช้ออกซิเจนน้อยลง ระหว่างการออกกำลัง

พวกเขาได้พบจากการทดลองกับชายฉกรรจ์ 8 คน วัยระหว่าง 19-38 ปี เมื่อให้ดื่มน้ำหัวผักกาดแดงคั้น จะออกกำลังโดยการขี่จักรยานได้นานกว่าเวลาเฉลี่ยเดิม 11.25 นาที ขึ้นอีก 92 วินาที นอกจากนั้นยังปรากฏว่าความดันโลหิตก็ลดต่ำลงด้วย.


คนไทยติดน้ำตาล
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2553 17:14 น.
 
 
 
 
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผย คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า คือ เป็นปริมาณสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือ เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดให้บริโภคได้ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 6 – 8 ช้อนชา

ดร.นายแพทย์ สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลอย่างฟุ่มเฟือย โดยที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า "น้ำตาล" ไม่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการเลย มีประโยชน์เพียงให้พลังงานสูงเท่านั้น ที่สำคัญร่างกายไม่จำเป็นต้องได้พลังงานจากน้ำตาล เนื่องจากมีอาหารอื่นๆ ที่สามารถให้พลังงานทดแทนได้ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

ปริมาณน้ำตาลที่บริโภคเกินความต้องการ เมื่อใช้ไม่หมดจะเป็นพลังงานส่วนเกินและเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเก็บสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุของภาวะ"อ้วนลงพุง" ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดอุดตัน และโรคเบาหวานที่พบว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้ถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว
 
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:25:45 pm
มาใช้ “น้ำมัน” ทอดอาหารให้ถูกวิธี
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2553 16:23 น.
 
 
 
 
เดี๋ยวนี้เวลาเลือกซื้ออาหารประเภททอด ๆ ตามร้านค้าต่างๆแล้วเห็นน้ำมันในกระทะดำเมี่ยมมิด “108เคล็ดกิน” ก็ให้นึกผวาพาลกินไม่ลงเสียดื้อๆ ทั้งที่จริงแล้วการเลือกใช้น้ำมันที่ถูกวิธีก็มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ

วันนี้จึงยกตัวอย่างวิธีการใช้น้ำมันทอดอาหารที่ถูกต้องมาให้รู้ทั่วกัน ข้อที่หลายคนรู้กันดีแล้ว คือ ในครัวเรือนไม่ควรใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำเกิน 2 ครั้ง และหากจำเป็นต้องใช้น้ำมันซ้ำให้เทน้ำมันเก่าทิ้งหนึ่งในสามและเติมน้ำมันใหม่ก่อนเริ่มการทอดอาหารครั้งต่อไป แต่ถ้าน้ำมันทอดอาหารมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ ฟองมาก เป็นควันง่ายและเหม็นไหม้ ควรทิ้งไปอย่าเสียดาย

ไม่ทอดอาหารไฟแรงเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมของน้ำมันประมาณ 160 – 180 องศาเซลเซียส ซับน้ำส่วนที่เกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอด เพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมัน ต้องหมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร และปิดท้ายด้วยการเก็บน้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารไว้ในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วปิดฝาสนิท เก็บในที่เย็นและไม่โดนแสงสว่าง เพียงเท่านี้ก็ช่วยเพิ่มคุณภาพที่ดีแก่ชีวิตด้วยการกินได้แล้ว

 
 
"ใบเตย" กลิ่นรัญจวน มากคุณค่า
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2553 17:37 น.
 
 
 
 
ในบรรดาพืชที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ "108เคล็ดกิน" ยกให้พืชจำพวกหญ้าอย่าง "ใบเตย" อยู่ในอับดันต้น ๆ เลยทีเดียว เรื่องความหอมของใบเตยนี้ เชื่อว่าย่อมเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดี เพราะมีการดัดแปลงนำมาใช้ ทั้งในแวดวงดอกไม้ ตลอดจนเป็นส่วนผสมทางอาหารหลากหลายเมนู

ใบเตยจัดเป็นพืชจำพวกหญ้า แตกเป็นกอใหญ่ มีเหง้าและลำต้นอยู่ใต้ดิน มีก้านและใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบออกจากลำต้น เรียงเวียนรอบลำต้นอย่างหนาแน่น ใบสีเขียวรูปเรียวยาวประมาณ 8-10 นิ้ว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เมื่อขยี้ใบสดจะมีกลิ่นหอมเย็น นิยมคั้นจากใบเพื่อแต่งกลิ่นและสีเขียวสวยงามในขนมต่างๆ

ใบเตยมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในตัว คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณที่มีรสหวาน กลิ่นหอม มีสารคลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ และช่วยทำให้สดชื่น อีกทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม และฟอสฟอรัส รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน ใบเตยสดยังสามารถนำมาตำพอกรักษาโรคหัด โรคผิวหนัง ได้ชะงักนัก

นอกจากนี้ ถ้าเอาใบเตยหอม สดๆ จำนวน 4 ใบ พร้อมใบสดรางจืด 8 ใบ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือดและเคี่ยว 15 นาที ดื่มขณะอุ่นครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยขับหินปูนตามข้อต่อ ให้ออกได้และทำให้ไม่ปวดข้อ เดินได้สะดวกขึ้น และยังเป็นยาช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย ต้มดื่มติดต่อกัน 3 วัน เว้น 1 อาทิตย์ต้มดื่มต่อ และสามารถต้มดื่มได้เรื่อยๆ ไม่มีอันตรายอะไร
 
 
น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > กินดี > น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ



http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=65599

‘น้ำตะไคร้’ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น

มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ ‘กินดี’ ขอเสนอ ‘น้ำตะไคร้หอม’ เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
• ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
• น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
• น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว

วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:26:44 pm
ดื่มสมุนไพรคลายเครียด

 
หากผู้อ่านเกิดความรู้สึกเครียดจากการติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองในระยะนี้ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรเครื่องดื่มที่ใช้สมุนไพรไทยพื้นบ้าน นั่นคือ ‘กระชาย’ เป็นส่วนผสมหลัก

โดยกระชายมีสรรพคุณคลายเครียด ขยายหลอดเลือดทำให้สมองโปร่งใส อารมณ์ดีขึ้น แก้อาการอ่อนเพลียเนื่องจากนอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ปรับสมดุลของความดันโลหิตและฮอร์โมน ทั้งยังกระตุ้นสมรรถนะร่างกาย และกระชับกล้ามเนื้อ แต่กระชายอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

รู้ถึงคุณประโยชน์ของกระชายแล้ว ก่อนลงมือผสมดื่มต้องเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ตามสูตรต่อไปนี้
กระชาย 1 ขีด
มะนาว 2 ผล
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
สำหรับขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกระชายขูดปลอกออกแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปปั่น โดยเติมน้ำลงไป 2 แก้ว ปั้นให้ละเอียด แล้วกรองเอาแต่น้ำ ก่อนดื่มให้เติมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งลงไป จะช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น.

takecareDD@gmail.com
ภาพประกอบจาก www.fooddyclub.com



Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มสมุนไพรคลายเครียด


"น้ำลอยดอกมะลิ"หอมเย็น เคล็ดขนมไทย
http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000072114
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2553 16:03 น.
 
 
 
 
ในการทำขนมไทยแบบไทยๆนั้น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ "น้ำลอยดอกไม้" ที่มีไว้สำหรับใช้คั้นกะทิ หรือใช้ผสมกับน้ำตาลทราย ทำเป็นน้ำเชื่อม ทำน้ำอบน้ำปรุง เพราะน้ำลอยดอกไม้มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าการทำน้ำลอยดอกไม้เขาทำกันอย่างไร "108เคล็ดกิน" จึงมีวิธีการทำมาบอกเล่าเก้าสิบกัน

ดอกไม้ที่นิยมนำมาลอยน้ำ ก็มีหลากหลายชนิดทั้ง กุหลาบ กระดังงา แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ ดอกมะลิ การทำน้ำลอยดอกไม้ จะต้องทำเตรียมไว้ในตอนเย็น เพื่อทำขนมในวันรุ่งขึ้น เหตุผลที่ต้องทิ้งไว้ค้างคืน ก็เพื่ออบเอากลิ่นหอมของมะลิ เนื่องจากธรรมชาติของดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน ถ้าจะลอยด้วยดอกอื่น ควรทราบเวลาที่ดอกไม้ชนิดนั้นส่งกลิ่นจึงจะได้ผลดี

การทำก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่เก็บดอกมะลิ ปลิดขั้วต่อกับดอกออก ล้างน้ำอย่างเบามือที่สุด ต้มน้ำให้เดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น เทใส่ภาชนะเคลือบหรือถังพลาสติกอย่างดีมีฝาปิด หย่อนดอกมะลิ (แนะนำใช้ดอกตูม)ให้ลอยทีละดอก ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ตลอดคืน รุ่งเช้าจึงเก็บดอกมะลิขึ้นก็จะได้น้ำลอยดอกไม้แล้ว

สมัยก่อนน้ำที่นิยมใช้ในการลอยดอกไม้เป็นน้ำฝน แต่ปัจจุบันหากต้องการใช้น้ำประปา ควรรองน้ำทิ้งไว้ให้หมดกลิ่นคลอรีนก่อน การลอยดอกมะลิ ถ้าไม่ได้ใช้ดอกมะลิปลูกเอง ไม่ควรเอาดอกมะลิลอยในน้ำโดยตรง เพราะอาจมียาฆ่าแมลงตกค้าง ให้ใส่ดอกมะลิในภาชนะอื่น เช่น ขันใบเล็ก ๆ ลอยลงในน้ำอีกที
 

ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร



สมุนไพรหลายชนิดนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีประโยชน์ของน้ำสมุนไพรแต่ละชนิดมาบอก....

- น้ำใบบัวบก : น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตา และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่น ส่วนประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบก คือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิต แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ

- น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้น ถ้ารับประทานจะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลืองๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง

- น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ส่วนคนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วง

- น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ส่วนสารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพกันดีกว่า.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:27:54 pm
‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!



อย่าเข้าใจว่า ‘ใบบัวบก’ มีไว้ ‘แก้ช้ำใน’ อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ‘ใบบัวบก’ ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

ศุกร์นี้ ‘กินดี’ จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง
takecaredd@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=68247

"บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง


Matichon Online: ˹ѧ

"บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง


http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=04

ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะนักวิจัยโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึงงานวิจัยบัวบกและตะไคร้พืชสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า จากการทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูขาว พบว่าสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้มีฤทธิ์ป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดี โดยกลุ่มหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในอาหารประเภทปิ้งย่าง ตรวจพบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งขนาดใหญ่และมีเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะเป็นเซลล์ร้ายและลุกลาม ขณะที่กลุ่มหนูขาวซึ่งได้รับสารสกัดจากใบบัวบกหรือตะไคร้ไม่ว่าก่อนหรือหลังถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งลดลงถึงร้อยละ 60 โดยเซลล์มีขนาดเล็กกว่าและไม่เกิดการลุกลาม

ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวว่า ในสารสกัดบัวบกมีกรดอะเซียติก (Asiatic acid) ที่เป็นสารออกฤทธิ์ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการทำลายตัวเอง ส่วนสารสกัดจากตะไคร้นั้นพบสารสำคัญ คือ ซิทรอล (citral) ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังใช้เทคนิค HPLC fingerprint ในการกำหนดและควบคุมสารที่สกัดจากบัวบกหรือตะไคร้ให้มีปริมาณความเข้มข้นของสารสำคัญที่แน่นอน สม่ำเสมอ ปลอดภัย และได้มาตรฐานจึงเหมาะต่อการนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรส่วนใหญ่โดยธรรมชาติมักจะมีปริมาณสารสำคัญเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

"เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณในการบริโภคสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้สำหรับป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ทีมวิจัยยังได้เจาะเลือดหนูขาวมาทำการศึกษา วัดอัตราและขอบเขตการออกฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์ภายหลังการป้อนสารสกัดมาตรฐานจากบัวบกหรือตะไคร้ โดยพบว่า หนูขาวสามารถดูดซึมสารสำคัญได้ในเวลา 10 นาที และเพิ่มปริมาณสูงสุดที่เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นสารสกัดจะค่อยๆ ลดลงจนระทั่งหายไปจากซีรั่มภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้คำนวณสำหรับวางแผนวิจัยเชิงคลินิกในอาสาสมัคร สำหรับหาปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมในมนุษย์ต่อไป" ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว


ส้มโอมือ ผลไม้เก่าแก่ตระกูลส้ม
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2553 15:31 น.
 
 
 
 
คนไทยสมัยก่อนคุ้นเคยกับส้มมือที่นำมาใช้ทำเป็นยาดม เรียกกันว่า 'ยาดมส้มโอมือ' ที่มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ใช้สูดดมบรรเทาอาการเป็นลม หน้ามืดตาลาย แต่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่ายาดมส้มโอมือทำมาจาก "ผลส้มโอมือ" ซึ่งเป็นผลไม้หายากในปัจจุบัน วันนี้"108เคล็ดกิน"จึงขอพาไปทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กัน

ส้มโอมือ หรือ ส้มมือ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกส้ม พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน ผลรูปร่างแปลกกว่าส้มอื่น มีรูปร่างเรียวยาวห้อยลงมาเป็นแฉก ๆ คล้ายนิ้วมือ บ้างก็ว่าคล้ายลำเทียน ขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือผู้ใหญ่ หรือใหญ่กว่า

ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ผลมีผิวขรุขระ มีร่องแฉกคล้าย นิ้วมือกว่า 10 นิ้ว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองสด ภายในผลสีขาว ไม่มีเมล็ด เปลือกหนาคล้ายฟองน้ำอย่างส้มโอ เนื้อแห้งไม่ชุ่มน้ำ ผิวเปลือกมีน้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นมะนาว

ส่วนเนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ มักไม่นิยมนำผลมารับประทานสดเหมือนส้มทั่วไป รสชาติจืดชืดไม่อร่อยแต่จะนำเปลือกไปใช้ประกอบในการปรุงอาหาร และทำยา เพราะมีสรรพคุณในการกระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ทำให้เลือดลมดี ไปสกัดทำน้ำมันหอมระเหย แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลายเครียด ในประเทศจีนและญี่ปุ่นนิยมนำไปไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพื่ออบกลิ่น ขณะที่ในประเทศตะวันตกรู้จักสรรพคุณทางการแพทย์ของส้มโอมือมาช้านาน ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งชื่อส้มชนิดนี้เป็นภาษาละตินว่า medica
 
 
 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275290437&grpid=&catid=04)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:28:50 pm
สารพัดผักแก้ท้องผูก



หากการถ่ายทุกข์หนักหรือขับถ่ายอุจจาระของคุณจะเกิดขึ้นแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานราว 2-3 วัน ก็เข้าข่ายท้องผูก ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ขับถ่ายลำบาก เป็นนาน ๆ อาจลุกลามกลายเป็นริดสีดวง สร้างความทุกข์ทรมานให้ลมมันเย็น!...

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้จึงคัดสรรสารพัดผักที่หารับประทานได้ง่าย ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านที่มีอาการท้องผูกซื้อหามารับประทานเพิ่มกากใยเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย

เริ่มจาก ‘มะเขือเทศ’ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ เพราะผักชนิดนี้ช่วยระบายท้อง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลดความดันโลหิต แถมยังรักษาอาการตาพร่ามัว ขณะที่ ‘เกาลัด’ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดี แก้ร้อนใน บำรุงม้าม

ส่วน ‘กะหล่ำปลี’ แก้ท้องผูกบำรุงผิว รักษาแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ‘กุยช่าย’ ช่วยย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร แถมเสริมกำลังวังชา บำรุงพลังเพศ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คงเป็น ‘มะละกอ’ เลือกรับประทานแบบค่อนข้างสุกงอมจัด มีสรรพคุณช่วยระบาย

เช่นเคยกับเมนูสุขภาพ ที่ครั้งนี้ขอแนะนำ ‘เครื่องดื่มจากมะขาม’ พืชอีกชนิดที่โดดเด่นในคุณประโยชน์ช่วยขับถ่าย สูตรนี้เลือกใช้มะขามเปียก ต้มกับน้ำ แล้วใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมะขาม ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากเกินไป จากท้องผูกจะกลายเป็นท้องเสีย จู๊ด...จู๊ด!.

takecareDD@gmail.com
ภาพประกอบจาก www.herbsdetox.com
www.lifestyle.com.pk
www.indo-chine.com
www.odorunara.wordpress.com
www.banana-rite.co.uk
www.esquire.com

.
ที่มา เดลินิวส์
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > สารพัดผักแก้ท้องผูก


ประโยชน์จากโยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก

- เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5

- โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

- ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์จากโยเกิร์ต

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:33:26 pm
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

เอ่ยถึงโรคมะเร็งคงไม่มีใครอยากเป็น ด้วยความรู้สึกที่ว่าเป็นโรคที่น่ากลัว รักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากมะเร็งร้ายนี้ ส่วนหนึ่งมาจากขาดการดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าหากรู้จักกินอย่างถูกหลักจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคร้ายนี้ได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการโภชนาการกับการเกิดของโรคมะเร็งให้ฟังว่า ธรรมชาติที่จะเข้าสู่ร่างกายมีทั้งน้ำ อาหาร อากาศ ทุกอย่างมีทั้งที่เป็นประโยชน์และที่ทำให้เกิดโรคกับร่างกาย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสมัยก่อนคนเราไม่ค่อยเป็นอะไรกันนัก นานๆ ทีถึงจะเป็นโรคมะเร็งสักคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าอยู่แบบธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งมากนัก วัตถุดิบค่อนข้างปลอดภัย แต่ในสมัยนี้อย่างไก่ทอด เราไม่ค่อยมั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงด้วยอะไรหรือปรุงด้วยอะไรบ้าง เพราะโดยทั่วไปเนื้อไก่ไม่ได้มีโทษ แต่สิ่งที่ใส่เข้าไปในเนื้อไก่ต่างหากที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อเกิดโรคได้

จริงๆ แล้วในแหล่งอาหารธรรมชาติที่เจอกันวันนี้จะมี 2 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดโทษ อาหารประเภทแรกที่สามารถก่อมะเร็งได้ คือ อาหารที่ราขึ้นได้ง่าย อย่างเช่น ถั่วลิสง กระเทียม แห้ง พริกป่น พริกแห้ง ซึ่งจะสร้างสารอัลฟาท็อกซิน ทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับได้ ต่อมา คือ พยาธิใบไม้ในตับ มาจากวิถีชีวิตที่ชอบกินปลาดิบ ก้อยดิบ ปลาจ่อม ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะชอบอาศัยอยู่ในอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าทำให้สุกจะไม่เป็นอะไร เพราะพยาธิเหล่านี้จะตายเมื่อโดนความร้อน แต่คนที่ชอบกินแบบสุกๆ ดิบๆ จะได้รับไข่พยาธิเข้าไปฝังตัวในท่อน้ำดี เมื่อผ่านมาในระยะหนึ่งจะกลายเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี

อาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่อาหารธรรมชาติแต่เป็นอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารหลัก 5 หมู่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เริ่มตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากพวกแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มาที่ไขมันพบว่าไขมันที่ได้จากน้ำมันพืชจะปลอดภัยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าทานอาหารนอกบ้านจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ไม่ค่อยได้
ส่วนโปรตีน อาหารประเภทเนื้อสัตว์พบว่า ในเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่สามารถบริโภคโปรตีนได้ในปริมาณมากๆ แต่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงหรือทานโปรตีนน้อยลง เพราะเมื่อเราโตเต็มที่แล้วถ้ายังทานเหมือนเดิม ในสัดส่วนอาหารที่เท่าเดิม เราจะไม่สูงหรือเจริญเติบโตอีกแล้ว จะมีแต่พอกไว้แล้วออกด้านข้างแทน

"วัยเด็กอาจจะทานโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ แต่พออายุมากขึ้นจะลดลงเหลือ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่หายไปนั้นจะต้องเสริมด้วยผัก ผล ไม้ จะช่วยทำให้ร่างกายได้วิตามินโดยที่ไม่ต้องไปซื้ออาหารเสริม วิตามินเสริมทั้งหลายมาบริโภคเลย เพราะอาหารหรือวิตามินเสริมเหล่านั้นก็มาจากอาหาร 5 หมู่นั่นเอง

ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลดลง เพราะร่างกายมีความต้องการน้อยลงแต่ยังต้องการโปรตีนอยู่ เพียงแต่โปรตีนที่ต้องการไม่ใช่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียว อาจจะเปลี่ยนเป็นสัตว์เนื้อขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา และสัตว์น้ำ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังอยู่ได้นาน เพราะเซลล์จะมีการ ซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งโปรตีนจะเป็นวัตถุดิบให้กับร่างกายนำไปสร้างเป็นเซลล์ภูมิต้านทานในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จะใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในการควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้"

ในส่วนวิตามินและเกลือแร่จะอยู่ในผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายมีเซลล์ที่ไม่แก่ มีความสดชื่น เพราะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ในแหล่งผักผลไม้ธรรมชาติเหล่านี้ โดยผักที่มีประโยชน์มากจะอยู่ใน ผักใบเขียว รวมทั้งถั่ว แครอท ตระกูลเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ รวมทั้งแอปเปิ้ล มะละกอสุก ฟักทอง ผลไม้ที่สีจัดๆ เพราะจะมีสารอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง

อาหารที่ทานกันทุกวันนี้ในท้องตลาดจะมีสิ่งหนึ่งที่ใส่เข้ามา คือ สารปรุงแต่งทั้งหลาย ซึ่งของปรุงแต่งจะมีตั้งแต่น้ำมันหมู น้ำมันพืชที่นำมาประกอบอาหาร

สารปรุงแต่งในส่วนที่เรียกว่า หมัก ดองเค็ม ซึ้งเนื้อปลาโดยธรรมชาตินั้นดีมีประโยชน์ แต่เมื่อมีการนำไปปรุงแต่งขึ้น อย่างปลาเค็มในกระบวนการหมักจะมีการใส่สารไนเตรตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้เป็นสารกันเสียในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม จะไปก่อมะเร็งในทางเดินอาหารด้านบนบางส่วนจะมีผลต่อมะเร็งโพรงจมูกได้อีกด้วย

อีกจำพวกหนึ่ง คือ อาหารประเภทปิ้ง ย่าง ที่มีลักษณะเกรียมๆ ดำๆ ซึ่งจะมีสารเฮทเทอโรไซคลิกเอมีนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่สามารถยับยั้งสารนี้ได้เมื่อนำอาหารไปทอดเสร็จแล้วอย่างกุนเชียง ไส้กรอก ให้ใช้มะนาวบีบลงบนส่วนที่กรอบ ๆ เกรียม ๆ จะช่วยสกัดกั้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้

รวมถึงอาหารประเภทรมควันต่างๆ ซึ่งจะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงอาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็ง ต่อมลูกหมาก "ซึ่งอาหารที่กล่าวมานั้นนานๆ ทานที่ได้ เพราะร่างกายคนเราเหมือนกับ กทม.ที่มาเก็บขยะได้ทัน แต่ถ้าทานบ่อยครั้งร่างกายก็ขับออกได้ไม่ทัน" นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ แนะนำ

โรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นกันเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมี การสะสมมาเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ได้ ก็จะแสดงอาการออกมา ถ้ายังบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งต่อจะทำให้อาการทรุด ลง คนที่ไม่ได้เป็นก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทุกคนมีสิทธิเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ความต้านทาน ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ จะต้องระวังและหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวก่อมะเร็ง ทั้งหลาย

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "อย่ากินเพราะอร่อย ทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยเพราะความต้องการสารอาหารของแต่ละวัยไม่เท่ากัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร อาหารปรุงแต่งทุกชนิดที่เติมเข้าไปให้สีสันน่าทาน รสชาติถูกปากให้ประโยชน์แค่เพียงความอร่อยที่มีแค่บนลิ้นเท่านั้น และถ้ายังสร้างกิเลสไว้บนลิ้นมากๆ เราก็จะไม่ได้คุณค่าอะไรจากอาหารจานนั้น เป็นเพียงความรู้สึกที่อร่อยชั่วครู่เดียว สิ่งที่ปรุงแต่งเหล่านั้นอาจเป็นโทษกับร่างกาย อย่าไปหลงกับรูป รสชาติมากเกินไป"

ถ้าไม่อยากทรมานด้วยโรคมะเร็งร้าย ก่อนทานอะไรคิดสักนิด... แล้วชีวิตจะยืนยาว

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
HYPERLINK "http://www.bangkokhospital.com
HYPERLINK "http://www.bangkokhealth.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:34:23 pm
แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’


คอลัมน์ใส่ใจสุขภาพกับอาหารการกิน อย่าง ‘กินดี’ แลเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังป่วยด้วยโรคหวัด เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสาช่วงหน้าฝน วันนี้จึงเตรียมเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณแก้โรคหวัด บรรเทาอาการฮัดเช้ย....

เครื่องดื่มสูตรนี้ ประกอบไปด้วย ‘แตงโมเหลือง’ อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยชะล้างของเสียในไต ลดความดันโลหิต ต่อมาเป็น ‘องุ่นเขียว’ เปี่ยมด้วยฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี1 บี2 และวิตามินซี กรดไฟโคเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหาร ช่วยล้างพิษ และขับปัสสาวะ

พระเอกของสูตรนี้ คือ ‘กีวี’ มีแมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ที่รวมพลังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย และควรรับประทานในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง

ส่วนผสมของเครื่องดื่มแก้หวัด ประกอบด้วย...
แตงโมเหลือง 2 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกีวีไปปอกเปลือกออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นแว่น ๆ ส่วนแตงโมเหลืองหั่นเป็นชิ้น ๆ พอประมาณโดยไม่ต้องทิ้งเมล็ด และองุ่นเขียวผ่าครึ่งใช้ทั้งเมล็ด จากนั้นนำผลไม้ทั้งสามชนิดไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น สกัดเอาแต่น้ำ เมื่อได้แล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็งเพื่อความเย็นสดชื่นได้ หากไม่มีอาการระคายคอหรือไอร่วมด้วย.

takecareDD@gmail.com

ภาพประกอบจาก
www.narenandjacobgotoleblonbeach.com
www.ecvv.com
www.realsimple.com
www.vegetableseed.net


ที่มา Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > แก้วนี้ดื่ม ‘แก้หวัด’


กิน"หมูยอ" ระวังสารกันบูด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2553 15:11 น.
 
 
 
 
เมื่อหลายวันก่อน "108เคล็ดกิน" นั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ เรื่องที่ทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา ได้เตือนภัยเกี่ยวกับการกินหมูยอดิบ อาจจะมีอันตรายอาจถึงตาย เพราะเสี่ยงรับสารพิษตกค้างจากหมูยอ

เลยถือโอกาสหาข้อมูลมาฝากกันว่า แท้ที่จริงแล้วใน"หมูยอ" แทบทุกยี่ห้อที่เรา ๆท่านๆ บริโภคกันอยู่นี้ใส่ "สารกันบูด" แทบจะทุกยี่ห้อ เพราะหมูยอมีส่วนผสมหลักคือ "เนื้อหมู"และอากาศบ้านเรามีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก ดังนั้นจึงเลี่ยงสารกันบูดไม่ได้

สารกันบูดในหมูยอที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ "กรดเบนโซอิค" และ "กรดซอร์บิก" เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค การผสมสารกันบูดนี้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

แต่อย่างไรก็ตามเราอจจะมีโอกาสพบเจอหมูยอที่ไม่ได้มาตราฐานและส่งผลร้ายต่อร่ายกายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหมูยอที่ห่อด้วยพลาสติก และสังเกตวันที่หมดอายุ เพราะในอาหารเหล่านี้จะมีสปอร์ เมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อากาศ และความเป็นด่าง สปอร์จะงอกและผลิตสารพิษ Clostridium botulinum ออกมา หากรับประทานหมูยอที่มีพิษเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากจะรับประทานให้เลือกหมูยอที่ห่อด้วยใบตองจะปลอดภัยกว่า หรือควรนำหมูยอที่ซื้อมาไปลวกก่อนกินทุกครั้ง เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้
 
 

Travel - Manager Online
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 10:36:25 pm
วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2553 13:29 น.
 
 
 
 
อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

"รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู
 
 

Travel - Manager Online


เสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วย “หญ้าปักกิ่ง”
Travel - Manager Online - ��������Ԥ����ѹ�ä���� �˭�һѡ��觔

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 กรกฎาคม 2553 17:32 น.

 

หญ้าปักกิ่ง เกิดเป็นต้นหญ้าใครว่าไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ “108เคล็ดกิน” ขอเถียงสุดใจขาดดิ้น เพราะต้นหญ้าที่หลายคนมองข้ามบางทีก็อาจจะเป็นยาวิเศษ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้เช่นกันอย่างเช่น “หญ้าปักกิ่ง” นี่อย่างไร

หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือ หญ้าเทวดา เป็นไม้ล้มลุก ใบ หนาเรียวคล้ายใบไผ่ ฉ่ำน้ำดอกเล็ก ๆ ออกที่ปลายต้น สีบานเย็น กลีบขาวแกมม่วง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น

การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง

ในชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรรักษาโรคมาเป็นเวลาหลายพันปี ใช้บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลย์ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การกินหญ้าปักกิ่งมีหลากหลายวิธีแต่ที่ง่ายสุดก็คือ กินหญ้าปักกิ่งสดๆ หรือปรุงเป็นอาหารจิ้มน้ำพริกกินก็ได้ แต่ต้องล้างให้มั่นใจว่าสะอาดจริงๆและข้อควรระวังไม่ควรกินของแสลง ซึ่งมีผลให้ฤทธิ์การรักษาโรคของหญ้าปักกิ่งอ่อนลง เช่น ฟักแฟง แตงกวา มะระ หัวไชเท้า


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: กระตุกหางแมว ที่ สิงหาคม 07, 2010, 03:13:01 am
ขอบคุณมากครับพี่หนุ่ม
เสียดายน่าจะมีภาพด้วยนะครับจะสมบูรณ์แบบ
ในสไตล์ของพี่หนุ่ม.. :13:
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2010, 06:23:19 pm
เก็บอาหารแห้ง ให้ปลอดเชื้อราหน้าฝน

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000110891
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 สิงหาคม 2553 16:47 น.
 
 




  หน้าฝนแบบนี้คุณแม่บ้านทั้งหลาย อาจจะพบเจอปัญหาในครัวสารพัด ที่มาพร้อมฝน หนึ่งในปัญหานั้นคือ ความชื้นในอากาศที่เร่งให้เกิดรา โดยเฉพาะกับอาหารแห้ง “108เคล็ดกิน” จึงมีวิธีดีๆ ในการเก็บรักษาอาหารแห้งมาฝากกัน
       
       เริ่มด้วย หอมและกระเทียม เป็นอาหารแห้งที่ไวต่อความชื้นและเชื้อรา หากเก็บไว้ในตะกร้าโปร่งที่อากาศถ่ายเทสะดวกแล้วยังไ ม่ได้ผล ให้เก็บใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น หรือใช้ถุงซิปล็อค ก่อนนำเข้าตู้เย็น ค่อยหยิบใช้เมื่อต้องการรับรองเชื้อราไม่มาแผ้วพาน
       
       ส่วน กุ้งแห้ง ก่อนเก็บล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปต้ม พอเดือดใส่เกลือเล็กน้อย ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำแล้วนำมาคั่วให้แห้ง เก็บใส่ถุงซิปล็อคในช่องฟรีซ กุ้งจะสะอาดปราศจากสารปนเปื้อนและเก็บได้นานเป็นปี
       
       เกลือและน้ำตาล ใส่ในขวดโหลปิดฝาให้สนิทกันมดแมลง ขณะใช้งานไม่ควรใช้ช้อนเปียกหรือชื้นตัก เพราะจะทำให้น้ำตาลหรือเกลือจับเป็นก้อน ส่วนน้ำตาลไอซิ่งโรยแป้งข้าวโพดลงไปเล็กน้อยเพื่อ ช่วยดูดความชื้น ก่อนเก็บในขวดแห้งและสะอาด
       
       และ ข้าวสาร ควรเก็บแบบแพ็คสุญญากาศ นำมาเก็บในถังพลาสติกปิดสนิทจะสะอาดปลอดภัยกว่า หากข้าวสารมีมอด แมลง ให้นำข้าวใส่ถุง แช่ช่องฟรีซสัก 2-3 วัน เพื่อกำจัดแมลง ก่อนนำมาล้างและหุงตามปกติ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 14, 2010, 07:41:28 am
"มังคุด" ผลไม้ไทยสารพัดประโยชน์

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1089644&stc=1&d=1281746217)

"มังคุด" ถือเป็นราชินีแห่งผลไม้ เพราะนอกจากจะรสชาติอร่อยหอมหวานกลมกล่อมแล้ว ผลไม้ไทยชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายสารพัด

คน ไทยสมัยโบราณรู้จักนำ "มังคุด" มาแปรรูปเป็นยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรค ไม่ว่าจะเป็น "เปลือกมังคุด" ใช้ฝนกับน้ำปูนใส เพื่อทาแผลให้หายเร็วขึ้น และช่วยรักษาโรคน้ำกัดเท้า หรือ ถ้านำไปต้ม ก็สามารถดื่มแก้อาการท้องร่วง ขณะที่เนื้อมังคุดมีกากใยช่วยเรื่องขับถ่าย และยังอุดมด้วยสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่นับไม่ถ้วน ไล่ตั้งแต่ น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

จนถึงปัจจุบันมีการนำ "มังคุด" ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทั้งมังคุดอบแห้ง น้ำมังคุด ไวน์มังคุด อาหารเสริมจากมังคุด ยาสระผม ครีมนวดผม สบู่ โลชั่น โดยผลจากการศึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ภายใต้การนำของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา, รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม, รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง ซึ่งทำการวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ ของมังคุดมานานกว่า 3 ทศวรรษ ค้นพบว่า มังคุดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงมากในเชิงสุขภาพ โดยสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการลดการหลั่งสาร "Interleukin I" และ "Tumor Necrosis Factor" ซึ่งตามหลักวิชาของศาสตร์ภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดอาการที่เกี่ยวกับการแพ้ภูมิตัวเอง และการอักเสบ พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ตับเสื่อม, ไตวาย, ข้อเข่าอักเสบ, ความดันโลหิต, โรคพาร์กินสัน, ไทรอยด์เป็นพิษ และความผิดปกติของสมอง อันเกิดจากการอักเสบ ขณะเดียวกัน มังคุดก็สามารถเพิ่มการหลั่งสาร "Interleukin II" ของเม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือเซลล์มะเร็ง

จากการร่วมวิจัยกับค่าย Henkel KGa ของประเทศเยอรมนี ทางคณะวิจัยจากศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย ยังค้นพบด้วยว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และระงับปวด โดยมีความแรงกว่ายาแอสไพรินถึง 3 เท่า จากจุดนี้เองได้มีการต่อยอดการวิจัยพัฒนาไปสู่การทำเครื่องสำอางต่างๆจาก สารสกัดเปลือกมังคุดเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง และอาการแพ้

ขณะที่ใน ปัจจุบัน ทางคณะวิจัยดังกล่าวได้ร่วมมือกับเครือข่ายทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ ทำการศึกษาถึงคุณประโยชน์ของการดื่มน้ำมังคุดสกัดเข้มข้น เพื่อช่วยเยียวยาอาการป่วยของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย ซึ่งหากงานวิจัยชิ้นนี้บรรลุผลสำเร็จจริงๆ ก็น่าจะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยไปทั่วโลก

"มังคุด" ยังมีคุณประโยชน์ดีๆอีกนับไม่ถ้วน สามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mangosteenrd.com


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1089645&stc=1&d=1281746217)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2010, 09:49:16 pm

สู้ฝนด้วยสมุนไพรเผ็ดร้อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2553 17:34 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000012519901.JPEG)

ขิง
       หน้าฝน มีอากาศเย็นและมีความชื้นสูง(ในวันฝนตก) ทำให้ร่างกายมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ซึ่งการกินอาหารที่มีส่วนของสมุนไพรรสชาติเผ็ดร้อน ถือเป็นตัวช่วยวิธีหนึ่ง
       
       และนี่คือสมุนไพรประเภทเผ็ดร้อน 5 ชนิดที่หากินได้ทั่วไป ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆอีกด้วย
       
       ขิง : ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้
       
       กะเพรา : ช่วยขับลม บำรุงธาตุไฟ แก้ปวดท้องและจุกเสียด
       
       ตะไคร้ : ขับลมในลำไส้ ช่วยบรรเทาอาการไข้ ลดอาการปวดท้อง ขจัดอาการอ่อนเพลียของร่างกาย ลดอาการปวดหลัง
       
       กระเทียม : แก้ไอ แก้ลม บำรุงธาตุ แก้ปวดมวนท้อง ช่วยเสริมให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       
       พริกไทย : แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ลดเสมหะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 24, 2010, 11:10:49 pm
 :45: ขอบคุณมากมายครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 27, 2010, 07:12:14 pm
ประโยชน์จากงาขาวและงาดำ

ทราบหรือไม่ว่า งาขาวและงาดำมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก

- งาดำและงาขาวมีฤทธิ์เป็นกลาง รสหวาน ส่วนน้ำมันงามีฤทธิ์เย็น แก้อาการท้องผูก ทำให้ลำไส้ชุ่มชื้น ลดกรดในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบของทางเดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะ บำรุงตับและไต

- เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

- รักษาอาการเคล็ดขัดยอก บำรุงรากผมและผิว ช่วยให้หลับได้ดี
 
- รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลเปื่อยติดเชื้อ

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาทานงาขาวและงาดำกันดูได้.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=87680
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 27, 2010, 09:50:39 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 30, 2010, 06:28:59 pm
ค้นพบ กะเพราศักดิ์สิทธิ์ พืชชนิดใหม่ของโลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

คณะสำรวจพรรณไม้ค้นพบ พรรณพืชชนิดใหม่ 4 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ กะเพราศักดิ์สิทธิ์

          วันนี้ (30 สิงหาคม) มีการแถลงข่าวการค้นพบพรรณพืชชนิดใหม่ของโลก 4 ชนิด โดนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะสำรวจพันธุ์พืช ของกรมอุทยานฯ ที่นำโดย ดร.สมราน สุดดี ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้วงศ์กะเพราของไทย ได้ค้นพบ พรรณไม้สกุลโมก 3 ชนิด คือ โมกการะเกตุ , โมกพะวอ , โมกนเรศวร และ กะเพรา 1 ชนิด ที่บริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว จ.หนองคาย

          โดย กะเพรา ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นกะเพรา ชนิด Labiatae ซึ่งจะขึ้นอยู่ตามดินตื้น  ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นดังนี้

           มีลำต้นเป็น สี่เหลี่ยม

           สูงประมาณ 50-60 เซ็นติเมตร

           กิ่งมีขนสั้น ๆ นุ่ม ๆ

           ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวมีขนสาก ๆ ด้านบน เรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4 – 1 เซ็นติเมตร

           กลิ่นไม่ฉุนเหมือนใบกะเพราทั่วไป

           ออกดอกผล ตอนช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม

           ยังไม่ทราบว่ารับประทานได้หรือไม่

          ซึ่งในขณะกำลังตีพิมพ์ประกาศเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก ในวารสาร Thai Forest Bulletin ( Botany )เล่มที่ 38 ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ผ่านการตรวจค้นข้อมูลแล้ว ไม่พบว่ากะเพราชนิดใหม่ที่พบเจอนี้ ไปซ้ำหรือใกล้กับกะเพราของชาติอื่น จึงสามารถเรียกได้ว่า เป็นกะเพราะชนิดใหม่ของโลก ที่จัดเป็นพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์

          ส่วนชื่อเรียกสำหรับกะเพราชนิดใหม่นี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ตั้งให้ว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ (Platostoma tridechii Suddee ) เพื่อเป็นการระลึกถึง ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมอุทยาน ที่เพิ่งเสียชีวิตไปจากการประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ จ.น่าน ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มความสามารถ จนกระทั่งจบชีวิตลงขณะปฏิบัติหน้าที่

          อย่างไรก็ตาม นายจตุพร อธิบดีกรมอุทยานฯ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ตั้งชื่อว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นั้นเป็นเพราะคุณศักดิ์สิทธิ์ ท่านชอบกินกะเพรามาก อีกทั้งสถานที่ที่ค้นพบกะเพราชนิดนี้ก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เป็นบ้านเกิดของท่านศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก คมชัดลึก

http://hilight.kapook.com/view/51651




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 02, 2010, 07:46:36 pm

"พริก" อุดมด้วยประโยชน์

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2010/09/30/bkahjdb7c865h9bbcjak6.jpg)

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2010/09/30/796bf9d75ie8j98cagj7g.jpg)


คมชัดลึก :คน ไทยกับรสแซบนะคู่กันคู่กัน โดยเฉพาะรสเผ้ดของพริกถ้าไม่จัดจ้านถึงใจไม่มีที่จะอร่อยเด็ด(ยกเว้นคนไม่ กินเผ็ด) แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง!!! และในโอกาสที่เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ที่นำพริกชี้ฟ้ามาเป็นส่วนสำคัญ พร้อมยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพริก

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2010/09/30/dhkjbbbf5dcje8bbf8gbj.jpg)

 นาวาอากาศโทแพทย์หญิง อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานานแล้ว ซึ่งพริกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารไทยให้จัดจ้าน และทำให้เจริญอาหาร นอกจากนี้ในพริกยังมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกยัง ช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จะสังเกตได้ว่าเมื่อทานเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

 "ปัจจุบันพริกไม่ เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น แต่ในด้านการแพทย์ผิวหนังและด้านความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาใน รูปแบบของครีม เจลเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยขยายเส้นเลือดบริเวณนั้น เมื่อใช้ร่วมกับตัวยาสลายไขมันอื่นๆ ด้วย

 นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีนยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ในช่วงที่ผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้ทานอาหารรสเผ็ดร้อน อาทิ พริก พริกไทย จะช่วยบรรเทาอาการหวัด  ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้คึกคัก สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ธาตุไฟแกร่งควรทานพริกแต่น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้

.
http://www.komchadluek.net/detail/20101001/74888/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C.html

.


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ ตุลาคม 02, 2010, 08:04:37 pm
 :06: เวลาผมสั่งข้าวขาหมูผมชอบทานพริกสดเม็ดสีเขียวเล็กๆ นะครับ ได้รสชาติดีครับ
แต่ถ้าอาหารอื่น อย่างสมตำนี่ผมไม่ค่อยใส่ เยอะ บอกเค้าใส่แค่เม็ดเดียวตลอด..
ขอบคุณครับพี่หนุ่ม^^
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 10:05:01 pm
กิน"ขิง" สู้หนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 พฤศจิกายน 2553 17:14 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016532901.JPEG)

น้ำท่วมยังไม่คลาย ลมหนาวก็ย่างกรายมาเยือน ชนิดที่ทำท่าว่าปีนี้จะหนาวเอาเรื่อง เพราะน้ำเยอะ อากาศโลกเปลี่ยน
       
       เมื่อลมหนาวพัดมา หลายคนมักจะเกิดอาการคั่นเนื้อคั่นตัวเป็นหวัดเอาได้ง่ายๆ นั่นจึงทำให้คนโบราณเขาเลือกการกินอย่าง“ขิง” เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาว เพราะขิงเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์อุ่น รสร้อน
       
       โดยในขิงจะมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย Gingerol และ Shogaol ที่จะช่วยขับเหงื่อและทำให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งยังช่วยบรรเทาพิษไข้ เวลาหนาวๆ หากใครได้น้ำขิงร้อนๆมาจิบสักแก้วก็จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้มาก ทั้งยังช่วยลดอาการไอและระคายคอจากการมีเสมหะได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ ขิงยังมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ และจากนั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบอีกด้วย เพราะขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้
       
       และนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาวด้วยการกินสมุนไพรใกล้ตัว ซึ่งสำหรับหนาวนี้ใครจะลองนำไปปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็นแต่ อย่างใด ส่วนใครที่หนาวนี้ไม่เพียงแต่หนาวกาย หากแต่มีอาการหนาวใจตามไปด้วย งานนี้ “108 เคล็ดกิน” ขอบอกว่าคงต้องตัวใครตัวมัน เพราะช่วยกันไม่ได้จริงๆ

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000155911

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ พฤศจิกายน 04, 2010, 10:14:20 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม หลังบ้านผมก็ปลูกขมิ้นกับขิงครับ แต่คงต้องขุดยากหน่อย เพราะโดนดินถมลึกซะแล้ว
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2010, 06:58:28 pm
มะพร้าว : พฤกษาแห่งชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2553 12:01 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016565701.JPEG)

นัก โภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C (Robert Wetzlmayr)

(http://pics.manager.co.th/Images/553000016565702.JPEG)

สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข



คนไทยเรียกมะพร้าวหลายชื่อเช่น หมากอุ๋น หมากอูน โพล หรือถุง แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว มะพร้าวมีชื่อว่า Cocos nucifera ในวงศ์ Palmae เพราะมาจากคำ cocos ซึ่งเป็นคำในภาษาโปรตุเกส
       
       นักประวัติศาสตร์ได้พบหลักฐานที่แสดงว่า มะพร้าวมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และ Marianas เมื่อ Marco Polo เดินทางเยือนจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เขาได้บันทึกการเห็นมะพร้าวว่ามีลำต้นประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นเมื่อชาวสเปนได้เห็นมะพร้าวที่ชาวโปรตุเกสนำมาจากเอเชีย จึงได้นำมะพร้าวไปปลูกใน West Africa และอเมริกาใต้ จากนั้นมะพร้าวก็ได้แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก
       
       ตามปรกติมะพร้าวชอบขึ้นในแถบร้อน โดยเฉพาะในบริเวณชายทะเลที่มีดินร่วนปนทราย และในที่ ๆ มีฝนตกน้อยกว่า 60 เซนติเมตร/ปี นักชีววิทยาบางคนไม่คิดว่ามะพร้าว คือ ต้นไม้ เพราะลำต้นไม่มีกิ่ง และไม่มีเปลือกเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่เป็นทรงกระบอกที่มีขนาดค่อนข้างสม่ำเสมอ และไม่มีวงปี นอกจากนี้ ลำต้นก็ไม่มีตาสำหรับให้ใบแตกแขนง คือ ใบจะแตกที่ยอด ซึ่งจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมะพร้าวไม่มีวงปี ดังนั้น เวลานักพฤกษศาสตร์ต้องการรู้อายุของต้นมะพร้าว เขาจะใช้วิธีนับรอยแผลที่เกิดจากการหลุดร่วงของใบ ทั้งนี้เพราะมะพร้าวจะผลัดใบราว 12-14 ใบในแต่ละปี ดังนั้นในปีหนึ่ง ๆ รอยแผลที่ลำต้นจะมีตั้งแต่ 12-14 แผล
       
       ใบมะพร้าวเป็นใบประกอบ แบบขนานโดยแตกเป็นคู่ ๆ ใบมีขนาดใหญ่และยาว ตั้งแต่ 4.5-6.0 เมตร ใบอ่อนเกิดที่ใจกลางของยอดและมีลักษณะเรียวยาวคล้ายดาบ ใบที่ยังอ่อนจะมีกาบใบหุ้ม แต่เมื่อใบมีอายุมากขึ้น ใบอ่อนจะแผ่ขยายกว้าง และเอนออกจากลำต้น ดอกมะพร้าวมีกลีบดอก 6 กลีบ ดอกมีสีครีม หรือเหลืองนวล ดอกมี 3 ประเภทคือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกะเทย ซึ่งมักอยู่แยกกัน ถึงจะอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกออกเป็นช่อ และเป็นส่วนที่ชาวสวนเรียกว่า จั่น ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จั่นจะยาวตั้งแต่ 0.75-2.00 เมตร โดยทั่วไปดอกมะพร้าวจะเริ่มบานจากปลายมาโคนจั่น ดอกตัวเมียมีขนาดตั้งแต่ 1-3 เซนติเมตร ส่วนดอกกะเทยจะใหญ่ประมาณ 10-55% ของดอกตัวเมีย มะพร้าวต้นหนึ่งมีดอกตัวผู้ตั้งแต่ 200-300ดอก
       
       ผลมะพร้าวทุกผลมีเปลือกหุ้ม โดยชั้นนอกเป็นใยเหนียวแข็ง มีสีเขียว แดง เหลือง หรือน้ำตาล ชั้นกลางเป็นเส้นใยที่หนาพอประมาณ ส่วนชั้นในหรือที่เรียกว่า กะลานั้นแข็งมาก สำหรับเมล็ดมะพร้าวนั้นก็คือ เนื้อมะพร้าวรูปแบบหนึ่ง ขณะผลยังอ่อนอยู่ ภายในเมล็ดจะมีน้ำมะพร้าวเต็ม แต่เมื่อผลแก่ น้ำมะพร้าวส่วนหนึ่งจะแห้งไป
       
       ประเทศไทยมีสวนมะพร้าวประมาณ 2.5 ล้านไร่ ในพื้นที่ภาคกลาง และใต้ หรือตามบริเวณชายทะเล เพราะต้นมะพร้าวขึ้นได้ดีในแถบร้อน และตามที่สูงตั้งแต่ที่ระดับน้ำทะเลจนถึง 900 เมตร หรือตามชายฝั่งที่มีการระบายน้ำดี และมีน้ำใต้ดินผ่าน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกมากกว่า 100 เซนติเมตร/ปี และมีอุณหภูมิตั้งแต่ 20-34 องศาเซลเซียสนั้นเป็นพื้นที่ ๆ เหมาะสำหรับการปลูก เพราะไม่ร้อนจัดและไม่เย็นจัด นอกจากนี้ ชาวสวนยังพบอีกว่า มะพร้าวต้องการแดดมาก ดังนั้นต้นที่ปลูกในที่ร่มจะเติบโตช้า กว่าต้นที่ถูกแดดตลอดเวลาส่วนลมที่พัดในสวนก็สมควรเป็นลมอ่อน ๆ เพราะถ้าลมพัดแรงต้นมะพร้าวอาจล้ม
       โรคที่มะพร้าวเป็นคือโรคยอดเน่า ส่วนศัตรู คือ ด้วงมะพร้าว ซึ่งชาวสวนสามารถกำจัดได้โดยใช้ยากำจัดแมลง
       
       ในการคัดเลือกพันธุ์มาปลูกตามปรกติชาวสวนจะใช้ผลที่มีหน่อแก่จัดและโคนหน่อมีขนาดใหญ่ และมี
       ลำต้นอวบ ผลมะพร้าวที่มีขนาดเล็ก และมีน้ำน้อยจะไม่ถูกเลือกมาเพาะ อนึ่งเวลาจะเพาะมะพร้าวชาวสวนจะเลือกสถานที่ใกล้น้ำ และดินเป็นดินทราย ในตอนต้นฤดูฝน ชาวสวนจะนำหน่อที่ต้องการปลูกใส่ในหลุม แล้วกลบดินให้เสมอผิว และรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมกับทำความสะอาดหลุมปลูก ไม่ให้มีหญ้ารกรุงรัง สำหรับแบบแผนปลูกนั้น ชาวสวนนิยมปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นเท่า ๆ กัน คือห่างตั้งตา 9-12 เมตร
       
       วิถีชีวิตของมะพร้าว มีรูปแบบในทำนองเดียวกับคน คือ จะออกผลเต็มที่เมื่ออายุ 12-13 ปี และให้ผลจนอายุ 60 ปี จากนั้นก็หยุดและตายเมื่ออายุตั้งแต่ 80-90 ปี โดยต้นที่ได้ปุ๋ยดีจะให้ผลตั้งแต่ 70-120 ลูก/ปี อนึ่งเวลาเก็บผลชาวสวนมักคอยจนผลตกจากต้น
       
       ในบทบาทที่เป็นอาหารนั้น ชาวสวนพบว่าเวลาเอามีดตัดปลายจั่นมะพร้าว แล้วนำไปนวดจะมีน้ำหวานไหลออกมา ซึ่งน้ำหวานนี้สามารถนำไปทำน้ำตาล ดื่ม หรือทำเหล้าได้ น้ำมะพร้าวสามารถใช้รับประทานสดได้ส่วนเนื้อมะพร้าวสดใช้ปรุงอาหาร ทำขนม หรือน้ำมัน สำหรับกากมะพร้าวใช้เป็นอาหารสัตว์ และยอดอ่อนใช้เป็นอาหาร
       
       นักโภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C สำหรับบทบาทที่เป็นยา แพทย์ชาวบ้านก็ได้พบว่า เปลือกต้นมะพร้าวเมื่อนำมาเคี้ยว สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดฟันได้ ส่วนเถ้าที่เกิดจากการเผาลำต้น ก็สามารถนำมาทำยาสีฟันได้ ดอกมะพร้าวใช้เคี้ยวแก้เจ็บปาก เจ็บคอ ท้องเสีย ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ และบำรุงโลหิต เนื้อมะพร้าวมี glycerine ที่ทำหน้าที่บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ทำกะทิ ทำสบู่ น้ำมะพร้าวใช้แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ น้ำมันมะพร้าวใช้ยาบำรุงกำลัง ทำไขมัน ทำเนยเทียม แก้ปวดกระดูก ถ่านกะลาใช้ดูดควันพิษ รากมีรสฟาก แก้ท้องเสีย ทำน้ำอมปาก แก้เจ็บคอ ใบใช้มุงหลังคา จักสาน ห่อขนม ก้านใบใช้ทำไม้กวาด หมวก กระเป๋าถือ ตะกร้า ไม้จิ้มฟัน ทำไซดักปลา ไม้กลัด ทำของเล่นเด็ก กะลาใช้ทำจาน แก้วน้ำ ซ้อน มีด ที่เขี่ยบุหรี่ ของที่ระลึก ทำกระดุมและหัวเข็มขัด ลำต้นแก่ใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องเรือน เป็นวัสดุก่อสร้าง ที่อาศัย เก้าอี้ เตียง ฟูก เปลือกมะพร้าวใช้สกัดเป็นใย ใชทำเชือก พรม วัสดุยัดเบาะ ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 แพทย์ทหารใช้น้ำมัดมะพร้าว ต่างสารละลาย glucose เพื่อฉีดเข้าเส้นเลือดของทหาร
       คุณประโยชน์ที่มหาศาลเช่นนี้ ได้ทำให้ชาวฟิลิปปินส์ชื่นชมและยกว่า มะพร้าวว่าเป็นพฤกษาแห่งชีวิต
       
       สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ในพิธีเทศกาลชาวบ้านมักใช้ใบตกแต่งซุ้ม แห่ขันหมาก คนภาคใต้นิยมให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าว เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ประจำเดือนหยุดก่อนวัยอันควร แต่คนภาคกลางนิยมให้สตรีมีครรภ์ดื่มเพราะเชื่อว่า จะทำให้ผิวทารกที่คลอดใหม่สดใส และคนที่เป็นแม่จะคลอดลูกได้สะดวก นอกจากนี้ คนบางคนยังเชื่ออีกว่า น้ำมะพร้าวที่สะอาด จะสามารถใช้อาบศพได้ด้วย
       
       ในบทบาทที่เกี่ยวกับความงามโดยทั่วไป ที่หาดเวลาลมพัดเบา ๆ ใบมะพร้าวจะโบกไปมา และส่งเสียงเบา ๆ ลำต้นที่ตั้งตรงทำให้ดูเสมือนต้นมะพร้าวกำลังเต้นบัลเลท์ หรือเวลาพระอาทิตย์ตกดินในบรรดาหาดทรายขาวซึ่งมีน้ำทะเลสีน้ำเงิน คงไม่มีหาดใดที่สวยงามเท่าหาดที่มีทิวมะพร้าวขึ้นเรียงรายตามชายหาดเป็นแน่
       
       ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ มะพร้าวจึงสมควรที่ได้ชื่อว่า เป็นต้นไม้แห่งชาติฟิลิปปินส์ เพราะในชาติทุกคนผูกพันกับมะพร้าวมาก และใครก็ตามที่นับดาวได้ทั่วฟ้า เขาก็จะรู้ประโยชน์ของมะพร้าวได้มากเท่านั้น
       
       ในวารสาร Current Biology ฉบับที่ 19 หน้า R1069 ปี 2010 Julian Finn แห่ง Museum Victoria ที่ Melbourne ใน Australia ได้รายงานว่า ปลาหมึก Amphioctopus marginatus ที่มีหนวดขนาด 8 เส้น รู้จักใช้กะลามะพร้าวเป็นเกราะกำบังตัว นี่เป็นหลักฐานชิ้นแรกของโลก ที่แสดงว่า สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังก็รู้จักใช้อุปกรณ์ เพราะนักชีววิทยาคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้อุปกรณ์เป็นสัตว์ฉลาด เช่น มนุษย์ ลิง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนก ต่างก็รู้จักใช้อุปกรณ์เช่นกัน ดังนั้นตามคำจำกัดความนี้ ปลาหมึก ที่ใช้กะลามะพร้าวปกป้อง และเป็นที่อยู่โดยการแฝงตัวในกะลาครึ่งซีกจึงเป็นสัตว์ฉลาด เพราะเวลาศัตรูเข้ามาใกล้ ปลาหมึกจะพลิกตัวเข้าไปในกะลาให้หุ้มเพื่อปกป้องตัวมันและเมื่อศัตรูเดินไป ไกลแล้ว มันก็จะทิ้งกะลาไปเพื่อจะได้ใช้ในกะลานั้นให้หุ้มปกป้องมันโอกาสต่อไป
       
       ณ วันนี้ น้ำมะพร้าวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในอเมริกามาก หลังจากที่ดาราดังเช่น Madonna, Matthew McConaughey และ Demi Moore ได้ออกมาสนับสนุน ว่า น้ำมะพร้าวที่บรรจุในกล่องกระดาษของบริษัท Vita Coco เป็นน้ำดื่มสุขภาพที่ควรได้รับความนิยม เพราะมีแคลอรีน้อยและมีสารอาหารเช่นโปแตสเซียม มากกว่ากล้วย อีกทั้งมีน้ำตาลน้อยกว่า น้ำอัดลมทั่วไป ดังนั้น จึงสามารถใช้ดื่มสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วนได้
       
       สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

.


http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156291

.




.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 26, 2010, 09:18:03 pm
กระเจี๊ยบแดง-พุทราจีน ลดไขมันในเลือด

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1011/26/etc/hl261110.jpg)


‘มุมสุขภาพ-กินดี’ ส่งท้ายวันทำงานก่อนไปหยุดพักผ่อน ด้วยเมนูเครื่องดื่มสุขภาพ ‘น้ำกระเจี๊ยบแดงและพุทราจีน’ ที่ช่วยลดไขมันในเลือด หินปูนในหลอดเลือด และบำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ เผื่อผู้อ่านรักษ์สุขภาพจะได้นำไปลองปรุงดื่มกันดู

สำหรับสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้น ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ลดความดันเลือด ลดความข้นในกรณีที่เลือดหนืด ป้องกันเส้นเลือดเสื่อมสภาพ ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ และลดน้ำหนัก ส่วนพุทราจีน มีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ลดโอกาสเสี่ยงผนังเส้นเลือดแข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน

ขั้นตอนในการทำง่ายแสนง่าย เพียง เตรียมกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน ในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไปต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำตาลทรายแดงละลายก็เป็นอันเสร็จ สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและดื่มได้ทันที หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้.

takecareDD@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=106394

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 28, 2010, 09:13:26 am
น้ำมะเขือเทศ ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         นัก วิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยสรรพคุณสุดมหัศจรรย์ของน้ำมะเขือเทศ ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

         โดยในมะเขือเทศนั้น มี ไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย

         ซึ่ง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่าย

         จากนั้น ทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพีน 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้

         จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

http://health.kapook.com/view19008.html

.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 03, 2010, 01:10:29 pm
กิน “ผักบุ้ง” บำรุงสายตา
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 ธันวาคม 2553 14:28 น.
 

หลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่ากิน “ผักบุ้ง” แล้วทำให้ตาหวาน ตาสวยได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เพราะว่าผักบุ้งมีสารที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นวิตามิน A ที่เรียกว่า เบต้า-แคโรทีนเยอะมาก แล้ววิตามิน A นี้เองเป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงให้ตาเป็นประกาย ไม่แสบ ไม่แห้ง แล้วยังมีสรรพคุณแก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืนได้ ช่วยให้หายแสบตาจากอาการตาแห้ง และลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะ ๆ และอยากจะบอกอีกว่าผักบุ้งไมได้มีแต่วิตามิน A เท่านั้น ยังมีวิตามิน C ด้วย แต่ถ้าอยากได้วิตามิน C จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ในผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด อีกทั้งแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก รวมถึงมีเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย และในผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินที่สามารถลดน้ำตาลในกระแสเลือดสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของผักบุ้งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ผักบุ้งเป็นหนึ่งในตำรายาไทย คือถือเป็นยาเย็นแก้ถอนพิษเมื่อเมาอีกด้วย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000163231
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2010, 07:26:17 am
สุขภาพดีไม่มีขาย…มากินตะไคร้ ต้านหวัดกันเถอะ

คมชัดลึก :ใน ช่วงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย คงจะทำให้หลายคนเกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัดกันได้ง่ายๆ เราจึงต้องดูแลสุขภาพกันให้มากๆ โดยเริ่มต้นจากอาหารที่เรากิน ซึ่งอาหารและสมุนไพรไทยมีหลายชนิดที่มีสรรพคุณต้านหวัด หรือบรรเทาอาการของโรคหวัดได้ หนึ่งในนั้นก็คือ "ตะไคร้"

สรรพคุณในการรักษาโรค ต่างๆ ของตะไคร้มาจากน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดที่มีอยู่ในใบและลำต้น ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่คนไทยและอีกหลายประเทศใช้บรรเทาอาการหวัดมานานแล้ว โดยสามารถช่วยลดไข้ แก้ปวดหัว เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอบอุ่น และที่สำคัญคือช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี

 สำหรับบางคนที่อาจจะไม่ชอบรับประทานตะไคร้สด การนำตะไคร้มาทำเป็นเครื่องดื่มก็จะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น วิธีการทำก็ไม่ยาก เพียงนำใบตะไคร้และต้นตะไคร้สดทุบพอละเอียดแล้วมาต้มกับน้ำให้เดือดสักครู่ พักไว้ให้พออุ่นๆ แล้วนำมาดื่มหลังอาหารหรือดื่มเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวันก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หายใจโล่ง ถ้าใครไม่ชอบดื่มจืดๆ ก็อาจจะเติมน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมลงไปเพิ่มความหวานเล็กน้อย หรือลองนำตะไคร้มาต้มกับใบเตยสดหรือขิงสดก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมไปอีกแบบ แถมยังช่วยต้านหวัดได้อีกด้วย

 หากใครมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ลองนำตะไคร้มาต้มรวมกับหอมแดงและใบมะขามจนเดือดนานพอควร แล้วคอยสูดไอน้ำที่ลอยขึ้นมา ทำวันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยลดน้ำมูกและทำให้หายใจโล่งขึ้น ไม่คัดจมูก สูตรนี้ใช้กันมาแต่โบราณทีเดียว

 ตะไคร้ยังมีสรรพคุณเป็นยาขับลม เพราะน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว จึงช่วยลดการแน่น จุกเสียด แก้ท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ลดความดันโลหิตสูง ขับเหงื่อและช่วยรักษาโรคหืด นอกจากนี้น้ำมันตะไคร้ยังนำมาทาแก้ปวดเมื่อยได้ผลอย่าบอกใคร

 ด้วยกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวของตะไคร้ คนไทยจึงนิยมนำมาช่วยชูรสและเป็นเครื่องปรุงสำคัญของอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงการนำมายัดไส้หรือผสมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพื่อช่วยดับคาวและทำให้ อาหารมีกลิ่นหอม เรียกว่าได้ทั้งความอร่อยและคุณค่าจากตะไคร้ในคราวเดียว

 สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะนำตะไคร้สดมาปรุงอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่มรับ ประทานเอง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ตะไคร้แปรรูปหลายชนิด ให้ได้เลือกซื้อง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มตะไคร้ผงสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบต่างๆ กันไป เช่น ชาตะไคร้ ตะไคร้ผงสำหรับชง หรือเครื่องดื่มตะไคร้ผสมสมุนไพร เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

 อย่างไรก็ตามการซื้อเครื่องดื่มตะไคร้สำเร็จรูป เราต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบของเครื่องดื่มให้ถ้วนถี่ โดยควรสังเกตและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติแท้ๆ เพื่อให้ได้คุณค่าจากตะไคร้อย่างเต็มที่  เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลให้รสหวานมากเกินไป เพื่อสุขภาพอนามัยของผู้รับประทานในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวเป็นหวัดอีกต่อไป

ที่มา คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/detail/20101203/81514/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%A6%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0.html

.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 18, 2010, 06:18:10 pm

“วาซาบิสด” รสชาติญี่ปุ่น สรรพคุณล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2553 14:50 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018756501.JPEG)

       “วาซาบิ” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการกินอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารพวกซูชิ หรือปลาดิบทั้งหลาย และที่ “108 เคล็ดกิน” จะพูดถึงในวันนี้ก็คือ “วาซาบิสด” ที่ทำมาจากโคนลำต้นของต้น Canola แล้วนำมาฝนด้วยแผ่นหนังปลาฉลาม ก็จะได้วาซาบิสดที่กินคู่กับอาหารญี่ปุ่นหลายชนิด
       
       รสเผ็ดของวาซาบิจะแตกต่างกับความเผ็ดของพริก คือจะมีรสเผ็ดขึ้นจมูกอยู่เพียงชั่วครู่ วาซาบิจะระเหยได้ง่ายโดยเฉพาะหากโดนน้ำและความร้อน และแนะนำว่า หากจะกินวาซาบิคู่กับโชยุ อย่านำทั้งสองอย่างลงไปผสมกัน เพราะวาซาบิจะละลายไปกับโชยุได้ง่าย ซึ่งจะทำให้รสชาติที่แท้จริงของวาซาบิผิดเพี้ยนไป
       
       ส่วนสรรพคุณของวาซาบินั้น นอกจากจะช่วยชูรสชาติอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย อาทิ
       
       - ใช้ยับยั้งเชื้อโรคและเชื้อรา วาซาบิมีสรรพคุณลดการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ
       
       - ใช้ยับยั้งพยาธิ มีผลหยุดการเกิดพยาธิที่อาศัยอยู่ในสัตว์ทะเล
       
       - ใช้ยับยั้งมะเร็งกระเพาะอาหาร หยุดการเจริญเติบโตและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งในกระเพาะอาหาร
       
       - ใช้ป้องกันเส้นเลือดตีบ ป้องกันเลือดแข็งตัวเป็นก้อน
       
       นอกจากนี้ ยังใช้กระตุ้นการดูดซับในระบบย่อยอาหาร ป้องกันการท้องเสีย ทำให้กระดูกแข็งแรง รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปกติ
       
       สรรพคุณยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ เห็นที “108 เคล็ดกิน” คงต้องรีบไปเสาะหา “วาซาบิสด” มากินเสียแล้ว

.



.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: Plusz ที่ ธันวาคม 26, 2010, 06:45:02 pm
วาซาบิเผ็ดขึ้นจมูกเลยค๊า T^T :24: :24:
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2010, 09:41:44 am
ให้ ‘ลูกแพร์-วอเตอร์เครส’ ขับของเสีย

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1012/30/etc/hl311210.jpg)

ส่งท้ายปี 2553 ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรเครื่องดื่มเพื่อการล้างของเสีย ช่วยให้ร่างกายสะอาด มาฝากผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ได้นำสูตรเครื่องดื่มจากธรรมชาติไปสกัดดื่มให้ร่างกายแข็งแรงรับปีใหม่

สูตรนี้มีส่วนผสมไม่กี่ชนิด เริ่มจาก ลูกแพร์ มีวิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และไนอาซิน ช่วยขับปัสสาวะ ทำความสะอาดทั้งไต ไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดคอเรสเตอรอล ต้านอนุมูลอิสระ ขับโลหะหนักและของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกาย

และ วอเตอร์เครส อุดมด้วย วิตามินซี คลอโรฟีลล์ เหล็ก กำมะถัน ไบโอติน เบต้าแคโรทีน แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และไฟโตเคมิคอล รวมทั้งไอโซไทโอไซยาเนต ที่ช่วยทำลายสารก่อมะเร็ง ดีต่อลำไส้ใหญ่และทางเดินอาหาร ล้างพิษออกจากตับและไต ฟอกเลือด ล้างของเสียออกจากร่างกาย

สำหรับส่วนผสมให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

    * ลูกแพร์สุกเต็มที่ 1 ถ้วย
    * วอเตอร์เครส 1/2 ถ้วย
    * น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ส่วนขั้นตอนในการทำง่าย ๆ สั้น ๆ เพียงหั่นลูกแพร์เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หั่นวอเตอร์เครสพอหยาบ สกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งเย็นชื่นใจ

ปีหน้าขอให้สุขภาพดีกันถ้วนหน้า ด้วยความปรารถนาดีจาก ‘มุมสุขภาพ’

takecareDD@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=112859

.




.



.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2011, 07:57:30 am
“ไซบูทรามีน” ภัยจากกาแฟลดความอ้วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2553 14:24 น.

จากที่ได้เห็นการโฆษณากาแฟลดความอ้วนจากหลากหลายทาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอรเน็ต หรือแม้แต่ตามร้านค้าทั่วไป ซึ่งหลายคนก็คงอยากจะลองใช้ดูบ้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีข่าวการเข้าจับกุมแหล่งขายกาแฟลดความ อ้วนที่ผสมสารอันตรายหลายยี่ห้อ ซึ่งเมื่อได้นำมาตรวจสอบแล้วก็พบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ผสมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์

สารไซบูทรามีนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ในคลินิก สำหรับลดความอ้วน ซึ่งตอนนี้องค์การอาหารและยาได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ โดยอยู่ระหว่างการเรียกคืนจากร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลทุกแห่ง ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือรีดัคทิล (Reductil)

วิธีการสังเกตว่ากาแฟที่กินอยู่ผสมสารไซบูทรามีนหรือไม่ ให้ดูจากการอวดอ้างสรรพคุณ ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่น หวิวๆ รู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ไว้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้น หากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น

หลักในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่แต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

สาวๆ (หรือหนุ่มๆ) คนไหนที่อยากจะลดหุ่นให้ดูดีตามที่ใจต้องการ ก็ไม่ต้องไปพึ่งพากาแฟเหล่านั้น เพียงแต่กินอาหารให้ถูกสัดส่วน และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้ว

http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000183546
.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 01, 2011, 10:43:38 am
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2011, 09:13:32 am
เคล็ดลับเลือกเนื้อวัว เพื่ออาหารจานอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มกราคม 2554 15:44 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000512701.JPEG)

 เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การเลือกเนื้อวัวมาทำอาหารสักจานนั้น ต้องเลือกเนื้อที่สด สะอาด ออกสีแดงๆ กดลงไปแล้วเนื้อไม่บุ๋ม ไม่มีน้ำเลือดไหลซึมออกมา ไม่มีสีคล้ำอมเขียว และเมื่อดมแล้วไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
       
       แต่เนื้อวัวก็มีอยู่หลายส่วนให้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัน ซี่โครง สะโพก เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะเหมาะกับการทำอาหารแตกต่างเมนูกัน “108 เคล็ดกิน” จึงอยากแบ่งแยกให้เห็นกัน ดังนี้
       
       เนื้อส่วนคอ (Chuck) เหมาะสำหรับทำอาหารประเภออบ เนื้อบด ทำซุป หรือสตูว์
       
       เนื้อกระพุ้งแก้ม นำไปตุ๋นจนเปื่อยจะได้เนื้อนุ่มอร่อยเป็นส่วนที่มีน้อยและหายาก
       
       ลิ้นวัว เหมาะที่จะนำมาเคี่ยวทำสตูว์
       
       เนื้อไหล่ เหมาะสำหรับทำสุกี้ยากี้ ชาบุชาบุ หรืออาหารที่ใช้เนื้อเป็นก้อน
       
       เนื้อสันใน (Tenderloin) เนื้อส่วนนี้นุ่มและมีไขมันน้อย เหมาะสำหรับน้ำมาผัด หรือย่างทั้งก้อน
       
       เนื้อสันนอก (Sirloin) เนื้อนุ่มเหมาะสำหรับทำสต็กที่สุด
       
       เนื้อติดซี่โครง (Rib) เนื้อนุ่ม ลายไขมันเป็นลายหินอ่อน เหมาะกับการอบ ทอด และย่าง
       
       เนื้อสะโพก (Rump) เหมาะกับการอบ ย่าง ทำเนื้อบด หรือสเต็ก
       
       เนื้อส่วนท้อง (Plate&Flank) มีไขมันเยอะ รสชาติเข้มข้น จึงเหมาะกับการทำสตูว์ น้ำสต๊อก ทำเนื้อเปื่อย หรือ เนื้อตุ๋น
       
       เนื้อท่อนขา (FORE SHANK ) เป็นส่วนที่เหนียว เหมาะที่จะสตูว์ น้ำซุป ย่าง หรือตุ๋น
       
       หางวัว เป็นเนื้อส่วนที่มีคอลลาเจนมาก เหมาะสำหรับนำไปตุ๋น นิยมทำเป็นซุปหางวัว
       
       กระดูกวัว เหมาะที่จะนำมาต้มทำน้ำซุป
       
       คราวนี้ก็ได้รู้แล้วว่า เนื้อวัวส่วนไหน เหมาะกับอาหารจานใด ต่อไปนี้ถ้าหากจะเข้าครัวปรุงอาหาร จะได้เลือกให้ถูกส่วน เพื่อเพิ่มความเอร็ดอร่อยให้กับอาหารจานนั้นๆ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2011, 07:33:48 pm
กินบาร์บีคิวอย่างไร ให้ปลอดภัย

(http://hilightad.kapook.com/img_cms2/Flood%20-%20Disaster/bar1.jpg)

กินบาร์บีคิวให้ปลอดภัย (แม่บ้าน)

          อาหารประเภทบาร์บีคิว ถึงจะมีชื่อเป็นภาษาต่างชาติ แต่วิธีการปรุงและการกินใกล้เคียงกับอาหารปิ้งย่างของไทย จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดอาหารประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมของเรา โดยมีบาร์บีคิวตั้งแต่ระดับภัตตาคารสุดหรู โรงแรมสารพัดดาว ร้านอาหารทั่วไป จนถึงแผงลอย รถเข็น และตลาดนัด แถมยังมีหลากหลายสัญชาติให้เลือก นอกจากรสชาติแล้ว บาร์บีคิวยังเป็นอาหารที่ปรุงง่าย กินง่าย สะดวกรวดเร็ว และยังเป็นอาหารเชื่อมสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนฝูง ครอบครัว ในแบบทำเองกินเองทั้งที่ร้านหรือที่บ้าน ช่วงนี้เริ่มปลอดฝนแล้ว คุณผู้อ่านอาจจะสนใจล้อมวงทำบาร์บีคิวกินกัน ดังนั้นเรามาลองดูกันดีกว่าว่าจะเลือกปรุง เลือกกินอย่างไรให้ปลอดจากพิษภัย

           ต้นตำรับบาร์บีคิว

          ไม่ว่าจะเป็นบาร์บีคิวสัญชาติใด การปรุงอาหารด้วยวิธีนี้ หมายถึงการทำให้อาหารสุกโดยใช้ความร้อนจากเตาถ่าน เตาก๊าซ หรือเตาไฟฟ้าในลักษณะการปิ้งหรือย่าง เตาบาร์บีคิวที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็มี ซึ่งน่าจะเอามาใช้ในเมืองไทยเพราะแดดแรงเหลือทนคำนี้ใช้เรียกอุปกรณ์ (เตา) และตัวอาหารที่เตรียมโดยใช้วิธีนี้ด้วย มีรากศัพท์มาจากคำที่มีความหมายว่า “หลุมไฟศักดิ์สิทธิ์” แม้ต้นกำเนิดของบาร์บีคิวจะไม่ชัดเจน แต่คาดว่ามีกำเนิดมานานไม่น้อยกว่าสองศตวรรษ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังพบวิธีการทำบาร์บีคิวหลากหลายรูปแบบ บางแห่งเป็นการปิ้งหรือย่างบนไฟแรงให้อาหารสุกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางแห่งการทำบาร์บีคิวหมายถึงการให้ความร้อนแบบทางอ้อม (ความร้อนไม่สูงมาก) เช่น การอบหรือรมควัน เป็นต้น เพื่อให้อาหารสุกอย่างช้า ๆ อาหารที่จะนำมาทำบาร์บีคิวอาจหมักหรือทาเครื่องเทศหรือซอสด้วยก็ได้

           มีอะไรที่ควรระวัง

          หากจะพิจารณาในเชิงสุขภาพ มีประเด็นที่ควรระวังเกี่ยวกับการเตรียมและบริโภคอาหารประเภทบาร์บีคิวอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ อาหารเป็นพิษ สารก่อมะเร็ง และมลภาวะ

          โอกาสที่จะเกิดอาหารเป็นพิษ ส่วนมากเกิดในกรณีที่ใช้เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบ เนื้อสัตว์เหล่านี้มีจุลินทรีย์ปนเปื้อนอยู่ตามธรรมชาติ ปัญหาอาจเกิดขึ้นเมื่อการปิ้งย่างทำให้อาหารสุกไม่ทั่วถึงหรือสุกไม่พอ จุลินทรีย์ที่ก่อโรคไม่ได้ถูกทำลายให้หมดไป บางครั้งเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ถูกวางทิ้งรอปิ้งอยู่เป็นเวลานาน ทำให้จุลินทรีย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าปกติ

          นอกจากนี้อาจเป็นการปนเปื้อนระหว่างอาหารสุกกับอาหารดิบ เนื่องจากใช้ภาชนะ อุปกรณ์ (มีด ส้อม เขียง จาน ฯลฯ) ปะปนกันถึงแม้จะไม่ใช่เนื้อสัตว์ คืออาจเป็นผักต่างๆ มันฝรั่ง มันเทศ ผลไม้ เป็นต้น การปนเปื้อนก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่มาจากดิน และฝุ่นละอองที่ติดมากับอาหารเหล่านั้น แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าพืชผักมักจะบูดเสียยากกว่าเนื้อสัตว์

          การเกิดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่าง เป็นเรื่องที่นักวิชาการออกมาเตือนให้ระวังกันอยู่เสมอ บาร์บีคิวและอาหารปิ้งย่างอื่นๆ ที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันติด อาจเป็นต้นตอของสารก่อมะเร็งได้ เพราะในระหว่างการปิ้ง ความร้อนจากเตาจะทำให้ไขมันจากอาหารหลอมตัว และหยดลงบนเตาที่ร้อน ส่วนหนึ่งกลายเป็นสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons) ซึ่งชื่อยาวจนยากที่จะจำ จึงเรียกกันย่อๆ ว่าสารกลุ่มพีเอเอช (PAH) สารพีเอเอชจะลอยขึ้นไปกับควันและจับบนอาหารที่ปิ้งอยู่ เมื่อเรากินเข้าไป อาหารที่ไหม้เกรียมและมีควันดำจับนั้น จะพาสารก่อมะเร็งเข้าไปในร่างกายด้วย สารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คือ สารกลุ่มเฮเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic amines) หรือเอชซีเอ (HCA) จะเกิดจากการเผาไหม้ของโปรตีนในเนื้อสัตว์

         การเกิดมลภาวะเป็นพิษทางอากาศ การเผาไหม้ของถ่านในเวลาปิ้งย่างอาหารทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ เหมือนอย่างที่ออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ รวมทั้งเกิดสารพิษอื่น เช่น เบนซีน โทลูอีน เมทิลีนคลอไรด์ และคลอโรฟอร์ม เป็นต้น ยิ่งเป็นการปิ้งย่างในอาคาร (โดยเฉพาะที่ติดเครื่องปรับอากาศ) ยิ่งเกิดการสะสมของสารพิษเหล่านี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นปัญหากับผู้ที่ทำงานในร้านอาหารประเภทดังกล่าวมากกว่าลูกค้า ที่ไปนั่งกินเป็นครั้งคราว

           กินให้ปลอดภัย

          ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกกินบาร์บีคิวหรืออาหารปิ้งย่าง แต่ควรกินอย่างมีสติ (ว่าเข้าไปนั่น) เริ่มตั้งแต่การดูแลรักษาความสะอาดในระหว่างการเตรียมและปรุง เรื่องของสุขลักษณะเราต้องใส่ใจเสมอไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหารด้วยวิธีใด อย่าหวังพึ่งความร้อนในการฆ่าเชื้อโรคที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว และควรปิ้งให้สุกทั่วทั้งชิ้น

          อาหารสดที่เตรียมไว้รอการปิ้ง ไม่ควรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนาน ๆ ถ้าจะทำในปริมาณมากน่าจะใส่ตู้เย็นไว้ แล้วทยอยแบ่งออกมาปิ้ง เวลาปิ้งอย่าปล่อยให้อาหารไหม้เกรียมหรือเกิดควันมาก เนื้อสัตว์ควรเลาะเอาส่วนที่ติดมันออก ลองเปลี่ยนมาทำบาร์บีคิวผักบ้างเพื่อลดส่วนที่มีไขมัน ใช้ไฟอ่อนและลดเวลาที่ใช้ในการปิ้งโดยทำให้อาหารสุกระดับหนึ่งก่อน เช่น อบในเตาอบ หรือเตาไมโครเวฟ เป็นต้น อาหารจะได้ไม่ไหม้ หากมีส่วนที่ไหม้เกรียมก็ควรตัดออก

          บาร์บีคิวเป็นอาหารที่ทำง่าย อร่อยและสนุก สามารถทำกิน (หรือพากันไปกิน) ในครอบครัว ระหว่างเพื่อนฝูง เพียงแต่มีข้อที่ควรระวังอยู่บ้าง หากใส่ใจจะสามารถอิ่มอร่อย ได้อย่างมีประโยชน์ และไม่เกิดโทษต่อสุขภาพ หน้าหนาวนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำ (หรือกิน) บาร์บีคิวก็แล้วกัน พบกันใหม่ฉบับหน้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.maeban.co.th/

.

http://health.kapook.com/view20681.html

.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มกราคม 19, 2011, 09:10:34 pm


หลากสาระน่ารู้ มีประโยชน์จริงค่ะ..
เพิ่งทราบว่า บอนหวานใบเขียวกว่าไม่มีนวลที่ก้านใบ
ขอบคุณน้องหนุ่มสำหรับการแบ่งปันนะคะ อนุโมทนาค่ะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2011, 10:27:40 pm
"สะเดา" ประโยชน์จากความขม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
18 สิงหาคม 2552 16:20 น.

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1310683)

 โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย
       
       เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
       
       สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093948
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 21, 2011, 10:36:33 pm
 :13: สะเดาขมครับถ้าทานเปล่าๆ แต่ถ้าจิ้มน้ำพริก อร่อยเลยครับ ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ มกราคม 21, 2011, 11:08:14 pm
สะเดาลวกทานกะน้ำปลาหวานแจมด้วยปลาดุกย่าง ของโปรดเลยค่ะ :19:
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2011, 06:21:18 am
‘แคนตาลูป’กินดีซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1102/03/col%20online/hl040211.jpg)

ด้วยต้นสัปดาห์ ‘มุมสุขภาพ’ กล่าวถึงเรื่องการเจาะ-การสักที่รบกวนผิวหนังและเนื้อเยื่อ วันนี้ ‘กินดี’ จึงส่งผลไม้เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ แถมยังช่วยแก้ปัญหาผิวอีกด้วย ซึ่งก็คือ ‘แคนตาลูป’ พืช ตระกูลแตง บางคนเรียก แตงเทศ, แต่งฝรั่ง หรือแตงคุณหนู เพราะไม่ใช่ผลไม้ไทยแท้ๆ ระหว่างกาเพาะปลูกในบ้านเรา เกษตรกรก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ

สำหรับสรรพคุณของแคนตาลูป อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ อย่าง วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาสิว วิตามินซี จะทำให้แผลหายเร็ว ส่วน สารอาหารอื่นๆ ที่มีในแคนตาลูป ประกอบด้วย กรดโฟลิก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และวิตามินบี1 บี2 และบี6 จัดเป็นผลไม้ที่ล้างพิษได้อย่างอ่อนโยนกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ช่วยดับร้อน ลดไข้ รักษาการอักเสบของลำไส้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ

ส่วนเครื่องดื่มสุขภาพจากแคนตาลูป ปรุงดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม...

    * แคนตาลูป 3 ถ้วย
    * น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแคนตาลูป โดยจะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ หั่นพอหยาบ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็ง ดื่มทันที.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=119260

.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2011, 08:00:36 pm
น้ำมันปลาป้องกันโรคเหงือก

จากการวิจัยโดยศึกษาผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่าหมื่นคน ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปพบว่า หากทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำอาจช่วยป้องกันโรคเหงือก เพราะผู้ที่ทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำจะเป็นโรคเหงือกน้อยกว่าผู้ที่ไม่ทานเลยถึงร้อยละ 30 เนื่องจากสารในกรดไขมันโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยลดการเกิดโรค

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดแนะนำให้ทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำแต่ไม่ควรทานมากเกินไปเพราะจะไม่เกิดประโยชน์  เด็กและผู้หญิงควรบริโภคในประมาณจำกัด โดยควรทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้งจะส่งผลดีต่อสภาพร่างกายโดยรวม ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ลดระดับโคเลสเตอรอลและช่วยในการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาท

กรดไขมันโอเมก้า 3 พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาน้ำจืดบางชนิด รวมถึงถั่วและเมล็ดพืชพวกวอลนัท.



.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=119858

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:43:25 pm
หั่นหัวหอมน้ำตาไม่ไหล

การหั่นหัวหอมมักทำให้แสบตาจนน้ำตาไหล เดลินิวส์ออนไลน์จึงนำวิธีหั่นหัวหอมที่ทำให้เกิดอาการแสบตาน้อยที่สุดมาฝาก

เริ่มจากหั่นหัวหอมออกเป็น 2 ซีก จากนั้นแช่ลงในน้ำเปล่า 15 นาที แล้วจึงนำมาหั่นตามปกติ เพียงเท่านี้การหั่นหัวหอมก็จะไม่ทำให้น้ำตาไหล

ส่วนหัวหอมที่เหลือใช้ เก็บไว้ใช้นานๆ ได้โดยห่อหัวหอมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ วางไว้ในที่แห้งและเย็น หัวหอมก็จะสดใหม่เก็บไว้ใช้ได้นาน.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=120274
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2011, 05:42:16 pm
“ดอกไม้บำรุงหัวใจ” สวยทั้งรูป จูบก็หอม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 กุมภาพันธ์ 2554 11:54 น.
 
 หัวใจ เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะสูบฉัดเลือดไปหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายแล้ว หัวใจยังได้รับการเปรียบเปรยไปกับความรู้สึกต่างๆ โดยเฉพาะความรัก “108 เคล็ดกิน” ก็เลยอยากจะชวนทุกคนมาดูแลหัวใจ เอาไว้สำหรับเผื่อแผ่ความรักให้แก่คนรอบข้างในช่วงวาเลนไทน์นี้
       
       และดอกไม้สวยๆ ที่มีหลากสีสัน หลากหลายพันธุ์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีที่จะมาบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่จะมีดอกอะไรบ้างนั้นก็ต้องมาดูกัน
       
       กุหลาบมอญ - มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจ แก้อ่อนแพลีย และช่วยระบาย สามารถนำกลีบดอกสดไปแช่ลอยน้ำทำขนม หรือทำเป็นอาหารได้หลากหลายจาน ใช้ดอกแห้งหรือเกสรไปชงเป็นชากุหลาบก็ได้ แต่ต้องระวังกุหลาบที่ไม่ได้ปลูกเอง เพราะอาจจะมีสารเคมีอันตรายตกค้างอยู่
       
       บัวหลวง - สรรพคุณของดอกช่วยแก้ไข้ แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงครรภ์ ส่วนเกสรก็ช่วยแก้ไข้ แก้เสมหะ แก้คลื่นเหียน ใช้ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท และชูกำลัง สามารถใช้กลีบดอกและเกสรมาทำยำรสอร่อย หรือจะใช้เฉพาะเกสรบัวหลวงมาชงเป็นชาร้อนๆ ดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ
       
       เก๊กฮวย - สรรพคุณเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน เป็นยาแก้ปวดท้องและช่วยระบาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจ บำรุงตับ บำรุงสายตา บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ วิธีกินเก๊กฮวยที่เราคุ้นเคยกันก็คือนำไปต้มแล้วใส่น้ำตาลดื่มแบบเย็นชื่นใจ หรือจะนำไปชงแบบชาร้อนก็อร่อยเช่นกัน
       
       ลำดวน - แพทย์แผนไทยจะใช้ดอกลำดวนแห้งมาทำเป็นยา เนื่องจากสรรพคุณทางสมุนไพรที่ช่วยชูกำลัง บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้เป็นลม วิงเวียน แก้ไข หรือจะใช้นำมาผสมกับยาหอมเพื่อแก้วิงเวียน และช่วยบำรุงหัวใจ
       
       คำฝอย - ส่วนดอกจะช่วยบำรุงโลหิต แก้แสบร้อนตามผิวหนัง บำรุงหัวใจ ขับระดู แก้ดีพิการ ลดไขมันในเส้นเลือด และป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะใช้ดอกคำฝอยมาชงเป็นน้ำชา แต่มีข้อควรระวังคือ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินดอกคำฝอย เนื่องจากเป็นยาบำรุงโลหิตและขับระดู ถ้ากินมากๆ อาจทำให้แท้งได้
       
       ไม่น่าเชื่อว่าดอกไม้ที่ทั้งสวยทั้งหอม จะมีสรรพคุณหลากหลายชนิดขนาดนี้ เห็นทีคงต้องสรรหามาบริโภคกันโดยไว หัวใจจะได้แข็งแรง ไม่ถูกหักอกเอาง่ายๆ


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000017665
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2011, 08:15:37 pm
"น้ำมันรำข้าว"คุณค่าเพื่อสุขภาพ

(http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/02/tec02160254p1.jpg)

การ ใช้ชีวิตที่รีบเร่งของชาวเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากการรับประทานอาหารไม่เต็มคุณภาพ ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหาร

ข้าวกล้องเป็นธัญญาหารที่อุดมด้วยคุณค่า สารอาหาร มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในด้านป้องกัน บำบัด และรักษา อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกาย เกิดความสมดุล โดยกลุ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดมีอยู่ในส่วนเยื่อหุ้ม เมล็ดข้าว หรือที่เรียกว่ารำข้าว และจมูกข้าว

จากการศึกษาทางการ แพทย์ พบว่า ปัจจุบันการเปลี่ยน แปลงของโลกทำให้สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากโรคภัย ไข้เจ็บเปลี่ยนไป จากเดิมที่มนุษย์เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อเป็นหลัก กลายเป็นว่าอัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ 90% มีสาเหตุมาจาก "โรคเสื่อม" หรือภาวะความผิดปกติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อ ซึ่งสามอันดับแรกของโรคเสื่อมที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

น.พ.มีชัย อินวู�ด ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ บริษัท ไบโอโกรว์ (ทีเอช) จำกัด กล่าวว่า "การวิจัยพบว่ามี สารแกมม่า-โอไรโซนอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคุณสมบัติเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ พบมากที่สุดในข้าว โดยเฉพาะในส่วนผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนของข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี หรือรำข้าว ดังนั้น แกมม�า- โอไรโซนอล จึงพบในน้ำมันรำข้าวด้วย สารดังกล่าวจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในร่างกาย มีวิตามินอีคอมเพล็กซ์ ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์, เอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดพิษจากตับและเซลล์อื่นๆ ทั่วร่างกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม น้ำมันรำข้าวไม่ได้เป็นยารักษาอาการของโรค เพียงแต่สารอาหารที่อยู่ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจึงสร้างภูมิต้านทานต่อโรค หรือบำบัดอาการของโรคเรื้อรังต่างๆ ด้วยตัวเอง การรับประทานควรคำนึงถึงจุดสมดุลของร่างกายด้วย โดยเฉพาะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดจะดีที่สุด" น.พ.มีชัยกล่าว

ข้าวกล้องนับว่าเป็นธัญญาหารแห่งแผ่นดินที่มีความ มหัศจรรย์ มีคุณค่าอยู่บนทุกอณูของเมล็ด หากมีเวลาใส่ใจในการบริโภค หรือรับประทานอาหารเสริมทดแทนได้ ชีวิตก็จะแข็งแรง สดใส ห่างไกลโรคร้ายอย่างแน่นอน

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNakUyTURJMU5BPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB4Tmc9PQ==

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2011, 09:43:30 pm
มีอะไรอยู่ใน “ซอสมะเขือเทศ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
24 กุมภาพันธ์ 2554 16:23 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000002613901.JPEG)

  “ซอสมะเขือเทศ” นับว่าเป็นเครื่องปรุงรสอีกอย่างหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในทุกครัวเรือน เวลาที่กินไส้กรอก สเต๊ก ของทอด หรืออาหารจานอื่นๆ หลายคนก็มักจะเลือกซอสมะเขือเทศมาเป็นเครื่องจิ้ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้ถูกปากมากยิ่งขึ้น
       
       แต่รู้กันหรือไม่ว่า ในซอสมะเขือเทศที่เรากินกันนั้น มีอะไรผสมอยู่บ้าง “108 เคล็ดกิน” เลยอยากจะบอกเล่าเก้าสิบให้ได้รู้กันไว้ จะได้กินซอสมะเขือเทศกันอย่างถูกต้อง และปลอดภัย
       
       เมื่อเทียบกับเครื่องปรุงรส หรือเครื่องจิ้มประเภทอื่นๆ แล้ว เวลาที่กินซอสมะเขือเทศในแต่ละครั้ง เรามักจะจิ้มกินในปริมาณที่มากกว่า เนื่องมาจากซอสมะเขือเทศมีรสหวานนำ ความความเปรี้ยวและความเค็มผสมอยู่ จึงทำให้รู้สึกอร่อย แต่ก็ทำให้มีโอกาสได้รับส่วนผสมประเภท น้ำตาล และเกลือ หรือ โซเดียม เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากกว่าปกติ
       
       เคยมีการทดสอบซอสมะเขือเทศ 10 ยี่ห้อ พบว่ามีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ย 25.95 กรัม ต่อซอส 100 กรัม และพบว่ามีโซเดียมโดยเฉลี่ย 741 มิลลิกรัมต่อซอส 100 กรัม
       
       ซึ่งเท่ากับว่า หากกินซอสมะเขือเทศในปริมาณ 100 กรัม (หรือ 1 ขีด) จะได้รับปริมาณน้ำตาลถึง 25.95 กรัม แต่ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาลว่าไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัม ต่อวัน
       
       สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ จึงต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการกินซอสมะเขือเทศ โดยเฉพาะเด็กๆ หากชอบรสชาติของซอสหรือเครื่องปรุงอื่น ก็จะเริ่มติดหวานตั้งแต่เด็ก และเมื่อเติบโตขึ้นก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพ
       
       ส่วนมะเขือเทศที่เป็นส่วนประกอบหลักในซอสนั้น ก็จะต้องผ่านความร้อนในกระบวนการแปรรูปมากกว่า 72 องศาเซลเซียส ทำให้สารอาหารต่างๆ ในมะเขือเทศที่เราควรจะได้รับสูญเสียไป
       
       ฉะนั้น จึงควรจะกินมะเขือเทศสดๆ มากกว่า เพราะจะทำให้ได้คุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากจะกินซอสมะเขือเทศ ก็ควรกินอย่างพอเหมาะพอดี และควรเลือกซอสมะเขือเทศที่ได้มาตรฐาน โดยดูจากฉลากรับรองขององค์การอาหารและยา เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024509

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2011, 10:32:16 pm
สสส.แนะเคล็ดลับ'กินอาหาร'ถูกวิธี ช่วยเผาผลาญ'ส่วนเกิน'



ความ รู้สึกว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ยิ่งกินยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนแรง ง่วงนอนตลอดเวลา อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าระบบเผาผลาญพลังงานกำลังเสื่อมสภาพ ล่าสุด สสส.และเว็บไซต์วิชาการดอตคอม นำเสนอข้อมูลแนะนำวิธีกินอาหารที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญด้วยดี

สสส.ให้ข้อมูลว่า การออกกำลังกายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้อีกแรงก็คือการกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

อันดับแรกควรลดแป้ง น้ำตาล ไขมัน เพราะการกินอาหาร ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายลดลง นอกจากนี้การกินไขมันมากก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย ฉะนั้นควรเน้นกินโปรตีนและผัก เนื่องจากการย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้อง ใช้พลังงานอย่างมาก ดังนั้น การกินเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนังก็จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่าทานมากเกินไป นอกจากนี้ควรกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงทุกวันเพราะวิตามินซีมีส่วน ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน

นอกจากเรื่องของอาหารแล้วยังควรปรับพฤติกรรมการกินอาหาร คือ กินน้อย แต่บ่อยขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้ง วันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งควรดื่มน้ำที่ไม่เย็นจัดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะน้ำเย็นจะไปลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำย่อย ร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร การดื่มน้ำน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลัง งานติดขัดได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำไปกินอาหารไป เพราะจะยิ่งไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารที่กินเข้าไปก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้เท่าที่ควร

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEkwTURJMU5BPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB5TkE9PQ==

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2011, 09:53:08 pm
สูตรเด็ด น้ำผักผลไม้บำรุงสายตา

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1102/25/etc/hl250211.jpg)

'กินดี' สัปดาห์นี้ต่อเนื่องเรื่องดวงตา ด้วยน้ำดื่มสูตรที่ช่วยบำรุงสายตา จากผักและผลไม้ที่หาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง โดยสูตรนี้เลือกใช้ ผักและผลไม้ 4 ชนิด อย่าง แครอต แคนตาลูป หัวไช้เท้า และผักกาดหอม ซึ่งคุณค่าของผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยเสริมเติมเต็มความแข็งแรงให้ดวงตา

อย่าง 'แครอต' อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน หากสกัดเป็นน้ำยังจะมีซัลเฟอร์ และคลอรีน ล้วนแล้วแต่ดีต่อสายตา รวมกับคุณค่าของ 'แคนตาลูป' ที่เปี่ยมไปด้วยกรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกำมะถัน พร้อม 'หัวไช้เท้า' ซึ่มีวิตามินเอ แคลเซียม ไนอาซิน ช่วยล้างพิษได้ดี แถมท้ายด้วย 'ผักกาดหอม' มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง

ก่อนลงมือทำ เตรียมผักและผลไม้ตามส่วนต่อไปนี้..

    * หัวไช้เท้า ครึ่งถ้วย
    * ผักกาดหอม 1 ถ้วย
    * แครอต 1 ถ้วย
    * แคนตาลูป 2 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้หั่นหัวไช้เท้าและผักกาดหอมเป็นชิ้นหยาบๆ ส่วนแครอตให้ขูดออกเป็นเส้นเล็กๆ ขณะที่แคนตาลูปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ได้.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com



http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=123301

.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:19:56 am
 :07:หลานชอบกินซอสมะเขือเทศ :45:
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2011, 08:05:55 pm
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1102/26/newspaper/p28gout.jpg)

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่า “กรดยูริก” คือ สารที่เป็นตัวการทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ สาเหตุสำคัญก็มาจาก “สารพิวรีน” ทั้งที่มีอยู่ในร่างกายและที่มีอยู่ในอาหาร และวิธีการจำกัดอาหาร จะช่วยควบคุมกรดยูริกได้เฉพาะกรดยูริกที่เกิดจากสารพิวรีนที่ได้มาจากอาหาร ที่รับประทานเท่านั้น
   
ในผู้ป่วยโรคเกาต์เอง เมื่อมาพบแพทย์ก็มักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์กลับไป ในเรื่องการปฏิบัติตัว การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานบางอย่างที่มีข้อยกเว้น และข้อแนะนำที่สำคัญก็คือ การปฏิบัติตัวให้เกิดขึ้นกับพฤติกรรมการกิน ที่ผู้ป่วยหลายคนบอกว่า เปลี่ยนไปเพราะโรคเกาต์
   
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาหารที่เหมาะและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ตามปริมาณของสารพิวรีนในอาหาร
   
1. อาหารที่มีสารพิวรีนมาก
   
อาหารที่มีสารพิวรีน มาก จะมีผลต่อการอักเสบของโรคเกาต์ และมีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคเกาต์ สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนมากที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
   
ตับ, น้ำต้มเนื้อ, น้ำเกาเหลา, ไต, น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น, ตับอ่อน
   
น้ำซุปใส, ปลาไส้ตัน, น้ำปลาและกะปิจากปลาไส้ตัน
   
ปลาซาร์ดีน, ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์
   
หอยเชลล์, ปลาทู, ปลารัง, เนื้อไก่, เป็ด, นก และ ไข่ปลา
   
2. อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง
   
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง ก็ยังถือว่าต้องควบคุมปริมาณการรับประทาน
   
ซึ่งหมายถึงการรับประ ทานอาหารชนิดนี้ในปริมาณจำกัดผู้ป่วยโรคเกาต์ทานได้ในปริมาณจำกัด สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนปานกลางที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
   
เนื้อวัว, กระเพาะ, ผ้าขี้ริ้ว, เอ็น, เนื้อหมู, เนื้อปลา
   
ปู, กุ้ง, หอย, ถั่วเหลือง, ถั่วดำ, ถั่วแดง, ถั่วเขียว                   
   
ผัก, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม, เห็ด, ดอกกะหล่ำ, ชะอม รวมทั้งกระถิน
   
3. อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย
   
อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบจะไม่มีสารพิวรีนเลย เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้โดยไม่แสลง สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลยที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรควบคุมปริมาณการรับประทาน ได้แก่
   
ข้าวขาว, ขนมจีน, เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด, วุ้นเส้น
       
บะหมี่, เส้นหมี่, ขนมปังปอนด์, มะกะโรนี, ข้าวโพด
     
แคร็กเกอร์สีขาว, ไข่, นม, ผลิตผลจากนม เช่น เนยแข็ง ไอศกรีม
   
น้ำมัน, น้ำมันพืช, กะทิ, เนย, น้ำมันหมู
     
ผัก, ผลไม้ทุกชนิด, เกาลัด, เม็ดมะม่วงหิมพานต์
   
ขนมหวานต่าง ๆ ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เค้ก คุกกี้
   
เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ, ชา, โกโก้ และ ช็อกโกแลต
   
ทั้งนี้ นอกจากการงดรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการปฏิบัติตัวอื่น ๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ดังนี้
   
1) ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
   
2) ดื่มน้ำวันละมาก ๆ เพื่อช่วยขับถ่ายกรดยูริก
   
3) งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ เบียร์
   
4) หากจะต้องทำการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคเกาต์ เพื่อป้องกันโรคเกาต์กำเริบหลังผ่าตัด
   
5)  หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามทำจิตใจให้สงบ.

ผศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
หน่วยโรคภูมิแพ้ อิมมูโนวิทยา และโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=123563

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2011, 09:08:11 pm
สุขภาพดีด้วย เบต้า แคโรทีน

(http://img.kapook.com/image/Food/Fruit-Vegetable/corn_1.jpg)

ขภาพดีด้วย บีต้า แคโรทีน (Mix Magazine)

          อาจ มีบ้างที่มีข่าวลือเรื่องเกี่ยวกับการกินวิตามิน เบต้า แคโรทีน จำนวนมาก แล้วทำให้ผิวเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลือง ดูเหมือนเป็นโรค อ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น

          เหตุผล ที่เมื่อเรากิน เบต้า แคโรทีน สะสมเข้าไปในร่างกายจำนวนมากแล้วร่างกายเราเปลี่ยนสีนั้น เป็นเพราะเบต้า แคโรทีนเป็นเม็ดสีที่เรามองเห็นมากที่สุดรอบ ๆ ตัว เกิดจากพืชสาหร่ายและแบคทีเรีย เป็นสีที่เราพบมากในอาหารที่เรากิน เช่น แครอต ฟักทอง หรือแม้กระทั่งส้มก็ตาม และยังอยู่ในกลุ่มเม็ดสีที่เรียกว่า คาโรทีนอยด์ อีกด้วย แต่ในกลุ่มคาโรทีนอยด์นั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้วิตามินเอเกิดประโยชน์ได้เท่าเบต้า แคโรทีน เช่นนั้นแล้วถ้ามองถึงประโยชน์ที่ได้รับจาก เบต้า แคโรทีน ย่อมมีค่ามากกว่าการอยากได้ตัวขาว ๆ แบบไร้ เบต้า แคโรทีนแน่ ๆ

          เบต้า แคโรทีน ยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เป็นสารที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพ และยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน ให้กลายเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระอีกด้วย

          นอก จากนั้นแล้ว เบต้า แคโรทีน ยังช่วยให้ผิวพรรณของเราดูผ่องใส และไม่เหี่ยวย่นง่าย แถมยังบำรุงสุขภาพของดวงตา ทำให้มีส่วนช่วยในการมองเห็นเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก


คะน้า


          ปริมาณการกินเบต้า แคโรทีนเข้าไปในร่างกายแล้วเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพก็คือ อย่างน้อย ๆ 5,000 หน่วยสากล (IU) หรือเท่ากับเบต้า แคโรทีน 3 กรัม แต่ถ้าจะให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี ต้องระดับ 15 มิลลิกรัมขึ้นไป และถ้าหากต้องการใช้ในการบำบัดโรค ก็ต้องได้รับในปริมาณที่มากขึ้นกว่านี้

          เบ ต้า แคโรทีน นั้นสามารถมีได้ในพืชที่มีสี ๆ เช่น สีเหลือง สีส้ม รวมทั้งผักที่มีสีเขียวบางชนิดด้วย เช่น แครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก บร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม คะน้า ตำลึง เป็นต้น

          ปัจจุบัน ยังไม่มีผลงานวิจัยที่ออกมาแน่ชัดถึงผลกระทบของการรับเบต้า แคโรทีน เข้าร่างกายมากเกินไป ยกเว้นแต่สีผิวที่จะดูเปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลือง เพราะเบต้า แคโรทีน จะเข้าไปเก็บสะสมที่ผิวหนัง ซึ่งตรงนี้นับเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะเบต้า แคโรทีน จะเป็นตัวที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวของเราโดนสารพิษต่าง ๆ และทำให้ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังลดลง

          ใครที่อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลองหันมากินอาหารที่มีส่วนประกอบของเบต้า แคโรทีน เพราะเป็นสารที่หากินได้ง่าย และมีอยู่ในผักผลไม้ไทย ๆ

.
http://www.mixmagazine.in.th/content.php?c=cid&v=648

http://health.kapook.com/view21924.html


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2011, 07:47:31 pm
กินผิดน้ำ สุขภาพเต็มโรคร้าย

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1103/01/etc/hl010311.jpg)

คืนวานนำเสนอเรื่องราวของ 'ธาราอาพาธ' ป่วยเพราะน้ำ ในส่วนของโรคจากการขาดน้ำไปแล้ว วันนี้ต่อเนื่องกันด้วย โรคจากการผิดน้ำ หรือดื่มน้ำที่ไม่เหมาะสมเข้าไป ซึ่ง นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้สำรวจมาเตือนผู้อ่านรักษ์สุขภาพว่า มี 5 น้ำ ที่ควรเลี่ยงดื่ม...

อย่างแรกใครจะคิดว่า เป็น 'น้ำดื่ม' ชนิดที่ระบุว่ามีฟลูออรีน,คลอรีนปะปนอันเป็นของช่วยฆ่าเชื้อได้ดี แต่ถ้ามีมากไปกลับกลายเป็นพิษ อย่าง ฟลูออรีนที่มากไปในน้ำส่วนหนึ่งจะแตกตัวเป็นฟลูออไรด์ไปจับกับเคลือบฟันจนด่างดำเปรอะไปเหมือนคราบช็อกโกแลตติดฟัน (Dental fluorosis) แก้กันลำบากเมื่อโตขึ้น

ต่อมา คือ 'น้ำปนเปื้อน' อาจเกลื่อนไปด้วยโลหะหนัก,ตะกั่ว,สารหนู ,หินปูน บางทีน้ำดื่มบรรจุขวดที่ดูใสสะอาดก็อาจมีของปนเหล่านี้ได้ไม่อาจมองเห็น เพราะในอเมริกามีการสำรวจพบ น้ำขวดที่รองมาจากน้ำประปาธรรมดามากอย่างน่าตกใจ หรือแม้ในน้ำบาดาลก็ปนเข้ามาด้วยของแถมมีพิษเหล่านี้ได้

อีกทั้ง 'น้ำกลั่น' ขอ ให้ตั้งจุดยืนในการดื่มน้ำไว้ครับว่า น้ำธรรมชาตินั้นอาจมีแร่ธาตุเล็กน้อยปนมาได้บ้าง น้ำสะอาดไม่จำเป็นต้องถูกกรองล้างเสียจนหมดจดเติมรถแทนน้ำกลั่นได้เพราะจะทำ ให้ร่างกายเสียสมดุลย์ไปได้ครับ  การได้น้ำกลั่นใสแบ๊วนานเข้าจะทำให้เกลือแร่ในตัวผิดปกติไปได้ครับ

ยังมี 'น้ำหวาน' เป็น น้ำที่ดื่มกันประจำ แต่ต้องระวังชนิดที่ “หวานมรณะ” อย่าง น้ำผลไม้สังเคราะห์,น้ำเชื่อมผสมสี หรืออย่างน้ำวิตามินเกลือแร่กินแก้กระหาย ซึ่งมีน้ำตาล ข้าวโพด (HFCS) อยู่สูง แม้แต่น้ำผลไม้ที่กรองกากออกก็เสมือนกับกินน้ำเชื่อมอย่างแรงจะทำให้ยิ่งหิว น้ำและน้ำตาลไปสร้างเป็นพุงให้สุขภาพโทรมเร็วขึ้น!

รวมถึง 'น้ำเมา' ไม่ บอกก็รู้ว่าน้ำอย่างนี้มีพิษ แต่เมื่อดื่มไปแล้วก็ขอให้พยายามล้างพิษในภายหลังด้วยการดื่มน้ำเปล่าตาม เข้าไปให้มาก และให้ดื่มน้ำผลไม้เปรี้ยว อย่าง ส้ม, มะนาว, แครนเบอรี่ เข้าไปเพราะจะช่วยแก้อาการ “เมาค้าง” ได้ดี

มีเคล็ดแก้เมาค้างอีกนอก จากกินกล้วยหอมปั่น ก็คือ ต้มซุปไก่หรือทำไข่ตุ๋นร้อนๆ ซดครับ รับรองว่า ดีเพราะมีกรดอะมิโน “ซิสทีน(L-Cysteine)” ช่วยแก้พิษจากน้ำเมาอยู่

ดูไปจะเห็นว่า พิษภัยจากน้ำล้วนมาจากการใช้น้ำผิด เมื่อคิดให้ดีก็มาจากน้ำมือมนุษย์นี้เองที่เร่งใช้น้ำกันจนธรรมชาติสร้าง น้ำดีกลับมาไม่ทัน  เลยทำให้น้ำเสียล้อมรอบตัวเราเข้ามาทุกทีแม้จะมีเทคโนโลยี “ล้างน้ำ” อย่างไรก็สู้น้ำที่แม่พระธรณีให้เรามาไม่ได้เลยครับ  เพราะน้ำธรรมชาตินั้นบริสุทธิ์สะอาดได้ผ่านการกรองง่ายๆแต่ได้ประสิทธิภาพ นั่นคือชั้นหินและกรวดน้อยใหญ่ทั้งหลายเลยได้เบี้ยบ้ายรายทางเป็นเกลือแร่ เติมเข้ามาไม่ต้องไปหาไกลที่ใส่ขวดแพงๆ  แหล่งน้ำแร่ชั้นดีในประเทศเราก็มีครับ  ปัจจุบันก็ได้ถูกนำขึ้นมาใช้แล้ว  ส่วนน้ำประปาตามบ้านหลวงท่านก็ทำสะอาดจนใช้ดื่มได้  ขอให้ล้างก๊อกน้ำและท่อประปาเก่าที่บ้านให้ดีจะได้ไม่มี “ผิดน้ำ” จากตะกรันสนิมปนเปื้อนมา

แม่พระคงคาท่านเมตตาหาน้ำดีให้เราฟรีๆอยู่รอบตัว แต่ที่น่ากลัวคือพิษจากการใช้น้ำผิดเสียมากกว่าจาก “น้ำมือ” ของมนุษย์ด้วยกันเองครับ!.

takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=124063


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 04, 2011, 06:16:50 am
ลูกพลัม-องุ่นม่วง ล้างพิษต้านมะเร็ง

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1103/04/etc/hl040311.jpg)

ไหนๆ สัปดาห์นี้ก็เน้นหนักนำเสนอเรื่องของน้ำที่ดื่มกินเข้าไป 'มุมสุขภาพ-กินดี' ขอส่งท้ายด้วย น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษให้ร่างกาย และต้านโรคมะเร็ง โดยอาศัยสรรพคุณจาก 'ลูกพลัม และ องุ่น' ที่ธรรมชาติมอบให้เป็นตัวช่วยลดพิษภัยให้กับสุขภาพ

ลูกพลัม หรือบางคนเรียก ลูกไหน หากนำไปตากแห้ง ก็จะเปลี่ยนชื่อเรียกไปเป็น ลูกพรุน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ทำให้การสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันต้านแบคทีเรีย ทั้งยังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง เสริมระบบขับถ่าย

สำหรับ องุ่น เป็นตัวช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญ ช่วยล้างพิษ คุมน้ำหนัก เพราะมีกรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก  ฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก รวมทั้งวิตามินบี 1 บี 2 และซี นั่นเอง

ส่วนผสม ประกอบด้วย...

    * ลูกพลัม 1 ถ้วย
    * องุ่นม่วง 1 ถ้วย



หลังจากล้างทำความสะอาดผลไม้ทั้งสองชนิดเรียบร้อยแล้ว ให้ผ่าครึ่งองุ่นโดยไม่ต้องคว้านเมล็ดออก ส่วนลูกพลัมให้หั่นเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ไปสกัดพร้อมกันเพื่อเอาเฉพาะน้ำ ก่อนดื่มสามารถเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นชื่นใจ ซึ่งควรดื่มทันทีหลังสกัดน้ำเสร็จใหม่ๆ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com




.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=124766


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 06, 2011, 07:31:12 am
'น้ำมันปาล์ม' กับ 'สุขภาพ'

คอลัมน์  “X-RAY สุขภาพ” ในสัปดาห์นี้ขอเกาะกระแสปัญหา “น้ำมันปาล์ม”  โดยให้ข้อมูลผู้อ่านเรื่องการใช้น้ำมันปาล์มประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นทอด หรือ ผัด พึงรู้เอาไว้
       
เริ่มจาก รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ  สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวว่า คนใช้น้ำมันปาล์มเยอะ เพราะมีราคาถูก น้ำมันปาล์มให้พลังงาน เหมาะกับการนำมาทอดอาหารเพราะทนความร้อนสูง แต่เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวสูงเช่นกัน ถ้ากินมาก ๆ โอกาสที่คอเลสเตอรอลจะขึ้น ไขมันแอลดีแอล( Low Density Lipoprotein : LDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีจะขึ้นได้ ทำให้มีปัญหาหลอดเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจ
       
คนไทยต้องเข้าใจว่า ถ้าเป็นการทอดปาท่องโก๋ หมูทอด เนื้อทอด อันนี้พอได้ เพราะเราไม่ได้กินน้ำมัน แค่มีน้ำมันติดอาหารนิดหน่อยไม่มีปัญหา แต่ถ้านำน้ำมันปาล์มมาทำอาหารประเภทผัดน้ำมันเยิ้ม ๆ ไม่เหมาะ ไม่ค่อยดี เพราะเหมือนกับว่าเรากินน้ำมันเข้าไปตรง ๆ ต่อให้เป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน ก็ไม่ดี ที่สำคัญไม่ควรจะนำมาใช้ซ้ำ เพราะน้ำมันปาล์มจะเสียสภาพ เวลากินน้ำมันที่ติดกับอาหารเข้าไปบางครั้งจะทำให้ถ่ายท้อง ถ่ายออกมาแบบเหลว ๆ ได้ แต่ไม่ใช่ท้องเสีย คือถ้าทำให้น้ำมันปาล์มร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส แล้วลงมาที่อุณหภูมิห้อง พอนำมาใช้ซ้ำโดยทำให้อุณหภูมิร้อนขึ้นอีกโอกาสที่จะเกิดสารแปลกใหม่ได้ซึ่ง ไม่ค่อยดี
       
“ช่วงน้ำมันปาล์มราคาแพงเป็นโอกาสดีที่เราจะหันมาพิจารณาว่าเลิกกินน้ำมัน เถอะ กินอาหารต้ม นึ่ง ตุ๋น แทนก็แล้วกัน คือพยายามกินอาหารที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบให้น้อยลง”
       
คนที่ไม่ควรกินน้ำมันปาล์ม คือ คนที่เป็นโรคอ้วน คอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง ควรพยายามหลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม  ถ้าจะใช้น้ำมันพืชประกอบอาหารควรใช้ประเภทไขมันไม่อิ่มตัวแทน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด
       
ทั้งนี้ถ้ากินอาหารประเภทผัด ๆ ทอด ๆ  ควรกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จำพวก ผัก ผลไม้ สีเข้ม ๆ ด้วย อย่างกรณีที่จะผัดผัก ก็ควรใช้ผักสีเข้ม ๆ เช่น บรอกโคลี ถั่วงอก ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะได้ไม่มีปัญหามะเร็งจากการใช้น้ำมันปรุงอาหาร เพราะในผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ  หรือถ้ากินหมูทอด ไก่ทอด ควรกินผัก ผลไม้ตามด้วยเช่นกัน
       
ด้าน  นพ.กฤษดา  ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า น้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันทำกับข้าวที่ราคาย่อมเยาที่สุดจึงเป็นที่นิยมสำหรับ การทอดที่ต้องใช้น้ำมันมาก ๆ เช่น ไก่ ปาท่องโก๋ กล้วยแขก หรือของชุบแป้งทอด  นอกจากนี้ยังมีในของกิน เช่น ไอศกรีม ครีมเทียม นมเทียม คุกกี้ เบเกอรี่ นมพร่องมันเนย เนยเทียม อาหารกล่องสำเร็จรูป มีในของใช้ เครื่องอุปโภค เช่น  เทียนไข  ลิปสติก สบู่ ครีมทาผิว
       
น้ำมันปาล์มเหมาะกับอาหารทอดที่ใช้ความร้อนสูง เช่น ทอดน้ำมันท่วม แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาปรุงของเย็น อย่างการทำน้ำสลัดหรือทอดไข่ซึ่งไม่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่เหมาะที่นำ มาทอดซ้ำบ่อย ๆ เพราะกรดไขมันในน้ำมันปาล์มที่ทอดซ้ำมีสิทธิกลายไปเป็นไขมันร้ายทำลายหัวใจ ได้
       
ของดีในน้ำมันปาล์ม เช่น  มีวิตามินเอ วิตามินอี เป็นแหล่งวิตามินธรรมชาติ  กรดไขมัน  มีทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว  และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ค่อนข้างเป็นมิตรเช่นเดียวกับในน้ำมันมะพร้าว
       
ข้อเสียน้ำมันปาล์ม คือ 1. กรดไขมันอิ่มตัวสูง มีโอกาสสนับสนุนให้ไขมันร้ายคือแอลดีแอลในเลือดสูงและไขมันดีคือเอชดีแอล ต่ำ  ดังนั้นไม่ควรพึ่งแต่น้ำมันปาล์มทุกมื้อทุกครั้งในการปรุงอาหาร 2. มีโอกาสซ่อนไขมันทรานส์ซึ่งเป็นไขมันอันตราย  3. ยิ่งทอดซ้ำยิ่งเสี่ยงต่อสุขภาพ  เพราะจะทำให้น้ำมันปาล์มเปลี่ยนสภาพ ทำให้มีสารโพล่าร์ที่เกิดจากการทอดซ้ำเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  4. ทำให้เกิดสิว คนที่ใช้น้ำมันปาล์มทอดของอยู่หน้าเตานานๆจะมีไอระเหยน้ำมันออกมาจับหน้าตา พาให้เกิดอักเสบเป็นสิวได้ หรือในคนที่ปวดศีรษะบ่อย ปวดประจำเดือนทรมานอย่ากินน้ำมันพืชมากเกินไปเพราะมีกรดอักเสบ ชื่อโอเมก้าหกอยู่ค่อนข้างมาก
   
น้ำมันแต่ละชนิดมีดีในตัวมันต่างกันออกไปเหมือนกับคนเรา แม้น้ำมันหมูที่คู่คนไทยมาแต่ครั้งยังใช้ครัวไฟก็มีของดี หลักที่อยากฝากไว้คือไม่ควรใช้น้ำมันชนิดใดชนิดหนึ่งแช่ไว้ติดครัวตลอด ให้สลับกันไปบ้าง ยกตัวอย่าง มื้อนี้ใช้น้ำมันปาล์ม มื้อหน้าอาจเป็นน้ำมันรำข้าวหรือน้ำมันหมูบ้างก็ยังได้  ช่วยแก้ปัญหาน้ำมันแพงแถมบางมื้อยังได้ของอร่อยอย่างกากหมูไว้เจริญอาหาร ด้วย.

นวพรรษ บุญชาญ

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=532&contentId=125009

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 09, 2011, 10:20:35 pm
5 เชื้อโรคที่อาจปะปนมากับอาหารของคุณ



โดย ธรรมชาติแล้วเชื้อแบคทีเรียจะมีปะปนมากับอาหารทุกชนิด แต่เมื่อนำมาปรุงอาหารผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่ถูกต้อง และถูกสุขลักษณะ เชื้อเหล่านี้ก็จะถูสลายไป แต่ในทางกลับกันหากนำไปปรุงไม่ถูกวิธีก็จะเพิ่มปริมาณและส่งผลเสียต่อร่าง กาย และนี่คือ 5 เชื้อโรคที่คุณอาจพบในอาหารโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ

 

 คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเกนส์ (Clostridium perfringens)

 

            พบ ใน เนื้อสัตว์ แกง อาหารแห้ง เช่น กะปิ น้ำพริกต่างๆ รวมถึงอาหารที่ยังร้อนไม่ได้ที่ หรือแช่แข็งอาหารช้าเกินไป เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ คลื่นไส้ ปวดบิดในท้อง โดยปกติจะไม่มีไข้ เริ่มมีอาการภายใน 1 - 16 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 2 วัน แต่สามารถป้องกันได้โดยการปรุงอาหารร้อนๆ ให้เนื้อสุกเกิน 60 องศาเซลเซียส หรือนำไปอุ่นให้ได้อย่างน้อย 73 องศาเซลเซียส แช่แข็งอาหารทันที และเก็บอาหารในภาชนะที่สะอาดค่ะ

 

 เอสเชอริเซีย โคไล หรือ เชื้ออี.โคไล

 

            จะ พบจากการปนเปื้อนในโรงฆ่าสัตว์ พบมากที่สุดในเนื้อบดที่ปรุงไม่สุก แหล่งอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ นมดิบ น้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์ อุจจาระ และน้ำสกปรก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำและถ่ายเป็นเลือดภายใน 24 ชั่วโมง ปวดบิดในท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ บางรายมีอาเจียน แต่ไม่มีไข้ เริ่มมีอาการภายใน 1 - 8 วัน และจะเป็นนาน 5 - 8 วัน ส่วนการป้องกันนั้นทำได้โดยปรุงเนื้อสัตว์ให้เนื้อในสุกถึง 70 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงการดื่มนมดิบหรือน้ำผลไม้ที่ไม่ได้พาสเจอไรซ์ และล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

 

 ซาลโมเนลลา (Salmonella)

 

            พบ ใน น้ำนม เนื้อสัตว์ดิบหรือปนเปื้อน ไข่แดงปนเปื้อน พบในอาหารที่ปรุงไม่สุก เชื้อโรคมักจะแพร่ไปกับมีด เขียง หรือกับผู้ป่วยติดเชื้อที่รักษาสุขอนามัยไม่ดี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการท้องร่วงรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้สูงถึง 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น เริ่มมีอาการภายใน 6 - 72 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 14 วัน สำหรับการป้องกันควรปรุงเนื้อสัตว์ให้สุก หลีกเลี่ยงการดื่มนมดิบ ไข่ดิบ หมั่นทำความสะอาดมีด เขียง และล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

 

 สเตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)

 

แพร่ เชื้อจากการสัมผัสมือ ไอ และจาม เชื้อโรคจะเติบโตได้ดีในเนื้อสัตว์ น้ำปรุงสลัด ครีมซอส ขนมจีน อาหารและขนมที่ใช้มือหยิบจับ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการถ่ายเหลวรุนแรง ปวดบิดในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด เริ่มมีอาการภายใน 1 - 6 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 2 วัน สามารถป้องกันได้โดยการอย่าวางอาหารที่ติดเชื้อง่ายทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง นานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ล้างมือและเครื่องครัวก่อนนำมาปรุงอาหารทุกครั้ง

           

 วิบริโอ วัลนิฟิคัส (Vibrio vulnificus)

 

พบในอาหารทะเลดิบทุกชนิด โดยเฉพาะหอยนางรม หอยแครง และหอยแมลงภู่ดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
เมื่อ เข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการเป็นไข้ หนาวสั่น เป็นโรคผิวหนัง เริ่มมีอาการภายใน 1 ชม. – 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยร้อยละ 50 มีโอกาสเสียชีวิตได้ ส่วนการห้องกันคือให้งดเว้นการกินอาหารทะเลดิบทุกชนิด และต้องปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนรับประทาน

 

รู้แบบนี้แล้วอาหารมื้อต่อไปก็ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทานจะดีที่สุดนะคะ

http://www.womanstoryonline.com/detail-page-1815.html


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 10, 2011, 09:35:15 pm
“ไข่มดแดง” เมนูเด็ดหน้าร้อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
10 มีนาคม 2554 18:28 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000003135401.JPEG)

 “ไข่มดแดง” เป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารตามฤดูกาล ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็มักจะติดอกติดใจกันถ้วนหน้า ส่วนใหญ่แล้วจะได้ยินกันว่าเป็นอาหารจานเด็ดของภาคอีสาน แต่ในทางภาคเหนือและภาคกลางก็มีให้กินเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก หรือยังไม่เคยได้ลองชิม ก็มาทำความรู้จักกับ “ไข่มดแดง” กันเสียหน่อยดีกว่า
       
       ไข่มดแดงจัดว่าเป็นอาหารตามฤดูกาล ในช่วงฤดูร้อน หรือประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ เรื่อยไปจนถึงเดือนมิถุนายน โดยสามารถแบ่งไข่มดแดงออกไปเป็นสองชนิด คือ ไข่ผาก เป็นไข่ที่มดแดงออกมาเพื่อให้เจริญเติบโตเป็นตัวมดแดง จะมีลักษณะเล็ก ลีบ ฝ่อ ไม่เต่งตึง ส่วนใหญ่แล้วไข่ผากจะมีตลอดทั้งปี แต่ก็ไม่นิยมนำมาปรุงอาหาร เนื่องจากมีรสเปรี้ยว และเลือกไข่ออกจากแม่มดแดงได้ยาก ถ้านำมาปรุงอาหารก็จะใช้ใส่ต้มยำ หรือใส่อาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยว
       
       ส่วน ไข่ใหญ่ หรือ ไข่มดแดง จะมีขนาดใหญ่เต่งตึง และมีน้ำในไข่มากกว่าไข่ผาก ไข่ใหญ่จะเจริญเติบโตออกมาเป็นแม่เป้ง ซึ่งเป็นมดแดงอีกแบบหนึ่งที่สามารถบินได้ เมื่อแม่เป้งโตเต็มที่แล้วก็จะออกไข่มาเป็นลูกมดแดง ไข่ใหญ่จะมีเฉพาะในฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่มดแดงจะเร่งแพร่ขยายพันธุ์ รังมดแดงที่มีไข่ใหญ่ เต่งและตึงจะเริ่มมีไข่ตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ไปจนถึงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงที่นิยมนำมากินกันมากที่สุดคือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม เพราะไข่มดแดงช่วงนี้จะใหญ่ เต่ง ตึง และอร่อยที่สุด
       
       ไข่มดแดงสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายเมนู อย่างเช่น ต้มกับผักหวานป่า นำไปใส่ไข่เจียว ทำยำไข่มดแดง เป็นต้น ซึ่งไข่มดแดงนั้นก็มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม มีสรรพคุณทางยาช่วยระบายท้อง ช่วยให้เจริญอาหาร และเป็นอาหารบำรุงธาตุน้ำ แต่มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ถ้าหากกินมากจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000029397


.



.



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2011, 09:49:40 am
‘เฉาก๊วย’ ของว่างมาจากไหน?

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1104/11/newspaper/kt130411.jpg)

“เฉาก๊วย” ขนมหวานสีดำ ที่มีลักษณะหยุ่น ๆ เหมือนวุ้น ต้องรับประทานพร้อมกับน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง ใครรู้บ้างว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่วุ้น แต่มันทำมาจากพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งพืชชนิดนั้นก็คือ “ต้นเฉาก๊วย” นั่นเอง

“ต้นเฉาก๊วย” เป็นพืชล้มลุก ประเภทคลุมดิน ลักษณะเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นกลม เปราะและหักง่าย พืชชนิดนี้เป็นพืชในตระกูลเดียวกับพวกใบสะระแหน่ หรือ มิ้นต์ แต่ใบจะใหญ่และเรียวแหลมกว่า ใบเป็นรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ มีสีเขียวสด ดอกสีขาว ลักษณะคล้ายดอกกะเพรา ออกได้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี คนไทยเรียกว่า “หญ้าเฉาก๊วย” แปลว่า ขนมที่ทำจากหญ้า (“เฉา” แปลว่า “หญ้า”, “ก๊วย” แปลว่า “ขนม”)

พืชชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยวิธีปักชำกิ่ง แต่ก็สามารถขึ้นได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ที่ชอบทั้งแดดและความชุ่มชื้น ปลูกได้ทั้งในดินกลางแจ้งและลงกระถาง ใบเมื่อนำไปตากแห้งแล้วเอาไปต้มจนเดือด แล้วกรองเอาแต่น้ำก็จะได้น้ำเฉาก๊วย หรือนำยางไปผสมแป้งให้มันอยู่ตัว ก็จะได้เฉาก๊วยที่เรารับประทานกัน สรรพคุณนอกจากจะช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำแล้ว ยังสามารถควบคุมโรคความดันสูงได้อีกด้วย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์




.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ‘เฉาก๊วย’ ของว่างมาจากไหน?

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132305

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2011, 09:16:31 pm
.
รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย



ช่วงวันสงกรานต์อย่างนี้ ร้านรวงหลายแห่งก็ปิด การหาอาหารทานช่างยากลำบาก คงต้องหยิบอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ขึ้นมากิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า อาหารกระป๋องเหล่านั้น จะปลอดภัยพอที่จะรับประทานได้ไหม ลองอ่านดู มีคำแนะนำ

เริ่มตั้งแต่เวลาซื้ออาหารกระป๋องมาใหม่ ๆ ถ้าอยากให้อยู่ได้นานและมีคุณภาพดีจนถึงวันหมดอายุ ก็ควรเก็บในที่แห้งและสะอาด ไม่ร้อนจัดจนเกินไป แต่ถ้าสงสัยว่าอาหารกระป๋องที่เก็บไว้ยังทานได้หรือไม่ แนะนำให้หยดน้ำลงบนกระป๋อง 2-3 หยด แล้วใช้ตะปูใหม่ ๆ ที่ไม่เป็นสนิม เช็ดให้สะอาด เจาะกระป๋องให้ทะลุ ถ้าลมในกระป๋องดูดน้ำลงไปแสดงว่าอาหารยังดีสามารถรับประทานได้ แต่ถ้ามีลมดันน้ำขึ้นมา แสดงว่าเสียห้ามทาน

ทางที่ดีไม่ควรบริโภคอาหารกระป๋องที่เก็บไว้นานเกินไป เพราะอาจมีปริมาณของโลหะบางชนิดจากภาชนะที่บรรจุอาหารอยู่ ละลายลงสู่อาหารในระดับที่สูงเกินมาตรฐานกำหนด อาจทำให้เกิดพิษต่อผู้บริโภคได้

สิ่งที่ควรทำอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อจะรับประทานให้เทอาหารจากกระป๋องใส่ในภาชนะอื่น แล้วสังเกตดูว่าด้านในกระป๋องที่บรรจุนั้น มีรอยถูกกัดกร่อนหรือไม่ เพราะหากมีอาจจะได้รับอันตรายจากโลหะที่หลุดลอกออกมาได้

ส่วนอาหารคาวนั้นถ้าเป็นไปได้ควรจะใส่ภาชนะหุงต้ม แล้วนำไปอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน (ห้ามอุ่นด้วยกระป๋อง) ประมาณ 5-10 นาที เพราะนอกจากจะทำให้อาหารน่ารับประทานยิ่งขึ้นแล้ว ยังมั่นใจได้ว่าปลอดภัยอีกด้วย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > รับประทานอาหารกระป๋องให้ปลอดภัย






.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132531

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2011, 02:13:35 pm
เที่ยวอยู่ผิดที่ ‘ท้องผูก’ ดื่มน้ำ3ผักแก้ได้

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1104/12/etc/hl150411.jpg)

เห็นว่าเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนจำนวนไม่น้อยเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ต้องพักค้างอ้างแรมในต่างถิ่น ซึ่งอาจทำให้บางคนที่ระบบขับถ่ายหวั่นไหว เมื่อไม่คุ้นชินกับสถานที่จึงไม่อาจถ่ายหนักออกมาได้ กักเก็บไว้รอกลับมาระบายออกในส้วมที่บ้านอันคุ้นเคย พาลเกิดปัญหาท้องผูก ยามเมื่อถ่ายได้ อุจจาระแข็งใหญ่ออกยาก เสี่ยงปากทวารหนักเป็นแผล หรือริดสีดวงกำเริบ

เหตุสำคัญข้างต้น ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้ขอส่งเครื่องดื่มสุขภาพ ช่วยแก้อาการท้องผูก และกระตุ้นการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น ด้วยสารอาหารจาก ผัก-ผลไม้ 3 ชนิด อย่าง แครอต แอปเปิ้ลเขียว และส้ม

คุณค่าของแครอต ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อย กำจัดแบคทีเรียตัวร้ายในลำไส้ใหญ่ เพราะมีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ และคลอรีน

ส่วนแอปเปิ้ลเขียว อันอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก เส้นใยเพ็กติน แอปเปิ้ลจึงช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้เล็ก แถมยังเป็นผลไม้ที่ช่วยลดความเครียดได้ด้วย

สำหรับส้มนั้น กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่น ช่วยในการขับถ่าย ในส้มจะมีวิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ…

    * แครอต 1 ถ้วย
    * แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
    * ส้ม 2 ผล


ขั้นตอนในการทำ หลังจากล้างทำความสะอาดส่วนผสมทั้งหมดแล้ว ให้นำแครอตไปขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ปอกเปลือกส้มและแกะออกเป็นกลีบ โดยไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสามชนิดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วสามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นก่อนดื่มได้

อยากขับถ่ายออกได้ไม่ต้องอึดอัด นอกจากดื่มน้ำผัก-ผลไม้นี้แล้ว ควรเน้นกินผักและผลไม้สดๆ ให้มาก รวมถึงนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ที่มีเส้นใยช่วยและจุลินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentID=132421


.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2011, 10:43:21 pm
ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง




ทำสิ่งใดๆ ถ้าไม่ตั้งใจ ผลลัพธ์ก็ยากที่จะออกมาดี เช่นเดียวกับเรื่องสุขภาพ ถ้าไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร?

ตั้งต้นไปอย่างนั้น ก็เพราะ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ หวัง ให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าได้ถอดใจกับการเตรียมส่วนผสมในสูตรเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจดูมากอย่างและหายากสำหรับบางคน แต่รับรองว่าคุณประโยชน์ที่ได้ คุ้มค่ากับความตั้งใจ

เครื่อง ดื่มสูตรนี้ได้จากแครอท อินทผลัมสด งาขาว จมูกข้าวสาลี และน้ำส้มคั้น กลายเป็นแหล่งรวมแมกนีเซียม แคลเซียม และวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคหวัด คลายเครียด บำรุงผิวพรรณ

ส่วนผสมต่างๆ ให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้ (สำหรับ 1 แก้ว)

    * แครอทขนาดกลาง 1 หัว
    * อินทผลัมสด 3 ผล
    * งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    * จมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
    * น้ำส้มคั้นสด 1/3 ถ้วยตวง
    * น้ำแข็ง พอประมาณ


ขั้นตอนในการทำ ให้ปอกเปลือกแครอทและหั่นพอหยาบ ส่วนอินทผลัมให้คว้านเอาเมล็ดออก งาขาวนำไปขั้วให้สีอมน้ำตาลอ่อน ได้แล้วนำส่วนผสมทั้งสามใส่รวมกับจมูกข้าวสาลี น้ำส้มคั้นสด และน้ำแข็ง ปั่นรวมกันจนเข้ากันดีเป็นเนื้อเดียว เทใส่แก้วดื่มทันที

แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพปั่นเย็น รสสัมผัสกรุบๆ จากแครอท งา และจมูกข้าวสาลี ออกหวานนิดๆ จากอินทผลัมและน้ำส้มคั้นสด โดยไม่ต้องง้อน้ำตาล.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com





Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มเติมภูมิกันหวัด กระดูก-หัวใจแข็งแรง



.


http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=134117

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 23, 2011, 04:21:46 pm
“ชะคราม” รสเค็ม เต็มคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 เมษายน 2554 10:31 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005141401.JPEG)

 “108 เคล็ดกิน” ได้ไปลองชิมอาหารอยู่จานหนึ่งที่ชื่อว่ายำชะคราม ฟังดูแล้วชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเสียเท่าไหร่ก็เลยลองกลับมาหาความรู้ดูว่า “ชะคราม” ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่
       
       “ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็น ไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
       
       ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน
       
       นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาค หน้า
       
       ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ
       
       ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย
       
       ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ


.
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000048166

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2011, 10:56:36 pm
“มะม่วง” กินสุกก็หวาน กินดิบก็อร่อย หลากหลายคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 พฤษภาคม 2554 12:31 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000005723501.JPEG)

ระยะนี้ “108 เคล็ดกิน” เห็นมีมะม่วงมากมายหลายสายพันธุ์มาวางขายตามท้องตลาด มีทั้งแบบที่กินสุกและกินดิบ ซึ่งมะม่วงในบ้านเรานั้นก็มีให้กินกันได้ทั้งปี แต่จะเลือกแบบไหนให้อร่อยถูกปากถูกใจเรานั้นก็มาดูกันได้เลย

มะม่วงกินดิบ สายพันธุ์ที่นิยมกินกัน เช่น เขียวเสวย ฟ้าลั่น กาละแม มันคุณศรี โชคอนันต์ แก้ว เขียวไข่กา มันเดือนเก้า ซึ่งเป็นประเภทที่จะกรอบ มัน ส่วน มะม่วงแรด หนองแซง น้ำดอกไม้ เป็นประเภทกินดิบที่มีรสเปรี้ยว

ส่วนมะม่วงกินสุก ที่นิยมกัน เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ อกร่อง พิมเสน และนิยมกินคู่กับข้าวเหนียวมูลเพิ่มรสชาติความอร่อยให้เต็มปากเต็มคำ

นอกจากนี้ก็ยังมีมะม่วงอีกหลายสายพันธุ์ ทั้งที่เป็นพันธุ์ที่ปลูกได้ทั่วไปและมีเฉพาะในท้องถิ่น ซึ่งก็มีลักษณะและรสชาติเฉพาะตัว

และนอกเหนือจากความอร่อยแล้ว มะม่วงก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ส่วนที่เป็นเปลือกต้นและเนื้อในเมล็ด มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิด แก้อาเจียน ผลสดแก่ กินแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ

ใบอ่อน และยอดมะม่วง มีรสเปรี้ยวอมฝาด ผลสดดิบ ให้พลังงานกับร่างกาย ประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบด้าแคโรทีน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน วิตามินซี เป็นต้น






-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000053623-




.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 11, 2011, 06:56:18 pm
ต้นใต้ใบสุดยอดสมุนไพรรักษาโรค

วันพุธ ที่ 11 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น



สมุนไพรชื่อแปลก ๆ แต่สรรพคุณสุดยอด หญิงสาวหลายคนรู้จักมันอย่างไม่เต็มใจเพราะต้องเคยดื่มน้ำขม ๆ เวลาเป็นไข้ทับฤดู

ต้นใต้ใบ ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ หรือ มะขามป้อมดิน ล้วนเป็นชื่อของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1-2 ฟุต ทุกส่วนมีรสขม ลำต้นเรียบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมน ก้านใบสั้น ผลรูปกลมแป้นขนาดเล็ก ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่แพร่กระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ แต่ละถิ่นที่มีลูกใต้ใบจะใช้ประโยชน์ทางยาจากสมุนไพรชนิดนี้เหมือน ๆ กัน

สรรพคุณของมันมีมากมาย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรสำหรับทานแก้ไข้ได้ทุกชนิด รวมทั้งแก้ท้องเสียด้วย ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อแก้ไข้ มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อตับอีกด้วย คือ ถ้าต้มลูกใต้ใบดื่มติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ และรักษาอาการดีซ่าน รวมถึงสามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี ได้ผลดีอีกด้วย

ลูกใต้ใบยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน สำหรับสาว ๆ ที่เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน แนะนำให้นำต้นใต้ใบนี้มามัดรวมแล้วต้มดื่มน้ำ หรือนำหญ้าใต้ใบล้างน้ำให้สะอาด ตำละเอียดผสมสุรา คั้นเฉพาะน้ำยา กินครั้งละ 1 ถ้วยชาก็ได้ ข้อควรระวังก็คือ ห้ามใช้ในคนท้อง เพราะลูกใต้ใบเป็นยาขับประจำเดือน แน่นอนมันเป็นยารักษาโรคได้มากขนาดนี้ ย่อมมีรสขมมาก พืชชนิดนี้หาไม่ยาก แต่คนมักไม่สนใจไม่รู้จัก จึงทำลายทิ้ง หากทราบประโยชน์ของมันอย่างนี้แล้ว คราวหน้าถ้าเห็น ก็ควรช่วยกันอนุรักษ์ไว้.

ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=138028
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2011, 05:37:01 pm
“ยอ” ของดีตำรับไทย
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2554 16:00 น.
 
 
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1503543&d=1305801748)

ปัจจุบันนี้เรามักจะเห็นสมุนไพรไทยที่มีการนำมาแปรรูปในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบแคปซูล สกัดเป็นสารออกมาแล้วผสมกับส่วนผสมอื่นๆ หรือแปรรูเป็นเครื่องดื่ม อย่างเช่น “น้ำลูกยอ” ที่ “108 เคล็ดกิน” เคยเห็นวางขายอยู่ตามห้างทั่วไป

สำหรับสรรพคุณของ “ยอ” นั้นก็มีอยู่อย่างมากมาย ในส่วนของ “ลูกยอ” มีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียมสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์กล่อมประสาท เป็นยานอนหลับอ่อนๆ บำรุงสมอง บำรุงการไหลเวียนของเส้นเลือดในสมอง

ในผลยอมีสารสำคัญคือแอสปรูโลไซต์ (Asperuloside) ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์แก้คลื่นไส้อาเจียนได้เป็นอย่างดี ส่วนสารโปรซีโรนีน (Proxeronine) ที่มีอยู่มากในผลยอนั้น จะช่วยปรับสภาพเซลล์ให้มีความสมดุลแข็งแรง และมีภูมิต้านทานที่ดีอีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติและกระตุ้นให้เซลล์ใหม่เติบโตและทำหน้าที่ได้เป็นปกติ

ในผลยอยังประกอบ ด้วยสารสำคัญอีกมากมายเช่น สารแอนทรา ควิโนน (Antraquinones) ที่ช่วยควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรคต่างๆ สารสโคโปเลติน (Scopoletin) มีคุณสมบัติช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวจึงสามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงกลับเป็นปกติได้ และสารเซโรโทนิน(Serotonin) ที่ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีและสมบูรณ์มากขึ้นทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่าย จึงช่วยลดอาการท้องผูกจุกเสียด ช่วยระบายท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังช่วยขับพยาธิตัวกลมโดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายและพยาธิไส้เดือนได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันนิยมนำมาแปรรูปเป็นชนิดแคปซูลโดยการบดลูกยอเป็นผงแล้วนำมาบรรจุแคปซูล หรือนำไปไปสกัดเป็นน้ำลูกยอ

หรือหากว่าจะทำกินเองแบบง่ายๆ เพียงแค่นำลูกยอมาฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้ง เมื่อจะกินก็นำแว่นลูกยอที่ตากแห้งดีแล้วใส่แก้ว แล้วเทน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้สักครู่ และดื่ม ลักษณะคล้ายกับการดื่มชา
นอกจากลูกยอแล้ว “ยอ” ก็ยังสามารถนำส่วนอื่นมาใช้ได้ด้วย อาทิ ใบยอ มีวิตามินเอมาก มีคุณสมบัติในการบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ หรือนำใบไปคั้นน้ำนำมาสระผมฆ่าเหา หรือนำใบยอไปปรุงอาหาร สามารถแก้ท้องร่วงได้

รากของต้นยอ สามารถใช้เป็นยาระบาย แก้กระษัย และยังสามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมผ้าได้ โดยสีเดิมจะมีสีเหลือง หรือเหลืองปนแดง หากผสมเกลือตามสัดส่วนต่างๆ จะได้สีที่ต่างกัน เช่น ชมพู น้ำตาลอ่อน สีม่วงแดง หรือสีดำ เป็นต้น


.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907-

.




http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058907

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 20, 2011, 07:53:08 pm
เจ็บคอ ‘กะหล่ำปลี’ ช่วยบรรเทา


 
แก้เจ็บคอ บรรเทาอาการไอ กะหล่ำปลี ควงมาพร้อมแครอต และแอปเปิ้ล

เชื่อว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความชื้นที่มากับฤดูฝน คงเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้กำเริบ พาลพาให้รู้สึกคัดจมูก เป็นหวัด แถมอาการเจ็บคอยังติดสอยห้อยตามมาด้วย

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ วันนี้ มีสูตรเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักและผลไม้ใกล้ๆ ตัว มาแนะนำให้ปรุงดื่มแก้เจ็บคอและบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ซึ่งพระเอกในสูตรนี้ คือ ‘กะหล่ำปลีม่วง’ อันอุดมด้วยสารไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกรดโฟลิก สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้ไอ แถมสารอาหารในผักชนิดนี้ยังเป็นเกราะป้อนกันเซลล์มะเร็งด้วย

ส่วนผักและผลไม้ที่สามารถช่วยลดกลิ่นเหม็นเขียวให้จางลง และช่วยให้เครื่องดื่มสูตรนี้ดื่มได้ง่ายขึ้น คือ แครอตกับแอปเปิ้ล ซึ่งต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยเกื้อหนุนเสริมคุณค่ามากยิ่งขึ้น สำหรับ ‘แครอต’ ก็ยังช่วยบรรเทาอาการไอได้เช่นกัน ในผักสีส้มสวยนี้ มีเบต้าแคโรทีน ซัลเฟอร์ คลอรีน ส่วน ‘แอปเปิ้ล’ ช่วยลดไข้ แก้หวัด คัดจมูก เพราะมีวิตามินซี บี1 บี2 และบี6 นั่นเอง

ส่วนผสมและสัดส่วนในสูตร เตรียมดังต่อไปนี้...
กะหล่ำปลีม่วง 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย
ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากทำความสะอาดล้างผักและผลไม้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำกะหล่ำปลีซอยเป็นชิ้นเล็กๆ แครอตกับแอปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอประมาณ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันโดยใช้เครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เมื่อได้น้ำผักและผลไม้สูตรนี้แล้ว จะเติมน้ำแข็งป่นสักเล็กน้อยช่วยให้ดื่มง่ายขึ้นก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรเติมมากเกินไปเพราะจะทำให้ระคายคอ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818-

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=139818


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 27, 2011, 06:28:35 pm
ปั่น 'ส้ม-มะม่วง-ขิง' ดื่มต้านมะเร็ง

น้ำส้มคั้น ไม่ว่าจะดื่มกันสดๆ หรือนำไปปั่นให้เย็นสดชื่น ต่างก็เป็นน้ำผลไม้ที่ดื่มง่าย ถูกใจหลายคน เพราะรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ชวนให้รู้สึกตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ส้มที่อุดมด้วยวิตามินซี ยังช่วยบรรเทาและต้านโรคหวัด ทว่าอยากเติมคุณค่า เปลี่ยนเป็นน้ำส้มที่ไม่ธรรมดา ลองใส่ มะม่วงกับขิง เข้าไป ช่วยเพิ่มให้เครื่องดื่มสูตรนี้มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็งร้าย และป้องกันการอักเสบของร่างกาย

สำหรับส่วนผสมของน้ำปั่นส้ม เพิ่มมะม่วง เติมขิง ประกอบไปด้วย...

น้ำส้มคั้นสด 1 ถ้วย

มะม่วงสุกลูกโตปอกเปลือกครึ่งผล

น้ำขิง 1 ช้อนชา กับอีก 1/4 ช้อนชา หากเป็นน้ำขิงคั้นสดจะดีมาก

น้ำแข็ง 4 ก้อนเล็ก

ขั้นตอนในการทำ นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่นแล้วปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เสร็จแล้วควรดื่มทันที อย่างไรก็ตาม สามารถเพิ่มความข้นให้กับเครื่องดื่มโดยการเพิ่มกล้วยสุกปอกเปลือกครึ่งผล ปั่นรวมกับส่วนผสมอื่นๆ ก็ไม่ทำให้เสียคุณค่า

ส่วนคุณค่าทางโภชนาการ เครื่องดื่มสูตรนี้ให้พลังงาน 201 แคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 48 กรัม ใยอาหาร 3 กรัม โซเดียม 4 กรัม โปรตีน 3 กรัม ไม่มีไขมันทั้งชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว ไม่มีคอเลสเตอรอล

วัตถุดิบแต่ละอย่างหาง่ายใกล้ตัว วิธีทำไม่ยุ่งยากอย่างนี้ ผู้อ่านรักษ์สุขภาพอย่าลืมลองทำดื่มกันนะคะ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=140985

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2011, 07:28:11 pm
สกัดนิสัยพาอ้วนเพื่อสุขภาพที่ดี

คมชัดลึก : คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่ารูปร่างที่เปลี่ยนไป ดูสมบรูณ์ บางทีมันอาจเกิดจากนิสัยการกินเล็กๆ น้อยๆ ในตัวคุณที่ถูกมองข้ามไป ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี เปิดประเด็นชวนคิด “กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม ต้องกินให้หมด”

ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ กล่าวขยายคำพูดดังกล่าวให้ฟังว่า คนอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากนิสัยการกิน กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม กินให้หมด เสียดายของ และผลสุดท้ายก็เป็นอันตรายต่อการดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างมาก เพราะจากที่ร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน แต่การกินทั้งทีต้องคุ้มอย่างบุฟเฟ่ต์ คุณจะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ยต่อมื้อถึง 3,000 กิโลแคลอรี อีกนัยหนึ่งคือ น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นมื้อละ 1.4 ขีด  เชียวนะ ถ้าคุณเผลออ้วนแล้วล่ะก็ การที่จะกลับมาทำให้หุ่นดีได้ดังเดิมนั้นมันยาก และอาจใช้เงินมากกว่าค่าอาหารในวันนั้นเป็นไหนๆ แต่ถ้าคุณพลาดไปแล้วล่ะ ให้ลองทำวิธีนี้ คือให้ลดปริมาณแคลอรีที่จะได้รับในวันต่อๆ ไปวันละ 500 กิโลแคลอรี สัก 4 วัน ก็น่าจะพอช่วยได้ หรือจะออกกำลังกายว่ายน้ำ  ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือไม่ก็นัดก๊วนแก๊งที่ไปกินบุฟเฟต์ด้วยกันนี่แหละ  ไปตีแบดสัก 2-3  ชั่วโมง  จะได้ไม่อ้วนและก็สุขภาพแข็งแรงกันทั้งกลุ่ม

 สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานฟาสต์ฟู้ดจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ โดนัท ไก่ทอด ฯลฯ คุณรู้ไหม ? องค์การอนามัยโลกเรียกอาหารเหล่านี้ว่า “อาหารขยะ” เพราะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ให้แต่เฉพาะพลังงานมากกว่าอื่นๆ และยังมีโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากคุณกิน “อาหารขยะ” ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อเส้นรอบเอวแล้ว ยังนำมาซึ่งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วหันมากินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างอาหารไทยทั่วไปนี่แหละ เช่น ข้าวน้ำพริกกะปิกินคู่ผักสดหรือผักต้ม อร่อยแสนอร่อย อุดมด้วยวิตามินแถมยังให้แคลอรีน้อยกว่าแฮมเบอร์เกอร์เพียงครึ่งชิ้นอีกต่างหาก

 "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหล้า เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับการกินอาหารมื้อใหญ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งสาวๆ ทั้งหลายที่มักนิยมดื่มเหล้าจางๆ ผสมน้ำอัดลมด้วยแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้ของแถมเป็นน้ำตาลปริมาณพอๆ กับที่ร่างกายต้องการทั้งสัปดาห์ ยิ่งคนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวัน จะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ 50-200 กิโลแคลอรี เหมือนกินไขมัน 1-4 ช้อนชา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอาจเดือนละ 1  กิโลกรัม  ซึ่งความอ้วนจะมาพร้อมกับความเมาเสมอ ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่กลุ่มที่เสี่ยงกับโรคอ้วน เพราะขี้เกียจออกกำลังกายจึงควรปรับเปลี่ยนนิสัยหรือหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถสกัดกั้นการดูดซึมแป้งและไขมัน และช่วยเผาผลาญพลังงานที่เหลือใช้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี”  ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ สรุปปิดท้าย

.

http://www.komchadluek.net/detail/20110529/98857/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5.html

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ พฤษภาคม 29, 2011, 11:57:34 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 11, 2011, 08:36:10 am
รู้ทันโรคมะเร็ง - ผักผลไม้สีแดง : อาหารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/06/09/9kkja5bae58gib5ecbbb6.jpg)

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/06/09/d7eab6h9fgjfcjkbegcfh.jpg)

คมชัดลึก : ตามที่เคยกล่าวไว้ในตอน “วันนี้คุณกินผักผลไม้ครบ 5 สีแล้วรึยัง” ว่าผักผลไม้มีสีต่างๆ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ผู้บริโภคจึงควรบริโภคผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สีในทุกๆ วัน อันได้แก่ สีเขียว สีม่วง สีแดง สีขาวและสีเหลือง เพราะผักผลไม้แต่ละสีช่วยป้องกันมะเร็งในประเภทที่แตกต่างกันไป ด้วยการกำจัดสารอนุมูลอิสระและเพิ่มเอนไซม์ที่กำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย บางสียังดีกับมะเร็งบางอวัยวะโดยช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งให้ช้าลง วันนี้มาเริ่มที่ผักผลไม้สีแดงกันก่อน

ลองหลับตานึกถึงผักผลไม้ที่มีสีแดง ไม่ว่าจะเป็นพวกผัก เช่น มะเขือเทศ แครอท หอมแดง พริกหวาน พริกชี้ฟ้า หรือพวกผลไม้บ้านเรา เช่น แตงโม ทับทิม ส้มโอ มะละกอสุก ฝรั่งสีแดง แก้วมังกร หรือผลไม้ต่างชาติอย่างแอปเปิ้ล สตอรเบอร์รี่ บีทรูท ราสเบอร์รี่ บรรดาผักผลไม้สีแดงเหล่านี้มีสารที่มีชื่อว่า “ไลโคพีน” อยู่ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี 100 เท่า และมากกว่ากลูตาไธโอนถึง 125 เท่า สารไลโคพีนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

 มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอด และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเยื่อบุมดลูก นอกจากนั้นสารไลโคพีนยังช่วยให้หลายภาวะผิดปกติของร่างกายดีขึ้น เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน กระดูกพรุน และภาวะมีบุตรยากในเพศชาย ได้อีกด้วย

 พระเอกของเรื่องผักผลไม้สีแดงหนีไม่พ้นมะเขือเทศครับ จากงานวิจัยพบว่ามะเขือเทศสามารถลดโอกาสในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ดีมาก และยังพบว่ามะเขือเทศที่แปรรูปแล้ว เช่น ซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ มีปริมาณสารไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศสด เนื่องจากสารไลโคพีนที่เกาะติดแน่นกับเนื้อมะเขือเทศจะละลายออกมามากขึ้นหลังผ่านกรรมวิธีทำให้สุก

 ในยุคข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพง ไข่แพง อะไรๆ ก็แพงกันไปหมด อย่าไปเสียเงินเสียทองจำนวนมากไปซื้อวิตามินของนอกราคาแพงๆ มากินเป็นกำๆ โดยหวังว่าจะช่วยต้านสารอนุมูลอิสระหรอกครับ ทำประเทศชาติขาดดุลการค้าเปล่าๆ มิหนำซ้ำตับไตจะพังพินาศก่อนกำหนดอีกด้วย หาผักผลไม้สีแดงมารับประทาน อาหารสดยังไงก็ดีกว่ามีคุณภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป

 พวกวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกนั้น ที่จริงแล้วเค้าผลิตมาให้คนที่ขาดสารอาหาร ไม่สะดวกหรือไม่สามารถรับประทานผักผลไม้สดได้ อีกอย่างหนึ่ง ประเทศเมืองหนาวเขาหาผักผลไม้สดลำบาก ไม่เหมือนบ้านเราเมืองร้อนมีผักผลไม้สดตลอดทั้งปี ผลไม้สีแดงบ้านเราที่มักถูกลืม เช่น ตะขบสุก ลูกตำลึงสุก เชอร์รี่สีแดงรสเปรี้ยวก็น่าสนใจนะครับ มีคุณค่าไม่ต่างจากผักผลไม้สีแดงที่ใครๆ นิยมกัน ที่สำคัญปลอดยาฆ่าแมลงแน่นอนครับ...ขอบอก


"นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ"



.

http://www.komchadluek.net/detail/20110610/99886/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87:%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html

.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 12, 2011, 09:10:59 am
   วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7500 ข่าวสดรายวัน


กินข้าวโพดลดเสี่ยงตาบอด

คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2011/06/you03120654p1.jpg&width=360&height=360)

นอกจาก "ข้าวโพด" จะมีรสหวานอร่อยและยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทั้งคาร์โบ ไฮเดรต ไนอะซีน วิตามินบี กรดไขมัน เส้ยใยผัก แล้วยังมีอะไรอีก รู้ไหมเอ่ย

ทอร์เบิร์ต โรชฟอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมและปฐพีวิทยา มหาวิทยาลัยเพอร์ดู ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการ วิจัยข้าวโพดพันธุ์สีส้ม ที่มีแหล่งกำเนิดจากแถบแคริบเบียน แต่นิยมปลูกกันมากในทวีปเอเชียและอเมริกาใต้

พบว่าข้าวโพดเมล็ดสีส้มอุดมไปด้วยเบต้า-แคโรธีน และโปรวิตามินเอในปริมาณมากกว่าข้าวโพดทั่วไปถึงกว่าเท่าตัว เมื่อสารทั้ง 2 ชนิดเข้าสู่ร่างกาย มันจะทำปฏิกิริยาแล้วเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พร้อมกระตุ้นให้เกิดสารซีแซนทีน องค์ประกอบสำคัญใน จอตา

โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่าโมคูลาหรือชั้นของเม็ดสี ซึ่งมีหน้าที่กรองแสงผ่านเข้าสู่จอตา รักษาส่วนรับภาพและช่วยป้องกันโรคตาบอดซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กๆ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา ที่มีอาการตาบอดมากถึง 2.5-5 แสนคนต่อปีเลยทีเดียว

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNekV5TURZMU5BPT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE1TMHdOaTB4TWc9PQ==

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2011, 10:02:29 pm
กิน “น้ำผึ้ง” ไม่แก่ แถมได้ประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
30 มิถุนายน 2554 14:55 น.

หลายคนคงรู้กันดีว่า “น้ำผึ้ง” เป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์มากมาย แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่ง “108 เคล็ดกิน” ก็อยากจะมาเตือนความจำกันเสียหน่อยว่ามีอะไรบ้าง
       
       ใน “น้ำผึ้ง” อุดมไปด้วยวิตามินบี และ วิตามินซี และยังมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในผักใบเขียว นอกจากนี้ก็ยังมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม และเกลือแร่ ที่ร่างกายต้องการ น้ำผึ้งมีคาร์โบไฮเดรตสูง แต่มีโปรตีนและไขมันในปริมาณน้อย ซึ่งก็อยู่ในรูปของกรดอะมิโนและกรดไขมันที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
       
       ความหวานในน้ำผึ้งนั้นมีน้ำตาลที่ถูกย่อยมาแล้วโดยเอนไซม์ในตัวผึ้งให้มีขนาดของโมเลกุลเล็กลงมาแล้วหนึ่งรอบ ทำให้เมื่อเรากินเข้าไป ร่างกายของเราจึงสามารถดูดซึมได้ทันที จึงมีประโยชน์กับคนเรา โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาในการย่อยอาหาร
       
       และที่สำคัญ “น้ำผึ้ง” ยังช่วยในการชะลอความแก่ ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิจัยจากประเทศนิวซีแลนด์ ที่พบว่าน้ำผึ้งนั้นมีคุณสมบัติในการต่อสู่กับความชราได้ทั้งในเรื่องของความจำเสื่อม และความวิตกกังวล โดยมีการทำการทดลองกับหนู 2 กลุ่ม หนูกลุ่มแรกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีน้ำผึ้ง 10% และซูโครส 8% อีกกลุ่มหนึ่งเลี้ยงด้วยอาหารที่ไม่มีน้ำตาลเลย เป็นเวลา 12 เดือน โดยใช้แบบทดสอบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อวัดเรื่องความวิตกกังวลกับความจำในเรื่องระยะทาง
       
       ผลปรากฏว่า หนูที่เลี้ยงด้วยน้ำผึ้ง มีความวิตกกังวลน้อยกว่า และมีความจำเกี่ยวกับระยะทางดีกว่าอีกกลุ่ม จึงมีผลสรุปว่า น้ำผึ้งน่าจะมีประโยชน์ในการลดความวิตกกังวลและปรับปรุงความจำได้ในระหว่างที่ชรา โดยน้ำผึ้งอาจเข้าไปกระตุ้นความทรงจำ เนื่องจากมีแอนตี้ออกซิเดนท์ ซึ่งป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออีกด้วย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000079533

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ กรกฎาคม 01, 2011, 11:01:52 pm
 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 25, 2011, 09:09:48 pm
กินดี หลับสบาย
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103743-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 สิงหาคม 2554 15:57 น.


ในชีวิตมนุษย์เรานั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องกินและเรื่องนอน ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ก็มีความสัมพันธ์กันด้วย “108 เคล็ดกิน” จึงมีความรู้ดีๆ มานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนได้กินอิ่ม และหลับสบายกันถ้วนหน้า

อาหารมีความสำคัญต่อการบำรุงร่างกาย แต่การกินอาหารไม่ถูกต้อง หรือกินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับได้ เช่น การกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไปก่อนเข้านอนจะทำให้รู้สึกอึดอัด เนื่องจากเป็นอาหารหนัก ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักกว่าปรกติ รวมทั้งอาหารที่มีความมัน และอาหารรสจัดต่างๆ ด้วย รวมไปถึงอาหารที่มีสารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งจะไปยับยั้งสารเคมีในสมองอย่างนอร์เอพิเนฟรีน (nor epinephrine ) ซึ่งทำให้มีอาการนอนไม่หลับ พบในเบคอน ซีส ช็อคโกแลต แฮม ไส้กรอก มันฝรั่งและมะเขือเทศ

ส่วนอาหารที่ช่วยกระตุ้นให้นอนหลับเป็นปกติ ได้แก่ อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดขาว การกินอาหารกลุ่มนี้ในเมื้อเย็นช่วยให้ใช้เวลาในการย่อยไม่มากนัก เมื่อถึงเวลานอน ร่างกายจึงเข้าสู่การนอนหลับได้ง่าย

นอกจากนี้ก็ยังมี ทริปโตฟาน ซึ่งมีความสำคัญกับการนอนอย่างมากเพราะร่างกายจะใช้กรดอะมิโนชนิดนี้ในการส ร้าง เมลาโทนิน อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ พบได้ใน กล้วย ไข่ ลูกพรุน สาหร่าย ไก่งวง และนม

ส่วนวิตามินบี ที่พบได้ในธัญพืชมีความสำคัญเช่นกัน โดยจะช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ทำให้ร่างกายผ่อนคลายจนสามารถหลับลึกได้ ในส่วนของวิตามินบี 6 จะรวมตัวกับทริปโตฟานเพื่อกระตุ้นกระบวนการนอนหลับอีกด้วย ซึ่งสามารถพบวิตามินเหล่านี้ได้จากซีเรียล เต้าหู้ ถั่ว เนื้อวัว ปลา ไก้ ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด คะน้า และบร็อคโคลี

ในเรื่องของเวลาการกินก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ควรกินอาหารมื้อเย็นดึกเกินไป ไม่ควรกินอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มทุกประเภทก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง เพื่อช่วยป้องกันการตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103743 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103743)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 14, 2011, 10:15:47 pm

กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

(http://img.kapook.com/image/Food/Fruit-Vegetable/Okra.jpg)


กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Woman Plus)

กระเจี๊ยบมอญ หรือกระเจี๊ยบเขียวที่มีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกห้าเหลี่ยม มีปลายเรียว นิยมนำมากินแกล้มกับน้ำพริก อาหารหลักของคนไทย ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว กระเจี๊ยบมอญฝักเล็ก ๆ นั้นยังเป็นสมุนไพรที่แฝงไปด้วยประโยชน์ในการช่วยบำรุงดูแลสุขภาพของเราด้วย

เนื่องจากฝักของกระเจี๊ยบมอญนั้นมีเส้นใยจำนวนมากที่มีประโยชน์ช่วยในการรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

นอกจากนี้ หากนำฝักของกระเจี๊ยบมอญไปตากแห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารแล้วดื่มน้ำตาม ก็จะช่วยลดอาการของแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.womanplusmagazine.com/-

(http://img.kapook.com/image/Logo/WomanPlus_logo.jpg)


-http://health.kapook.com/view31393.html-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2011, 04:38:44 pm
อาหารช่วยน้ำท่วม กินอย่างไรให้ปลอดภัย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
8 ตุลาคม 2554 02:17 น.


     เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับคนไทยอย่างมากมาย พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมก็แผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเราก็ยังคงมีน้ำจิตน้ำใจให้แก่กัน ด้วยการบริจาคของที่จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะอาหารการกินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาให้คำแนะนำในเรื่องของอาหารที่จะส่งไปช่วยผู้ประสบภัย ดังนี้
       
       หากเป็นไปได้ก็ควรประกอบอาหารแล้วนำไปแจกจ่ายในจุดอพยพจะเป็นการดีที่สุด เนื่องจากจะได้กินอาหารที่สุก ใหม่ สะอาด ส่วนการนำอาหารปรุงสำเร็จแล้วใส่กล่องเพื่อนำไปแจกจ่ายในจุดอื่นๆ ควรแยกข้าวและกับข้าวออกจากกัน อาจจะแยกกับข้าวใส่ถุงพลาสติกไว้ต่างหาก เพื่อไม่ให้อาหารเสียเร็ว และไม่ควรเก็บอาหารปรุงสำเร็จไว้นานเกิน 4-6 ชั่วโมง
       
       ส่วนกับข้าวนั้นควรเลือกอาหารที่ไม่บูดง่าย ไม่ใส่กะทิ หรืออาจจะเลือกเป็นอาหารแห้ง เช่น ไข่ต้ม ไข่เค็ม น้ำพริกต่างๆ กุนเชียงทอด หมูทอด หมูแผ่น ข้าวเหนียวนึ่ง ขนมปังกรอบ เป็นต้น เพราะจะเก็บไว้กินได้หลายวัน ไม่เน่าเสียง่าย ส่วนขนมปังทั่วไปนั้นควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นอาหารที่มีอายุสั้นและขึ้นราง่าย หากกินโดยไม่ได้สังเกตราก่อนก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
       
       นอกจากนี้ อาจจะแจกผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ หรือผลไม้ที่ไม่เน่าเสียง่าย รวมไปถึงนมกล่องยูเอชที จะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับสารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค ไม่ให้เจ็บป่วยง่าย
       
       สำหรับอาหารกระป๋อง เมื่อผู้ประสบภัยได้รับอาหารกระป๋องมาแล้วก็ควรดูวันผลิต วันหมดอายุ สังเกตสภาพของกระป๋องให้อยู่ในสภาพดี ไม่บุบ ไม่ยุบ บวม หรือพอง และเมื่อเปิดกระป๋องแล้วก็ให้สังเกตอาหารภายในกระป๋องว่าอยู่ในสภาพปกติตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ มีกลิ่น มีสี หรือรสชาติที่แปลกไปหรือไม่
       
       เรื่องอื่นๆ เช่น น้ำดื่ม ควรดื่มน้ำที่สะอาด หรือผ่านการต้มให้เดือดมาแล้ว นอกจากนี้ก็ควรดูแลสุขภาพกายและจิตใจของตนเองด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัยจากน้ำท่วม
       
       สุดท้าย “108 เคล็ดกิน” ขอส่งกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยทุกคนให้ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000128165 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000128165)


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2011, 11:47:23 am
ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม
-http://health.kapook.com/view32465.html-


ใบเตย


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          "กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ)

          สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ


ขนมเปียกปูน


          โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

          น้ำ 85.3 กรัม
          คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
          โปรตีน 1.9 กรัม
          ไขมัน 0.8 กรัม
          กาก 5.2 กรัม
          แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
          เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
          เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
          วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
          ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 8 มิลลิกรัม


ใบเตย


          มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ

          ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

          ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม

          รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น

          ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น

          ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม

          นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
(แม่บ้าน)  , rspg.or.th , shc.ac.th

.

http://health.kapook.com/view32465.html (http://health.kapook.com/view32465.html)









หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 10, 2011, 11:02:30 am
วิธีเก็บ“ผักชี-รากผักชี”ใช้ได้นานขึ้น

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/09/url_coriander.jpg)

ช่วยถนอม “ผักชี” ไว้โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นานถึง 20-25 วัน แถมสี-กลิ่นยังคงเดิม

มวลน้ำหลากมาพร้อมภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” สิ่งใดที่ประหยัดได้จึงควรประหยัด โดยเฉพาะพืชผักบางชนิด เพียงเพิ่มเคล็ดลับน้อยนิด ก็มีใช้ได้นานหลายสัปดาห์ อย่างเช่น “ผักชี และรากผักชี” แม้ไม่ใส่...ไม่เป็นไร แต่ส่งผลให้อาหารขาดความอร่อยไปเยอะ มาดูวิธีถนอม ทำง่าย ๆ ดังนี้

นำ “ผักชี” มาเด็ดแยกใบอ่อน และราก ล้างให้สะอาด จากนั้น แช่น้ำเพิ่มความสดชื่นประมาณ 5 นาที แล้วใส่ตะกร้าผึ่งสักครู่ ระหว่างนั้น เตรียมกล่องพลาสติกใส่อาหารไว้ รองก้นกล่องด้วยทิชชูอย่างหนาที่ใช้สำหรับงานครัว วางใบอ่อนผักชีลงไป ปิดฝา เก็บแช่ตู้เย็นชั้นผัก

สำหรับวิธียืดอายุ “รากผักชี” ให้ นำไปตากแดดจนแห้ง แล้วนำไปปั่นให้ละเอียดพร้อมกระเทียม เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย จากนั้น นำไปผัดกับน้ำมันนิดหน่อย เสร็จแล้วทิ้งให้เย็น จากนั้น เก็บใส่ถุงซิปล็อค เกลี่ยให้บาง แช่แข็ง เมื่อจะหมัก หรือปรุงอาหาร ก็สามารถหยิบใช้ได้ทันใจ

เท่านี้ก็จะมี “ผักชี” โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นาน 20-25 วันเลยทีเดียว อีกทั้งสี และกลิ่นยังคงเดิม.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์



-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=175055-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 09, 2011, 09:39:53 pm
"วาซาบิ" ป้องกันฟันผุ

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00 น.

-http://beta.dailynews.co.th/article/822/2213-


(http://beta.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/2213.jpg)

เครื่องปรุงสุดซีดจี๊ดขึ้นสมอง แต่ในเมนูซุปครีมลดความจัดจ้านให้นุ่มลิ้น วาซาบิ สรรพคุณป้องกันฟันผุและเลือดจับตัวเป็นก้อน ลดเสี่ยงมะเร็ง

ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารญี่ปุ่น ต้องรู้จัก "วาซาบิ" เครื่องปรุงรสเผ็ดฉุนกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้ากินมาก ก็ยิ่งจี๊ดจ๊าดขึ้นสมอง ใครเป็นหวัดคัดจมูกช่วยเปลี่ยนให้รู้สึกโล่ง หากแตะลองแค่ผิวๆ ก็ช่วยชูรสอร่อยอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์อาหารญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้วในวาซาบิ มิได้มีเพียงรสจัดจ้าน เพราะมีสารไอโซทิโอไซนาเนตส์ ที่ คอยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการทำฟันผุ นอกจากนี้ วาซาบิ ยังมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหอบหืด และลดเสี่ยงโรคมะเร็ง
การลิ้มรสวาซาบิอย่างนุ่มนวล อาจต้องนำไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในเมนูซุปครีม สำหรับ "ซุปครีมวาซาบิ" มีส่วนผสมดังต่อไปนี้...

    กระเทียม 7 กลีบ
    หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว
    มันฝรั่ง พอประมาณ
    หัวไชเท้า พอประมาณ
    แครอท พอประมาณ
    แรชดิช พอประมาณ
    น้ำมันมะกอก พอประมาณ
    นมสด 100 ซีซี
    วิปครีม 50 ซีซี
    น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย
    วาซาบิ พอประมาณ
    ต้นหอมซอย พอประมาณ

ขั้นตอนในการทำ สับกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ส่วนมันฝรั่ง หัวไชเท้า แครอท แรชดิช ให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม แล้วเจียวให้หอมจึงใส่หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และหัวไชเท้า
ต่อมาใส่นมสด ตามด้วยวิปครีม น้ำเปล่า พอน้ำเดือดให้ใส่แครอท แรชดิช ปรุงรสด้วยวาซาบิ เกลือ พริกไทย เมื่อส่วนผสมเริ่มสุกยกลง รอให้อุ่นจึงนำไปปั่นให้เนียนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปครีมวาซาบิละมุนลิ้น สามารถเสิร์ฟในแก้วชอตในงานปาร์ตี้ หรือใส่ชามซุปอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานเป็นอาหารว่างก็ย่อมได้.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2011, 07:49:59 pm
.

แพทย์แนะ 7 วิธีดูแลสุขภาพหน้าหนาว
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2554 15:09 น.    




หมอแนะช่วงฤดูหนาวควรดื่มน้ำเพื่อ ขับของเสีย ล้างกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้นอนหลับ อายุยืน เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ เน้นโปรตีนจากสัตว์และถั่วเหลือง รวมถึงวิตามินจากผัก


นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวว่า นอกจากหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทยในเรื่องการรับประทานสมุนไพรรสร้อนเพื่อช่วย กระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ในส่วนของทฤษฎีการแพทย์แผนจีนก็มีหลักการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวที่น่าสนใจ

กล่าวคือ ช่วงฤดูหนาวคนจะเจ็บป่วยด้วยสาเหตุจากปริมาณของหยิน-หยาง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดในด้านหยินมากกว่า เป็นระยะที่ความเป็นหยางลดลง ความเย็นจึงเป็นสาเหตุก่อโรค ซึ่งการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยน แปลงคล้อยตามธรรมชาติ จะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง เช่น การดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ ปรับสมดุลของจิตใจ โภชนาการเหมาะสม ปรับสมดุลของชีวิตประจำวันให้มีการทำงานและพักผ่อนพอเหมาะ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อีกทั้งอวัยวะภายใน เช่น ไตมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับโรคที่เกิดจากการก่อตัวจากภายในร่างกาย เพราะหยางไตเป็นรากฐาน ของลมปราณหยางในร่างกาย ซึ่งฤดูนี้คนที่มีสุขภาพอ่อนแอควรจะมีการบำรุงไต เพราะไตมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพร่างกายทั้งด้านเจริญเติบโต ความแข็งแรง อายุขัยตลอดจนสมรรถภาพทางเพศ การจะบำรุงไตนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์จีนก่อน


นพ.สุพรรณกล่าวอีกว่า การดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้นนั้นมีวิธีการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้

1. ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว แก้วแรกช่วงเช้าเวลา 05.00-07.00 น.จะช่วยการขับถ่าย แก้วที่สองดื่มเวลา 15.00-17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ แก้วที่สามดื่มก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงช่วยการนอนหลับ

2.ให้ปรับอารมณ์จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านเนื่องจากฤดูหนาวควรรักษาพลังอินของไต

3.เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึกๆ เวลาที่เหมาะสม คือ เวลาช่วง 14.00-15.00 น.

4.ควรเดินออกกำลังกาย

5.ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง

6.ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กูฉ่าย คะน้า เมล็ดสน ไชเท้า

7.ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตั้งถ่างเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น

“อย่างไรก็ตาม เทคนิคทั้ง 7 ประการนั้น สามารถปฏิบัติง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ เป็นต้น” นพ.สุพรรณกล่าว


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000157551-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 22, 2011, 08:57:30 pm
.

“ขนมคริสต์มาส” ขนมหวานวันรื่นเริง
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162837 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162837)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
22 ธันวาคม 2554 14:56 น.


(http://pics.manager.co.th/Images/554000017226001.JPEG)

       วันคริสต์มาส ตามธรรมเนียมของคริสต์ศาสนิกชนนั้น เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู และยังเป็นวันที่มีความหมายอย่างมากของชาวคริสต์ทั่วไป โดยจะมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญแก่กันและกัน มีการประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนอย่างสวยงาม
       
       สำหรับในช่วงเทศกาลรื่นเริงแบบนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงสังสรรค์ก็คือ ขนมหวานแสนอร่อย ที่จะทำให้ช่วงเทศกาลนั้นมีสีสันมากยิ่งขึ้น “108 เคล็ดกิน” เลยรวบรวมเอาขนมในวันคริสต์มาสของชาติต่างๆ มาให้ได้ทำความรู้จักกัน เพื่อใครจะไปลองทำ หรือซื้อหามากินในวันคริสต์มาสของปีนี้
       
       เริ่มกันที่เค้กคริสต์มาสของชาวเยอรมัน Christstollen หรือ Stollen Cake ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเด็กทารกห่อหุ้มด้วยผ้า ซึ่งหมายถึงพระเยซูตอนประสูตินั่นเอง โดยเค้กชนิดนี้ เป็นเค้กผลไม้ ภายในเต็มไปด้วยไส้ผลไม้เชื่อม ผลไม้แห้ง และถั่วหลากชนิด ด้านนอกโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวละเอียด
       
       Santa Claus Ginger Bread เป็นคุกกี้คริสต์มาส ที่ในยุคแรกๆ นั้นคือขนมปังขิงนั่นเอง โดยนิยมปั้นเป็นตุ๊กตาต่างๆ โดยเฉพาะรูปมนุษย์ขนมปังขิง มีส่วนผสมเป็นเครื่องเทศหลากหลายชนิด ทั้ง ขิงผง อบเชย พริกไทยดำ อัลมอนด์ และผลไม้แห้งต่างๆ
       
       Christmas Pudding ขนมชนิดนี้ แม้จะมีหน้าตาเหมือนฟรุ๊ตเค้กเนื้อฉ่ำ แต่วิธีการทำนั้นแตกต่างจากเค้กอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากใช้วิธีการนึ่งให้สุก แล้วเสิร์ฟร้อนๆ ให้คลายหนาว ส่วนฟรุ๊ตเค้กในช่วงคริสต์มาส หรือ Christmas Fruit Cake นั้นก็มีวิธีทำแบบเค้กทั่วไปคืออบให้สุก ซึ่งขนมทั้งสองชนิดนี้จะเหมือนกันตรงที่ประกอบไปด้วยผลไม้แห้งหลากหลายชนิด
       
       Panettone Italian fruit bread ขนมวันคริสต์มาสของชาวอิตาเลียน เป็นขนมปังหวานทรงโดมสูงก้อนใหญ่ ผสมผลไม้เชื่อม ลูกเกด น้ำผึ้ง ส่วน Pashka เป็นขนมฉลองคริสต์มาสสไตล์รัสเซีย หน้าตาดูคล้ายพุดดิ้ง เพียงแต่ทำจากชีสเป็นชีสเค้ก
       
       สุดท้าย Christmas Log หรือ Buche de Noël เป็นเค้กรูปขอนไม้ของชาวฝรั่งเศสที่จะต้องกินกันทุกปีในวันคริสต์มาส เพราะถือเป็นเครื่องหมายของความโชคดีในปีหน้า มีทั้งแบบซุงท่อนเดียว และซุงที่วางเชื่อมกันเป็นรูปตัวที
       
       สำหรับเทศกาลคริสต์มาส และช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ “108 เคล็ดกิน” ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน และรื่นเริง ไปจนตลอดปีหน้าที่จะมาถึงด้วย

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 08, 2012, 09:21:24 am
วัฒนธรรม “ตะเกียบ” ของชาวจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
5 มกราคม 2555 14:29 น.   

      เวลาที่เรากินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว หรืออาหารจำพวกติ่มซำ โดยเฉพาะไปกินที่ร้านอาหารจีน ส่วนใหญ่ก็จะมีตะเกียบวางคู่เคียงมาให้ได้ใช้กัน แล้วรู้หรือไม่ว่า “ตะเกียบ”นั้นมีความเป็นมาอย่างยาวนาน และยังมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับตะเกียบอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากชาวจีน
       
       ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าจีนเริ่มใช้ตะเกียบจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ยอมรับกันโดยทั่วว่า ชาวจีนเริ่มใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายในหลังยุคราชวงศ์ฮั่น (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3) และวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบนี้ยังแพร่หลายไปยังอีกหลายประเทศ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งก็มีการดัดแปลงและพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินประจำชาติของตนเองไปด้วย
       
       ในส่วนของวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบ รวมถึงข้อห้ามต่างๆ ก็มีอยู่หลายข้อ อาทิ
       
       - การถือตะเกียบที่ถูกต้อง จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้ และต้องถือให้เสมอกัน เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางให้ของฝรั่ง
       
       - ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตักข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้ จะถือว่าเป็นการสาปแช่ง
       
       - ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง คนจีนถือคำว่า “ชางฉางเหลียงต่วน” ความหมายตามตัวอักษรนั้น หมายถึง สามยาวสองสั้น คำนี้ คนจีนมักหมายถึง ความตาย หรือความวิบัติฉิบหาย ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้น ๆ ยาว ๆ จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้ ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ แต่การใช้นิ้วชี้ผู้อื่นคนไทยก็ถือว่า ไม่สุภาพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะแต่คนจีนเท่านั้น
       
       - ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ กิริยานี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง ถ้ายิ่งดูดจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ขาดการอบรมที่ดี
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด ถือว่าเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
       
       - ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือน พวกโจรสลัดขุดสุสาน เพื่อหาสมบัติที่ต้องการ ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000000459-


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 12, 2012, 09:56:19 pm
“ชา” ของดีที่ไม่ควรมองข้าม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
12 มกราคม 2555 16:04 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000000465401.JPEG)

ชาวโลกรู้จัก “ชา” กันมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว บ้างก็ว่ามีสรรพคุณต่างๆ นานา บ้างก็จิบชาเพื่อความสุขส่วนตัว บ้างก็ว่ากินคู่กับอาหารนั้นจะได้รสชาติดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม “108 เคล็ดกิน” ก็ยังอยากจะแนะนำ “ชา” ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น

ชา เป็นพืชที่มาจากพืชในตระกูลคาเมลเลีย ไซเนนซิส เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว ชาสามารถแยกอย่างง่ายๆ ได้ 6 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอูหลง ชำดำ และชาผูเอ่อร์ ซึ่งชาทุกชนิดสามารถทำได้จากต้นชาต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป

ในใบชาจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า โพลีฟีนอลออกซิเดส ซึ่ง โพลีฟีนอล เป็นสารประกอบชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ ที่พบในใบชายังมีสรรพคุณช่วยดัก และทำลายอนุมูลอิสระ และยังทำงานร่วมกับวิชามินซี เสริมความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด

ประโยชน์ของชายังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ชายังช่วยลดไขมันและระดับคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้แล้วชายังมีผลทางด้านจิตใจ กลิ่นและรสชาติช่วยให้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง ลดความเครียด



-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000004443-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2012, 04:53:54 pm
.

“เหล็ก” บำรุงเลือด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
3 กุมภาพันธ์ 2555 00:08 น.    

(http://pics.manager.co.th/Images/555000001614001.JPEG)

    “เลือด” นับว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ฉะนั้นเราก็ควรต้องบำรุงร่างกายเพื่อให้มีเลือดใช้อย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ “เหล็ก” ที่ไม่ใช่โลหะ แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด
       
       สำหรับการช่วยนำเหล็กเข้าไปสร้างเม็ดเลือดนั้น สามารถทำได้โดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่สูง เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล อาหารกลุ่มนี้จะมีธาตุเหล็กสูง และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีที่สุด สังเกตได้จากเนื้อที่มีสีแดงยิ่งเข้มขึ้นแสดงว่ามีธาตุเหล็กสูง เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มิวิตามินซีสูง เช่น บร็อคโคลี่ พริก มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม จะยิ่งช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น
       
       และอาหารพวกไข่ พืช ผักใบเขียวต่างๆ รวมถึงถั่วเมล็ดแห้ง อาหารพวกนี้มีธาตุเหล็กสูง แต่ธาตุเหล็กในกลุ่มนี้จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามิน ซี สูงในมื้อเดียวกัน เพื่อช่วยในการดูดซึม
       
       วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยการดูดซึมของเหล็ก และควรระวังอาหารที่ไปขัดขวางการดูดซึมของเหล็ก เช่น ชา กาแฟ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ไม่ควรได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เพราะร่างกายจะไม่สามารถขจัดออกได้ และอาจเป็นอันตรายต่อตับ


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000015348)

.





















































































หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2012, 09:16:12 pm
“ไข่แมงดาทะเล” กินผิด มีพิษต่อร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
16 กุมภาพันธ์ 2555 14:48 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000002265001.JPEG)

สำหรับ ผู้ที่พิสมัยการกินอาหารทะเล หนึ่งในเมนูเด็ดที่ต้องลิ้มลองก็คือ “ไข่แมงดาทะเล” ซึ่ง ก็มีมีตามฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่แมงดาทะเลจะวางไข่ ซึ่งความมันของไข่ ก็เป็นที่ติดอกติดใจของนักชิมหลายๆ คน แต่ที่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะตักเตือนกันเสียหน่อย ก็เพราะว่าหากกินไข่แมงดาทะเลผิดชนิด ก็อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
       
       โดยแมงดาทะเลนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย และแมงดาจาน สำหรับที่เราๆ ท่านๆ กินกันนั้นก็คือไข่ของแมงดาจาน แต่ไข่ของแมงดาถ้วยนั้นจะมีพิษ ซึ่งอาจเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ ตัวแมงดาถ้วยเกิดไปกินแพลงตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วย และอีกสาเหตุคือ ตัวแมงดาถ้วยมีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาเอง
       
       สารที่ก่อให้เกิดพิษในแมงดาทะเลมีอยู่ 2 ชนิด คือเตโตรโดทอกซินและแอนไฮโดรเตโตรโดทอกซิน เป็นสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาทและเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า สารพิษนี้ทนทานความร้อนสูงมากถึง 170 องศาเซลเซียสการหุงต้มก็ไม่สามารถทำลายพิษได้
       
       อาการที่เกิดขึ้นจากการกินไข่แมงดาที่มีพิษนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่ กินเข้าไปมากหรือน้อย โดยจะมีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของ แมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ซึ่งหากว่าเกิดอาการที่คาดว่าได้รับพิษจากไข่แมงดา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000021573 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000021573)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2012, 09:31:35 pm


สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์

(http://img.kapook.com/image/Food/Fruit-Vegetable/strawberry1.jpg)

สตรอเบอร์รี...ผลไม้มหัศจรรย์ (Hair)

          ช่วง นี้มีสตรอเบอร์รี่ออกมาวางขายมากมาย เจ้าผลไม้หน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสีสันสดใสนี้นอกจากจะกินอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารต่าง ๆ ตั้งแต่โฟเลต วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โปรแตสเซียม ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก กรดเอลลาจิก ฯลฯ สตรอเบอร์รี จึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพด้วยสรรพคุณที่เกินพิกัด...

          1.ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกาย เช่น กรดยูริก สาเหตุสำคัญของโรคข้ออักเสบและโรคเกาท์

          2.ช่วยให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้นิ่วในไต สีแดงสดของสตรอเบอร์รีล้วนอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยเคลือบทางเดินอาหารอีกด้วย

          3.ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นคืนความอ่อนเยาว์ให้กับระบบประสาท

          4.ช่วยดูแลสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์มีส่วนช่วยชะลอขบวนการเสื่อสภาพของดวงตาได้

(http://img.kapook.com/image/Food/Fruit-Vegetable/strawberries0_1.jpg)
สตรอว์เบอร์รี่

          5.ช่วยลดความอ้วน สตรอเบอร์รีคือผลไม้เพื่อการลดน้ำหนักที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ เพราะปริมาณ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรี เท่านั้น และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยระบบการขับถ่าย

          6.ช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น

          7.ใบสดของสตรอเบอร์รี ยังสามารถนำมาโขลกแล้วนำไปประคบ ช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้อีกด้วย

          ถ้า จะให้ได้ประโยชน์จากสตรอเบอร์รีอย่างสูงสุด ควรรับประทานแบบสดแทนที่จะเป็นแบบแยม เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังจะได้น้ำตาลตัวร้ายต่อสุขภาพเป็นของแถม


http://health.kapook.com/view37378.html (http://health.kapook.com/view37378.html)


.





















หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2012, 08:35:59 pm

นอนดึก-ตื่นเช้า กินอะไรให้สดชื่น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 มีนาคม 2555 17:09 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000004214901.JPEG)

       ใครที่ชอบนอนดึกตื่นเช้า จะด้วยภาระหน้าที่การงาน ติดหนังติดละคร นอนดูบอลยามดึก กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปค่อนคืน แถมยังต้องตื่นแต่เช้ามาผจญกับวันใหม่ ยังไงๆ ก็ต้องง่วงหงาวหาวนอนกันเป็นธรรมดา แถมยังทำให้ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนกับวันที่พักผ่อนเต็มที่อีกด้วย
       
       และอาหารที่กินเข้าไปก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ความสดชื่นกลับมาเยือนอีกครั้ง “108 เคล็ดกิน” ก็มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากสดชื่นในยามเช้า เริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ควรกินกันก่อน นั่นคือ อาหารทอด หรืออาหารมัน อาหารเค็มจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาหารเหล่านี้จะยิ่งทำให้อาการนอนน้อยแย่ลงไปอีก
       
       ส่วนอาหารที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายก็คือ อาหารพวกผัก ผลไม้ อาหารจำพวกนี้จะมีโครเมียม ที่ช่วยให้รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะในแอปเปิ้ล กล้วย และมันฝรั่ง
       
       อาหารที่มีวิตามินบี และซี วิตามินบีจะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย และทำให้ประสาทตื่นตัว พบมากในข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ ไข่ เนื้อสัตว์ เป็นต้น ส่วนวิตามินซี จะช่วยต้านความเหนื่อยล้าของร่างกาย สร้างภูมิต้านทาน พบมากในผักและผลไม้สด และผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วย
       
       ควรกินอาหารเบาๆ ย่อยง่ายๆ กระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป อย่างเช่น กินเนื้อปลา จะได้โปรตีนที่ย่อยง่าย ได้รับไขมันชนิดดี เช่นโอเมก้า 3 ที่จะช่วยบำรุงสมอง สร้างสมาธิและความจำให้ดีขึ้นเวลาอดนอน กินถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าวสาลี และธัญพืชต่างๆ นอกจากจะย่อยง่ายแล้ว ก็ยังมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยบำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใสสดชื่น
       
       สุดท้าย ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา การที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอาจเกิดอาการร้อนใน การดื่มน้ำเข้าไปชดเชยให้เพียงพอนั้นจะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลเข้าสู่ภาวะปกติได้ และกลับมาสดชื่นเหมือนเดิม
       
       แต่ข้อสำคัญ ก็ไม่ควรนอนน้อยเกินไป หรืออดนอนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม หน้าตาไม่ผ่องใส ไม่สดชื่น

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100-

.

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000040100)

.
















หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2012, 07:05:27 am
“เห็ดตับเต่า” เมนูสุขภาพช่วงหน้าฝน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
19 กรกฎาคม 2555 16:19 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000008278001.JPEG)

“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” เห็นขึ้นต้นด้วยเสียงเพลงแบบนี้ “108 เคล็ดกิน” ไม่ได้จะพาไปร้องเพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด แต่อยากจะให้สังเกตดูว่าในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”
       
       ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “108 เคล็ดกิน” ก็เลยไปถามท่านผู้รู้ว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ ใช้ทำเมนูอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่า “เห็ดตับเต่า” ก็คือเห็ดชนิดหนึ่งที่จะมีให้กินในเฉพาะช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้
       
       เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ
       
       ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก
       
       ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2012, 10:00:24 am
การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7026.0.html-

การเตรียมหมักเนื้อต่างๆ
หมูกะทะ

1. วิธีที่1 ให้ใช้หมูหมักกับไข่ ผสมเกลือนํ้าตาลและนํ้าปลาให้เข้ากัน
เอาหมูไปผสมกับเกลือนํ้าปลานํ้าตาลที่ผสมแล้ว ก็จะออกมาเป็น
หมูหมักที่แสนอร่อย เก็บไว้นานโดยแช่เย็นห้ามเกิน 2วันนะค่ะ

2. วิธีที่2 MK SUKI ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะหมักหมูให้นุ่ม
ควรใส่แป้งมันเล็กน้อย น้ำสะอาด ซอสปรุงรส ซีอิ้ว และน้ำตาล
หมักไว้อย่างน้อย 3 ชม . ในช่องของตู้เย็นที่ไม่เย็นมากนัก


เนื้อ หมูจะนุ่มโดยไม่ต้องพี่งสารเคมี (ผงหมักหมู) สะอาดมาที่ 1 ตาม
มาด้วยโภชนการ ความอร่อยและน่ารับประทานจ๊ะ เห็นชาวต่างชาติ
บางคนใส่โค๊ก หมักใส่เครื่องปรุงแบบคุณหมึกหมดและเติมน้ำมันงา
ลงไปด้วยนะคะ แบบ MK เลยค่ะ แต่จิ๊กกี๋จะหมักทิ้งไว้1คืนนะค่ะ จ
นุ่ม เคี้ยวหนึบหนับแต่ไม่เหนียวเลย


3. วิธีที่3 หมักน้ำสับปะรดค่ะ หมูจะนิ่มระทดระทวย อร่อยด้วย ลดเวลา
ที่หมักหมูในน้ำสับปะรดลง เพียงแค่สักสองชั่วโมงก็พอแล้วล่ะค่ะ ขี้น
อยู่กับหมูที่คุณใช้ด้วย ว่าเหนียวมากน้อยเท่าใด ?


4. วิธีที่4 หมักหมูให้นุ่มก็ต้องใช้นำมันช่วยค่ะ โดยส่วนใหญ่ก็ใช้นำมัน
งาแต่ถ้าไม่ชอบกลิ่นมันก็เปลี่ยนเป็นนำมันพืชแทนก็ได้นะคะ หรือไม่ก็
ใช้ไข่ไก่หมักก็ได้ จะให้ดีต้องหมักค้างคืนค่ะ รับรองนุ่มแน่นอน


5. วิธีที่ 5 หมักง่ายๆก็ใส่ไข่ขาวลงไป ตามด้วยแป้งมัน แป้งข้าวโพดอย่าง
ละช้อน เติมน้ำมันงาลงไป แต่ถ้าต้องการเอาไปทำอาหารที่ไม่อยากให้มี
กลิ่นน้ำมันงา ก็เติมน้ำมันพืชนี่ค่ะลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จะหมักไปกับ
น้ำปลา ซี อิ๊ว น้ำตาล หรืออะไรก็ตามต้องการได้เลยค่ะ


6. วิธีที่6 หมูหมักกับซีอิ้วขาว น้ำมันพืช น้ำมันหอย นมสด(สุดยอดแล้ว)


7. วิธีที่7 สูตรของหมึกแดงทีมค่ะ ไก่หรือหมู 1 กก.


ส่วนประกอบ
1. ไก่, หมู 1 kg.
2. แป้งข้าวโพด 10 gm.
3. โซเดียมไบคาร์บอเนต 10 gm.
4. MSG PLUS (ผงชูรสจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้0.5gm.
5. ซีอิ๊วขาว 20 gm.
6. น้ำมันงา20gm.
7. น้ำเย็น 100 gm.

วิธีทำ
1. หั่นหมูหรือไก่ให้เป็นชิ้น
2. นำส่วนผสมที่ 2+3+4 ผสมให้เข้ากัน นำไปละลายในน้ำเย็น
3. ชั่งส่วนผสมที่ 5+6 ผสมให้เข้ากันทั้งหมดที่ทำมาข้างต้น
4. หมักทิ้งไว้ 1 ชม.
5. นำไปประกอบอาหาร





น้ำจิ้มหมูกะทะ (สูตร1)
1. พริกขี้หนูสับละเอียด 3 ชต.
2. งาขาวคั่ว 2 ชต.
3. น้ำตาลทราย 5 ชต.
4. นำส้มสายชู 5 ชต.
5. รากผักชี 2 ชต.
6. กระเทียม 3 ชต.
7. มะนาว 2 ชต.
8. เกลือ 1 ชต.


น้ำจิ้ม หมูกระทะ (สูตรสอง)
1.กระเทียม 2หัว
2.พริกขี้หนูตามชอบ
3.งาคั่ว
4. ซ๊อสพริกยี่ห้อที่ชอบ 200cc.กะๆเอา
5. น้ำตาลทราย
6.ชีอิ้วขาว
7.น้ำมะขามเปียก(น้ำส้มสายชูก็ใด้)
ทั้งหมดปั่นในเครื่อง ผสมอาหาร ชิมดูตามชอบ
ใด้ที่อย่าลืมผักชีสับนะคะ


น้ำจิ้มหมูกระทะ (สูตรสาม)
1.ซ้อสพริกศรีราชา 1 ช้อนโต๊ะ
2.ซ้อสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
3.ซ้อสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
4.เต้าหู้ยี้ 1 ก้อน
5.ผงชูรส (ตัวเลือก) 1 ช้อนชา
6.พริกไทยป่น และผงพะโล้ นิดหน่อย
7.นำส่วนผสมทั้งหมด ตั้งไฟจนเดือด พักไว้


น้ำจิ้มหมู่กระทะ (สูตรสี่)
1.ซอสมะเขือเทศ
2.พริกขี้หนู
3.ข่า
4.รากผักชี
5.มะนาวเล็กน้อย
6.เกลือ
7.น้ำตาล
ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะตำหรือจะปั่น
ก็แล้วแต่ความสะดวก ปรุงรสตามชอบใจ
โรยหน้าด้วยผักชีซอยละเอียด และงาขาว ก็เป็นอันกินได้


โดยคุณ me_mokarubbie

***ที่มา: นายเหลือง.คอม www.9leang.com (http://www.9leang.com)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2012, 10:01:50 am
การหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย

-http://hilight.kapook.com/view/27211-

วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ขอเสนอวิธีหมักเนื้อสเต็กให้นุ่มอร่อย...หากเดินไปถามร้านของชำ ว่าทำยังไงให้เนื้อสเต็กนุ่ม เขาก็อาจจะแนะนำให้ใช้ ผงทำให้เนื้อเปื่อย หรือผงเนื้อนุ่ม ซึ่งผงดังกล่าว ก็คือ โซดาผง ที่ทำให้เนื้อสัตว์นุ่มได้ แต่ประสิทธิภาพอาจมีมากกว่านั้น ก็คือทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ เปื่อยนุ่มไปด้วย

วิธีทำให้เนื้อสเต็กนุ่ม คือ เริ่มจากซื้อเนื้อแล้ว (จะเนื้อหมูหรือเนื้อวัวก็ได้) และก็อย่าลืมแวะไปซื้อสัปปะรดด้วย ถ้าขี้เกียจปอกจะเอาแบบ ที่เค้าปอกแล้วก็ได้ เวลาหมักก็ให้ใส่ น้ำสัปปะรดลงไปในน้ำหมักด้วย ในสัดส่วน น้ำสัปปะรด 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักเนื้อ ประมาณ 1 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง และใส่กล่องปิดฝาเข้าตู้เย็นช่องธรรมดา

เพียงเท่านี้ก็จะมีเนื้อสเต็กที่นุ่มไว้ทานกันแล้ว และถ้าทานไม่หมด ก็ให้ใส่ถุงพลาสติก เรียงเข้าช่องแช่แข็งไว้ เวลาจะใช้ก็ค่อยเอาออกมา

รู้อย่างนี้แล้วต้องลองทำดู !


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2012, 06:52:52 pm

7 ยอดอาหารคุณประโยชน์สูงที่ควรเลือกทาน
-http://men.kapook.com/view44421.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในโลกของเราใบนี้มีอาหารมากมายที่ให้คุณได้เลือกสรรที่จะทาน แต่ความคิดในการเลือกอาหารที่มีประโยชน์เพื่อมาใส่ท้องของคุณมักจะถูกมองข้ามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอาหารแปลกใหม่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ให้ได้เลือกชิมลิ้มรสกันจนลืมนึกถึงสารอาหารที่อยู่ในสิ่งที่คุณรับประทาน ดังนั้นเราจึงขอแนะนำอาหาร 7 ชนิดที่คุณคุ้นเคยและควรเลือกทานดังนี้



(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%281%29.jpg)
ไข่

          ไข่ คืออาหารที่ให้พลังงานโปรตีนที่ดีสุด ซึ่งมีโคลีนและสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งทรวงอกและโรคทางประสาทตา ผู้คนมักไม่ชอบทานไข่เพราะเชื่อว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงเกินไปนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด การทานไข่ 1 ฟองต่อวัน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้สุขภาพผิวหนังและผมดีขึ้น แต่สำหรับผู้มีปัญหาด้านหัวใจควรทานเพียง 2 ฟองต่อสัปดาห์เท่านั้น



(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%282%29.jpg)
นม

          ถ้าคุณเป็นคนชอบดื่มนมตั้งแต่สมัยเด็กแล้วล่ะก็ยิ่งดีมาก เพราะในนมนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมและไม่ทำให้อ้วน (หากดื่มแบบพร่องมันเนย) สำหรับผู้สูงอายุสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนและไขข้อต่าง ๆ ได้ด้วย ฉะนั้นควรหันมาดื่มนมทุกวันทั้งตอนเช้าและก่อนนอน เพียงเท่านี้คุณก็ได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%283%29.jpg)
ปลาแซลมอน

          ปลาแซลมอนนั้นเป็นอาหารจากธรรมชาติที่มีคุณค่าสูงมาก อุดมไปด้วยวิตามินดี และโอเมก้า 3 และยังมีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอล บำรุงหัวใจ ช่วยให้ผิวพรรณดี แก้โรคไขข้อ ช่วยลดน้ำหนักและบำรุงสมอง อีกทั้งยังย่อยช้าซึ่งทำให้คุณอิ่มได้นานขึ้น ถือเป็นสุดยอดอาหารแคลลอรี่ต่ำได้เลย


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%284%29.jpg)
ถั่ว

          ยากจะหาอาหารใดที่มีคุณค่าได้เทียบเท่ากับถั่ว ซึ่งมากไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม และโปแตสเซียม นอกจากนี้ถั่วยังถือเป็นอาหารที่คุณสามารถทานเล่นได้ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยการทานถั่วที่มีมากมายหลายชนิดในโลกนี้เพียงแต่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เท่านี้ก็ได้คุณค่าทางอาหารที่คุณต้องการ


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%285%29.jpg)
ข้าวโอ๊ต

          ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวาน ที่สำคัญยังจัดว่าเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาก ซึ่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โดยข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ช่วยรักษาเบาหวานในขั้นที่สองง่ายที่สุด การทานข้าวโอ๊ตปราศจากน้ำตาลคู่กับโยเกิร์ตและผลไม้ในตอนเช้า ถือว่าเป็นยอดอาหารรสเลิศที่ให้ประโยชน์เป็นอย่างดี


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%286%29.jpg)
น้ำมันมะกอก

          น้ำมันมะกอกจัดเป็นเครื่องปรุงชั้นเยี่ยมที่ช่วยรักษาโรคหัวใจได้ดี  พิสูจน์ได้เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องการเกิดโรคหัวใจและอัลไซเมอร์ การทำอาหารโดยใช้น้ำมันมะกอกไม่ได้ช่วยแค่ทำให้อาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยในการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนอีกด้วย


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/goodl%20%287%29.jpg)
ผลอะโวคาโด

          บางคนอาจคิดว่าผลอะโวคาโดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะในผลอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี โฟเลทและโปแตสเซียม ทั้งนี้ อะโวคาโดยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและตาบอดได้ ทานสด ๆ หรือใส่คู่กับสลัดนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารเบต้าแคโรทีนได้เช่นกัน

          อาหารทั้ง 7 ชนิดนี้ถือว่าเป็นยอดอาหารที่ไม่เพียงแต่มีรสชาติอาหารแสนอร่อยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายที่ช่วยรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย ขอเพียงแค่คุณเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และไม่มีโรคภัยถามหาไปอีกนาน


http://men.kapook.com/view44421.html (http://men.kapook.com/view44421.html)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 30, 2012, 09:54:42 pm
อร่อยที่สุดในโลก “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” คู่ขวัญเมืองลอนดอน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
30 กรกฎาคม 2555 17:51 น.    

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000092637-

(http://pics.manager.co.th/Images/555000009766001.JPEG)

     เพื่อเป็นการต้อนรับมหกรรมกีฬาของมนุษยชาติ โอลิมปิก ลอนดอน 2012 “108 เคล็ดกิน” ก็ขอเกาะกระแสกับเขาบ้าง ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ที่อยู่เป็นคู่ขวัญของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มากว่า 20 ปีแล้ว
       
       สำหรับคนไทยนั้น(โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐี นักการเมือง) ใครๆ ก็ว่า หากไปถึงลอนดอนแล้ว ก็ต้องไปลิ้มลองเป็ดย่างที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ให้ได้ มิเช่นนั้นจะถือว่าไปไม่ถึงเป็นเด็ดขาด ด้วยการรับประกันจาก “หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์” ที่ยกย่องให้เป็ดย่างที่โฟร์ซีซั่นส์ เป็น “เป็ดย่างที่อร่อยที่สุดในโลก” แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่ลิ้นของแต่ละคน ลางเนื้อชอบลางยา “108 เคล็ดกิน” คงจะรับประกันไม่ได้ว่าอร่อยถูกปากทุกคนหรือไม่
       
       ปัจจุบัน เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ มีอยู่ 3 สาขา ในกรุงลอนดอน ส่วนใครที่ไม่อยากบินไปไกล ก็ยังมีสาขาอยู่ที่ประเทศไทยอีก 2 สาขา ด้วยกัน คือที่สยามพารากอนและที่เมกะ บางนา ซึ่งก็เหมือนกับยกเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์ที่ลอนดอนมาไว้ที่กรุงเทพฯ เลยทีเดียว เพราะมีการควบคุมคุณภาพและรสชาติตามแบบต้นฉบับ
       
       เป็ดย่างของโฟร์ซีซั่นส์นั้น ผ่านการคัดเลือกสายพันธุ์เป็ด หมักกับเครื่องเทศ จากนั้นก็นำไปผ่านกรรมวิธีการย่าง แล้วก็จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำราดเป็ดสีออกน้ำตาลเข้มๆ หรือสีดำ ซึ่งวิธีทำทั้งเป็ดย่างและน้ำราดเป็ดนั้นถือว่าเป็นเคล็ดลับเฉพาะของทางร้าน
       
       นอกจากจะกินเนื้อนุ่มๆ หนังกรอบๆ ของเป็ดย่าง ที่ร้านโฟร์ซีซั่นส์ ก็ยังขายอาหารจีนประเภทอื่นๆ อีกด้วย

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2012, 06:45:06 am
.

4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง
-http://men.kapook.com/view44943.html-

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/page3.jpg)

4 สุดยอดสมุนไพรจีนสารพัดประโยชน์อันน่าทึ่ง (Men's Health)
เรื่อง TA dynamic

          ใบแปะก๊วย หรือเห็ดหลินจือทุกวันนี้ชื่อเหล่านี้อาจไม่ได้แปลกหูอะไร แต่ถ้าหากคุณเบื่อการพล่ามสรรพคุณแบบครอบจักรวาล ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ครั้งนี้เราจะสกัดเน้น ๆ ให้เห็นกันว่า แท้จริงแล้วอะไร คือไม้เด็ดที่ทำให้ "จตุรเทพ" ในตำนานได้ใจโลกสุขภาพยุคใหม่ไปเต็ม ๆ

(http://img.kapook.com/image/Food/ging3.jpg)

ใบแปะก๊วย

          ชื่ออื่น ๆ: กิงโกะ ไบโอบา (Gingko Biloba) มรดกสำคัญจากการแพทย์แผนจีนตั้งแต่หลายพันปีที่แล้ว ทุกวันนี้สารสกัดจากใบแปะก๊วยได้กลายเป็นอาหารเสริมสมุนไพรที่ติดท็อปชาร์ตของชาวอเมริกันและชาวยุโรป ในแง่การกระตุ้นความจำและลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมหลายชนิด แต่ เจ้ากิงโกะยังมีทีเด็ดอื่น ๆ อีกด้วย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปัจจุบันแพทย์ในแถบประเทศยุโรปได้นำสารสกัดจากใบแปะก๊วยเข้ามาช่วยในการรักษาโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease หรือ PAD) ที่ทำให้มีอาการเจ็บหรือปวดเท้าเวลาเดิน รวมถึงปวดขา และเป็นตะคริวบ่อย ๆ โรคนี้หนุ่ม ๆ ที่มีน้ำหนักมาก ติดบุหรี่ หรือความดันโลหิตสูง ต้องระวังให้ดีนะครับ

          ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ทำให้มีการพูดถึงคุณสมบัติในการเสริมสมรรถภาพทางเพศ (ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ ระบุว่าต้องใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย 50-100 มิลลิกรัมต่อวัน จึงอาจมีผลดังกล่าว) ใบแปะก๊วยยังเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการลดอนุมูลอิสระตัววายร้ายบ่อนทำลายเซลล์ในร่างกายเราจนถึงระดับดีเอ็นเอ นั่นหมายถึงช่วยลดความเสี่ยงตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด จอประสาทตาเสื่อม รวมถึงความถดถอยของสมอง ถึงผลการศึกษาพบว่า แม้จะได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยเต็มอัตราที่แนะนำต่อวัน (120 มิลลิกรัม) ต่อเนื่องหลายปี ก็จะไม่สามารถ “ฟื้นฟู” อาการสมองเสื่อมในผู้ป่วยสูงอายุได้ แต่คุณสมบัติที่หาตัวจับยากของกิงโกะในการกระตุ้นหลอดเลือด และปกป้องเซลล์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันเป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธในศึกสุขภาพของผู้คนยุคนี้



(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/6622.jpg)

 เก๋ากี้

          ชื่ออื่น ๆ: โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry) หรือวูล์ฟเบอร์รี่ (Wolfberry) ลูกเกดสีแสดที่พบเห็นได้ไม่ยากในหลากเมนูเด็ดย่านเยาวราช เก๋ากี้ เบอร์รี่แห่งเอเชียที่กำลังมาแรงสุด ๆ ผลตากแห้งสามารถนำมาทานเล่น ใส่ในเมนูอาหารตำรับไทย จีน และฝรั่ง หรืออาจมาในรูปของน้ำผลไม้ ทุกวันนี้เก๋ากี้ถูกตอกหมุดให้เป็นหนึ่งใน "ซูเปอร์ฟู้ด" ด้วยทีเด็ดอย่างวิตามินซี  วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเบต้าแคโรทีนที่อัดแน่น มีการนำงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการปักกิ่งในปี ค.ศ. 1988 มากล่าวอ้างกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับการค้นพบ (ที่ยังไม่มีการรับรอง และมีการถกเถียงโจมตี) ว่าผลเก๋ากี้ตากแห้งนั้นเมื่อเทียบจากน้ำหนักที่เท่ากัน จะให้เบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอท และมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงห้าร้อยเท่า ซึ่งวิตามินซีนั้นทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพในด้านคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่สำคัญมากมาย ช่วยป้อนออกซิเจนใส่เกียร์ความแรงในการออกกำลังกาย แถมยังลดอาการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกาย

          เมื่อศึกษาวัดค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) หรือค่าประสิทธิภาพในการดูดจับอนุมูลของออกซิเจน ซึ่งเป็นวิธีที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟส์ เมืองบอสตัน พบว่า โกจิเบอร์รี่ให้ค่า ORAC สูงกว่าบรรดาเบอร์รีที่โดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ อยู่หลายช่วงตัว การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นชี้ว่า การรับประทานโกจิเบอร์รี่ประมาณ 10-30 กรัม ต่อวันถือว่ากำลังดี ส่วนศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ผู้โด่งดังอย่าง คริส คิลแฮม ในรัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวกับนิตยสาร Growing สหรัฐฯ ว่า แน่นอนว่าไม่ได้รักษาทุกโรค แต่ต้องยอมรับว่าโกจิเบอร์รี่ถือเป็น "สุดยอดในด้านสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะสารซีแซนทีนที่ดีอย่างมากต่อดวงตา



(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/5584.jpg)

 เจียวกู่หลาน

          ชื่ออื่น ๆ: เรียกทับศัพท์เป็นสากลว่า เจียวกู่หลาน (Jiaogulan) ในบ้านเราอาจเรียก ปัญจขันธ์ เมื่อปี ค.ศ. 1976 แพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยฮิริมา กำลังง่วนกับการควานหาพืชที่สามารถให้ความหวานแทนน้ำตาลได้  แต่กลับไปสะดุดตาพืชเถาที่ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กับโสม แต่กลับมีสารเคมีสำคัญหลายชนิดที่คล้ายคลึงกับโสม แถมยังดูเหมือนจะเด็ดกว่า เรื่องของน้ำตาลในเจียวกู่หลานจึงชะงักอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อพบสิ่งที่ใหญ่โตกว่ามีการขนานนามว่าเจียวกู่หลานคู่ "พืชแห่งความอมตะ" บ้างก็เรียก "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย" สารสำคัญในเจียวกู่หลานอย่างซาโปนินที่พบมากกว่าโสมเกือบ 4 เท่าตัว พบว่ามีบทบาทในการควบคุมเกื้อหนุนการทำงานของร่างกายหลายด้านให้ดำเนินไปอย่างปกติ ที่สนใจกันมากคือการควบคุมความดันโลหิต และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ดูเหมือนว่าเจียวกู่หลานกับสารซาโปนินจะถูกพูดถึงในงานวิจัยหลายร้อยชิ้นทั่วโลก

          การที่เจียวกู่หลานมีบทบาทต่อระบบการทำงานที่สำคัญ ๆ ของร่างกาย โดยมีงานวิจัยยืนยันขยายวงกว้าง ทำให้กลายเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ติดในสมุนไพรกลุ่มปรับสมดุล หรือ Adaptogen (เช่นเดียวกับเห็ดหลินจือและใบแปะก๊วย) ซึ่งหมายถึงสมุนไพร ที่ช่วยให้ระบบประสาทและร่างกายยืนหยัด ตั้งรับภาวะตึงเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าแย่ ๆ ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด มลภาวะการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และอายุที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของสภาพร่างกายที่โรยราก่อนวัย รวมถึงโรคร้ายต่าง ๆ สมุนไพรชนิดนี้มักใช้ชงเป็นชา หรือมาเป็นสารสกัดในรูปแบบเม็ด ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประเทศไทย ศึกษาพบว่าการได้รับแคปซูลที่มีสารสกัดจิบเปโนไซด์ (Gypenosides สารกลุ่มซาโปนิน) จากเจียวกู่หลาน 40 มิลลิกรัม วันละ 1-2 แคปซูล ติดต่อกัน 2 เดือน ไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ


(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999996/3952.jpg)

 เห็ดหลินจือ

          ชื่ออื่น ๆ: ในภาษาอังกฤษอาจพบสองคำ ได้แก่ Lingzhi หรือ Reishi เห็ดหลินจือถูกยกให้เป็น "ยาในร่างกายของเห็ด" การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือดำเนินมาอย่างเข้มข้นหลายทศวรรษแล้ว มีงานวิจัยหลายพันชิ้นทั่วโลกเกี่ยวกับเห็ดชนิดนี้ที่ยังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พบว่าเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง และช่วยกระตุ้นการตอบสนองต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงการปกป้องหัวใจและหลอดเลือดล่าสุดมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการสหราชอาณาจักร ซึ่งย้ำผลของเห็ดหลินจือสกัดในการลดไขมันร้ายอย่างไตรกลีเซอไรด์ (ที่มาจากการกินไขมันสัตว์ หรือไม่ออกกำลังกาย) ขณะที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ให้สูงขึ้น ในกลุ่มตัวอย่างที่มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง

          เห็ดหลินจือ รวมถึงเห็ดที่เพิ่งมาฮิตในเมืองไทย อย่างเห็ดไมตาเกะและเห็ดชิตาเกะ อุดมไปด้วยเบต้ากลูแตน โมเลกุลน้ำตาลเชิงซ้อน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงด้านการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย พร้อมควบคุมไม่ให้ภูมิคุ้มกันทำงานเกินพอดีจนทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง สารไตรเทอร์ปินอยด์ในเห็ดหลินจือยังช่วยกระตุ้นการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษ และยังมีการพูดถึงประโยชน์ในการลดภาวะอุดตันของทางเดินปัสสาวะในเพศชายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลในด้านการต้านภูมิคุ้มกัน ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในสหรัฐฯ แนะนำว่าคุณควรได้รับจากสารสกัดเม็ด 150-300 มิลลิกรัม 2-3 ครั้งในทุก ๆ วัน หรือแบบสกัดเข้มข้น ประมาณ 30-60 หยด 2-3 ครั้งต่อวัน



.












หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 20, 2012, 10:05:15 pm
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย

หากคุณเป็นคนที่มีใจรักในการปลูกต้นไม้ใบหญ้าและเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้นก็งอกงามแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้ปลูกผักสวนครัวกินเองเลยค่ะ เพราะบางต้นไม่เพียงนำมาประกอบอาหารได้เท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีมากด้วยนะคะ นอกจากนี้ บางต้นยังเหมาะกับการตกแต่งสวนหลังบ้านของเราด้วยค่ะ ส่วนจะเลือกผักหรือเลือกต้นไม้แบบไหนมาปลูกผักสวนครัวนั้น หลักการเลือกคือต้อง ปลูกง่าย ดูแลง่าย กินง่าย นะคะ ไม่ต้องซับซ้อนมาก เราจะได้มีเวลาดูแลยังไงล่ะคะ และวันนี้เราก็มีตัวเลือกผักสวนครัว พร้อมวิธีการปลูกผักสวนครัวแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยจ้า

(http://img.kapook.com/u/pree/1_18.jpg)


1. ใบกะเพรา

สรรพคุณ

ใบกะเพราสด นำมาต้มให้เดือดและกรองเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง นอกจากนี้ยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลากเกลื้อนได้ สำหรับเมล็ดกะเพรามีสรรพคุณใช้พอกบริเวณตา ทำให้ผง หรือฝุ่น ละอองที่เข้าตาออกมาโดยไม่ทำให้ตาช้ำด้วย ส่วนรากที่แห้งแล้ว นำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ อย่างไรก็ตาม สรรพคุณสำคัญของใบกะเพรา ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันทั้งที่ใช้บริโภคกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็คือ สรรพคุณขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ตำรับอาหารไทยส่วนใหญ่มักมีใบกะเพราะเป็นส่วนผสมอยู่ด้วยนั่นเองค่ะ

วิธีการปลูก

วิธีการปลูกใบกะเพราก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เริ่มจากเตรียมแปลงปลูก ก่อนหว่านเมล็ดลงไป แต่คุณอาจจะเริ่มจากการปักชำก้านที่เหลือจากการซื้อมาทำกับข้าวก็ได้นะคะ พอต้นโตออกดอก เมล็ดที่หล่นก็งอกต้นใหม่อีกหลายต้น หลังเพาะประมาณ 7 - 10 วัน เมล็ดเริ่มงอก พอผ่านไป 15 - 30 วัน จึงเริ่มใส่ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต 1- 2 ช้อนชาต่อน้ำ 10 ลิตร รดทุก 5 - 7 วันได้ สำหรับการรดน้ำ ให้รดน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอทุกวัน หลังปลูกไปประมาณ 30 - 35 วันก็เก็บกินได้แล้วค่ะ ส่วนเคล็ดลับที่จะทำให้ต้นกะเพราเก็บกินใบได้นาน ๆ ก็คือ อย่าให้ออกดอก พอออกดอกแล้วต้นจะโทรม อายุสั้น ถ้าออกดอกก็ให้หมั่นตัดทิ้งเป็นระยะ


(http://img.kapook.com/u/pree/2_17.jpg)

2. โหระพา

สรรพคุณ

โหระพามีสรรพคุณทางยาสมุนไพรที่หลากหลาย ใบสดของโหระพามีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมจากลำไส้ ต้มดื่มแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร แก้หวัด ขับเหงื่อ ถ้าเด็กปวดท้อง ใช้ใบโหระพา 20 ใบ ชงน้ำร้อนและนำมาชงนมให้เด็กดื่มแทนยาขับลมได้ ส่วนเมล็ดแก่ นำมาแช่น้ำตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ แผลอักเสบ หรือ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายอ่อน ๆ เพื่อแก้อาการท้องผูก โดยนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่รับประทานกับขนมหวานโดยผสมกับน้ำหวาน และน้ำแข็ง นอกจากนี้ นำใบโหระพาแห้งมาบดเป็นผง ใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนองได้

วิธีการปลูก

โหระพาเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1 - 2 ปี เริ่มจากการเตรียมดินควรมีความร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ต่อมาเริ่มขั้นตอนการปลูกควรทำในเวลาเย็น วิธีการปลูกที่นิยมมี 2 วิธีด้วยกัน คือ การปักชำและการเพาะเมล็ด โหระพาเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงและสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรมีการรดน้ำให้ทุกวัน แต่ระวังอย่าปล่อยให้มีการท่วมขังของน้ำในแปลง ในระยะแรกควรทำการพรวนดินและกำจัดพืชทุก ๆ 1 - 2 สัปดาห์ ถ้าจะใส่ปุ๋ยให้ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ ละลายน้ำรดหลังปลูกประมาณ 15 - 20 วัน จะทำให้เจริญเติบโตดียิ่งขึ้น หลังจากปลูกประมาณ 30 - 35 วัน สามารถทำการเก็บเกี่ยวได้แล้วค่ะ เช่นเดียวกับใบกะเพราค่ะ อย่าให้ออกดอก ถ้าออกดอกก็ตัดทิ้ง ๆ เรื่อย ๆ นะคะ จะทำให้เก็บกินใบโหระพาได้นาน ๆ ค่ะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 20, 2012, 10:07:43 pm
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย

(http://img.kapook.com/u/pree/3_16.jpg)

3. ผักบุ้ง

สรรพคุณ

สำหรับผักบุ้งที่ทานกันอยู่มี 2 ประเภท คือ ผักบุ้งไทย และ ผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งอื่น แต่สำหรับผักบุ้งจีนจะมีแคลเซี่ยม และเบต้า-แคโรทีน มากกว่า ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของผักบุ้งไทยต้นขาวคือ ดอก ใบ ต้น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกัน

- ดอก ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อน

- ต้นสด ใช้ดับพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้ อักเสบ บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงกระดูกและฟัน ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เป็นยาดับร้อน แก้ปัสสาวะเหลือง - ทั้งต้น ใช้แก้โรคประสาท ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย แก้กลาก เกลื้อน แก้เบาหวาน แก้ตาอักเสบ บำรุงสายตา แก้เหงือกบวม แก้ฟกช้ำ ถอนพิษ

- ใบ ใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย นำใบสดมาตำ แล้วคั้นเอาน้ำมาดื่ม จะทำให้อาเจียน ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้พิษของฝิ่นและสารหนู มีวิตามินเอสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

- ราก ใช้แก้ไอเรื้อรังและแก้โรคหืด ถอนพิษผิดสำแดง ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก เบาขัด เหงื่อออกมาก ลดอาการบวม

วิธีการปลูก

ผักบุ้งที่คนรับประทานส่วนใหญ่ คือ ผักบุ้งจีน ซึ่งปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว การดูแลรักษาง่าย สามารถปลูกได้ตลอดปี และขึ้นได้ในดินทุกชนิด เริ่มจากการหว่านเมล็ด ต้นกล้าจะเริ่มงอก 2 - 3 วันหลังหยอดเมล็ด ผักบุ้งชอบดินที่มีความชื้นสูง ดั้งนั้น ควรให้น้ำบ่อย ๆ อย่าให้ขาดน้ำ เพราะผักบุ้งอาจจะชะงักการเจริญ แคระแกรน และไม่จำเป็นต้องกำจัดศัตรูพืชเพราะเป็นผักที่มีอายุสั้นและเจริญเติบโตเร็ว มาก สามารถขึ้นคลุมพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากหว่านเมล็ดประมาณ 25 - 30 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้โดยใช้มือถอนทั้งราก แล้วนำมาล้างให้สะอาด หรือหากไม่ถอน สามารถใช้มือเด็ดหรือมีดตัดยอดไปบริโภคและปล่อยโคนไว้


(http://img.kapook.com/u/pree/4_15.jpg)

4. พริก

สรรพคุณ

นอกเหนือจากการเป็นเครื่องปรุงให้มีรสเผ็ด - รสแซ่บแล้ว พริก ยังมีสรรพคุณในทางการแพทย์ด้วย เช่น สารสำคัญที่มีในพริก คือ แคปไซซิน สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะอาหารได้ นอกจากนั้น พริกยังช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน อีกทั้งพริกยังช่วย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง นอกจากนี้ สารแคปไซซินในพริกยังช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ เนื่องจากสารตัวนี้เป็นสารที่มีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟินซึ่งมีคุณสมบัติบางประการที่สำคัญคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

วิธีการปลูก

การปลูกพริกนั้นทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่นำเมล็ดพริกไปหยอดในหลุมที่เตรียมไว้หลุมละ 3 - 5 เมล็ดกลบแล้วก็รดน้ำ สำหรับพริกเป็นพืชที่ทนแล้งดีกว่าทนน้ำ แต่ในระยะที่พริกเริ่มออกดอก พริกจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ ช่วง 3 วันแรกควรให้น้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนผ่านไป 7 สัปดาห์ก็ให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พริกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกแล้ว 2 เดือนครึ่งถึง 3 เดือน ในระยะแรกผลผลิตจะได้น้อยและจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ควรเก็บเกี่ยวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ผลผลิตจะเริ่มลดลงเมื่อพริกเริ่มแก่


(http://img.kapook.com/u/pree/5_15.jpg)

5. สะระแหน่

สรรพคุณ

สะระแหน่ ใช้เป็นยาคลายความกดดันของกล้ามเนื้อที่เกิดจากความเหนื่อยล้าและความเครียด น้ำมันสาระแหน่ช่วยขจัดลมร้อน ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน สามารถรักษาอาการปวดศีรษะ หน้ามืดตาลาย ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง นำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำช่วยรักษาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในกระเพาะ บิด ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด หรือ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด ทั้งยังช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก และสะระแหน่ยังใช้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในการทำสุคนธบำบัด อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

วิธีการปลูก

ใช้การปักชำ โดยเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนหรือไม่แก่เกินไป ปักจิ้มลงไปในแปลงเพาะชำหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนซุย ปักให้กิ่งเอนทาบกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะแล้วโรยแกลบทับกลบดินเพื่อรักษาความชุ่ม ชื้นให้หน้าดิน ประมาณ 4 - 5 วันก็จะ แตกใบ แตกยอดเลื้อยคลุมดิน ต้นสะระแหน่ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงสว่าง แต่ไม่ต้องการแดดที่ร้อนจัดจนเกินไป จะปลูกในที่ร่มหรือในที่แดดก็ได้ ควรรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ จะทำให้สะระแหน่เจริญเติบโตเร็วขึ้น


(http://img.kapook.com/u/pree/6_14.jpg)

6. ตะไคร้

สรรพคุณ

ทั้งต้นตะไคร้ ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ ส่วนหัวตะไคร้ ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ซาง ลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ แก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ ส่วนราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย

วิธีการปลูก

ตะไคร้เป็นพืชที่มีอายุหลายปี ปลูกง่ายเจริญได้ดีในดินแทบทุกชนิด เริ่มจากการเตรียมดิน โดยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดินขุดหลุมปลูก นำพันธุ์ตะไคร้ที่เตรียมไว้ตัดใบออก ให้เหลือต้นยาว ประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร มาแช่น้ำประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อให้รากงอก รากที่แก่เต็มที่จะมีสีเหลืองเข้ม นำไปปลูกในแปลง วางต้นพันธุ์ให้เอียง 45 องศาไปด้านใดด้านหนึ่งแล้วกลบดิน จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกได้ประมาณ30 วัน ก็ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15 - 15 - 15 หรือ 46 - 0 - 0 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ควรให้น้ำพอหน้าดินชื้น ประมาณ 1 - 2 วันจึงรดน้ำครั้งหนึ่ง เก็บเกี่ยวเมื่อตะไคร้อายุประมาณ 90 วัน
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 20, 2012, 10:09:51 pm
มาดูวิธีปลูกผักสวนครัวง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้

-http://home.kapook.com/view44743.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก วิกิพีเดีย


(http://img.kapook.com/u/pree/7_12.jpg)

7. มะกรูด

สรรพคุณ

ใช้ผลสด นำมาประกอบอาหาร หรือนำมาดองใช้เป็นยาฟอกเลือดในสตรี ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด แก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้บำรุงประจำเดือน หรือใช้ผลสด นำมาผิงไฟให้เกรียมแล้ว ละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ นอกจากนี้ ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้แน่น แก้เสมหะ โดยฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือ พิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ ดื่มแต่น้ำรับประทาน 1 - 2 ครั้ง หรือนำมาใช้สระผมทำให้ผมสะอาดชุ่มชื้น เป็นเงางาม ดกดำ ผมลื่นด้วย หรือใช้มะกรูดเผาไฟ นำมาผ่าซีกใช้สระผม จะรักษาชันนะตุ ส่วนน้ำมะกรูดใช้ถูฟัน แก้เลือดออกตามไรฟันได้ด้วยนะ

วิธีการปลูก

มะกรูดปลูกได้ดีในดินทุกชนิด ควรปลูกด้วยกิ่งตอน ก่อนจะปลูกควรนำปุ๋ยคอกมาใส่ผสมกับดิน เพื่อให้ดินมีอาหารอุดมสมบูรณ์ดี ในระยะที่ปลูกมะกรูดใหม่ ๆ ต้องหมั่นรดน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่พืช จะทำให้พืชตั้งตัวได้เร็ว แตกใบอ่อนกิ่งอ่อนดี ควรใส่ปุ๋ยเพิ่มธาตุอาหารให้พืชเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และปุ๋ยชีวภาพก็ได้ หรือปลูกมะกรูดด้วยเมล็ด ให้นำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 6 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความชื้นภายในเมล็ดทำให้เมล็ดงอกได้ง่าย นำเมล็ดไปปลูกลงในถุงเพาะชำแกลบดำประมาณ 3 - 4 เมล็ดต่อถุง ทำการรดน้ำทันที เพราะในแกลบดำจะมีความโปร่งมาก ไม่อมน้ำ ประมาณ 20 - 25 วันเมล็ดมะกรูดก็จะงอกออกมา หลังจากนั้นประมาณ 1 - 2 เดือนก็สามารถนำไปปลูกลงดินได้


(http://img.kapook.com/u/pree/8_13.jpg)

8. ข่า

สรรพคุณ

ใช้เหง้าข่าแก่สด ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร รักษาท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่วง) แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง หรือ ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงพอให้แฉะ ๆ ใช้ทั้งเนื้อและน้ำ รักษาลมพิษ โดยทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น นอกจากนี้ยังใช้รักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง โดยใช้เหง้าข่าแก่ เท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเหล้าโรง ทาที่เป็นโรคผิวหนัง หลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะหาย

วิธีการปลูก

ข่าเป็นพืชกินหัวหรือเหง้าส่วนที่อยู่ใต้ดิน เราใช้หัวหรือแง่งแก่จัดของข่าเดิม ซึ่งที่หัวแม่นี้จะมีข้อและที่ข้อจะมีตา และที่ตานี่เองจะงอกเป็นหน่อโผล่พ้นดินขึ้นมา จากนั้นก็จะแตกหัวแขนงออกมาอีก จากหลาย ๆ หน่อที่ปลูกก็จะแตกออกกลายเป็นกอใหญ่ที่มีหัวหรือเหง้าจำนวนมาก ธรรมชาติของพืชหัวหรือเหง้า จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ต้องการความชื้นสม่ำเสมอและต้องการแสงแดด 100% สำหรับในช่วงอากาศหนาวเย็นการเจริญเติบโตจะช้าลง หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 15 - 20 วัน รากจะเริ่มเดิน ในช่วงนี้ควรให้น้ำ 2 - 3 วัน/ครั้ง และให้น้ำผสมปุ๋ยน้ำทำเอง 7 - 10 วันครั้ง การขุดขึ้นมาแต่ละครั้ง ไม่ควรขึ้นขึ้นมาหมดทั้งกอ ให้เหลือไว้ 3 - 4 แง่ง เพื่อเป็นต้นพันธุ์


(http://img.kapook.com/u/pree/9_13.jpg)

9. กระเฉด

สรรพคุณ

ช่วยในการดับพิษร้อน พร้อมกับสามารถถอนพิษไข้และพิษเบื่อเมาได้ และในผักกระเฉดนั้น ยังมีประโยชน์และมีวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ แคลเซียม รวมถึงธาตุเหล็กด้วย

นอกจากนี้ ผักกระเฉดนั้นยังเป็นพืชผักที่มีแร่ธาตุ พร้อมทั้งวิตามินที่สูงและที่สำคัญก็คือ มีแคลเซียมพร้อมทั้ง มี ฟอสฟอรัส ที่ยังเป็นแร่ธาตุเหล็กมีปริมาณที่สูงมาก ทั้งยังมีวิตามินซี ไนอะซิน คือวิตามินบีชนิดหนึ่ง ฉะนั้นแล้วจึงมีประโยชน์สำหรับกระบวนการ การเผาผลาญของสารอาหารที่สร้างพลังงานในร่างกายของคนเราเป็นอย่างดีด้วย

วิธีการปลูก

การเตรียมพื้นที่ที่จะปลูกผักกระเฉด เริ่มจากการหาพื้นที่ที่มีคันดินกั้นน้ำได้ สูงประมาณ 1 เมตร อาจทำการปลูกแบบลอยแพหรือดำกอในสระได้ ต่อมาเตรียมพันธุ์ผักที่อวบใหญ่ มีปล้องยาว และไม่มีโรค ใบเหลือง ใบหยิก เพื่อทำการปลูก สำหรับวิธีการบำรุง คือ นำน้ำที่ได้จากการหมักจากผัก ผลไม้เหลือทิ้ง + น้ำตาล + หัวเชื้อ ลงไปพร้อมกับน้ำที่เติมลงในสระ ส่วนวิธีการกำจัดศัตรูพืช คือ ให้ใช้ผงสะเดา ผสมในอัตราส่วน 30 - 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ทำการพ่นทุก ๆ วัน หรือหากพบปัญหาโรคโคนเน่า แก้ไขด้วยการปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางด้วยซิลิเกตและพ่นยากำจัดเชื้อรา เริ่มต้นจากการปลูกรอประมาณ 3 เดือน ก็สามารถตัดยอดอ่อนแรกได้แล้วค่ะ


(http://img.kapook.com/u/pree/10_11.jpg)

10. ผักหวาน

สรรพคุณ

- ราก แก้ไข้ ระงัดความร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้กลับ เนื่องจากกินของแสลง รักษาโรคอีสา แก้โรคมะเร็งคุด รักษาโรคคางทูม

- ใบ รับประทานแก้ปวดเมื่อยร่างกาย เป็นยาบำรุงสุขภาพหลังคลอดบุตร

- ใบและราก ใช้ตำพอกแผล ฝี

- ยอด โรคโลหิตจาง ผิวหนังแห้ง ไข้ร้อนใน ตามัว

วิธีการปลูก

นำกิ่งพันธุ์ผักหวานที่ได้ทำการขยายพันธุ์โดยการปักชำ นำมาปลูกในแปลงยกร่อง แล้วคลุมด้วยฟาง เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชขึ้น ระยะแรกควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากผักหวานมีอายุได้ 2 – 3 เดือน ก็ให้น้ำวันละ 1 ครั้ง เมื่อผักหวานอายุ 1 เดือน ควรกำจัดวัชพืช พร้อมใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด อัตราต้นละ 1 กำมือ หรือประมาณ 50 กิโลกรัม/ไร่ ผักหวานจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 2 – 3เดือน โดยเว้นระยะห่าง 7 วัน เก็บได้ 1 ครั้ง หลักจากเก็บเกี่ยวยอดผักหวานได้ 4 - 5 ครั้ง ให้ตัดแต่งกิ่งต้นผักหวาน โดยให้ผักหวานเหลือความสูง 50 - 60 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
myveget.com , aopdh06.doae.go.th , kasetorganic.com

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2012, 09:12:11 pm
.
กิน “เจ” ให้สุขใจ
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123689-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
9 ตุลาคม 2555 17:57 น.

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2422327)

 ในแต่ละปีจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลายคนหันมาถือศีลกินผัก หรือจะเรียกว่าอยู่ในช่วง “เทศกาลกินเจ” อันมีกำหนด 9 วัน คือ เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ซึ่งในแต่ละปีก็จะอยู่ในช่วงวันที่แตกต่างกันไป โดยในปีนี้อยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 15-23 ตุลาคม 2555 (แต่บางคนอาจจะเริ่มกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า “ล้างท้อง”)
       
       แม้ว่าบางคนจะถือศีลกินเจกันเป็นประจำทุกปี แต่ก็อาจจะลืมไปแล้วว่าการกินเจที่แท้จริงเป็นอย่างไร “108 เคล็ดกิน” ก็เลยมาทบทวนกันเสียหน่อย กินเจปีนี้จะได้ถูกต้องตามหลัก และสุขกายสุขใจกันถ้วนหน้า
       
       ตำนานการเกิดขึ้นของการกินเจนั้นมีหลากหลายความเชื่อ แต่จุดประสงค์หลักที่เหมือนกันก็คือ การงดกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ รวมถึงการดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ
       
       บางคนอาจจะกินเจตามความเชื่อของครอบครัว บ้างก็กินเจเพื่อสุขภาพ เนื่องจากเจเป็นอาหารชีวจิต หากกินติดต่อกันในช่วงเวลาหนึ่งจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย หรือบางคนอาจกินเจด้วยจิตเมตตา ละเว้นการสร้างกรรม จากการกินสัตว์ต่างๆ
       
       ดังนั้น อาหารเจจึงเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ และส่วนประกอบที่มาจากสัตว์ทุกประเภท รวมถึงไม่มีผักฉุนทั้ง 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยฉ่าย และใบยาสูบ และหันมากินโปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ รวมไปถึงเต้าหู้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และในปัจจุบันก็มีการผลิตเนื้อสัตว์เจในรูปแบบต่างๆ ทั้งกุ้ง ปลา ปลาหมึก หมู ไก่ และอีกนานาชนิด ที่มีหน้าตาและกลิ่นใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งของคนกินเจ
       
       ส่วนใครที่ยังกังวลว่าการกินเจนั้นจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารเพราะต้องงดเนื้อสัตว์ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะระยะเวลาการกินเจเพียง 9-10 วันนั้น ยังไม่นานพอที่จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร อีกส่วนคือ วัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารเจ นอกจากจะใช้ผักชนิดต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเต้าหู้ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ หรับให้ร่างกายนำไปใช้ได้เช่นเดิม
       
       สุดท้าย การกินเจนั้นหากจะให้ได้บุญจริงๆ นอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ก็ต้องรักษาศีลธรรม ทำบุญ ทำทาน รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ แบบนี้จึงจะเรียกว่าเป็นการกินเจที่แท้จริง


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123689 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123689)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 10, 2012, 06:34:02 am
อาหารฟาสต์ฟู้ดทำเด็กไอคิวต่ำ?
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123482-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
9 ตุลาคม 2555 18:02 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000012998001.JPEG)
ขอบคุณภาพจากเดลิเมล



ครอบครัวใดที่มีทัศนคติเกี่ยวกับการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดว่าเป็นช่วงเวลาดี ๆ หรือเป็นช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันความสุขอาจต้องคิดใหม่ เมื่อมีงานวิจัยเผยว่า เด็กที่ต้องรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ นั้นอาจมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
       
       การศึกษานี้ได้มีการเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้ และการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กชาวสก็อตจำนวน 4,000 คนที่มีอายุระหว่าง 3 - 5 ปี โดยแบ่งเป็นกลุ่มเด็กที่ได้รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ กับเด็กที่ได้รับประทานอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ หรืออาหารที่ปรุงภายในครอบครัว ซึ่งพบว่า การที่พ่อแม่ให้ลูกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นมีผลต่อระดับสติปัญญาของเด็ก และอาจทำให้เด็กมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่ไม่ได้รับประทานประมาณ 2 - 5 คะแนนเลยทีเดียว
       
       นอกจากนั้นนักวิจัยยังพบว่า ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน โดยพ่อแม่ที่มีฐานะดี จะเลือกปรุงอาหารที่ทำจากวัตถุดิบสดใหม่ให้ลูกรับประทาน ขณะที่พ่อแม่ที่ฐานะไม่ค่อยดีนั้น จะเน้นให้ลูกบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นหลักเนื่องจากตนเองต้องทำงานไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้ลูก ๆ
       
       ดร. Sophie von Stumm จากแผนกจิตวิทยาของ Goldsmiths มหาวิทยาลัยลอนดอน เจ้าของผลการวิจัยดังกล่าวเผยว่า พ่อแม่ทุกคนล้วนตระหนักดีในการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ให้ลูกรับประทาน เพราะมีผลต่อการพัฒนาของสมอง การศึกษานี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการบริโภคฟาสต์ฟู้ดในเด็ก ๆ โดยเฉพาะในอังกฤษควรจะลดปริมาณลง
       
       ดร. von Stumm เน้นย้ำด้วยว่า ในการวิจัยของเธอนั้น พบปัญหาทางสังคมที่น่ากังวลยิ่ง นั่นก็คือ พ่อแม่ที่มีฐานะไม่ค่อยดีมักจะไม่มีเวลาปรุงอาหารจากวัตถุดิบสดใหม่ให้ลูกรับประทานมากนัก และพบว่าเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้คะแนนจากการทดสอบระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อน ๆ และมักประสบปัญหาในการเรียนอยู่เสมอ
       
       "ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ความสดใหม่ของอาหาร และคุณภาพของอาหารนั้นมีความสำคัญมากกว่าการรับประทานให้อิ่มท้องแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเด็กนั้นต้องการการเจริญเติบโตในทุก ๆ ด้านของร่างกาย"
       
       นอกจากนี้ ก็มีงานวิจัยของออสเตรเลียที่พบว่า เด็ก ๆ ที่รับประทานขนมหวาน หรือน้ำอัดลมเป็นประจำ ก็มีโอกาสที่ระดับสติปัญญาจะต่ำลงเมื่อพวกเขาโตขึ้น
       
       โดยเป็นรายงานของมหาวิทยาลัย Adelaideที่สำรวจพบว่า ในเด็กอายุ 8 ปีที่รับประทานอาหารขยะเป็นประจำนั้นจะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่ถึง 2 คะแนน
       
       ด้านการศึกษาของอเมริกันซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร the Journal of Epidemiology & Community Health in 2010 ก็พบความเชื่อมโยงดังกล่าวเช่นกัน โดยพบว่า เด็กที่รับประทานอาหารขยะ เช่น พิซซ่า มันฝรั่งทอด ก่อนอายุ 3 ขวบอาจจะมีระดับไอคิวต่ำกว่าเพื่อนที่รับประทานอาหารที่ปรุงโดยฝีมือคุณแม่ที่บ้าน
       
       อีกทั้งยังพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี เด็กกลุ่มนี้มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อน ๆ ที่รับประทานอาหารมีประโยชน์อยู่ประมาณ 5 คะแนน
       
       บางทีคนเป็นพ่อแม่ก็ต้องแยกแยะความจริงความลวงจากสื่อโฆษณาให้ออก แล้วเราจะมองเห็นโทษของอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล

.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2012, 09:22:23 pm
ข้อห้ามการกินเจ หลักปฏิบัติง่าย ๆ กินเจห้ามกินอะไรบ้าง
-http://health.kapook.com/view49094.html-

(http://img.kapook.com/u/rungtip/lottory/Untitled-01-1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก Glitter.kapook.com

         สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะเข้าร่วมเทศกาลกินเจในปี 2555 เป็นปีแรกนั้น อาจจะยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อห้ามการกินเจเท่าใดนัก หรือยังไม่ทราบข้อปฏิบัติในการกินเจอย่างถูกวิธี ดังนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลกินเจ 2555 ในวันที่ 15-23 ตุลาคมนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับ ข้อห้ามการกินเจ มาฝากกันค่ะ มาดูกันว่า กินเจห้ามกินอะไรบ้าง 


ข้อห้ามการกินเจ

         1. งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

         2. งดนม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

         3. งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

         4. งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุยช่าย และใบยาสูบ

         5. ไม่ใช้จานชามปะปนกัน และต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงขึ้นมา (สำหรับคนที่เคร่ง)

         ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงการกินเจ หรือ อาหารเจ หลายคนมักนึกถึงแต่การหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ทุกชนิด ซึ่งบางคนอาจสงสัยว่า ทำไมข้อห้ามการกินเจ จึงต้องห้ามกินผักบางประเภทด้วย โดยเฉพาะผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุยช่าย, ใบยาสูบ หรือบางครั้งอาจรวมถึงเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน


(http://img.kapook.com/image/health/v300.jpg)

         ซึ่งสาเหตุที่ห้ามกินผักฉุนทั้ง 5 ชนิดนั้น เป็นเพราะผักฉุนดังกล่าว เป็นผักที่มีรสหนัก มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ดังนั้นจึงอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้กินเจได้ นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันว่า ผักฉุนดังกล่าวมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ โดยสามารถแจกแจงรายละเอียดของผักแต่ละประเภทได้ ดังนี้


 (http://img.kapook.com/image/health/200809_3.jpg)

         1. กระเทียม ทั้งหัวกระเทียม ต้นกระเทียม อาจส่งผลกระทบต่อธาตุไฟของร่างกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่กระเทียมมีความระคายเคืองสูง อาจไปทำลายการทำงานของหัวใจได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคตับ ไม่ควรรับประทานกระเทียมมาก

(http://img.kapook.com/image/Food/onion.jpg)

         2. หัวหอม รวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ซึ่งตามหลักการแพทย์โบราณของจีนเชื่อว่า หัวหอม จะกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของไต แม้ว่าหอมแดง จะมีฤทธิ์ช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ปวดประจำเดือน แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการหลงลืมได้ง่าย นอกจากนี้ อาจส่งผลให้มีอาการตาพร่ามัว รวมทั้งมีกลิ่นตัวแรงกว่าปกติด้วย

         3. หลักเกียว หรือที่รู้จักว่า กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีขนาดเล็ก และยาวกว่า ในทางการแพทย์ของจีนเชื่อว่า หลักเกียว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของม้าม

         4. กุยช่าย เชื่อกันว่า กุยช่าย จะไปกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในร่างกาย และทำลายการทำงานของตับ

         5. ใบยาสูบ ไม่ว่าจะเป็นยาเส้น บุหรี่ หรือของเสพติดมึนเมา เนื่องจากสิ่งเสพติดเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อธาตุโลหะในร่างกาย และทำลายการทำงานของปอด

         นอกจากการห้ามกินผักฉุนทั้ง 5 ชนิดแล้ว การให้งดเว้นเนื้อสัตว์นั้น ก็มีที่มาที่ไปเช่นกัน โดยสืบเนื่องมาจากคนจีนเชื่อกันว่า ก่อนตายสัตว์จะอยู่ในอาหารตกใจกลัว เมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดมาจนถึงปัจจุบัน
 
         ในขณะเดียวกัน การห้ามรับประทานอาหารรสจัด ทั้งอาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก และเปรี้ยวมาก เนื่องมาจากปกติคนจีนจะไม่กินอาหารรสจัดอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าอาหารรสจัดจะเข้าไปทำลายสุขภาพในร่างกาย เช่น หากกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลายกระเพาะ กินเค็มจัดจะไปทำลายไต ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ถือว่าถูกหลักของการแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็สามารถใช้เกลือแทนน้ำปลา
 
         ส่วนเรื่องห้ามใช้ถ้วยชามปนกัน สำหรับผู้ที่กินเจอย่างเคร่งครัดนั้น เพราะคนจีนเชื่อกันว่าการใช้ภาชนะใส่อาหารคาว ซึ่งชาวจีนเรียกว่า  ชอ  นั้น ไม่ควรนำมาปะปนกับอาหารชนิดอื่น แม้จะล้างสะอาดหมดจดแล้วก็ตาม โดยผู้กินเจในปัจจุบัน อาจไม่เคร่งครัดในเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อหลักในการกินเจมากเท่าใดนัก เช่นเดียวกับหลักที่ว่าต้องกินอาหารเจ โดยคนปรุงที่กินเจ ซึ่งนับเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่


(http://img.kapook.com/image/health/01_158.jpg)

 
         ทั้งนี้ สำหรับคอกาแฟทั้งหลายที่กำลังสงสัยว่า ในช่วงกินเจสามารถดื่มกาแฟได้หรือไม่นั้น ในเบื้องต้นมีข้อมูลว่า ในกาแฟสำเร็จรูป ทั้งประเภทซอง หรือประเภทกระป๋อง รวมทั้งครีมเทียม มักมีส่วนผสมของนมผงอยู่ด้วย นอกจากนี้ บางร้าน บางยี่ห้อ อาจมีการนำเมล็ดกาแฟไปคั่วกับเนย เพื่อเพิ่มความหอมมัน ดังนั้น ผู้ที่ไม่เคร่งมาก อาจเลือกดื่มกาแฟที่ชงเอง เช่น กาแฟดำ หรือ โอเลี้ยง หรืออาจใช้กาแฟประเภทซองที่เขียนว่า เจ หรือ การใช้ครีมเทียมที่ทำจากถั่วเหลือง แต่สำหรับผู้ที่เคร่งมาก ๆ อาจต้องงดเว้นกาแฟในช่วงนี้เพื่อความสบายใจ
 
         จากข้อห้ามการกินเจในเบื้องต้นนี้ จะเห็นได้ว่า การกินอาหารเจที่ถูกวิธีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด และข้อห้ามต่าง ๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นจากการคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่กินเจ นอกจากจะได้บุญ จากการลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว การกินเจยังถือเป็นช่วงปรับสมดุลในร่างกาย เพื่อให้ผู้กินเจ มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ในระยะยาวนั่นเอง




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2012, 09:33:17 pm
สารพันเรื่องราว "อาหารเจ"
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7911.msg31304/topicseen.html#msg31304-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7911.msg31304/topicseen.html#msg31304 (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7911.msg31304/topicseen.html#msg31304)



เทศกาลถือศีลกินเจ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6319.0.html-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6319.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6319.0.html)

.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 17, 2012, 09:00:11 pm
อย. แนะ ล้างผักผลไม้ให้สะอาดลดสารพิษตกค้าง ช่วงเทศกาลกินเจ
-http://www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88.pdf-

เทศกาลกินเจ อย. แนะผู้บริโภคล้างผักผลไม้ให้สะอาด เพื่อลดสารพิษตกค้าง หากได้รับสารพิษเข้าไป
สะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ระบบอวัยวะของร่างกายทำงานผิดปกติได้

นพ. บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลถือศีล กินเจ
มีผู้บริโภคจำนวนมากเข้าร่วมเทศกาลเพื่อทำบุญ โดยการงดเว้นกินเนื้อสัตว์และหันมารับประทานพืชผักผลไม้ หรือ
การกินมังสวิรัติ ซึ่งในส่วนของผักผลไม้นั้น ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการ
ตรวจสอบผักผลไม้อย่างต่อเนื่องและยังคงพบการตกค้างของสารฆ่าแมลงในผักผลไม้บางชนิดอยู่ ดังนั้น เพื่อความ
ปลอดภัย เมื่อซื้อผักผลไม้มา ควรทำความสะอาดก่อนปรุงหรือบริโภคเพื่อลดสารพิษตกค้าง โดยการใช้น้ำส้มสายชู
ที่มีกรดน้ำส้มความเข้มข้น 5% ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:10 แช่นาน 10-15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลด
ปริมาณสารพิษลง 60-84% หรือใช้ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างด้วย
น้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ 35-43% หรือล้างผักโดยน้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะแกรงโปร่งเปิด
น้ำให้แรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้นานประมาณ 2 นาที สามารถลด
สารพิษลงได้ 25-63% หรือใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด
สามารถลดสารพิษลงได้ 27-38% หลังจากนั้นค่อยนำไปปรุงอาหาร หรือนำไปแช่เก็บไว้ในตู้เย็น เพียงเท่านี้
ก็สามารถช่วยลดปริมาณสารพิษที่ตกค้างในพืชผักได้

นอกจากนี้ ยังมีการนำผักแห้ง เช่น เก๋ากี้ ดอกไม้จีน เยื่อไผ่ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม มาเป็นส่วนประกอบ
ของอาหาร ซึ่งผักแห้งดังกล่าว อย. เคยตรวจพบการตกค้างของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ดังนั้น ก่อนนำผักแห้ง
เหล่านี้มาประกอบอาหารควรทำความสะอาดเพื่อลดสารตกค้างก่อน เช่น ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบ็คกิ้งโซดา)
1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาดอีกหลายๆครั้ง
วิธีนี้สามารถลดปริมาณสารพิษลงได้ถึง 90-95% หรือกรณีเห็ดหูหนู ควรนำมาล้างน้ำและลวกในน้ำเดือด 2 นาที
ก่อนนำไปปรุงอาหารจะทำให้สามารถลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้เช่นกัน

เลขาธิการ ฯ อย. กล่าวต่อไปว่า หากผู้บริโภครับประทานผักผลไม้ที่มีสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่และสะสมอยู่
ในร่างกายเป็นจำนวนมากจะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้ระบบอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานผิดปกติ
และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลจนกลายเป็นมะเร็งลุกลามไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ ส่วนกรณีสาร
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะทำลายเยื่อบุทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อหดเกร็ง กล่องเสียงและ
หลอดลมใหญ่อักเสบ และเกิดอาการบวมน้ำ ฉะนั้น ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญกับการล้างผักให้สะอาดถูกวิธี
เพื่อที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุ จากพืชผักผลไม้อย่างครบถ้วนและปราศจากสารพิษตกค้าง

---กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค วันที่ 10 ตุลาคม 2555 ข่าวแจก 4 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556---

-http://www.fda.moph.go.th-

http://www.fda.moph.go.th (http://www.fda.moph.go.th)
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 17, 2012, 09:22:44 pm
.
หลักการ '5 ขีด 5 ผลไม้' ในวันที่ทานเจ
-http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123833-
โดย Taste    12 ตุลาคม 2555 16:59 น.


(http://pics.manager.co.th/Images/555000013050501.JPEG)

 ในช่วงเทศกาลอิ่มบุญกินเจที่กำลังจะมาถึงนี้ เรามี 5 ผลไม้ ที่แนะนำให้คุณเลือกกินร่วมกันให้ได้เพียงวันละ 5 ขีด จะช่วยให้ร่างกายของคุณแข็งแรง ชลอความชรา และสดใส ยิ้มรับกับเทศกาลกินเจ
       
       แอปเปิ้ล
       แอปเปิ้ลผลไม้ซึ่งมากด้วย เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” เจ้าตัว “เพคติน” นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดโคเลสเตอรอล ถ้าคุณเกิดหิวจนตาลายละก็ลองหยิบแอปเปิ้ลมาทานสัก 1 ผล จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย (แอปเปิ้ล 2 - 3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้)

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013050502.JPEG)

ฝรั่ง
       ไม่น่าเชื่อว่าผลไม้ธรรมดาๆอย่างฝรั่งจะมีวิตามินสูงมาก ขนาดฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีนี้มีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจนซึ่งทำให้ผิวพรรณคุณไม่แก่ก่อนวัย และถ้าคุณไม่อยากดูแก่ก่อนวัยริ้วรอยมาก่อนกำหนด ฝรั่งคือตัวช่วยชั้นเลิศที่ควรหามาทานในทุกวัน

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013050503.JPEG)

ส้ม
       ส้ม ผลไม้ที่าทานง่ายในราคาย่อมเยาว์ คือสุดยอดของแหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ ถ้าในการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้ เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ถ้าคุณเกิดอยากกินอาหารมื้อใหญ่แต่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักลองหยิบส้มมากินดูเพราะมันจะช่วยลดความอยากของคุณลงเยอะ

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013050504.JPEG)

 ลูกพรุน
       ลูกพรุนแหล่งของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญ พรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาดสดใสซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องคุณผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องทานลูกพรุ่น เพราะทั้งชายและหญิงร่างกายย่อมเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาเช่นกัน แต่เจ้าลูกพรุ่นจะเข้าไปช่วยชลอความสดใสของผิวพรรณให้คุณหล่อและสวยได้นานขึ้น( พรุน เป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามินซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย )

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013050505.JPEG)

กล้วยไข่
       กล้วยทุกชนิดดีต่อร่างกายทั้งนั้น แต่กล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนมากถึง 492 มิลลิกรัม ซึ่งจะดีเป็นพิเศษในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาตินี้จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอในร่างกาย พร้อมกันนั้นยังมีความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระเป็นพิเศษ ซึ่งในกล้วยไข่มากไปด้วย สารแอนตี้ออกซิแดนท์ แล้วอย่างนี้คุณจะไม่ลองปลอกกล้วยหอมมากินสักหน่อยหรอครับ


http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123833 (http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123833)
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 17, 2012, 09:53:19 pm
ว่านห่างจระเข้ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
-http://health.kapook.com/view41336.html-
-http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_17_3.htm-
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/aloe1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สมุนไพรไทย ๆ ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับหางแหลม ๆ ของจระเข้ จนได้ชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงลักษณะได้ดีว่า ว่านห่างจระเข้ คืออีกหนึ่งพรรณไม้ไทยที่นิยมปลูกไว้ติดบ้าน นอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว สรรพคุณต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้ยังคุ้มค่าอีกด้วย ส่วนจะมีทีเด็ดขนาดไหนนั้น เราไปทำความรู้จักกับว่านหางจระเข้ให้มากขึ้นกันดีกว่า ..

          ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) คือ พืชชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในประเภทพืชล้มลุก สีเขียว มีลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ใบเดี่ยว ใบหนายาวและโคนใบใหญ่ ปลายแหลม ขอบใบมีหนามห่างกันเป็นระยะ เรียงเป็นชั้น ข้างในใบเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน มีเมือกเหนียว สามารถออกดอกสีแดงอมเหลืองที่ปลายยอดได้ มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา สามารถปลูกได้ง่ายในดินทราย หรือในกระถางก็ได้ เป็นพืชชอบน้ำ แต่ต้องมีทางระบายน้ำได้ดี ป้องกันไม่ให้อมน้ำมากเกินไปจนรากเน่า


สรรพคุณว่านหางจระเข้

          ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย ดังนี้

ประโยชน์ภายนอก

          1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย

          2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป

          3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโม จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน และทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

          4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้

          5.รักษาฝีและโรคริดสีดวงทวาร ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดโรคให้แห้งแล้ว นำวุ้นไปแปะลงบนแผล หากเป็นทวารหนักให้ปอกวุ้นให้เป็นแท่งแล้วล้างให้สะอาด นำไปแช่เย็นให้แข็ง เพื่อสอดเหน็บในช่องทวารหนักวันละ 1-2 ครั้ง อาการริดสีดวงจะดีขึ้น

          6. รักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต นำเนื้อวุ้นที่ล้างทำความสะอาดแล้ว ไปแปะลงบริเวณที่เกิดโรค หมั่นเปลี่ยนเนื้อวุ้นบ่อย ๆ โดยหากเป็นตาปลาส่วนที่แห้งลงจะเกิดรูบุ๋มขึ้น ให้ใช้ว่านหางจระเข้ประคบต่อไปจนกว่ารอยบุ๋มจะสมานและเล็กลง ส่วนฮ่องกงฟุตให้ด้วยว่านหางจระเข้เอาไว้จนกว่าแผลจะแห้งลงและอาการดีขึ้น

           7.แก้ปวดศีรษะ ตัดใบสดจากต้นว่านหางจระเข้ แล้วนำปูนแดงทาบริเวณวุ้น ถือใบสดแล้วนำวุ้นผสมปูนแดงประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย ตามจุดที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

            8.บรรเทาอาการปวดฟัน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ออกเป็นแท่งเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร นำไปเหน็บไว้ตามซอกฟันที่มีอาการปวด หรือประคบไว้ก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลง


ประโยชน์ภายใน

          1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

          2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

          3. แก้กระเพาะอักเสบและลำไส้อักเสบ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ นำวุ้นที่ได้ไปล้างให้สะอาด แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินอาหารได้

          4. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้

          5.แก้และป้องกันอาการเมารถเมาเรือ ท่านที่มีปัญหาในการเดินทาง เกิดอาการเมารถเมาเรืออยู่เป็นประจำ ให้ลองรับประทานเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้ หรือน้ำว่านหางจระเข้ ก่อนออกเดินทางจะช่วยบรรเทาให้เกิดอาการดังกล่าวน้อยลงได้ แต่หากเกิดอาการเมารถเมาเรือขึ้นแล้ว ลองทานน้ำว่านหางจระเข้เย็น ๆ ให้ชื่นใจ แล้วนั่งพักสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น



ประโยชน์ด้านความงาม

          1.บำรุงเส้นผมให้เงางามและช่วยขจัดรังแค ตัดใบสดมาทาลงบนเส้นผม หรือถ้าไม่สะดวกให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปปั่นให้ละเอียดจะได้ใช้ง่ายขึ้น จากนั้นนำมาชโลมผมให้ทั่วเพื่อให้ผมสลวยเงางาม หากนวดบริเวณรากผมจะช่วยให้รากผมเย็นลง ช่วยบำรุงหนังศีรษะ รักษาแผลบนศีรษะ และขจัดรังแคได้ด้วย

          2.รักษาสิวและรอยด่างดำ ประโยชน์ข้อนี้คนที่อยากหน้าใสตั้งใจอ่านให้ดี เพราะว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นำเนื้อวุ้นที่ล้างสะอาดทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ใช้เวลาสัก 1-2 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่ารอยต่าง ๆ ดูจางลง

          3.บำรุงผิวกาย เพียงแค่นำว่านหางจระเข้สด มาปอกเปลือกและล้างให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นนำไปใส่ไว้ในถุงผ้ากอซขนาดเล็ก แล้วนำไปหย่อนไว้ในอ่างอาบน้ำ หรือถ้าไม่มีถุงผ้ากอซ ให้นำวุ้นไปแช่ไว้ในอ่างอาบน้ำเลยก็ได้เหมือนกัน โดยระหว่างอาบน้ำให้ใช้เนื้อวุ้นถูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เน้นที่รอยแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า เป็นต้น จะช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม และเต่งตึงขึ้น

          4. เติมน้ำให้ผิว ความชุ่มชื้นในผิวหน้าและผิวกาย มักจะค่อย ๆ ลดลงตามวัย และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องแอร์จนผิวขาดความชุ่มชื้น หากนำเนื้อวุ้นจากว่านหางจระเข้มาพอกหน้าก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของคุณได้ โดยล้างวุ้นให้สะอาด แล้วฝานบาง ๆ มาโปะให้ทั่วหน้า หลับตาพริ้มรอสัก 15 นาที ก็ไปล้างหน้าให้สะอาดได้ ผิวของคุณจะรู้สึกชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น หากจะใช้กับผิวกายให้ลองนำเนื้อไปปั่นหยาบ ๆ แล้วนำมาพอกตัว ก็ใช้ง่ายดีเหมือนกัน

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Beauty/op.jpg)
ว่านหางจระเข้ทาหน้า

สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้

          นอกจากสรรพคุณทางยาต่าง ๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ยังนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสวยความงามได้เช่นกัน สูตรว่านหางจระเข้พอกหน้า จึงขาดไม่ได้สำหรับคนรักสวยรักงาม เตรียมปากกาจดสูตรกันได้เลยจ้า

          1.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วใช้พอกหน้าเพื่อลดความมัน และจุดด่างดำได้

          2.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทำให้เกิดสิวลดลง

          3.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1.5 ช้อนโต๊ะ, น้ำแตงกวาสด 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันนำไปพอกหน้า จะช่วยลดความมันบนใบหน้า และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น

          4.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้บด 1 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกหน้า จะช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น และลดความมันบนใบหน้าด้วย

          5.เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้นผง 2 ช้อนชา, นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าเพื่อลดความมัน และเพิ่มความกระจ่างใส โดยสามารถฝานแตงกวาเป็นแว่นมาแปะไว้บริเวณรอบดวงตาก็ได้

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/aloe%20cream.jpg)
ครีมว่านหางจระเข้

ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้

          เมื่อสรรพคุณของว่านหางจระเข้มีอยู่มากมายรอบด้านขนาดนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากว่านหางจระเข้ก็ย่อมต้องทยอยออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ที่ถูกแปรรูปจากว่านหางจระเข้อยู่หลากหลาย ดังนี้

          1.เจลว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ใช้ทาเพื่อลดอาการบวม เป็นครีมทาใต้ตา บำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ใช้ผสมกับส่วนผสมต่าง ๆ พอกหน้าแทนวุ้นว่านหางจระเข้ได้ ทั้งยังใช้ทาแผลพุพอง แผลสด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้อีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการยิงเลเซอร์ และมีรอยไหม้แดงบนใบหน้า จะทำให้บรรทาอาการลงและฟื้นตัวเร็วขึ้น

          2.ครีมว่านหางจระเข้ ก็มีสรรพคุณเดียวกันกับเจลว่านหางจระเข้ แตกต่างกันที่เนื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้นกว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้ามัน เพราะเนื้อครีมจะให้ความรู้สึกหนักกว่าเนื้อเจล แต่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีหน้าแห้ง เพราะจะให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า

          ทั้งนี้นอกจากเจลว่านหางจระเข้และครีมว่านหางจระเข้แบบทั่วไปแล้ว ยังถูกต่อยอดออกไปเป็นเจลล้างหน้าว่านหางจระเข้ เจลและครีมว่านหางจระเข้แบบผสมสารกันแดด นอกจากนี้ยังมีน้ำว่านหางจระเข้สำหรับดื่มอีกด้วย โดยสรรพคุณไม่แตกต่างจากว่านหางจระเข้สดมากนัก

          รู้จักสรรพคุณและสูตรต่าง ๆ ของว่านหางจระเข้กันแล้ว คงต้องเตรียมหาว่านสารพัดประโยชน์ชนิดนี้มาปลูกไว้คู่บ้านกันบ้างแล้วล่ะ รับรองได้ว่าคุ้มเกินคุ้มจริง ๆ จ้า
.



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 08:15:57 am
.
มาปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพกันเถอะ
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2555 12:00 น.

 คำกล่าวที่ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพที่ดี มีค่ายิ่งกว่าการมีเงินทองร้อยล้านด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีเงินมากมายมหาศาลก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ ซึ่งตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด
       
       วันนี้ทีมงาน Life & Family มีเคล็ดลับอายุยืนอย่างมีสุขภาพดีจาก นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ ผู้หันหลังให้กับการรักษาแผนปัจจุบันและหันไปใช้การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด "ปฏิรูปจิต" สู่การ "ปฏิวัติชีวิต" อีกทั้งยังเป็นผู้เขียนหนังสือแนวส่งเสริมสุขภาพเล่มล่าสุด "ปฏิวัติชีวิต ปฏิวัติสุขภาพ" รวมไปถึงเทคนิคดี ๆ จากคนรักสุขภาพอีก 2 ท่านที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกบ้านไม่มากก็น้อย
       
       คุณหมอบุญชัย เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ 20 ล้านคนป่วยเป็นโรคเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ประกอบด้วย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันผิดปกติ ซึ่งโรคเหล่านี้ ตำราการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ต้องควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว และต้องกินยาควบคุมตลอดชีวิตเท่านั้น
       
       "ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เราอาจเป็นโรคที่ต้องกลายเป็นคนตาบอดเป็นเวลาถึง 20 ปี หรือต้องฟอกไตตลอด 20 ปี กว่าที่จะล้มหายตายจาก ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่น่าอนาจใจก่อนตาย"
       
       อย่างไรก็ดี การทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี คุณหมอท่านนี้บอกว่า ต้องแก้ที่จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการแก้ทุกปัญหาสุขภาพอย่างถาวร เรียกว่าแก้ที่นิสัยถาวรหรือแก้ที่สันดาน ซึ่งตัวคุณหมอเองยอมรับว่าเป็นกบฎต่อการใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปที่ส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์ทุกประเภท เป็นเลือกกินเนื้อสัตว์บางประเภทเท่านั้น
       
       "คนเราไม่ควรทานสัตว์ตระกูลเดียวกับเรา คือ ไม่ควรทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดูลิงกอริลล่าเป็นตัวอย่าง มันยังเป็นสัตว์กินพืช คนเราทานอาหารไม่ถูก คนอเมริกันเป็นโรคหัวใจกันเยอะ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ 40 เปอร์เซ็นต์ และ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 35 เปอร์เซ็นต์ เพราะรับประทานเนื้อสัตว์พวกวัวและหมูมาก สัตว์เมื่อจะถูกฆ่าจะกลัวและเครียด ก็จะหลั่งสารก่อมะเร็งออกมา และเมื่อเรากินเข้าไป จะสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งก็ป่วยเป็นมะเร็ง"
       
       แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ คุณหมอท่านนี้เคยรอให้ตัวเองล้มป่วยด้วยโรคร้ายที่กล่าวมาเสียก่อนถึงค่อยคิดได้ และด้วยความที่ไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิต จึงหันมาปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ โดยใช้วิธีปฏิรูปจิต เปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิต และหันมาใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติ หรือธรรมชาติบำบัดอย่างจริงจัง
       
       "ผมใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น เมื่อกลับมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง ก็ไม่พบโรคร้ายเหล่านั้นอีกเลย ที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลตอบแทนที่ได้รับคือมีสุขภาพดีขึ้นมากอย่างเหลือเชื่อ แถมโรคตับอักเสบเรื้อรังและโรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ที่เป็นมามากกว่า 20 ปี ก็หายไปด้วย"
       
       ส่วนเคล็ดลับที่คุณหมอใช้ปฏิรูปจิตตัวเองจนประสบความสำเร็จนั้น มีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ คนเราจะมีสุขภาพดีหรือไม่ดีอยู่ที่จิตใจ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว จิตสามารถกำหนดได้ว่าตัวเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของตัวเองได้ก็สามารถปฏิรูปชีวิตได้ ใจเป็นสุข กายก็เป็นสุข เริ่มจากคิดดี เป็นผู้ให้ จะทำให้เราไม่ทุกข์

   นอกจากนี้ คุณหมอบุญชัยยังฝากด้วยว่า เวลาทำอะไรไปหรือคิดอะไรจิตใต้สำนึกจะบันทึกไว้หมด ดังนั้น ต้องคิดดีไว้ก่อน อย่าเอาเรื่องไม่ดีเข้ามาใส่ตัว กินอยู่ให้ดี ปฏิบัติตัวให้ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แล้วเราจะซึมซับสิ่งที่ดีใส่ตัว ส่วนตัวไม่ชอบคำว่าควบคุม แต่ใช้คำว่าปฏิวัติชีวิตตัวเอง เมื่อทำไประยะหนึ่งมันจะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกและมันจะเปลี่ยนไปเอง เราจะเป็นคนใหม่โดยไม่ต้องบังคับตัวเอง
       
       ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถือเป็นคนที่มีสุขภาพดีมาก เดินตัวตรง กระฉับกระเฉง แม้จะมีอายุเกือบ 80 ปีแล้ว แต่ก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาหารหลักของครอบครัวในวัยเด็กคือผักตามท้องนา และเนื้อสัตว์ที่หามาได้คือ ปลา กุ้ง ที่อยู่ในนา
       
       "สมัยเด็ก ครอบครัวยากจน ไม่มีโอกาสได้รับประทานเนื้อสัตว์ ผมจึงชอบทานผักสด และทานมาตั้งแต่เด็กๆ อาหารจานหลักคือผักสดที่ปลูกเองที่บ้าน ชีวิตก็รับประทานผักมาตลอด เมื่อไปเรียนต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา ใครๆ ดื่มไวน์ก็ดื่มน้ำเปล่า หรือใครที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บลัดดี้แมรี่ก็จะเลือกดื่มน้ำมะเขือเทศ และไม่ดื่มกาแฟ"
       
       ปัจจุบัน ดร.วิจิตร มีสวนผักอยู่ข้างบ้าน ทำเป็นโรงเรือนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เอาไว้แจกเพื่อนบ้านด้วย ล่าสุดเพิ่งกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส ขณะที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสก็รับประทานอาหารได้อร่อยและมีความสุข เพราะเลือกทานปลาทั้ง 7 วัน 7 ชนิดไม่ซ้ำกันเลย
       
       เมื่อถามลึกลงไปถึงหลักการดูแลชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดร.วิจิตร บอกว่า มีอยู่ 3 ประการหลัก ๆ ที่ให้ความสำคัญ คือ 1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ไม่กินเนื้อสัตว์ประเภทสัตว์ใหญ่ และรับประทานผักผลไม้ให้มาก 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ หรือเต้นรำ ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกสมาคมลีลาศด้วย และ 3. พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียด คือ คนพักผ่อนไม่พอ ต้องระวังอย่าให้เครียด
       
       ปิดท้ายกันที่เทคนิคดี ๆ จาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง สูตินรีแพทย์อาวุโส นายกสมาคมประสานงานองค์กรเอกชนเพื่อการสาธารณสุข ที่ให้เคล็ดลับดูแลสุขภาพไว้ว่า เวลาเหนื่อยให้นอนพัก ถ้านอนหลับลึกๆ สัก 5-10 นาทีก็จะดีขึ้น
       
       "ผมเริ่มดูแลตัวเองเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนทำงานเยอะมาก สังเกตว่าตอนที่อายุน้อยๆ กินเท่าไรก็ไม่อ้วน แต่พออายุมากขึ้น กินเหมือนเดิมก็อ้วน เพราะว่าระบบเผาผลาญมันแย่ลง ก็ต้องออกกำลังกายมากขึ้น และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลักสำคัญคือ กินให้ถูก อยู่ให้ดี หลับนอนให้เพียงพอ รู้จักหาความสุขใส่ตัวทั้งภายนอกคือการสุขกาย และภายใน คือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขจากภายใน ไม่มีใครจะโขมยไปจากเราได้" นี่คือสิ่งที่คุณหมอท่านนี้ให้ความสำคัญ ซึ่งนับเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

(http://pics.manager.co.th/Images/555000013507902.JPEG)
นายแพทย์บุญชัย อิศราพิสิษฐ์

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112 (http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000128112)
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 03, 2012, 08:57:52 am
ไส้กรอก

-http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html-

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2330632&d=1351909008)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2330633&d=1351909008)


http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html (http://how2healthy.blogspot.com/2010/05/blog-post_10.html)
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 09:19:39 pm

มะกอกน้ำ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/165722.jpg)



มะกอกน้ำเป็นไม้ยืนต้น สูง 7-12 เมตร เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว ใบย่อยรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อแบบเพนิเคิล ตามปลายยอด ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ฐานรองดอกมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผล รูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอมเหลือง สุกมีสีส้ม เมล็ด กลมรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งและมีขนแข็งที่เปลือกหุ้มเมล็ด

ผลมีรสเปรี้ยวฝาด หวานชุ่มคอ บำบัดโรคธาตุพิการ โดยน้ำดีไม่ปกติ และมีประโยชน์แก้โรคบิดได้ด้วย น้ำคั้นใบมะกอก ใช้หยอดหู แก้ปวดหูดี ผลมะกอกสุก รสเปรี้ยว อมหวาน รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี เช่นผลมะขามป้อม เปลือกฝาด เย็นเปรี้ยว ดับพิษกาฬ แก้ร้อนในอย่างแรง แก้ลงท้องปวดมวน แก้สะอึก เมล็ดเมื่อนำมาสุมไฟให้เป็นถ่าน นำมาแช่น้ำ เอาน้ำรับประทานแก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึกใช้ผสมยา มหานิล ใบอ่อน รับประทานเป็นผักแกล้มอาหาร.


http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722 (http://www.dailynews.co.th/agriculture/165722)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 09:21:12 pm
ถั่วแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/165567.jpg)

ถั่วแดงมีโปรตีนและมีคุณค่าทางอาหารสูง นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี โดยต้มให้เปื่อยก่อนนำไปเลี้ยงสัตว์ แต่ต้องระวังอย่าให้สัตว์กินมากเกินไป เพราะจะทำให้ท้องอืด ถั่วแดงสามารถนำมาใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้ทั้งที่เป็นผักสดและเมล็ดแห้ง ประเทศแถบยุโรปหรืออเมริกา นิยมบริโภคเมล็ดถั่วแดง ทั้งเป็นอาหารคาวและหวาน  มีประโยชน์ในด้านใช้เป็นอาหารลดความอ้วนและสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แต่ในประเทศไทยเริ่มมีผู้นิยมบริโภคมากขึ้น เช่น ถั่วแดงต้มน้ำตาล หมูอบถั่วแดง ถั่วแดงอบ แกงถั่วโอสถ ห่อหมก ถั่วเสวย ซุปถั่วแดง เป็นต้น.

http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567 (http://www.dailynews.co.th/agriculture/165567)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 04:01:26 am
“น้ำปลา-ปลาร้า” วัฒนธรรมร่วมของชาวอาเซียน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
21 พฤศจิกายน 2555 17:47 น.

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2465868)

การที่ 10 ประเทศในอาเซียนจะรวมกันเป็นประชาคม แน่นอนว่าย่อมต้องมีเอกลักษณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องอาหารการกิน ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันก็จะมีวัฒนธรรมในการกินคล้ายคลึงกันไปด้วย ซึ่งชาวอาเซียนเราก็มีทั้ง “น้ำปลา” และ “ปลาร้า” ที่เป็นวัฒนธรรมการกินร่วมกัน มีให้กินคล้ายๆ กันในหลายประเทศ
       
       เริ่มต้นที่ “น้ำปลา” ที่เป็นส่วนผสมของปลา เกลือ และน้ำเกลือเข้มข้น ผ่านการหมักบ่มนานนับปี ก็จะได้หัวน้ำปลาอย่างดี จากนั้นก็นำกากปลาที่เหลือมาผสมกับน้ำเกลือเข้มข้นแล้วหมัก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะได้น้ำปลาเกรดสอง, สาม, สี่,... ไปจนกระทั่งกากปลาย่อยสลายไปหมด
       
       น้ำปลานั้นเป็นสิ่งที่ช่วยชูรสชาติให้จัดจ้านกลมกล่อมขึ้น จากที่เป็นอาหารจืดๆ ใส่น้ำปลาลงไปก็เพิ่มความอร่อย อย่างที่ประเทศไทยเรียกว่าน้ำปลา เพื่อนบ้างเราก็กินน้ำปลาแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาษา อย่างเช่น เวียดนามเรียกว่า “Nuoc Mam” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “Patis” ลาว เรียกว่า “น้ำปา” พม่า เรียกว่า “Ngan Bya Yay”
       
       ส่วน “ปลาร้า” นั้นก็ไม่ได้มีเพียงเฉพาะที่ภาคอีสานของไทย แต่เกิดขึ้นได้ทั่วทุกมุมโลก จากการที่ต้องเก็บถนอมปลาเอาไว้กินในยามขาดแคลน และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือ ปลา เกลือ และข้าว
       
       ในประเทศไทย เรียกว่า “ปลาร้า” ส่วนบ้านพี่เมืองน้องของเรา ลาว เรียกว่า “ปลาแดก” ปลาร้าเขมร คือ “ปราฮ็อก” ฟิลิปปินส์ เรียกว่า “บากุง” เวียดนาม เรียกว่า “มาม” มาเลเซีย เรียกว่า “เปกาซัม” อินโดนีเซีย เรียกว่า “บากาแซ็ง” พม่า เรียกว่า “งาปิ๊”
       
       จะเห็นว่าชาวประชาคมอาเซียนนั้นก็มีวัฒนธรรมในการกินที่คล้ายคลึงกัน เพราะมีวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ใกล้เคียงกัน นั้นก็คือ ปลา เกลือ และข้าว ซึ่งแต่ละชาติจะประดิษฐ์ประดอยออกมาได้รสชาติหรือหน้าตาแบบไหน ก็ต้องไปลองหาชมหาชิมกันเอาเอง


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141192-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ พฤศจิกายน 25, 2012, 03:59:44 pm
สุดยอด 20 อาหารล้างพิษ

1. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

2. อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

3. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

4. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใส่เนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

5. อะโวคาโด อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

6. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ ซึ่งประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

7. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

9. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

11. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหาร ประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน
มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

12. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

13. ขึ้นฉ่าย ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

14. พืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

15. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิม สามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ
โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดี

16. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติ ช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

17. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

18. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้ และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

19. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

20. สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย

ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก


ขอบพระคุณกัลยาณมิตรผู้แสนดีจากฟอร์เวิตเมลล์
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2012, 10:28:44 am
ฉลองปีใหม่ด้วย 10 เมนูสุขภาพดี แถมต้านชราได้ด้วย
-http://health.kapook.com/view53529.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/thai%20dish1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ หลายคนคงมีโอกาสได้ไปงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ ซึ่งทำให้เราได้รับประทานอาหารในปริมาณมาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นอาหารหนัก ๆ หรืออาหารฝรั่งที่ดูแล้วไม่ค่อยเป็นมิตรกับสุขภาพเลยเสียด้วย เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ ๆ

          ดังนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จึงขอแนะนำสุดยอดอาหารสไตล์อายุรวัฒน์ ต้านชรา ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 10 เมนู ให้ทุกคนได้เลือกไปรับประทานกัน จะได้มีสุขภาพดีรับปีใหม่ มาดูกันเลยว่ามีอาหารจานไหนบ้าง

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/somtam.jpg)

1. ส้มตำ ไก่ย่าง

          นี่คือสุดยอดของอาหารต้านชรา เพราะในส้มตำมี "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือ "มะละกอ" ส่วนผสมหลักของส้มตำที่จะช่วยล้างพิษให้กับลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ได้ โดยในมะละกอจะมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยล้างทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ทั้งนี้ แนะนำให้ทานส้มตำคู่กับไก่ย่าง เพราะจะได้โปรตีนจากเนื้อไก่ และเนื้อไก่ก็ไม่ทำให้อ้วนด้วยเมื่อเทียบกับ "ข้าวเหนียว" ที่เป็นแป้ง


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/thai%20green%20curry.jpg)

2. แกงเขียวหวานไก่

          จัดเป็นอาหารจานทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เพราะในน้ำแกงนั้นมีทั้งวิตามินเอ ดี อี เค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีช่วยบำรุงสมอง แม้แต่พริกที่ปรุงลงไปในแกงชามอร่อยนี้ก็ยังมีกรดแคปไซซิน และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาด้วย

3. เมี่ยงปลาทู

          ทราบกันดีกว่า "เนื้อปลาทู" มีทั้งกรดไขมันดี และแอสตาแซนทิน นอกจากนี้ใบคะน้าที่ห่อเมี่ยงยังให้สาร "ซัลโฟราเฟน" ที่เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็ง และหากหยิบ "มะเขือเทศราชินี" หั่นเสี้ยวใส่เข้าไปในเมี่ยงด้วยก็จะช่วยให้ผิวพรรณสวยใส


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/padthai.jpg)

4.ผัดไทย

          อาหารขึ้นชื่อประจำชาติไทยที่จะช่วยเติมวิตามินซีให้ร่างกายจาก "ถั่วงอก" และส่วนผสมอย่าง "ถั่ว", "เต้าหู้" ยังให้วิตามินอี แคลเซียม และสารพฤกษฮอร์โมนที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมันได้ด้วย แต่ข้อควรระวังคือ อย่าใส่ "เส้น" มากไป เพราะนี่คือแป้งที่หากทานไปย่อมไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ

5.ข้าวหอมนิล

          ข้าวสีม่วงเข้มเตะตาอัดแน่นไปด้วย "พฤกษเคมี" ที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน ลองทานข้าวหอมนิลแทนข้าวขาว ทานคู่กับอาหารจานอื่น ๆ เช่น น้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือไข่เจียวร้อน ๆ รับรองอร่อยอย่าบอกใคร

6.ข้าวตอกน้ำกะทิ

          เป็นขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน แต่รู้ไหมว่า "ข้าวตอกน้ำกะทิ" เป็นขนมไทยที่มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก เพราะ "ข้าวตอก" มีเส้นใยช่วยลดไขมันและน้ำตาลได้  ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันมะเร็ง และต้านความชราที่คนไม่ต้องการอีกด้วย


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/steam%20sticky%20rice.jpg)

7.ข้าวต้มมัด หรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้

          นอกจากอร่อยอิ่มท้องแล้ว เมนูขนมไทยอย่าง "ข้าวต้มมัด" และ "ข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้" ก็เป็นเมนูที่มีประโยชน์ครบเครื่องไปด้วยสารอาหาร 5 หมู่ และยังมีวิตามินเอ บี ซี ส่วน "กล้วย" ที่ใส่ไส้มาก็มีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอล ชื่อ "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Thai%20food/black%20rice.jpg)

8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ

          เป็นขนมหวานแบบไทย ๆ ที่เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง เพราะมีส่วนผสมของ เผือก ลำไย ลูกเดือย และธัญพืชอื่น ๆ ที่จะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่  ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มีวิตามินอี และธาตุเหล็กสูงมาก รวมถึงธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs) ที่เหมาะกับเป็นอาหารต้านชราช่วยให้สุขภาพดีจริง ๆ


(http://img.kapook.com/image/health/corn1.jpg)

9. ข้าวโพดม่วง

          หลายคนเห็นสีของ "ข้าวโพดม่วง" แล้ว รู้สึกว่าอาจจะไม่น่าลิ้มลองเช่น "ข้าวโพดเหลือง" แต่รู้ไหมว่า "ข้าวโพดสีม่วง" นี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน" และยังนำไปประกอบอาหารได้หลายเมนูไม่แพ้ข้าวโพดสีเหลืองเลย หรือถ้าชอบทานของหวานจะนำข้าวโพดม่วงไปราดกะทิกิน ทำเป็นข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดม่วงคลุกก็เข้าท่า

10. น้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ

          ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง น้ำสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินชั้นดี จัดเป็นน้ำนางเอกของแท้ อย่างเช่น "น้ำอัญชัน" มีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ

           ส่วน "น้ำกระเจี๊ยบ" ก็มีวิตามินซี และวิตามินเอ ช่วยบำรุงไตได้ ขณะที่ "น้ำใบย่านาง" กับ "น้ำใบบัวบก" ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ และกลูต้าไทโอน ที่แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ดื่มบ่อย ๆ นอกจากจะชื่นใจแล้ว ยังช่วยทำให้ดูอ่อนเยาว์ได้อีกนะ

          เห็นแต่ละเมนูแล้วต้องบอกว่าน่ารับประทานทั้งนั้นเลย ทั้งอร่อย ทั้งได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างนี้ มาฉลองปีใหม่ด้วยอาหารเพื่อสุขภาพแบบนี้ดีกว่าจ้า


-http://health.kapook.com/view53529.html-

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

-http://www.dailynews.co.th/article/822/174755-

-http://www.mcot.net/site/content?id=50dad14d150ba0a82d0003f4#.UN-0hned6So-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2012, 10:35:44 am

กินอาหารต้านสุขภาพทรุดช่วงปีใหม่ - X-RAY สุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2555 เวลา 01:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/article/1490/175109-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/175109.jpg)

ช่วงนี้หลายคนกำลังมีความสุขกับการท่องเที่ยว ดื่ม กิน อย่างเมามัน ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จนละเลยใส่ใจดูแลตัวเอง ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรม ด้วยเหตุนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จึงมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากผู้อ่านทุกท่าน
   
น้ำหนักขึ้น เป็นผลมาจากการกินเลี้ยง กินกระจาย กินมหากาพย์ต่อเนื่องกันยาวตั้งแต่ก่อนปีใหม่ แก้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเทศ มะละกอ ข้าวโพดต้ม หรือข้าวโพดย่าง ถั่วต้ม ถั่วลิสงคั่ว ผักคะน้า เห็ด หรือจะเอามารวมเป็นผักในน้ำสลัดโดยใช้โยเกิร์ตแทนน้ำสลัดก็ได้ ถ้าเมนูง่าย ๆ คือ ส้มตำไก่ย่างแต่ควรงดข้าวเหนียว ส่วนของหวานอาจตบท้ายด้วยกระยาสารท กล้วยไข่ ข้าวเม่าคลุก มันม่วง มันมือเสือ กลอย แห้ว ฟักทองนึ่ง เพราะเมนูเหล่านี้มีทั้งเส้นใยและแร่ธาตุสำคัญอย่าง “เพคติน”และ “โครเมียม” ที่ช่วยในการเผาผลาญ
   
เมาค้าง ผลพวงจากการดื่มหนักติดต่อกัน ควรรับประทาน น้ำส้ม น้ำมะนาว เสาวรส สับปะรด ฝรั่งหรือน้ำกระเจี๊ยบแบบไทยๆเข้าไปให้มาก เพราะกรดเปรี้ยวมีส่วนช่วยได้ ในขณะดื่มกินควรหาเมนูไข่กับไก่รับประทานช่วยป้องกันพิษแอลกอฮอล์ได้ระดับหนึ่ง ถ้าอยากล้างพิษตับด้วยขอให้รับประทาน “ขมิ้นชัน” หรือชงชา “รางจืด” ดื่ม
   
นอนดึก งานเลี้ยงสังสรรค์เป็นเหตุให้นอนดึก เสียสุขภาพ ป่วยง่าย แนะนำให้รับประทาน “อาหารชาร์จแบต” ให้สมอง โดยเฉพาะเมนูที่ทำจากปลาสดทั้งปลาน้ำจืด ปลาทะเล หรือน้ำมันปลาที่มี “โอเมก้าสาม” และ “โคลีน” ที่ไปช่วยสร้างสารสื่อประสาท นอกจากนั้นก็มี ไข่แดง ข้าวกล้องงอก ข้าวโพด จมูกข้าว นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ที่มีทั้ง “เลซิทิน” “กาบ้า” และ “วิตามินอี” ช่วยเพิ่มพลังสมองให้ความคิดไหลลื่นดี
   
เจ็บคอ เป็นหวัด อาจเกิดได้เพราะพักผ่อนน้อย รับประทานอาหารบำรุงคอและเสริมภูมิอย่าง “ซุปไก่เก๋ากี้” เน้นที่เก๋ากี้ให้มากเพราะช่วยเสริมภูมิได้ นอกจากนี้ให้ใส่ “โป๊ยกั้ก” ที่ช่วยป้องกันเชื้อหวัดลงไปด้วย และควรหา น้ำมะเขือเทศ ฝรั่งสด หรือไอศกรีมเชอร์เบ็ตเสาวรส มาทานได้ทั้ง “วิตามินซี” และ “ไบโอฟลาโวนอยด์” ส่วนเมนูอาหารคาวให้รับประทาน แกงป่า ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ ใส่หัวหอมกับตะไคร้ให้มาก ถ้าเจ็บคอมากและต้องรีบใช้เสียงขอให้หา “วิตามินซี” กับ “สังกะสี” แบบเม็ดมารับประทานก่อน
   
ท้องเสีย ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย แทนที่จะกินแต่ยาขับลมลดกรด ลองหาขิง สะระแหน่ กะหล่ำปลี มารับประทาน จะเป็นเมนูปลานึ่งซีอิ๊วโรยขิง หรือ หมูผัดขิงก็ได้ เพราะขิงจะช่วยแก้คลื่นไส้และกรดไหลย้อนได้ดี ถ้าท้องเสียด้วยให้รับประทานขนมปังปิ้งเกรียมนิดกับกล้วยน้ำว้าห่ามสักลูกแล้วกลั้วคอด้วยน้ำชาชงแก่นิดหนึ่งจะช่วยได้เพราะมี “สารแทนนิน” ช่วยฆ่าเชื้อ ส่วนสะระแหน่ช่วยทั้งเรื่องฆ่าเชื้อในลำไส้ช่วยย่อยและขับลม รับประทานในแบบลาบใส่สะระแหน่หรือน้ำเสาวรสปั่นโรยสะระแหน่ให้ชื่นใจ สำหรับกะหล่ำปลีให้เอามาทำสุกก่อนรับประทานเพื่อกันท้องอืด เช่น กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา กะหล่ำปลียัดไส้หรือซุปกะหล่ำปลีแบบฝรั่งก็ช่วยเรื่องแผลในกระเพาะได้
   
นอนไม่หลับ บางท่านนอนไม่หลับ ตาค้าง ทำให้มีปัญหากับการขับรถในวันรุ่งขึ้นหรือบางท่านต้องไปทำงานก่อนเพราะออฟฟิศหลายที่เปิดก่อนก็ส่งผลต่อการทำงาน ทำให้ไม่สดชื่นเท่าที่ควร ขอให้รับประทาน ไข่เป็ดต้ม สะเดาน้ำปลาหวาน แกงขี้เหล็ก ขี้เหล็กปลาย่าง ข้าวโพดต้ม น้ำนมข้าวโพด น้ำเชอรี่ หรือ กล้วยปั่นใส่น้ำผึ้ง เพราะมีสารช่วยนอนหลับอยู่ ทั้งในกลุ่มที่จะไปสร้างเป็น “เมลาโทนิน” และ “ซีโรโทนิน” ซึ่งเป็นเคมีที่ช่วยให้หลับสบายคลายเครียดในสมอง หรือจะลองหาชา “คาโมไมล์” มาดื่มดูก็ช่วยให้หลับได้เหมือนกัน
   
ล้างพิษและป้องกันเครียดก่อนเปิดทำงาน เมื่อหมดช่วงปีใหม่ต้องเข้าสู่สภาวะการทำงานปกติในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้แล้วให้หา “อาหารสุข” รับประทานดักไว้ก่อน เป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้รู้สึกฟิตและแข็งแรงขึ้น โดยเน้นอาหารที่มี วิตามินบี 1, 6, 12 กับอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระรับความเครียดอย่าง “โอพีซี” ส่วนการล้างพิษต้องมี “ซัลโฟราเฟน” กับ “ไลโคปีน” ช่วยด้วย นอกจากนั้นยังต้องมีสารช่วยเสริมภูมิอย่าง “เบต้ากลูแคน” ที่มีมากในข้าวโอ๊ต โดยอาจจัดเป็นเมนูดังนี้ ต้มยำปลาทูคู่กับข้าวหอมนิลร้อน ๆ ผัดคะน้าหรือบรอกโคลีกับกุ้งสดกินกับข้าวผัดซอสมะเขือเทศ แซนด์วิชขนมปังโฮลวีตใส่ทูน่าไข่ต้มกับโยเกิร์ตแบบไม่หวานจัด หรือจะเป็นข้าวต้มหรือโจ๊กสามกษัตริย์คือมีข้าวกล้องผสมข้าวโอ๊ตและลูกเดือยรับประทานกับถั่วลิสงคั่วใหม่ ๆ ก็ได้
 
ท้ายนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ รับรองว่าปีใหม่นี้สุขภาพดีไม่มีทรุดโทรม.

นวพรรษ บุญชาญ

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2012, 05:35:42 pm
ประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากแครอทที่คุณควรทราบ
-http://men.kapook.com/view53643.html-

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999989/carrot%20(1).jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แครอท ผักสีส้มสารพัดประโยชน์ที่สามารถนำไปดัดแปลงเป็นอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าจะผัด ทอด แกง อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อยได้อีกด้วย ทว่าหนุ่ม ๆ นักกินเนื้อทั้งหลายที่ชอบเขี่ยแครอทในจานทิ้งอยู่เป็นประจำทราบหรือไม่ว่า ภายใต้สีสวย ๆ ของแครอทนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่ามากมายหลายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง พูดอย่างเดียวอาจจะไม่เชื่อ วันนี้เราก็เลยนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแครอทมาเปิดเผยให้คุณได้รู้กัน

 1. บำรุงสายตา

          เพราะในแครอทอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการอีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรติน่า ซึ่งการที่คุณรับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นได้อย่างปกติไปอีกนานเท่านานเลยเชียวล่ะ

2. ป้องกันมะเร็ง

          เป็นที่รู้กันดีว่าแครอทนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งโดยเฉพาะการก่อตัวของมะเร็งปอด ทั้งนี้เป็นเพราะในแครอทเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง ฟาลคารินอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น ควรใส่แครอทเป็นส่วนผสมในอาหารจากหลักของคุณด้วยนะ

3. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไหลเวียนของเลือด

          เนื่องจากผู้คนในปัจจุบันไม่ค่อยใส่ใจกับการทานอาหารสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทานของหวานและของทอด ทั้งนี้สารในแครอทจะเข้าไปกำจัดไขมันที่เกาะสะสมอยู่ในเส้นเลือด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

4. รักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด

          ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่และมีรูปร่างแบบใด ก็มีสิทธิ์ที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านั้นก็ควรหมั่นทานแครอทอยู่เป็นประจำ เนื่องจากในแครอทมีสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเส้นเลือดของคุณนั่นเอง

5. ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร

          สำหรับคนที่อยากจะมีหุ่นดี ๆ ฟิต แอนด์ เฟิร์มหรือคนที่อยากจะลดน้ำหนักล่ะก็ การทานแครอทถือเป็นตัวช่วยที่ดีเลยเชียวล่ะ เพราะแครอทจะเข้าไปเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

 6. บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง

          แครอท ยังมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย เพราะทำให้ผิวชุ่มชื่น และดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ เพราะในแครอทชุ่มช่ำไปด้วยน้ำ เมื่อคุณทานเข้าไปก็เท่ากับว่าร่างกายได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำและสารอาหารของแครอทยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงเส้นผมด้วย

7. เสริมความแข็งแรงของฟัน

          แครอทไม่ได้มีประโยชน์แค่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคุณเท่านั้น เพราะยังช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของอวัยวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยในระหว่างที่คุณกำลังกัด ขบ เคี้ยวแครอท ถือเป็นการเสริมสร้างสุขภาพฟันให้ดีขึ้นด้วย ฉะนั้นในแต่ละมื้ออย่าลืมหยิบแครอทมาเคี้ยวกันด้วยนะ

8. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับภูมิคุ้มกัน

          อีกหนึ่งประโยชน์ที่ร่างกายของคุณจะได้รับจากแครอทนั่นก็คือ การมีภุมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง ทั้งนี้เป็นเพราะแครอทมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะกินแครอทแบบดิบ ๆ หรือผ่านการปรุงสุกมาแล้วก็ตาม

9. มีฤทธิ์ขับพยาธิ

          สำหรับคนที่ต้องการขับพยาธิ ยาถ่ายอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป เพราะแครอทมีฤทธิ์ช่วยในการขับถ่ายพยาธิได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาที่ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายด้วย รับรองเลยว่าเป็นยาที่ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่าลืมหามาทานกันนะ

10. ของว่างเพื่อสุขภาพ

          ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เหมือนกัน เช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย

          เพราะมีประโยชน์มากมายหลากหลายแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้แครอทเป็นผักยอดนิยมของผู้คนมากมาย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลองทานหรือไม่ชอบทานแครอท ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสักหน่อย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

http://men.kapook.com/view53643.html (http://men.kapook.com/view53643.html)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 15, 2013, 06:32:41 am
คุณประโยชน์จากบลูเบอร์รีที่คุณอาจไม่เคยรู้
-http://men.kapook.com/view54183.html-

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999988/blue%20(1).jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          บลูเบอร์รี ผลไม้สีม่วงเข้มขนาดจิ๋ว ที่แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่าง ๆ เพราะภายในอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนมาก นอกจากนี้บลูเบอร์รีนั้นยังมาพร้อมกับรสชาติหวานนุ่มและกลิ่นหอมเย้ายวนใจอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผลไม้ชนิดนี้เป็นที่โปรดปรานของใครหลาย ๆ คน แม้กระทั่งผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็ยังแอบติดใจในรสชาติของมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยทาน และไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ถ้างั้นมาดูเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับบลูเบอร์รีที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้ดูก่อนดีกว่าครับ แล้วคุณอาจต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของมัน

 1. อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์

          ในผลบลูเบอร์รีเต็มไปด้วยวิตามินเอ บี ซี และอี นอกจานี้ยังมีสารทองแดง สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระอีกมากมาย ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกาย และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังช่วยฟื้นฟูและสร้างเซลล์ในสมอง รวมทั้งระบบประสาทตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์มาก ๆ เลย

2. แหล่งของธาตุแมงกานีสชั้นดี

          นอกจากแคลเซียมแล้ว แมงกานีสที่อยู่ในบลูเบอร์รียังเป็นอีกหนึ่งสารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนสารอาหารต่าง ๆ ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เป็นพลังงานด้วย รับรองเลยว่าบลูเบอร์รีช่วยให้ฝันของคนอยากผอมได้กลายเป็นจริงแน่ ๆ เพียงแค่นำบลูเบอร์รีมารับประทานแทนของหวานทั้งหลายเท่านั้นเอง

3. เต็มไปด้วยไฟเบอร์ชั้นยอด

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบทานผักต่าง ๆ ควรจะหันมาทานบลูเบอร์รีให้ได้อย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน เพราะผลไม้ชนิดนี้จะให้ไฟเบอร์ตามที่ร่างกายต้องการเลย ที่สำคัญไฟเบอร์จากผลบลูเบอร์รียังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งทำให้หัวใจของคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายอื่น ๆ ด้วย


4. ไร้ไขมัน

          บลูเบอร์รีนอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นกับร่างกายแล้ว ยังเป็นอาหารที่ปราศจากไขมันด้วย ดังนั้นคุณสามารถหยิบขึ้นมาทานได้ทุกเวลาที่ต้องการเลย ไม่เพียงเท่านั้นบลูเบอร์รียังมีส่วนในการช่วยลดไขมันส่วนเกิน และรักษาระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกายด้วย หากใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ ก็อย่าลืมหยิบมาทานกันเยอะ ๆ นะ

5. ต่อต้านเหล่าแบคทีเรีย

          นอกจากจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบต่าง ๆ แล้ว บลูเบอร์รียังมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย โดยเฉพาะป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ผลไม้สีม่วงชนิดนี้ยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายของคุณได้อีกต่างหาก

6. ป้องกันมะเร็ง

          ในผลบลูเบอร์รีประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อันได้แก่ กรด Pterostilbene และกรด Ellagic หนึ่งในสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการทำลายผนังเซลล์ในร่างกาย และป้องกันการก่อตัวของเนื้อร้าย ที่เป็นจุดกำเนิดของมะเร็งด้วย โดยเฉพาะบริเวณตับและลำไส้ของคุณ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ชอบทานบลูเบอร์รีเป็นประจำ ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งให้ลดน้อยลงด้วย

          ทีนี้ก็ได้รู้ถึงความอัศจรรย์ของผลไม้จิ๋วแต่แจ๋วอย่างบลูเบอร์รีกันไปแล้ว ถ้าคุณหนุ่ม ๆ อยากมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และต้องการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ดีขึ้น อย่าลืมหาบลูเบอร์รีมาทานกันนะครับ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2013, 10:19:55 am
กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์!
-http://www.dailynews.co.th/healthy/178904-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/178904.jpg)
โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่คุ้นเคย อาจไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างที่เข้าใจ รีบมารู้ของดีจริงต้องเป็นแบบไหน




คลับสุขภาพศุกร์นี้มาเติมสิ่งดีๆ ให้กับกระเพาะอาหารและสำไส้ หลายคนอาจทราบว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เป็นอาหารอีกชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ทุกชนิดที่ทานแล้วได้ประโยชน์จริงๆ

โยเกิร์ต (Yoghurt) และนมเปรี้ยว (Drinking yoghurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด หรือนมพร่องมันเนย โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส และสเตรปโตคอคคัส เป็นหลัก ใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ จากนั้นแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค จนมีภาวะกรด และมีรสเปรี้ยว โดยความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 3.8-4.6 หลังนำแบคทีเรียข้างต้นไปหมักกับนมก็จะได้เป็นนมเปรี้ยว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น ‘นมเปรี้ยว’ ที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยว ที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า ‘โยเกิร์ต’ นั่นเองค่ะ

โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ที่ผลิตจากนมโค อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่ากับนมโคสด และในบางตำรายังกล่าวว่า ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า

สำหรับโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่กำลังจะกล่าวถึง เพราะจุดประสงค์ของการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ถูกต้อง คือ ทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก (ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม) เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ

ส่วนโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราซื้อหากันในท้องตลาด ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้วยซ้ำ เพราะนำไปฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงและนำมาบรรจุกล่อง ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมากกว่านะคะ แถมบางชนิดใส่น้ำตาลมากไปจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจริงๆ หรือไม่ และบางชนิดมีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลือจนอยู่น้อยมาก

ดังนั้นโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ดี ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน กลิ่น รสสังเคราะห์ เพราะทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวรสธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อยกันค่ะ

มาดูกันต่อนะคะว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร...

1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม ที่ชื่อ เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน

2.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ โดยกรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา, อี โคไล, โคลินแบคทีเรีย ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราจึงควรทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3.เป็นแหล่งวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังช่วยสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเค ในลำไส้

4.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว

5.ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6.เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีโปรตีนมากกว่าในนม ร้อยละ20 และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้ดี

7.ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะแลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8.ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง ทั้งยังสามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงต้องรีบไปหาโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว ที่มีคุณสมบัติดีๆ มาติดตู้เย็นกันแล้วใช่ไหมคะ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เพื่อร่างกายของเรา และคนที่เรารักให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันเถอะค่ะ อย่าลืมค่ะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.

"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy

อ้างอิงบางส่วนจาก www.goodhealth.co.th (http://www.goodhealth.co.th)


.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2013, 09:44:56 am
ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน
-http://men.kapook.com/view56167.html-

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20(6).jpg)..



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          โรคหัวใจ ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ หรือเรื่องไกลตัวแม้แต่น้อย เพราะมันคร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้ว และสักวันอาจเป็นตัวคุณเองหรือคนที่คุณรักก็ได้ แม้คุณจะบอกว่าเป็นหนุ่มที่ชอบออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจแล้วก็ตาม แต่ก็เห็นแล้วว่าบรรดานักกีฬามืออาชีพหลาย ๆ คน ต้องจบชีวิตโรคด้วยโรคหัวใจ ซึ่งถ้าไม่อยากให้โรคหัวใจมาทำร้ายคนสำคัญในชีวิตคุณ ก็ควรดูแลตัวเองและเพื่อน ๆ ให้ดี ด้วยการเลี่ยงอาหารต้องห้าม สาเหตุของโรคหัวใจเหล่านี้ดู

ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20%281%29.jpg)

 1. ของทอด

          แม้ว่าพวกของทอดรสเข้มข้นกินได้ไม่รู้เบื่อ จะอร่อยจนหลาย ๆ คนติดใจเอามากินไปพลางดูหนังเรื่องโปรดไปพลางกันอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าต้องการดูแลระบบหัวใจ ก็ควรหักห้ามใจตัวเองจากของพวกนี้บ้างเถอะนะ เพราะมันมีโซเดียมค่อนข้างมาก ที่จะส่งผลให้ความดันของคุณพุ่งสูงขึ้นได้ง่าย ๆ จนกลายเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคหัวใจได้เลยล่ะ

ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20%282%29.jpg)

2. เนื้อแดง

          ช่วงนี้คนรักการกินเนื้อคงต้องลด ๆ การกินเนื้อแล้วหันไปบริโภคผักหรือเนื้อปลาแทนไปก่อนซะแล้ว เพราะเนื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่จะส่งผลให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจมีไขมันอุดตันได้ นอกจากนี้พวกสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเวลาคุณย่างสเต็กยังส่งผลกระทบต่อหัวใจอีกต่างหาก

ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20%283%29.jpg)

3. ขนมปังขาว

          ถึงแม้ว่ากากใยอาหารในขนมปัง จะช่วยเรื่องระบบการทำงานของหัวใจได้ดี แต่น้ำตาลที่อยู่ในขนมปังพวกนี้ก็สูงมากพอที่จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเอาได้ ซึ่งขนมปังขาวนั้นมีกากใยและสารอาหารเพียงน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยน้ำตาลมากมาย ที่พอกินเข้าไปแล้ว ก็จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว คุณจึงควรเลี่ยงของพวกนี้เอาไว้ดีกว่า

ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20%284%29.jpg)

4. อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน

          นอกจากของพวกนี้จะเป็นตัวการทำลายหุ่นสุดเฟิร์มของคุณแล้ว ยังสร้างความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจให้เพิ่มขึ้นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งบางทีหลาย ๆ คนก็รู้ดีถึงจุดนี้อยู่แล้ว แต่เผลอไม่ได้เป็นต้องหยิบของที่อุดมไปด้วยไขมันอย่างพิซซ่าเข้าปากอยู่ดี เพราะรสชาติมันแสนจะยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน ดังนั้นควรเลี่ยงไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการไม่เก็บของพวกนี้ไว้ในบ้าน แต่ซื้อผลไม้มาติดตู้เย็นแก้หิวแทนก็แล้วกัน

ห่างไกลโรคหัวใจได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกิน

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999987/heart%20%285%29.jpg)

5. แอลกอฮอลล์

          ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ่อย ๆ แนะนำให้เพลา ๆ ลงเสียบ้าง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายไม่ได้แค่ทำลายตับของคุณเท่านั้นหรอกนะ แต่มันส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณด้วย โดยมันจะไปกระตุ้นไตรกลีเซอไรด์เพิ่มไขมันในกระแสเลือด ส่งผลให้การส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจติดขัด อีกอย่างสาว ๆ เขาก็ไม่ชอบผู้ชายขี้เมากันนักหรอก รู้แบบนี้แล้วก็ลด ๆ เสียบ้างเถอะ

          ทั้งนี้ใช่ว่าคุณจะต้องตัดขาดจากของอร่อยเสียเมื่อไหร่ เพราะพวกผักผลไม้และเนื้อปลา หากปรุงดี ๆ แล้ว ก็มีเมนูที่ทั้งอร่อยและดีกับสุขภาพได้เหมือนกัน ยังไงก็ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันดูนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ มีนาคม 10, 2013, 07:25:45 pm
แก่นตะวัน สุดยอดพืชมหัศจรรย์สารพัดประโยชน์




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Spras77

          ไม่ใช่แค่คนที่ชอบปลูกต้นไม้ หรือสนใจสมุนไพรเพียงเท่านั้นจะรู้จัก "ต้นแก่นตะวัน" เพราะปัจจุบันนี้ "แก่นตะวัน" กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ เราไปดูกันซิว่า "แก่นตะวัน" เป็นพืชประเภทไหน และความมหัศจรรย์ของ "แก่นตะวัน" มีอะไรบ้าง

          สำหรับ "แก่นตะวัน" นั้น เรียกได้หลายชื่อทั้ง "ทานตะวันหัว" และ "แห้วบัวตอง" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก (Jerusalem artichoke) บางทีก็เรียกว่า ซันโช้ก (sunchoke) ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์คือ Helianthus tuberosus L. เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน ซึ่งมีต้นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศแคนาดา และตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ จึงสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาวอย่างทวีปยุโรป ทำให้ต้น "แก่นตะวัน" เป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ภูมิภาค





          โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม

          นั่นก็เพราะที่ส่วนหัวของ "แก่นตะวัน" จะมีสารอินนูลิน (Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี

          และถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โคลิฟอร์ม (Coliforms) และ อี.โคไล (E.Coli) ในขณะเดียวกัน "แก่นตะวัน" ก็จะไปเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น





          นอกจากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ทดลองวิจัยให้หนูทานอาหารผสมอินนูลินนาน 3 สัปดาห์ และพบว่า น้ำหนักตัวของหนูลดลงจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่งหากคนรับประทานแก่นตะวันซึ่งมีอินนูลินสูงเข้าไป ก็จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเส้นใยอินนูลินได้ ทำให้สารดังกล่าวตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารหลายชั่วโมง จึงทำให้ผู้รับประทาน "แก่นตะวัน" เข้าไป ไม่รู้สึกหิว และทานอาหารได้น้อยลงนั่นเอง

          ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ เพราะ "แก่นตะวัน" มีแคลอรีต่ำ และไม่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ทานอินนูลินจะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ทานน้ำตาลถึง 40% เลยทีเดียว

สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ของ "แก่นตะวัน" ก็มีอย่างเช่น

           ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย
           ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
           แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก
           ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
           ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
           ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
           ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
           กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก

               ฯลฯ




เมนูจานเด็ดจากแก่นตะวัน


          เห็นสรรพคุณของ "แก่นตะวัน" มากมายขนาดนี้แล้ว ก็คงอยากจะลองรับประทานกันบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ โดยเราสามารถทาน "แก่นตะวัน" ได้ทั้งแบบสด ๆ เหมือนกับผักสลัดทั่ว ๆ ไป รสชาติจะออกคล้าย ๆ แห้วและมันแกว หรือจะนำไปปรุงสุกเป็นอาหารหลากหลายเมนูก็ย่อมได้ หรือหากใครจะลองนำหัวแก่นตะวันไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปอบ ป่นเป็นผงเล็ก ๆ ไปผสมกับแป้งทำขนม คุ้กกี้ ก็จะได้ขนมรสอร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และมีปริมาณอินนูลินจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพด้วย

          และนอกจาก "แก่นตะวัน" จะเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงแล้วแล้ว ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ในด้านพลังงานทางเลือกอีก โดยหากนำหัวสดแก่นตะวัน 1 ตัน ไปหมักด้วยเชื้อยีสต์ จะได้แอลกอฮอล์ไปกลั่นเป็นเอทานอลที่บริสุทธิ์ 99.5% ได้ถึง 100 ลิตร ซึ่งมากกว่าอ้อย 1 ตัน ที่จะให้ปริมาณเอทานอลเพียง 75 ลิตร ดังนั้นแล้ว หากมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการหมัก และกรรมวิธีต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เชื่อได้เลยว่า "แก่นตะวัน" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในไม่ช้า

          แหม...ประโยชน์ครบเซ็ตอย่างนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนทั่วโลกถึงยกให้ "แก่นตะวัน" เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์จริง ๆ


  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
  คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ 
ขอบคุณที่มาจาก
http://health.kapook.com/view30578.html (http://health.kapook.com/view30578.html)






หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2013, 09:51:38 pm
ความมหัศจรรย์ของน้ำมะพร้าว

-http://campus.sanook.com/962317/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-

ว่ากันว่าน้ำมะพร้าวถือว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่สุด เพราะนอกจากในลูกมะพร้าวจะมีน้ำหอมๆแล้ว ยังมีเนื้อมะพร้าวอีกด้วย ทำไมมะพร้าวถึงมหัศจรรย์ขนาดนี้ค่ะเนี้ย


เชื่อกันว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุด ก็เพราะว่ากว่าจะได้น้ำมะพร้าวนั้น รากต้องดูดน้ำและสารอาหารจากดินผ่านการกลั่นกรอง ผ่านชั้นของเนื้อเหยื่อ และเซลล์ต่างๆของเนื้อไม้ หลายต่อหลายชั้น จนขึ้นไปสู่ยอดมะพร้าวและซึมซับไปลูกมะพร้าวส่งผลให้ลูกมะพร้าวหนึ่งลูกเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารมากมายและมีความสะอาด บริสุทธิ์ ไร้สิ่งเจือป่นค่ะ น้ำมะพร้าวจึงเป็นเครื่องดื่มที่ให้เกลือแร่ได้อย่างมากมายค่ะ เนื่องมาจากอุดมไปด้วยโพเเทสเซียมและสารละลายไอโซโทนิก ทั้งยังเป็นน้ำชนิดเดียวที่สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำเพื่อทดแทนการขาดน้ำได้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 02, 2013, 08:19:29 am
ขนุน
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/208379-



ขนุนเป็นไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซน ติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า “ส่า” มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นหนามแหลม ออกดอกปีละ 2 ครั้ง ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่

ยวง เมล็ด แก่นของขนุน ส่าแห้งของขนุน ใบยวงและเมล็ด รับประทานเป็นอาหาร เมื่อครั้งอดีตคนไทยนำแก่นของขนุน ต้มย้อมผ้าให้สีน้ำตาลแก่ นำส่าแห้งของขนุนมาทำชุดจุดไฟ แก่นขนุน จะมีรสหวานชุ่มขม บำรุงกำลังและโลหิต ทำให้เลือดเย็น ใบนำมาเผาให้เป็นถ่านผสมกับน้ำปูนใสหยอดหู แก้ปวดหู และหูเป็นน้ำหนวก ไส้ในของขนุนรับประทานแก้ตกเลือดทางทวารเบาของสตรีที่มากไปให้หยุดได้ แก่นและเนื้อไม้ รับประทานแก้กามโรค.


-------------------------------------------------------------------------


แคดอกแดง
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/208092-




แคดอกแดงเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-6 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา ขรุขระแตกเป็นสะเก็ด ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีขอบขนาน กว้าง 1-1.5 ซม.  ยาว 3-4 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ  สีเขียว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ 2-4 ดอก ดอกสีแดง มีกลิ่นหอม ก้านเกสรเพศผู้สีขาว 60 อัน ผล เป็นฝัก ยาว 8-15 ซม. ฝักแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดกลมแป้น สีน้ำตาล มีหลายเมล็ด

เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรไทย โดยเปลือกต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ ใช้ชะล้างบาดแผล ดอกและใบ รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู ชาวอินเดีย ใช้สูดดมน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรคริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้ ใบสด ทำให้ระบาย นำมาตำละเอียดพอกแก้ช้ำชอก.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 07, 2013, 06:28:34 am
ทำไม “ปลาสลิด” ไม่มีหัว
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000068014-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2685706)

  หลายคนคงเคยสงสัยเหมือนๆ กับ “108 เคล็ดกิน” ว่า ปลาสลิดตากแห้งที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น ทำไมจึงไม่เคยมีหัวให้เราเห็นเลย ตั้งแต่เกิดมาปลาสลิดเคยมีหัวหรือไม่ ถ้ามีหัวแล้วทำไมต้องตัดออก หรือว่าหน้าตาของปลาสลิดนั้นขี้เหร่จนทนดูไม่ได้ ด้วยความสงสัยก็เลยต้องไปหาคำตอบมาคลายข้อข้องใจ
       
       เริ่มกันตั้งแต่ปลาสลิดนั้นเป็นปลาน้ำจืด รูปร่างหน้าตาก็คล้ายกับปลากระดี่หม้อ ตัวสีเขียวมะกอกหรือสีน้ำตาลคล้ำ มีแถบยาวตามลำตัว และก็มีหัวเหมือนปลาทั่วๆ ไป
       
       ด้วยเหตุที่เป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย และนิยมนำมาแปรรูปเป็นปลาเค็ม หรือปลาสลิดตากแห้งแบบที่เรารู้จักกันดี ก็เป็นที่มาของการที่จะต้องตัดหัวปลาสลิดออก เนื่องจากปลาสลิดนั้นเป็นปลาที่มีมันมาก โดยเฉพาะในส่วนท้องหรือพุงปลา ซึ่งก่อนจะนำมาคลุกเคล้าเกลือเพื่อแปรรูปนั้น จะต้องควักไส้ควักพุง ตัดหัวออก เพื่อเวลาตากแดดแล้วปลาจะได้แห้งสนิท ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
       
       อีกส่วนก็เพื่อให้เกลือที่คลุกเคล้าตัวปลานั้นซึมซาบเข้าสู่เนื้อปลาได้ทั่วทั้งตัว มีความเค็มเท่าๆ กันทั้งตัว เมื่อนำหัวและพุงปลาออกแล้ว เกลือก็จะเข้าไปแทนที่ เป็นการยับยั้งแบคทีเรียที่จะทำให้ปลาเน่า และเมื่อนำไปตากแดดให้แห้งสนิทแล้ว ก็จะช่วยถนอมอายุของปลาสลิดให้สามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น
       
       ส่วนปลาสลิดที่มีชื่อเสียงที่รู้จักกันทั่วก็คงจะเป็น “ปลาสลิดบางบ่อ” ใน อ.บางบ่อ และ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดขนาดใหญ่ในอดีต ปลาสลิดที่ได้มีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่นๆ และยังมีที่ ต.ดอนกำยาน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี อีกแห่งหนึ่ง ที่ในอดีตเป็นพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดเช่นกัน แต่ในปัจจุบันนี้ แหล่งที่มีการเลี้ยงปลาสลิดมากที่สุดอยู่ในพื้นที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร จนกระทั่งมีการจัดเทศกาลกินปลาสลิดขึ้นในทุกๆ ปี
       


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2013, 07:50:49 am
“มังคุด” สุดยอดความอร่อย ราชินีแห่งผลไม้ไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มิถุนายน 2556 16:58 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071388-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2694649)
(ภาพ : http://www.thaikasetsart.com (http://www.thaikasetsart.com))


       จะเห็นว่าในช่วงนี้มีผลไม้มากมายหลายชนิดออกผลผลิตมาให้เราๆ ท่านๆ ได้ชิมกันอย่างมากมาย แต่ผลผลิตที่ออกมาพร้อมๆ กันนั้นก็จะทำให้ราคาของผลไม้ชนิดนั้นตกต่ำ จนชาวสวนหรือเกษตรกรแทบจะขาดทุนกันเลยทีเดียว อย่างล่าสุด “108 เคล็ดกิน” ก็เพิ่งดูข่าวชาวสวนมังคุดออกมาชุมนุมกันให้ได้รู้ถึงราคาที่ตกต่ำอย่างมาก
       
       เห็นแบบนี้แล้ว เราก็น่าจะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไทย ด้วยการช่วยกันบริโภคมังคุดกันให้มากๆ หน่อย และสำหรับคุณค่าที่ได้จากมังคุดนั้นก็มีล้นเหลือ เรียกว่านอกจากจะได้ช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว ก็ยังเป็นการบำรุงร่างกายของเราอีกด้วย
       
       ทีนี้มาดูกันหน่อยว่า “มังคุด” ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีของผลไม้ไทยนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ตามภูมิปัญญาไทยนั้น เปลือกของมังคุดนำมาใช้รักษาอาการท้องเสีย แก้บิด ช่วยสมานแผล รักษาแผลพุพองและน้ำกัดเท้า รักษาโรคผิวหนัง
       
       ส่วนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระ โดยการเปรียบเทียบระหว่างน้ำมังคุดกับน้ำผลไม้อื่นๆ พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
       
       ในเปลือกมังคุดมีการวิจัยพบสารแทนนินที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ สมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผล ฝี และหนอง สามารถนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางในการสมานผิว และสารแทนนินยังสามารถนำมาใช้เป็นสารกันบูดในอาหารได้อีกด้วย
       
       และประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมังคุดก็คือ ความหวานอร่อยถูกใจนี่เอง


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071388 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071388)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2013, 01:56:46 pm

มะตูมไทย - เรื่องน่ารู้



มะตูมไทย - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/211367-
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/211367.jpg)

มะตูมไทยเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง 6-10 ม. โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามยาวแข็ง ๆ ทั่วไป เปลือกนอกสีเทาอมขาว เปลือกใน สีเหลือง เรือนยอด รูปเจดีย์ ต่ำหรือรูปไข่ ใบประกอบ ติดเรียงสลับ มีใบย่อยรูปไข่ 3 ใบ สองใบล่างมีขนาดเล็กและติดตรงข้ามกัน ส่วนใบปลายมีขนาดใหญ่ เนื้อใบบางเกลี้ยง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีจาง ผิวเกลี้ยง ใบอ่อน สีเขียวอ่อนใส ๆ ใบแก่ เขียวหม่น ๆ ดอกเล็ก ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ บริเวณปุ่มปมตามกิ่ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ สีดอกขาวอมเขียวหรือสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม ผล รูปไข่ถึงค่อนข้างกลมป้อม เปลือกสีเขียวอ่อนถึงเหลือง ผิวเรียบและแข็งมาก ภายในมีเนื้อเยื่อสีส้มที่มียางเหนียว ๆ เมล็ดรูปรี และแบน เมล็ดจำนวนมาก

รากรสฝาดปร่าซ่าขื่นเล็กน้อย แก้พิษฝี แก้พิษไข้ แก้สติเผลอ รักษาน้ำดี แก้หืดหอบไอ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ลมอัดแน่นในอก แก้มุตกิต มุตฆาต แก้เสมหะ แก้ดี แก้ปวดหัวตาลาย แก้สะอึก เปลือกราก แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ เปลือกต้น แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ แก้ลงท้อง แก้พยาธิ แก้บิด แก้ฝีเปื่อยพัง แก้บวม แก้ตกโลหิต แก่น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ใบ รสฝาดปร่าซ่าขื่นมัน แก้ตาเจ็บ แก้เยื่อตาอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้หวัด แก้เลือดเป็นพิษ แก้ไข้ แก้หืด แก้เสมหะเหนียว แก้บวม แก้ลงท้อง ผล แก้ลม แก้เสมหะ แก้โลหิต ขับหนอง แก้สะอึก แก้กระหายน้ำ ขับผายลม ขับเสมหะ หนาม แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ.


------------------------------------------------------------------------------------


หมากเม่าภูพาน - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/211613-


(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/211613.jpg)

เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ 12-15 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน ในผลดิบสีเขียวอ่อน นำมาประกอบอาหารได้ ผลแก่สีแดงมีรสเปรี้ยว ส่วนผลแก่จัดสีดำม่วง จะมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผลไม้สด ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายและบำรุงสายตา ใบสดนำมาอังไฟเพื่อใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำ

ดำเขียว เปลือกต้นหมากเม่าใช้เป็นส่วนประกอบของลูกประคบ ผลหมากเม่าสุกมีกรดอะมิโน 18 ชนิด แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 1 บี 2  ซี และ อี ผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่น น้ำผลไม้ ไวน์หมากเม่า แยมกวน สีธรรมชาติผสมอาหาร ฯลฯ น้ำหมากเม่าสกัดเข้มข้น 100% มีสารอาหาร วิตามินหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไวน์หมากเม่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 17, 2013, 10:06:59 pm
ความจริงของปลาดอรี่ ที่คนยังไม่รู้อาจต้องอึ้ง !
-http://hilight.kapook.com/view/87368-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/patcharin/Food/dorysteak.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ถ้าใครชอบกินปลาแล้วยังชอบเข้าร้านสเต็กด้วยล่ะก็ คงต้องเคยสั่ง "สเต็กปลาดอรี่" มาทานกันแน่เลย แหม...แค่ฟังชื่อ "ปลาดอรี่" ก็ดูเป็นอาหารจานหรูขึ้นมาแล้วเนอะ แถมพอตักเข้าปากก็ยังสัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่ม หวาน อร่อย หอมกลิ่นเนยและเครื่องเทศสุด ๆ จนกลายเป็นสเต็กจานโปรดของใครหลายคนเลยใช่มะ พูดแล้วก็หิววว ><

            แต่วันนี้เรามีความลับของเจ้าปลาชื่อแปลกนี้ที่ถูกนำมาแล่ขายมาบอกกัน เชื่อว่าหลายคนคงพอรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าใครยังไม่รู้เคยรู้ก็เร่เข้ามาฟังความจริงชัด ๆ เกี่ยวกับปลาดอรี่ที่ชวนอึ้งกันเลยดีกว่า

            พูดถึง "ปลาดอรี่" แล้ว ลองไปค้นข้อมูลดูก็พบว่า เป็นปลาที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "จอห์น ดอรี่" (John Dory) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zenopsis conchifera อาศัยอยู่ในทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นปลาตัวกลม ๆ อ้วน ๆ

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/patcharin/ETC/johndoryfish.jpg)

ปลาจอห์น ดอรี่


            แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ปลาจอห์น ดอรี่ จากทะเลลึกในแดนไกลนี้ เป็นคนละชนิดกับสเต็กปลาดอรี่ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา แม้เวลาที่เราไปหาซื้อปลาดอรี่แล่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะเห็นถุงบรรจุเขียนว่า "ปลาดอรี่" หรือ "แพนกาเซียส" แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นคนละตัวกับปลาจอห์น ดอรี่

              อ้าว ! แล้วปลาดอรี่ที่เราซื้อมาทำสเต็กทาน จริง ๆ มันคือปลาอะไรกันแน่ล่ะ? คำตอบก็คือ ปลาสวายประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Pangasius hypophthalmus" ซึ่งปลาตระกูล "Pangasius" จะมีอีกชื่อหนึ่งว่า "Cream dory" เมื่อเห็นชื่อ ดอรี่ เหมือนกัน คนก็เลยเข้าใจว่าเป็นปลาจอห์น ดอรี่ ของแท้

              แล้วก็ไม่ต้องสงสัยไปว่า ถ้าเป็นปลาสวาย ทำไมถึงมีเนื้อสีขาว ต่างจากปลาสวายของไทยที่เนื้อจะออกเหลือง ๆ หน่อย นั่นเพราะปลาสวายที่นำมาแล่ขายโดยใช้ชื่อว่าปลาดอรี่นั้นน่ะ นำเข้ามาจากฟาร์มเลี้ยงในเวียดนาม โดยปลาชนิดนี้ปกติจะอาศัยอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจะเรียกว่า "ปลาเผาะ" รูปร่างหน้าตาเหมือนกับปลาสวายเลย ต่างกันตรงที่มีเนื้อสีขาวเท่านั้น


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/patcharin/ETC/swai.jpg)
ปลาสวาย


            และเมื่อปลาสวายจากเวียดนามถูกส่งไปยังขายยังต่างประเทศ ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เขาก็จะเขียนระบุไว้บนถุงบรรจุเลยว่า "Swai" แถมยังระบุไว้ด้วยว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มส่งตรงมาจากเวียดนามด้วย ต่างกับที่วางขายในประเทศไทยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ แต่กลับบอกเป็นปลาแพนกาเซียสบ้างล่ะ เป็นปลาดอรี่บ้างล่ะ ซึ่งจริง ๆ ควรใช้คำว่า "ปลาครีม ดอรี่" มากกว่า เพราะปลาดอรี่นั้นจะหมายถึงปลาจอห์น ดอรี่ ซึ่งเป็นคนละตัวกัน

            เมื่อปลาสวายธรรมดา ๆ ถูกอัพเกรดให้กลายเป็นปลาดอรี่ของต่างประเทศไปซะงั้น ก็เลยเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลาสวายไปในตัว เพราะเข้าใจว่าเป็นปลาชนิดเดียวกับปลาจอห์น ดอรี่ นั่นเอง เพราะแบบนี้แหละ สเต็กปลาดอรี่จึงกลายเป็นอาหารหรูเลิศ แถมแพงเสียด้วย

            ได้รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว อึ้ง ! กันไหมจ๊ะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 17, 2013, 10:39:53 pm

เครื่องดื่มบำรุงกระดูก

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81/-

(http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81/)


เรื่องปวดหลัง ‘กินดี’ เตรียม สูตรเครื่องดื่มบำรุงกระดูกมาให้คุณผู้อ่านลองนำไปผสมดื่มด้วยตนเอง เพราะสารอาหารจากผักและผลไม้ที่รวมอยู่ในเครื่องดื่มมากคุณประโยชน์แก้วนี้ ได้จาก ‘บร็อกโคลี’ ที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต สารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ‘แอปเปิ้ลเขียว’ ช่วย ลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และ บี6 ทั้งยังมีกรดมาลิก แทนนิก เส้นใบเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหาร-ลำไส้ และช่วยลดไข้ บรรเทาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ

นอกจากนี้ยังมี ‘คะน้า’ สรรพคุณช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะมีวิตามินบี2 ขณะที่ ‘ผักชีฝรั่ง’ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เมื่อเกิดแผลยังช่วยให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว ส่วน ‘ขึ้นฉ่าย’ เป็นผักที่ช่วยบำรุงตับ แก้ร้อนในและความดันโลหิตได้

ส่วนผสมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น จะต้องเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้
-บร็อกโคลี 1 ถ้วย
-ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย
-คะน้า 1/2 ถ้วย
-แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย
-ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วย
-น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

สำหรับ ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่มบำรุงกระดูก เริ่มจากล้างผักและผลไม้ทั้งหมดให้สะอาด นำบร็อกโคลีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ซอยผักชีฝรั่งและขึ้นฉ่ายจนละเอียด ส่วนคะน้านำไปบุบพอแตกแล้วจึงไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ แล้วพักไว้

หัน ไปหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า และนำไปปั่นรวมกันกับส่วนผสมที่สกัดเตรียมไว้ด้วยเครื่องปั่น สามารถเติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่นแล้วดื่มได้ทันที หากน้ำผักและผลไม้มีลักษณะข้นเกินไป ให้เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยเจือจาง

ที่มาข้อมูลและภาพ blogspot.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2013, 09:34:33 pm

อัลมอนด์และน้ำผึ้ง แก้เจ็บคอ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87_%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_271449__11062013113225.jpg)

อาการเจ็บคอมาเยี่ยมเราได้บ่อย ๆ เช่น ตอนเป็นไข้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการเจ็บคอยังเป็นสัญญาณเตือนที่บอกให้เรารู้ว่า ร่างกายมีท็อกซินเกินขีดกำจัด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บคอที่ทำให้คอมีอาการบวมแดง ไปจนถึงทำให้ทอนซินอักเสบ สิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ หันกลับมากินอาหารสุขภาพโดยด่วน

 
          นอกจากการดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษและพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ลองนำของกินเล่นบางอย่างมาทำเป็นยาตำราที่นำมาฝากวันนี้ดูเสียเลย

          ของกินเล่นที่ว่านี้ก็คือ "อัลมอนด์อบ" กลิ่นหอม รสมัน ที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นทั้งหลาย เพราะอัลมอนด์มีสรรพคุณช่วยเยียวยาอาการอักเสบบวมได้ กินกับ "น้ำผึ้ง" ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อด้วย

          วิธีทำคือ ให้นำอัลมอนด์มาบดหยาบ ๆ ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักกินให้หมด นอกจากอร่อยแล้ว อาการเจ็บคอก็จะหายในเร็ววัน

          หากรู้จักเลือก ของขบเคี้ยวจากธรมชาติก็ใช้เป็นยาได้

ข้อมูลจาก ::  ชีวจิต


ที่มาข้อมูลและภาพ kroobannok.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 23, 2013, 07:45:25 am
มะนาวพืชสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213536-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/213536.jpg)

ข้อมูลทางวิชาการจากมหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ได้ระบุถึงประโยชน์ของมะนาว ว่า มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายหลายโรคด้วยกัน โดยเฉพาะประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีมากมาย อาทิ แก้ไอออกเลือด ใช้โดยนำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ แก้เสียงแหบแห้ง ด้วยการผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน เสียงจะไม่แหบแห้ง หรือก้างปลาติดคอแก้โดยเอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ หรือแก้ไข้ โดยนำใบมะนาวมาหั่นฝอย ๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคเป็นต้น

และคนไทยในชนบทเมื่อครั้งอดีตจะใช้มะนาวบรรเทาพิษงูเมื่อถูกงูกัด โดยกินน้ำมะนาว ขนาดผลโตสัก 1 ผล ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำมะนาวจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล็กน้อย ซึ่งเชื่อกันว่าพิษงูเริ่มหมดฤทธิ์ แต่ปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ เนื่องจากระบบการรักษาพยาบาลมีความก้าวหน้าและสามารถเข้าถึงชุมชนได้ค่อนข้างกว้างขวางและรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครั้งอดีต ผู้ถูกงูกัดจึงถูกส่งถึงโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที.



.

มะตูมซาอุ - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/213315-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/213315.jpg)

มะตูมซาอุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ใต้แถบประเทศบราซิล อาร์เจนตินาและปารากวัย เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 10 เมตร มีกิ่งก้านมากจนมองไม่เห็นลำต้น ใบอ่อนมีสีแดง ขอบใบมีลักษณะเป็นหนาม ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกกันคนละต้น ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ สีขาว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน ออกดอกได้ทั้งปี แต่พบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผลเมื่ออ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ทั้งปี จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ผลเมื่อแก่จัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายพริกไทย ชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย

มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สารสกัดของมะตูมซาอุช่วยลดการอักเสบ ควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยรักษาโรคความดันต่ำ แก้ท้องผูก กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อและรักษาบาดแผลลดอาการปวด ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดอาการซึมเศร้า ลดอาการชักกระตุก ทำลายเชื้อไวรัส กระตุ้นการย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ ขับเสมหะและกระตุ้นการขับประจำเดือน.

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 23, 2013, 09:37:27 pm
Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12
-http://www.youtube.com/watch?v=tvezSN72XiU-

Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12 (http://www.youtube.com/watch?v=tvezSN72XiU#)

Sponge - ปลาดิบปลอม 19Apr12 (http://www.youtube.com/watch?v=tvezSN72XiU#)

โพสต์โดย LadyBimbettes

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 29, 2013, 11:12:28 pm
กล้วยน้ำว้าในทางสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214520-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/214520.jpg)

กล้วยน้ำว้าเป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีดำ ในทางสมุนไพรไทยใช้ราก  แก้ขัดเบา ต้น ใช้ห้ามเลือด แก้โรคไส้เลื่อน ใบ ใช้รักษาแผลสุนัขกัด ห้ามเลือด ยางจากใบ ใช้ห้ามเลือด สมานแผล ผล ใช้ รักษาโรคกระเพาะ แก้ท้องเสีย ยาอายุวัฒนะ แก้โรคบิด รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ริดสีดวง กล้วยน้ำว้าดิบ  มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเดิน แก้โรคกระเพาะ และอาหารไม่ย่อย กล้วยน้ำว้าสุกงอม ใช้เป็นอาหาร ยาระบาย สำหรับผู้ที่อุจจาระแข็ง หรือเป็นริดสีดวงทวารขั้นแรกจนกระทั่งถ่ายเป็นเลือด หัวปลี ใช้ขับน้ำนม.
..




พลูสมุนไพรไทย - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/214195-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/214195.jpg)

ข้อมูลจากงานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรมฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ  คณะทรัพยากรธรรมชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ระบุว่าพลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อและปล้องชัดเจน ที่ข้อมีรากสั้น ๆ ออกรอบข้อ ใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบสลับลักษณะของใบคล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลม ผิวใบมัน ดอกออกรวมกันเป็นช่อแน่น ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ขึ้นง่าย คนแก่ใช้ทาปูนแดง รับประทานกับหมากซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลูที่มีใบสีเขียวเข้มมากกว่าพันธุ์ที่มีใบสีออกเหลืองทอง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในพิธีมงคลเป็นเครื่องเซ่นไหว้ การทำเครื่องบายศรีสู่ขวัญ  พลูมีคุณค่าทางโภชนาการ ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ สารที่เรียกว่า ชาวิคอล ยูจีนอลเบต้าซิโตสเตอรอล และซินีออล เป็นต้น

พลูเป็นสมุนไพรแก้ลมพิษ รักษาอาการคัน ในใบพลูมีสารยูจีนอลและชาวิคอล มีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด จึงมีประโยชน์ในการระงับอาการคันและเจ็บปวดเนื่องจากแมลงกัดต่อย ช่วยฆ่าและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง และมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลาก และพบว่าน้ำมันพลูสามารถฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ สารเบต้าสเตอรอล มีฤทธิ์แก้แพ้ แก้อักเสบ นอกจากนี้ พลูยังมีสรรพคุณใช้แก้การอักเสบของเยื่อจมูกและคอ แก้กลาก แก้ฮ่องกงฟุต แก้คัน แก้ลมพิษ ลนไฟนาบท้องเด็ก แก้ปวดท้องและแก้ลูกอัณฑะยาน เป็นต้น.



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 30, 2013, 08:51:08 am
“ทุเรียน” กินดีมีประโยชน์...แต่โทษถึงตายถ้ากินกับเหล้า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มิถุนายน 2556 16:40 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077196-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2710133)

 เห็นทุเรียนสีเหลืองทองอร่าม กลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกพลอยให้อยากลิ้มลองไปเสียทุกครั้ง ยิ่งช่วงนี้ฤดูกาลแห่งทุเรียนมาถึง ใครต่อใครก็พากันไปลิ้มรสหวานมันหอมจากราชาแห่งผลไม้ชนิดนี้
       
       จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
       
       แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
       
       สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
       
       ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2013, 10:08:17 pm
เคล็บลับอร่อยได้ดังใจ แต่..ไม่อ้วน
-http://health.kapook.com/view65592.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Eating/Salad-veggie/veggieeat.jpg)


เคล็บลับ..อร่อยได้ดังใจแต่.."ไม่อ้วน" (ไทยโพสต์)

          ในยุคนี้ไม่ว่าหันหน้าไปทางไหนก็จะเห็นคนหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โรคอ้วน" ซึ่งมีอัตราการเพิ่มของผู้ที่เป็นโรคนี้อย่างต่อเนื่อง และมีอายุลดลงเรื่อย ๆ

          แท้ที่จริงแล้วการรักษาน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน ด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรง และรักษารูปร่างให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อปลอดภัยจากโรคอ้วนนั้นทำได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่ทำได้ไม่ยากในแต่ละวัน คือ "การปรุงอาหาร" ไม่ว่าจะเป็นการลองทำอาหารสูตรใหม่ ๆ หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร เช่น ไม่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ซึ่งใครเลยจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้จะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ของอาหารในแต่ละมื้อ ชนิดที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

          วันนี้ โภชนาการซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด มี 3 เคล็ดลับง่าย ๆ เพื่อความอร่อยโดยไม่ต้องกังวลกับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้น และยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยมาฝากกัน ดังนี้
   

เคล็ดลับสุขภาพ

1. "โละทิ้ง" สูตรอาหารเดิม ๆ เพื่อเริ่มต้นอิ่มอร่อยอย่างมีสุขภาพ

          ลองเปลี่ยนแปลงอาหารสูตรเดิม ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ จะทำให้สามารถ "ลด" ปริมาณแคลอรี่ในระยะยาวได้อย่างคาดไม่ถึง

          เริ่มต้นจาก "สำรวจวัตถุดิบ" ในการปรุงอาหารแต่ละมื้ออย่างละเอียด แล้วลองพลิกแพลงหาวัตถุดิบใหม่ ๆ มาทดลองใช้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึง คือ วัตถุดิบทดแทนใหม่ ๆ  นั้น เมื่อปรุงแล้วควรมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับวัตถุดิบชนิดเดิม แต่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์มากกว่า

          เช่น ใช้เนื้อไก่บ้านซึ่งเหนียวนุ่มในการปรุงอาหารแทนการใช้เนื้อวัว เลือกใช้ข้าวซ้อมมือแทนข้าวสารที่ขัดขาวเพื่อเพิ่มไฟเบอร์ในมื้ออาหาร หรือเพิ่มผลไม้หลากชนิดในสลัด เป็นต้น

          นอกจากนี้ "ปริมาณของวัตถุดิบ" ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดแคลอรี่ในอาหารแต่ละมื้อได้ เช่น ถ้าเราต้องปรุงอาหารด้วยการทอดที่ต้องใช้น้ำมันท่วม อาจลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการผ่านความร้อนเร็ว ๆ บนกระทะที่ใช้น้ำมันน้อย แต่ทำให้สุกและคงคุณค่าอาหารได้มาก

          วิธีนี้นอกจากจะลดปริมาณการใช้น้ำมันลงแล้ว ยังสามารถลดความเค็มและความหวานในการปรุงรสลงได้อีกด้วย เพราะรสชาติกลมกล่อมของวัตถุดิบจะคงอยู่โดยถูกลดทอนด้วยความร้อนและน้ำมันลงไม่มากนัก และเรายังสามารถเพิ่มปริมาณอาหารด้วยผักหลากชนิดได้อีกด้วย

   


2. ยิ่ง "ปรุง" เพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร ยิ่ง "ปรับ" แคลอรี่ให้เพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว
   
          เวลาทำอาหาร เรามักจะเคยชินกับการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ถูกปาก เพราะเชื่อว่าหากปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบที่มีแคลอรี่ต่ำแล้ว เราก็จะบริโภคอาหารในมื้อนั้น ๆ ด้วยปริมาณแคลอรี่ที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ในความเป็นจริงแล้วด้วยขั้นตอนและวิธีการในการปรุงอาหารต่างหากที่ทำให้เราเข้าใจผิด จนในที่สุดก็บริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงอย่างไม่รู้ตัว

          เช่น ใช้การทอดแทนการย่าง เพราะอาหารที่ทอดจะให้กลิ่นและรสที่กลมกล่อมกว่าการย่าง หรือการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่ถูกปาก จนละเลยเรื่องปริมาณของวัตถุดิบว่าใช้เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เป็นต้น
   



3. เคล็ดลับ (ก้นครัว)...ช่วยลดแคลอรี่ในอาหาร แต่คงความอร่อยอย่างมีสุขภาพ
   
            เลือกใช้วัตถุดิบที่ช่วยลดแคลอรี่ แต่เพิ่มคุณค่าในอาหาร เช่น เพิ่มผักหั่นลูกเต๋าเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญในทุก ๆ ครั้งที่ปรุงอาหาร เลือกรับประทานสลัดทูน่าหรือสลัดไก่แทนพาสต้า (ชุ่มครีมซอส) ซึ่งจะลดแคลอรี่ของอาหารในแต่ละมื้อได้ทันที
   
            เลี่ยงการใช้เนยหรือซอสปรุงรสในการปรุงอาหาร โดยเลือกใช้น้ำมะนาว กระเทียม หัวหอม หรือเครื่องเทศ เพื่อเพิ่มรสชาติอาหารให้เข้มข้นแทน ซึ่งนอกจากจะได้รสชาติไม่แพ้กันแล้ว ยังดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย
   
            สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานสลัด ลองเปลี่ยนจากผักกะหล่ำมาเป็นผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ ที่ชอบและเพิ่มรสชาติที่แปลกใหม่ด้วยการเติมผลไม้ผสมลงไป โดยเฉพาะส้ม แอปเปิลและกีวี ซึ่งนอกจากจะทำให้รสชาติของสลัดแปลกขึ้นจากเดิมแล้ว ยังช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่ามากขึ้นด้วย
   
            ผักและผลไม้แช่แข็งคืออีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งสามารถทดแทนผักที่ไม่สามารถหากินได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าผักสดบางชนิด เช่น ผักโขมแช่แข็งสามารถนำมาประกอบอาหารเป็นซุปใส หรือจะลองผัดกระเทียมก็ยังคงรสชาติอาหารแบบดั้งเดิมไม่แพ้การใช้ผักโขมสด

            สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเมนูอาหารฝรั่งที่มีกลิ่นนมเนยและเครื่องเทศ อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียน อาทิ อิตาเลียนหรือสเปน ก็สามารถทำซุปข้นได้ง่าย ๆ โดยไม่ใช่แป้ง เนย หรือครีม เพียงสับผักและปั่นกับน้ำซุป จากนั้นนำไปผัดให้งวดปรุงรสด้วยหัวหอม กระเทียม และเกลือ เติมน้ำซุปอีกเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำซุปแสนอร่อยที่สามารถนำไปเพิ่มรสชาติให้กับผัดผักหรือเมนูอื่น ๆ ได้เลย แต่ถ้าต้องการซุปครีม ก็นำซุปข้นที่ปรุงแล้วปั่นกับนมไขมันต่ำและเต้าหู้ เพียงเท่านี้ก็จะได้ซุปเต้าหู้ครีมแสนอร่อย รับประทานกันได้ทั้งครอบครัว
   
            ถ้าคุณชื่นชอบอาหารเบา ๆ อย่างสลัด ลองเปลี่ยนน้ำสลัดเป็นสูตรพร่องมันเนยดูบ้าง จะพบว่าเป็นการลิ้มรสชาติที่แตกต่างออกไป


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaipost.net/tabloid/170313/70984-

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 06, 2013, 08:19:16 pm
ดอกสัก - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216930-
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/216930.jpg)

ใบอ่อนที่แตกจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และโตเต็มที่ราว ๆ เดือนกรกฎาคม ช่อดอกจะเริ่มแทงออกมา ดอกสักเล็ก ๆ เริ่มทยอยบาน ช่วงเวลาที่ดอกสักบาน คือ เดือนกันยายน ดอกสักช่อหนึ่ง ๆ ยาวประมาณ 40-60 เซนติเมตร แต่ละช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ สีขาวหรือขาวแต้มม่วงและมีจำนวนมากถึงช่อละ 750-3,000 ดอก ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของช่อดอกและลำต้น ดอกสักจะทยอยบานไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดอกที่เริ่มบานตอนเช้าจะร่วงหล่นในตอนเย็น หรือเช้าวันถัดไปถ้าดอกไม่ได้รับการผสมเกสร

ดอกสักแต่ละดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร มีกลีบดอกสีขาว หรืออาจมีสีม่วงสลับจำนวน 6 กลีบ ในดอกประกอบด้วยก้านเกสรตัวผู้ชูอับเรณู สีเหลือง 6 ก้าน ตรงกลางดอกมีก้านเกสรตัวเมียขนาดใหญ่ 1 ก้าน ปลายก้านแยกเป็น 4 แฉก ชูเกสรตัวเมีย ที่ฐานของก้านเกสรตัวเมียและฐานดอกเป็นกระเปาะของรังไข่ ภายในมีช่อง 4 ช่อง ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การผสมเกสรของดอกสัก คือประมาณ 11.00-15.00 น. โดยมีแมลง เช่น ผีเสื้อ ผึ้ง และมด  เป็นตัวช่วยผสมเกสร ในตำราแพทย์แผนไทยใช้ดอกสักต้มน้ำดื่มเพื่อขับปัสสาวะใช้ใบต้มกับน้ำ รับประทานเป็นยาลดน้ำตาลในเลือด.



แตงกวา - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216417-
วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/216417.jpg)

แตงกวาเป็นพืชเถาเลื้อยมีมือเกาะ ลำต้นมีขนขึ้นปกคลุม ยาวประมาณ 2-3 เมตร มีรากแก้ว ใบเป็นใบเดี่ยว ดอกตัวผู้ ตัวเมียแยกกันแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวเมีย มีสีเหลือง ลักษณะคล้ายแตงกวาผลเล็ก ๆ ติดกับกลีบดอก

ผลในขณะยังเล็กมีหนามเล็ก สีขาวและสีดำ เนื้อผลของแตงกวานิยมนำมาบำรุงผิวหนังด้วยมีสารกลูซิด กรดอะมิโน และเกลือแร่ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิวหนัง ในขณะที่สาร ซิสติน และสารเมธิโอนิน ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ผลแตงกวามีความชื้น 96.4% โปรตีน 0.4% ไขมัน 0.1% คาร์โบไฮเดรต 2.8% แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินบี และวิตามินซี มีเอนไซม์หลายชนิด ใบและเนื้อในเมล็ดจากเมล็ดแก่คนไทยโบราณนำมากินเป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ท้องเสีย ผลและเมล็ดอ่อน มีสรรพคุณฝาดสมาน เสริมการทำงานของระบบประสาท ช่วยความจำ ลดอาการนอนไม่หลับ แก้กระหายน้ำ มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงผมและเล็บ เถา ช่วยลดความดันเลือด.



ถั่วพุ่ม - เรื่องน่ารู้
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/216716-
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/216716.jpg)

ฝักสดถั่วพุ่มรับประทานแทนผักจิ้มน้ำพริก หรือทำตำส้มแทนมะละกอได้ เมล็ดแห้ง ประกอบอาหารทั้งคาว และหวานได้ เป็นที่นิยมในอาหารประเภทชีวจิต เกษตร กรบางแห่งใช้ถั่วพุ่มปลูกเป็นพืชปุ๋ยสด แซมในไร่มันสำปะหลัง โดยปลูกแซมแถวเดียว ระหว่างกลางแถวมันสำปะหลัง และพบว่าการไถกลบพืชปุ๋ยสดแล้วปลูกมันสำปะหลังตามในพื้นที่ขุดดินยโสธร จะทำให้ได้ผลผลิตหัวมันสดเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้ง แต่ปีที่ 1-5 โดยเฉลี่ยได้น้ำหนักหัวมันสด 2,490 กิโลกรัมต่อไร่

ถั่วพุ่มเป็นพืชปุ๋ยสดหมุนเวียนในนาข้าว โดยปลูกก่อนปักดำข้าว นาข้าวที่นาดอนและมีการระบายน้ำดี โดยปลูกปลายฤดูฝนแล้วไถกลบในภายหลัง เช่นบางพื้นที่ของจังหวัดสกลนคร มีการปลูกถั่วพุ่มและไถกลบในนาข้าว พบว่าได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 52 ถังต่อไร่ ข้อมูลจากกรมพัฒนา ที่ดินระบุว่าปริมาณธาตุอาหารที่ได้จากการปลูกถั่วพุ่ม หลังจากไถกลบแล้วจะสลายตัวภายใน 30 วัน มีเปอร์เซ็นต์ธาตุอาหาร N, P, K ประมาณ 2.92, 0.45 และ 4.00.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 14, 2013, 08:25:25 am
รู้จักน้ำมัน เพื่อสุขภาพ
-http://health.kapook.com/view66343.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Oil/oilpp.jpg)


รู้จักน้ำมัน เพื่อสุขภาพ (Modernmom)
เรื่องโดย Sean Nemi

          ถ้าได้ยินคำว่าน้ำมันหรือไขมันแล้วคุณผู้หญิงหลายคนต้องสะดุ้ง เพราะดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่กันมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากพืชหรือน้ำมันจากสัตว์ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำมันก็มีทั้งดีและไม่ดี แล้วจะรู้ว่าชนิดไหนดีต่อสุขภาพนั้น ก็ต้องมาดูที่องค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งเราจะค่อย ๆ ถ้าความรู้จักกับเจ้าน้ำมันกันก่อนค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นผู้ร้ายตัวฉกาจอย่างที่คิด

ประโยชน์ก็มีนะ

          - ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานได้มากถึง 9 กิโลแคลอรี่

          - ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวขนส่งเอาวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย

รู้จักไขมันให้ลึกซึ้ง

          สำหรับคุณสมบัติทางเคมีในโมเลกุลของไขมันจะประกอบด้วยกรดไขมัน 3 โมเลกุล ต่อกับกลีเซอรอล 1 โมเลกุล รวมเรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะอยู่ในรูปของไขมันหรือน้ำมันซึ่งมีความคงตัว สำหรับคุณค่าทางอาหารของไขมันหรือน้ำมันจะดูได้จากปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid)

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Oil/plamm.jpg)
น้ำมันปาล์ม

กรดไขมันอิ่มตัว

          เป็นชนิดที่เพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดที่นำมาสู่โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

          พบมากใน : น้ำมันจากสัตว์ และในน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว

          คุณสมบัติ : เป็นไขได้ง่ายในอากาศเย็น มีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย

(http://img.kapook.com/image/Food/sunflower%20oil.jpg)
น้ำมันดอกทานตะวัน

กรดไขมันไม่อิ่มตัว

          มีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

          พบมากใน : น้ำมันจากพืช ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม (ในน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่มาก)

          คุณสมบัติ : เป็นไขยากแม้จะอยู่ในตู้เย็น แต่จะทำปฏิกิริยากับความร้อน และออกซิเจนได้ง่าย มักทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนหลังจากใช้ประกอบอาหารแล้ว สามารถแบ่งออกเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือ กรดไขมันไลโนเลอิค (โอเมก้า 6) และกรดไขมันแอลฟาไลโนเลอิด (โอเมก้า 3) อีกชนิดคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว คือ กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 ซึ่งกรดไขมันทั้งสองชนิดนี้จะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

สำหรับกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ยังแบ่งได้อีก 2 ประเภท คือ

1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid-MUFA)

          พบได้ใน น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันคาโนล่า

          มีประโยชน์ช่วย
         
          ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

          ช่วยให้เลือดไม่ข้นหนืด และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีได้ด้วย จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

2. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly-Unsaturated Fatty Acid-PUFA)

          เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เหมาะสำหรับทำอาหารประเภทผัดหรือทอดแบบเร็ว ๆ ที่ใช้น้ำมันน้อย

          พบได้ใน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น

          มีประโยชน์ช่วย

          ช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในเลือดลง

          ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด

          เมื่อทราบถึงชนิดของน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว หลายท่านคงเลือกใช้น้ำมันเพื่อปรับสมดุลของร่างกายได้เหมาะสมยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมว่าน้ำมันหรือไขมันยังคงสะสมในร่างกายได้ ดังนั้นควรบริโภคต่อพอดีค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.modernmommag.com/-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 14, 2013, 10:31:54 am
ถั่วเขียว - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/218059-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/218059.jpg)



ต้นถั่วเขียวใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าทั่วไป เพราะเป็นพืชตระกูลถั่ว ถั่วเขียวมีปมที่รากซึ่งเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นปุ๋ยไน   เตรทให้แก่ดิน ถั่วเขียวจึงเป็นพืชบำรุงดินใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี ในอดีตชาวนาภาคกลางปลูกถั่วเขียวในนาข้าวก่อนฤดูปลูกข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วเขียวแล้วจึงปลูกข้าวต่อ วิธีนี้จะได้ผลผลิตถั่วเขียวเพิ่มเติม ถั่วเขียวมีคุณสมบัติพิเศษคือ ใช้น้ำน้อยทนแล้งได้ดี เมล็ดงอกและเติบโตเร็ว ใบกว้างช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี ชาวนาไทยบางคนนำถั่วเขียวมาใช้ในแปลงนาระบบเกษตรกรรมธรรมชาติที่ไม่ไถพรวน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใส่ปุ๋ย และไม่กำจัดแมลง

วิธีการทำ โดยหว่านเมล็ดข้าวกับเมล็ดถั่วเขียวไปพร้อมกันในแปลงนาเดียวกัน ถั่วเขียวจะช่วยบำรุงดินและป้องกันวัชพืช เมื่อถั่วเขียวโตเต็มที่แล้ว จะเก็บกักน้ำให้ท่วมผิวดิน ถั่วเขียวก็จะเน่าตายกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ข้าวจะเติบโตสมบูรณ์ต่อ   ไป ถั่วเขียวจึงนับเป็นถั่วสารพัดประโยชน์ ของชาวไทยชนิดหนึ่งที่ราคาไม่แพงหาง่ายคุณค่าสูง.


-----------------------------------------------------------------

ตั๊กแตนหนวดยาว - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/218317-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/218317.jpg)

ตั๊กแตนหนวดยาวเป็นแมลงขนาดกลางถึงขนาดใหญ่  มีความยาวตั้งแต่ 2-10 ซม. หนวดเป็นแบบเส้นด้ายมีความยาวมากกว่าความยาวลำตัว ฝ่าเท้ามี 4 ปล้อง มีปากแบบกัด มักมีอวัยวะฟังเสียงตั้งอยู่ที่โคนหน้าแข้งของขาคู่หน้า เพศเมียมีอวัยวะวางไข่ลักษณะคล้ายดาบ ชอบวางไข่ฝังในเนื้อเยื่อของต้นพืช  ขณะเกาะพักแผ่นปีกจะวางบนลำตัวเกือบอยู่ในแนวดิ่ง ลำตัวมักมีสีเขียวใบไม้ แต่บางครั้งอาจพบว่ามีสีน้ำตาลแห้งและลาย หรือแต้มสีอื่น ๆ  บางชนิดมีสีสันสวยงาม เพศผู้สามารถทำเสียงได้ไพเราะ โดยใช้อวัยวะที่มีลักษณะเป็นร่องหรือขอบคมของปีกข้างหนึ่ง ถูกับอวัยวะที่มีลักษณะเป็นตุ่ม หรือซี่ฟันเล็ก ๆ ของปีกอีกข้างหนึ่ง กินใบพืชหลายชนิดเป็นอาหาร  บางชนิดดำรงชีวิตเป็นแมลงห้ำคอยจับกินแมลงอื่นเป็นอาหาร.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 15, 2013, 10:45:18 pm
ทุเรียนหลงลับแล ราคากระฉูด 380 บาท หลังออกสื่อ แนะวิธีดูของแท้
-http://hilight.kapook.com/view/88623-


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/durin/998822_384398571672209_655961097_n.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/durin/21358_384402908338442_1258400547_n.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/durin/6942_371777219601011_1651956098_n.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/durin/943581_374692122642854_762050915_n.jpg)




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก หลงลับแล

          ทุเรียนหลงลับแล หายากและราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว หลังออกสื่อ โดยเพิ่มขึ้นจาก กิโลกรัมละ 80 บาท เป็น กิโลกรัมละ 380 บาท จนทำให้มีของปลอมระบาด เกษตรฯ อุตรดิตถ์ จึงแนะวิธีดูทุเรียนแท้ด้วยหลัก 5 ข้อ

         วันนี้ (15 กรกฎาคม 2556) เวลา 10.00 น. โรงเรียนชุมชนหัวดง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ มีการจัดกิจกรรมงานก่อเจดีย์ทุเรียน โดยมีชาวบ้าน ต.แม่พูล นำทุเรียนมาบริจาคให้กับ นายเทพนูญ แก้วกสิกรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนหัวดง พร้อมด้วยคณะครู นักเรียนโรงเรียนชุมชนหัวดง เป็นจำนวนกว่า 500 ลูก เพื่อนำไปก่อเจดีย์ด้วย โดยในพิธีก่อเจดีย์ทุเรียนนั้น มีการนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธี และหลังจากเสร็จพิธีทางโรงเรียนจะนำทุเรียนทั้งหมดไปขายให้กับพ่อค้าที่รอรับซื้อ และนำรายได้มาพัฒนาโรงเรียน รวมถึงซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน

         ซึ่ง นายเทพนูญ กล่าวว่า ต้องขอบคุณชาวบ้านและผู้ปกครองนักเรียน ที่มาร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยเป็นการช่วยเหลือโรงเรียนและแบ่งเบางบประมาณของราชการ พร้อมคาดว่าจะขายทุเรียนได้ประมาณ 25,000 บาท เพื่อนำเงินมาบำรุงการศึกษา

         ขณะที่ นายฟื้น โชวันดี ประธานเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกเมืองน่าอยู่ จ.อุตรดิตถ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทุเรียนหลงลับแล ถูกนำเสนอผ่านสื่อ ทำให้ราคาขยับพุ่งขึ้นจากกิโลกรัมละ 80-100 บาท เป็น 380 บาท เนื่องจากเป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุดในโลก และมีคุณภาพดีมาก โดยอาจมีการนำทุเรียนหลงลับแลมาหลอกขายผู้บริโภคได้ เนื่องจากปัจจุบันทุเรียนหลงลับแลได้ถูกนำขายเกือบหมดตลาดแล้ว ทั้งนี้ นายฟื้น บอกว่า อยากแนะวิธีการซื้อทุเรียนหลงลับแล โดยมี 5 วิธีคือ

         1. ต้องมีสติ๊กเกอร์ติดที่ขั้วทุเรียน โดยในสติ๊กเกอร์ต้องมีตราสัญลักษณ์ จ.อุตรดิตถ์ และโลโก้ท่าเหนือเมืองน่าอยู่

          2. ทุเรียนที่แก่จัด ข้อต่อขั้วต้องอวบอ้วนเด่นชัด หากสัมผัสจะรู้สึกสาก ก้านต้องแข็งผ่ารับประทานได้ สังเกตดูจะมีรอยร้าวที่ขั้ว

          3. มีชื่อเจ้าของสวน ผู้ผลิต รหัสรับรอง และเบอร์โทรศัพท์ ติดไว้

          4. ทุเรียนเกรดเอ ต้องมี 4 พู ขึ้นไป หนามต้องสั้นและห่าง

          5. บริเวณปลายผลจะมีจุดที่เรียกว่า สะดือ ให้ใช้มีดจิ้มเข้าไปแล้วงัดเปลือกออกตามรอย และรับประทานในระยะห่าม จะมีรสชาติหวาน มัน ไม่มีใครเทียบได้
           

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373877118&grpid=00&catid=&subcatid=)
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373877118&grpid=00&catid=&subcatid=-

.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 17, 2013, 06:15:22 am
ผู้บริโภคตรวจข้าวถุงพบ “โค-โค่” มีสารตกค้างเกินมาตรฐาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กรกฎาคม 2556 16:39 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087114-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152101.JPEG)

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจข้าวถุง เมื่อวันที่ 16 ก.ค.


       มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคตรวจข้าวถุงไม่พบสารเคมีใดๆ ตกค้างเลย 12 ตัวอย่าง ตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐาน 50 ppm จำนวน 33 ตัวอย่าง และเกินค่ามาตรฐาน 1 ตัวอย่างคือ “ข้าวโค-โค่” แนะรัฐเปิดเผยยี่ห้อข้าวที่พบการปนเปื้อนและปลอดภัย ย้ำเป็นสิทธิที่ผู้บริโภคต้องรู้ ชี้ใช้กำหนดทิศทางการส่งออกข้าวได้ เหตุบางยี่ห้อสารเคมีเกือบเกินมาตรฐานต้องเร่งแก้ไข เพราะไม่ผ่านมาตรฐานประเทศคู่ค้าสำคัญ
       
       วันนี้ (16 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวแถลง “ผลทดสอบข้าวสารถุงยี่ห้อไหนไม่มีสารเคมี?” ว่า การเปิดเผยข้อมูลการทดลองในครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และคุ้มครองผู้บริโภคในการรับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอต่อการบริโภค สิทธิในการเลือกซื้อสินค้า และสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค ทั้งนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี และศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ตรวจสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุงจำนวน 46 ตัวอย่าง จากยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ยากันรา และสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ พบว่า ข้าวสารจำนวน 12 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 26.1 ไม่พบสารตกค้างทุกกลุ่ม ได้แก่ ลายกนก-ข้าวหอมมะลิ ข้าวพันดี-ข้าวขาว ธรรมคัลเจอร์-ข้าวหอม รุ้งทิพย์-ข้าวเสาไห้ บัวทิพย์-ข้าวหอม ตราฉัตร-ข้าวขาว ข้าวมหานคร-ข้าวขาว สุพรรณหงส์-ข้าวหอมสุรินทร์ เอโร่-ข้าวขาว ข้าวแสนดี-ข้าวหอมทิพย์ โฮมเฟรชมาร์ท-จัสมิน และชามทอง-ข้าวหอมมะลิ
       
       น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ส่วนอีก 34 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 73.9 พบสารเมทิลโบรไมด์ ตั้งแต่ 0.9-67 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ppm) โดยแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้ 1.ตกค้างน้อยมาก คือน้อยกว่า 0.9 ppm มี 7 ตัวอย่าง ได้แก่ ช้างเผือก-ข้าวเสาไห้ cooking for fun-ข้าวหอมมะลิ ข้าวเบญจรงค์-ข้าวหอมมะลิ แฮปปี้บาท-ข้าวขาว เทสโก ตราคุ้มค่า-ข้าวหอม และ อคส.-ข้าวหอมมะลิ 2.ตกค้างน้อย คือ ระหว่าง 0.9-5 ppm จำนวน 14 ตัวอย่าง ได้แก่ ข่าวอิ่มทิพย์-ข้าวขาว ชาวนาไทย-เสาไห้ ข้าวแสนดี-ข้าวขาว ท็อปส์-หอมมะลิ ตราเกษตร-ข้าวขาวหอม ฉัตรทอง-หอมมะลิ ติ๊กชีโร่-หอมมะลิ หงษ์ทอง-หอมมะลิ บิ๊กซี-หอมปทุม ตราฉัตร-หอมผสม โรงเรียน-หอมมะลิ ฉัตรอรุณ-หอมผสม ปทุมทอง-หอมมะลิ และไก่แจ้เขียว-หอมมะลิ
       
       น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า 3.ตกค้างสูง คือระหว่าง 5-25 ppm จำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่ พนมรุ้ง-ข้าวขาว ท็อปส์-หอมปทุม คุ้มค่า-เสาไห้ เอโณ่-ข้าวหอม มาบุญครอง-ข้าวขาว ดอกบัว-ข้าวหอมมะลิ และปิ่นเงิน-ข้าวหอม 4.ตกค้างสูง คือระหว่าง 25-50 ppm จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ ถูกใจ-ข้าวขาว สุรินทิพย์-หอมมะลิ ดอกบัว-ขาวตาแห้ง ตราดอกบัว-เสาไห้ และข้าวแสนดี-ข้าวหอม และ 5.ตกค้างเกินมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่ 50 ppm จำนวน 1 ตัวอย่าง คือข้าวยี่ห้อ “โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา” โดยตกค้างอยู่ที่ 67.4 ppm ส่วนการตรวจสารพิษจากเชื้อรา และคุณภาพข้าวถุงนั้นยังไม่แล้วเสร็จ
       
       “การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตธุรกิจใด หรือต้องการโจมตีรัฐบาล แต่ต้องการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะส่งผลการตรวจนี้ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมกับขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ ทั้ง อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยรายละเอียดชื่อยี่ห้อข้าวที่พบการปนเปื้อน หรือตัวอย่างยี่ห้อที่ตรวจแล้วปลอดภัยไม่พบการปนเปื้อน เพราะผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการผลิตสินค้าและการบริโภคของประเทศในอนาคต และการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐครั้งต่อๆ ไป ควรมีองค์กรผู้บริโภคร่วมด้วย” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวและว่า การส่งตรวจในครั้งนี้ ได้ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือทั้งภาครัฐและเอกชนด้วยงบประมาณ 7 แสนบาท
       
       นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การตรวจข้าวบรรจุถุงครั้งนี้ พบผลที่แตกต่างจากของรัฐบาล คือเราพบข้าวถุงที่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 50 ppm ที่สำคัญการตรวจของรัฐบาลไม่มีการจำแนกระดับของสารตกค้างให้ผู้บริโภคทราบ สำหรับเกณฑ์การกำหนดระดับสารตกค้างเมทิลโบรไมด์นั้น ได้ใช้ค่ามาตรฐานของประเทศคู่ค้าข้าวรายสำคัญของไทย ซึ่งมีค่ามาตรฐานที่ต่ำกว่า 50 ppm เป็นเกณฑ์คือ อินเดียที่กำหนดไว้ไม่เกิน 25 ppm และประเทศจีนที่กำหนดไว้ไม่เกิน 5 ppm ซึ่งการแบ่งเกณฑ์ดังนี้จะสะท้อนข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบว่ามีข้าวยี่ห้อใด บริษัทใด มาจากโรงสีใด ที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออก เพราะมีสารตกค้างอยู่ในระดับที่เกินกว่าประเทศคู่ค้ากำหนด ซึ่งต้องรีบแก้ไขเพราะอาจทำให้ไทยสูญเสียตลาดค้าข้าวที่สำคัญ อย่างจีนเมื่อก่อนนำเข้าข้าวจากไทยประมาณ 5 แสนตันต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 1 แสนตันต่อปีเท่านั้น โดยหันไปนำเข้าข้าวจากประเทศอื่นมากขึ้น
       
       น.ส.ทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้บริโภคร้องเรียนมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้หาข้อเท็จจริง จากกระแสข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยของข้าวสารบรรจุถุงทางสื่อต่างๆ เพราะมีผู้บริโภคบางส่วนยังไม่เชื่อข้อมูลจากภาครัฐ จึงอยากให้มีข้อมูลการตรวจสอบจากภาคประชาชนด้วย ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อจึงร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) และมูลนิธิชีววิถี เก็บตัวอย่างข้าวถุงที่มีการจำหน่าย ระหว่างวันที่ 19-27 มิ.ย.2556 ทุกยี่ห้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างโมเดิร์นเทรด ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง 6 แห่ง ได้แก่ เทสโก้โลตัส บิ๊กซี แม็คโคร ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต โฮมเฟรชมาร์ท และร้านสะดวกซื้อ 1 แห่งคือ เซเวนอีเลฟเวน ได้ข้าวถุงรวม 36 ยี่ห้อ จำนวน 46 ตัวอย่าง แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิ 100% จำนวน 15 ตัวอย่าง และข้าวขาวกับข้าวหอมอื่นๆ อีก 31 ตัวอย่าง โดยส่งตรวจคุณภาพข้าวสารถุงที่จำหน่ายในท้องตลาดใน 5 ด้านคือ 1.การตรวจคุณภาพข้าวสารถุง ตามมาตรฐานข้าวสาร กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ 2.สารเคมีทางการเกษตร ยาฆ่าแมลง 2 กลุ่ม ได้แก่ ออร์กาโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต 3.ยากันรา 4.สารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ และ 5.สารพิษจากเชื้อรา อะฟลาทอกซิน

       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152102.JPEG)
ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html (http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html)
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152103.JPEG)
ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html (http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html)
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152104.JPEG)
ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html (http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html)
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152105.JPEG)
ภาพจากเว็บไซต์ฉลาดซื้อ http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html (http://www.chaladsue.com/index.php/component/content/article/96-PR/1577-rice.html)       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152107.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152108.JPEG)
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152111.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152112.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009152113.JPEG)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 17, 2013, 06:27:30 am
2 มูลนิธิคอนเฟิร์ม ผลทดสอบข้าว พบ 34 ยี่ห้อมีสารตกค้าง
-http://hilight.kapook.com/view/88662-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5934.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc/IMG_5987.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5989.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc/IMG_5990.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc/IMG_6000.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5992.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5996.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5999.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_6008.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thaipan.org

            2 มูลนิธิคอนเฟิร์มผลทดสอบข้าว พบ 34 ยี่ห้อ มีสารตกค้าง จากการสุ่มตรวจ 46 ยี่ห้อ ขัดกับข้อมูล อย.-กรมวิทยาศาสตร์ฯ ชี้แถลงข่าวเพื่อความปลอดภัยผู้บริโภค

            วันนี้ (16 กรกฎาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี แถลงผลการเก็บตัวอย่างข้าวถุงจากการสุ่มตรวจเพื่อดูมาตรฐาน จากการเก็บตัวอย่างทั้งหมด 46 ยี่ห้อ พบว่ามี 12 ยี่ห้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 26.1 ไม่พบการตกค้างของสารทุกกลุ่มประเภท ขณะที่มีข้าวถุงมากถึง 34 ยี่ห้อ หรือคิดเป็นร้อยละ 73.9 มีการตกค้างของสารเมทิลโบรไมด์ ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการรมควันข้าว โดยมีค่าในหลายระดับตั้งแต่ระดับน้อยที่สุดจนถึงเกินค่ามาตรฐานระหว่างประเทศ คือ 0.9-67 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งในจำนวนนี้พบว่า ข้าวสารยี่ห้อ โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา มีระดับสารตกค้าง 67.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และยังพบอีกว่ามีเพียง 5 ตัวอย่าง ที่ไม่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ เพราะพบสารตกค้างสูงกว่า 25 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ได้แก่

            1. ข้าวแสนดี ข้าวหอม พบสารตกค้าง 41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            2. ข้าวตราดอกบัว ข้าวเสาไห้ พบสารตกค้าง 29.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            3. ข้าวตราดอกบัว ข้าวตาแห้ง พบสารตกค้าง 28.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            4. ข้าวสุรินทิพย์ ข้าวหอมมะลิ พบสารตกค้าง 27.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            5. ข้าวถูกใจ ข้าวขาว พบสารตกค้าง 27.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/999367_608007615897042_240712847_n.png)


สำหรับข้าวถุงจำนวน 12 ตัวอย่างที่ไม่พบการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรชนิดใด ๆ ได้แก่

            1. ลายกนก ข้าวหอมมะลิแท้ 100%
            2. ข้าวพันดี ข้าวขาว 100% ชั้นดีพิเศษ
            3. ธรรมคัลเจอร์ ข้าวหอมคุณภาพคัดพิเศษ
            4. รุ้งทิพย์ ข้าวขาวเสาไห้
            5. บัวทิพย์ ข้าวหอม
            6. ตราฉัตร ข้าวขาว 15%
            7. ข้าวมหานคร ข้าวขาวคัดพิเศษ
            8. สุพรรณหงส์ ข้าวหอมสุรินทร์
            9. เอโร่ ข้าวขาว 100%
            10. ข้าวแสนดี ข้าวหอมทิพย์
            11. โฮมเฟรชมาร์ท จัสมิน ข้าวหอมมะลิ 100%
            12. ชามทอง ข้าวขาวหอมมะลิ 100%

ข้าวถุงที่มีสารตกค้างในจำนวนน้อยมาก ได้แก่

            1. ช้างเผือก-ข้าวเสาไห้
            2. cooking for fun-ข้าวหอมมะลิ
            3. ข้าวเบญจรงค์-ข้าวหอมมะลิ
            4. ข้าวหอมมะลิแปดริ้ว-ข้าวหอมมะลิ
            5. แฮปปี้บาท-ข้าวขาว
            6. เทสโก ตราคุ้มค่า-ข้าวหอม
            7. อคส.-ข้าวหอมมะลิ

ส่วนข้าวถุงที่มีการตกค้างของสารเมทิลโบรไมด์ ได้แก่

            1. โค-โค่-ข้าวขาวพิมพา ระดับสารตกค้าง 67.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            2. ข้าวแสนดี-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 41 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            3. ตราดอกบัว-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 29.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            4. ดอกบัว-ขาวตาแห้ง ระดับสารตกค้าง 28.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            5. สุรินทิพย์-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 27.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            6. ถูกใจ-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 27.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            7. ปิ่นเงิน-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 21.9 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            8. ดอกบัว-ข้าวหอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 19.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            9. มาบุญครอง-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 19.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            10. เอโร่-ข้าวหอม ระดับสารตกค้าง 10.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            11. คุ้มค่า-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 6.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            12. ท็อปส์-หอมปทุม ระดับสารตกค้าง 6.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            13. พนมรุ้ง-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 5.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            14. ไก่แจ้เขียว-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 4.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            15. ปทุมทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 4.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            16. ฉัตรอรุณ-หอมผสม ระดับสารตกค้าง 3.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            17. โรงเรียน-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 2.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            18. ตราฉัตร-หอมผสม ระดับสารตกค้าง 2.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            19. บิ๊กซี-หอมปทุม ระดับสารตกค้าง 2.4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            20. หงษ์ทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 2.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            21. ติ๊กชีโร่-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.7 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            22. ฉัตรทอง-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            23. ตราเกษตร-ข้าวขาวหอม ระดับสารตกค้าง 1.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            24. ท็อปส์-หอมมะลิ ระดับสารตกค้าง 1.3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            25. ข้าวแสนดี-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 1.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            26. ชาวนาไทย-เสาไห้ ระดับสารตกค้าง 0.98 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
            27. ข้าวอิ่มทิพย์-ข้าวขาว ระดับสารตกค้าง 0.93 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

            โดย น.ส.สารี ระบุว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดเผยข้อมูลผลการทดลองที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอในการบริโภค รวมถึงสิทธิในการเลือกซื้อสินค้า โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจสอบสารเคมีในข้าวสารบรรจุถุง ในกลุ่มยาฆ่าแมลงชนิดกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต รวมถึงสารที่เป็นยากันเชื้อรา และสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/fontip/etc3/IMG_5967.jpg)

 ทั้งนี้ น.ส.สารี กล่าวย้ำด้วยว่า ก่อนหน้านี้แม้จะมีหน่วยงานของรัฐบาล อาทิ คณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาแถลงข่าวยืนยันในเรื่องของความปลอดภัยของข้าวสารถุงแล้ว แต่ขณะนี้จากการตรวจสอบของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี พบว่ายังมีข้อมูลที่แตกต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องการย้ำชัดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

            ขณะที่ทางด้าน นายวิฑูรณ์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ได้กล่าวถึงเรื่องค่ามาตรฐานของ codex ว่า จากการตรวจสอบสารรมควันเมทิลโบร์ไมด์ พบว่า มีข้าวสารบรรจุถุง จำนวน 13 ตัวอย่างที่มีการตกค้างของเมทิลโบร์ไมด์ในข้าวเกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของ codex ของประเทศจีน ที่กำหนดปริมาณการตกค้างของเมทิลโบร์ไมด์ในข้าวต้องไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และถ้าหากยังไม่มีการปรับปรุงในเรื่องนี้ เชื่อได้ว่า อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของประเทศไทยได้ เพราะประเทศจีน คือ คู่ค้าข้าวรายสำคัญของประเทศไทย จึงอยากเสนอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโรงสี และผู้ประกอบการเพื่อหาสาเหตุของการตกค้างของสารรมควันข้าวเมทิลโบรไมด์ในข้าว ว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่ พร้อมทั้ง กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานการปนเปื้อนของสารเคมี เพื่อยกระดับคุณภาพของข้าวไทยให้มากขึ้น เพราะเรื่องนี้นอกจากจะกระทบเรื่องการส่งออกแล้ว ก็ยังอาจกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย

            นอกจากนี้ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ได้ยื่นขอเสนอแนะแก่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

            1. ขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้องค์การนี้เป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการดำเนินการตรวจสอบสินค้า หรือบริการต่าง ๆ

            2. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าว เปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวให้ประชาชนได้รับทราบ

            3. ขอให้มีการสร้างระบบตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างเป็นระบบ โดยระบบนี้ควรเกิดจากความส่วมมือของหลาย ๆ ภาคส่วน เพื่อให้ข้อมูลที่ได้ตรวจสอบครอบคลุมและครบถ้วนทุกด้าน นอกจากนี้ อยากให้ดำเนินการสุ่มตรวจตัวอย่างข้าวเป็นระยะ เพื่อให้เกิดการปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพข้าวไทย

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 17, 2013, 10:43:34 pm

โทษของการกินน้ำตาลมากเกินไป

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/-

การกินน้ำตาลเป็นการให้พลังงานแก่ร่ายกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้ก็มีเคล็บลับดีๆ มาฝากกันจร้า

1. เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การกินน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการกินน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีสูงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย สมาธิสั้น

ถ้าอยากมีสุขภาพดี ก็ควรกินน้ำตาลแต่พอประมาณจะดีกว่า



ที่มาข้อมูล vajira.ac.th

http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/ (http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 17, 2013, 11:06:21 pm
มะเขือพวง - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219426-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/219426.jpg)



คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้วิจัยเรื่องสรรพคุณ ของมะเขือพวงพบว่า  มีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระ  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวาน   มีเส้นใยที่ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินได้ดี นอกจากนี้มะเขือพวงยังมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนโบราณหลายประการ  เช่น  ช่วยเจริญอาหาร  ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ  ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนได้ดี  แก้ปวด  ฟกซ้ำ  ปวดกระเพาะ แก้อาการฝีบวมหนอง  อาการบวม  อักเสบ  ขับปัสสาวะ  ทั้งนี้  จากการศึกษาวิจัย  ทำให้พบว่ามะเขือพวงมีสารจำพวก “ไฟโตนิวเทียนท์” ที่จะช่วยร่างกาย ในสภาวะขาดสารอาหาร ให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติมีกลุ่มสาร “ทอร์โวไซด์” ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ และกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเตอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น  รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของคอเลสเตอรอลในลำไส้  จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่งมีสาร “ซาโปนิน”  มีฤทธิ์ขับเสมหะเป็นพืชที่มีเส้นใยมาก เมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยทั้งหมด โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า และมากกว่ามะเขือเปราะถึง  65 เท่า  เส้นใยในมะเขือพวง  มีชื่อเรียกว่า “เพกติน”  ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้

สารนี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้  ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง จึงเป็นการช่วยไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเร็วเกินไป  ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้.



แก้วมังกร - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219194-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/219194.jpg)



แก้วมังกรเป็นผลไม้เสริมสุขภาพมีกากใยสูงให้แคลอรีต่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียมและแคลเซียม เมล็ดสีดำเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมัน ที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย ควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวาน  (ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)ได้ บรรเทาโรคโลหิตจาง ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย มีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก เบาหวาน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน

ต้นแก้วมังกรที่ปลูกในประเทศไทยส่วนมากมาจากการใช้กิ่งปัก ปลูกประมาณ 8-10 เดือนจะเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต โดยมี 4 รุ่นใน 1 ปี เป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย ใช้ฟาง เศษหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นของดิน ใส่ปุ๋ยคอกหลักละ 1 บุ้งกี๋เว้นระยะ 2-3 เดือนต่อครั้ง.



.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 17, 2013, 11:11:45 pm
ถั่งเช่าหลบไป ยาโด๊ปไทยๆ สมุนไพรช่วยได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 กรกฎาคม 2556 16:42 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087133-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2735665)
กระชายดำ


       หลายวันมานี้ “108 เคล็ดกิน” ได้ยินแต่ชื่อ “ถั่งเช่า” ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะไม่ได้เปิดฟังคลิปปริศนาอันโด่งดัง พอมาเสิร์ชหาข้อมูลจึงได้ถึงบางอ้อว่า เจ้าถั่งเช่าก็คือสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศนั่นเอง
       
       อ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว หลายๆ คน (โดยเฉพาะคุณผู้ชาย) อาจจะทำตาโต แล้วถามกันใหญ่ว่าจะหาถั่งเช่าได้ที่ไหน ขอบอกเลยว่าถั่งเช่านี่พบในแถบที่ราบสูงทิเบต และเนื่องจากว่าหาได้ยากจึงมีราคาสูงลิบลิ่ว ที่สำคัญ ในเมืองไทยนั้นไม่มี ถึงจะมีนำเข้ามาขายก็ราคาสูงมากกก..
       
       แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนัก เพราะ “108 เคล็ดกิน” อยากจะบอกว่า สมุนไพรไทยๆ ของเราก็ออกฤทธิ์ที่ดีไม่ต่างกัน มีสมุนไพรหลากหลายอย่างที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ อย่างแรกก็คือ กระชายดำ ที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากกระชายดำมีฤทธิ์ทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
       
       นอกจากนี้ กระชายดำยังช่วยบำรุงกำลัง กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย แก้ปวดเมือน เหนื่อยหอบ แก้ใจสั่นหวิว ขับปัสสาวะ และยังเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่อีกด้วย
       
       มาต่อกันด้วยสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง กวาวเครือ ที่เป็นสมุนไพรยอดฮิตอยู่ในช่วงหนึ่ง โดยกวาวเครือนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ตำรายาหัวกวาวเครือของหลวงอนุสารสุนทร คือ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง กวาวเครือดำ และกวาวเครือมอ
       
       สรรพคุณของกวาวเครือนั้น ต้องถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย ช่วยให้มีความกระชุ่มกระชวย ทำให้ผิวหนังดูมีน้ำมีนวล ช่วยเสริมอก กระตุ้นเต้านมให้ขยายตัว โดยเฉพาะในกวาวเครือขาว ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาทและสมอง
       
       แต่กวาวเครือนั้นก็ยังมีข้อห้ามในการใช้เป็นยาอยู่เช่นกัน โดยแพทย์พื้นบ้านจะแนะนำว่า ในคนหนุ่มสาวห้ามกินกวาวเครือ และไม่ควรกินกวาวเครือมากหรือต่อเนื่องกันนานเกินไป เพราะจะทำให้เต้านมโตเกินไป เต้านมแข็งเป็นก้อน จนอาจกลายเป็นมะเร็งได้ ส่วนในผู้ชายถ้ากินมากเกินไปจากทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวขึ้น และนำไปสู่การเป็นมะเร็งที่อัณฑะได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อควรระวังคือ กวาวเครือทุกชนิดจะมีพิษทำให้เบื่อเมาได้ โดยเฉพาะในกวาวเครือแดงจะมีพิษมากที่สุด ซึ่งการนำมาทำเป็นยาจะต้องนำมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นร่วมด้วย
       
       ล่าสุด ยังมีการวิจัยพบอีกว่า เมล็ดหมามุ่ย ก็มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน โดยการนำเมล็ดหมามุ่ยมาคั่วแล้วบดให้ละเอียด ชงผสมกับน้ำดื่มในช่วงเวลาเย็น แต่ก็ยังมีข้อสังเกตว่า เมล็ดหมามุ่ยที่มีสารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศนั้นเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากประเทศจีนและอินเดีย ส่วนหมามุ่ยในประเทศไทยนั้นเป็นคนละสปีชีส์กัน ฉะนั้นยังต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และระวังว่าอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นหรือไม่
       
       สำหรับสมุนไพรที่ช่วยเรื่องสมรรถภาพทางเพศนั้น ใครใคร่จะทดลองกินก็ควรจะศึกษาข้อมูลการใช้ วิธีการกิน และผลข้างเคียงอื่นๆ ด้วย แต่ที่ดีที่สุดก็คือ การทำสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะได้มีชีวิตอยู่ทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกเยอะ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 10:43:34 pm
“ฟักข้าว” ผักพื้นบ้าน สรรพคุณเยี่ยม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กรกฎาคม 2556 16:43 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2738491)

ไปกิน “ฟักข้าว” กัน!!
       
       หลายคนยังทำหน้างงๆ อยู่เพราะอาจจะยังไม่รู้จักว่าฟักข้าวนั้นคืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง “108 เคล็ดกิน” ก็เลยจะมาบอกสรรพคุณอันเยี่ยมยอดของ “ฟักข้าว” พืชผักพื้นบ้านของเราว่ามีดีอะไรบ้าง
       
       ก่อนอื่นมาพูดถึงเรื่องหน้าตาของฟักข้าวว่าเป็นอย่างไร ใครที่เคยไปเดินตลาดแล้วสังเกตเห็นผักที่ลักษณะเป็นผลทรงกลมๆ หรือรีๆ มีตุ่มแหลมๆ อยู่ทั่วทั้งผล มีทั้งแบบสีเขียวอ่อนที่ยังเป็นผลอ่อน และผลที่สุกแล้วเป็นสีแดง หรือแดงอมส้ม นั่นแหละ “ฟักข้าว” ที่เรากำลังพูดถึงกัน
       
       สำหรับฟักข้าวนั้นเป็นผักพื้นบ้านที่คนไทยกินกันมานานแล้ว กินกันตั้งแต่ยอดอ่อนของฟักข้าว นำมาลวกจิ้มน้ำพริก ผัด ต้ม หรือแกง ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ส่วนผลอ่อนนั้นก็นำมาต้มจิ้มน้ำพริก หรือจะใส่แกงต่างๆ ก็ได้ เพราะเนื้อของฟักข้าวผลอ่อนนั้นละม้ายกับเนื้อมะละกอดิบ แต่เนียนและแน่นกว่า
       
       ซึ่งใบของฟักข้าวตามตำราแพทย์แผนไทยก็มีสรรพคุณแก้ไข้ตัวร้อน ถอนพิษอักเสบ เนื่องจากเป็นผักรสขมเย็น และยังสามารถนำมาตำแล้วพอกแก้ปวดหลัง แก้ฝี แก้พิษ ส่วนผลอ่อนและใบอ่อนของฟักข้าวก็มีการวิจัยออกมาแล้วว่ามีสารที่ช่วยยับยั้งน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งวิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์อีกด้วย
       
       และสารอาหารที่พบมากในฟักข้าวก็คือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งพบอยู่ที่เยื่อเมล็ดของฟักข้าว โดยมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าในแครอทถึง 10 เท่า
       
       ส่วนผลสุกของฟักข้าว หากผ่าเข้าไปดูภายในแล้วจะพบกับเมล็ดของฟักข้าวที่เรียงตัวกันและมีเยื่อหุ้มเป็นสีแดง ตามตำราแพทย์แผนไทย เมล็ดฟักข้าวจะมีรสมันเมาเย็น หากกินเมล็ดดิบๆ จะมีพิษ ต้องนำไปทำให้สุกก่อน อาจจะนำไปคั่วก็ได้ กินแล้วช่วยบำรุงปอด แก้ฝีในปอด แก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้ท่อน้ำดีอุดตัน
       
       การศึกษาวิจัยในปัจจุบัน ก็พบสารไลโคปีนในเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว ที่มีมากกว่าในมะเขือเทศ เป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ด้านอนุมูนอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้วิจัยพบโปรตีนในเมล็ดฟักข้าวที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวี และยับยั้งเซลล์มะเร็ง
       
       และสำหรับคนที่รักสุขภาพ ปัจจุบันก็มีการนำฟักข้าวมาทำเป็น “น้ำฟักข้าว” ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ยากนัก เริ่มจากการเลือกใช้ผลฟักข้าวที่สุกแล้ว นำมาปอกเอาเปลือกออก แยกเนื้อฟักข้าวไว้ก่อน ส่วนเมล็ดนั้นจะมีเยื่อหุ้มสีแดงหุ้มอยู่ ให้นำไปขยำกับน้ำเพื่อแยกเอาแต่เยื่อหุ้มเมล็ดมาใช้ จากนั้นนำเยื่อหุ้มเมล็ดที่ได้กับเนื้อฟักข้าวมาปั่นรวมกันให้ละเอียด
       
       จากนั้นนำเนื้อและเยื่อหุ้มเมล็ดที่ปั่นแล้วมาผสมกับน้ำแล้วนำไปตั้งไฟ เคี่ยวด้วยไฟปานกลาง ประมาณ 15-20 นาที ระหว่างนั้นก็ลองชิมแล้วปรุงรสเพิ่มเติมตามชอบด้วยเกลือ น้ำตาล หรืออาจะใส่น้ำมะขามหรือน้ำเสาวรสเพิ่มความเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเสร็จแล้วสามารถดื่มน้ำฟักข้าวได้ทั้งตอนที่ยังอุ่นอยู่ หรือจะแช่ให้เย็นแล้วค่อยดื่มเพิ่มความสดชื่นก็ได้


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000088241)

.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 10:48:49 pm
ปลาดอรี่ ที่โด่งดังไปทั่วโลกที่จริงคือ ปลาสวายเวียดนาม
-http://world.kapook.com/pin/51e8be6738217a5348000000-


GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius (http://www.youtube.com/watch?v=bXGAgYw4JZk#ws)

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius

GLOBAL 3000 | A Fish Named Pangasius (http://www.youtube.com/watch?v=bXGAgYw4JZk#ws)

-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=bXGAgYw4JZk-

คลิปนี้เป็นความจริงชวนอึ้ง ของ "ปลาดอรี่" ปลาเนื้อนุ่ม ที่ใครหลายๆ คนยกให้เป็นอาหารจานโปรด ในเมนูปลา ด้วยมันถูกเรียกว่า ปลาดอลี่ ชื่อก็ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้ ทำให้คนต่างเข้าใจผิดกันไปว่า มันเป็นปลาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งจริงๆ แล้วนั้น ปลาดอรี่ ที่เรากินกันอยู่ตามร้านอาหารนั้น เป็น ปลาสวายเวียดนาม หรือ ปลา Cream Dory เอง ไม่ใช่ว่า ปลาดอรี่ ต้นตำรับของจริงที่ชื่อ จอห์น ดอลี่ (John Dory) แต่อย่างใด ส่วนทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันไปยกใหญ่ขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า ชื่อปลาภาษาอังกฤษ มันมีคำว่า ดอรี่ เหมือนกัน ซ้ำร้ายพอนำเข้ามาจากเวียดนาม ไม่มีการระบุในฉลากสินค้าว่า เป็นปลาสวายด้วย ซึ่งผิดกับต่างประเทศ ที่มีการระบุชัดเจนว่ามันคือ ปลาสวาย นั่นเอง


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 11:05:26 pm
ปลาดอลลี่....พี่ไทยโดนต้มจนสุก
-http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083-

 ปลาดอลลี่.......พี่ไทยโดนต้มจนสุก ขึ้นโต๊ะจีนราคาแพงๆที่แท้ "ปลาสวายธรรมดา" จากเวียดนาม....อย่างไรก็ตามจะไปโทษเอกชนผู้ขายก็ไม่ได้เพราะเขาเขียนชื่อการค้าเป็นภาษาอังกฤษ Pangasius Fillet แถมมีชื่อวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าเป็นปลา Pangasius Hypophthalmus

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1.jpg)

ผู้ขายระบุชื่อว่าเป็น "ปลาดอร์ลี่แล่" กำกับภาษาอังกฤษว่า Pangasius Fillet (Pangasius Hypophthalmus) เป็นการให้ข้อมูล "ถูกต้องแต่ไม่ครบถ้วน" อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นปลาทะเล หรือปลาชนิดใหม่ เพราะผู้บริโภคทั่วๆไปไม่ได้จบการศึกษาวิชา Fisheries หรือ Zoology แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นค้าชนิดเดียวกันที่อเมริกา (ภาพข้างล่าง) เขาระบุรายละเอียดชัดเจนว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มในประเทศเวียดนาม ใช้ชื่อการค้าว่า Swai เพื่อให้ผู้บริโภคชาวมะกันทั่วๆไปได้ทราบ

จริงๆแล้วคนขายเขาก็ไม่ได้หลอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษ พร้อมกำกับด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ไว้เห็นชัดๆว่า Pangasius hypophthalmus แต่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ทราบว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" ในฐานะที่ผมเรียนจบปริญญาวิทยาศาสตร์สาขาเกษตร และทำงานด้านนี้มา 35 ปี จนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสกลนคร และเมื่อครั้งที่เป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม ระหว่างปี 2545 - 2550 ก็คุ้นเคยกับโครงการส่งเสริมเลี้ยงปลาชนิดเดียวกันนี้ที่แม่น้ำโขง โดยใช้งบประมาณยุทธศาสตร์จังหวัด หรือเรียกเล่นๆในสมัยนั้นว่างบผู้ว่าราชการจังหวัด ซีอีโอ

         ด้วยความที่ผมถูกสอนมาตลอดอายุราชการให้ทำหน้าที่รับใช้พี่น้องประชาชน จึงจำเป็นต้องเอาข้อมูลที่เป็นจริงมาเผยแพร่ให้เราๆท่านๆได้รับทราบ ถือว่าเป็นการตอบแทนและขอบคุณสังคมไทยที่ผมเคยได้รับทุนรัฐบาลที่มาจากภาษีของพี่น้องร่วมชาติ ไปฝึกอบรมและดูงานในต่างประเทศหลายครั้ง อีกทั้งบำนาญที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากภาษีของท่านทั้งหลาย

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(1).jpg)

ผมซื้อปลาที่ว่านี้ในห้าง WalMart ที่อเมริกา เขาใช้ชื่อการค้าตรงไปตรงมาว่า Swai มีชื่อวิทยาศาสตร์กำกับว่า Pangasius Hypopthalmus และระบุชัดเจนว่าเป็น "ปลาเลี้ยงจากฟาร์ม" (Farm Raised) และส่งมาจากเวียดนาม (Product of Vietnam) เพื่อให้ผู้บริโภครู้ข้อมูลที่แท้จริง

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(2).jpg)

ปลานิลแล่เนื้อขายในห้าง WalMart ที่อเมริกา ต้องระบุว่า "เป็นปลาที่เลี้ยงจากฟาร์ม"

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1%283%29.jpg)

ขณะเดียวกันปลานิลตัวนี้ก็ต้องระบุว่าเป็นผลผลิตจากการเลี้ยงในฟาร์ม (Farm Raised) ประเทศชิลี

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2.jpg)

ถ้าเป็นปลาแซลม่อนที่จับมาจากทะเลก็ต้องระบุว่า "จับจากธรรมชาติ" (Wild Caught)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2%286%29.jpg)

เปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ฟีเลย์ (John Dory Fillets) ของฝรั่ง กับปลาดอร์ลี่แบบไทยๆ 

คนไทยโดยทั่วไปรังเกียจปลาสวายเพราะเนื้อเหลืองไม่น่ากิน แต่พอไปเห็นปลาที่ใช้ชื่อว่า "ดอลลี่" เนื้อออกสีขาวอมชมพู ดูสวยงามน่ากิน ก็ยอมจ่ายเงินราคาแพงๆเพราะคิดว่านี่แหละของดี

ผมเคยไปดูงานที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม ในคราวประชุม 17th Annual Meeting of MRC Fisheries Program 25-26 November 2010 มีผู้เชี่ยวชาญด้าประมงจากหลายประเทศไปประชุมกัน ฝ่ายไทยก็มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทุกคนยืนยันนั่งยันว่าที่เขาเลี้ยงในบ่อดินริมแม่น้ำ และเข้าโรงงานแร่เป็นชิ้นเนื้อสีขาวอมชมพู คือ "ปลาสวายธรรมดา" ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius Hypophthalmus แต่พี่น้องชาวเวียดนามมีวิธีทำให้ปลาสวายมีเนื้อสีขาวด้วยเทคนิค 2 ข้อ คือ

1.เลือกอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดสีเหลืองเข้าไปแทรกในใขมัน เช่น อย่าให้มีอาหารที่เป็นข้าวโพด และเนื่องจากเมืองนี้อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ (ใกล้ทะเล) จึงมีสามารถหาซื้ออาหารโปรตีนจำพวกปลาป่นราคาถูกๆ 

2.มีการถ่ายเทน้ำให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาโชคดีที่เมืองนี้อยู่ใกล้ทะเลทำให้มีน้ำขึ้นและน้ำลง จึงสามารถถ่ายน้ำเข้าและออกจากบ่อดินได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำให้สิ้นเปลืองพลังงาน

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/071229.jpg)

ด้วยเหตุผลที่ว่าทำให้ปลาสวายธรรมดามีเนื้อสีขาวอมชมพู ในต้นทุนที่ต่ำ สามารถส่งออกตีตลาดได้ทั่วโลก เฉพาะตลาดอเมริกาแห่งเดียวพี่แกก็รับทรัพย์ไปแบบเต็มๆ 

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/P1010036.jpg)

อาหารที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นราคาถูกๆ แรงงานก็ราคาถูก ไม่ใช่ 300 บาทเหมือนบ้านเรา

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/imagesdf(1).jpg)

บ่อดินที่ใช้เลี้ยงปลาสวายก็ติดกับแม่น้ำโขง ทำให้สามารถถ่ายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลา เพราะมีน้ำขึ้นน้ำลงทุกวัน

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(4).jpg)

ภาพนี้ผมถ่ายด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าบ่อเลี้ยงปลาสวายอยู่ติดแม่น้ำโขง สามารถระบายน้ำเข้าออกได้ตลอดเวลาโดยอาศัยน้ำขึ้นน้ำลง (ไม่ต้องใช้พลังงานเครื่องสูบน้ำ) ทำให้บ่อสะอาด

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide4.jpg)

ผมถ่ายภาพขณะนั่งรถยนต์มองเห็นชัดเจนว่าบ่อเลี้ยงปลาที่ "เมืองเกิ่นเถอ" ประเทศเวียดนามอยู่ติดแม่น้ำโขง

 
(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/vietnam+opens+fourth+international+airport+in+can+tho_3467_800320182_0_0_7005702_300.jpg)

เมือง Can Tho (เกิ่น เถอ) อยู่ใกล้ทะเลจึงหาอาหารปลาได้ในราคาถูก แถมยังมีน้ำขึ้นน้ำลงช่วยให้ถ่ายน้ำเข้าออกจากบ่อเลี้ยงปลาได้อย่างสบายๆ

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/pangasiuss.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/imagesfg.jpg)

อุตสาหกรรมของเขาครบวงจรตั้งแต่เพาะลูกปลา เลี้ยงให้โต และแปรรูปเป็นเนื้อชิ้นที่สวยงาม และส่งออก

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2(1).jpg)

ผมไปร่วมประชุม MRC Fisheries Programme ที่เมือง Can Tho Vietnam ได้สัมผัสกับวิธีการเลี้ยงปลาสวายให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู เกษตรกรที่นั่นขายปลาสวายที่ปากบ่อได้ราคากิโลกรัมละ 1 USD ก็ดีใจแล้ว เพราะต้นทุนเขาต่ำเมื่อเทียบกับประเทศไทยทั้งค่าอาหาร และค่าแรงงาน

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1%285%29.jpg)

บรรยากาศในห้องประชุม

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide6.jpg)

ดูกันชัดๆว่านี่คือ "ปลาสวายธรรมดา" แต่เวียดนามเขาสามารถเลี้ยงให้มีเนื้อสีขาวอมชมพู ผมถ่ายภาพนี้กับมือตัวเองที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงที่เมือง Can Tho ประเทศเวียดนาม

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide7.jpg)

ทำอาหารต้มยำอร่อยมาก ภาษาเวียดนามพูดว่า "อันก้า งอนหลำ"

จากปลาสวายธรรมดากลายเป็นอาหารชั้นดี ดูไฮโซ ขึ้นเหลา ขึ้นโต๊ะอาหารฝรั่ง

พ่อค้าไทยบางกลุ่มหัวใสครับ สั่งปลาสวายเวียดนามเข้ามาตั้งชื่อใหม่ซะสวยหรูว่า "ดอร์ลี่" คนไทยอย่างเราๆท่านๆเห็นอาหารแบบนี้แล้วน้ำลายไหล ดูน่ากิน แพงเท่าไหร่ก็สู้เพราะเชื่อว่าเป็นปลาชั้นเลิศ

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/images%E0%B8%9F.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/images%E0%B8%81%E0%B9%80.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/dolly1.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/images%E0%B9%80%E0%B9%89.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%94.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2%282%29.jpg)

ผมอยู่บ้านในเมืองทัลซ่า รัฐโอคลาโฮม่า สหรัฐอเมริกาไปซื้อปลาสวายที่ห้าง WalMart ราคาไม่แพงเหมือนปลาดอร์ลี่บ้านเรามาทอดให้หลานกิน ที่อเมริกาปลาสวายคือสวาย ไม่มีการแหกตาตั้งชื่อใหม่ๆให้สับสน แถมยังระบุด้วยว่าเจ้านี่คือปลาเลี้ยงในฟาร์มนำเข้่าจากประเทศเวียดนาม

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/photo-1.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/IMG_0116.JPG)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/IMG_0117.JPG)

ท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ปิ้งไอเดียการเลี้ยงปลาสวายเนื้อขาว (โดยคิดว่านั่นคือปลาเผาะ) เลยเอามาส่งเสริมที่จังหวัดนครพนมภายใต้แผนยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดผู้ว่าซีอีโอ เมื่อปี 2547 - 49 เพื่อการส่งออกไปประเทศสเปนส์

      ยอมรับว่าตอนนั้นพวกเราเข้าใจผิดว่าปลาสวายเนื้อขาวที่พี่น้องชาวเวียดนามเลี้ยงคือ "ปลาเผาะ" (Pangasius bocourti) ซึ่งเป็นปลาธรรมชาติอยู่ในแม่น้ำโขง ปลาชนิดนี้ชาวนครพนมรู้จักดีมีเนื้อสีขาวอมชมพู เพราะจับมากินเป็นอาหารชั้นเลิศ เช่นผัดฉ่า ต้มยำ ขายราคาแพงๆในร้านอาหารดังๆ


      ผมเป็นเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สนับสนุนในนามของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีสถานีประมงน้ำจืดนครพนมเป็นตัวจักรในการผลิตลูกปลาเผาะที่ว่า และสถาบันอาหารของกระทรวงอุตสาหกรรมรับผิดชอบในส่วนการจัดหาอาหารปลาและการตลาด องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบส่งเสริมการเลี้ยงในกระชังตามริมแม่น้ำโขง โครงการนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่โดย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีเป็นโต้โผ มีการติดต่อกับฑูตประเทศสเปนส์ให้นำบริษัทเอกชนมาลงนามรับซื้อปลาเผาะอย่างเป็นทางการ มีการนำเอกอัคราชฑูตหลายประเทศมาดูงานที่นครพนม



(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide6%281%29.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide4%281%29.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide5%281%29.jpg)
บรรดาท่านฑูตร่วมกันช้อนปลาเผาะที่เลี้ยงในกระชังอย่างสนุกสนาน 


      แต่พอดำเนินโครงการเข้าจริงๆมารู้ตอนหลังว่า "ขาดทุน" เพราะเหตุผลปลาเผาะโตช้ามากกินอาหารหมดตามโควต้าแล้วก็ยังไม่ได้ขนาด ทำให้เกษตรกรต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด เพราะราคาของการขายส่งออกต่างประเทศเป็นราคาเชิงอุตสาหกรรมกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้งการเพาะเลี้ยงให้ออกลูกก็ยากทำให้ได้ลูกปลาน้อยเกินไปที่จะเป็นเชิงอุตสาหกรรม และยิ่งมารู้ตอนหลังว่าที่เวียดนามเขาเลี้ยงกันคือปลาสวายธรรมดา "ไม่ใช่ปลาเผาะอย่างที่เราเข้าใจ" แต่ใช้วิธีบริหารจัดการอาหารและวิธีการถ่ายน้ำในบ่อทำให้มีเนื้อเป็นสีขาวอมชมพู ก็ยิ่งเสียความรู้สึกไปเยอะ

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide3.jpg)
 

ภาพปลาเผาะที่เกษตรกรเลี้ยงในกระชังริมแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม


ทำความรู้จัก "ปลาดอร์ลี่" ตัวจริง กับ ย้อมแมว

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(7).jpg)

ปลาดอร์ลี่ตัวจริงอยู่ในทะเลลึกที่มหาสมุทแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื้อแน่น น่ากิน มีชื่อเล่นว่า "จอห์น ดอร์ลี่" (John Dory) ชื่อวิทยาศาสตร์ Zenopsis conchifera

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2%283%29.jpg)

ภาพเปรียบเทียบระหว่างปลาดอร์ลี่ ตัวจริงกับ ปลาดอร์ลี่ย้อมแมว

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(8).jpg)

ภาพปลาดอร์ลี่ กับปลาทะเลที่มีชื่อเสียงชนิดต่างๆ

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1%287%29.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide2(5).jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide3(1).jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide4(2).jpg)

เปรียบเทียบสเต็กปลาดอร์ลี่ตัวจริง รูปร่างกลมๆป้อมๆ กับสเต็กปลาดอร์ลีย้อมแมว รูปร่างยาวๆ (ก็ปลาสวายนี่หว่า) ผู้บริโภคสเต็กถูกแหกตามาตลอดครับพ้ม

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1%289%29.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide3%282%29.jpg)

(http://www.yclsakhon.com/images/sub_1367075163/Slide1(10).jpg)
 

ปลาดอร์ลี่ตัวจริงเสียงจริงเป็นปลาทะเล ส่วนปลาดอร์ลี่แบบไทยๆคือปลาสวายอยู่ในน้ำจืดเลี้ยงในบ่อตามริมแม่น้ำโขงที่ประเทศเวียดนาม

เป็นยังไงครับเมื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มคิดใหม่แล้วครับอย่าให้ถูกต้มถูกหลอกอีกต่อไป.........ความจริงกรมประมงก็ออกข่าวนี้อย่างเป็นทางการแต่สื่อมวลชนยังไม่ค่อยตีข่าวมากนัก

http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083 (http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 20, 2013, 06:10:45 pm
"ตักบาตร" คิดถึงพระ(บ้าง) ลดหวาน มัน เค็ม!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 กรกฎาคม 2556 14:33 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2735502)
ร่วมทำบุญตักบาตรในวันเข้าพรรษา


       "วันอาสาฬหบูชา"และ "วันเข้าพรรษา" เป็น 2 วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนิกชนต่างให้ความสำคัญกันเป็นจำนวนมาก
       
       และในช่วงวัน 2 วันพระใหญ่นี้ ก็จะมีการทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธมักจะทำบุญตักบาตรด้วยสิ่งของหรืออาหารที่ดีที่สุด เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2735503)

“ข้าวกล้อง” อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร


       แต่ในทางกลับกันการทำบุญหรือการถวายอาหาร ที่มีแต่ความน่ากิน และความอร่อย โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ หรือโทษของอาหารที่นำมาถวายนั้น อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์ได้
       
       จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจด้านการเจ็บป่วยของพระสงฆ์ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ พบว่า มีพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 7.17 โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 7.70 ภาวะไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 10.30 และนอกจากนี้แล้วยังพบว่าพระภิกษุสงฆ์ มีภาวะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดได้

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2735504)

ถวายผัก-ผลไม้ ช่วยเพิ่มสารอาหารให้ร่างกาย


       ในช่วงเข้าพรรษานี้จึงมีข้อแนะนำดีๆ สำหรับผู้ที่ต้องการทำบุญด้วยการใส่บาตรพระ โดยการหันมาทำบุญตักบาตรด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ลด หวาน มัน เค็ม งดอาหารหมักดอง เปลี่ยนเป็นถวายอาหารที่มีกากใยสูง และไขมันต่ำ เช่น ข้าวกล้อง เพราะในข้าวกล้องอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ และคุณค่าทางอาหาร รวมถึงเกลือแร่ต่างๆ ประกอบไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง เป็นต้น และถ้าหากกินข้าวกล้องเป็นประจำ ก็จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา หรือโรคปากนกกระจอกได้
       
       นอกจากนี้แล้วยังมีอาหารประเภทอื่นที่ควรถวายอีกมากมาย อาทิ ผักและผลไม้สดที่มีรสไม่หวาน หรือปลา เพราะในเนื้อปลาจะมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และไขมันต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือถ้าถวายเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรให้ติดส่วนมันหรือหนัง และควรมีผัก-ผลไม้สด ในการใส่บาตรด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์แก่ร่างกาย และเพิ่มกากใยอาหารอีกด้วย
       
       สำหรับในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ หรือวันพระอื่นๆ หรือการตักบาตรตามปกติทั่วไป รวมไปถึงการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแนะนำให้เลือกอาหารที่มีประโยชน์ และลดไขมันไปถวายพระ(บ้าง) เพราะนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ ให้กับพระภิษุสงฆ์อีกทางหนึ่งด้วย


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087077)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2013, 09:31:28 am
ดอกรัก - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220116-


(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/220116.jpg)




รักเป็นไม้ดอกต้นสูง 1.5–3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6–8 เซนติเมตร ยาว 10–14 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2–3 เซนติเมตร มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ส่วนนี้เองที่นำมาใช้ร้อยมาลัย ผลเป็นฝักคู่ รูปรีปลายแหลมกว้าง 3–4 เซนติเมตร ยาว 6–8 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกและปล่อยเมล็ดแบนสีน้ำตาลจำนวนมาก ที่มีขนสีขาวเป็นพู่กระจุกอยู่ที่ตรงกลางปลายด้านหนึ่ง ให้ปลิวไปตามลม

ในตำราแพทย์แผนไทยมีการใช้ดอกรัก รักษาอาการไอ หอบหืด และหวัด ช่วยให้เจริญอาหาร เปลือกและราก ใช้รักษาโรคบิด ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับน้ำเหลืองเสีย และทำให้อาเจียน ยางถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แต่ก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย สามารถบรรเทาอาการปวดฟัน ปวดหู ขับพยาธิ รักษากลากเกลื้อน และใช้เป็นยาขับเลือด.



----------------------------------------------------




หอยขม - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/219932-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/219932.jpg)

หอยขมเป็นหอยน้ำจืดขนาดเล็ก มีเปลือกเป็นเกลียวกลมยอดแหลม เปลือกหนาและแข็ง ผิวชั้นนอกเป็นสีเขียวแก่ ฝาปิดเปลือกเป็นแผ่นกลม ตีนใหญ่ จะงอยปากสั้นทู่ ตามีสีดำอยู่ตรงกลางระหว่างโคนหนวด ตัวผู้มีหนวดข้างขวาพองโตกว่าเส้นข้างซ้าย ลักษณะพิเศษของหอยชนิดนี้จะมีอวัยวะเพศทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน ออกลูกเป็นตัว และผสมพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง

ในตำราแพทย์แผนไทยใช้เข้าตำราทั้งเนื้อ เปลือก และใช้ทั้งตัว สรรพคุณแก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย กระษัยท้องมาน กระษัยลิ้นกระบือ อัมพาต แก้ธาตุดินพิการ บำรุงกระดูก รักษาอาการปวดกระดูก ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงถุงน้ำดี บำรุงลำไส้ แก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า รักษาอาการอยู่ไฟไม่ได้ เล็บขบ บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้กามโรค แก้บิด แก้ปวดมวนท้องหรือถ่ายเป็นมูกเลือด ไฟลามทุ่ง เริม งูสวัด แก้ขี้ทูดกุดถัง กลากเกลื้อน แก้ตานซาง แก้พยาธิอกหัก หายใจหอบหืด หายใจเร็ว เจ็บหน้าอก แก้ตาแดง ตาต้อ ใช้เป็นยาถ่ายของไก่ แก้ช้ำใน เป็นต้น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 23, 2013, 09:53:23 pm
"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง-เบาหวาน-ความดัน-หัวใจ"

-http://campus.sanook.com/1369210/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88/-


(http://p3.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369210/13703977641370397829l.jpg)


นักโภชนาการมหิดลเผยวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระใน "น้ำพริกตาแดง" ชี้กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็น "มะเร็ง-เบาหวาน-หัวใจ-ความดันโลหิต"ได้

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายเอกราช เกตวัลห์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า อาหารไทยถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะน้ำพริกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารติดบ้านเรือนของคนไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยคุณค่าทางอาหารในน้ำพริกตาแดง พบว่าเป็นน้ำพริกที่มีส่วนประกอบจากเครื่องเทศและสมุนไพรสดหลายชนิด ซึ่งล้วนมีสารสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ

"จากการวิจัยได้ใช้น้ำพริกตาแดงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง โดยใช้ 3 วิธีทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่มีหลักการแตกต่างกัน พบว่าน้ำพริกตาแดงตำรับสุขภาพมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และลูทีน (Lutein) อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดทีพ สเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ และฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำด้วยควันบุหรี่ เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่และได้รับอาหารผสมน้ำพริกตาแดง 1 หน่วย และ 2 หน่วย เทียบกับหน่วยบริโภคของคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และน้ำหนักหนู สามารถต้านสารอนุมูลอิสระ และการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีค่าเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างเดียว และกลุ่มควบคุม" นายเอกราชกล่าว

จากผลการวิจัยดังกล่าว นายเอกราชกล่าวว่า สรุปได้ว่าน้ำพริกตาแดงประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถต้านอนุมูลอิสระทั้งในหลอดทดลอง และในร่างกายของหนู นอกจากนี้ ยังสามารถลดการอักเสบจากการได้รับควันบุหรี่อีกด้วย ดังนั้น หากมีการบริโภคน้ำพริกตาแดงเป็นประจำ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ด้าน รศ.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า อาหารไทยมักมีส่วนประกอบพวกเครื่องแกง พริกต่างๆ ซึ่งล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น พริก มีคุณสมบัติช่วยระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเทียม มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ตะไคร้ มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด หอมแดง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ข่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ผิวมะกรูด ลดความดันโลหิต เป็นต้น จึงแนะนำให้ทุกบ้านบริโภคน้ำพริกเป็นอาหารหลัก

(ที่มา:มติชนรายวัน 5 มิ.ย.2556)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 27, 2013, 07:04:52 am
สาวๆควรรู้ ผิวสวยเด้ง ด้วย “คอลลาเจน” ในอาหาร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 กรกฎาคม 2556 17:10 น.    
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000090304-

สาวๆ (และหนุ่มๆ บางคน) สมัยนี้ หันมาสนใจเรื่องของสุขภาพและการกินอาหารกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีสุขภาพดี มีการกินอาหารที่เหมาะสมแล้ว เชื่อกันว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสดั่งวัยแรกรุ่น
       
       แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงอาจจะเริ่มมีริ้วรอยเข้ามาทดแทน ฉะนั้นก็เลยต้องสรรหาอาหารที่จะมาช่วยเสริมความงามของผิวพรรณ โดยเฉพาะ “คอลลาเจน” ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง พอเรามีอายุมากขึ้น เจ้าคอลลาเจนเหล้านี้ก็เริ่มเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผิวหนังมีริ้วรอย และเหี่ยวย่น นี่จึงเป็นที่มาของการสรรหาคอลลาเจนมาเสริมให้กับผิวหนังของเรา
       
       หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคอลลาเจนที่สกัดออกมาเป็นเม็ดแคปซูลที่วางขายตามท้องตลาด แต่ “108 เคล็ดกิน” อยากจะบอกว่า อาหารที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ เป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นยอดของเราเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะให้คอลลาเจนแล้ว ก็ยังมีอีลาสตินผสมอยู่ด้วย โดยอีลาสตินนั้นก็จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นนั่นเอง
       
       สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจนอยู่เยอะและหากินได้ง่ายก็คือ เนื้อสัตว์สีขาวทั้งหลาย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา โดยคอลลาเจนจะซ่อนตัวอยู่ในโปรตีนในเนื้อสัตว์เหล่านี้ และยังมีในพวกกระดูกอ่อนหมู กระดูกอ่อนไก่ ซึ่งอาหารที่สังเกตได้ง่ายๆ ว่ามีคอลลาเจนอยู่ อย่างเช่น ต้มยำไก่ น้ำซุปกระดูกหมู เมื่อต้มจนสุกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น น้ำซุปก็จะมีลักษณะคล้ายกับวุ้น นี่แหละคือคอลลาเจนที่เราจะได้กินเข้าไป แต่หากว่าใครกลัวอ้วนจากไขมันที่ได้ผสมมา เวลาที่ต้มก็สามารถช้อนฟองไขมันที่อยู่ด้านบนออกทิ้งไป ก็จะช่วยลดไขมันลงไปได้
       
       นอกจากจะพบคอลลาเจนในเนื้อสัตว์ต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถพบได้อีกในอาหารทะเล โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก, ปลาทู, ปลากระเบน, กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือพบบริเวณตาปลาที่มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้นใส และยังพบในผักผลไม้ต่างๆ อาทิ สาหร่ายทะเล, เห็ดทุกชนิด, หัวบุก, ถั่วเหลือง, แตงกวา, ขึ้นฉ่าย, มะกอก, ส้มโอ, แก้วมังกร, แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะมีปริมาณน้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์
       
       ที่สำคัญ การจะกินคอลลาเจนพวกนี้ให้ได้ผลดี จะต้องกินควบคู่ไปกับวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าไปในร่างกาย ให้ร่างกายได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
       
       ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีคอลลาเจน และมีวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เช่น ต้มยำขาไก่ หรือ ต้มซุปเปอร์ขาไก่ ที่จะได้คอลลาเจนจากน้ำซุปไก่และกระดูกอ่อนของไก่ ผสมกับวิตามินซีจากมะนาวที่บีบลงไปเพิ่มรสชาติเปรี้ยว แถมยังได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมจากสมุนไพรและผักอื่นๆ ที่ใส่ลงไปด้วย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2013, 09:16:51 pm
ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/221749.jpg)
ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.



หมากแดง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221508-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/221508.jpg)
หมากแดงเป็นปาล์มตระกูลเดียวที่มีสีแดงสด มีกอสูงถึงประมาณ 15 ฟุต ลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้องเห็นได้ชัด กาบใบมีสีแดงทางใบก็มีสีแดงสด และโค้งงอลงด้านล่าง ใบรูปขนนก มีใบย่อย 25 คู่ ใบย่อยยาวประมาณ 18 นิ้ว ด้านบนสีเขียวแก่ ด้านล่างสีเขียวอ่อน มีสีเหลือบเงินเล็กน้อย ก้านใบจะสั้นยาวประมาณ 6 นิ้ว หมากแดงที่ปลูกกันอยู่ทั่วไป 2 ชนิด คือชนิดสีส้มและชนิดสีแดง หมากแดงนี้ทางภาคใต้เรียกว่า หมากก้นแดงหรือกาบแดง

ดอก สีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงใต้โคนกาบใบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ช่อดอกยาว ประมาณ 50 เซนติเมตร ผล มีเนื้อเมล็ดเดียว ติดผลจำนวนมาก ทรงกลมรี ขนาด 0.8 เซนติเมตร ผลแก่สีดำ เมล็ดกลมรี คนภาคใต้สมัยก่อนนิยมนำใบหมากแดงมาใช้ประโยชน์ในทางสมุนไพรรักษาอาการ ร้อนใน.




พลา - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221239-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/221239.jpg)
พลา เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงถึง 15 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว 8-17 ซม. ใบเรียบ ปลายใบแหลมหยักคอดเป็นติ่งสั้นหรือเว้าแหว่งเป็นริ้ว ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมี 3 เส้น จากฐานเดิม มีขนสากทั่วไป ช่อดอกออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ เกสรเพศผู้มีจำนวนมากและล้อมรอบรังไข่ ผล รูปไข่ กลับ มีก้านยาวโค้ง ผิวของผลมีขนทั่วไป เมื่อแก่สีเหลือง สุกสีเขียวคล้ำถึงดำ พลาออกดอก ตั้งแต่เดือนเมษายน พฤษภาคม ในภาคกลางเรียกว่าพลับพลา ขี้เถ้า ภาคเหนือเรียกว่า กะปกกะปู สากกะเบือ พลา คอม กอม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า คอมส้ม ก้อมส้ม ภาคตะวันออกเฉียงใต้เรียกว่า พลองส้ม คอมเกลี้ยง มลาย ภาคใต้เรียก พลา ผลพลา สุกกินได้ ในตำราแพทย์แผนไทยใช้ เนื้อไม้ แก่น ต้มน้ำดื่ม แก้หืด.



ยอดมะม่วงหิมพานต์ - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/220771-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/220771.jpg)
มะม่วงหิมพานต์ตระกูลเดียวกับมะม่วง เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 6-12 เมตร เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน  มียางสีเหลืองและเหนียวใสเปลือกต้นสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม หนา ออกใบแบบสลับใบรูปร่างรูปไข่กลับ ปลายใบมนป้านและฐานใบแหลม ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีกลิ่นอ่อน ๆ เมื่อดอกบานจะกลายเป็นสีชมพู ส่วนของฐานรองดอกจะเจริญค่อย ๆ กลายเป็นผลโดยจะขยายใหญ่พองโตคล้ายกับผลชมพู่

ยอดอ่อนใบอ่อนใช้รับประทาน ชาวใต้รับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนสดเป็นผักร่วมกับน้ำพริก แกงเผ็ดขนมจีนน้ำยาเช่นเดียวกับชาวอิสานที่นำยอดอ่อนและใบอ่อนสดรับประทานกับลาบก้อยป่นปลาและน้ำพริก ในตำราแพทย์แผนไทย ใบ มีสรรพคุณเป็นยาสมานลำไส้บรรเทาอาการท้องร่วง ใบแก่ใช้บดใส่แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก และใบสดนำมาเผาไฟ สูดดมควันเพื่อรักษาอาการ ไอ เจ็บคอ.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 09:23:33 pm

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อ่อน - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222472-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/222472.jpg)

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มีแร่ธาตุและวิตามินหลายอย่าง เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินอี ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยช่วยการทำงานของลำไส้ คนไทยในอดีตนิยมนำใบมาบดละเอียดใช้พอกแผลไฟไหม้ ยอดอ่อน กินแก้ท้องร่วง ยาง นำไปทำน้ำหมึก น้ำมันขัดเงา ลำต้น ใช้ทำหีบใส่ของ ลังไม้ ดุมล้อเกวียน รากที่อยู่ใต้ดินนำมาเป็นยาสมานแผล น้ำมันในเมล็ด รักษากลาก เกลื้อน และโรคผิวหนังอื่น ๆ ส่วนลูกอ่อนจะใช้รับประทานกับน้ำพริกกะปิ หรือใช้เป็นผักเครื่องเคียงในการรับประทานกับขนมจีน น้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ด มีสรรพคุณใช้เป็นพิษต้านเชื้อจุลินทรีย์โดยเฉพาะเชื้อหนองชนิด บางรายงานระบุว่า น้ำมันที่สกัดได้จากเปลือกเมล็ด เคยใช้รักษาโรคเรื้อน เกลื้อนและหูดได้   ขณะเดียวกันก็มีโทษ คือน้ำมันที่สกัดจากเปลือกเมล็ดหากสูดดมอาจจะเกิดการระคายเคือง และมีพิษรุนแรงต่อระบบหายใจ.


ข้าวโอ๊ต - เรื่องน่ารู้
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:03 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222246-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/222246.jpg)

ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและสารแอนตี้ออกซิแดนท์   มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่าง ๆ ได้ดี  ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้รู้สึกอิ่มนาน  ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจ องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก  (code:33012 คัดลอกข้อมูลมาจาก www.n3k.in.th/ (http://www.n3k.in.th/)).



ผักกระเฉด - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/221749-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/221749.jpg)

ผักกระเฉดถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เป็นพืชพื้นเมืองของไทยและพบได้ที่ประเทศมาเลเซีย สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในน้ำ และบนบก แต่ถ้าเจริญเติบโตในน้ำจะมีส่วนทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้ลอยน้ำได้เป็นเหมือนทุ่นลอยน้ำ มีวิตามินซีสูง มีวิตามินเอ ผักกระเฉดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยในระบบสืบพันธุ์ มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ ในตำราสมุนไพรไทย ผักกระเฉดเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ ในสูตรยาโบราณจะนำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฟันที่ปวด เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2013, 08:27:38 am
มะเกลือ - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223399-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/223399.jpg)

มะเกลือเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลา โคนต้นมักเป็นพูพอน ผิวเปลือกเป็นรอยแตกสะเก็ดเล็กๆ สีดำ เปลือกในสีเหลือง กระพี้สีขาว กิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นประปราย ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็กรูปไข่หรือรีเรียงตัวแบบสลับ ปลายใบสอบเข้าหากัน โคนใบกลม หรือมน ผิวใบเกลี้ยง  ใบที่ยังอ่อนจะมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกแยกเพศต่างต้น ดอกตัวผู้มีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หนึ่งช่อมี 3 ดอก ดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะดอกเหมือนกัน คือ กลีบรอง ตรงกลางดอกมีเกสร ผล กลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ผลแก่จัดจะแห้ง มีกลีบเลี้ยงติดบนผล 4 กลีบ ผลแก่ราวเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เมล็ด แบน สีเหลือง 4-5 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ในทางสมุนไพรไทยจะนำรากและ ผลสด โตเต็มที่และสีเขียวจัด ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม   ผลมะเกลือสดที่เขียวจัด จะใช้ในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด เป็นต้น


ตะลิงปลิง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223252-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/223252.jpg)

ตะลิงปลิงเป็นไม้ผลที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายประการ ทุกส่วนของต้นไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก และผล สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด โดยทั่วไปจะนิยมปลูกตะลิงปลิงไว้รับประทานผล โดยผลอ่อนจะนำมาใส่อาหารที่ต้องการความเปรี้ยว เช่น ต้มยำ แกงส้ม สามารถนำไปใช้ทำส้มตำได้เช่นกัน หรือหากต้องการรับประทานผลดิบ มักจะจิ้มกับน้ำปลาหวาน หรือกะปิ

ส่วนสรรพคุณทางสมุนไพรคนไทยเมื่อครั้งอดีตจะใช้ใบนำไปบดชงกับน้ำร้อนหรือนำไปต้ม ดื่มแก้ลำไส้ใหญ่อักเสบและรักษาโรคซิฟิลิส นำใบมาตำพอกรักษาสิว คางทูม ดอกตะลิงปลิง มีรสเปรี้ยวฝาด สามารถนำมาชงเป็นน้ำชา ดื่มบรรเทาอาการไอ รากตะลิงปลิง นำไปตากแห้ง ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยลดไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้โลหิตออกตามกระเพาะอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน แก้คางทูม แก้ไขข้ออักเสบ รักษาสิว ผลตะลิงปลิง ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร  ลดไข้ ฟอกโลหิต ยาบำรุงแก้ปวดมดลูก แก้ไอบรรเทาโรคริดสีดวงทวารแก้ลักปิดลักเปิดเป็นต้น.


จิก - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223000-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/223000.jpg)

จิกเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 4-8 เมตรลำต้นมีปุ่มปมเปลือก แผ่นเปลือกชั้นในสีเหลืองแกมน้ำตาล ถึงชมพู มีเส้นใยเหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนรอบกิ่ง เป็นกระจุกที่ปลายกิ่งแผ่นใบคล้ายกระดาษ ไม่นุ่ม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ ถึงรูปหอกแกมรูปไข่กลับ เกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนเป็นมัน ปลายเรียวแหลม ฐานสอบแคบ ขอบหยักละเอียด ก้านใบอวบสั้น ดอกออกที่ปลายกิ่ง เป็นช่อกระจะ ช่อดอกห้อยลง ดอกใหญ่ ผล สีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้านมีกลีบเลี้ยงสองด้าน มีกลีบเลี้ยง 2-4 กลีบ
จิกที่ชาวไทยรู้จักคุ้นเคยมากเป็นพิเศษมี 3 ชนิด คือ จิกนา จิกบ้านหรือจิกสวน และจิกน้ำ ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ใบอ่อนกินเป็นผักสด มีรสชาติ ค่อนข้างฝาดเล็กน้อย ดอกจิกมีความงดงามเป็นที่นิยมในหลายท้องถิ่น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ในตำรายาไทยสรรพคุณสมุนไพร ใบ รสฝาด สมานบาดแผล ชัก ธาตุแก้อุจจาระพิการ แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ต้นแก้ปวดศีรษะ เลือดออกตามไรฟัน แก้เสมหะพิการ เนื้อไม้ ขับระดูขาว รากเป็นยาระบาย เมล็ดแก้เยื่อตาอักเสบ แก้อาเจียน แก้ไอ แก้แน่น แก้ไข้ตัวร้อน เป็นต้น.



ส้มโอ - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/222743-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/222743.jpg)

ส้มโอ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่อยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ เช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส กรดอินทรีย์ โมโนเทอร์  มีแคลเซียมบำรุงส่วนที่สึกหรอในร่างกายและมีสารต้านมะเร็ง ส้มโอยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอก ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้เปลือกส้มโอแก้โรคผิวหนัง โดยการเอาไปต้มจนได้ที่แล้วนำน้ำมาทาบริเวณผิวหนัง  ใบใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัวโดยการตำพอกที่ศีรษะ ดอกใช้แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลมผลแก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหารเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร เปลือกผลใช้เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี เมล็ดแก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ รากแก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อน.

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2013, 09:32:34 am
สมอดีงู - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224920-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/224920.jpg)

สมอดีงูเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาแผ่ออกกว้าง เปลือกต้นสีน้ำตาลแกมเทา เรียบ สูงประมาณ 20-30 เมตร ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ใบเป็นรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่ออยู่ตรงง่ามใบ และส่วนยอดของต้น ที่โคนของดอกย่อยจะเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกออกเป็นรูปถ้วยตื้นๆ ผลเป็นรูปมนรี ผิวเกลี้ยง มีสันอยู่ 5 สัน เมื่อผลแห้งจะทำให้มองเห็นสันได้ชัด ในทางการแพทย์แผนไทยจะใช้ผลซึ่งมีรสขมและฝาด แก้พิษดี พิษโลหิต แก้ไอ ขับโลหิตระดู ถ่ายพิษไข้ พิษเสมหะและโลหิต ถ่ายอุจจาระธาตุ ระบายแรงกว่าสมอชนิดอื่น ๆ.


จาวตาล - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224787-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/224787.jpg)

จาวตาลเกิดจากผลแก่จัดของต้นตาลตัวเมีย เมื่อหล่นลงมาชาวบ้านจะเก็บรวบรวมกองไว้ ต่อมาเมล็ดตาลจะแทงส่วนที่คล้ายรากงอกออกมาลงสู่พื้นดิน เรียกว่า งอกตาล ส่วนปลายของงอกตาลมีคัพภะที่จะกลายเป็นต้นอ่อนของต้นตาลซึ่งจะเจริญเติบโตขึ้นและค่อย ๆ แทงยอดขึ้นมาตาม “งอกตาล” จนโผล่พ้นดินและเจริญเติบโตเป็นต้นตาลต่อไป  งอกตาลนั้นไม่ใช่ราก แต่ทำหน้าที่ส่งคัพภะลงไปในดินและต่อมาทำหน้าที่เป็นปลอกหุ้มยอดอ่อน แล้วก็เปื่อยสลายไป ส่วนรากที่แท้จริงจะออกจากฐานต้นอ่อนที่เจริญมาจากส่วนปลายของ “งอกตาล” ต้นอ่อนของตาลมีลักษณะและขนาดพอ ๆ กับหอมแดงหัวโต ๆ  รากแบบเดียวกับรากหัวหอม ต้นอ่อนจะอยู่ลึกลงไปในดิน จึงมักไม่มีใครเห็น จาวตาลนิยมนำไปเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน  2 แบบคือ เชื่อมเปียก จาวตาลจะฉ่ำน้ำตาล หรือเชื่อมแห้ง จาวตาลจะมีเกล็ดน้ำตาลจับแข็ง หรือนำลูกตาลสุกมายีเนื้อสีเหลืองแล้วผสมกับแป้งข้าวเจ้าตากแดด เติมน้ำตาล นำมาใส่ห่อใบตองแล้วนึ่งให้สุก ก็จะได้ขนมเนื้อนุ่มฟูคล้ายขนมเค้ก เรียกว่า ขนมตาล.


มะอึก - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224463-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/224463.jpg)

มะอึกเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1-2 เมตร ทุกส่วนมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. โคนใบเว้าหรือตัด ขอบใบหยักเว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขียว มีขนทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแหลม เกสรเพศผู้สีเหลือง เป็นเส้นรวมเป็นยอดแหลม ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.8-2 ซม. ผิวมีขนยาวหนาแน่น ผลสุกสีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดแบน มีจำนวนมาก เป็นพืชพื้นบ้านของไทย คนไทยนำมะอึกมาใช้ประโยชน์อย่างยาวนาน ทั้งด้านอาหารและยา ในตำราสมุนไพรไทยบรรยายสรรพคุณทางยาของมะอึกไว้ว่า ใน ผลจะมีรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไข้สันนิบาต ส่วนของรากรส เปรี้ยว เย็นน้อย แก้ดีฝ่อ ดีกระตุก แก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว กัดฟอกเสมหะ กระทุ้งพิษ ดับพิษร้อนภายใน ในมาเลเซียใช้เมล็ดมะอึกรักษาอาการปวดฟันโดยมวนเมล็ดมะอึกแห้งในใบตองแห้งแล้วจุดสูดควันเข้าไป.


นางแย้ม - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224268-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/224268.jpg)

นางแย้มเป็นไม้พุ่มล้มลุก ดอกคล้ายดอกมะลิซ้อนหลายดอกอัดรวมกัน แต่เมื่อต้นแก่เมื่อออกดอกแล้วระยะหนึ่งก็จะแห้งตาย สามารถออกดอกได้ตลอดปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูฝนและให้กลิ่นหอมแรงตลอดทั้งวัน การขยายพันธุ์นิยมขุดต้นอ่อน ที่เกิดจากรากที่อยู่ใกล้ผิวดินไปปลูกในพื้นที่อื่นที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด ต้นอ่อนจะเกิดมากตั้งแต่ต้นมีอายุประมาณ 2 ปี หลังจากเริ่มปลูก  ปลูกได้ดีทั้งกลางแจ้งและที่ร่มรำไรปลูกในที่ร่มรำไรจะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากใบและดอกจะมีขนาดใหญ่และสวยงาม การปลูกในครั้งแรกควรปลูกเพียงต้นเดียวเนื่อง จากเมื่อเติบโตได้ระยะหนึ่งจะมีการแตกต้นใหม่ออกมา หากต้องการดอกขนาดใหญ่ ควรเด็ดดอกที่อยู่ตามกิ่งแขนงออกเหลือเฉพาะดอกที่อยู่ที่ยอดบนสุดเท่านั้น คล้ายกับวิธีที่ใช้กับต้นดาวเรืองควรตัดกิ่งและต้นที่แก่ออกบ้างเพื่อจะได้ต้นใหม่ที่ให้ดอกขนาดใหญ่ ที่สำคัญระหว่างตัดแต่งกิ่งให้ระวังใบที่อาจจะสัมผัสกับผิวหนังด้วยใบอาจทำให้ผิวหนังของบางคนระคายเคืองได้.


รำข้าว - เรื่องน่ารู้
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/223854-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/223854.jpg)

รำข้าว คือ ส่วนที่ได้จากกระบวนการสีข้าว โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รำหยาบและรำละเอียด รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารสูง ได้แก่ โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีการนำรำข้าวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันสำหรับบริโภคที่มีคุณภาพดี เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลต่ำ(code:33012 ข้อมูลจากสำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว).


ทองพันช่าง - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/224074-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/224074.jpg)

ทองพันช่างเป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีประสีม่วงแดง ผลแก่ แตกได้ คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะนำใบสด รากสด มาตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง โดยใช้ใบสด หรือราก มาตำแช่เหล้า หรือแอลกอฮอล์ แล้วทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนังบ่อย ๆ ใช้ใบสด ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันก๊าด ทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 1 ครั้ง  3 วัน โรคกลากมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางที่ดีขึ้น และหายในที่สุด  ใช้รากทองประมาณ 6-7 รากและหัวไม้ขีดไฟครึ่งกล่อง นำมาตำเข้ากันให้ละเอียด ผสมน้ำมันใส่ผมหรือวาสลีน ทาบริเวณที่เป็นกลาก หรือโรคผิวหนังบ่อย ๆ  หรือใช้ราก บดละเอียดผสมน้ำมะขามและน้ำมะนาว ชโลมทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนัง อาการจะค่อย ๆ บรรเทาและหายไปในที่สุด.

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 17, 2013, 09:03:56 am
สับปะรด - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/225797-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/225797.jpg)

สับปะรดเป็นไม้ล้มลุกสูงประมาณ 90-100 ซม. ลำต้นใต้ดิน ปล้องสั้น ไม่แตกกิ่งก้านมีแต่กาบใบห่อหุ้มลำต้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนถี่ ไม่มีก้านใบ ใบเรียวยาว โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ปลายแหลม ขอบใบมีหนาม แผ่นใบสีเขียวเข้มและเป็นทางสีแดง ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเรียงอัดกันแน่นรอบแกนช่อดอก ก้านช่อใหญ่แข็งแรง กลีบดอก 3 กลีบ ด้านบนสีชมพูอมม่วง ด้านล่างสีขาว เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียงกัน 2 ชั้น ผล เป็นผลรวมรูปรี โคนกว้าง ปลายสอบ มีใบสั้นเป็นกระจุกที่ปลายผล เรียกว่าตะเกียง ผลสุกสีเหลืองสดและฉ่ำน้ำในทางการแพทย์แผนไทยจะนำรากมาใช้ประโยชน์ในการ แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี แก้หนองใน แก้มุตกิดระดูขาว แก้ขัดข้อ หนาม ใช้แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ไข้ ลดความร้อน ไข้พา ไข้กาฬ  ใบสด ใช้เป็นยาถ่าย ฆ่าพยาธิในท้อง ยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย  ผลดิบ  ใช้ห้ามโลหิต แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ฆ่าพยาธิ และขับระดู  ผลสุก ใช้ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงกำลัง ช่วยย่อยอาหาร แก้หนองใน มุตกิด กัดเสมหะในลำคอ ไส้กลางสับปะรด ใช้แก้ขัดเบา  เปลือก ใช้ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี จุก ใช้ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้หนองใน มุตกิดระดูขาว  และแขนง ใช้แก้โรคนิ่ว.



ว่านหางช้าง - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/225986-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/225986.jpg)

ว่านหางช้างเป็นไม้ขนาดเล็ก โคนลำต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อพ้นจากใต้ดิน จะมีใบแตกออกข้างเป็นแผงยาวรี ประมาณ 40-50 เซนติเมตร ต้นสูงประมาณ 50 เซนติเมตรถึง 1 เมตร ใบสีเขียว มีคราบขาวนวล ใบเรียบปลายใบแหลม ดอกมีสีเข้ม สลับเหลือง ขยายพันธ์ุด้วยหน่อ ในทางการแพทย์แผนไทยใช้ใบว่าน จำนวน 3 ใบ ปรุงเป็นยาต้ม กินเป็นยาระบาย และแก้ระดูพิการในผู้หญิง ในตำราแผนโบราณใช้แก้โรคที่เกิดจากคุณทางไสยศาสตร์ โดย ต้น แก้คุณอันบุคคลที่ถูกกระทำทางหนัง ใบแก้คุณอันบุคคลถูกกระทำทางเนื้อ ดอก แก้คุณอันบุคคลถูกกระทำทางผม ราก แก้คุณอันบุคคลที่ถูกกระทำทางกระดูก สามารถปลูกได้ดีในดินร่วนปนทรายชอบแดด ตามความเชื่อปลูกในสถานที่ไม่มีคนเดินข้าม นิยมปลูกวันอังคาร วันครูวันพฤหัสบดี.



ว่านธรณีสาร - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/226485-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/226485.jpg)

ว่านธรณีสารเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นตรง สูงประมาณ 0.5–1 เมตร ลำต้นสีเขียว ตรงปลายยอดเป็นสีอ่อน ต้นแก่โคนต้นสีน้ำตาล ใบมีลักษณะกลมเล็กคล้ายใบมะขาม ก้านใบสีเขียว ออกทั้ง 2 ข้างของก้านใบคู่กันไปจนสุดปลายก้าน ก้านใบจะแตกออกจากลำต้นโดยรอบ ๆ เป็นพุ่ม ปลูกได้ดีในดินร่วนหรือดินปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดีมีแสงแดดปานกลาง ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกต้นกล้าไปปลูก ตามความเชื่อของคนไทยมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล มีการนำเข้าพิธีประพรมน้ำมนต์ เชื่อว่าเมื่อปลูกในบริเวณบ้านแล้วจะดีต่อผู้อยู่อาศัย และจะปลูกในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น ในทางการแพทย์แผนไทย นิยมนำใบแห้งป่นเป็นผง ผสมกับพิมเสน ใช้กวาดคอเด็ก แก้เด็กตัวร้อน และขับลมในลำไส้.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2013, 08:37:00 pm

ประโยชน์ของทุเรียน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_272587__11072013095343.jpg)

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน

ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก

คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถัน ในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย

ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ

เนื้อ: เนื้อ ทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรค ผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
แต่ที่สำคัญที่ขาด ไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้

วิธีการ
1.นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว
2.ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

อย่าลืม หาทุเรียน มาทานกันนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ sakid.com
ที่มารูปภาพ xn--22c6buahm7b6c3b8g.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 22, 2013, 08:44:41 pm
“น้ำมันพืช” เลือกยังไง ใช้ยังไง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 สิงหาคม 2556 15:25 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000104556-

 เวลาไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วต้องเลือกซื้อน้ำมันพืชกลับบ้านสักขวดสองขวด มีใครบ้างที่ต้องยืนเลือกอยู่นานเพราะน้ำมันพืชนั้นมีหลากหลายประเภท ไม่รู้จะเลือกน้ำมันแบบไหนไปใช้ดี “108 เคล็ดกิน” เลยมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน เผื่อไปซื้อน้ำมันพืชคราวหน้าจะได้เลือกได้ถูกชนิดเสียที
       
       ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกันก่อนว่าน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารนั้นมีอะไรบ้าง จากข้อมูลของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งประเภทน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารออกเป็น 2 ชนิด คือ
       
       น้ำมันพืช จะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว (ยกเว้นน้ำในมะพร้าว และน้ำมันเมล็ดปาล์ม) ไม่ค่อยเป็นไขแม้จะแช่ในตู้เย็น แต่จะทำปฏิกิริยากับความร้อนและออกซิเจนได้ง่าย ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนภายหลังจากใช้ประกอบอาหารแล้ว
       
       น้ำมันสัตว์ มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว เป็นไขง่าย และมีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่ายแม้จะทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง และนอกจากจะมีกรดไขมันอิ่มตัวมากแล้ว ก็ยังมีคอเลสเตอรอลมากด้วย
       
       ทีนี้มาทำความรู้จักกับน้ำมันพืชที่เราใช้ประกอบอาหารกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เริ่มจาก “น้ำมันมะกอก” เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ที่จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ลดรอยเหี่ยวย่นได้ น้ำมันมะกอกมีจุดเกิดควันต่ำ (หมายถึง เกิดควันได้ง่าย) จึงไม่เหมาะกับการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อน นิยมนำมาทำเป็นน้ำสลัด หรือเป็นส่วนประกอบของน้ำสลัด
       
       “น้ำมันถั่วเหลือง”, “น้ำมันเมล็ดทานตะวัน”, “น้ำมันข้าวโพด” มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ไม่เป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าผ่านความร้อนอุณหภูมิสูงมากจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนปานกลาง เช่น การผัด หรืออาจนำมาทำน้ำสลัด และมาการีน
       
       “น้ำมันรำข้าว”, “น้ำมันเมล็ดฝ้าย”, “น้ำมันปาล์ม” เป็นน้ำมันที่ไม่กรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง จึงทำให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงได้ แต่ก็เป็นน้ำมันที่เป็นแหล่งวิตามินอี และสามารถทดความร้อนได้สูง จึงนิยมใช้สำหรับทอด
       
       แต่นอกเหนือจากน้ำมันที่กล่าวถึงมาข้างต้นแล้ว ก็ยังมีน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ที่ปัจจุบันนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายอีก อาทิ “น้ำมันเมล็ดคำฝอย” เป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงที่สุดในบรรดาน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร และยังมีกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ปัจจุบันจึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติและอาหารเพื่อสุขภาพ
       
       “น้ำมันมะพร้าว” เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก และเป็นไขได้ง่ายเมื่อมีอุณหภูมิต่ำ จึงไม่ค่อยนิยมนำมาปรุงอาหาร แต่จะใช้เพื่อผลิตมาการีนและสบู่
       
       “น้ำมันงา” เป็นน้ำมันที่มีหลักฐานว่ามีการใช้มาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งการสกัดน้ำมันงานั้นทำได้ง่ายโดยการบดธรรมดา ไม่ต้องผ่านความร้อนเหมือนการทำน้ำมันชนิดอื่น สำหรับการใช้น้ำมันงานั้น ไม่ได้นำมาใช้ผัดหรือทอดโดยตรง แต่จะใช้ผสมเพื่อแต่งกลิ่นและรสของอาหาร โดยเฉพาะในอาหารจีน เนื่องจากน้ำมันงามีกลิ่นและรสเฉพาะตัว
       
       หลังจากรู้คุณสมบัติของน้ำมันพืชชนิดต่างๆ แล้ว คราวหลังถ้าจะต้องไปเลือกซื้อน้ำมันพืช ก็ลองสำรวจดูก่อนว่าต้องการจะซื้อมาทำอะไร จะได้เลือกชนิดของน้ำมันได้ถูกต้อง


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 25, 2013, 07:27:41 am
สมุนไพรต้านหวัด

-http://campus.sanook.com/1369703/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94/-



แนะนำพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

การชื้นแฉะ อาจทำให้เราเป็นหวัดหรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจกันได้ง่ายๆ โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มากๆ โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก เรามีพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

ต้นหอม โดยนำต้นหอมสดๆล้างน้ำให้สะอาด กินร่วมกับอาหารทุกมื้อ มื้อละ 2 - 3ต้น หรือต้มจนเดือด สูดไอระเหยจะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/5.jpg)


ขิง มีรสหวานและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมแหลมของขิงมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย และสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์เป็น "ยา" ส่วนคนที่กำลังไอ ขิงก็ช่วยได้ โดยเอามาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเท่าเบาบาง
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467296_qyh04.jpg)

วิธีใช้ก็ง่ายๆคือใช้ขิงแก่ขนาดเท่านิ้วมือทุบให้แตก ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำ 2 ช้อนแกงใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนแกง ผสมเข้ากันแล้วจิบบ่อยๆ ระวังอย่าจิบมากเกินไป อาจทำให้แสบคอได้

กระเทียม มีคุณสมบัติเป็นยาขับเสมหะ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีผลต่อเชื้อร้ายในทางเดินหายใจ จึงช่วยลดอาการไอ หรือหากรับประทานสดๆได้จะดีเพราะกระเทียมสดๆออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467393_3.jpg)



ฟ้าทะลายโจร จัดอยู่ในจำพวกยาปฎิชีวนะ เหมือนพวกเพนนิซิลินและเตตราซัยคลิน ซึ่งรักษาได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีพิษต่อตับ และไม่ตกค้างในร่างกาย ซ้ำยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยโรคบางอย่างดีกว่ายาแผนปัจจุบันเสียอีก
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/6.jpg)



มะขาม มีรสเปรี้ยวเพราะมีกรดอินทรีย์ มะขามช่วยให้หายคัดจมูกและขับเหงื่อ สูดจนหมดไอแล้วผสมน้ำเย็นลงไปพออุ่นแล้วอาบ ทำวันละ 1 - 2 ครั้ง ประมาณ 3-4 วัน
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467411_2.jpg)



เพกา ส่วนที่นำมาใช้คือ เมล็ด ซึ่งเมล็ดเพกานี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำจับเลี้ยงที่คนจีนใช้ดิ่มแก้ร้อนใน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ โดยใช้เมล็ดประมาณ 1 กำมือ หนักประมาณ 3 กรัม ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟ่อ่อนๆ พอเดือด เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง ดื่มวันละ 3 ครั้ง
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467430_1.jpg)



นอกจากนี้แล้ว การที่เราหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเองในหน้าฝนนี้ ด้วยการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็จะช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นได้

ที่มา:หนังสือสมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 28, 2013, 09:12:15 pm
หนุมานนั่งแท่น - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228961-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/228961.jpg)

หนุมานนั่งแท่นเป็นไม้พุ่มสูงถึง 2.5 ม. ผิวเกลี้ยง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นยาแพทย์แผนไทยของคนไทยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้น้ำยางทา รักษาแผลมีดบาด ห้ามเลือด บางพื้นที่ใช้น้ำยางทารักษาฝี ส่วนเมล็ดมีสารกลุ่มที่เป็นพิษ เช่นเดียวกับสบู่ดำ สารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา.



พัดนางชี - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228063-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/228063.jpg)

พัดนางชีเป็นไม้คลุมดิน ลำต้นอวบน้ำ เป็นข้อสั้น ๆ ทอดเลื้อยแนบไปกับพื้นดินและชูยอดสูงประมาณ 50-100 ซม. เกิดรากและแตกกิ่งใหม่ตามส่วนที่แนบกับพื้นดิน เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบรูป ใบหอก ยาวแกมรูปเคียวแบนขนาดประมาณ 6 x 50 ซม. สันใบอยู่ด้านล่าง ขอบใบอยู่ด้านบน ปลายใบเรียวแหลมคล้ายหาง เส้นใบเป็นเส้นขนานกับความยาวของใบ ดอกเกิดที่ปลายยอด ออกเป็นช่อแยกแขนงแบบช่อกระจุกด้านเดียว ดอกย่อยสีขาวบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.50 ซม. มี 6 กลีบแบ่งเป็น 2 ชั้น เกาะติดสลับกัน แต่ละกลีบเป็นอิสระจากกัน เกสรเพศผู้ มี 3 อัน เกาะติดที่ฐานรองดอก เกสรเพศเมีย แบบรังไข่เหนือวงกลีบ ก้านชูยอดเกสรสีขาว รังไข่สีเขียว แบ่งเป็น 3 พู สันแต่ละพูมีขนยาวสีขาวใสเกาะติด ไข่มีจำนวนมาก เกาะติดที่รอบแกนกลางร่วม นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโดยการปักชำ ใช้กิ่งแก่ กิ่งอ่อนที่ดึงใบออกหมด หรือยอดอ่อนที่มีใบติดอยู่ โดยตัดกิ่งเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 10-15 ซม. นำไปปักในถุงเพาะชำ หรือในแปลงปลูก นำส่วนโคนของกิ่งปักเฉียงประมาณ 40 องศา ลึกครึ่งหนึ่งของความยาว ถ้าเป็นแปลงปลูกปักกิ่งให้ห่างกันประมาณหนึ่งฝ่ามือ เพื่อให้ต้นที่เกิดใหม่เบียดกันแน่นต้นจะตั้งตรงเป็นพุ่มสวยงาม.


หนุมานนั่งแท่น - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228961-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/228961.jpg)

หนุมานนั่งแท่นเป็นไม้พุ่มสูงถึง 2.5 ม. ผิวเกลี้ยง เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นยาแพทย์แผนไทยของคนไทยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยใช้น้ำยางทา รักษาแผลมีดบาด ห้ามเลือด บางพื้นที่ใช้น้ำยางทารักษาฝี ส่วนเมล็ดมีสารกลุ่มที่เป็นพิษ เช่นเดียวกับสบู่ดำ สารสกัดมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา



ว่านชักมดลูก - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/228693-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/228693.jpg)

ว่านชักมดลูกเป็นพืชที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน อยู่ในวงศ์ขิง ในตำรายาไทย จะใช้เหง้ารักษาอาการของสตรี เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวารและไส้เลื่อน มีสารออกฤทธิ์เป็นกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ ที่มีศักยภาพสำหรับรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง และจากผลการวิจัยในสัตว์ทดลองและหลอดทดลองของนักวิจัยไทยพบว่า สารกลุ่มไดแอริลเฮปตานอยด์ มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นเทียบเท่าไวตามินซี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ  ซึ่งเป็นผลดีกับโรคในระบบประสาทและซ่อมแซมระบบหลอดเลือดและหัวใจ สำหรับความเป็นพิษ มีการทดลองพิษเฉียบพลันและกึ่งเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง พบว่ามีความเป็นพิษต่ำ.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 01, 2013, 08:28:44 am

ดื่มซะให้สวย กับ 5 เครื่องดื่มเพื่อผิวสวยใส สุขภาพดี
-http://women.kapook.com/view68658.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายและเราจำเป็นต้องดื่มน้ำทุก ๆ วัน น้ำที่ดีสำหรับสุขภาพร่างกายและผิวพรรณเรามากที่สุดก็คือน้ำเปล่า แต่รู้ไหมเอ่ยว่ายังมีเครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่น้ำเปล่า แต่ก็ช่วยให้ผิวสวยใสสุขภาพดีได้เหมือนกันนะคะ ถ้าอยากรู้ว่าต้องดื่มอะไรดริ๊งค์ยังไงให้ผิวสวย ตามมาดูทางนี้เลยจ้า

1. ชาเขียว

          ถ้าต้องการได้ประโยชน์จากชาเขียวแบบเต็ม ๆ ต้องดื่มตอนมันร้อน ๆ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์จากใบชาจะขับออกมาได้ดีที่สุดในน้ำอุณหภูมิสูง และปริมาณที่แนะนำคือ 2-6 ถ้วยต่อวันค่ะ ซึ่งสารแอนตี้ออกซิแดนท์นี่เองที่ป้องกันการอักเสบของผิว ป้องกันการก่อตัวของมะเร็ง รวมทั้งมะเร็งเม็ดสีที่เกิดจากการปะทะแสงแดดจัดจ้าด้วย

2. น้ำนมข้าวโอ๊ต

          ใครที่ชอบดื่มนมลองเปลี่ยนจากน้ำนมวัวมาเป็นน้ำนมข้าวโอ๊ตดูสิคะ คุณจะได้รับประโยชน์แบบเต็ม ๆ จากวิตามินอี และโฟลิกแอซิด ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการเกิดใหม่ของผิวเลยล่ะ

3. ชาเนทเทิล

          ชาเนทเทิล (Nettle tea) มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อยู่สูง เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะที่สุดหากว่าคุณกำลังเผชิญปัญหาผิวเริ่มจะนำหน้าไปก่อนอายุ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะช่วยต่อต้านพิษและสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ไม่ให้มาทำร้ายผิวได้ ทำให้ผิวยังดูอ่อนเยาว์อยู่ได้นานนั่นเอง

4. น้ำผักและผลไม้คั้นสด

          ผักและผลไม้มีประโยชน์กับผิวอยู่แล้วแน่ ๆ โดยไม่ต้องสงสัย และเมื่อกลายร่างเป็นน้ำผักและผลไม้คั้นสด ๆ คุณค่าของมันก็ไม่ได้ลดลงไปมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของวิตามินซี ในแง่ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและสว่างสดใสขึ้น หากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นดื่มน้ำอะไรดี แนะนำให้ลองน้ำแตงกวาดูดีไหมคะ เพราะอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม และซิลิกา ที่สำคัญแตงกวายังมีน้ำมากถึง 90% จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีสุด ๆ หรือจะลองเป็นน้ำมะเขือเทศที่มีวิตามินซีสูง แถมยังมีไลโคปีนที่ช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิตด้วย

5. ชาเปบเปอร์มิ้นต์

          ความเครียดคือศัตรูตัวฉกาจของผิวพรรณ และคู่ต่อสู้ที่จะมาต่อกรกับมันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็คือชาเปบเปอร์มิ้นต์กลิ่นหอมสดชื่น ดื่มแล้วผ่อนคลายช่วยสลายความเครียดได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้โล่งจมูก บรรเทาอาการปวดจมูกจากโรคไซนัส บรรเทาอาการปวดศีรษะ และช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วยนะคะ

          ใครอยากมีผิวที่แข็งแรงแถมสวยสุขภาพดีลองเพิ่มเครื่องดื่มเหล่านี้ลงในชีวิตประจำวันดูสิคะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้มากพอกับความต้องการของร่างกายเสมอด้วยนะจ๊ะ ถ้าดื่มทั้งสองแบบควบคู่กันไปในปริมาณที่พอดี รับรองคราวนี้ผิวสวยผิวใสก็จะอยู่ไม่ไกลกเดเอื้อมเลยจ้า

http://women.kapook.com/view68658.html (http://women.kapook.com/view68658.html)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 01, 2013, 08:46:20 am
เจตพังคี - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/229250-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/229250.jpg)

เจตพังคีเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 20-40 เซนติเมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปวงรีหรือรูปไข่แกมรูปหอก กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร ผิวใบมีขน ใบหนา ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ในช่อดอกเดียวกัน กลีบดอกสีขาวนวล ผลแห้ง แตกได้ รูปทรงกลม มี 3 พูในทางแพทย์แผนไทยจะใช้ราก ต้มน้ำดื่ม หรือฝนทา แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ในเด็ก หรือตำประคบ แก้ปวด รากมีรสเผ็ด ขื่น เฝื่อนเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม แก้ท้องขึ้น ปวดแน่นท้อง หรือใช้ภายนอกโดยฝนกับน้ำปูนใส ผสมกับมหาหิงคุ์และการบูรทาท้องเด็กอ่อน เพื่อให้ผายลม แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ปวดท้อง มีการนำรากมาผสมกับรากส่องฟ้าดง ต้มน้ำดื่ม เพื่อแก้จุกเสียด แก้ท้องอืด เป็นต้น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 01, 2013, 09:05:38 am
"ธีรภัทร เจริญสุข"เขียน"สำราญโภชนากับปลาน้ำโขง"
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377825985&grpid=&catid=02&subcatid=0200-


ที่มา : คอลัมน์ เดือนหงายที่ชายโขง มติชนรายวัน
 
โดย ธีรภัทร เจริญสุข

 
แม่น้ำโขง แม่น้ำนานาชาติที่ไหลผ่านหกประเทศ เป็นแหล่งที่อยู่ของฝูงปลานานาพันธุ์ และมีพันธุ์ปลาท้องถิ่นที่มีอยู่เฉพาะในแม่น้ำโขงหลายชนิด สภาพแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเกือบตลอดทั้งปี ทำให้ปลาในแม่น้ำโขงมีลักษณะของเนื้อที่แตกต่างจากปลาในแม่น้ำอื่น จนเกือบคล้ายกับปลาทะเล เนื่องจากปลาต้องว่ายต้านกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากจนทำให้เนื้อแน่น ไขมันน้อย หนังปลานุ่มเหนียว ไม่ค่อยมีพยาธิคล้ายปลาทะเล เหมาะจะนำมาทำเป็นอาหารต่างๆ

 
ปลาชนิดที่เป็นที่นิยมขึ้นโต๊ะอาหารหลักๆ ได้แก่ ปลาคัง ปลาแค้ ปลาเผาะ ปลาเนื้ออ่อน ปลานาง ปลาตอง และที่เป็นจุดเด่นเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งปลาน้ำโขง คือ ปลาบึก ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์เกินปลาชนิดใดๆ และรสชาติกับรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ปลาบึกเป็นที่ต้องการของทั้งชาวประมงและนักชิมลิ้นทองทั้งหลาย ยิ่งยุคนี้ปลาบึกลดจำนวนลงจากการจับปลาเกินขนาดจนช่วงหนึ่งปลาบึกในประเทศไทยเกือบถึงขั้นสูญพันธุ์ แต่ด้วยความทุ่มเทของนักวิชาการกรมประมง ได้คิดค้นวิธีเพาะพันธุ์ปลาบึกโดยผสมไข่กับน้ำเชื้อของปลาบึกที่จับมาเลี้ยงไว้ในบ่อประมง จนประสบความสำเร็จสามารถกระจายพันธุ์ปลาบึกไปยังแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ
 

จนทุกวันนี้ปลาบึกสามารถหากินได้ตามเขื่อนใหญ่ๆ ทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ปลาบึกน้ำโขงก็ยังถือเป็นสุดยอดของปลาบึกที่แตกต่างจากปลาบึกเขื่อน ถ้าชาวประมงบ้านไหนจับปลาบึกตัวใหญ่ได้ในฤดูอนุญาตจับ ถือว่าถูกหวยรางวัลใหญ่ เพราะร้านอาหารจะรอประมูลแย่งซื้อกันพุ่งไปตัวละหลายหมื่นบาท คล้ายกับการประมูลปลาทูน่ามากุโร่ราคาแพงในตลาดญี่ปุ่นก็ว่าได้
 
ปลาบึก และปลามีหนังชั้นรองลงมาอย่างปลาแค้และปลาคัง นิยมนำมาทำเป็นต้มยำปลาแบบอีสานใส่ใบแมงลักและมะเขือเทศ หรือทำเป็นลาบปลารสชาติดีกว่าเนื้อไก่เนื้อหมู ทั้งยังมีไขมันน้อยกว่า ส่วนปลานาง และปลาเนื้ออ่อน นิยมนำมาทอดกระเทียมพริกไทยกรอบกินได้ทั้งก้าง หรือผัดกับเครื่องแกงกะทิเป็นฉู่ฉี่รสอร่อย ปลาตองทำเป็นลาบปลาตอง อาหารพื้นบ้านที่เรียกว่าลาบแต่เป็นเหมือนซุปปลาเหนียวข้น ปลาน้ำโขงตัวเล็กตัวน้อยอื่นๆ ทำเป็นน้ำพริกเรียกว่าป่นปลาน้อย หาได้ตามตลาดท้องถิ่นราคาไม่แพง จ้ำกินกับข้าวเหนียวเพลินจนลืมอิ่ม
 
น้ำโขงที่ไหลเชี่ยวนี้เช่นกันที่ทำให้ปลาน้ำจืดธรรมดาอย่างปลานิลหรือปลาทับทิมในกระชัง ตัวโต เนื้อแน่นและอร่อยกว่าที่เลี้ยงในบ่อปลาหรือแม่น้ำปกติ ชนิดที่ว่าถ้าได้ลองกินปลานิลกระชังน้ำโขงแล้วจะไม่อยากกินปลานิลเลี้ยงในบ่ออีก
 
ปลาอีกชนิดหนึ่งที่เรากินกันจนไม่รู้ว่าเป็นปลาน้ำโขง คือปลาที่แพ็คขายตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายส่ง ติดป้ายตราว่า ปลาแพนกาเชียสดอรี่ แต่งภาพเติมชื่อใหม่จนคล้ายกับปลาทะเลจอห์นดอรี่ราคาแพง แต่ที่แท้แล้วคือปลาในตระกูลปลาสวายที่มีถิ่นอาศัยในแม่น้ำโขง (Pangacius Boucorti) เลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม เรียกว่า ปลาบาซา (C? ba sa) ซึ่งชาวประมงอีสานเรียกว่า ปลาเผาะ หรือปลาโมง เนื้อปลาแพนกาเชียสดอรี่ที่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรมแพ็คแช่แข็งขายในราคาชิ้นละสิบบาทหน่อยๆ สามารถนำมาตั้งชื่อเพราะๆ ในร้านกลายเป็นเมนูราคาแพงหลักหลายร้อยบาทได้เหมือนหลอกผู้บริโภคอยู่กลายๆ
 
ใครที่มาถึงจังหวัดริมน้ำโขง หรือข้ามไปฝั่งลาว ถ้าไม่กินปลาน้ำโขงก็เหมือนยังมาไม่ถึง กินแล้วทั้งอร่อยลิ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นแท้ๆ ถึงแหล่งผู้ผลิต ถ้าใครไม่เคยกินก็อยากขอเชิญให้มาลองชิมดูว่า ปลาน้ำโขงมีดีอย่างไร

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2013, 10:29:38 pm
ถั่วงอก - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/230988-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/230988.jpg)

ถั่วงอกเป็นแหล่งวิตามินซีโดยถั่วงอก 100 กรัม จะมีวิตามินซี 5 มิลลิกรัม มีโปรตีนมากกว่าถั่วธรรมดา มีวิตามินบี 12 มีธาตุเหล็ก มีวิตามินบี 17 และมีสารเลซิธิน ช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของสมอง มีออซินอน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่นมากขึ้น ชาวจีนโบราณจะนำถั่วงอกมารับประทานเพื่อช่วยขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง ขับปัสสาวะ และช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน แป้ง เป็นคาร์โบไฮเดรตธรรมดาหรือกลูโคส และไขมันเป็นกรดไขมัน ลดของเสียและสิ่งตกค้างในร่างกาย ในฤดูหนาวที่ผักและผลไม้หายาก ชาวกะลาสีเรือชาวจีนจะเพาะถั่วงอกกินในเรือเพื่อป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด.




ดีปลี - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 4 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/230471-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/230471.jpg)

ดีปลีเป็นพืชเดียวกับชะพลูและพลูมีน้ำมันหอมระเหยนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศส่วนประกอบของอาหาร ชอบพื้นที่ที่มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง เติบโตได้ดีในทุกภาค ของประเทศไทย ผลอ่อนนิยมรับประทานเป็นผัก ผลสุกนำมาตากแห้งใช้ประกอบเครื่องแกงคั่ว แกงเผ็ด เพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารมีรากออกตามข้อสำหรับเกาะ และเลื้อยพัน เถาค่อนข้างเหนียวและแข็งมีข้อนูน แตกกิ่งก้านมาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับใบเป็นรูปไข่แกมขอบขนานปลายใบแหลมโคนใบมนใบเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อตรงข้ามกัน ลักษณะเป็นแท่ง ปลายเรียวมน ผลเล็กกลมฝังตัวกับช่อดอกผลอ่อนสีเขียวรสเผ็ดเมื่อสุกเป็นสีแดง ผลสุกมีน้ำมันหอมระเหย การวิจัยของสถาบันการแพทย์แผนไทยพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าแมลงด้วงงวงและด้วงถั่ว คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำลำต้นหรือเถาซึ่งมีรสเผ็ดร้อนใช้แก้ปวดฟัน จุกเสียดแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ดอกรสเผ็ดร้อนขม ใช้แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้หืดหอบแก้ลมวิงเวียนปรุงเป็นยาธาตุ แก้ตับพิการ รากมีรสเผ็ดร้อนขม จะใช้แก้หืดหอบ แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ แก้เส้นอัมพฤกษ์ อัมพาต ดอกแก่ต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยให้หายวิงเวียน เป็นต้น.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2013, 10:48:54 am
เมนูต้านหวัดหากินได้ไม่ยากเลย
-http://women.sanook.com/1406723/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2/-



"อาการไข้ในช่วงอากาศเปลี่ยนแบบนี้ คนรุ่นแม่เขาเรียกว่าไข้หัวลม ตามหลักการแพทย์แผนไทยก็คือเกิดจากการที่ธาตุทั้งสี่ในร่างกายไม่สมดุล ดังนั้น การกินอาหารซึ่งเป็นผลิตผลทางธรรมชาติของธาตุไฟ ลม น้ำ และดินก็จะช่วยปรับธาตุ ทำให้อาหารกลายเป็นยา"

โดยอาหารต้านไข้หัวลมตำรับไทยที่มักถูกยกขึ้นมากล่าวถึงบ่อยๆ มีอยู่สองอย่างก็คือ แกงส้มดอกแค และเมี่ยงคำ เพราะเป็นเมนูที่ครบถ้วนที่สุดในการบำรุงธาตุในช่วงอากาศเปลี่ยน

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406723/1.jpg)
แกงส้มดอกแค

นอกจากเครื่องแกงที่มีส่วน-ประกอบของสมุนไพรต้านหวัดหลายชนิดแล้ว ด้วยรสชาติที่เผ็ดนำ เปรี้ยวตาม จึงบำรุงธาตุลมและธาตุน้ำได้เป็นอย่างดี ส่วนดอกแคก็คืออาหารบำรุงธาตุไฟนั่นเอง สามธาตุนี้เป็นธาตุเริ่มต้นของการเจ็บป่วย ถ้าป้องกันไว้ได้โอกาสที่ธาตุดินจะถูกกระทบก็มีน้อยมาก


(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406723/2.jpg)
เมี่ยงคำ

อาหารชนิดนี้มีคุณสมบัติ ในการบำรุงรักษาธาตุทั้ง 4 เพื่อให้สมดุลกัน หัวหอม ขิง และพริกจะช่วยบำรุงธาตุลม มะนาวและใบชะพลูบำรุงรักษาธาตุน้ำ เปลือกของมะนาวบำรุงรักษาธาตุไฟ ส่วนธาตุดินก็ได้จากน้ำอ้อย มะพร้าว ถั่วลิสง และกุ้งแห้ง


จานเด็ดต้องเผ็ดร้อน

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406723/3.jpg)

ช่วงฤดูฝนต่อฤดูร้อนแบบนี้ต้องกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วยรสชาติเผ็ดๆ ของอาหารบำรุงธาตุลม และแม้เราจะเป็นหวัดไปแล้ว อาหารรสชาติเผ็ดร้อนก็จะช่วยให้เราหายใจได้โล่งขึ้นซึ่งความเผ็ดร้อนนั้นนอกจากได้จากพริกแล้ว ยังมีพริกไทย กระเทียมหัวหอม ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ กระชาย ใบกะเพรา และอีกมากมาย
Note! ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีการวิจัยรับรองว่า "แคปไซซิน" ซึ่งเป็นตัวการของรสชาติเผ็ดร้อนในพริกและพริกไทย มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการไอ ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิดเลยทีเดียว


เสริมทัพต้านหวัดด้วยของเปรี้ยวๆ

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406723/4.jpg)

ขณะบำรุงธาตุลมให้แข็งแรง ธาตุต่อมาที่ต้องใส่ใจก็คือธาตุน้ำ ซึ่งก็คืออาหารรสเปรี้ยว เพื่อให้ธาตุน้ำในร่างกายสมดุลกับธาตุน้ำภายนอกที่มีมากขึ้น ผักและ ผลไม้รสเปรี้ยวที่คุณสามารถหาได้ทั่วไปก็คือ มะนาว มะกอก มะม่วง มะขาม มะเขือเทศ ส้ม สับปะรด เป็นต้น

Note! ผักและผลไม้รสเปรี้ยวๆ จะอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง "วิตามินซี"ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล แม้จะไม่ใช่ช่วงที่เราป่วยหรือเปลี่ยนฤดูกาลก็ควรกินให้เป็นปกตินิสัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรงอยู่เสมอ



http://women.sanook.com/1406723/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2/ (http://women.sanook.com/1406723/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2/)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 19, 2013, 06:37:06 pm
มะเขือยาวถอนพิษเห็ด
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2556 เวลา 00:02 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/822/233503

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/233503.jpg)
แก้พิษจากเห็ดพิษ และรักษาอาการถูกหิมะกัด


มะเขือยาว (Eggplant) เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ และปลูกกันอย่างกว้างขวางในพื้นที่ดังกล่าว มะเขือยาวมีลำต้นตั้งตรงเป็นพุ่ม ใบมีขนาดใหญ่รูปไข่ เป็นหยักเล็กน้อย มีดอกเดี่ยว สีม่วง ห้อยลง ผลมีขนาดใหญ่ ผิวเป็นมัน รูปไข่ มีหลากสีจากม่วงเข้มถึงแดง เหลือง หรือขาว และบางครั้งเป็นลายยาว ในประเทศไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามภูมิภาค เช่น มะเขือไข่ม้า มะแขว้ง มะแข้งคม มะเขือป้าว มะเขือฝรั่ง มะเขือขาว มะเขือจานมะพร้าว มะเขือกระโปกแพะ สะกอวา

ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า มะเขือยาวเป็นได้ทั้งยาและอาหาร จึงมีประโยชน์มาก มะเขือยาวช่วยลดไข้ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บรรเทาอาการปวดและลดบวม ซึ่งจากการวิจัยพบว่า มะเขือยาวช่วยลดคอเลสเตอรอลและขับปัสสาวะ

นอกจากนี้ยัง รักษาฝี หนอง หรืออาการคัดหน้าอกในแม่ลูกอ่อน โรคเลือดออกในลำไส้เป็นต้น ให้นำมะเขือยาวมาตากแห้ง แล้วบดเป็นยาผงหรือปั้นเป็นยาลูกกลอนก่อนกิน ถ้าใช้เป็นยาภายนอกให้ตำละเอียดและโปะไว้

เมื่อกินเห็ดพิษโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้กินมะเขือยาวดิบ ๆ หรือต้มก็ได้ จะช่วยถอนพิษในทันที ถ้าเป็นแผลหิมะกัดในฤดูหนาว จะรู้สึกคัน ๆ เจ็บ ๆ ให้ต้มมะเขือยาวและรอให้เย็นลงประมาณ 30 องศา แล้วแช่ส่วนที่ถูกหิมะกัดไว้จะช่วยให้อาการดีขึ้น

ถ้าไม่มีลูกมะเขือยาวให้นำต้นมะเขือยาวมาต้มแทนก็ได้ มะเขือยาวยังช่วยลดความดันโลหิตสูง บำรุงอวัยวะภายใน รวมทั้ง หากมีอาการเบื่ออาหารให้นำมะเขือยาวมาผัดกับน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันงา น้ำมันถั่วเหลือง จะช่วยให้เจริญอาหาร
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 28, 2013, 09:01:49 am

เมื่อชอบกินเค็ม ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรค

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%87%E0%B8%A1_%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-


การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มนั้น ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งเสริมให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอีกด้วย เนื่องจากจะทำให้ยาลดความดันโลหิตมีประสิทธิภาพด้อยลง หรือผู้ป่วยมีอาการดื้อต่อการรักษานั่นเอง ทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต ทำให้ไตต้องทำงานมากขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น

ส่งผลให้องค์การอนามัยโลกรณรงค์ให้แต่ละประเทศดำเนินการเพื่อลดการรับประทานเค็มในประชากรของตนเอง โดยการให้คำแนะนำว่าคนทั่วไปไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 6 กรัมต่อวัน เนื่องจากเกลือหรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า “โซเดียมคลอไรด์” นั้นมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ร้อยละ 40

ดังนั้น จึงไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2.4 กรัม หรือ 2,400 มิลลิกรัมต่อวันนั่นเอง ทั้งนี้เราสามารถสังเกตปริมาณโซเดียมที่เราได้รับจากอาหารต่างๆ ได้จากฉลากโภชนาการ ยกตัวอย่างเช่น น้ำปลายี่ห้อหนี่งระบุว่ามีปริมาณโซเดียม 1,600 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค หรือ 15 มิลลิลิตร (1 ช้อนโต๊ะ) หมายความว่า เราไม่ควรกินน้ำปลายี่ห้อดังกล่าวมากกว่า 22.5 มิลลิลิตร (1.5 ช้อนโต๊ะ) ต่อวัน จึงจะได้รับเกลือโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน

อย่างไรก็ตามปริมาณโซเดียมที่เราได้รับมิได้มาจากน้ำปลาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงอาหารต่างๆที่เรารับประทานระหว่างวันด้วย ดังนั้นเราจึงควรบริโภคน้ำปลาในปริมาณที่น้อยกว่า 1.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมเกินจากคำแนะนำ

จากการสำรวจการรับประทานเกลือในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการที่ รพ. ศิริราช โดยการเก็บปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นเวลา 1 วัน เพื่อนำไปวัดปริมาณโซเดียมในปัสสาวะ ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐานในการประเมินการกินเกลือในประชากร ผู้เขียนได้ทำการสำรวจครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ในผู้ป่วยจำนวน 214 ราย พบปริมาณโซเดียมที่ขับออกทางปัสสาวะเฉลี่ยมากถึง 9 กรัมต่อวัน และมีเพียงร้อยละ 29 ของผู้ป่วยเท่านั้นที่รับประทานเกลือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวันตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก

ศ.นพ. พีระ บูรณะกิจเจริญ ได้ทำการสำรวจครั้งที่ 2 ด้วยวิธีเดียวกันในปี พ.ศ. 2553 ในผู้ป่วยจำนวน 320 ราย ก็พบว่าผู้ป่วยรับประทานเกลือเฉลี่ยประมาณ 9 กรัมต่อวันเช่นเดียวกัน บ่งชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว และได้รับคำแนะนำจากแพทย์และพยาบาลให้ลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม ก็ยังคงรับประทานเค็มเกินถึงหนึ่งเท่าครึ่งของปริมาณที่ควรจะรับประทาน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เค็มน้อยลงไม่ยากอย่างที่คิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเองเป็นสำคัญ การปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่รสชาดจืดลงในช่วงแรกอาจลำบาก แต่เมื่อลิ้นเกิดความเคยชินแล้วเราก็จะไม่ค่อยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ลองเลี่ยงอาหารที่มีรสชาดเค็มจัด เช่น กะปิ ไข่เค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น และที่สำคัญคือ พวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ ที่มีส่วนผสมของเกลือค่อนข้างมาก เช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือ การหันไปเลือกผลิตภัณฑ์และเครื่องปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าเดิมที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรักสุขภาพโดยเฉพาะนั่นเอง

รศ.พญ. วีรนุช รอบสันติสุข สาขาวิชาความดันโลหิตสูงภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและสมาชิกราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย

 

ที่มาข้อมูล trueplookpanya.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 29, 2013, 09:18:45 am
กินเจอย่างไร...ให้ได้บุญ สุขภาพดี มีภูมิคุ้มกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 กันยายน 2556 14:21 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000122095-


 เวียนมาอีกครั้ง สำหรับเทศกาลถือศีลกินเจ ซึ่งตามปฏิทินจีนกำหนดไว้ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำไปจนถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี และในปี 2556 นี้ ตรงกับวันที่ 5-13 ตุลาคม ถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ทุกคนจะได้มีโอกาสทำบุญ ชำระจิตใจให้สะอาด ซึ่งปัจจุบันการกินเจกลายเป็นที่นิยมของคนยุคใหม่ไปแล้ว เพราะนอกจากจะได้ทำบุญ ด้วยการงดเว้นเนื้อสัตว์และอบายมุขต่างๆ การกินเจยังช่วยให้สุขภาพดีได้อีกด้วย

แต่...นั่นต้องหมายถึงการกินเจอย่างถูกต้องเหมาะสม
       
       ข้อมูลจาก ดร.ชนิดา ปโชติการ นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย ระบุว่า แม้ว่าปัจจุบันการกินเจจะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยว่า การกินเจดีต่อสุขภาพจริงหรือ? เพราะการกินเจในปัจจุบัน มักจะฝากท้องไว้กับอาหารเจนอกบ้าน และอาหารเจสำเร็จรูป ซึ่งมักจะไปเน้นหนักอาหารเจที่มันๆ ทอดๆ ประกอบด้วยแป้งและไขมันสูง แทนที่กินเจแล้วจะได้ประโยชน์ทางสุขภาพ แต่กลับทำให้บางคนพอออกเจแล้ว สุขภาพแย่ลง มีไขมันในเลือดสูงขึ้น น้ำตาลสูง หรือ ปวดข้อปวดเข่า
       
       อันที่จริงแล้ว หากเรากินเจอย่างถูกต้อง จะส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ใช้โปรตีนจากถั่ว และอาหารธรรมชาติชนิดต่างๆ แทน จะช่วยให้กระเพาะอาหารได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ นอกจากนี้ อาหารเจ ซึ่งเต็มไปด้วยผักผลไม้ ธัญพืช และอาหารจากธรรมชาติ ล้วนให้คุณค่าสารอาหารที่ต่างกันออกไป หากเรารู้จักเลือกและผสมผสานวัตถุดิบในการประกอบอาหารให้เหมาะสม ก็จะทำให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลายและสมดุล
       
       - ถั่ว เป็นหนึ่งในเมนูสำคัญที่นำมาใช้ประกอบอาหารในช่วงกินเจ เพื่อให้ได้โปรตีนมาทดแทนเนื้อสัตว์ที่ขาดหายไป ซึ่งถั่วเหลืองเป็นแห

  - เห็ด ปัจจุบันเห็ดเป็นเมนูฮิตของทุกคนในครอบครัว เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนูและมีรสชาติอร่อยถูกปากแล้ว เห็ดถือเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์และถั่ว แม้ปริมาณจะไม่มากเท่าเนื้อสัตว์ แต่เห็ดมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการครบถ้วน เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น และที่สำคัญเห็ดยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งธาตุเหล็ก และซีลีเนียมซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย
       
       เห็ดที่นิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น เห็ดออรินจิ เห็ดหอม เห็ดเข็มทอง เห็ดโคน เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู และสารพัดเห็ดต่างๆ ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น โดยเมนูเห็ดยอดนิยม ได้แก่ ยำเห็ดญี่ปุ่น เต้าหู้ตุ๋นเห็ดหอม สเต็กเต้าหู้ราดซอสเห็ดเจ หรือ สปาเก็ตตี้ซอสเห็ด เป็นต้น นอกจากเห็ดที่นำมาปรุงอาหารแล้ว ยังมีเห็ดบางชนิดที่ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคและเสริมภูมิคุ้มกัน ได้แก่ เห็ดทางการแพทย์ หรือ Medicinal Mushrooms ที่สามารถนำมาใช้เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ไม่ให้ถูกทำลายหรือเสื่อมง่าย นอกจากนี้ ยังมีสารบางตัวที่เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ซึ่งปัจจุบันจึงถูกนำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปเห็ดสกัดเข้มข้นเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือแปรในรูปเห็ดแห้งมาบริโภคในรูปชา หรือซุป หรือในรูปแคปซูล เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้รักสุขภาพ สามารถเลือกนำมาบริโภคได้สะดวก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายในช่วงถือศิลกินเจ เช่น เห็ดไมตาเกะ เห็ดยามาบูชิตาเกะ (เห็ดปุยฝ้าย) เห็ดมาเน็นตาเกะ เห็ดเรอิชิ (เห็ดหลินจือ) และเห็ดชิตาเกะ (เห็ดหอมญี่ปุ่น) เป็นต้น
       
       - ผักนานาชนิด เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการกินเจ แต่ถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรกินเป็นผักสด หรือลวก มากกว่านำมาผัดที่ใช้น้ำมันราดจนเยิ้ม หรือผัดน้ำมันแต่น้อย และควรกินผักให้ครบ 5 สี คือ สีแดง-ส้ม จากมะเขือเทศ พริกสุก แครอท ช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สีดำ-น้ำเงิน-ม่วง จากถั่วดำ เผือก มะเขือม่วง ช่วยในการบำรุงไต สีเหลือง จากฟักทอง ถั่วเหลือง มะม่วงสุก ข้าวโพด มีประโยชน์ในการบำรุงม้าม สีเขียว เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงตับ และสีขาว จากลูกเดือย ผักกาดขาว ช่วยในการบำรุงปอด ควรกินสลับกันไปในแต่ละวันเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน และต้องงดเว้น กระเทียม หัวหอม กุ๊ยช่าย หรือ ผักที่มีกลิ่นฉุน


       - ธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้ มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย เช่น วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี สารเฟลโวนอยด์และใยอาหาร ซึ่งผู้กินเจควรเลือกกินผลไม้ให้หลากหลาย เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิล ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดชื่น และเส้นใยอาหารจากผลไม้ ช่วยให้ระบบย่อยและการขับถ่ายเป็นปกติ ซึ่งผลไม้ที่สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด ได้แก่ พรุน และบิลเบอรี่ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา มีใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม ที่มีทั้งใยอาหารช่วยลดคอเลสเทรอลและระดับน้ำตาลได้ดี ป้องกันท้องผูก

       อย่างไรก็ตาม การกินเจที่ดีต่อสุขภาพนั้น ต้องระมัดระวังอาหารประเภทแป้งและไขมัน ควรเน้นผักผลไม้ให้มากๆ เพราะถ้าเผลอรับประทานอาหารที่ปรุงสำเร็จ ซึ่งมักจะใช้ “หมี่กึง” ซึ่งเป็นแป้งทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ รับรองความอ้วนมาเยือนแน่ๆ ควรเลือกอาหารที่ปรุงด้วยผัก เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร ส่วนอาหารทอดๆ ก็ไม่ควรรับประทานเยอะ ไม่อย่างนั้นพอหมดช่วงกินเจ รอบเอวจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
       
       นอกจากนั้นอาหารเจในปัจจุบันมีการนำเครื่องปรุงรส เช่น ซอส เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เกลือ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานอาหารเจที่มีรสเค็มเกินไป ประกอบกับอาหารเจส่วนใหญ่เป็นประเภทผัดและทอด ซึ่งจะมีน้ำมันมาก ควรรับประทานประเภทต้ม หรือนึ่งจะดีกับสุขภาพมากกว่า และที่สำคัญอย่าลืมขยับกาย เคลื่อนไหวให้เหงื่อออกทุกวัน

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 29, 2013, 09:38:49 am
มะตูม - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/235630-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235630.jpg)

มะตูมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลม    ใบโตยาวสีเขียวอ่อน   ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม  ผลกลมโต    เปลือกแข็ง  เนื้อในมีสีเหลืองนวล  ภายในมีเมล็ด  มียางหุ้มเป็นเมือกเหนียว  มีรสขม พบตามป่าเบญจพรรณ  ป่าโปร่ง  ผู้คนทางภาคใต้ของไทย  นำเปลือกมาขูดเอาผิวออกต้มกับน้ำตาลรับประทานเป็นของหวาน ส่วนเนื้อในเอามาหั่นเป็นแว่นๆ  เอาเมล็ดออก เชื่อมกับน้ำตาล  เรียกว่ามะตูมเชื่อมรัลประทานเป็นของหวานเช่นกัน

ในตำราการแพทย์แผนไทยจะนำผลตากแห้งนำมาปรุงเป็นยาธาตุ  แก้ธาตุพิการ ผลดิบใช้เป็นยาสมาน  รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะ  แก้ท้องเสีย  แก้บิด ผลสุกใช้เป็นยาระบาย  แก้โรคไฟธาตุอ่อน  แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว แก้ท้องเสีย  แก้บิดเรื้อรัง  ช่วยย่อยอาหาร  แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด  บำรุงธาตุไฟให้ย่อยอาหาร  แก้กระหายน้ำ  ขับลมผาย เปลือกของรากและลำต้น  รักษาไข้จับสั่น  ขับลมในลำไส้ ใบสด  คั้นเอาน้ำกิน  แก้หวัด  แก้หลอดลมอักเสบ  แก้ตาบวม  แก้เยื่อตาอักเสบเป็นต้น


ลิเภาใหญ่ - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/235065-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235065.jpg)

ลิเภาใหญ่ เป็นพืชพวกเฟิน ลักษณะของลำต้นเป็นเถาเลื้อยคล้ายลิเภายุ่ง  ต่างกันที่เถาใหญ่และแข็งกรอบ  ใบ ประกอบสี่ชั้น ก้านแขนงแรกสั้น แตกก้านแขนงคู่ที่สองชิดหรือเกือบชิดก้านใบ ก้านชั้นที่สองแตกแขนงเป็นก้านช่อใบประกอบย่อย เรียงสลับ ใบประกอบย่อยแต่ละใบมีใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปหอก 3-5 ใบ

ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ปลายใบมนถึงแหลม โคนหยักเว้าหรือหยักลึกคล้ายหัวลูกศร บางครั้งหยักเป็น 5 พู ขอบใบหยักละเอียด ขึ้นในบริเวณที่โล่งตามชายป่า มีเขตการกระจายพันธุ์ทุกภาคของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เปลือกของเถาใช้ทำหัตถกรรม ทางการแพทย์แผนไทยนำ รากมาต้มแก้ร้อนใน ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะแดง หรือผสมยาอื่นรักษาโรคมะเร็ง ราก ใบ เถา ต้มน้ำดื่ม แก้เลือดพิการ แก้ระดูมากะปริดกะปรอย.


ว่านพังพอน - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 25 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/235071-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235071.jpg)

ว่านพังพอนเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้ายาวคล้ายทรงกระบอก หนา ใบรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 20-60 ซม. ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลมหรือรูปหัวใจเบี้ยวเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 20-50 ซม. ช่อดอกมี 1-4 ช่อ ยาวได้ถึง 60 ซม. แต่ละช่อมี 6-30 ดอก แผ่นกลีบประดับมี 2 คู่ สีขาวถึงม่วงอ่อนๆ คู่นอกไร้ก้าน รูปรี ขอบขนาน หรือรูปใบหอก ยาวได้ถึง 14 ซม. คู่ในมีก้าน รูปใบหอกกลับหรือรูปใบพาย ยาวได้ถึง 22 ซม. กลีบประดับรูปเส้นด้ายมี 5-25 อัน สีอ่อนกว่าแผ่นกลีบประดับ ยาว 10-20 ซม. ดอกสีเขียวอมม่วงน้ำตาล ก้านดอกยาว 2-4 ซม. กลีบรวม 6 กลีบ เรียง 2 วง รูปรีหรือรูปไข่ ยาวประมาณ 0.5-1.5 ซม. ผลรูปขอบขนาน เป็น 6 เหลี่ยม ยาว 4-5 ซม. ปลูกได้ดีในดินร่วนที่ชุ่มชื้นแต่ต้องระบายน้ำได้ดี ไม่ขังแฉะ ควรปลูกในที่แดดรำไร รดน้ำเช้าและเย็น ขยายพันธุ์โดยการแยกเหง้าหรือเพาะเมล็ด คนไทยนิยมปลูกเพื่อเป็นสิริมงคล ให้เป็นที่เอ็นดูของผู้ใกล้ชิดและบุคคลรอบข้างในทางการแพทย์แผนไทย ใช้เป็นยารักษาไข้ แก้ปาก ลิ้น คอ เปื่อย ช่วยในการเจริญอาหาร


กะเร่กะร่อนปากเป็ด - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/235166-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235166.jpg)

กะเร่กะร่อนปากเป็ด เป็นกล้วยไม้ประเภทอิงอาศัยขนาดใหญ่ เจริญทางด้านข้างขึ้นเป็นกอแน่น เกาะตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ใบเป็นแถบยาวเนื้อใบหน้าและแข็ง ทดแล้งได้ดี ปลายใบมน โคนใบซ้อนกันแน่น รากมีจำนวนมากและอยู่รวมกันเป็นกระจุก เพื่อยึดเกาะต้นไม้ และเป็นรากอากาศ ดอกออกเป็นช่อโปร่งแบบกระจะ ห้อยย้อยลง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกรูปขอบขนาน ปลายกลีบมีแถบสีม่วงแดงรูปคล้ายเกือกม้า ส่วนกลีบอื่นๆ สีเหลือเข้ม ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม พบในภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคกลางและภาคใต้ ตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้งป่าโปร่ง โดยเกาะอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะนำใบสดของกะเร่กะร่อนปากเป็ดมาใช้ประโยชน์ในการรักษาอาการหูเป็นน้ำหนวก


ส้มมวง - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/235860-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235860.jpg)

ส้มมวงเป็นต้นไม้ ขนาดกลาง สูง 15 - 20 ม. เรือนยอด เป็นพุ่มรูปกรวยคว่ำ ทรงสูง แตกกิ่งชั้นเดียว เปลือกนอก เรียบ สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เปลือกใน สีชมพูถึงแดง มีน้ำยางสีเหลืองขุ่นไหลเยิ้มออกมาจากเปลือกต้น ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่เรียงตรงกันข้ามเป็นมุมฉากซึ่งกันและกัน ใบรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลม ผิวใบเป็นมัน เนื้อใบหนา ใบมีรสเปรี้ยว ดอก เป็นช่อขนาดเล็ก กลีบดอกแข็ง หนาแตกออกจากโคนใบและปลายกิ่ง ผลสด ทรงกลม ผิวเรียบมีร่องรอยเป็นพูบาง ๆ รอบผล ขนาดผล ผลอ่อน สีเขียวอมเหลือง ผลแก่ เมื่อสุกมีสีเหลืองถึงส้ม
ในทางการแพทย์แผนไทยจะนำรากซึ่งมีรสเปรี้ยวใช้ประโยชน์ แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ถอน พิษไข้ แก้บิด เสมหะเป็นพิษ   ใบมีรสรสเปรี้ยวใช้เป็น ยาระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิต แก้ไอ แก้กระหายน้ำ    ผลมีรสรสเปรี้ยวใช้ ระบายท้อง แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ แก้ธาตุพิการ แก้กระหายน้ำ ฟอกโลหิตเป็นต้น
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 29, 2013, 09:46:33 am
อาหารขงจื๊อ
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/4588/235651-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/235651.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/235651/0.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/235651/1.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/235651/2.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/235651/3.jpg)

นับตั้งแต่ยุคการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน เอกลักษณ์อันโดดเด่นของอาหารตระกูลขงต้นกำเนิดแห่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนอย่างขงจื๊อ ก็เกือบจะถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา แต่วันนี้ อาหารสุดพิเศษเหล่านั้นกำลังจะกลับมากลายเป็น อาหารจานหลักบนโต๊ะดินเนอร์ของชาวจีนอีกครั้ง

เมื่ออาหารขงจื๊อถูกนำมาเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังอันนุ่มละมุนของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุคของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

ขงจื๊อเป็นหนึ่งในบุคคลในประวัติศาสตร์ของจีนไม่กี่คนที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่ารวมทั้งคนจีนที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ และชาวเอเชียเอง ขณะที่ชื่อของนักปราชญ์อย่างขงจื๊อถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสถาบันสอนภาษากว่า 300 แห่ง ใน 90 ประเทศ

“รัฐบาลจีนกำลังพยายามย้อนกลับไปตาม หารากเหง้าของวัฒนธรรมที่สูญหาย และพยายามทำให้ขงจื๊อกลับมาเป็นสัญลักษณ์” ศ.โทมัส วิลสัน มหาวิทยาลัยฮามิลตัน ในนิวยอร์ก ระบุ

ภัตตาคารในเมืองฉู่ฟู่ทางตะวันออกของมณฑลชานตง เมืองที่เป็นบ้านเกิดของขงจื๊อ การปรุงอาหารที่หลอมรวมแบบลู่ของแถบชานตงกับอาหารซูจากตอนใต้ของจีนไว้ด้วยกันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

ไม่ว่าจะเป็นของหวานอย่างแป้งถั่วเหลืองที่ราดหน้าด้วยถั่วและน้ำผึ้ง หรือจานหลักที่มีการแกะสลักหัวไชเท้าอย่างวิจิตรอลังการ พวกเขาบอกว่า อาหารจานนั้นจะไม่ใช่อาหารชั้นเลิศ หากว่าขาดวิธีการอันพิถีพิถัน แต่ความละเอียดอ่อนที่ว่าก็มีลำดับขั้น เพราะสังคมของชาวจีนนั้นลึก ๆ แล้วความเหลื่อมล้ำของชนชั้นยังคงมีอยู่

ย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนแผ่นดินใหญ่ถูกประเทศเล็ก ๆ อย่างญี่ปุ่นรุกราน ก่อนที่ระบบคอมมิวนิสต์จะเข้ามาครอบงำหลังช่วงสงครามเย็น ลูกหลานของขงจื๊อออกจากบ้านเกิดที่ฉู่ฟู่ลี้ภัยไปยังไต้หวันเมื่อลัทธิขงจื๊อกลายเป็นสิ่งต้องห้ามและถูกกวาดล้างพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาปฏิวัติวัฒน ธรรมในช่วงปี ค.ศ. 1966-1976 ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ดาวแดงของเหมาเจ๋อตุงเข้ามาแทนที่ วัดในลัทธิขงจื๊อถูกทำลาย สัญลักษณ์ของขงจื๊อกลายเป็นเพียงอดีต ไม่เว้นแม้แต้เชฟผู้ปรุงอาหารสุดวิจิตรของขงจื๊อเองก็ถูกคุกคาม
หลังจากอาหารขงจื๊อได้รับการฟื้นฟู ผู้สืบทอดที่ยังพอหลงเหลือจากไต้หวันได้รับเชิญให้มาทำ หน้าที่สืบทอดและถ่ายทอด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“การปฏิวัติวัฒนธรรมตัดการสืบทอดวัฒนธรรมอาหารของขงจื๊อไปถึง 4 รุ่น” หวาง ซิงหลาน หนึ่งในผู้สืบทอดได้รับเชิญให้มาร่วมฟื้นฟูอาหารขงจื๊อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 และดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบันวิจัยอาหารแห่งมณฑลชานตง บอกเล่า

ซิงหลาน บอกว่า บางคนอยากจะใช้มันเป็นสัญลักษณ์ โดยที่ไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของอาหารแต่ละจาน วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ จึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถปรุงอาหารเช่นนี้ได้
ภาพคู่รักที่ช่วยกันปรุงอาหารขงจื๊อที่ติดอยู่ตามผนังตึกสูงในเมืองฉู่ฟู่นั้นก็เป็นหนึ่งในแผนโปรโมตอาหารขงจื๊อให้เป็นที่รู้จักตามแผนการโฆษณา โดยราคาเมนูเต้าหู้อยู่ที่ราว 30 หยวน หรือ 120 บาท ขณะที่ซุปไข่ถ้วยละ 5 หยวน หรือราว 40 บาท

ขณะที่โรงแรมอย่างแชงกรี-ล่า ซึ่งพยายามรื้อฟื้นอาหารขงจื๊อ ระบุว่า อาหารขงจื้อก็เป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเกาหลีด้วย.

http://www.dailynews.co.th/article/4588/235651 (http://www.dailynews.co.th/article/4588/235651)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 03, 2013, 10:26:51 pm

กินแต่ไข่ขาว ไม่มีไขมัน ไม่อ้วนด้วยใช่ไหม

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1/-

(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_272372__28062013113615.jpg)


ถ้ากินไข่ขาวอย่างเดียวจะแทนโปรตีนได้ทั้งหมดหรือเปล่า กินแต่ไข่ขาวนี่ ไม่มีไขมันและไม่อ้วนด้วยใช่ไหม??

ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้ การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบ ทั้งหมดเป็น “อัลบูลมิน” ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย “อัลบูลมิน”

นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัว หนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน” ในร่างกาย ซึ่ง “ไบโอ ติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ “ไบโอติน” ที่อยู่ในไข่แดง แถม “อะวิดิน” ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและ ไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

การทานไข่ขาวอย่างเดียวจะทำให้เราได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบ และทำให้กระบวนการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปอย่างไม่สมบูรณ์

ในคนที่ไม่มีความเครียด หรือไม่ได้ออกกำลังกายอย่างหนัก ควรจะได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น ถ้าคุณหนัก 60 กก. ก็ควรได้รับโปรตีนเข้าไป 60 กรัม เนื้อสัตว์ 1 ขีด (100 กรัม) จะให้โปรตีน 20 กรัม ก็คือควรทานวันละ 3 ขีดเป็นอย่างน้อย และแน่นอนว่า ถ้าคุณออกกำลังกาย หรือว่าเครียดกับการทำงาน คุณก็ต้องทานโปรตีนให้มากกว่านี้อีก

1. โปรตีนสมบูรณ์ หมายความว่า ประกอบด้วย กรดอะมิโนจำเป็น ครบทุกชนิด อันได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งไก่และปลา ไข่ นม แต่อาหารพวกนี้ นอกจากให้โปรตีนแล้ว ก็ยังมีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูงด้วย การใช้อาหารเสริมก็เป็นทางหลีกเลี่ยงที่ดีอันหนึ่ง

2. โปรตีนเกือบสมบูรณ์ หมายความว่า มีอะมิโนจำเป็น เกือบจะครบ ขาดเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น จะอยู่ในพืชบางอย่าง เช่น ถั่วฝัก หรือถั่วที่มีเมล็ดทั้งหลาย โปรตีนชนิดนี้ใช้ได้กับคนที่โตแล้ว เพราะถึงจะได้กรดอะมิโนไม่ค่อยครบ แต่ก็ไม่มีผลต่อสุขภาพเท่าไร แต่ห้ามให้กับเด็กอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กไม่โตเท่าที่ควร

3. โปรตีนไม่สมบูรณ์ หมายความว่า ไม่มีกรดอะมิโนจำเป็นเลย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 03, 2013, 10:28:11 pm
สมุนไพรไทยดี รักษาได้หลายโรค

-http://campus.sanook.com/1369975/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/273/1369975/479240-01.jpg)

นายแพทย์สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยเกี่ยวกับการร่วมอภิปราย ในหัวข้อ "การแพทย์แผนไทยจะเป็นแผนหลักของในชาตินี้" ว่า การแพทย์แผนไทย มีบทบาทในการดูแลสุขภาพของสังคมไทยมายาวนาน ดูแลคนทุกระดับชั้น หลังจากที่มีการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย ก็ส่งผลทำให้การแพทย์แผนไทย ไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นทางการ และหมดบทบาทในการดูแลสุขภาพในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ประชาชนมีความสนใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น การที่จะผลักดันให้ประชาชนใช้ยาสมุนไพรให้มากขึ้น ต้องทำให้เกิดการยอมรับและเชื่อมั่นเรื่องประสิทธิภาพการรักษาก่อนพัฒนาระบบการผลิตยาสมุนไพรให้มีมาตรฐาน พัฒนาตำรับยาสมุนไพร และการวิเคราะห์วิจัยยาสมุนไพรให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมการใช้สมุนไพร 5 รายการ อาทิ ใบบัวบก กระชายดำ ลูกประคบ กวาวเครือ และไพล ซึ่งสมุนไพร และยาแผนไทยหลายชนิด ยังไม่สามารถพัฒนารูปแบบให้ทันสมัยได้ ต้องใช้วิธีการเดิม เช่น ยาหม้อ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถึงการแพทย์แผนไทยในปัจจุบันมีความก้าวหน้ากว่าในอดีตมาก แต่ยังต้องพัฒนาศึกษาวิเคราะห์สรรพคุณด้านตัวยา และติดตามประเมินผลในการรักษาด้วยยาสมุนไพร เพื่อให้เกิดการยอมรับและศรัทธา ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการผสมผสานกับระบบดูแลสุขอนามัย การออกกำลังกายและกายภาพบำบัดร่วมกันด้วย โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายจะเร่งส่งเสริมการวิจัย การใช้สมุนไพรให้มากขึ้น และการคุ้มครองอนุรักษ์พืชสมุนไพร เพื่อให้เกิดการยอมรับจากประชาชน

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 03, 2013, 10:29:03 pm

ประโยชน์ของทุเรียน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-

(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_272587__11072013095343.jpg)

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน

ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก

คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถัน ในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย

ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ

เนื้อ: เนื้อ ทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรค ผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย

เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ

ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้

ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
แต่ที่สำคัญที่ขาด ไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้

วิธีการ
1.นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว
2.ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

อย่าลืม หาทุเรียน มาทานกันนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ sakid.com
ที่มารูปภาพ xn--22c6buahm7b6c3b8g.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 03, 2013, 10:48:07 pm
รู้จัก ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ข้าวโพดที่สวยที่สุดในโลก
-http://hilight.kapook.com/view/91864-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/254216_260419294080566_504696505_n.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/Glass-Gem-Corn5-550x367.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/Glass-Gem-Corn2-550x417.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/Glass-Gem-Corn3-550x370.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/552199_260419367413892_1875202051_n.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/Glass-Gem-Corn-550x412.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/Glass-Gem-Corn4-550x412.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/x-file/426334_260419517413877_746963718_n.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก odditycentral.com, เฟซบุ๊ก สวนครัวของพ่อ(น้องเค๊าน์เตอร์)

          ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ข้าวโพดที่สวยที่สุดในโลก งดงามแวววาวราวกับทำมาจากแก้วจริง ๆ จากฝีมือการพัฒนาสายพันธุ์โดยชนพื้นเมืองอเมริกัน อยากรู้ว่าต้นกำเนิด ข้าวโพดอัญมณีแก้ว มาจากไหน ไปดูกัน

          จะเรียกว่าเป็นข้าวโพดสายพันธุ์ที่สวยที่สุดในโลกก็คงไม่ผิด สำหรับ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว (Glass Gem Corn) ที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องทึ่งกับความงดงามราวกับอัญมณีของมัน จนนึกว่าเป็นข้าวโพดปลอมที่ทำขึ้นจากแก้วหลากสีที่แข่งกันส่องประกายแวววาว จนได้รับชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าเป็น ข้าวโพดสายรุ้ง เลยทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ว่าข้าวโพดอัญมณีแก้วเหล่านี้เป็นข้าวโพดจริง ๆ แถมยังนำมาทานได้จริง ๆ ด้วย

ข้าวโพดอัญมณีแก้ว

          สำหรับต้นกำเนิดของ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว นั้นเริ่มขึ้นเมื่อ นายคาร์ล บาร์นส์ เกษตรกรชาวเชอโรคี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน จากรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ เริ่มสังเกตเห็นว่าบางครั้งข้าวโพดในไร่ของเขาจะมีสีของเมล็ดที่ดูต่างไปจากปกติ เขาจึงได้เริ่มอุทิศชีวิตเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดขึ้น จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและสามารถเพาะพันธุ์ ข้าวโพดอัญมณีแก้ว ที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องชื่นชมในความงดงามราวกับงานศิลป์มากกว่าจะเป็นเพียงธัญพืชของมัน

          จากนั้น ในปี 2553 ก่อนที่นายคาร์ลจะสิ้นใจ เขาได้ฝากข้าวโพดอัญมณีแก้วที่เขาเคยเก็บไว้แก่ นายเกรก สโคน นักเพาะพันธุ์ข้าวโพดเพื่อฝากภารกิจในการปกป้องสายพันธุ์ข้าวโพดอันงดงามที่เขาค้นพบไม่ให้สูญหายไป ซึ่งความหวังของนายคาร์ลก็เป็นจริง อีกทั้งข้าวโพดอัญมณีแก้วก็ยังได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนมีสีสันที่ตางจากสายพันธุ์ดั้งเดิมออกมาหลากหลายสีด้วยกัน

ข้าวโพดอัญมณีแก้ว

          จนกระทั่งในที่สุด เมล็ดพันธุ์ของข้าวโพดอัญมณีแก้วก็ถูกขายต่อให้แก่ นายบิล แม็คดอร์แมน เจ้าของบริษัทเมล็ดพันธุ์ ซีด ทรัส ในรัฐแอริโซนา นายบิลที่รู้สึกประหลาดใจกับชื่อแปลก ๆ ของข้าวโพดสายพันธุ์นี้จึงได้ลองนำเมล็ดบางส่วนมาปลูกดูและต้องทึ่งกับข้าวโพดที่สวยงามไม่ซ้ำใคร เขาจึงนำเมล็ดพันธุ์ที่เหลือออกมาขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัท พร้อมลงรูปของข้าวโพดที่สวยที่สุดสายพันธุ์นี้ไว้ด้วย ไม่ต้องสงสัยว่ามันก่อให้เกิดกระแสฮือฮาอย่างยิ่งในอินเทอร์เน็ต และเมล็ดพันธุ์ที่เหลือก็ถูกขายหมดอย่างรวดเร็ว ในทุกฤดูที่วางขาย

          ทั้งนี้ นายบิลซึ่งก่อตั้งองค์กร Native Seeds/SEARCH ขึ้นเพื่อเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งอนุรักษ์มรดกทางการเกษตรจากกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน รวมถึงข้าวโพดอัญมณีแก้วนี้ด้วย ได้เผยว่า ข้าวโพดอัญมณีแก้วนี้เป็นข้าวโพดที่สามารถนำมารับประทานได้ แต่เนื่องจากมันเป็น ข้าวโพดหัวแข็ง (flint corn) จึงมักจะนำมาทำเป็นป๊อปคอร์นและแป้ง ไม่นำมาต้มทานกันเพราะคนไม่นิยมทานจากซังโดยตรง และเขาก็จำหน่ายมันอยู่ที่ราคาแพ็กละ 7.95 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 250 บาท)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 04, 2013, 11:12:11 pm
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก
-http://campus.sanook.com/1369994/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3...%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/273/1369994/3333333333.jpg)

ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก อยากสมองดี ความจำดี สุดยอดอาหารชนิดใหม่ล่าสุดอย่าง "ยี่หร่าดำ (Black Cumin)" ช่วยคุณได้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชพฤกษศาสตร์วิทยา ชี้ว่าการกินแคปซูลบรรจุยี่หร่าดำป่นขนาด 500 มิลลิกรัม 2 แคปซูลทุกเย็นเป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะช่วยให้ความสามารถในการจดจำ สมาธิ และการเรียนรู้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและป้องกันระบบประสาทในเครื่องเทศชนิดนี้มีผลต่อการกระตุ้นสมอง และยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ช่วยยับยั้งการเสื่อมของสารสื่อประสาทได้อีกด้วย

ขอบคุณภาพประกอบจาก superhumanfoods.org

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 04, 2013, 11:14:28 pm
มังสวิรัติกับอาหารเจ แตกต่างกันอย่างไร
-http://club.sanook.com/10013/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88-%E0%B9%81%E0%B8%95-

(http://club.sanook.com/10013/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88-%E0%B9%81%E0%B8%95%20%E2%80%8E)

มังสวิรัติกับอาหารเจแตกต่างกันอย่างไร

เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ อาจมีความสงสัยว่า มังสวิรัติ กับ อาหารเจ นั้นแตกต่างกันอย่างไร เพราะว่าวิธีการทานนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน ซึ่งวันนี้เรามีความแตกต่างระหว่างอาหารมังสวิรัติกับอาหารเจมาฝากกันค่ะ

กินเจ

 ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ดังนี้

อาหารเจนอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อนเพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้  ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิด ยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว  นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์  จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหารสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่างวันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

(http://club.sanook.com/10013/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88-%E0%B9%81%E0%B8%95%20%E2%80%8E)

มังสวิรัติ

ส่วนอาหารมังสวิรัติ  โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์  วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีสองกลุ่ม กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี  ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ  ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง  เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 04, 2013, 11:25:31 pm
ผลกีวี...มหัศจรรย์ผลไม้เต็มคุณค่า
-http://campus.sanook.com/1369763/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5...%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2/-

นอกจากอาหารจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการมีชีวิตรอดของมนุษย์ อาหารยังเป็นสิ่งที่สร้างความสุข ความสมบูรณ์ให้กับชีวิต คนแต่ละคนอาจจะมีอาหารจานโปรด หรือเพลิดเพลินไปกับรสชาติที่ถูกปาก แต่ที่สำคัญกว่านั้นถ้าเราเลือกบริโภคแต่อาหารที่มีประโยชน์ หรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เราก็จะมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงจากภายใน ซึ่งจะสะท้อนออกสู่ภายนอกที่แสดงถึง รูปร่างดี ผิวพรรณผ่องใส มีน้ำนวล ที่สำคัญที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบางครั้งอาหารสามารถ "รักษา" โรคบางโรคได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาหากเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่ผิด ๆ อาหารจึงเป็นสิ่งที่ดลบันดาลสุขภาพที่ดี ถ้าเขาเหล่านั้นรู้จัก "เลือก" ที่จะรับประทานอาหารที่ "ใช่"

"ผลไม้" เป็นหนึ่งในอาหารหลัก 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยในการดูแลเสริมสร้างสุขภาพ แต่ผลไม้ทุกชนิดมีสารอาหารเด่น ๆ ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นชนิดและปริมาณ มีผลไม้มากมายหลายชนิดที่ได้ชื่อว่าเป็น "ซุปเปอร์ฟรุ๊ต" หนึ่งในนั้นคือ "ผลกีวี"

(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/273/1369763/kivi.jpg)

มีอะไรดีในกีวี

ผลกีวีอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี (phytonutrients) จำนวนมากรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เช่น วิตามินซี วิตามินอี ลูทีน โฟเลต โพแตสเซียม ใยอาหาร และสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์จากอนุมูลอิสระที่เปรียบเสมือนขยะของร่างกายที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย นอกจากนี้ผลกีวียังมีเอ็นไซม์ที่ใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มแบบธรรมชาติ

กีวีสีทอง หรือโกลด์กีวีนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินอีธรรมชาติ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน จึงช่วยปกป้องอันตรายจากเซลล์ในชั้นไขมัน ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยในการไหลเวียนโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และลดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจที่ไปเลี้ยงสมอง

ผลกีวีเป็นแหล่งที่ดีของโฟเลต ซึ่งเป็นวิตามินบีที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง และจำเป็นต่อคุณแม่ในช่วงก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ช่วยป้องกันความผิดปกติในการสร้างระบบประสาทและสมองของเด็กทารกในขณะตั้งครรภ์


โดย : อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา และนักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพไทย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 09:31:22 am
ถังน้ำแตงโม ไอเดียเก๋ไก๋ต้อนรับปาร์ตี้
-http://cooking.kapook.com/view71995.html-

(http://img.kapook.com/u/wanwanat/watermelon%20kegs.jpg)
ภาพประกอบจาก prudentbaby.com


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หากในไม่กี่วันนี้คุณกำลังจะจัดงานปาร์ตี้ และกำลังมองหาความแปลกใหม่ให้กับงานปาร์ตี้ของคุณอยู่ และที่สำคัญอยากประหยัดค่าใช้จ่าย เราได้นำไอเดียการดัดแปลงลูกแตงโมธรรมดาให้กลายเป็นถังน้ำที่สามารถเปิด-ปิดได้ จาก prudentbaby.com ทำได้ง่าย ๆ ไม่กี่ขั้นตอน อุปกรณ์ก็ไม่เยอะ แถมยังประหยัดอีกด้วย


        ขั้นตอนการทำ

        เริ่มต้นจากการเลือกซื้อแตงโมตามขนาดที่ต้องการ (ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อแตงโมแบบที่ไม่มีเมล็ดจะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น)

        เตรียมหัวจุกก๊อกน้ำที่ต้องการ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย เตรียมไว้

        ใช้มีดตัดส่วนท้ายของแตงโมออกบาง ๆ พอให้ลูกแตงโมวางตั้งได้

        จากนั้นตัดส่วนหัวของแตงโมให้เปิดออกเพื่อให้สามารถตักเนื้อแตงโมออกมาได้

        ตักเนื้อแตงโมออกจากลูก (ค่อย ๆ ตักออกระวังอย่าให้ทะลุเปลือก) จากนั้นนำใส่เครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด จากนั้นกรองเอากาก และเมล็ดออกด้วยตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

        นำที่เจาะแกนแอปเปิ้ลเจาะลงบนผิวแตงโมค่อนไปทางด้านล่างให้เป็นช่องสำหรับใส่จุกก๊อกน้ำ พยายามเจาะช่องให้เล็กกว่าก๊อกน้ำ ไม่อย่างนั้นน้ำจะซึมออกมาได้

        ค่อยๆ หมุนจุกก๊อกน้ำเข้าไปในเปลือกแตงโมให้แน่นจนทะลุเข้าไปในเปลือกด้านใน เตรียมไว้เป็นถังน้ำ

        ผสมน้ำแตงโมที่เตรียมไว้กับกับน้ำมะนาว 1 ลูก เติมน้ำตาลทราย หรือน้ำเชื่อมเพื่อเพิ่มความหวาน (หรือจะเติมแอลกอฮอล์สักเล็กน้อยให้เป็นค็อกเทลได้) จากนั้นเติมน้ำแตงโมลงในถังที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

          เป็นอย่างไรบ้างคะกับวิธีการง่าย ๆ ที่ได้มาซึ่งถังน้ำแตงโมสุดเก๋ คราวนี้ก็มีลูกเล่นแปลก ๆ ไว้สำหรับงานปาร์ตี้ของคุณ ทั้งง่าย ทั้งประหยัด และมีคุณค่าอีกด้วย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 10:35:36 am

ใบชะมวง - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/237243-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/237243.jpg)

สถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (มอ.) ได้ศึกษาวิจัยคุณสมบัติที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารจาก ใบชะมวง พบเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีจึงนำมาแยกสารที่ต้องการ สามารถได้สารมีฤทธิ์ในระดับดี เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสามารถยับยั้งเชื้อได้ประมาณ 7.8 ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าสารจากชะมวง สามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ได้ดี จึงนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอด และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน ทั้งนี้จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์  เพื่อการรักษาที่ได้ผลและลดอาการข้างเคียงจากการใช้ต่อไป.

-----------------------------------------------------------


ลิเภายุ่ง - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/237160-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/237160.jpg)

ลิเภายุ่งเป็นพืชพวกเฟิน ลำต้นเลื้อยใต้ดิน แทงใบขึ้นเหนือผิวดินเป็นระยะ ใบเป็นใบประกอบสามชั้น ก้านเรียวเล็กคล้ายเส้นลวด เลื้อยคลุมพืชอื่น ๆ และพันต้นไม้ใหญ่ ใบประกอบชั้นที่สองเรียงสลับทอดระยะห่างกัน 5 -10 เซนติเมตร ก้านยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ปลายก้านมีขนสีน้ำตาล ด้านข้างแยกแขนงหนึ่ง คู่ตรงข้ามกัน ยาวก้านละ 5 -10 เซนติเมตร ปลายก้านใบย่อยชั้นที่สองนี้ ปกติจะไม่เจริญยาวขึ้นอีก ยกเว้นเมื่อก้านใบชั้นแรกตอนบนถูกทำลายไป ปลายก้านใบย่อยชั้นนี้จะแตกตาเจริญขึ้น ทำหน้าที่แทนก้านใบเดิม ขึ้นทั่วไปในที่โล่งบริเวณที่ลุ่มน้ำขังและที่ดอน มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทยและประเทศในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชียและแอฟริกา เปลือกของเถา หรือที่เรียกว่าย่าน ใช้จักสานเป็นกระเป๋าถือ และหมวก คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำรากมาต้มกินแก้ร้อนใน ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะแดง หรือผสมตัวยาอื่นแก้โรคมะเร็ง ราก ใบ เถา ต้มดื่มน้ำ แก้เลือดพิการแก้ระดูมากะปริบกะปรอย

-----------------------------------------------------



ไก่งวง - เรื่องน่ารู้
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/236759-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/236759.jpg)

ไก่งวงในสังคมโทยเริ่มมีความนิยมเพิ่มขึ้น เกษตรกรหลายพื้นที่เริ่มหันมาเลี้ยงไก่งวงเพิ่มมาขึ้น ด้วยมีตลาดรองรับเพิ่มขึ้น ในทางโภชนาการ เนื้อไก่งวงมีแคลเซียมสูงบริเวณน่องสะโพกขนาด 3.5 ออนซ์มีแคลเซียมสูงถึง 32 มิลลิกรัม มีแคลอรี่ต่ำกว่าไก่ธรรมดา และมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนื้อสัตว์อื่น ๆ มีโปรตีนที่สูงกว่าเนื้อไก่ เนื้อวัวหรือเนื้อหมู มีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนที่สมบูรณ์ของร่างกาย ง่ายต่อการย่อย เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ มีโซเดียมต่ำตามธรรมชาติ เนื้อหน้าอกไก่งวงขนาดส่วน 3.5 ออนซ์มีโซเดียมเพียง 68 มิลลิกรัม


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 10:37:32 am
คล็ดลับกินเจให้สุขภาพดี..ไม่ขาดสารอาหาร
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/society/237569-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/237569.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237569/0.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237569/1.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237569/2.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237569/3.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237569/4.jpg)



การตื่นตัวเรื่องของสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามกระแสโลก การบริโภคอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ลดการกินเนื้อสัตว์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพของคนยุคนี้ ช่วงเทศกาลกินเจถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่จะได้มีโอกาสทำบุญ ชำระจิตใจให้สะอาด เพราะไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต และยังมีโอกาสดีในการถือศีล บำเพ็ญธรรมไปพร้อมกันด้วย เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติต่างมีความสุขทั้งทางกายและทางใจ


อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา เผยว่า ผู้ที่กินเจมีความเชื่อว่าการกินเจนอกจากได้บุญแล้ว ยังช่วยให้ผู้กินมีสุขภาพดีอีกด้วย แต่ความเชื่อในการกินเจของแต่ละกลุ่มมีความเชื่อที่ต่างกันออกไป ส่วนใหญ่เชื่อว่าในช่วงเทศกาลกินเจนี้พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากสวรรค์มาสถิตยังแดนมนุษย์ เพื่อทำการโปรดสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเทพเจ้า หรือที่เรียกกันว่าช่วง “ฮุดโจ้วเฮี้ยง” บรรดาผู้คนจึงพากันทำความดีด้วยการถือศีลกินเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดการกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ ธัญพืชและโปรตีนพืช ร่วมกับการถือศีลภาวนา ซึ่งถือว่าเป็นการชะล้างกายใจให้บริสุทธิ์ เพื่อน้อมถวายและขอพรให้พระโพธิสัตว์ทรงเมตตา และเชื่อว่าหากใครตั้งจิตใจให้บริสุทธิ์และถือศีลกินเจในเทศกาลนี้ จะอธิฐานขอสิ่งใดมักได้สมดังปรารถนา

การกินเจตามธรรมเนียมนิยมแต่โบราณอย่างเคร่งครัดนั้น นอกจากงดการบริโภคเนื้อสัตว์แล้วยังห้ามบริโภคผักที่มีกลิ่นฉุนบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม หลักเกียว (ลักษณะคล้ายกระเทียมแต่มีขนาดเล็กกว่า) กุยช่าย ใบยาสูบ เป็นต้น เพราะชาวเจเชื่อว่า ผักที่มีกลิ่นฉุน จะเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ปกติ ในกรณีที่เจ็บป่วย การกินผักกลิ่นฉุนก็อนุโลมได้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่จะทำให้ผิดศีล หากใช้ผักเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรค เพราะเป็นผักที่มีสารพฤกษเคมีที่ช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทานและป้องกันมะเร็ง และมีองค์ประกอบเป็นยา

แม้กินเจอย่างเคร่งครัดแต่ในระยะเวลาสั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะในผัก ผลไม้และธัญพืชที่กินนั้น แต่ละชนิดให้คุณค่าสารอาหารที่ต่างกันออกไป สำคัญตรงที่รู้จักเลือกกินอย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและสมดุล การผสมผสานของผักผลไม้ เมล็ดธัญพืชจำพวก ข้าว ถั่วต่างๆ งา และถั่วเหลืองจะทำให้ได้รับสารอาหารหลากหลายเหมาะสมและได้โปรตีนที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะถั่วเหลือง สำหรับชาวเจนับเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์ และฮอร์โมนพืชในถั่วเหลืองคือสารไอโซฟลาโวนส์ช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันมะเร็งในเต้านมด้วย

กุญแจของการกินอาหารเจเพื่อสุขภาพ เช่นเดียวกับอาหารอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มังสวิรัติ คือการกินอาหารให้หลากหลายจากผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชและถั่วต่างๆ รวมถึงเห็ด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์ และเห็ดยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการครบถ้วน นอกจากนี้เห็ดยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งธาตุเหล็ก และซีลีเนียม ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยชาวเจสามารถเลือกกินเมนูเห็ดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำเห็ดฟาง ยำเห็ดโคนญี่ปุ่น เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดหูหนู หรือผัดเห็ดหอม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเห็ดบางชนิดที่มีสรรพคุณทางยาและได้รับการยอมรับว่าเป็น “เห็ดทางการแพทย์” อาทิ เห็ดยามาบูชิตาเกะ เห็ดไมตาเกะ เห็ดหลินจือ เห็ดชิตาเกะ ถั่งเฉ้า เห็ดแครง เป็นต้น ซึ่งมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ปลอดภัยและให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น สารประกอบในกลุ่มโพลีแซ็คคาไรด์และเบต้ากลูแคนที่สกัดได้จากเห็ด มีส่วนช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพื่อปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ได้ประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับการต่อต้านเชื้อโรคและเซลล์มะเร็ง จึงเปรียบได้กับการยกระดับภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ด้วยเหตุนี้เห็ดทางการแพทย์หลายชนิดจึงถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพและใช้เป็นตัวยาในการรักษาโรค ขณะนี้การใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สกัดเข้มข้น นับเป็นวิธีที่ช่วยให้ได้รับปริมาณของสารสกัดมากกว่าการกินจากเห็ดสดหรือการสกัดเอง

ข้อควรระวังสำหรับผู้กินเจ อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช แนะนำว่า ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันและอาหารที่ส่วนผสมของน้ำตาลสูง ละเว้นเครื่องดื่มมึนเมาและบุหรี่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมผลจากอาหารเจต่อสุภาพให้ดียิ่งขึ้น และประการสำคัญ พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใสอย่าให้เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพที่ดีเยี่ยมจะไม่หนีไปไหน และช่วงกินเจควรใส่ใจดื่มน้ำให้มากอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะอาหารที่มีกากใยสูงต้องการน้ำในการทำงานหากดื่มน้ำไม่พออาจทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้องได้

http://www.dailynews.co.th/society/237569 (http://www.dailynews.co.th/society/237569)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 06, 2013, 10:43:31 am
กินเจอย่างไร ไม่บั่นทอนสุขภาพ !?! - X-RAY สุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/237998-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/237998.jpg)

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/237998/0.jpg)

ใครที่กินเจเป็นประจำทุกปี คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก แต่คนที่เพิ่งกินเป็นครั้งแรกหรือแห่ตามกระแสอาจจะไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 5-13 ต.ค.นี้

ใครที่กินเจเป็นประจำทุกปี คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก แต่คนที่เพิ่งกินเป็นครั้งแรกหรือแห่ตามกระแสอาจจะไม่รู้ว่าต้องกินอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในช่วงเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 5-13 ต.ค.นี้

รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลกินเจต้องงดเนื้อสัตว์ แต่สามารถหาแหล่งโปรตีนจากพืชทดแทนได้ เช่น พืชตระกูลถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเปลือกแข็ง เต้าหู้  ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการขาดโปรตีน ส่วนผัก ผลไม้ ถือเป็นโอกาสดีเพราะหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจผักและผลไม้กัน ในช่วงนี้ควรเน้นผัก ผลไม้สีต่าง ๆ ซึ่งมีสารสารต้านอนุมูลอิสระ

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด อาหารประเภท ผัด ของทอด

ถ้าทำอาหารเจกินเองได้จะดีมาก เนื่องจากอาหารเจที่ทำขายกันส่วนใหญ่มันมาก เช่น ผัดหมี่ ผัดผัก แกงกะทิ บางทีใช้น้ำมันปาล์ม ซึ่งเหมาะสำหรับทอด แต่นำมาผัด ทำให้ได้ไขมันอิ่มตัวจากผัดผัก แต่ถ้าทำเองก็ใส่น้ำมันถั่วเหลืองน้อย ๆ ดังนั้นคนที่ไม่ได้ทำเองก็พยายามเลือกอาหารที่มีไขมันไม่เยอะ ส่วนข้าวควรเน้นข้าวกล้อง มื้อละประมาณ 2 ทัพพี ผักประมาณ 2 ทัพพี และกินโปรตีนจากพืชที่กล่าวมาข้างต้น

สำหรับน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารเจ ควรเน้นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด เพราะไขมันอิ่มตัวน้อย ลองสังเกตง่าย ๆ ถ้าเอาน้ำมันแช่ตู้เย็นแล้วเป็นไข แสดงว่า ไขมันอิ่มตัวเยอะ

ด้าน ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สิ่งที่มักพบในช่วงกินเจ คือ การกินอาหารไม่ถูกต้อง ไม่ถูกสัดส่วนตามหลักโภชนาการ ส่วนประกอบของอาหารเจ มักจะทำมาจากแป้ง และ น้ำมัน หากได้รับในปริมาณมากเกินกว่าร่างกายต้องการจะทำให้สะสมเป็นไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว หรือ พุง

แม้จะงดเนื้อสัตว์ แต่จำเป็นต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ โดยเลือก

กลุ่มข้าวแป้งที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง

กลุ่มโปรตีนจากถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วขาว หรือถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วลิสง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร สำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆไม่ได้ออกแรงอะไรมาก ควรกินโปรตีน 2-4 ช้อนกินข้าว แต่ถ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ อาจกินโปรตีน 4 ช้อน หรือ 6 ช้อนสำหรับคนออกกำลังกายมาก ๆ

กลุ่มผักและผลไม้ให้ได้หลากสีสัน ทั้งสีแดง ขาว เขียว ส้ม เหลือง ม่วง

กลุ่มไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น  น้ำมันรำข้าว  น้ำมันถั่วเหลือง

ขณะเดียวกันควรเลือกกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะเมื่อกินผักมาก ๆ ร่างกายจะต้องการน้ำในปริมาณเพิ่มขึ้น หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ท้องผูก จึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และควรเป็นน้ำเปล่าไม่ใช่น้ำอัดลม ชา กาแฟ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ

อาหารแปรรูป พยายามเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแห้ง อาหารดอง มักจะมีการใส่เกลือหรือโซเดียมในปริมาณสูง ทำให้ร่างกายทำงานหนัก และจะเร่งกลไกการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลไปเป็นไขมันมากขึ้น จะทำให้อ้วนลงพุงได้ง่าย

ไขมันอิ่มตัว เช่น เนยขาว น้ำมันปาล์ม

เครื่องปรุงประเภทซอสปรุงรส มีส่วนผสมทั้งน้ำตาล น้ำมัน เกลือ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการบวมน้ำ และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตามมาได้
 
อาหารเจส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุแคลเซียมน้อย มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า หากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพออาจส่งผลต่อความอ้วนได้ โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักสีเขียวเข้ม งาดำ งาขาว สาหร่าย เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ

ระหว่างกินเจอาจมีความรู้สึกว่าหิวง่ายเนื่องจากร่างกายอาจได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จึงต้องกินอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้สด เมล็ดธัญพืชอบกรอบ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน นมถั่วเหลืองผสมธัญพืช เต้าฮวยน้ำขิง ขนมปังไม่ขัดสี ข้าวโพดคลุก

ถ้ากินเจให้ถูกต้องตามสัดส่วนโภชนา การสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย ที่มักจะขาด คือ โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 แคลเซียม ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ การเจริญเติบโตไม่ดี ดังนั้นจำเป็นต้องเลือกแหล่งที่มาของอาหารอื่นทดแทน

สำหรับเมนูเจในแต่ละมื้อ ถ้าให้พูดชื่อเมนูคงยาก เพราะความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้นอยากให้ยึดหลักว่า แต่ละมื้อควรเน้นความหลากหลาย เช่น มื้อเช้า ข้าวต้มใส่ธัญพืช ใส่เต้าหู้ กลางวัน ผัดผัก แกงจืด ไม่ใช่ว่า เช้าเต้าหู้ทอด กลางวันผัดหมี่เจ เย็นผัดผัก คือ กินแต่อาหารเจผัด ๆ ทอด ๆ ทุกมื้อ ที่สำคัญคือ ในแต่ละมื้อควรทานผลไม้หลากสีสันด้วย.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 12, 2013, 09:30:46 am
ถั่วงอก - เรื่องน่ารู้
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239518-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/239518.jpg)

ถั่วงอกเป็นผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง มีประโยชน์สำหรับร่างกาย มีส่วนช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวนุ่ม เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล  รับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง วิตามินซีจากถั่วงอกช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันหวัดได้อีกด้วย ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยในการทำงานของสมอง  ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื่องจากมีแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน  ช่วยในการชะลอวัย ต้านความแก่ เนื่องจากมีสารออซินอน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะไปช่วยลดระดับไขมันเลว วิตามินซีจากถั่วงอกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดต่าง ๆ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทำงาน.

------------------------------------------------

ลูกจันทน์เทศ - เรื่องน่ารู้
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239263-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/239263.jpg)

จันทน์เทศมีความสำคัญสำหรับการผลิตเครื่องเทศสองอย่าง คือ เมล็ดจันทน์เทศ และ ดอกจันทน์เทศ ในตำรายาไทย ลูกจันทน์ จะนำมาใช้แก้ธาตุพิการ บำรุงกำลัง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ขับลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้บิด แก้กำเดา แก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้เสมหะโลหิต แก้ปวดมดลูก และบำรุงโลหิต เปลือกเมล็ด รสฝาดมีมันหอม นำมาใช้สมานบาดแผลภายใน แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง ในประเทศอินโดนีเซียจะใช้ลูกจันทน์เทศรักษาอาการท้องเสีย และนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ในบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) ปรากฏการใช้ลูกจันทน์ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย คือยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร มีส่วนประกอบของลูกจันทน์ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ.

---------------------------------------------------------

พิกุล - เรื่องน่ารู้
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/239008-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/239008.jpg)

พิกุลเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 8-15 ม. เรือนยอดแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา มีรอยแตกระแหงตามแนวยาว ใบ เป็นใบเดี่ยว เกิดเรียงกันแบบสลับ ลักษณะใบมนเป็นรูปไข่ หรือรูปไข่แกมหอก มีขนาดกว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-10 ซม. โคนใบสอบมอน ปลายใบเรียวหรือหยักเป็นติ่ง ดอกเกิดเป็นกระจุกตามง่ามใบและตามยอด มีสีขาวปนเหลือง กลีบรองดอกมี 8 กลีบ เรียงเป็น 2 วง ๆ ละ 8 แฉก ดอกบานมีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ผลรูปไข่กลมถึงรี ภายในมีเมล็ดเดียว การแพทย์แผนไทยจะใช้ ดอกสด เข้ายาหอม ทำเครื่องสำอาง แก้ท้องเสีย ดอกแห้ง ใช้เป็น  เป็นยาบำรุงหัวใจ ปวดหัว เจ็บคอ ขับเสมหะ ผลสุก รับประทานแก้ปวดศีรษะและแก้โรคในลำคอและปาก เปลือก ทำยาอมกลั้วคอ ล้างปาก แก้เหงือกบวม รำมะนาด เมล็ด นำมา ตำแล้วใส่ทวารเด็ก แก้โรคท้องผูก ใบ ใช้ ฆ่าพยาธิแก่นที่ราก ใช้ เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ขับลม ส่วนกระพี้ ใช้  แก้เกลื้อน

--------------------------------------

ข้าวสินเหล็ก - เรื่องน่ารู้
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/agriculture/238437-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/238437.jpg)

ข้าวสินเหล็กเป็นพันธ์ข้าวเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิล กับ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวสีขาวที่มีกลิ่นหอม  รูปร่างเมล็ดเรียวยาว ไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ตลอดทั้งปี มีความต้านทานต่อโรคไหม้ข้าวสินเหล็กในฐานะเป็นข้าวหอมนุ่มที่มี ดัชนีน้ำตาล ต่ำถึงปานกลาง มีธาตุเหล็กในเมล็ดสูง ลักษณะประจำพันธุ์ มีความสูงประมาณ   148 ซม.อายุเก็บเกี่ยว 120 วันผลผลิต  600-800 กก.ต่อไร่  ความยาวของเมล็ด  ข้าวเปลือก 11 ม.ม. ข้าวกล้อง 7.6 ม.ม. ข้าวขัด 7.0 ม.ม. เป็นข้าวอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริโภคกันอย่างกว้างขวางเนื่องจากมีผลในทางบวกต่อร่างกายในการต้านทางโรค
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 15, 2013, 10:13:30 pm
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาป่วย

-http://men.sanook.com/1442/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-


(http://p4.isanook.com/me/0/ud/0/1442/hot.jpg)

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยอาจทำให้ร่ายกายคนเราไม่สบาย ซึ่งก็ต้องรักษาด้วยการพักผ่อนและกินยา แต่ทราบหรือไม่ว่า อาหารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ วันนี้จะพาไปพบกับอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเวลาป่วย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงยามป่วยไข้ ประเภทแรกที่อาจหลีกเลี่ยงได้ยากเหลือเกิน คือ "ขนมหวาน" เพราะอาหารจำพวกนี้ มักมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ประเภทต่อมาคือ "เนื้อแปรรูป" จะด้วยวิธีรมควัน หรือปรุงรสด้วยน้ำตาลและเกลือก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น "เบคอน" ที่มีสารในกลุ่มไนเตรทสูง การบริโภคในปริมาณมากอาจสะสม และทำให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแออีกด้วย

ถัดมาคือ "น้ำส้ม" ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก เพราะคนส่วนใหญ่รับรู้มาตลอดว่าน้ำส้มมีประโยชน์มาก แต่ว่าน้ำส้มที่รับประทานกันส่วนใหญ่มีน้ำตาลมาก ซึ่งน้ำตาลนี้เองที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และยังมีสภาพเป็นกรด เมื่อดื่มในขณะท้องว่างก็จะกัดกระเพาะอาหาร จะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น

อาหารประเภทต่อมาที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ "ถั่ว" เพราะถั่วทำให้เกิดเสมหะในลำคอ และอาจทำให้ท้องผูก ซึ่งแม้จะไม่มีผลโดยตรงต่อระบบร่างกาย แต่ก็จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ ไม่สบายเนื้อสบายตัวได้

"เนื้อแดง" ก็เป็นอาหารอีกประเภทที่ส่งผลต่อร่างกายคล้ายกับ "ถั่ว" คือ ทำให้เกิดน้ำมูกและเสมหะ นอกจากนี้ ไขมันในเนื้อยังทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักด้วย

"แอลกอฮอล์" เป็นอีกสิ่งที่ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์หักล้างกับตัวยาทุกอย่าง ทำให้การรักษาโรคไม่เกิดผล และตัวแอลกอฮอล์เองยังมีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง

ต่อมาคือ "คาเฟอีน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถย่อยได้ยาก การเลิกดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มคาเฟอีนอื่น ๆ จะทำให้หายป่วยได้เร็วยิ่งขึ้น

อาหารอีกชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ "อาหารเผ็ดร้อน" เพราะอาหารที่มีรสเผ็ดจะทำให้เกิดแก๊ส ซึ่งจะทำให้อึดอัดแน่นท้อง ไม่สบายเนื้อสบายตัว

"อาหารที่ไม่ผ่านการปรุง" ก็เป็นอาหารต้องห้ามอีกอย่างสำหรับคนป่วย ทั้งผักสลัดและอาหารอื่น ๆ เพราะนอกจากจะย่อยยาก ร่ายกายต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อแบคทีเรียมากยิ่งขึ้น

"ผลิตภัณฑ์นม" ต่าง ๆ ก็เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเต็มไปด้วยไขมันโมเลกุลหนักและซับซ้อน ทำให้ย่อยยาก และนอกจากนี้ บางคนยังมีอาหารแพ้นมระหว่างที่ป่วยด้วย

จากประเภทอาหารทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ แสดงให้เห็นว่าอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น อาการป่วยก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างที่จะทำให้คนเราตามใจปากอีกต่อไป


------------------------------------------------------------

อย่าใช้เกลือล้างผักและผลไม้นะ

-http://campus.sanook.com/1221858/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการใช้น้ำเกลือล้างผักจะช่วยให้ผักสะอาดหมดจดได้ ความจริงแล้วเกลือเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่มีส่วนทำให้สารตกค้างอย่างยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทำให้มันยังตกค้างอยู่ในผักและผลไม้ การล้างผักและผลไม้ที่ถูกต้องนั้นควรล้างด้วยน้ำเปล่าก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้น นำไปแช่โดยใส่แป้งสาลีผสมลงในน้ำด้วยเล็กน้อย เพราะมันจะช่วยล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลงออกไปได้ หรืออีกวิธี ก็คือล้างด้วยน้ำเปล่าซ้ำกันหลายๆ ครั้ง และจะดียิ่งขึ้นหากปล่อยผักและผลไม้ไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนครึ่งวันแล้วค่อยนำมาล้าง

ข้อมูลโดย : Lisaguru
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2013, 08:52:40 am
แลคโตส คืออะไร

-http://club.sanook.com/11232/%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%AA-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-


แลคโตส คืออะไร

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “แลคโตส” อยู่บ่อยๆ แต่ก็คงยังไม่รู้แบบลึกซึ้งจริงๆ ว่าแท้จริงแล้ว “แลคโตส” นั้น คืออะไรและมีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราเอาบทความเกี่ยวเรื่องของ “แลคโตส” มาฝากกันค่ะ


แลคโตส (lactose or milk sugar) หรือน้ำตาลนม เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ พบในน้ำนมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แลคโตส สังเคราะห์ขึ้นในเต้านม น้ำนมจะมีแลคโตสเฉลี่ยประมาณ ๔.๘ เปอร์เซ็นต์ แลคโตสมีความสำคัญในอุตสาหกรรมนม เนื่องจากแลคโตสถูกทำให้ สลายตัวได้ง่ายโดยแบคทีเรีย ทำให้เกิดกรดแลคติค ซี่งทำให้น้ำนม มีรสเปรี้ยว แลคโตสซึ่งผลิตเป็นการค้าเตรียมได้จาก เวย์ (Whey) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเนยแข็ง

ประโยชน์ของแลคโตส

    ช่วยในการสร้างเซลสมองของเด็กอ่อน
    ใช้ในการทำยาเม็ด และยาชนิดแคปซูล
    เป็นตัวควบคุมการ fermentation ของผลิตภัณฑ์นม เพราะแลคโตสเป็นแหล่งอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์
    ทำให้เกิดสีและกลิ่นในผลิตภัณฑ์นมและขนมปัง เนื่องจากแลคโตส เมื่อถูกความร้อนจะให้สีน้ำตาล (caramel) หรือปฏิกริยาที่เรียกว่า Maillard reaction
    ใช้เป็นตัวนำให้แลคโตส ในนมข้นหวานตกตะกอนได้เร็วขึ้น เพราะถ้าแลคโตส ตกตะกอนไม่หมดเวลานำมารับประทานจะรู้สึกสากลิ้น (sandy)
    ใช้เป็นส่วนประกอบของ media ในการเลี้ยงเชื้อรา penicill


Credit : ku.ac.th ,ผลิตภัณฑ์จากน้ำนม พ.ศ.๒๕๒๕, หน้า ๑๑-๑๒, สุวรรณา กิจภากรณ์
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2013, 08:56:16 am
ประโยชน์ กล้วยน้ำว้า

-http://men.sanook.com/1453/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2/-

(http://p3.isanook.com/me/0/ud/0/1453/banana.jpg)

กล้วยน้ำว้า สรรพคุณ ประโยชน์ บำรุงร่างกายและดูแลสุขภาพ กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีมาแต่โบราณเป็นภูมิปัญญาไทยมีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว คนไทยทุกคนเกิดมาก็ต้องรู้จักกล้วยน้ำว้าเป็นอย่างดี

กล้วยน้ำว้า ถึงจะเป็นผลไม้ ที่ไม่น่าจะให้พลังงานได้เยอะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยเป็นแหล่งพลังงานสำรองชั้นดี ในกล้วย 1 ผล สามารถให้พลังงานได้ร่วม 100 แคลอรี่ มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่ 3 ชนิด ทั้ง ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโครส รวมไปถึงเส้นใยและกากอาหาร และอุดมด้วย วิตามินบี 6 ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน แถมแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ที่ช่วยป้องกันโรคความดันอีก


ในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ในปริมาณที่เท่า ๆ กัน แต่ที่ทำให้กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าสารอาหารที่พิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น นั่นก็คือ โปรตีนที่อยู่ในกล้วยน้ำว้า มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก ถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ถึงให้เรากินกล้วยบด เพราะอุดมด้วยสารอาหาร และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายเรานั่นเอง


สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าช่วยป้องกันโรค

1.กล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ รับประทานวันละ 5 - 6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลง

2. กล้วยน้ำว้า ยังช่วยระงับกลิ่นปากได้ วิธีการก็คือ รับประทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้มาก

3.กล้วยน้ำว้า ยังสามารถรักษาโรคกระเพาะ เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารแทนนินอยู่มาก จึงสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้

4.กล้วยน้ำว้า แก้ท้องผูก ก็สามารถแก้ท้องเดินหรือท้องเสียได้

 

จะเห็นได้ว่ากล้วยน้ำว่ามีประโยชน์มากมาย กล้วยน้ำว้าหารับประทานได้ไม่ยาก ราคาของกล้วยน้ำว้า ก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร หากได้รับประทานกล้วยน้ำว้า เพียงวันละ 5-6 ลูก ก็จะทำให้เราห่างไกลหมอได้พอสมควร


เกร็ดความรู้ นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้า ยังมีแคลเซียมสูงและดูดซึมได้เร็ว 5-6 เท่า เมื่อถูกความร้อนโ ดยเฉพาะ กล้วยบวชชีและกล้วยปิ้ง


http://men.sanook.com/1453/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2/ (http://men.sanook.com/1453/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2/)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 22, 2013, 10:22:47 pm
เตือนทำตัวเป็น “ลำยอง” ซดเหล้าขณะท้อง ลูกเสี่ยงพิการแถมโง่!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ตุลาคม 2556 18:30 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000132409-



แพทย์เตือนอย่าเลียนแบบ “ลำยอง” ซดเหล้าขณะท้อง ชี้ลูกเกิดมาเสี่ยงพิการ สมองเล็ก ไอคิวต่ำ ออทิสติก ผลศึกษาจากแคนาดาระบุชัดต้องใช้เงินดูแลลูกถึง 300 ล้านบาทต่อราย ติผู้สร้างละครไม่ขึ้นคำเตือน แนะหารือ กสทช.เมื่อมีฉากดื่มของมึนเมา หากตัดไม่ได้ต้องขึ้นข้อความสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

วันนี้ (22 ต.ค.) นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีละคร “ทองเนื้อเก้า” มีฉากที่ “ลำยอง” ตัวละครเอกของเรื่องดื่มเหล้าขณะตั้งครรภ์ ว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในทางการแพทย์ เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อเด็กทั้งด้านการสร้างอวัยวะ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กพิการทางกาย และด้านพัฒนาการทางสมอง ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น หากมีฉากหญิงตั้งครรภ์แล้วดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรมีการหารือกันว่า จะมีการออกมาตรการใดควบคุมหรือไม่ โดยเฉพาะต้องมีการให้ความรู้ต่อสังคม เช่น ขึ้นคำเตือนที่เพียงพอในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับสังคม
       
        นพ.สมาน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หากมีฉากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรที่จะมีการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่า ฉากดังกล่าวควรที่จะมีปรากฏหรือไม่ และหากจะให้มีฉากดังกล่าวปรากฏเพราะจำเป็น เนื่องจากเป็นบทก็ควรที่จะมีอะไรคู่ขนานกันไป เช่น คำเตือน เป็นต้น
       
        "เด็กที่เกิดจากแม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากแม่ที่ดื่มทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และรู้แต่ยังดื่ม เพราะเด็กได้รับผลกระทบโดยที่ไม่สามารถต่อสู้หรือป้องกันตัวเองได้ เป็นเรื่องเศร้า ที่ต้องเกิดมาพิการหรือปัญญาอ่อนจากการกระทำของแม่ จึงต้องระมัดระวัง” นพ.สมาน กล่าว
       
        ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ประเทศไทยไม่เคยพูดถึงและเป็นเรื่องสำคัญ คือ ผลเสียจากการที่หญิงตั้งครรภ์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าจะทำให้เด็กที่คลอดออกมาสมองเล็ก ไอคิวต่ำ เป็นออทิสติก ไฮเปอร์แอ็กทีฟ กลายเป็นปัญหาต่อสังคมภายภาคหน้าอย่างมหาศาล และมีการศึกษาในประเทศแคนาดา พบว่า การเลี้ยงดูเด็กที่มีปัญหาดังกล่าว 1 คน ใช้เงินราว 10 ล้านเหรียญแคนาดา หรือราว 300 ล้านบาท

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2013, 08:21:49 am
“กระชาย“ราชาแห่งสมุนไพร

-http://men.sanook.com/1467/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/-


(http://p3.isanook.com/me/0/ud/0/1467/kachay.jpg)

กระชายมี 3 ชนิด คือ กระชายดำ กระชายแดง กระชายเหลือง กระชาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงกระชายเหลืองอย่างเดียวเปรียบเทียบกระชายคือโสมของไทย คือ "ราชาแห่งสมุนไพร" กระชายปั่นคั้นน้ำ กระชายมีวิตามินซี, บี1, บี 3 ,บี 6 และแคลเซียม

สรรพคุณกระชาย

1.ช่วยบำรุงตับ ไต แข็งแรง

2.ช่วยฟื้นฟูต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง

3.ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง

4.ช่วยให้เส้นผมไม่หงอกก่อนวัยเล็บมือ เล็บเท้า แข็งแรง

5.ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิตให้พอดี ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป

6..ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น

7.ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน และฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน ซึ่งอยู่ในร่างกายทุกคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือชาย

(http://p4.isanook.com/me/0/ud/0/1467/as.jpg)

คุณค่าในน้ำกระชาย

เมื่อกินน้ำกระชายเข้าไปแล้ว ในกระเพาะเรามีน้ำ มีไขมันและจุลินทรีย์สองกลุ่มจะแยกกันทำหน้าที่ของมันเอง ตัวจุลินทรีย์ในกระเพาะจะทำให้เกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่สกัดตัวยากลุ่มที่ละลายน้ำออกมาจากกระชายได้เอง ส่วนกลุ่มที่ละลายในไขมันก็ทำงานของเขาเอง

คนปกติดื่มกระชาย เพื่อบำรุงเอาไว้ ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคไต ผู้ชายป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากโต ผู้หญิง ป้องกันไม่ให้เป็นมดลูกโต และถ้าให้เด็กดื่มกินเป็นประจำ จะช่วยสร้างกระดูกให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง เห็นประโยชน์มากมายเราก็นำสูตรการทำกระชายปั่นคั้นน้ำมาฝากด้วย


วิธีทำ

1.นำกระชายมาล้างน้ำเกลือให้สะอาดประมาณ 1 แก้ว

2.หั่นกระชายเป็นแว่นเล็กใส่เครื่องปั่นแล้วเติมน้ำ 1 แก้ว

3.ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ทิ้งกาก (ห้ามกินกาก)

4.ใช้น้ำเป็นหัวเชื้อใส่ขวดเก็บในตู้เย็นได้หลายวัน

5.เวลาจะใช้ดื่มก็เทใส่แก้วแล้วเติมน้ำสะอาดให้เจือจาง

6 เติมน้ำตาล เกลือ ปรับรสชาติตามใจชอบ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2013, 10:07:20 am
อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์

อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์ (http://www.youtube.com/watch?v=h2ayQbsz8_Y#)

อิ่มบาป เมนูพิสดาร เห็นเเล้วสงสารสัตว์ (http://www.youtube.com/watch?v=h2ayQbsz8_Y#)
-http://www.youtube.com/watch?v=h2ayQbsz8_Y-


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 25, 2013, 05:58:55 am
เครื่องดื่มเพิ่มพุง

-http://men.sanook.com/1471/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87/-


เครื่องดื่มมีมากมาย ที่เราดื่มกันในแต่ละวัน แต่รู้ไหมว่าน้ำต่างๆที่เราดื่มไปนั้น อาจจะเพิ่มพุงให้เราด้วย มีเครื่องดื่มไรกันบ้าง

1. กาแฟขนาดกลาง 400 Kcal
2. น้ำอัดลมขนาดปรกติ 280 Kcal
3. ชามะนาว 220 Kcal
4. เบียรสด 150 Kcal
5. น้ำส้ม 110 Kcal

กาแฟประเภทต่างๆ

จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก(ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์) แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆอย่างจากคนเรานี่เองทำให้กาแฟจากร้านขายกาแฟขนาด 10ออนซ์ ใส่ครีมและน้ำตาลนั้นมีแคลอรี่มากถึง 120 แคลอรี่, ลาเต้ 230 แคลอรี่ และคาปูชิโน 130 แคลอรี่ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ ทางที่ดีที่สุดถ้ายังอยากดื่มกาแฟอยู่ก็หันไปหากาแฟดำดู ถ้าหากใครที่ยังไม่สามารถทนกับรสชมของมันได้ก็ใส่หญ้าหวานลงไปช่วยก่อนก็ได้

เครื่องดื่มจำพวกซอฟต์ดริ้งค์

เครื่องดื่มจำพวกนี้นั้นสามารถพบเห็นได้ในทุกๆวัน ซึ่งที่มีกันเกลื่อนนั้นก็เพราะมันมีรสที่อร่อย แต่ซอฟต์ดริ้งค์ขนาด 12ออนซ์ นั้นมีแคลอรี่ถึง 150-200 แคลอรี่และมีน้ำตาลมากกว่า 52 กรัม(น้ำตาลมากกว่า 13 ช้อนชา) จินตนาการเมื่อคุณดื่มซอฟต์ดริ้งค์ทั้งหลายแหล่ตอนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ... คุณจะได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกแทบจะเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

ชาที่มีรสหวาน

ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น, ชาดำเย็น หรือชาอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล, นมข้นหวาน, หรืออื่นๆที่ใส่เข้ามาเพิ่มนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

เครื่องดื่มชูกำลัง

เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอาจจะเป็นเครื่องดื่มที่้เฉพาะกลุ่มสักนิดหน่อย แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ ในช่วงลดน้ำหนักนี้ก็ยกเลิกสักพักก็แล้วกัน เพราะเครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน มีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม(6-13 ช้อนชา) เลยทีเดียว

ที่มา : http://www.lovefitt.com/ (http://www.lovefitt.com/)
by Sutthakit



-----------------------------------------------------------------------------

'13 เมนู' ที่รู้ทั้งรู้ก็ยังกิน

-http://campus.sanook.com/1370092/13-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99/-

13 เมนูยอดนิยมนี้ ที่มีตั้งแต่โซดาไปจนถึงข้าวโพดคั่ว ทั้งที่มาในรูปอาหารเพื่อสุขภาพและจานด่วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน

1. นักเก็ตไก่
อาหารฟาสต์ฟูดยอดนิยมที่กินสะดวกและหาได้ทั่วไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง จะเป็นแบบแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็นที่บ้านหรือซื้อทานในร้านอาหารก็ไม่ควร เพราะมีปริมาณเกลือสูง รวมถึงสารกันบูด และ ไขมันในปริมาณเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ

2. เฟรนช์ฟรายด์
รู้อยู่แล้วว่าเป็นของว่างที่อุดมไปด้วยแคลอรี่ การทานเป็นประจำอาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานและควบคุมน้ำหนักได้ยาก สารอาหารที่เป็นประโยชน์ของเจ้าแท่งสีเหลืองทองถือว่ามีน้อยมาก แม้ว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย แต่ถ้าอยากกินจริงๆ แนะนำให้อบแทนทอด

3. ขนมขบเคี้ยวชนิดทอด
ขนมขบเคี้ยวประเภททอดทั้งหลายล้วนใส่เกลือในสัดส่วนเกินพอดี นั่นหมายถึงปริมาณแคลอรี่ และ สารกันบูด ในระดับที่ทำลายสุขภาพ โดยให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใยอาหารต่ำ อันจะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง

4. โซดา
ความจริงคือน้ำซ่าชนิดนี้มีแคลอรี่เท่ากับศูนย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ให้สารอาหารเป็นประโยชน์ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นโซดาในท้องตลาดทั้งหลายยังใส่ส่วนผสมแต่งรสแต่งกลิ่น เช่น น้ำเชื่อมฟรุกโตส(ไซรัป) ที่ทำจากข้าวโพดที่ให้โทษมากกว่าน้ำตาล เพราะมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไปเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่มีส่วนทำลายเซลล์ในตับ นอกจากนี้ยังทำให้อ้วน และช่วยกระจายเชื้อแบคทีเรียและมะเร็ง โดยไปเพิ่มปริมาณกรดแก่ร่างกาย


5. ฮอทดอกและเนื้อแปรรูป
กระบวนการผลิตเนื้อและฮอทดอกในท้องตลาดใช้สารสังเคราะห์ในปริมาณสูง รวมถึงผงชูรส เกลือ และบรรจุภัณฑ์ราคาถูก ที่สำคัญ ในขั้นตอนการแยกเนื้อและไขมันนั้นต้องผลิตภายใต้ความร้อนและความดันที่สูงมาก สารอาหารที่มีประโยชน์จึงสูญเสียไปเยอะ

6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีแนวโน้มเป็นเบาหวานมากกว่าคนที่ไม่ทาน

7.ซีเรียลผสมน้ำตาล
อาหารเช้าอย่างซีเรียล โดยเฉพาะยี่ห้อที่กล่องสีสันสดใส หลายบ้านมีไว้คู่ครัว ทราบหรือไม่ว่าแต่ละกล่องเพิ่มปริมาณน้ำตาลเข้าไปในระดับเสี่ยงเป็นเบาหวาน แม้คุณสมบัติเส้นใยสูงจะช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แต่ซีเรียลเหล่านี้ก็มีไฟเบอร์อันเป็นประโยชน์ในสัดส่วนที่ต่ำมาก ถ้าอยากกินจริงๆ ให้มองหาซีเรียลที่ข้างกล่องระบุไว้ว่ามีไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัม และเลี่ยงชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูง

8. มันฝรั่งทอดชนิดแผ่น
มันฝรังแผ่นทอดกรอบต่างๆ อุดมไปด้วยไขมันและแคลอรี่ ที่สำคัญเค็มมาก ทั้งหมดนี้แทคทีมกันทำร้ายสุขภาพ ทางที่ดีควรกินให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเท่ากับจะได้หนีจากปริมาณไขมันและแคลลอรี่ในปริมาณที่ร่างกายเกินต้องการ และไปลงท้ายด้วยการสะสมในน้ำหนักจนพุ่งกระฉูด ซึ่งจะนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอีกสารพัด

9. กราโนลา บาร์ หรืออาหารเช้าที่ประกอบด้วยน้ำนมใส่ผลไม้แห้ง,ผลไม้เปลือกแข็ง,ข้าว ชนิดอัดแท่ง
ตลาดอาหารสำเร็จรูปที่(ดู)มีประโยชน์กำลังโปรโมทเมนูสุขภาพนี้อย่างเต็มที่ ความจริงก็คือ กราโนลาบาร์ มีปริมาณน้ำตาลไซรัปข้าวโพดสูง แม้บางยี่ห้อจะโฆษณาว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งแท้ แต่สารให้ความหวานส่วนใหญ่มาจากน้ำตาลไซรัปข้าวโพด ที่อุดมไปด้วยโซเดียมและไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

10.คุกกี้ แครกเกอร์ เค้ก และ มัฟฟิน สำเร็จรูป
ขนมเหล่านี้จัดอยู่ในสินค้าหมวดเดียวกันของร้านสะดวกซื้อ เพราะมีผลต่อสุขภาพใกล้เคียงกัน นอกเหนือจากปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงมาก ขนมเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยไขมันชนิดทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตนิยมใช้เพราะราคาถูกว่าไขมันที่มีประโยชน์ขนิดอื่นๆ และยังช่วยยืดวันหมดอายุ และ ทำให้หน้าตาขนมดูดีไปได้เป็นระยะเวลานาน

11. ชาเย็นสำเร็จรูป
จากคำโฆษณาว่าทำเองแสนจะง่ายแถมราคาถูกอีกต่างหาก ที่จริงแล้วเครื่องดืมชนิดนี้ทำมาจากถุงชาราคา เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพตามที่บอกเอาไว้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสีสังเคราะห์ น้ำตาลไซรัปข้าวโพด และ น้ำตาลชนิดอื่นๆ อีก


12. มาการีน (เนยเทียม)
ดูเป็นทางเลือกรองจากเนยแท้ ซึ่งหลายบ้านมีไว้คู่ครัว ข้อเสียประการสำคัญคือ อุดมไปด้วยไขมันทรานส์ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างโรคอ้วน นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วย อนุมูลอิสระ สารกันบูด สารอีมัลซิฟายเออร์-ป้องกันการแยกตัวของน้ำและน้ำมัน และ เฮกเซน - สารทำลายละลาย ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

13. ข้าวโพดคั่วจากไมโครเวฟ
ของทานเล่นยอดนิยมชนิดนี้ คือหนึ่งในเมนูที่ไร้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุดเมนูหนึ่ง ประการแรก ข้าวโพดชนิดนี้ล้วนผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ยังไม่รวมสารกันบูด และ เกลือที่ใส่ลงไปไม่ยั้ง มากกว่านั้น ยังมีสารไดอะซิติล สารที่อยู่ในเนยหรือน้ำมันที่ใช้ในการเพิ่มรสและกลิ่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหลอดลมอักเสบ หลอดลมถูกทำลาย หรือมีอีกชื่อว่า Popcorn Lung ถ้าอยากกินจริงๆ ให้เลือกชนิดที่ปลูกแบบออร์แกนิค และ ซื้อมาทำเองที่บ้านด้วยส่วนผสมเตรียมเองเช่นกัน เช่น น้ำมันมะพร้าว เนยแท้ ฯลฯ


ที่มา : fitnea.com และ waymagazine.org

by Kanjanat


------------------------------------------------------------------------------


ยาคูลท์ กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นสาว

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-


เชื่อว่าสาวๆ คงไม่อยากมีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นแน่ นอกจากจะส่งผลกับสุขภาพแล้ว ยังทำให้หมดความ มั่นใจอีกด้วย
สำหรับกลิ่นเหม็นไม่พึง ประสงค์ในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอดลดน้อยลง ซึ่ง ถูกทำลายโดยแบคทีเรีย จนเกิดเป็นกลิ่นเหม็นออกมา ในบางรายกลิ่นอาจจะแรงมาก แม้ในขณะเข้าใกล้ แต่ไม่ใช้เรื่องที่น่าตกใจ เพราะปัญหาที่เกิดนี้มีวิธีรักษาได้อย่างง่ายดาย
ส่วนวิธีรักษานั้น เพียงแค่เพื่อนๆ เพิ่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่เกิดอยู่ โดยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ ก็คือเชื้อ "แลคโตบาซิลัส" (Lactobacillus) ที่มีอยู่ในยาคูลท์ ซึ่งเพื่อนๆ คงรู้จักกันดี
 เพียงแค่เพื่อนๆ "ทานยาคูลท์วันละขวด" เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้กับร่างกาย ให้เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เท่านี้กลิ่นเหม็นที่เพื่อนๆ ไม่พึงประสงค์ในจุดซ้อนเร้นก็จะหายไปเอง


ที่มาข้อมูล internet
ที่มารูปภาพ yakultthailand.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 27, 2013, 06:03:42 pm
อาหาร 9 ชนิดช่วยสร้างเกราะกันภัยหนาว
-http://campus.sanook.com/1370116/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-9-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-



เมื่อฤดูหนาวมาเยือนอาจทำให้ป่วยได้ โดยสุขภาพที่มากับหน้าหนาวนี้มีผลกระทบต่ออวัยวะหลักๆคือผิวหนัง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร อย่างผิวหนังก็ทำให้แห้งแตก ทางเดินหายใจก็ทำให้เป็นหวัด ภูมิแพ้กำเริบและสุดท้ายทางเดินอาหารก็ต้องระวังเพราะหน้าหนาวมีไวรัสที่หนีหนาวมาอยู่กับอาหารมากทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินให้ปลอดจากภัยหน้าหนาวจึงช่วยได้มาก วันนี้มีอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันภัยหนาวให้กับร่างกายมาแนะนำกันเพื่อให้คุณ ๆ ผู้อ่านได้มีสุขภาพแข็งแรงในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ค่ะ เริ่มกันที่กินต้านหวัดควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัดช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้แก่

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370116/jpg.jpg)

1.ฝรั่งสดและเสาวรส เพื่อให้ได้วิตามินซีเข้มข้นและสดพอที่จะเสริมคอลลาเจนเส้นเลือด

2.ปลาทูและซีฟู้ด เพื่อให้ได้ "ซิงค์" คือสังกะสีไปช่วยเสริมภูมิทหารคุ้มกันร่างกาย

3.น้ำขิง เป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการอักเสบและฆ่าเชื้อในคอเสมือนยาแก้หวัดจากธรรมชาติ

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370116/1382586709_.jpg)

อากาศที่หนาวเย็นบางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไปรวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้นเราควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยการกินกันผิวแห้ง ได้แก่

1.น้ำใบบัวบก มีสารช่วยต้านการอักเสบที่ผิว ทำงานเสริมกับคอลลาเจน ช่วยให้แผลสดและรอยแผลเป็นสมานได้ดีขึ้น

2.งาดำและน้ำมันมะพร้าว เพื่อให้ได้วิตามินอีช่วยผิวชุ่มชื้น ป้องกันการแห้งแตกเป็นรอยยับ

3.น้ำมันปลา ลดการอักเสบทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มาทำร้ายผิว


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370116/23.jpg)

นอกจากรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ก็ควรเลือกอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัดช่วยเสริมสร้างทางเดินอาหาร ได้แก่

1.กะเพราและโหระพา ในใบกะเพราและโหระพามีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้และทำให้ลำไส้บีบตัวดี

2. หัวหอมและต้นหอม มีส่วนของเส้นใยอาหารที่ทำงานได้ดีในลำไส้ เป็นใยอาหารชนิด "อินนูลิน" ที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ดีในทางเดินอาหาร

3. กล้วยน้ำว้าห่าม มีสาร "แทนนิน" ช่วยระงับอาการท้องเสียและทำให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ มีวิตามินบีกับโพแทสเซียมช่วยบำรุงแร่ธาตุที่เสียไป ส่วนแมกนีเซียมช่วยการบีบตัวของลำไส้

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2013, 10:19:31 pm
ภัยจาก “สารกันบูด“

-http://club.sanook.com/12369/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%94-

ในระยะนี้หลายๆคนคงได้ยินข่าว ที่เกี่ยวกับที่มีผู้ค้าขายนำอาหารหรือขนมที่ใส่สารกันบูดมาจำหน่าย ซึ่งผู้ค้าเองก็อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์นำมาจำหน่ายให้  ซึ่งสารกันบูดในอาหาร ผู้ค้าขาย ลูกค้า เองก็อาจนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าใส่ไปเยอะมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งนึงที่ทำให้ตกใจคืออาหารเหล่านี้ที่ใส่สารกันบูด สามารถที่จะอยู่ได้เป็นเดือนๆ  โดยไม่เน่า ไม่เสีย ซึ่งถ้าเด็กๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เกิดทานเข้าไปก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นเพื่อเป็นการรับมือกับอันตรายใกล้ตัวนี้  เราเลยมีบทความที่มีสาระประโยชน์มากๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกี่ยวกับอันตรายของสารกันบูดและวิธีการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารกันบูดมาฝากกันค่ะ

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/92359748.jpg)
สารกันบูด

 

สารกันบูด (preservatives) คือสารเคมีหรือของผสม ของสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร โดยอาจจะใส่ลงในอาหาร พ่น- ฉาบรอบๆผิวของอาหารหรือภาชนะ บรรจุสารดังกล่าวจะทำหน้าที่ยับยั้ง หรือทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหาร เน่าเสียโดยอาจจะไปออกฤทธิ์ต่อ ผนังเซลล์รบกวนการทำงานของ เอนไซม์หรือกลไกทางพันธุกรรม (genetic mechanism) ในเซลล์ ยังผลให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเพิ่ม จำนวนได้หรือตายในที่สุด

สารกันบูดที่ดีควรจะออกฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้ อาหารเน่าเสียมากกว่าที่จะออกฤทธิ์ยับยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ ทำให้อาหารเป็นพิษ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิด สายพันธุ์ต้านทาน (resistant strain) นอกจากนี้สารกันบูดไม่ควรจะเสื่อมคุณภาพเพิ่มใส่ลงในอาหาร ยกเว้นสารกันบูดประเภทที่ฆ่าเชื้อได้ ควรจะถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นสาร ไม่มีพิษหรือถูกทำลายได้ด้วยการหุงต้ม

สารกันบูด (Preservatives) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัตถุกันเสีย คือวัตถุเจือปนอาหาร เป็นสารเคมีที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ช่วยในการถนอมอาหารได้ เพราะช่วยชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุการเน่าเสียของอาหาร ตัวที่นิยมกันมากคือ พวกกรดอ่อนต่างๆ เช่น กรดเบนโซอิกและเกลือเบนโซเอท เพราะมีราคาถูกและไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยน มักเติมลงในเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำผลไม้ ซอส ผักดอง แยม เยลลี่ ผลไม้แช่อิ่ม และเครื่อแกงสำเร็จรูป สำหรับกรดโปรปิโอนิก และเกลือโปรปิโอเนตเหมาะสำหรับใช้ป้องกันการเจริญของเชื้อรา และเกิดเมือกหรือยางเหนียวในโด (dough) หรือแป้งขนมปังที่ผ่านการนวดแล้ว จึงเหมาะที่จะใช้ในอาหารประเภทขนมปัง เค้ก และเนยแข็งชนิดต่างๆ ส่วนกรดซิตริกเป็นส่วนประกอบของผลไม้สามารถป้องกันแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี เหมาะสำหรับใส่ในเครื่องดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม เยลลี่ แยม เป็นต้น

การใช้วัตถุเจือปนอาหารซึ่งรวมถึงวัตถุกันเสียด้วย จะต้องใช้ในปริมาณแค่มากพอทำให้เกิดผลตามต้องการ คือไม่ใส่เกินขนาด เพราะผู้บริโภคจะได้สารเหล่านั้นมากเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงมีประกาศกระทรวงสาธาณสุข ห้ามใช้วัตถุกันเสียในอาหารที่ไม่จำเป็นที่ต้องใช้สารกันบูดเลยนั่นก็คืออาหารกระป๋องที่ผ่านการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เรียบร้อยแล้ว สำหรับอาหารอื่นผู้บริโภคจะอ่านได้จากฉลากอาหารว่ามีการใช้วัตถุกันเสียหรือไม่ มีส่วนประกอบอะไรเท่าไหร่

ชนิดของสารกันบูด

1. กรดและเกลือของกรดบางชนิด เช่น กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก กรดโปรปิโอนิก ฯลฯ และเกลือของกรดเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมใช้ในรูป เกลือของกรด เพราะละลายน้ำได้ง่าย เมื่อใส่ในอาหารเกลือเหล่านี้จะเปลี่ยน ไปอยู่ในรูปของกรด หากอาหารนั้นมีความเป็นกรดสูง กรดจะคงอยู่ในรูป ที่ไม่แตกตัว ซึ่งเป็นรูปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำลายหรือยับยั้งเชื้อ ดังนั้นอาหารที่จะใช้สารกันบูดชนิดนี้ควรจะเป็นอาหารที่มีความเป็นกรด ประมาณ 4-6 ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของกรด เช่น น้ำผลไม้ เครื่องดื่ม แยม ผักดองชนิดต่างๆ ขนมปัง ฯลฯ สารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะให้ผลยับยั้งราและ ยีสต์มากกว่าแบคทีเรีย ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือมีความเป็นพิษต่ำ เพราะ ร่างกายคนสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสารอื่นที่ไม่มีพิษและขับถ่ายออกจาก ร่างกายได้

2. พาราเบนส์ (parabens) เป็นสารกันบูดที่มีประสิทธิภาพยับยั้ง หรือทำลายราและยีสต์ได้ดีกว่าแบคทีเรีย และจะมีประสิทธิภาพสูงในช่วง ความเป็นกรดด่าง (pH) กว้างกว่าสารกลุ่มแรกคือประมาณ 2-9 อาหาร ที่นิยมใส่พาราเบนส์ ได้แก่ น้ำหวานผลไม้ น้ำผลไม้ แยม ขนมหวานต่างๆ สารปรุงแต่งกลิ่นรส ฯลฯ ร่างกายคนจะมีกระบวนการขจัดพิษของพาราเบนส์ ได้โดยปฏิกิริยาไฮโดรลีซิส (hydrolysis)

3. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และซัลไฟต์ กลไกในการทำลายเชื้อของ สารกันบูดชนิดนี้จะคล้ายคลึงกับสารกันบูดกลุ่มแรกและจะมีประสิทธิภาพสูง ในอาหารที่มีความเป็นกรดด่างปริมาณน้อยกว่า 4 ลงมา จึงนิยมใส่ในไวน์ น้ำผลไม้ต่างๆ ผักและผลไม้แห้ง ฯลฯ สำหรับความปลอดภัยต่อผู้บริโภคนั้น พบว่าแม้สารนี้จะถูกขับออกมาจากร่างกายได้ แต่หากร่างกายได้รับสารนี้ มากเกินไป สารดังกล่าวจะไปลดการใช้โปรตีนและไขมันในร่างกายได้ นอกจากนี้สารกันบูดกลุ่มนี้ยังทำลายไธอามีน (thiamine) หรือวิตามิน B1 ในอาหารด้วย

4. สารปฏิชีวนะ ข้อดีของสารปฏิชีวนะคือ ความเป็นกรดด่างของ อาหาร ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของสาร ซึ่งอาหารที่นิยมใส่สารปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะพบว่าใช้กับผักและผลไม้สดด้วย สารปฏิชีวนะจะทำลายหรือยับยั้งจุลินทรีย์ได้หลายชนิดขึ้นกับชนิดที่ใช้ ข้อเสียของสารกันบูดชนิดนี้คือมักจะก่อให้เกิดสายพันธุ์ต้านทานขึ้น

สำหรับปริมาณของสารกันบูดที่ใช้นั้นจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับชนิดของอาหาร ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้กำหนดปริมาณ ที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ โดยทั่วไปปริมาณที่อนุญาตให้ใช้จะมีฤทธิ์แค่เพียง ยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ในอาหารเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างกรรมวิธีผลิต จะต้องระมัดระวังการปนเปื้อนของจุลินทรีย์สู่อาหารให้น้อยที่สุด เพราะ ถ้าหากมีจุลินทรีย์ปนเปื้อนมากหรืออาหารเน่าเสียมาก่อน การใส่สารกันบูด ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

อันตรายจากสารกันบูด

นพ.เอี่ยม วิมุติสุนทร ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตอาหารมีการนำสารเคมีชนิดต่างๆ มาใช้ปรุงแต่งอาหาร และสารกันบูดก็เป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใส่ในอาหาร เพื่อช่วยป้องกันหรือช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้เจริญเติบโตทำให้อาหารนั้นอยู่ได้นาน

การใช้สารกันบูดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เช่น สารกันบูดในกลุ่มของดินประสิว ซึ่งนิยมนำมาใช้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หากใช้ในปริมาณที่เกินกำหนด จะมีผลทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เม็ดเลือดแดงหมดสภาพในการพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย จะเกิดอาการตัวเขียวหายใจไม่ออก และอาจถึงตายได้ นอกจากนี้ดินประสิวยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย

“โซเดียมเบนโซเอต” เป็นวัตถุเจือปนอาหารเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิด โดยทั่วไปแล้วจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะคนที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้

นอกจากนี้การ ใช้ในปริมาณที่สูงจะทำให้ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร พิษกึ่งเฉียบพลันคือจะทำให้น้ำหนักลด ท้องเสีย ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อต่างๆเลือดออกในร่างกาย ตับ ไตใหญ่ขึ้น เป็นอัมพาตและตายในที่สุด ถ้าได้รับสารนี้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการก่อกลายพันธุ์และทารกในครรภ์มีรูปวิปริต

ดังนั้นผู้ผลิตอาหารที่ใช้สารกันบูดผสมลงในอาหารต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของ ผู้บริโภค เลือกใช้สารกันบูดให้เหมาะสมกับชนิดของอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดให้ใช้เท่านั้น ทั้งนี้ผู้ผลิตอาจจะได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งข้อแนะนำในการเลือกซื้ออาหาร

เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมีในอาหาร ดังนี้ เวลาซื้ออาหารสำเร็จรูปที่บรรจุในกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ควรดูสลากอาหารและเลือกอาหารที่ระบุว่าไม่ใส่สารกันบูด ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้สารกันบูดหรือไม่ หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่ผนึกขายในถุงพลาสติก หรือกล่องพลาสติกที่ไม่ได้ขายหมดวันต่อวัน หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะใส่สารกันบูด เช่น แหนม หมูยอ เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง กุนเชียง และน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการใช้วัตถุกันเสียในการถนอมอาหารตามสัดส่วนที่ อย.ระบุว่าปลอดภัยแม้ว่าจะไม่มีอันตราย แต่การหลีกเลี่ยงบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย เช่นน้ำผลไม้ ,ซอสฯ ,ฯลฯ ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดต่อสุขภาพร่างกายของเรา ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆนอกจากจะดู วันผลิต วันหมดอายุแล้ว ควรอ่านฉลากอาหารว่ามีวัตถุกันเสียหรือไม่ มากน้อยเพียงใด การรับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติและให้ครบ 5 หมู่ ก็จะนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีได้

 

ที่มา
พุทธรินทร์ วรรณิสสร
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

Credit : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 31, 2013, 10:34:06 pm
เห็ดสามอย่างช่วยชะล้างสารพิษในร่างกาย

-http://campus.sanook.com/1370152/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370152/20130122104752-640x390x2.jpg)


หลายคนอาจเคยทราบมาก่อนแล้วว่าถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดใดก็ได้เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นและเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ให้ทั้งความอร่อยและสุขภาพนั่นคือ "เมนูเห็ดล้างพิษ" จะเป็นเห็ดสด หรือ เห็ดแห้งก็ได้โดยนำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ดและนํ้าต้มเห็ดแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์

ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันปรุงอาหาร คือ

สามารถช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์
สารเคมีจากเครื่องสำอาง (ลิปสติกสีสด ยาย้อมผม)สามารถช่วยให้การทำงานของตับแข็งแรงขึ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงดีส่งผลทำให้อารมณ์ดี
สามารถช่วยล้างพิษพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ไวรัสตับอักเสบ สเก็ดเงิน
สามารถช่วยล้างไขมันในตับ

วิธีการปรุง

นำเห็ดที่ทานได้อย่างน้อย 3 อย่าง เช่น เห็ดหูหนูต่างๆ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง
ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำ ใส่ในแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม ไข่ตุ๋น
ต้มน้ำดื่มจะผสมใบมะตูม ใบเตยหรือเพิ่มน้ำตาลกรวด

**ข้อควรหลีกเลี่ยง การผัดกับน้ำมันพืช
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 31, 2013, 10:42:06 pm
“ขนมชั้น” กับสิ่งดีๆที่แฝงอยู่

-http://club.sanook.com/12453/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81-


“ขนมชั้น” กับสิ่งดีๆที่แฝงอยู่

เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมขนมไทย อย่าง “ขนมชั้น” นั้นถึงได้มีวิธีการทำโดยแบ่งเป็นชั้นๆ และคนส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้สำหรับพิธีมงคลต่างๆ ตามประเพณี

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/22112008113726.jpg)
ขนมชั้น

“ขนมชั้น” นั้นจัดเป็นขนมโบราณที่ใช้สำหรับในพิธีมงคลมาแต่สมัยโบราณ โดยวิธีการทำขนมไทย ส่วนใหญ่มักมีการแอบแฝงข้อคิด หรือเรื่องดีๆ อยู่ในวิธีการทำหรือการตั้งชื่ออยู่เสมอ  ซึ่ง “ขนมชั้น” ก็เช่นกัน ที่มีการแอบแฝงความเชื่อที่เป็นมงคลไว้ โดยมีเรื่องเล่าตามความเชื่อกันว่าการทำขนมชั้นนั้นถ้าหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น หรือมากกว่า จะเป็นศิริมงคลและทำให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งในบางแห่งอาจจะเรียก “ขนมชั้น” ในอีกชื่อหนึ่งคือ “ขนมชั้นฟ้า”

 

Credit : Wikipedia
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2013, 10:55:43 am
ประโยชน์ของเนย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

-http://campus.sanook.com/1370160/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-


เนยก้อนที่ใช้ประกอบอาหารและขนมแสนอร่อยซึ่งมีความมันและหล่อลื่นสูงก็ช่วยแก้ปัญหาในงานบ้านได้หลายอย่างนะ

(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370160/90364726.jpg)

- รอยด่างบนไม้ที่เกิดจากน้ำซึมปาดเนยลงไปบนจุดเกิดเหตุ ทิ้งไว้ข้ามคืนจากนั้น ใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกในตอนเช้า

- หมึกเลอะบนพลาสติก ใช้เนยป้ายลงบนคราบ นำไปผึ่งแดดสัก 2-3 วัน แล้วนำมาทำความสะอาดอีกครั้งด้วยสบู่ และน้ำ

- ยืดอายุให้ชีสก้อน ใช้เนยทาเคลือบขอบนอกของก้อนชีสให้ทั่วก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ชีสขึ้นราเร็วนัก

- หัวหอมใหญ่ ที่ใช้ไปเพียงครึ่งหัวแล้วต้องเก็บไว้ สามารถยืดอายุให้นานขึ้นได้แค่ป้ายเนยบนพลาสติก นำไปห่อหัวหอมแล้วห่อซ้ำอีกครั้งด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์

- หม้อที่ต้มน้ำแล้วเดือดเร็วมาก ใส่เนยละลายลงไปประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะเพื่อหยุดไม่ให้น้ำเดือดเกินไป

- หมากฝรั่งติดผม ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ลองใช้เนยป้ายตรงที่เกิดเหตุทิ้งไว้ให้เซ็ตตัว แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหมากฝรั่งออกไป

- กาวติดมือเหนียวเหนอะหนะ ป้ายเนยลงบนรอยเหนียวๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกก่อนล้างมือให้สะอาด

- สายสร้อยพันกัน เพิ่มความลื่นบนสร้อยด้วยเนย ก็จะทำให้คุณแกะคลายปมออกง่ายขึ้นนอกจากนี้ เนยยังช่วยให้คุณถอดแหวนคับๆ ออกจากนิ้วได้ง่ายขึ้นด้วย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2013, 11:09:16 am
“ไข่” ใครว่าไม่ดี

-http://men.sanook.com/1496/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5/-

เรือง: DR. Kris

คุณผู้ชายหลายท่านไม่ถูกกับการทานไข่ โดยเฉพาะคนที่มีไขมัน ความดัน หรือ คลอเรสเตอรอลสูง เพราะต่างก็เข้าใจว่า ไข่เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านั้น แต่ไฉนเลย ไม่ว่าจะสูตรลดน้ำหนักไหนๆ ที่ได้ยินมา ก็มักจะมีไข่อยู่ด้วยเสมอ แถมนักกีฬาหุ่นดี ล่ำบึ้ก ยังบอกว่าต้องทานไข่กันแทบทุกมื้อ แล้วมันยังไงกันแน่ ตกลงทานได้ทานไม่ได้ ทานแล้วจะอ้วนมั้ย วันนี้เรามีคำตอบมาให้ครับ

ความเชื่อผิดๆ

ในอดีต เชื่อกันว่า ไข่ เพิ่มปริมาณคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางสู่โรคหัวใจ เพราะไข่แดงในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณไขมันถึง 5 กรัม จึงไม่แปลกที่บรรดานักโภชนาการจะคิดไปว่าไขมันจำนวนดังกล่าวจะไปอุดตัดหลอดเลือด ซึ่งอันที่จริงแล้วใน 5 กรัมนั้นมีส่วนของไขมันดีรวมอยู่ด้วย และอันที่จริงแล้ว คลอเลสเตอรอล ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ร่างกายคนเราต้องการคลอเลสเตอรอล เพื่อรักษาเซลล์ กระตุ้นการทำงานของเส้นใยประสาท และผลิตวิตามินดี ซึ่งไข่ประกอบด้วย คลอเลสเตอรอล 200 มิลลิกรัม ในแต่ละวัน ร่างกายต้องการคลอเรสเตอรอลจากอาหารวันละ 300 มิลลิกรัม ดังนั้นการกินไข่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดเพียงเล็กน้อย และบางครั้งการกินไข่ อาจไม่มีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดมากเท่ากับการกินเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันชนิดอิ่มตัวสูงนะครับ

ประโยชน์จากไข่

ไข่ให้คุณค่าทางสารอาหาร ไม่ได้แค่มีไขมัน (ในไข่แดง) และโปรตีน (ในไข่ขาว) เท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ดังนี้

วิตามิน A ดีกับผิวและการเจริญเตอบโตของร่างกาย
วิตามิน D สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกด้วยการเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยม
วิตามิน E ปกป้องเซลล์จากปฏิกริยาออกซิเดชัน
วิตามิน B1 ช่วยให้การปดปล่อยพลังงานจากคอร์โบไฮเดรตเป็นไปอย่างเหมาะสม
วิตามิน B2 ช่วยปลดปล่อยพลังงานจากโปรตีนและไขมัน
วิตามิน B6 ส่งเสริมกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของโปรตีน
วิตามิน B12 วิตามินที่สำคัญในการสร้างตัวของเส้นใยประสาทและเซลล์เลือด
ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
สังกะสี ดีสำหรับการสร้างความเสถียรของเอนไซม์และการเติบโตทางเพศ
แคลเซี่ยม แร่ธาตุสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
ไอโอดีน ควบคุมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์

ทานไข่อย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เด็ก ๆ ควรรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง วัยหนุ่มสาวควรบริโภคไข่ไก่วันละ 2 ฟอง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรบริโภคไข่ไก่ไม่เกิน วันละ 1 ฟอง แต่สำหรับชายวัยฉกรรจ์ ไข่ไก่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย ช่วยให้พลังงานกับร่างกายอย่างเต็มที่ และไข่ไก่ยังช่วยทดแทนพลังงานที่ร่างกายสูญเสียไป ควรทานตามปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรทานเกินกว่านี้ เพราะถึงแม้ว่าไขมันในไข่แดงจะไม่ได้ส่งผลกับคลอเรสเตอรอลในเลือดโดยตรง แต่อาจสร้างปัญหาอื่นๆได้ และด้วยภาวะในปัจจุบันนี้ ไม่แนะนำให้ทานไข่ดิบ เพราะ เชื้อโรคต่างๆในโลกเราน่ากลัวและรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะไข้หวัดนกสารพัดสายพันธุ์ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นว่าเล่น ดังนั้นควรทานไข่สุก เพราะเชื่อโรคจะถูกกำจัดที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส


ข้อควรระวัง

การบริโภคไข่ดิบ หรือไข่เน่าเสีย จะทำให้เกิดอาการ อาหารเป็นพิษได้ สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ดังนั้น ควรปฏิบัติกับไข่ที่จะนำมาบริโภคดังนี้

1. ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
2. ควรบริโภคไข่ให้หมดภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากซื้อ
3. ล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังสัมผัสไข่
4. เช็ดเปลือกไข่ที่สกปรกให้สะอาด
5. ไม่ควรบริโภคไข่ที่เปลือกไข่แตก บุบ ร้าว
6. ไม่บริโภคไข่ที่หมดอายุ หากไม่แน่ใจ ให้ทดสอบโดยนำไข่ไปลอยน้ำ หากไข่จมแสดงว่าไข่ยังสดอยู่ แต่ถ้าลอยหรือมีกลิ่นแสดงว่าไข่เน่าเสีย

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 07, 2013, 09:19:41 pm
จากพืชป่าพื้นบ้าน “หมากเบน-หมากหลอด”สู่ยอดน้ำผลไม้รสอร่อย เพื่อสุขภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 พฤศจิกายน 2556 10:02 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000137828-

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878370)

น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ดื่มดีเพื่อสุขภาพ

       ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่ามีผู้คนหันมาให้ความสนใจและใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งเชื่อได้ว่าทุกคนต่างต้องเลือกสรรหาอาหารที่ดี มีประโยชน์ ให้แก่ร่างกายด้วยกันทั้งนั้น
       
       เราจึงอยากขอนำเสนอให้ผู้ที่ใส่ใจและรักสุขภาพทุกคน มาทำความรู้จักกับน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ที่มีชื่อว่า “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ที่ถ้าใครมีโอกาสเดินทางมาเยือนยัง อ.สังคม จ.หนองคาย แนะนำว่าไม่ควรพลาดเครื่องดื่ม 2 ชนิดนี้ ซึ่งกำลังเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน  ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ทำออกมาขายเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878371)
ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ

       ดร.อรุณศรี อื้อศรีวงศ์ ประธานสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หัวหน้าโครงการวิจัยพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนพื้นที่เชิงเขาสู่ชายโขง อ.สังคม จ.หนองคาย ผู้ที่ได้ทำการวิจัยเรื่อง “หมากหลอด” และ “หมากเบน” ให้ข้อมูลว่าพืชทั้งสองชนิด เป็นไม้เถา และเป็นผลไม้พื้นบ้านที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก จะมีแต่ทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบนเท่านั้น เพราะต้นหมากหลอดและหมากเบน จะเกิดได้เฉพาะพื้นที่ใกล้ภูเขา อากาศร้อนชื้น
       
       ดร.อรุณศรี อธิบายว่า “หมากหลอด” ( ELAEAGNUS LATIFOLIA) เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบมากบริเวณพื้นที่มีภูเขาล้อมรอบ บริเวณที่มีความชื้นสูง บริเวณที่พบมากคือ อ.สังคม จ.หนองคาย และพื้นที่ภาคเหนือ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลหมากหลอดจะเริ่มสุกงอมสังเกตจากสีของผลหมากหลอดจะมีสีเหลืองอมเขียว และพัฒนาสีไปจนกระทั่งผลมีสีแดงอมส้ม ซึ่งหมากหลอดพบในพื้นที่กึ่งป่า ในบริเวณพื้นที่ต.ผาตั้ง ต.นางิ้ว ต.บ้านม่วง และตำบลอื่นๆ

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878372)
ต้นหมากหลอด

       ทั้งนี้จากการสำรวจพื้นที่เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้พบต้นหมากหลอดที่ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมและผลสุกในช่วงเดือนมีนาคม ชุมชนบ้านปากโสมลำภูพานจึงเกิดแนวคิดในการแปรรูปผลผลิตจากผลหมากหลอดที่มีจำนวนมากและผลสุกจะร่วงลงพื้นเกลื่อนพื้นดิน และจากการศึกษาวิจัยได้ค้นพบว่าหมากหลอดและหมากเบน เป็นผลไม้ที่มีสารที่มีคุณค่ามากมาย สามารถนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้พร้อมดื่มได้ จึงได้ทดลองและลงมือทำการแปรรูป ออกมาเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ “หมากหลอดเบอร์รี่” และ “หมากเบนเบอร์รี่” ซึ่งทำให้ชุมชนมีแนวคิดในการพัฒนาสู่การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฐานทรัพยากรเพื่อการท่องเที่ยว ผลผลิตที่ได้ทำให้เกิดมูลค่าทำให้เกิดรายได้ อีกทั้งจากการแปรรูปยังนำไปสู่การเรียนรู้ของชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย
       
       สำหรับคุณประโยชน์ของหมากหลอด นั้นมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย ดร.อรุณศรีบอกว่า หมากหลอดมีสารที่เรียกว่าสารโพลีฟีนอล คือสารที่สามารถช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ ขับสารที่ไม่พึงประสงค์ และในตัวหมากหลอดยังมีวิตามินเอ มากที่สุด รองลงมาคือ วิตามินอี วิตามินซี และยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะมีประโยชน์ มีผลดีต่อสุขภาพแก่ผู้สูงอายุมาก มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูง มีเกลือแร่ และมีกรดไขมันดูดซับไขมันได้ดี

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878373)
ผลของหมากหลอด

       “หมากหลอดมีวิตามินเออยู่มากที่สุด เรากำลังจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาหน้าบำรุงผิว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการของการทดลอง โจทย์ของเราก็คือว่า วิตามินเอโดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับผิวพรรณ เราก็เลยเอาน้ำหมากหลอดที่ส่วนหนึ่งที่เราคั้นมาสกัดด้วยไอน้ำ แล้วก็นำมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วก็ใช้สำหรับทาใบหน้า ตอนนี้ก็ได้ผลดี เพราะผิวที่แห้งหยาบๆ ของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำนาก็มีความชุ่มชื่นขึ้น เพราะฉะนั้นปีหน้าเราก็จะผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมาอีกตัว” ดร.อรุณศรี กล่าว
       
       ส่วน“หมากเบน” เป็นผลไม้พันธุ์พื้นเมือง พบในพื้นที่หัวไร่ปลายนาและพื้นที่ป่าโปร่ง ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคม หมากเบนมีคุณสมบัติที่ดี มีธาตุเหล็กสูง เหมาะสำหรับสุภาพสตรี มีวิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคความดันได้

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878383)
หมากหลอดเบอร์รี่พร้อมดื่ม

       ดร.อรุณศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนี้ต้นหมากหลอด คือพืชที่อยู่ในป่า แต่ตอนนี้ได้มีการนำเอามาขยายพันธุ์ ให้ชาวบ้านในชุมชนปลูกเอง ทำให้เกิดเป็นธนาคารหมากหลอดขึ้นมา หมายถึงการออกดอกออกผลของต้นหมากหลอด ซึ่งในปีนี้อยู่ในช่วงทำการทอดลองปลูก สามารถขยายพันธุ์ได้ 100 กว่าต้นแล้ว และในปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ไว้ว่าในปีหน้าจะมีต้องมีการปลูกต้นหมากหลอดได้ทุกหลังคาเรือน
       
       “ตอนนี้ชาวบ้านในชุมชน มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น เขาสามารถปลูกมันให้มีลูก และนำมันมาแปรรูป สามารถนำมาขายได้ ได้รายได้เพิ่มขึ้น แล้วชาวบ้านเขาก็ดื่มเองด้วย เพราะว่าเขาถือว่ามันมีคุณค่า ที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่ค่อยใส่ใจ แต่ตอนนี้เขาบอกว่ามันดูแลสุขภาพได้”
       
       “ในปีหน้าเรามีเป้าหมายคือ บ้านปากโสม-ลำภูพาน จะต้องมีต้นหมากหลอดทุกหลังคาเรือน อันนี้คือเป้าหมายของกลุ่มที่ตั้งไว้ เพราะว่าจะมีโฮมสเตย์ท่องเที่ยวด้วย เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะได้รู้จักต้นหมากหลอด ได้มาเรียนรู้วิธีการทำหมากหลอด แปรรูปหมากหลอด ว่าเป็นอะไรอย่างไร” ดร.อรุณศรี บอก

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878384)
น้ำหมากเบนเบอร์รี่ดื่มดีต่อสุขภาพ

       สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ได้ดำเนินการทำการแปรรูปน้ำหมากหลอดเบอร์รี่และหมากเบนเบอร์รี่ นี้มาได้ 1 ปีแล้วปัจจุบันนี้มีสมาชิกอยู่ในกลุ่มจำนวน 50 คน
       
       โดยหนึ่งในสมาชิก คือ นวลละออง วิภูษณะ ได้อธิบายให้ฟังถึงการทำน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ ว่า ทางกลุ่มวิสาหกิจฯ จะติดต่อกับชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนที่มีต้นหมากหลอดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ และจะรับซื้อหมากหลอดที่สุกแล้วจากชาวบ้านมา ในกิโลกรัมละ 10 บาท เมื่อได้หลมากหลอดมาแล้วก็จะนำมาผ่านขั้นตอนการแปรรูป โดยนำหมากหลอดมาล้างน้ำทำความสะอาดผสมกับเกลือ 3 - 4 ครั้ง จนสะอาด แล้วใส่ตะแกรงพักไว้ จากนั้นนำมาใส่เครื่องปั่นหรือเครื่องบดขนาดใหญ่ ปั่นให้ละเอียด
       
       ต่อจากนั้นจึงนำมาต้มกับน้ำในอัตราส่วนที่กำหนดไว้ ต้มจนเดือดในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เมื่อเดือดได้ที่แล้วก็ยกลงนำมากรอง แยกน้ำและกากออกจากกัน แล้วก็นำน้ำที่ได้นั้นมาต้มต่ออีกรอบ ใส่ส่วนผสมอย่างน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ แล้วก็คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ต้มจนเดือดอีกครั้ง ก็เป็นอันว่าได้น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ หมากเบนเบอร์รี่ ที่พร้อมกรอกใส่ขวดแก้วที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878386)
ผลของหมากเบน

       “การทำน้ำหลากหลอด ส่วนที่เป็นกากของมัน เราก็ไม่ได้ทิ้ง ยังนำมาทำเป็นแยมหมากหลอด ทอฟฟี่หมากหลอด ส่วนของเมล็ดหมากหลอดนำมาทำเป็นชา โดยการนำเมล็ดมาคั่วและบด และยังมีหมากหลอดไซเดอร์ การทำก็เหมือนหมากหลอดเบอร์รี่ แต่จะใส่น้ำผึ้งเพิ่มเติมด้วย มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คนสูงอายุชอบดื่ม และหมักนาน 1 ปี ได้หมากหลอดไซเดอร์มีความเข้มข้นมากกว่าหมากหลอดเบอร์รี่ แล้วที่นี่ยังมียังมีน้ำมะขามป้อมอีกตัวก็เป็นที่นิยม เพราะเป็นผลไม้ที่เป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ” นวลละออง บอก
       
       สำหรับราคาขายของน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี้ ที่ชาวบ้านทำออกมาขายตอนนี้อยู่ในช่วงโปรโมชั่น ราคา 3 ขวด 100 บาท ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ที่พร้อมดื่มได้เลย หรืออย่างน้ำหมากเบนเบอร์รี่หากใครจะนำไปผสมกับโซดาดื่มก็ได้ เพราะโซดาจะช่วยลดความเฝื่อน และทำให้มีความซ่าอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากใครสนใจตอนนี้ชาวบ้านยังไม่ได้นำออกมาวางขายตามท้องตลาดทั่วไป จะมีไปฝากขายไว้ที่รีสอร์ทบ้านไม้ริมโขง หรือถ้าใครอยากซื้อก็สามารถติดต่อไปได้ที่ศูนย์วิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2878388)
ต้นหมากเบน

       “เราอยากชวนให้พี่น้องคนไทยที่รักสุขภาพและรักธรรมชาติ มาเที่ยวสัมผัสกับความเงียบสงบและความบริสุทธิ์ของ อ. สังคม จ.หนองคาย เมื่อมาแล้วก็จะได้มาดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะสุภาพสตรี มาดูแลสุขภาพผิวพรรณ ด้วยวิตามินเอสกัดจากหมากหลอด มาดื่มน้ำผลไม้ น้ำหมากหลอดเบอร์รี่ น้ำหมากเบนเบอร์รี่ เพื่อสุขภาพที่ดี” ดร.อรุณศรี กล่าวทิ้งท้าย
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       สำหรับผู้ที่สนใจน้ำหมากหลอดเบอร์รี่ และน้ำหมากเบนเบอร์รี่ สามารถติดต่อไปได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปากโสม-ลำภูพาน ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ซึ่งในอนาคตทางกลุ่มยังได้รวมตัวกันจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างบูรณาการ “จากเชิงเขาสู่ชายโขง” ด้วย โทร. 08-4742-0461, 08-9245-4219

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 10, 2013, 04:33:10 pm

ลองลดน้ำหนักด้วยเต้าหู้ดูสิ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B4/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_273688__08112013114947.jpg)


หนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า เต้าหู้ (TOFU) คือถั่วเหลืองที่โม่เป็นแป้งแล้วทำเป็นแผ่น ๆ ใช้เป็นอาหาร มี 2 ชนิด คือ เต้าหู้ขาวและเต้าหู้เหลือง เต้าหู้มีเนื้อนิ่ม รสจืด เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน ซึ่งอยู่ระหว่าง 206 ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 220

ปัจจุบันเต้าหู้เป็นอาหารโปรตีนสำคัญในการทำอาหารของผู้คนแถบเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง เริ่มด้วยการแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำ นำไปบดแล้วต้มเพื่อทำเป็นนมถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ข้น ๆ จากนั้นเติมสารที่ทำให้แข็งตัว ซึ่งจะแยกเอาส่วนที่เป็นเนื้อออกจากกัน เนื้อเต้าหู้ที่ได้จะตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหล่อน้ำไว้

คุณประโยชน์มากมายของเต้าหู้ อาทิ ช่วยบำรุงกำลังและช่วยให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารแข็งแรงขึ้น ช่วยถอนพิษ ลดไข้ ขจัดอาการกระหายน้ำ ป้องกันความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัวและป้องกันการสะสมไขมันบริเวณตับ ที่สำคัญ เต้าหู้ยังช่วยป้องกันโรคอ้วนได้อีกด้วย เนื่องจากมีแคลอรีน้อย
เต้าหู้นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว ในเต้าหู้ยังมีสารเลซิทิน (LECITHIN) เป็นสารชนิดหนึ่งในประเภทฟอสฟอลิพิด (PHOSPHLIPID) มีความสำคัญในโครงสร้างเซลล์และเมแทบอลิซึม ประกอบด้วย ฟอสเฟต โคลีน กลีเซอรอล ในฐานะเอสเตอร์และกรดไขมันสองชนิด คู่กรดไขมันต่าง ๆ ทำให้แบ่งแยกเลซิทินต่าง ๆ กันได้ ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกย่อยเป็นโคลีน

โคลีน (CHOLINE) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่สัมพันธ์กับวิตามินในแง่กิจกรรม พบอยู่ในตับและลำไส้ เยื่อบุผิวลำไส้ ต่อมหมวกไตชั้นนอก โคลีนมีความสำคัญในเมแทบอลิซึม โดยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของลิพิดที่ประกอบขึ้นเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ และยังสำคัญในแง่เป็นแหล่งวัตถุดิบทางเคมีสำหรับเซลล์ และในการลำเลียงไขมันจากตับ มักถูกจัดเป็นประเภทเดียวกับวิตามินบี เพราะมีหน้าที่และกระจายตัวในอาหารคล้ายกัน
เต้าหู้ กินได้ทุกเพศทุกวัย แต่จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เช่น เด็ก คนชรา


ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 12, 2013, 05:55:39 am
แนะกิน “ไข่ต้ม” ไขมันน้อยกว่า “ไข่ดาว” ยันไม่ทำให้เป็นโรคหัวใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 พฤศจิกายน 2556 18:55 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000140522-

สธ.ยันไม่มีงานวิจัยชี้ชัดว่า “กินไข่” ทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด แนะควรกินไข่ทุกวันสำหรับเด็กอายุ 7 เดือนขึ้น ผู้ใหญ่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ชี้กินร่วมกับผักผลไม้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เตือนเลี่ยงกินกับเบคอน ไส้กรอก ชูไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไขมันน้อยกว่า ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย


นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เพราะนอกจากจะให้โปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดี และเลซิตินที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งการปรุงอาหารประเภทไข่สามารถทำได้ง่ายและสารพัดเมนู หากให้เด็กอายุตั้งแต่ 7 เดือนเต็มขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ ส่วนกลุ่มคอเลสเตอรอลสูง อาจกินสัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือกินแต่ไข่ขาว หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดี
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักและผลไม้สด จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันส่วนเกินให้เป็นปกติ ซึ่งกากใยอาหารที่ได้รับจากการกินผักและผลไม้จะช่วยดูดซับสารที่ช่วยทำให้ไขมันมีขนาดเล็กลงบางส่วนที่อยู่ในทางเดินอาหารออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำไขมันไปใช้ได้ ทำให้ลดการส่งผลที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่พ่อแม่ต้องการให้เด็กได้กินไข่ทุกวัน และไม่เบื่อนั้นควรใช้วิธีการประกอบอาหารที่มีการใส่ผักลงไปในไข่ ยังเป็นการจูงใจให้เด็กกินผักได้อีกทางหนึ่ง แทนที่จะเป็นผักล้วนๆ ก็ควรปรุงไปกับไข่ เช่น ไข่เจียว หรือไข่ตุ๋นใส่ผักสับละเอียด โดยจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแก่เด็ก
       
       “ที่สำคัญควรเลี่ยงการกินไข่ดิบ เพราะถ้าไข่ไม่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอติน ทำให้ย่อยยากจึงได้รับประโยชน์ ไม่เต็มที่ การบริโภคไข่ควรบริโภคในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีประมาณไขมันน้อยกว่าไข่ดาว ไข่เจียว และไข่ลูกเขย การปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว อาจกินเป็นสลัดไข่ ยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารจากไข่ และได้ไฟเบอร์และวิตามินซีจากผัก และผลไม้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
       
       นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาวใส่เบคอน หรือไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปัง สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ โดยแนะนำให้ให้กินไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูงในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการกินไข่แดง
       
       “สำหรับความเชื่อที่ว่าไข่มีคอเลสเตอรอลสูง ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น โรคหัวใจ ซึ่งการหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายมีคอเลสเตอรอลสูงไม่ได้อยู่ที่การลดหรืองดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ และควรตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อควบคุมและป้องกันปริมาณส่วนเกินของไขมันในเลือด ที่สำคัญยังไม่มีงานวิจัยใดที่ระบุว่าไข่คือสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น การกินไข่ร่วมกับอาหารชนิดอื่น อย่างเหมาะสม จะช่วยเสริมคุณค่าสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 17, 2013, 08:15:13 am
เป็ดเทศกบินทร์บุรี
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194800-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/468740.jpg)

ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหั

เป็ดเทศกบินทร์บุรี เป็นเป็ดที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้ดี เติบโตเร็ว ต้านทานโรค และปรับตัวเข้ากับภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยได้ดี ลูกเป็ดแรกเกิดจะมีขนลำตัวสีเหลือง ดวงตากลมดำ ปากสีชมพูอ่อน แข้งและเท้าสีเหลือง บางตัวจะมีจุดดำกลางหัว เมื่อโตจะมีขนสีขาวตลอดลำตัว และมีจุดสีดำเด่นอยู่กลางหัว ปากสีชมพู แข้งและเท้าสีเหลือง ใบหน้ามีผิวขรุขระนูนสีชมพูอมแดง โดยเฉพาะเพศผู้ผิวขรุขระเด่นชัดเต็มใบหน้า ส่วนเพศเมียจะมีผิวขรุขระบ้างเล็กน้อย เป็นสีชมพูอ่อน บริเวณริมขอบปากด้านบน เพศผู้ จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย

เป็นเป็ดที่ได้รับการวิจัยและพัฒนามาจาก เป็ดเทศบาร์บาร์รีซึ่งมาจากประเทศ ฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2533 ให้ไข่ดกตกปีละ 160 ฟอง แม่เป็ดเริ่มไข่เมื่ออายุ 6-7 เดือน เพศผู้โตเต็มที่ 4-5 กิโลกรัม เพศเมีย 2.5-3 กิโลกรัม อัตราแลกเนื้อ 3:5:1: คุณภาพเนื้อสีแดงคล้ายเนื้อโคไขมันต่ำ.





เนื้อโคทาจิมะภูพาน
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=194992-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/469271.jpg)

โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531
วันเสาร์ 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

โคทาจิมะภูพาน เป็นโคสายพันธุ์หนึ่งของพันธุ์หวากิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักในชื่อ โกเบ บีฟ และ มัตซึซากะ บีฟ เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 2531 โดยสมาคมผู้เลี้ยงโคหวากิว เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น น้อมเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1 คู่ ต่อมาศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร ได้นำน้ำเชื้อผสมกับแม่พันธุ์เรดซินดี้ แล้วให้ชื่อว่า โคเนื้อทาจิมะภูพาน นับเป็นสายพันธุ์ใหม่ของประเทศไทย ขุน 12–18 เดือน ใช้อาหารข้นที่ผสมหญ้าสดกับข้าวหมัก (สาโท) เปิดเพลงหมอลำกล่อม ทำให้ได้เนื้อโคขุนในระดับคุณภาพเกรด 3.5 –4.5 มีสัดส่วนของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง และมีไขมันแทรกสูง ทำให้สามารถกำจัดไฮโดรเจนอะตอมในร่างกายได้ง่าย ซึ่งในขบวนการเมตาโบลิซึมภายในร่างกายทำให้ย่อย และใช้ประโยชน์จากกรดไขมันไม่อิ่มตัวได้ดีกว่ากรดไขมันอิ่มตัว ทำให้ขบวนการเผาผลาญในร่างกายผู้บริโภคสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 18, 2013, 09:54:07 pm
กินผลไม้อย่างไรให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

-http://campus.sanook.com/1370235/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-


หลายคนชอบกินผลไม้ แต่ทราบหรือไม่ว่ากินอย่างไรให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

ผลไม้ เป็นสิ่งจำเป็นที่คนเราควรรับประทาน เพราะในผลไม้มีกากใยอาหาร และวิตามิน เกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย อีกทั้งน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือ

การกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่


เหตุผลที่ห้ามกินผลไม้หลังอาหาร

เมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้

คุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดีแต่คุณอาจไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้


คำแนะนำการกินผลไม้

-หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง

-หากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง

-หากกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

**ดังนั้น เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยงเนื่องจากร่างกายจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งช่วยให้สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ **






แตงกวามีดีกว่าที่คุณคิด

-http://campus.sanook.com/1370238/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94/-

(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370238/13820119481382012121l.jpg)

ผักที่ดูธรรมด๊า..ธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างแตงกวา ใครจะรู้ว่าจะมีประโยชน์มากมายและถือเป็น "super food" อีกชนิดที่แนะนำให้รับประทาน ลองมาดูคุณประโยชน์ของแตงกวาว่ามีดีอะไร ทำไมเราควรรับประทาน...

- หากคุณดื่มน้ำน้อยการรับประทานแตงกวาช่วยคุณได้เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ มันสามารถชดเชยน้ำที่คุณขาดได้

-แตงกวานั้นช่วยลดความร้อนหากมีอาการร้อนในการรับประทานแตงกว่าจะช่วยลดความร้อนภายในร่างกายได้ หรือเมื่อเกิดอาการผิวหนังโดนแดดเผา นำแตงกวาฝานเป็นแว่นบางๆมาวางบริณผิวหนังที่ถูกแดดเผาจะช่วยบรรเทาอาการได้

-แตงกวาช่วยขับสารพิษ น้ำในแตงกว่าจะช่วยขับสารพิษในร่างกายแล้ว การกินแตงกวายังจะช่วยละลายนิวในไตได้ด้วย

-แตงกวามีวิตมินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแตงกวาจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทั้งยังมีวิตมินซีช่วยเรื่องผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง

-แตงกวามีโพสแทสเซียมสูง และมีแมกนีเซียม โพสเตสเซียม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสปาหลายแห่งจึงนิยมใช้แตงกวาเป็นทรีตเมนต์พื้นฐาน

-แตงกวาช่วยในการเผาผลาญและลดน้ำหนักได้ เพราะแตงกว่าประกอบด้วยน้ำซะส่วนใหญ่ทำให้มันมีแคลอรี่ต่ำ สำหรับผู้กำลังลดน้ำหนักการรับประทานเมนูแตงกวา อย่างนำมาประกอบสลัดหรือจะรับประทานแทนขนม โดยนำมาหั่นเป็นแท่งจิ้มโยเกิร์ตหรือโรยเกลือแล้วแช่เย็นก่อนรับประทานก็เป็นเมนูที่ดีไม่ใช่น้อย ทั้งแตงกวายังมีกากใยช่วยปัญหาท้องผูกได้อีกด้วย

-แตงกวาช่วยลดการอักเสบ ผู้ที่มีถุงใต้ตาบวมนำแตงกว่าฝานเป็นแว่นว่างไว้บริเวณที่ถุงใต้ตาจะช่วยลดอาการบวมได้

-แตงกวายังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้

-แตงกว่าช่วยผู้เป็นโรคเบาหวาน ลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต โดยแตงกวามีฮอโมนที่เซลล์ตับอ่อนใช้ในการผลิตอินซูลินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผลวิจัยพบว่าสารประกอบในแตงกวาสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งยังมีไฟเบอร์ โพแทสเซียม และแมกนีเซียม เป็นส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ แตงกวาจึงส่งผลดีแก่ผู้ที่มีความดันสูงหรือความดันต่ำ

-น้ำแตงกวาช่วยรักษาโรคเหงือกได้ นำแตงกวาฝานเป็นแว่นใช้ลิ้นดันไว้บนเพดานปากครึ่งนาที ช่วยฆ่าแบคทีเรียในปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้

-แตงกวาช่วยรักษาอาการเมาค้าง แนะนำหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ให้กินแตงกวาก่อนเข้านอน ลดอาการปวดหัวในตอนเช้า เพราะแตงกวามีวิตมินบีและน้ำตาลช่วยลดอาการเมาค้างได้

ข้อมูลจาก fitnea.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 21, 2013, 06:07:45 am
ผิวสวยเต็มที่ ด้วย 7 คุณประโยชน์จากเมล็ดเจีย
-http://women.kapook.com/view75779.html-

(http://img.kapook.com/u/soisuda/b/chiaseed.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เดี๋ยวนี้หากไปตามร้านขายอาหารสำหรับคนรักสุขภาพ คุณอาจได้เห็นเมล็ดพืชเล็ก ๆ ดูคล้ายเมล็ดงาแต่กลับไม่มีกลิ่นงา ดูไปดูมาอีกทีก็เหมือนเมล็ดแมงลักแต่ก็ยังไม่ใช่ เช่นนี้แล้ว เมล็ดเจ้าปัญหาที่คุณเจอนั้นคงจะเป็น "เมล็ดเจีย" (chia seeds) แน่ ๆ เลยค่ะ เจีย เป็นเมล็ดพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย แต่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในไทยเมื่อไม่นานมานี้ด้วยความที่มันไม่ใช่พืชท้องถิ่นของบ้านเรา แต่ในปัจจุบันเราก็เริ่มหาซื้อเมล็ดเจียได้ง่ายขึ้นมากแล้ว มันมีคุณประโยชน์เปี่ยมล้นไม่ว่าจะในด้านสุขภาพ หรือด้านความสวยความงาม และเรายังไปพบว่ามันมีประโยชน์ต่อผิวมาก ๆ ด้วยนะ ลองมาดูกันค่ะว่าเมล็ดเจียนี้ จะมีประโยชน์ช่วยให้ผิวสวยใสอย่างไรได้บ้าง

        1. อุดมด้วยวิตามินอี

          วิตามินอีที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่มนิ่ม และยังช่วยเรื่องความเรียบเนียนเพราะมันต่อต้านการเกิดริ้วรอย แถมเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดี ต้านทานการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ซึ่งวิตามินอีจากเมล็ดเจียก็มีอยู่สูงและอยู่ในรูปที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายด้วยค่ะ

        2. มีกรดโอเมก้า 3

          กรดโอเมก้า 3 ใครว่ามีอยู่แต่ในปลา มันสามารถพบได้ในพืชเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โอเมก้า 3 ที่ได้จากเมล็ดเจีย เป็นต้น แถมโอเมก้าจากเมล็ดเจียยังมีมากกว่าเสียอีก เทียบเมล็ดเจียเพียง 2 ช้อนโต๊ะก็เท่ากับโอเมก้าที่ได้จากเนื้อปลาถึง 4 ออนซ์ (ประมาณ 113 กรัม) เลยทีเดียวค่ะ

          โอเมก้า 3 นี้เป็นกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการเกิดสิว ริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบนุ่ม ผมและเล็บก็สวยด้วยอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียด ก็จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน ส่งผลต่อผิวไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็จะได้กรดโอเมก้า 3 มาช่วยรักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ ซึ่งเมล็ดเจียก็นับเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ชั้นเยี่ยมแหล่งหนึ่งเลยล่ะ

        3. ไฟเบอร์เพียบ

          ไปเบอร์จากเมล็ดเจีย ซึ่งสามารถขยายตัวได้กว่าเดิมถึง 10 เท่าเมื่อถูกน้ำ ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน และที่สำคัญคือรักษาระดับอินซูลินไม่ให้ตกลงอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะหากระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง จะกระตุ้นให้รู้สึกโหย อยากของหวานหรืออาหารมีไขมัน ซึ่งเมื่อกินเข้าไปผลก็จะมาปรากฏอยู่ที่ผิว ทั้งเรื่องสิว ผิวอักเสบ และดูหมองคล้ำไม่สดใสก็ถามหา แต่ทั้งหมดนี้ป้องกันได้ง่าย ๆ ด้วยไฟเบอร์ที่ได้จากเมล็ดเจียนี่เอง

        4. สังกะสี

          ในเมล็ดเจียยังมีสังกะสี หรือ ซิงก์ อันเป็นแร่ธาตุที่ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้เอจจิ้ง ทำให้ผิวตึงเรียบ ต่อต้านการอักเสบ นอกจากผิวตึงสวยแล้วสิวจึงลดลงเป็นผลพลอยได้

        5. แมกนีเซียม

          เจียมีธาตุแมกนีเซียมไม่น้อยหน้าไปกว่าพืชชนิดไหน ๆ (ยอมลงให้โกโก้อยู่หนึ่งอันดับ) ซึ่งแมกนีเซียมช่วยรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยในเรื่องการไหลเวียนโลหิต ผิวจึงดูเปล่งปลั่งไม่ซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา

        6. โปรตีน

          โปรตีนนอกจากได้จากสัตว์แล้วก็ยังได้จากพืช โดยมีเมล็ดเจียเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีเช่นกัน แถมร่างกายยังนำไปใช้ได้ง่ายด้วย แม้จะมีอยู่ในปริมาณไม่มากแต่ก็ช่วยเสริมสร้างให้ผิว ผม และเล็บแข็งแรงได้ เพราะมันช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจนซี่งเป็นโปรตีนรูปหนึ่งที่อยู่ในผิวนั่นเองค่ะ

        7. โพแทสเซียม

          โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุมีอยู่เสมอ ๆ ในอาหารจำพวกถั่วและเมล็ดพืชต่าง ๆ เมล็ดเจียเองก็มีธาตุโพแทสเซียมเช่นกัน ซึ่งมันช่วยรักษาระดับความดันเลือดของร่างกายให้คงที่ และช่วยป้องกันอาการบวมน้ำ จากความเค็มของอาหาร โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อแปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก ซึ่งเป็นอาหารประเภทที่เราบริโภคกันบ่อยในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่ากินเค็มมาก หรือกินอาหารจำพวกนี้เยอะ ก็ควรต้องลดความถี่และปริมาณการกินลง รวมทั้งกินอาหารโพแทสเซียมสูงอย่างเช่นเมล็ดเจียเข้าไปเสริมด้วยนะคะ


          มีประโยชน์ต่อผิวเพียบขนาดนี้ ต้องลองนำเมล็ดเจียมาเป็นมาเสริมในมื้ออาหารดูบ้างแล้วล่ะ ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนเมล็ดแมงลักที่เราคุ้นเคยได้ด้วย กินง่ายแถมประโยชน์เพียบอย่างนี้ จะพลาดของดีไปไม่ได้แล้วจ้า


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 22, 2013, 09:48:50 pm

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 27, 2013, 06:30:28 am
วิธีเก็บมะนาวให้สดนาน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99/-

ด้วย 3 เคล็ดลับจากวัตถุดิบก้นครัว ช่วยชะลออายุมะนาวเน่าเสียช้าลง ทั้งยังคงรสชาติไม่เปลี่ยน

มะนาวที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่หมด หากเก็บไว้นาน ๆ ผิวจะเริ่มแห้งกรอบ เมื่อบีบ หรือคั้นก็จะไม่ค่อยได้น้ำ ปัญหานี้มีวิธีแก้โดย

นำลูกมะนาวที่เหลือล้างน้ำให้สะอาด ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จากนั้น ใช้กระดาษห่อแยกเป็นลูก ๆ ใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วแช่ตู้เย็นในช่องผัก

หรือ ใช้น้ำมันพืชทาเคลือบผิวมะนาวบาง ๆ ผึ่งให้แห้งก่อนใส่ถุงพลาสติกนำเข้าตู้เย็น จะช่วยเก็บความชื้น และน้ำในผลมะนาวให้ระเหยน้อยลง ทั้งยังยืดอายุให้เน่าเสียช้าด้วย

นอกจากนี้ อาจผ่ามะนาวที่เหลือให้หมด แล้วคั้นน้ำบรรจุภาชนะมีฝาปิดมิดชิด จากนั้น ใส่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำมาละลาย ทำให้เก็บได้นาน และรสชาติไม่เปลี่ยน

ที่มาข้อมูล internet

-----------------------------------------------------------



เปลือกส้ม เปลือกมะนาว อย่า!!เพิ่งทิ้งนะ

-http://campus.sanook.com/1078527/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-


เปลือกผลไม้บางอย่างก็ยังเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเปลือกมะนาวและส้มนั้นคุณสามารถนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นกลิ่นหอมปรับอากาศในบ้านก็ได้ โดยนำเปลือกส้มหรือมะนาวแห้งมาเผาบนเตาหรือนำเข้าเตาอบ เพียงแค่นี้ก็จะได้กลิ่นหอมสดชื่นทั่วบ้านอย่างง่ายๆ ในเวลาเร่งด่วนแล้วล่ะคะ



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 27, 2013, 06:44:13 am
ทับทิม : อัญมณีแห่งผลไม้

-http://men.sanook.com/1563/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/-

(http://p4.isanook.com/me/0/ud/0/1563/pomegranate.jpg)

ศัพท์บางคำในภาษาไทยนั้น อาจมีความหมายได้หลายอย่าง และความหมายที่ต่างกันนั้นมักมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "ทับทิม" หนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2416 ให้ความหมายไว้ว่า...

"พลอยแดง : เป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งดอกแดง ลูกกลมๆ กินดี : อนึ่งเป็นชื่อพลอยที่เขาทำหัวแหวนสีแดงๆ นั้น"

ชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยส่วนหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมาซื้อพลอยแดงน้ำดีจากประเทศไทยที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ทับทิมสยาม" นั่นเอง

เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยกับทับทิมที่เป็นพลอยสีแดงมานาน เมื่อมีต้นไม้ต่างประเทศชนิดหนึ่ง ถูกนำเข้ามาปลูกในเมืองไทย และต้นไม้ชนิดนั้นมีเมล็ดซึ่งหุ้มด้วยเนื้อใสสีแดง มีเหลี่ยมมุมคล้ายพลอยสีแดง คนไทยจึงเรียกชื่อต้นไม้ต่างประเทศชนิดนั้นว่า "ทับทิม" ไปด้วย เพราะเป็นลักษณะเด่นที่จำได้ง่าย
หัวนอนปลายเท้าของต้นทับทิม

ต้นทับทิมมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum linn. ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate, สเปนเรียก Granada, อินเดียเรียก Darim, ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ฯลฯ

สันนิษฐานว่า ทับทิมมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบทวีปเอเชียตะวันตก ติดกับทวีปยุโรปตอนใต้ และคงนิยมปลูกกันมานานหลายพันปีแล้ว จึงแพร่กระจายออกไปมากมาย ทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป รวมทั้งทวีปแอฟริกา

ทับทิมเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 6-10 ฟุต ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตก ออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน มีทับทิมอีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กมาก เรียกว่า ทับทิมหนู (Punica granatum Var.nana Pere) สูงเต็มที่ไม่เกิน 4 ฟุต มีดอกสีแดงดกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ความเชื่อและตำนาน

ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมเกิดจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งปวงและเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ ตั้งครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดเทพเจ้าแอตติส (Attis) ขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เคารพนับถือเทพแอตติสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในสมัยพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน ชาวฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม ผู้ที่เคารพพระคเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย

ชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาว) และถือว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก) จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้ในบริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)

ในญี่ปุ่นคงรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่คอยปกป้องรักษาเด็กๆ ให้ปลอดภัย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆ ได้กินผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง ชาวไทยก็คงได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายแห่งในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงจะเป็นเจ้าแม่ที่มีกำเนิดจากประเทศจีนแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อไทยทีหลัง

ประโยชน์ด้านต่างๆ ของทับทิม

เมล็ดทับทิมมีเนื้อหุ้มใสสีแดงเข้มเป็นประกายนั้น มองดูคล้ายพลอยแดงน้ำดีที่เจียระไนแล้ว สมกับที่มีผู้ยกย่องทับทิมว่าเป็น "อัญมณีแห่งผลไม้" นอกจากความงดงามแล้ว รสชาติของทับทิมยังดีเยี่ยมอีกด้วย น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ซึ่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดด้วย เนื่องจากทับทิมเป็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติด้านสมุนไพรที่เด่นมากชนิดหนึ่ง สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มคนหลายกลุ่มมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวอียิปต์ และชาวฟีนีเซี่ยน เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ใช้ทับทิมเป็นสมุนไพร ต่อเนื่องมาถึงกลุ่มชนอื่นๆ เช่น

ชาวอาหรับ ใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ใช้ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด ใช้เปลือกผลทับทิม (ผสมกานพลูและฝิ่น) รักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย

ชาวฮินดู ใช้น้ำคั้นจากผลทับทิม และดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ แก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมแก้ท้องเสีย ใช้บำรุงหัวใจ

ชาวไทย ทับทิมทั้งต้นหรือทับทิมทั้ง 5 ; ใช้เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด

เปลือก ราก และเปลือกต้น ; ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด, ไส้เดือน, เส้นด้าย และฝาดสมาน
ใบ ; สมานแผล แก้ท้องร่วง อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก ; ใช้ห้ามเลือด
เปลือกผล ; สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง (มีแทนนิน) ร้อยละ 22-25
เนื้อหุ้มเมล็ด ; แก้กระหายน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด
น่าสังเกตว่า ชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ และผลทับทิมในประเทศไทยได้รับความนิยมน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อาจเป็นเพราะว่าพันธุ์ทับทิมที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมิใช่พันธุ์ที่ให้ผลคุณภาพดีเยี่ยมสำหรับการบริโภคเป็นผลไม้

หากชาวไทยนำพันธุ์ทับทิมคุณภาพดีเข้ามาปลูก หรือปรับปรุงพันธุ์ทับทิมของเราให้ดีเท่าเทียมกับพันธุ์คุณภาพดีที่มีอยู่ในโลก เชื่อว่าคนไทยนิยมปลูกและบริโภคทับทิมไม่น้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เป็นแน่


หมอชาวบ้าน สนับสนุนเนื้อหา
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 28, 2013, 07:48:55 pm
“ครีมเทียม” ครีมไม่แท้ มาจากไหน?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 พฤศจิกายน 2556 14:38 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147709-


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2911846)


    คนที่ชื่นชอบการกินกาแฟซอง (กาแฟชง/กาแฟทรีอินวัน) ย่อมรู้จัก “ครีมเทียม” กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหอมมันให้กับกาแฟถ้วยโปรด แต่รู้กันบ้างไหมว่าครีมเทียมนั้นทำมาจากอะไร “108 เคล็ดกิน” มีคำตอบมาเฉลย
       
       “ครีมเทียม” เป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากน้ำนมโค ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีราคาถูกกว่าครีมแท้ (ครีมแท้คือครีมที่ทำมาจากนมโคแท้ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบ) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข “ครีมเทียม” หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำจากนมและมีไขมันอื่นนอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หรือมีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด
       
       ครีมเทียมจะมีส่วนประกอบหลักเป็นไขมัน โปรตีน และน้ำตาล ครีมเทียมทำเลียนแบบครีมแท้โดยการนำส่วนประกอบไขมันจากน้ำมันปาล์ม โปรตีนนมที่แยกออกจากน้ำนมโค น้ำตาลทรายและน้ำ กลับมาผสมรวมกัน โดยต้องมีส่วนประกอบอื่นอีก ในการทำส่วนผสมหลักดังกล่าวสามารถรวมเป็นเนื้อเดียวคล้ายคลึงกับครีมแท้ แล้วจึงนำไปทำให้แห้งเป็นผง
       
       ซึ่งไขมันในครีมเทียมส่วนใหญ่ก็จะได้มาจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูง (ประมาณร้อยละ 20-50) และในครีมเทียมก็ยังพบไขมันทรานส์ในปริมาณมาก ซึ่งการบริโภคไขมันทรายส์เข้าไปมากๆ ก็จะมีผลให้คอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มระดับขึ้น เป็นผลให้มีน้ำหนักตัวลำขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฉะนั้น การบริโภคครีมเทียมในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
       
       แต่ล่าสุด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำการทดลองผลิตครีมเทียมผงจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น โดยใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการสีข้าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เนื่องจากในน้ำมันรำข้าวประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีสารสำคัญอื่นๆ อีกหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
       
       ทั้งนี้ หากใครอยากจะทดลองบริโภคครีมเทียมจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น คงต้องรอไปก่อนสักพักใหญ่ เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดลอง และเตรียมต่อยอดในการผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 08:45:52 pm
ขิง สมุนไพรดี ๆ บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว
-http://health.kapook.com/view77340.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/ginger1.jpg)


ขิง บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว (หมอชาวบ้าน)
โดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรี

          ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาของ "วาตะธาตุ" หรือธาตุลมมีลักษณะเย็นและแห้ง ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของคนเรา ใครที่มีธาตุทั้ง 4 สมดุล ก็อาจจะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลได้มากกว่าคนอื่น ๆ

          สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือ คนที่ผอมแห้งแรงน้อย หรือคนชราก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น ๆ และรวมทั้งวัยเด็กที่มีเสมหะอันมีลักษณะเย็นขึ้นเป็นเจ้าเรือน ธาตุไฟซึ่งอ่อนแรงอยู่แล้ว ก็จะยิ่งอ่อนแรงลงไป ธาตุน้ำ และธาตุลมก็ยิ่งกำเริบร่วมกัน เสมหะก็จะเหนียวและแห้ง คนจะเจ็บป่วยด้วยอาการหวัด และอาการไอแห้ง ๆ รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืด ซึ่งเป็นผลพวงแห่งการมาเยือนของฤดูหนาว

          ดังนั้น ในเด็กและคนชราจึงเป็นกลุ่มคนที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในฤดูกาลนี้ และหนึ่งในสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มธาตุไฟในหน้าหนาวก็คือ "ขิง" นั่นเอง

          สำหรับสมุนไพร "ขิง" ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่างยาวนาน อาทิ จีน ซึ่งเป็นชนชาติเก่าแก่ก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคอเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด

          ชาวจีนทั่วไปจะรู้ดีว่าถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อยจะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้างจะช่วยแก้ปวดหัว และถ้าเอาขิงสดอมไว้ได้ลิ้นจะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี ในตำรับเภสัชของสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2528 จึงบรรจุขิงทั้งขิงสด ขิงแห้ง และทิงเจอร์ขิงเป็นยาสมุนไพรแห่งชาติตัวหนึ่ง

          แพทย์จีนโบราณใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้งในแง่มุมที่ต่างกัน โดยใช้ขิงแห้งในภาวะที่ขาดหยาง (ภาวะขาดหยาง คือ ภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็น หนาวง่าย ทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น)


ประโยชน์ของขิง



          ขิงสดจะใช้เมื่อต้องการกำจัดพิษที่เกิดจากการติดเชื้อภายในร่างกาย โดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง ช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด 30 กรัม (3 ขีด) สับให้ละเอียดต้มกินในขณะท้องว่าง นอกจากนี้ ขิงยังช่วยกำจัดพิษโดยการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขับเสมหะ โดยการใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำประมารครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัม (6 ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนกิน

          อินเดีย คืออีกชาติหนึ่งที่มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย ซึ่งการใช้ขิงแห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยจะใช้ขิงทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ขิงลดการอักเสบ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นการอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นกำหนัด

          ตำรับยาทางอายุรเวทมีการใช้ขิงลดการบวมและการอักเสบของตับ คนพื้นเมืองอินเดียทั่วไปยังนิยมใช้น้ำคั้นจากขิงผสมน้ำผึ้ง และน้ำคั้นจากกระเทียมรักษาอาการหอบหืด ทั้งยังมีการใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่นทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

          แพทย์ชาวอาหรับโบราณก็ใช้ประโยชน์จากขิงคล้าย ๆ กัน แต่ที่แตกต่างคือ จะเน้นการใช้ขิงกระตุ้นความกำหนัด


ขิง สรรพคุณ


          ส่วนคนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย ช่วยรักษาอาการท้องอืดจากการดื่มเหล้า ช่วยขับลม ทั้งยังใช้รักษาโรคเกาต์ และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

          นักสมุนไพรรุ่นใหม่ของตะวันตก มักแนะนำให้ใช้ขิงช่วยย่อยอาหาร ช่วยการไหลเวียนของโลหิต และลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล (motion sickness) รวมทั้งให้ใช้ลดการคลื่นไส้อาเจียนหลังการผ่าตัด และจากการแพ้ท้องได้บ้าง แต่คนท้องไม่ควรกินเป็นประจำ

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทุกมุมโลกใช้ "ขิง" เหมือน ๆ กันคือ แก้หวัด และแก้ไอ

          "ขิง" มีชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinaie Rosc. มีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

          มีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้ม ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมกโครฟาจ (Macrophage) จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าภูมิปัญญาอันเก่าแก่ในการการใช้ประโยชน์จากขิง

          "ขิง" จึงเป็นสมุนไพรแนะนำสำหรับการใช้เป็นเครื่องดื่มในฤดูกาลนี้ เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย มีความปลอดภัยสูง ใช้กันมานาน คนทั่วไปคุ้นเคย กินง่าย ทำได้เอง

          ปัจจุบัน ขิงบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และองค์การอนามัยโลกรับรอง "ขิง" รักษาหวัด แต่ก็มีข้อจำกัดการใช้ในคนท้อง และกินยาก ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทผู้ผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ดังนั้น กรณีเป็นหวัด น้ำขิงต้มเองจะดีที่สุด และเราสามารถตั้งตำรับของเราเองได้ตามใจชอบด้วย


น้ำขิง


เคล็ดลับสุขภาพ

ตำรับ "น้ำขิง" พิชิตหวัด แก้ไอ

          ส่วนผสม : ขิงแก่สด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3 ลิตร

          วิธีทำ

          ล้างขิงให้สะอาด แล้วนำมาทุบให้พอบุบ ๆ โดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง

          ต้มขิงกับน้ำให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลตามใจชอบ

          สำหรับคนไทย แน่นอนว่ารู้จักสมุนไพร "ขิง" เป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องเทศที่นำมาปรุงเป็นอาหารได้สารพัด ช่วยทำให้อาหารหอมหวนชวนกิน ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และอยู่ในตำรับยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากมายหลายโรค ทั้งช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ฯลฯ

          ดังนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วยเป็นอะไรไปในหน้าหนาวนี้ ต้มน้ำขิงกินกันไว้เลยดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.doctor.or.th/-


------------------------------------------------------------





4 ประโยชน์ ของดีเกลือ

-http://women.kapook.com/view77170.html-

(http://img.kapook.com/u/soisuda/c/400_10.jpg)

4 ประโยชน์ ของดีเกลือ (Lisa)

          ดีเกลือที่มีขายตามร้านยาจีนนั้นมีประโยชน์เอนกอนันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความงาม อย่างเช่น

       ขัดผิว โดยโรยดีเกลือลงในเคลนเซอร์สำหรับผิวหน้านิดหน่อยแล้วนำ ไปฟอกหน้าตามปกติ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดกว่าเดิมแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยต่อต้านริ้วรอยบนใบหน้าด้วย

       บำรุงผม โดยผสมดีเกลือกับคอนดิชันเนอร์ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน นำไปนวดบนหนังศีรษะและเส้นผม ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะเห็นว่าเส้นผมดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ทันที

       ขจัดสารพิษ โดยเติมดีเกลือสองถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ (ใช้น้ำร้อน) แล้วลงไปนอนแช่ตัวเป็นเวลา 10 นาที สารซัลเฟตในดีเกลือจะช่วยขจัดสารพิษและโลหะหนักในร่างกายออกไป โดยดีเกลือจะช่วยดึงเกลือในร่างกายออกมาพร้อมๆ กับสารพิษพวกนั้น

       ขัดฟันขาว ดีเกลือคือสารขัดฟันขาวตามธรรมชาติ แถมยังช่วยให้ปากเนียนนุ่มขึ้นด้วย แค่ใช้ดีเกลือแปรงฟันแทนยาสีฟันเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.lisaguru.com/wp/blog/beauty/v14n40-18112013-03/-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 08:56:24 pm
.

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/478072.jpg)

ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน
วันศุกร์ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198196-

ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน เถาจะแข็งและเหนียว ต้นม้วนพันสิ่งยึดเกาะได้ ลักษณะของใบเป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ มี 3 ใบย่อยลักษณะคล้ายรูสามเหลี่ยมยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตรลักษณะของดอกจะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบกลีบดอกเป็นสีขาว หรือน้ำเงินอ่อน ฝักมีลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตรยาวประมาณ 20-80 เซนติเมตร และในฝักมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ดคนไทยเมื่ออดีตนิยมใช้ใบสดประมาณ 60-100 กรัมนำมาต้มกับน้ำใช้รักษาโรคหนองในและอาการปัสสาวะเป็นหนอง และใช้บำรุงม้ามและไต ด้วยการนำเมล็ดแห้งหรือสดมาคั้นสดหรือต้มกับน้ำเพื่อดื่ม.

---------------------------------------------------------------


บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์
วันเสาร์ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198404-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/478651.jpg)


บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์ในหลายอย่างอาทิ ห่อผักสดเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสดของผักให้ยาวนานขึ้น ทำเป็นข้าวห่อใบบัว ทำให้ข้าวหอมน่ารับประทาน คนไทยเมื่อครั้งอดีตและบางพื้นที่ในปัจจุบัน นำใบบัวมาเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น นำใบบัว ซึ่งมีสารอัลคาลอยด์หลายชนิด มาปรุงใช้ประโยชน์ทางยา เพื่อลดความดันโลหิตสูง นำใบสด หรือแห้งหั่นเป็นฝอยต้มกับน้ำพอท่วมจนเดือด 10-15 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน ใช้ระงับอาการหวัด และช่วยลดเสมหะ โดยนำใบบัวมาหั่นเป็นฝอยผึ่งแดดให้แห้งทำเป็นมวนสูบบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกเป็นต้น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 09:04:07 pm
น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์
และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน
วันพฤหัสบดี 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=197967-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/477383.jpg)

ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ศึกษาวิจัยคุณประโยชน์จากมะพร้าวพบว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี มีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมใช้ประโยชน์ได้ใน 5 นาที ขับสารพิษมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง อีกด้วย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 01, 2013, 10:03:44 am
เมลอนกีวีสมูทตี้ เปรี้ยวหวานอร่อยกลิ่นหอมชวนดื่ม
-http://cooking.kapook.com/view76985.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Cooking1/kiwi%20melon%20smoothie.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เครื่องดื่มสีเขียวสวยวันนี้ที่เรานำมาฝากเป็นสมูทตี้ที่มีกลิ่นหอมชวนดื่มจากเมลอนเขียวหวานฉ่ำ เพิ่มรสชาติเปรี้ยวนิดหน่อยจากกีวีปั่นผสมรวมกันจนเป็นเมนูเมลอนกีวีสมูทตี้ ได้ประโยชน์จากกีวีที่มีไฟเบอร์สูง มีวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ แถมยังป้องกันความเสื่อมสภาพของเซลล์ได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันว่าส่วนผสมและวิธีการทำมีอะไรบ้าง


สิ่งที่ต้องเตรียม

          กีวี ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 1 ผล

          เมลอน หั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 100 กรัม

          น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก แช่เย็นจัด 1/2 ถ้วย

          เกลือป่นเล็กน้อย

          น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

          เมลอนตักเป็นก้อนกลมสำหรับแต่ง

          กีวี หั่นเป็นชิ้นสำหรับแต่ง

          ใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง


วิธีทำ


           ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด เทใส่แก้ว แต่งด้วยเมลอน กีวี และใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่มขณะเย็น ๆ

           เครื่องดื่มสีสวย กลิ่นหอม รสเปรี้ยวหวานกลมกล่อมอร่อย ๆ แบบนี้อย่าลืมทำดื่มกันนะคะ

-------------------------------------------------------------------

"ประโยชน์ของกีวี" เพื่อสุขภาพที่ดี
-http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5-

(http://www.n3k.in.th/images/stories/0/women/health/1-25.jpg)

"กีวี" ผลไม้เมืองหนาวหรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "กีวีนิวซีแลนด์ส" ถึงแม้จะเป็นผลไม้เมืองนอกแต่ขอบอกค่ะว่า ประโยชน์ของกีวี มีมากมายนัก ทั้งต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ช่วยลดแคลอรีและเรื่องระบบการเผาผลานที่ดี อีกทั้งยังมีวิตตามินซีสูงมาก นั้นเรามาทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของกีวี ให้มากกว่านี้กันดีกว่าค่ะ

 
ประโยชน์ของกีวี
 
แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังมีกีวีโกลด์หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทองซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า


เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหารรวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 04, 2013, 07:35:20 pm
“ส้ม” ประโยชน์ทั้งลูก!

-http://club.sanook.com/15611/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81-

“ส้ม” มีประโยน์ “ทั้งลูก!” มีประโยชน์ทั้งน้ำส้มจนเปลือกส้ม มีประโยชน์ทั้งสุขภาพและยังสามารถทำให้เราหน้าใสได้อีกด้วยลองมาดูกันว่า “ส้ม” ให้ประโยชน์กับเราได้อย่างไรบ้าง

87626898

เริ่มจาก “เนื้อส้ม” เป็นยาสมุนไพรบำรุงร่างกายได้ชั้นเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องหาให้มันยุ่งยาก เพียงแค่เรากินส้มสด 100 กรัม ก็จะมีสารเบต้าแคโรทีน ถึง 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 42 มิลลิกรัม ที่เพียงพอต่อร่างกายคนเราต้องการต่อวัน และสารเหล่านี้ก็ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ด้วยคะ

งานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์ของส้มในการชะลอริ้วรอยแห่งวัยทำให้หน้าใส พบว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนได้น้อยลง แต่ส้มมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้สุขภาพผิวดี ลบเลือนริ้วรอยแห่งวัยหน้าใส และยังช่วยสร้างกระดูกอ่อนให้แข็งแรงด้วย เบต้าแคโรทีนในผลส้ม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์ผิวหนังอันเป็นบ่อเกิดความชรา

เบต้าแคโรทีนจึงช่วยชะลอความเสื่อมทำให้ผิว เส้นผม และเล็บมีสุขภาพดี และยังช่วยให้ผนังหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงหน้าใส ช่วยลดอาการเส้นเลือดฝอยแตกตามใบหน้าและเรียวขา

“เปลือกส้ม” หารู้ไม่ว่าเปลือกส้มที่เราทิ้งกันมีประโยชน์นานับประการ ถ้าการทำงานในทุกๆ วันทำให้คุณรู้สึกเครียดหรือเมื่อยล้าและอยากหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลาย เปลือกส้มช่วยท่านได้..โดยการนำเปลือกส้มมาคั้นหรือบีบเอาน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในเปลือกส้ม นำมาดมกลิ่นหรือใช้นวดตามร่างกาย ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้

นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ ของทีมวิจัยของเภสัชกรในอังกฤษ พบว่าสารในเปลือกส้มมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะในเปลือกส้มเขียวหวานจะมีฤทธิ์ช่วยต้านทานมะเร็งบางอย่างได้ โดยสาร “ซาลเวสตรอล คิว 40” ในเปลือกส้มเขียว-หวาน สามารถทำลายเซลล์ มะเร็งที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ “พี 450 ซีวายพี 1 บี 1” ลงได้ ซึ่งการค้นพบ ในครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ในการบำบัดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งทรวงอก ปอด ต่อมลูกหมาก และรังไข่ ได้ต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการดอทคอม

---------------------------------------------------------

3 ประโยชน์เลิศของโยเกิร์ตไม่ได้โม้!

-http://campus.sanook.com/1370335/3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-

ถ้วยเล็กๆ อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย แม้บางเรื่องจะดูเวอร์ไปนิด แต่เชื่อเถอะว่า จุลินทรีย์...ทำได้

1. สงบอารมณ์ปรี๊ด จะเครียด เหวี่ยง หรือวีนก็หยิบโยเกิร์ตมากินสักถ้วย นักวิจัยจาก UCLA พบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุมอารมณ์จะทำงานได้ดี แล้วอารมณ์ด้านลบทั้งหลายก็จะอยู่ใต้คอนโทรล

2. ป้องกันช่องคลอดแห้ง นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ชี้ว่าการขาดจุลินทรีย์แล็กโตบาซิลัสซึ่งมีอยู่มากในโยเกิร์ตเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะช่องคลอดแห้งของผู้หญิงตั้งแต่วัยเลข 3 ไปจนถึงวัยทอง

3. ลดโอกาส "ฉี่" เจ็บ หากกินโยเกิร์ตเป็นประจำ งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์แมรี่แลนด์ชี้ว่าโอกาสติดเชื้อจนทางเดินปัสสาวะอักเสบจะลดลงประมาณ 30-40%




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2013, 09:57:03 am
-http://women.sanook.com/18459/magic-coconut/-

ตอนนี้เครื่องดื่มในตลาดมีจำหน่ายกันหลากหลายยี่ห้อ เรียกว่าทานอย่างไรก็ไม่ครบ ทั้งน้ำหวาน น้ำอัดลม ชาเขียว และอีกสารพัดน้ำ ที่ผู้ผลิตเพิ่มสี แต่งกลิ่น แล้วติดราคาให้แพงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้ราคาถูกแสนถูกใกล้ตัวเรา กลับมีพลังมหัศจรรย์ ชนิดที่ว่าสารพัดน้ำที่ว่าไม่มีทางเทียบเคียงคุณประโยชน์ของน้ำมะพร้าวนี้ได้เลยครับ

น้ำมะพร้าวนั้น นอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆ ในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้นและผลต้อง ผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

Magic Coconut

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้ น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง (แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม) ควรกินให้หมดทีเดียว แต่ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆ ตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่มครับ

ข้อมูลจาก : deedeejang
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2013, 08:37:52 pm
“พริก” ไม่ได้มีดีแค่เผ็ด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
5 ธันวาคม 2556 15:19 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000150581-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015751501.JPEG)

      ความเผ็ด เป็นอีกรสชาติที่ขาดไม่ได้ในอาหารหลายๆ จาน และความเผ็ดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะได้มาจาก “พริก” ไม่ว่าจะเป็นพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกหนุ่ม พริกหยวก ฯลฯ ซึ่งพริกแต่ละชนิดก็จะให้ระดับความเผ็ดที่แตกต่างกันไป
       
       นอกจากจะให้ความเผ็ดแล้ว “พริก” ก็ยังมีคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณที่มากกว่าการช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานต่างๆ อีกด้วย เริ่มจากประการแรก พริกมีวิตามินสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก มีกรดแอสคอร์บิค ที่จะช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหาร เพื่อให้ดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่ายของเสีย และนำธาตุอาหารต่างๆ ไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย
       
       พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น พริกช่วยให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ฉะนั้นคนที่เป็นหอบหืดหรือภูมิแพ้ หากบริโภคพริกไปแล้วจะดีมาก
       
       ในพริกยังพบสารแคปไซซิน ที่ทำให้เกิดความเผ็ดในพริก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่างๆ ของร่างกาย และช่วยบรรเทาอาหารปวดและแสบร้อนจากการอักเสบตามที่ต่างๆ เช่น โรคเริม งูสวัด ปวดอักเสบตามข้อจากรูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และอาการปวดฟกช้ำทั้งหลาย
       
       พริกช่วยเพิ่มสารแห่งความสุข หรือเอ็นโดรฟิน สังเกตได้จากหลังกินอาหารเผ็ดๆ แล้วเหงื่อออก จะรู้สึกสดชื่นสบายตัวมากขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น และความเผ็ดจากพริกก็ยังช่วยเรียกน้ำย่อย ช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้นอีกด้วย
       
       ทั้งนี้ การบริโภคพริกเข้าไป หรือการกินเผ็ดก็ควรจะอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่กินเผ็ดมากเกินไปจนกลายเป้นโรคกระเพาะ และต้องกินพริกให้ถูกจังหวะเวลา ไม่กินเผ็ดจัดในขณะที่ท้องว่าง หากทำได้อย่างนี้แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากพริกไปแบบเต็มๆ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2013, 10:57:59 am
สัญญาณอันตราย...อาหารต้องทิ้ง!!!

-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/13360-

โดย himawari45 | วันที่ 6 มกราคม 2553

ก่อนกินต้องเช็คด้วยว่าหมดอายุหรือยัง


     พฤติกรรมการบริโภคของคนยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก อาจเป็นเพราะเสียเวลาไปกับกิจกรรมอื่นๆ  เลยทำให้คนใส่ใจในการปรุงอาหารน้อยลง เลือกอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น เพื่อประหยัดเวลา

 

                สังเกตได้จากทุกวันนี้การเลือกซื้ออาหารของคุณแม่เพื่อมาปรุงให้ลูกก็ไม่ได้ซื้อเพียงแค่อาหารสดเท่านั้น แต่ซื้ออาหารที่ผ่านการแปรรูปมากขึ้น ซึ่งอาหารแปรรูปแล้วนี่เอง หากขาดการสังเกตและใส่ใจในบางเรื่อง อาหารที่นำความสะดวกมาให้ ก็จะกลายเป็นอาหารอันตรายสำหรับลูกไปได้ในพริบตา

   

                อาหารสำเร็จรูป คือ อาหารที่ได้ผ่านการหุงต้มหรือแปรรูปไปเพื่อให้อาหารนั้นสามารถเก็บได้นานพอสมควรโดยไม่เน่าเสีย และอาหารสำเร็จรูปจะดื่มหรือกินได้ทันทีเมื่อต้องการ โดยที่ไม่ต้องนำไปปรุงอีกครั้งก่อนกินค่ะ

 

                วิธีสังเกตอันตรายที่มาพร้อมกับความสำเร็จรูป

 

                1. ขนมอบ / เบเกอรี่

                สัญญาณอันตราย  กลิ่นหืน สีที่เปลี่ยนไป และอาจพบเห็นจุดสีแปลก เช่น สีขาว สีดำ สีเขียว เป็นต้น

 

                ต้นตอ  กลิ่นหืนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของไขมันที่สัมผัสหรือถูกแสงแดดและอากาศ ส่วนจุดสีแปลกๆ นั้น เกิดจากการเสื่อมสภาพของอาหารที่มาจากเชื้อรา เพราะขนมอบหรือเบเกอรี่มีแป้ง น้ำตาล และไขมัน ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อราด้วย ถ้าอุณหภูมิร้อนชื้นพอเหมาะ เชื้อราก็เจริญเติบโตได้ดี

 

                สิ่งที่ต้องทำ  ถ้าได้กลิ่นหืนหรือเจอจุดสีต่างๆ ก็ทิ้งได้เลยไม่ต้องลองชิมรสชาติแล้วล่ะ

 

ครั้งต่อไปถ้าซื้อขนมอบหรือเบเกอรี่มา คุณแม่ควรเก็บในที่ที่ควบคุมอุณหภูมิและไม่วางทิ้งไว้นอกตู้เย็นนานๆ หรืออยู่ในที่ร้อนสลับกับที่เย็น ก็ช่วยให้ขนมเหล่านี้หมดอายุช้าลง

 

                2. แยม

                สัญญาณอันตราย  มีจุดหรือกลุ่มของเชื้อราสีขาว

 

                ต้นตอ เกิดจากการตักโดยใช้ช้อนที่ไม่สะอาด หรือเปิดฝาไว้ หรือเก็บในที่ร้อนชื้นทำให้แยมเน่าเสียเร็ว

 

                สิ่งที่ต้องทำ หลายคนคิดว่าแค่ตักเอาส่วนที่เป็นจุดสีขาวของเชื้อราออกก็เอาแยมมากินต่อได้

 

แต่ที่จริงไม่ควรทำ ต้องทิ้งสถานเดียว เพราะสารพิษจากเชื้อรานั้นกระจายเข้าสู่อาหารทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นครั้งต่อไป คุณแม่ควรตักแยมในปริมาณเท่าที่ใช้ ไม่ตักเหลือแล้วใส่ในขวดคืนและจัดเก็บให้ดีในอุณหภูมิที่เหมาะสม

 

                3. น้ำจิ้มและซอส

                สัญญาณอันตราย  อาจมีเชื้อราหรือจุลินทรีย์ที่ปากขวด และที่สำคัญคือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

 

                ต้นตอ เกิดจากการที่มีเศษซอสหรือน้ำจิ้มติดอยู่ที่ปลายจุกขวดหรือรอบนอกของปากขวดแล้วไม่ได้ทำความสะอาดปากขวด ก็เป็นอาหารชั้นดีที่ทำให้เชื้อราเจริญเติบโต

 

                สิ่งที่ต้องทำ เมื่อมีการเปิดใช้ ก่อนเก็บควรทำความสะอาดรอบปากขวด แต่ถ้าเป็นจุกปั๊มให้นำมาล้างโดยกดน้ำร้อนให้ผ่านจุก ก็เป็นวิธีทำความสะอาดแบบง่ายๆ

 

                อาหารกึ่งสำเร็จรูป คืออาหารที่ได้ผ่านการหุงต้มหรือกระบวนการแปรรูปแล้ว และสามารถเก็บไว้ได้นานแต่ก่อนกินจะต้องนำไปหุงต้ม และปรุงรสก่อน

 

                1. ไส้กรอก  เบคอน  แฮม

                สัญญาณอันตราย  มีเมือกที่ผิว

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร ซึ่งเป็นของเสียหรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  คุณแม่หลายคนอาจเคยลอกพลาสติกออก แล้วล้างน้ำหรือลวกน้ำร้อน แต่นั่นคือวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะการทำความสะอาดแบบนี้ไม่สามารถกำจัดสารพิษของจุลินทรีย์ได้ สิ่งที่ต้องทำคือทิ้งเท่านั้น และก่อนซื้อครั้งต่อไปซื้อแต่น้อย จัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมและอย่าลืมดูวันหมดอายุด้วยนะ

 

                2. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

                สัญญาณอันตราย  มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มาจากกลิ่นหืนและสารปรุงแต่ง

 

                ต้นตอ กลิ่นหืนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำมันที่สัมผัสหรือถูกแสงแดดและอากาศ   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  กินให้น้อยจะดีที่สุด แต่ถ้าอยากกินควรลวกน้ำร้อนทิ้ง 1 น้ำก่อน ไม่ใช่กินน้ำที่ลวกด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าน้ำมันที่ใช้ทอดเป็นน้ำมันอะไร ส่วนซองปรุงรสที่ให้มาด้วยนั้นก็ควรเลี่ยงเถอะ ใช้เครื่องปรุงที่เรามีที่บ้านปรุงเองก็อร่อยเหมือนกัน

 

                3.  เส้นมักกะโรนีหรือสปาเก็ตตี

                สัญญาณอันตราย  ถ้าคุณแม่ต้มสุกแล้ว แต่กินไม่หมดและเก็บเข้าตู้เย็น เอาออกมาจะปรุงอาหารอีกทีจะเห็นว่า เส้นมีกลิ่นหืน กลิ่นเปรี้ยว มีเมือกลื่น และถ้าชิมจะรู้สึกว่าแป้งเปื่อยยุ่ยง่ายไม่เหนียวเหมือนต้มสุกใหม่ๆ

 

                ต้นตอ  จุลินทรีย์เข้าไปย่อยสลายแป้งเป็นอาหารและเจริญเติบโต จนเส้นที่ลวกสุกและเข้าตู้เย็นไว้นั้นเน่าเสียแล้วล่ะ   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  ทิ้งเท่านั้น เพราะล้างไปเมือกลื่นก็หมดแต่พิษของจุลินทรีย์ยังคงอยู่ กินเข้าไปอาจจะทำให้ท้องเสียได้ และครั้งต่อไปคุณแม่ควรต้มแค่พอดีปรุงอาหารแต่ละมื้อ เพราะถ้าต้มไว้ล่วงหน้ามาก แถมยังหยิบเข้าหยิบออกตู้เย็นบ่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของอาหารไม่คงที่ อาหารก็เน่าเสียเร็ว

 

                อาหารแช่เย็น การแช่เย็นเป็นการเก็บรักษาอาหารอย่างหนึ่ง โดยที่น้ำในอาหารจะไม่แข็งตัวเป็นน้ำแข็ง แต่ก่อนกินควรเอาอาหารออกมาอุ่นก่อน เพราะส่วนใหญ่อาหารที่นำมาแช่เย็นจะถูกทำให้สุกมาประมาณ 70-80% ส่วนการแช่แข็งนั้นน้ำในอาหารจะแข็งตัว แต่การเก็บอาหารทั้ง 2 วิธี ไม่ใช่การฆ่าหรือทำลายเชื้อโรค เป็นเพียงแค่การหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเท่านั้น

 

                1. พิซซ่า

                สัญญาณอันตราย  เกิดเมือกลื่น กลิ่นอาหารเปลี่ยนไป หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายนอกให้เห็นเลย

 

                ต้นตอ การเน่าเสียของอาหารเกิดจากเชื้อราและจุลิทรีย์ที่ปนเปื้อนมาจากในอากาศ หรืออาหารบางชิ้นที่กัดกิน แล้วเก็บชิ้นส่วนอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็น

 

                สิ่งที่ต้องทำ หากมีเมือกลื่น เชื้อรา หรือกลิ่นเปลี่ยนไปต้องทิ้ง เพราะอาหารที่ปรุงสุกแล้วเมื่อตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะหรือในห้องเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง อาหารจานนั้นอาจมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษได้ ส่วนการที่จะเก็บอาหารที่กินเหลือต้องดูให้ดีว่า มีการปนเปื้อนหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปแช่เย็น

 

                2. อาหารชุบแป้งทอด

                สัญญาณอันตราย มีจุดหรือกลุ่มของเชื้อราขึ้นที่อาหาร หรือมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร โดยเชื้อราที่ย่อยแป้งและใช้เป็นอาหารในการเจริญเติบโต

 

                สิ่งที่ต้องทำ หากเป็นเชื้อราต้องทิ้ง แต่ถ้าปรุงสุกและจัดเก็บให้ดีในอุณหภูมิที่เหมาะสมก็จะสามารถกินได้ แต่ก่อนกินต้องนำไปอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง

 

                3. แซนด์วิช

                สัญญาณอันตราย  มีกลิ่นหืนหรือกลิ่นเปรี้ยว

 

                ต้นตอ กลิ่นหืนเกิดจากการที่มีไขมันอยู่ในอาหาร ส่วนกลิ่นเปรี้ยวเกิดจากขนมปังที่ถูกจุลินทรีย์ย่อยจนอาหารเน่าเสีย

 

                สิ่งที่ต้องทำ ซื้อมาในปริมาณที่เพียงต่อการกินในแต่ละมื้อ ถ้าจะเอาไปแช่เย็นต้องใส่ภาชนะมิดชิด และดูว่าไม่มีการปนเปื้อน

 

                อาหารกระป๋อง คืออาหารที่ผ่านการแปรรูปและเก็บในกระป๋อง ซึ่งวัตถุดิบที่เอามาทำมีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ อาหารที่บรรจุกระป๋องจะถูกทำให้สุก แล้วหยุดการทำงานต่อของอาหารด้วยการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว และมีการเติมสารเคมีบางอย่างเพื่อรักษาสีของอาหาร

 

                1. ผลไม้กระป๋อง

                สัญญาณอันตราย สีของผลไม้ที่เปลี่ยนแปลงไป

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร  หรืออาหารหมดอายุ

 

                สิ่งที่ต้องทำ ต้องทิ้งเท่านั้น เมืองไทยของเรามีผลไม้ตามฤดูกาลเยอะนะคะ ลองเปลี่ยนไปกินผลไม้สดจะดีกว่า ได้ทั้งกากใย และวิตามินต่างๆ ด้วย

 

                2. ปลากระป๋อง

                สัญญาณอันตราย กระป๋องที่ขึ้นสนิมบวม บุบ หรือมีรอยแตกร้าว สิ่งที่สำคัญคือต้องสังเกตสี กลิ่น และลักษณะของอาหาร เช่น มีฟอง แยกชั้น หรือไม่

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร หรืออาหารที่หมดอายุจึงทำให้เกิดแก๊สขึ้น

 

                สิ่งที่ต้องทำ อาหารที่หมดอายุต้องทิ้งเท่านั้น การซื้อครั้งต่อไปควรเลือกกระป๋องที่สมบูรณ์อยู่ในสภาพที่ดี ดูวันหมดอายุ ฉลาก แล้วก่อนกินเอาอาหารออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นไปอุ่นให้ร้อน ห้ามเอากระป๋องไปตั้งไฟหรือเข้าไมโครเว็บเด็ดขาด เพราะอาจมีสารเคมีจากกระป๋องที่ปนเปื้อนไปในอาหาร

 

                คราวนี้ก่อนให้เจ้าตัวเล็กกินอาหารครั้งต่อไป คุณแม่ก็คงพอมีแนวทางแล้วนะว่า สัญญาณจากอาหารแบบไหนที่ควรเก็บ ควรกิน หรือควรทิ้ง อย่ามัวเสียดายอยู่เลยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของเจ้าตัวเล็ก


ที่มา:เว็บไซต์ momypedia
Update: 06-01-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2013, 02:51:40 pm
เตือนหญิงท้องเลิกงมงาย ซดยาดองเหล้าช่วยเบ่งลูกง่าย ชี้เด็กเสี่ยงพิการ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ธันวาคม 2556 12:29 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000151383-

 สธ.เตือนหญิงตั้งครรภ์เลิกงมงายใช้สมุนไพรทำยาดองเหล้าซดเชื่อช่วยคลอดง่าย ชี้เสี่ยงอันตรายถึงลูก เหตุฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำอันตรายเซลล์สมอง สติปัญญาพัฒนาช้า ตัวเล็กกว่าเด็กปกติ หรืออาจพิการ จี้กรมแพทย์แผนไทยให้ความรู้

  นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ว่า จากการทำงานคลุกคลีกับประชาชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท พบว่าสวนใหญ่ยังมีความเชื่อ ศรัทธาการแพทย์แผนไทย และยาสมุนไพรไทยอยู่พอสมควร อาจถูกบ้างผิดบ้างตามที่ได้รับสืบทอดความเชื่อสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ผิดๆ ในการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร เช่น บางพื้นที่มีความเชื่อบอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปากว่าการดื่มยาดองเหล้าช่วยทำให้สุขภาพดี เลือดลมไหลเวียนดี มีเลือดฝาด และที่น่าห่วงมากคือเชื่อว่าหากหญิงตั้งครรภ์ดื่มยาดองเหล้าเป็นประจำจะทำให้คลอดง่าย ไม่เจ็บปวดมากซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและมีอันตราย โดยเฉพาะอันตรายต่อทารกในครรภ์
       
       นายสรวงศ์กล่าวต่อว่า ตามข้อมูลวิชาการทางการแพทย์ระบุว่า สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ผู้ที่เป็นไข้ ไม่ควรดื่มยาดองเหล้า เพราะส่วนประกอบหลักของยาดองเหล้าก็คือเหล้า และเหล้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเหล้าขาว ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ แอลกอฮอล์ที่แม่ดื่มเข้าไปจะไปถึงลูกผ่านทางรก ทำให้ทารกเกิดความพิการได้ทั้งทางร่างกายและสมอง โดยเฉพาะในช่วงที่แม่มีอายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนเด็กในครรภ์ ทารกที่แม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เมื่อเกิดมาจะมีความพิการทางไต หรือที่กระดูกซี่โครงหรือกระดูกไขสันหลัง รูปร่างแคระแกร็น ตัวเล็กกว่าเด็กปกติ ที่สำคัญคือแอลกอฮอล์จะทำไปทำลายระบบประสาทส่วนกลางของทารก ทำให้โครงสร้างของสมองผิดปกติ เช่น ไม่มีสมองใหญ่ สมองใหญ่มีร่องผิดปกติ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กด้านสติปัญญา ความจำ และการเคลื่อนไหว เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวช วิตกกังวล ซึมเศร้า พฤติกรรมอันธพาล อาจมีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ซุกซนไม่อยู่นิ่ง สมาธิสั้น เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อตัวเด็กในการใช้ชีวิตในสังคม
       
       “ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเร่งให้ข้อมูลความรู้เรื่องยาดองเหล้าให้ประชาชนและรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันผลกระทบที่กล่าวมา โดยใช้พลัง อสม. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพิ่มการให้ความรู้เรื่องสมุนไพร ยาสมุนไพร เพื่อสร้างการยอมรับ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนใช้ยาสมุนไพร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 14 ของยาที่ใช้ทั้งหมด” รมช.สาธารณสุขกล่าว
       
       ด้าน นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สมุนไพรที่ใช้ดองเหล้าส่วนใหญ่จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เจริญอาหาร บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย เช่น สมุนไพรจะค้าน (สะค้าน) มีสรรพคุณเป็นยาธาตุ ฝางใช้บำรุงโลหิต แก้ปอดพิการ ขับเสมหะและระดู สมุนไพรปิดปิวแดงใช้ขับประจำเดือน กระจายลม บำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุไฟ สมุนไพรกำลังเสือโคร่งใช้บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย มะเขือแจ้เครือใช้ทั้งต้นต้มหรือดองเหล้าเป็นยาแก้ปวดหลังหรือบั้นเอว สมุนไพรรางแดงแก้กระษัย แก้เส้นเอ็นตึง ผสมยาเจริญอาหารและเป็นยาอายุวัฒนะพริกไทยช่วยขับลม บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร เถาฮ่อสะพายควายใช้ดองเหล้า บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย สมุนไพรแส้ม้าทะลายโรงใช้เถาดองเหล้าดื่มแก้ปวดหลังปวดเอว
       
       “ยาดองเหล้าโดยทั่วไป มักใช้ส่วนต่างๆ ของพืชสมุนไพรได้แก่ ราก ลำต้น เถา หรือแก่น มาสับเป็นชิ้นเล็กๆให้ได้ปริมาณตามที่ต้องการ แล้วนำไปแช่ในเหล้า ปริมาณยาของแต่ละสูตรจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ประสบการณ์ของหมอยา บางคนใช้สมุนไพรเพียงชนิดเดียว หรือบางคนใช้หลายๆ ชนิดปรุงรวมกันเป็นยาดอง โดยใช้เหล้าเป็นตัวทำละลายและดึงเอาตัวยาออกมาจากสมุนไพร ยาดองเหล้าทุกสูตรควรรับประทานเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพียงวันละ 2 ครั้งคือ ก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละประมาณ 30 ซีซี หรือ 1 ถ้วยตะไลเท่านั้นไม่ควรดื่มต่อเนื่องทุกวันเพราะอาจทำให้กลายเป็นโรคติดสุราเรื้อรังได้” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
       
       นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า สมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย บำรุงกำหนัด เช่น โด่ไม่รู้ล้มใช้แก้เหน็บชา บำรุงหัวใจ บำรุงกำหนัด ขับน้ำเหลืองเสียใช้เป็นยาบำรุงหลังคลอดได้ มะเขือแจ้ป่าเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด เป็นต้น แต่ในทางการค้าผู้ขายยาดองเหล้ามักจะตั้งชื่อยาดองเหล้าให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดว่า เป็นยาบำรุงกำลังทางเพศเพิ่มความแข็งแรง เช่น กระโดดกำแพง สาวน้อยตกเตียง กำลังเสือโคร่ง และเฒ่าชูงวง เป็นต้น ทั้งที่สมุนไพรดังกล่าวมีสรรพคุณแค่ใช้บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ บำรุงเลือด คลายเส้นเอ็นแก้ปวดเมื่อยเท่านั้น



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2013, 07:59:12 pm
ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก

-http://campus.sanook.com/1369994/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3...%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/273/1369994/3333333333.jpg)

ยี่หร่าดำ...เม็ดเล็กๆ ประโยชน์ไม่เล็ก อยากสมองดี ความจำดี สุดยอดอาหารชนิดใหม่ล่าสุดอย่าง "ยี่หร่าดำ (Black Cumin)" ช่วยคุณได้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชพฤกษศาสตร์วิทยา ชี้ว่าการกินแคปซูลบรรจุยี่หร่าดำป่นขนาด 500 มิลลิกรัม 2 แคปซูลทุกเย็นเป็นเวลา 9 สัปดาห์ จะช่วยให้ความสามารถในการจดจำ สมาธิ และการเรียนรู้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและป้องกันระบบประสาทในเครื่องเทศชนิดนี้มีผลต่อการกระตุ้นสมอง และยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น ช่วยยับยั้งการเสื่อมของสารสื่อประสาทได้อีกด้วย

ขอบคุณภาพประกอบจาก superhumanfoods.org
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2013, 07:22:36 pm
เทียนขาว - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200604/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/485464.jpg)

ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ
วันอังคาร 10 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

เมื่อใช้เป็นเครื่องยาเรียกเทียนขาว เมื่อใช้เป็นเครื่องเทศเรียก ยี่หร่า...ใบ ใช้พอกแผลสด ห้ามเลือด แก้เล็บขบ เล็บเป็นแผลเจ็บ หรือ หนอง ฝี แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก แผลบวมฟกช้ำ ผิวหนังอักเสบ และใช้แก้เจ็บคอ ใบสด หรือ ใบแห้ง ใช้ต้มเอาแต่น้ำอมบ้วนปากและคอ แก้เจ็บคอ ขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ รักษาตาเจ็บ แก้สะอึก สมานบาดแผล แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด แก้เจ็บคอ รักษากามโรค แก้ปวดท้อง แก้ผิวหนังอักเสบตำรายาไทยใช้ใบสดแก้เล็บขบหรือเป็นหนอง โดยตำพอกหรือตำกับเหง้าขมิ้นชัน เติมเกลือเล็กน้อยพอก มีรายงานระบุว่าสามารถฆ่าเชื้อหนองและเชื้อราอันเป็นสาเหตุของโรคกลาก วงการเครื่องสำอางใช้ผงใบเทียนกิ่งแห้งเป็นยาย้อมผมให้เป็นสีน้ำตาลแดงหรือแดงปนส้ม และช่วยป้องกันผมจากแสงแดดด้วย สารออกฤทธิ์คือ lawsone ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัย ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และก่อมะเร็ง (ข้อมูลจากฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน).

------------------------------------------------------------------------------------

บุนนาค - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/200378/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/484768.jpg)

บุนนาค แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน
วันจันทร์ 9 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

บุนนาคขึ้นทั่วไปในป่าดิบทางภาคเหนือและภาคใต้ ที่ระดับน้ำทะเล จนถึง 700 เมตร ราก แก้ลมในลำไส้ กระพี้ ขับเสมหะในลำคอ ไม้เหนียวแข็ง ทนทาน ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ก่อสร้าง ต่อเรือ ทำพานท้าย และรางปืน และด้ามร่ม ใบ พอกแผลสด ดอก ใช้ผสมสี เพื่อช่วยให้สีติดคงทน เมล็ด กลั่นน้ำมันใช้จุดตะเกียง และทำเครื่องสำอาง (ข้อมูลจากองค์การสวนพฤกษศาสตร์).






หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2013, 04:25:26 am
ทับทิมผลไม้เพื่อผิวสวย...สุขภาพดี

-http://campus.sanook.com/1370358/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2...%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5/-


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370358/beauty.jpg)


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370358/3423e118c2bfd23c5049c11141ad1bcb.jpg)


แม้ริ้วรอยความเสื่อมแห่งวัยจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา หากเลี่ยงได้ หลายๆ คนคงไม่ขอเจอะเจอ ดังนั้นผู้ที่รักสุขภาพและความสวยความงามจึงพยายามสรรหาหนทางแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ นานาให้กับตัวเอง เพื่อหยุดหรือชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ผิว ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้ศาสตร์แห่งการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จึงเป็นศาสตร์ที่ได้รับ ความสนใจจากคนทั่วทุกมุมโลก และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

อันที่จริงการต้านความเสื่อมและชะลอวัยไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนอื่นจะต้องรู้จักกำจัดและลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกายให้ได้เสียก่อน เพราะอนุมูลอิสระถือเป็นวายร้ายที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพกายรวมทั้งผิวพรรณของเราให้เสื่อมถอยลง และเกิดโรคต่างๆ ซึ่งเจ้าอนุมูลอิสระนี้จะเกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลาจากกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายในขณะที่เราหายใจ เคลื่อนไหว และประกอบกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งช่วงที่เรานอนหลับ โดยร่างกายจะมีกลไกการกำจัดอนุมูลอิสระได้เองเช่นกัน แต่ในภาวะที่มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากๆ เช่น ความเครียด มลภาวะ แสงแดด อาหารปิ้ง ทอด ย่าง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากจนร่างกายอาจจะกำจัดไม่ทัน หากปล่อยไว้นานวันอาจจะก่อให้เกิด โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง หรือ แม้กระทั่งทำให้เราแก่ก่อนวัยได้ ซึ่งหากเราหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระได้มากเท่าไหร่ ความอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราได้นานมากขึ้นเท่านั้น

จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารอาหารส่วนใหญ่มีความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพผิวพรรณ อย่างมาก ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สารอาหารที่ผิวหนังต้องการ ได้แก่ กรดอะมิโน กรดไขมันจำเป็นต่างๆ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้จากอาหารหลัก 5 หมู่ที่เราสามารถเลือกรับประทาน ในชีวิตประจำวันนั่นเอง สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิว ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีนหรือแคโรทีนอยด์ สังกะสี และซีลีเนียม สารดังกล่าวเหล่านี้ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะต้องใส่ใจเรื่อง การรับประทานอาหารให้หลากหลายมีคุณภาพ ปริมาณแคลลอรี่ต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น. เลี่ยง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปล่อยวางความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้ เพียงพอ ก็จะช่วยให้ผิวพรรณและความอ่อนเยาว์ อยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2013, 04:34:46 am
กาแฟขี้ช้าง Black Ivory Coffee
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87_Black_Ivory_Coffee/-

(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_274146__03122013015616.jpg)

“กาแฟขี้ช้างไทย หรือ Black Ivory Coffee”
            เป็นกาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลกขณะนี้มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ 34,000 บาท  ราคาแก้วละ 1,200 บาท  ซึ่งทำลายสถิติกาแฟที่เคยแพงที่สุดในโลกอย่างกาแฟขี้ชะมด หรือ Kopi Luwak จากประเทศอินโดนีเซียที่กิโลกรัมละประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ  16,000-17,000 บาท และผู้ที่สร้างกาแฟขี้ช้างขึ้นมาคือ  Mr.Blake Dinkin เป็นชาวแคนาดาผู้หลงเสน่ห์ช้างไทย  คุณเบล็คเคยทดลองทำกาแฟขี้ชะมดและได้หันมาลองทำกาแฟขี้ช้างดูบ้าง  ซึ่งขั้นตอนการผลิตกาแฟขี้ช้างคือ  เริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่สุกกำลังดีสายพันธ์อาราบิก้าที่ปลูกบนความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลมาให้ช้างกิน  เมื่อช้างกินเมล็ดกาแฟเข้าไปแล้วกระบวนการย่อยอาหารของช้างจะทำหน้าที่ย่อยเมล็ดกาแฟ  จากนั้นควาญช้างจะต้องคอยสังเกตเมื่อช้างขับถ่ายมูลออกมาควาญช้างจะตามเก็บเมล็ดกาแฟที่ย่อยไม่หมดในมูลช้างออกมาล้างทำความสะอาดและตากแดด  รวมทั้งผ่านขั้นตอนการผลิตจนคั่วออกมาเป็นเมล็ดกาแฟสำหรับให้คนบริโภค  โดยต้องให้ช้างกินเมล็ดกาแฟสดประมาณ 33 กิโลกรัมจึงจะได้กาแฟให้คุณบริโภค 1 กิโลกรัม
            ทำให้กาแฟชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงรวมทั้งเป็นกาแฟที่มีเสน่ห์พิเศษซึ่งแตกต่างจากกาแฟที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป และสาเหตุที่คุณเบล็คเลือกช้างเพราะ.. ช้างเป็นสัตว์มังสวิรัติที่กินอาหารสะอาด กินพืชและผลไม้เป็นอาหาร  ช้างเป็นสัตว์ที่มีกระเพาะเดียวจึงมีกระบวนการย่อยอาหารที่ไม่ซับซ้อน เอนไซม์ในกระบวนการย่อยอาหารของช้างมีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนบางส่วนในเมล็ดกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟที่ถูกย่อยผ่านกระเพาะอาหารของช้างออกมามีความขมจากโปรตีนที่น้อยลง และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความอร่อยนุ่มนวลเวลาดื่มจะให้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้นไม่แพ้กาแฟชั้นดีชนิดใดในโลก
               ซึ่งกาแฟขี้ช้างในชื่อ “กาแฟแบล็คไอวอรี่” (Black Ivory Coffee) นี้ในหนึ่งปีสามารถผลิตออกมาได้เพียง 200 กิโลกรัมเท่านั้น  โดยในช่วงแรกนั้นคุณเบล็คได้เปิดให้คอกาแฟสามารถเดินทางไปชิมรสชาติความอร่อยของกาแฟแบล็คไอวอรี่ได้ที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดเชียงรายเท่านั้น  แต่ตอนนี้คุณสามารถไปลิ้มลองรสชาติกาแฟขี้ช้างสายพันธุ์ไทยได้ตามโรงแรมสุดหรูหลายแห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด  โดยสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของ blackivorycoffee.com

ข้อมูลและรูปภาพจาก : Bloggang
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2013, 07:32:36 pm
“เคพกูสเบอร์รี่” อร่อยดี วิตามินสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ธันวาคม 2556 16:49 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153108-

  ในบรรดาเบอร์รี่ต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันนั้นก็น่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เป็นต้น แต่ยังมีไม้ผล หรือผลไม้ที่มีชื่อต่อท้ายว่าเบอร์รี่ที่กำลังเริ่มเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือ “เคพกูสเบอร์รี่”
       
       เดิมนั้นเคพกูสเบอร์รี่มีชื่อภาษาไทยว่า โทงเทงฝรั่ง ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น ระฆังทอง โดยเป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล และอยู่ในตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ และพิทูเนีย
       
       หน้าตาของเคพกูสเบอร์รี่จะเป็นผลกลมๆ เล็กๆ ขนาดประมาณลูกพุทรา เมื่อสุกแล้วจะมีเขียวอมเหลือง หรือเหลืองอมส้ม แต่ผลของเคพกูสเบอร์รี่จะถูกหุ้มด้วยกลีบเลี้ยงบางๆ เมื่อผลด้านในสุกแล้ว กลีบเลี้ยงก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ เหมือนฟางข้าว
       
       หากผ่าเข้าไปดูเนื้อด้านในผลสุก จะเห็นเป็นสีเหลืองสวย ฉ่ำ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอม เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เป็นไม้ผลที่เหมาะกับการกินผลสด หรืออาจจะนำไปชุบช็อกโกแลตเป็นฟองดูว์ หรือใส่ผสมในสลัด หรืออาจจะนำไปทำเป็นแยมแคพกูสเบอร์รี่ก็ได้


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2013, 08:11:55 pm
ลองกองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ลดอาการร้อนในช่องปาก

วันศุกร์ 13 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/201310/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/487255.jpg)

ลองกองเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดน้อยหรืออาจจะไม่มีเมล็ดเลย ใบมีสีเขียวเข้ม มีร่องใบลึก ผลสุกมีเนื้อในเป็นแก้ว เนื้อแห้ง หวานและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน เปลือกหนามีสีเหลืองคล้ำและไม่มียาง ส่วนลองกองน้ำ ผลสุกจะมีเนื้อค่อนข้างฉ่ำน้ำ สีเปลือกเหลืองสว่างกว่าลองกองปาลาแมหรือลองกองแปร์แมร์ ผลสุกจะมีเนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอมเหมือนลองกองน้ำ เปลือกบางและมียางบ้าง  ลองกองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ลดอาการร้อนในช่องปาก.

-------------------------------------------------------------------



นอกจากต้องให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอแล้วยังต้องอาศัยเทคนิคในการดูแล เพื่อให้ถั่วฝักยาวฝักดก

วันพฤหัสบดี 12 ธันวาคม 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/201083/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x385/cover/486629.jpg)

ถั่วฝักยาวมีอายุการเก็บเกี่ยวเฉลี่ย 35 วัน ตั้งแต่เริ่มปลูก การปลูกถั่วฝักยาวให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้น นอกจากต้องให้น้ำและปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอแล้วยังต้องอาศัยเทคนิคในการดูแล เพื่อให้ถั่วฝักยาวฝักดก เมื่อถั่วฝักยาวเริ่มงอกและแตกใบเป็นลำต้นจะมีการแตกยอดและแขนง ยอดหลักจะขึ้นสูงตามค้าง ในช่วงที่ยอดเริ่มขึ้นค้างสูงประมาณ 1 เมตร ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 20 วันหลังปลูก ให้เด็ดปลายยอดออก 2 คู่ใบหรือประมาณ 1 คืบ จากนั้นยอดจะเริ่มแตกออกอีกประมาณ 3-5 ยอดตรงบริเวณข้อที่เด็ดยอด ดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยตามปกติไม่เกิน 15 วันยอดที่แตกแขนงออกจะเริ่มให้ดอกและให้ผลผลิตถั่วฝักยาวที่มีฝักดกกว่าต้นถั่วฝักยาวที่ไม่ได้ทำการเด็ดยอด นอกจากนั้นยังทำให้ต้นถั่วฝักยาวเป็นพุ่มและไม่สูงจนเกินไปจึงง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 14, 2013, 08:54:28 am
อาหารทะเลทำพิษ!!ทำไงดี?

-http://campus.sanook.com/1370386/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5/-

แต่ก่อนไม่แพ้อาหารทะเล แต่ช่วงนี้รู้สึกว่ากินของทะเลหลายอย่างพร้อมกันแล้วมีอาการคัน เป็นผื่นที่ผิวหนังบางครั้ง จะทำให้แพ้ของทะเลไปตลอดมั้ยคะ??

การแพ้อาหารเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิด E (Immunoglobulin E) มากกว่าปกติทำให้เซลล์บางชนิดในร่างกายปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น ฮิสตามีน (Histamine) จึงเกิดอาการคัน เป็นผื่น บางรายอาการอาจจะรุนแรง เช่นเกิดลมพิษทั้งตัว หลอดลมตีบ หรือช็อกได้ โดยสารอาหารที่แพ้จะไปกระตุ้นร่างกายทีละน้อย ในระยะแรกจึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดอาการจนสังเกตได้

ถ้าอาการแพ้ไม่มากนักอาจรับประทานยาแก้แพ้ (ยาต้านฮีสตามีน) ซึ่งมีหลายชนิด เช่น คลอเฟนิรามีน ไฮดร็อกไซซีน ซึ่งหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป หากเป็นมากหรือเป็นๆ หายๆ ควรไปตรวจหาสาเหตุที่แพ้ด้วยการทดสอบผิวหนัง หรือการตรวจทางโลหิตวิทยา หลังจากทราบสาเหตุชนิดของอาหารที่แพ้แล้วควรงดอาหารทะเลอย่างน้อย 3-5 ปี ซึ่งในบางรายก็อาจหายเองได้ แต่ในรายที่แพ้รุนแรงควรให้แพทย์ดูแลใกล้ชิด


-http://lisaguru.com/-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 15, 2013, 07:51:47 am
ไข่เป็ด ไข่ไก่ ประโยชน์ที่แตกต่าง

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94_%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_274232__09122013102040.jpg)


            ไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากัน ดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง
สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด 
        พลังงาน ( แคลอรี )         169      180
        ไขมัน ( กรัม )                11.9     12.6
        คาร์โบไฮเดรต ( กรัม )     1.7       4.1
        โปรตีน ( กรัม )               12.7     11.7
        แคลเซี่ยม ( มิลลิกรัม )     76.0     71.0
        เหล็ก ( มิลลิกรัม )           3.5       2.8
        วิตามิน บี 1 ( มิลลิกรัม )   0.08     0.27
        วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม )    0.48     0.56
       วิตามิน บี 5 (มิลลิกรัม )     0.1       0.1

          คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2
         
         หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร



รูปภาพจาก : thaiahpa
ข้อมูลจาก : http://tankmo.com/ (http://tankmo.com/)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 16, 2013, 05:51:03 am
โคล่าทำความสะอาดบ้านได้นะ

-http://campus.sanook.com/1370385/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B0/-

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370385/00000000000000000000000000000.jpg)


ยาสีฟัน ช่วยทำความสะอาดรองเท้าหนังและรองเท้ากีฬาได้ เมื่อเกิดคราบสกปรกให้ป้ายยาสีฟันลงบนคราบ ขัดแรงๆ ด้วยผ้าแห้งแล้วเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยผ้าชุบน้ำชื้นๆ แค่นี้รองเท้าก็สะอาดและเงาวาวแล้ว

โคล่า คราบอาหารไหม้ติดก้นหม้อเป็นอะไรที่น่าเบื่อและกินแรงในการขัดออกสุดๆหากอาหารไหม้ติดก้นภาชนะ รีบเทโคล่าลงไปเมื่อหม้อหรือกระทะยังอุ่นๆ ตั้งเตาอีกครั้ง เปิดไฟอ่อนๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมง กรดในโคล่าจะจัดการกับรอยไหม้และคราบอาหารติดค้างเหล่านั้นให้คุณขัดออกได้ง่ายๆ เมื่อตั้งไฟเสร็จแล้วก็นำไปขัดคราบออกและล้างตามปกติได้เลย

ยาล้างฟันปลอม ที่เป็นเม็ดฟองฟู่ ช่วยล้างโคมแขวนที่เขรอะไปด้วยฝุ่นเป็นเวลานานให้กลับมาสะอาดเอี่ยม เริ่มจากเตรียมถังขนาดพอดีกับโคมไฟใส่เม็ดยาล้างฟันปลอมลงไปจำนวนหนึ่ง เติมน้ำอุ่นแล้วแช่แก้วครอบโคมไฟลงไป ทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด และยังใช้แช่ทำความสะอาดเครื่องประดับ เช่น เพชร ลูกปัดหิน และสร้อยโลหะได้อีกด้วย

มายองเนส ลบรอยด่างบนโต๊ะไม้ได้ แค่ป้ายมายองเนสลงบนรอยด่าง โปะทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกไป


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 20, 2013, 05:55:44 am
“วิปครีม-วิปปิ้งครีม” อะไรเป็นอะไรกันแน่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ธันวาคม 2556 18:19 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155699-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016283401.JPEG)
วิปครีมที่ตกแต่งอยู่ในเมนูเบเกอรี่


       ใครที่ชอบกินไอศกรีม หรือขนมหวาน เบเกอรี่ต่างๆ คงจะคุ้นเคยกันดีกับก้อนครีมสีขาวๆ ที่ตีมาขึ้นฟู เพื่อแต่งหน้าขนมหรือไอศกรีมให้สวยงามขึ้น พร้อมกับช่วยให้มีรสชาติความหอมมันกินแล้วเพลิดเพลินมากขึ้นไปอีก
       
       ซึ่งคำที่ใช้เรียกเจ้าก้อนขาวๆ นี้ บางคนก็เรียก “วิปครีม” บางคนก็เรียก “วิปปิ้งครีม”
       
       ที่จริงแล้วเขาเรียกกันว่าอะไร แล้วสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร “108 เคล็ดกิน” จะมากระซิบตอบให้
       
       อย่างแรกเลย เรามารู้จักกันก่อนว่าเจ้าสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เริ่มจาก “วิปปิ้งครีม” เป็นของเหลวสีขาวๆ รสชาติจืดๆ มันๆ ซึ่งจะใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร หรือในการทำขนมต่างๆ โดยวิปปิ้งครีม ในท้องตลาดบ้านเราจะมีวางขายอยู่ 3 ประเภท คือ วิปปิ้งครีมสดพาสเจอไรซ์ วิปปิ้งครีมแบบยูเอชที และวิปปิ้งครีมแบบผง
       
       ส่วน “วิปครีม” ก็คือการนำวิปปิ้งครีมมาเปลี่ยนสถานะโดยการตีให้ขึ้นฟู ตีจากของเหลวกลายเป็นครีมข้นๆ จนกระทั่งเนื้อครีมสามารถตั้งตัวขึ้นมาได้ นอกจากจะตีจากวิปปิ้งครีมเปล่าๆ แล้ว ก็อาจจะใส่น้ำตาล ใส่กลิ่นวนิลาเพิ่มเข้าไปด้วยให้มีรสชาติหวานและมีกลิ่นหอม เพื่อนำมาแต่งหน้าเค้ก หรือทำเป็นไส้เค้กโรล
       
       มีความรู้กันแล้ว ครั้งหน้าถ้าจะไปซื้อของหรือซื้อขนมเบเกอรี่ต่างๆ จะได้เรียกชื่อถูกว่า ที่ต้องการจริงๆ แล้วคือ “วิปปิ้งครีม” หรือ “วิปครีม” กันแน่



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 24, 2013, 01:26:43 am
ชู “ใบบัวบก” ยาอายุวัฒนะ ช่วยรู้สึกเป็นหนุ่ม!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2556 16:24 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000157273-


 กรมแพทย์แผนไทยแนะให้ยาสมุนไพรเป็นของขวัญปีใหม่ ชูตำรับยาอายุวัฒนะ 5 กลุ่ม ชู “ใบบัวบก” ช่วยให้สดชื่น รู้สึกเป็นหนุ่ม ตำรับยาเบญจกุลช่วยปรับธาตุในร่างกาย เห็ดหลินจือช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016444501.JPEG)
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


       วันนี้ (23 ธ.ค.) นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเปิดโครงการทำดีเพื่อพ่อ ตามรอยวิถีชีวิตพอเพียงกับกิจกรรมตลาดนัดสมุนไพร ว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำแนวทางพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ให้เป็นรูปธรรม โดยชูเรื่องการใช้ยาสมุนไพรใกล้ตัวที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ และเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ 2557 จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้หันมาดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร พร้อมให้กระเช้าของขวัญเป็นยาสมุนไพรต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการปรับสมดุล และช่วยให้ร่างกายต้านโรคภัยไข้เจ็บ เรียกว่าเป็นตำรับยาอายุวัฒนะ
       
       นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ตำรับยาอายุวัฒนะที่ช่วยให้สุขภาพดี อายุยืน มีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่กรมฯอยากแนะนำ คือ 1.ตำรับตรีผลา ประกอบด้วย มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ช่วยบำรุงร่างกาย เจริญอาหาร ขับน้ำเหลืองเสีย ฯลฯ 2.ตำรับยาเบญจกุล ประกอบด้วย เหง้าขิง รากเจตมูลเพลิง ดีปลี รากช้าพลู และเถาสะค้าน ช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เสริมภูมิคุ้มกัน เจริญอาหารได้ดี เป็นยาอายุวัฒนะ 3.บัวบก ช่วยให้สดชื่น รู้สึกเป็นหนุ่ม ให้ความชุ่มชื่นระดับเซลล์ ให้เซลล์อ่อนวัย 4.เห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูอวัยวะ สร้างภูมิคุ้มกันกับร่างกาย และ 5.ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ช่วย บรรเทาอาการหวัด และเสริมภูมิต้านทานดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะในคนที่เป็นหวัดบ่อยๆ ร้อนในบ่อยๆ เนื่องจากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เป็นหวัดง่าย
       
       “สมุนไพรทั้ง 5 กลุ่ม มีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายอบอุ่นในหน้าหนาวได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีในช่วงอากาศหนาวเย็นให้รับประทานพืชผักที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขิง ใบกะเพรา กระชายก็ช่วยได้ แต่การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว มีสุขอนามัยที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่การรับประทาน แต่ต้องมีปัจจัยอื่นๆ เรียกว่า 3 อ.คือ อาหาร ต้องรับประทานครบห้าหมู่ เลือกพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทางการแพทย์แผนไทยมีฤาษีดัดตน โดยพิสูจน์ไปทั่วโลกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรงจริง และอารมณ์ ต้องรู้จักปรับอารมณ์ให้นิ่ง อย่าโกรธง่าย โดยอาจหัดนั่งสมาธิปรับอารมณ์ให้เย็นและนิ่ง หากทำได้ทั้งหมด อายุวัฒนะก็ไม่ไกลเกิน” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตลาดนัดสมุนไพรที่จัดขึ้นภายในบริเวณอาคารกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ มีขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2556 เวลา 10.00-17.00 น.โดยภายในงานเป็นการรวมตัวกันของภาคีเครือข่ายผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีการออกร้านจำหน่ายสมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน อาหารสุขภาพมากมาย อีกทั้ง ยังมีบูธกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนหันมาให้ของขวัญปีใหม่เป็นกระเช้าสมุนไพร 6 กลุ่ม คือ กระเช้าอายุวัฒนะ กระเช้าสาวพันปี กระเช้าชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพ กระเช้าไม้สมุนไพรนานาพันธุ์ กระเช้าน้ำสมุนไพร และกระเช้าสมุนไพรป้องกันโรคเรื้อรัง เป็นต้น


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2013, 10:13:53 am
อาหาร "ช่วยคลายหนาว"

-http://campus.sanook.com/1370443/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-

ช่วงอากาศหนาวร่างกายโหยหาความอบอุ่นเสื้อผ้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและอีกอย่างที่สำคัญเช่นกันคือการดูแลสุขภาพการกินอาหารก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้ยามหนาวได้ นั่นคือการเลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงาน เช่น แป้ง ข้าว อาหารที่มีไขมัน เป็นต้น แต่หากกินอาหารที่ให้พลังงานสูง และไม่ออกกำลังกายอาจส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

ดังนั้นการกินอาหารในช่วงอากาศหนาวคนโบราณและแพทย์แผนไทยแนะนำให้กิน เช่น น้ำขิง ,บัวลอยงาดำในน้ำขิง หมี่เย็น หมี่หวาน ข้าวมันไก่ เป็นต้น หากเป็นผักสมุนไพร โดยเฉพาะพวกขี้เหล็ก ดอกแค สะเดา ซึ่งเป็นพืชผักที่ขึ้นในฤดูหนาว สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นแกงส้ม แกงสะเดา ก็จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้


นอกจากนี้ยังมีผักสมุนไพรอาหารทั่วๆ ไป ที่กินได้ทังวัน และช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ได้แก่ ผักชี, อบเชย, ข้าวเจ้า, ข้าวเหนียว, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ขิงสด, พริกไทย, พริกหอม, เทียนสัตตบุษย์, ต้นหอม, ขึ้นไช่, ผักกวางตุ้ง, กุยไช่, เผือก, งา, ลิ้นจี่, เนยใสผสมน้ำผึ้ง, เนื้อวัว, เนื้อแพะ, เขากวางอ่อน, โสม, ดีปลี

และผลไม้ในช่วงหน้าหนาวนี้ คือสับปะรด แต่ไม่ควรกินมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงควรเลือกกินครั้งละ 6-8 คำ

**สิ่งสำคัญอีกประการคือการเลือกกินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และสดใหม่**


-----------------------------------------------------------


แบบว่า กินไม่ได้ แต่ขออนุญาตลงครับ


--------------------------------------

ออกกำลังกายสมอง แก้ปัญหาคิดช้า มึนงง หลงๆ ลืมๆ

-http://campus.sanook.com/1370441/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%A1%E0%B8%B6%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%86/-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=761.0;attach=2283;image)

1.ท่าบริหารปุ่มสมอง นวดไหปลาร้า 30วินาที เป็นการกระตุ้นให้เลือกไปเลี้ยงสมองได้ดี

2.ท่าบริหารปุ่มขมับ ใช้นิ้วนวดขมับเบาๆ 30วินาที เพื่อให้สมองสองซีกทำงานสมดุลกัน

3.ท่าบริหารท่าจีบ L มือหนึ่งจีบ อีกมือหนึ่งทำเป็นรูป L ทำสลับไปมา 10ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานที่สัมพันธ์ของมือกับตา


--------------------------------------

ระวัง! 7 ข้อห้ามการอบสมุนไพร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2556 07:21 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000159445-

 การอบสมุนไพรเป็นวิธีการบำบัดรักษา และส่งเสริมสุขภาพตามหลักของการแพทย์ไทยด้วยสมุนไทยๆที่หาได้ตามท้องถิ่น โดยใช้การอบสมุนไพรนั้นมีประมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย ช่วยทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากขึ้น ขยายรูขุมขน ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น ช่วยละลายเสมหะ ลดอาการอักเสบและบวมที่เหยื่อบุทางเดินหายใจตอนบน ลดการระคายเคืองในลำคอ อีกทั้งเมื่ออบแล้วจะทำให้รู้สึกสบายตัว ลดอาการปวดศีรษะด้วย
ลักษณะสมุนไพรที่ใช้ในการในการอบนั้น แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
       กลุ่มที่ 1 สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กลุ่มนี้มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยรักษาโรคต่างๆ เช่นโรคผิวหนัง ปวดเมื่อย หวัดคัดจมูก ตัวอย่างสมุนไพรเช่น ไพล ขมิ้นชัน
       กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว กลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆซึ่งจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรก และเพื่อมความต้านทานโรคให้กับผิวหนัง ตัวอย่างเช่น ใบมะขาม ใบและฝักส้มป่อย
       กลุ่มที่ 3 เป็นสารประกอบที่ระเหิดได้เมื่อถูกความร้อนและมีกลิ่นหอม เช่นการบูร พิมเสน
       กลุ่มที่ 4 สมุนไพรที่ใช้รักษาเฉพาะโรค เช่นรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน จะต้องใช่เหงือกปลาหมอเป็นต้น
        อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะอบสมุนไพร เราทำความรู้จักสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละตัวกันก่อนสักเล็กน้อย เพื่อที่เราจะเลือกสมุนไพรมาอบให้ถูกกับความต้องการ เช่น "ไพล" แก้อาการปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว "ขมิ้นชัน" แก้โรคผิวหนังสมานแผล "กระชาย" แก้ปากเปื่อย ปากแตกเป็นแผล ใจสั่น "ตะไคร้" ดับกลิ่นคาว บำรุงธาตุไฟ "ใบมะขาม" แก่อาการคันตามร่างกาย "ใบเปล้าใหญ่" ช่วยถอนผิดสำแดง บำรุงผิวพรรณ "ใบ-ลูกมะกรูด" แก้ลมวิงเวียน ช่วยระบบทางเดินหายใจ "ใบหนาด" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ใบส้มป่อย" แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย "ว่านน้ำ" ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ "พิมเสน การบูร" บำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง "เหงือกปลาหมอ" แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย "ชะลูด" แก้ร้อนในกระสับกระส่าย ดีพิการ "กระวาน" แก้เจ็บตา ตาแฉะ ตามัว และ "เกษรทั้ง 5" ช่วยระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
       
        ทั้งนี้ โรคทุกไม่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้หมด แต่โรคและอาการที่เหมาะแก่การรักษาด้วยการอบสมุนไพร ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ในระยะอาการที่ไม่รุนแรง เป็นหวัด น้ำมูกไหล โรคที่ไม่ได้เป็นการเจ็บเฉพาะที่ หรือเป็นเฉพาะที่มีหลายตำแหน่ง เช่นอำมพาต ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือาการบางอย่าง เช่น ยอก โรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจจะต้องใช้การอบสมุนไพรร่วมกับการรักษาอื่นๆตามความเหมาะสม อย่างเช่น หัตเวชกรรม ประคบสมุนไพร นอกจากนี้การอบสมุนไพรยังช่วยในเรื่องของสุขภาพแม่หลังคลอดบุตรด้วย
        แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การอบสมุนไพรยังมีข้อควรระวังอยู่ โดยข้อห้ามสำหรับการอบสมุนไพร มีทั้งหมด 7 ข้อ คือ
       1.ไม่ควรทำการอบสมุนไพรขณะมีไข้สูง(มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะอาจมีการติดเชื้อ
       2.ผู้ที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
       3.มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง ในรายที่มีความดันโลหิตสูง 180 มิลลิเมตรปรอท สามารถอบได้ตามดุลยพินิจของแพทย์แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างไกล้ชิด
       4.ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ร่วมกับมีอาการไข้ร่วมด้วย
       5.มีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ
       6.อ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ
       และ 7.ปวดศระษะชนิดรุนแรง คลื่นใส้
        หากคุณผ่านฉลุยสำหรับข้อห้ามในการอบสมุนไพร ก็ลงมืออบสมุนไพรได้เลย ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. อาบน้ำ เพื่อชำระสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ตามรูขุมขน และเพื่อเป็นการเตรียมเส้นเลือดให้พร้อมต่อการยืดขยายและหดตัว แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น 2.เข้าอบตัวในห้องสมุนไพรที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 42-45 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการอบ 30 นาที โดยอบสองครั้ง ครั้งละ 15 นาที และออกมาพัก 3-5 นาทีพร้อมทั้งดื่มน้ำทดแทนแต่ไม่ควรเป็นน้ำเย็นจัด สำหรับบุคคลที่ไม่เคยอบควรจะให้อบ ครั้งละ 10 นาที 3 ครั้ง และ 3.หลังการอบสมุนไพรแล้วไม่ควรอาบน้ำทันทีให้นั่งพัก 3-5 นาทีหรือจนเหงื่อแห้งแล้งจึงอาบน้ำอีกครั้งเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลและสมุนไพร และช่วยให้เส้นเลือกหดตัวลงเป็นปกติ เท่านี้คุณก็สามารถอบสมุนไพรได้อย่างปลอดภัย ช่วยให้ร่างกายสบาย ได้รับสรรพคุณต่างๆ จากสมุนไพรอย่างเต็มที่


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2013, 11:12:27 am
เค้ก-คุกกี้ปีใหม่ กินเพลินไม่ยั้ง ระวังพุงมาไม่รู้ตัว

-http://health.kapook.com/view78819.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Dessert/Sweet/Cookies/cookies.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ช่วงเดือนแห่งการเฉลิมฉลองอย่างนี้ หลายที่มีการจัดเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขณะที่หลายคนก็มักจะได้รับขนมเค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลตจากคนรู้จักมาเป็นของขวัญ แต่ทว่าถ้าเผลอกินเพลินจนหมดทั้งกล่อง เพราะพ่ายแพ้ความอร่อยล่ะก็ รับรองว่าหลังจากนี้คำว่า "อ้วนลงพุง" มาเคาะประตูเรียกแน่นอน

          งานนี้ กระปุกดอทคอมเลยขอนำข้อมูลจากกรมอนามัยที่ได้แนะนำวิธีการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลให้ได้คุณค่าทางโภชนาการและไม่เสี่ยงลงพุงมาบอกกัน ด้วยเทคนิคดี ๆ แบบนี้เลย

          ควรทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ หรือปรุงด้วยเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลา หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน

          ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ บรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด

          หากจำเป็นต้องปรุงอาหารเลี้ยงคนจำนวนมาก ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่เสี่ยงต่อการเกิดท้องเสียได้ง่าย เช่น ลาบ ยำ พล่าต่าง ๆ หรืออาหารที่ปรุงด้วยกะทิ  ลดรสหวาน มัน เค็ม

          หลีกเลี่ยงการกินขนมหวานประเภทเค้ก คุกกี้ เพราะหากกินในปริมาณที่มากเกินไปติดต่อกันเป็นประจำโดยไม่มีการควบคุม จะทำให้ร่างกายขาดความสมดุลของสารอาหารชนิดต่าง ๆ เพราะร่างกายได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดโรคอ้วนลงพุงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง


เค้ก-คุกกี้ ของอร่อย ๆ แบบนี้กินได้แค่ไหน?

          สำหรับการกินขนมหวาน อย่าง เค้ก คุกกี้ นั้น ช่วงเทศกาลนาน ๆ ทีแบบนี้ก็ไม่ได้มีใครห้ามหรอกนะจ๊ะ แต่ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะส่วนผสมของขนมพวกนี้ทำมาจากแป้ง น้ำตาล เนย ไข่ และไขมัน แถมยังมีรสหวานเสียด้วย ซึ่งจะทำให้เรากินเพลินเกินปริมาณโดยไม่ได้ระมัดระวัง แบบนี้น้ำหนักตัวเพิ่มเอาได้ง่าย ๆ เลยล่ะ

          โดยจากข้อมูลของกรมอนามัย ระบุว่า ขนมเค้ก 1 ชิ้นเล็ก ที่มีขนาด 35 กรัม ให้พลังงานมากถึง 140 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่คุกกี้ 1 ชิ้น ที่มีขนาด 10 กรัม  ให้พลังงานตั้ง 51 กิโลแคลอรี่ ดังนั้น หากกินเค้กติดต่อกัน ในปริมาณ  1 ปอนด์ต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 1,600 กิโลแคลอรี่ ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเค้กอย่างเดียวเกือบเท่ากับที่ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารอื่น ๆ วันละ 1,600-2,000 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว ทำให้เราทานอาหารได้ไม่หลากหลาย

          นอกจากเรื่องน้ำหนักตัวที่ต้องระวังแล้ว เรื่องวันหมดอายุของเค้กก็ต้องคำนึงถึงเช่นกัน เพราะตัวเค้กที่มีส่วนผสมทั้งไข่ เนย แป้ง และน้ำตาล มักเสียง่ายหากเก็บไว้ในที่ร้อนหรือเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ส่วนหน้าเค้กส่วนใหญ่จะทำด้วยไขมันและน้ำตาล แม้ว่าจะเสียยากกว่าตัวเนื้อเค้กแต่หากเก็บไว้นานอาจเหม็นหืนและมีเชื้อราขึ้นได้ จึงควรกินให้หมดทันทีหรือกินตามวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้

          อย่างไรก็ตาม ถ้าเผลอกินเค้ก คุกกี้ หรืออาหารจัดเลี้ยงจนเกินปริมาณไปแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของไขมัน โรคอ้วนลงพุงจะได้ไม่ตามมาเป็นของขวัญปีใหม่ที่ไม่มีใครอยากได้เลย จริงไหมคะ?


------------------------------------------------------------------------------


ไม่ต้องทนอด ! ของอร่อยพวกนี้ ลดความอ้วนก็กินได้

-http://health.kapook.com/view78812.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Eating/Fruit/Apple/applegr_1.jpg)

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Dessert/Sweet/Snack/snack.jpg)
ไม่ต้องทนอด ! ของอร่อยพวกนี้ ลดความอ้วนก็กินได้ (Lisa)

          สำหรับสาว ๆ ที่ชอบกินของว่างระหว่างทำงาน ทั้งคลายเครียดและคลายหิว แต่ยังอยากหุ่นเป๊ะอยากกินแต่ไม่อยากอ้วน Lisa จัดให้

ทำไมต้อง 200 แคลอรี่?

          อาหารว่างเป็นแค่ของกินระหว่างมื้อ ไม่ว่าจะกำลังอยู่ในช่วงไดเอต หรือแค่อยากรักษาน้ำหนักปัจจุบันไว้ พลังงานที่ได้รับจากของว่างก็ไม่ควรเกิน 10% ของพลังงานทั้งหมดซึ่งพอคำนวณออกมาแล้วก็ประมาณ 150-200 แคลอรี่ต่อวันเท่านั้น

ไม่ใช่แค่คลายหิวหรือคลายอยาก

          ป้องกันไม่ให้จัดเต็มกับมื้อใหญ่จนลืมนับแคลอรี่เท่านั้น แต่การกินของว่างมื้อเล็ก ๆ ในเวลา2-4 ชั่วโมงก่อนมื้อหลัก จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเบิร์นมากขึ้นด้วย

200 แคลอรี่…หน้าตาเป็นแบบนี้ !

          แอปเปิล

          แอปเปิล 4 ผล หรือ 385 กรัม หรือจะกินแค่ผลเดียวก็อิ่มสบายท้อง แถมมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ความอยากอาหารก็เลยลดลงอย่างรวดเร็ว

          ข้าวโพด

          ข้าวโพด 1 ฝักเล็ก หรือ 308 กรัม แม้จะมีคาร์โบไฮเดรตมากถึง 72% แต่ข้าวโพดก็มีทั้งเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ และเส้นใยอาหารเพียบ กินแต่พอเหมาะช่วยได้ตั้งแต่บำรุงสายตา หัวใจ ไปจนถึงความงามของผิวพรรณ

          โยเกิร์ตโลว์แฟต

          โยเกิร์ตโลว์แฟต 1 ถ้วยใหญ่ หรือประมาณ 196 กรัม อุดมไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตช่วยเพิ่มสมดุลให้ลำไส้ ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น มีแคลเซียมที่จะไปช่วยเร่งการเบิร์น และโปรตีนก็ยังทำให้อิ่มนานด้วย

          ป๊อปคอร์น

          ป๊อปคอร์น 1 ถุง หรือประมาณ 4 ถ้วยเล็ก ๆ แม้จะไม่ได้ดูเฮลตี้จ๋า แต่ก็มีเส้นใยอาหารสูงและพองจนเต็มท้อง ทำให้อิ่มเร็ว แต่ต้องพยายามเลือกแบบรสธรรมชาติ ไม่หวานและเค็มน้อย แล้วก็อย่าเคี้ยวเพลินจนเกินโควตา

            แคร็กเกอร์

          แคร็กเกอร์ 15 แผ่นหรือ 50 กรัม ถ้าเป็นคนหิวบ่อยและชอบของว่างที่เป็นคาร์โบไฮเดรต ซื้อแคร็กเกอร์โฮลวีทมาติดโต๊ะไว้บ้างก็ได้ แต่อย่าลืมว่ากินได้แค่วันละ 15 แผ่นเท่านั้นนะ

ของว่างพวกนี้ไม่เวิร์ก

          เพราะในปริมาณที่ไม่เกิน 200 แคลอรี่ มันไม่ช่วยให้คุณอิ่มท้องเลยแม้แต่น้อยน่ะสิ

          มันฝรั่งทอดกรอบ 20 แผ่นบาง ๆ มีแต่คาร์โบไฮเดรตและไขมันล้วน ๆ

          ช็อกโกแลต 8 เม็ด ยังไม่ทันหายอยากเลย พลังงานก็เกินซะแล้ว

          เยลลี่ตุ๊กตาหมี 17 ตัว ทั้งให้พลังงานสูงและไม่มีประโยชน์ เพราะอุดมไปด้วยน้ำตาลและสารปรุงแต่ง

          ไส้กรอกขนาดปกติ 1 อัน รู้ไหมว่าส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งของไส้กรอกก็คือไขมันนี่แหละ !

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.lisaguru.com/wp/blog/health/v14n46-28112013-01/-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2014, 09:35:12 pm
อย.เตือนผู้ปกครอง เด็กกินขนมกรุบกรอบ เสียงเป็นโรคไต เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เป็นความดันโลหิตสูง
วันศุกร์ 3 มกราคม 2557 เวลา 10:50 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/regional/206058/%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-


เมื่อวันที่ 3 ม .ค. นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่มีการส่งข้อความเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเด็กสาวบริโภคสาหร่ายทอดกรอบในปริมาณมากทุกวัน จนทำให้ม่านตาเสีย

เลนส์ตาเสื่อม และไตพัง และแพทย์แจ้งว่าอาจเกิดจากการบริโภคเกลือ และโซเดียมกลูตาเมทนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเด็ก ๆ เกรงจะได้รับอันตราย จึงขอให้ผู้ปกครองแนะนำบุตรหลานถึงการบริโภคขนมกรุบกรอบ รวมทั้งสาหร่ายทอดกรอบ เนื่องจากสาหร่ายอบแห้งธรรมดา เมื่อนำมาปรุงรสด้วยรสชาติต่าง ๆ จะมีการใส่เกลือโซเดียม และโซเดียมกลูตาเมทหรือผงชูรสเป็นส่วนผสม เพื่อให้รสชาติของสาหร่ายอร่อย ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า

นพ.บุญชัย กล่าวต่อว่า สาหร่ายทอดกรอบมีปริมาณโซเดียมเฉลี่ย 100 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคหรือเทียบเท่ากับเกลือ 250  มิลลิกรัม ในขณะที่การบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่มีรสจัด ทำให้ได้รับปริมาณโซเดียมสูงในแต่ละวัน จะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็ก ที่สำคัญผลเสียของการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง จะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้แขน ขา บวม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ทำให้ความดันโลหิตสูง รวมทั้งเกิดผลเสียต่อไต ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และไตเสื่อมเร็วขึ้น  อย่างไรก็ตาม อย. ได้เฝ้าระวังสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ สาหร่ายทั้งชนิดปรุงรสและชนิดที่ใช้ปรุงอาหาร เพื่อตรวจวิเคราะห์หาสารปรอท ตะกั่ว และสารหนูอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-ปัจจุบัน พบว่ามีคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และหากตรวจสอบแล้วพบสารปนเปื้อนเกินที่กฎหมายกำหนด จะจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐาน และต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท นอกจากนี้ หากตรวจพบสารปนเปื้อนดังกล่าวในปริมาณที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการฯ อย. เปิดเผยถึงปริมาณเกลือ และโซเดียมให้ผู้บริโภคทราบด้วยว่า ปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับเกลือแกง (โซเดียมคลอไรด์) 6 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือแกงแบบร่วนละเอียดประมาณ 1 ช้อนชา นอกจากจะได้รับโซเดียมจากเกลือแล้ว ผู้บริโภคยังอาจได้รับโซเดียมจากผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมท) ที่อยู่ในรูปของเครื่องปรุงรส/ ผงปรุงรส อีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะบริโภคอาหารสำเร็จรูป ขนมต่าง ๆ สาหร่ายทอดกรอบ

หรือสาหร่ายปรุงรส ขอให้ผู้ปกครองอ่านฉลาก แนะนำบุตรหลานอ่านฉลากด้วย ว่ามีปริมาณโซเดียมเท่าใด และควรใช้วิจารณญาณในการบริโภคว่าร่างกายควรได้รับอาหารดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ซึ่งขณะนี้ อย. ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้แสดงข้อมูลโภชนาการในรูปแบบจีดีเอ (**Guideline Daily Amounts : GDA) หรือฉลากหวาน มัน เค็ม เพื่อนำไปสู่การ ลด หวาน มัน เค็ม จากการบริโภคอาหาร โดยกำหนดให้แสดงค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ใน

1 ซอง/ห่อ และเทียบเป็นค่าร้อยละ (%) ของปริมาณสูงสุดที่ควรได้รับในแต่ละวัน บนด้านหน้าฉลากกับอาหารขบเคี้ยว

5 ชนิด

อาทิ มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ ข้าวโพดคั่วทอดหรืออบกรอบ ข้าวเกรียบหรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์หรือบิสกิต และเวเฟอร์สอดไส้ และอยู่ระหว่างขยายให้ครอบคลุมอาหารอื่น ได้แก่ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ขนมอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจำหน่าย และผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวอื่น ซึ่งก็รวมถึงสาหร่ายทอดกรอบด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย สามารถตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่เหมาะสมต่อสุขภาพ อย่างไร ก็ตาม

"ขอแนะผู้บริโภคให้ยึดหลัก 3 ฉ. สนองสุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ คือ ฉลาก ฉลาด และเฉลียว โดยอ่านฉลาก ทุกครั้ง ฉลาดซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ และเฉลียวใจในการดูสภาพของผลิตภัณฑ์ ตรวจสอบไม่ให้มีสิ่งใดปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย หรือไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ร้องเรียนมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบการกระทำความผิด"  เลขาธิการฯ อย.กล่าว


http://www.dailynews.co.th/Content/regional/206058/%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87 (http://www.dailynews.co.th/Content/regional/206058/%E0%B8%AD%E0%B8%A2.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 05, 2014, 07:42:55 am
เปิดเมนูปรับสมดุลร่างกาย กินตาม “ธาตุเจ้าเรือน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2557 09:20 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000901-


สุขภาพของเราจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังการเท่านั้น แต่อาหารที่รับประทานเข้าไปก็มีส่วนสำคัญ ว่ากันง่ายๆ คือ กินดีมีประโยชน์ก็ได้สุขภาพดี กินของไม่ดีไม่เกิดประโยชน์ นอกจากไม่ช่วยส่งเสริมยังอาจทำให้เกิดโรค อย่างที่มีคำภาษาอังกฤษที่ว่า “You are what you eat” หรือกินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
       
       นอกจากนี้ การรับประทานอาหารไม่ใช่เพียงการเลือกของที่ดีมีประโยชน์เท่านั้น แต่หากผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารรับประทานสอดคล้องกับ “ธาตุเจ้าเรือน” ของตนด้วยแล้ว ก็จะมีแต่คำว่า สุขภาพดี ตามมาแน่นอน
       
       หลายคนอาจสงสัย “ธาตุเจ้าเรือน” คืออะไร? จากคู่มือของสำนักงานสาธารณสุข จ.นครปฐม กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค งานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่า ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยนั้น ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ซึ่งแต่ละคนจะมี “ธาตุประจำตัว” หรือเรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ “ธาตุเจ้าเรือนเกิด” หมายถึงเป็นไปตามวันเดือนปีเกิด และ “ธาตุเจ้าเรือนปัจจุบัน” ที่พิจารณาจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัย และภาวะด้านสุขภาพว่าสอดคล้องกับลักษณะบุคคลธาตุเจ้าเรือนอะไร โดยสมัยโบราณจะใช้รสชาติอาหารเป็นยารักษาโรค เพราะรสชาติต่างๆ จะมีผลต่อร่างกาย ดังบทกลอนอธิบายความหมายจากรสยา 9 รส ดังนี้
       
       ฝาดชอบทางสมาน หวานซึมซาบไปตามเนื้อ
       เมาเบื่อแก้พิษต่างๆ ขมแก้ทางโลหิตและดี
       รสมันบำรุงหัวใจ เค็มซึมซาบตามผิวหนัง
       เปรี้ยวแก้ทางเสมหะ เผ็ดร้อนแก้ทางลม
       
       ดังนั้น หากธาตุทั้งสี่ในร่างกายมีความสมดุล ก็จะไม่ค่อยเจ็บป่วย หากขาดสมดุลก็จะเจ็บป่วยด้วยโรคจุดอ่อนด้านสุขภาพแต่ละคนตามเรือนธาตุที่ขาด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในธาตุใด มีจุดอ่อนอะไร และควรรับประทานอะไรเพื่อให้ตรงกับธาตุเจ้าเรือนของตน เรามีคำตอบ...


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000093801.JPEG)
       ธาตุดิน เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ลักษณะของคนธาตุดินนั้นจะมีร่างกายแข็งแรง และกล้ามเนื่อแข็งแรง
       
       คนธาตุดินควรรับประทานอาหารที่มีรสฝาด ซึ่งจะช่วยสมานปิดธาตุ รสหวาน ซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื่นบำรุงกำลัง หากรับประทานมากเกินไปทำให้กำเริบ ง่วงนอน เกียจคร้าน รสมัน แก้เส้นเอ็นพิการ แวดเสียว ขัดยอด กระตุก และ รสเค็ม ซึมซาบไปตามผิวหนัง ประดง ชา คันถ้ามากไปทำให้ร้อนใน กระหาย
       
       ผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพู กะหล่ำปลี ผักกะเฉด มังคุด ฝรั่ง ฟักทอง เผือก ถั่วต่างๆ เงาะ หัวมันเทศ ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหินมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย กระโดนบก กระโดนน้ำ ผักหวาน ขุ่นอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง ผักเซียงดา ลูกเหนียงนก บวบเหลี่ยม บวบงู และบวบหอม
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผักกูดผัดน้ำมันงา คั่วขนุน สะตอผัดกุ้ง ผัดสายบัว แกงมะระ เต้าส่วน วุ้นกะทิ กล้วยบวดชี แกงบวดฟักทอง ตะโก้เผือก น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด น้ำมะตูม นมถั่วเหลือง น้ำแคนตาลูป น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำลูกเดือย น้ำข้าวโพด น้ำแห้ว น้ำฟักทอง
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือน ธาตุดินมักไม่ค่อยเจ็บป่วย เพราะธาตุดินเป็นที่ตั้งกองธาตุ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000093802.JPEG)
       ธาตุน้ำ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ลักษณะของคนธาตุน้ำมักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ตาหวาน น้ำตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำ กินช้ำทำอะไรช้า ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง มีลูกดก หรือมีความรู้สึกทางเพศดีแต่มักเฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน
       
       คนธาตุน้ำควรรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว ช่วยแก้เสมหะ กัดฟอกเสมหะ กระตุ้นน้ำลายช่วยให้เจริญอาหาร แต่หากรับประทานมาก ทำให้ท้องอืด แสลงแผลร้อนใน
       
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ สับปะรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ผักพื้นที่บ้าน เช่น ขี้เหล็ก มะอึก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง คือ รสมันจัด
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงขี้เหล็กปลาย่าง แกงส้มดอกแค แกงอ่อมมะระขี้นก ผัดมะระใส่ไข่ ห่อหมกใบยอ แกงป่าสะเดาใส่ปลาหมอ ต้มโคล้งยอดมะขาม ใบยอผัดน้ำมันหอย มะยมเชื่อม สับปะรดกวน กะท้อนลอยแก้ว มะม่วงน้ำปลาหวาน มะม่วงกวน น้ำมะนาว น้ำใบบัวบก น้ำมะเขือเทศ น้ำมะขาม น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะเฟือง
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุน้ำ ในช่วงอายุแรกเกิด-16 ปี มักจะอาการเป็นหวัดคัดจมูก ตาแฉะ ในฤดูหนาว จะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุน้ำกำเริบ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000093803.JPEG)
       ธาตุลม เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน คนธาตุลม มักมีรูปร่างโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง รูปร่างโปร่งผอม ผมบาง ข้อกระดูกมักลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่ชัด มีลูกไม่ดก หรือความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
       
       คนธาตุลมควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน จะช่วยแก้โรคในกองลม อาทิ ลมจุกเสียด ปวดท้องลมป่วง แต่ต้องระวังด้วยเพราะหากรับประทานมากไปจะทำให้อ่อนเพลีย
       
       ผักและผลไม้ที่ควรรับประทาน ได้แก่ ชมพู่ แตงโม แตงไทย ผักพื้นบ้าน ได้แก่ ใบชะพลู ขมิ้นขาว ใบสะระแหน่ ใบแมงลัก ใบโหระพา ขิง ข่า ตะไคร้
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ แกงเผ็ดปลาดุกย่าง ต้มข่าไก่ ต้มยำกุ้ง แกงหอยขมใส่ใบชะพลู สมอไทยจิ้มน้ำพริก บัวลอยน้ำขิง เต้าฮวย เต้าทึง มันต้มขิง ถั่วเขียวต้มขิง เมี่ยงคำ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำข่า น้ำกานพลู
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุลม ในช่วงอายุ 32 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการเวียนหัว หน้ามืด เป็นลมง่าย ในฤดูฝน จะเจ็บป่วยง่าย เพราะธาตุลมกำเริบ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000093804.JPEG)
       ธาตุไฟ เป็นธาตุประจำตัวของคนที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม คนธาตุไฟ มักมีลักษณะขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน ผิวหนังย่น ผม ขน และหนวดอ่อนนิ่ม ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ข้อกระดูกหลวม กลิ่นปากกลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
       
       คนธาตุไฟควรรับประทานอาหารรสขม จะช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ ดีพิการ และเพ้อครั่ง แต่อย่ารับประทานมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ต้องรับประทานอาหารเย็นและจืด เพราะจะช่วยแก้ร้อนใน แก้ไข้พิษ แก้ไขเลือดกำเดา ดับพิษร้อน
       
       ผลไม้และผักที่ควรรับประทาน เช่น แตงโม มันแกว พุทรา แอปเปิ้ล ผักพื้นบ้าน เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว ผักกาดจีน มะระ ผักปรัง มะรุม ทะเขือยาว ผักหนาม ยอดมันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวกกล้วย หม่อน กุ้ยช่าย
       
       อาหารและเครื่องดื่มที่ควรรับประทานคือ ผัดผักบุ้ง แกงจืดตำลึง ผักสายบัว แกงส้มมะรุม แกงจืดมะระ แกงส้มหยวกกล้วยใส่ปลาช่อน ยำผักกระเฉด ซาหริ่ม ไอศกรีม น้ำแข็งไส น้ำแตงโมปั่น น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย
       
       เกร็ดน่ารู้ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ ในช่วงอายุ 16-32 มักจะหงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อย เป็นคนเจ้าอารมณ์ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยง่ายอาจเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่าย เพราะธาตุไฟกำเริบ
       
       รู้เช่นนี้แล้วใครอยู่ธาตุอะไร ลองนำข้อมูลและความรู้ครั้งนี้ไปปรับใช้เลือกรับประทานอาหาร ผัก และผลไม้ที่รสชาติสอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนของตนเองเพื่อช่วยในปรับสมดุลในร่างกายและป้องกันความเจ็บป่วย


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000901 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000000901)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 05, 2014, 05:31:20 pm
เป็นหวัดอีกแล้วล่ะซี่ งั้นต้องกินอาหารพวกนี้เลย !

-http://health.kapook.com/view79365.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ฮัดเช้ยยยย อากาศเปลี่ยนทีไร ไอ จาม น้ำมูกไหลทุกที ถึงจะเป็นแค่หวัดธรรมดา ไม่ได้ป่วยหนักมากมาย แต่เป็นขึ้นมาทีก็กวนใจไม่ใช่เล่น เพราะฉะนั้นถ้าอยากหายจากหวัดเร็ว ๆ หรือไม่อยากป่วยอีก เว็บไซต์ Reader's Digest เขาก็แนะนำให้รีบไปหาอาหารต่อไปนี้มาทานด่วน ๆ


1. ซุปไก่ร้อน ๆ

          อากาศเย็น ๆ เหมาะกับการนั่งซดบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยวสุด ๆ แต่ถ้าจะให้ดี ต้มรวมกับน่องไก่และผัก กลายเป็นซุปไก่ร้อน ๆ ด้วยเลยจะเวิร์กมาก เพราะงานวิจัยจาก University of Nebraska ย้ำว่า ซุปไก่นั้นมีสารอาหารที่ช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ทำให้อาการไข้หวัดดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่ได้ป่วยไข้ก็สามารถกินซุปไก่เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เแข็งแรง ไม่ให้โรคถามหาด้วย



2. ดื่มนมเติมวิตามินดี

          เป็นหวัดแบบนี้ต้องดื่มนมให้มาก ๆ แต่ถ้าท้องของเราไม่ถูกกับนม กินทีไรท้องเสียทุกที ก็ให้มองหาอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ซีเรียล มากินสู้หวัดดู เพราะการศึกษาของ Massachusetts General Hospital เขาพบว่า คนที่มีระดับวิตามินดีในร่างกายน้อยจะป่วยเป็นหวัดมากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีวิตามินดีมาก สมทบด้วยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Loyola ที่เผยด้วยว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูงจะช่วยบูทอารมณ์ของคุณให้สดชื่นขึ้นในช่วงอากาศหนาว ๆ ที่แสนจะรู้สึกเฉื่อยชาอยากนอนเสียเหลือเกินด้วยล่ะ


3. อย่ามองข้าม "แครอท"

          อาหารที่มีวิตามินเอสูง นอกจากจะช่วยปกป้องดวงตาของเราแล้ว ยังช่วยรักษาโรคหวัดได้อีกด้วยนะ เพราะอาหารที่มีวิตามินเอจะช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ถ้าป่วยเป็นหวัดแล้ว ก็จะไปช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัด ทำให้หายป่วยเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นรีบหาแครอท ผักโขม ผักใบเขียว ฟักทองมาทานด่วน ๆ


4. จิบชาเขียวชงน้ำเย็น

          รู้กันอยู่แล้วว่า ชาเขียวเปี่ยมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงสู้กับอาการป่วยได้ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ชาเขียวนั้นต้องชงกับน้ำเย็นแทนการชงกับน้ำร้อน ๆ จ้า เพราะศึกษาจากต่างประเทศเขาแนะนำมาค่ะว่า การชงชาเขียวกับน้ำเย็น จะทำให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในชาเขียวเหลืออยู่มากกว่าชาเขียวที่ชงกับน้ำเดือด โดยอาจจะใส่ใบชาเขียวเพิ่งลงไป 2 เท่าของการชงชาร้อนก็ได้ แต่ไม่ควรชงกับน้ำร้อนแล้วมาทำให้เย็นนะจ๊ะ เพราะสารแอนตี้ออกซิแดนท์ก็หายไปกับน้ำร้อนอยู่ดี ถูกป่ะ



5. กระเทียมฆ่าเชื้อ

          หลายคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นฉุน ๆ ของกระเทียม แต่ถ้าเป็นหวัดบ่อย ๆ ก็ควรจะต้องฝืนกินสักหน่อยล่ะค่ะ เพราะการกินกระเทียมสดเป็นประจำจะช่วยปกป้องเราจากโรคหวัด เนื่องจากในกระเทียมมีสารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารมหัศจรรย์ฆ่าเชื้อหวัด แถมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย


6. บลูเบอร์รีแก้คัดจมูก

          งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ พบว่า ผลไม้ลูกกลม ๆ สีม่วง ๆ อย่าง "บลูเบอร์รี" นั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สด ๆ หลายชนิด และช่วยปราบอาการคัดจมูกที่เกิดจากอากาศเย็นได้เริ่ดมาก ๆ อาจจะเลือกทานแบบสด ๆ ในช่วงที่คุณเป็นหวัด หรือจะผสมลงในชามซีเรียล หรือถ้วยโยเกิร์ตกินด้วยกันให้อร่อยแบบคูณสองก็ได้ เพราะทั้งในซีเรียลและโยเกิร์ตก็มีวิตามินดีสูงด้วยล่ะ จำได้ไหมเอ่ย...วิตามินดีก็ช่วยป้องกันโรคหวัดนะ



7. ชาเปปเปอร์มินต์ขจัดเสมหะ

          ถ้ารู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ เหมือนมีน้ำมูกคั่ง มีเสมหะติดคอ ลองหาชาเปปเปอร์มินต์มาชงดื่มดูหน่อยไหมจ๊ะ จิบบ่อย ๆ วันละ 3 เวลา จะช่วยละลายเสมหะที่แสนอึดอัดในลำคอ และปราบอาการไอค่อกไอแค่กที่น่ารำคาญให้หายเป็นปลิดทิ้ง


8. เติมโอเมก้า-3 จากเนื้อปลา

          เว็บไซต์ health.com เขาแนะนำให้คนที่เป็นหวัดทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้มาก ๆ ซึ่งหาได้จากปลาแซลมอน ปลาทูน่า เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย แถมยังปกป้องภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

          เห็นรายชื่ออาหารต้านโรคหวัดทั้ง 8 ชนิดนี้แล้ว จะว่าไปก็หาซื้อหาทานกันไม่ยากเลยนะ รีบไปบูทระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองด้วยอาหารพวกนี้กันได้เลย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 12, 2014, 09:52:05 am
ผู้ป่วยเบาหวานทานรังนกได้หรือไม่

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389158869&grpid=&catid=09&subcatid=0902-


คอลัมน์ รู้เฟื่องเรื่องโรคเบาหวานกับโรงพยาบาลศิครินทร์



เป็นปัญหาหนักอกหนักใจที่สำคัญมากในผู้ป่วยเบาหวาน สำหรับเรื่องการรับประทานอาหาร เพราะอยากทานนั่นก็ถูกลูกห้าม จะทานนี่แฟนก็ห้าม หลายคนถึงขนาดต้องแอบทานอาหาร "ต้องห้าม" มาแล้วก็มี ทุกวันนี้ คนที่เป็นเบาหวานโดยทั่วไปแล้ว เกือบ 100% มักจะละเลยเรื่องของการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อรับประทานยาแล้วก็คงหาย เหมือนการรักษาโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด การใช้ยาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ต้องรู้จักรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกายด้วย เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ โดยมากหมอจะแนะนำให้ทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ ไขมันน้อย รวมทั้งผักผลไม้ ที่อาจใช้เป็นยา เช่น มะระขี้นก ฟักทอง แตงกวา เป็นต้น

ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก็คืออาหารหวาน มัน ทั้งหลาย เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน เงาะ สับปะรดกวน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนมีข้อสงสัยว่า เป็นเบาหวานแล้วจะสามารถทานรังนก ได้หรือไม่

รังนกคือ น้ำลายและสิ่งที่นกนางแอ่นสำรอกออกมาทำรังเพื่อวางไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ธาตุเหล็ก และสารอาหารอื่นๆ เป็นสมุนไพรที่มีราคาแพงซึ่งชาวจีนนิยมใช้ สามารถนำรังนกมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน โดยปกติ รังนกสำเร็จรูปที่ขายกันตามท้องตลาดมักจะใส่น้ำตาล หากผู้ป่วยจะรับประทานควรแปลงวิธีการประกอบโดยเลี่ยงการใส่น้ำตาลไปแล้วใช้น้ำตาลเทียมแทน

อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบราคาและคุณค่าทางโภชนาการแล้วอาหารประจำวันอื่นๆ เช่น ซุปไก่ตุ๋น ยังมีราคาถูกกว่ากันมาก ในกรณีที่เจ็บป่วยแล้วรับประทานอาหารไม่ลง ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานรังนกได้เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายในยามฉุกเฉินแต่ในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเงินไม่จำเป็นที่จะต้องขวนขวายหารังนกมารับประทาน อาหารเหลวธรรมดา เช่น ซุป นม น้ำผลไม้ธรรมชาติ โจ๊กเหลว สามารถให้พลังงานฉุกเฉินแก่ร่างกายได้ทั้งสิ้น


...........


(ที่มา Hospital Healthcare เครือมติชน ปีที่ 7  ฉบับที่ 76 มกราคม 2557)

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 12, 2014, 07:17:34 pm
เพาะ “ถั่วงอก” ในขวดน้ำดื่มกัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 มกราคม 2557 11:04 น.

-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344801.JPEG)

   การเพาะถั่วงอกไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่มีขวดน้ำพลาสติกใบเดียวก็ใช้เป็นอุปกรณ์เพาะถั่วงอกไว้กินได้แล้ว ซึ่งหลายคนที่ติดตามกระแสปลูกผักในเมือง อาจจะเพาะถั่วงอกด้วยวิธีนี้จนเชี่ยวชาญแล้ว แต่เราจะมารีวิวกันอีกรอบ
       
       อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับการเพาะถั่วงอก คือ ขวดน้ำดื่มพลาสติก คัตเตอร์ หัวแร้งไฟฟ้า ตะแกรงไนลอนหรือตะแกรงเกล็ดปลา และน้ำสะอาด เมื่อได้อุปกรณ์ทั้งหมดแล้วนำมาเจาะรูด้วยหัวแร้งไฟฟ้าเพื่อเป็นรูระบายน้ำ โดยเจาะที่ด้านข้างเพียงด้านเดียวของขวด 2 แถวๆ ละ 5 รู (เว้นระยะจากก้นขวดประมาณ 2 นิ้ว เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแช่เมล็ดถั่ว) และเจาะที่ฝาปิดขวดอีก 3 รู จากนั้นใช้ตัตเตอร์ตัดขวดด้านตรงข้ามที่เจาะรู เพื่อเป็นช่องสำหรับรดน้ำ
       
       เมื่อได้อุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาถึงขั้นตอนเตรียมความพร้อมเมล็ดถั่วเขียว โดยเติมเมล็ดถั่วเขียวลงในขวดที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ใน 4 ของความสูงของขวด (ไม่ให้เกินระดับที่ตัดเปิดช่องรดน้ำและรูระบายน้ำที่เจาะไว้) จากนั้นเติมน้ำอุ่นซึ่งผสมน้ำร้อน 1 ส่วน ต่อน้ำธรรมดา 3 ส่วน แล้วแช่เมล็ดถั่วทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดถั่วพองตัว
       
       หลังจากแช่เมล็ดถั่วแล้ว นำไปล้างน้ำ 1-2 ครั้ง จากนั้นกระจายเมล็ดถั่วให้ทั่วขวดและวางในแนวนอน แล้วใช้ตะแหรงไนลอน หรือตะแกรงเกล็ดปลา หรืออุปกรณ์ชวยพรางแสงอื่นๆ หุ้มขวด จากนั้นรดน้ำทุกๆ 6 ชั่วโมง จนผ่านไป 60 ชั่วโมงก็จะได้ถั่วงอกไว้รับประทาน
       
       การเพาะถั่วงอกในขวดน้ำพลาสติกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงานถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2557 ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง 9-11 ม.ค.57 โดยเป็นกิจกรรมร่วมฉลองปีสากลแห่งเกษตรกรรมแบบครอบครัว (International Year for Family Farming) ในปี 2557 ที่กำหนดขึ้นโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมในกิจกรรมจะได้รับอุปกรณ์เพาะถั่วงอกพร้อมเมล็ดถั่วกลับบ้าน
       
       รายละเอียดเพิ่มเติม ที่
       
       http://www.facebook.com/nsmfamilyfarming (http://www.facebook.com/nsmfamilyfarming)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344802.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344803.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344804.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344805.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000344806.JPEG)


 ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เยาวชนได้ร่วมสนุกอีกกว่า 50 สถานี สำหรับเยาวชน และโรงเรียนที่สนใจสามารถมาเที่ยวชมงานถนนสายวิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถนนพระรามที่ 6 ได้ตั้งแต่วันที่ 9-11 ม.ค.57 เปิดให้เที่ยวชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 9.00-17.00 น.โดยสามารถเดินทางได้ทั้งรถโดยสารประจำทางสาย 8, 44, 67, 97, ปอ.44, ปอ.157, ปอ.171, ปอ.509, ปอ.538 ตลอดจนรถไฟฟ้าบีทีเอส
       
       หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โทร. 0 2577 9999


http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308 (http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000003308)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 12, 2014, 08:48:45 pm
Detox ด้วยกระเจี๊ยบเขียว

-http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/-

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370489/13887423263005-640x390x2.jpg)

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370489/13887416917636.jpg)

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370489/d0.jpg)

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแลสุขภาพตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส



กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น


สรรพคุณทางยา

กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน


จาก ข้อมูล ของ วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ ซึ่งแปรรูป กระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลว่า


รับประทาน 10 - 15 ฝัก ทุกวันสามารถบำรุงตับ

รับประทาน 3 - 5 ฝัก ก่อนอาหารทุกวันสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวันสามารถกำจัดพยาธิตัวจี๊ด

รับประทาน 30 - 40 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถดีท็อกซ์ลำไส้อุจจาระตกค้าง

รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถลดอาการท้องผูก


http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/ (http://campus.sanook.com/1370489/detox-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 17, 2014, 05:27:50 am
กิน “ถั่ว” หลายๆ สี เพิ่มของดีๆ ให้ร่างกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 มกราคม 2557 15:15 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000005902-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000614701.JPEG)


ถึงจะมีขนาดเล็กๆ แต่ถั่วชนิดต่างๆ กลับมีประโยชน์มากมายเกินตัว จะใช้กินเล่นๆ หรือจะนำไปเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารต่างๆ ก็ได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญนั้น คุณค่าทางอาหารที่ได้จากถั่วยังล้นเหลือ ซึ่งในถั่วแต่ละชนิดก็มีสารอาหารที่แตกต่างกันไป “108 เคล็ดกิน” มีความรู้ดีๆ มาแนะนำสำหรับคนที่จะหันมาเลือกกินถั่วเพื่อสุขภาพของตัวเอง
       
       เริ่มจากถั่วสารพัดประโยชน์ นั่นก็คือ “ถั่วเหลือง” ที่สามารถนำมาคั่วเป็นถั่วเหลืองกรอบๆ กินเป็นธัญพืช หรือจะแปลงกายมาเป็นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ หมักซีอิ้วขาว-ซอสถั่วเหลือง ทำมิโซะ สกัดเป็นน้ำมันถั่วเหลือง และอีกมากมาย ซึ่งนอกจากจะมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่างแล้ว ถั่วเหลืองก็ยังมีสารอาหารมากมาย มีโปรตีน วิตามินอี เลซิติน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ถั่วเหลืองจึงช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันกระดูกขาดแคลเซียม บำรุงระบบประสาท และในถั่วเหลืองยังมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงช่วยในเรื่องการควบคุมอาการในภาวะหมดประจำเดือน นอกจากจี้ หากกินถั่วเหลืองเป็นประจำยังจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
       
       “ถั่วเขียว” นอกจากจะเห็นในรูปแบบของถั่วเขียวต้มน้ำตาลแล้ว ก็ยังมีรูปแบบของถั่วเขียวเลาะเปลือก ที่นำมาเป็นส่วนผสมของขนมและอาหารไทยหลายๆ เมนู แถมด้วยถั่วงอก ที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเดิมที่เป็นถั่วเขียวด้วยซ้ำ ซึ่งตัวถั่วเขียวนั้นนอกจากจะมีโปรตีนแล้ว ก็ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นประสาทและทำให้เจริญอาหาร ส่วนเมื่อกลายมาเป็นถั่วงอกแล้วจะมีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
       
       “ถั่วแดง” มีโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีธาตุเห,กช่วยบำรุงโลหิต มีแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีที่ช่วยบำรุงประสาทและสมอง นอกจากนี้ ถั่วแดงยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเรสเตอรอล ที่สำคัญคือมีสารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งแคลเซียม ธาตุเหล็ก และโฟเลต
       
       แต่นอกจากถั่วทั้งสามชนิดนี้แล้ว ถั่วชนิดอื่นๆ ก็ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง ที่มีโปรตีนมาก โซเดียมต่ำ ไขมันอิ่มตัวน้อย และปราศจากคอเรสเตอรอล ถั่วดำ มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย มีกากใยสูง ถั่วขาว ให้พลังงานสูงและช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
       
       แต่ไม่ว่าจะเลือกกินถั่วชนิดไหน ก็ต้องคำนึงไว้เสมอว่า ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการกินอะไรมากหรือน้อยเกินไปก็ย่อมมีโทษเสมอ ที่สำคัญควรจะกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ร่างกายจึงจะสามารถได้รับประโยชน์จากอาหารอย่างเต็มที่
       
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2014, 02:22:50 am
9 เมนูกินแล้วไม่โง่

-http://club.sanook.com/14266/9-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%87%E0%B9%88-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/11/72.jpg)

เคยรู้สึกรำคาญตัวเองกันบ้างไหม เวลาที่นึกอะไรไม่ค่อยจะออก ลืมนั่น ลืมนี่ อยู่บ่อยๆ เชื่อว่าใครๆก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย จึงขอนำสาระดีๆ เรื่องอาหารกลุ่มบำรุงสมองมาให้ได้อ่านกัน ในทางโภชนาการบอกถึงหลักเลือกทานอาหารเพื่อการดูแลสมอง และป้องกันไม่ให้เสื่อมก่อนวัย นอกจากนี้ สมองยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในทุกมื้อ ดังนั้นมาดูกันว่า สารอาหารใดบ้างที่สมองต้องการ

1. พืชผักจำพวกหอมหัวใหญ่ พริก ขิง มีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีนจึงช่วยให้ความจำดีขึ้น

2. ใบบัวบก มีสารที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองทำให้สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดี สมาธิดี และความจำดีขึ้น

3. เนื้อสัตว์ มีสารทอรีนที่พบเฉพาะในโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นช่วยบำรุงสมอง

4. ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 ช่วยให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการเกิดพลัค (plaque) ในสมองและป้องกันอัลไซเมอร์ได้

5. ธัญพืช มีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ อาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องความจำได้เป็นอย่างดี

6. มะเขือเทศ มีไลโคพีน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งพบในอาการของโรควิกลจริตและอัลไซเมอร์

7. บร็อกโคลี เป็นแหล่งรวมของวิตามินเคที่ช่วยในการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

8. ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม

9. เมล็ดฟักทอง มีสังกะสีที่มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความทรงจำ ถ้ารับประทานเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

นอกจากอาหารที่แนะนำมาแล้วนั้นยังมีผลการศึกษาวิจัยใหม่ๆ จากนักประสาทวิทยา สหรัฐฯ พบว่า สารเคมีในช็อกโกแลต ชา องุ่น และผลบลูเบอรี่ช่วยบำรุงความจำได้ โดยช่วยให้เลือดลมในสมองเดินดีขึ้นและหากออกกำลังเพิ่มด้วยแล้วก็จะยิ่งช่วยให้สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น หากต้องการให้สมองของเราดีมีความจำที่เป็นเลิศก็อย่าละเลยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บำรุงความจำ และถ้าจะให้ผลดีก็ต้องรับประทานเป็นประจำด้วยสมองก็จะดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก Nestlé

(http://club.sanook.com/14266/9-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b9%82%e0%b8%87%e0%b9%88/1-60)

(http://club.sanook.com/14266/9-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b9%82%e0%b8%87%e0%b9%88/2-63)

(http://club.sanook.com/14266/9-%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b9%82%e0%b8%87%e0%b9%88/3-70)

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2014, 09:10:44 pm
มะเขือเทศ…เสน่ห์แพรวพราว!

-http://club.sanook.com/21368/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A3-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/139589723.jpg)


ถ้านึกถึงมะเขือเทศ เรื่องรสชาติจัดจ้านและสีสันแดงเด่นอันนี้คงไม่ต้องพูดถึง แต่คุณสมบัติในตัวซึ่งซุกซ่อนนี่สิน่าสนใจกว่ากันเยอะ เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยวิตามินตัวสำคัญไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอที่บำรุงสายตา และผิวพรรณให้สวยสดใสวิตามินบีซึ่งช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในตัวของเราไม่เกเรยอมทำงานได้เป็นปกติ และวิตามินซีช่วยป้องกันต้านโรคร้ายต่างๆ ที่จะมารังแก ทำให้ไม่นอนซมเป็นไข้ไม่สบายบ่อยๆ แถมแคลอรีก็น้อย กินได้คล่องปากสบายใจ ไม่มีเรื่องของไขมันและน้ำหนักตัวมาทำให้หวาดหวั่น

แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีการค้นพบทางการแพทย์ว่า ถ้าหมั่นใช้บริการ กินมะเขือเทศบ่อยๆ เป็นประจำ จะเป็นทางหนึ่ง ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกคุกคามของเจ้ามะเร็งตัวร้ายให้ลดน้อยลงได้ เพราะมีสาร “ไลโคฟีน” ตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ต้านมะเร็ง เหมือนกับเบต้าแคโรทีนที่เราคุ้นชื่อกันดี แต่ไลโคฟีนซึ่งพบมากที่สุดในมะเขือเทศลูกแดงๆ นี้มีฤทธิ์มากกว่าคุณเบต้าฯ ตั้ง 2 เท่าเลย!

ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการดอทคอม
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2014, 09:08:26 pm
สะเดา สรรพคุณของสมุนไพรมหัศจรรย์

-http://board.postjung.com/627873.html-

สะเดา" ด้วยความขมสามารถใช้รักษาโรคหลายชนิด   


โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

        เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

 
สรรพคุณด้านยาสมุนไพร

       สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

"สะเดา" มีชื่อพื้นบ้านว่า สะเดาไทย สะเดาบ้าน กะเดา กาเดา จะดัง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า นีม ทรี (Neem Tree) และโฮลลี ทรี (Holy Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อะซาดิแรคตา อินดิคา(Azadirachta indica A.Juss.var.siamensis Veleton) จัดอยู่ในวงศ์ มีเลียซีอี้ (Meliaceae)


(http://board.postjung.com/data/627/627873-topic-ix-1.jpg)


สะเดาอินเดีย

              สะเดาอินเดีย จะเรียกว่า ควินิน ขี้นิน จะมีรสขมกว่าสะเดา นิยมใช้ใบและแก่นมาต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย ในบางแห่งจะใช้ใบสะเดาเป็นยาฆ่าแมลง หรือต้มดื่มแก้โรคเบาหวาน สำหรับดอกสะเดาอินเดียสามารถใช้แก้กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ ในตำรายาไทยได้มีระบุว่าใช้ก้านอ่อนและใบสะเดา ในการแก้ไข้ทุกชนิดได้ดี

 

คุณค่าทางโภชนาการคือ


           ประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ไนอาซิน ในใบสะเดามีสารที่เรียกว่า ไลโมนอยด์ (Limonoid) และคอร์ซิติน (Quercetin) ที่เปลือกของสะเดามีสารที่เรียกว่า นิมบิน (Nimbin) และในเมล็ดสะเดามีสารที่เรียกว่า อะซาดิแรค-ติน (Azadirachtin) และสารควิโนน (Quinone)


สรรพคุณของสะเดาและวิธีใช้

        ส่วนต่างๆของสะเดามีสรรพคุณในทางเป็นยาได้แก่ ยอดอ่อน ดอกสะเดา ก้านใบ ผล แก่น และราก ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้

 
(http://board.postjung.com/data/627/627873-topic-ix-3.jpg)

ดอกและใบอ่อน ดอกและใบอ่อนของสะเดามีสรรพคุณในการใช้บำรุงธาตุไฟ คือเรียกน้ำย่อย บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ ทำให้นอนหลับ มีภูมิต้านทานโรค แก้ฝี แก้ไข้
รากและเปลือกต้น รากและเปลือกต้นสะเดาใช้แก้ท้องเสีย แก้บิดมูกเลือด และแก้ไข้มาลาเรีย
         

ราก -รากสะเดามีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ไข้ ทำให้อาเจียน
         

ผล - ผลสะเดาสามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ แก้ลมเจริญอาหาร
         

ก้าน - ก้านสะเดาใช้แก้ไข้ บำรุงน้ำดี แก้ดีพิการ แก้ท้องร่วง แก้กระษัย แก้ไข้ลดความร้อนแก้ไข้จับสั่น
         

แก่น -แก่นของสะเดาใช้แก้คลื่นเ...ยน อาเจียน แก้ไข้จับสั่น ไข้ตัวร้อน บำรุงเลือด บำรุงไฟธาตุ

จากการวิจัยในเรื่องของสะเดาพบว่าสามารถเป็นยาฆ่าแมลงที่ได้ผลดีมากและปลอดภัย

 

เห็นมั้ย ค่ะ ว่าถึงสะเดาจะมีรสชาติขมถึงเพื่อนหลายๆคนจะไม่ชอบทาน แต่ว่าก็รสชาติขมนั้นและล้วนเป็นประโยชน์แก่ร่างกายของเรานะค่ะ อย่างที่เขาบอกกันว่า  หวานเป็นลมขมเป็นยา

 

ขอขอบคุณ

http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz05241252&sectionid=0214&day=2009-12-24 (http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02biz05241252&sectionid=0214&day=2009-12-24)



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 24, 2014, 05:49:14 am
“ปูนิ่ม” เนื้อนิ่มๆ กินอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2557 17:29 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008649-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000896401.JPEG)


ใครที่ชอบกินปู มักจะมีปัญหากวนใจเรื่องต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกปูออกไปให้หมด กว่าจะได้ลิ้มรสชาติหวานๆ ของเนื้อปูสดๆ แน่นๆ ก็เริ่มจะเหนื่อยใจ
       
       แต่ปัญหานี้จะหมดไปถ้าคุณเลือกกิน “ปูนิ่ม”!!!
       
       หลายคนอาจจะรู้จักชื่อปูนิ่ม อาจจะเคยกินกันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าปูนิ่มมันคือปูอะไรกันแน่ วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จะมาเฉลยให้ฟัง
       
       “ปูนิ่ม” เป็นชื่อของปูที่นำมาทำอาหาร ซึ่งไม่ได้ย่อมาจาก “ปูปัญญานิ่ม” แต่อย่างใด
       
       “ปูนิ่ม” ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นปูพันธุ์ใด หรือชนิดใดเป็นพิเศษ จะเป็นปูดำ ปูขาว ปูทะเล ก็สามารถนำมาทำเป็นปูนิ่มได้เช่นกัน สรุปว่าปูนิ่มนั้นหมายถึงปูที่ลอกคราบใหม่ๆ นั่นเอง
       
       ซึ่งปูนิ่มที่เรากินกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มที่เลี้ยงปูนิ่มโดยเฉพาะ ที่มักจะนำปูทะเลมาทำเป็นปูนิ่ม โดยวิธีการทำปูนิ่มจะต้องเลี้ยงปูให้ลอกคราบ ซึ่งปกติแล้วปูก็จะมีการลอกคราบเพื่อขยายขนาดกระดองใหญ่ขึ้นตามอายุของปู คือเมื่อปูเจริญเติบโตจนเต็มพื้นที่กระดองเดิมแล้ว ก็จะลอกคราบโดยมีการสร้างกระดองใหม่ขึ้นมา ช่วงที่ปูลอกคราบใหม่ๆ นั้นกระดองจะนิ่ม ผิวเปลือกย่น ซึ่งจะเรียกระยะนี้ว่า “ปูนิ่ม” นั่นเอง
       
       ระยะที่เป็นปูนิ่ม ปูจะอ่อนแอมากที่สุด โดยจะใช้ระยะเวลาลอกคราบจนกระทั่งกระดองใหม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน ถ้าอยู่ในสภาพธรรมชาติปูที่ลอกคราบใหม่ๆ จะต้องซ่อนตัวให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจถูกศัตรูจับกินได้
       
       สำหรับการเลี้ยงปูนิ่มนั้น เมื่อปูลอกคราบเสร็จใหม่ๆ ผู้เลี้ยงก็จะจับเอาปูไปแช่น้ำจืดเพื่อป้องกันการแข็งตัว เนื่องจากในน้ำทะเลมีปริมาณแคลเซียมมาก ปูจะใช้แคลเซี่ยมในน้ำทะเลทำให้กระดองแข็งตัวขึ้น เมื่อแช่ในน้ำจืดสักพักก็จะจับมาน็อกในน้ำแข็งเพื่อให้ปูหมดสติ จากนั้นก็นำไปแช่แข็งแล้วนำออกไปจำหน่าย
       
       “ปูนิ่ม” นั้นมีวิธีการเลี้ยงที่ซับซ้อนพอควร อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมาก เนื่องจากกินง่าย ไม่ต้องมาคอยนั่งแกะเปลือกเหมือนปูทั่วไป จึงทำให้ปูนิ่มมีราคาค่อนข้างสูงพอควรในท้องตลาด
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 24, 2014, 10:21:04 pm
“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

-http://club.sanook.com/21982/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%8A%E0%B9%88-


“ขิง” สมุนไพรไทยชั้นดี ช่วยต้านหนาว

พอดีมีโอกาสได้ไปรับลมหนาวที่เชียงใหม่ค่ะ ก็ไปเที่ยวเขา เที่ยวดอย ตามภาษาคนที่อยากไปรับรู้ความหนาวเย็นจัดๆ เป็นยังไงบ้าง ซึ่่งก็ต้องบอกว่าหนาวมาก หนาวเย็นกว่าปกติซะด้วย และก็สังเกตอย่างนึงว่าชาวบ้านท้องถิ่น หรือชาวเขา ที่อยู่ตามดอย จะนิยมเปิดร้านขายมันปิ้ง ไข่ปิ้ง หรือน้ำสมุนไพรร้อนๆ ที่ใส่หม้อดินและตั้งเตาถ่านไว้ ขายกันสดๆร้อนๆ หลากหลายชนิด เช่นน้ำขิงผสมน้ำผึ้ง นมร้อนผสมน้ำผึ้ง น้ำเก็กฮวย อะไรประมาณนั้น ซึ่งเค้าก็จะขายอยู่ตลอดข้างทางที่เดินผ่านไปอ่ะซึ่งก็แอบไปดื่มมา ซึ่งก็อร่อยมากและได้บรรยากาศสุดๆ และที่สังเกตอีกอย่างนึงคือ ในทุกร้านจะต้องมีน้ำขิงขายทุกร้าน..


ซึ่งสิ่งที่เราจะเล่าวันนี้นั้น ก็คือ ใน “ขิง” นั้นก็มีสรรพคุณอย่างนึง คือ ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้ค่ะ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งของชาวท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยวเค้านิยมดื่มกัน ซึ่งก็อาจจะมาจากสภาพอากาศบนดอยที่หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปีด้วย  และนอกจากนี้ เรายังมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับสรรพคุณของ “ขิง” จากโรงพยาบาลลำปาง มาฝากเพื่อนๆ กันอีกด้วยค่ะ

 

“ขิง”  ปรับสมดุลธาตุหน้าหนาว

ภกญ. ดร.สุภาภรณ์  ปิติพร  หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลอภัยภูเบศร ได้กล่าวว่าหน้าหนาวเป็นช่วงของวาตะธาตุหรือธาตุลม  ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลมและไฟ  ใครที่มีธาตุ 4 สมดุลก็จะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลมากกว่าคนอื่น  สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือที่ผอมแห้งแรงน้อย  คนชรา หรือวัยเด็ก ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น    ธาตุไฟในคนกลุ่มนี้จะอ่อนแรง  ยิ่งเมื่อถึงหน้าหนาวจะอ่อนแรงไปอีก   ธาตุน้ำและลมจะกำเริบร่วมกัน  ทำให้มีเสมหะเหนียวแห้ง   ช่วงนี้คนมักเจ็บป่วยด้วยอาการหวัดและไอแห้งๆ  รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืดในช่วงฤดูหนาว

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/ginger1.jpg)

สมุนไพรขิง จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม  ปลอดภัย  เป็นการช่วยเพิ่มธาตุไฟ   ขิงเป็นสมุนไพรที่ทุกมุมโลกนำมาใช้ พบว่ามีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่  มีการทดลองพบว่า  น้ำขิงต้ม  ทำให้เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจ จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น  จึงเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำหรับในฤดูกาลนี้  เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย  มีความปลอดภัย  ใช้มานาน    ดังนั้น เมื่อมีอาการเป็นหวัด  ไม่สบาย    เราอาจเลือกกินน้ำต้มขิง  หรือต้มซุปไก่บ้าน ที่ใส่ตะไคร้และขิง   จะช่วยให้อาการดีขึ้น

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/namkhing.jpg)

ปัจจุบันขิงเป็นสมุนไพรที่บรรจุเป็นยาหลักแห่งชาติและองค์การอนามัยโลกรับรองขิงรักษาหวัด แต่มีข้อจำกัดในคนท้อง ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทที่ควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้ในหลายประเทศทั่วโลก   เช่น   แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น   มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น  ขับเหงื่อ  บำรุงกระเพาะ  แก้คลื่นไส้อาเจียน  ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด   อินเดียใช้ขิงลดการอักเสบ  แก้ปวด ลดการบวมน้ำ   ใช้เป็นยากระตุ้นอาหาร  เป็นยาช่วยย่อย  ช่วยขับลมในลำไส้  ระงับการคลื่นไส้อาเจียน  กระตุ้นกำหนัด   ตำรายาทางอายุรเวทใช้ขิงลดอาการบวม และลดการอักเสบของตับ   คนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย  ช่วยรักษาท้องอืดจาการดื่มเหล้า  ช่วยขับลม  ใช้รักษาโรคเก๊าท์ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

สำหรับคนไทย จะรู้จักขิงเป็นอย่างดี  สามารถนำมาเป็นเครื่องเทศปรุงเป็นอาหารได้สารพัด  ช่วยปรุงแต่งให้อาหารมีรสที่ชวนกิน  ดับกลิ่นคาว     อยู่ในตำหรับยารักษาโรคได้มากมาย   ขับลม   ช่วยย่อยอาหาร   ขับเหงื่อ   ขับน้ำนม   บำรุงธาตุ   บำรุงกำลัง    ฉะนั้น  ในหน้าหนาวนี้   ลองปรุงอาหารที่มีขิง   ถ้าหาอะไรไม่ได้   ลองต้มน้ำต้มขิงช่วยปรับสมดุลธาตุกันนะคะ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง

ภาพประกอบ : Photos.com

------------------------------------------------------------------------------------


สารพฤกษเคมีในผักและผลไม้ คืออะไร

-http://campus.sanook.com/1370615/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370615/95075.jpg)


ผักและผลไม้ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนใหญ่สารที่เป็นประโยชน์พบมากในเม็ดสีของพืชเรียกว่า สารพฤกษเคมี ซึ่งส่วนใหญ่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบตลอดจนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

สารที่มักพบในพืชผักผลไม้ มี สารคลอโรฟิลล์ พบมากในพืชใบเชียว เช่น กวางตุ้ง บัวบก และชะพลู ช่วยกระตุ้นในการสร้างภูมิต้านทาน ชำระล้างขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

สารคาโรทีนอยด์ พบมากในพืชสีส้มเหลือง และสีแดงส้ม เช่น แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ส้ม มะละกอ ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี

สารลูทีน จะพบในพืชที่มีสีเหลือง อย่างข้าวโพด ช่วยต้านสารอนุมูลอิในการป้องกันเยื่อแก้วตา สระช่วยบำรุงสายตาการมองเห็น

สารไลโคปีน พบในพืชสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม สตรอเบอรี่ มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสขาวอมชมพู และลดการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแข็งตัวอีกด้วย

สารแอนโทไซยานิดินหรือแอนโทไซยานิน พบในพืชสีน้ำเงิน และม่วงแดง เช่น กะหล่ำปลีม่วง หัวบีท องุ่นม่งแดง เชอร์รี่ ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและอัมพาต

สารอัลลิซิน พบในพืชสีขาว เช่น กระเทียม เป็นสารที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดความดันโลหิต ขับลม ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน

สารอินดอล ไอโซไทโอไซยาเนท บพมากในพืชตระกูลกะหล่ำ บรอคโคลี ผักกาดขาว กะหล่ำปลี เป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ หากต้องการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แนะนำให้รับประทานผักปและผลไม้ที่หลากหลาย และมีสีสันหมุนเวียนกันไป เพื่อร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วน และสมดุล

ที่มา : เว็บไซต์ สสส.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 09:12:55 am
รู้ไหม? อาหารชนิดไหนย่อยยากที่สุด!

-http://club.sanook.com/17834/8-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/118149755.jpg)



1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม  เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น

2. ช็อกโกแลต  ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้

3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหาร สารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4. มันบดและไอศกรีม หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ

5. นักเก็ตไก่ ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา

6. หัวหอมดิบ  หัวหอมนั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง  ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7. ถั่ว  เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด

8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล  Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ

ขอขอบคุณที่มาอ้างอิงจาก วิชาการ.คอม

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 09:37:21 am
ผักพื้นบ้าน โภชนาการสูง ปลอดภัย ไร้สารพิษ

-http://health.kapook.com/view80976.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Vegetable/Thai/chamuang.jpg)


ใบชะมวง


ผักพื้นบ้าน โภชนาการสูง ปลอดภัย ไร้สารพิษ (สสส.)
โดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th (http://www.thaihealth.or.th)

          ผักพื้นบ้านเกี่ยวข้องกับวิถีการกินอาหารของคนไทยมาช้านาน เพราะส่วนใหญ่เป็นผักที่หาได้ง่าย หรือเรียกว่า "ผักสวนครัว รั้วกินได้" แต่ปัจจุบันกลับมีคนรู้จักผักพื้นบ้านไม่มากนัก ด้วยส่วนใหญ่มักจะบริโภคแต่ผักสามัญทั่วไปที่พบเจอได้ตามท้องตลาด

          รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในผู้ที่สนใจเรื่องผักพื้นบ้าน โดยเฉพาะผักพื้นบ้านประจำภาคใต้ บอกเล่าความเป็นมาของการศึกษาโภชนาการกับผักพื้นบ้านว่า ตนมีลูกศิษย์เป็นคนใต้ และเขาเองก็สนใจเรื่องผักพื้นบ้านภาคใต้ และพบว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่กลับไม่ค่อยรู้จักผักพื้นบ้าน จากที่เมื่อก่อนมีอยู่ในทุกมื้ออาหาร

          "เหตุที่ผักพื้นบ้าน ค่อย ๆ หายไปนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผักมีประโยชน์ และคุณค่าทางสารอาหารมากแค่ไหน เนื่องจากผักทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากกว่า เพียงเดินตามท้องตลาดก็หาซื้อได้ง่าย ส่วน "ผักพื้นบ้าน" เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนั้นจึงเกิดความคิดว่า ทำอย่างไรคนรุ่นใหม่จึงจะรู้จักคุณค่าของผักพื้นบ้าน และพบว่าสิ่งที่จะชักจูงให้เขาสนใจมากที่สุดคือ "คุณค่าทางโภชนาการ" นั่นเอง" รศ. ดร.รัชนี บอกเพิ่มเติม

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Vegetable/Thai/liang.jpg)

ผักเหลียง


 พฤกษเคมี คุณค่าผักพื้นบ้าน

          เมื่อเริ่มทำการศึกษาวิจัย รศ.ดร.รัชนี พบว่า ผักพื้นบ้านมีสารอาหารสูงกว่าผักตามท้องตลาดมาก บางชนิดมากถึงสิบเท่า โดยเฉพาะ "สารพฤกษเคมี" หรือ "ไฟโตนิวเทรียนท์" สารชนิดนี้มีบทบาทอย่างมากในการยับยั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างเช่น โรคมะเร็ง หัวใจ ความดัน เป็นต้น และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อม และกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จะมีในผักพื้นบ้านค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะผักที่มีรสขม ผักทั่วไปหาไม่ค่อยพบ มีในผักพื้นบ้านภาคใต้ เช่น มันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ ผักเลียงน้ำ หรือ ผักเหลียง ผักหนาม ฯลฯ

ฟลาโวนอยด์

          สารต้านอนุมูลอิสระส่วนใหญ่ที่อยู่ในรูปของฟลาโวนอยด์ กลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งทำให้อนุมูลอิสระเหล่านั้นสลายไป ไม่สามารถทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ มีมากในพวกผักใบ เช่น เลียงน้ำ มะม่วงหิมพานต์

สารแอนโทไซยานิน

          ถ้าได้รับในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้สามารถยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง ช่วยชะลอริ้วรอยได้ ผักทั่วไปมักพบได้ในกะหล่ำปลีสีม่วง แต่ถ้าผักพื้นบ้านก็จะมี ผักเหลียง มันปู ใบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใบชะมวง ผักหนาม


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Vegetable/Thai/mara.jpg)

 กินผักเพื่อป้องกันโรค ไม่ใช่รักษา

          รศ.ดร.รัชนี บอกว่า การกินผักให้เป็นยา คือ การกินให้ถูกวิธี ให้พอเหมาะพอควร และครบในทุกมื้ออาหาร อีกทั้งควรกินผักให้หลากหลายหมุนเวียนกันไป เพียงเท่านี้ก็เป็นยาอายุวัฒนะให้กับร่างกายแล้ว เพราะเรากินผักเพื่อป้องกันโรคไม่ใช่รักษาโรค

          หากยกตัวอย่างผักที่มีสรรพคุณเป็นยาชัดเจนนึกถึง "มะระขี้นก" นำผลสดปั่นเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ต้องกินเป็นประจำทุกวันด้วย

          อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ แนะนำเพิ่มเติมว่า ผักพื้นบ้านเป็นผักที่ปลอดสารพิษ หากกินทุกวันก็เป็นยาไปในตัว นำมาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหารอย่างเช่น ผักเหลียงผัดกับไข่ ผักเหนาะจิ้มน้ำพริก แกงใบชะมวง ฯลฯ

          นอกจากอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ด้วย ยิ่งกินผักทุกมื้ออาหาร มากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ต้องกินให้หลากหลาย เพราะผักมีคุณค่าสารอาหารที่แตกต่างกันไป กินให้ได้ 3-4 ส่วนของมื้ออาหาร เหมาะสมตามช่วงวัย และควรกินเป็นผักสดเพราะสารอาหารจะไม่ถูกทำลาย ที่สำคัญคือ ควรเพิ่มผักพื้นบ้านในทุกมื้อด้วย เพราะผักพื้นบ้านเป็นแหล่งใยอาหาร เกลือแร่ วิตามิน และสารพฤกษเคมีต่าง ๆ ที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีกด้วย

          การบริโภคผักพื้นบ้าน นอกจากได้รับคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย ไร้สารพิษแล้ว ยังเป็นการนำวิถีการกินอาหารของคนไทยกลับคืนมา


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/38628-


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 07:39:29 pm
แอปเปิ้ลวันละลูก... เริ่ดจริง ไม่ได้โม้

-http://campus.sanook.com/1370613/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81...-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-

ผลไม้ชนิดนี้ทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แคลอรีต่ำเส้นใยสูง แถมไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังยืนยันว่า กินแอปเปิ้ลแค่วันละลูกสามารถลดความเสี่ยงหัวใจวายและเส้นเลือดอุดตันได้ดีพอๆกับยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (Statin) แล้วยังดีกว่าตรงที่ไม่มีผลข้างเคียงเช่น โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เบาหวาน ตามมาเหมือนกับการใช้ยาด้วย

(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370613/health-bulletin1.jpg)

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 08:16:59 pm
สมุนไพรกับโรคหอบหืด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 มกราคม 2557 18:07 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009347-

 โดย...ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
       หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม
       โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
       
       โรคหอบหืด เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคหอบหืดนั้นมีมากขึ้น เช่น มลภาวะและอากาศที่เป็นพิษที่มีอัตราสูงขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศ รวมถึงสภาพความเป็นอยู่แบบเมืองซึ่งแออัดทำให้มีการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อทางเดินระบบหายใจได้ง่าย และการเพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรที่นิยมสูบบุหรี่ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยมีแนวโน้มของผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
       
       โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ซึ่งมีผลทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมของผู้ป่วยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีดหรือหอยเหนื่อย เกิดขึ้นทันทีเมื่อได้รับสารก่อโรคหรือสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ หรือแม้กระทั่งอากาศที่เย็น ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นอาจหายได้เองหรือหายโดยการใช้ยาขยายหลอดลม
       
       ผู้ป่วยโรคหอบหืดบางรายอาจมีอาการเกิดขึ้นเพียงปีละ 1 - 2 ครั้ง แต่ในบางรายอาจมีอาการเรื้อรังตลอดปี และมีความจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาที่ใช้ในโรคนี้ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการ เช่น การใช้ยาพ่นประเภทสเตียรอยด์อย่างไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื่อราในช่องปากได้ หรือการรับประทานสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานก็มีผลต่อการทำงานของไต รวบทั้งยับยั้งการเจริญเติบโตในผู้ป่วยเด็กได้ การใช้ยาขยายหลอดลมบ่อยๆ ก็มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็วได้ เป็นต้น ดังนั้น การปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง และใช้ยาสมุนไพรที่มีอยู่รอบๆ ตัว ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคนี้
       
       ผู้ป่วยโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ตนเองแพ้ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ โดยตัวผู้ป่วยหรือญาติอาจจะสังเกตุ หรือทำการทดสอบทางผิวหนังดูว่าแพ้อะไร ในระว่างมีอาการควรใช้ยาที่ถูกต้องโดยเฉพาะยาพ่น ควรหลีกเลี่ยงจากอากาศเย็น อาหารเย็น รวมทั้งน้ำเย็น เพราะความเย็นจะทำให้เสมหะจับจัวกันได้ง่าย ซึ่งเสมหะจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการจับหอบได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายได้เช่นกัน
       
       สำหรับสมุนไพรที่มีการบันทึกในตำรายาโบราณว่าช่วยรักษาหอบหืดได้ผล เช่น “ปีบ” หรือที่ทางเหนือเรียกว่า กาซะลอง เป็นพืชตระกูลเดียวกับแค และรับประทานได้เช่นเดียวกับดอกแค ในทางยา ดอกปีบได้ถูกนำมาใช้แก้หอบหืด โดยใช้ดอกแห้งมวนด้วยใบบัวหลวงหรือใบตองนวลเป็นบุหรี่สูบแก้หอบ มีการวิจัยพบว่าในดอกปีบมีสารฮีสปีดูลิน (Hispidulin) ซึ่งระเหยได้ มีฤทธิ์ขยายหลอดลมได้ดีกว่า อมิโนฟิลลีน (Aminophylline) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่ช่วยรักษาโรคหอบหืด และไม่มีความเป็นพิษแต่อย่างใด ทางภาคเหนือและอีสานใช้รากปีบต้มกินแก้ไอ และยังเชื่อว่ารากปีบมีสรรพคุณบำรุงปอด นอกจากนี้แล้ว ดอกปีบยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในยาแก้ริดสีดวงจมูกอีกด้วย
       
       “หนุมานประสานกาย” หรือสังกรณี มีสรรพคุณหลักในการแก้แพ้อากาศ แก้หอบหืด หลอดลมอักเสบ ขยายหลอดลม หวัด เจ็บคอ ไอเรื้อรัง เป็นสมุนไพรที่น่าจับตามอง เพราะสามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคในระบบทางเดินหายใจระยะยาวได้ ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ญี่ปุ่นก็มีการใช้ในรูปแบบชาชงเพื่อบรรเทาอาการไอ แก้หลอดลมอักเสบและหอบหืด การใช้ใบหนุมานประสานกายให้ใช้ใบสดล้างให้สะอาดเคี้ยวครั้งละ 2 ใบ กลืนน้ำจนกว่ากากยาจะจืดจึงคายทิ้ง หรือกลืนลงไปเลยก็ได้ เคี้ยววันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้า และเย็น การใช้ใบแห้งให้ใช้ 1 - 3 ใบชงน้ำดื่มแทนชา หรือถ้าต้มใช้ประมาณ 7 - 8 ใบต้มกับน้ำ 4 แก้ว ปล่อยให้เดือดเบาๆ จนน้ำงวดเหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งกินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า - เย็น หากต้องการดื่มทั้งวัน ใช้ใบเพสลาดสดหรือแห้ง หรือรวมกันทั้งสองอย่างราว 7 ใบ ต้มกับน้ำ 7 แก้ว เพียง 10 นาที ใช้ดื่มต่างน้ำ ในบางคนอาจเกิดอาการแพ้ มีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่สะดวก เวียนศรีษะ คลื่นไส้ ต้องหยุดใช้ยาทันที ฤทธิ์ดังกล่าวเกิดจากการใช้ใบสดมากกว่าใบแห้ง คนที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตต่ำหรือสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
       
       นอกจากนี้ รางจืด และชุมเห็ดเทศ ก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีการนำมาใช้ในโรคหอบหืด เพราะในทฤษฎีแพทย์แผนไทย เชื่อว่าการเกิดโรคหอบหืดนั้น มาจากการที่ร่างกายมีการสะสมของเสียไว้ ดังนั้น การรักษาโรคนี้ก็มุ่งไปที่การขับของเสีย ยาในกลุ่มขับพิษและยาระบายจึงถูกนำมาใช้ ซึ่งในผู้ป่วยหลายรายใช้แล้วได้ผลดี
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 05:08:30 pm
จีนห้ามขาย “เซียงจา” เหตุมีสารก่อมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มกราคม 2557 17:28 น.


-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008627-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000894601.JPEG)

(ภาพจาก travel.truelife.com)


       ขนม “เซียงจา” ถูกทางการจีนสั่งห้ามจำหน่ายเนื่องจากใช้วัตถุเพิ่มสีแดง ที่มีสารก่อมะเร็งผสมอยู่
       
       ขนม “เซียงจา” หรือ “บ๊วยแผ่น” ซึ่งเป็นขนมยอดฮิตในช่วงวัยเด็กเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ลักษณะจะเป็นแผ่นกลมๆ สีแดงๆ บรรจุอยู่ในห่อกระดาษสีสันสดใส รสชาติหวานอมเปรี้ยว ทำมาจากพุทราจีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเซียงจา (หรือ ซานจา) หรือ ฮอว์เบอรี่
       
       ล่าสุดนี้ ทางการจีน โดยสำนักความปลอดภัยด้านอาหาร ได้ประกาศรายชื่ออาหารที่ไม่ได้มาตรฐานในช่วงเทศกาลตรุษจีนออกมาทั้งสิ้น 19 รายการ ซึ่งในจำนวนนี้มีขนมเซียงจา และของกินที่ทำจากพุทราจีนอื่นๆ อีก 8 ยี่ห้อรวมอยู่ด้วย
       
       สาเหตุเนื่องจากมีการตรวจพบว่าขนมดังกล่าวมีการผสมสารเพิ่มสีแดงที่มีสารก่อมะเร็งผสมอยู่ โดยขนมที่พบว่ามีสารก่อมะเร็งผสมอยู่นั้นมาจาก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ บริษัทชิงโจวอี้ว์ป๋อสือผิ่น บริษัทเป่ยจิงจางหยังซางเม่า และ เป่ยจิงรุ่ยอี๋ชุนสือผิ่น
       
       และทางสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารยังออกคำเตือนมายังประชาชนให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อขนมที่ทำจากพุทราจีนด้วย หากพบว่ามีสีแดงมากเกินไป หรือมีรสชาติหวานมากเกินไป อาจจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ประชาชนควรหลีกเลี่ยงที่จะบริโภค
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 08:48:05 pm
7 คุณประโยชน์ “ผลไม้ไทย” ช่วยต้านอนุมูลอิสระ-ลดเสี่ยงมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 มกราคม 2557 17:57 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009547-

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกิน “ผลไม้” เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายจริงๆ เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งคนส่วนมากก็จะรับรู้เพียงเท่านี้ หรืออาจจะรู้เพิ่มขึ้นมาอีกนิด เช่น มะเขือเทศ มีไลโคปีน ส้ม มีวิตามินซี


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000988401.JPEG)

    แต่หลายคนอาจสงสัยว่ากินผลไม้แล้ว จะช่วยทั้งต้านสารอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ป้องกันโรคนั้นโรคนี้ได้ มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ถ้าจริงแล้วหลักฐานล่ะอยู่ที่ไหน วันนี้ ASTVผู้จัดการออนไลน์ มีคำตอบ
       
       ในงานประชุมวิชาการแห่งชาติด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 1 ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน บุณยะประภัศร จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อธิบายว่า ผลไม้ไทยอุดมไปด้วยพฤกษเคมีมากถึง 7 ชนิด ได้แก่
       
       1.ใยอาหาร มีประโยชน์ในการขับถ่าย ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้เร็วจึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดอนุมูลอิสระ ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน
       
       2.คาโรตินอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยกรองแสงยูวีสีน้ำเงิน ลดความเสี่ยงในการเป็นต่อกระจก
       
       3.ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์กลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์มีฤทธิเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง กลุ่มแคทธิชิน ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก และกลุ่มแอนโทไซยานิน ซึ่งมีสีแดงยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเซลล์ประสาท และบำรุงสายตา
       
       4.กรดฟินอลิค มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นเอนไซม์ที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดปริมาณออกซิไดซ์แอลดีแอล ต้านการก่อกลายพันธุ์
       
       5.กรดอินทรีย์ เป็นสารที่ให้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
       
       6.เทอร์ปีน เป็นสารที่ให้กลิ่นหอมมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง
       
       และ 7.พรีไบโอติก ประกอบด้วย อินนูลิน และโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยให้แบคทีเรียก่อโรคและมีประโยชน์สมดุลกัน และทำให้เกิดเมตาโบไลท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
       
       “ผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมีเหล่านี้เป็นจำนวนมาก อาทิ ส้ม ส้มโอ มีวิตามินซีสูง มีสารคาโรทินอยด์ ฟลาโวนอยด์ และกรดอินทรีย์, สับปะรด มีสารคาโรทินยอด์ ใยอาหาร กรดอินทรีย์, กล้วย มีแคทธิชิน ฟลาโวนอยด์ ใยอาหาร อินนูลิน และทับทิม มีแอนโทไซยานิน กรดฟินอลิค เป็นต้น ที่สำคัญผลไม้บางชนิดมีการวิจัยในคนชัดเจนว่ามีประโยชน์จริงๆ เช่น ส้ม ป้องกันเส้นเลือดเปราะ กล้วย ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มะเฟือง ยับยั้งการอักเสบและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีทั้งในหลอดทดลองและการศึกษาในผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งปริมาณการกินแนะนำว่าควรกินให้เหมาะสม และกินแบบสดๆ ไม่ผ่านการแปรรูปซึ่งต้องผ่านความร้อน จะส่งผลให้สารเคมีในผลไม้เหล่านี้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนสภาพไป ก็จะไม่ได้รับประโยชน์เท่ากินสดๆ” ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน กล่าว



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2014, 09:42:38 pm
กินอะไรดีไม่ให้ (ผิว) เหี่ยว

-http://club.sanook.com/22232/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%B5-


สาวๆ ท่านใดที่ไม่อยากต้องเผชิญกับผิวและร่องร่อยที่เหี่ยวย่น Sanook Club มีเคล็ดลับ 3 ผลไม้ต้านรอยย่น มากฝาก


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/160053611.jpg)



    ‘เกรปฟรุต’ เป็นผลไม้จำพวกเดียวกับส้มและมะนาว อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นประโยชน์กับตับ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังมีกรดซาลิไซลิก ที่สามารถละลายแคลเซียมซึ่งตกผลึกอยู่ตามข้อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบ

 

    ‘กีวี’ อุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง หากรับประทานในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงจะไม่ทำให้เป็นโรคหวัด

 

     ‘สัปปะรด’ มีโบรเมลิน เอ็นไซม์ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล สัปปะรดอุดมไปด้วย วิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)

-----------------------------------------------------------------------------



ประวัติ มาการอง ขนมหลากสีสันสุดฮิต

-http://cooking.kapook.com/view80363.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เมื่อไม่นานมานี้ ขนมรูปทรงกลม ๆ สีสันหลากสีสวยเตะตา สอดไส้ไปด้วยครีมรสชาติต่าง ๆ กลายเป็นขนมหวานสุดฮิตของบ้านเราไปแล้ว หลายคนมักจะเห็นภาพมาการององผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่าง อินสตราแกรม เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ อยู่บ่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครที่ได้ซื้อมาการองมากิน สีสันสวยหวานของมาการองจะสะกดจิตให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชะรูป อวดให้คนทั้งโลกได้รับรู้กันสักหน่อย ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงอดใจไม่ไหวบ้าง เลยขอนำประวัติความเป็นมาของขนมมาการองสีสันสวย ๆ มาให้ทุกคนได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันค่ะ

           มาการอง (Macaron) เป็นขนมสัญชาติฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นเศรษฐกิจของฝรั่งเศสค่อนข้างย่ำแย่ ถือเป็นยุคข้าวยากหมากแพงเลยก็ว่าได้ มีมิชชั่นนารีชาวอิตาเลียนอยู่คนหนึ่ง นำอัลมอนด์ ไข่ขาว และน้ำตาล มาปรุงเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ราคาไม่แพง แถมยังมีคุณค่าทางสารอาหารเทียบเท่าเนื้อสัตว์ด้วย และหนึ่งในอาหารเหล่านั้นก็มีขนมมาการองอยู่ด้วย ที่ใช้อัลมอนด์บด น้ำตาลทราย และไข่ขาว มาตีรวมกันจนได้เนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำไปอบในเตาอบจนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ นำมาประกอบขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายจานบินเล็ก ๆ มีรสชาติหอมหวาน กรอบนอก แต่ด้านในนิ่มละลายในปาก ความอร่อยที่ลงตัว แถมราคาถูกแบบนี้ จึงส่งผลให้มาการองกลายเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก ๆ ในยุคนั้น

          ต่อมา ปิแอร์ เออร์เม่ (Pierre Hermé) เจ้าพ่อวงการขนมหวานได้สรรค์สร้างไส้มาการองจากผลไม้หลากหลายชนิดทั่วโลก แล้วนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันเหมือนแซนด์วิช เพิ่มความกลมกล่อมลงตัวให้ขนมมาการองมีความโดดเด่นขึ้นอีกมาก จนฮิตติดใจคนทั่วโลก จนได้ยกให้เป็นมาการองที่อร่อยที่สุดในโลกไปเสียแล้ว

          เสน่ห์ของขนมมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเพียงเท่านั้น แต่มาการองที่ดีต้องมีรูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ที่สำคัญรอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงต้องบางกรอบ รวมทั้งต้องมีกลิ่นหอมหวาน รสชาติไส้ต่าง ๆ ต้องซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยเคล็ดลับนำมาการองไปแช่เย็น 1 คืน ก่อนนำมารับประทาน เพราะความชื้นจากไส้จะทำให้มาการองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวนั่นเองค่ะ

          พอรู้ที่มาและประวัติที่น่าสนใจแบบนี้แล้วก็อยากจะรีบไปซื้อมาการองมากินเสียเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว ว่าแต่มีสี มีไส้ให้เลือกเยอะแยะขนาดนี้ จะเลือกซื้ออันไหนดีนะ อิอิ ^^

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขนมมาการอง -https://sites.google.com/site/khnmmakarxng/prawati-khnm-ma-kar-xng-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 28, 2014, 05:57:25 am
ผมว่า ไม่เกี่ยวกันกับหัวข้อเรื่อง

แต่ขอลงน๊ะครับ



--------------------------------------------------------------------------

อาหารมงคล ทานแล้วจะโชคดี


-http://horoscope.sanook.com/1396134/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5/-

(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/279/1396134/b22.jpg)

คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากในช่วงต้นปีแบบนี้จะเห็นผู้คนส่วนใหญ่นิยมเสริมดวงด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะทำบุญ ไหว้พระ รวมไปถึงการทานอาหารมงคลที่แต่ละประเทศมีความเชื่อกันว่าเมื่อทานแล้วจะเกิดมงคล ความโชคดีและสำหรับคนที่อยากรู้ข้อมูลของอาหารมงคลแต่ละชนชาติ Sanook! Horoscope รวบรวมอาหารมงคล 11 อย่าง ที่ทานแล้วจะโชคดีมาฝากกันค่ะ

ไทย ขนมตระกลูทอง เช่น ทองเอก ฝอยทอง ทองหยด เพราะมีความเชื่อว่าจะเพิ่มสิริมงคล โชคลาภเงินทอง

ญี่ปุ่น นิยมทานกุ้งตามความเชื่อแล้วว่าจะมีอายุยืนยาว

บราซิล คือซุปถั่วเพราะถั่วถือเป็นอาหารนำโชคและนำมาซึ่งเงินทอง

โปรแลนด์ เลือกปลาแฮร์ริ่งเสิร์ฟขึ้นโต๊ะต้อนรับโชคดีวันปีใหม่

เดนมาร์ก นิยมกินสตูผักคะน้าโรยน้ำตาลและชินนามอน(อบเชย)ตามความเชื่อที่จะช่วยให้ร่ำรวยเงินทอง

นอร์เวย์ มีประเพณีกินพุดดิ้งข้าวสอดไส้ถั่วอัลมอนด์มีความเชื่อว่าหากตักเจอเมล็ดถั่วก็จะโชคดี

คนเยอรมัน นิยมกินกะหล่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าและมีความเชื่อว่ารูปร่างใบกะหล่ำที่เรียงตัวซ้อนกันเปรียบเสมือนปึกธนบัตร

ตุรกี จะกินผลไม้สีแดงสวย เช่น ทับทิม ซึ่งจะนำโชคมาให้ในปีใหม่

ชาวยุโรป เชื่อว่ากินโดนัทจะโชคดี บางคนว่าจะได้กลับไปคืนดีกับคนรู้ใจ

ฮังการี ออสเตรีย สวีเดน อเมริกา จะกินเลกูมส์หรืออาหารรวมถั่วหลายชนิดจะได้ร่ำรวยเงินทอง

อิตาลี นิยมทานริชอตโตเพราะเป็นเมนูนำโชคดีรับปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีประเพณีการกินไส้กรอกกับถั่วเมล็ดแบนหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม เพราะเป็นอาหารนำโชคนำความสุขความโชคดีมาให้



ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 29, 2014, 09:22:19 pm
1 DAY DETOX

-http://men.sanook.com/1724/1-day-detox/-


ดูดีจากภายใน คำนี้คงได้ยินกันจนชินหู แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะดูดีจากภายใน ให้โดดเด้งออกมาถึงภายนอกได้ งั้นลองมาเริ่มจากการดีท็อกซ์ หรือ ขับสารพิษกันมั้ยครับ เริ่มง่ายๆ ด้วยการล้างพิษร่างกายใน 1 วัน ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปถึงสปาครับ

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 kcal เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียน และสับปะรด

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไปครับ

 

ข้อมูลจาก : คลินิกหมอสมุนไพรออนไลน์



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 29, 2014, 09:23:57 pm
3 ประโยชน์เลิศของโยเกิร์ตไม่ได้โม้!


-http://campus.sanook.com/1370335/3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-


ถ้วยเล็กๆ อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย แม้บางเรื่องจะดูเวอร์ไปนิด แต่เชื่อเถอะว่า จุลินทรีย์...ทำได้

1. สงบอารมณ์ปรี๊ด จะเครียด เหวี่ยง หรือวีนก็หยิบโยเกิร์ตมากินสักถ้วย นักวิจัยจาก UCLA พบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุมอารมณ์จะทำงานได้ดี แล้วอารมณ์ด้านลบทั้งหลายก็จะอยู่ใต้คอนโทรล

2. ป้องกันช่องคลอดแห้ง นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ชี้ว่าการขาดจุลินทรีย์แล็กโตบาซิลัสซึ่งมีอยู่มากในโยเกิร์ตเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะช่องคลอดแห้งของผู้หญิงตั้งแต่วัยเลข 3 ไปจนถึงวัยทอง

3. ลดโอกาส "ฉี่" เจ็บ หากกินโยเกิร์ตเป็นประจำ งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์แมรี่แลนด์ชี้ว่าโอกาสติดเชื้อจนทางเดินปัสสาวะอักเสบจะลดลงประมาณ 30-40%

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 30, 2014, 10:37:41 pm
พริก กับความเผ็ดร้อน ที่ไม่ได้มีอยู่จริง



-http://campus.sanook.com/1370653/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1370653/13909906279168-640x390x2.jpg)

ใครชอบกินเผ็ดบ้างครับ? ใครกินเผ็ดไม่ได้เลยบ้าง? เชื่อไม๊ครับว่าความเผ็ดร้อนของพริกอาจจะพูดได้ว่า "มันไม่ได้มีอยู่จริง"

เรื่องมันเกิดก็ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผมนั่งหน้าเซียวบ่นว่าแสบท้องหลังจาก"จัดหนัก"มื้อกลางวันรสเผ็ดมา ทำไมพริกเม็ดเล็กๆถึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟลวกได้ ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้มีความร้อนอะไรแบบนั้น?(พริกในตู้เย็นก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนได้ไม่ต่างจากพริกในน้ำแกงร้อนๆ) ตัวการของความรู้สึกทรมานนี้มีชื่อว่า แคพไซซิน (Capsaisin) ในพริกนั่นเองครับ

แคพไซซิน เป็นสารเคมีที่พบได้ในพริกและผลของพืชที่มีรสเผ็ด ซึ่งจะมีผลออกฤทธิ์สร้างความปวดแสบปวดร้อนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น(ซึ่งคนเราก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เลยได้อานิสงส์ของแคพไซซินไปด้วย)

ที่บอกว่าความเผ็ดร้อนของพริกนั้นไม่ได้มีอยู่จริงก็เพราะวิธีเกิดความรู้สึกเผ็ดร้อนจากพริก... แบบนี้ครับ... เมื่อเรากินพริก หรือแม้แต่เอาพริกมาทาตามตัว(จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) แคพไซซินที่อุดมอยู่ในพริกก็จะออกมาสัมผัสกับผิวหนัง หรือลิ้นของเรา ที่ผิวหนังและลิ้นของเราก็จะมีหน่วยรับความรู้สึกกระจายอยู่ เมื่อเจ้าแคพไซซินไปจับกับหน่วยรับความรู้สึกเหล่านี้ มันจะกระตุ้นให้เซลล์ประสาทส่ง"สัญญาณลวง"ออกไป ซึ่งโชคไม่ค่อยดีที่"สัญญาณลวง"ที่เกิดจากแคพไซซินนี้ มีหน้าตาไปเหมือนกับสัญญาณของความรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวกหรือเวลาเรามีแผลถลอกครับ เป็นที่มาว่า ทำไมพริกที่ตัวมันเองไม่ได้ร้อนอะไรจึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นได้... ซึ่งเรื่องยังไม่จบตรงแค่นี้ครับ

ร่างกายของเราพอได้รับสัญญาณลวงจากแคพไซซินที่หน้าตาไปพ้องกับสัญญาณของความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล้วก็หลับหูหลับตาเชื่อไปตามนั้นครับ ร่างกายจึงมีปฎิกิริยากับบริเวณที่ส่งสัญญาณลวงออกมาเหมือนโดนไฟลวกหรือเป็นแผลถลอกจริงๆ นั่นก็คือหลอดเลือดขยาย เพื่อนำเม็ดเลือดขาวมาเตรียมรอต่อสู้กับเชื้อโรค(ที่อาจจะเข้ามาทางแผลนั้น) ทำให้มีเลือดมาคั่ง บวม แดง บริเวณที่โดนพริกนั่นเองครับ

แล้วในเมื่อพริก(อันที่จริงคือแคพไซซินในพริก) ทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อนทรมาณ ทำไมบางคน(เช่นผม)ถึงนิยมชมชอบอาหารรสเผ็ดอันแสนจะทรมานนี้? บางครั้งเห็นพริกแล้วตาลุกเหมือนว่าเสพติดพริกอะไรแบบนันก็มี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดจากการเชื่อมโยงความรับรู้ผิดๆของเราอีกนั่นแหละครับ... เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารรสเผ็ดเข้าไป แคพไซซินก็แผลงฤทธิ์ สร้างความรู้สึกเผ็ดร้อนขึ้นในปากในจมูกท่วมท้นไปหมด เมื่อร่างกายทรมานกับความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น ก็มีมาตรการรับมือกับความเผ็ดร้อนนี้ โดยจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน(endorphin)ออกมาเพื่อระงับความทรมาน เอนดอร์ฟินเป็นสารแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้ม และมีฤทธิ์เสพติด เราซึ่งไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเอนดอร์ฟิน ได้แต่รับรู้ถึงความเผ็ดร้อนและอาการเคลิ้มที่ตามมา จึงเหมาเอาว่า พริกนั้นให้ความรู้สึกดีเวลากินเข้าไปนั่นเองครับ...


By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 05:56:31 am
เคล็ดวิธีปรับเมนูของไหว้ตรุษจีน กินปลอดไขมันในเลือดสูง
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   29 มกราคม 2557 09:54 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010598-

By Lady Manager
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่คนในครอบครัวมาเจอกันพร้อมหน้า เพื่อไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นก็จะร่วมกินอาหารไหว้อย่างมีความสุข
       
       สุขปาก ทว่าอาจจะไม่สุขกายสุขใจถ้ายึดกินแต่เป็ด ไก่ หมูสามชั้น ฯลฯ ปัญหาไขมันในเลือดขึ้นสูง จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่สูงวัย หรือแม้แต่คุณๆ วัยทำงานเอง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098001.JPEG)

       “ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่กินกันจนอิ่มเกินพอดี เนื่องจากการกินอาหารหลายมื้อ ประกอบด้วยอาหารหลากหลายที่ส่วนใหญ่ไขมันสูง ยิ่งกินกับลูกหลานยิ่งสนุกจนทำให้กินเพลินจนเกินจำเป็น และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันสูงอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไขมันในเลือดสูงยิ่งขึ้น”
       
       นฤมล วัฒนาโสภณ นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท (แผนกผู้สูงอายุ) กล่าวว่า โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากการกิน
       
       “การเข้าครัวทำอาหารไหว้ หรือซื้อของกินของไหว้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของไขมันสูง จะสามารถช่วยลดปริมาณไขมันที่ผู้สูงอายุรับประทานลงได้มาก”
       
       ของไหว้ขาประจำ คอเลสเตอรอลนำโด่ง แป้งหวานมาเด่น

   
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098002.JPEG)

       เริ่มจากการจัดมื้อไหว้เทพเจ้า (ไป๊เล่าเอี๊ย) ซึ่งจะไหว้กันตอนเช้ามืดช่วงเวลา 07.00-08.00 น.มักจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะสามหรือห้าอย่าง ซึ่งนิยมไหว้กันด้วย หมูสามชั้นต้ม (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่และเป็ดทั้งตัวไม่ตัดขา (คอเลสเตอรอลสูงจากหนังและเครื่องใน), ปลาทั้งตัวไม่ตัดครีบ และหาง, ปลาหมึกแห้ง และตับ (คอเลสเตอรอลสูง) และขนมเข่ง (คอเลสเตอรอลสูงจากน้ำมัน) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
       
       อีกมื้อคือ การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป๊บ๊อ) ไหว้กันในช่วง 09.00 น.ถึงก่อนเที่ยง ซึ่งนิยมไหว้กันที่บ้านของพ่อแม่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มักจะไหว้กันด้วยอาหารที่บรรพบุรุษชอบ
       
       นอกจากนี้ยังมีไก่ทั้งตัวต้ม (หนังมีคอเลสเตอรอลสูง), ขาหมูตุ๋น (คอเลสเตอรอลสูง), เส้นหมี่สดเส้นยาวต่อเนื่องผัด (ไขมันสูงจากน้ำมัน), แกงจืด, ผัดผักนิยมใช้ถั่วงอก, มันแกว และขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง, ขนมถ้วยฟู และน้ำชา ฯลฯ
       
       ส่วนมื้อที่สามที่จะไหว้กันในช่วงบ่าย เป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) ซึ่งนิยมไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3-5 อย่าง (ซาแซ หรือโหงวแซ) เช่น หมู (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่ และเป็ด (คอเลสเตอรอลสูง) และประกอบด้วยของหวาน เช่น ซาลาเปา, ขนมถ้วยฟู, ขนมสาลี่, ขนมไข่, เผือกเชื่อมน้ำตาล (น้ำตาล และแป้ง) และผลไม้ 5 อย่างคือส้มสีเหลืองทอง, องุ่น, กล้วย, สัปปะรด, สาลี่ ฯลฯ
       
       และถ้าจะให้ครบยิ่งขึ้นก็จะมีการไหว้ครั้งที่ 4 คือ การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี๊ย) นิยมไหว้ด้วยขนมอี๊ (สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม ), ผลไม้ 5 อย่าง, ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง, ขนมฮวดก๊วย, ขนมชั้น ฯลฯ
       
       ปรับเมนูไหว้ เลี่ยงเป็ด-เครื่องใน เน้นปลา-ไก่บ้าน
       
       "อาหารตรุษจีนที่เป็นเนื้อสัตว์สามหรือห้าอย่าง ควรเลือกทำจานปลาเป็นจานหลัก เช่น ปลานึ่งกับน้ำจิ้ม ส่วนไก่ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเป็นไก่บ้าน เพราะไขมันน้อยกว่า และควรให้ท่านรับประทานส่วนเนื้ออกที่ลอดหนังออกเพราะเนื้อส่วนอกมีไขมันน้อย” นักโภชนาการนฤมล ให้ไอเดียปรับเมนูไหว้ เพื่อสุขภาพที่ดีและลดเสี่ยงโรคไขมันในหลอดเลือดในช่วงตรุษจีน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098003.JPEG)

       "ถ้าเป็นไปได้ควรให้ท่านเลี่ยงการรับประทานเป็ด (เป็ดมีไขมันมากกว่าไก่หลายเท่า) แต่ถ้าท่านชอบเนื้อเป็ดควรใช้วิธีการลดมันด้วยการย่างเป็ดแบบรีดน้ำมัน และลอกหนังออก รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องในทุกชนิดเพราะมีคอเลสเตอรอลสูง
       
       หมูสามชั้นก็ควรลอกหนังและชั้นไขมันออกก่อนทำอาหารให้ท่านทานเพราะไขมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัว”
       
       นำหมี่มาคลุกน้ำมันแทนการผัด เลือกขนมหวานไม่ใส่มะพร้าว
       
       "จานหลักอีกมื้อคือหมี่ผัด ควรเลี่ยงจากการผัดมาเป็นการคลุกด้วยน้ำมันรำข้าวเพราะการคลุกสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ดีกว่าการผัด และน้ำมันรำข้าวยังดีต่อผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันเพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดปริมาณไขมันเลว (แอลดีแอล) และเพิ่มไขมันชนิดดี (เอชดีแอล)
       
       ควรใส่ผักเยอะๆ จะได้เป็นการลดปริมาณเส้นที่ท่านอาจทานมากเกินไป เพราะเส้นจากแป้งจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจะไปสะสมในเส้นเลือด”


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098004.JPEG)

       สำหรับขนมหวานชนิดต่างๆ โดยเฉพาะขนมเทียน ขนมเข่ง นฤมลแนะนำว่า
       
       "ควรเลือกขนมเข่งแบบไม่มีมะพร้าวเป็นส่วนผสม เพราะในมะเพร้าวก็มีไขมัน และควรทำหรือซื้อที่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อควบคุมการทานของท่าน ควรดูแลไม่ให้ท่านทานมากเกินไป ส่วนขนมสาลี่ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปาก็เช่นเดียวกัน ควรเลือกซื้อแบบขนาดเล็ก เพราะแป้งก็จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในเส้นเลือดได้เช่นเดียวกัน”
       
       เคล็ดวิธีกินให้ปลอดภัย กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
       
       "วิธีในการควบคุมปริมาณการกินที่ได้ผล คือแบ่งอาหารออกมาแค่บางส่วนแค่พอดีรับประทานในแต่ละมื้อจากของไหว้ทั้งหมด ถ้าไหว้ในปริมาณมากสามารถใช้เทคนิคการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้รับประทานในวันอื่นๆ ก็ได้ หรือถ้าคิดว่ารับประทานไม่หมดควรแบ่งให้เพื่อนบ้านเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลมงคล เป็นเทศกาลของครอบครัวที่ทุกคนมาเจอกันอยู่ร่วมกัน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การเลือกหรือเตรียมอาหารของไหว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน" เธอฝากปิดท้าย


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098005.JPEG)
       *คนไทยมีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน*
       
       ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2556) พบมากในผู้ชายที่อายุ 55 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
       
       ไขมันสูงที่เราชอบพูดถึงกันนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะไขมันตัวร้าย (แอลดีแอล) จะไปฝังตัวในผนังหลอดเลือดซึ่งยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังหลอดเลือดหนา ตีบ หรือตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ได้หรือไม่เพียงพอ
       
       ยิ่งไปเกิดในบริเวณที่เป็นอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หรือหัวใจ ก็อาจทำให้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรือตัน และถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
       




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 06:00:55 am
เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   6 กุมภาพันธ์ 2556 08:21 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000014754-

By Lady Manager


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548187)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548188)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548189)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548190)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548191)


     อุบ๊ะ เทศกาลตรุษจีนหมูเห็ดเป็ดไก่จัดมาเต็ม แถมขนมเข่งขนมไข่ ฯลฯ สารพัดขนมของโปรดสาวเราอีกตรึม! ล้วนเป็น อาหารคาวหวานเมนูมงคล สำหรับไหว้และต้องกินเอาเคล็ดทั้งนั้น
       
       แต่ทำไงดี! กลัวอ้วน เกรงเบาหวานความดันโลหิตขึ้น!!
       
       เรามีเคล็ดลับการตะลุยกินตรุษจีนจากคุณหมออายุรวัฒน์ นพ.กฤษดา ศิรามพุช มาบอกต่อค่ะ
       
       จัดซาแซ เสียบกุ้งปลาแทนหมูเป็ด


       ปกติไหว้ของคาว 3 อย่าง เรียกว่า ชุดซาแซ ประกอบด้วย หมู เป็ด ไก่ แต่ถ้าไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า ชุดโหงวแซ ประกอบด้วยหมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา ซึ่งแนะนำให้ไหว้เพียงชุดซาแซ จัดของคาวสัก 3 อย่างพอ เอาเงินไปเน้นซื้อผลไม้ดีกว่านะคะ
       
       “ตัดเป็ดออกเลยครับ เพราะเป็ดมีไขมันมากกว่าไก่” หมอกฤษดาจัดให้
       
       “เอาปลากับกุ้งแทนเป็ดกับหมู”
       
       เพราะปลาหมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเป็นกุ้งมังกร หัวใหญ่มีก้าม ส่งเสริมให้มีอำนาจวาสนา
       
       “เป็นลูกชิ้นปลาก็ได้นะครับ” ให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนา
       
       ถ้าเป็นลูกชิ้นปลา ตามภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ ได้มงคลสองเด้ง เหลือกินเหลือใช้กับกลมๆ ซึ่งคนจีนตีความว่า เป็นความราบรื่น ทำกิจการงานใดก็ไม่สะดุด
       
       ปลิงทะเล หัวหมู บาทาไก่ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด ดูดซึมคอลลาเจนได้ดี


       อย่ายี้ค่ะ ถ้าเราจะแนะให้คุณสาวๆ กินตีนไก่ หรือหัวหมู หรือบ้านไหนร่ำรวยจัดปลิงทะเลไหว้เจ้า และนำมาทำเมนูเด็ด ไม่ว่าปลิงทะเลตุ๋นหม้อดิน หรือปลิงทะเลน้ำแดง เพื่อนสาวห้ามพลาดเลยนะคะ
       
       “คนมักคิดว่าหัวหมูตัวอ้วน แต่จริงๆ แล้ว มันคือ แหล่งคอลลาเจน คนฝรั่งเศสถึงขนาดเอาหัวหมูไปเคี่ยวและทำเยลลีหัวหมู” คุณหมอกฤษดา เผยต่อ
       
       “ปลิงทะเล บาทาไก่ ก็มีคอลลาเจนเยอะ รวมทั้งอาหารทะเลต่างๆ กุ้งหอยปูปลา แต่วิธีกินให้ได้ผลดูดซึมคอลลาเจนได้ดีคือ ต้องกินร่วมกับวิตามินซี
       
       การกินร่วมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่บีบมะนาวเป็นวิธีดีที่สุดครับ หรือกินเสร็จกินส้มล้างปากด้วยก็ได้ครับ”
       
       โห ถูกใจมากเลยค่ะ เนื่องจากสาวส่วนใหญ่ชอบรสเปรี้ยวต้องจิ้มแก้เลี่ยนอยู่แล้ว
       
       เน้นขนมไหว้ที่ประกอบไปด้วยธัญพืช แกล้มน้ำชาน้ำสมุนไพร

เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
       หากดูรายชื่อขนมไหว้ อุ้ย มากมายหลากหลายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมเทียน ขนมเข่ง ขนมไข่ ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปา เป็นต้น
       
       “ขนมพวกนี้หนักแป้ง และออกหวานด้วย” คุณหมอกฤษดา แนะ
       
       “ควรเน้นขนมที่มีถั่ว มีธัญพืช อย่าง ขนมจันอับที่มีงาถั่วธัญพืช ขนมคอเป็ดที่เป็นงา ขนมตุ๊บตั๊บที่ใส่ถั่ว หรือเม่งทึ้งที่ทำจากงาดำ จำง่ายๆ ขนมที่ต้องเคี้ยวเยอะๆ เพราะว่ามันมักจะมีใยอาหารเยอะด้วยครับ และอาหารพวกนี้จะช่วยดักน้ำตาลครับ และดักคราบไขมันทั้งหลายด้วยครับ”
       
       และหากกินขนมเหล่านี้ พร้อมจิบชาด้วย ยิ่งเพิ่มคุณประโยชน์แก่สุขภาพ
       
       “สังเกต คนจีนจะกินขนม เขาจะเจียะเต๊ด้วย เออมันตัดรสหวานดีนะ แต่จริงๆ แล้ว มีเหตุผลมากกว่านั้น ตัวน้ำชามีสารแทนนิน (Tannin) เป็นตัวช่วยลดการอักเสบ และมีกลุ่มของโพลีฟีนอล (Pholyphenols) คือ ตัวที่ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดไขมันด้วยครับผม”
       
       คุณหมอยังบอกด้วยว่า นอกจากชาจีน จะเป็นชาเขียว หรือชาสมุนไพรอื่นๆ อาทิ ชาตะไคร้ ชามะตูม หรือแม้กระทั่งเก๊กฮวยก็ได้
       
       “พวกนี้ช่วยลดความดันลดไขมันด้วยครับ”
       
       กินเลี้ยงตรุษจีนเสร็จขยับกาย จัดวันล้างพิษ


       หลังกินเลี้ยงตรุษจีนแล้ว คุณหมอกฤษดาแนะว่า ควรขยับร่างกายออกไปเดินย่อยอาหารบ้าง
       
       สาวๆ อาจไปเดินช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า เพื่อลดอันตรายจากไขมันและส่วนเกินจากอาหารมื้อมงคล
       
       “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อถัดไป ควรลดพวกที่เราหนักไปมื้อแรก เช่น มื้อแรกกินไก่ต้ม มื้อถัดไปอาจจะไปหนักที่ผลไม้ เพราะในชุดไหว้ก็มีผลไม้ อย่างส้ม เป็นผลไม้มงคลด้วยและช่วยล้างพิษไขมันด้วย” ที่สำคัญ คุณหมอกฤษดา แนะให้จัดวันล้างพิษทันทีหนึ่งวัน
       
       “คือ ในวันนี้ไม่กินเนื้อแดงเลย หลีกเลี้ยงพวกแป้งได้เลยยิ่งดี เน้นทานผักผลไม้ หรือกินแอปเปิ้ลอย่างเดียว หรือส้มอย่างเดียว หรือสัปปะรดอย่างเดียว ล้างพิษไปเลยหนึ่งวัน”
       
       ไอเดียเริ่ด! จัดเต็มกินผลไม้มงคลปิดท้าย แอปเปิ้ล แปลว่า โชคดีราบรื่น ส้มสีทองเป็นมหามงคล สับปะรดก็นำโชคลาภเข้ามาหา แถมเสริมวิตามินได้สุขภาพ
       
       ขอเพียงรู้จักเลือก รู้จักตัดใจ และรู้จักบังคับตัวเอง
       
       ตรุษจีนปีนี้ รับรองคุณสาวๆ เฮง เฮง รวย รวย และสวย สวย สุขภาพแข็งแรงทุกคนค่ะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 10:06:47 am
มาสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูกกัน

-http://club.sanook.com/23203/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%A2-

6 วิธีสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูก

การขับถ่ายที่ไม่ค่อยจะปกติ มักจะสร้างปัญหาและความรำคาญใจให้คุณๆอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ นั่นอาจเป็นเพราะเรากินอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป อาหารที่มีกากใยสูงนั้นจะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ถ้าหากเรากินกากใยน้อยเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวง ทวาร และความผิดปกติอื่นๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน เรามี 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกินกากใยอาหารให้ได้มากมาแนะนำค่ะ


1.     สร้างเป็นนิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหาร้านอาหารสุขภาพที่มีข้าวกล้องขายสำหรับมื้ออื่นๆ นอกบ้านด้วย

2.     กินผักและผลไม้ให้มากๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาด และถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกผลไม้ชนิดที่รับ ประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิล ฝรั่ง และองุ่น

3.     พยายามกินผักที่กินทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านผักนั้นแข็ง ให้ปอก เปลือก ออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจาก นั้นอย่าลืมหัดกินผักดิบ โดยกินร่วมกับน้ำพริก ใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่นก็อร่อยและได้ประโยชน์

4.     กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้คั้น ส้มสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้าส้มคั้นถึง 6 เท่า

5.     เติมถั่วชนิดต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัด แกงต่างๆหรือสลัด

6.     เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้ม ฟักทอง หรือเผือกต้ม เพียงเท่านี้คุณจะลืมเรื่องท้องผูกไปได้เลย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมประชาสัมพันธ์


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 10:12:54 pm
เม็ดพริกไทยดำทำอะไรได้อีกบ้างนะ

-http://campus.sanook.com/1370651/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370651/111111111111111.jpg)


คุณรู้หรือไม่ว่าเมล็ดพริกไทย นอกจากเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว พริกไทยดำยังมีประโยชน์ในงานบ้านด้วยวิธีต่อไปนี้

- ผสมพริกไทยป่น 1 ช้อนชา ลงในกะละมังซักผ้าสี พริกไทยจะช่วยรักษาให้ผ้าของคุณคงสีสันสดสวย และไม่ซีดจางง่ายๆ

- โรยเม็ดพริกไทยดำไว้ในบริเวณที่มดใช้เป็นทางผ่าน จะช่วยไล่มดออกจากเขตที่คุณโรยพริกไทยกั้นไว้ หรือจะใช้ผงอบเชยก็ได้เหมือนกันนะ

- ส่วนของบ้านใครที่มักมีแมลงต่างๆ และกระรอกแวะมาป้วนเปี้ยนและทำให้ต้นไม้เสียหาย ผสมพริกไทยดำในอัตราส่วนเท่าๆ กับน้ำ แล้วฉีดพ่นลงบนต้นไม้ในสวน นอกจากนี้ พริกป่นปาปริก้าก็ช่วยป้องกันสวนของคุณจากสัตว์เล็กๆ เช่นกระรอกน้อยได้ด้วย





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:01:11 pm
6 สมุนไพรที่ลำไส้ขาดไม่ได้!

-http://club.sanook.com/23331/6-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84-


หากคุณเป็นคนนึงที่ประสบปัญหากับอาการปวดท้อง จุกเสียด อยู่เป็นประจำ ลองหันมารับประทานอาหารที่ประกอบด้วย 6 สมุนไพร ดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยป้องกันอาการไม่สบายในลำไส้กันจะดีกว่า

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/450282145.jpg)

1. ใบแมงลัก
น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ นอกจากนั้นยังช่วยขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม

2. พริกสด
ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

3. หอมแดง

แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม

4. ใบกะเพรา
ถึงชื่อเสียงของกะเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผักกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป นอกจากนั้นยังช่วยย่อยไขมัน ลดอาการจุกเสียด

5. ตะไคร้
ให้เคี้ยวกิน แต่กินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกระเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน รวมถึงแก้อาการปวดกระเพาะ และช่วยขับปัสสาวะ

6. กระเทียม
มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้เอากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารจอมขี้เกียจของคุณยอมย่อยอาหารมื้อนั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการอาหารไม่ย่อยก็จะหายไปเอง นอกจากนั้นยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 09:57:02 pm
กินผักเพื่อสุขภาพแต่มีเสี่ยงตายแถมพ่วงด้วยมะเร็ง!! สธ.แนะวิธีล้างผัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 16:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013682-

สธ.เผยกินผักได้สุขภาพดีแต่ก็เสี่ยงตาย ชี้ผักนอกฤดูกาลเสี่ยงมีสารเคมีตกค้างมากกว่า ระบุสะสมสารพิษในร่างกายมากเสี่ยงมะเร็งเต้านม แนะวิธีล้างให้สะอาดก่อนกิน และกินให้มากขึ้นวันละ 400 กรัม

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การกินผักต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย โดยเฉพาะเรื่องสารเคมีตกค้าง หรือการสะสมจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ที่เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงจำพวกคลอริเนตเตทไฮโดรคาร์บอน หรือเรียกว่าออร์กาโนคลอรีน ได้แก่ อัลดริน เคลเธน ดีดีที คลอเดน ดรีลดริน เป็นต้น ซึ่งอยู่ในธรรมชาติได้นานไม่สลายตัวได้งาย ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง และเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวาย และตาย ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ผู้บริโภคจึงควรหลีกเลี่ยงการกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ก่อนกินผัก หรือนำมาปรุงควรล้างน้ำให้สะอาด ด้วยการลอกเปลือกด้านนอกออกล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง หรือน้ำประมาณ 4 ลิตร จากนั้นนำมาผักมาล้างน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารพิษที่ตกค้างออกให้หมด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม
       
       “องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และมะเร็งบางชนิด เนื่องจากคนไทยกินผักน้อยลง โดยเฉพาะเด็กไทยร้อยละ 58.9 ไม่ได้กินผักทุกวัน กินผักเพียงช้อนครึ่งต่อวัน ทั้งที่ควรกินผักให้ได้วันละ 12 ช้อนกินข้าว ส่วนผู้ใหญ่กินผักเพียงวันละ 2 ช้อนครึ่งเท่านั้น ทั้งที่ควรกินผักถึง 18 ช้อนต่อวัน หรือ 6 ทัพพี โดยให้กินผักที่หลากหลาย เพราะผักมีใยอาหาร หรือเส้นใย ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และช่วยลดการดูดซึมไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด มีวิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลเอนไซม์ และฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ให้สารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


----------------------------------------------------------------------------------------------

4 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง รู้ไว้ช่วยเซฟชีวิตได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 17:18 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013735-

มะเร็งยังคร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 สธ.เผยคนไทยมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง 4 เรื่อง จนเป็นอุปสรรคในการรณรงค์ป้องกันมะเร็ง ทั้งไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็ง คิดว่าไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่มีถึง 7 สัญญาณ เชื่อว่าเป็นโรคโชคชะตา ทั้งที่ป้องกันได้ และคิดว่าไม่มีสิทธิการรักษา ทั้งที่มีสามารถรับยารักษาได้ทั้ง 3 กองทุน

วันนี้ (4 ก.พ.) ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก ว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยพบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 12.7 ล้านราย และเสียชีวิตปีละประมาณ 7.6 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 70 เป็นประชากรที่มีรายได้น้อย หรือปานกลาง ทั้งนี้ สถานการณ์ในไทยตั้งแต่ปี 2541 มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 60,000 ราย โดยในเพศชายพบว่า ป่วยเป็นมะเร็งตับสูงสุด ส่วนในเพศหญิง ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมสูงสุด และจะเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมประมาณ 8,000 รายต่อปี โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
       
       “จากปัญหาดังกล่าว สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ จึงได้มีการกำหนดนโยบายป้องกัน และควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของโรคมะเร็ง และหาแนวทางในการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดกิจกรรมนำรถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ระบบดิจิตอลที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย และเป็นคันแรกของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้ได้ผลการตรวจที่มีความละเอียดสูง โดยการนำรถตรวจดังกล่าวมาให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแก่ผู้ต้องขังหญิงนั้น ก็เพื่อให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
       
       ด้าน นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหา และอุปสรรคที่สำคัญในการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง คือประชาชนส่วนหนึ่งมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคมะเร็งใน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.มีความเข้าใจผิด ไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็งเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเศร้า ซึ่งที่จริงแล้วควรมีการพูดคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจโรคมะเร็งมากขึ้น เพื่อรู้วิธีดูแล และป้องกันตัวเอง 2.คิดว่ามะเร็งไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่จริงแล้วมี 7 สัญญาณเตือน ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง แผลที่ไม่รู้จักหาย ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลุ้มใจเรื่องกลืนกินอาหาร ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบเรื้อรัง 3.เชื่อว่ามะเร็งเป็นโรคโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นเรื่องของเวรกรรม แต่เรื่องจริงแล้วสามารถป้องกันได้จากการลดปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักผลไม้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ 4.คิดว่าไม่มีสิทธิในการรักษา ทั้งที่ปัจจุบันทุกสิทธิการรักษาสามารถได้รับการรักษาโรคมะเร็งได้ทุกคนทั้ง 3 กองทุน และหากรู้ว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
       
       นางกัญจน์รัชต์ แก้วจันทร์ ผอ.สถานพยาบาลทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ทัณฑสถานฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2555-มิ.ย.2556 นั้นพบป่วยทั้งสิ้น 23 ราย เป็นโรคมะเร็งเต้านม 9 ราย มะเร็งมดลูก 10 ราย มะเร็งรังไข่ 1 ราย มะเร็งที่แก้ม 2 ราย และมะเร็งลำไส้ 1 ราย ทั้งนี้ สำหรับการรักษานั้นทางทัณฑสถานฯ จะส่งผู้ป่วยมารักษาที่สถาบันมะเร็งโดยผู้ป่วยจะได้รับโอกาสในการรักษาเหมือนกับบุคคลทั่วไป
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 03:04:18 am
 “ผักดิบ” กินมากไปก็เป็นโทษ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2557 14:01 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013653-

พูดถึงอาหารสุขภาพ แน่นอนว่าจะต้องมีอาหารจำพวกผักอยู่ในนั้นด้วย อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “ผัก” นั้นมีประโยชน์มากมาย แต่หากว่าเรากินผักไม่ถูกวิธี ผักที่ว่าเป็นประโยชน์นั้นก็อาจจะกลายเป็นโทษไปก็ได้
       
       “108 เคล็ดกิน” จึงมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการกินผักดิบๆ มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปดูกันเลย
       
       “ถั่วงอก” เรากินกันทั้งแบบสุกและดิบ ใส่ในก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หรือจะนำไปผัดผัก กินแกล้มกับขนมจีนน้ำยา ฯลฯ ซึ่งในถั่วงอกนั้นมีทั้งโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก และเลซิธิน ทั้งหมดนี้เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากว่าจะเลือกกินถั่วงอกดิบก็ควรจะกินในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น เพราะในถั่วงอกดิบมีสารไฟเตด ที่จะส่งผลในการขัดขวางการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
       
       “ถั่วฝักยาว” มีเส้นใยอาหารสูง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี โปรตีน และมีธาตุเหล็ก แต่ถ้ากินถั่วฝักยาวดิบ ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไป เพราะในถั่วฝักยาวดิบจะมีแก็สสูง โดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งอาจทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยเมล็ดและเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
       
       “ผักตระกูลกะหล่ำปลี” ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี ในผักกลุ่มนี้จะมีสารกอยโตรเจน ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ในระยะยาวอาจจะเป็นโรคคอพอกได้ แต่ในระยะสั้น หากกินมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อย
       
       “หน่อไม้-มันสำปะหลัง” จะมีสารไซยาไนด์ ในรูปของ ไกลโคไซด์ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดทำงานได้ ฉะนั้นควรจะนำไปปรุงสุก หรือนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหารต่อไป
       
       สำหรับผักทั้งหลายที่ “108 เคล็ดกิน” บอกมานี้ หากกินดิบในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้เป็นพิษต่อร่างกาย การจะส่งผลเสียต่อร่างกายนั้น จะต้องกินผักชนิดนั้นๆ อย่างเดียว ในปริมาณมากเป็นกิโลกรัม หรือหลายๆ กิโลกรัม หลายๆ วันติดกัน แต่หากกินตามปกติในชีวิตประจำวัน กินผักหลายๆ ชนิดสลับกันไป ผักต่างๆ ก็จะกลับมาเป็นประโยชน์ให้กับร่างกายของเรา

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 05:45:46 am
ห้ามผู้ป่วยไตกิน “มะเฟือง” เสี่ยงไตวาย สะอึก ซึม ชัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กุมภาพันธ์ 2557 18:11 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000014676-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001519301.JPEG)


 แพทย์รามาฯ ชี้ “มะเฟือง” มีกรดออกซาลิค ห้ามผู้ป่วยไตกินเด็ดขาด ระบุร่างกายขับสารนี้ไม่ได้ เสี่ยงไตวายเฉียบพลัน สะอึก ซึม ชัก เผยคนทั่วไปกินได้แต่ไม่ควรกินมากเกินไป พบงานวิจัยไต้หวันทำให้เกิดนิ่วในหนู
       
       รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา “มะเฟือง” เป็นผลไม้ที่มีความนิยมและมีโฆษณาสรรพคุณว่า สามารถลดน้ำตาลได้ และดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่จากการทบทวนงานวิจัยยังไม่พบงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องดังกล่าวมากนัก และพบว่ามีข้อควรระวังในการกินมะเฟืองด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไต เพราะการกินมะเฟืองสามารถทำให้เกิดอาการไตวาย และส่งผลกระทบต่อสมองทำให้เกิดภาวะชักได้ เนื่องจากมะเฟือง โดยเฉพาะมะเฟืองชนิดเปรี้ยว จะมีสารบางชนิดที่ผู้ป่วยโรคไตไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้
       
       “ผลการศึกษาพบว่า ในมะเฟืองเปรี้ยวจะมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่ามะเฟืองชนิดหวาน ซึ่งในผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะระยะ 4-5 ที่ต้องฟอกไตแล้ว จะไม่สามารถขับสารชนิดนี้ได้ ทำให้แม้แต่การกินเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อสมองได้ ทำให้สะอึก ซึม และชัก ส่วนผู้ป่วยไตระยะปานกลาง หากกินมากเกินไปก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน และจะทำให้ไตเสื่อมลง จึงเป็นกลุ่มที่ต้องระวัง ส่วนคนทั่วไปสามารถรับประทานได้ แต่ต้องไม่มากจนเกินไป” รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กล่าว
       
       รศ.นพ.ม.ล.ชาครีย์ กล่าวอีกว่า รพ.รามาธิบดี เคยพบผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเฉียบพลันจากมะเฟือง 2-3 ราย โดยพบว่ารายหนึ่งมีอาการไตอยู่ก่อน ส่วนอีกรายอายุประมาณ 20 ปี ได้ดื่มน้ำคั้นสดของมะเฟืองประมาณ 1 ลิตร ทำให้ปัสสาวะไม่ออก เมื่อตรวจได้พบตะกอนออกซาลิคในไต โดยในประเทศแถบเอเซียก็พบเคสลักษณะดังกล่าวเช่นกัน และมีงานวิจัยจากไต้หวัน ที่ทำในหนูทดลองก็พบว่า ทำให้เกิดนิ่วในไต อย่างไรก็ตาม การรับประทานมะเฟืองในคนทั่วไปสามารถทำได้ แต่ควรระวังในผู้ป่วยไต และผู้สูงอายุ เพราะอาจมีโรคไต หรือความเสื่อมของไตมากกว่าคนปกติ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามความรู้เกี่ยวกับสุขภาพในรามาชาแนล www.ramachannel.tv (http://www.ramachannel.tv)

-----------------------------------------------------------------------------------



Infographic: หากินง่ายราคาถูก แต่สารอาหารบำรุงผิวเพียบ!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   5 กุมภาพันธ์ 2557 10:01 น.
  By Lady Manager

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013909-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001440401.JPEG)

 นำเสนออาหาร 5 ชนิดที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยเซี๊ยะเปรี๊ยะ ซึ่งหาง่าย ขายทุกฤดูกาล ราคาก็ไม่แพงเลย
       
       ส้ม
       
       วิตามิน C ป้องกันผิวจากการถูกทำลายของรังสียูวี และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน
       
       มะละกอ
       
       แคโรทีนอยด์ ซึ่งแตกตัวเป็นวิตามิน A เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาผิวให้ชุ่มชื่น แลดูอ่อนเยาว์
       
       ธัญพืช
       
       กลุ่มวิตามิน B ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่า ผิวพรรณแข็งแรง และไนอะซิน ช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน
       
       เมล็ดทานตะวัน
       
       กรดไขมันจำเป็น ช่วยให้น้ำมันธรรมชาติภายในผิวออกมาหล่อลื่น ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ผิวนุ่ม สิวเสี้ยนลดลง
       
       ชาเขียว
       
       ฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ คอยต่อสู้กับรังสียูวีและมลภาวะ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2014, 06:12:25 am
เรื่องดีดีของ “หอยแครง”

-http://club.sanook.com/23942/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/467507165.jpg)

ในตำราแพทย์แผนไทย หอยแครง จัดอยู่ในพิกัดเนาวหอย คือเปลือกหอย 9 เพื่อการปรุงยา โดยเอามาเผาไฟให้สุกดีจะได้ปูนหอย ใช้บรรเทากรดในกระเพาะอาหาร ขับลมในลำไส้ ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทำให้มีลมผายและลมเรอ ล้างลำไส้ ช่วยแก้กระษัย ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงกระดูก และร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับเพื่อรักษากระษัยปู คือปวดท้องน้อยเป็นกำลัง

หรือถ้าใช้ประกอบกับพืชและหอยชนิดอื่นๆ ก็สามารถช่วยขับพยาธิ ขับลม ฝาดสมาน รักษากระษัยจุก ด้วยการขับลม ล้างลำไส้ ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง สมานลำไส้ เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ควรรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ ควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:15:48 pm

ทุเรียนกินดีมีประโยชน์ แต่โทษถึงตายถ้ากินเหล้า


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2/-


จำได้ว่าเมื่อสมัยก่อน “108 เคล็ดกิน” มักจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ว่าอย่ากินทุเรียนมากเกินไป เพราะว่าเป็นของร้อน กินมากแล้วจะร้อนใน ซึ่งที่จริงแล้วก็เนื่องมาจากว่าทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาล และไขมันสูง หากกินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานมาก ซึ่งกระบวนการย่อยสลายสารต่างๆ ทั้งน้ำตาลและไขมันนั้นจะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ
       
       แต่ต้องบอกว่าทุเรียนนั้นไม่ได้มีแต่โทษเพียงอย่างเดียว ใครที่ยังชอบกินทุเรียนอยู่ก็ยังกินได้อย่างสบายใจ เพราะนอกจากความอร่อยแล้วนั้น ทุเรียนก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ซึ่งจากการศึกษาทดลองได้พบประโยชน์จากทุเรียนว่ามีส่วนช่วยลดไขมันในเส้นเลือด และทุเรียนที่มีความสุกกำลังดี โดยเฉพาะในพันธุ์หมอนทอง จะมีสารโพลีฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ ที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ
       
       สำหรับแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในทุเรียนนั้นก็มีธาตุเหล็กและมีปริมาณเส้นใยอยู่มาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนไขมันที่พบอยู่ในเนื้อทุเรียนนั้นก็เป็นไขมันชนิดดี และมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ต้องกินในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งตามปริมาณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำนั้น แนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี
       
       ในคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระวังการกินทุเรียน ยังสามารถกินได้แต่ควรกินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือ ห้ามกินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันอยู่มาก สามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ถ้ากินทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ทำให้เมาเร็วและเมาหนัก เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เกิดอาหารร้อนใน แน่นอก ขาดน้ำ และอาจเสียชีวิตได้

(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_273690__08112013020346.jpg)

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ trueplookpanya.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:37:14 pm
.

กินผักใบเขียว ลดเสี่ยง โรคเบาหวาน


-http://club.sanook.com/23984/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%82-


เป็นที่ทราบกันดีว่าการกินผักใบเขียวและผลไม้ที่ไม่หวานมีผลดีต่อสุขภาพ   ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็ง  โรคหัวใจและหลอดเลือด   ได้มีการรวบรวมการศึกษาในต่างประเทศว่า การกินผักผลไม้ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานหรือไม่   โดยรวบรวมการศึกษาไปข้างหน้า    จากการวิเคราะห์เฉพาะ 4 การศึกษาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการกินผักใบเขียว ในประชากร  1 แสน 8 หมื่นกว่าคน  และได้ติดตามตั้งแต่  4 ปีครึ่งไปจนถึง 23 ปี   พบว่า การกินผักใบเขียวช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานได้ถึงร้อยละ 14


ประโยชน์การกินผักเขียวตามแนวการกินอาหารแมคโครไบโอติกส์เชื่อว่า  ผู้ที่กินอาหารจำพวกผักใบเขียวและอาหารที่ไม่ปรุงแต่งเพียงพอ   จะทำให้เลือดมีความเป็นด่าง   ทำให้มีสุขภาพดีมากกว่าผู้มีเลือดเป็นกรด  ซึ่งภาวะเลือดเป็นกรดเกิดจากการกินอาหารประเภทแป้ง  น้ำตาล  เนื้อสัตว์  น้ำมัน อาหารปรุงแต่งอื่นๆ มากขึ้น    นอกจากนี้แล้ว  เมื่อพิจารณาเฉพาะใบหรือส่วนที่มีสีเขียว  เป็นแหล่งอาหารพลังงานของพืช ที่ได้จากการสังเคราะห์แสง   พืชผักเขียวจึงเป็นอาหารที่ให้พลังชีวิตที่ดี

ทำไมผักใบเขียวจึงต่างจากผัก ผลไม้อื่น ในการป้องกันโรคเบาหวาน   เชื่อว่าผักใบเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ   โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนมากกว่า   มีสารแมกนีเซียมมากกว่า   ดังนั้น ในผู้ที่อ้วนลงพุง  ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร  แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน  ก็ควรกินผักใบเขียวให้มาก  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ   เช่น  เดินเร็ว  150 นาทีต่อสัปดาห์   ลดน้ำหนักตัวลงร้อยละ 7 ในเวลา  6 เดือนจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าร้อยละ 50

สรุปได้ว่า การดูแลสร้างเสริมสุขภาพเพื่อการป้องกันโรคเบาหวาน   ควรให้ความสำคัญการดูแลตนเองหลายๆ ด้านร่วมกัน   รวมถึงการลดน้ำหนักตัว และควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์  โดยเฉพาะจำพวกผักใบเขียวให้มากพอ (ประมาณ 5 ฝ่ามือ / วัน ) และต้องมีการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไปอย่างสม่ำเสมอด้วย  สุขภาพที่ดีเกิดได้จากการปรับวิถีชีวิตการกินอยู่ให้สมดุล  นั่นคือไม่มาก ไม่น้อยและเพียงพอ เพื่อให้ทุกๆ ระบบของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา    โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com (http://www.Photos.com)


----------------------------------------------------------------------------


ผงชูรส เลิกซะถ้าอยากผอม!

-http://club.sanook.com/24223/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1-



รายงานในวารสาร Obesity จากการค้นคว้าของทีมจากมหาวิทยาลัยนอร์ทแครอไลน่า ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จีน ชวนให้คิดว่าการใช้ผงชูรสในอาหารจะทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปอ้วนขึ้น


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/176597377.jpg)


ผู้ค้นคว้าได้ทำการสอบคนจีนทั้งชายกับหญิงจำนวน 750 คน อายุระหว่าง 40-59 ที่อยู่ในหมู่บ้านภาคใต้กับภาคเหนือของประเทศจีน ส่วนใหญ่หุงอาหารเอง กับไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ประมาณ 82%ใช้ผงชูรส (MSG) ครอบครัวที่ใช้ผงชูรสมากมีจำนวนคนอ้วนมากเป็นสามเท่าของพวกที่ไม่ใช้ผงชูรส ทั้งนี้ได้เอาการออกกำลัง จำนวนแคลอรี่ที่กิน และปัจจัยอื่นๆมาคิดด้วยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างการกินผงชูรสกับความอ้วนนี้รู้กันในสัตว์ทดลองมานานแล้ว แต่เพิ่งมารู้ในคน

MSG หรือ monosodium glutamate เป็นสารเคมีที่ทำให้อาหารมีรสชาดมากขึ้น บางคนเชื่อว่าเป็นรสที่ห้า คือนอกเหนือจากรสที่พบเป็นประจำสี่รส (หวาน เปรี้ยว เค็ม และ ขม) ไปกระตุ้นเซลล์ในสมองที่เกี่ยวข้องกับรส ประมาณกันว่าเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วในอเมริกามีการใช้ MSG เกือบห้าแสนกิโลกรัมต่อปี ทุกวันนี้การใช้เพิ่มขึ้น 300 เท่าตัวจากเมื่อ 50 ปีก่อน จำนวนคนที่น้ำหนักเกินก็มากขึ้นหลายเท่า

นอกจากจะทำให้น้ำหนักเกินแล้ว ผงชูรสยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ปวดหัวรุนแรง กับหัวใจเต้นเร็ว

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2014, 09:52:05 pm
จำให้แม่น! ของแสลงสำหรับ 10 โรค



-http://club.sanook.com/24324/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-


ของแสลง  ก็คือบรรดาอาหารที่ไม่ถูกกับโรคทั้งหลาย แต่บางทีก็ทำให้เรางงเหมือนกันว่าเกี่ยวกันยังไง แต่ของอย่างนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะขึ้นชื่อว่าภูมิปัญญาชาวบ้านแล้วไซร้ ฟังหูไว้หูก็ดีเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 10 โรคที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/465306333.jpg)




ไข้หวัด มีไข้สูง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิง หรือเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

โรคกระเพาะ
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสม ทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน และทุเรียน

โรคตับและถุงน้ำดี
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต
ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักขึ้นเช่นกัน

โรคเบาหวาน
หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

นอนไม่หลับ
หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด
ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ
งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก โรงพยาบาลรวมแพทย์ทุ่งสง



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 09:54:26 pm
ชะลอความแก่ด้วย “ปลาทู”

-http://club.sanook.com/24502/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B9-


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/183931666.jpg)


ปลาทู เป็นปลาที่มีสารอาหารมาก ในทะเลไทยปลาทูจะวางไข่บริเวณฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี

ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี และอพยพมาหากินและเจริญเติบโตในแหล่งที่มีอาหารสมบูรณ์ ในช่วงเดือนสิงหาคมธันวาคม ปลาทูเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทโปรตีนที่ร่างกายต้องการ



โดยปลาทูสด 100 กรัม จะมีพลังงาน 140 แคลอรีโปรตีน 20 กรัม ไขมัน 6.7 กรัม แคลเซียม 170 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม เหล็ก 11.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม ไน อะซิน 9.2 มิลลิกรัม และวิตามินซี 9.2 มิลลิกรัม

และอีกเรื่องที่คนยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับปลาทูคือ ถ้าเราสามารถบริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูวันละ 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระ ซึ่งชะลอความแก่ได้!

 

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก  สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 09:44:02 am
ดื่มนมแพะผิวสวย เปลี่ยนผิวพรรณให้เนียนใสได้จริงหรือ ?


-http://women.kapook.com/view82142.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ดื่มนมแพะผิวสวย ...สำหรับสาว ๆ ที่รักสุขภาพและผิวพรรณน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ในเรื่องของการดื่มนมแพะเพื่อประโยชน์ด้านความงามผิวพรรณ เนื่องจากนมแพะนั้นประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และวิตามินปริมาณสูง ซึ่งส่งผลดีกับผิวและสุขภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ หลายคนต่างอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วการดื่มนมแพะจะมีส่วนช่วยทำให้ผิวสวยได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ดื่มปุ๊บผิวสวยปั๊บหรือจะเห็นผลได้มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัย รวมถึงสนใจอยากลองดื่มแพะบำรุงผิวสวยเปล่งปลั่งบ้างอะไรบ้าง เราหาคำตอบนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

          ต้องบอกว่าในน้ำนมแพะนั้น ล้วนประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญและวิตามินหลากหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม  กรดอะมิโน  วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี1 และวิตามินบี2 ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวให้ดูสวยผุดผ่อง ชุ่มชื่นไม่เหี่ยวย่นแก่ก่อนวัย นอกจากนี้หากใครดื่มนมแพะเป็นประจำยังมีส่วนช่วยในการทำงานของเซลล์ผิวหนังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้ผิวพรรณดูสุขภาพดีได้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญนมแพะยังมีไขมันที่มีอนุภาคเล็ก เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่านมประเภทอื่น โดยไม่ต้องกลัวว่าดื่มแล้วจะท้องอืดท้องเฟ้ออีกด้วย 

          รู้อย่างนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบถึงประโยชน์ดี ๆ ของนมแพะกันไปแล้วนะคะ อย่างไรก็ตามหากสาว ๆ คนไหนอยากอยากลองเปลี่ยนมาดื่มนมแพะดูบ้าง ในช่วงแรกอาจลองผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทานเสียก่อน เนื่องจากนมแพะมีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างแรงต่างจากนมวัวที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ว่าแล้วก็ลองไปหาซื้อกินบ้างดีกว่าเนอะ จะได้บำรุงผิวและสุขภาพให้สวยดูดีไปพร้อม ๆ กัน ^^




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 05:52:11 am
หญิงวัยทองกับถั่วเหลือง คู่แท้สุขภาพดี


-http://club.sanook.com/24326/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-


ถั่วเหลืองเหมาะกับหญิงวัยทอง

ผู้หญิงวัยทองเป็นช่วงวัยระหว่างกลางคนกับวัยสูงอายุ   คืออายุ 40 – 45 ปีขึ้นไปซึ่งร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน    รวมถึงการสร้างฮอร์โมนเพศก็ลดลง  ทำให้เกิดอาการไม่สุขสบายขึ้น เช่น    ประจำเดือนมาไม่เป็นเวลา  หรือมามากกว่าปกติ   อ่อนเพลีย   เหนื่อยง่าย   เหงื่อออกกลางคืน   นอนไม่หลับหรือหลับยาก  ร้อนวูบวาบ   อารมณ์แปรปรวน   หงุดหงิด   ขี้โมโห   หลงลืมง่าย   บางคนปัสสาวะบ่อยหรือเวลาไอ จามมีปัสสาวะเล็ด   ช่องคลอดแห้ง  ปวดแสบปวดร้อนหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์   ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวของวัยทองคือ   ปัญหาโรคกระดูกพรุน  โรคหัวใจและหลอดเลือดจากการมีระดับไขมันในเลือดสูง

 

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/935310801.jpg)

 

มีการศึกษาพบว่าคนที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์  สามารถลดระดับไขมันชนิดเลว (LDL)ในเลือดได้ถึงร้อยละ 18 ในขณะที่ค่าของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20    รวมทั้งอาการต่าง ๆ จากภาวะวัยทองก็ลดลงด้วย    การศึกษานี้จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยทองหรืออยู่ในช่วงวัยทองหันมาสนใจกินอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบมากขึ้น   เนื่องจากปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองวางจำหน่ายหลายชนิด  เช่น    นมถั่วเหลือง   เต้าหู้หลอด   เต้าหู้แผ่น   ไส้กรอกเจที่ทำจากถั่วเหลือง   ไอศกรีมที่มีส่วนผสมจากถั่วเหลือง    เป็นต้น

 

หลักการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนวัยทอง    ควรปฏิบัติดังนี้   

1. กินอาหารให้หลากหลาย   กินปลา    ถั่วเมล็ดแห้ง    เต้าหู้    ผัก ผลไม้และธัญพืชเป็นประจำ    โดยไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง

2. ลดการกินอาหารหวาน  มัน  เค็ม  และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อแดง  ไขมันสัตว์   เลือกใช้น้ำมันมะกอก    น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันงาในการประกอบอาหาร

3. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1 – 2 ลิตรและดื่มนมพร่องไขมัน

4. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม    ออกกำลังกายทุกวันอย่างเหมาะสม

5. ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์    เพราะเป็นสิ่งทำลายสุขภาพ

 

Credit : กลุ่มงานสุขศึกษา โรงพยาบาลลำปาง
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com (http://www.Photos.com)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 10:23:35 pm

หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_273931__21112013111406.jpg)


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักน่ะค่ะ


ที่มาข้อมูล myhomeveg.com
ที่มารูปภาพ thaiza.com

------------------------------------------------


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

-http://club.sanook.com/19334/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5-


ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือไขมันที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ คอเลสเตอรอลผลิตในตับแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทางเส้นเลือดให้แก่เซลล์ เซลล์จะคอยรับคอเลสเตอรอลในจำนวนที่มันต้องการ ส่วนที่เหลือเกินจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเกิดกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคหัวใจ

คอเลสเตอรอล 2 ชนิด

คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี

ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดดีนี้จะช่วยขับคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย

ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงจึงควรดูให้ละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี กับชนิดไม่ดี เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูง ๆ แต่ถ้ามีชนิดดีต่ำ แปลว่าอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง

ระดับคอเลสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อย ๆ จะมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลสูงก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง

วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดีมีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอาไปทำให้สุกก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย

ผัก ผลไม้ มักอุดมด้วย วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Beto carotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคลอเลสเตอรอลและแคลเซี่ยมทำให้คอเลสเตอรอลละลายน้ำได้ ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมาก อันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไปอีก

ถั่วและธัญญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย

กระเทียมมีสารอัลลิไทอะมีน ช่วยเผาผลาญไขมันและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs

อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ผลอะโวคาโด และพวกธัญพืชต่าง ๆ แต่น้ำมันมะกอกถั่วอัลมอนด์และอะโวคาโด ช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูงขึ้นเป็นไขมันที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกับไขมันจากปลา

ประโยชน์และความสำคัญของน้ำมันปลา?

ผลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ EPA และ DHA ในน้ำมันปลา ลดการสร้างคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับ

การได้รับไขมันจากปลาควบคู่ไปกับอาหารไขมันสูงชนิดอื่น จึงสามารถช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการไม่ให้จับเกาะผนังของเส้นเลือด พบว่าชาวเอสกีโมไม่มีโรคหัวใจ แม้ในชีวิตประจำวันจะกินไขมันมากมายเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากมีการกินปลาอยู่เป็นประจำ

เพื่อลดคลอเลสเตอรอล เราควรรับประทานอาหารประเภท

1   มะเขือต่างๆ ทั้งมะเขือเทศ มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งมีสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด

2   หอมหัวใหญ่ และ กระเทียมสด สองอย่างนี้มีสรรพคุณชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ สามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้

3   ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วที่ให้โปรตีนสูง ต่อมาคือ แอปเปิ้ล ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้จะดึงคอเรสเตอรอลแล้วขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย และอย่างสุดท้ายคือ โยเกิร์ต ที่นอกจากจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้ว ก็ยังบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

4   รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเยอะในมื้อเช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผลไม้ เป็นต้น เมื่อเลือกซื้อธัญญหาร ซีเรียล ต่าง ๆ ควรอ่านฉลากข้างกล่อง เลือกซื้อประเภทที่ระบุว่ามีเส้นใยอาหาร 5 กรัมหรือมากกว่า รำข้าวโอ๊ตและรำข้าวเจ้า เป็นอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารมากที่สุด

5   รับประทานธัญพืช ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เป็นต้น

6   รับประทานถั่ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ ซุปถั่ว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง

7   รับประทานผักและผลไม้ 5 ชนิดทุกวัน เช่น ในมื้อเช้าให้รับประทานผัก (ได้แก่ แครอท มะเขือเทศหั่นบาง)มื้อเที่ยง ผลไม้ (ได้แก่ ส้ม แอปเปิ้ล) มื้อเย็นรับประทานสลัดและผลไม้เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คุณได้รับผักและผลไม้ 5 ชนิดในแต่ละวัน

8   รับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้

9   รับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดลง

10 รับประทานผักที่มีวิตามิน ซีและอีสูง อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกเขียว พริกแดง สตอร์เบอรี่ บร๊อคโคลี่ ส้ม แคนตาลูป สับปะรด เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลือง เป็นต้น

11 มีบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย ๆ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ควรปฏิบัติดังนี้

1  ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน รำไทเก็ก เป็นต้น

2  อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ เกลือและน้ำตาล อาหารกระป๋อง หรือสำเร็จรูป ขนมปังขาว

 

Credit : โรงพยาบาลพัทลุง
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 09:01:25 pm
ท้องเสียคร้ังต่อไปคิดถึง “ฝรั่ง”


-http://club.sanook.com/17580/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%96-


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/175598213.jpg)

ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ  วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก

นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:04:05 pm
6 สมุนไพรหยุดเลือดกำเดา

-http://club.sanook.com/20497/6-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2-



(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/01/159163475-1024x754.jpg)

เลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมากมักไม่ใช่สาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง แต่อาจเกิดจากความผิดปกติและโรคต่างๆ ได้

เมื่อมีเลือดกำเดาออก อย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณสันจมูกที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว เมษามีวิธีหยุดเลือดกำเดาง่ายๆ ก็คือ การกดบีบจมูก
และนอกจากนี้เรายังมียาสมุนไพรไทยรักษาเลือดกำเดาไหลจาก คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย หมอสมุนไพรประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี มาแนะนำกัน

• ใบพลู ใช้ใบพลู 1 ใบ ม้วนให้กลมเหมือนมวนบุหรี่ ขนาดให้พอดีรูจมูก ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้พอช้ำ นำปลายที่ช้ำสอดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี

• น้ำมะนาว ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำร้อน 1 แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาวครึ่งช้อนโต๊ะ ชงดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

• รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนทั้งรากทั้งโคน ยาวประมาณ 1 คืบ (ตั้งแต่รากขึ้นไป) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

• รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

• รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนัก 1 บาท หรือประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1-2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้
.
• รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

ขอขอบคุณ สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 08:05:15 am
วิธีทำให้ผิวขาว 7 ข้อ ด้วยการดื่มน้ำอย่างถูกต้อง

-http://women.kapook.com/view82351.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การมีผิวขาววิ๊งดูใส ๆ คงเป็นความปรารถนาของสาว ๆ ทุกคน เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากเป็นเจ้าของผิวสุขภาพดีด้วยกันทั้งนั้น แต่สาว ๆ รู้ไหมคะว่า ผิวฉ่ำน้ำดูขาวใสสุขภาพดีสามารถได้มาง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันเท่านั้นเอง อ๊ะ ! พอมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัย แค่ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วผิวจะขาวใสได้จริงเหรอ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นตามมาดูวิธีดื่มน้ำที่ถูกต้อง เพื่อผิวขาววิ้งใสเว่อร์กันก่อนดีกว่า เรากล้าการันตีด้วยว่า ดื่มน้ำตาม 7 วิธีข้างล่างนี้เป็นประจำ ผิวของคุณจะดูขาวใส สุขภาพดีได้แน่นอนจ้า

        1. จิบน้ำปริมาณน้อย ๆ แต่ทำเป็นประจำ

          สาว ๆ หลายคนเผลอกินตามใจปากจนเพิ่มพูนไขมัน และทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยจากไขมันที่สะสมโดยไม่รู้ตัว และวิธีแก้ที่แสนฮิต ก็คงหนีไม้พ้นการงดน้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารจานหลัก แล้วเลือกดื่มแต่น้ำเปล่าอัดเข้าไปเยอะ ๆ แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีต่อสุขภาพเลยนะจ๊ะ เพราะคุณมีโอกาสบวมน้ำได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ฉะนั้นทำเพียงแค่จิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ลดอาหารแคลอรี่สูง และออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันจะดีกว่า

        2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาสมดุลค่า pH

          ค่า pH มีตั้งแต่ระดับ 0-14 ซึ่งสมดุล pH ที่เหมาะสมของร่างกายจะต้องอยู่ที่ระดับ 7 โดยคุณสามารถทำให้มันสมดุลได้ด้วยการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และเพื่อขับของเสีย ผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวเผยความกระจ่างใสได้อย่างเต็มที่ อ้อ ! นอกจากนี้ก็ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หลังจากใช้โฟม หรือล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เพื่อเป็นการชำระสารเคมีตกค้างบนผิวให้หมดจดด้วยนะจ๊ะ

        3. ไล่สารพิษตกค้าง ด้วยน้ำสะอาดบริสุทธิ์

          น้ำดื่มสะอาดใสเป็นตัวช่วยดีท็อกซ์ และล้างสารพิษที่ทรงประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เพราะเพียงแค่คุณดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายสักเล็กน้อยเป็นประจำ สารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายจากการกินอาหารสารพัดชนิดทุกวัน ก็จะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อตัวการทำให้ผิวหมองคล้ำถูกขับออกไปจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผิวขาวใสก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

        4. ดื่มน้ำมากพอ ชะลอความเหี่ยวย่น

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำจะช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น ยิ่งถ้าดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเป็นประจำ ก็หมดกังวลเรื่องริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยไปได้เลย เพราะน้ำจะช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวให้เต่งตึง ไม่แห้งเหี่ยวและหย่อนคล้อย เอ้า ! รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ ควรรีบพกน้ำดื่มติดตัวเอาไว้จิบบ่อย ๆ แล้วนะจ๊ะ

        5. น้ำช่วยป้องกันสิวได้อยู่หมัด

          ผิวหนังชั้นนอกของเรามีรูขุมขนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ และรูขุมขนเหล่านี้ก็มีโอกาสรับฝุ่น สิ่งสกปรก และมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมจนเกิดอาการอุดตัน เป็นสาเหตุให้เกิดสิวขึ้นได้ แต่น้ำจะเป็นตัวช่วยขับความสกปรกที่ฝังอยู่ในรูขุมขนเราออกไปอย่างสบาย ๆ ในรูปแบบเหงื่อ ดังนั้นคุณก็ควรต้องดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ

        6. เติมความชุ่มชื้นฉ่ำน้ำให้ผิว

          นอกจากเราต้องดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรก และเหงื่อไคลเป็นประจำทุกเช้าเย็นก็สำคัญไม่น้อย เพราะการอาบน้ำจะช่วยคืนความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย เคลียร์ผิวให้สะอาดหมดจดทุกรูขุมขน ที่สำคัญการขัดถูร่างกายก็เปรียบเสมือนการกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตน้ำมันธรรมชาติออกมา อย่างนี้ผิวนุ่มชุ่มชื้นเต่งตึงจะรอดมือเราได้ยังไงล่ะเนอะ

        7. ลดความแห้งตึงของผิว

          หากลองใช้หลังเล็บขูดบนผิวหนังเบา ๆ แล้วปรากฏเป็นรอยสีขาวขุ่นเป็นทาง นั่นก็แสดงว่า ผิวของคุณกำลังขาดความชุ่มชื้นเข้าขั้นวิกฤตแล้วนะจ๊ะ ดังนั้นก็คงต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวอิ่มน้ำ เปล่งประกายความขาวใสวิ้งสะดุดตา


          น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกาย และเซลล์ผิวของเรามากเลยทีเดียวเนอะ ถ้าอย่างนั้นสาวคนไหนรู้ตัวว่าดื่มน้ำน้อยอยู่แล้ว คงต้องหันมาดื่มน้ำให้มากขึ้นกันแล้วล่ะ จะได้มีผิวที่ขาวใสดูสุขภาพดี เปล่งประกายออร่าวิ้ง ๆ เตะตาทุกคนจ้า



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 06:22:22 pm

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/7_%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-



7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล bloggang.com

-------------------------------------------------------------------------



ยาคูลท์ กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นสาว


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-


เชื่อว่าสาวๆ คงไม่อยากมีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นแน่ นอกจากจะส่งผลกับสุขภาพแล้ว ยังทำให้หมดความ มั่นใจอีกด้วย
สำหรับกลิ่นเหม็นไม่พึง ประสงค์ในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอดลดน้อยลง ซึ่ง ถูกทำลายโดยแบคทีเรีย จนเกิดเป็นกลิ่นเหม็นออกมา ในบางรายกลิ่นอาจจะแรงมาก แม้ในขณะเข้าใกล้ แต่ไม่ใช้เรื่องที่น่าตกใจ เพราะปัญหาที่เกิดนี้มีวิธีรักษาได้อย่างง่ายดาย
ส่วนวิธีรักษานั้น เพียงแค่เพื่อนๆ เพิ่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่เกิดอยู่ โดยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ ก็คือเชื้อ "แลคโตบาซิลัส" (Lactobacillus) ที่มีอยู่ในยาคูลท์ ซึ่งเพื่อนๆ คงรู้จักกันดี
 เพียงแค่เพื่อนๆ "ทานยาคูลท์วันละขวด" เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีให้กับร่างกาย ให้เข้าไปทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เท่านี้กลิ่นเหม็นที่เพื่อนๆ ไม่พึงประสงค์ในจุดซ้อนเร้นก็จะหายไปเอง


ที่มาข้อมูล internet

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2014, 01:56:26 am
สะตอ

พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี

วันจันทร์ 24 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/218170/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-


สะตอ ผักที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี อาจจะมีกลิ่นฉุนบ้างแต่อร่อย การปลูกต้นสะตอนั้น สามารถปลูกได้ด้วยการใช้เมล็ด กิ่งชำ ติดตา สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบเจริญตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์มีความชื้นในอากาศสูงสามารถเจริญเติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี อาจนำสะตอมารับประทานเป็นผักสด หรือ นำมาทำเป็นอาหารได้ เช่น ผัดสะตอ  รู้ไหมว่า สะตอมีประโยชน์มากกว่าความอร่อย คือ มันมีสรรพคุณทางยาคือ “เมล็ด” มีรสจืดมัน ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเส้นเลือด กินเป็นประจำช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ มิถุนายน-กรกฎาคม(ข้อมูลจาก http://natureherbel.awardspace.com/ (http://natureherbel.awardspace.com/)).

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2014, 02:43:32 am
นอนไม่หลับ จัดไป “ผักกาดหอม”


-http://club.sanook.com/19429/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-


การนอนไม่หลับจะส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตหลายด้าน เช่น ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง อารมณ์แปรปรวน ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โมโหง่าย

ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะมีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่คิดค้นมาเนิ่นนานแล้วว่า วิธีหนึ่งซึ่งช่วยให้นอนหลับได้ดี และใช้ได้ผลดี คือ การกินผักกาดหอมสดก่อนนอน หรือกินเป็นอาหารมื้อเย็น แพทย์ยุคกลางชาวอังกฤษชื่อ ดร. ดันแคน ค้นพบว่า ในใบและก้านของผักกาดหอมมีสารรสขมที่ชื่อว่า “แลกทูคาเรียม” สารนี้มีคุณสมบัติทำให้ง่วงนอน จิตใจสงบและผ่อนคลาย จึงทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น  รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมลองดูนะ!


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2014, 10:27:19 pm
“ฟอร์มาลีน” ภัยร้ายในอาหารสด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 กุมภาพันธ์ 2557 18:34 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000021712-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000002248201.JPEG)

       ข่าวเรื่องการพบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งสารเคมีที่พบอยู่ในอาหารนั้น บางชนิดก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว อย่างล่าสุดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาบอกว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 มีรายงานการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัย ในตลาดที่ จ.นครสวรรค์ 5 แห่ง โดยมีการเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง
       
       ผลที่ได้นั้นน่าตกใจมาก เพราะมีการพบการใช้สารฟอร์มาลินกับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดยใน 5 แห่งนี้ ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 แต่บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 ซึ่งอาหารที่ตรวจพบได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก หมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว)
       
       ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารในกลุ่มที่ตรวจพบฟอร์มาลินนั้น ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว ซึ่งการที่ตรวจพบฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับที่ 93 พ.ศ.2528 เรื่องวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์
       
       สำหรับ “ฟอร์มาลิน” นั้น เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของ “สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์” ซึ่งหากอยู่ในสถานะก๊าซจะมีชื่อเรียกว่า “ฟอร์มัลดีไฮด์” ในทางการแพทย์จะใช้ฟอร์มาลินในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ส่วนในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้คุณสมบัติที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ยังถูกนำไปใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยวและใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร
       
       ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงมีคนหัวใสนำฟอร์มาลินมาราดใส่ลงในอาหารสดเพื่อให้คงความสดได้นาน ไม่เน่าเสียเร็ว ซึ่งอาหารที่มักจะพบว่ามีฟอร์มาลินอยู่ อาทิ อาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะปลาหมึก เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ยอดมะพร้าว ผักกาดขาว ฯลฯ
       
       ดังที่บอกว่าฟอร์มาลินนั้นเป็นสารเคมีที่มีพิษ ซึ่งหากสูดดมฟอร์มาลินเข้าไปจะมีผลต่อระบบหายใจ คือ แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ปอดอักแสบ น้ำท่วมปอด และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนผลต่อระบบผิวหนังคือ ทำให้เกิดผื่นคัน จนถึงผิวหนังอาจไหม้ หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หากสัมผัสกับฟอร์มาลินโดยตรง
       
       ในส่วนของการนำฟอร์มาลินมาใช้กับอาหาร หากบริโภคอาหารที่ถูกปนเปื้อนเข้าไปในปริมาณมาก จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ในปากและคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก อาจมีอาการถ่ายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น คอแข็ง และเคยมีรายงานว่ามีผู้กินฟอร์มาลิน 2 ช้อนโต๊ะเพื่อฆ่าตัวตาย พบว่าตายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากได้รับสารดังกล่าว และเมื่อผ่าศพชันสูตรพบแผลไหม้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
       
       นอกจากผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีรายงานผลจากฟอร์มาลินในระยะยาว โดยสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารประกอบของฟอร์มาลิน เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย
       
       การหลีกเลี่ยงฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนในอาหาร อาจจะดูเป็นเรื่องยากหากต้องซื้อหาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากท้องตลาดทั่วไป ผู้บริโภคควรจะต้องอาสัยการสังเกตลักษณะของอาหารว่ามีความแตกต่างจากปกติหรือไม่ อาทิ เนื้อสัตว์ หากวางขายอยู่นาน ถูกแดดถูกลมแล้วก็น่าจะมีลักษณะเหี่ยวลง ดูไม่สดเหมือนเดิม แต่ถ้ายังดูมีความสดมากๆ แม้จะวางขายอยู่นานแล้ว หรือหากมีกลิ่นฉุนๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรซื้อมาบริโภค


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 10:47:40 pm

มะพร้าว ผลไม้มากคุณประโยชน์


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_270989__02052013103257.jpg)


มะพร้าวนอกจากจะทานเป็นอาหารว่าง เช่นมะพร้าวอ่อน มะพร้าวเผา หรือเป็นส่วนประกอบในอาหารหวานคาว แต่ประโยชน์ของมะพร้าวไม่ได้หมดเพียงเท่านี้เนื่องจากทุกส่วนของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ได้แทบทั้งสิ้น

ประโยชน์ของมะพร้าวในด้านต่างๆ
ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร
ยอดอ่อนของมะพร้าวนำมาผัดหรือแกง ส่วนผลอ่อนรับประทานสดหรือนำมาเผา ทำห่อหมกมะพร้าวอ่อน จั่นของมะพร้าว (ช่อดอก) ตัดปลายวงจะได้น้ำหวานที่นำมาทำน้ำตาลปี๊บ น้ำมะพร้าวนำมาทำเนยเทียม ทำน้ำมันปรุงอาหาร ทำวุ้นมะพร้าว สำหรับเนื้อมะพร้าวคั้นกะทิใช้แกง ทำขนม ใช้ทำน้ำมันมะพร้าว

ใช้ประโยชน์ทางยา
-กะลามะพร้าว ใช้เผาให้เป็นถ่าน แล้วนำมาบดเป็นผงละเอียดผสมน้ำดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 0.5-1 ช้อนชา แก้ปวดกระดูกและเส้นเอ็น
-ดอก มีรสฝาดหวานเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงโลหิตแก้ปากเปื่อย
-ราก มีรสฝาดเป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
-เปลือกต้นสด ใช้เผาไฟให้เป็นเถ้าใช้แก้ปวดฟัน ทาแก้หิด
-เนื้อมะพร้าวสดหรือแห้ง เป็นยาบำรุงกำลัง ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ
-น้ำมะพร้าว เป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย แก้พิษ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิต

ประโยชน์ด้านอื่นๆ
-กากเนื้อมะพร้าวที่เหลือจากการคั้นกะทิ ใช้ทำอาหารสัตว์
-ใบ ใช้มุงหลังคา ทำเครื่องจักรสาน,ไม้กวาด
-กาบมะพร้าว ใช้ทำเชือก,พรม,ทำเบาะ
-ใยมะพร้าว นำไปใช้ยัดฟูก,ทำเสื่อ

มะพร้าวมีประโยชน์มากมายจริงๆ  หากบริเวณบ้านมีพื้นที่ว่างก็ควรหามะพร้าวมาปลูกไว้สักต้นสองต้น เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งตามที่กล่าวมา นอกจากปลูกไว้ใช้ประโยชน์แล้ว มะพร้าวยังให้ร่มเงาให้ความเป็นธรรมชาติกับเราอีกด้วย

 

ที่มาข้อมูล tsgclub.com
ที่มารูปภาพ n3k.in.th
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 02, 2014, 08:47:13 pm
    
อาหารต้านภัยจากคอม

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-


ภัยจากคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยของพวกสาวๆ ไม่ว่านักเรียน นักศึกษาที่เป็นขาแชท สาวออฟฟิศ เพราะคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในยุคปัจจุบันจนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ไปแล้ว เลยอยากจะให้สาวๆ สังเกตตัวเองว่าเริ่มมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วหรือยัง แล้วจากนั้นก็มาดูอาหารที่จะช่วยแก้อาการเหล่านั้น

อาการปวดเมื่อย อ่อนล้า กล้ามเนื้อเกร็ง
หากนั่งหน้าคอมนานๆ ก็จะมีอาการปวดเมื่อยบ่อยขึ้น ดังนั้นควรรับประทาน บรอคโคลี่ ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก อาหารที่มีแมกนีเซียม อย่างผักโขม ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ซึ่งช่วยคลายกล้ามเนื้อ

อาการตาอ่อนล้า พร่ามัว
เพราะการทำงานหน้าคอม เราจะต้องจดจ้อง หรือเพ่งมองที่หน้าจอคอมตลอดเวลาทำให้รังสีจากคอมพิวเตอร์ กระทบตาเราตลอดเวลาจนทำให้เราเกิดอาการแสบตาหรือตาล้าได้ ดังนั้นควรทานผักคะน้า พริก ผักปวยเล้ง มันเทศ ผักหวานบ้าน ตำลึง มีลูเทอินและชินแซนทิน จะช่วยลดความเสื่อมของศูนย์จอตา นอกจากนี้ยังรับประทานแครอท ฟักทอง เพราะมีเบต้าแคโรทีนช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา

ปัญหาผิวหน้าต่างๆ
ข้อนี้ไม่ดีต่อสาวๆ แน่นอน เพราะรังสีจากคอมพิวเตอร์ทำร้ายผิวหน้าเต็มๆ แบบที่คุณจะไม่รู้ตัวเลย คล้ายๆ กับรังสี UV ที่สัมผัสหน้าเราตลอดเวลาอาจจะทำให้เกิดปัญหาสิว ฝ้า กระ ได้ดังนั้นเราควรรีบหาผลไม้สีสดทุกชนิดเพื่อเพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น รวมถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนักมาก

เห็นไหมละค่ะว่าการที่เราต้องทำงานหรือทำอะไรก็ตามอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็เกิดผลเสียได้เช่นกัน ดังนั้นสาวๆ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันผลเสียก่อนที่จะสายเกินไป


ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com


-----------------------------------------


สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94_5_%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94/-


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_271368__05062013103820.jpg)

"ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ" ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่างๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน ผลไม้ยังดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาวๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต
1.ทับทิม
ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2.แก้วมังกร
อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3.สตรอว์เบอร์รี่
ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4.กล้วย
ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5.แตงโม
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

 

ที่มาข้อมูลและภาพ kroobannok.com










ดอกจำปีเป็นดอกเดี่ยวมีกลิ่นหอม สีขาวคล้ายกับสีงาช้าง ส่วนตรงกลางดอกมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ๆ ยอดแหลมคล้ายฝักข้าวโพด ออกดอกได้ตลอดทั้งปี
วันเสาร์ 1 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.


จำปี เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงและใหญ่กว่าจำปาเล็กน้อย ลำต้นมีสีน้ำตาลแตกเป็นร่องถี่ ๆ กิ่งมีขนสีเทา เปราะและหักง่าย และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง และการเพาะเมล็ด ดอกจำปีเป็นดอกเดี่ยวมีกลิ่นหอม สีขาวคล้ายกับสีงาช้าง ส่วนตรงกลางดอกมีเกสรเป็นแท่งกลมเล็ก ๆ ยอดแหลมคล้ายฝักข้าวโพด ออกดอกได้ตลอดทั้งปี คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำดอกจำปีมาใช้ประโยชน์ช่วยบำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียน อาเจียน บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท  กลีบดอกมีน้ำมันหอมระเหย ใช้ทาแก้อาการปวดศีรษะน้ำมันดอกจำปีมีสารที่ออกฤทธิ์ในการสงบประสาทและช่วยต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ แก้อาการตาบวม  ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงน้ำดี ขับปัสสาวะ ดอกตูมใช้รักษาอาการหลังการแท้งบุตร เป็นต้น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/219413/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 06:11:32 am
เรื่องดีดีของ “หอยแครง”

-http://club.sanook.com/23942/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87-

ในตำราแพทย์แผนไทย หอยแครง จัดอยู่ในพิกัดเนาวหอย คือเปลือกหอย 9 เพื่อการปรุงยา โดยเอามาเผาไฟให้สุกดีจะได้ปูนหอย ใช้บรรเทากรดในกระเพาะอาหาร ขับลมในลำไส้ ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ทำให้มีลมผายและลมเรอ ล้างลำไส้ ช่วยแก้กระษัย ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงกระดูก และร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับเพื่อรักษากระษัยปู คือปวดท้องน้อยเป็นกำลัง

หรือถ้าใช้ประกอบกับพืชและหอยชนิดอื่นๆ ก็สามารถช่วยขับพยาธิ ขับลม ฝาดสมาน รักษากระษัยจุก ด้วยการขับลม ล้างลำไส้ ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง สมานลำไส้ เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ควรรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ ควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:27:53 pm
อบเชยเป็นไม้ต้น ใบและเปลือกหอม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม  เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นหอม ดอกออกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน กลีบรวมชั้นนอก 3 กลีบ คล้ายกลีบเลี้ยง กลีบรวมชั้นใน 3 กลีบ  แยกกันแต่ติดตรงโคน
วันเสาร์ 8 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

 

อบเชยเป็นไม้ต้น ใบและเปลือกหอม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม  เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นหอม ดอกออกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองอ่อนหรือเขียวอ่อน กลีบรวมชั้นนอก 3 กลีบ คล้ายกลีบเลี้ยง กลีบรวมชั้นใน 3 กลีบ  แยกกันแต่ติดตรงโคน ผลสดแก่สีม่วงดำ  คนไทยเมื่อครั้งอดีตบริโภคอบเชยเพื่อช่วยทำให้ท้องเป็นปกติดี แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ขับลม ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ย่อยไขมัน ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย มีการนำอบเชยมาใช้ปรุงอาหาร เช่น ทำพะโล้ให้กลิ่นหอม มีรสสุขุม ใช้ปรุงยานัตถุ์แก้ปวดหัว ส่วนรากและใบมีกลิ่นหอมรสสุขุม ใช้ต้มดื่มขับลมบำรุงธาตุ แก้ท้องอืดเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่น เช่น เหล้า ขนมหวาน สบู่ และยา เป็นต้น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/221131/%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2014, 08:29:57 am


กุ้งเผา จัดเป็นอาหารยอดฮิต

วันศุกร์ 14 มีนาคม 2557 เวลา 09:43 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/222835/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87..%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-



(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/596554.jpeg)


กุ้งเผา จัดเป็นอาหารยอดฮิต ที่ถูกแชร์รูปกันในโลกออนไลน์ ทั้งทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวีตเตอร์ ให้เราเห็นผ่านตากันมากที่สุดอีกเมนูนึงเลยก็ว่าได้ แต่ละรูปล้วนโชว์ด้วยภาพกุ้งตัวใหญ่ๆ ผ่าครึ่ง ที่มีส่วนหัวที่เป็นมันเยิ้มสีส้ม ๆ เคียงข้างด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ดูแล้วสุดแสนจะยั่วน้ำลายผู้ที่ได้เห็นภาพยิ่งนัก ทำให้รู้ว่า กุ้งเผาเป็นเมนูใกล้ตัวที่ใครต่อใครก็ชอบรับประทาน จนไม่นานนี้ผู้เขียนได้เห็นการแชร์บทความข้อมูลทางเฟซบุ๊ก ให้ระวัง มีข้อความกล่าวอ้างว่า

"มันกุ้ง" คือ อะไร?? รู้ไว้ก่อนกิน..มันกุ้งที่หลายคนชื่นชอบนั้น แท้จริงแล้วมันคือ "ตับ" ของกุ้งนั่นเอง ตับกุ้ง เป็นตัวสร้างพิษและโรคร้ายต่าง ๆ อย่างน่าตกใจ

สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้ทำการแจ้งให้แก่ประชาชนทราบถึงพิษภัยของมันกุ้งที่มีต่อผู้บริโภค ตับของกุ้ง ก็เหมือนกับตับของสัตว์และคน คือ ทำหน้าที่ในการกรองสารพิษและเชื้อโรคออกจากกระแสเลือด ตลอดจนสร้างน้ำย่อยให้แก่ระบบทางเดินอาหารในร่างกาย ตับจึงเป็นที่รวมของสารพิษต่าง ๆ ที่อาจตกค้าง ร่างการจึงขับส่วนที่เป็นมันไปตรวจหาสารโลหะ หรือสารพิษต่างๆ เราจึงเห็นมันกุ้งอยู่บริเวณส่วนหัวเป็นจำนวนมาก มันกุ้งจึงเป็นแหล่งรวมพิษภัย และสร้างโรคภัยให้แก่ผู้รับประทานได้อย่างดี ซึ่งคลอเรสเตอรอล Cholesterol ในกระแสเลือดที่จะสะสมเป็นปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย และนั่นจะทำให้เกิดโรคภัยในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ภาวะหลอดเลือดต่าง ๆ ตีบตัน

ดังนั้นผู้ที่กำลังอร่อยอยู่กับเจ้าหัวกุ้งล่ะก็ ระวังกันหน่อย

ผู้เขียน ได้อ่านแล้ว จึงเกิดความสงสัยว่าเจ้ามันที่หัวกุ้งที่สุดแสนจะเอร็ดอร่อย และมีผู้รับประทานกันโดยทั่วไป มันมีอันตรายอย่างเช่น บทความข้างต้นนี้ จริงหรือ?? และถ้าจริง ทำไมหน่วยงานภาครัฐถึงไม่มีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้บริโภค และควบคุมผู้ประกอบการ ผู้เขียนจึงได้หาข้อมูลทางวิชาการ และทำการติดต่อไปตามหน่วยงานราชการที่ได้ถูกกล่าวอ้างในบทความข้างต้นนี้ คือ สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้มีโอกาศพูด็คุยกับคุณเจ้าหน้าที่นักวิชาการของสถาบัน เพื่อสอบถามถึงอันตรายตามที่บทความได้กล่าวอ้าง ผู้เขียนขอสรุปสาระสำคัญ ดังนี้นะคะ

ดร.สมเกียรติ์ กาญจนาคาร นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ทราบว่า ที่ผ่านมามีประชาชนโทรศัพท์ไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่สถาบันฯ เป็นจำนวนมากถึงฟอร์เวิร์ดเมล และบทความดังกล่าวที่ได้ถูกแชร์กันในโลกออนไลน์ ซึ่งทางสถาบันไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ส่ง และยืนยันว่าไม่ได้ส่งมาจากสถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืดฯ แน่นอน

ดร.สมเกียรติ์ กล่าวว่า มันกุ้ง คือ ตับ ทำหน้าที่ย่อยอาหารของกุ้งจริง การตรวจว่ากุ้งมีร่องรอยของเชื้อโรคหรือไม่จะตรวจที่มันกุ้ง เรื่องที่มันกุ้ง เป็นแหล่งรวมโรคและสารพิษของกุ้ง นั้น ยังไม่มีข้อมูลวิจัยในเรื่องดังกล่าว จึงยืนยันไม่ได้ว่ามันกุ้ง คือ แหล่งสะสมของเชื้อโรคหรือไม่ อีกทั้งเรื่องที่ว่าเป็นแหล่งรวมของสารโลหะหนักหรือสารพิษ ก็ไม่มีข้อมูลวิจัยเช่นกัน จึงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกกับเรื่องดังกล่าว การบริโภคกุ้งนั้นหากทำให้สุกด้วยความร้อน เชื้อโรคในกุ้งจะตายหมด ผู้บริโภคปลอดภัย รวมทั้งไม่มีรายงานว่าเชื้อโรคในกุ้งติดต่อถึงคนได้

คงโล่งอกโล่งใจกันไปบ้างพอสมควร แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากให้คุณผู้อ่าน รับประทานมันที่หัวกุ้งมากเกินไป เพราะเนื่องจากมันที่บริเวณหัวกุ้งนี้ มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่สูง หากทานในปริมาณมาก ก็ส่งผลต่อภาวะไขมันในเลือดสูงได้ และเมื่อไขมันสะสมพอกหนาเป็นเวลานานหลายปีจนหลอดเลือดแดงตีบตัน ทำให้อวัยวะสำคัญขาดเลือดไปเลี้ยง มีอาการอันตรายและก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย หรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้ และหากนำไปปรุงเป็นเมนู กุ้งเผานั้น หากผ่านความร้อนที่ไม่เพียงพอในการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ก็อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับจุลินทรีย์จนเกิดอาการของอาหารเป็นพิษ และท้องเสียได้

สาวกกุ้งเผา ก็เบาๆกันหน่อยนะคะ อย่าลืมนะคะว่าอะไรที่มากไป ก็ไม่ดี ทานได้บ้าง นาน ๆ ที ควบคู่ไปกับผัก ผลไม้บ้าง แบบนี้น่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวกันนะคะ อย่าลืมหลักสำคัญที่ว่า You are what you eat อยากมีสุขภาพที่ดี ทานอาหารดี ๆ และมีประโยชน์กันในทุกๆมื้อนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

เนื้อหาบางส่วนจาก http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2014, 07:05:13 am
“กระเทียม-บัว” สุดยอดสรรพคุณรักษา “โรคหัวใจ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2557 13:24 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029505-

 โดย...ภญ. ผกากรอง ขวัญข้าว
       เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
       
       ในปัจจุบันโรคหัวใจกำลังเป็นภันคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณการจากข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2542 ถึง 2547 ว่ามีชาวอเมริกันจำนวน 79,400,000 คน ป่วยด้วยระบบหลอดเลือดหัวใจ และโรคในกลุ่มนี้ยังเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของชาวอเมริกัน โดยโรคที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน (Coronary heart disease) เป็นสาเหตุของการตายจากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจถึงร้อยละ 52-53


“กระเทียม-บัว” สุดยอดสรรพคุณรักษา “โรคหัวใจ”
   
       สำหรับในประเทศไทยนั้น ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้แสดงให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2554 โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายของประชากรไทย 20,130 คน จากประชากรที่ตายทั้งหมด 414,667 คน (ร้อยละ 4.8 ของการตายทั้งหมด) เนื่องจากโรคที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ จากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ
       
       ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ มีสาเหตุมาจากระดับไขมันเลว หรือ LDL (low-density lipoprotein) สูงกว่าค่าปกติ ประกอบกับเซลล์บุผนังหลอดเลือดมีความปกติ เกิด plaque หรือก้อนเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดค่อยๆ แข็งและตีบตัน การส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยลง ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
       
       ส่วนสมุนไพรที่สามารถใช้ในการรักษาโรคนี้ ได้แก่ กระเทียม และบัวหลวง โดย กระเทียมนั้น เป็นอาหารและสมุนไพรที่มีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ตำรายาจีนระบุว่ากระเทียมมีฤทธิ์ร้อน รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้ไอ กลากเกลื้อน มีงานวิจัยในคนหลายงานพบว่า กระเทียมสามารถช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับของไขมันชนิดดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ กระเทียมยังมีฤทธิ์ลดความดันเลือดอีกด้วย
       
       ปริมาณกระเทียมที่แนะนำให้ใช้เพื่อฤทธิ์ดังกล่าว คือ กระเทียมสด 2-5 กรัม ( 1/4 - 1/2 ขีด) ต่อวัน โดยรับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เวลารับประทานให้บดกระเทียมให้ละเอียด และรับประทานทันที ข้อเสียจากการรับประทานกระเทียม คือ กลิ่นปาก ซึ่งสามารถใช้การเคี้ยวใบชาแก่ๆ บ้วนปากหลังจากรับประทานกระเทียม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003052401.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003052402.JPEG)

 ส่วนบัวหลวง นับเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับหัวใจ เพียงแต่คนทั่วไปอาจจะนึกไม่ถึง ในตำรายาจีนกล่าวว่า ใบบัว มีฤทธิ์เป็นกลาง รสฝาดขม แก้ร้อนใน เลือดกำเดาออก ช่วยห้ามเลือด รากบัว มีคุณสมบัติเย็น รสหวาน แก้ร้อนใน แก้เลือดกำเดา ดีบัว มีฤทธ์เย็น รสขม ดับร้อนที่หัวใจ กล่อมประสาท ปรับสมดุลหัวใจและไต
       
       สำหรับการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดด้วยน้ำจากดีบัวมีฤทธ์ลดความดันโลหิต ประกอบด้วยสาร demethylcoclaurine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สาร methyl corypalline มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ สาร neferine มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และต้านการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยมีผลต่อการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ขณะที่ฤทธิ์ต้านจุลชีพ สารสกัดแอลกอฮอล์จากดีบัว มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus group A ทำให้นอนหลับ ส่วนสารแอลคาลอยด์มีฤทธิ์ลดอาการปวดและแก้อักเสบ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003052403.JPEG)

  หากอธิบายในองค์ความรู้แผนไทย ดีบัว ซึ่งมีรสขม จะช่วยแตกอนุภาคของตะกรัน หรือที่แผนปัจจุบันเรียกว่า Plaque ที่ติดอยู่ที่หลอดเลือด ให้เป็นอนุภาคเล็กๆ เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีโรคหัวใจ เช่น หัวใจโต หัวใจเต้นผิดจังหวะ รสขมนั้นถือเป็นข้อพึงระวังในการใช้
       

-------------------------------------------------------------------------------------------------

เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2557 19:08 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029507-

สาวๆ ทั้งหลายมีสารพัดโรคมะเร็งให้กังวลมากพอแล้ว ทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก เพราะเป็นอวัยวะที่ผู้ชายไม่มี สำหรับคุณผู้ชายที่ต้องกังวลก็ต้องเป็นอวัยวะที่ผู้หญิงไม่มีเช่นกัน อ๊ะๆ! อย่าเพิ่งคิดลึกไปถึงอวัยวะอย่างมังกรผงาดโลกเด็ดขาด แต่เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันต่างหาก นั่นก็คือ ต่อมลูกหมาก
       
       ศ.นพ.สุชาย สุนทราภา ศัลยแพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นอวัยวะหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ชายที่มีหน้าที่ในการผลิตส่วนประกอบของน้ำอสุจิ และหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ ต่อมลูกหมากอยู่ภายในช่องเชิงกรานใต้ต่อกระเพาะปัสสาวะและอยู่หน้าลำไส้ตรงหรือทวารหนัก และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น

เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
   
       “สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิวของต่อมลูกหมาก ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น กะรเพาะปัสสาวะ ถุงเก็บน้ำอสุจิ ท่อปัสสาวะ เป็นต้น จนเกิดภาวะการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะตำแหน่งต่างๆ เกิดการคั่งค้างของปัสสาวะ ทำให้ไม่สามารถระบายของเสียออกจากร่างกายได้ จึงเสี่ยงทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้อีก ถ้ามะเร็งต่อมลูกหมากกระจายไปทั่วตัวในระยะท้ายก็จะทำให้เสียชีวิตได้”
       
       สำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ศ.นพ.สุชาย บอกว่า คือผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อมีอายุสูงขึ้นอัตราเสี่ยงในการเป็นก็มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชายที่อายุน้อยกว่า 50 ปีก็มีโอกาสเป็นได้แต่น้อย นอกจากนี้ พบว่าชายที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากก็จะมีอัตราเสี่ยงสูงเช่นกัน รวมถึงผู้ชายที่นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงสูงมากขึ้น ซึ่งพบมากในประเทศตะวันตกที่นิยมกินอาหารไขมันสูง ดังนั้น ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจต่อมลูกหมากปีละครั้ง
       
       “อาการของมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ในระยะแรกจะยังไม่แสดงอาการใด เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ อาจจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่งปัสสาวะมากขึ้น ปัสสาวะเป็นเลือด ถ้าเป็นมากจะปัสสาวะไม่ออก หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่อาการปัสสาวะผิดปกติเช่นนี้อาจจะเหมือนกับโรคต่อมลูกหมากโตแบบธรรมดาได้ จึงจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด สำหรับระยะลุกลาม จะลามไปถึงกระดูกจะมีอาการปวดบริเวณกระดูกสันหลัง บริเวรกระดูกเชิงกราน หรือปวดบริเวณซี่โครง นอกจากนั้น จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเกิดภาวะซีด หรือมีกระดูกหักง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายเป็นอัมพาตจากกระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาทได้”
       
       การจะตรวจเช็กว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ศ.นพ.สุชาย ระบุว่า การตรวจสามารถทำได้โดยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ PSA ซึ่งผู้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากค่า PSA ในเลือดจะสูงกว่าปกติ และตรวจทางทวารหนัก โดยแพทย์จะสอดนิ้วเข้าไปคลำต่อมลูกหมากผ่านรูทวารหนัก ถ้าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะคลำได้ลักษณะก้อนแข็ง อย่างไรก็ตาม หากการตรวจทั้งสองอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยัน โดยการผ่านเข็มผ่านทางเครื่องอัลตราซาวนด์ของต่อมลูกหมาก ซึ่งทำได้โดยใช้ยาเฉพาะที่
       
       ในแง่การรักษานั้น ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระยะของผู้ป่วย ถ้ามาพบแพทย์ช่วงระยะเริ่มต้นผลการรักษาจะดี มีโอกาสหายได้ หากมาในระยะท้าย การรักษาจะช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นแต่ไม่หายขาด ซึ่งหากเป็นระยะที่ 1 และ 2 รักษาโดยการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด เป็นการรักษาที่ได้ผลวิธีหนึ่ง มีโอกาสหายขาดได้ วิธีนี้มักจะทำในผู้ป่วยอายุไม่เกิน 70 ปี แต่ถ้ามากกว่า 70 ปีขึ้นไป แพทย์จะดูสภาวะอื่นๆ ของผู้ป่วยแล้วใช้ดุลยพินิจในการรักษาให้เหมาะสม ผลข้างเคียงของการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยอาจจะสูญเสียความสามารถในการแข็งตัวของอวัยวะเพศหลังผ่าตัด บางรายอาจจะมีปัญหาในการกลั้นปัสสาวะ
       
       อีกวิธีหนึ่งคือการฉายรังสี หรือฝังแร่ในต่อมลูกหมาก โดยใช้รังสีไปทำลายเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมาก ผลข้างเคียงคือ จะเกิดการระคายเคืองของเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ หรือเยื่อบุผิวของลำไส้ตรง จะทำให้มีปัสสาวะเป็นเลือดเป็นครั้งคราว ปัสสาวะลำบาก หรือมีอุจจาระเป็นเลือด อุจจาระลำบากได้
       
       ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า หากมะเร็งลุกลามระยะ 3 ต้องใช้การรักษาผสมผสาน ทั้งการผ่าตัดต่อมลูกหมากออกจนหมด หรือฉายแสงร่วมกับการรักษาโดยการลดฮอร์โมนเพศชาย คือ การตัดลูกอัณฑะออกทั้ง 2 ข้าง หรือการฉีดยา LHRH agonist เพื่อยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเทสโตสเตอร์โรนจากลูกอัณฑะได้ นอกจากนั้น ยังมีการให้ยา anti-androgen ร่วมด้วย เพื่อยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจนจากต่อมหมวกไต ส่วนระยะที่ 4 คือระยะที่มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือกระดูกแล้ว การรักษาที่นิยมคือ การลดฮอร์โมนเพศชายตามที่ได้ระบุไป
       
       “หลังการรักษา แพทย์จะนัดติดตามผลการรักษาโดยการเจาะเลือด PSA เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระดับ PSA ถ้าต่ำคือการรักษาได้ผลดี ถ้าสูงขึ้นแสดงว่าโรคกำเริบ ดังนั้น ผู้ป่วยต้องมารับการตรวจทุกครั้งที่แพทย์นัด”
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2014, 08:34:10 am
เครื่องดื่มที่ช่วยกำราบพุงให้อยู่หมัด

-http://guru.sanook.com/9567/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94/-

นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและลดหน้าท้อง ให้คุณหนุ่มๆ ได้แล้ว การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่สามารถลดพุงสลายไขมันหน้าท้อง เพื่อให้คุณมีหน้าท้องแบบราบได้เหมือนกันวันนี้เราก็มีตัวอย่าง เครื่องดื่มสำหรับลดพุงมาฝากกันนะค่ะ

1. ชามิ้นต์
          ด้วยคุณสมบัติของมิ้นต์ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์หรือสเต็ก ก็จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังลดอาการท้องอืดพร้อมเร่งการขับถ่ายได้อีกด้วย

2. ชาเขียว
          อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวสามารถช่วยลดความอ้วน และควบคุมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า "คาเทซิน" ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ เพียงจิบชาเขียวก่อนออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในระหว่าง นั้นได้แล้ว

3. นมถั่วเหลือง
          ถั่วเหลืองมีสารแลคตินที่ช่วยป้องกันการสะสมไขมันของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกับช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เพียงดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี

4. น้ำเปล่า
          เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากที่สุด และยังดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายทั้งยังลดอาการบวมน้ำได้ด้วย

5. น้ำแตงโม
          มีสารอาหารมากมายรวมถึงไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอาร์จินีน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ระบุว่า น้ำแตงโม ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วย

6. น้ำสับปะรด
          สับปะรดมีสารที่เรียกว่า "โบรมีเลน" ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนทำให้การย่อยอาหารง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ผสมลงในน้ำสับปะรดก็ถือว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เพราะมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างสูง (จากการศึกษาพบว่าหากกินไขมันประเภทนี้ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเล สเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวยังมีส่วนป้องการเกิดโรคหัวใจได้)

          ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ควรจะรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะหากรับประทานน้อยเกินไปก็อาจจะขาดสารอาหาร หรือมากเกินไปก็อาจเกิดการสะสมในร่างกาย อย่างไรก็ดีควรหาเวลาออกกำลังกายควบคู่กันไป พร้อมๆ กับการรับวิตามินและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกของคุณเองด้วยนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ postjung.com

-----------------------------------------------------------------


ประโยชน์ของเนย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

-http://campus.sanook.com/1370910/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%891/-


เนยก้อนที่ใช้ประกอบอาหารและขนมแสนอร่อยซึ่งมีความมันและหล่อลื่นสูงก็ช่วยแก้ปัญหาในงานบ้านได้หลายอย่างนะ

- รอยด่างบนไม้ที่เกิดจากน้ำซึมปาดเนยลงไปบนจุดเกิดเหตุ ทิ้งไว้ข้ามคืนจากนั้น ใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกในตอนเช้า

- หมึกเลอะบนพลาสติก ใช้เนยป้ายลงบนคราบ นำไปผึ่งแดดสัก 2-3 วัน แล้วนำมาทำความสะอาดอีกครั้งด้วยสบู่ และน้ำ

- ยืดอายุให้ชีสก้อน ใช้เนยทาเคลือบขอบนอกของก้อนชีสให้ทั่วก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ชีสขึ้นราเร็วนัก

- หัวหอมใหญ่ ที่ใช้ไปเพียงครึ่งหัวแล้วต้องเก็บไว้ สามารถยืดอายุให้นานขึ้นได้แค่ป้ายเนยบนพลาสติก นำไปห่อหัวหอมแล้วห่อซ้ำอีกครั้งด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์

- หม้อที่ต้มน้ำแล้วเดือดเร็วมาก ใส่เนยละลายลงไปประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะเพื่อหยุดไม่ให้น้ำเดือดเกินไป

- หมากฝรั่งติดผม ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ลองใช้เนยป้ายตรงที่เกิดเหตุทิ้งไว้ให้เซ็ตตัว แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหมากฝรั่งออกไป

- กาวติดมือเหนียวเหนอะหนะ ป้ายเนยลงบนรอยเหนียวๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดออกก่อนล้างมือให้สะอาด

- สายสร้อยพันกัน เพิ่มความลื่นบนสร้อยด้วยเนย ก็จะทำให้คุณแกะคลายปมออกง่ายขึ้นนอกจากนี้ เนยยังช่วยให้คุณถอดแหวนคับๆ ออกจากนิ้วได้ง่ายขึ้นด้วย

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2014, 07:38:04 am
มะขาม

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/224381/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89--



ทำให้ผิวหนังอ่อนวัยลบรอยเหี่ยวย่น ให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังในชั้นผิวหนังแท้ดีขึ้น คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำมะขามอ่อนมาใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย ยาถ่าย รักษาอาการขัดเบา
วันศุกร์ 21 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

มะขามชนิดเปรี้ยว มีกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ทาร์ริค กรดซิตริค  กรดมาลิค ทำให้ออกฤทธิ์ระบายลดความร้อนของร่างกาย โดยเฉพาะกรดมาลิค มีประสิทธิภาพในการรักษาผิวหน้า ช่วยทำให้มีการหลุดลอกของผิวชั้นนอก  และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวหนังอ่อนวัยลบรอยเหี่ยวย่น ให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังในชั้นผิวหนังแท้ดีขึ้น คนไทยเมื่อครั้งอดีตนำมะขามอ่อนมาใช้ประโยชน์เป็นยาระบาย ยาถ่าย รักษาอาการขัดเบา รักษาอาการเหน็บชา  รักษาอัมพาต รักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยขับน้ำคาวปลา  ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว แก้ไข้หวัด แก้ปวดหลังและบั้นเอว แก้หืด ไอ เป็นต้น.


-----------------------------------------------------------


รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ปัจจุบันมีการนำรำข้าวมาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันรำข้าว
วันพฤหัสบดี 20 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.

รำข้าว คือ ส่วนที่ได้จากการขัดข้าวกล้องให้เป็นข้าวสาร ซึ่งประกอบด้วยชั้นเยื่อหุ้มเมล็ด และคัพภะ เป็นส่วนใหญ่ ได้มาจากกระบวนการสีข้าว โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รำหยาบ  ซึ่งได้จากการขัดผิวเมล็ดข้าวกล้อง และรำละเอียด  ได้จากการขัดขาวและขัดมัน รำข้าวมีคุณค่าทางอาหารประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน ใยอาหาร เถ้า วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ ปัจจุบันมีการนำรำข้าวมาใช้ประโยชน์ เช่น น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันสำหรับบริโภคที่มีคุณภาพดี จัดเป็นน้ำมันบริโภคที่มีคุณภาพ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว 77% เป็นกรดไขมันที่จำเป็น 31.7% เป็นแหล่งของวิตามินอี มีสมบัติเป็นสารกันหืน ช่วยเร่งการเจริญเติบโตรวมทั้งช่วยให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น น้ำมันรำข้าว เมื่อนำมาปรับปรุงคุณสมบัติด้วยกระบวนการเคมีฟิสิกส์ สามารถผลิตเป็นกะทิแปลงไขมัน ผลิตสบู่และเนยขาวอเนกประสงค์ได้.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/224081/%E0%B8%A3%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2014, 12:34:00 am
กิน “หอย” ให้ปลอดภัยจาก “ขี้ปลาวาฬ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มีนาคม 2557 15:42 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034698-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003589701.JPEG)


  ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ทั้งอุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้อาหารที่เรากินนั้นเน่าเสียได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงแล้วหรืออาหารสด โดยเฉพาะอาหารทะเล
       
       ล่าสุด มีคำเตือนออกมาจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการกินอาหารในหน้าร้อนอย่างปลอดภัย โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลประเภทหอย เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมขี้ปลาวาฬ โดย ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า อุณหภูมิที่สูงในช่วงหน้าร้อนทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในอาหารทะเลเจริญเติบโตได้ง่าย อีกทั้งยังพบมีโลหะหนักหลายชนิด ทั้งตะกั่ว สังกะสี แคดเมียม และทองแดง ในอาหารทะเล ประเภทปูม้า หอยนางรม และปลาหมึก โดยสารพิษเหล่านี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และยังมีพิษอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในอาหารทะเล อาทิ ขี้ปลาวาฬ ที่เกิดขึ้นจากแพลงตอนจำพวกไดโนแฟลกเจลเลต (dinoflagellate) สามารถพบได้ในน้ำทะเลทั่วๆ ไป สังเกตได้จากน้ำมีสีน้ำตาลแดง เมื่อมีอากาศร้อนจัดสัตว์ชนิดนี้จะแบ่งเซลล์และเจริญเติบโตได้ในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว โดยขี้ปลาวาฬจะเข้าสู่สัตว์ทะเลผ่านทางห่วงโซ่อาหาร พบมากในหอย ซึ่งจะสร้างสารพิษพวกไบโอท็อกซิน (biotaxin) ที่ทนความร้อน ไม่สามารถทำลายได้ในกระบวนการปรุงอาหาร เมื่อกินเข้าไปจะทำให้มีอาการชาบริเวณปากและทำให้แน่นหน้าอก เคลื่อนไหวลำบาก บางรายมีอาการอาเจียนด้วย
       
       จากการตรวจวิเคราะห์น้ำตัวอย่าง 1 ลิตร พบขี้ปลาวาฬสูงถึง 40,000 เซลล์ และตรวจพบไบโอท็อกซินในปริมาณที่สูงมาก ส่วนใหญ่พบในหอยสองฝา เช่น หอยกะพง หอยนางรม ซึ่งกินแพลงตอนทุกชนิด โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เป็นช่วงที่มีแพลงตอนชนิดนี้มากในน้ำทะเล โอกาสที่หอยนางรมเป็นพิษก็เกิดได้มากเช่นเดียวกัน ก่อนกินจึงควรนำไปแช่น้ำปูนเพื่อลดความเป็นพิษ หรืองดกินในช่วงนี้ก็จะเป็นการดี
       
       นอกจากนี้ในอาหารทะเลยังพบแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วงมากที่สุดคือ เชื้ออหิวาต์เทียม หรือ วิบริโอ พารา ฮีโมไลติคัส (vibrio parahaemolyticus) เชื้อชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในน้ำทะเลและอาหารทะเล เช่น ปลา ปูม้า หอย กุ้ง กั้ง ปูทะเล และปลาหมึก เป็นต้น และยังพบในอาหารประเภทหอยแครงลวก ปลาดิบ ยำหอยนางรม ปูดอง หอยดอง ซึ่งพบเชื้อได้ทั้งปีแต่จะพบมากช่วงหน้าร้อนในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ซึ่งอาการที่ปรากฏชัดหลังจากกินเข้าไป 12-24 ชั่วโมง คือ ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง อาจมีอาการปวดศีรษะและหนาวสั่นร่วมด้วย
       
       ส่วนคำแนะนำในการเลือกกินหอยให้ปลอดภัยจากขี้ปลาวาฬ ผู้บริโภคจึงต้องหมั่นฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ ว่ามีขี้ปลาวาฬเกิดขึ้นในช่วงใด บริเวณใด ก็ควรงดกินในช่วงนั้น หรือให้เลือกกินอาหารทะเลที่สดและสะอาด มีการ ล้างน้ำทำความสะอาดทุกครั้งโดยเฉพาะสัตว์ทะเลที่มีผิว เปลือก หรือกระดอง เพื่อกำจัดแบคทีเรียที่ปนเปื้อน สำหรับกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียได้ถึงร้อยละ 50 และที่สำคัญเพื่อความปลอดภัยต้องผ่านการปรุงสุกทุกครั้ง



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2014, 11:02:31 pm
เตือนพ่อค้าแม่ค้า วางผักสดบนอาหารปรุงสุก ทำอาหารเป็นพิษได้

-http://health.kapook.com/view85248.html-

(http://img.kapook.com/u/marisa/550_1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรค เตือนพ่อค้าแม่ค้าห้ามวางผักสดบนอาหารปรุงสุก ชี้เร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำอาหารเป็นพิษได้ ควรแยกออกจากกล่อง

          เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จ.สงขลา กล่าวเตือนว่า หากนำผักสดมาวางบนอาหารที่ปรุงสุกแล้วภายในกล่อง มีอุณหภูมิสูงประมาณ 35-50 องศา เป็นเวลานาน ผักสดจะได้รับความร้อนจากอาหารนั้น ทำให้ผนังเซลล์ของผักถูกทำลายเกิดการอ่อนนิ่มลง และอยู่ในสภาวะเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น เกิดการเน่าอย่างรวดเร็ว และสร้างสารพิษออกมาปนเปื้อนลงสู่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว เมื่อผู้บริโภครับประทานอาหารดังกล่าวเข้าไป จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาหารเป็นพิษได้

          ทั้งนี้ ผักสดส่วนใหญ่จะมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย โดยในผักสดประกอบด้วยน้ำปริมาณสูงมาก และเป็นแหล่งที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ มีระดับพีเอชเฉลี่ย 5-7 ซึ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ชนิดแบคทีเรีย ผักสดจึงเกิดการเน่าเสียเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด สามารถปนเปื้อนเข้าสู่ผักสดได้ในหลายกรณี อาจมาจากดินที่ปลูกพืช จากภาชนะที่ใส่ตอนเก็บเกี่ยว กระบวนการขนส่ง แม้กระทั่งการล้างก็มีส่วนทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในส่วนเน่าเสียของผักแผ่กระจายออกไปได้ นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในผักอาจมาจากมือของผู้ประกอบอาหารหรือผู้ที่สัมผัสกับผักสดด้วย

          ดังนั้น ฝากเตือนพ่อค้าแม่ค้าที่จำหน่ายอาหารกล่อง อย่าใส่ผักสดลงไปในกล่องรวมกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว  ควรบรรจุผักสดไว้ในถุงพลาสติก หรือห่อด้วยกระดาษไข และแยกออกจากกล่อง เพื่อป้องกันการถ่ายเทเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในผักสดสู่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว

          นอกจากนี้ ผู้ประกอบอาหารควรคำนึงถึงสุขลักษณะและสุขอนามัยที่ดี ดูแลเรื่องความสะอาดของเล็บมือ ผม ผิวหนัง ใส่ผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผมขณะประกอบอาหาร ดูแลห้องครัวให้สะอาด มีสถานที่เก็บอาหารสดและอาหารแห้งที่ปราศจากแมลง หนู แมลงสาบ คำนึงถึงความสะอาดตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ สำหรับผู้บริโภค ควรยึดหลักปฏิบัติ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ไม่เก็บอาหารที่ปรุงแล้วไว้นานเกิน 2-4 ชั่วโมง




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395945056&grpid=03&catid=&subcatid=-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 04, 2014, 05:53:35 am
“ไข่กุ้ง” หรือไข่อะไรกันแน่ บนหน้าซูชิ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 เมษายน 2557 16:59 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000030262-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003130801.JPEG)


 บนหน้าซูชิที่สีสันสดใสชวนกิน นอกจากจะมีเนื้อปลาหลากชนิด กุ้ง หมึก และอีกสารพัดเนื้อสัตว์แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่เป็นประจำบนหน้าซูชิ อาหารญี่ปุ่นยอดฮิตก็คือ “ไข่กุ้ง”
       
       แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าไข่กุ้งเหล่านี้ แท้จริงแล้วคือไข่ของอะไร มาจากไหน วันนี้ “108 เคล็ดกิน” จะมาเฉลยให้ฟัง
       
       “ไข่กุ้ง” เม็ดเล็กๆ เคี้ยวกรึบๆ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นสีส้ม แต่ก็มีบ้างที่แปลงร่างเป็นสีแดง สีดำ ซึ่งไข่กุ้งนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือไข่ปลานั่นเอง ซึ่งไข่กุ้ง (หรือไข่ปลา) ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ Ebiko และ Tobiko
       
       ไข่กุ้งชนิดที่เรียกว่า Ebiko นั้นเป็นไข่ที่ได้จากปลา Capelin หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่าปลาไข่ กรรมวิธีการทำไข่จากปลา Capelin มาเป็นไข่กุ้ง นั้นต้องนำไข่ของปลามาหมักและปรุงรสจนได้ไข่ที่มีลักษณะโปร่งใส และมีสีส้มๆ คล้ายกับกุ้ง ซึ่งจะเรียกกันอบ่างแพร่หลายในร้านซูชิที่ประเทศญี่ปุ่นว่า Ebiko
       
       ส่วนไข่กุ้งที่เรียกว่า Tobiko นั้น คือไข่ที่ได้จากปลา Flying Fish หรือ ปลาบิน ซึ่งถูกนำมาใช้ทดแทนไข่จากปลา Capelin ที่มีปริมาณปลาลดน้อยลงไปมาก และได้เรียกไข่จากปลาบินว่า Tobiko เพื่อป้องกันการสับสน
       
       แต่รสชาติของไข่กุ้งที่มาจากไข่ปลาทั้งสองชนิดนั้นแทบไม่มีความแตกต่างกันเลย ลักษณะจะเป็นไข่เม็ดเล็กๆ มีเปลือกไข่ที่แข็งเพียงเล็กน้อย และเมื่อเคี้ยวจะกรุบๆ มีรสเค็มอ่อนๆ ความแตกต่างกันที่มีเพียงเล็กน้อยก็คือ Ebiko จะมีกลิ่นเฉพาะตัวมากกว่า และมีราคาแพงกว่า
       
       และที่เราเห็นไข่กุ้งเป็นสีสันต่างๆ นอกจากสีส้ม ก็เพราะเกิดจากการย้อมสีให้มีสีสันและรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกเล็กน้อย อย่างไข่กุ้งสีดำ ย้อมมาจากหมึกของปลาหมึก หรือไข่กุ้งสีเขียว ก็ย้อมมาจากวาซาบิ นั่นเอง




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 04, 2014, 10:13:50 pm
ได้ผลจริง!ลบรอย “ตีนกา” ด้วยใบบัวบก

-http://club.sanook.com/28424/%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B9%89-



(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/cats.jpg)



เชื่อไหมว่า “น้ำใบบัวบก”  ที่ใครๆก็ชอบเอามาล้อคนอกหักว่ากินแก้ช้ำในช้ำใจนั้นมีประโยชน์เรื่องความสวยความงามแบบที่คุณผู้หญิงต้องอึ้งกันไปเลย   เพราะมันสามารถลบรอยตีนกาได้….จริงดิ….

วิธี คือ นำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาปั่น หรือจะบด จะโขลก ด้วยกรรมวิธีอะไรก็ได้ที่ถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการ คือ น้ำใบบัวบก   พอได้น้ำใบบัวบกสด ๆ แล้ว ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกมาทาให้ทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน หรือจะหลับไปเลยก็ได้

น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่ที่สำคัญต้องทำสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผล รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่อยากลบรอยตีนกา ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาโบท็อกซ์นะจ๊ะ


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/b1-150x150.jpg)

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/b2-150x150.jpg)

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/b3-150x150.jpg)



.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2014, 08:46:15 am
กินอย่างไรดีในหน้าร้อน

-http://club.sanook.com/28264/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-

อากาศที่ร้อนอบอ้าวนอกจากจะทำให้ไม่สบายตัวแล้ว อาจจะทำให้จิตใจร้อนรุ่มพาลทำให้เกิดความหงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สบายแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆอย่างโดยไม่รู้ตัว

“การกินอาหาร” ก็เป็นหนึ่งในวิธีคลายร้อนที่ง่าย ได้อิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเลยทีเดียว แต่เมนูที่จะกินนั้น ก็ต้องสรรหาสรรพคุณคลายร้อน ย่อยง่าย มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากๆ และให้พลังงานต่ำ นะคะ

อาหารจำพวกโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และถั่วเขียว วิตามินเกลือแร่ จากผักและผลไม้ที่สามาถช่วยเพิ่มความเย็นให้แก่ร่างกาย ได้แก่ มะเขือเทศ แตงกวา ข้าวโพด ผักโขม แตงโม ฟักเขียว ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ ที่สำคัญที่สุดคือการดื่มน้ำเปล่าให้มาก ประมาณ 4-8 แก้ว หรือ 1-2 ลิตร ต่อวัน เพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่ร่างกายเผาผลาญไป

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูงและย่อยยากอย่างเช่น เนื้อวัว นม ไขมัน ไข่ ทุเรียน กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล

หากต้องการหาเครื่องดื่ม หรือขนมเย็นๆมาคลายร้อน แนะนำให้ลองพวกสมูทตี้ผลไม้สด หรือไอศครีมเชอร์เบท แทนที่จะเป็นสมูทตี้กาแฟ,นม หรือไอศครีมที่มีส่วนผสมของนมดูค่ะ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2014, 09:54:49 pm

"รางจืด" ราชาแห่งการถอนพิษ

-http://campus.sanook.com/1371087/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9/-


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1371087/5fac376038e9b84278b9db80ddf4adb7.jpg)


รางจืดเป็นสมุนไพรที่ เป็นพืขในเขตร้อนและเขตอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศไทยทุกภาค ลักษณะ เป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญานาง แต่ใยโตกว่า มีสีเขียวอ่อน ปลายเรียวแหลมโคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอกมีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงแกมน้ำเงิน สีเหลือง สีขาว ซึ้งนิยมดอกมากกว่า ผลเป็นรูปทรงแหลม


คุณประโยชน์ :ใบ ราก เถา : รสจืดเย็น ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำหรือต้มเอาน้ำยา ดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม ใบสดช่วยเร่งการสร้างเมา ราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวมทั้งต้น รสจืดเย็น ปรุงยาแก้มะเร็งใช้หัวว่านฝนกับน้ำเปล่า หรือน้ำเหล้าเป็นกระสาย ทาหรือพอกไว้บริเวณที่โดนพิษ ไม่นานจะหาย หรือปรุงเป็นยาแก้โรคพิษสุนัขบ้า อมหัวว่านนี้ไว้ในปากกินเหล้าจะไม่เมา

การนำมาประกอบอาหาร : การปรุงอาหารจากรางจืด นำยอดรางจืดไปยำ ต้มจืด สลัดผักและชารางจืด ส่วนวิธีการใช้ประโยชน์รางจืดที่ดีที่สุดคือ เครื่องดื่มน้ำรางจืด โดยเฉพาะเกษตรกรเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และได้รับการสะสมสารเคมีตกค้าง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ซึ่งมีพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย มึนงง ชักหมดสติ โดยชงรางจืดดื่มวันละ 6 กรัม ประมาณ 4-5 แก้วต่อวัน เพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย

การเก็บรักษา เก็บส่วนใบเรียวใบในภาชนะก่อนเพื่อกันใบช้ำ หลังจากนั้นเก็บเถา เส้นผ่า ศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ถ้าเถาร้อนเกินไปจะมีสีคล้ำเมื่อแห้ง นำใบและเถามาหั่นยาวประมาณ 2 นิ้ว ส่วนเถายาวประมาณ 1 ซม. นำไปตากแดด 4-5 วัน โดยแยกเถาและใบตาก เมื่อแห้งเก็บใส่ถุงรัดปากถุง ให้แน่น (อัตราการแห้งของใบรางจืดเท่ากับ 1 ต่อ 10)

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

รางจืดต้น แก้พิษ แก้เมา แต่ตัวยาจะด้อยกว่ารางจืดเถา ใช้รากตำละเอียดผสมกับเหล้าขาวใช้ถอนพิษยาเบื่อให้กับสุนัขได้หรือการใช้กับคนที่ได้รับเชื้อไวรัสเฮอร์พีช (Herpes Virus) จำพวก เริม งูสวัด ไฟลามทุ่งหรือขยุ้มตีนหมา ตามชื่อเรียกของชาวบ้าน พบว่าใช้ใบรางจืดตำละเอียด ผสมเหล้าขาว นำไปทาบริเวณที่ได้รับเชื้อสามารถถอนพิษและอาการ ของโรคได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้การใช้รางจืดต้นเป็นส่วนประกอบ ในการผสมตัวยาก็ยังเห็นผล อาทิเช่น ใช้ใบรางจืด ใบชุมเห็ดเทศ กระเทียม ตำละเอียดผสมเหล้าขาว ทาแก้โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผื่นคัน อาการเหล่านี้จะหายได้ ในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใบชา หรือถุงชาในแพ็คเกจสวยหรูดูดี และยังทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสำเร็จรูป ซึ่งเป็นของกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ราคาย่อมเยา สามารถชงดื่มได้ทันที หาซื้อได้ทั่วไป ลองไปอุดหนุนกันหน่อยเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ของพี่น้องไทยกันเอง

---------------------------------------------------


น้ำมะนาว ดีต่อสาวๆยังไง


-http://guru.sanook.com/9559/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%86%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87/-

(http://appx.sanook.com/rip/r/w300/ya0xa0m1w0/aHR0cDovL3AzLmlzYW5vb2suY29tL2d1LzAvcGljZnJvbnQvcGVkaWEvMjcxMTQ5X18yMTA1MjAxMzExNDAxMC5qcGc=.jpg)

มะนาว เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเราในการกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำได้โดยการดื่มน้ำมะนาวผสมในน้ำอุ่นทุกๆ เช้า เพราะมะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับการลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซน่าว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน โดยผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมากๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้นด้วย และยังช่วยปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น และช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

ถ้าสาวๆ อยากลดน้ำหนัก ยังมีผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เพราะเปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินคุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว

สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน

1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า

เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด

เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง

3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด

โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย


ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 10, 2014, 10:07:12 pm

“ไหลบัว” ประโยชน์เหลือหลาย สายใยจากบัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 เมษายน 2557 18:41 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034218-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003540103.JPEG)

  มีพืชผักหลายชนิดที่เราสามารถนำทุกๆ ส่วนมาใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมด ที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือต้นกล้วย ที่ตั้งแต่ยอดมาจนราก แถมยังกิ่งก้านใบ ดอก ผล ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมี “บัว” ที่เราก็สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างมากมาย
       
       หนึ่งในส่วนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารก็คือ “ไหลบัว” ซึ่งหลายๆ คนคงยังสับสนอยู่บ้างระหว่าง “ไหลบัว” และ “สายบัว” ซึ่ง “108 เคล็ดกิน” มีข้อสังเกตง่ายๆ มาบอก
       
       “ไหลบัว” ที่เราพูดถึงกันนี้ บางคนอาจเรียกว่า “หลดบัว” ซึ่งเป็นส่วนของหน่อบัว หรือส่วนที่งอกออกมาและจะเจริญไปเป็นลำต้นใหม่ต่อไป ลักษณะของไหลบัวจะเป็นก้านยาวๆ สีขาวนวล ลักษณะแข็ง กดไม่ยุบ แตกต่างจาก “สายบัว” ซึ่งเป็นก้านของดอกบัว เวลาจะกินต้องนำมาลอกเปลือกนอกออกก่อน สีของสายบัวจะออกสีน้ำตาล เมื่อลอกเปลือกออกแล้วจะออกเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อมเขียวอ่อน ถ้าบีบที่สายบัวจะยุบลงไป หรือเมื่อนำไปผัดหรือต้มก็จะนิ่ม
       
       ปัจจุบัน “ไหลบัว” ยังสามารถหาซื้อได้ตามตลาดสดใหญ่ๆ เมื่อซื้อมาแล้วก็นำมาล้างทำความสะอาด แล้วหั่นหรือเด็ดให้เป็นท่อนยาวพอคำ สำหรับนำไปปรุงอาหารต่อ แต่ตัวไหลบัวนั้นมีใยอยู่มาก เมื่อเด็ดหรือหั่นจะสังเกตเห็นสายใยที่ยืดยาวออกมา หากไม่กำจัดทิ้งไป เวลากินจะกินลำบาก เคล็ดลับการกำจัดเยื่อใยของไหลบัวคือ เมื่อเด็ดหรือหั่นเสร็จแล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ แล้วใช้ตะเกียบมาคนวนในกะละมังให้ทั่ว (ใช้ตะเกียบไม้จะดีกว่า) จะเห็นว่ามีใยของไหลบัวติดออกมา ให้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าใบไหลบัวจะไม่ติดขึ้นมา
       
       ส่วนสรรพคุณของไหลบัวนั้น ตามตำราสมุนไพรไทย ไหลบัวเป็นยาเย็นรสจืด สรรพคุณช่วยแก้อ่อนเพลียและบำรุงหัวใจ มีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยแก้โรคท้องผูกได้

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 12, 2014, 07:32:37 pm
ระวัง! 8 เมนูอันตราย เสี่ยงอาหารเป็นพิษช่วงสงกรานต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 เมษายน 2557 16:03 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000041323-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004281801.JPEG)

เตือนประชาชนระวังภัยอาหารและน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ เสี่ยงป่วยโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ จากเมนูอาหาร 8 ชนิด อาทิ อาหารปรุงจากกะทิ อาหารกล่อง แนะอาหารทะเลสดให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการลวก พล่าสุกๆ ดิบๆ ชี้ช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนรายเสียชีวิต 3 ราย แนะพ่อค้าแม่ค้าน้ำแข็งสำหรับบริโภคไม่ควรแช่รวมกับอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลชี้ความเย็นช่วยให้เชื้อโรคมีอายุนานขึ้น

        นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพอากาศร้อนอบอ้าว ในฤดูร้อน จะทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย ประชาชนมีความเสี่ยงเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินอาหารสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ จากข้อมูลรายงานของสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 มกราคม - 7 เมษายน 2557 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษแล้ว 34,378 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง 330,485 ราย เสียชีวิต 3 ราย ดังนั้นในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์ 12-16 เมษายน 2557 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน
       
        นพ.ณรงค์กล่าวว่า อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ประชาชนควรเพิ่มความใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1.อาหารปรุงด้วยกะทิ 2.ขนมจีน 3.อาหารทะเลสด 4.อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5.อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6.ส้มตำ 7.อาหารค้างมื้อ และ 8.น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ควรกินเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่ หากเหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้เพราะจะบูดเสียง่าย ส่วนเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักมักจะเสียง่าย ไม่ควรทิ้งค้างคืน ผักสดที่กินกับขนมจีนต้องล้างให้สะอาด ในกลุ่มของอาหารทะเล ขอให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปลาหมึก เช่นเดียวกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และไข่ ส่วนประเภทอาหารถุง อาหารกล่อง หรืออาหารห่อพร้อมบริโภค ในการบรรจุควรแยกกับข้าวออกจากข้าว และควรรับประทานไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุง
       
        ส่วนส้มตำซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตทุกฤดูกาล ในฤดูร้อนต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากในส้มตำมีเครื่องปรุงส่วนประกอบมากมาย อาทิ ปลาร้า ปูดองดิบหรือต้มไม่สุก มะละกอดิบ มะเขือเทศ ผักดิบแกล้ม พริกขี้หนูที่ล้างไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้าง อาจมีเชื้อโรคหรือสารเคมีตกค้าง หากแม่ค้าที่ไม่ใส่ใจความสะอาดและขาดสุขนิสัยที่ดี ล้วนนำมาสารพัดโรคได้ สุดท้ายคือน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. หรือที่เรียกว่าน้ำแข็งหลอด และขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ค้า ไม่ควรนำอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารทะเลรวมทั้งเครื่องดื่มกระป๋องแช่รวมในถังน้ำแข็งที่ใช้บริโภค เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรค และความเย็นยังช่วยให้เชื้อโรคมีชีวิตได้นานและแบ่งตัวได้ดีขึ้น
       
        ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา จึงมีโอกาสติดเชื้อง่าย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2014, 09:22:24 am
บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก
วันเสาร์ 12 เมษายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/229587/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/633166.jpeg)


ผักกูดเป็นพืชตระกูลเฟิร์นกินได้ มีเหง้า ใบเป็นแผงรูปขนนก ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย ชอบขึ้นบริเวณพื้นที่โล่งแจ้งมีน้ำชื้นแฉะ เป็นพืชดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ ดินไม่ดี มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่ขึ้น ในต้นผักกูดมีสารเบต้าแคโรทีนและธาตุเหล็ก คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมใช้ใบผักกูดต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟันและขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด ยอดอ่อนนิยมนำมาแกง ลวกจิ้ม ยำ  ผัก แต่ไม่นิยมกินสด ๆ เนื่องจากมียางเมือก.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2014, 07:43:37 pm
จำให้แม่น 4 คู่อาหาร “ต้านแก่”

-http://club.sanook.com/18197/%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-4-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-



เรื่องการกินอาหารนั้นใครว่าเป็นเรื่องเล็กๆ อยากกินอะไรก็กินๆไปเหอะ ชอบอะไรก็กินแบบนั้นอย่าลืมนะประโยคอมตะที่ว่า You are what you eat อาหารบางอย่างกินคู่กันแล้วเป็นพิษ แต่ในทางกลับกันบางอย่างเมื่อมาผสมกันแล้วกลับให้ผลลัพธ์ที่เลิศทวีคูณไม่เชื่อให้ลองดูการจับคู่ อาหารเหล่านี้….

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/food1.jpg)

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ+กล้วย = ช่วยดูแลลำไส้ เมื่อกินกล้วยและโยเกิร์ตคู่กัน ร่างกายก็จะได้รับทั้งพรีไบโอติกและโพรไบโอติกพร้อมกัน ก็จะ เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่เพิ่มพลัง

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/food2.jpg)

แอปเปิ้ล+องุ่น = ตัวช่วยของหัวใจ นักวิจัยชาวอิตาเลียนค้นพบว่า หากกินแอปเปิ้ลหนึ่งผลควบคู่ไปกับองุ่นสักหนึ่งกำมือ สารเควอร์ซิตินใน แอปเปิ้ลจะทำงานร่วมกับสารคาเตชินในองุ่น

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/food3.jpg)

เนื้อปลา+บร็อกโคลี่ = กินคู่นี้ไกลมะเร็ง เมื่อกิน อาหาร สองชนิดนี้คู่กัน ซีลีเนียมและซัลโฟ-ราเฟนจะช่วยยับยั้งการก่อตัวและการแพร่กระจาย ของเซลล์มะเร็ง ทำให้ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลดลงมากกว่าการกินเดี่ยวๆ ถึง 13 เท่า

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/food4.jpg)

ถั่วฝักยาว+พริกหวานสีแดง = ป้องกันโลหิตจาง อาหาร ที่มีธาตุเหล็กสูงอย่าง ถั่วฝักยาว คะน้า และ บร็อกโคลี่ แล้ว ควรกินผักที่มีวิตามินซีสูง มากอย่างพริกหวานสีแดง ควบคู่ไปด้วย เพราะหากไม่มีวิตามินซีร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กจากผักไปใช้ได้ไม่ถึง 10%



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2014, 09:27:47 am
ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้

-http://club.sanook.com/28916/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2-


ร้อนนี้ “น้ำเก็กฮวย” ช่วยท่านได้

ตอนนี้ใครๆ ก็ต่างพากันบ่นว่าร้อนๆ ซึ่งแต่ล่ะคนก็มีตัวช่วยกันสารพัด ไม่ว่าจะเปิดพัดลม เปิดแอร์ เปิดกันเข้าไปให้หายร้อนซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือค่าไฟ ที่จะทำเอาเราช๊อกกันได้ แต่วันนี้เราเอาวิธีบรรเทา แก้ร้อนแบบง่ายสุดๆ ประหยัดเงิน มีประโยชน์ แถมได้กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยค่ะ

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%A21.jpg)

เชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ต้องรู้จัก “น้ำเก็กฮวย” แน่นอนค่ะ แต่รู้ไหมคะว่าน้ำเก็กฮวยธรรมดาหน้าตาโบราณนี่ มีประโยชน์มาก และเหมาะกับหน้าร้อนบ้านเรามากๆ เพราะน้ำเก็กฮวยจะมีคุณสมบัติขับร้อน อีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกด้วยค่ะ

น้ำเก๊กฮวย เป็นเครื่องดื่มทำจากดอกเก๊กฮวย (เบญจมาศสวน) ที่นำไปตากให้แห้งและนำไปต้มกับน้ำเดือดแล้วเติมน้ำตาลลงไป

วิธีทำคือ  นำดอกเก๊กฮวยอบแห้ง 5-10 ดอก ลงไปในหม้อกับน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มนาน 5 นาที แล้วกรองออก จะเติมน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลกรวดลงไปเพื่อเพิ่มความหวาน หรือไม่ตามแต่ชอบ หรือจะเพิ่มความหอมโดยการใช้ใบชาหรือเตยลงไปด้วยก็ได้ รับประทานได้ทั้งร้อนและเย็น

ประโยชน์ของน้ำเก๊กฮวย  มีอยู่ด้วยกันหลายประการ นอกจากความหอมสดชื่นแก้กระหายแล้ว ยังเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน ในตำราการแพทย์แผนจีน ช่วยในระบายและย่อยอาหาร ช่วยขยายหลอดเลือดแดงใหญ่ที่เลี้ยงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจได้ ช่วยขจัดสารพิษให้ออกจากร่างกาย ช่วยดูดซับสารก่อมะเร็งและจุลินทรีย์ต่าง ๆ

 

ที่มา : wikipedia

--------------------------------------------------------------------------------------


แค่จิบเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะ ก็แก้ปัญหาสุขภาพได้แล้ว !

-http://health.kapook.com/view85450.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drinking/drinkl.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          เครื่องดื่มถือว่าเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มอีกสารพัดชนิดที่เราดื่มกันเป็นประจำ แล้วแต่เวลาไหนอยากจะดื่มอะไร แต่ทราบไหมคะว่า หากเราดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาของมันสักนิด ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด แถมยังดีต่อสุขภาพแบบคูณ 2 อีกต่างหาก ว่าแล้วก็มาดูข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเว็บไซต์ Huffington Post  ให้ชัด ๆ กันอีกทีดีกว่า เวลาไหนควรดื่มอะไร ตามมาดูกันเลย !


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Milk/milkk.jpg)
       
สร้างกล้ามเนื้อ ต้องดื่มนม
   
          ในน้ำนมมีโปรตีนอย่างเวย์โปรตีน และเคซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญกับการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย ดังนั้นหนุ่มสาวคนไหนอยากให้ร่างกายแน่นเปรี๊ยะไปด้วยกล้ามเนื้อ นมนี่ล่ะคือคำตอบ
           

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Tea/greentea_1.jpg)

อยากลดน้ำหนัก จัดชาเขียวสิ

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ชาเขียวสามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ผลเร็วขึ้น ด้วยการกระตุ้นระบบเมตาลอลิซึมให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากคุณอยากลดน้ำหนักให้ได้ผลอย่างยั่งยืน ก็ต้องดื่มชาเขียวอุ่น ๆ วันละ 4 แก้วเป็นประจำนะจ๊ะ
 


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Milk/chocolatemilk.jpg)

เพิ่มความกระฉับกระเฉง ต้องนมช็อกโกแลตเลย
         
          ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้า ต้องการความสดชื่น เพื่อให้รู้สึกกระฉับกระเฉง แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ นมช็อกโกแลต หรือเครื่องดื่มชูกำลังทุกชนิดก็ได้ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนผสมของโปรตีน โซเดียม และโพแทสเซียม ซึ่งจะช่วยเติมพลังให้เราหลังจากการเสียเหงื่อเยอะได้จ้า
 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Juice/coconut.jpg)

หลังวิ่ง น้ำมะพร้าวสิเด็ด !
           
          นอกจากน้ำเปล่าเย็น ๆ สักขวดแล้ว หลังจากเหนื่อยหนักจากการวิ่งเป็นระยะเวลานาน เราควรดื่มน้ำมะพร้าวให้ชื่นใจด้วย เพราะน้ำมะพร้าวมีทั้งสารกระตุ้นร่างกาย ช่วยเพิ่มความอึด และความทนทาน และเป็นน้ำที่ให้พลังงานกับร่างกายได้พอ ๆ กับเครื่องดื่มชูกำลัง แต่มีปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าด้วย หรือคุณจะดื่มน้ำมะพร้าวก่อนเริ่มวิ่งสัก 1-2 ชั่วโมงก็ดี แล้วคุณจะวิ่งได้นาน 90 นาทีแบบไม่ค่อยรู้สึกล้าเท่าไรเลยล่ะ
 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Tea/gingertea.jpg)

น้ำขิง ช่วยบรรเทาอาการมวนท้อง
           
          ใครที่มักจะปวดท้องบ่อย ๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย รวมทั้งอาการปวดท้องจากประจำเดือน ลองดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ดูสิ เนื่องจากน้ำขิงมีส่วนช่วยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ด้วย
 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Tea/gingerlemon.jpg)

บรรเทาอาการหวัด ด้วยน้ำผึ้งมะนาว
           
          น้ำผึ้งมีสารช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และอาการอักเสบ ส่วนมะนาวก็มีวิตามินซีสูงมาก เมื่อน้ำทั้ง 2 อย่างมารวมกันเป็นเครื่องดื่มอุ่น ๆ ไว้จิบในช่วงที่คุณป่วยเป็นไข้หวัด เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายก็จะถูกทำลายไป อาการไข้ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และหายไปในที่สุด
 

(http://img.kapook.com/u/suttichai/a999990/honey%20%281%29.jpg)

จิบน้ำผึ้งอุ่น แก้อาการไอ
           
          ใครที่กำลังมีอาการไอ ให้จิบเครื่องดื่มอุ่น ๆ อย่างน้ำผึ้งผสมน้ำร้อนเป็นประจำ เนื่องจากน้ำผึ้งมีส่วนช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก อีกทั้งความหวานของน้ำผึ้งยังช่วยขับน้ำลาย และเสลดในคอเราได้ด้วย ก็เลยส่งผลให้อาการไอลดน้อยลงด้วยนั่นเอง

 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/Turmeric.jpg)

ชาขมิ้น บรรเทาอาการเจ็บคอ
           
          อาการเจ็บคอมักจะมาพร้อมกับอาการไอ และไข้หวัด ซึ่งสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บคอก็คือเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดการอักเสบในคอนั่นเอง ดังนั้นเราก็เลยต้องจัดชาขมิ้น ซึ่งมีคุณสมบัติแก้อาการอักเสบ และกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้ร่างกายสักหน่อย อาการเจ็บคอที่ทรมานอยู่จะได้หายไปนะจ๊ะ

 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Milk/coconutmilk.jpg)


กะทิ ลดอาการแสบร้อนในปาก จากอาหารเผ็ด
           
          เวลาที่กินอะไรเผ็ด ๆ เข้าไปมักจะเกิดอาการแสบร้อนปาก ทำให้เผ็ดไม่หายอยู่อย่างนั้น และต่อให้ดื่มน้ำเย็น ๆ เข้าไปมากเท่าไรความเผ็ดร้อนก็ไม่หายไปสักที ถ้าอย่างนั้นลองหาขนมหวานน้ำกะทิมากินดูสิคะ เพราะไขมันจากกะทิมีโปรตีนช่วยลดอาการเผ็ดร้อนได้ หรือจะลองดื่มนมที่มีแลคตินช่วยลดอาการแสบร้อนเนื่องจากความเผ็ดก็ได้จ้า
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/aloe.jpg)


น้ำว่านหางจระเข้ แก้อาการท้องผูก
           
          สำหรับคนที่ท้องผูกเป็นประจำ ลองดื่มน้ำว่านหางจระเข้วันละ 1 แก้วเป็นอย่างต่ำดูสิจ๊ะ เพราะน้ำว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่จะช่วยปรับสมดุลในลำไส้ กระตุ้นระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นได้ง่าย ๆ เลยล่ะ
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Coffee/coffee01_1.jpg)

แก้ง่วงด้วยกาแฟ น้ำเปล่า และสไปรูลิน่า
           
          ตกบ่ายทีไรเป็นต้องง่วงจนตาจะปิดทุกที ยังงี้คงต้องหากาแฟสักแก้วมาดื่มกระตุ้นร่างกายสักหน่อย แต่หากใครไม่ใช่คอกาแฟ ก็สามารถดื่มน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบ หรือน้ำเปล่าผสมผงสาหร่ายสไปรูลิน่าสักหน่อยก็ได้ โปรตีนจากสาหร่ายชนิดนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายได้อีกเยอะเลยจ้า
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Tea/chamomile.jpg)

นอนไม่หลับ ต้องจัดนมอุ่น ๆ และชาคาโมมายล์
           
          นมอุ่น ๆ มีโปรตีนและกรดอะมิโนที่สามารถกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนเมลาโธนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ส่วนชาคาโมมายล์ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย ช่วยให้คุณนอนหลับสบายไปตลอดทั้งคืนเชียวล่ะ
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Tea/balm.jpg)

ลดความดันด้วยเลมอนบาล์ม
         
          เลมอนบาล์มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลายร่างกาย และลดความดันโลหิต กระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงเกินปกติ ก็ลองดื่มชาเลมอนบาล์มบรรเทาอาการก่อนก็ได้ค่ะ
 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drinking/Water/water.jpg)

ดื่มน้ำเปล่าระหว่างมื้อ ช่วยย่อยอาหาร
           
          การดื่มน้ำระหว่างที่รับประทานอาหาร หรือหลังจากรับประทานอาหารอิ่ม สามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การดื่มชาสมุนไพร เช่น ชามิ้นต์ หรือชาเปปเปอร์มิ้นต์ ก็สามารถกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้เราได้ด้วยเช่นกันจ้า

 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Milk/Yogurt/yogu_1.jpg)

ดื่มนม-โยเกิร์ต แก้เผ็ด
           
          อย่างที่บอกไปว่า โปรตีน และไขมันจากนมสามารถลดอาการเผ็ดของอาหารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโปรตีนและไขมันเหล่านี้ จะไประงับสารแคปไซซิน สารที่ให้รสเผ็ดในพริก ดังนั้นต่อให้กินอาการเผ็ดร้อนแค่ไหน แต่ถ้าตบท้ายด้วยการดื่มนม หรือกินโยเกิร์ต อาการเผ็ดร้อนก็จะหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกเลยล่ะ ไม่เชื่อลองดูสิ
 


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Juice/bananasmoo.jpg)

เมาแฮ้งค์ กล้วยปั่นช่วยได้
           
          นักปาร์ตี้ที่มักจะตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบ ๆ เนื่องจากอาการแฮ้งค์ แนะนำให้ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว หรือถ้ายังไม่รู้สึกดีขึ้น ลองหาน้ำส้มคั้น หรือน้ำกล้วยปั่นมาดื่มก็ได้ เพราะในน้ำผลไม้เหล่านี้จะมีโพแทสเซียม น้ำตาล และอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Water/water4.jpg)

น้ำเปล่า ลดกลิ่นปาก
           
          เครื่องดื่มประเภทกาแฟ นม หรือน้ำผลไม้บางชนิดมีกลิ่นแรง และมักจะติดปากเราไปตลอด ซึ่งหากต้องการดับกลิ่นปาก และทำให้ลมหายใจสดชื่น ต้องดื่มน้ำเปล่า หรือบีบน้ำมะนาวลงไปในน้ำเปล่าด้วยก็ได้ ซึ่งนอกจากจะได้ล้างคราบกลิ่นเหม็น ๆ ในช่องปากแล้ว ยังช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวอีกด้วยนะจ๊ะ
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Drink/Milk/milk_11.jpg)

ขจัดความหิวด้วยนม
           
          การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารสามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แต่นั่นก็ต้องแลกกับการหิวบ่อยด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากคุณกำลังอยู่ในช่วงไดเอต และไม่อยากกินเยอะ ทุกครั้งที่รู้สึกหิวในระหว่างวัน แนะนำให้ดื่มน้ำแคลอรี่ต่ำสักกล่อง ให้โปรตีนและความหวานของนมช่วยลดความหิวของคุณก็ดีจ้า
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Medical/bakingsoda.jpg)
เบกกิ้งโซดา

บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ด้วยเบกกิ้งโซดา
           
          เบกกิ้งโซดาประมาณ 1/2 ช้อนชา ผสมกับน้ำเย็น 1 แก้วเต็ม คนให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่ม เป็นสูตรเครื่องดื่มช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเบกกิ้งโซดามีโพรไบโอติกที่ช่วยย่อยอาหาร ลดแก๊สในกระเพาะ ทำให้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อลดลงนั่นเอง
 

          ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า ปัญหาสุขภาพบางอย่างก็สามารถบรรเทาได้ด้วยเครื่องดื่มง่าย ๆ ที่เราดื่มกันเป็นประจำทุกวัน เพียงแค่เราต้องเลือกดื่มเครื่องดื่มให้ถูกจังหวะเวลาเท่านั้นเองเนอะ

http://health.kapook.com/view85450.html (http://health.kapook.com/view85450.html)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2014, 06:12:06 am
ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง

-http://guru.sanook.com/26965/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-30-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-


(http://apilosonmd.igetweb.com/article/art_451430.jpg)

   กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

        ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี

         ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า

ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
   มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม 
   มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
   แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
   มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
   มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
   สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
   แตงโม 122 ไมโครกรัม
   ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม 
   ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ

   ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
   มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
   มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
   มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
   กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
   แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม

ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
   ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
   มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
   เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
   ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
   มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
   พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม   
   ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : -http://apilosonmd.igetweb.com/-


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2014, 10:37:45 pm
“งาขี้ม่อน” เมล็ดเล็กจิ๋ว คุณภาพคับแก้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 เมษายน 2557 17:04 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000044781-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004639301.JPEG)

หากใครที่เป็นชาวเหนือ คงจะรู้จัก “งาขี้ม่อน” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ “108 เคล็ดกิน” มีของดีเม็ดเล็กๆ จะมากระซิบบอกกัน
       
       เพราะ “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ก่อนอื่นนั้น เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักเจ้างาขี้ม่อนกันก่อน
       
       “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” เป็นพืชจำพวกเดียวกับกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก พบว่าปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว เมล็ดของงาขี้ม่อนจะมีขนาดเล็กๆ กลมๆ ขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดงา คนภาคเหนือจะนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ทำเป็นงาขี้ม่อนแผ่น (คล้ายๆ กับถั่วตัด) นำไปคั่ว นำไปคลุกกับข้าวเหนียว หรือผสมกับข้าวหลามเป็นข้าวหลามงาขี้ม่อน แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นชางาขี้ม่อน หรือในช่วงหลังๆ มีการดัดแปลงนำมาทำเป็นคุกกี้งาขี้ม่อน ทำให้สามารถหากินได้ง่ายมากขึ้น
       
       “งาขี้ม่อน” มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยวิตามินบี และมีสารเซซามอล ที่เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งและทำให้ร่างกายแก่ช้าลง
       
       สรรพคุณของงาขี้ม่อน หากกินเมล็ดจะช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องผูก ลดไขมันในเลือด ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา เป็นยาระบาย ลดบวม ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์
       
       นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาล่าสุด พบว่า ในน้ำมันงาขี้ม่อน มีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย หากพูดถึงโอเมก้า 3 หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง แต่คนที่อยู่ตามยอดดอยต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลทะเล ก็ไม่ได้ขาดโอเมก้า 3 เพราะว่าได้รับมาจากงาขี้ม่อนนั่นเอง





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 24, 2014, 10:06:34 pm
“ของหมัก-ดอง” อร่อยปาก ลำบากกาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 เมษายน 2557 16:43 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045752-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004738901.JPEG)

การนำวัตถุดิบสดๆ มาหมักหรือดอง ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ถือว่าเป็นการถนอมอาหารที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณมาอย่างช้านานแล้ว แต่ก่อนนั้นมีการหมักดองก็เพื่อทำให้อาหารที่หามาได้นั้นสามารถเก็บไว้กินได้นานขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการหมักดองกันเองในครัวเรือน
       
       แต่ในปัจจุบัน อาหารหมักดองกลายมาเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น มีคนต้องการกินมากขึ้น เพราะรสชาติที่อร่อยถูกปาก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ดองตามรถเข็น หน่อไม้ดองที่นำมาปรุงเป็นอาหาร หรืออื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บางครั้งมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายผสมเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือทำให้หน้าตาดูน่ากิน หรือบางครั้งก็ใส่เพื่อยืดอายุอาหารให้อยู่นานมากขึ้นไปอีก
       
       ตัวอย่างสารเคมีหรือสารมีพิษต่างๆ ที่เคยมีการตรวจพบตามท้องตลาด อาทิ ในผลไม้ดอง-ผลไม้แช่อิ่ม พบ สารซัคคาริน หรือ ขัณฑสกร ในปริมาณมากเกินกว่าที่กำหนด โดยสารซัคคารินเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300 เท่า ผู้ใช้ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เพราะสารซัคคารินเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหลายประเทศมีการออกประกาศห้ามใช้แล้ว
       
       ส่วนในหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ก็เคยตรวจพบสารกันเชื้อรา หรือสารกันบูด หากบริโภคเข้าไปมากจะไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ ความดันโลหิตต่ำจนเกิดอาการช็อค บางรายอาจเกิดอาหารแพ้ เป็นผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ หรือมีไข้
       
       หรือในบางครั้ง หากเลือกกินผักผลไม้ดอง แม้จะไม่ได้ใส่สารพิษอื่นๆ ลงไป แต่อาจมีการตกค้างอยู่ของยาฆ่าแมลง เนื่องจากเกษตรกรบางคนใช้ในปริมาณมากเกินไป จึงเกิดการตกค้างมากกับผลไม้ก่อนนำมาดอง หากบริโภคยาฆ่าแมลงเข้าไปมากๆ ในคราวเดียว จะทำให้เกิดพิษแบบเฉียบพลัน เช่น ทำให้กล้ามเนื้อสั่ง กระสับกระส่าย ชักกระตุก และหมดสติ หายใจขัดจนถึงอาจหยุดหายใจได้ แต่พิษที่พบได้มากที่สุดก็คืออาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน และหากสะสมอยู่ในร่างกายมาๆ จะทำให้เกิดมะเร็งได้
       
       อาหารการกินในทุกวันนี้ที่ซื้อมาจากนอกบ้าน ควรสังเกตและเลือกซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ หรือหากเป็นไปได้ การบริโภคอาหารสด หรืออาหารที่ปรุงเองใหม่ๆ ก็จะเป็นการปลอดภัยที่สุด


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 24, 2014, 10:09:01 pm
หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด ท้องร่วงหนัก-สมองบวมเสียชีวิต


-http://health.kapook.com/view86993.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หนุ่มชัยภูมิกินขนมจีนบูด อาเจียน ท้องร่วงหนัก เชื้อแบคทีเรียลุกลามทำสมองบวม สุดท้ายเสียชีวิต ด้าน สสจ. เตือน หากมีอาการท้องร่วง ให้รีบหาหมอทันที แนะระวังการทานอาหารหน้าร้อน เพราะบูดเน่าง่าย

          เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบชายชาวชัยภูมิเสียชีวิตจากการรับประทานขนมจีนบูด จึงได้สอบถามไปยัง นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ทราบว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา มีผู้นำตัว นายสุวิมล ธงภัก อายุ 49 ปี ชาวบ้านหัวสะพาน ต.นายางกลัก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ มาส่งยังโรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากมีอาการท้องเสีย อาเจียน  ปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ผ่านไปสักพักอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ญาติพี่น้องจึงได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชัยภูมิและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา

          ทั้งนี้ จากการสอบสวนโรคทราบว่า ก่อนที่ นายสุวิมล จะมีอาการป่วยได้นั่งรับประทานขนมจีนที่ภรรยาซื้อมาให้จากตลาด จากนั้นก็รู้สึกปวดท้องและถ่ายท้องบ่อยครั้ง  จึงได้ทานยาแก้ท้องเสียเข้าไป จนกระทั่งกลางดึก นายสุวิมลมีอาการปวดท้องอย่างหนัก ญาติจึงได้นำตัวมาส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ก็ให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันที แต่อาการกลับทรุดหนักลง จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชัยภูมิ เพราะมีอาการร่างกายไม่ตอบสนอง อีกทั้งยังมีสมองบวมไปทับแกนสมองแล้ว ซึ่งอาการเช่นนี้มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเป็นปกติน้อยมาก หลังจากนั้น ร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่ดูดซึมอาหารที่ให้ทางสายยาง และเชื้อแบคทีเรียยังได้ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ จนกระทั่งเสียชีวิต

          นพ.สมควร ระบุด้วยว่า สำหรับต้นเหตุของเรื่องนี้คาดว่ามาจากการรับประทานขนมจีน เพราะช่วงนี้สภาพอากาศร้อนจัด ทำให้อาหารที่ซื้อมาบูดเน่าและเสื่อมคุณภาพเร็ว หากรับประทานเข้าไปจะมีอาการท้องร่วงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะทำการสอบสวนโรคเป็นการด่วน พร้อมกันนี้ ยังขอเตือนประชาชนในเบื้องต้น หากมีอาการท้องร่วงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/532759-02.jpg)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

-http://www.komchadluek.net/detail/20140424/183424.html-

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=532759-




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 28, 2014, 09:54:15 pm


5 เคล็ดลับสมุนไพรไทย คลายร้อน



-http://guru.sanook.com/27031/5-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/-




อากาศร้อนๆ เช่นนี้ หลายคนอาจกำลังหาวิธีผ่อนคลายความร้อนกันสารพัดรูปแบบ บ้างหลบร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเล หรือ ทาแป้งเย็นหลังอาบน้ำก็ยิ่งดี
แต่ถ้ายังไม่มีวิธีที่ถูกใจ เรามี 5 สมุนไพรไทยคลายร้อน มาฝากกันค่ะ



1. ผักและผลไม้ไทยรสขมหรือเย็น ตามหลักของการแพทย์แผนไทยบอกไว้ว่า ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมาก ถ้าเราจะดับร้อนด้วยอาหาร ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีรสขมหรือรสเย็น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็น อาหารหรือเครื่องดื่ม รสขมจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และช่วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความร้อนได้ด้วย

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2f/Culinary_fruits_front_view.jpg/320px-Culinary_fruits_front_view.jpg)

2. ใครๆ ที่โปรดปรานน้ำพริกเป็นพิเศษ ก็อยากจะแนะนำว่า อย่าให้รสเผ็ดจัดมากนัก เพราะอาจร้อนยิ่งขึ้นได้ แต่หากชอบ น้ำพริกจริงๆ ก็ต้องรับประทานแกล้มกับผัก ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา แตงโมอ่อน ตำลึง ยอดแคลวก ส่วนคนที่นิยมรับประทานใบบัวบกสดๆ ให้ นำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มก็ยิ่งดี

(http://i1007.photobucket.com/albums/af200/riunggiligili/anekalalapansambal.jpg)

3. ขนมจำพวกลอยแก้วต่างๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว นอกจากรสชาติอร่อยแบบไทยๆ แล้วยังชื่นใจ ช่วย คลายร้อนได้อย่างมาก สำหรับชาวชีวจิต เราแนะให้ใช้น้ำตาลทรายมาปรุง และระวังอย่าให้หวานมาก

(http://www.duorecommend.com/wp-content/uploads/2013/06/ChilledSantolInScentedSyrup_web-940x630.jpg)

4. ดับกระหายด้วยน้ำดื่ม อาจจะนำดอก มะลิหอมๆ มาลอยในน้ำดื่มก็ได้ หรือหยดด้วยน้ำยาอุทัยยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีกลิ่น หอมชื่นใจ ในน้ำยาอุทัยที่ดื่มๆ กันนั้น ยังมีสมุนไพรไทยชื่อว่า ฝาง ที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้ กระหายน้ำได้ดี

(http://www.hilunch.com/wp-content/uploads/2009/06/b4-cd-a1-c1-d0-c5-d4-small.jpg)

นอกจากนี้ ยังมีชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ และมีเกสรทั้งห้าที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร

5. แก้ร้อนในด้วยฟ้าทะลายโจร หรือมะแว้ง ในส่วนของฟ้าทะลายโจรมีวิธีกินง่ายๆ โดยเอาใบมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำ ร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้จะขมน้อยกว่า แต่ถ้ามีแผลในปากร่วมด้วย ควรใช้เสลดพังพอนตัวเมีย คั้นเอาแต่น้ำ และ ใช้ทา ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

(http://www.thaigoodview.com/files/u39971/dd.jpg)

ขอบคุณข้อมูลจาก : cheewajit

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 04, 2014, 08:57:38 am
7 อาหารแสลงหน้าร้อน กินแล้วยิ่งร้อนกาย อันตรายสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view87225.html-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=761.0;attach=2606;image)




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อาหาร 7 อย่างต้องห้ามหน้าร้อน มาดูกันซิว่า อาหารแสลงในช่วงอากาศร้อน ๆ อย่างนี้มีอะไรบ้าง จะได้หนีห่างให้ไกล ๆ เลย

          ไอร้อนและเปลวแดดที่แผดเผาในช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียได้มากกว่าปกติจริง ๆ นะคะ เราถึงได้รู้สึกหิวกระหายน้ำอยู่บ่อย ๆ ถึงได้มีคำแนะนำให้จิบน้ำเปล่าเยอะ ๆ หรือทานผลไม้ฉ่ำ ๆ จะได้ช่วยเติมน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้

          อ๊ะ ! แต่นอกจากการทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายแล้ว ก็ต้องระวังอย่าเผลอไปทานอาหารที่จะมาเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเด็ดขาด อย่างที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารแสลงร้อน 7 อย่าง ที่ต้องหนีให้ห่างในช่วงซัมเมอร์ร้อน ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเรายิ่งร้อน เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรค มาดูกันค่ะว่ามีอาหารประเภทไหนบ้าง

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          เวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ นี่ล่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศรอบตัวร้อนจัด มีโอกาสที่คุณจะช็อกได้เลย

          นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้า เลยยิ่งเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นในตัวเรา

2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

อย่างกาแฟ หรือชา เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้เราต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นถึงแต่ละอณูของสมอง ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ดังนั้น จึงควรงดดื่มกาแฟในวันที่ต้องออกไปทำงานกล้างแจ้ง หรือถ้าติดกาแฟจริง ๆ ไม่ดื่มไม่ได้ ก็ขอให้ดื่มน้ำตามเข้าไปช่วยอีกแรง


3. ขนมหวานทั้งหลาย

          ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทยที่ส่วนใหญ่จะมีรสหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก ฯลฯ ก็ทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้ำตาลจะสร้างความร้อนขึ้นมา และยังปล่อยขยะที่เกิดจากการเผาผลาญออกมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย

4. ของทอด ของมัน

          ของทอดแสนอร่อยที่ชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ด้วย เช่นเดียวกับของมัน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบ และกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ทีเดียว

5. อาหารรสเค็มจัด

          ยิ่งกินเค็มเท่าไร ไตก็ทำงานหนักขึ้นเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วในหน้าร้อนไตของเราจะทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว เพื่อคอยสงวนน้ำไว้ในร่างกาย จะได้ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและขับเหงื่อดับร้อน แต่ถ้าเรายิ่งทานของเค็ม ๆ ซ้ำเติมลงไปอีก จะยิ่งกดดันให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นต่อไปถ้าจะทานอาหาร ไม่ควรปรุงรสเค็มจากน้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ เพิ่มอีก ปริมาณที่พอดีก็คือ ไม่ควรทานน้ำปลาเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนเกลือก็ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน


6. ผลไม้รสหวานฉ่ำน้ำตาล

          ผลไม้หวาน ๆ อย่างเช่น ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย จริง ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะในผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาล "ฟรุกโตส" ซึ่งมีส่วนในการสร้างอนุมูลอิสระและไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะทุเรียนต้องระวังอย่าทานมากเกินไปค่ะ เพราะในเนื้อทุเรียนมี "กำมะถัน" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สร้างความร้อนให้ร่างกายมาก ยิ่งมาผสมกับน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ดังนั้นควรทานพอประมาณเท่านั้น ไม่ใช่นั้นได้ร้อนในแน่ ๆ

7. น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน

          หลายคนอาจคิดในใจว่า ยิ่งอากาศร้อนก็ต้องยิ่งดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมจะได้สดชื่นดับกระหายคลายร้อน ซึ่ง นพ.กฤษดา ก็ยอมรับว่า เครื่องดื่มหวานจัดเย็นเจี๊ยบช่วยให้ความสดชื่นได้จริง แต่ถ้าดื่มบ่อยไปก็ยิ่งชวนให้กระหายน้ำมากขึ้นเหมือนกัน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาล อีกทั้งดื่มมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินโควต้าต่อวัน และยิ่งมีกรดซ่าหรือคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดความซาบซ่า จะไปกัดกร่อนเคลือบฟันได้

          อย่างไรก็ตาม นพ.กฤษดา ก็บอกด้วยว่า อาหารทั้ง 7 อย่างนี้อาจส่งผลหรือไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากทานเยอะ ๆ ทานบ่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ในหน้าร้อนนี้ได้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=228625&catid=176&Itemid=524#.U2WfOlfPuZS-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 04, 2014, 08:18:20 pm
ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม

วันเสาร์ 3 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234546/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/661628.jpeg)

ชะอมใบอ่อนมีรสจืดกลิ่นฉุน ในทาง   การแพทย์แผนไทยระบุว่าช่วยลดความร้อนของร่างกายในยอดชะอม 100 กรัมจะให้พลังงานกับสุขภาพถึง 57 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย  5.7 กรัม แคลแซียม 58 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม วิตามินเอ และวิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.25 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

 

เป็นไม้ที่ออกยอดทั้งปี ชาวเหนือนิยมรับประทานหน้าแล้งเพราะหน้าฝนจะมีรสเปรี้ยวกลิ่นฉุน นิยมรับประทานร่วมกับ ส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ ชาวอีสานนิยมนำไปปรุงเป็นแกงเชน แกงปลา แกงไก่ แกงเนื้อ แกงกบ แกงเขียด ชาวใต้นิยมใช้ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักจิ้มโดยการลวกหรือนึ่งให้สุกหรือใช้ยอดอ่อนใบอ่อนเด็ดเป็นชิ้นสั้น ๆ แล้วชุบกับไข่ทอด รับประทาน ร่วมกับน้ำพริกกะปิ เป็นต้น

---------------------------------------------------------------------------

ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน
วันศุกร์ 2 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/234334/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/660216.jpeg)

จิกสวนเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี แสงรำไร ชอบน้ำมาก ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม  ออกดอกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลง ใบประดับรูปสามเหลี่ยม หลอดกลีบเลี้ยงเปิดออก มี 2-5 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกสี่กลีบ ไม่ติดกัน สีชมพูหรือขาวอมชมพูรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมขอบขนาน แผ่ออกกว้างเกสรเพศผู้ก้านยาว จำนวนมาก รวมกันเป็นพู่ผลสีเขียวถึงสีเขียวอมม่วง รูปไข่ถึงรูปรี ปลายผลแหลมทั้งสองด้าน มีกลีบเลี้ยงสองด้าน คนไทยนิยมนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสด  ในตำราแพทย์แผนไทยระบุว่านำดอกมาตำคั้นเอาน้ำรับประทานแก้หืด ไอ แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ตำพอกแก้ผิวหนังพุพอง ส่วนใบนำมาตำพอกแก้คันและแก้ไข้ทรพิษ บางทีใช้ใบตำรวมกับรากและเปลือกมีสรรพคุณเช่นเดียวกัน.




.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 08:48:07 am
ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติ

-http://women.kapook.com/view88384.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ดื่มน้ำมะนาว รักษาสิว (ทำได้จริงหรือ...) สำหรับคนที่มีปัญหาสิวกวนใจบนใบหน้าน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง สำหรับการนำน้ำมะนาวมาแต้มบรรเทาอาการอักเสบของสิว แต่ทว่าการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวนั้น หลายคนอาจยังสงสัยว่าทำได้จริงหรือ ? วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขออาสาไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ ที่กำลังสนใจการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิวมาฝากกัน ^^

           จริง ๆ แล้วการดื่มน้ำมะนาว คือ การบำรุงดูแลผิวอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ของสาว ๆ ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากสรรพคุณในน้ำมะนาว อุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส รวมถึงกรดผลไม้ (เอเอชเอ) วิตามินซี และวิตามินเอสูง ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส ลดปัญหาการอักเสบติดเชื้อบนผิวหนัง รวมถึงช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงทำให้การดื่มน้ำมะนาวเปรียบเสมือนการกินอาหารเสริมที่ช่วยบรรเทาอาการสิวให้ทุเลาลงและช่วยปรับสภาพผิวสวยอย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน

           สำหรับการดื่มน้ำมะนาว ให้เตรียมมะนาว 1 ผลคั้นเอาแต่น้ำแล้วเทใส่แก้วน้ำตามปกติ จากนั้นจึงเติมน้ำอุ่นลงไปจนเต็มแก้ว ค่อย ๆ จิบ หรือดื่มให้หมดทุกเช้า โดยไม่ต้องเติมเกลือหรือวัตถุดิบใด ๆ ลงไปเพิ่ม ทำติดต่อกันตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนเลยว่า ปัญหาสิวจะค่อย ๆ ลดน้อยลงเหลือไว้แต่ผิวสวยสุขภาพดีไม่ต้องกังวลเรื่องสิวและปัญหาผิวต่าง ๆ อีกต่อไป

           แม้ว่าการดื่มมะนาวรักษาสิว จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาสิวบนผิวหน้า แต่อย่างไรก็ดีสาว ๆ ก็ไม่ควรละเลยการดูแลผิวที่เป็นสิว ด้วยการรักษาความสะอาด การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวให้เหมาะสมกับผิวหน้าควบคู่กันไปด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 11:35:26 am
7 วิธีลดอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ทำตามได้ง่าย ๆ

-http://health.kapook.com/view87565.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          ถ้ามีวิธีช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารให้ทำตามง่าย ๆ ก็น่าจะดีนะคะ หลายคนที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะได้กินอาหารอร่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไป สบายใจกับทุกมื้ออาหารไปเลย
           
          อ๊ะ ! แล้วอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจำเป็นต้องรักษา หรือบรรเทาด้วยยาอย่างเดียวจริง ๆ หรือเปล่า ? ขอบอกตรงนี้เลยว่า แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามวิธีที่เว็บไซต์ all women stalk เขาแนะนำมา อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หลังมื้ออาหาร คงไม่มีวันได้แอ้มเราแน่ ๆ เลย
 
1. เคี้ยวอาหารช้า ๆ
           
          ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นได้ว่า คนที่มีอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ส่วนมากจะเป็นคนที่กินอาหารเร็วกว่าคนอื่น โดยที่ไม่รู้ว่าการกินอาหารเร็ว ๆ แบบไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดก่อน จะเป็นหนึ่งในสาเหตุก่ออาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ฉะนั้นเพื่อป้องกันความทรมานหลังมื้ออาหาร ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ช้าลงสักหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งเป็นอย่างต่ำ
           
          นอกจากนี้ถ้าดื่มน้ำผลไม้สดร่วมด้วย ควรอมน้ำผลไม้ไว้ในปากสักพักก่อนกลืนลงคอ เพื่อให้น้ำลายเข้าไปจัดการย่อยเอนไซม์ในน้ำผลไม้ก่อนส่งตรงสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งจะสามารถช่วยลดกระบวนการย่อยอาหาร พร้อมกันนั้นก็ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ด้วย
 
 
2. เลี่ยงรับประทานผลไม้กับเนื้อสัตว์
           
          เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ใช้เวลาย่อยนานกว่า 5 ชั่วโมง ในขณะที่ผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเรารับประทานอาหารทั้งสองชนิดนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เนื้อสัตว์จะกลายเป็นตัวขัดขวางการย่อยผลไม้ไปในทันที และน้ำตาล+เอนไซม์ในผลไม้ก็จะออกอาละวาด ปั่นป่วนท้องเราให้เกิดอาการอืด และเฟ้อในเวลาต่อมา ดังนั้นหากอยากรับประทานผลไม้ แนะนำให้กินก่อนเนื้อสัตว์ประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำดีกว่าค่ะ

 3. เคี้ยวเมล็ดเทียนข้าวเปลือกหลังมื้ออาหาร
           
          เทียนข้าวเปลือก (Fennel Seeds) เป็นสมุนไพรที่มีรสขม สามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมล็ดเทียนข้าวเปลือกยังมีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ในตัว พร้อมกันนั้นยังช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วยนะจ๊ะ
 
 
4. ผักใบเขียวอย่าให้ขาด
           
          ผักใบเขียวมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ข้อนี้หลายคนทราบกันดีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้ลึกถึงขั้นว่า เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างดี การเผาผลาญก็จะกระเตื้องขึ้น แก๊สและลมในกระเพาะ สาเหตุของอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะหมดไป คราวนี้ปัญหาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อก็จะไม่มากวนใจแน่นอน
 
 
5. ลดปริมาณน้ำตาล
           
          น้ำตาลทุกชนิด ทุกรูปแบบ ล้วนมีส่วนทำให้ช่องท้องเราปั่นป่วน แถมยังกระตุ้นแก๊สในกระเพาะได้อย่างเร็วเลยนะคะ ถ้าไม่เชื่อลองบริโภคน้ำตาลให้น้อยลงดูก็ได้ แล้วคุณจะสังเกตได้เลยว่า อาการท้องอืด ท้องเฟ้อจะค่อย ๆ บรรเทาลง และหายไปในที่สุด


6. โป๊ยกั๊กช่วยได้
           
          โป๊ยกั๊ก (เครื่องทำพะโล้) หรือ Anise Seed ก็เป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้สบาย ๆ ส่วนวิธีกิน ถ้าใจแข็งพอจะเคี้ยวโป๊ยกั๊กหลังมื้ออาหารที่คุณจัดเต็มก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นเครื่องพะโล้อย่างนี้ ใส่ผสมลงไปในอาหารสักอย่างเพื่อดับกลิ่นให้จางลงสักนิดก่อนรับประทานน่าจะเวิร์กกว่าเนอะ
 
 
7. ดื่มชาสมุนไพร
           
          สำหรับคนที่คิดว่าการเคี้ยวสมุนไพรสด ๆ ฮาร์ดคอร์เกินไป ลองตัวเลือกอย่างชาสมุนไพร เช่น ชาขิง, ชาเปปเปอร์มินต์ หรือชาเทียนข้าวเปลือกก็ได้นะคะ เพราะจัดว่าเป็นเคล็ดลับเด็ดในการช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อหลังมื้ออาหารได้เช่นกัน จิบชาสมุนไพรเบา ๆ หลังมื้ออาหารเที่ยง หรือมื้อเย็น แค่นี้ก็ช่วยลดความทรมานจากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้แล้วจ้า
 
 
          ใครที่เคยทรมานกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หลังที่จัดหนักกับมื้ออาหารกันมาแล้ว คงไม่อยากจะกลับไปเจอกับอาการเหล่านี้อีกแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมนำวิธีแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่เราแนะนำไปใช้กันด้วยนะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2014, 06:54:02 pm
เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย



-http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA-



คลินิกเกษตร เห็ดพิษที่สำคัญของประเทศไทย

รายการคลินิกเกษตร รายงานว่า เห็ดมีพิษต่างๆที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่



(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/Capture.jpg)
เห็ดระโงกหินก้านลาย (Amanita Virosa)
หมวกสีขาว เรียบเป็นมันเล็กน้อย ก้านสีขาวปกคลุมด้วยเส้นในเป็นลาย มีวงแหวนเป็นเยื่อบางสีขาวหลุดง่าย โคนโป่งเป็นกระเปาะกลมและมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7.jpg)
เห็ดระงากขาวหรือเห็ดไข่ตายซาก (Amanita verna)
หมวกสีขาวเรียบเป็นมันวาว ก้านมีวงแหวนบางสีขาว โคนก้านมีเปลือกหุ้มรูปถ้วยแนบติดก้าน


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%943.jpg)
เห็ดเกล็ดดาว (Amanita pantherina)
หมวกสีน้ำตาลอมเหลือง มีสะเก็ดนูน สีขาวบนหมวก มีวงแหวนเป็นแผ่นบางโคนโป่งเป็นกระเปาะ และมีแถบเป็นวงเรียงซ้อนกันหลายชั้น


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B8-150x150.jpg)
เห็ดผึ้งท้องรุ (Suillus subluteus)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล ผิวชื้นเป็นเมือก ใต้หมวกมีรูสีเหลืองอมน้ำตาล ก้านมีจุดสีน้ำตาลและมีวงแหวนเป็นเยื่อเมือก เมือกมีพิษทำให้ท้องร่วง


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-150x150.jpg)
เห็กหมวกจีน (Inocybe rimosa)
หมวกสีเหลืองอมน้ำตาล กลางหมวกเป็นปุ่มนูน ผิวหมวกเป็นเส้นในหยาบแผ่เป็นรัศมี ขอบหมวกฉีกเมื่อบาน ก้านสีขาวนวลหรือเหลืองมีขนละเอียด


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-150x150.jpg)
เห็ดหัวกรวดครีบเขียว (Chlorophyllum molybdites)
หมวกสีขาว แห้ง มีเกล็ดสี่เหลี่ยม สีน้ำตาลอ่อนอมชมพู ครีบขาว แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวหม่นปนเทา ก้านขาวหรือน้ำตาลอ่อน มีวงแหวนหนาขอบ 2 ชั้น เคลื่อนขึ้นลงได้เมื่อดอกแก่


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/em-150x150.jpg)
Entoma conspicuum
หมวกสีน้ำตาลอ่อน กลางหมวกหยักย่น ดอกอ่อน ขอบม้วนงอเข้า ครีบขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูอมน้ำตาล ก้านสีน้ำตาล แข็งกรอบและโป่งตรงกลางเล็กน้อย ผิวก้านขรุขระเป็นสันคล้ายตาข่ายห่างใหญ่


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81-150x150.jpg)
เห็ดน้ำหมาก (Russula emetica)
หมวกแดงถึงแดงชมพู เรียบ หนืดมือ กลางหมวกเป็นแอ่งเล็กน้อยครีบและก้านสีขาว มีพิษเมื่อดิบ กินได้เมื่อต้มสุก


(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/05/%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2-150x150.jpg)
เห็ดขี้ควาย (Psilocybe cubensis)
หมวกสีเหลืองอ่อน กลางหมวกสีน้ำตาล ครีบสีน้ำตาล ก้านทรงกระบอกมีวงแหวน สีน้ำตาลฉีกขาดง่าย ทุกส่วนเปลี่ยนเป็น สีน้ำเงิน เมื่อช้ำ

การปฐมพยาบาล
ทำให้อาเจียนโดยการรับประทานไข่ขาว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลพร้อมนำตัวอย่างเห็ดที่รับประทานไปด้วย

ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการรับประทานเห็ดดอกตูมที่ไม่รู้จัก


คลิป ติดตามจากลิงค์ครับ 
http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA (http://ch3.sanook.com/16263/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2014, 10:18:50 pm
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-

(http://frynn.com/wp-content/uploads/2013/07/Holy-basil-2.jpg)

สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตายขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารกสัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


-------------------------------------------------------------------


เวลาไม่รู้ว่า จะทานอะไร ก็ กะเพราไก่ บ้าง กะเพราหมู บ้าง กะเพรากุ้ง บ้าง กะเพราปลาหมึก บ้าง

เป็นประจำ


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 06:14:18 am

10 เรื่องควรรู้คู่"ทุเรียน"/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   20 พฤษภาคม 2557 08:49 น.



By Lady Manager
       
       หน้านี้ไม่มีอะไรดังไปกว่าฟ้าผ่า แผ่นดินคะนอง และแน่นอน---ทุเรียน ครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       ทุเรียนเริ่มบุกรุกคืบเข้ามาขโมยซีนในยามนี้
       
       จะหมอนทอง,ชะนี หรือว่าก้านยาว ก็ล้วนแล้วแต่รสนิยมที่ต่อมลิ้นของใคร และเศรษฐกิจช่วงเปิดเทอมเป็นอย่างไร
       
       แต่ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนชนิดใดก็มีประโยชน์เปี่ยมไปด้วยวิตามินแทบทุกอณู แม้แต่เปลือกทุเรียนยังเอามาใช้ประโยชน์ได้
       
       ในทุเรียนอัดแน่นไว้ด้วยประโยชน์และรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ถึงเพียงนี้ ทุเรียนจึงเป็นดั่งผลไม้ระดับตำนานที่ถูกเรียกขานว่า “ราชาแห่งผลไม้” มานานแสนนาน ดังนั้นการกินทุเรียนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบจึงไม่ใช่แค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ถ้ากินได้ถูกวิธีจะเป็นผลไม้ที่ช่วยสุขภาพได้อีกชนิดหนึ่งในชีวิตด้วย
       
       ซึ่งทุเรียนมีสารอาหารหลักๆ ที่ช่วยร่างกายดังนี้ครับ
       
       - คาร์โบไฮเดรตสุขภาพ (Complex carbohydrate) มีดัชนีน้ำตาล (GI) พอสมควร
       
       - เส้นใยอาหาร (Dietary fiber) มีชนิดสำคัญที่ละลายน้ำได้ (Soluble fiber)
       
       - สารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่มสำคัญคือ “โพลีฟีนอลส์”
       
       - วิตามิน เบต้าแคโรทีน,วิตามินบี และซี
       
       - แร่ธาตุ โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, ธาตุเหล็ก และแร่ธาตุที่ขาดไม่ได้
       
       ทั้งหมดนี้รวมกันในสัดส่วนที่พิเศษจึงทำให้ผลไม้ในตำนานชนิดนี้มีกลิ่น และรสสัมผัสที่ยากจะลืมเลือน
       พร้อมทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพที่เป็นความพิเศษเฉพาะตัวดังต่อไปนี้
       
       *ทุเรียน*
       ผลไม้เปี่ยมประโยชน์

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       1) คุมไขมันได้ เป็นงานวิจัยในสัตว์ทดลองที่พบว่าทุเรียนป้องกันการเพิ่มของไขมันในเลือด โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่รับประทานมากเกินไปด้วย โดยในทุเรียน “หมอนทอง” มีพระเอกลดไขมันชื่อ “โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols)” แต่สำหรับท่านที่ไม่ปลื้มทุเรียนก็เลือกทานในพืชอื่นอย่างอะโวคาโดและมะม่วงได้ครับ
       
       2) ทุเรียนมีวิตามินสูง ทั้งเบต้าแคโรทีน, กลุ่มวิตามินบี,วิตามินซี และแร่ธาตุที่จำเป็นต่างร่างกาย ซึ่งหลายชนิดอยู่ในปริมาณที่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างวิตามินซีที่เท่ากับ 1 ใน 3 ของร่างกายต้องการ (33%RDA) เพียงแค่ท่านรับประทานทุเรียนราว 1 ขีดเท่านั้น
       
       3) ทุเรียนต้านสนิมแก่ เพราะว่ามีทั้งโพลีฟีนอลส์ดังที่กล่าวไปแล้วยังมี “สารประกอบกำมะถัน (Organosulfur compound)” ที่ช่วยทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ, ต้านเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด และยังช่วยให้ผิวพรรณดี เส้นผมเงางามแข็งแรง
       
       4) ทุเรียนช่วยสมอง เป็นผลไม้อารมณ์ดีเพราะมีสารที่มีส่วนช่วยสร้างเคมีสมองที่ช่วยความรู้สึกสงบสบายใจ มีส่วนช่วยในการสร้างเคมีนิทรา (เมลาโทนิน) เพราะในทุเรียนมี “ทริปโตแฟน (Tryptophan)” เช่นเดียวกับในพืชแป้งอีกหลายชนิด โดยทริปโตแฟนเป็นวัตถุดิบในการสร้างเคมีสมอง (Serotonin) ที่ช่วยปรับอารมณ์ครับ
       
       5) ทุเรียนให้พลังงานได้ดี มีทั้งพลังงานจากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตในเนื้อแน่นๆของทุเรียนจึงทำให้อิ่มได้อย่างแรง นอกจากนั้น ยังมีแร่ธาตุที่ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กระฉับกระเฉงดีนั่นคือ “โพแทสเซียม” ครับ เนื่องจากทุเรียนมีแคลอรีสูงจึงไม่ควรรับประทานมากเกินไปหรือร่วมกับของหวานอื่นครับ

   
10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       6) ทุเรียนช่วยระบาย ด้วยใยอาหารที่ดีต่อลำไส้จำนวนมหาศาลในทุเรียน โดยในเนื้อทุเรียนพูอ้วนนี้มีใยอาหารชนิดที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ ซึ่งผู้ที่รับประทานทุเรียนจะมีการขับถ่ายที่ดีได้ถ้ายิ่งออกกำลังกายร่วมด้วย
       
       7) ช่วยดูแลโลหิตจาง ทุเรียนมีวิตามินบีที่สำคัญคือ “โฟเลต” ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุที่ช่วยสนับสนุนอีกหลายแรงได้แก่ “ธาตุเหล็ก” และ “ทองแดง” ที่ช่วยให้การสร้างเม็ดเลือดสมบูรณ์แบบครับ
       
       8) มีแคลเซียมเติมกระดูก ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ โดยชนิดที่สำคัญตัวหนึ่งคือ “แคลเซียม” ครับ ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน หรือสาวๆ ที่ต้องการสะสมกระดูก(Bone banking) เอาไว้ให้แข็งแรงในอนาคต ทุเรียนเป็นอีกแหล่งของแคลเซียมและแร่ธาตุบำรุงกระดูกอื่นๆ จากธรรมชาติที่ดีครับ
       
       9) เบาหวานต้องระวัง ในเนื้อที่เหมือนเนยชั้นดีหวานมันอร่อยนี้มีปริมาณน้ำตาล “ฟรุกโตส” อยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้มีผลต่อ “ตับ(มันจุกตับ)” และ “โรคอ้วน” รวมถึงสุขภาพโดยรวมหากได้รับมากเกินไป โดยเฉพาะในเบาหวานจะทำให้น้ำตาลสูงถึงขั้นอันตรายได้ถ้ารับประทานเพลินเกินห้ามใจ
       
       10) ไม่ควรกินทุเรียนกับแอลกอฮอล์หรือยา มีรายงานอาการผิดปกติเมื่อกินทุเรียนร่วมกับแอลกอฮอล์ อาทิ ร้อนวูบวาบตามหน้า, สั่น, ง่วงซึม, อาเจียน และคลื่นไส้
       
       ซึ่งต่อมามีการศึกษาพบกลไกที่น่าห่วงคือ ทุเรียนไปหยุดเอนไซม์ที่ช่วยล้างพิษเหล้า (Aldehyde dehydrogenase) จนทำให้พิษเหล้าแผลงฤทธิ์ (Acetaldehyde intoxication)
       
       ส่วนเรื่องกินยานั้นไม่ควรรับประทานคู่กันเพราะอาจส่งผลต่อฤทธิ์ และการดูดซึมครับ
       
       ทุเรียนแม้จะมีหลายพันธุ์แต่ส่วนใหญ่จะมีสารอาหารสำคัญอยู่คล้ายคลึงกัน โดยแต่ละพันธุ์ก็มีความพิเศษของตัว ดังเช่นหมอนทองที่ทั้งอร่อยและป้องกันไขมันเพิ่มได้ในการทดลอง หรืออย่าง “ทุเรียนสีเลือด” ที่เนื้อมีสีแดงสวย พบไม่บ่อยในบ้านเราแต่มีในแถวภาคใต้และเพื่อนบ้านในแถบคาบสมุทรมลายู อย่างมาเลเซียหรือไกลออกไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งทุเรียนแดงนี้มีของดีอยู่ที่สีสวยนี้ด้วยครับ

10 เรื่องควรรู้คู่ทุเรียน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
       แต่ไม่ว่าท่านที่รักจะรับประทานทุเรียนชนิดใด เนื่องจากทุเรียนในพลังงานสูงแถมมีกำมะถันจึงเป็นราวภูเขาไฟลูกย่อมๆ เพราะมันให้ความร้อนกับร่างกายได้มากยิ่งเมื่อร่วมกับแอลกอฮอล์หรือของหวานอื่นๆ จึงขอย้ำไว้อีกนิดให้เลี่ยงกินคู่กับแอลกอฮอล์ หรือในผู้ที่มีความดันสูงยังคุมไม่ได้ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน
       
       ตอนนี้ทุเรียนเริ่มมีมากให้เห็นตามตลาดแถวบ้าน ส่วนราคาก็ต่างกันออกไป ท่านที่สนใจก็อาจไปหามาฉลองศรัทธาดูได้ครับ
       
       นับเป็นของดีแบบไทยๆ ที่อยู่ใกล้ตัว



(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005739201.JPEG)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005739203.JPEG)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005739204.JPEG)

.





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 08:40:00 am
ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/05/177537827.jpg)
 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 25, 2014, 08:51:04 am
ข้อเท็จจริง “ดื่มน้ำ” ตอนไหนดีที่สุด


-http://club.sanook.com/27857/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99/-


ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน  และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี   วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝากกันจ้า….

- ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

- ตอนสาย ๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

– ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

– ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) – ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

----------------------------------------------------------------------------------------------------


“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

-http://club.sanook.com/31233/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5/-


ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

 

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2014, 10:23:08 pm
ไอย่ะ! กินทุเรียน 4 เม็ด เท่ากับน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

กรมอนามัยเผยว่า การกินทุเรียน 4-6 เม็ด เทียบเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมถึง 2 กระป๋อง ซึ่งก็แนะผู้ป่วยในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง

 -http://club.sanook.com/31217/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%97/-


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/05/177537827.jpg)
 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยกินทุเรียนในปริมาณ 4-6 เม็ด ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี เทียบดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋อง พร้อมเตือนกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ควรเลี่ยง เพราะมีผลต่อปริมาณน้ำตาล ย้ำห้ามกินทุเรียนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงเสียชีวิตได้

ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและ แร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตหากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลางหลังกินอาหารจานหลัก ถ้าใครชอบกินทุเรียน เผลอรับประทานประมาณครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด ก็เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบแล้วพอๆ กับการกินข้าว 5 ทัพพี หรือเทียบเป็นน้ำอัดลม 2 กระป๋อง

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังในการกินทุเรียน อาจกินได้แต่มีปริมาณน้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น การกินทุเรียนในปริมาณมากๆ หรือกินทุเรียนบ่อยครั้งจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือดของผู้ป่วยได้ ซึ่งกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวดังที่กล่าวมามักจะเป็นกลุ่มที่ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล และไขมันในเลือด สำหรับคนธาตุไฟการกินทุเรียนทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

“ทั้งนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านกระเพาะอาหารไปใช้ได้ในทันที เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือการย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ คนปกติขาดน้ำจะปัสสาวะข้นและน้อย แต่กลุ่มที่กินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นี้จะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายจะขาดน้ำ” ดร.นพ.พรเทพ กล่าว อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือรู้สึก ตัวร้อนไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากแล้วเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนคู่กับลำไย เพราะในลำไยมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูงและด้วยความที่มีน้ำตาลมากจึงให้พลังงานมากขึ้นด้วย เมื่อกินมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการร้อนในได้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย
ภาพประกอบจาก Thinkstockphotos.com


ทำไม ห้ามดื่มเหล้าแกล้มทุเรียน ???

-http://campus.sanook.com/1371313/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/-



นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและแร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต หากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลาง หลังกินอาหารจานหลัก


(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1371313/yyyttt.jpg)



"ถ้ากินทุเรียนครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือน้ำอัดลม 2 กระป๋อง ดังนั้น คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ และความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังการกินทุเรียน อาจกินได้ แต่ให้กินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง" นพ. พรเทพ กล่าวและว่า ส่วนคนธาตุไฟการกินทุเรียนแล้วทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือ การย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ โดยจะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายขาดน้ำ ที่สำคัญกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกตัวร้อน ไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากจนเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 26, 2014, 10:24:17 pm
ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง

-http://guru.sanook.com/27189/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87...%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%87/-


หากพูดถึงขอบขนมปัง เชื่อแน่ว่าคุณผู้อ่าน ๆ หลาย ๆ ท่าน คงชอบตัด หรือเลือกรับประทานขนมปังที่ไม่มีขอบมากกว่า

หลายท่านที่เป็นเช่นนี้ หากไปถามว่าทำไมต้องตัดหรือดึงขอบออกก่อนด้วย ก็มักจะได้คำตอบว่า ขอบขนมปังหรือบริเวณที่ถูกอบจนเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้น เป็นส่วนที่ไม่มีรสชาติ ฝืดคอ เหนียว เคี้ยวยากและอีกสารพัดเหตุผล แฮ่ ๆ .. แต่ทราบมั้ยว่าขอบขนมปังที่เราทิ้งไป หรือเก็บไว้ไปโยนให้ปลาในเขาดินกินนั้น เป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าที่เราคาดคิด

ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ประเทศเยอรมนี พบว่าขอบขนมปังที่บางคนเมินนั้น เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่น ๆ ของขนมปัง จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่สรุปผลออกมาว่า ขนมปังเป็นแหล่งของส่วนประกอบบางตัวที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง แต่งานชิ้นเก่า ๆ จะให้เครดิตไปที่กากใยอาหารหรือไฟเบอร์ซะมากกว่า ส่วนงานวิจัยของ ดร.โทมัส นี้ได้ระบุถึงสารต้านมะเร็งตัวใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคาดถึงมาก่อน

หัวหน้าทีมวิจัยได้ตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพรนิลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนเป็นขนมปังสีขาวถึง 8 เท่า ส่วนแป้งธรรมดานั้นกลับไม่มีเอาเสียเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปัง ได้ผ่านกระบวนการอบมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีนนี้เกิดขึ้นมาจาก ปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาลในขั้นตอนการอบ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า ปฏิกิริยามิลลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาล บนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว นอกจากนั้น กระบวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสาร ให้กลิ่นรสชาติให้กับขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ อีกด้วย กระบวนการนี้สามารถเกิดได้ ทั้งในขนมปังที่ใช้ยีสต์และไม่ใช้ยีสต์ งานวิจัยยังบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้มเช่น ขนมปังโฮลวีท จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็ก ๆ นั้นจะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือเป็นปอนด์ แต่ ดร.โทมัสแกก็เตือนเอาไว้ว่า ถ้าหากพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก women.thaiza.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 27, 2014, 02:17:39 am
วิธีทำไข่เค็ม กินเองง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยสูตรดองเกลือ

-http://cooking.kapook.com/view87786.html-


(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/SaltedEggs.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ไข่เค็ม เป็นอาหารที่เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้านในการถนอมอาหารของคนไทย เพื่อที่จะเก็บไข่เป็ดไว้กินได้นาน ๆ เลยจับไปดองกับน้ำเกลือ หรือสูตรอื่น ๆ ตามแต่ละพื้นที่ จนกลายมาเป็นไข่เค็มสุดอร่อย และถือเป็นอาหารที่หลาย ๆ บ้านมักจะมีติดเอาไว้ จะทำไข่เค็มต้ม ไข่เค็มดาว หรือจะยำแซบ ๆ กินกับข้าวต้มก็อร่อย แต่คงจะดีถ้าเรามาทำไข่เค็มกินเองได้

         ถึงแม้ว่าไข่เค็มจะสามารถหาซื้อมารับประทานได้ง่าย ๆ แต่หากวันหนึ่งวันใดคุณเกิดได้รับไข่เป็ดสด ๆ จากฟาร์มจำนวนมากมาเป็นของฝาก แล้วไม่รู้จะนำไปทำเป็นเมนูอะไรได้อีก นอกจากต้ม เจียว ตุ๋น ทอด หรือคุณอยากจะวัดฝีมือความเป็นพ่อบ้านแม่บ้านด้วยการทำไข่เค็มกินเองล่ะก็ วันนี้เราก็มีวิธีทำไข่เค็มเองแบบง่าย ๆ มาฝาก เป็นสูตรไข่เค็มดองในน้ำเกลือ แค่เพียง 1-2 อาทิตย์ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองไว้กินแล้ว ถ้าอยากรู้แล้วว่า ไข่เค็มทำเองนี้จะมีวิธีการอย่างไร มาดูกันเลยจ้า


สิ่งที่ต้องเตรียม

           ไข่เป็ดดิบ 10 ฟอง

           ภาชนะสำหรับดองไข่ (ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับเกลือ เช่น โหลแก้ว แก้วพลาสติก กะละมัง เครื่องเคลือบดินเผา)

           เกลือ 1 ถ้วย

           น้ำสำหรับต้มน้ำเกลือ 4 ถ้วย (หรือ 1 ลิตร)


วิธีทำ

         1. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด สะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท ใส่ลงในโหลแก้ว เตรียมไว้

         2. ทำน้ำเกลือสำหรับดองไข่ โดยใส่เกลือกับน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด และคนให้เกลือละลายจนหมด ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

         3. เทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงในโหลไข่จนท่วมไข่ จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางทับลงไปให้ไข่เป็ดจมอยู่ใต้น้ำ ตลอดเวลา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 2-3 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ดาว เก็บไว้นานประมาณ 2 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ต้ม เก็บไว้นานประมาณ 3 อาทิตย์


  ทำอย่างไรให้ไข่แดงเค็มเป็นน้ำมัน ?

           หลายคนชอบกินไข่เค็มที่มีไข่แดงเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ ออกมา เพราะทั้งมัน ทั้งอร่อย เทคนิคก็คือ หลังจากที่พักน้ำเกลือจนเย็นสนิทแล้ว ให้เติมเหล้าขาวลงไปในน้ำเกลือด้วยเล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน แล้วเทใส่ลงในโหล จะทำให้ไข่แดงเค็มที่ได้ก็จะเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ น่ากินนั่นเองค่ะ


  วิธีต้มไข่เค็มให้อร่อย

           การที่จะต้มไข่เค็มให้อร่อยนั้น มีเคล็ดลับอยู่ที่ "สารส้ม" ทำได้โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สารส้ม 1 ก้อน หรือสารส้มป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยไข่ไก่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด นานประมาณ 8-10 นาที ก็จะได้ไข่เค็มต้มสุดอร่อยไว้กินแล้ว


  วิธีเก็บไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุด

           ไข่เค็มที่นำไปต้มแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 1 เดือน ส่วนวิธีการเก็บรักษาไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุดคือ ให้ใส่สารส้มลงไปแกว่งในน้ำที่ใช้ต้มไข่ด้วย นอกจากจะยืดอายุไข่เค็มได้แล้ว สารส้มจะทำให้สีของเปลือกไข่ และเนื้อไข่ขาวสวยขึ้นอีกด้วย
 
           ไม่กี่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็ได้ไข่เค็มฝีมือตัวเองเก็บไว้กินแล้ว แถมพ่วงเคล็ดลับการต้มไข่เค็ม และเก็บรักษาไข่เค็มมาด้วย ลองนำไปทำกันดูนะคะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 09:10:48 am
ย่างอย่างไร ไกลมะเร็ง…

-http://club.sanook.com/29893/%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-



รู้ดีว่า เถ้าสีดำที่เกาะอยู่บนอาหารที่มาจากการย่างก่ออันตรายมหาศาล ถึงขั้นป่วยโรคมะเร็งกันเลย
ถึงอย่างนั้น ก็ยังอยากลิ้มลองอาหารย่างอยู่บ้าง สักครั้งสองครั้งต่อเดือนก็ยังดี


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/04/131.jpg)


ด้วยความเป็นห่วง ชีวจิตปักษ์นี้จึงนำคำแนะนำวิธีการย่างจากสถาบันวิจัยโรคมะเร็งอเมริกันหรือ American Institute for Cancer Research (AICR) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง สามารถดำรงภาวะที่ดีของสุขภาพค่ะ

Preparation

    เตรียมน้ำหมักสุขภาพที่มีมะนาวหรือไวน์ และสมุนไพรอย่างพริกไทยเป็นเครื่องปรุง ความจริง น้ำหมักสุขภาพนี้อาจมีส่วนผสมหลากหลายแบบตามความชอบ แต่ถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพมากๆ ควรใช้ซอสถั่วเหลืองเป็นส่วนผสมหลัก โดยเพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้ง
    เนื้อสัตว์ที่นำมาย่าง ควรเป็นปลา อาหารทะเลอื่นๆ เห็ด และเต้าหู้เท่านั้น

Grilling

    พยายามตัดเล็มส่วนที่เป็นไขมันออกจากเนื้อสัตว์ก่อนวางบนเตา
    ใช้ไฟต่ำ
    วางเนื้อสัตว์ลงตรงกลางเตา เพื่อให้สุกง่ายและทั่วถึง

Serving

    เสิร์ฟพร้อมผักต่างๆ ทุกครั้ง ผักที่ใช้ควรมีทั้งสุกและสด ไม่ว่าจะเป็นกระหล่ำสีต่างๆ แตงกวา มะเขือเทศ แครอท และอื่นๆ โดยเป็นผักที่แน่ใจว่าปลอดภัยจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง

ลองเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการย่างให้เป็นไปตามที่แนะนำ นอกจากสร้างนิสัยรักสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้สมาชิกในครอบครัวปลอดภัยจากโรคร้ายได้ด้วยค่ะ

 

ที่มา : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 357




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 10:10:33 am
สุดยอดอาหารช่วยให้ผอมเร็วขึ้น แถมยังช่วยล้างพิษด้วย



-http://guru.sanook.com/27090/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/-


อาหารที่ช่วยทำให้เราผอมเร็วขึ้น ก็คืออาหารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเผาพลาญพลังงานในร่างกายให้ได้มากขึ้น อาหารที่เรากินเข้าไป เมื่อถูกเผาพลาญออกมาเป็นพลังงาน ก็จะได้ไม่ต้องเป็นส่วนเกิน ไปเก็บกักตุนอยู่ในร่างกายของเรา เป็นเหตุให้เกิดไขมันส่วนเกิน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าไขมันที่ทำให้เราดูอ้วนนั่นเอง เพราะฉะนั้น ใครที่อยากผอม ก็ควรจะเลือกกินอาหารเหล่านี้ด้วย แถมยังมีคุณสมบัติ ช่วยล้างพิษอีกต่างหาก

มะนาว
เปลือกมะนาว มีคุณสมบัติ ด้วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สิ่งที่ควรทำก็คือ การฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ แล้วใส่ลงในแก้วน้ำดื่ม เพียงเท่านี้ ก็ช่วยได้แล้วค่ะ

หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่ มีรสเผ็ด และยังมีวิตามินบี1 ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย แล้วก็ช่วยในการขับสารพิษออกมาจากร่างกายด้วย

ขิง
ขิงก็เป็นพืชอีกอย่างที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับเหงื่อ ปรับอุณหถูมิในร่างกาย ให้เกิดการสมดุล เนื่องจากความร้อนของขิง ทำให้ช่วยร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ แล้วก็ยังช่วยแก้ภาวะตัวเย็น ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ เป็นประจำสิคะ

มะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง รวมถึงมีไฟเบอร์สูงอีกด้วย การทานมะเขือเทศ ทำให้รู้สึกว่าอิ่มเร็วกว่าปกติ ทำให้ลดความอยากอาหาร และเมื่อเราทานน้อยลง ก็จะไม่อ้วนยังไงล่ะ

กระเทียม
กระเทียมก็เป็นอีกอย่าง ที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญดีขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล และไขมัน แล้วก็มีคุณสมบัติช่วยขับสารพิษด้วย

มะเขือม่วง
มะขือม่วงมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง ดูดซับไขมัน และของเสียต่างๆ ในกระแสเลือด ปรับสมดุลต่างๆ ภายในร่างกายของเรา แก้อาการท้องผูก และช่วยป้องกันไม่ให้คอเรสเตอรอลสูงด้วย

งา
งา มีแร่ธาตุต่างๆ มาก โดยเฉพาะแร่ธาตุ และพวกวิตามิน ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

เห็ด
เห็กเป็นพืชที่มีไฟเบอร์ หรือว่าเส้นใยสูง สามารถช่วยให้ระบบขับถ่ายดี สามารถช่วยล้างพิษในร่างกาย แล้วก็เสริมสร้างระบบคุ้มกันโรค ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว และอยู่ท้อง ไม่ต้องทานอาหารมากก็อิ่มได้

ส้ม
ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และมีรสชาติที่อร่อย ถูกปากคนไทย การกินส้มด้วยการเคี้ยวทั้งกากไปด้วย ทำให้ดีต่อระบบขับถ่าย เปลือกส้มนั้น ก็มีสรรพคุณ ในการย่อยไขมัน ถ้านำเปลือกส้มมาต้มชาดื่ม จะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ

พริก
มีสรรพคุณในการเผาผลาญไขมัน เพราะมีรสเผ็ดร้อน ขับเหงื่อ และทำให้น้ำหนักลดลงได้

ถั่วแดง
เป็นอาหารอีกชนิด ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ลดการบวมน้ำ กระตุ้นการเผาผลาญน้ำตาล แก้ท้องผูก ช่วยล้างพิษในร่างกาย

พริกหวาน
อุดมไปด้วยวิตามินบี และวิตามินซี ถ้ากินมากๆ จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือด

ข้อมูลจาก : -http://www.lady108.com/-



http://guru.sanook.com/27090/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/ (http://guru.sanook.com/27090/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2/)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 10:57:12 am
ระกำ

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/240895/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B9%8D%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ที่เปลือกผลจะมีหนามแข็งเล็ก ๆ ในหนึ่งผลจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 กลีบ ผลดิบจะมีรสฝาดและเปรี้ยว ส่วนผลสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้ออ่อนและน้อย ฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม
วันพฤหัสบดี 29 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ระกําเป็นพืชในตระกูลปาล์มจัดอยู่ในสกุลเดียวกับสละ เป็นต้นหรือเหง้าเตี้ย มียอดแตกเป็นกอ ออกผลรวมกันเป็นกระจุกแบบทะลาย โดยหนึ่งทะลายจะประมาณ 2-5 กระปุก ลำต้นจะมีหนามแหลมยาวประมาณ 1 นิ้ว ใบมีลักษณะยาวเป็นทางประมาณ 2-3 เมตร ที่เปลือกผลจะมีหนามแข็งเล็ก ๆ ในหนึ่งผลจะมีอยู่ด้วยกัน 2-3 กลีบ ผลดิบจะมีรสฝาดและเปรี้ยว ส่วนผลสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้ออ่อนและน้อย ฉ่ำน้ำมีกลิ่นหอม ลักษณะโดยรวมคล้ายกับสละ แต่ผลจะป้อมกว่า เมล็ดใหญ่กว่า เนื้อออกสีเหลืองอมส้ม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก มีสรรพคุณในการช่วยป้องกันอาการเป็นหวัด แก้กระหายน้ำ และช่วยในการย่อยอาหารทำให้เจริญอาหาร.



------------------------------------------------------------

ปลีกล้วยป่า

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/241278/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


กล้วยป่าเกิดตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเขา คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำต้นกล้วยป่ามาทำอาหารทั้งแกงและต้มเป็นผักเคียงนํ้าพริก หัวปลี ใช้ทำอาหารเป็นผักสดประกอบแกงหรือต้มยำ
วันเสาร์ 31 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

กล้วยป่าเกิดตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าเขา คนไทยเมื่อครั้งอดีตนิยมนำต้นกล้วยป่ามาทำอาหารทั้งแกงและต้มเป็นผักเคียงนํ้าพริก หัวปลี ใช้ทำอาหารเป็นผักสดประกอบแกงหรือต้มยำ ชาวอินเดียเมื่อครั้งอดีตนำดอกกล้วยซึ่งอยู่ในหัวปลีมาต้มเอานํ้ามากินแก้เบาหวาน  โดยใช้ดอกกล้วย 1 กำมือ ล้างนํ้าให้สะอาด ต้มกับนํ้า 3 แก้ว เดือดนาน 20 นาที กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ส่วนในประเทศจีนจะใช้ดอกกล้วยแห้งบดผงผสมนํ้า เติมเกลือเล็กน้อย กินรักษาโรคหัวใจ กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 07, 2014, 12:08:48 pm
7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

-http://guru.sanook.com/9364/7-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-



7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล -bloggang.com-

-----------------------------------------------------------------------------------------------


หมอชี้น้ำดื่มขวดพลาสติกเก็บในรถนานๆไม่ก่อสารพิษ ทดลองแล้ว อย่าหลงเชื่อโลกออนไลน์

-http://campus.sanook.com/1371359/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%86%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5/-



วันที่ 2 มิถุนายน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์เตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่เก็บในหลังรถยนต์และจอดกลางแดดโดยมีโอกาสได้รับสารไดออกซินที่แพร่ออกมาจากขวดน้ำพลาสติกเนื่องจากอากาศร้อนจัดอาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งอื่นๆ ได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำบรรจุ ขวดพลาสติก


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งมีภารกิจ ในการวิเคราะห์ วิจัยทางด้านไดออกซิน น้ำดื่ม และวัสดุสัมผัสอาหาร ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคดังนี้ สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นชื่อกลุ่มสารที่มีโครงสร้างและสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) สารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และสารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล ที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน (Dioxins-like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs) ซึ่งกลุ่มสารไดออกซินที่ก่อให้เกิดพิษมี 29 ตัว และสารแต่ละตัวจะมีค่าความเป็นพิษแตกต่างกัน

นพ.อภิชัย กล่าวว่ากระแสข่าวเรื่องไดออกซินละลายออกมาจากขวดบรรจุน้ำดื่มเมื่อวางไว้ในที่ร้อนๆ เช่น หลังรถยนต์นั้น เป็นเหมือนเรื่องเล่าต่อๆ กันมาโดยปราศจากแหล่งข้อมูลที่แน่ชัด ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เคยมีรายงานการตรวจพบไดออกซินในพลาสติก และสารเคมีต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่าละลายออกมาจากขวดพลาสติกทั้งในสภาวะอุณหภูมิสูงหรือสภาวะการแช่แข็ง ซึ่งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าเกิดขึ้นได้

ความจริงคือขวดพลาสติกขนาดเล็ก ปัจจุบันมีอยู่2ชนิดคือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติกชนิด PE (พอลิเอทิลีน) และขวดใสไม่มีสีทำจากพลาสติกชนิด PET (พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต)ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าขวดแบบขาวขุ่น

สำหรับขวดบรรจุน้ำชนิดเติมซึ่งมีการบรรจุซ้ำจะเป็นขวดความจุประมาณ 20ลิตรมี3 ชนิด คือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติก ชนิด PP (พอลิพรอพิลีน) ขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อน ทำจากพลาสติกชนิด PC (พอลิคาร์บอเนต) และขวดพลาสติกชนิด PET พลาสติกเหล่านี้ไม่มีสารคลอรีน เป็นองค์ประกอบที่จะเป็นต้นกำเนิดของไดออกซิน หรือถึงแม้ว่าพลาสติกชนิดอื่น เช่น พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ แต่อุณหภูมิของน้ำในขวดไม่ได้สูงมากพอที่จะท้าให้เกิดสารไดออกซินขึ้นมาได้ อีกทั้งไม่นิยมใช้เพื่อบรรจุน้ำบริโภค

"เพื่อความชัดเจน ห้องปฏิบัติการไดออกซิน สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้ทำการทดลองโดยซื้อตัวอย่างน้ำดื่มที่บรรจุในขวดพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต พอลิพรอพิลีน พอลิคาร์บอเนต และพอลิไวนิลคลอไรด์ที่จำหน่ายในตลาดสดและซุปเปอร์มาเก็ต จำนวน 18 ยี่ห้อ และนำไปวางในรถที่จอดกลางแดดเป็นเวลา 1 วัน และ 7 วัน จากนั้นตรวจวิเคราะห์สารประกอบกลุ่มไดออกซิน 17 ตัว และพีซีบี 18 ตัว

โดยใช้เทคนิคขั้นสูง Isotope Dilution และวัดปริมาณด้วยเครื่องมือ High Resolution Gas Chromatography/High Resolution Mass Spectrometry ผลการวิเคราะห์สรุปว่า ตรวจไม่พบ สารประกอบกลุ่มไดออกซินและพีซีบีในทุกตัวอย่าง ดังนั้น จึงอยากเตือนผู้บริโภคควรพิจารณาแหล่งของข่าวสารต่างๆ ที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์และตรวจสอบที่มาด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว

อนึ่ง สารไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แหล่งกำเนิดสำคัญของสารกลุ่มนี้คือกระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือกระบวนการเผาไหม้อุณหภูมิสูงทุกชนิด เช่น เตาเผาขยะทั่วไป เตาเผาขยะจากโรงพยาบาล เตาเผาศพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น การสร้างกลุ่มสาร ไดออกซินจากการเผาไหม้จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิประมาณ 200-550 องศาเซลเซียส และจะเริ่มถูกทำลายเมื่ออุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียสขึ้นไป ทำให้มีการปลดปล่อยและสะสมสารกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ดิน หรือน้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 10:16:28 am
หมากเม่า ผลไม้พื้นบ้าน ขจัดสารพิษ ต้านมะเร็ง

-http://health.kapook.com/view90125.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/Fruit/makmao3.JPG)

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/Fruit/makmao1.JPG)

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/Fruit/makmao2.JPG)

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/Fruit/makmao4.JPG)


หมากเม่า (หมอชาวบ้าน)
โดย สุภาภรณ์ เลขวัต, อุบลวรรณา ศรีมงคลลักษณ์ ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)

          หมากเม่า หรือ มะเม่า ผลไม้พื้นบ้านที่ให้ประโยชน์ได้หลายส่วน เป็นอีกหนึ่งตำรับยาไทยที่คนไทยควรรู้จัก

          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antidesma thwaitesianum Muell.Arg

          ชื่อวงศ์ : Euphorbiaceae

          ชื่อท้องถิ่น : มะเม่า ต้นเม่า (ภาคกลาง) หมากเม่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) หมากเม้า บ่าเหม้า (ภาคเหนือ) เม่า หมากเม่าหลวง (พิษณุโลก) มัดเซ (ระนอง) เม่าเสี้ยน (ลำปาง) เป็นต้น


หมากเม่า มะเม่า



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2550)

          ลำต้น : หมากเม่าเป็นไม้พุ่มต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร เป็นไม้พื้นเมืองเนื้อแข็ง แตกกิ่งก้านเป็นจำนวนมาก กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มทรงกลม

          ใบ : เป็นใบเดี่ยว สีเขียวสด ปลายและโคนมนกลมถึงหยักเว้า ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมันทั้ง 2 ด้าน แผ่นใบกว้าง 3.5-4.5 ซม. ยาว 5-7 ซม. แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ มักออกใบหนาแน่นเป็นร่มเงาได้อย่างดี

          ดอก : ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด คล้ายช่อพริกไทย จะออกตามซอกใบใกล้ยอดและปลายกิ่ง แยกเพศกันอยู่คนละต้น ยาว 1-2 ซม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอมเหลือง มักจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน

          ผล : ผลหมากเม่ามีขนาดเล็กเป็นพวง ภายใน 1 ผลประกอบด้วย 1 เมล็ด ผลดิบสีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม มีรสเปรี้ยว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและม่วงดำในที่สุด ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวปนฝาดเล็กน้อย

          ระยะเวลาออกดอกและติดผล : ออกดอกและติดผลช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสุกช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน


แหล่งเพาะปลูก

          หมากเม่าพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทยมักพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามหัวไร่ปลายนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบได้มากที่เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง




คุณประโยชน์

          ผลมะเม่าสุกมีปริมาณสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด และเมื่อนำผลมะเม่าสุกมาทำการวิเคราะห์ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอนโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอล พบว่า น้ำมะเม่า 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานิน 299.9 มิลลิกรัม และสารโพลีฟีนอล 566 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่ายอีกด้วย

          การวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พบว่าคุณค่าทางด้านโภชนาการของน้ำคั้นจากผลมะเม่า 100 กรัม ประกอบด้วย


สารอาหาร
    ปริมาณ
 ไขมัน
    0.77 กรัม
 โปรตีน
    0.19 กรัม
 ความชื้น     92.7 กรัม
 คาร์โบไฮเดรต         
    5.99 กรัม
 เส้นใย     0.02 กรัม
 วิตามินบี 1     0.221 มิลลิกรัม
 วิตามินบี 2     0.113 มิลลิกรัม
 วิตามินอี     0.13 มิลลิกรัม
 แคลเซียม     126.35 มิลลิกรัม
 เหล็ก     0.70 มิลลิกรัม



          กากมะเม่าหลังจากการคั้นน้ำยังคงอุดมด้วยสารที่มีประโยชน์ ได้แก่ สารประกอบฟีนอลิก ฟลาโวนอยด์ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นต้น

          นอกจากนี้ ยังพบว่ามะเม่ามีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอชไอวี (กัมมาล และคณะ, 2546)


หมากเม่า มะเม่า


ตำรายาไทย

          ใบและผล : ต้มน้ำอาบ แก้อาการซีดเหลือง โลหิตจาง

          ใบ : ทาแก้ปวดศีรษะ แก้โรคผิวหนัง ใบสดนำมาอังไฟประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว

          ผล : ทำยาพอก แก้ปวดศีรษะ แก้ช่องท้อง บวม ใช้ผสมน้ำอาบแก้อาการไข้

          ต้นและราก : แก้กษัย บำรุงไต ขับปัสสาวะ แก้ตกขาว แก้ปวดเมื่อย

          * ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร, 2550 ; วุฒิ วุฒิธรรมเวช, 2540 อ้างอิงโดย สำนักหอสมุดและสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2550


น้ำมะเม่าพร้อมดื่ม

     ส่วนผสม

          น้ำมะเม่า 2 ถ้วยตวง
          น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
          น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
          เกลือป่นเล็กน้อย

     ขั้นตอนการทำ

          1. นำมะเม่ามาล้างทำความสะอาด คั้นนาและกรองแยกกาก
          2. นำส่วนผสมมาผสมให้เข้ากัน ปรับแต่งรสชาติตามชอบ แช่เย็นก่อนดึ่ม


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 08:02:23 pm
กินเนื้อหมูสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงป่วยโรคไข้หูดับ อาจถึงตาย!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 มิถุนายน 2557 14:09 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000064032-




 สธ.เตือนประชาชน หน้าฝนอากาศอับชื้อ หลีกเลี่ยงกินเนื้อหมู เลือดหมู สุกๆ ดิบๆ จำพวกลาบก้อย หลู้ ส้า มีความเสี่ยงสูงติดเชื้อโรคไข้หูดับ มีอันตรายขั้นเสียชีวิต หรือหูหนวกตลอดชีวิต ส่วนกลุ่มนักดื่ม หรือมีโรคประจำตัวหากติดเชื้ออาการป่วยจะรุนแรงขึ้น เผยตั้งแต่ต้นปี 2557 ถึงกลางเดือน พ.ค.พบไทยมีผู้ป่วย 74 ราย เสียชีวิต 8 ราย ชี้หมูที่ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการ ย้ำซื้อเนื้อหมูในตลาด หรือห้างที่ผ่านมาตรฐานรับรอง ขณะที่ผู้เลี้ยงควรสวมรองเท้าบูตป้องกัน มีบาดแผลไม่ควรสัมผัสหมู พร้อมย้ำ สสจ.เร่งให้ความรู้เพื่อลดป่วยและเสียชีวิต
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝนทำให้เกิดความอับชื้นในสถานเลี้ยงสัตว์ที่อาจจะเกิดปัญหาการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจนทำให้สัตว์กลายเป็นโรค และอาจนำเชื้อมาสู่คนได้ โดยเฉพาะฟาร์มสุกรเป็นสัตว์ที่เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า สเตร็บโตค็อกคัสซูอิส (Streptococcus suis) ซึ่งทำให้เกิดโรคไข้หูดับสู่คน ทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้เพราะเป็นโรคติดต่อจากสัตว์ที่มีความรุนแรง ทั้งนี้ โรคนี้พบได้ทั่วโลก ในไทยพบผู้ป่วยทุกปีในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 15 พฤษภาคม 2557 มีผู้ป่วย 74 ราย จาก 11 จังหวัด เสียชีวิต 8 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 70 มีอาชีพรับจ้างและทำการเกษตร

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000006621201.JPEG)
ภาพ -verycm.net-



       อย่างไรก็ตาม หมูที่ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการป่วยเพราะเชื้อจะอยู่ในทางเดินหายใจโดยเฉพาะต่อมทอนซิลหรือที่บริเวณคอหอยและในโพรงจมูกของหมู แต่หากหมูมีอาการป่วยร่วมด้วยก็จะพบเชื้อนี้อยู่ในกระแสเลือดของหมูด้วย ทั้งนี้ เชื้อสเตรปโตค็อกคัสซูอิส จะเข้าสู่ร่างกายคน ทางบาดแผลตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา และจากการรับประทานเข้าไป โดยจะพบในรายที่รับประทานเนื้อหมูที่ปรุงดิบ หรือ ปรุงดิบๆ สุกๆ เช่น ลาบหมู หลู้ ส้าดิบ หลังจากเชื้อเข้าสู่รางกาย จะไปทำลายอวัยวะภายใน และระบบประสาท ทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจ อักเสบ ที่สำคัญคือทำให้ประสาทหูทั้งสองข้างอักเสบ และเสื่อมอย่างรุนแรง หูหนวกตลอดชีวิต และยังพบอาการเลือดออกใต้ผิวหนัง โดยจะป่วยหลังติดเชื้อประมาณ 3-5 วัน อาการที่พบบ่อยดังนี้คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูดับ ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจหอบ เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยมีอัตราเสียชีวิตได้ร้อยละ 5-20 และขณะนี้ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบผู้ป่วย เพื่อป้องกันการป่วยและเสียชีวิต
       
       ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้หูดับ คือผู้ที่สัมผัสกับสุกรที่ติดโรคโดยตรง เช่น ผู้เลี้ยงสุกร ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อสุกร เป็นต้น กลุ่มที่เสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรงถ้าติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคอ่อนแออยู่แล้ว โรคนี้รักษาหายขาดได้ ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศมีศักยภาพในการรักษาเพราะฉะนั้น หากมีอาการป่วยดังที่กล่าวมาหลังรับประทานอาหารที่ปรุงมาจากเนื้อหมู เลือดหมูปรุงสุกๆ ดิบๆ ขอให้รีบพบแพทย์ทันที
       
       สำหรับการในการป้องกันการติดเชื้อไข้หูดับ มีดังนี้ กลุ่มผู้บริโภค 1. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสด หรือในห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์มาแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการซื้อเนื้อหมูที่จำหน่ายข้างทางหรือร้านของป่า 2. ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ หรือเนื้อยุบ 3. ให้ปรุงเนื้อหมูให้สุกด้วยความร้อน นานอย่างน้อย 10 นาที หรือต้มจนเนื้อไม่มีสีแดง ไม่รับประทานเนื้อและเลือดหมูดิบ หรือดิบๆสุกๆ และกลุ่มผู้เลี้ยงสุกร หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในเล้าหมู ฟาร์มหมู ควรสวมรองเท้าบูตยาง สวมถุงมือ สวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงานในเล้าหรือในฟาร์มหมู หลังปฏิบัติงานเสร็จให้อาบนำชำระร่างกายให้สะอาด ผู้ที่มีบาดแผลที่มือหรือที่เท้าควรหลีกเลียงการสัมผัสหมู หากจำเป็นต้องใส่ถุงมือยางป้องกัน ประการสำคัญห้ามนำหมูที่ป่วยตายมาชำแหละอย่างเด็ดขาด และดูแลความสะอาดฟาร์มเลี้ยงหรือเล้าให้สะอาด
       
       หากประชาชนมีข้อสงสัยโทรศัพท์สอบถามได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร. 0-2590-3187 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:21:12 pm
วิธีปลูกผักชีในกระถาง หยิบรับประทานง่าย

-http://home.kapook.com/view90361.html-

(http://img.kapook.com/u/pree/d/g1.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วิธีปลูกผักชี มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายอย่าง แต่วิธีปลูกผักชีในกระถางจะช่วยให้คุณหยิบมาปรุงอาหารและรับประทานได้ง่าย แต่จะมีขั้นตอนการปลูกอย่างไร ลองไปอ่านข้อมูลกันค่ะ

          หลายบ้านที่พอมีพื้นที่สำหรับทำสวน ก็มักจะอยากมีแปลงพืชผักสวนครัวเล็ก ๆ เอาไว้ปลูกรับประทานกันเองในครอบครัว แต่สำหรับบ้านไหนที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็อยากจะมีต้นผักชีต้นเล็ก ๆ สักต้นสองต้นเอาไว้ปรุงอาหารหรือรับประทานเป็นเครื่องเคียง วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีปลูกผักชีในกระถาง ให้ลองไปทำกันค่ะ นอกจากจะประหยัดพื้นที่แล้ว ยังปลูกได้ไม่ยากอย่างที่คิดด้วย

รู้จักกับผักชี

          ผักชี คือ พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสั้น ประมาณ 40-60 วันเท่านั้น โดยผักชีที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยคือ ผักชีพันธุ์สิงคโปร์, พันธุ์สิงคโปร์เมล็ดดำ และพันธุ์ไต้หวัน เป็นต้น ในการปรุงอาหาร คนไทยจัดผักชีเป็นเครื่องเทศที่มีไว้ใส่น้ำซุป และเป็นเครื่องเคียงอื่น ๆ เพราะผักชีสามารถนำมาปรุงอาหารได้ทุกส่วนของต้นและยังช่วยดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ได้ด้วย

ประโยชน์ของผักชี

          ใช้เป็นเครื่องเทศช่วยปรุงอาหารให้รสชาติดีมากขึ้น โดยสามาถใช้ได้ทั้ง ใบ ราก และลำต้น

          มีสรรพคุณช่วยย่อย บำรุงกระเพาะ ขับลมพิษ ลดน้ำตาลในเลือด ขับลม เป็นต้น

อุปกรณ์ที่ต้องใช้

          เมล็ดพันธุ์ผักชี สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายเมล็ดพันธุ์ผักทั่วไป

          กระถาง

          ดินร่วน

          ปุ๋ยคอก

          ทราย หรือขี้เถ้า

          ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง


วิธีปลูกผักชีในกระถาง หยิบรับประทานง่าย


วิธีปลูกผักชีในกระถาง

         1. เตรียมดินสำหรับปลูก ด้วยการตากดินสัก 1 สัปดาห์ แล้วพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป

         2. บดเมล็ดพันธุ์ผักชีที่ซื้อมาให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง

         3. นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำแล้วไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าเล็กน้อย

         4. เมื่อเห็นเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กระถางปลูกที่เตรียมดินเอาไว้แล้ว จากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

         5. รอเก็บเกี่ยวมารับประทานในอีก 30-45 วัน โดยเวลาถอนให้รดน้ำจนดินชุ่มก่อน และควรถอนทั้งราก

การดูแลรักษา

         1. รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

         2. เมื่อผักชีแตกใบให้ใส่ปุ๋ยหมัก หรือถ้าจะเร่งให้งามเร็ว ๆ ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตราส่วน 3-4 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ แล้วนำไปฉีดพ่นเบา ๆ

         3. ผักชีชอบอากาศเย็น แต่เมื่อเริ่มโตแล้วควรให้โดนแดดอ่อน ๆ ยามเช้าบ้าง


          ได้รู้จักกับวิธีปลูกผักชีในกระถางแล้ว หากบ้านไหนอยากลองไปปลูกผักชีต้นเล็ก ๆ เอาไว้รับประทานเป็นพืชสวนครัว ลองไปลองปลูกผักชีตามขั้นตอนเหล่านี้ดูนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
vichakaset.com , doae.go.th

-http://www.vichakaset.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5/-

-http://www.doae.go.th/library/html/detail/pukchee/index.htm-


.




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 13, 2014, 10:33:27 pm
ทำไม เราจึงชอบกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ


-http://campus.sanook.com/1371565/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/-



คอลัมน์ Pop Teen
นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ kenshiro843@gmail.com
ที่มา นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์


รู้ทั้งรู้ว่าของทอดของมันของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราจึงอดใจไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น วันก่อนผมไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หลังจากวิ่งเสร็จผมเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อทานข้าวมื้อเย็น ด้วยความตั้งใจที่จะควบคุมน้ำหนัก เมนูที่คิดไว้ในหัวจึงเป็นอาหารเบาๆ จำพวกผักผลไม้ งดแป้งและเนื้อสัตว์ เช่น สลัดผัก ต้มจืด หรือผักผักรวมมิตร เสร็จแล้วก็กะว่าจะตบท้ายด้วยโยเกิร์ต แอปเปิ้ล หรือไม่ก็นมเปรี้ยวไขมันต่ำ

ในขณะที่กำลังเดินเลือกว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง กลิ่นหอมๆ และภาพชวนเย้ายวนของคอหมูย่างมันเยิ้มๆ หมูปิ้งไขมันแทรกติดไหม้นิดๆ ปีกไก่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบ ขาหมูพะโล้หนังสีน้ำตาลแวววาว และบะหมี่เส้นเหลืองๆ กับหมูกรอบราดด้วยน้ำแดงหวานข้น ก็ทำเอาผมไขว้เขว

แต่ผมก็พยายามหักห้ามใจเอาไว้ ด้วยการเตือนสติตัวเองว่า ขืนกินเอาอร่อยตามใจปากแบบเดิมๆ การวิ่งมาทั้งหมดในเย็นนี้ก็จะสูญเปล่า

เวลาผ่านไป 20 นาที รู้ตัวอีกทีข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ และโค้กเย็นๆ ซาบซ่า ก็ลงไปอยู่ในท้องผมเรียบร้อย

และไหนๆ ก็เลยเถิดไปแล้ว ผมจึงตบะแตกล้างปากด้วยเฉาก๊วยนมสด และไอศกรีมกะทิไข่แข็งซะเลย

ผม คิดว่า คุณผู้อ่านหลายคนคงเคยเป็นเหมือนผม อุตส่าห์วางแผนการกินซะดิบดี แต่ทุกอย่างก็ล่มสลายเมื่อเจอกับกลิ่นหอมๆ และสีสันของอาหารจำพวกเฟรนช์ฟราย สเต๊กเนื้อชุ่มฉ่ำ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่าหน้าชีส สปาเกตตีครีมซอส ชิบูย่าโทสต์ คัพเค้ก มาการอง ป๊อปคอร์น ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีม

ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แคลอรี่สูง เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดัน

คำถามคือ ทำไมอาหารอร่อยๆ จึงมักไม่ดีต่อสุขภาพ?

ทำไมเราจึงอดใจไม่ได้?

ทำไมธรรมชาติจึงสร้างให้เราชอบของมันของทอดของหวาน?

ทำไมธรรมชาติไม่สร้างให้เราชอบกินแต่ผักกับผลไม้ เหมือนกับยีราฟ กวาง หรือนกไปเลย?

ทำไมธรรมชาติจึงช่างใจร้ายกับเรา?


คุณ หมอชัชพล เกียรติขจรธาดา เจ้าของหนังสือ pop-sci ขายดีอย่าง 500 ล้านปีของความรัก เขียนอธิบายคำตอบของคำถามดังกล่าวไว้ในบทความชื่อ Why We Like Bad Food? ในนิตยสารผู้ชายเล่มหนึ่ง

คุณหมอชัชพลบอกว่าการที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องย้อนเวลากลับไปในจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราวิวัฒนาการมาให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม แบบไหน และอาหารธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร

มนุษย์ต้องการสารอาหารต่างจากสัตว์อื่นๆ เราต้องการ "ไขมัน" มากกว่าลิงสายพันธุ์อื่นๆ เพราะสมองของเราใหญ่ นอกจากนี้ ไขมันยังเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกายอีก หลายชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศ

เราต้องการ "โปรตีน" จากเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานในการเติบโต และนับตั้งแต่มนุษย์วิวัฒนาการเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อประมาณสองแสนปีที่ แล้ว เราใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์และหาของป่ามาตลอด สัตว์ที่เรากินก็จะมีทั้งสัตว์เล็กๆ อย่างแมลงต่างๆ ไปจนถึงสัตว์ใหญ่ที่พอล่าได้

อย่างไรก็ตาม การล่าสัตว์ในวันที่เรามีแค่เท้าเปล่าและหอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การได้กินเนื้อสัตว์จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก

เช่นเดียวกับอาหารที่มีรสหวาน ริชาร์ด จอห์นสัน อายุรแพทย์โรคไต มหาวิทยาลัยโคโลราโดเดนเวอร์ บอกไว้ในนิตยสาร National Geographic ว่าความปรารถนาน้ำตาลฟรักโทสเป็นแรงกระตุ้นให้บรรพบุรษของเราดำรงชีพอยู่ได้ น้ำตาลฟรักโทสมีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์อย่างมากในยามที่ขาดแคลนอาหาร

แต่ทว่าในธรรมชาติน้ำตาลกลับเป็นของหายาก ผลไม้ป่าทั่วไปมักจะมีขนาดเล็ก ฝาด และไม่หวานมาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษของเรายังต้องแย่งผลไม้กับลิง กระรอก ค้างคาว นก และสัตว์อื่นๆ

ส่วนเกลือซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายก็ไม่ใช่ของหาง่ายเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่จากอาหารทะเลแล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ต้องไปหาเกลือจากดินที่มีเกลือผสมอยู่ที่เรียกว่า ดินโป่ง

เมื่อเนื้อ ไขมันสัตว์ อาหารหวาน และเค็มเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายเราแต่หากินยาก สมองของบรรพบุรุษเราจึงถูกออกแบบมาให้เราชอบกินไขมัน เนื้อสัตว์ อาหารหวานและเค็มมากเป็นพิเศษ หากมีโอกาสได้กินของประเภทดังกล่าวก็จะเลือกกินก่อน เพราะถ้าไม่กินตอนนี้ก็ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จะได้กินอีกครั้ง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงชอบกินของทอดของมันของหวานที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

จะเรียกว่า "ยิ่งหายาก ยิ่งอยากกิน" ก็ไม่ผิดนัก

คําถามต่อมาคือแล้วทำไมเราจึงหยุดกินไม่ได้?

คำตอบนั้นง่ายมากครับ เพราะว่าเรากำลัง "เสพติด" อยู่นั่นเอง

ในสมองของเราจะมีวงจรประสาทอยู่วงจรหนึ่งซึ่งเรียกว่า "วงจรโดปามีน" วงจรนี้เป็นวงจรที่จะทำให้เราและสัตว์ต่างๆ รู้สึก "อยาก" ในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะความอยากในเรื่องที่เป็นสัญชาตญาณของการอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์

ถ้าเราทำอะไรก็ตามแล้ววงจรนี้ถูกกระตุ้นสมองเราก็จะจำสิ่งนั้นไว้ ทำให้เราอยากทำสิ่งนั้นซ้ำอีกเรื่อยๆ ยิ่งอะไรที่กระตุ้นวงจรนี้ได้แรง เราก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้นและบ่อยขึ้น

ตัวอย่างของสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้วงจรนี้ทำงานได้ดีก็ เช่น เพศสัมพันธ์ อาหารหวาน อาหารเค็ม อาหารมัน หรือแม้กระทั่งยาเสพติดอย่างเฮโรอีนและโคเคนก็กระตุ้นผ่านตำแหน่งเดียวกัน

นี่เป็นเหตุผลทำให้เรากินไม่ยั้ง และรู้สึกอร่อย

มากไปกว่านั้น ข้ามมาที่โลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท นักธุรกิจหัวใสก็ได้ใช้สัญชาตญาณของมนุษย์นี้เป็นตัวหาเงินเข้ากระเป๋า พวกเขาทุ่มงบประมาณมากมายเพื่อทำการวิจัยว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้บริโภคชอบกินอาหารของบริษัทตัวเองมากๆ และทำอย่างไรให้กินครั้งแรกแล้วอยากแวะเวียนกลับมากินอีกเรื่อยๆ

คุณหมอชัชพลตั้งคำถามง่ายๆ ว่า "แค่น้ำตาล เกลือหรือไขมันเดี่ยวๆ ตัวเดียวก็สามารถกระตุ้นวงจรนี้ให้เราอยากกินซ้ำได้แล้ว ถ้ารวมสองหรือสามอย่างนี้เข้าด้วยกันจะกระตุ้นวงจรนี้มากขนาดไหน"


ใน โลกยุคหิน โอกาสที่ไขมัน เกลือ และน้ำตาลจะมารวมกันอยู่ในอาหารชนิดเดียวเป็นไปได้ยาก แต่ในโลกปัจจุบัน อาหารสามารถมีรสชาติทุกอย่างรวมกันได้ง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น ป๊อปคอร์นรสคาราเมล หรือมันฝรั่งทอดกรอบรสสาหร่ายโนริ ที่ทั้งหวาน เค็ม มัน กรอบ

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สมองของเราไม่สามารถปรับตัวกับรสชาติของอาหารได้ทัน แนวโน้มการกินของเราจึงกินในปริมาณเกินความต้องการเข้าไปอีกโดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะความหวานจากน้ำตาล หนังสารคดีเรื่องล่าสุด "Fed Up" พูดถึงประเด็นการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในซูเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐอเมริกา อาหารมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนทั้งหมดกว่า 600,000 รายการ มีส่วนประกอบเป็นน้ำตาลในปริมาณมากเกินกำหนด

นั่นหมายความว่าเราจะถูกกระตุ้นให้อยากกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากน้ำตาลที่ซุกซ่อนอยู่ในอาหารแทบทุกรายการ

พอรู้แบบนี้ หลายคนคงนึกเข้าข้างตัวเองในใจว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านที่เราอดใจไม่ไหว ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณมนุษย์ต่างหาก!"

พูดแบบนั้นก็มีส่วนถูกครับ (เพราะผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน-ฮา) ทว่า สิ่งที่เราอาจลืมคิดไปอีกอย่างก็คือ บรรพบุรุษของเราไมได้นั่งเล่นเฟซบุ๊กหรือทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา นะครับ พวกเขาอาจจะกินของหวาน ของมัน ของเค็มเยอะก็จริง แต่พวกเขาก็ออกกำลังกายด้วยการล่าสัตว์เยอะเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น หากคุณอยากจะกินข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย และน้ำอัดลมแล้วละก็ อย่าลืมที่จะไปออกไปวิ่งล่าสัตว์ตามสวนสาธารณะบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน

อันนี้ผมเตือนตัวเองนะครับ ไม่ได้ว่าคนอื่นแต่อย่างใด


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 09:03:57 am
กระเจี๊ยบแดง


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/244497/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/717768.jpeg)

คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ดอกกระเจี๊ยบเป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และในการช่วยลดน้ำหนัก ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย รักษาโรคเบาหวาน
วันศุกร์ 13 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดาน อินเดีย มาเลเซีย และไทย โดยในไทยมีแหล่งผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี อุตรดิตถ์ กาญจนบุรี และฉะเชิงเทรา คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ดอกกระเจี๊ยบเป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และในการช่วยลดน้ำหนัก ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย รักษาโรคเบาหวาน ส่วนในอียิปต์มีการใช้ต้นของกระเจี๊ยบแดงนำมาต้มกินเพื่อรักษาโรคหัวใจและโรคประสาท ช่วยแก้อาการคอแห้ง กระหายน้ำลดน้ำหนักเนื่องจากเป็นยาระบาย และช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ได้ ช่วยรักษาโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วดื่มน้ำตามวันละ 3-4 ครั้ง.



-----------------------------------------------------------------------------

ดอกกล้วย


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/244663/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-



(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/718706.jpeg)


ดอกของกล้วยจะออกเป็นช่อ ในช่อดอกมีกลุ่มช่อดอกย่อย ระหว่างกลุ่มจะมีกลีบประดับ เรียกว่า กาบปลี กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคนกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย
วันเสาร์ 14 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

ดอกของกล้วยจะออกเป็นช่อ ในช่อดอกมีกลุ่มช่อดอกย่อย ระหว่างกลุ่มจะมีกลีบประดับ เรียกว่า กาบปลี กลุ่มดอกเพศเมียอยู่ที่โคนกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลาย ระหว่างกลุ่มดอกเพศเมีย และดอกเพศผู้ มีดอกกะเทยเมื่อดอกผสมเกสรแล้วเจริญเป็นผล ส่วนหัวปลีในตำราไทย ถือเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีบุตร คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้หัวปลีป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และในตำราแพทย์แผนจีนจะใช้ดอกกล้วยแห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำ เติมเกลือเล็กน้อย กินรักษาโรคหัวใจ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 16, 2014, 09:45:25 pm
มะระ : ยาในครัวเรือน แก้ได้สารพัดโรค

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1402885086-


(http://www.matichon.co.th/online/2014/06/14028850861402885113l.jpg)


มะระ : ยาในครัวเรือน

ชื่อในประเทศไทย

มะระ มะระจีน มะนอย มะห่อย มะระขี้นก ผักให้โควกวยเกี๊ยะ

ชื่อในประเทศจีน

โควกวย กิ้มหลีกี ไทผู้ท้อ บ้วงหลีกี

ชื่อทางวิทยาศาสตร์

โมมอดิคา ชาแรนเทีย ลิน (Momordica Charantia L.)

ลักษณะ

เป็นไม้เถาชอบขึ้นพาดพันต้นไม้อื่น ๆ หรือขึ้นตามร้านต้นไม้ที่ทำให้ใบเป็นจักเว้าลึกเข้าไป ชอบขึ้นตามที่ลุ่มต่ำแฉะ และต้องบำรุงด้วยปุ๋ย โดยมากชอบปลูกเอาผลไว้รับประทานเป็นอาหาร และใบใช้เป็นผักได้อย่างดี มะระนี้มี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งลูกใหญ่ เรียกกันว่า มะระจีน อีกชนิดหนึ่งลูกเล็กๆ และขมกว่าอย่างชนิดผลใหญ่ เรียกกันว่า มะระไทย มะระขี้นก ฯลฯ รส ขมจัด

รส

ขม เย็น ไม่มีพิษ

ธาตุ

เมื่อแยกธาตุออกแล้วปรากฏว่า มีธาตุต่างๆ หลายชนิด ที่สำคัญ คือ มีโปรตีน และวิตามินซี อยู่ด้วย

ประโยชน์และวิธีใช้

1. ใช้เป็นอาหารประจำวัน ได้ดีเยี่ยม เป็นยาเจริญอาหารขนานเอกตาม ตำราไม้เทศเมืองไทย อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด กล่าวว่า

1.1 เป็นยาเจริญอาหาร

1.2 บำรุงน้ำดี

1.3 แก้โรคข้อรูมาติซึม และ เก๊าท ได้ดี

1.4 ขับพยาธิในท้อง

1.5 ใช้ใบต้ม รับประทานน้ำ เป็นยาระบายอ่อน

1.6 ถ้าใช้ผลชนิดเล็กสั้น (มะระขี้นก) ต้มรับประทานแต่น้ำเป็นยาแก้ไข้

1.7 เมื่อคั้นเอาแต่น้ำรับประทานแก้ปากเปื่อยปากเป็นขุยและบำรุงระดูสตรี

2. ตามตำรา “หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ” กล่าวว่า

2.1 ผลเป็นยาลดความร้อนแก้ร้อนในกระหายน้ำแก้อ่อนเพลียทำให้ตาสว่าง

2.2 เมล็ดเป็นยากระตุ้นกำหนัดเพิ่มพูนลมปราณบำรุงธาตุบำรุงกำลัง

ปริมาณและวิธีใช้

1. เนื้อมะระลูกใหญ่ที่เอาเม็ดออกแล้วกินลันละประมาณ 2 ผล โดยวิธีต้มกิน

2. เมล็ดกินวันละประมาณ 3 กรัม ต้มกิน

หลักฐานที่ใช้รวบรวม

1. ตำราไม้เทศเมืองไทย ของ อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด

2. ตำรา “หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ”

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 17, 2014, 05:02:45 am
หวิดดับ! รองผอ.กินหูหมู ช็อกหมดสติ 12 ชม



-http://news.sanook.com/1613393/%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%AD.%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4-12-%E0%B8%8A%E0%B8%A1/-


(http://pe1.isanook.com/ns/0/ud/322/1613393/defgtr.jpg)


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

(15 มิ.ย.) นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ฝ่ายเวชกรรมสังคม เข้าตรวจอาการนายสุรสิทธิ์ สมยศ รองผู้อำนวยการเขตการศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 อายุ 58 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน ด้วยอาการหนาวสั่น เหงื่อท่วมตัว ท้องร่วง อาเจียน หน้ามืด หมดแรง และความดันเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแพทย์ระบุว่าเป็นโรคสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) หรือโรคหูดับ ขณะนี้ได้ให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ และรอดูอาการอย่างใกล้ชิดประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อรักษาตามขั้นตอน

นายสุรสิทธิ์ ให้ข้อมูลกับแพทย์ว่า ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเปิดโรงเรียนที่ ต.สันทะ อ.นาน้อย ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กและปิดไปหลายปี โดยปีการศึกษานี้ได้มีคำสั่งให้เปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง จึงจัดงานฉลองเปิดโรงเรียนและไปซื้อหมูมาจากคนในหมู่บ้านมาชำแหละ 1 ตัว เพื่อทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานกว่า 100 คน ซึ่งได้รับประทานลาบหมูดิบและหมูต้ม โดยเฉพาะช่วงหูและลำคอ ชาวบ้านบอกว่าเป็นส่วนอร่อยที่สุด หลังรับประทานไปแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง เริ่มมีอาการหนาวสั่น เหงื่อออก อาเจียน และแขนขวาเริ่มชา จึงรีบเข้าพบแพทย์ทันที จากนั้นก็หมดสติไปนานถึง 12 ชั่วโมง

นพ.พงศ์เทพ อธิบายว่า โรคหูดับเป็นโรคอันตรายมาก หากอาการรุนแรงและถึงโรงพยาบาลช้าอาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้ ซึ่งโรคนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีในหมูเท่านั้น หากหมูป่วยจะพบเชื้อนี้มากบริเวณต่อมทอมซิลของหมู คือ ช่วงระหว่างหูและลำคอของหมู โดยผู้รับประทานหมูที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปจะมีไข้สูง หน้ามืด เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย อุจจาระร่วง อาเจียน ในรายอาการรุนแรงนอกจากไข้สูงยังติดเชื้อในกระแสเลือด ความดันเลือดลดต่ำอย่างรวดเร็ว เสียการทรงตัว ไม่มีแรง ประสาทหูอักเสบจนกระทั่งสูญเสียการได้ยิน ช็อคและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเร็วมากภายใน 1-2 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับประทานลาบหมูดิบในงานดังกล่าวอีกกว่า 100 คน ต้องเฝ้าระวังอาการ แต่คาดว่าจะปลอดภัยแล้วทั้งหมด เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานและได้รับเชื้อแบคทีเรียน้อย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 19, 2014, 09:36:13 pm
ผักบุ้ง : ผักพื้นบ้านยอดนิยมตลอดกาล เพียบพร้อมรสชาติ-คุณค่าทางอาหาร-รักษาโรคอื้อซ่า




-http://campus.sanook.com/1371689/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2/-


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1371689/14030581801403058214l.jpg)


"น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง"

ข้อความที่ยกมาข้างต้นนี้ เป็นสำนวนไทยที่ใช้กันมาแต่ครั้งโบราณ มีความหมายเปรียบเทียบถึงคำพูด(หรือข้อเขียน)ที่มีปริมาณคำพูด(หรือตัวหนังสือ)มากมาย แต่มีเนื้อหาสาระน้อยนิดเดียว ปัจจุบันสำนวนนี้มักใช้กันสั้นๆว่า "น้ำท่วมทุ่ง" ทำให้คนไทยรุ่นใหม่หลายคนไม่ทราบถึงที่มาของสำนวนนี้ว่า มีความเกี่ยวข้องกับสภาพภูมิประเทศ ฤดูกาล และผักพื้นบ้านยอดนิยมของชาวไทยอย่างไร

ในอดีตบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของไทยช่วงปลายฤดูฝนต่อถึงฤดูหนาว(ปลายฝนต้นหนาว)จะมีน้ำหลากจากภาคเหนือมาท่วมท้องทุ่งนาเป็นปกติทุกปี น้ำจะท่วมอยู่นาน 3-4 เดือน ก็ค่อยๆแห้งลงไป ช่วงนี้เองตรงกับตอนแรกของสำนวนที่ว่า "น้ำท่วมทุ่ง" และเมื่อน้ำท่วมพื้นดินในท้องทุ่งก็จะเกิดพืชหลายชนิดที่เหมาะกับสภาพน้ำท่วมขึ้นงอกงามในท้องทุ่งร่วมกับต้นข้าวที่ชาวนาเพาะปลูกเอาไว้

ในบรรดาพืชที่ขึ้นในน้ำตามธรรมชาตินี้มีผักบุ้งซึ่งเป็นผักยอดนิยมของชาวบ้านขึ้นรวมอยู่ด้วยแทบทุกวันชาวบ้านมักพาย(หรือถ่อ)เรือออกไปในทุ่งเพื่อเก็บผักต่างๆมาประกอบอาหารซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผักบุ้งนั่นเองดังนั้นชาวไทยในอดีตจึงเลือกผักบุ้งมาใช้ในสำนวน "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง"
ปัจจุบันโอกาสที่จะเกิด "น้ำท่วมทุ่ง" จริงๆนั้นยากมาก เพราะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำในภาคเหนือเอาไว้หลายเขื่อน (และกำลังจะสร้างเพิ่มอีกเรื่อยๆ) คงต้องรอให้เกิดภาวะผิดปกติที่เรียกว่า "อุทกภัย" ในภาคเหนือเสียก่อนนั่นแหละจึงจะเกิดน้ำท่วมทุ่งภาคกลางขึ้นได้ นอกจากนั้นเกษตรกร(รวมทั้งชาวนา)ยังฉีดพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชกันมากขึ้นทุกที ทำให้ผักบุ้งแทบจะสูญหายไปจากท้องทุ่งอยู่แล้ว อนาคตลูกหลานชาวไทยคงไม่มีโอกาสเห็น "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง" อันเป็นที่เกิดของสำนวนนี้เป็นแน่

ผักบุ้ง : ผักของบุ้ง?

เชื่อว่าชาวไทยส่วนใหญ่รู้จักผักบุ้งดีกว่าผักชนิดอื่นๆ แต่หากถามว่าทำไมจึงมีชื่อว่าผัก "บุ้ง" หลายคนคงนึกไม่ออก นอกจากนั้นหลายคนคงไม่รู้จัก "บุ้ง" ด้วย เพราะคนไทยปัจจุบัน(โดยเฉพาะคนในเมือง)มีไม่มากนักที่มีโอกาสรู้จักและพบเห็น "บุ้ง" ซึ่งเป็นตัวหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง มีขนยาวเป็นอาวุธป้องกันตัว ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์(พ.ศ.2516) อธิบายว่า "บุ้ง : เป็นชื่อสัตว์ตัวเล็กอย่างหนึ่ง ตัวมันเท่าด้ามปากกา(ขนไก่) สั้นสักนิ้วเศษๆ ตัวเป็นขน คนถูกมันเข้าให้บวมแลคันนัก"
บุ้งก็เช่นเดียวกับหนอนผีเสื้ออื่นๆ คือกินยอดอ่อนและใบไม้เป็นอาหาร สำหรับบุ้งคงจะชอบใบผักบุ้งเป็นพิเศษ ชาวบ้านคงพบบุ้งที่ผักบุ้งมากกว่าที่อื่น จึงตั้งชื่อผักชนิดนี้ว่า "ผักบุ้ง" ไปด้วย

หนังสืออักขราภิธานศรับท์อธิบายผักบุ้งเอาไว้ว่า "เป็นต้นผักเกิดในน้ำแลในที่ลุ่มๆ ไม่มีน้ำบ้าง เขาเก็บเอามาต้มแกงแลดองกินกับข้าวนั้น"

ผักบุ้งนับว่าเป็นพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพน้ำได้ดีมากจนได้ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่าIpomoeaaquatica Forsk. จะเห็นว่าชื่อชนิด(species)คือ aquatica หมายถึงน้ำหรือชอบขึ้นในน้ำนั่นเอง ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคือ Water cabbage(หรือผักกาดน้ำ) ก็เน้นเกี่ยวกับน้ำเช่นเดียวกัน

ผักบุ้งเป็นพืชจำพวกเถาเลื้อย ลำต้นกลมเป็นปล้อง ข้างในกลวงคล้ายลำไผ่ ปล้องที่กลวงนี้ช่วยให้ผักบุ้งลอยอยู่ในน้ำได้ดี ใบและยอดแตกออกตามข้อ(รวมทั้งราก) ก้านใบยาวกลวง ใบลักษณะคล้ายหัวลูกศร ดอกบานเป็นปากแตร กลีบดอกสีม่วงหรือขาว(ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ผลกลมขนาดเล็ก ในลำต้นและก้านใบมียางสีขาว ผักบุ้งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตร้อนน้ำท่วมขังของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย ชาวไทยจึงรู้จักคุ้นเคยกับผักบุ้งมาแต่โบราณกาล

บริเวณที่ราบลุ่มซึ่งไม่แห้งแล้งเกินไปจะพบผักบุ้งขึ้นตามธรรมชาติอยู่ทั่วไปชาวชนบทที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลำคลองนิยมนำผักบุ้งมามัดเป็นแพลอยอยู่ในแม่น้ำลำคลองบริเวณชายตลิ่งเพื่อเอาไว้เก็บมาบริโภคโดยไม่ต้องไปเก็บไกลบ้าน แพผักบุ้งช่วยป้องกันคลื่นจากเรือที่ผ่านไปมามิให้กระแทกเซาะดินที่ตลิ่งอีกด้วย นอกจากนั้นบริเวณใต้แพผักบุ้งยังมีสัตว์น้ำหลายชนิดชอบมาอาศัย เช่น ปลา กุ้ง หอย เจ้าของผักบุ้งสามารถจับมาเป็นอาหารได้ตลอดปี

ผักบุ้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ คือ ผักบุ้งไทยและผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยคือผักบุ้งสายพันธุ์ธรรมชาติที่ขึ้นเองหรือชาวบ้านนำมามัดเป็นแพลอยอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง ผักบุ้งไทยลำต้นมีสีเข้ม เขียวอมม่วง ทนทานแข็งแรง มียางมากกว่าพันธุ์ผักบุ้งจีน

ผักบุ้งจีนเป็นพันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ ปัจจุบันผลิตเมล็ดได้เองในประเทศไทย นิยมปลูกเป็นการค้า ลำต้นค่อนข้างขาว ใบสีเขียวอ่อน ดอกสีขาว มียางน้อยกว่าผักบุ้งพันธุ์ไทย เกษตรกรปลูกผักบุ้งพันธุ์จีนขายเป็นส่วนใหญ่

ผักยอดนิยม : เพียบพร้อมด้วยรสชาติและคุณค่า

ชาวไทยรู้จักนำผักบุ้งมาประกอบอาหารตั้งแต่โบราณกาลนับได้ว่าเป็นผักสำหรับคนทุกระดับชั้นตั้งแต่เศรษฐีไปจนถึงยาจกเพราะเก็บเอาเองได้โดยไม่ต้องซื้อหา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมีบันทึกในพงศาวดารว่า ครั้งหนึ่งมีการเก็บภาษีผักบุ้งจากราษฎรทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว จนมีผู้ร้องเรียนพระเจ้าแผ่นดิน ในที่สุดภาษีผักบุ้งก็ถูกยกเลิกไป การที่มีบันทึกในพงศาวดารเช่นนี้แสดงว่าผักบุ้งมีความสำคัญต่อชีวิตของคนในสมัยนั้นมาก ยากจะหาผักชนิดใดเปรียบเทียบได้ แม้ในปัจจุบันความสำคัญของผักบุ้งก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด

คนไทยใช้ผักบุ้งประกอบอาหารได้หลายชนิดตั้งแต่กินสดๆกับน้ำพริกปลาร้า ส้มตำ ฯลฯ หรือต้มให้สุก ดองเป็นผักดองก็ได้ นำไปแกง เช่น แกงส้ม แกงเทโพ ฯลฯ ก็ดี แต่ตำรับอาหารจากผักบุ้งที่นับว่ายอดนิยมและรู้จักดีที่สุดเห็นจะได้แก่ ผัดผักบุ้งไฟแดงที่มีไฟลุกท่วมกระทะนั่นเอง ยิ่งกว่านั้นร้านอาหารบางแห่งยังคิดค้นวิธีเสิร์ฟผักบุ้งไฟแดงด้วยวิธีพิเศษเรียกว่า "ลอยฟ้า" โดยเหวี่ยงจากกระทะลอยไปหาจาน (ซึ่งมีคนคอยรับ) ห่างออกไปนับสิบเมตรจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

นอกจากรสชาติแล้วผักบุ้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วยเช่นธาตุเหล็กแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีสูงกว่าผักชนิดอื่นๆ ทั้งยังมีวิตามินเอและซีมากด้วย คนไทยเชื่อว่าผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา(กินผักบุ้งแล้วตาหวาน)น่าจะเป็นความจริง เพราะผักบุ้งมีวิตามินเอและคาโรทีนอยด์ซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้อยู่สูง

ประโยชน์ด้านอื่นๆของผักบุ้ง

ผักบุ้งใช้เลี้ยงสัตว์ได้ดีเช่นหมูเป็ด ไก่ กระต่าย และปลา เป็นต้น นอกจากนี้ผักบุ้งยังมีคุณสมบัติด้านสมุนไพรหลายประการ เช่น
น้ำคั้นจากลำต้น(สด) : ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมาต่างๆ เช่นสารหนู ฝิ่น และพิษงู เป็นต้น

ต้น : ต้มกับเกลือ อมแก้เหงือกบวม(รำมะนาด)

ต้นและใบ : ต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาระบาย

ต้น : ต้มกับน้ำตาล ดื่มแก้ริดสีดวงทวาร และตำสดๆ พอกรักษาริดสีดวงทวาร

ใบ : รสจืดเย็น กินแก้ตาฟาง บำรุงประสาทตา

ดอกตูม : รักษากลากเกลื้อน

ผักบุ้งเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง ปลูกได้ทั้งในน้ำ บนดิน และในกระถาง ปลูกครั้งเดียวเก็บได้นานเพราะตัดยอดแล้วงอกใหม่ได้อีกหลายครั้ง โรคแมลงน้อย เมล็ดหาได้ง่าย จึงเป็นผักที่น่าปลูกเอาไว้ในบ้านเรือนเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา : Facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 21, 2014, 08:26:15 am
นักคณิตศาสตร์บอก...เราตัดเค้กผิดวิธีมาตลอด!!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 มิถุนายน 2557 17:03 น.


-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000069165-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000007148501.JPEG)

ภาพจากคลิปอธิบายการตัดเค้กที่เหมาะสมโดย อเล็กซ์ เบลลอส ที่อ้างอิงงานวิจัยของ ฟรานซิส แกลตัน
       ตัดเค้กน่าจะเป็นเรื่องกล้วยๆ ที่ใครก็ทำได้ แต่นักคณิตศาสตร์อังกฤษค้นพบว่า มีวิธีตัดเค้กที่ถูกต้องกว่าวิธีเดิมและช่วยให้เค้กคงความอร่อยได้นานกว่า ที่สำคัญวิธีดังกล่าวเคยเผยแพร่ลงวารสารวิชาการมานานกว่าศตวรรษแล้ว
       
       อเล็กซ์ เบลลอส (Alex Bellos) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ จุดประเด็นผ่านยูทิวบ์ว่า วิธีการตัดเค้กแบบเดิมๆ ของเรานั้นทำให้เค้กไม่อร่อย เพราะเมื่อตัดเค้กแล้วนำที่เหลือไปเก็บในตู้เย็น จะมีขอบเค้กส่วนหนึ่งสัมผัสอากาศและแห้งแข็ง แต่เขาค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่นำเสนอโดยนักคณิตศาสตร์มานานกว่า 100 ปีแล้ว
       

The Scientific Way to Cut a Cake (http://www.youtube.com/watch?v=wBU9N35ZHIw#ws)
-http://www.youtube.com/watch?v=wBU9N35ZHIw&list=UUoxcjq-8xIDTYp3uz647V5A-
The Scientific Way to Cut a Cake

 วิธีตัดเค้กที่เหมาะสมตามที่เบลลอสนำเสนอนั้น อ้างอิงจากงานวิจัยของ ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่ตีพิมพ์ผลงานลงเนเจอร์ (Nature) เมื่อ 20 ธ.ค.1906 เกี่ยวกับการตัดเค้กทรงกลมตามหลักวิทยาศาสตร์
       
       งานวิจัยของแกลตันอธิบายว่า การตัดเค้กเป็นลิ่มแบบที่เราคุ้นเคยนั้นเป็นเรื่องผิด วิธีที่ถูกต้องคือต้องตัดเค้กเป็นเส้นขนานจากตรงกลางก่อน เพื่อให้นำส่วนที่เหลือมาประกบกันได้ โดยเบลลอสได้สาธิตตามวิธีดังกล่าว และอธิบายด้วยว่า วิธีนี้จะช่วยให้เราเก็บเค้กในตู้เย็นได้หลายวัน โดยที่ยังคงความอร่อยอยู่
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 21, 2014, 12:36:38 pm
เผยอาหารแสลง : ต้องห้าม 10 โรค



-http://campus.sanook.com/1371693/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1-10-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-



เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น

- กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า

- กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม

- กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ

- เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม

- เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย

- หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว

- คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ

คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า "อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน" การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ

ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง

๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ

๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ

๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)

๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค

๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค

การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย


อาหารกับโรค

๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง" หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น

อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

อาหารดิบ ไม่สุก :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

อาหารร้อนเกินไป :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ

การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 08:13:29 am
สะระแหน่


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/246247/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/727295.jpeg)


มีสรรพคุณมากมายในทางสมุน ไพรไทย เช่น เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัด แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ ขับลมในกระเพาะ ดับกลิ่นปาก
วันศุกร์ 20 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

สะระแหน่มีแหล่งกำเนิดในแถบทวีปยุโรปตอนใต้และในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใบจะคล้ายคลึงกับพืชในตระกูลมิ้นต์ มีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว รสชาติจะคล้าย ๆ กับตะไคร้หอม มีสรรพคุณมากมายในทางสมุน ไพรไทย เช่น เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัด แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ ขับลมในกระเพาะ ดับกลิ่นปาก และกลิ่นของใบสะระแหน่จะช่วยไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ได้ ปัจจุบันเกษตรกรที่ปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์จะนิยมปลูกสะระแหน่แซมในพื้นที่ปลูกพืชเพื่อไล่แมลง ซึ่งก็ได้ผลดีพอสมควร.




--------------------------------------------------------------------------------------------


ข้าวกล้อง


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/245704/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/724479.jpeg)

จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การ บริโภคข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์
วันพุธ 18 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การ บริโภคข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ ดังนั้นจึงมีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบามีผลช่วยลดความดันโลหิต ลดไลโปรตีน คอเลส เตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำในเลือด ลดน้ำหนัก ลดอาการอัลไซเมอร์ ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีก (ข้อ มูลและภาพจาก -www.vcharkarn.com/-).


--------------------------------------------------------------------------------------------------

ดอกมะพร้าว


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/245991/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/725925.jpeg)

มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย
วันพฤหัสบดี 19 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย  ตั้งแต่ลำต้น ใบ ก้าน ผล กะลา รกมะพร้าว กาบมะพร้าว รากมะพร้าว ไปจนถึงดอกมะพร้าว ซึ่งมีรสฝาดหวานหอม และนอกเหนือจากนำมาทำน้ำหวานแล้วก็ยังสามารถนำมาสกัดเพื่อประโยชน์ในการรักษาอาการไข้  แก้ท้องเดิน  แก้ร้อนใน กระหายน้ำ  กล่อมเสมหะ  บำรุงเลือด แก้ปากเปื่อย เป็นต้น.


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เปิดตัวไก่พื้นเมืองพร้อมใช้ 8 สายพันธุ์

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/245703/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89+8+%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C+-+%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7-



(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/724480.jpeg)


ฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดตัวงานวิจัยและพัฒนาไก่พื้นเมืองพร้อมใช้ หลังร่วมกับกรมปศุสัตว์และสถาบันอุดมศึกษาในการพัฒนาสายพันธุ์ยาวนานกว่าทศวรรษ
วันพุธ 18 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

ฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดตัวงานวิจัยและพัฒนาไก่พื้นเมืองพร้อมใช้ หลังร่วมกับกรมปศุสัตว์และสถาบันอุดมศึกษาในการพัฒนาสายพันธุ์ยาวนานกว่าทศวรรษ ทั้งพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์สังเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นใหม่อีก 4 สายพันธุ์

ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า ทาง สกว.สนับสนุนการพัฒนาไก่พื้นเมืองไทยมามากกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 โดยร่วมกับกรมปศุสัตว์และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ  ซึ่งจากการศึกษาวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันไก่พื้นเมืองไทยมีศักยภาพและมีความหลากหลายของสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์ดั้งเดิม 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไก่ประดู่หางดำ ไก่เหลืองหางขาว ไก่ชี และ ไก่แดง และพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่อีก 4 สายพันธุ์ หรือที่เรียกว่า “ไก่สายพันธุ์สังเคราะห์” ซึ่งตอบสนองการเลี้ยงเป็นอาชีพสำหรับเกษตรกร นั่นคือ ใช้ต้นทุนในการเลี้ยงต่ำ ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงสั้นลง และสามารถเลี้ยงได้ในสภาพแวดล้อมของเกษตรกรทั่วไป โดยยังคงความอร่อยที่สามารถตอบสนองทั้งความต้องการของผู้บริโภคและการผลิตในระบบอุตสาหกรรม

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้นำพ่อพันธุ์ไก่เหลืองหางขาวมาผสมกับไก่แม่พันธุ์ มทส. ซึ่งเป็นไก่ที่มีคุณสมบัติในการเป็นแม่พันธุ์ที่ดี และให้ไข่ดก มาทำการคัดเลือกจนได้สายพันธุ์ลูกผสม (Hybrid) หรือที่เรียกว่า “ไก่เนื้อโคราช” ซึ่งมีลักษณะโดดเด่นกว่าไก่พื้นเมืองทั่วไป คือ ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงเพียง 65-70 วัน จะได้ไก่ที่แข็งแรง น้ำหนักประมาณ 1.2-1.3 กิโลกรัมต่อตัว รสชาติอร่อยเทียบเท่าไก่พื้นเมือง และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพสำหรับวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกรได้

ขณะที่ สายพันธุ์ไก่ประดู่หางดำ ซึ่งให้ลูกดก เจริญเติบโตเร็ว และมีรส ชาติเฉพาะตัว ส่งผลให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สกว. จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในการพัฒนาความรู้องค์ความรู้ด้านไก่ประดู่หางดำให้เป็นรูปธรรมแก่เกษตรกรและชุมชน เพื่อเป็นอาชีพทางเลือกที่มีความยั่งยืนบนฐานการผลิตและทรัพยากรที่มีในพื้นที่ โดยได้นำร่องในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ ลำปาง และเพชรบุรี ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 203 ราย ซึ่งได้นำองค์ความรู้ด้านการผลิตไปประยุกต์ให้เข้าภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้อาหารเสริมเพื่อลดต้นทุนอาหารสำเร็จรูป ตลอดจนสร้างรูปแบบการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่เหมาะสมกับมิติเชิงพื้นที่ อันก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในชุมชน อีกทั้งยังสร้างรายได้เสริมให้แก่ครอบครัว จากการผลิตในระบบธรรมชาติทำให้ผลผลิตเป็นที่รับรู้ของผู้บริโภค จนสามารถขยับเข้าสู่ตลาดระดับกลางและระดับบน รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์ทางการค้า “ไก่นิลล้านนา”

ในส่วนของ ไก่พันธุ์ชี หลังจากที่ทำการพัฒนามากว่า 10 ปี ทำให้มีลักษณะเด่นให้สมรรถภาพการผลิตสูง มีขนสีขาวทั้งตัวเหมือนไก่เนื้อ สามารถเลี้ยงรอดได้ดีในระบบการเลี้ยงของเกษตรกรในหมู่บ้าน ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ กรมปศุสัตว์จึงได้ขยายผลการเลี้ยงลงสู่ชุมชนในรูปแบบการสร้างเครือข่ายเกษตรกรการเลี้ยงไก่ชีท่าพระในจังหวัดเลย ขอนแก่น และมหาสารคาม ส่วนการพัฒนาสู่ระบบอุตสาหกรรมนั้น บริษัท ตะนาวศรีไก่ไทย จำกัด ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของไก่พื้นเมืองที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงได้เข้ามาร่วมมือและทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาสินค้าที่สอดคล้องกับทิศทางและความต้องการของบริษัท

“จากฐานพันธุกรรมและการทดสอบระบบการเลี้ยงในรูปแบบของเครือข่ายเกษตรกร และอุตสาหกรรม ทำให้ทุกวันนี้มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการผลิตในระบบอุตสาหกรรมสัตว์ปีกได้แล้ว สกว.จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ภาคเอกชน ทั้งระดับเอสเอ็มอีและระดับประเทศเข้ามาร่วมมือและสร้างผลผลิต “ไก่ไทย” ด้วยกัน  เพื่อเปลี่ยนสถานะไก่พื้นเมืองไทยให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการนำไปใช้เพื่อการประกอบอาชีพ รวมถึงสร้างนักวิจัยเชิงพัฒนาให้กับประเทศชาติ ซึ่ง สกว.พร้อมจะให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกับหน่วยงานและผู้ประกอบการที่สนใจ” ผู้อำนวยการ สกว.กล่าว.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 08:42:02 am
กินกันทุกวัน ...รู้ยัง? ดื่ม ′น้ำผลไม้′ ให้ประโยชน์มากแค่ไหน ?


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1403244371-


ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศตื่นตัว กลัวตาย หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ

การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน

ชนิดของน้ำผลไม้

น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ

๑. น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย

๒. น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น

น้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น  เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด

น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า ๑ ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์

น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน

ดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์อะไร

ในบรรดาอาหารชนิดต่างๆ ที่เรากิน ผักสด ผลไม้สด จะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิดแล้ว ถ้าหากแปรรูปมาเป็นน้ำผักหรือน้ำผลไม้ เราจะยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเท่าเดิม เท่าที่ควรจะได้หรือเปล่า ไปฟังคำตอบจากนักวิชาการด้านอาหารกันค่ะ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ๙ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

"คุณค่าของน้ำผลไม้ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าเปรียบเทียบคุณค่าจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบระหว่างผลไม้และน้ำผลไม้ สดๆ ผลไม้สดย่อมดีกว่าน้ำผลไม้  แน่นอน ซึ่งได้วิตามินเต็มที่ เพราะระหว่างที่คั้นผลไม้ อาจจะสัมผัสกับแสงแดด และระหว่างการเก็บจะทำให้ วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดสูญหายไป เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ เมื่อโดนแสงก็สลายไปหมด อีกประการหนึ่ง การที่คนหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ สิ่งที่จะขาดไปคือใยอาหาร ซึ่งคนปัจจุบันกินผักน้อยลงมาก จึงได้ไฟเบอร์หรือใยอาหารน้อย นักโภชนาการเองเคยหวังว่า เมื่อคนกินผักน้อยหรือไม่ชอบกินผัก (จะด้วยเหตุผลว่าผักไม่อร่อย หรือขี้เกียจเคี้ยวก็ตามที) ประชาชนก็น่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะกินผลไม้สดๆ กลับไปกินน้ำผลไม้แทนเพราะสะดวก สบาย ไม่ต้องเคี้ยว ผลคือ ทำให้ได้ใยอาหารต่ำ

ไฟเบอร์ไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นไฟโตเคมีคอล เป็นสารที่อยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติอมน้ำ แล้วขณะอมน้ำก็เกิดน้ำหนัก ก็เลยไหลผ่านระบบลำไส้ กระเพาะ แล้วขณะที่ไหลมันก็จะไปกวาดเอาน้ำตาล ไขมัน โคเลสเตอรอล หรือสารก่อมะเร็งออกไปจากร่างกายด้วย ฝรั่งจึงกล่าวว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผัก ผลไม้ เปรียบประดุจไม้กวาด ที่กวาดเอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ปัจจุบันนักวิชาการให้ความสำคัญกับเรื่องไฟเบอร์มากจริงๆ ก็พูดกันมานาน แต่ไม่เป็นข่าวมากเหมือนทุกวันนี้ และที่เป็นข่าวมากก็เพราะคนทั่วโลกกินผัก ผลไม้น้อยลงอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะผัก เมื่อไม่กินผักไม่กินผลไม้ โรคภัยก็ตามมา เพราะฉะนั้นระยะหลังคนจึงเป็นโรคภัยไข้เจ็บกันเยอะมาก"

ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้แบบไหน

การดื่มน้ำผลไม้ให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี (ว่าเป็นคนที่รักสุขภาพ) ขณะเดียวกันการโฆษณาหรือกล่องสวยๆ ของเครื่องดื่ม ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์ว่า

"พูดถึงน้ำผลไม้ ผมขอรวมเอาน้ำสมุนไพรที่กำลังเห่อกันอย่างน้ำลูกยอ หรือน้ำผักปั่นเข้าไปด้วย สิ่งที่น่าห่วงคือการที่ผู้ขายใส่น้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ จนแทบไม่มีกลิ่นหรือมีรสของสมุนไพรเลยจริงๆ แล้วตามความหมายของน้ำสมุนไพร คือ ต้องมีกลิ่นสมุนไพรนำหน้า ไม่ใช่กลิ่นหรือความหวานของน้ำตาลนำหน้า อาจหวานนิดหน่อยปะแล่มๆ น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่หวานจัด น้ำตาลที่สะสมมากๆ นี่แหละ ที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วนได้ ข้อเสียของการดื่มน้ำผลไม้ที่หวานจัด คือ เด็กๆ ที่กินหวานมากจะไม่รู้สึกหิวข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ผลคือ อาจทำให้ขาดสารอาหาร  ทำให้เด็กติดรสหวาน ทำให้ฟันผุ ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลมเป็นครั้งคราว หรือวันละ ๑-๓ แก้ว เพื่อดับกระหาย เพื่อความสดชื่นก็สามารถดื่มได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการกินผลไม้ ผมไม่สนับสนุน"

น้ำผลไม้ยูเอชทีเพิ่มวิตามิน

ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ แล้วดื่มทันที จะให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำผลไม้บรรจุขวด หรือบรรจุกล่องประเภทยูเอชทีทั้งหลาย แน่นอนว่าวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ สลายไปหมดไม่มีเหลือแล้ว
รู้อย่างนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ จึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยการเติมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ลงไปเพื่อเสริมส่วนขาด (และเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย) วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้จะ ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้ความรู้ว่า

"โดยหลักการ การเติมสารอาหารลงไป เขาจะเติมให้ได้ปริมาณ ๑ ใน ๓ ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ต้องยอมรับว่า วิตามินเอ วิตามินซี เมื่อเจอความร้อนจะถูกออกซิไดซ์ (ทำปฏิกิริยากับอากาศ) เพราะฉะนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่ ก็จะเติมวิตามินเหล่านี้ในปริมาณมาก เผื่อการสูญสลายเอาไว้ด้วย หรือบางยี่ห้ออาจใช้วิธีบรรจุเครื่องดื่มในกล่องทึบแสง ซึ่งก็ช่วยให้วิตามินเหล่านั้นคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าวิตามินที่เติมลงไปจะอยู่ได้ยืนยาวตลอดเวลาจนถึงวันหมดอายุ วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารบ้างแต่ไม่มาก ไม่อยากให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นกระแสน้ำผลไม้ที่เติมวิตามิน แล้วอุปาทานเหมือนกับว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วได้รับประโยชน์มากมาย โดยไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งจะทดแทนกันไม่ได้

ผมอยากบอกว่า การกินผลไม้ทุกชนิดโดยตรง แล้วดื่มน้ำเปล่าๆ จะได้ประโยชน์กว่าการดื่มน้ำผลไม้ ยกตัวอย่าง เช่น กินส้ม ๑ ผล กินน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว (ที่คั้นสดๆ) ที่หากทิ้งไว้ไม่นาน ก็อาจมีวิตามินซีอยู่บ้าง มีไฟเบอร์เล็กน้อย นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นน้ำตาล ส่วนธาตุอาหารอย่างอื่นเรียกว่ามีอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเรากินผลไม้สด กินส้ม ๑ ผล ขณะที่ปอกเปลือกแล้วกินทันที เราจะได้วิตามินซีแบบเต็มๆ และได้วิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินเอ หรือบีตาแคโรทีน เรียกว่า มีประโยชน์มากกว่ากันแน่นอน"

เลือกซื้อ เลือกดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์

น้ำผลไม้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์(กว่าน้ำอัดลมหรือชากาแฟ)นี้ หากเลือกไม่เป็น หรือซื้อแบบไม่เลือกเลย ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร และบาง กรณีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ คำแนะนำต่อไปนี้จากนักโภชนาการ อาจเป็นคำแนะนำสามัญธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันเลย

ครั้งต่อไปหากจะซื้อน้ำผลไม้มาดื่มก็ควรจะพิถีพิถันกันสักหน่อยถ้าเป็นน้ำผลไม้เข้มข้นก็ต้องทำให้เจือจางก่อนแล้วน้ำที่จะมาทำให้เจือจางนั้น ควรต้องเป็นน้ำต้มสุกที่สะอาด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้ น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ก็ควรจะพิถีพิถันในการเลือกซื้อสักหน่อย เพราะบางทีน้ำผลไม้ทำมาสะอาด แล้วใส่น้ำแข็งที่สกปรก ก็ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน เพราะน้ำผลไม้เองก็ง่ายต่อการทำให้ เกิดการบูดเน่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อน้ำผลไม้บรรจุกล่องนั้น ก่อนซื้อควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพราะผู้บริโภคจะทราบว่า น้ำผลไม้ชนิดนั้นมีปริมาณน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ มีสารกันบูดหรือไม่ (การบริโภคสารกันบูดบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน) วันหมดอายุของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูทุกครั้ง โดยเฉพาะน้ำผลไม้ หากหมดอายุแล้วดื่มเข้าไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะร้านค้าบางแห่งหรือบางห้าง มักจะนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาวางปะปนกัน ถ้าผู้ซื้อดูไม่ละเอียดรอบคอบก็อาจได้สินค้าที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาดื่มกิน จะให้ดีที่สุด ควรคั้นเองสดๆ แล้วดื่มทันที นั่นล่ะประโยชน์เต็มร้อย ข้อสำคัญต้องเพิ่มความขยันให้กับตัวเองอีกสักหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังความสดชื่นที่แท้จริง
 
 

ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 08:57:04 am
ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ
ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช


-http://www.komchadluek.net/detail/20140622/186851.html-

 
                           พระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ส่งกองทัพขึ้นเหนือบุกยึดทิเบต ปราบปรามชนเผาต่างๆ ถึงมองโกเลีย กำราบชาวมุสลิมยึดเป็นมณฑลซินเกียงจนถึงทุกวันนี้ ฮ่องเต้เฉียนหลงไล่ตีเมืองใต้ ตั้งแต่เสฉวนถึงยูนนาน ข้ามแม่น้ำอิระวดีมาตีกรุงอังวะพม่า เลยไปถึงชายแดนอินเดีย ส่งทัพเรือไปยึดอ๊วกนั๊ม ครองเวียดนามทั้งแผ่นดิน
 
                           เฉียนหลงฮ่องเต้ ปลอมองค์เป็นพ่อค้าเสด็จหัวเมืองทางใต้ พักดื่มน้ำชาในร้านอาหารเมืองตงก่วน (ติดกับกวางเจา) เสี่ยวเอ้อวางถ้วยใส่ใบชาผู่เอ๋อ แล้วยกกาทองแดงใบใหญ่ รินน้ำร้อนใส่จนถึงปากถ้วยพอดี โดยที่น้ำร้อนไม่กระเซ็นหกรดนอกถ้วย เฉียนหลงฮ่องเต้ถามเสี่ยวเอ้อว่า “เจ้าทำได้อย่างไรไม่ให้น้ำหกออกนอกถ้วย”
 
                           เสี่ยวเอ้อเล่าว่า ชงชาแบบ ฟองตากุ้ง ยกแขนสูงรินน้ำร้อนใส่ถ้วยจะเกิดฟองน้ำเท่าตากุ้ง ป้องกันไม่ให้น้ำร้อนกระเด็นออกนอกถ้วย ช่วยขับรสชาติใบชาให้หอม เฉียนหลงฮ่องเต้จึงลุกขึ้นหยิบกา รินน้ำร้อนใส่ถ้วยชามหาดเล็กทันที มหาดเล็กตกใจรีบหงายมืองอนิ้วเคาะโต๊ะ แทนการคุกเขาขอบพระทัยเจ้าเหนือหัว จึงเกิดประเพณีเคาะโต๊ะขอบคุณ เมื่อมีผู้รินน้ำชาให้
 
                           ชาวตงก่วน หรือกวางตุ้ง ทำอาหารจานใหญ่กินกันไม่หมด เฉียนหลงฮ่องเต้จึงขอกุ๊กทำอาหารจานเล็ก จะได้เสวยอาหารอร่อยครบทุกจาน จึงมีการทำอาหารจานเล็กเสิร์ฟร้อนๆ มาในซึ้งไม้ไผ่ย่อส่วน กินกับชาร้อนช่วยไล่ไขมันทำให้ไม่เลี่ยน กลายเป็นอาหารเช้าของชาวจีนทั่วโลก มีอีกหลายวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นจากฮ่องเต้องค์นี้ จนได้รับยกย่องเป็นเทพของชาวจีน
 
                           ผมไปตงก่วนเมื่อสิบปีที่แล้ว เจ็ดโมงเช้าทั้งเมืองเงียบสงบ แต่พอโผล่หน้าเข้าไปในภัตตาคารติ่มซำ ต้องตกใจกับชาวกวางตุ้งเต็มห้องโถงใหญ่ เสียงสั่งอาหาร อาซิ้มเข็นรถติ่มซำให้ลูกค้าเลือกชิม อาหารติ่มซำทยอยออกมาไม่ขาด ติ่มซำอร่อยราคาถูก ตงก่วนจึงเป็นเมืองผลิตพ่อครัวติ่มซำ ส่งไปเป็นกุ๊กที่ฮ่องกงและไชน่าทาวน์ทั่วโลกครับ
 
 
(http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2014/06/20/fddeabbe9ihd8dac68ihb.jpg)
แสงสีรุ้ง ติ่มซำสูตรโรงแรม
 

                           ผมเลิกกินติ่มซำตั้งแต่เข่งละ 10 บาทกำลังฮิต โรงแรมแถวราชเทวีติ่มซำอร่อยมาก พอเป็นบุฟเฟ่ต์ติ่มซำต้องแย่งกินกับโต๊ะอื่น ผมรีบพาแม่มะลิกลับบ้านเลิกกินข้าวโรงแรมนี้ อยากกินติ่มซำอร่อยๆ ยอมเสียเงินเพิ่ม ไปกินติ่มซำดีๆ ในโรงแรมเครือดุสิตธานี บินไปกินติ่มซำข้างวัดหวังต้าเซียนฮ่องกง อร่อยถูกกว่าร้านดังที่คนไทยโพสต์อวดกันสนั่น   
 
                           เชฟแป๊ะ เรียนวิธีทำติ่มซำจากเชฟฮ่องกง ที่โรงแรมดุสิตธานีเชิญมาทำติ่มซำ ให้ลูกค้าเศรษฐีชิมในห้องอาหารจีน MAY FLOWER เมื่ออาจารย์หมดสัญญากลับฮ่องกง เชฟแป๊ะลาออกมาทำอาหารจีน ตามภัตตาคารในย่านเยาวราช ล่าสุดมาเปิดสวนอาหาร ทำติ่มซำฮ่องกง อาหารจีน และอาหารไทย ให้คนทำงานบนตึกสูงได้ชิมกัน
 
 
 (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2014/06/20/6faki58gkfabk5ca7k6jj.jpg)
 
                           สวนอาหารแสงสีรุ้ง มีติ่มซำอร่อยตำรับฮ่องกง ซาลาเปาหน้าแตก ไส้หมูสับ ไส้หมูแดง ไส้ครีม แป้งซาลาเปาบางเนียนนุ่ม ห่อไส้เยอะกว่าซาลาเปาทั่วไป ซาลาเปานมสด แป้งบางใสจนเห็นไส้ครีมข้างในเต็มลูก ฮะเก๋า ต้องนวดจนแป้งบางไสห่อกุ้งเนื้อหนาเต็มคำ ฝันโก๋ทรงเครื่อง ห่อกุ้งผสมหมูสับ ฝันโก๋กุยช่าย อร่อยเหมือนไปกินฝันโก๋ต้นตำรับที่ฮ่องกง
 
                           ห่ามสุยโก๋ ติ่มซำโบราณที่ทำได้เฉพาะกุ๊กฮ่องกงเท่านั้น แป้งเนียนกรอบอร่อย ลูกชิ้นกุ้งผักโสภณ เคล็ดลับอยู่ที่การใช้กุ้งแชบ๊วยล้วนๆ นวดจนเหนียวหนึบปั้นเป็นลูกชิ้น ทอดให้เนื้อกุ้งสุกหวานกรอบอร่อย บร็อคโคลีกุ้งนึ่ง ตีจนเนื้อกุ้งหนึบติดมือ ห่อบร็อกโคลีนึ่งร้อนๆ อร่อย ขาเป็ดตุ๋นซอสพริกเซี่ยงไฮ้ เคี่ยวให้เปื่อยนุ่มถึงเอ็น พริกเซี่ยงไฮ้ซึมถึงกระดูกเป็ดทุกชิ้น
 
 
 (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2014/06/20/786ab8abiab5aib8a7cga.jpg)
 
                           เผือกทอดไส้หมูแดง อยู่ที่ฝีมือเชฟทอดให้เนื้อเผือกฟูกรอบเป็นเส้นให้ได้ ขนมผักกาด ต้องหอมกลิ่นหมูอบติดในแป้งผักกาด ฟองเต้าหู้ทอด ห่อเนื้อกุ้งผัดหน่อไม้ ขนมจีบกุ้ง ลูกโตๆ ห่อเนื้อกุ้งกรอบล้วน ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ห่อกุ้งหมูสับหน่อไม้ ติ่มซำเนื้อกุ้งเต็มคำขายเข่งละ 40 บาทเท่านั้น
 
 
 (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2014/06/20/b9da8a6edaabdbcg5hceh.jpg)
 
                           ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดหอยเชลล์ ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง เชฟแป๊ะนึ่งแผ่นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ราดน้ำซีอิ๊วปรุงรสให้หอมอร่อย ขายจานละ 100 บาท ถูกกว่าไปกินที่ฮ่องกง แสงสีรุ้งขายติ่มซำสูตรฮ่องกงทุกวัน เวลา 11.00-24.00 น. ที่ ถนนนราธิวาส ซอย 26 ข้างโลตัสพระราม 3 อยากกินติ่มซำอร่อยๆ เมื่อไหร่ ไปกินได้ทันที โทร.0-2294-5273-5             
 
 
 
-------------------------
 
(ตำนานแผ่นดิน : ฮ่องเต้เจ้าสำราญ ผู้ให้กำเนิดติ่มซำ : โดย ... อ.ไชยแสง กิระชัยวนิช)
 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2014, 06:59:47 pm
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 มิถุนายน 2557 13:08 น.


-http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000056483-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846401.JPEG)

       ท่ามกลางความมืดสนิทของคืนเดือนมืด “ทีมพรานล่าผึ้ง” ของ เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ผู้นำชุมชนเก้ากอ เดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาบ้านเก้ากอ ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เป้าหมายคือรังผึ้งหลวงขนาดใหญ่บนต้นยายพัด ต้นไม้เก่าแก่ 4 คนโอบ สูงร่วม 30 เมตร ยืนต้นตระหง่านมานานอย่างน้อย 2-3 ช่วงอายุคนแล้ว
       
       รังผึ้งหลวงบนต้นยายพัดต้นนี้ได้ถูกหมายตาไว้เป็นแรมเดือนแล้ว หลังจากผึ้งป่าหรือที่รู้จักกันในชื่อผึ้งหลวงได้ “จับรัง” สร้างสะสมน้ำผึ้ง เมื่อถึงคราวเดือน 5 น้ำผึ้งป่าจะหอมหวานดังคำเปรียบเปรย “หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า” นั่นเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยการล่าครั้งนี้จะต้องได้น้ำผึ้งป่าหอมหวานมาครองให้ได้ 9-10 ขวด
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846402.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       “วิถีพรานล่าผึ้ง” ของชาวชุมชนแห่งนี้สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติบนเทือกเขาหลวง
       
       คบไฟสำหรับก่อให้เกิดควันไล่ผึ้งหลวงตัวใหญ่มีเหล็กในที่มีพิษถูกทำด้วย “เปลือกไม้สามแก้ว” เป็นไม้พิษชนิดหนึ่งที่พบมากบนเทือกเขาหลวง แต่ไม่มีพิษกับคน ถูกเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อม พร้อมทั้ง “ทอย” ที่ถูกทำขึ้นจากไม้ไผ่ตงเหลาจนแหลมคม สำหรับตอกเข้าไปในเนื้อต้นไม้เพื่อเป็นทางสำหรับป่ายปีนไปให้ถึงรังผึ้งที่หมายตาสูงไปกว่า 20 เมตรจากพื้นดิน ทุกอย่างถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นตามขั้นตอน
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846403.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       พรานผึ้งลงมาจากต้นไม้รอท่าให้ “เดือนตก” จะได้เวลาที่มืดสนิทเป็นเวลาที่จะเข้าตีรังผึ้งให้ได้อย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ถูกตอบโต้
       
       เมื่อได้เวลาหลังจากพรานผึ้งเอ่ยปากเอ่ยคำขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง และขอรังผึ้ง น้ำผึ้งไปเลี้ยงชีวิตตามความเชื่อแล้ว จึงปีนขึ้นไปบนทอยไม้อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ช่วยคอยจุดคบไฟโยงขึ้นไปให้ พร้อมทั้ง “แสก” สำหรับใส่ “หัวน้ำผึ้ง” และรังผึ้งที่เต็มไปด้วยตัวอ่อนโยงกลับลงมาบนพื้นดิน เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีบีบน้ำผึ้งเช่นเดียวกับทุกฤดูกาล
       
       “วิธีเก็บน้ำผึ้งป่ามีหลายแบบ แบบนี้เรียกว่าตอกทอยขึ้นไปบนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ และผูกกับไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงรังผึ้ง หลังจากนั้นจะใช้คบไฟที่ทำจากเปลือกไม่สามแก้ว ที่เมื่อจุดแล้วจะมีควันเป็นหลัก ใช้สำหรับไล่ผึ้งออกจากรัง คบไม่มีเปลวไฟ มีเพียงสะเก็ดที่หลุดออกมาจากคบเป็นตัวล่อให้ผึ้งบินตาม” เฉลิม กาญจนพิทักษ์ อธิบาย
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846404.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เช่นที่เฉลิมอธิบาย พลันที่พรานผึ้งเริ่มปฏิบัติการท่ามกลางความมืด เห็นได้แค่ละอองสะเก็ดไฟจากเปลือกไม้สามแก้วกระจายเป็นสายลงมาจากคาคบไม้สูง พร้อมกับเสียงผึ้งแตกรังมาเป็นระลอกๆ ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต้องปิดไฟฉาย หรือแหล่งกำเนิดแสงไฟใดๆ ก็แล้วแต่ นั่นหมายถึงว่าหากมีแสงไฟผึ้งที่แตกรังจะพุ่งเข้ามาโจมตีทันที
       
       เพียงไม่ถึง 5 นาทีขั้นตอนทุกอย่างจบลง รังผึ้งถูกบรรจงโยงลงมาถึงพื้นดิน โดยมีผู้ช่วยรอรับ แล้วจึงนำไปจัดการเก็บใส่ขวดรักษาคุณภาพ
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846405.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การเก็บรังผึ้งแต่ละครั้งรังทั้งหมดจะถูกทำลายอย่างย่อยยับ การเก็บเอาประโยชน์จากผึ้งเหล่านี้ พรานผึ้งที่นี่ต่างรู้ดีว่าความคงยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากช่วยกันรักษา วิธีการเก็บจึงบรรจงใช้มีดปาดเอาแค่ “หัวน้ำผึ้ง” ที่อยู่บนรวงผึ้งเท่านั้น และเหลือไว้ส่วนหนึ่งพร้อมทั้งตัวอ่อน เพื่อให้พวกมันได้ซ่อมแซมรังและออกลูกออกหลานได้ต่อไป
       
       จึงไม่แปลกที่ต้นไม้ใหญ่แทบทุกต้นที่มีผึ้งป่ามาจับรัง เมื่อถึงฤดูกาลลูกหลานของผึ้งจะมาทำรังที่เดิมอย่างน่าเหลือเชื่อ ชาวชุมชนที่นี่จึงมีน้ำผึ้งป่าเก็บออกจำหน่ายได้ทุกปี
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846406.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       หลังจากได้รังผึ้งและรวงผึ้งมาแล้ว ขั้นตอนของการเก็บแยกเอาน้ำผึ้งจึงเริ่มขึ้น รวงผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งถูกแยกออกไว้เฉพาะ แล้วจึงทำการบีบคั้น ก่อนกรองเฉพาะน้ำผึ้ง แยกสิ่งที่ไม่ต้องการออก แล้วจึงบรรจุขวด ส่วนรังตัวอ่อนและไขผึ้ง พร้อมทั้งนมผึ้ง คือสารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าสูง และนับเป็นสมุนไพรชั้นดีเยี่ยมถูกเก็บไว้ต่างหาก
       
       ตัวอ่อนผึ้งมีกรรมวิธีการรับประทานตามแต่ถนัด บ้างรับประทานสดพร้อมกับน้ำผึ้ง หรือไปประกอบอาหารเพิ่มความเผ็ดร้อนตามพอใจ
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846407.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เฉลิม กาญจนพิทักษ์ ยังบอกอีกว่า ปีนี้เป็นปีทองของวงการผึ้งใน ต.ทอนหงส์ทีเดียว จากความแห้งแล้งยาวนานกว่าทุกปี ชาวบ้านได้จัดทีมเก็บน้ำผึ้งป่าที่มีเป็นจำนวนมากกว่า 20 ทีม เท่าที่สำรวจในขณะนี้มีการเก็บน้ำผึ้งได้แล้วมากกว่า 7 พันขวด จำหน่ายขวดละ 500-1,000 บาท สร้างรายได้ให้อย่างเป็นประวัติการณ์ ขณะนี้มีเม็ดเงินเข้ามาในพื้นที่แล้วกว่า 3.5-4 ล้านบาท
       
       “ที่สำคัญหลังจากฤดูแล้งแล้วจะมีช่วงที่ชาวบ้านออกหาน้ำผึ้งป่าอีกช่วงคือ เดือน 7-8 ช่วงนี้ในวงการน้ำผึ้งจะรู้ว่าเป็นน้ำผึ้งที่หายาก และมีคุณค่าสูงสำหรับสรรพคุณทางยาคือ ‘น้ำผึ้งขม’ ซึ่งจะเป็นน้ำผึ้งที่มีรสชาติขม อันเกิดจากผึ้งเก็บเอาเกสรดอกไม้และน้ำหวานจากดอกไม้ที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด และพืชที่เป็นสมุนไพรหลายอย่าง น้ำผึ้งประเภทนี้จะมีราคาสูงถึงขวดละกว่า 1 พันบาท และเป็นที่ต้องการสูงมากของตลาด” หัวหน้าทีมล่าผึ้งเล่าให้ฟัง
       

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005846408.JPEG)
“น้ำผึ้งป่า” คุณภาพเยี่ยม แต่หายากจากฝีมือ “พรานล่าผึ้ง” เมืองนครฯ
       
       เกรียงศักดิ์ รักษ์ศรีทอง นายอำเภอพรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ออกสำรวจความเป็นผู้ของชุมชนที่เขาดูแล และติดตามทีมพรานผึ้งไปดูถึงวิถีชีวิตคนกับป่าที่ผสมกันได้อย่างกลมกลืน เขาบอกว่าอำเภอได้มีการเก็บข้อมูลการหาน้ำผึ้งป่าของชาวบ้าน พบว่า ในฤดูกาลนี้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวสูงมาก ที่สำคัญได้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าพอใจ และต่างช่วยกันอนุรักษ์แบบพึ่งพาอาศัยกันจนมีความยั่งยืน
       
       ชาวบ้านต่างดูแลกันและกัน ระมัดระวังกันเองเรื่องคุณภาพของสินค้าที่หามาได้ ไม่มีการปลอมปน ทุกขวดที่บรรจุน้ำผึ้งป่าออกไปขายจะเป็นน้ำผึ้งแท้ทั้งหมด หากใครปลอมปนเจือปนออกมาเขาก็จะล้มละลายในอาชีพหาน้ำผึ้งไปเลย ขณะที่ทางราชการนั้นได้ช่วยส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน ชุมชนมีความสุข” นายอำเภอพรหมคีรีกล่าวทิ้งท้าย
       
       สนใจลองติดต่อไปยัง อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
       
       เรื่อง/ภาพโดย…กฤษณะ  ทิวัตถ์สิริกุล
       







หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 27, 2014, 11:15:29 pm
อยากรู้ไหม “ขนมครก” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร


-http://club.sanook.com/39675/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1-%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82/-

เชื่อว่าพวกเราทุกคนคงรู้จักและชื่นชอบ “ขนมครก” กันทุกคน เนื่องด้วยรสชาติที่อร่อย และหาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง จึงทำให้ขนมครกนั้นเป็นที่ชื่นชม และนิยมของคนทุกเพศทุกวัย แต่อยากรู้กันไหมคะว่า แท้จริงแล้วนั้นกว่าจะเป็นขนมครกได้ มีเส้นทางเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

 
(http://club.sanook.com/39675/)


ขนมครก เป็นขนมโบราณของไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งทำมาจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ  เวลาจะทำก็จะเทส่วนผสมลงบนเตาหลุม ซึ่งอาจจะเป็นเตาถ่าน หรือเตาแก๊สในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าขนมครกนั้นเป็นขนมของไทยที่มาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ขนมครกยังพบในประเทศต่างๆ เช่น พม่า ลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งชาวอินโดนีเซีย จะเรียกว่า “เซอราบี” (serabi)

มีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะมีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น ซึ่งแต่เดิมขนมครกใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และผสมเกลือเล็กน้อยใช้สำหรับทำเป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกจะเป็นหัวกะทิ  ขนมครกชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปอีก เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้นหอม

 

ข้อมูลอ้างอิง จาก Wikipedia
ภาพประกอบ จาก Thinkstockphotos
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 28, 2014, 07:23:22 pm
คลินิกเกษตร

-http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7-


ผักที่ไม่ควรบริโภคดิบๆ

ผักที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน มีบางชนิดที่ไม่ควรรับประทานดิบๆ ในปริมาณมาก  เพราะอาจจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงอย่างท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ บางชนิดหากรับประทานดิบๆ ไป ก็มีผลต่อร่างกายมากกว่าที่เรารู้

1. ผักตระกูลกะหล่ำปลี ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีดอก บร็อกโคลี เพราะผักชนิดนี้มีสารกอยโตรเจน ซึ่งไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ในการจับไอโอดีน

2. ถั่วฝักยาว ยิ่งเป็นถั่วฝักยาวดิบด้วยแล้วจะมีแก๊สค่อนข้างสูงโดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ท้องอืด

3.ถั่วงอก ที่หลายคนชอบใส่ในก๊วยเตี๋ยวหรือผัดไท ในถั่วงอกดิบมีสารพิษธรรมชาติชื่อ ไฟเตด ทำให้ขัดขวางการดูดซึมของสารบางชนิดได้

4. ผักโขม ไม่ควรกินดิบเพราะกรดในผักโขมจะขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก

5. หน่อไม้ มันสำปะหลัง มีสารไซยาไนด์สูง มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มึนงงได้ ผู้บริโภคควรนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหาร

คลิป ติดตามดูจากลิงค์ครับ

http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7 (http://ch3.sanook.com/10229/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 28, 2014, 07:26:25 pm
ตำถาดอันตราย เสี่ยงสารโลหะ สารเคมีปนเปื้อน

-http://club.sanook.com/40487/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82/-


นางสาวดวงกลม เชาวน์ศรีหมุด นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษโครงการเคมี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เก็บตัวอย่างถาด และภาชนะโลหะเคลือบ ที่นิยมนำมาใส่ ส้มตำ ทำเป็นจุดขายได้รับความสนใจจากประชาชน นิยมบริโภคกันมากในเวลานี้ มาทดลองทั้งหมด 30 ตัวอย่าง ด้วยการหยดกรดอะซิติก หรือกรดน้ำส้มสายชู แล้วแช่ไว้ในอุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง พบว่า ตัวอย่างเกือบทั้งหมด มีปริมาณสารแคดเมี่ยมเกินมาตรฐานกว่า 3 เท่า หากบริโภคมากจะมีอันตรายเฉียบพลัน คือปวดท้อง คลื่นไส้ มึนศีรษะ ถ้าสะสมในร่างกาย จะเป็นโรคอิไตอิไต ปวดกระดูก และมีผลต่อตับไตด้วย ถาดโลหะ หรือสังกะสี จึงไม่เหมาะใส่อาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มตำ จึงสุ่มเสี่ยงกินอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน แม้บางร้านจะเลี่ยงใช้ใบตองรอง แต่ส้มตำ มีน้ำปรุงรสเปรี้ยว เป็นกรดอยู่แล้ว ไม่ควรใช้กับถาด หรือจานชามพ่นสี


คลิปดูจากลิงค์ครับ

http://club.sanook.com/40487/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82/ (http://club.sanook.com/40487/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%82/)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 29, 2014, 08:17:38 am
ประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของแอปเปิ้ล



-http://club.sanook.com/34593/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C/-



เคยได้ยินประโยคที่ว่า apple every day doctor go away ไหมคะ นั่นหมายถึงว่า ทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องไปหาหมอนั่นเอง แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายเช่น วิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม โปแทสเซียม รวมถึงไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารด้วยค่ะ วันนี้จะพามาดูถึงข้อดีของการทานแอปเปิ้ลว่าเราได่ประโยชน์อะไรจากมันบ้าง

 

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/05/86527435.jpg)

 

1 . ป้องกันฟันผุ
การกัดผลแอปเปิ้ลจะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายในปาก ซึ่งเป็นผลดีต่อปากและฟัน รวมถึง และอาจช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้

2 . ส่งผลดีต่อระบบการย่อยอาหาร
แอปเปิ้ลถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เส้นใยที่อยู่ในแอปเปิ้ลจะช่วยดูดซับน้ำในลำไส้ และส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ทำให้หมดปัญหาจากอาการท้องเสีย หรือท้องผูก

3 . ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
มีงานวิจัยบางชิ้น กล่าวว่าความเข้มข้นของเส้นใยที่อยู่ในแอปเปิ้ลสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ หากทานเป็นประจำก็อาจมีโอกาสบรรเทาอาการจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

4 . ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์
บางงานวิจัยชี้ว่า การบริโภคแอปเปิ้ลเป็นประจำอาจช่วยขจัดปัญหาทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ ได้

5 . ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
มีการค้นพบว่าสารไตรเทอร์ปินอยด์ในผิวแอปเปิ้ลอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์กล่าวว่า สารนี้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

 

ข้อมูลจาก :: firstworldfacts.com
ภาพประกอบจาก :: Thinkstockphotos.com



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 29, 2014, 09:01:33 am
10 ผลไม้ให้วิตามินซีสูงปรี๊ด สกัดหวัด เสริมภูมิคุ้มกัน


-http://health.kapook.com/view91893.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Mix/vc_1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มีมากมายหลายชนิด ไม่ต้องเป็นผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดก็เติมเต็มวิตามินซีให้ร่างกายได้ ขอบอก !

          ฮัดชิ้ว ! เป็นหวัดอีกแล้ว สังเกตไหมคะพอเป็นหวัดทีไร จะมีคนบอกให้เราหาวิตามินซีมาทานมาก ๆ จะได้หายหวัดเร็ว ๆ แล้วยังช่วยป้องกันโรคหวัดที่อาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ด้วย ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่หาทานได้ง่ายที่สุดก็เห็นจะเป็นบรรดาผลไม้ทั้งหลายนี่แหละจ้า โดยร่างกายของคนเราต้องการวิตามินซีวันละประมาณ 60-90 มิลลิกรัม

          แต่เอ...เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองได้รับวิตามินซีเพียงพอหรือเปล่า แล้วควรจะทานผลไม้อะไรที่ให้วิตามินซีสูง ๆ แบบไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม ผลไม้เปรี้ยวจี๊ดจะให้วิตามินซีสูงกว่าผลไม้ทั่วไปหรือเปล่า กระปุกดอทคอม ขอชวนชิมลิ้มรส 10 ผลไม้วิตามินซีสูง ตามนี้เลย


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/makampom.jpg)

1. มะขามป้อม

          ที่เขาว่ากันว่ามะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ยืนยันมาว่า ในมะขามป้อมผลสด 100 กรัม จะมีวิตามินซีแฝงอยู่ถึง 276 มิลลิกรัม หรือถ้านำผลมะขามป้อมไปคั้นน้ำดื่มก็ยังมีวิตามินซีสูงกว่าน้ำส้มคั้นถึง 20 เท่า ด้วยสรรพคุณอย่างนี้ มะขามป้อมเลยมีฤทธิ์แก้หวัดได้ชะงัด แถมยังช่วยละลายเสมหะ แก้ไอได้ดีด้วย


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/ted.jpg)

2. มะขามเทศ

          นอกจากมะขามป้อมแล้ว มะขามเทศก็มีวิตามินซีสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของผลไม้ไทยเลยค่ะ และที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ มะขามเทศยังวิตามินอีด้วย ซึ่งปกติแล้ววิตามินอีมักไม่ค่อยพบในผลไม้เท่าไร แต่เมื่อเจ้ามะขามเทศมีทั้งวิตามินซีและอีมาประสานกัน ก็จะผนึกกำลังกันช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอีกต่างหาก หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย รีบหามะขามเทศมาทานได้เลย เพราะมะขามเทศมีเส้นใยมาก ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นแน่นอน


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/guava.jpg)

3. ฝรั่ง

          ถึงจะเป็นผลไม้รสฝาด แต่ขอบอกว่า ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากเหมือนกัน โดยในเนื้อฝรั่งสด 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลกลาง) จะมีวิตามินซีมากถึง 160 มิลลิกรัม ซึ่งเกินพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน อย่างไรก็ตาม อย่าปอกเปลือกเชียว เพราะวิตามินซีอยู่ที่เปลือกนี่ล่ะ และควรกินฝรั่งที่เจริญเต็มที่และยังเป็นสีเขียวอยู่ เพราะวิตามินซีที่ผิวและเนื้อของฝรั่งจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อผลสุกค่ะ
 

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/kiwi_1.jpg)

4. กีวี

          เนื้อสีเขียวสดใสแสนอร่อยของกีวีมีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยนะ โดยกีวี 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม หรือถ้าเป็นกีวี 2 ผล ก็จะให้วิตามินซีประมาณ 137 มิลลิกรัม แถมยังมีกากใยมาก อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ทองแดง และโฟเลต แคลอรี่ก็ต่ำอีกต่างหาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักนะ


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/lin.jpg)

5. ลิ้นจี่

          ผลไม้ฉ่ำน้ำรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ให้วิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัมเชียวนะ เลยมีสรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด ป้องกันโรคกระดูกและฟัน แก้ไอเรื้อรัง แก้คัดจมูกได้ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าอย่าทานมากเกินไป เพราะในเนื้อลิ้นจี่มีสารประกอบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการร้อนในได้เหมือนกัน



(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/papaya_1.jpg)

6. มะละกอสุก

          เนื้อมะละกอสุก 100 กรัม มีวิตามินซีราว ๆ 70 มิลลิกรัม จึงช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟันได้ นอกจากนั้น มะละกอยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยปราบอาการท้องผูกได้ชะงัด อ้อ ! แนะนำว่าเวลาปอกเปลือกไม่ควรปอกหนาจนเกินไปนะคะ เพราะที่บริเวณเปลือกและใต้ผิวเปลือกมีสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างยอดเยี่ยมสะสมอยู่ด้วย

 
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Berry/straw_1.jpg)

7. สตรอว์เบอร์รี

          ผลไม้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ เพียงกินแค่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัมเลยเชียว และสีแดงสดของสตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ดับกลิ่นปาก ขัดฟันให้ขาวด้วย แจ่มมาก


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/rambu1.jpg)

8. เงาะ

          ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่า "เงาะ" ก็มีวิตามินซีเหมือนกัน แต่ขอบอกให้รู้ค่ะว่า เงาะ 100 กรัม จะให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัม ซึ่งสรรพคุณของเงาะก็เลิศไม่น้อย ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปากได้ แก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทานเงาะมากเกินไปนะ เพราะเงาะมีสารแทนนินสูง กินมากไปอาจปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เหมือนกัน และไม่ควรรับประทานเม็ดด้วยค่ะ เพราะเม็ดของเงาะมีพิษ กินแล้วอาจคลื่นไส้อาเจียนได้


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/pomelo.jpg)

9. ส้มโอ

          ส้มโออร่อย ๆ ที่กินเป็นผลไม้ก็ได้ นำไปทำกับข้าวอย่าง ยำ สลัด ส้มตำก็อร่อย ให้วิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กินแล้วช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง พูดไปก็ชักเปรี้ยวปากอยากทานส้มโอซะแล้ว


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/jujube.jpg)


10. พุทรา

          ปิดท้ายที่ผลไม้ไทย ๆ อย่าง พุทรา รสชาติฝาด ๆ เปรี้ยว ๆ นี่แหละให้วิตามินซีพอ ๆ กับส้มโอเลย สรรพคุณสุดเด็ดของพุทรานอกจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านสารอนุมูลอิสระแล้ว ในพุทรายังมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น แถมกินแล้วอิ่มเร็วด้วย และมีการวิจัยพบว่า พุทรามีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ป้องกันอาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว และช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับด้วยนะ

          และก็ไม่ใช่แค่ผลไม้เท่าที่เห็นนะคะ ยังมีผักผลไม้อีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างคาดไม่ถึง อย่าง มะรุม มีวิตามินซีสูงถึง 272 มิลลิกรัม พริกหวาน พริกแดง บรอกโคลี ก็ให้วิตามินซีหลักร้อยมิลลิกรัมเช่นกัน

          รู้แล้วก็ทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีกันให้มาก ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ เพราะวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย คุณประโยชน์ดี ๆ แบบนี้หาได้จากธรรมชาติ ไม่เห็นต้องพึ่งอาหารเสริมเลยเนอะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 03:31:32 pm
เผยที่มา′สะระแหน่′ผักต่างแดนโอนสัญชาติเปลี่ยนชื่อเป็นไทย ใครเคยรู้บ้าง

-http://campus.sanook.com/1371941/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-



(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1371941/14040884251404088455l.jpg)


ในบรรดาผักชนิดต่างๆ ที่ชาวไทยรู้จักและคุ้นเคยอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น มีอยู่หลายชนิดที่คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าเป็นผักพื้นบ้านดั้งเดิมและมีกำเนิดอยู่ในประเทศไทยแต่ความจริงเป็นผักที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนานมาแล้วบ้างหรือเพิ่งนำเข้ามาไม่นานนักบ้างแต่การนำเข้ามานั้นกระทำอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ผักบางชนิดได้รับการตั้งชื่อที่บ่งบอกว่ามาจากต่างประเทศ เช่น มะเขือเทศและผักโขมจีน เป็นต้น แต่ยังมีผักจากต่างประเทศอีกหลายชนิดไม่มีชื่อบ่งบอกว่ามาจากต่างแดน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กระเทียม เป็นต้น รวมทั้งผักที่นิยมปลูกเป็นสวนครัวด้วย เช่น ผักที่คนไทยเรียกว่า สะระแหน่

สะระแหน่ : ชื่อไทยของผักจากต่างแดน

จากคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรี จันทรสถิต ผ่าน ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา บอกว่า สะระแหน่ถูกนำเข้ามาในเมืองไทยช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๓) โดยชาวอิตาเลียนชื่อนายสะระนี สันนิษฐานว่าชื่อสะระแหน่มาจากชื่อนายสะระนีนั่นเอง

ประวัติสะระแหน่ตามคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรีจันทรสถิตดังกล่าวนี้ น่าจะใกล้เคียงความจริงมากพอสมควรเพราะเมื่อตรวจดูหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ.๒๔๑๖ ของหมอปลัดเล ซึ่งเป็นช่วงรัชกาลที่ ๔ ปรากฏว่าไม่พบชื่อสะระแหน่เลยแสดงว่าขณะนั้น (๒๔๑๖) สะระแหน่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งอาจเป็นเพราะสะระแหน่ยังไม่เข้ามาในเมืองไทยหรือเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เป็นได้

สะระแหน่เป็นพืชในวงศ์Labiataeเช่นเดียวกับ กะเพรา โหระพา และแมงลักแต่อยู่ในสกุล (Genus) มินต์ (Mint) ซึ่งมีอยู่หลายชนิดและเป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่นเพราะเป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง

สะระแหน่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่ชัด เดิมใช้ว่า Mentha aruensis Linn แต่ผู้รู้บางท่านแย้งว่า M.aruensis เป็นชื่อของมินต์ญี่ปุ่นที่แตกต่างจากสะระแหน่มาก ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ชื่อ Mentha cordifolia Opis บ้างก็ใช้ Mentha virdis, Mentha spicata var crispa, Mentha crispa และ Mentha candifolia varcrispa เป็นต้น ในบรรดาชื่อเหล่านี้ผู้เขียนไม่สามารถตัดสินได้ว่าชื่อใดเป็นชื่อที่แท้จริงของสะระแหน่ ดังนั้นหากผู้อ่านท่านใดทราบก็ขอได้แจ้งมาให้ผู้เขียนรู้บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานและเผยแพร่สู่ผู้อ่านท่านอื่นต่อไป

สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก ไม่มีขน ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว ปกติสะระแหน่ในประเทศไทยไม่ค่อยออกดอก แต่เราสามารถกระตุ้นให้ออกดอกได้โดยเปิดไฟให้สะระแหน่ได้รับแสงวันละไม่ต่ำกว่า ๑๖ ชั่วโมง ติดต่อกันประมาณ ๓๐ วัน

ชื่อภาษาอังกฤษของสะระแหน่ คือ Kitchen Mint ภาษาไทยภาคกลาง คือ สะระแหน่ หรือสะระแหน่สวน ภาคเหนือและอีสานเรียก หอมค่อน ส่วนภาคใต้เรียก สะแน่

สะระแหน่เป็นพืชขนาดเล็กที่มีรูปทรงและสีสันงดงาม แปลกตาและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงใช้เป็นไม้ประดับได้ดี ไม่ว่าจะปลูกในกระถางหรือปลูกเป็นแปลงประดับสวนหย่อม นอกจากนี้ยังปลูกเป็นไม้แขวนได้ดี เพราะมีกิ่งที่ทั้งดั้งขึ้นและห้อยลง ปรับตัวเข้ากับสภาพแสงได้ ทั้งกลางแจ้งและร่มรำไร มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับสะระแหน่ที่ยังไม่ทราบความเป็นมาคือ คนไทยมักมีคำพูดล้อเลียนเจ้าของรถยนต์เก่าที่มีสภาพทรุดโทรมหรือผุพังว่า น่าจะนำรถยนต์คันนั้นไปใช้ปลูกสะระแหน่ ผู้เขียนยังนึกไม่ออกว่า ทำไมจะต้องนำไปปลูกสะระแหน่โดยเฉพาะ หรือว่ามีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถเก่าสำหรับปลูกสะระแหน่ ฯลฯ ผู้เขียนได้ยินคำกล่าวนี้มานานแล้ว และปัจจุบันก็ยังได้ยินอยู่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์เก่าๆ) ก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน หากผู้อ่านท่านใดทราบความเป็นมาของเรื่องนี้แล้วช่วยบอกมาเป็นวิทยาทานอีกเรื่องหนึ่ง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

มีความเชื่อที่ไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับสะระแหน่บางประการในหมู่ชาวไทยเช่นเชื่อว่าสะระแหน่เป็นพืชปลูกยากบ้าง สะระแหน่ไม่ชอบผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนบ้าง ความจริงสะระแหน่พันธุ์ที่ปลูกกันอยู่นี้เข้ามาอยู่เมืองไทยกว่าร้อยปีแล้ว จึงปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศเมืองไทยได้ดีพอสมควร หากผู้ปลูกเข้าใจธรรมชาติหรือนิสัยของสะระแหน่แล้วจะปลูกสะระแหน่ให้งามได้ไม่ยากเลย สำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนนั้นก็มิได้เป็นอันตรายต่อสะระแหน่แต่อย่างใด ในขณะเดียวกับผู้ชาย (ที่มี่ประจำเดือน)ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะปลูกสะระแหน่ได้ดีกว่าผู้หญิงเลย แม้สะระแหน่จะได้ชื่อมาจากผู้ชาย (ฝรั่ง) ก็ตาม

สะระแหน่ในฐานะผักไทย

คนไทยรู้จักสะระแหน่ในฐานะเครื่องปรุงกลิ่นอาหารมากกว่าในฐานะผักโดยตรงเพราะสะระแหน่มีกลิ่นรสฉุนเผ็ดกว่าผักทั่วไปจึงใช้กินเป็นผักโดยตรงไม่มากเท่าการใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นหรือเพิ่มรสชาติของอาหารรสจัดที่เรียกกันว่าอาหารรสแซ่บอาหารที่ใช้สะระแหน่กินเป็นผักโดยตรงที่นิยมกันดีก็มีเพียงใช้เป็นผักแกล้มลาบและกินกับขนมจีนน้ำยา ปลาร้าเท่านั้น ส่วนการใช้ปรุงกลิ่นรสอาหารหรือดับกลิ่นคาวนั้นใช้กันมาก เช่น ดับกลิ่นคาวเนื้อหรือปลา กับข้าวจำพวกยำต่างๆ เช่น ยำกบย่าง ยำสามสหาย ยำหอยแครง ยำหอยแมลงภู่ ยำปลากระป๋อง ยำหนังหมู ยำไก่ย่าง ยำไข่ต้ม ยำผ้าขี้ริ้ว ยำเนื้อมะเขือเปราะ ยำแหนม ฯลฯ ลาบต่างๆ เช่น ลาบหมู ลาบเลือดเป็ด ลาบปลาดุก ลาบเลือด (ซกเล็ก) เป็นต้น จำพวกซุป เช่น ซุปมะเขือ ซุปขนุนอ่อน ซุปหน่อไม้ นอกจากนี้ยังมี พล่ากุ้ง เมี่ยงสด น้ำพริกมะเขือยาว และ ไก่ต้มยำ ฯลฯ

สมุนไพร

แม้สะระแหน่จะเพิ่งเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่ถึง ๒๐๐ ปี แต่แพทย์แผนไทย (บางท่านเรียกแพทย์แผนโบราณ) ที่นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม ฯลฯ

นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า สะระแหน่มีตัวยาบีบมดลูก อาจช่วยให้พัฒนายาทำแท้งจากพืชสำหรับมนุษย์ได้ในอนาคต

ประโยชน์ด้านอื่นๆ

สะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับมินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าของวิทยาการ และความนิยมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 04:10:42 pm
เตือนอย่ากินเห็ดดอกตูม แยกยากมี-ไม่มีพิษ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กรกฎาคม 2557 13:54 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000073950-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000007640701.JPEG)

  เตือนอย่ากินเห็ดช่วงดอกตูม สธ.ชี้แยกยากว่าเป็นเห็ดมีพิษหรือไม่มีพิษ เหตุลักษณะคล้ายกัน สอดคล้องสถิติผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษ เพราะกินช่วงยังเป็นดอกตูม

เตือนอย่ากินเห็ดดอกตูม แยกยากมี-ไม่มีพิษ
        นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนยังคงมีปัญหาประชาชนเก็บเห็ดพิษมากิน จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งพบได้ทุกปี โดยข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 23 มิ.ย. พบผู้ป่วยจากการกินเห็ดพิษ 214 ราย จาก 40 จังหวัด เสียชีวิต 3 ราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รองลงมาคือรับจ้าง และนักเรียน จึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เร่งให้ให้ความรู้ประชาชน
       
        นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า เห็ดที่มีพิษรุนแรงที่สุดและเป็นเหตุให้เสียชีวิตบ่อยที่สุดคือเห็ดระโงกหิน และเห็ดไข่ตายซาก จะมีสารพิษ 2 ชนิดคือ อะมาท็อกซินส์ (Amatoxins)และฟาโลท็อกซินส์ (Phallotoxins) ทำลายระบบทางเดินอาหาร ตับ ไต สมอง ระบบเลือด ระบบหายใจ ทำให้เสียชีวิตได้ใน 4-10 ชั่วโมง สารพิษในเห็ดทนความร้อนได้ดี ดังนั้น แม้เห็ดจะสุกแล้ว แต่ความเป็นพิษก็ยังสูง จะมีอาการหลังรับประทานประมาณ 3 ชั่วโมง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หัวใจเต้นเร็ว ปวดเกร็งในท้อง ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ อย่ากินเห็ดพร้อมกับดื่มสุรา เนื่องจากเห็ดบางชนิดจะเกิดพิษทันที และ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะเป็นตัวนำทางให้พิษแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้น และอย่ากินเห็ดป่าที่ดอกยังตูมๆ หรือเรียกว่าเห็ดอ่อน เนื่องจากจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเห็ดพิษหรือไม่มีพิษ เพราะลักษณะดอกภายนอกจะเหมือนกัน ซึ่งจากการสอบสวนผู้ป่วยที่เมาเห็ดพิษ พบว่าส่วนใหญ่จะนิยมกินเห็ดดอกตูม เพราะรสชาติดีกว่าเห็ดบาน
       
        นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า เห็ดป่า เป็นอาหารที่มีคุณค่าเช่นโปรตีน หากจะให้ได้ทั้งคุณค่าอาหารและความปลอดภัย ขอแนะนำประชาชนยึดหลัก ดังนี้ 1.ควรกินเฉพาะเห็ดที่แน่ใจและเพาะได้ทั่วไป อย่ากินเห็ดที่สงสัย ไม่รู้จัก และไม่แน่ใจ เช่น เห็ดที่ขึ้นที่มูลสัตว์หรือใกล้มูลสัตว์ 2.ไม่ควรซื้อหาเห็ดป่าที่ไม่รู้จักมาปรุงอาหารกิน 3.ขอให้จดจำลักษณะเห็ดพิษที่สังเกตง่าย ได้แก่ มีสีเข้มจัด เช่น แดง ส้ม ดำ หรือมีสีฉูดฉาด มีแผ่นหรือเกล็ดขรุขระบนหมวกเห็ด มีขนหรือหนามเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป และมีกลิ่นเหม็นเอียน และ 4.การเก็บเห็ดที่มีรอยแมลงกัดกิน ไม่ได้แสดงว่าเห็ดนั้นปลอดภัย
       
        "เห็ดระโงกพิษรูปร่างจะคล้ายเห็ดระโงกที่กินได้ แต่มีข้อแตกต่างคือ เห็ดระโงกพิษ จะมีก้านสูง กลางดอกหมวกจะนูนเล็กน้อย มีกลิ่นเอียนและค่อนข้างแรง ช่วงที่เสี่ยงอันตรายที่สุดคือช่วงที่เห็ดยังดอกตูมหรือกำลังเป็นไข่ ซึ่งชาวบ้านนิยมบริโภค ในพื้นที่ที่เคยมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตจากเห็ดพิษ ขอให้ประชาชนตระหนักว่ามีเห็ดพิษชนิดรุนแรงอยู่ในพื้นที่ เพราะในช่วงฤดูฝนเห็ดสามารถเจริญเติบโตซ้ำได้ทุกๆ ปี" อธิบดี คร. กล่าว
       
        นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า สำหรับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ใช้ในการทดสอบเห็ดพิษหลายวิธีเช่น การต้มกับข้าวสาร หรือต้มกับช้อนเงิน แล้วเปลี่ยนสี ไม่สามารถนํามาใช้กับเห็ดพิษได้ โดยเฉพาะกลุ่มเห็ดระโงกพิษ ทั้งนี้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษ หลักการสำคัญที่สุด จะต้องทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เอาเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการแพร่กระจายพิษ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกง 3 ช้อนชา แล้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียนโดยเร็วที่สุด แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเด็กต่ำกว่า 5ขวบ จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล พร้อมกับนำตัวอย่างเห็ดพิษ หากยังเหลืออยู่ ไปให้แพทย์ดูด้วย





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2014, 09:08:41 pm
บอน : ผักพื้นบ้านที่มาพร้อมกับความคัน


-http://campus.sanook.com/1372045/%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%99/-


เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน

(http://p4.isanook.com/ca/0/ud/274/1372045/14042638791404263908l.jpg)

ข้อความที่ยกมาข้างต้นมีเป็นสำนวนไทยโบราณ ใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไปได้รวดเร็ว คล้ายหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอน สำนวนนี้พ่อเพลงพื้นบ้านมักนำมาใช้โต้คารมกับแม่เพลงฝ่ายตรงข้าม โดยเปรียบว่า "น้ำใจหญิง เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน" เป็นต้น

การที่ชาวไทยในอดีตนำเอาลักษณะหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอน มาใช้เป็นสำนวนคงเป็นเพราะบอนเป็นพืชพื้นบ้านที่พบเห็นขึ้นอยู่เองตามธรรมชาติทั่วไปในเขตลุ่มน้ำ บอนมีขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำ จึงมีโอกาสที่น้ำจะขังอยู่บนใบบอนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากแหล่งน้ำที่บอนขึ้นอยู่ (แม่น้ำลำคลอง หนอง บึง ฯลฯ) หรือน้ำจากแหล่งอื่น เช่นน้ำฝน หรือน้ำค้างก็ตาม

เนื่องจากใบบอนมีขนาดใหญ่ และมีแอ่งตรงกลางใบทำให้รองรับหยดน้ำเอาไว้ได้ แต่ใบบอนมีลักษณะพิเศษคือไม่ดูดซับน้ำ ดังนั้นหยดน้ำบนใบบอนจึงรวมตัวกันเป็นก้อนอิสระพร้อมที่จะเคลื่อนไหวได้ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ประกอบกับใบบอนนั้นตั้งอยู่บนก้านใบที่ยาวมาก เมื่อมีแรงมากระทบเพียงเล็กน้อย (เช่นแรงลม) ก็ทำให้ใบบอนเคลื่อนไหวทันที หยดน้ำบนใบบอนก็จะเคลื่อนไหวไปด้วยในลักษณะที่เรียกว่า "กลิ้ง" นั่นเอง จึงทำให้หยดน้ำบนใบบอนกลิ้งอยู่เสมอ อาจมีการหยุดนิ่งอยู่บ้าง เพียงช่วงสั้น ๆ ก็จะกลิ้งอีก ลักษณะของหยดน้ำ กลิ้งบนใบบอนจึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนไทยโบราณดังกล่าว

การนำบอนมาเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนที่เข้าใจกันทั่วไปนั้น แสดงให้เห็นว่าบอนเป็นพืชที่ชาวไทย
(ในอดีต)รู้จักเป็นอย่างดี


บอน : ผักพื้นบ้านดั้งเดิมของชาวไทย

บอนเป็นชื่อของพืชที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Colocasia esculenta ( Linn. ) Schott อยู่ในวงศ์ Araceae เช่นเดียวกับเผือก ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน ก้านใบยาวชูสูงขึ้นจากดิน ใบขนาดใหญ่คล้ายรูปหัวใจ หรือหัวลูกศร ก้านใบมีโครงสร้างโปร่งเบาคล้ายก้านใบผักตบ หากหักก้านใบจะมียางไหลออกมา ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่บนช่อดอกเดียวกัน ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบเลี้ยงหุ้มช่อดอกเอาไว้

บอนเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบลุ่มของเอเชียอาคเนย์ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ของประเทศไทยด้วย บอนจึงเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของชาวไทยอย่างแท้จริง เนื่องจากรู้จักคุ้นเคยกันมายาวนาน จึงทำให้ชาวไทยนำบอนมาใช้ประโยชน์ได้หลายประการ รวมทั้งการใช้เป็นสำนวนไทยด้วย

ประโยชน์หลักของบอนที่ชาวไทยรู้จักดีที่สุดคือใช้เป็นผัก แต่บอนเป็นผักที่มีความพิเศษในตัวเอง เพราะต้องการความชำนาญในการปรุงอย่างถูกต้องจึงจะกินได้โดยไม่มีผลข้างเคียง เนื่องจากบอนมีคุณสม-บัติ( หรือโทษสมบัติ ) เด่นอย่างหนึ่งคือความคัน หากนำมาปรุงอาหารโดยปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว ผู้ที่กินจะเกิดอาการคันปากคันคอ และผู้ปรุงอาหารจากบอนเองก็จะคันมือด้วย

อาการคันปากคันมือที่เกิดจากบอนนี้ คงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ชาวไทยโบราณ จึงเกิดสำนวนอีกสองสำนวนเกี่ยวกับบอน นั่นคือ ปากบอนและมือบอน นับเป็นสำนวนที่แพร่หลายและรู้จักกันดีที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปี พ.ศ. 2493 อธิบายว่า "...อาการที่ปากหรือมืออยู่ไม่สุข เรียกว่า ปากบอนหรือมือบอน..." อาการดังกล่าวนี้ยังคงพบเห็นอยู่ได้ ทั่วไปในที่สาธารณะและสื่อมวลชน

แม่ครัว ( พ่อครัว ) ที่มีความชำนาญในการปรุงบอน จะมีวิธีทำให้บอนหายคันอยู่หลายวิธี เช่น ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ปี พ.ศ. 2416 ของหมอบรัดเลย์ กล่าวถึงบอนไว้ว่า "กินดิบคันปาก ทำให้สุกกับไฟแล้วกินไม่คัน" การใช้ความร้อนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กัน เช่น นำมาต้มเคี่ยวเป็นเวลานานพอสมควร

นอกจากนี้ยังนำมาดองโดยขยำกับเกลือให้ยางบอนออกมากที่สุด หรือใส่ของที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น แต่ต้องต้มเคี่ยวด้วย หากเป็นแม่ครัวสมัยใหม่ก็อาจใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตได้ เพราะสารที่ทำให้บอนมีฤทธิ์คันก็คือ แคลเซียม อ็อกซาเลท (Calcium oxalate) ซึ่งเป็นผลึกรูปเข็ม ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเยื่ออ่อน เช่น เยื่อบุช่องปากและในลำคอ เป็นต้น การต้มเคี่ยวและใช้สารต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วจะช่วยให้ผลึกแตกหักมีความแหลมน้อยลง จึงลดความดันได้ นอกจากนี้ แม่ครัวสมัยก่อนยังถือเคล็ดด้วยว่า ระหว่างการปรุงอาหารด้วยบอนอยู่นั้น ห้ามใครเอ่ยถึงคำที่เกี่ยวข้องกับความคันอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการคันขึ้นมาจริง ๆ ทั้งผู้ปรุงและผู้กิน

ส่วนของบอนที่นิยมนำมาเป็นผักก็คือ ก้านใบ โดยลอกเอาเปลือกที่หุ้มอยู่ออกเสียก่อน ตำรับอาหารยอดนิยมจากบอนก็คือ แกงบอน ซึ่งมีรสออกไปทางหวาน นับเป็นแกงที่แพร่หลายที่สุดอย่างหนึ่งในหมู่ชาวไทยภาคกลาง นอกจากนี้ก้านบอนยังนำมาดองได้อีกด้วย

ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของบอน

บอนเป็นพืชที่มีลักษณะการขึ้นอยู่ในพื้นที่คล้ายกับผักตบนั่นคือในที่ขึ้นหรือบริเวณน้ำตื้นที่มีโคลนเลน แต่เนื่องจากบอนมีก้านใบยาวกว่าผักตบ จึงขึ้นได้ในบริเวณน้ำลึกกว่าผักตบ หนังสืออักขราภิธานศรับท์อธิบายถึงลักษณะดังกล่าวไว้ว่า "...บอนเป็นต้นผักอย่างหนึ่ง เกิดที่โคลน มีน้ำลึกคืบหนึ่งบ้าง ศอกหนึ่งบ้าง..." เนื่องจากบอนขึ้นได้ในน้ำลึกกว่าผักตบ จึงครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่า ในหนองบึงบางแห่งที่มีน้ำไม่ลึกนัก จึงอาจมีบอนขึ้นอยู่เต็มทั้งพื้นที่ เช่นในจังหวัดสุพรรณบุรีมีบึงที่มีบอนขึ้นอยู่เต็ม ทำให้ชาวบ้านนับร้อยครอบครัวมีรายได้จากการตัดก้านบอนมาลอกเปลือกออกแล้วตากแห้ง ส่งขายเป็นสินค้าออกอย่างหนึ่ง มีรายได้ปีละนับล้านบาท และบอนยังช่วยรักษาชายฝั่ง แม่น้ำลำคลอง มิให้ถูกเซาะจากคลื่นอีกด้วย

ใบของบอนมีคุณสมบัติพิเศษ คือไม่เปียกน้ำ เพราะมีขี้ผึ้งเคลือบอยู่บนผิว จึงนำมาใช้ประโยชน์ด้านห่อของได้ เช่น ใช้ห่อข้าวหมาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ตักน้ำดื่มยามไม่มีภาชนะ (เช่น แก้วน้ำ) ดังปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนตัดพ้อนางพิม อันเป็นบทกลอนที่ไพเราะและมีเนื้อหากินใจอย่างยิ่ง คือ

"เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ เด็ดใบบอนช้อนน้ำในไร่ฝ้ายพี่กินหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน"

คุณสมบัติด้านสมุนไพรของบอนนั้นมีน้อยกว่าผักชนิดอื่น แต่มีหมอพื้นบ้านบางท้องถิ่น นำลำต้นใต้ดินของบอน ( หัว,เหง้า ) เป็นส่วนประกอบของยาพอกหัวฝีตะมอย

ในประเทศไทยมีพืชที่ชื่อบอนอยู่หลายชนิด เช่น บอนเขียว บอนส้ม และบอนสี เป็นต้น แต่หากเปรียบเทียบประโยชน์ด้านนำมาเป็นผักแล้ว บอนที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด แม้ว่าแนวโน้มของคนไทยสมัยใหม่จะรู้จักบอนน้อยลงก็ตาม แต่เชื่อว่าความเป็นผักพื้นบ้านดั้งเดิมที่มีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คงจะทำให้บอนยังคงเป็นผักคู่คนไทยต่อไปนานเท่านาน

ที่มา facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2014, 10:30:27 am
ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-


 ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 07, 2014, 09:48:24 pm
พบอุบายใหม่โยนทรายร้อนให้ผักเป็นรู ตบตาเป็นผักปลอดสาร

-http://hilight.kapook.com/view/104747-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/capture/jYzAyRnao5c-1.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้

          เตือนผู้บริโภคล้างผักปลอดสารพิษให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำส้มสายชู ก่อนนำไปประกอบอาหาร หลังตรวจพบมีเกษตรกรใช้อุบายทำใบผักเป็นรู ตบตาเป็นผักปลอดสารพิษ

          วันนี้ (7 กรกฎาคม 2557) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 นำเสนอข่าวเตือนภัยผู้บริโภค ระบุว่า ล่าสุด คุณหมอจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ บ้านศรีหมวดเกล้า ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง พร้อมด้วยนักวิชาการสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคที่นิยมรับประทานผักปลอดสารพิษนั้น ไม่สามารถเลือกบริโภคผักที่มีรู เพราะเชื่อว่าเป็นผักปลอดสารพิษได้แล้ว เนื่องจากมีการตรวจพบว่า มีเกษตรกรบางกลุ่มได้ใช้อุบายทำใบผักให้เป็นรู เพื่อตบตาผู้บริโภคว่าผักดังกล่าวเป็นผักปลอดสารพิษ ด้วยการใช้ทรายร้อนโปรยใส่ใบผักเพื่อให้เกิดรู ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ผู้บริโภคนำผักที่ซื้อจากตลาด มาล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำส้มสายชูก่อน เพราะการล้างผักด้วยน้ำเกลือหรือน้ำส้มสายชู  จะช่วยสามารถลดสารพิษตกค้างได้ 60-80%


เรื่องเล่าเช้านี้ พบเกษตรกรใช้อุบายทำใบผักเป็นรู ตบตาเป็นผักปลอดสารพิษ ( 7 ก.ค.57 ) (http://www.youtube.com/watch?v=jYzAyRnao5c#ws)
-http://www.youtube.com/watch?v=jYzAyRnao5c-
เรื่องเล่าเช้านี้ พบเกษตรกรใช้อุบายทำใบผักเป็นรู ตบตาเป็นผักปลอดสารพิษ ( 7 ก.ค.57 )
คลิป เรื่องเล่าเช้านี้ พบเกษตรกรใช้อุบายทำใบผักเป็นรู ตบตาเป็นผักปลอดสารพิษ ( 7 ก.ค.57 ) เครดิตรายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดยคุณ เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 09:40:05 am
ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร



-http://guru.sanook.com/27225/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3/-



หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ

แหล่งที่มา :ThaifoodDB


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 10:23:23 am
แก่นขนุน

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/251393/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/755356.jpeg)

เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า “ส่า” มักออกตามปลายกิ่ง
วันศุกร์ 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ขนุนเป็นไม้ต้น ขนาดใหญ่ ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า “ส่า” มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม การออกดอก จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม- มกราคม และเมษายน-พฤษภาคม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่ คนไทยเมื่ออดีตจะใช้แก่นของขนุนมาต้มน้ำเพื่อย้อมผ้าซึ่งให้สีน้ำตาลแก่ และนำมาเป็นส่วนผสมในสมุนไพรไทยโดยนำแก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุดซึ่งมีรสหวานชุ่มขม ใช้บำรุงกำลังและโลหิต ทำให้เลือดเย็น. 


--------------------------------------------------------------------

หอยกาบน้ำจืด - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/250592/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/751507.jpeg)

มีรูปร่างและขนาดตัวต่าง ๆกัน มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย อาทิ เนื้อหอย ประชาชนบางกลุ่มนำมาปรุงเป็นอาหาร เปลือกหอย เมื่อขัดผิวนอกออกจะมีความมันวาว
วันอังคาร 8 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

หอยกาบน้ำจืด (Bivalve)  เป็นกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกจำนวนมาก และมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี จึงพบแพร่กระจายได้ทั่วไป มีรูปร่างและขนาดตัวต่าง ๆกัน มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย อาทิ เนื้อหอย ประชาชนบางกลุ่มนำมาปรุงเป็นอาหาร เปลือกหอย เมื่อขัดผิวนอกออกจะมีความมันวาว ซึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ หอยบางชนิด นำมาใช้ในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงไข่มุกแทนหอยมุกทะเล เปลือกหอยบางชนิดนำมาเข้าเป็นเครื่องยา (ข้อมูลจากกรมประมง).


---------------------------------------------------------------------

หอยเชอรี่ - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/250874/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/752754.jpeg)

พบระบาดมากในนาข้าวทั่วประเทศ โดยเฉพาะนาข้าวที่มีน้ำขัง หอยเชอรี่นอกจากจะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี
วันพุธ 9 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

หอยเชอรี่เป็นศัตรูสำคัญของข้าวในระยะหลังหว่าน ชอบกัดกินต้นข้าวอ่อน ๆ ระยะกล้าจนถึงแตกกอในช่วงเช้าและเย็น โดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำสูงเหนือระดับโคนต้นและกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น พบระบาดมากในนาข้าวทั่วประเทศ โดยเฉพาะนาข้าวที่มีน้ำขัง หอยเชอรี่นอกจากจะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี โดยจะหมกตัวมีชีวิตอยู่ในพื้นนาได้นานตลอดฤดูแล้ง และยังลอยตัวไปตามน้ำไหลได้อีก  สถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร คือเป็นแหล่งของวิตามินเอ บีหนึ่ง (ไทอามิน) บีสอง (ไรโบฟลาวิน) บีสาม (ไนอาซิน) ซี (กรดแอสคอร์บิค) และดี (แคลซิฟีรอล)(ข้อมูลจากจากวิกิพีเดีย, กรมพัฒนาที่ดิน).


---------------------------------------------------------------------

ครั่ง

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/251138/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/753987.jpeg)

ส่วนการแยกครั่งบริสุทธิ์ออกนั้น ก็ทำโดยเอาครั่งใส่ถุงผ้า แล้วใช้ความร้อนอบให้ละลาย คั้นเอาครั่งบริสุทธิ์ออกมา วิธีนี้ในปัจจุบันยังใช้ในการทำอุตสาหกรรมเชลแล็ก
วันพฤหัสบดี 10 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

มีการนำครั่งมาใช้ประโยชน์ และเป็นสินค้าซื้อขายกันมานานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว โดยการนำมาใช้ประโยชน์ในงานศิลปกรรม และงานช่างฝีมือ ต่อมามีการนำครั่งมาเลี้ยงแล้วค้นคว้าวิธีแยกสีจากครั่งมาใช้ในการทอผ้า การทาสี การทำพรมปูพื้น การช่างไม้ และช่างโลหะ ในการแยกสีจากครั่งนั้นก็ใช้วิธี เอาครั่งดิบไปแช่ไว้ในน้ำ เพื่อให้สีละลาย

ส่วนการแยกครั่งบริสุทธิ์ออกนั้น ก็ทำโดยเอาครั่งใส่ถุงผ้า แล้วใช้ความร้อนอบให้ละลาย คั้นเอาครั่งบริสุทธิ์ออกมา วิธีนี้ในปัจจุบันยังใช้ในการทำอุตสาหกรรมเชลแล็ก โดยนำเชลแล็กผสมกับผงทราย ใช้ทำหินเจียระไนเครื่องประดับและใช้เป็นครั่งประทับตราในการห่อพัสดุ เป็นครั่งหรือผนึกต่าง ๆ เป็นต้น.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 10:31:05 am
งาดำ ของดีๆที่จิ๋ว..แต่เจ๋ง!


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/251540/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3+%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8B%E0%B8%A7..%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%8B%E0%B8%87!-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/756141.jpeg)


หากจะเอ่ยถึงวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารที่แสนจะมีประโยชน์ หนึ่งในวัตถุดิบจะต้องมี “งาดำ”
วันศุกร์ 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 09:17 น.

หากจะเอ่ยถึงวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารที่แสนจะมีประโยชน์ หนึ่งในวัตถุดิบจะต้องมี “งาดำ” ติดอยู่ในลิสท์ด้วยแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหวาน อาหารคาว ขนมไทย และต่างประเทศ ย่อมต้องมีเจ้างาดำเป็นส่วนประกอบอยู่หลายชนิด ทราบกันไหมว่า งาดำนี้มีประโยชน์มากมาย ที่คุณผู้อ่านอ่านแล้วจะต้องเลือกทานอาหารที่มีงาดำอยู่ในครั้งถัด ๆ ไป เป็นแน่ มาดูกันว่า เจ้างาดำเมล็ดจิ๋วนี้ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

งาดำ พืชเมล็ดเล็ก ๆ แต่มีคุณประโยชน์มหาศาลจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช” โดยสารสำคัญในงาดำมีชื่อว่า “เซซามิน” ส่วนจะมีสรรพคุณอะไรบ้าง รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษาและอาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ สารสกัดงาดำ “เซซามิน” กล่าวว่าเรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากงามากว่า 4,000 ปีแล้วการทำวิจัยเรื่องนี้ก็เพราะอยากใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์องค์ความรู้ตั้งแต่โบราณ เช่น สรรพคุณในการผสาน หรือต่อกระดูกดูแลเกี่ยวกับความดันโลหิต ดูแลภูมิต้านทาน เมื่อทำวิจัยก็พบว่าสิ่งที่คนโบราณมีความเชื่อนั้นเป็นเรื่องจริง

“เซซามิน” ในงาดำมีคุณประโยชน์ 8 ประการ คือ

1. ช่วยในการเผาผลาญ สลายไขมัน ลดความอ้วนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

2. ลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล

3. ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี

4. ช่วยในการทำงานของวิตามินอี

5. ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท

6. ลดปฏิกิริยาความเครียด

7. ต้านอนุมูลอิสระ

8. ต้านการอักเสบ

สำหรับสรรพคุณ ในเรื่องการลดการอักเสบนั้นได้มีการค้นคว้าวิจัยสรรพคุณด้านนี้เป็นพิเศษในเชิงลึก เพราะการอักเสบเป็นตัวการทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมซึ่งเป็นโรคที่คนไทยเป็นมาก และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีหนึ่งมหาศาลในระยะแรกได้ทดลองกับกระดูกอ่อนของหมู พบว่าสารเซซามินที่สกัดจากงาดำสามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มข้อต่าง ๆ ของร่างกายได้จึงเชื่อว่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันเมื่อนำมาใช้กับคนทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองขั้นสูงในระดับคลินิกต่อไป

ปัจจุบันงาดำที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด อาจอยู่ในรูปของสารสกัดที่เป็นแคปซูล ดังนั้นประชาชนทั่วไปอาจทำกินเองได้ ด้วยการคั่วแล้วบดวันละไม่เกิน 4 ช้อนชา สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ แต่ ปัญหาคือ การคั่วนาน ๆอาจทำให้เกิดสารพิษที่ทำให้ก่อมะเร็งได้ ของบางอย่างเมื่อถูกความร้อนของดีกลายเป็นของไม่ดี กลายเป็นสารพิษได้ และการเก็บไว้นาน ๆ อาจเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้มีกลิ่นเหม็นหืน

ถามว่า มีข้อห้ามหรือไม่ว่าใครไม่ควรรับประทานงาดำ?

รศ.ดร.ปรัชญา กล่าวว่ายังไม่เคยเจอแต่มีแพทย์บางท่านบอกว่ามีบางคนที่รับประทานเข้าไปอาจเกิดการแพ้ได้

ส่วน นพ.ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท แนะนำว่า เมื่ออายุมากขึ้นจะมีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งเร้ารอบตัว อาทิ แสงแดด อาหาร การเผาผลาญในร่างกาย ความเครียด มลพิษต่าง ๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพและความอ่อนวัยโดยตรง เพราะจะเข้าไปเร่งทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้เสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์สดใส นอกจากการหลีกเลี่ยงสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และสิ่งสำคัญคือบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ กลุ่มของธัญพืชอย่าง งาดำ เพราะงาดำนอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีสารเซซามินสารต้านอนุมูลอิสระชั้นสูง ที่สามารถดักจับอนุมูลอิสระ สาเหตุของริ้วรอยและปัญหาผิวเหี่ยวย่น ด้วยการช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ และการดูดซึมไขมัน รวมถึงเพิ่มออกซิเจนให้ผิว แต่หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่รู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลตัวเอง นอกจากทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแล้ว ยังก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เป็นต้น” นพ.ไพศิษฐ์ อธิบาย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระไม่สามารถแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ในทันที แต่สามารถชะลอให้ความเสียหายเกิดช้าลงได้ โดยเฉพาะผิวพรรณที่เห็นอย่างชัดเจน หากเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำลาย เพราะปัญหาของผิวพรรณที่แก่ก่อนวัย ไม่ได้จู่โจมเฉพาะผู้ใหญ่อีกต่อไปแล้ว ทางที่ดีควรเริ่มต้นนับหนึ่งกับการหันมาดูแลสุขภาพตัวเองในปีใหม่นี้ ด้วยการใส่ใจเลือกกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

เห็นไหมคะว่าประโยชน์ที่มากมายที่กล่าวมาขนาดนี้ คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพคงต้องจดจำเจ้างาดำ ให้เป็นหนึ่งในรายการอาหารที่มีประโยชน์ และเลือกรับประทานกันอยู่เสมอๆนะคะ

ก่อนจะจากกัน ผู้เขียนขอแนะนำเทคนิคสำคัญในการรับประทานงาดำให้ได้ประโยชน์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคี้ยวให้ละเอียด ซึ่งจะได้ทั้งกากใย และสารอาหารที่มีประโยชน์ในเมล็ดงาอย่างครบครัน กันนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

ข้อมูลบางส่วนจาก http://www.gotoknow.org/ (http://www.gotoknow.org/)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 01:23:08 am
เผยอาหารแสลง : ต้องห้าม 10 โรค



-http://campus.sanook.com/1371693/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1-10-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-



เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น

- กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า

- กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม

- กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ

- เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม

- เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย

- หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว

- คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ

คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า "อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน" การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ

ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง

๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ

๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ

๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)

๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค

๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค

การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย


อาหารกับโรค

๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง" หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น

อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

อาหารดิบ ไม่สุก :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

อาหารร้อนเกินไป :

ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ

การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 04:30:48 pm

ขิง : ยาดีที่โลกรู้จัก
โพสโดย somsak เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2545 00:00

-http://www.doctor.or.th/article/detail/2592-

ขิง : ยาดีที่โลกรู้จัก

ขิง มหาโอสถอันเก่าแก่ที่เอเชียโบราณรู้จักดี
ขิง (ginger) จัดว่าเป็นสมุนไพรและเครื่องเทศที่มีความสำคัญ และเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก มีหลักฐานการใช้ยาวนานกว่า ๕,๐๐๐ ปี มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศอินเดียและจีนสมัยโบราณ ซึ่งก็ยังไม่มีใครชี้ชัดว่าระหว่าง ๒ ประเทศนี้ใครใช้มาก่อนใคร มีบันทึกของหมอยาจีนชื่อเฉินหนงประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์กาล กล่าวกันว่าเฉินหนงเป็นนักชิมเพื่อแยกรสของพืชสมุนไพรไว้หลายร้อยชนิด แต่สุดท้ายหมอยาสมุนไพรท่านนี้ก็เสียชีวิตจากการกินพืชพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงมากชนิดหนึ่งเข้าไป แต่เคราะห์ดีที่ได้ดื่มขิงไว้ก่อน ในตำราของเฉินหนงระบุว่าขิงเป็นสมุนไพรที่ใช้แก้หวัด แก้ไข้ แก้หนาวสั่น แก้บาดทะยัก แก้โรคเรื้อน ดังนั้น จึงจัดว่าจีนเป็นชนชาติเก่าแก่ที่มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรส เผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้ปวดข้อ แก้ปัญหา เรื่องไต แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด ชาวบ้านทั่วไปของจีนจะรู้ดีว่าถ้าต้มขิงกับน้ำตาล อ้อย (หรือน้ำตาลทรายแดง) จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับ ทั้ง ๒ ข้างจะช่วยแก้ปวดหัว และ ถ้าเอาขิงสดมาอมไว้ใต้ลิ้นจะช่วย แก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้ อาเจียนได้ดี

นอกจากนี้แล้วตั้งแต่โบราณกาลสาวชาวจีนจะรู้จักใช้ขิงเป็นอย่างดี โดยใช้ในการแก้ปวดประจำเดือน และนอกจากนี้ยังใช้ขิงในการแก้คลื่นไส้อาเจียนตอนแพ้ท้อง กะลาสีเรือชาวจีนโบราณก็ได้ประยุกต์เอาความรู้ของหญิงสาวเหล่านี้มาใช้ในการเดินเรือ โดย มีการเคี้ยวรากขิงเมื่อออกทะเลเวลา เมาคลื่นลม

ในตำรับเภสัชของสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ได้ บรรจุขิงเป็นยาสมุนไพรแห่งชาติตัวหนึ่ง ทั้งขิงสด ขิงแห้ง และทิงเจอร์ขิง แพทย์จีนโบราณจะใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้งในแง่มุมที่ต่างกัน โดยจะใช้ขิงแห้งในภาวะที่ขาดหยาง ภาวะขาดหยาง คือภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็น หนาวง่าย ทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น ทั้งยังมีการใช้ขิงแก่ในคนไข้ปวดข้อรูมาติก

ขิงสดจะใช้ในจุดมุ่งหมายที่ต้องการกำจัดพิษที่เกิดจากการติด เชื้อภายในร่างกายโดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกาย มีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง ขิงสดช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด ๓๐ กรัม (๓ ขีด) สับให้ละเอียดต้มดื่มแต่น้ำในขณะท้องว่าง นอกจากนี้ขิงยังช่วย กำจัดพิษโดยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ขิงสดยังช่วยขับเสมหะ โดยใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำประมาณครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง ๓๐ กรัม (๖ ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนดื่ม และ นอกจากนี้ชาวจีนยังเชื่อว่าขิงช่วยแก้พิษจากหอยพิษ ดังนั้นอาหารจีนจำพวกปลาและอาหารทะเลจึงมักจะใส่ขิงลงไปด้วยเสมอ

ปัจจุบันจีนมีการศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของขิงพบว่าขิงแห้งช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรง ทั้งขิงสดและขิงแห้งมีฤทธิ์ต้านการคลื่นไส้อาเจียน และในการศึกษาในห้องทดลองพบว่าขิงมีฤทธิ์แก้ปวด และต้านการอักเสบ ด้วย

อินเดียเป็นชาติหนึ่งที่มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย การใช้ขิงแห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยใช้ขิงในการทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ใช้ขิงลดการอักเสบ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นความอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วย ขับลมในลำไส้ นอกจากนี้ขิงยังช่วยทำความสะอาดปากและคอ ช่วยระงับการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นความกำหนัด

ในตำรับยาทางอายุรเวทยังมีการใช้ขิงในการลดการบวมและการอักเสบของตับ คนพื้นเมืองอินเดียทั่วไปยังนิยมใช้น้ำคั้นจากขิง ผสมน้ำผึ้ง และน้ำคั้นจากกระเทียม รักษาอาการหอบหืด ทั้งยังมีการใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่นทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

ส่วนญี่ปุ่นได้มีการนำขิงมาใช้ ประโยชน์ประมาณคริสต์ศตวรรษ ที่ ๘ การใช้จะเหมือนๆ กับของจีน ปัจจุบันขิงดองดูเหมือนจะเป็นอาหาร ประจำชาติของญี่ปุ่นไปเสียแล้ว และมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขิงใน ญี่ปุ่น พบว่าขิงมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ลดความดันเลือด ลดโคเลสเตอรอล

ในประเทศไทย มีการใช้ขิงอย่างกว้างขวางไม่แพ้ชาติอื่น โดย ใช้ขิงเป็นยาแก้กองลม บำรุงธาตุ  แก้ไอ บำรุงน้ำนม

ขิงสมุนไพรนานาชาติ
ขิงยังจัดว่าเป็นสมุนไพรนานาชาติอีกชนิดหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลกมานาน มีหลักฐานว่าในประเทศตะวันตกมีการนำขิงไปใช้ประโยชน์ตั้งแต่มีการติดต่อค้าขาย จากทะเลแดงถึงอเล็กซานเดรีย ซึ่ง เป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์โบราณ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑ หมอชาวกรีกจะใช้ขิงช่วยย่อยอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน และช่วยแก้พิษ กาเลนแพทย์ที่มีชื่อเสียงของกรีกได้มีการนำขิงมาใช้ในการรักษาอัมพาต โรคปวดปลายประสาท และโรคเกาต์

แพทย์ชาวอาหรับโบราณก็ใช้ ประโยชน์จากขิงคล้ายๆ กัน แต่ที่แตกต่างคือจะเน้นการใช้ขิงในการ กระตุ้นความกำหนัด (สรรพคุณนี้ อินเดียก็ใช้) ส่วนคนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงในการช่วยย่อย ช่วยรักษาอาการท้องอืดจากการดื่มเหล้า ช่วยขับลม ทั้งยังใช้ในการรักษาโรคเกาต์ และกระตุ้นการ ไหลเวียนของเลือด
นักสมุนไพรรุ่นใหม่ของตะวันตกมักแนะนำให้ใช้ขิงในการช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการไหลเวียนของเลือด แก้หวัด และลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน (motion sickness) รวมทั้งช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องได้บ้างในคนท้อง

ปัจจุบันตลาดสมุนไพรในประเทศตะวันตกมีผลิตภัณฑ์ขิงอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของแคปซูล ขิงแห้งป่น ชาขิง และทิงเจอร์

การปลูกขิง
จากสรรพคุณร้อยแปด และอาหารอันโอชะที่มีขิงเป็นส่วนผสม คงมีบางคนอยากจะปลูกขิงไว้ใช้ที่บ้าน หากสนใจที่จะปลูกขิงก็สามารถปลูกได้เอง โดยใช้เหง้าแก่ (อาจจะขอเหง้าแก่จากคนข้างบ้านหรือ คนรู้จักที่สามารถเอื้อเฟื้อให้ได้) ใช้เหง้าที่เตรียมมาปลูกลงในดินที่เตรียมไว้  ดินที่ใช้ปลูกก็ควรเป็นดินเหนียวปนทราย โดยยกดินเป็นร่องให้ห่างกัน ๓๐ เซนติเมตร ปลูกห่างกันประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๕-๑๐ เซนติเมตร ขิงชอบที่ชุ่มชื้นระบายน้ำได้ดี ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยๆ แค่ วันละครั้งก็เพียงพอ เพราะถ้ารดน้ำมากๆ ดินระบายน้ำไม่ทัน ขิงไม่ชอบน้ำขังแฉะ จะทำให้รากขิงเน่า ขิงชอบแสงแดดพอควร ฤดูกาลที่เหมาะสม ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ชื่อวิทยาศาสตร์  Zingiber officinale Rosc. วงศ์ Zingi-   beraceae
ชื่อพื้นเมือง ขิงเผือก (เชียงใหม่) ขิงแดง ขิงแกลง (จันทบุรี) สะแอ (แม่ฮ่องสอน)

แนวโน้มของการใช้ประโยชน์จากขิงทางยา
ปัจจุบันขิงเป็นสมุนไพรชนิด หนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยและใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น ทางด้านของการช่วยย่อยอาหาร ช่วยในด้านการไหลเวียนของเลือด ช่วย ลดความดันเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ปวด ช่วยแก้คลื่นไส้อาเจียน  ซึ่งมีแนวโน้มว่าขิงจะสามารถใช้ประโยชน์ทางยาได้ดังนี้
แก้หวัด
การศึกษาในปัจจุบันพบว่า ขิงสามารถฆ่าไวรัสที่ทำให้เกิดหวัดได้ ในประเทศอินเดียรายงานว่า การใช้ขิงจะไปช่วยเพิ่มระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกาย การศึกษานี้สนับสนุนการใช้ขิงของคนโบราณในการแก้หวัดและโรคติดเชื้ออื่นๆ
ช่วยย่อย
ขิงยังมีประโยชน์ต่อท้องมากมาย ผู้คนสมัยนี้นั่งอยู่แต่ในห้องทำงาน มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่จำเป็นต้องเดิน เหินให้เมื่อย ท้องไส้ก็พลอยไม่ได้ เคลื่อนไหวไปด้วย กินอาหารเข้า ไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ค่อยย่อยแล้ว แต่ถ้าดื่มน้ำขิงทุกวันอาการอึดอัดแน่นท้องก็จะหายไป มีการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ขิงช่วย ย่อยโปรตีนได้ดี ขิงยังต้านการบีบตัวของกล้ามเนื้อในทางเดินอาหาร จึงป้องกันการปวดเกร็ง ที่กล้ามเนื้อท้อง ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้คลายตัว ขิงมีสารคล้าย  กับเอนไซม์ที่ย่อยอาหารที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ เภสัชตำรับของประเทศเยอรมนียอมรับว่าขิงเป็นยาช่วยย่อยอาหาร วันไหนที่กระ-เพาะอาหารต้องรับบทหนัก กินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เข้าไปมากๆ ก็ให้รีบดื่มน้ำขิงตาม รับรองว่าอาการอึดอัดแน่นท้องจะหายไป
แก้คลื่นไส้อาเจียน
สรรพคุณที่ดีอีกอย่างของ ขิงคือ แก้คลื่นไส้อาเจียน ยืนยันว่าภูมิปัญญาจีนนั้นถูกต้องในการใช้ขิงแก้คลื่นไส้อาเจียนจากการ  แพ้ท้อง และจากการเมาเรือ โดย ปัจจุบันการศึกษาพบว่าขิงสามารถ ลดความรุนแรงและความถี่ในการ เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถเมาเรือ และแพ้ท้อง แล้วยังได้ผลบ้างในการคลื่นไส้อาเจียน หลังการผ่าตัด และการใช้เคมีบำบัด โดยมีรายงานการศึกษา ๒ ชิ้น ที่ ศึกษาถึงประสิทธิภาพของขิงในการป้องกันอาการเมารถเมาเรือ

การศึกษาแรกศึกษาในทหาร เรือในประเทศเดนมาร์ก ๘๐ คน พบว่า ๔๐ คนที่กินขิงผง ๑ กรัม ก่อนออกเดินเรือ ไม่มีคนที่เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนเลย ส่วนคนที่ไม่ได้กินขิงผงมี ๕ คนที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
ในการศึกษาที่ ๒ การศึกษา ในนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์ที่ท่องเที่ยวทางเรือ พบว่าร้อยละ ๘๐ ของนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้กินยา อะไรเลยมีอาการเมาเรือ แต่กลุ่มที่กินขิงผงก่อนออกเดินทาง ๔ ชั่วโมงมีอาการคลื่นไส้อาเจียนน้อยกว่าร้อยละ ๑๐
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงการใช้ขิงในการแก้เมารถเมาเรือเปรียบเทียบกับยาแก้เมารถเมาเรือ แผนปัจจุบัน คือ ไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate) โดยให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งกินขิงผง ๙๔๐ มิลลิกรัม ส่วนอีกกลุ่มกินไดเมน-ไฮดริเนต ๑๐๐ มิลลิกรัม แล้วนำอาสาสมัครมานั่งเก้าอี้หมุนที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ แล้วเก้าอี้จะหยุดหมุน
เมื่ออาสาสมัครเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน จากการศึกษาพบว่ากลุ่ม อาสาสมัครที่กินขิงสามารถนั่งอยู่บน เก้าอี้หมุนได้นานกว่าร้อยละ ๕๗ จากการวิจัยนี้ นักวิจัยจึงแนะนำว่าการกินขิงแคปซูล ชาขิง หรือน้ำขิง จะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการเมารถเมาเรือได้

เภสัชตำรับของประเทศเยอรมนี แนะนำให้ใช้ขิงสำหรับการป้องกันและรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถเมาเรือ
มีการศึกษาของนักวิจัยชาวเดนมาร์ก ในการใช้ขิงแก้แพ้ท้อง โดยทำการศึกษาในหญิงที่มีครรภ์ ๓๐ คน โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ขิง ๔ วันแล้วเปลี่ยนไปให้ยาหลอก ๔ วัน ส่วนอีกกลุ่ม ให้ยาหลอก ๔ วันแล้วเปลี่ยนไปให้ขิง ๔ วัน โดยผู้ป่วยไม่ทราบว่า ตนได้กินขิงหรือยาหลอก พบว่าร้อยละ  ๗๐ ของหญิงมีครรภ์มีอาการแพ้ท้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาที่กินขิง ผู้วิจัยจึงแนะนำให้หญิงที่แพ้ท้องกินขิงเป็นยาแก้แพ้ท้องแทนยาแก้แพ้ ท้องชนิดอื่นๆ เนื่องจากขิงมีความ ปลอดภัยกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ขิงเป็นยาร้อนซึ่งในทางการแพทย์ตะวันออกเชื่อว่ายาร้อนทำให้มีประจำเดือน จึงมีความเป็นห่วงกันว่าขิงอาจจะทำให้แท้งได้หรือไม่ ซึ่งมีรายงานว่าขิงจะมีผลต่อมดลูก หรือไม่นั้นขึ้นกับปริมาณที่กิน แต่ ในปัจจุบันยังไม่พบรายงานการแท้งจากการกินขิง

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาใน ประเทศสหรัฐอเมริกาถึงประสิทธิภาพของขิงในการลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนหลังผ่าตัด การใช้ยาแก้อาเจียนแผนปัจจุบันในผู้ป่วยกลุ่ม นี้เป็นปัญหาสำคัญในวงการแพทย์ ยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีการให้ยาแก้อาเจียนแก่คนไข้ก่อนผ่าตัด  แต่ก็มีคนไข้ถึงร้อยละ ๓๐ ที่ยัง คงมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และผล ข้างเคียงจากยาก็เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์สำหรับคนไข้และแพทย์
การศึกษาโดยมีการคัดเลือก กลุ่มผู้ป่วยเข้ารับการศึกษาแบบสุ่ม (randomization) มีจำนวนทั้งสิ้น ๖๐ คน แบ่งคนไข้ออกเป็น ๒ กลุ่มโดยวิธีสุ่มเช่นกัน กลุ่มแรกได้รับน้ำขิง ที่ปรุงจากเหง้าขิง ๕ กรัม กลุ่มที่ ๒ ได้รับยาแก้อาเจียน เมโทโคลพราไมด์ (metoclopra-mide) ขนาด ๑๐ มิลลิกรัม คน ไข้และผู้ที่ให้ยาไม่ทราบว่ายาที่ตนให้หรือได้รับเป็นขิงหรือยาเมโท-โคลพราไมด์ โดยให้ผู้ป่วยกินก่อน ผ่าตัด ผลการศึกษาพบว่า ในกลุ่ม ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำขิงจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนน้อยกว่าในกลุ่มที่ได้รับยา แก้อาเจียน (พบว่าขิงมีสารสำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการคลื่นไส้อาเจียน) ถึงแม้ว่าผลการรักษาในทั้ง ๒ กลุ่ม (กลุ่มที่ได้รับ ขิงและยาแก้อาเจียนแผนปัจจุบัน) จะยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่การใช้ขิงเพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน หลังผ่าตัดก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากในกลุ่มคนไข้ที่ใช้ขิงไม่พบรายงานการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์
นอกจากนี้หมอที่ใช้เคมีบำบัด (ในการรักษาโรคมะเร็ง) ยังแนะนำ ว่าอาจใช้ขิงในการป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการใช้เคมีบำบัดได้ด้วย
โรคหัวใจและหลอดเลือด
ขิงจะไปมีผลต่อ ๒ ปัจจัยที่มีผลต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจัยแรกคือการเผาผลาญโคเลส-เตอรอล อีกปัจจัยหนึ่งคือการทำ งานของเกล็ดเลือด ในส่วนที่เกี่ยว กับโคเลสเตอรอลนั้น ขิงไปยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของแอลดีแอล (LDL) ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัว ร้าย เพราะถ้าเจ้าแอลดีแอลเกิดออกซิเดชันแล้วจะไปกระตุ้นให้เกิด ลิ่มเลือดได้ง่าย ทำให้หลอดเลือดมีสิทธิอุดตันได้ง่ายเช่นกัน มีการศึกษาในหนู โดยให้หนูกินขิงวันละ ๑ ช้อนชาทุกวัน จะไปเพิ่มการเปลี่ยนแปลงของโคเลสเตอรอลให้ เป็นกรดน้ำดีแล้วขับออกทางอุจจาระ ผลต่อเกล็ดเลือดพบว่าขิงยับยั้งเอนไซม์ที่เป็นตัวสร้างสารทรอม-โบเซน (thromboxane) ซึ่ง ทรอมโบเซนตัวนี้จะถูกปล่อยออก มาจากเกล็ดเลือด และมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ปัจจุบันแม้ยังไม่พบว่าต้องกินขิงในปริมาณที่เท่าใดจึงจะช่วยในการป้องกันหลอดเลือดโรคหัวใจอุดตันได้ แต่ ก็มีรายงานว่าผู้ที่กินขิงร่วมกับอาหาร สุขภาพสามารถป้องกันการเกิดโรค หลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ และ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าขิงสามารถ ลดความดันเลือดได้ด้วย
โรคแผลในกระเพาะอาหาร
มีการวิจัยว่าการที่ชาวจีนเชื่อว่าขิงรักษาโรคกระเพาะอาหารได้นั้น มีผลจากการทดลองในสัตว์ทดลอง โดยใช้สารที่กระตุ้นให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร พบว่ากลุ่มที่ได้รับ ขิงก่อนให้สารกระตุ้นการเกิดแผลจะสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ยังพบว่า ขิงสามารถลดการหลั่งของ กรดในกระเพาะอาหาร และลดการ บีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ทั้งยังช่วยลดอาการแน่น อืด เฟ้อ เนื่อง จากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในขิง
แม้ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษา ในคนว่าขิงสามารถรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้หรือไม่ แต่มีการศึกษาในคนไข้ ๑๐ รายพบว่าขิงสามารถลดอาการต่างๆที่เกิดจากโรคกระเพาะอาหารได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีบางราย ที่กินขิงเกิดอาการจุกเสียดแน่นได้
แก้ปวดข้อ
ปัจจุบันค้นพบว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอยู่ในขิง ซึ่งสนับสนุนการใช้ของคนโบราณในการใช้ขิงแก้ปวดข้อ ปวดเข่า
มีการทดลองในหนูพบว่าฤทธิ์ ลดการปวดและอักเสบของยาที่สกัด จากขิงและข่า เมื่อเปรียบเทียบกับ ยาไอบูโพรเฟน (ซึ่งเป็นยาแก้ข้ออักเสบ) แล้วให้ผลใกล้เคียงกัน
ในประเทศไทย นายแพทย์อุดม วิศิษฎสุนทร ได้ศึกษาใน คนไข้โรคข้อเสื่อม ๒๐ ราย เป็น เวลา ๔ สัปดาห์ โดยให้ยาสกัดจากขิงและข่า ๕๑๐ มิลลิกรัม ต่อ วัน คนไข้ ๑๔ รายตอบว่ายานี้ใช้ ได้ผลดี ๓ รายตอบว่าประทับใจต่อการใช้ยานี้มาก ส่วนอีก ๓ ราย ที่ข้อเข่าเสื่อมมาก ตอบว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ
นายแพทย์เสก อักษรานุ-เคราะห์ และแพทย์หญิงจริยา บุญหงษ์ ได้ศึกษาคนไข้ ๔๐ ราย เปรียบเทียบผลการรักษาโรคข้อเข่า เสื่อมโดยใช้ยาไดโคลฟีแน็กกับยาที่สกัดจากขิงและข่านาน ๓ เดือน พบว่าผลการรักษาไม่แตกต่างกัน และไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยาสกัดจากขิงและข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่สกัดจากขิงและข่าที่อาจพบได้คือ อาการเรอและแน่นท้องบ้าง แต่ไม่พบภาวะพิษต่ออวัยวะอื่น และ ถึงแม้ว่าจะออกฤทธิ์ช้ากว่ายาแผน ปัจจุบันบ้าง แต่ก็มีฤทธิ์ในการช่วย ป้องกันการเสื่อมสลายของกระดูก อ่อนด้วย
แก้ปวดประจำเดือน
ขิงจะช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบ ทั้งในมดลูกและทางเดินอาหาร  ดังนั้น ขิงจึงช่วยในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความชราของเซลล์
ปัจจุบันค้นพบว่าขิงมีสารที่สามารถต้านอนุมูลอิสระอย่างแรง ซึ่งสามารถกินเป็นอาหารเสริมสุขภาพเพื่อชะลอความชราของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ (เป็นที่ทราบกันดีว่า ถ้าร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินไป (เช่น มีการเผาผลาญภายในร่างกายมาก ได้รับแสงแดด ควันบุหรี่ มลพิษ) อาจ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ มะเร็ง ต้อกระจก ข้อเสื่อมก่อนวัยอันควร)

ปัจจุบันในตลาดต่างประเทศ มีการผลิตขิงเป็นอาหารเสริมสุขภาพจำหน่าย

ตำรับยาจากขิง
๑. ขิงแก้หวัดแก้ไอ
ใช้เหง้าขิงสดอายุ ๑๑-๑๒ เดือน ขนาดเท่าหัวแม่มือ หนักประมาณ ๕ กรัม ทุบให้แตก  แล้วต้มเอาน้ำมาดื่ม ถ้ามีอาการไอร่วมด้วยก็อาจผสมน้ำผึ้งในน้ำขิง  หรืออาจเหยาะเกลือลงในน้ำขิงเล็กน้อยหากมีอาการไอร่วมกับเสมหะ เกลือจะทำให้ระคายคอและขับเสมหะที่ติดในลำคอออกมา จิบน้ำขิง  บ่อยๆ แทนน้ำ รับรองอาการหวัดหายเป็นปลิดทิ้ง
๒.ขิงแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุก เสียดแน่น แก้ปวดท้อง
นำขิง ๓๐ กรัม ชงกับน้ำเดือด ๕๐๐ มิลลิลิตร แช่ทิ้งไว้ ๑ ชั่วโมง ดื่มครั้งละ ๒ ช้อนโต๊ะ (๖๐ มิลลิลิตร)
๓. ขิงแก้ไอ
ใช้เหง้าสดประมาณ ๖๐ กรัม น้ำตาลทรายแดง ๓๐ กรัม ใส่น้ำ     ๓ แก้ว นำไปต้มเคี่ยวให้เหลือครึ่งแก้ว แล้วจิบตอนอุ่นๆ หรือใช้ฝนกับมะนาวแทรกเกลือใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ ในกรณีที่ต้องการใช้   ขับเสมหะ คั้นน้ำขิงสดประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้ง ๓๐ กรัม อุ่นให้ ร้อนก่อนดื่ม ส่วนในรายที่ไอเรื้อรัง ใช้น้ำผึ้งประมาณ ๕๐๐ กรัม   น้ำคั้นจากเหง้าสดประมาณ ๑ ลิตรนำมาผสมกันแล้วเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (ถ้าไม่มีอาจใช้กระทะสแตนเลสที่ทนกรดทนด่างได้ แต่  ไม่ควรใช้กระทะเหล็ก) จนน้ำระเหยไปหมดจึงนำมาปั้นเป็นลูกกลอนเท่าเม็ดลูกพุทราจีน ให้อมกินครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๓ ครั้ง
๔.ทาปวดข้อ
ใช้น้ำคั้นจากเหง้าสด ผสมกาวหนังวัว เคี่ยวให้ข้น นำไป พอกบริเวณที่ปวด หรือใช้เหง้าสดย่างไปตำ ผสมน้ำมัน มะพร้าวใช้ทาบริเวณที่ปวด
๕. แก้คลื่นไส้ อาเจียน
ขิงสด ๓๐ กรัมสับให้ละเอียด  ต้มดื่มขณะท้องว่าง

๖.แก้ปวดประจำเดือน
ขิงแห้ง ๓๐ กรัม น้ำตาลอ้อย (หรือน้ำตาลทรายแดง) ๓๐ กรัม ต้มน้ำดื่ม
๗.เด็กเป็นหวัดเย็น
เอาขิงสดและรากฝอยต้นหอมตำรวมกัน เอาผ้าห่อคั้นเอา แต่น้ำทาที่คอ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หน้าอก และหลังของเด็ก
๘. ผมร่วงหัวล้าน
ใช้เหง้าสด นำไปผิงไฟให้อุ่น ตำพอกบริเวณที่ผมร่วง วันละ ๒ ครั้ง สัก ๓ วัน ถ้าเห็นว่า ดีขึ้นอาจจะใช้พอกต่อไปจน กว่าผมจะขึ้น

ข้อควรรู้-ข้อควรระวัง
 ๑. หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินมาก เพราะในทางการแพทย์ตะวันออกจัดว่าขิงเป็นยาร้อน การแพทย์ตะวันออกเชื่อว่าการกินยาร้อนมากเกินไปอาจทำให้แท้งได้ เช่น คนสมัยก่อนจะใช้ขิง ดีปลี กระเทียม ดองเหล้าเป็นยาขับประจำเดือน
 ๒. การต้มน้ำขิงด้วยความร้อนจะทำให้สารสำคัญบางอย่างที่ออกฤทธิ์รักษาอาการปวดข้อสลายตัวไปได้
 ๓. ถ้าใช้น้ำสกัดจากขิงที่เข้มข้นมากๆ แทนที่จะช่วยแก้อาการท้องอืดเฟ้อ จุกเสียด จะมีฤทธิ์ตรงข้ามคือไประงับการบีบตัวของลำไส้จนอาจถึงกับหยุดบีบตัวไปเลย
 ๔. เคล็ดลับในการต้มน้ำขิงให้หอมอร่อย คือ ให้ใช้เวลาต้มสั้นๆ ไม่เกิน ๒-๕ นาที เพราะกลิ่นของขิงจะหายไปหมดหากตั้งไฟนาน
 ๕. คนที่เป็น" หวัดเย็น " คือ รู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อ เสมหะเหลวใส ลองดื่มน้ำขิงต้มร้อนควันฉุย จะช่วยให้อาการดีขึ้น
 ๖. คนที่เป็น" หวัดร้อน " คือ มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เหงื่อออก คอแห้ง เจ็บคอ เสมหะเหนียวข้น สีออกเหลืองนั้น ขิงไม่เพียงช่วยไม่ได้ แต่ยังอาจทำให้อาการทรุดลงด้วย
 ๗. การกินให้ปลอดภัย ควรซื้อแบบเป็นแง่งจะดีกว่าแบบซอยมาให้แล้ว เพราะเสี่ยงกับการได้รับสารฟอกขาวจำพวกซัลไฟต์ แต่ถ้าจำเป็นให้เลือกซื้อ ขิงซอยที่มีสีขาวอมชมพูเล็กน้อย จะปลอดภัยกว่าสีขาวซีดหรือเหลืองจัด
 ๘. ไม่ควรใช้ขิงในผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดี เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ขับน้ำดี ถ้าหากจะใช้ขิงจึงควรระมัดระวังในการใช้และอยู่ในความดูแลของแพทย์
 ๙. การใช้ขิงในขนาดสูง อาจเพิ่มฤทธิ์การรักษาของยาละลายลิ่มเลือด ดังนั้นผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการจับตัวของเกล็ดเลือด ควรระมัดระวังการ   กินขิง และควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
 ๑๐. การกินขิงในขนาดสูง อาจเกิดอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากฤทธิ์การกดประสาทส่วนกลางของขิง
 ๑๑. ขิงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร

ข้อมูลอ้างอิง
๑. วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. พจนานุกรมสมุนไพรไทย.
๒. วีรชัย มาศฉมาดล. ผัก อาหารก็เป็นยาได้.
๓. ธีระ ฤทธิรอด, ประภาวดี พัวไพโรจน์, ศุภชัย ติยวรนันท์. ยาสกัดจากขิงและข่า : ทางเลือกใหม่ของการรักษาข้อเข่าเสื่อม. วารสารคลินิก. ธันวาคม ๒๕๔๔.
๔. คณะทำงานโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย. มหัศจรรย์ผัก ๑๐๘. พิมพ์ครั้งที่ ๒. มีนาคม ๒๕๔๑.
๕. Herbs for Health. มกราคม/กุมภาพันธ์ ๒๐๐๑.
๖. Jill Norman. The complete book of spices : a practical guide to  spices & aromatic seeds.
๗. Michael Castleman. The new healing herbs : The classic guide to naturežbest medicines.
๘. Mirlam Polunin, Christopher Robbins. The Natural Pharmacy : an  encyclopedic illustrated guide to medicines from nature.
๙. Mark Stengler. The natural physician : your health guide for  common ailments.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 06:36:54 pm
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตายขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารกสัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : -frynn.com-

----------------------------------------------------------------------


ลดน้ำหนักด้วยกล้วย เรื่องกล้วยๆ ที่ไม่เคยทำ

-http://guru.sanook.com/27085/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B3/-


เชื่อหรือไม่ว่า การรับประทานกล้วย สามารถช่วย “ลดน้ำหนัก"  ได้...!?”

กล้วย... ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหน ต่างก็มีสารอาหารและวิตามินอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยจะมีโปรตีนมากกว่าถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและแร่ธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า พร้อมอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงประสาท ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตอีกด้วย

กล้วย ยังสามารถช่วยทำให้ท้องอิ่ม เพราะกล้วยหอม 100 กรัม สามารถให้พลังงานมากถึง 120 กิโลแคลอลี่ ต่อหน่วย ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การทานกล้วยเพียง 2 ใบ สามารถให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที ด้วยเหตุนี้นักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาเทนนิส จึงนิยมรับประทานกล้วยในขณะที่ทำการแข่งขัน คุณประโยชน์ของกล้วยมีมากมายถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะกินกล้วย แต่รับรองว่าจะไม่ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน...

ในกล้วยหนึ่งใบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
 


เมื่อรับประทานกล้วยหนึ่งใบ ร่างกายจะได้รับสารอาหารดังต่อไปนี้

1. วิตามินบี 1 และบี 2 ซึ่งจะช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันอาการตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า

2. เกลือแร่ อาทิเช่น โปรเตสเซียม ที่ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ แมกนีเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม

3. เส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องผูก

4. ช่วยทำดีท็อกซ์ แป้งในกล้วยดิบมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนในกล้วยสุกจะช่วยเพิ่มความต้านทานของร่างกาย และป้องกันหวัดได้เป็นอย่างดี

5. สารโพลีฟินิล มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

6. สารยูจินอล ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย

7. เซโรโทนิน ช่วยลดความหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง

8. มีเอ็นไซต์ช่วยในการย่อย ทำให้การย่อย การดูดซึมอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระเพาะและลำไส้จึงไม่ต้องทำงานหนัก

9. น้ำตาลในกล้วย เช่น กลูโคส ฟลุกโตส ซูโคส ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน พร้อมกับช่วยลดความต้องการในการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันลดลง

10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับมะเร็ง

สำหรับสายพันธุ์ของกล้วยที่แนะนำให้รับประทานเพื่อลดน้ำหนักนั้น ควรเป็นกล้วยหอม เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่น้อย เมื่อเทียบกับกล้วยในสายพันธุ์อื่นๆ แต่ก็สามารถใช้กล้วยประเภทอื่นๆมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า หรือกล้วยไข่ เป็นต้น ซึ่งในวันนี้จะขอแนะนำสูตรการลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอมในมื้อเช้า ซึ่งเป็นสูตรที่ง่าย อร่อย และราคาไม่แพง มาฝากคุณสาวๆ กัน....


ใครจะเชื่อว่ากล้วยหอมเพียง 2 ใบ สามารถช่วยลดหุ่นให้ดูผอมเพรียวลงได้…!?

สำหรับสูตรลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงนี้ เป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆด้วยตัวคุณสาวๆเอง โดยเพียงแค่การรับประทานทานกล้วยหอม 1-2 ใบ พร้อมกับน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องในตอนเช้า ส่วนในมื้อกลางวันและเย็นสามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อาจเพิ่มอาหารว่างในตอนบ่ายสาม

 

ข้อมูลจาก : -http://www.kondoodee.com/-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 16, 2014, 10:14:37 pm
20 ประโยชน์ของสะตอ และวิธีดับกลิ่น


-http://guru.sanook.com/27257/20-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99/-


สะตอ ภาษาอังกฤษ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน


วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสะตอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สะตออุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของสะตอและสรรพคุณของสะตอกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง?


ประโยชน์ของสะตอ
1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต
5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้
10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
13.แก้ปัสสาวะพิการ
14.ช่วยแก้ไตพิการ
15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน

(http://guru.sanook.com/gallery/gallery/27257/327449)

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.termsuk.com (http://www.termsuk.com)

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2014, 06:48:20 pm
ระวัง! ผู้มีคอเลสเตอรอล-ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ควรกินไอศกรีมแต่พอดี

-http://club.sanook.com/30475/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A5/-



ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ วิธีดับร้อนอย่างง่าย ของหลายๆคน คงเป็นการหาน้ำเย็นๆมาดื่มกัน นอกจากนี้ขนมยอดฮิตก็คงไม่พ้นไอศกรีม จริงไหมคะ ด้วยความหอมหวาน และความเย็นของไอศกรีมบางครั้งก็อาจส่งผลร้ายต่อบางคนได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล และไขมัน

 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และน้ำหนักเกิน ควรกินไอศกรีมเป็นครั้งคราวและจำกัดปริมาณ เหตุส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีปริมาณมากทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้


ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่าไอศกรีมเป็นของหวานที่สร้างความสดชื่นในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ ครีม น้ำนม หรือผลิตภัณฑ์นม เช่น ครีม นมผง หางนม โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และมีส่วนผสมของสารให้รสหวานนอกจากน้ำตาล ยังมีกลูโคสไซรับ ฟรุกโตส น้ำผึ้ง หรืออาจมีไขมันพืช ไข่ กะทิเพิ่มด้วย ซึ่งส่วนประกอบต่างๆล้วนแต่เพิ่มน้ำหนักให้กับผู้บริโภคทั้งสิ้น จึงควรเลือกชนิดของไอศกรีมที่เหมาะสมหรือหลีกเลี่ยงไอศกรีมชนิดที่มีไขมันสูง เพราะไอศกรีมบางประเภทโฆษณาว่ามีไขมัน 0% แต่กลับมีน้ำตาลสูงถึง 3.5-6.5 ช้อนชา จึงควรระมัดระวังและไม่ควรกินบ่อย

 

ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ควรเลือกไอศกรีมที่มีส่วนผสมที่มีไขมันน้อย หรือไอศกรีมที่ไม่มีไขมันเลย เช่น ไอศครีมเชอร์เบท หรือไอศครีมหวานเย็น สำหรับผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ควรกินไอศกรีมเป็นครั้งคราวและจำกัดปริมาณไอศกรีมทุกชนิด เนื่องจากส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีอยู่ในปริมาณมากมีผลทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ และสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงไอศกรีมทีมีไขมันสูง หรือไอศกรีมที่มีน้ำตาลสูง ทั้งนี้ ไอศกรีมดัดแปลง 1 แท่งประกอบด้วยไขมันอิ่มตัว นมผง หางนม น้ำตาล ให้พลังงาน 150-230 กิโลแคลอรี่ น้ำตาล 4-5.5ช้อนชา และไอศครีมหวานเย็น บางประเภทแม้จะมีไขมันศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่ประกอบด้วยน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ให้พลังงาน 60-100 กิโลแคลอรี่ น้ำตาล 3.5-6.5 ช้อนชา ซึ่งใน 1 วันเราไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา ในขณะเดียวกันควรดูฉลากโภชนาการเป็นส่วนประกอบก่อนการบริโภค เพื่อให้ทราบปริมาณพลังงาน น้ำตาลหรือไขมัน จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้กินมากเกินไป และเลือกกินไอศกรีมจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพื่อลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากไอศกรีมไม่สะอาด

 

“สิ่งที่ช่วยคลายร้อนได้ดีอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำแข็ง แต่ควรเลือกบริโภคน้ำแข็งที่มีวิธีการผลิตที่ถูกสุขลักษณะได้มาตรฐาน GMP เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์ และเมื่อน้ำแข็งละลายจะต้องใส ไม่มีตะกอนขาวขุ่น ๆ อยู่ก้นแก้ว เพราะความเย็นของน้ำแข็งไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะเชื้ออหิวาตกโรคสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำแข็งเป็นเวลานานถึง 2 วัน ก่อนจะดื่มน้ำที่ผสมน้ำแข็งจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดปลอดภัยด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

 

ข้อมูลจาก :: กรมอนามัย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 23, 2014, 05:53:50 am
ประโยชน์ของมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ไทยที่ต้องลิ้มลอง

-http://health.kapook.com/view93601.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/mangosteen1.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ประโยชน์ของมังคุด สรรพคุณของมังคุด มีมากหลาย วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับมังคุดมาฝาก         

          ย่างเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว นับว่าเป็นข่าวดีของคนทำไร่ทำสวน เพราะจะมีผลไม้ผลิดอกออกผลมาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เงาะ น้อยหน่า หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งมังคุดซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่อร่อยมาก และยังได้ชื่อว่าเป็นราชินีของผลไม้ในประเทศไทยอีกด้วย วันนี้ ทางกระปุกดอทคอมจึงได้นำความรู้และประโยชน์ของมังคุดมาฝากกันค่ะ


มังคุดกับความเป็นมา

          มังคุด เป็นผลไม้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักมังคุดได้เป็นอย่างดี ซึ่งมังคุดมีชื่อเรียกต่าง ๆ และมีความเป็นมา ดังนี้

          มังคุด ชื่อภาษาอังกฤษคือ mangosteen มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia mangostana Linn. มีชื่อเรียกในภาษามลายูว่ามังกุสตาน manggustan ภาษาอินโดนีเซียเรียกมังกีส ภาษาพม่าเรียกมิงกุทธี ภาษาสิงหลเรียกมังกุส เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย

          ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากนั้น ในบริเวณโรงพยาบาลศิริราชยังเคยเป็นที่ตั้งของวังที่มีชื่อว่า "วังสวนมังคุด" ในจดหมายเหตุของราชทูตจากศรีลังกาที่เข้ามาของพระสงฆ์ไทย ได้กล่าวว่ามังคุดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่นำออกมารับรองคณะทูต




ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมังคุด

          มังคุด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ดังนี้

          มังคุดเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-12 เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบเดี่ยว เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง ฉ่ำน้ำ ผลเป็นผลสด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เมื่อแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง ยางสีเหลือง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 เซนติเมตร เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร

          ส่วนของเนื้อผลที่กินได้ของมังคุดเป็นชั้นเอนโดคาร์ป (endocarp) ซึ่งพัฒนามาจากเปลือกหุ้มเมล็ดเรียกว่า aril มีสีขาว มีกลิ่นหอม ส่วนล่างสุดของผลที่เป็นแถบสีเข้มที่ติดอยู่เรียงเป็นวงพัฒนามาจากปลายยอดเกสรตัวเมีย (stigma) มีจำนวนเท่ากับจำนวนเมล็ดภายในผล เมล็ดมังคุดเพาะยากและต้องได้รับความชื้นจนกว่าจะงอก เมล็ดมังคุดเกิดจากชั้นนิวเซลลาร์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิ เมล็ดจะงอกได้ทันทีเมื่อออกจากผลแต่จะตายทันทีที่แห้ง

          มังคุดมีพันธุ์พื้นเมืองเพียงพันธุ์เดียว แต่ถ้าปลูกต่างบริเวณกันอาจมีความผันแปรไปได้บ้าง ในประเทศไทยจะพบความแตกต่างได้ระหว่างมังคุดในแถบภาคกลางหรือมังคุดเมืองนนท์ ที่ผลเล็ก ขั้วยาว เปลือกบาง กับมังคุดปักษ์ใต้ที่ผลใหญ่กว่า ขั้วผลสั้น เปลือกหนา





ประโยชน์ของมังคุด สรรพคุณเพียบ

          มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก ได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินี ส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่หวานอร่อย
 
          เนื้อมังคุด

          มีการนำมังคุดมาประกอบอาหารบ้างทั้งอาหารคาว เช่น แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีการทำมังคุดคัด ด้วยการแกะเนื้อมังคุดห่ามออกมาเสียบไม้รับประทาน ในขณะที่ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทางมังคุดสุกเป็นผลไม้ ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอีก
 
          นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดี และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด

          การรับประทานมังคุดเป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาลอีกด้วย

         เนื้อมังคุด มีเส้นกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่ายและมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

          เปลือกมังคุด

         ส่วนเปลือกของมังคุดมีสารให้รสฝาด คือแทนนิน แซนโทน (โดยเฉพาะแมงโกสติน) ซึ่งแทนนินมีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว ส่วนแมงโกสตินช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี ในทางยาสมุนไพร ใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ ฝนกับน้ำปูนใส แก้ท้องเสีย เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส ใช้รักษาอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย นอกจากนี้ เปลือกมังคุดมีสารป้องกันเชื้อราเหมาะแก่การหมักปุ๋ย ชาวโอรังอัสลีในรัฐเประ ประเทศมาเลเซีย ใช้เปลือกผลแห้งรักษาแผลเปิด

          น้ำมังคุด

          น้ำมังคุดช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการหลั่งสาร Interleukin Iและ Tumor Necrosis Factor ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ลดอาการแพ้ภูมิตนเอง (ในโรค SLE) และลดการอักเสบ ในผู้ป่วยเบาหวาน ตับเสื่อม ไตวาย ข้อเข่าเสื่อม ความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ ความผิดปกติของสมองอันเนื่องจากการอักเสบ



         
มังคุดกินแล้วอ้วนไหม

          หลายคนสงสัยเหลือเกินว่ามังคุดกินแล้วจะอ้วนไหม เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

         แม้มังคุดจะมีรสชาติหวานแต่มีพลังงานต่ำ แคลอรี่น้อย จึงไม่ต้องกลัวอ้วน แถมทางการแพทย์นั้นยังยืนยันว่ามังคุดเป็นอาหารเสริมที่ดีซึ่งช่วยลดความอ้วนได้ด้วยมังคุดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง จึงเป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายทำให้ท้องไม่อืด และป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก


มังคุดมีกี่กิโลแคลอรี่

          ในมังคุด 100 กรัม จะมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้ 

          แคลอรี่ 60-63
          น้ำ 80.20-84.90 กรัม
          โปรตีน 0.50-0.60 กรัม
          ไขมัน 0.10-0.60 กรัม
          แคลเซียม 0.01-8.00 มิลลิกรัม
          เหล็ก 0.20-0.80 มิลลิกรัม
          กรดแอสคอร์ปิก 1.0-2.00 มิลลิกรัม
          คาร์โบไฮเดรต 14.30-15.60 กรัม
          ใยอาหาร 5.00-5.10 กรัม
          เถ้า 0.20-0.23 กรัม
          ซูโครส กลูโคส ฟรุกโตส 16.42-16.62 กรัม
          ฟอสฟอรัส 0.02-12.00 มิลลิกรัม
          ไทอามีน 0.03 มิลลิกรัม


มังคุดป้องกันเชื้อ HIV หรือเปล่า

          มังคุดมีประโยชน์นานัปการ ในส่วนของเชื้อเอชไอวี (HIV) นั้น มังคุดอาจจะไม่ได้ป้องกันเชื้อ HIV แต่ก็ช่วยยับยั้งเชื้อ HIV บางตัว โดย ศ.พิชญ์ ศุภผล อาจารย์วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ดังนี้

        เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติมากหลาย หากนำเปลือกด้านในของมังคุดมาผ่านกรรมวิธีพิเศษทางเคมี จะสามารถสกัดได้สารแซนโทน (Xanthones) ในปริมาณสูง ซึ่งสารดังกล่าวมีสรรพคุณทางการแพทย์ที่สำคัญ คือ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ สมานแผล รักษาเซลล์มะเร็ง ฆ่าเชื้อก่อโรคทางเดินระบบหายใจร้ายแรงได้ และมีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อไวรัส HIV บางตัว

        เช่นเดียวกับ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 เขียนโดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร กล่าวว่า สารสกัดเมทานอลและสารจากเปลือกผลมังคุด ช่วยยับยั้งเอนไซม์โพรทีเอส (HIV-1 pro-tease) ซึ่งเป็นเชื้อที่จำเป็นต่อวงจรชีวิตของเชื้อ HIV และสารสกัดน้ำและสารสกัดเมทานอลจากเปลือกผลมังคุด ยังสามารถยับยั้งเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส (reverse transcriptase) ในเชื้อ HIV อีกด้วย


ประโยชน์ของมังคุด


มังคุดกับการรักษาโรคมะเร็ง

           นอกจากจะยับยั้งเชื้อ HIV บางตัวแล้ว มังคุดยังสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) และ ม.เชียงใหม่ ได้ค้นพบสูตรสารต้านมะเร็งจากมังคุดทั้งลูก

          โดยสารสกัดจากมังคุดช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 (Th1) และ ทีเอช 17 (Th17) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ และน้ำมังคุดยังสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดเทร็ก (Treg) ที่ช่วยจัดระเบียบให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสมดุล ขณะที่ผลทดลองกับผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายพบว่า คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          นอกจากนี้หัวหน้าทีมวิจัย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย กล่าวว่า สารสกัดจากมังคุดสามารถสร้างเม็ดเลือดขาว TH-1 ที่เป็นสารช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และสามารถป้องกันโรคได้โดยเฉพาะเซลล์มะเร็ง


มังคุดต้มสุก หรือ มังคุดนึ่ง ดีจริงหรือ?

          ปัจจุบันคนไทยมักนิยมวิธีการดูแลสุขภาพที่หลากหลาย การนำเอามังคุดมาต้มหรือนึ่ง เพื่อได้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกัน ทำให้มีการแชร์วิธีนี้ในโลกสังคมออนไลน์และมีผู้พูดถึงกันอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่ากินมังคุดด้วยวิธีนี้แล้วจะช่วยป้องกันได้สารพัดโรค ผิวพรรณจะสวย ผ่องใส ซึ่งวิธีดังกล่าวได้มีการอธิบายไว้ ดังนี้

          เนื้อเปลือกของมังคุดมีสารแซนโทนมากกว่า 40 ชนิด หนึ่งในสารดังกล่าวมีสารแอลฟา-แมงโกสติน ซึ่งเป็นผลึกสีเหลืองอยู่ภายในเนื้อเปลือก เป็นสารแซนโทนตัวหนึ่งในกลุ่มสารแซนโทนที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งละลายได้ในน้ำร้อน ทั้งนี้ยังมีสารแซนโทนตัวอื่น ๆ อีก ที่อยู่ในรูปของไกลโคไซด์ ละลายได้ในน้ำ นอกจากกลุ่มสารแซนโทนแล้ว ในเนื้อเปลือกผลมังคุดยังมีกลุ่มสารแอนโทไซยานิและกลุ่มสารแทนนิน แยกเป็นคอนเดนซ์แทนนิน ไฮโดรไลซาเบิลแทนนิน ซึ่งเป็นสารพวกโพลีฟีนอล เมื่อรวมกันเข้าแล้วจึงมีคุณสมบัติร่วมกันอย่างที่นำไปใช้กันอยู่

           การต้ม หรือ การนึ่ง เป็นการทำเพื่อให้สารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเนื้อเปลือกมังคุดซึมออกมา การสกัดสารแบบนี้อาจจะได้สารที่เป็นประโยชน์ไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย

          อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังไม่มีข้อมูล งานวิจัยหรือการทดลองที่แน่ชัด ควรหาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนนำไปปฏิบัติ


น้ำหมักเปลือกมังคุดมีประโยชน์หรือโทษกันแน่

          น้ำหมักเปลือกมังคุด คืออะไร มีประโยชน์หรือโทษอย่างไร มีการอธิบายไว้ ดังนี้

          มังคุดเป็นผลไม้ที่เปลือกมีคุณประโยชน์สูง บางข้อมูลอ้างว่าหมักแค่เปลือกก็ได้คุณประโยชน์มหาศาล ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางก็นิยมนำเปลือกไปสกัดสารออกฤทธิ์เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง แม้แต่น้ำมังคุดยังมีออกจำหน่ายเป็นบิวตี้ดริงค์ ในมังคุดมีสารที่เรียกว่า แซนโทน (xanthones) ซึ่งมีมากในเปลือก ผล และเมล็ด มีน้อยในเนื้อผล ทำให้หลายคนที่มีความเชื่อเรื่องคุณประโยชน์ในเปลือกมังคุด นิยมทำน้ำหมักเปลือกมังคุดรับประทาน

          ทั้งนี้ อย. ได้มีการให้ข้อมูลว่า ในมังคุด มีสารแซนโทน (xanthones) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และแก้แพ้ อย่างไรก็ตาม ยังขาดข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่สนับสนุนว่าการบริโภคมังคุดสามารถมีฤทธิ์รักษาโรคดังกล่าวได้ จึงได้เตือนประชาชนผู้บริโภคว่า อย่าหลงเชื่อการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะการหวังผลในการบำบัดรักษา หรือบรรเทาอาการของโรค





เมล็ดมังคุดทานได้ไหม

          หลายคนชอบทานมังคุดเป็นอย่างมาก พอทานแล้วเคี้ยวเพลิน ๆ ก็อยากจะเคี้ยวเมล็ดมังคุดลงไปด้วย ทั้งนี้การทานเมล็ดมังคุดนั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่เมล็ดมังคุดอาจมีรสฝาด ทำให้ไม่นิยมทานกันเท่าที่ควร และอาจยังทำให้ติดคอเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นหลีกเลี่ยงการกลืนเมล็ดมังคุดเมล็ดใหญ่ ๆ ย่อมจะเป็นการดีกว่า

          ทั้งนี้ กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ปกติหลายคนมักจะทิ้งเปลือกและเมล็ดมังคุดไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ทราบประโยชน์ ซึ่งความจริงแล้วในเมล็ดมังคุดมีกรดไลโนเลอิก ที่ร่างกายต้องการและสร้างขึ้นไม่ได้ ต้องรับจากอาหารภายนอกเท่านั้น หากรับประทานมังคุดแล้วเคี้ยวเมล็ดกลืนไปด้วยจะได้รับประโยชน์จากกรดนี้

          นอกจากนี้ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 เขียนโดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ให้ข้อมูลว่า บางประเทศนิยมนำเมล็ดของมังคุดมาต้มหรือคั่วกินเป็นของว่างอีกด้วย





โทษของมังคุด

          ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่าง ๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

          นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ

          ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 25, 2014, 11:12:09 pm
เล็บครุฑ - เรื่องน่ารู้


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254640/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


มีคุณสมบัติในเรื่องความเย็น แก้ร้อนใน ดับอาการกระหายน้ำและคลายร้อน ลดไข้ ถอนพิษต่าง ๆ และสามารถนำมาเป็นส่วนของการถนอมอาหารเพื่อลดการเกิดเชื้อราในอาหาร
วันศุกร์ 25 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

เล็บครุฑเป็นพืชที่รับประทานได้ นิยมนำมาประกอบอาหาร ภาคใต้นิยมนำมาทำทอดมัน ใช้แกง เช่น แกงคั่ว หรือรับประทานแบบสด ๆ เป็นผักแกล้มกับขนมจีน  มีคุณสมบัติในเรื่องความเย็น แก้ร้อนใน ดับอาการกระหายน้ำและคลายร้อน ลดไข้ ถอนพิษต่าง ๆ และสามารถนำมาเป็นส่วนของการถนอมอาหารเพื่อลดการเกิดเชื้อราในอาหาร เช่น นำมาผัดกับ หอม กระเทียม ตะไคร้ ส่วนผสมของน้ำพริกก่อนตำเพื่อให้น้ำพริกมีอายุการใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่ต้องใช้สารกันบูดเป็นต้น


------------------------------------------------------

ฟักทอง - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254476/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

มีกากใยสูงสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้ดี เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง
วันพฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ฟักทอง ถ้าเอามาแกงเรียกเป็นผัก ถ้าเอามาทำขนมเรียกเป็นผลไม้ ในทาง สมุนไพรไทย ฟักทองเป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย เหมาะแก่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก มีกากใยสูงสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้ดี เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี.

--------------------------------------------------------------------

ข้าวโอ๊ต - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/254193/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%8A%E0%B8%95+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ จึงลดลงด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ส่วนเส้นใยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นการเพิ่มปริมาณกากอาหาร
วันพุธ 23 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

คุณสมบัติเด่นของข้าวโอ๊ตคือมีเส้นใยอาหารสูง เมื่ออาหารเดินทางเข้าสู่ลำไส้ที่มีน้ำ เส้นใยอาหารก็จะกลายสภาพคล้ายวุ้นเมือกไปจับกับน้ำดี ซึ่งร่างกายใช้คอเลสเตอรอลในเลือดเป็นตัวหลักในการสร้างน้ำดีเมื่อน้ำดีถูกจับ ร่างกายก็จะดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาสร้างน้ำดีใหม่ คอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะลดลง ความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ จึงลดลงด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ส่วนเส้นใยที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นการเพิ่มปริมาณกากอาหาร กระตุ้นให้อยากถ่ายเร็วขึ้น ช่วงเวลาที่สารพิษและสารกระตุ้นมะเร็งในอุจจาระสัมผัสลำไส้มีน้อยลง ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากข้าวโอ๊ตจะเป็นอาหารเพื่อบำรุงร่างกายแล้ว ยังช่วยดูแลความสวยความงามได้อีกด้วย เนื่องจากวิตามินอีในข้าวโอ๊ตเป็นกลีเซอรีนธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://prayod.com/ (http://prayod.com/)).

------------------------------------------------------------------------

มอลต์ - เรื่องน่ารู้

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/253909/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%8C+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


มอลต์ยังให้กากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร มอลต์ยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย ได้แก่ โปรตีนที่เสริมสร้างการเติบโต แคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอบำรุงสายตา
วันอังคาร 22 กรกฎาคม 2557 เวลา 00:00 น.

ประโยชน์จากมอลต์ มอลต์สกัดจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์ขณะกำลังแทงยอดและรากอ่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดข้าวอุดมด้วยสารอาหาร มีเอนไซม์อะไมเลสที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ง่าย และยังมีน้ำตาลมอลโตส ที่ร่างกายจะดูดซึมช้าๆ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานต่อเนื่อง ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ มอลต์ยังให้กากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร  มอลต์ยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย ได้แก่ โปรตีนที่เสริมสร้างการเติบโต แคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอบำรุงสายตา วิตามินซีอาหารผิวและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และมีวิตามินบีหลายชนิด ทั้ง บี 1, 2, 5, 6, 12 เป็นสารอาหารจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท บำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับ (ขอบคุณข้อมูลจาก www.goodfoodgoodlife.in.th/ (http://www.goodfoodgoodlife.in.th/))
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 08:18:59 pm
แกัวมังกร สุดยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view93935.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แก้วมังกร ผลไม้รูปร่างแปลกที่มีคุณอนันต์ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

          อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ผลไม้คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่หลายคนเลือกเพื่อใช้ดับความร้อนและดับกระหาย ไม่ว่าจะเป็น มังคุด แตงโม ฝรั่ง หรือแม้แต่เสารรส แต่ทราบกันไหมคะว่าจริง ๆ แล้ว แก้วมังกรก็เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อนได้ดีเช่นกัน แถมยังมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพด้วยอีก วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลของแก้วมังกรมาฝากกันค่ะ

ต้นกำเนิดของแก้วมังกร

          แก้วมังกร มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dragon Fruit ชาวยุโรปเรียกว่า Pitaya ส่วนคนเวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง และชาวกัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose. มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาปลูกในเวียดนามเมื่อ 100 ปีก่อน ในเวียดนามชาวเกษตรกรนิยมปลูกกันมากเพราะถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเพื่อเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู่ บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์

          ส่วนในประเทศไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จัก กระทั่งเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจ ทั้งนี้ แก้วมังกรสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญนั้นอยู่ในจังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรี และสมุทรสงคราม ผลผลิตจะมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน

แก้วมังกร

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแก้วมังกร

          มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร มีรากทั้งในดินและรากอากาศ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ชอบแสงแดดพอเหมาะ โล่งแจ้ง แต่ไม่แรงกล้าเกินไป ดอกสีขาว ขนาดใหญ่กลีบยาวเรียงซ้อนกัน บานตอนกลางคืน ผลมีรูปร่างกลมรี เปลือกมีสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวหรือแดงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้น ๆ มีเมล็ดคล้ายเมล็ดแมงลักฝังอยู่ทั่วผล แก้วมังกรมีทั้งหมด 3 พันธุ์ได้แก่

          พันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง มีลักษณะเปลือกสีชมพูสด ปลายกลีบสีเขียว รสหวานอมเปรี้ยวหรือหวานจัด

          พันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง มีลักษณะเปลือกสีเหลือง ผลเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ เนื้อสีขาว เมล็ดขนาดใหญ่และมีน้อยกว่าพันธุ์อื่น มีรสหวาน

          พันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง หรือพันธุ์คอสตาริกา มีลักษณะ เปลือกสีแดงจัด ผลเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง แต่รสจะหวานกว่า

แก้วมังกร

ประโยชน์ของแก้วมังกร สรรพคุณอันน่าทึ่ง

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงามอีกด้วย มักใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เพราะเนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่ม และแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำ

          สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลว่า แก้วมังกรสารที่มีประโยชน์คือ มิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย และควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวานในชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ สามารถช่วยในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย ช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุตตัน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน         
 
          ขณะที่ กรมวิชาการเกษตร ก็ให้ข้อมูลว่า ในแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงนั้น ยังมีสารไลโคปีนซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
 
          นอกจากนี้แก้วมังกรยังมีประโยชน์อีกอีกมากมาย ดังนี้

          ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น และมีส่วนช่วยในชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ
          ช่วยดับร้อนและดับกระหาย
          ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง เพราะมีวิตามินซีสูง
          ช่วยบรรเทาอาการโรคความดันโลหิตได้
          ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
          ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
          ช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง
          มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก
          ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่าง ๆ ให้ดีขึ้น


แก้วมังกร

คุณค่าทางอาหารของแก้วมังกร         

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และผู้ป่วยที่กำลังฟื้นตัว แก้วมังกรอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก รวมทั้ง วิตามินบี1 บี2 บี3 วิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน และแคลเซียม ซึ่งหากเราประทานแก้วมังกร 1 ลูก น้ำหนัก 100 กรัม ร่างกายจะได้ สารอาหารในปริมาณดังนี้

          คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม
          โปรตีน 1.4 กรัม
          ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
          แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 7 มิลลิกรัม
          พลังงาน 66 กิโลแคลอรี่
          ใยอาหาร 2.6 กรัม

   
กินแก้วมังกรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ได้หรือเปล่า

          หลายคนคงสงสัยว่า แก้วมังกรนั้นกินแล้วจะสามารถลดความอ้วนได้หรือไม่ เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเป็นผลไม้สารมิวซิเลจ (Mucilage) ซึ่งมีในเฉพาะในตระกูลกระบองเพชร มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย สามารถรับประทานทดแทนการอาหารเย็นได้ ซึ่ง แพทย์หญิง พร้อมพรรณ พฤกษากร แพทย์อายุรกรรมต่อมไร้ท่อ ศูนย์ศรีพัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้ระบุว่าแก้วมังกรเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ใช้ในการลดความอ้วน


แก้วมังกร

คนท้องกินแก้วมังกรได้ไหม

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง เพราะมีธาตุเหล็ก และวิตามินซีสูง ช่วยในการกระตุ้นต่อมน้ำนมของสตรี ดังนั้น ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถทานได้แน่นอนค่ะ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะแก้วมังกรมีไฟเบอร์สูงทำให้อิ่มง่ายแต่ให้พลังงานน้อย จึงควรรับประทานเพียงแต่พอดีค่ะ

โทษของแก้วมังกรมีไหม

          มีความเชื่อที่ว่าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อของแก้วมังกรนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ทำให้ผู้คนมากมายไม่กล้ารับประทานแก้วมังกร แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากจะยังไม่มีการศึกษาใดที่ยืนยันความเชื่อนี้แล้ว ยังมีผลการศึกษาพบว่าเจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ในเนื้อแก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วย สารกลุ่ม FOS ในปริมาณสูง มีคุณสมบัติเป็นสาร Prebiotic ที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ และมีฤทธิ์ในการดูดซับสารเคมีและสารพิษในร่างกาย

          นอกจากนี้ เจ้าเมล็ดสีดำเล็ก ๆ เหล่านี้ยังมีกรดไขมันซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากร่างกายและช่วยกระตุ้นในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีได้อีกด้วย ซึ่งอย่างไรก็ตาม ถึงแม้แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะค่ะ

          การรับประทานผลไม้ไม่ว่าอย่างไรก็มีประโยชน์ หากเรารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ และที่สำคัญเราควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ อย่างถูกหลักโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/dragonfd.jpg)


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/dragonfr.jpg)


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Fruit/Thaifruit/drag.jpg)


.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 31, 2014, 06:20:15 am
สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

-http://cooking.kapook.com/view94031.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

          แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

          เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ทำน้ำมะนาวผสมโซดาเพียว ๆ ไร้รสชาติใด ๆ ดื่มจนเบื่อ แล้วเกิดอยากจะลองทำน้ำมะนาวโซดาแบบมีรสชาติใหม่ ๆ ดื่มดูบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มี 10 สูตรน้ำมะนาวโซดามาฝาก ที่ไม่ใช่แค่มะนาวกับโซดาเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่า จะมีสูตรไหนโดนใจกันบ้าง

1. น้ำมะนาวโซดา

          ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
           
           น้ำตาลทราย

           น้ำ

           น้ำมะนาวคั้น

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม



สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
           
          น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
           
           น้ำผึ้ง

           น้ำมะนาว

           โซดา

           น้ำแข็ง

           มะนาวฝานเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

          ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/dc03-Watermelon%20Lime%20Soda.jpg)
ดูวิธีทำได้ที่ Completely Delicious
-http://www.completelydelicious.com/2013/05/watermelon-lime-soda.html-

3. แตงโมมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว

ส่วนผสม

           แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

           โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

           เปลือกมะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/dc04%20Raspberry%20Key%20Lime%20Italian%20Soda.jpg)
ดูวิธีทำได้ที่ Will Cook for Smiles
-http://www.willcookforsmiles.com/2013/06/float-party-and-raspberry-key-lime-italian-soda.html-

4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ

ส่วนผสม
         
           ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           มะนาว 2 ลูก

           น้ำ 1/3 ถ้วย

           โซดา

วิธีทำ
         
          1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


5. เลมอนมินต์ม็อกเทล
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ

ส่วนผสม
         
           เลมอนเหลือง 1 ลูก

           ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

           น้ำเชื่อม

           น้ำแข็ง

           โซดา

วิธีทำ

          1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน
         
          2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ดูวิธีทำได้ที่ Jen's Favorite Cookies
-http://jensfavoritecookies.com/2013/03/01/grapefruit-soda/-

6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

ส่วนผสม
         
           เกรปฟรุต 3 ลูก

           เลมอน 2 ลูก

           มะนาว 1 ลูก

           โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย

วิธีทำ

          1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


7. น้ำขิงมะนาวโซดา
           
          น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ

ส่วนผสม

           ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

           น้ำมะนาว 1 ถ้วย

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำแข็ง

           โซดาแช่เย็นจัด

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา
         
          2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม
         
          3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


-http://www.peanutbutterandpeppers.com/2013/07/12/cherry-lime-soda/-
ดูวิธีทำได้ที่ Peanut Butter and Peppers

8. เชอร์รีมะนาวโซดา
         
          เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ

ส่วนผสม
         
           น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

           สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
         
          ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา
         
          ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine

ส่วนผสม

           น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

           เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

           โซดา 1/2 ถ้วย

           น้ำแข็งตามชอบ

วิธีทำ
           
          บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Baked Bree
-http://bakedbree.com/mint-lime-tea-cooler-

10. ชามะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย

ส่วนผสม

           น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

           น้ำ 2/3 ถ้วย

           ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

           ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ

          1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที
         
          3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

          ว้าว เครื่องดื่มล้างพิษที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวโซดาแต่ละเมนูน่าดื่มทั้งนั้นเลย ใครที่รักสุขภาพ หรือกำลังมองหาเครื่องดื่มอร่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็ลองเข้ามาจดสูตรกันได้เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 02, 2014, 06:58:01 am
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 02, 2014, 07:11:36 am
เครื่องดื่มที่ช่วยกำราบพุงให้อยู่หมัด

-http://guru.sanook.com/9567/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94/-


นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและลดหน้าท้อง ให้คุณหนุ่มๆ ได้แล้ว การดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีง่ายๆ ที่สามารถลดพุงสลายไขมันหน้าท้อง เพื่อให้คุณมีหน้าท้องแบบราบได้เหมือนกันวันนี้เราก็มีตัวอย่าง เครื่องดื่มสำหรับลดพุงมาฝากกันนะค่ะ

1. ชามิ้นต์
          ด้วยคุณสมบัติของมิ้นต์ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์หรือสเต็ก ก็จะถูกย่อยได้อย่างรวดเร็ว แถมยังลดอาการท้องอืดพร้อมเร่งการขับถ่ายได้อีกด้วย

2. ชาเขียว
          อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวสามารถช่วยลดความอ้วน และควบคุมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า "คาเทซิน" ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ เพียงจิบชาเขียวก่อนออกกำลังกายก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในระหว่าง นั้นได้แล้ว

3. นมถั่วเหลือง
          ถั่วเหลืองมีสารแลคตินที่ช่วยป้องกันการสะสมไขมันของเซลล์ในร่างกาย พร้อมกับช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เพียงดื่มนมถั่วเหลือง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี

4. น้ำเปล่า
          เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากที่สุด และยังดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายทั้งยังลดอาการบวมน้ำได้ด้วย

5. น้ำแตงโม
          มีสารอาหารมากมายรวมถึงไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอาร์จินีน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ระบุว่า น้ำแตงโม ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ แต่คุณก็ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่กันไปด้วย

6. น้ำสับปะรด
          สับปะรดมีสารที่เรียกว่า "โบรมีเลน" ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนทำให้การย่อยอาหารง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ผสมลงในน้ำสับปะรดก็ถือว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เพราะมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างสูง (จากการศึกษาพบว่าหากกินไขมันประเภทนี้ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเล สเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ไขมันโมเลกุลเดี่ยวที่ไม่อิ่มตัวยังมีส่วนป้องการเกิดโรคหัวใจได้)

          ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็ควรจะรับประทานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย เพราะหากรับประทานน้อยเกินไปก็อาจจะขาดสารอาหาร หรือมากเกินไปก็อาจเกิดการสะสมในร่างกาย อย่างไรก็ดีควรหาเวลาออกกำลังกายควบคู่กันไป พร้อมๆ กับการรับวิตามินและสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกของคุณเองด้วยนะค่ะ

 

ที่มาข้อมูลและภาพ postjung.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 08:33:41 am


ปัจจุบันความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น
วันอังคาร 29 กรกฎาคม 2557 เวลา 15:52 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/PR/13/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%81...%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ปัจจุบันความรู้ทางด้านอาหารและโภชนาการมีความก้าวหน้ามากขึ้น พบว่าอาหารที่เรารับประทานกันทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มาจากพืชหรือสัตว์ต่างก็มีองค์ประกอบที่มีผลต่อการทำงานของร่างกาย และส่งผลต่อสุขภาพของคนเราทั้งสิ้น เพราะอาหารไม่เพียงแต่มีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังมีสารที่มีผลต่อการทำงานของร่างกายคล้ายยาซึ่งเราเรียกว่า “สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ” (Bioactive compound) ซึ่งอาหารที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพนี้จะถือว่าเป็น อาหารฟังก์ชั่น นั่นเอง โดยแนวคิดเรื่องอาหารเป็นยา (Food as medicine) หรือช่วยส่งเสริมสุขภาพนี้ ที่แท้จริงมีมากว่า 2,500 ปี โดยฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีก หรือแม้แต่การแพทย์แผนตะวันออกก็มีการใช้มาอย่างกว้างขวางยาวนานเช่นกัน

อาหารฟังก์ชั่นชนิดนึงที่นิยมกันอย่างมากของคนจีนเป็นเวลานานนับพันปี คือ รังนกแอ่นกินรัง (Edible-nest Swiftlet) ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่มักใช้มอบเป็นของขวัญให้กับเชื้อพระวงศ์และข้าราชการระดับสูง ปัจจุบันรังนกยังถือเป็นของหายากและมีราคาแพงมากจนได้รับฉายาว่าเป็น คาร์เวียร์แห่งโลกตะวันออก หรือ ทองคำขาวแห่งท้องทะเล โดยแพทย์แผนจีนจะใช้รังนกเป็นส่วนผสมในตำรับยาเพราะเชื่อกันว่า รังนกมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีในการฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วย ช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ บำรุงสุขภาพเด็กที่ไม่แข็งแรง และยังเชื่อกันอีกว่า รังนกช่วยเสริมสุขภาพระบบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ทั้งยังมีการกล่าวว่าการรับประทานรังนกช่วยให้อายุยืนและชะลอความชรา เป็นต้น

ปัจจุบันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า รังนกมีโปรตีนแบบพิเศษที่มีโครงสร้างเหมือนกับ Epidermal Growth Factor (EGF) ที่มีอยู่ในคน ซึ่งตามธรรมชาติแล้ว EGF จะมีประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกาย และมีการศึกษาพบว่า EGF ยังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว (Leukocytes) ซึ่งทำหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้คณะนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยังพบว่า ในรังนกมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยไกลโคโปรตีนในรังนกแอ่นแท้ จะทำหน้าที่จับกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ จึงช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าจับกับเซลล์ในร่างกายได้ เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาของทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่น พบว่า สัตว์ทดลองที่กินสารสกัดจากรังนกจะมีความแข็งแรงของกระดูกเพิ่มขึ้นโดยวัดจากค่าปริมาณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เพิ่มขึ้น และมีค่าไฮดรอกซี่โพรลีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจนเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นรังนกจึงอาจมีประโยชน์ในการเพิ่มมวลกระดูกและช่วยเรื่องผิวพรรณในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ ปัจจุบันยังคงมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องว่าสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีอยู่ในรังนกจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างไรอีกบ้าง

สำหรับประเทศไทยพบว่ามีระบบสัมปทานรังนกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณการเก็บรังนก ซึ่งช่วยอนุรักษ์พันธุ์นกแอ่นกินรังให้อยู่รอดปลอดภัยตลอดมา เพราะมีการดูแลพื้นที่กันอย่างเข้มงวดและดำเนินการทุกวิถีทางที่จะรักษาประชากรนกแอ่นกินรังให้คงอยู่หรือเพิ่มประชากรมากขึ้นเพื่อที่จะได้มีผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในแต่ละรอบฤดูกาลต่อไป ปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดให้เก็บรังนกได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง ผู้รับสัมปทานจะต้องจัดการเก็บรังให้สอดคล้องกับวงจรชีวิตของนก คือ เก็บรังก่อนที่นกจะวางไข่ โดยเก็บครั้งแรกในเดือนมีนาคม ครั้งที่สองในเดือนพฤษภาคม จากนั้นปล่อยให้นกทำรังและวางไข่ จนกระทั่งลูกนกฟักออกมาและเติบโตแล้ว เมื่อลูกนกเติบโตเต็มที่แล้วนกจะไม่ใช้รังอีก จึงเข้าเก็บรังครั้งสุดท้ายในเดือนสิงหาคม และไม่เข้าไปในถ้ำอีกจนกว่าจะถึงฤดูกาลเก็บรังนกปีต่อไป หากมีรังนกถูกทิ้งไว้กับผนังถ้ามีแร่ธาตุมาเกาะพอกพูนจนกลายเป็นหิน ทำให้นกเสียพื้นที่ทำรังในฤดูผสมพันธุ์ครั้งใหม่ การเก็บรังนกจึงถือเป็นการช่วยเปิดพื้นที่ให้นกได้ทำรังใหม่ได้สะดวกขึ้นตามวงจรชีวิตในธรรมชาติ

ส่วนรังนกแดง แต่เดิมเชื่อว่าเกิดจากการสำรอกออกมาจนมีเลือดปน ความเชื่อนี้ไม่จริง เพราะถ้าเป็นเลือดจริงมันจะถูกอากาศออกซิไดซ์โปรตีนให้รังนกนั้นเป็นสีดำมากกว่า สำหรับสีแดงที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากอาหารและสภาพแร่ธาตุในถ้ำของถิ่นที่อยู่อาศัย

เนื่องจากรังนกแท้มีราคาแพงขึ้นอย่างมากจนทำให้มีการผลิตรังนกปลอมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากจนไม่สามารถแยกได้ด้วยการมองตาเปล่า รังนกปลอมส่วนใหญ่จะผลิตจากยางไม้ชนิดหนึ่ง คือ ยางคารายา เมื่อนำมาต้มจะคล้ายรังนกแต่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทุกวันนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจสอบความแตกต่างของรังนกแท้และรังนกปลอมได้โดยใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปคโตรสโคปี (Infrared spectroscopy) ซึ่งรังนกแท้จะมีรูปแบบของอินฟราเรดสเปคตรัม (Infrared spectrum) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรังนกแท้ นอกจากการตรวจด้วยเทคนิคนี้แล้ว ยังจะต้องตรวจวิเคราะห์ทางเคมีอีกด้วย ดังนั้นในการเลือกซื้อรังนกควรเลือกที่มีฉลากระบุผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือในขบวนการตรวจสอบวัตถุดิบรังนกที่ใช้ในการผลิต มีเครื่องหมาย อย.รับรอง และมีราคาเหมาะสม

ด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของรังนกแท้นี้เอง เลยทำให้รังนกแอ่นกินรังแท้กลายเป็นอาหารฟังก์ชั่นที่ได้รับความนิยมและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในหมู่คนรักสุขภาพในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามโปรดระลึกไว้เสมอว่า อาหารฟังก์ชั่นไม่ใช่อาหารหลัก จึงไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ แต่เป็นอาหารที่รับประทานเพื่อเสริมจากอาหารหลักที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในการส่งเสริมสุขภาพ สิ่งสำคัญต้องหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งการรับประทานอาหารให้หลากหลาย ครบทุกหมวดหมู่ หมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้แจ่มใสและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย

เอกสารอ้างอิง

Fucui Ma and Daicheng Liu. Sketch of the edible bird's nest and its important bioactivities. Food Res Inter. 2012; 48: 559–567.
Guo, C. T., Takahashi, T., Bukawa, W.Takahashi, N.,Yagi, H., Kato, K., Hidari, K. I. P. J., Miyamoto, D., Suzuki, T. and Suzuki, Y. (2006). Edible Bird’s Nest Extract Inhibits Influenza Virus Infection. Antiviral Res 70: 140-146.
Kong Y.C., Tsao S.W., Song M.E. and Ng M.H. (1989) Potentiated of mitogenic response by extracts of the swiftlet's (Apus) nest collected from Huai-Ji. Acta Zoologica Sinica. 35: 429-35.
Kong, Y. C., Keung, W. M., Yip, T. T., Ko, K. M., Tsao, S. W. and Ng, M. H. (1987). Evidence that Epidermal Growth Factor is Present in Swiftlets (Collocalia) Nest. Comp Biochem Physiol 87(2): 221-226.
Lim C.K. and Earl of Cranbrook (2002). Swiflets of Borneo: Builders of Edible Nests. Borneo: Natural History Publications.
Matsukawa N., et al. Improvement of bone strength and dermal thickness due to dietary edible bird’s nest extract in ovariectomized rats. Biosci. Biotechnol. Biochem., 2011; 75 (3): 590-592.
Ng MH, Chan KH and Kong YC (1986). Potentiation of mitogenic response by extracts of the swiftlet’s (Collocalia) nest. Biochem Int 13: 521-531.
Norhayati, M.K., Azman, O. and Nazaimoon, W.M. (2010), “Preliminary Study of the Nutritional Content of Malaysian Edible Bird’s Nest”, Mal J Nutr 16(3): 389-396.
Yagi H, Yasukawa N, Yu SY, Guo CT, Takahashi N, Takahashi T, Bukawa W, Suzuki T, Khoo KH, Suzuki Y, and Kato K. (2008). The expression of sialylated high-antennary N-glycans in edible bird's nest. Carbohydr Res 343 (8): 1373-7.
นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล. รังนกทรรศนะแพทย์จีน.หมอชาวบ้าน ปี33 ฉบับที่ 389 (2554): 10-18.
ประทุมทอง. หมู่เกาะสี่ เกาะห้า และปริศนา ทองคำขาว. ไทยแลนด์จีโอกราฟฟิค ปี18 ฉบับที่ 138 (2556): 54-89.
มิ่งขวัญ วัตพนาศรัย. นกแอ่นกินรัง ความหวังแห่งชีวิต. ไทยแลนด์จีโอกราฟฟิค ปี19 ฉบับที่ 139 (2556): 72-103.

ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์
ชมรมโภชนวิทยามหิดล

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 09, 2014, 07:07:32 pm
ผักกระเฉด   ถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดินที่ให้ประโยชน์ต่อดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เติบโตได้ดีทั้งในน้ำและบนบก มีวิตามินซีสูง
วันเสาร์ 9 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257986/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%94+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ผักกระเฉด ถ้าขึ้นบนดิน ก็เป็นพืชคลุมดินที่ให้ประโยชน์ต่อดิน  เป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับผักบุ้ง เติบโตได้ดีทั้งในน้ำและบนบก มีวิตามินซีสูง ช่วยในการมองเห็นโดยเฉพาะภาวะที่มีแสงน้อย มีแคลเซียม ป้องกันภาวะกระดูกพรุน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ มีธาตุเหล็ก ป้องกันภาวะโลหิตจาง  คนไทยเมื่อครั้งอดีตใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมาบางพื้นที่นำผักกระเฉดมาตำผสมกับเหล้าโรงใช้หยอดบริเวณฟันบรรเทาอาการปวดฟัน.


------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------


สรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน น้อยกว่าผักบุ้งจีน หากรับประทานสด ๆ ได้ จะทำให้คุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เสียไปกับความร้อน
วันศุกร์ 8 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257829/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ผักบุ้ง สรรพคุณมีมากมาย โดยในผักบุ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี และประกอบด้วยเส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ อีก เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ผักบุ้งไทยนั้นจะมีวิตามินซีสูง และสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน น้อยกว่าผักบุ้งจีน หากรับประทานสด ๆ ได้ จะทำให้คุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เสียไปกับความร้อน ประโยชน์ของผักบุ้งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล ช่วยชะลอวัยความแก่ชรา และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง สายตาสั้น อาการคันนัยน์ตาบ่อย ๆ เป็นต้น.





------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------


หอยขมแก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร
วันพฤหัสบดี 7 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/257593/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

คนไทยสมัยก่อนใช้ประ โยชน์จากหอยขมเพื่อเข้ายาแบบแพทย์แผนไทย  โดยใช้เข้าตำราทั้งเนื้อ เปลือก เพื่อแก้กระษัยปวดเมื่อยตามร่างกาย กระษัยท้องมาน กระษัยลิ้นกระบือ อัมพาต แก้ธาตุดินพิการ บำรุงกระดูก รักษาอาการปวดกระดูก ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงถุงน้ำดี บำรุงลำไส้ แก้ต้อต่าง ๆ แก้ริดสีดวงทวาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ ขับนิ่ว ขับนิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาลาย ชาตามมือตามเท้า บำรุงกำลัง แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้กามโรค แก้บิด แก้ปวดมวนท้อง หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เป็นต้น.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 09:16:52 am
มังคุด สรรพคุณและประโยชน์ของมังคุด 45 ข้อ!

-http://guru.sanook.com/27263/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-45-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



มังคุด ภาษาอังกฤษ Mangosteen ส่วนมังคุดชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linn. จัดอยู่ในวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) เช่นเดียวกับกระทิง ติ้วเกลี้ยง ติ้วขน ชะมวง บุนนาค มะดัน มะพูด รงทอง ส้มแขก และสารภี


เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ และยังเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากในแถบเอเชีย โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of Fruits) อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผล ที่มีกลับบนหัวคล้ายๆกับมงกุฎของพระราชินี เป็นผลที่จัดว่ามีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง โดยประโยชน์ของมังคุดไม่ได้อยู่แค่เนื้อที่เรานิยมรับประทานกันเท่านั้น ประโยชน์ของเปลือกมังคุดก็มีมากมายในการรักษาโรคได้เช่นกัน

ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่างๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย) ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว (สิงหาคม พ.ศ.2555) ได้มีการเปิดตัวผลงานวิจัย “สูตรสารธรรมชาติ ต้านมะเร็งจากมังคุด” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นกาต่อยอดยำเอาคุณประโยชน์ของสารสกัดจีเอ็ม-1 ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสกัดมาจากเปลือกมังคุดสูตรธรรมชาติที่ผสมกับสารสกัดจากงาดำ ฝรั่ง ถั่วเหลือง ใบบัวบก จนได้เป็นอาหารเสริมชนิดดีที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยมีผลช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาวทีเอช 1 ที่ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวชนิดทีเอช 17 ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขณะที่ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ประโยชน์ของมังคุด

1.รับประทานสดเป็นผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ อย่าง น้ำมังคุด และน้ำเปลือกมังคุด
2.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย
3.มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่างๆได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
4.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แข็งแรง
5.ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง
6.มีส่วนช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)
7.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8.ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
9.มังคุดรักษาสิว เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยัยยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดีอีกด้วย
10.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
11.ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
12.การรับประทานมังคุดเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ
13.สารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 และ ทีเอช 17 มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้
14.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ อย่าง เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
15.ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
16.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหัวใจ
17.ช่วยลดความดันโลหิต
18.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
19.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด
20.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย
21.มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาล
22.ช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
23.มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
24.มีส่วนช่วยบำรุงและรักษาสายตา
25.ช่วยบำรุงสุขภาพช่องปากและเหงือกให้แข็งแรง
26.ช่วยลดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
27.ช่วยรักษาและสมานแผลในช่องปากหรือปากแตกให้หายเร็วยิ่งขึ้น
28.ไฟเบอร์จากมุงคุดช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
29.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง จุกเสียด เกิดแก๊สในกระเพาะและการดูดซึมอาหารบกพร่อง
30.สรรพคุณมังคุด ในทางสมุนไพรจะช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ นำมาฝนกับน้ำปูนใส
31.ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อาการถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เปลือกสดหรือแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเหมือนกัน
32.ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ในสภาวะปกติ
33.ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
34.มีส่วนช่วยป้องกันอาการตับเสื่อม ไตวาย
35.ช่วยรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ
36.เปลือกของมังคุดมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว
37.ช่วยต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และไวรัสต่างๆ อย่างเชื้อวัณโรค เชื้อ HIV เป็นต้น
38.ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (เปลือก)
39.ช่วยยับยั้งการเกิดและใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อย่าง กลากเกลื้อน ผดผื่นคันต่างๆ ด้วยการใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมาทาบริเวณที่เป็น
40.มังคุดสรรพคุณ ทางยาสมุนไพรใช้เพื่อรักอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย ด้วยการใช้เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส
41.เปลือกมังคุดมีสารช่วยป้องกันเชื้อราจึงเหมาะแก่การหมักปุ๋ย
42.นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ยำ มังคุดลอยแก้ว ซอสมังคุด เป็นต้น
43.นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง มังคุดกวน แยมมังคุด มังคุดแช่อิ่ม ท๊อฟฟี่มังคุด
44.มังคุดมีสารจีเอ็ม-1 ซึ่งใช้เป็นประกอบในเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
45.นำมาแปรรูปเป็นสบู่เปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเต่า รักษาสิวฝ้า บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง

ที่มาข้อมูล www.frynn.com (http://www.frynn.com)

ที่มารูปภาพ www.gettyimages.com (http://www.gettyimages.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 09:54:35 am
ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู
วันเสาร์ 16 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259608/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/795854.jpeg)

คนไทยเมื่ออดีตใช้ต้นและใบผักหวานบ้านตำผสมกับรากอบเชยใช้เป็นยาพอกรักษาแผลในจมูก ตำรับยาหมอพื้นบ้านบางพื้นที่ใช้รากเข้าตำรับยาฝนแก้อาการเจ็บในปาก ปากเหม็น ผักหวานบ้านเป็นผักที่มีรสหวานเย็น จึงช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้  รากใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ ช่วยแก้ซาง พิษซาง ต้นและใบใช้ตำผสมกับสารหนู ใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนังติดเชื้อ  รากและใบ นำมาตำให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกรักษาฝี แก้แผลฝี เป็นต้น.


------------------------------------------------------------------------------------

เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด
วันพฤหัสบดี 14 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259226/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/794351.jpeg)

เห็ดแห้งเป็นการถนอมเห็ดไว้รับประทานนาน ๆ ทำโดยเอาน้ำออกจากดอกเห็ด เพื่อหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลส์เห็ดรวมทั้งจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งใน และรอบ ๆ ดอกเห็ด ทำได้หลายวิธี ตากแดด เตาอบแสงอาทิตย์ เป็นต้น ขั้นตอนการทำ เริ่มด้วยแช่น้ำเย็นประมาณ 30 นาที เรียงดอกเห็ดลงในตะแกรงนำไปตากแดด กลับดอกเห็ดทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อดอกเห็ดเริ่มหมาดนำมาเทรวมกันตากต่ออีก 3–6 วัน ก็จะได้ดอกเห็ดแห้งตามต้องการ เมื่อดอกเห็ดแห้งแล้วทำการเก็บไว้เพื่อการใช้ประโยชน์มาประกอบอาหารตามที่ต้องการต่อไป โดยที่คุณค่าทางอาหารจะไม่เปลี่ยนแปลง.



------------------------------------------------------------------------------------

การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วย
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:53 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/259536/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/795580.jpeg)

ช่วงวันหยุดยาว วันแม่ ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินตลาดสดที่จังหวัดเชียงราย พบว่ามีข้าวของมาวางขายจำนวนมาก ทั้งของสด สมุนไพร พืชผักพื้นบ้าน และแล้วก็ต้องมาสะดุดตากับผักชนิดหนึ่งที่มีน่าตาแปลกๆ มียอดอ่อนม้วนๆ หงิกงอ ชาวบ้านจะเรียกพืชชนิดนี้ว่า “ผักกูด” คนรุ่นใหม่น้อยคนนักที่จะคุ้นเคย หรือได้รับประทานผักชนิดนี้ ผักกูดจะถูกนำมาวางขายอย่างเรียงราย ราคาก็ถูกมากเมื่อเทียบกับปริมาณ ขายกันเพียงกำละประมาณ ๕ บาท ในกระแสที่ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับธรรมชาติมากขึ้น ประกอบกับภาวะอาหารการกินที่แพงขึ้นมากในตอนนี้ การปลูกผักกูดในบริเวณบ้าน นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วนแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม และยังสามารถเก็บยอดอ่อนมาทำเป็นอาหารได้ด้วยอีกทั้งยังเป็นผักที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ดังนั้น หากมีโอกาส ก็ลองหาผักกูดมาปลูก และเก็บยอดอ่อนมาทำอาหาร รับรองว่าจะต้องชอบกันทุกคน บทความสุขภาพสัปดาห์นี้ ผู้เขียนจึงขอนำประโยชน์ดีๆ ที่มีอยู่ในผักกูดมาให้คุณผู้อ่านได้ ทราบกันนะคะ

ในบรรดาผักกูดที่มีหลายชนิดนั้น ผักกูด ( Paco Fern ) จัดเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ และยังเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์อีกด้วย นิยมนำยอดอ่อน และใบอ่อนมาปรุงอาหารหรือลวกจิ้มน้ำพริก เฟิร์นชนิดนี้ มักขึ้นอยู่ตามบริเวณที่ลุ่มชุ่มน้ำ ริมลำธาร หนอง บึง ในพื้นที่เปิดโล่ง หรือมีร่มเงาบ้าง ที่ระดับความสูงไม่มากถึงสูงปานกลาง กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อนทั่วไปของเอเชีย ตั้งแต่ภาคกลางของจีน ภาคใต้ของญี่ปุ่น ลงไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิกในบ้านเราพบได้ทั่วไปแทบทุกภูมิภาค ที่สภาพดินไม่แห้งแล้ง

ผักกูดชนิดที่กินได้นี้ ตอนอายุยังน้อย ใบจะแตกเป็นรูปขนนกชั้นเดียวคู่ขนานกันไปตั้งแต่โคนใบถึงปลายใบ เมื่ออายุมากขึ้น ใบจะเปลี่ยนเป็นรูปขนนก ๒ ชั้น ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอย เติบโตได้ดีในฤดูฝนในที่โล่งแจ้งและมีน้ำชื้นแฉะ จะพบในป่าโปร่งที่มีแสงแดดส่องมากกว่าในพื้นที่ป่าทึบ พบขึ้นหนาแน่นตามบริเวณลำธาร หรือบริเวณต้นน้ำ ปลูกได้ตามชายคลอง ห้วยหนอง ต้นจะแห้งเฉาในฤดูแล้ง แต่จะแตกหน่อใหม่ในฤดูฝน ผักกูดชอบความชื้นสูง และบริเวณดินชื้นแฉะผักกูดเป็นผักบอกสภาวะแวดล้อมให้เราทราบว่า บริเวณไหนอากาศไม่ดี ดินไม่บริสุทธิ์มีสารเคมีเจือปนอยู่ ผักกูดจะไม่เจริญหรือแตกต้นในบริเวณนั้น เราสามารถใช้ผักกูดเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมได้ เนื่องจากบริเวณที่มีผักกูดขึ้นนั้น จะเป็นพื้นที่ๆมีอากาศ บริสุทธิ์ ดินดี ไม่มีสารเคมีเจือปน หากต้องการหาผักกูด ต้องไปหาตามพื้นที่ๆ ใกล้ลำธาร หรือพื้นที่มีน้ำขังแฉะและมีอากาศเย็น

ส่วนที่ใช้บริโภคของผักกูก คือ ยอดอ่อน ใบอ่อน แต่ในช่วงหน้าแล้ง ผักกูดจะมีรสชาติอร่อยกว่าฤดูอื่นๆนะคะ

ในส่วนที่รับประทานได้ ๑๐๐ กรัม จะให้พลังงาน ๑๙ กิโลแคลอรี่ มีเส้นใย ๑.๔กรัม แคลเซียม ๕ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๓๕ มิลลิกรัม เหล็ก ๓๖.๓ มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมี วิตามินเอ วิตามินบี๑ วิตามินบี๒ วิตามินซี และไนอาซิน ค่อนข้างสูง ผักกูดจะมีรสจืดอมหวาน กรอบ หยุ่น เป็นผักที่มีเส้นใยกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายดี เก็บยอดอ่อนและ ใบอ่อน นำมาลวกหรือต้มให้สุก ใช้เป็นผักจิ้มกินกับน้ำพริกตาแดง น้ำพริกต่างๆ หรือแม้กระทั่งน้ำพริกถั่ว (น้ำพริกเจ) หรือนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ยำ ผัด ต้มกะทิ แกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ เมนูอาหารจากผักกูดที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวผักกูด แกงจืดผักกูดหมูสับ เป็นต้น สามารถทำกินได้ง่าย หรือจะลองดัดแปลงเป็นเมนูอื่นๆ อีกก็ได้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะนำใบอ่อน ยอดอ่อน มาแกงกับปลาน้ำจืด หรือลวกจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆ นำมาทำยำผักกูด หรือผัดน้ำมันหอย แกงกะทิกับปลาย่าง ลวกกะทิ ไม่นิยมกินสดๆ กัน เพราะจะมียางเป็นเมือกอยู่ที่ก้าน แม้จะเก็บใบสดไว้ในตู้เย็น เก็บได้ ๒ - ๓วัน ก็จะเป็นเมือก ควรเก็บใบสดกินวันต่อวัน จะดีกว่าเก็บมามากๆ แล้วกินไม่หมด

ผักกูดยังมีสรรคุณทางยา หากนำใบผักกูดมาต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง ลดโคเลสเตอรอลในเม็ดเลือด

ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานดิบ เพราะว่าผักกูดมีสารออกซาเลตสูง ควรต้มหรือปรุงให้สุกก่อนนะคะ

ทราบประโยชน์ของผักกูดแล้ว เดินตลาดครั้งต่อๆไป อย่าลืมหาผักกูดมาปรุงอาหารกันนะคะ

โดย “PrincessFangy”

Twitter @Princessfangy

ข้อมูลบางส่วนจาก http://agrimedia.agritech.doae.go.th (http://agrimedia.agritech.doae.go.th)



------------------------------------------------------------------------------------


สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว
วันศุกร์ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/259404/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/795003.jpeg)

สาละเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ดอกใหญ่สีแดงชมพู เกสรสีเหลืองใหญ่ กลีบดอกคล้ายดอกบัว ใบเดี่ยวออกเวียนสลับตามปลายกิ่งรูปใบหอกกลับ ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบใบจักตื้น ๆ  ในอดีตนิยมนำต้นสาละมาทำเครื่องเรือน เช่น เสา ไม้แป ไม้เคร้า ขื่อ ใช้ต่อเรือ ทำเกวียน บางประเทศนำมาทำไม้หมอนรองรางรถไฟ ทำสะพาน ส่วนเมล็ดนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ ในเมล็ดมีน้ำมันนำมาประกอบอาหารได้   เช่น ทำเนย คนไทยโบราณเคี้ยวเอาน้ำมันมาใช้กับตะเกียง รวมทั้งใช้ทำสบู่ในทางการแพทย์แผนไทยนำยางใช้สมานแผล ห้ามเลือด แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง โรคซิฟิลิส โกโนเรีย วัณโรค โรคท้องร่วง บิด โรคหูอักเสบเป็นต้น.





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2014, 04:37:05 pm
10 เมนูเสี่ยงทิ้งค้างมื้อ ระวังอาหารเป็นพิษ

-http://club.sanook.com/40507/10-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%89/-


โรคอาหารเป็นพิษ พบได้ทั่วโลก การระบาดมักเกิดจากการบริโภคอาหารทะเลที่ปรุงไม่สุกและน้ำที่ปนเปื้อน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่อบอุ่นของปี สำหรับประเทศไทยอัตราป่วยโรคอาหารเป็นพิษมีแนวโน้มสูงขึ้นมีรายงานระบุเชื้อก่อโรคได้เพียงร้อยละ 0.1-6 เนื่องจากอาการป่วยไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักไม่มารับการตรวจและรักษา ในสถานบริการสุขภาพ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนทั่วถึง สดใหม่และสะอาด หมั่นล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย ป้องกันโรคได้

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคอาหารเป็นพิษ เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้อธิบายถึงอาการป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ได้แก่ ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ พยาธิ ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี หรือโลหะหนัก เป็นต้นซึ่งอาจมีการปนเปื้อนตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา การประกอบอาหาร และการบริการอาหาร บางครั้งอาการอาหารเป็นพิษ อาจเกิดจากการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษโดยตรง เช่น เมล็ดสบู่ดำ ลูกโพธิ์ ปลาปักเป้า คางคก เป็นต้น

 

การระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ พบได้จากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารปนเปื้อนร่วมกัน และมีอาการอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารแล้ว อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ส่วนใหญ่ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและปวดมวนท้องรุนแรงเฉียบพลัน บางครั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้และปวดศีรษะ บางครั้งมีอาการคล้ายเป็นบิด ถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูก ไข้สูง และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง เป็นโรคที่ไม่ค่อยรุนแรง มีระยะเวลาดำเนินโรค 1-7 วัน การติดเชื้อในระบบอื่นของร่างกายและการตายพบได้ แต่พบน้อยมาก ระยะฟักตัว ปกติ 6-25 ชั่วโมง หรืออยู่ในช่วง 4-30 ชั่วโมง การติดต่ออาหารที่ต้องให้ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าปรุงไว้นานหรือค้างมือ 10 เมนู ได้แก่ ลาบ และก้อยดิบ ยำกุ้งเต้นยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารผสมกะทิ หรือราดกะทิ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก น้ำและน้ำแข็ง

 

10 เมนูเสี่ยง

นายแพทย์โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โรคอาหารเป็นพิษ มักป่วยไม่รุนแรง รักษาได้ตามอาการ เช่น อาการปวดท้อง และการทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก ไม่แนะนำการให้ยาปฏิชีวนะ การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษทุกสาเหตุสำคัญที่สุด ด้วยมาตรการป้องกันโรคตามกฎหลัก 10 ประการดังนี้

1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบควรรับประทานเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่เท่านั้น หากมีปริมาณที่เหลือแล้วไม่ควรเก็บไว้ เพราะจะบูดเสียง่าย ผักสดต้องล้างให้สะอาด

2. ปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนทั่วถึง ในกลุ่มของอาหารทะเลต้องปรุงสุก หลีกเลี่ยงการปรุงโดยวิธีลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาหมึก

3. ควรกินอาหารที่สุกใหม่ๆ ควรรับประทานทันทีไม่เกิน 2-4 ชั่วโมงหลังจากปรุงเสร็จเส้นขนมจีนที่ทำจากแป้งหมักเสียง่ายไม่ควรทิ้งค้างคืน

4. ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน

5. อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อน

6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ส่วนอาหารถุงและอาหารกล่อง ควรบรรจุแยกกันระหว่างข้าวและกับข้าว

7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก

8. รักษาความสะอาดของห้องครัว อุปกรณ์ประกอบอาหารและรับประทานอาหาร

9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ

10. ใช้น้ำสะอาด น้ำดื่มและน้ำแข็งควรเลือกที่บรรจุภัณฑ์มีเครื่องหมาย อย.รับรอง ภาชนะปิดแน่นและไม่นำน้ำแข็งที่ใช้แช่ของมารับประทาน

 

และสำหรับส้มตำที่นิยมรับประทานกันมาก ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรุงจะใส่วัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคทั้งปลาร้า ปูดอง ผักสด ทั้งมะละกอ มะเขือ หากล้างไม่สะอาดจะทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วงได้ง่าย มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนมาก รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ่ายเหลวไม่หยุด มีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบมาพบแพทย์

ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3183 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นายแพทย์โสภณ กล่าว

 

ข้อมูลจาก :: กรมควบคุมโรค

ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2014, 06:11:31 am
ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !


-http://guru.sanook.com/27261/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-33-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-



ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

 

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ www.phyathai.com (http://www.phyathai.com)



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 20, 2014, 06:22:28 am
21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

-http://cooking.kapook.com/view95757.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

          ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยจ้า

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มสุกี้

1. น้ำจิ้มสุกี้
         
          ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

สิ่งที่ต้องเตรียม
         
          ซอสพริก 1 ขวดใหญ่

          น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี

          ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี

          ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี

          ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี

          กระเทียมดอง 2 ทัพพี

          น้ำตาลทราย 3 ทัพพี

          พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด

          กระเทียม 6 กลีบ

          เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น

          งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ

          น้ำมันงา 2 ทัพพี

          ผักชี และผักชีฝรั่งซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
         
          3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
         
          4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มซีฟู้ด

2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
         
          อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด

          พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย

          รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 4 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา

          น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย

          น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
         
          2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
         
          คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยจ้า

ส่วนผสม
         
          ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย

          ซอสพริก 3/4 ถ้วย

          ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย

          เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน

          น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

          ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา

          งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
         
          2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ




4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
         
          เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม  ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยจ้า

ส่วนผสม
         
          กะทิ 2 ถ้วย

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย

          น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ

          น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
         
          2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




5. น้ำจิ้มอาจาด
         
          ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

          เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

          แตงกวาซอย

          หอมแดงซอย

          พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มแจ่ว

6. น้ำจิ้มแจ่ว
         
          เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจาก คุณเนินน้ำ

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 50 กรัม

          น้ำอุ่น 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

          หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
         
          2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
         
          3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
         
          เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว

ส่วนผสม
         
          พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด

          กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ

          กระเทียมดอง 3 หัว

          น้ำ 1 ถ้วย

          น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
         
          1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
         
          พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย

          น้ำปลา 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

          หอมแดงเจียว

          พริกขี้หนูแห้งทอด

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
         
          2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ




9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
         
          ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ

          ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

          น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

          ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูแดงสับละเอียด

วิธีทำ
         
          1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มข้าวหมกไก่

10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
         
          หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะคะ

ส่วนผสม
         
          น้ำส้มสายชู

          น้ำตาลทราย

          กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ

          พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว

          ผักชีไทย

          ใบสะระแหน่

          เกลือป่น

          นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
         
          2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




11. น้ำจิ้มหอยทอด
         
          หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะคะ

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ

          ซอสพริก 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
         
          ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด

          กระเทียมไทย 20 กลีบ

          รากผักชี 3 ราก

          เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
         
          2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
         
          ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !

ส่วนผสม
         
          พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ

          กระเทียม 5 กลีบ

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา




14. น้ำจิ้มขนมจีบ
         
          ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน

ส่วนผสม
         
          พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด

          กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

          ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ

          เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม


15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
         
          เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย

ส่วนผสม
         
          เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย

          ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย

          น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย

          น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
         
          1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
         
          2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
         
          น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย

ส่วนผสม
         
          น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย

          เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

          ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย

          พริกป่น ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
         
          2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ




17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
         
          เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก

ส่วนผสม
         
          น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ

          น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ

          น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          มะม่วงดิบสับเป็นเส้น

          หัวหอมแดงซอย

          เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)

          ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน

  วิธีทำ

          1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ




18. น้ำจิ้มเทมปุระ
         
          อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)

          ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย

          เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย

          ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ

ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ

          น้ำ 3 ถ้วย

          สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น

          ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ

          หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน

วิธีทำ

          1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
         
          2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด




19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
         
          อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย

ส่วนผสม
         
          ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น

          ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น

          กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา

          น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

          กุ้งแห้งโขลกละเอียด

          ถั่วลิสงโขลกละเอียด

          มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด

วิธีทำ
         
          1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
         
          3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




20. น้ำปลาหวาน
         
          ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะจ๊ะ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย

ส่วนผสม
           
          น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

          กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา

          น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ

          กุ้งแห้งตำพอหยาบ  ¼ ถ้วยตวง

          หอมแดงซอยบาง  5 หัว

          พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
           
          1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
           
          2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
           
          3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ




21. กะปิหวาน
         
          เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

ส่วนผสม
         
          กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ

          น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

          น้ำ 1/4 ถ้วย

          หอมแดงซอย

          พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ
         
          1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

          เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรน้ำจิ้มหลากหลายสูตรที่เรานำมาฝาก นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ๆ เท่านั้นนะคะ ใครชอบสูตรไหน แบบไหน ก็เลือกจิ้มกันได้ตามชอบเลยจ้า



http://cooking.kapook.com/view95757.html (http://cooking.kapook.com/view95757.html)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 23, 2014, 10:04:54 pm
กะเพรา สรรพคุณและประโยชน์ของกะเพรา 29 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-

(http://frynn.com/wp-content/uploads/2013/07/Holy-basil-2.jpg)

สรรพคุณของกะเพรา

    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)
    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)
    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ
    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)
    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)
    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)
    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)
    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)
    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)
    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)
    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)
    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)
    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)
    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)
    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)
    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)
    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น
    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)
    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)
    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท
    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)
    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)
    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ
    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com



-------------------------------------------------------------------------


ผลวิจัยชี้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกินไป ทั้งราเม็ง บะหมี่เหลือง รวมถึงวุ้นเส้น เพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน


-http://campus.sanook.com/1373117/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2/-



ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร นิวทริชั่น ( Nutrition ) พบว่า "ราเม็ง" รวมถึงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ อาจทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โดยเฉพาะผู้หญิง โดยนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ยืนยันว่า ผลวิจัยชุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนจำนวนมากหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณมาก โดยไม่รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

ทั้งนี้ ผลวิจัยนี้ได้มาจากการศึกษาผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19-64 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ผ่านการสำรวจโดยตัวแทนของสถาบันตรวจสอบโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติเกาหลีเมื่อปี 2007-2009 พบว่า การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้ง ราเม็ง , บะหมี่เหลือง , วุ้นเส้น และอื่นๆ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ จะมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งจะไปทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบไต รวมถึงระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานผิดปกติ และเนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมักใส่อยู่ในถ้วยโฟม ซึ่งมีสารบีพีเอ ซึ่งเป็นสารรบกวนระบบฮอร์โมน ดังนั้น ผู้หญิงที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยๆ จึงมีผลกระทบกับร่างกายมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเต็มไปด้วยส่วนผสมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารกันบูด ผงชูรส และมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงมาก

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวเลขการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อคนต่อปีมากที่สุดในโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงพบคนเกาหลีมีปัญหาสุขภาพกันมาก ทั้งโรคหัวใจและโรคอ้วน

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2014, 08:29:00 pm
มาแรงจริง! "มะม่วงหาว มะนาวโห่" มหัศจรรย์สมุนไพร แบบไม้ประดับ (มุมเกษตร)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2557 10:54 น.


-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000096581-



     มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นพืชอีกตัวหนึ่ง ที่กำลังได้รับการจับตาอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะด้วยคุณสมบัติ และคุณประโยชน์สรรพคุณ จากผลงานวิจัยพบว่า มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีสรรพคุณถึง 53 ประการในการดูแลปรับสมดุลร่างกาย เฉกเช่น สมุนไพรไทยอีกหลายตัว
       
       มะม่วงหาว มะนาวโห่ มีคุณสมบัติเด่น คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็ง ชะลอการแก่ก่อนวัย ช่วยบำรุงโลหิต ขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจ รักษาโรคปอด และถุงลมโป่งพองได้ ฯลฯ และด้วยคุณสมบัติมากมายของมะม่วงหาว มะนาวโห่ ทำให้ ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป พยายามหาพืชสมุนไพร ชนิดนี้มาปลูก หรือ หาซื้อผลของมะม่วงหาว มะนาวโห่ มารับประทานกัน

ทั้งนี้ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ที่ได้รับความนิยม มากไม่ใช่เพียงเพราะคุณสมบัติมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่มะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นเป็นที่ชื่นชอบกลุ่มคนที่ชอบปลูกไม้ประดับ ด้วย เพราะผลและดอกที่สวยงาม บวกกับคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ยิ่งส่งผลให้มะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้รับความนิยมจากคนที่ซื้อไปไม้ประดับมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับ แต่สามารถรับประทานเป็นยาได้
       
       สำหรับมะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ เพราะปลูก และดูแลง่าย ซึ่งสรรพคุณทางยานั้นใช้ได้ทุกส่วน ราก ลำต้น ใบ และผล และในส่วนของผลก็จะมี 4 ระยะ แต่ละระยะให้สีแตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับการเป็นไม้ประดับอย่างมาก แต่ถ้านำไปรับประทานเป็นผลก็จะต้องเป็นผลที่ออกสีดำ เลยจะให้รสชาติ อมเปรี้ยว อมหวาน

    นอกจาก ผลที่รับประทานสด แล้ว ผลที่สุก ยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำมะม่วงหาว มะนาวโห่ ได้อีกด้วย หรือ นำไปทำเป็นแยม น้ำหมัก รวมไปการนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู และโลชั่น (เพราะเป็นผลไม้ทีมีวิตามินสูงทำให้ผิวชุมชื่น และลดอาการคันศรีษะได้)


   ทั้งนี้ ถ้าใครสนใจ เรื่องราวของมะม่วงหาวมะนายโห่ มีสวนเกษตร หลายแห่ง ที่ปลูกพืชชนิดนี้ ไม่ว่า จะเป็น สอยดาวการ์เด้น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ บ้านสวนมะม่วงหาว มะนาวโห่ ที่บางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม หรือ บ้านสวนลุงเสน่ห์ ป้าอัมพร ที่ จังหวัดสระบุรี ทั้ง 3 แห่ง จัดว่าเป็นสวนขนาดใหญ่ และครบวงจร ทั้ง เพาะต้นขายเป็นไม้ประดับ ขายผล และขายผลิตภัณฑ์แปรรูป และปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่ ที่ปลูกอีกหลายสวน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการขายต้น เพื่อเป็นไม้ประดับ

   ในส่วนของ ราคามะม่วงหาวมะนาวโห่ นั้น ถ้าขายเป็นผลราคาค่อนข้างสูง จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 500-700 บาท แต่ถ้าเป็นต้นขายเริ่มต้นที่ต้นละ 100 บาท ไปจนถึงหลักพัน บาท ขึ้นอยู่กับอายุ และขนาดของต้น


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000009976701.JPEG)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000009976702.JPEG)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000009976704.JPEG)


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000009976705.JPEG)
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 28, 2014, 09:48:29 pm

ปลูกมะนาวในกระถาง มีกินเพียงพอในครอบครัว - เกษตรทั่วไทย


-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262442/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7+-+%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-



หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม
วันพฤหัสบดี 28 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

หลายปีที่ผ่านมามะนาวจะมีราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนด้วยเป็นช่วงที่มะนาวติดผลน้อย ขณะที่ตลาดยังมีความต้องการเท่าเดิม ที่สำคัญคนไทยกับมะนาวนั้นนับเป็นสิ่งที่คู่กันในเรื่องของรสชาติ

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกมะนาวกันมากขึ้นและในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการเพาะปลูกเพื่อบังคับการออกลูกนอกฤดูกาล เช่น การปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เป็นต้น

สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีพื้นที่น้อยแต่สนใจที่จะปลูกมะนาวเพื่อเก็บผลไว้บริโภคเองภายในครัวเรือนประเภทตู้กับข้าวข้างบ้าน เช่นบริเวณระเบียงบ้าน หรือข้างบ้านแบบในเมืองหลวง และสามารถบังคับให้ออกผลตามที่ต้องการได้ วันนี้มีแนวทางที่จะทำได้แล้ว โดยที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้ศึกษาแนวทางการเพาะปลูกในรูปแบบดังกล่าวและประสบความสำเร็จสามารถขยายผลสู่การปลูกของผู้คนโดยทั่วไปได้

วันก่อนเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ ได้อธิบายถึงวิธีการในการปลูกมะนาวในภาชนะทั่วไปหรือกระถางให้กับคณะเยาวชนในโครงการค่ายอาสา สืบสานพระราชดำริ ที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์จัดขึ้น  โดยการเปิดโอกาสให้เยาวชนจากสถาบันการศึกษาพื้นที่ภาคอีสานมาศึกษาเรียนรู้งานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริภายในศูนย์ฯ เพื่อนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในสถาบันการศึกษาและการประกอบอาชีพของตนเองในอนาคต ว่าการปลูกมะนาวในกระถางนั้นทำกันอย่างไร ขั้นต้นเจ้าหน้าที่แนะนำว่าควรใช้กระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 18-20 นิ้ว ขึ้นไป

เมื่อได้กระถางแล้วก็นำมาใส่ดินปลูกที่ผสมด้วยดินธรรมดากับปุ๋ยคอก ขี้เถ้า แกลบในอัตราส่วนเท่ากัน คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำต้นกล้าที่เพาะมาหรือกิ่งตอนก็ได้ นำลงปลูก ปิดทับด้วยดินปลูกคลุมด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำทันทีให้ชุ่ม ส่วนพันธุ์แนะนำในการปลูกแบบนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าควรเป็นพันธุ์ตาอิติ หรือแป้นพิจิตรเพราะทนต่อโรคแคงเกอร์ศัตรูร้ายของมะนาว หากชอบมะนาวที่ไม่มีเมล็ดก็เป็นพันธุ์ตาอิติ หากต้องการผิวเปลือกบางให้กลิ่นมะนาวและน้ำดีก็ควรเป็นแป้นพิจิตร

ส่วนแมลงศัตรูพืชอาจจะมีหนอนชอนใบหรือหนอนที่กินใบอ่อนของมะนาวเข้ามาทำลายได้ ก็ไม่ต้องตกใจสามารถป้องกันและแก้ไขได้แบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย โดยการใช้ยาฉุน ที่คนชนบทนำมามวลใบตองแห้งหรือใบจากสูบเป็นบุรี่จำนวน 1 จับ แช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง แล้วกรองเอาน้ำที่เป็นสีชามาผสมกับเหล้าขาว 35 ดีกรี จำนวน 1 เป๊ก กวนให้เข้ากันใส่ป๊อกเกอร์ ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งใบและกิ่ง โดยฉีดวันเว้นวัน จนครบ 7 วัน จึงหยุด กลิ่นยาฉุนจะรบกวนแมลงไม่อยากเข้าใกล้ ส่วนเหล้าขาวจะช่วยให้สารจากยาฉุนจับเกาะใบและเร่งปฏิกิริยาในยาฉุนให้ออกฤทธิ์ดียิ่งขึ้น สูตรนี้ไม่อันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้  แต่หากนำมาดื่มตรงนี้อันตราย

จากนั้นนำกระถางที่ปลูกมะนาวเรียบร้อยแล้วไปวางในที่ที่สามารถรับแสงแดดได้อย่างน้อยวันละ 4-6 ชั่วโมง รดน้ำเช้า-เย็นให้ชุ่ม แต่ในช่วงที่มีเป้าหมายเพื่อการบังคับดอกให้งดน้ำ ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อการบำรุงต้นเพียงอย่างเดียว ต้นละประมาณ 1 กำมือ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพราะพื้นที่หากินของรากมีน้อยด้วยอยู่ในกระถาง  ประมาณ  7-8 เดือนมะนาวจะเริ่มให้ผลผลิต แต่ถ้า 2 ปีขึ้นไปจะให้ลูกได้อย่างเต็มที่

ส่วนการเจริญเติบโตด้วยการปลูกในกระถางจะยืนยาวได้ประมาณ 5 ปีหลังจากนั้นรากมะนาวจะออกมาเต็มพื้นที่ปลูกเบียดเสียดกันในภาชนะทำให้อาหารที่ใส่ลงไปไม่เพียงพอแก่ความต้องการ มะนาวก็จะเริ่มเฉาและไม่ให้ลูก แม้จะใส่ปุ๋ยคอกอย่างต่อเนื่องและจำนวนมากก็ตาม แก้ได้ทางเดียวคือรื้อออกแล้วปลูกต้นใหม่ดินใหม่ในภาชนะเดิม.





-----------------------------------------------------------------------------------

สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

-http://cooking.kapook.com/view94031.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มล้างพิษ เชื่อเลยว่า คนที่รักสุขภาพหลาย ๆ คนน่าจะคิดถึง น้ำมะนาวโซดา เป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในตอนนี้ มะนาวโซดา หรือมะนาวผสมโซดา กลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตเลยทีเดียว เพราะมีความเชื่อว่า น้ำมะนาวผสมโซดา จะช่วยรักษามะเร็งได้ แต่ก็มีแพทย์ออกมาเตือนแล้วว่า น้ำมะนาวผสมโซดาไม่ได้ช่วยรักษามะเร็งแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวก่อเซลล์มะเร็งได้เท่านั้นเอง

          แต่ถึงแม้น้ำมะนาวโซดาแก้วนี้ จะไม่ได้ช่วยรักษาโรคมะเร็งอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ แต่น้ำมะนาวโซดา สามาถช่วยล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ได้นะจ๊ะ แต่ก็ต้องระวังให้มากหน่อยสำหรับผู้ที่เป็นโรคกะเพาะ หรือผู้ป่วยโรคทางเดินอาหาร เพราะมะนาวและโซดามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะเข้าไปกัดกระเพาะเข้าได้ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอเหมาะพอควรนะคะ

          เอาล่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ทำน้ำมะนาวผสมโซดาเพียว ๆ ไร้รสชาติใด ๆ ดื่มจนเบื่อ แล้วเกิดอยากจะลองทำน้ำมะนาวโซดาแบบมีรสชาติใหม่ ๆ ดื่มดูบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มี 10 สูตรน้ำมะนาวโซดามาฝาก ที่ไม่ใช่แค่มะนาวกับโซดาเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่า จะมีสูตรไหนโดนใจกันบ้าง

1. น้ำมะนาวโซดา

          ก่อนที่จะไปสนุกกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีน้ำมะนาวโซดาเป็นส่วนผสม ลองมาดูน้ำมะนาวโซดาแบบพื้นฐานกันก่อนเลย ว่าที่เขาฮิตดื่มกันเนี่ยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

ส่วนผสม
           
           น้ำตาลทราย

           น้ำ

           น้ำมะนาวคั้น

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว ตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม



สูตรมะนาวโซดา 10 วิธีทำน้ำมะนาวโซดาเครื่องดื่มล้างพิษ

2. น้ำผึ้งมะนาวโซดา
           
          น้ำผึ้งมะนาวโซดา น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่คุ้นเคย สำหรับคนที่ไม่สามารถดื่มโซดาเพียว ๆ ได้น่าจะเหมาะ มีขายให้เราได้ซื้อมาดื่มกันอยู่บ่อย ๆ รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ชุ่มคอดีเหลือเกิน แต่ใครที่อยากจะลองทำเองเพื่อให้มั่นใจว่า น้ำผึ้งที่ผสมลงไปนั้น แท้ 100% ก็ลงมือกันเลย

ส่วนผสม
           
           น้ำผึ้ง

           น้ำมะนาว

           โซดา

           น้ำแข็ง

           มะนาวฝานเป็นชิ้นบาง และใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง

วิธีทำ

          ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ตามด้วยโซดาแช่เย็นจัด แต่งด้วยมะนาวฝาน และใบสะระแหน่ พร้อมดื่ม

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/dc03-Watermelon%20Lime%20Soda.jpg)
ดูวิธีทำได้ที่ Completely Delicious
-http://www.completelydelicious.com/2013/05/watermelon-lime-soda.html-

3. แตงโมมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้จับแตงโมเนื้อหวานฉ่ำเข้ามาผสมกับมะนาวและโซดา เพิ่มหวานสดชื่นขึ้นอีกเป็นกอง แถมแตงโมมะนาวโซดาแก้วนี้ยังสามารถทำเป็นค็อกเทลได้ด้วยนะคะ แค่เติมวอดก้าลงไปอีกสักหน่อยก็ฟินแล้ว

ส่วนผสม

           แตงโมแกะเม็ด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ถ้วย

           โซดาแช่เย็นจัด 2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย (จากมะนาว 2 ลูก)

           เปลือกมะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
         
          1. ใส่น้ำตาลทราย น้ำ น้ำมะนาวคั้น และเปลือกมะนาวลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
          2. ใส่เนื้อแตงโมลงปั่นในเครื่องปั่น ปั่นจนละเอียด เทใส่เหยือก เติมน้ำเชื่อมมะนาว และโซดา คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/dc04%20Raspberry%20Key%20Lime%20Italian%20Soda.jpg)
ดูวิธีทำได้ที่ Will Cook for Smiles
-http://www.willcookforsmiles.com/2013/06/float-party-and-raspberry-key-lime-italian-soda.html-

4. ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบเครื่องดื่มแบบเปรี้ยวจี๊ด คงจะต้องยกให้ ราสป์เบอร์รีมะนาวโซดา แก้วนี้เลย แถมสีสันยังสดใส เหมาะจะทำเป็นเครื่องดื่มต้อนรับหน้าร้อนสุด ๆ

ส่วนผสม
         
           ราสป์เบอร์รีสด 450 กรัม

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           มะนาว 2 ลูก

           น้ำ 1/3 ถ้วย

           โซดา

วิธีทำ
         
          1. ทำน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รี โดยใส่ราสป์เบอร์รีสด และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมให้เข้ากันพอนิ่ม จากนั้นขูดผิวมะนาวใส่ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว ใช้ช้อนค่อย ๆ บดเนื้อราสป์เบอร์รีจนละเอียด เติมน้ำลงไป เคี่ยวส่วนผสมประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมใส และเหนียว ยกลงกรองผ่านตะแกรง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
          2. ใส่โซดาลงในแก้ว ประมาณ 3/4 แก้ว เติมน้ำเชื่อมราสป์เบอร์รีลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


5. เลมอนมินต์ม็อกเทล
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้น่าจะสร้างความสดชื่นได้ดีทีเดียว ที่นอกจากจะได้รสชาติเปรี้ยวซ่าจากเลมอนและโซดาแล้ว ยังได้กลิ่นมินต์หอมจาก ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้มะนาวโดยตรง แต่คุณประโยชน์ไม่แพ้กันแน่ ๆ

ส่วนผสม
         
           เลมอนเหลือง 1 ลูก

           ใบสะระแหน่ (เด็ดเป็นใบ)

           น้ำเชื่อม

           น้ำแข็ง

           โซดา

วิธีทำ

          1. หั่นเลมอนเหลืองเป็นชิ้น ๆ บีบน้ำเลมอนลงในอ่างผสมพร้อมเปลือก ตามด้วยใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ไม้ บดส่วนผสมให้เข้ากัน
         
          2. เทส่วนผสมเฉพาะของเหลวลงในเชคเกอร์ ใส่น้ำแข็งตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เทส่วนผสมใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ประมาณ 1/2 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเกือบเต็ม ใส่เลมอนเหลืองฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว แต่งใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ดูวิธีทำได้ที่ Jen's Favorite Cookies
-http://jensfavoritecookies.com/2013/03/01/grapefruit-soda/-

6. เกรปฟรุตมะนาวโซดา
         
          เครื่องดื่มแก้วนี้สีสันสดใส รสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจ แถมยังหอมกลิ่นจากเกรปฟรุต มะนาว และเลมอนด้วย ที่นอกจากจะสดชื่นแล้ว ยังผ่อนคลายเบา ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ

ส่วนผสม
         
           เกรปฟรุต 3 ลูก

           เลมอน 2 ลูก

           มะนาว 1 ลูก

           โซดากลิ่นมะนาว 4 ถ้วย

วิธีทำ

          1. คั้นน้ำเกรปฟรุต น้ำเลมอน และน้ำมะนาว จากนั้นเทใส่แก้ว คนผสมให้เข้ากัน นำเข้าแช่เย็น เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำผลไม้ลงในแก้ว ตามด้วยโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


7. น้ำขิงมะนาวโซดา
           
          น้ำขิงมะนาวโซดาแก้วนี้ เป็นเครื่องดื่มล้างพิษที่จะช่วยเรียกคืนความสดชื่นให้กับร่างกายที่หนักแอลกอฮอล์ ยิ่งถ้าใครชอบกินขิง รสชาติเผ็ดร้อนอยู่แล้วก็น่าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ

ส่วนผสม

           ขิงขูดละเอียด 3/4 ถ้วย (หรือประมาณ 4 ออนซ์)

           น้ำมะนาว 1 ถ้วย

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำแข็ง

           โซดาแช่เย็นจัด

วิธีทำ
           
          1. ทำน้ำเชื่อมโดย นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำตาลทรายและน้ำ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม หรือนานประมาณ 2 นาที ยกลงจากเตา
         
          2. ใส่ขิงขูดลงในน้ำเชื่อมร้อน ๆ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนขิงเข้ากันดีกับน้ำเชื่อม
         
          3. หลังจากครบเวลา เติมน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน ยกลงกรองผ่านกระชอนหรือตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นเทน้ำขิงมะนาวใส่แก้วที่มีน้ำแข็งประมาณ 2/3 แก้ว ตามด้วยโซดาจนเต็มแก้ว พร้อมดื่ม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


-http://www.peanutbutterandpeppers.com/2013/07/12/cherry-lime-soda/-
ดูวิธีทำได้ที่ Peanut Butter and Peppers

8. เชอร์รีมะนาวโซดา
         
          เชอร์รีมะนาวโซดาแก้วนี้อาจจะสะดวกสำหรับคนที่หาซื้อผลเชอร์รีสด ๆ ไม่ได้ แถมยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกด้วย ดีต่อสุขภาพจริง ๆ

ส่วนผสม
         
           น้ำเชอร์รี 100% 1/3 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา

           สารให้ความหวานแทนน้ำตาล 1 ซอง

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ
         
          ผสมน้ำเชอร์รี น้ำมะนาว และน้ำตาลเทียม คนผสมให้เข้ากัน เทลงแก้ว ตามด้วยน้ำแข็ง และโซดา คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



9. น้ำอ้อยมะนาวโซดา
         
          ใครจะไปเชื่อว่า น้ำอ้อยบ้าน ๆ เนี่ย จะสามารถมาผสมรวมกับน้ำมะนาวและโซดา ออกมาเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าแต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองกันสักหน่อยแล้ว เป็นสูตรเด็ดมาจากนิตยสาร Health & Cuisine

ส่วนผสม

           น้ำอ้อยคั้นสด 3 ถ้วย

           เลมอนหั่นซีก 2 ซีก

           โซดา 1/2 ถ้วย

           น้ำแข็งตามชอบ

วิธีทำ
           
          บีบเลมอนใส่ลงในน้ำอ้อย คนผสมห้เข้ากัน ใส่น้ำแข็งและเปลือกเลมอนที่เหลือลงแก้ว รินน้ำอ้อยลงไป ตามด้วยโซดา พร้อมเสิร์ฟ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ดูวิธีทำได้ที่ Baked Bree
-http://bakedbree.com/mint-lime-tea-cooler-

10. ชามะนาวโซดา
         
          เอาใจคนที่ชอบดื่มชามะนาวด้วยการเติมโซดาลงไปให้สดชื่นยิ่งขึ้น แถมยังได้กลิ่นมินต์หอม ๆ จากใบสะระแหน่อีกด้วย

ส่วนผสม

           น้ำตาลทราย 2/3 ถ้วย

           น้ำ 2/3 ถ้วย

           ใบสะระแหน่ เด็ดเป็นใบ 1 ถ้วย

           ชาสำเร็จรูปสำหรับชงดื่ม ตามชอบ 8 ซอง

           น้ำมะนาวคั้น 1/4 ถ้วย

           โซดา

           น้ำแข็ง

วิธีทำ

          1. ทำน้ำเชื่อมกลิ่นมินต์ โดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ใส่ใบสะระแหน่ คนผสมจนเป็นน้ำเชื่อม และมีกลิ่นมินต์ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น กรองเอาใบสะระแหน่ออก เตรียมไว้
         
          2. ใส่น้ำร้อนจัดลงในถ้วย ใส่ชาสำเร็จรูปลงในถ้วย รอจนชาเปลี่ยนสี ประมาณ 3 นาที
         
          3. ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำชา และน้ำมะนาว ใส่มะนาวฝานบาง และใบสะระแหน่เล็กน้อย คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเติมโซดาลงไป ชิมรสตามชอบ เทใส่ลงในแก้วที่มีน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

          ว้าว เครื่องดื่มล้างพิษที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวโซดาแต่ละเมนูน่าดื่มทั้งนั้นเลย ใครที่รักสุขภาพ หรือกำลังมองหาเครื่องดื่มอร่อย ๆ ใหม่ ๆ ก็ลองเข้ามาจดสูตรกันได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 29, 2014, 11:15:32 pm
ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ



-http://health.kapook.com/view96875.html-


(http://img.kapook.com/u/kantana/health3_4.jpg)

(http://img.kapook.com/u/kantana/health1_3.jpg)

(http://img.kapook.com/u/kantana/health2_3.jpg)




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ใบย่านาง สมุนไพรโบราณสุดมหัศจรรย์ที่เปี่ยมสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เรามาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันเถอะ

         ย่านาง เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่โบราณในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงการนำมาทำอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง หมอเขียว ใจเพชร นักวิชาการสาธารณสุข ครูฝึกแพทย์แผนไทย และนักบำบัดสุขภาพทางเลือก เคยนำมาอธิบายไว้ในหนังสือ "ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์" เกี่ยวกับประโยชน์และสรรพคุณมากมายของย่านาง ซึ่งทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" และในปัจจุบัน ย่านาง ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก เพื่อรักษาอาการป่วยต่าง ๆ รวมทั้งการปรับสมดุลในร่างกาย เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันให้มากกว่านี้ดีกว่า รับรองว่าจะต้องทึ่งกับสรรพคุณที่มากมายของย่านางแน่นอนค่ะ

          ก่อนที่จะไปดูกันถึงเรื่องสรรพคุณและประโยชน์ เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ

          ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass ทางภาคเหนือเรียกว่า จ้อยนาง ภาคกลางเรียก เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว และภาคใต้จะเรียกว่า ยาดนาง เป็นพืชในตระกูลไม้เลื้อย กิ่งอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิวค่อนข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 ซม. กว้าง 2-4 ซม. ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นช่องยาว 2-5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้นไม่มีกลีบดอก ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ ย่านางเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น สามารถช่วยดับพิษร้อนต่าง ๆ ได้

คุณค่าทางโภชนาการของใบย่านาง

ในใบย่านาง 100 กรัมจะ มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้

          พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่
          เส้นใย 7.9 กรัม
          แคลเซียม 155 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
          เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
          วิตามินเอ 30625 IU
          วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม
          วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
          ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 141 มิลลิกรัม
          โปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์
          ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์
          โพแทสเซียม 1.29 เปอร์เซนต์
          แคลเซียม 1.42 เปอร์เซนต์
          แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์

สรรพคุณทางยาของย่านาง

          ย่านางนั้นมีสรรพคุณทางยาที่ขึ้นชื่อมากมาย ซึ่งสรรพคุณทางยาไม่ได้มีเพียงแค่ในใบย่านางเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนอื่น ๆ ของต้นก็มีประโยชน์มากมายเช่นกัน

ราก

          รากของย่านาง นิยมนำมาใช้เพื่อแก้อาการไข้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ หรือ ไข้ทับระดู และอาการเบื่อเมา นอกจากนี้รากของย่านางยังเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือยา 5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาสมุนไพร โดยยาดังกล่าวเป็นสามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในขณะเริ่มแรกได้ โดยนำรากแห้งต้มกับน้ำครั้งละ 1 กำมือ แล้วดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

ใบ

           ใบย่านาง คือเป็นส่วนที่มีประโยชน์และถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกจากนี้ถูกจัดเอาไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้

รักษาและป้องกันโรคภัยต่าง ๆ

          ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
          ช่วยป้องกันและบำบัดการเกิดโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้
          สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ จะทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ
          ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ
          ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง
          มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่าง ๆ
          มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ
          ช่วยรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
          ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์

ระบบทางเดินอาหาร

          ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้
          ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน
          ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง
          ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ
          ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้
          ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน

ระบบทางเดินหายใจ

          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาอาการของโรคไซนัสอักเสบ

ระบบผิวหนัง

          ช่วยชะลอและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
          ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย
          ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำ ๆ สีน้ำตาลตามร่างกาย
          ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด
          รักษาสิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนอง โดยการน้ำใบย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากจนเหลว แล้วนำมาทา
          ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
          ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้
          ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า
          ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ

ระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ

          ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี
          ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ
          ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด
          ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้
          ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต
          ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน
          ช่วยรักษาอาการตกขาว

สร้างเสริมและบำรุงสุขภาพ

          ช่วยลดน้ำหนัก โดยการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน
          ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง
          ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
          ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
          ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย
          ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต
          ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์
          ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย
          ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
          ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
          ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้
          ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร
          ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล
          ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น
          ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย
          ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ
          ช่วยลดอาการนอนกรน
          ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น
          ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ
          ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด
          ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ

เถา

           เถาของย่านางช่วยลดความร้อนและแก้พิษตานซาง และยังมีข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุอีกว่า สามารถช่วยต้านมาลาเรีย และยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ได้

ประโยชน์ของใบย่านาง

          ใบย่านางนั้นมีประโยชน์ในการช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ทำให้ผมดำและนุ่มชุ่มชื้น และยังมีการนำมาทำเป็นอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ เพราะน้ำใบย่านางนั้นสามารถช่วยต้านพิษกรดยูริกที่มีในหน่อไม้ได้ แถมยังนิยมนำมาทำอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ แกงอ่อม แกงเห็ด แกงเลียง หรือรับประทานสด ๆ กับน้ำพริกอีกด้วย

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

วิธีการทำน้ำใบย่านาง

          โดยส่วนใหญ่แล้วการนำย่านางมาใช้นั้นมักจะนำมาใช้โดยการคั้นน้ำและเอาไปเป็นส่วนผสมในการทำอาหารนำมาดื่มเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งหมอเขียวก็ได้แนะนำวิธีใช้ใบย่านางเอาไว้ในหนังสือ เรามาดูกันดีกว่าว่า น้ำใบย่านางนั้นมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรหมอเขียว

          สูตรนี้ เป็นการใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลของร่างกาย ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้

ใบย่านาง

          เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
          ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
          ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

วิธีทำ

          1. ใช้ใบย่านางสด มาล้างทำความสะอาดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง)

          2. กรองน้ำใบย่านางที่ได้ผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ

          3. ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชม. มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วันโดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก

หมายเหตุ

          ถ้าจะให้ได้รสชาติ คั้นกับใบเตย จะหอมอร่อยมาก หรือจะใส่กับน้ำมะพร้าวก็จะหอมชื่นใจมากขึ้น ( แต่ถ้าใส่น้ำมะพร้าวจะเสียเร็วนะ) ผักฤทธิ์เย็น นำมาคั้นร่วมกับย่านางก็ได้  เช่น  ผักบุ้ง ตำลึง ใบบัวบก ใบเตย

วิธีการทำน้ำใบย่านางสูตรทั่วไป

ส่วนผสม

          ใช้ใบย่านาง 30-50 ใบ
          น้ำดื่ม 4.5 ลิตร
          ใบเตย 10 ใบ

วิธีการทำ

          1. ตัดหรือฉีกใบย่านางและใบเตยให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

วิธีการทำน้ำใบย่างนางสูตรที่ 2

ส่วนผสม

          ใบย่านาง 5-20 ใบ
          ใบเตย 1-3 ใบ
          บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
          หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
          ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
          ใบเสลดพังพอน ครึ่ง–1 กำมือ
          ว่านกาบหอย 3-5 ใบ

วิธีการทำ
 
          1. ตัดหรือฉีกใบย่านาง ใบเตย ใบบัวบก หญ้าปักกิ่ง ใบเบญจรงค์ และใบเสลดพังพอนให้เล็กลง แล้วนำไปโขลกให้ละเอียด หรือขยี้ หรือนำไปปั่น

          2. กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกรงตาถี่เอาแต่น้ำสีเขียว แล้วนำไปดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน ที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้ 4 - 5 วัน ถ้ารสชาติเริ่มเปรี้ยวควรทิ้งทันที

ย่านาง ตำรับยาแก้ไข้ สมุนไพรอายุวัฒนะ

นอกจากนี้ยังมี วิธีทำน้ำใบย่านางอีกสารพัดสูตรตามเข้าไปดูเลยค่ะ "สูตรน้ำใบย่านาง"

เทคนิควิธีการปั่นใบย่านาง

          การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร เทคนิคอยู่ที่วิธีการปั่นคือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด ควรใช้วิธีกดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้งนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็วแล้วรีบกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุนทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนใบย่านางละเอียด วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม เสร็จแล้วจึงนำมากรองเอาแต่น้ำค่ะ

แกงหน่อไม้ใบย่านาง

          หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมต้มหน่อไม้ต้องใส่ใบย่านาง ? ก็เพราะมีความเชื่อกันมาว่า หน่อไม้มีฤทธิ์ร้อน กินมาก ๆ จะทำให้ท้องอืด จึงต้องแก้ด้วยน้ำใบย่านางซึ่งมีฤทธิ์เย็น นี่เองที่ทำให้หน่อไม้กับใบย่านางกลายเป็นของคู่กันไปซะแล้ว

          ถ้ารู้แล้วว่า หน่อไม้กับใบย่านางเป็นของคู่กัน แบบนี้ก็ต้องลองมาทำเมนูที่มีทั้งหน่อไม้และใบย่านางกันดูสักหน่อย กับเมนูที่มีชื่อว่า แกงหน่อไม้ใบย่านาง เมนูโปรดของคออาหารอีสานรสแซ่บ ที่จะพาทุกคนไปอร่อยไปกับหน่อไม้กรอบ ๆ เข้ากันดีกับน้ำใบย่านาง แถมยังมีผัก และเห็ดนานาชนิดเต็มถ้วยไปหมด กลิ่นหอมฟุ้งเลยทีเดียว ยิ่งถ้าใครชอบกินปลาร้าด้วยแล้ว รับรองเลยว่าเด็ดโดนใจ แถมในน้ำใบย่านางยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอีกด้วย

          เอาล่ะ ถ้าใครสนใจจะเข้าครัวไปทำ แกงหน่อไม้ใบย่านางกันแล้ว ก็ตามมาดูวิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านางด้านล่างนี้กันได้ที่นี่เลยค่ะ "วิธีทำแกงหน่อไม้ใบย่านาง"


โทษของใบย่านาง

          ในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยใดพิสูจน์ได้ว่าใบย่านางนั้นมีโทษต่อร่างกายอย่างไร แต่ก็มีคำเตือนว่าผู้ที่ป่วยในโรคไตระยะสุดท้ายไม่ควรดื่มน้ำใบย่านาง เพราะสารอาหารอย่างวิตามินเอ ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่อยู่ในใบย่านางนั้นจะทำให้เกิดการคั่งได้หากการทำงานของไตลดลง

          นอกจากนี้ใบย่านางถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ได้สะดวกมากขึ้น แต่ก็ควรที่จะศึกษาให้ดีก่อนนำมาใช้ เพราะบางทีอาจจะมีส่วนผสมบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพื่อความปลอดภัย ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้จะดีที่สุดนะคะ

         เป็นอย่างไรกันบ้างได้ทราบสรรพคุณที่มากมายจนน่ามหัศจรรย์ของสมุนไพรย่านางกันไปแล้ว คงจะเริ่มสนใจนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้กันแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ก็ควรใช้ให้ถูกวิธีและเหมาะสมนะ เพราะสมุนไพรชนิดนี้ถึงมีแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าหากเราใช้มากเกินไปและไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้นะจ้ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย
- สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
- morkeaw.net
- frynn.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 30, 2014, 08:42:46 am
20 ประโยชน์ของสะตอ และวิธีดับกลิ่น


-http://guru.sanook.com/27257/20-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%AD-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99/-



สะตอ ภาษาอังกฤษ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน



วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อทานสะตอเข้าไปแล้วหลังทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสะตอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สะตออุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี อีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของสะตอและสรรพคุณของสะตอกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง?


ประโยชน์ของสะตอ
1.ประโยชน์สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
3.ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
4.ประโยชน์ของสะตอ ช่วยลดความดันโลหิต
5.ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
6.มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
7.สะตอประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
8.เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
9.สรรพคุณของสะตอ ช่วยขับลมในลำไส้
10.ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
11.สะตอ สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
12.สรรพคุณสะตอ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
13.แก้ปัสสาวะพิการ
14.ช่วยแก้ไตพิการ
15.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
16.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
17.สะตอทําอะไรได้บ้าง เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
18.และยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
19.ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
20.ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.termsuk.com (http://www.termsuk.com)

------------------------------------------------------------------------------



สายพันธุ์ของสะตอ

-http://nempchill.brinkster.net/bee1.htm-


พันธุ์ สะตอมี 2 ชนิด คือ


(http://nempchill.brinkster.net/image/1177061_5473540.jpg)


สะตอข้าว

(http://nempchill.brinkster.net/image/1177061_547354g.jpg)

สะตอข้าว  ลักษณะฝักเป็นเกลียว ยาวประมาณ 31 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. จำนวนเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-20 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น อายุการให้ผลผลิต 3-5 ปี หลังปลูก

 

สะตอดาน

สะตอดาน  ฝักมีลักษณะตรงแบนไม่บิดเบี้ยว ยาวประมาณ 32 ซม. ความกว้างกว้างกว่าสะตอข้าวเล็กน้อย มีเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-15 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นฉุนรสเผ็ด เนื้อเมล็ดแน่น อายุการเก็บเกี่ยว 5-7 ปี

 





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 30, 2014, 09:13:28 am


ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย
วันเสาร์ 30 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.


พุทราป่า เป็นต้นไม้สูงมีหนามเล็กแหลม ผลกลมเล็ก เมล็ดโตมีเมือกมาก รสเปรี้ยว ผลสุกหรือผลแก่จัด ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือนำมาเชื่อมเป็นผลไม้เชื่อม ทำน้ำผลไม้มีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ คนไทยเมื่อครั้งอดีตรับประทานผลสุกเพื่อขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย ผลแห้งหรือใบนำไปปิ้งไฟ หรือคั่วหรืออบให้แห้งนำมาชงน้ำดื่ม แก้ไอ เมล็ดนำมาเผาไฟ แล้วป่น ใช้รักษาซางชักของเด็ก หรือตำสุมหัวเด็ก รักษาอาการหวัดคัดจมูก และอาการบวม เป็นต้น.



-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/262856/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 07:51:36 am
5 อาหารสำคัญสำหรับคนนอนดึกที่ขาดไม่ได้

-http://ch3.sanook.com/32335/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99-


รายการ “กาละแมร์”

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีไลฟสไตล์ชอบนอนดึก หรือไม่ก็อาจจะประกอบอาชีพที่หลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ และสิ่งที่ตามมาคือระบบในร่างกายมันจะฟ้องออกมาด้วยอาการเจ็บป่วย เช่น มึนศีรษะ, เวียนหัว, คลื่นไส้, เป็นหวัดง่าย, ภูมิแพ้กำเริบ ดังนั้น คนนอนดึกควรหันมาดูแลตัวเองให้มากกว่าคนปกติ เริ่มจากอาหารการกินเลย ต่อจากนี้ คืออาหารเฉพาะสำหรับคนนอนดึกที่ควรรับประทาน

1. เนื้อสีขาว  หาเนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ ทานบ้าง  เพราะจะช่วยสร้าง “เคมีสมอง” ที่จำเป็นสำหรับคนนอนดึก  ได้แก่ โดพามีน,เอพิเนฟริน

2. ข้าวกล้องงอก หรือ ถั่วดำ ถั่วแดง ลูกเดือย เพราะธัญพืชพวกนี้จะมี กาบ้า (GABA)  เป็นสารช่วยสื่อประสาทสมองทำให้ความจำดีคิดอ่านได้ว่องไว

3.ช็อกโกแลตดำ(Dark Chocolate)  เป็นเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังเสริมสร้างเรี่ยวแรงอย่างหนึ่ง แทนเพราะมี “ฟลาโวนอยด์” ช่วยให้เลือดไหลลื่นในสมองป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

4.ใบบัวบก  ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติและยังมีสารช่วยลดการอักเสบของร่างกายจากภาวะนอนดึก  หาบัวบกรับประทานสดหรือเอามาปั่นเป็นน้ำคั้นสีเขียวดื่มบ่อยๆ  จะช่วยให้สดชื่นตื่นตัวดี

5. ดื่มน้ำให้มาก  ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆที่สุดแต่มักถูกมองข้าม การ “ดื่มน้ำสะอาด”  ดีต่อสมองเป็นที่สุดเพราะก้อนสมองต้องอาศัยน้ำในการบำรุงเช่นเดียวกับร่างกายที่นอนดึก  คนนอนดึกจะปากแห้งเพราะร่างกายคนนอนดึกไม่ได้พักจึงมีการสูญเสียน้ำไปจนปากคอแห้งเป็นผงนั่นเอง


----------------------------------------------------------------------------



หมูทอดน้ำปลา สูตรทำง่าย ท้าให้ลอง

-http://cooking.kapook.com/view97655.html-


(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/moo.jpg)
หมูทอดน้ำปลา สูตรทำง่าย ท้าให้ลอง

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก หมอดูพาแด๊ก

          หมูทอด เมนูง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่จะทำให้ออกมาอร่อยโดนใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเจอวิธีทำหมูทอดน้ำปลาสูตรนี้เข้าไป บอกเลยว่าง่ายมาก !

           ถ้าลองได้หมูทอดน้ำปลา หรือหมูทอดน่ากิน ๆ แบบนี้มากินกับข้าวสวยร้อน ๆ แค่นี้ก็ฟินแล้วเนอะ ถือเป็นเมนูคุ้นเคยกินกันมาตั้งแต่เด็กยันโต เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี แต่ถ้าทำกินเอง เชื่อว่ามีหลายครั้งที่ทอดออกมาแล้วไม่อร่อย บ้างก็หมักไม่เข้าเนื้อ จืดไปบ้าง เค็มไปบ้าง ไม่อร่อยอย่างที่ควรจะเป็น วันนี้กระปุกดอทคอมนำวิธีทำหมูทอดน้ำปลาสูตรทำง่าย ๆ จาก เฟซบุ๊ก หมอดูพาแด๊ก มาฝาก ที่แค่เห็นภาพเชื่อว่า หลายคนกำลังนั่งซับน้ำลายกันอยู่แน่ ๆ ไปดูวิธีทำหมูทอดน้ำปลากันเลยจ้า

 ส่วนผสม
         
          หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม

          น้ำปลาอย่างดี 7-8 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยขาวป่นตามชอบ

          ไข่ไก่ 1 ฟอง

          ผงปรุงรส เล็กน้อย

          แป้งประกอบอาหารโกกิ 10-15 ช้อนโต๊ะ

          น้ำเย็น

          น้ำมันปาล์ม สำหรับทอด

          น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ

          เกลือเล็กน้อย

วิธีทำ
         
          1. ใช้มีดแกะสลักจิ้มให้ทั่วชิ้นหมู (เคล็ดลับ : สำคัญมากคือ ไปซื้อมีดแกะสลักมาจิ้ม ๆ ให้ทั่วหมูเลยครับ จิ้มหนังด้วย หมูจะนิ่ม น้ำหมักจะเข้าเนื้อหมู สุกเร็วครับ)
         
          2. หมักหมูโดยใส่น้ำปลา พริกไทยป่น ไข่ไก่ ผงปรุงรสเล็กน้อย และแป้งประกอบอาหารโกกิ จากนั้นพรมน้ำเย็นบาง ๆ ลงไป แล้วค่อย ๆ นวดจนเข้ากันประมาณ 5 นาที จากนั้นหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที


(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/moo3.jpg)

          3. ใส่น้ำมันปาล์มลงในกระทะให้ท่วม ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำมัน (เพื่อหมูจะไม่อมน้ำมัน) และเกลือเล็กน้อย (กันหมูติดกระทะ) ใช้ไฟค่อนข้างแรง จากนั้นนำหมูลงทอด โดยทอดทีละข้างให้เกรียมจนเนื้อหมูเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล (ตามรูป) จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน หั่นเป็นชิ้น ๆ พร้อมเสิร์ฟ

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/moo2.jpg)

(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/moo4.jpg)



          เป็นอย่างไรบ้างคะ กับวิธีทำหมูทอดน้ำปลาจานนี้ ทำง่าย ๆ แถมยังอร่อยแบบนี้ ขอท้าให้ลองค่ะ



.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 08:50:38 pm
.


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=761.0;attach=3094;image)


.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 09:03:48 pm
อาหารกินแก้หิว ช่วงคุมน้ำหนักลดพุง ลดโรค


-http://men.sanook.com/3745/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-


นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารที่ทานแล้วไม่อ้วน หาทานง่าย ราคาประหยัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมระบุปัจจัยที่ทำให้ปัจจุบันนี้ผู้คนพุงปลิ้น คือ กินแป้ง นอนดึก นั่งนาน


1. เม็ดแมงลัก มีวิตามินเอสูง มีเส้นใยละลายน้ำ เมื่อแช่น้ำ เม็ดแมงลักจะพองตัวช่วยให้อิ่มแต่ไม่อ้วน

2. ถั่วลิสง ควรทานถั่วลิสงคั่วแบบไม่ปรุงรสจะได้ใยอาหารจากถั่ว แม้ถั่วจะมีพลังงานสูง แต่ด้วยใยอาหารของถั่วกับโปรตีน จะช่วยให้รู้สึกไม่หิวจนเกินไป

3. แอปเปิ้ลเขียว อุดมไปด้วย เพคติน ช่วยให้อิ่มท้อง

4. มะนาว น้ำมะนาวที่ขมนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้นานนับ ชั่วโมงหลังจากกิน เพราะสารพิเศษจากเปลือกมะนาว

5. ทูน่า ช่วยให้อิ่มจากโปรตีนของปลา และมีคุณค่าจากไขมันต้านชรา อาทิ โอเมก้า 3

6. ไข่ต้ม มีส่วนช่วยลดไขมันได้ ส่วนไข่ขาวก็เป็นโปรตีนล้วน ที่ช่วยให้ไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก เพราะจะไปสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ"

ที่มา : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

---------------------------------------------------------------------------

ถอยให้ห่าง!!! อาหารเร่งแก่ ตัวการร้ายทำวัยร่วงโรย

-http://men.sanook.com/3769/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A2/-


1. อาหารที่มีรสหวานจัด หรืออาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลและแป้งในปริมาณที่มากเกินไป จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอย

2.อาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์พบมากในมาร์การีนหรือเนยเทียม ผลิตภัณฑ์เบเกอรี คุกกี้ เฟรนช์ฟรายด์ การกินอาหารที่มีไขมันทรานส์ในปริมาณมาก จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้แก่ก่อนวัยได้ โดยจะทำให้เซลล์ผิวขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอย

3.อาหารทอดด้วยน้ำมันซ้ำซาก เช่น ปาท่องโก๋ ทอดมัน ไก่ทอด เป็นต้น น้ำมันที่ทอดอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีทำให้เกิดอนุมูลอิสระ และอาจเกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

4.แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวที่เร่งความแก่ให้มาเยือนก่อนเวลาอันควร

เมื่อรู้จักอาหารเร่งแก่ที่ควรหลีกเลี่ยงแล้ว คราวนี้มาดูอาหารที่มีประโยชน์ที่ช่วยต้านความแก่บ้าง ได้แก่ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ พืชสมุนไพรต่างๆ อาหารที่มีวิตามินซีและอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายและริ้วรอยแห่งวัย นอกจากนี้อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเลือกน้ำดื่มสะอาดหรือน้ำแร่ก็ได้ เพราะน้ำที่เราดื่มเสมือนเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ และยังช่วยในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราดูสดใสอ่อนกว่าวัยได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก
spokedark.tv
-http://www.spokedark.tv/-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 10:40:23 am
ดอกอัญชัญ

คนไทยได้ใช้ดอกอัญชันเป็นสีผสมอาหารมานานแล้ว เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ หรือนำน้ำคั้นดอกอัญชันใส่ในข้าวสารเพื่อหุงข้าว จะได้ข้าวสุกสมุนไพรที่ให้คุณต่อร่างกาย
วันเสาร์ 6 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264561/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

คนไทยได้ใช้ดอกอัญชันเป็นสีผสมอาหารมานานแล้ว เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ หรือนำน้ำคั้นดอกอัญชันใส่ในข้าวสารเพื่อหุงข้าว จะได้ข้าวสุกสมุนไพรที่ให้คุณต่อร่างกาย ในตำรายาไทยโบราณระบุถึงดอกอัญชันไว้ว่า รากมีรสเย็นใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงสายตา แก้ตาอักเสบ ตาฟาง ตาแฉะ เมื่อนำรากมาถูฟันจะแก้ปวดฟัน  ส่วนสารแอนโธไซยานิน ที่มีอยู่ในดอกอัญชัน จะช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------------


สามารถป้องกันยุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก และเท้าช้างได้ สารสกัดตะไคร้หอมที่ผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำมันหอมระเหยกลิ่นชะมดเช็ด
วันพฤหัสบดี 4 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264090/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-

ตะไคร้หอมเป็น พืชล้มลุก มีอายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นตั้งตรง ออกเป็นกอ มีกลิ่นหอม ใบเดี่ยว น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอม สามารถป้องกันยุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก และเท้าช้างได้ สารสกัดตะไคร้หอมที่ผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำมันหอมระเหยกลิ่นชะมดเช็ด เมื่อนำมาทดสอบกับยุงลายและยุงรำคาญตัวเมีย จะมีประสิทธิภาพในการไล่ยุงได้ นอก จากนี้ยังมีผลในการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย.


-------------------------------------------------------------------------------------------------------

มีสีเทาออกขาว ก้านรังยาว โพรงรังเล็ก น้ำหนักเบา และไม่มีผึ้งตายอยู่ในรัง คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะกินรังผึ้งเพื่อขับลมในร่างกาย ถอนพิษ ถ่ายพยาธิ แก้ปวด และใช้บำบัดอาการคันตามผิวหนัง
วันศุกร์ 5 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/264452/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


รังผึ้ง คือรังของตัวผึ้ง ส่วนมากจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ หน้าผา หรือใต้ชายคาบ้าน และตามโพรงไม้ รังผึ้งชั้นดีคือ รังที่สร้างไว้กลางแจ้งเป็นรังเดี่ยว มีสีเทาออกขาว ก้านรังยาว โพรงรังเล็ก น้ำหนักเบา และไม่มีผึ้งตายอยู่ในรัง คนไทยเมื่อครั้งอดีตจะกินรังผึ้งเพื่อขับลมในร่างกาย ถอนพิษ ถ่ายพยาธิ แก้ปวด และใช้บำบัดอาการคันตามผิวหนัง วัณโรค ต่อมน้ำเหลือง ปวดฟัน ฝีบวม กลากเกลื้อนตามมือ และปวดบวมจากผึ้งต่อย



-------------------------------------------------------------------------------------------------------


ขนมโบราณบางชนิดเป็นขนมเฉพาะในงานสำคัญ อย่างงานแต่งงาน ไม่ใช่ขนมกินเล่นทั่ว ๆ ไป หากปล่อยให้เป็นแค่ขนมโบราณ หรือขนมมงคลเพียงอย่างเดียว นานวันคงจะหายไป
วันอาทิตย์ 7 กันยายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/264843/%E2%80%98%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%87%E2%80%99+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88..%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1-

ขนมโบราณบางชนิดเป็นขนมเฉพาะในงานสำคัญ อย่างงานแต่งงาน ไม่ใช่ขนมกินเล่นทั่ว ๆ ไป หากปล่อยให้เป็นแค่ขนมโบราณ หรือขนมมงคลเพียงอย่างเดียว นานวันคงจะหายไป เพราะคนรุ่นใหม่ ๆ ไม่มีใครรู้จัก จึงต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย  อย่าง “ขนมกง” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้... 

***********             

อินทนา สาระบัน เจ้าของขนมกงโบราณ “สูตรแม่อรุณ” จ.กำแพงเพชร เล่าว่า แม่อรุณเจ้าของสูตรได้ทำขนมกงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบัน โดยประวัติของขนมกงที่ ต.หนองแก จ.กำแพงเพชร นี้ สันนิษฐานกันว่าพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป มักทำกันในเทศกาลตรุษสงกรานต์ และประเพณีแต่งงานของ ต.หนองแก โดยขนมกงนี้เป็นขนมมงคลที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ในประเพณีแต่งงาน นอกจากนี้ ในแง่ของชีวิต ขนมกงนี้ยังมีความหมายดี ๆ อีกด้วย

“เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ ๆ ก็เริ่มไม่รู้จัก หากไม่ปรับเปลี่ยนให้มีรสชาติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ขนมกงนี้คงจะใช้เฉพาะในงานมงคลเท่านั้น ไม่ใช่ขนมทานเล่นทั่ว ๆ ไป” อินทนา กล่าว

ปัจจุบัน ขนมกงโบราณ “สูตรแม่อรุณ”นี้ มีทั้งหมด 6 รสชาติ ได้แก่ ถั่วเขียวดั้งเดิม, ถั่วเขียวงาดำ, ถั่วเขียวใบเตย, ถั่วเขียวชาเขียว, ถั่วเขียวกาแฟ และถั่วเขียวสาหร่ายทะเล

อุปกรณ์ในการทำขนมกง หลัก ๆ มี เครื่องบดแป้ง, เตาแก๊ส, กระทะทองเหลืองขนาดใหญ่, ไม้พาย, ไม้นวดแป้ง, ที่ตัดแป้ง, ตะแกรงรองขนม, ถาดสเตนเลส และอุปกรณ์ในครัวอื่น ๆ 
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2014, 06:19:15 am
ปัญหาร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ไม่สะอาด ทางร้านรับผิดชอบไม่เต็มที่ ผู้บริโภคสามารถทำอะไรได้บ้าง?
วันอังคาร 7 ตุลาคม 2557 เวลา 05:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/271940/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94+%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%3F-

ปัจจุบันการทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในห้างสรรพสินค้า กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนเมือง เนื่องด้วยความสะดวกสบายที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารเอง และสามารถมั่นใจในเรื่องความสดใหม่และความสะอาดของวัตถุดิบอีกด้วย แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีกรณีศึกษาที่พูดถึงความสะอาดของร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ตามห้างสรรพสินค้าอยู่มากมาย พบแมลงตามโต๊ะอาหาร หรือตามถาดอาหารบ้าง

ล่าสุดเกิดกรณีพบตัวอ่อนแมลงสาบอยู่ตามถาดอาหารและที่นั่งในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พบว่าในหม้อน้ำซุปที่รับประทาน มีตัวอ่อนแมลงสาบถูกต้มจนเปื่อยแล้ว ซึ่งมาจากอาหารหรือของสดที่ตักมาจากถาดอาหาร นอกจากนี้ยังพบบนโต๊ะอาหาร และกล่องทิชชู่ด้วย ผู้ใช้บริการจึงรีบแจ้งผู้จัดการร้านทันที แต่ได้รับเพียงคำขอโทษและข้อเสนอโปรโมชั่นลดราคา เมื่อนำเรื่องไปแจ้งผ่านแฟนเพจของร้านดังกล่าว ก็ได้รับการติดต่อจากผู้ดูแลว่ารับทราบเรื่องแล้ว ขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะหามาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทมีนโยบายในการควบคุมดูแลคุณภาพ รักษามาตรฐานอาหารและความสะอาดทุกสาขา

หลายคนตั้งคำถามว่า ในฐานะผู้บริโภคแล้ว เราสามารถทำอะไรกับเหตุการณ์แบบนี้ได้บ้าง นอกจากรอทางร้านรับผิดชอบด้วยการยื่นข้อเสนอเป็นโปรโมชั่นล่อตาล่อใจ บัตรกำนัลส่วนลดไว้ทานในครั้งต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน วันนี้ 'เดลินิวส์ออนไลน์' มีโอกาสสอบถาม ผ.อ. ทรงศิริ จุมพล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลากสินค้า ถึงการรับมือเมื่อผู้บริโภคเจอเหตุการณ์ดังกล่าว

ผ.อ. ทรงศิริ กล่าวว่า ในด้านผู้บริโภค ขณะรัประทานอาหารอยู่แล้วพบสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งอันตรายในอาหาร ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่าอาหารในมื้อนั้นได้ จากนั้นสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ผ่านสายด่วน 1166 ผ่านทางเว็บไซต์ของสคบ. หรือกรอกแบบฟอร์มคุ้มครองผู้บริโภคผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้ เพื่อให้ชดเชยค่าเสียหาย โดยทางสคบ. จะเชิญผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภค มาพูดคุยเจรจาไกล่เกลี้ยปัญหา และชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้

สำหรับการเรียกร้องให้ตรวจสอบความสะอาดของร้านอาหารรวมทั้งคุณภาพของอาหาร ผู้บริโภคสามารถแจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สายด่วน 1556 หรือ สำนักงานเขตหรือเทศบาลของพื้นที่ตั้งร้านอาหารนั้นๆ เพื่อให้อนามัยของแต่ละพื้นที่สามารถเข้าตรวจสอบร้านอาหารได้ หรือในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถส่งเรื่องไปยังสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร โทร. 02-245-3933, 02-245-3845ได้เช่นกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารควรหมั่นตรวจสอบคุณภาพอาหาร และทำความสะอาดพื้นที่ร้านอาหารรวมทั้งภาชนะที่ใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะต่อให้ผู้บริโภคได้รับเงินค่าชดเชยมากเพียงใด แต่ถ้าปัญหาด้านความสะอาดส่งผลต่อสุขภาพจนอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต มีเงินมากเพียงใดก็ซื้อกลับมาไม่ได้

@ArnonNunn

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2014, 08:37:27 am
ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !

-http://guru.sanook.com/27261/%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-33-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

 

               1.              มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี

               2.              ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

               3.              ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ

               4.              เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

               5.              ช่วยลดไขมันในเลือด

               6.              สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง

               7.              ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

               8.              ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

               9.              ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

              10.            ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้

              11.            ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง

              12.            ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน

              13.            ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม

              14.            ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้

              15.            รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล

              16.            น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ

              17.            น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ

              18.            ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง

              19.            ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด

              20.            ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก

              21.            ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย

              22.            ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

              23.            ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้

              24.            ใบใช้แก้แพ้ยุง

              25.            ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

              26.            ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

              27.            รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง

              28.            ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

              29.            ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป

              30.            การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

              31.            เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า

              32.            นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด

              33.            นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ www.phyathai.com (http://www.phyathai.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2014, 06:18:56 pm
สาหร่ายของขวัญจากท้องทะเล

-http://men.sanook.com/4205/-


(http://p3.s1sf.com/me/0/ud/0/4205/sqqq.jpg)


สาหร่ายทะเลเป็นอาหารยอดฮิตของหลายๆ คน ด้วยความอร่อยจากการปรุงรสทั้งยังเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอยู่ 18 ชนิด
และคุณประโยชน์พิเศษและสำคัญต่อร่างกายของคนเรามีดังต่อไปนี้

• ไอโอดีน ร่างกายของเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อป้องกันโรคคอพอก

• ธาตุเหล็ก จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูมีน้ำมีนวล บำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางาม

• ทองแดง มีหน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และผมร่วงง่าย

• สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

• ใยอาหาร ช่วยทำให้ท้องไม่ผูก และยังช่วยเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2014, 07:28:38 pm
"กล้วย" พืชประโยชน์สารพัดนึก แต่หากบริโภคไม่คิด มีสิทธิ์ถึง "ตาย"


-http://campus.sanook.com/1374445/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-


"กล้วย" เป็นพืชที่ขึ้นทั่วๆ ไปในเขตร้อน โดยเฉพาะในบ้านเราประเทศไทยมีความคุ้นเคยกันมาแต่โบร่ำโบราณ คนไทยสมัยก่อนปลูกเป็นไม้ประจำ "บ้าน" เลยทีเดียว มีแทบทุกบ้านช่อง เพื่อใช้ประโยชน์สารพัดที่ผู้เขียนคุ้นเคยมากๆ เมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมา ปู่ ย่า ตา ยาย คุณพ่อ คุณแม่สมัยก่อนจะนิยมใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารก

โดยเฉพาะพออายุได้ 1 เดือน ผู้เฒ่าผู้แก่จะนิยมบดกล้วยเละๆ เรียกภาษาชาวบ้านว่า "กล้วยบด" แล้วป้อนให้ลูกหลานกินเป็นอาหารเสริมประจำวันนอกจาก "นมแม่" ว่าไปแล้วคุณแม่ของผู้เขียนเองก็เคยป้อนกล้วยบดให้กินเช่นเดียวกันนอกจากนมแม่

มีเหตุการณ์ประทับใจอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องกล้วยเมื่อประมาณปี2517ขณะนั้นผู้เขียนเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลสิงห์บุรีออกตรวจผู้ป่วยนอก(OPD) พบคุณแม่ทารกรายหนึ่งพาลูกชายอายุ 1 เดือนเศษไปโรงพยาบาลด้วยอาการท้องอืด อาเจียน กระสับกระส่าย ร้องไห้ไม่ยอมหยุด หลังจากป้อนกล้วยได้ 1 ชั่วโมง ผู้เขียนได้ซักว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลได้เลี้ยงลูกทารกอย่างไร อะไรบ้าง ได้ประวัติว่า คุณย่าบดกล้วยให้หลานกินจนอิ่ม หลังจากนั้น 3-4 ชั่วโมง มีอาการร้องไห้ไม่หยุด ท้องอืดขึ้นเรื่อยๆ จึงมาโรงพยาบาลสิงห์บุรี

ผู้เขียนได้ตรวจร่างกายพบว่าท้องอืดโป่งพอง เคาะท้องมีเสียงลมเต็มในช่องท้อง เด็กกระสับกระส่าย เคาะบริเวณท้องแถวรอบๆ สะดือมีเสียงคล้ายๆ มีลมในท้อง จึงได้ส่งเด็กไปเอกซเรย์ พบว่ามีลมแทรกอยู่ในช่องท้องใต้กระบังลม จึงได้วินิจฉัยว่าเด็กคนนี้กระเพาะแตกจากคุณย่าป้อนกล้วย จึงรีบนำไปผ่าตัดเปิดช่องท้องพบกล้วยน้ำว้าเต็มท้อง ได้เอาออกแล้วล้างช่องท้อง เย็บแผลกระเพาะติดกันเอาไว้ที่เดิม ผู้ป่วยรายนี้อยู่โรงพยาบาล 3-4 วัน มีอาการติดเชื้อ ไข้สูง จึงเสียชีวิต

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย 50 ปีเศษขึ้นไป นิยมการเลี้ยงลูกตามวัฒนธรรมประเพณีการเลี้ยงดูมาแต่โบราณ ด้วยความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้าใจผิด ความระมัดระวังน้อย จึงเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อพึงสังวรของคนรุ่นใหม่ขณะนี้เหตุการณ์เช่นนี้น้อยลง หรือไม่เกิดแล้วในประเทศไทย

แต่ ณ วันนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) และประเทศไทยเรา โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีโครงการรณรงค์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และนอกจากนี้ กรมอนามัย โดย "กองอนามัยครอบครัว" ได้เสนอให้บรรจุการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็น "จปฐ" (ความจำเป็นพื้นฐาน) ของประชาชน เพื่อให้เด็กเจริญเติบโตมีสติปัญญา อารมณ์เข้ากับสังคมได้ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เริ่มในปี 2538-2539 จนถึงปัจจุบัน

ผู้เขียนเลยนำ "กล้วย" มาช่วยขยายความให้กระจ่างขึ้นในมิติต่างๆ

"กล้วย" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Musa ABB group (Triploid) CV" "Nam Wa"-กล้วยน้ำว้า ชื่อภาษาอังกฤษ Banana, Cultivated banana

ชื่อท้องถิ่น กล้วยมะลิอ่อง กล้วยกะทิอ่อง กล้วยไข่ กล้วยใต้ กล้วยนาก กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง กล้วยส้ม กล้วยหอม กล้วยหอมจันทร์ กล้วยหักมุก กล้วยยาไข่ กล้วยสะกุย

"กล้วย" จัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มี "ลำต้น" อยู่ใต้ดินที่เราเรียกกันว่า "หน่อกล้วย" ส่วนที่เหนือต้นเป็นลำต้นเทียม เกิดจากภายในห่อหุ้มซ้อนกัน มีลักษณะคล้ายเป็นลำต้นใบเดียวขนาดใหญ่ออกเรียงเวียนสลับกันรูปขอบขนาน ปลายตัด ขอบเวียน เส้นกลางใบแข็งมีเส้นใยจำนวนมากออกจากเส้นกลางไปทั้ง 2 ข้าง ขนานกันไปจรดขอบใน

ก้านใบยาวเป็นส่วน ดอกออกเป็นช่อเรียกว่า "ปลี" ห้อยลง ก้านช่อดอกแข็ง ดอกย่อยแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน

ดอกเพศเมียจะอยู่ตอนล่างของช่อดอกและบานก่อน แต่ละช่อย่อยจะรองรับด้วยใบประดับขนาดใหญ่สีม่วงแดง (กาบปลี) ดอกย่อยรูปทรงกระบอก มีกลีบดอก 6 กลีบ มี 1 กลีบเดี่ยวขนาดเล็ก ที่เหลืออีก 5 กลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก "ผล" ทรงกระบอกหรือมีเหลี่ยมเล็กน้อย เปลือกหนาสีเขียว เมื่อสุกเปลือกจะมีสีเหลือง มีรสหวานรับประทานได้

ส่วน "ผลดิบ" ใช้เป็นยาสมุนไพร รักษาอาการจุกเสียดและอาการท้องเสีย

"กล้วย" เป็นพืชที่มีคุณค่า เป็นพืชประจำครัวเรือน ยังมีคำคำหนึ่งที่เป็นมงคลว่า ปลูกเอาไว้หน้าบ้านหรือหลังบ้านก็ได้ จะทำอะไรก็ให้สำเร็จง่ายๆ แบบ "กล้วยๆ" กล้วยเป็นพืชใช้ประโยชน์ได้สารพัดทุกๆ ส่วนของกล้วย นอกจากเป็นอาหารแล้ว ลำต้น ใบ...และอื่นๆ มีคุณค่า ได้แก่ ส่วนที่ใช้ผลดิบ ผลสุก หัวปลี ผล ใบ และราก

คุณค่าทางโภชนาการให้คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน กากไฟเบอร์ กรดอะมิโน วิตามินเอ บี ซี แคลเซียม เหล็ก โพแทสเซียม ทองแดง แทนนิน

สรรพคุณและการใช้ประโยชน์

ผลดิบ : ใช้ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย โดยหั่นทั้งเปลือกเป็นแว่นตากแห้งแล้วบดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดหรือชงในน้ำร้อนดื่ม ใช้ครั้งละประมาณเท่ากับกล้วยครึ่งซีกหนึ่งผล หรือนำผลมาใช้โรยรักษาแผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง

ผลสุก : ช่วยขับถ่ายระบายท้อง มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา แก้ท้องผูก บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วยสุก ผู้เขียนเองมีประสบการณ์ตรง รับประทานวันละ 1-2 ผล อาทิตย์กิน 2-3 วัน ช่วยขับถ่ายได้ดี ท้องไม่อืดไม่เฟ้อ "ต้นแบบ" ที่ผู้เขียนสัมผัสมาคือท่านหลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ท่านฉันกล้วยน้ำว้าสุกทุกวัน วันละ 1-2 ผล ขณะนี้อายุ 85 ปีแล้วแข็งแรงดี ผิวพรรณผ่องใส หลวงพ่อบอกท้องไม่อืด ขับถ่ายดีมาก สบายดี ที่สำคัญคือ ผู้เขียนประทับใจที่ท่านมีผิวพรรณ "เปล่งปลั่ง" เสมอ น่าสนใจ

เปลือกผลดิบ : ใช้สมานแผล

หัวปลี : แก้โรคลำไส้ แก้โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต คั้นน้ำบำรุงโลหิตแก้ถ่ายเป็นมูกเลือด

ยาง : ใช้สมานแผล ห้ามเลือด

ใบ : ใช้ต้มอาบแก้เม็ดผดผื่นคัน ปิ้งปิดแผลไฟไหม้

ราก : ต้มดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไอ ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน

กาบต้น : ลำต้นใช้ทำเชือก ทำแพ เลี้ยงหมู และประเพณีลอยกระทง ใช้ทำกระทงลอยน้ำ

นอกจากนี้ ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของบางจังหวัด เช่น สุโขทัย เขาจะปลูกกล้วยมากทั้งอำเภอ เช่น อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง ชาวบ้านจะตัด "ใบตอง" ขึ้นรถ 10 ล้อไปขายที่ท่าเตียน หรืออย่างกล้วยไข่ ต้องไปที่จังหวัดกำแพงเพชร กล้วยเล็บมือนางต้องไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น

สิ่งอื่นที่ควรต้องรู้เพิ่มเติมคือ สารสำคัญๆ ฤทธิ์ทางเภสัช อาหารเป็นพิษผลข้างเคียงอื่นๆ เพราะอะไรที่มีประโยชน์ก็ต้องมีโทษที่เราควรต้องรู้ จะได้ "พึงระวัง ป้องกัน ไม่ให้เกิดกับตัวเรา"

สารสำคัญที่มีอยู่ใน "กล้วย" คือ "สารแทนนิน" มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้

สาร Sitoindoside เป็นกลุ่มสเตียรอยด์ (Steriod) เพราะฉะนั้น การใช้ระยะยาวจึงต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังไม่มีผู้ศึกษาพิษเรื้อรังของสารกลุ่มนี้

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : สิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า "กล้วย" คนส่วนใหญ่ที่กินกันเป็นประจำ นอกจากจะซื้อหาง่าย ราคาถูก สะดวกกิน ยังส่งผลในการได้รับวิตามิน ท้องไม่อืด ในเรื่องระบายท้องเป็นหลัก กล้วยยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของท้องเสียที่ทำให้เกิดโรคไทฟอยด์อีกด้วย

ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารโดยเฉพาะรายที่กินยาแก้ปวดไขข้ออักเสบต่างๆเช่นกลุ่มยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) และยังเชื่อว่าแป้งจากผลกล้วยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อเมือกในทางเดินอาหารได้ด้วย

ผู้เขียนเห็นว่า"กล้วย"เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์สารพัดนึกขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยแตกหน่อ

"คนไทย" สมัยก่อนใช้ปลูกเป็นไม้คู่บ้านคู่เรือนของคนไทย มีทุกบ้านเรือน นอกจากปลูกหรือเป็นสิ่งมงคลของบ้าน ขอให้บ้านนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้อะไรก็บรรลุวัตถุประสงค์โดยสะดวก แต่ที่สำคัญ เวลา "คน" จะเข้าเรือนออกเรือน โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวในพิธีมงคลสมรส เขาใช้ "ต้นกล้วย" ทั้งต้น มี "เครือกล้วย" ใช้ยก "ต้นกล้วย" นำแห่ขันหมากของฝ่ายชาย "เจ้าบ่าว" ไปสู่ขอ "เจ้าสาว" มักจะมีต้นอ้อยควบคู่ไปด้วย

คนโบราณเขาถือเคล็ดว่า ขอให้มีการสู่ขอให้ประสบความสุขความสำเร็จในครอบครัว เจริญงอกงาม มีลูกๆ หลานๆ ออกมาสืบตระกูลที่อุดมสมบูรณ์คือ การแตกหน่อแตกกอของหน่อกล้วยและต้นอ้อยที่เจริญงอกงาม

แต่ผู้เขียนต่อเติมว่า ขอให้เจ้าบ่าวสู่ขอฝ่ายหญิงโดยพ่อตาแม่ยายยินยอมยก "ลูกสาว" ให้ฝ่ายชายง่ายดายเหมือน "ปอกกล้วยเข้าปาก" ไงเล่าครับ




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2014, 02:20:08 pm
น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว น้ำหมากเม่า เครื่องดื่มจากผักผลไม้พื้นบ้าน


-http://cooking.kapook.com/view102025.html-


(http://img.kapook.com/u/surauch/cook/Juice.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านของไทย เคยแต่ซื้อมาดื่มไม่เคยทำเอง แต่รู้หรือไม่ว่าทำง่ายนิดเดียวเองนะ

          ในวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำสูตรการทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านมาฝากถึง 3 อย่างด้วยกัน คือ น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เผื่อว่าถ้าในวันหนึ่งวันใดคุณได้ไปเที่ยวสวนผักและผลไม้ตามต่างจังหวัดแล้วได้มีโอกาสซื้อผัก-ผลไม้สด ๆ เหล่านี้กลับมาบ้าน หรือมีคนซื้อมาฝากจากสวนแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี ลองมาทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพดื่มเองดูบ้างก็น่าจะดีไม่น้อยเลย เป็นสูตรมาจาก นิตยสารแม่บ้าน ลองมาดูมาชมกันเลย

น้ำเสาวรส
           
          น้ำเสาวรสกลิ่นหอมดื่มแล้วชื่นใจ แถมยังมีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา และบำรุงผิวอีกด้วย

ส่วนผสม
           
          เนื้อเสาวรส 500 กรัม

          น้ำตาลทราย 200 กรัม

          น้ำเปล่า 500 กรัม

          เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชำ

วิธีทำ
           
          1. ใส่เนื้อเสาวรสและน้ำเปล่าลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด จากนั้นเทใส่หม้อ
           
          2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม



น้ำหมากเม่า
           
          ในผลมะเม่าสุกมีสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอนโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอลสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่าย

  ส่วนผสม
           
          ลูกหมากเม่าสุก 200 กรัม

          น้ำเปล่า 1 ลิตร

          น้ำตาลทราย 200 กรัม

          เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชำ

  วิธีทำ
           
          1. ใส่ลูกหมากเม่าสุกและน้ำาเปล่า ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด เทใส่หม้อ
           
          2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม



 น้ำฟักข้าว
           
          น้ำฟักข้าวมีเบต้าแคโรทีนสูง มีไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย

 ส่วนผสม
           
          ลูกฟักข้ำวสุก 1 กิโลกรัม

          น้ำต้มสุก 1,500 มิลลิลิตร

          น้ำตาลทราย 150 กรัม

          น้ำะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

          เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชำ

วิธีทำ
           
          1. ผ่าครึ่งฟักข้าว ใช้ช้อนตักเมล็ดออก ใส่ลงในกระชอนตาห่าง ๆ ใช้ช้อนขูดจนเนื้อเยื่อสีแดง ๆ ออกจากเมล็ดจนหมด
           
          2. ใส่เนื้อเยื่อสีแดง ๆ ลงในน้ำาต้มสุก คนให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่ ๆ
           
          3. ใส่น้ำตาลทราย น้ำามะนาว และเกลือป่น คนให้เข้ากันชิมรส เปรี้ยว หวาน ตามชอบ นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม

          ก็เพิ่งจะรู้ว่า น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า ทำไม่ยากอย่างที่เคยคิด แบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อมาดื่มแล้ว ทำเองซะเลยดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
-http://www.maeban.co.th/-
ปีที่ 39 ฉบับที่ 545 ตุลาคม 2557



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 02:57:47 pm
ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-



ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 02, 2014, 08:03:06 am
มังคุด สรรพคุณและประโยชน์ของมังคุด 45 ข้อ!

-http://guru.sanook.com/27263/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94-45-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


มังคุด ภาษาอังกฤษ Mangosteen ส่วนมังคุดชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linn. จัดอยู่ในวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) เช่นเดียวกับกระทิง ติ้วเกลี้ยง ติ้วขน ชะมวง บุนนาค มะดัน มะพูด รงทอง ส้มแขก และสารภี


เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ และยังเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากในแถบเอเชีย โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of Fruits) อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผล ที่มีกลับบนหัวคล้ายๆกับมงกุฎของพระราชินี เป็นผลที่จัดว่ามีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง โดยประโยชน์ของมังคุดไม่ได้อยู่แค่เนื้อที่เรานิยมรับประทานกันเท่านั้น ประโยชน์ของเปลือกมังคุดก็มีมากมายในการรักษาโรคได้เช่นกัน

ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่างๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย) ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว (สิงหาคม พ.ศ.2555) ได้มีการเปิดตัวผลงานวิจัย “สูตรสารธรรมชาติ ต้านมะเร็งจากมังคุด” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นกาต่อยอดยำเอาคุณประโยชน์ของสารสกัดจีเอ็ม-1 ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสกัดมาจากเปลือกมังคุดสูตรธรรมชาติที่ผสมกับสารสกัดจากงาดำ ฝรั่ง ถั่วเหลือง ใบบัวบก จนได้เป็นอาหารเสริมชนิดดีที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยมีผลช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาวทีเอช 1 ที่ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวชนิดทีเอช 17 ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขณะที่ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ประโยชน์ของมังคุด

1.รับประทานสดเป็นผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ อย่าง น้ำมังคุด และน้ำเปลือกมังคุด
2.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย
3.มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่างๆได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
4.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แข็งแรง
5.ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง
6.มีส่วนช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)
7.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8.ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
9.มังคุดรักษาสิว เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยัยยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดีอีกด้วย
10.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
11.ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
12.การรับประทานมังคุดเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ
13.สารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 และ ทีเอช 17 มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้
14.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ อย่าง เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
15.ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
16.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหัวใจ
17.ช่วยลดความดันโลหิต
18.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
19.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด
20.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย
21.มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาล
22.ช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
23.มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
24.มีส่วนช่วยบำรุงและรักษาสายตา
25.ช่วยบำรุงสุขภาพช่องปากและเหงือกให้แข็งแรง
26.ช่วยลดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
27.ช่วยรักษาและสมานแผลในช่องปากหรือปากแตกให้หายเร็วยิ่งขึ้น
28.ไฟเบอร์จากมุงคุดช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
29.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง จุกเสียด เกิดแก๊สในกระเพาะและการดูดซึมอาหารบกพร่อง
30.สรรพคุณมังคุด ในทางสมุนไพรจะช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ นำมาฝนกับน้ำปูนใส
31.ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อาการถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เปลือกสดหรือแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเหมือนกัน
32.ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ในสภาวะปกติ
33.ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
34.มีส่วนช่วยป้องกันอาการตับเสื่อม ไตวาย
35.ช่วยรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ
36.เปลือกของมังคุดมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว
37.ช่วยต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และไวรัสต่างๆ อย่างเชื้อวัณโรค เชื้อ HIV เป็นต้น
38.ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (เปลือก)
39.ช่วยยับยั้งการเกิดและใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อย่าง กลากเกลื้อน ผดผื่นคันต่างๆ ด้วยการใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมาทาบริเวณที่เป็น
40.มังคุดสรรพคุณ ทางยาสมุนไพรใช้เพื่อรักอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย ด้วยการใช้เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส
41.เปลือกมังคุดมีสารช่วยป้องกันเชื้อราจึงเหมาะแก่การหมักปุ๋ย
42.นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ยำ มังคุดลอยแก้ว ซอสมังคุด เป็นต้น
43.นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง มังคุดกวน แยมมังคุด มังคุดแช่อิ่ม ท๊อฟฟี่มังคุด
44.มังคุดมีสารจีเอ็ม-1 ซึ่งใช้เป็นประกอบในเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
45.นำมาแปรรูปเป็นสบู่เปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเต่า รักษาสิวฝ้า บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง

ที่มาข้อมูล -www.frynn.com-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 07, 2014, 11:41:42 am
อบอุ่นร่างกายด้วย “ขิง” หลากสรรพคุณต้อนรับลมหนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 พฤศจิกายน 2557 16:02 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127502-


 ใกล้เข้ามาแล้วกับฤดูหนาว ในช่วงฤดูหนาวร่างกายก็ต้องการความอบอุ่นเป็นพิเศษ และการบริโภคอาหารบางประเภท ก็สามารถช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นได้เช่นกัน ซึ่งหนาวนี้เราก็มีสรรพคุณของ “ขิง” มาแนะนำกัน
       
       “ขิง” เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์อุ่น รสร้อน ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ เนื่องจากในขิงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน อีกทั้งยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยเป็นจำนวนมาก
       
       ซึ่งการบริโภคขิงนั้นจะช่วยขับเหงื่อ ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาพิษไข้ ช่วยลดอาการไอ และระคายคอจากเสมหะ นอกจากนี้แล้ว ขิงยังมีสรรพคุณช่วยไล่ความเย็น ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนดี แก้นิ่ว บำรุงธาตุไฟ ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ โดยการลดดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่าย และการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบได้ เพราะในขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้อีกด้วย
       
       เรียกได้ว่าประโยชน์และสรรพคุณของขิงนั้นมีมากมายทีเดียว ซึ่งนอกจากจะกินสดๆ ได้แล้ว ปัจจุบันยังมีการนำขิงมาแปรงรูปเป็นขิงผงบรรจุซอง ง่ายต่อการชงดื่มอีกด้วย ปรโยชน์มากมายแบบนี้ หนาวนี้คงต้องหาขิงมากินแก้หนาวบ้างแล้วล่ะ!


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 08, 2014, 04:58:46 pm
 กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีนสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2557 16:04 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000128765-

เทรนด์การดื่มน้ำผัก ผลไม้ ยังคงมีให้เห็นอยู่เนืองๆ และที่มาแรงเป็นกระแสในตอนนี้น่าจะเป็นการดื่มน้ำมะเขือเทศที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยม แต่จะบริโภคอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ลองไปดูวิธีการกันและเลือกบริโภคตามความชอบได้เลย

กินมะเขือเทศอย่างไรได้ไลโคปีนสูง
        ไลโคปีน (Lycopene)เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด พบไลโคปีนได้ใน มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้นพบไลโคปีนในปริมาณตั้งแต่ 0.9 -9.30 กรัม ใน 100 กรัมของมะเขือเทศสด
       
         ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ (colon) ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น
       
        ควรรับประทานมะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว
       ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส”(cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น
       
        มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน
       
       โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน พวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอส หรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี ดังในตาราง
       
        ตัวอย่าง แสดงปริมาณไลโคปีนในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ / ปริมาณไลโคปีน(มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนัก 100 กรัม)
       มะเขือเทศสด            3.70
       มะเขือเทศปรุงสุก        6.20
       ซอสมะเขือเทศ          7.99
       ซุปมะเขือเทศเข้มข้น    5.00-11.60
       น้ำมะเขือเทศ            12.71
       ซอสพิซซ่า               9.90-13.44
       ซอสมะเขือเทศ           112.63-126.49
       มะเขือเทศผง              5.40-150.0
       ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น  0.88-4.20
       
       ข้อมูลโดย...รศ. วิมล ศรีศุข
       ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

--------------------------------------------------------------------------------



ลดน้ำหนักผิดวิธีส่งผลร้ายกว่าที่คิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2557 12:32 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000128691-

 หลายคนอาจเคยทดลองลดน้ำหนักด้วยตนเองโดยดูเคล็ดลับจากอินเทอร์เน็ตหรือลดตามความพอใจของตัวเอง จนประสบกับการมีน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอ คุณรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่อาจเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายและทำลายสุขภาพของคุณได้

ลดน้ำหนักผิดวิธีส่งผลร้ายกว่าที่คิด
   
        ปัจจุบันปัญหาเรื่องความอ้วนมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทั้งนี้เพราะมีความเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในปัจจุบัน เห็นได้จากข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตและโฆษณาอาหารมากมาย ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนอาจเกิดผลร้ายต่อสุขภาพของผู้บริโภค ทั้งนี้เพราะการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน หรืออาจเป็นการปฏิบัติที่ผิดวิธี
       
        นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เวชศาสตร์การกีฬาและการลดน้ำหนัก สูตินรีเวชวิทยา ฮอร์โมนและสุขภาพทางเพศ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า การลดน้ำหนักเป็นปัญหาของคนทุกวัย เนื่องจาก ความอ้วนเป็นสัญญาณของความแก่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแก่แค่อายุเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสภาพร่างกายที่แก่ชราลง และนั่นยังหมายถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยปัญหาการลดน้ำหนักในแต่ละช่วงวัยมีมุมมองที่แตกต่างกัน”
       
        กลุ่มเด็กอ้วน ปัญหาของคนกลุ่มนี้ คือ โภชนาการที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรตามใจลูก ควรให้ลูกทานอาหารอย่างเหมาะสม ทั้งนี้อาจขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนให้ช่วยดูแลและแนะนำเด็กในการรับประทานอาหารอีกทางหนึ่ง เนื่องจากอาหารที่ไม่มีประโยชน์ยังมีขายทั่วไปตามรั้วโรงเรียน และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันยังทำให้เด็กหันมาเล่นเกมส์มากกว่าการออกกำลังกาย ดังนั้นผู้ปกครองควรพาลูกๆ เล่นกีฬามากขึ้นเพื่อใช้เวลาเล่นเกมส์ให้น้อยลง
       
        กลุ่มคนทำงาน ปัญหาหลักของคนกลุ่มนี้มาจากความเครียด การออกกำลังกายผิดวิธี การรับประทานอาหารในปริมาณมากโดยเฉพาะเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบทำน้ำหนักตัวเด้งขึ้นเด้งลง หรือที่เรียกว่า Weight cycling เช่น ปฏิบัติตามสูตรลดน้ำหนักโดยไม่ระมัดระวัง เพราะคิดว่าสุดท้ายก็จะลดน้ำหนักใหม่ได้ ทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเสียหาย จนอาจป่วยเป็นโรคไขมันพอกตับ หรือบางรายอาจมีน้ำหนักตัวขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้รับประทานอาหารในปริมาณมาก”
       
        กลุ่มคนอายุ 35 ปีขึ้นไป คุณผู้หญิงกลุ่มนี้อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ส่วนคุณผู้ชายก็เป็นวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดสูง ปัญหาการลดน้ำหนักมีความเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้คนกลุ่มนี้น้ำหนักขึ้นง่าย ประกอบกับการออกกำลังกายน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
       
        นพ.สมบูรณ์ กล่าวอีกว่า การลดน้ำหนักที่ถูกวิธี คนไข้ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ และรับการตรวจร่างกายเพื่อทราบถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความอ้วนที่แท้จริง อาทิ โภชนาการไม่ครบถ้วน ขาดสารอาหารบางชนิด ระดับฮอร์โมนปกติหรือไม่ เพราะคนไข้แต่ละคนมีอายุและสาเหตุของความอ้วนแตกต่างกัน วิธีการลดน้ำหนักจึงขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย นอกจากการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารแล้ว คนไข้ควรกำจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยการทำขจัดสารพิษออกจากกระแสเลือด เพราะเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น ร่างกายจะสะสมสารเคมีต่างๆ เช่น สารกันบูด พลาสติก ยาฆ่าแมลง ไว้ในชั้นไขมัน แต่เมื่อน้ำหนักตัวหรือปริมาณไขมันในร่างกายลดลง สารเคมีที่ถูกกักเก็บในชั้นไขมันจะถูกผลักกลับเข้าสู่กระแสเลือด




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 28, 2014, 05:43:42 am
“สะระแหน่” ผักใบเล็กสารพัดประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   
27 พฤศจิกายน 2557 18:52 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000136376-


พืชผักสมุนไพรในบ้านเรานั้นมีหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดนั้นก็เรียกได้ว่ามีรสชาติ คุณประโยชน์ และสรรพคุณแตกต่างกันไป เช่นเดียวกันกับพืชยืนต้นในตระกูลมิ้นต์อย่าง “สะระแหน่” ที่เรามักเห็นร้านอาหารนำมาเสิร์ฟตกแต่งจานเคียงคู่กับเมนูอาหาร
       
       นอกจากจะนำมากินคู่กับของคาวแล้ว ปัจจุบันมีการนำใบสะระแหน่มาเป็นส่วนผสมของของหวานอย่างไอศกรีม น้ำปั่น ชา อีกด้วย และด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่น และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ผู้คนนิยมหันมากินสะระแหน่กันมากขึ้น
       
       ในใบสะระแหน่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย เนื่องจากในใบสะระแหน่มีสารเมนทอล หรือสารฤทธิ์ที่จะช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย ช่วยดับร้อน ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ และหากนำน้ำที่คั้นจากต้นและใบมาดื่ม จะช่วยขับลมในกระเพาะ หรือหากนำมากินสดๆ ก็จะช่วยดับกลิ่นปากได้อีกด้วย
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ในใบสะระแหน่ยังมีสารช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยบรรเทาอาการเครียด ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย และหากนำใบสะระแหน่มาบดให้ละเอียดโดยเติมน้ำระหว่างบดด้วยเล็กน้อย ใส่น้ำผึ้งตามลงไป แล้วนำมาทาใต้ตาทิ้ง ไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออกยังช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาได้อีกด้วย
       
       เรียกได้ว่าสรรพคุณและคุณประโยชน์ของสะระแหน่นั้นนอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายแล้ว ยังมีประโยชน์และช่วยบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วคราวหน้าเจอใบสะระแหน่ที่ไหนต้องลองซื้อมากินบ้างแล้วล่ะ!

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 10, 2014, 08:23:46 am
เม็ดบัว!! คุณประโยชน์เหลือล้น

-http://men.sanook.com/4721/-

หลายท่านจะยังไม่เคยทาน”เม็ดบัว”และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี

สรรพคุณของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด

“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น” เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้

โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆ

ที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

ข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์เลยทีเดียว


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2014, 06:15:40 am
ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร

-http://guru.sanook.com/27225/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3/-

(http://p1.s1sf.com/gu/0/ud/5/27225/original_8062.jpg)

หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ

แหล่งที่มา :ThaifoodDB

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2014, 06:21:57 am
สารพัดประโยชน์จากความขมของ “สะเดา”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000141613-



 สุภาษิตโบราณมักบอกว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” และ “สะเดา” ก็เป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มีรสชาติที่ขม แต่ทว่าในความขมนั้น กลับอุดมไปด้วยประโยชน์และสรรพคุณมากมายทีเดียว
       
       และถึงแม้ว่าสะเดาจะมีรสชาติที่ขม แต่เรียกได้ว่าเมนูที่ทำจากสะเดา ก็ยังเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือเมนูสะเดาน้ำปลาหวาน ที่มีความอร่อยเลิศรส
       
       นอกจากกินกับน้ำปลาหวานอร่อยแล้วสะเดายังมีประโยชน์อีกมากมาย เนื่องจากสะเดาเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน เป็นต้น
       
       ไม่เพียงเท่านั้นสะเดา ยังมีสรรพคุณด้านยาสมุนไพรช่วยบำรุงร่างกายอีกมากมาย อาทิ แก้อาการเสมหะติดคอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และยังช่วยลดอาการไข้ได้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังจะช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง อีกทั้งยังช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
       
       แม้ว่าสะเดาอาจเป็นเมนูที่ไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่นัก แต่เรียกได้ว่าสรรพคุณของ “สะเดา” นั้นมีมากมายทีเดียว ทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยในการขับถ่าย แถมยังช่วยให้นอนหลับสบายอีก เจอเมนูสะเดาคราวหน้า คงต้องไม่พลาดที่จะลองลิ้มแน่นอน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000014624401.JPEG)
.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2014, 09:09:52 pm
ผักสวนครัว 13 ชนิด ที่นำกลับมาปลูกเป็นอาหารได้อีก

-http://home.sanook.com/1909/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-25-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87/-




เวลาคุณๆ ไปจ่ายตลาด เลือกซื้อผักมาประกอบอาหารแต่ละครั้ง เคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเราปลูกผักทานเองได้ จะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารไปได้เท่าไรต่อเดือน รวมทั้งหากเรารับประทานผักที่เราปลูกเอง ดูแลเอง จะทำให้เราได้รับประทานอาหารที่สด สะอาด ปราศจากสารพิษตกค้าง ซึ่งดีต่อสุขภาพ

Sanook! Home เลยอยากชักชวนและให้ไอเดียแก่คุณแม่บ้าน ด้วยการนำเศษเหลือจากการหั่นผักหลังใช้ประกอบอาหารแล้ว นำกลับมาปลูกใหม่อีกรอบ ซึ่งผักเหล่านี้โตเร็ว ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก ไปเลยค่ะ ออกไปจ่ายตลาด และเลือกผักกลับมาปลูกที่บ้านกัน


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000023491461_small.jpg)

1.ผักกาดหอม หรือผักสลัด เป็นผักที่โตง่ายมาก หลังจากคุณเด็ดใบของมันใช้งานแล้ว สามารถนำโคนต้นไปแช่ในชามที่มีน้ำอยู่ก้นชาม แล้วนำชามนั้นไปตั้งไว้ในที่แสงแดดส่องถึง หลังจากนั้น 3-4 วัน คุณจะได้เห็นรากของมันเริ่มงอกออกมา หลังจากนั้นคุณก็นำผักกาดหอม หรือผักสลัดนั้นไปปลูกลงดิน


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000017222950_small.jpg)

2.ผักคื่นฉ่าย เป็นผักประเภทหนึ่งที่เติบโตได้ดีจากเศษเหลือทิ้ง เพียงตัดท่อนปลายของลำต้นหลังจากการใช้งาน แล้ววางลงในชามที่บรรจุน้ำไว้เล็กน้อย จากนั้นนำชามไปวางไว้ในที่ๆ แสงแดดส่องถึงโดยตรง ประมาณ 1 สัปดาห์ผ่านไป คุณจะเริ่มเห็นใบอ่อนแทงยอดออกมาจากโคนต้น เมื่อเห็นใบอ่อนเริ่มแทงยอดออกมา คุณสามารถย้ายต้นคื่นฉ่ายนั้นลงดิน และดูแลให้มันโตขึ้นเรื่อยๆ


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000019674954_small.jpg)

3.ตะไคร้ ถ้าคุณต้องทำอาหารที่มีตะไคร้เป็นวัตถุดิบประกอบบ่อยครั้ง แต่พอถึงเวลาจะใช้ก็ไม่ค่อยมี หากเป็นเช่นนั้นหลังจากคุณซื้อตะไคร้มาจากตลาดและใช้ประกอบอาหารแล้ว ให้เก็บท่อนล่างของลำต้นไว้แล้วนำไปแช่น้ำในแก้วทรงสูง ที่มีน้ำประมาณหนึ่ง เมื่อผ่านไปสักประมาณสัปดาห์ พอต้นตะไคร้มีรากงอก คุณก็นำต้นตะไคร้ไปปลูกลงดิน หรือในสวนผักของบ้านคุณ


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000008376661_small.jpg)

4.ถั่วงอก ใครๆ ก็ทราบว่าเป็นผักที่ปลูกง่าย โตเร็ว เพียงแค่นำเมล็ดถั่วเขียวไปแช่น้ำ ทิ้งไว้ข้ามคืน วันรุ่งขึ้นเทน้ำออกจากภาชนะที่คุณนำเมล็ดถั่วไปแช่ จากนั้นนำเมล็ดถั่วเหล่านั้นไปใส่ไว้ในภาชนะที่ต้องการปลูก แล้วคลุมทับด้วยผ้าเช็ดตัวหมาดๆ เพื่อกักเก็บความชื้นให้มัน หลังจากนั้นเฝ้าดูการเจริญเติบโต และคอยสังเกตขนาดของลำต้นว่าใช้สำหรับทำอาหารที่คุณคิดเมนูเตรียมไว้ได้หรือยัง



5.มันฝรั่ง คุณแม่บ้านคงทราบว่า เราสามารถปลูกต้นมันฝรั่งได้จากการหั่นหัวมันฝรั่งที่มีตาไปเพาะลงในดิน ทิ้งไว้ประมาณสัก 2 สัปดาห์ คุณจะได้เห็นต้นอ่อนของมันฝรั่งค่อยๆ โตขึ้น



(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000026767958_small.jpg)

6.ขิง หลังจากซื้อขิงมาทำอาหารเรียบร้อยแล้ว บางครั้งเหลือเศษแห้งๆ ของแง่งขิงทิ้งไว้ ก็จะมีลำต้นอ่อนงอกออกมา เราสามารถนำเหง้าขิงชิ้นนั้นไปฝังหรือปลูกลงในดินได้เลย เพราะพอผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นอ่อนก็จะค่อยๆ งอกขึ้นมาใหม่



7.สัปปะรด ผลไม้รสชาติดีที่เราปลูกทานเองได้ ไม่ต้องไปซื้อให้เสียดายสตางค์ ง่ายๆ ค่ะเพียงซื้อสัปปะรดจากตลาด โดยเลือกพันธุ์ดีๆ จากนั้นใช้มีดตัดจุกสัปปะรดออก แล้วนำหัวสัปปะรดไปแช่ในภาชนะบรรจุน้ำ ที่มีขนาดพอดีกับหัวสัปปะรด เพียงไม่กี่วัน รากของมันก็จะงอกออกมาจากส่วนที่เราตัด แล้วนำไปปลูกลงในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ดูแลสักประมาณ 1 เดือน รากจะเริ่มแข็งแรง จากนั้นคอยบำรุง ใส่ปุ๋ย เพียงเท่านี้ก็ได้สัปปะรดพันธุ์ดีกินสมใจ


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000009256354_small.jpg)

8.กระเทียม เราสามารถปลูกกระเทียมได้จากกลีบของมัน เพียงแค่คุณนำกลีบกระเทียมนั้นไปเพาะให้มีรากเสียก่อน แล้วค่อยนำลงดิน โดยรากต้องอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบกระเทียม แล้วคลุมด้วยฟางเพื่อกำจัดวัชพืช แล้วหมั่นรดน้ำให้พอเพียง

(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000001242062_small.jpg)

9.หอมหัวใหญ่ เป็นผักอีกประเภทหนึ่งที่ปลูกง่าย โตเร็วทั้งกลางแจ้งและในร่ม เพียงตัดส่วนรากของหัวไปปักลงดิน รดน้ำสม่ำเสมอ รอให้รากงอกแล้วไปปักลงดินอีกครั้ง


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000017806815_small.jpg)

10.ฟักทอง หลังใช้ฟักทองทำอาหารแล้ว ส่วนของเมล็ดฟักทอง ให้นำเมล็ดไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำเมล็ดฟักทองไปหว่านลงบนดิน ที่มีแสงแดดรำไรส่องถึง รดน้ำ เพียงไม่กี่วันกล้าอ่อนของต้นฟักทองก็จะค่อยๆ งอกออกมา



11.ผักชี ผักที่ใช้ในการทำอาหารบ่อยครั้ง เราสามารถนำลำต้นของมันไปแช่น้ำ และยกภาชนะนั้นไปตั้งไว้บริเวณที่มีแสงแดด เมื่อรากเริ่มงอก เราก็สามารถนำผักชีนั้นไปลงกระถาง ผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ จะได้เห็นต้นอ่อนของผักชีงอกออกมา



12.มะเขือเทศ คุณสามารถปลูกมะเขือเทศ โดยหว่านเมล็ดของมันไว้บริเวณไหนก็ได้ เมื่อต้นอ่อนของมันขึ้นมาก็สามารถนำกล้านั้นไปเพาะลงกระถาง เมื่อความสูงของกล้าประมาณ 2 นิ้ว ก็นำต้นออกมาไว้ด้านนอก หมั่นดูแล รดน้ำประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพียงไม่นานคุณก็จะได้มะเขือเทศผลงามๆ ไว้ทานสมใจ


(http://p2.s1sf.com/hm/0/ud/0/1909/istock_000004043660_small.jpg)

13.พริก เราจะปลูกด้วยเมล็ดแก่ที่เก็บเอาไว้ แต่ต้องมีการเตรียมดินให้มีธาตุอาหารที่เพียงพอ หลังจากนั้นก็รองด้วยปุ๋ยหมักในก้นหลุมที่ปลูก ถ้าเป็นกระถางก็รองที่ก้นกระถางก่อนที่จะเอาดินที่มีธาตุอาหารมาใส่ในกระถาง จากนั้นรดให้ดินชุ่ม ก่อนขีดเส้นลงไปในดินเป็นเส้นตรงซักหนึ่งเส้น แล้วใส่เมล็ดลงเล็กน้อย จากนั้นเอาฟางคลุมและรดน้ำตามอีกครั้ง


เป็นยังไงกันบ้างคะ คราวนี้จะได้มีผักเก็บไว้กินเองตลอดชีวิต

ภาพจาก www.istockphoto.com (http://www.istockphoto.com)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2015, 11:44:57 am
“กระเจี๊ยบเขียว” ผักบ้านๆ สารพัดคุณประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000144336-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000014908601.JPEG)


 ชวนมารู้จัก “ฝักกระเจี๊ยบเขียว” หรือ “ผลกระเจี๊ยบเขียว” ที่มีลักษณะเป็นฝักเรียว ยาว มีรูปทรงเป็นเหลี่ยม 5 มุม ที่ฝักมีขนอ่อนๆ อยู่รอบๆ ซึ่งเรามักพบเห็นตามท้องตลาดกันอยู่บ่อยๆ
       
       สำหรับฝักกระเจี๊ยบเขียว เป็นผักที่สามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้หลากหลายเมนูทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงส้มกระเจี๊ยบเขียว ยำกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบผัดขิงอ่อน กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้ง หรือชากระเจี๊ยบเขียว ก็ล้วนแล้วแต่อร่อยไม่แพ้กัน
       
       กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเอทิโอเปีย แถบศูนย์สูตรของทวีปแอฟริกา อียิปต์ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก และเอเชียใต้ นิยมปลูกมากทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในประเทศไทยสามารถปลูกได้ทุกภาค ซึ่งกระเจี๊ยบเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน เส้นใย คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เป็นต้น
       
       นอกจากนี้แล้วยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เยื้อบุกระเพาะและลำไส้อักเสบ ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยแก้บิด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของโรคกระเพาะ ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อน ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง อีกทั้งยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกด้วย
       
       ไม่เพียงเท่านั้น กระเจี๊ยบเขียวยังเป็นพืชที่มีกลูตาไทโอน (glutathione) ที่จะช่วยควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และช่วยทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกายช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ซึ่งสารกลูตาไทโอนจะช่วยทำให้ผิวดูขาวขึ้น และมีสุขภาพผิวที่ดี
       
       เรียกได้ว่าสรรพคุรของฝักกระเจี๊ยบนั้นมีมากมายจนบรรยายไม่หมดทีเดียว ช่วงนี้รู้สึกระบบขับถ่ายไม่ค่อยจะดี ต้องไปหาฝักกระเจี๊ยบมาจิ้มน้ำพริกกินบ้างแล้วล่ะ!





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2015, 09:36:30 pm
สรรพคุณของกะเพรา

-http://guru.sanook.com/27159/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2-29-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD/-


ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com


(http://frynn.com/wp-content/uploads/2013/07/Holy-basil-2.jpg)


    ใช้ทำเป็นยาอายุวัฒนะ (the elixir of life)

    ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น และป้องกันอาการหวัดได้ (ใบ)

    กะเพราเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ

    รากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ (ราก)

    ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ใบ)

    ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน (ใบ)

    ช่วยแก้อาการปวดด้วย ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี (ใบ)

    ช่วยขับลมแก้อาการปวดท้องอุจจาระ (ใบ)

    ใบกะเพราสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะ (ใบ)

    ช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง (ใบ)

    สรรพคุณกะเพราช่วยแก้ลมซานตาง (ใบ)

    น้ำสกัดจากทั้งต้นของกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยย่อยไขมัน (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    กะเพรา สรรพคุณช่วยขับน้ำดี (น้ำสกัดจากทั้งต้น)

    ช่วยแก้ลมพิษ ด้วยการใช้ใบกะเพราประมาณ 1 กำมือนำมาตำผสมเหล้าขาวแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ (ใบ)

    สรรพคุณของกะเพราใช้ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20 ใบนำมาขยี้ให้น้ำออกมา แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้งจนกว่าจะหาย (ใบ)

    ใช้เป็นยารักษาหูด ด้วยการใช้ใบกะเพราแดงสดนำมาขยี้แล้วทาบริเวณที่เป็นหูดเช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุดออกมา โดยระวังอย่าให้เข้าตาและถูกบริเวณผิวที่ไม่ได้เป็นหูด เพราะจะทำให้เนื้อดีเน่าเปื่อยและรักษาได้ยาก (ใบสด)

    ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาตำผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด ห้ามนำมารับประทานเด็ดขาดเพราะจะมีสารยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ อาหารและอาจถึงขั้นโคม่าได้ (ใบ)

    ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้ (น้ำมันใบกะเพรา)

    มีงานวิจัยพบว่ากะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ (สารสกัดจากกะเพรา)

    ใบกะเพรา มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ โดยมีการใช้ใบกะเพราะในกระต่ายทดลอง โดยให้กระต่ายกินใบกะเพราติดต่อ 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันโดยรวมลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) ลดลง แต่ไขมันชนิดดี (HDL) กลับเพิ่มขึ้น

    ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร ด้วยการใช้ใบกะเพราสดประมาณ 1 กำมือ นำมาใส่แกงเลียงรับประทานบ่อยๆ ในช่วงหลังคลอด (ใบ)

    เมล็ดนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นเมือกขาว นำมาใช้พอกบริเวณตา เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ผงหรือฝุ่นละอองก็จะหลุดออกมา โดยไม่ทำให้ตาของเรานั้นช้ำอีกด้วย (เมล็ด)

    ใบและกิ่งสดของกะเพรามีการนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยด้วยการต้มกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08 – 0.1 โดยมีราคาประมาณกิโลกรัมละหนึ่งหมื่นบาท

    ใช้ไล่ยุงหรือฆ่ายุง ด้วยการใช้ทั้งใบสดและกิ่งสด เอาใบมาขยี้แล้ววางใกล้ตัวๆ จะช่วยไล่ยุงและแมลงได้ โดยน้ำมันกะเพราะที่สกัดมาจากใบจะมีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด (ใบสด,กิ่งสด)

    น้ำมันสกัดจากใบสด ช่วยล่อแมลง ทำให้แมลงวันทองบินมาตอมน้ำมันนี้ (น้ำมักสกัดจากใบสด)

    ประโยชน์ของกะเพรา ใช้ในการประกอบอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพราะสุดโปรด เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน แกงส้มมะเขือขื่น ผัดกบ ผัดหมู ผัดปลาไหล พล่าปลาดุก พล่ากุ้ง หรือจะนำใบกะเพรามาทอดแล้วใช้โรยหน้าอาหารเมนูต่างๆก็ได้ ฯลฯ

    ใบกะเพราสามารถช่วยดับกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ได้ (ใบ)




.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2015, 05:52:28 am
ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7/-

   ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-

---------------------------------------------------------------------------------------

ทำยังไง ให้พริกขี้หนูที่ทุบไว้ไม่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ

-http://guru.sanook.com/27221/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B3/-

คาดว่าแม่บ้านหลายๆท่านคงเคยเจอกับปัญหา เวลาทำกับข้าว ต้องเตรียมส่วนผสมต่างๆให้ครบก่อนจึงจะเริ่มลงมือปรุง เจ้าพริกขี้หนูเจ้ากรรมทุบหรือหั่นทิ้งไว้ประเดี๋ยวเดียวหันกลับมา ว้า สีดำคล้ำเสียแล้ว ไม่น่าทานเลย ป้องกันได้ง่ายๆเพียงแค่คุณ...บีบน้ำมะนาวลงบนพริก ใช้ช้อน คนเล็กน้อยให้พอเนื้อพริกโดนน้ำมะนาว เท่านี้พริกขี้หนูก็จะยังคงสีสดใส น่ารับประทานเวลาคุณนำไปปรุง

แหล่งที่มา :the-than.com
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2015, 09:45:00 pm
สารพัดประโยชน์กับ “ผักเหลียง” ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000007846-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000000810501.JPEG)

ใบเหลียงผัดไข่
        เมื่อได้ไปเยือนทางใต้ทีไร ผักพื้นบ้านที่เรามักได้ลิ้มลองกันอยู่บ่อยๆ ก็คือ “ผักเหลียง” หรือ “ผักเหมียง” ที่นำมาทำเป็นเมนูเด็ดได้หลากหลายเมนูไม่ว่าจะเป็น ใบเหลียงผัดไข่ ใบเหลียงต้มกะปิ ใบเหลียงผัดน้ำมันหอย แกงเลียงผักเหลียงใส่กุ้ง ลวกกินกับน้ำพริกกะปิ หรือจะนำมารองห่อหมกก็อร่อยไม่แพ้ผักชนิดไหน
       
       ผักเหลียง นอกจากจะนำมาทำอาหารอร่อยๆ ได้หลากหลายเมนูแล้ว ผักเหลียงยังเป็นผักที่มีคุณประโยชน์มากมาย จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน” เลยทีเดียว
       
       สำหรับรสชาติของผักเหลียงนั้นจะออกหวาน มัน เคี้ยวหนึบหนับมัน ไม่มีรสขม หรือเหม็นเขียวเหมือนผักใบเขียวชนิดอื่น ทำให้คนไม่ชอบกินผักใบเขียวนั้นติดใจกันมานักต่อนัก ซึ่งใบเหลียงนั้นเรียกได้ว่าเป็นผักที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน โดยผักเหลียงจะให้เบต้าแคโรทีนมากกว่าผักบุ้งจีนสามเท่า มากกว่าผักบุ้งไทย 5 - 10 เท่า
       
       ไม่เพียงเท่านั้นผักเหลียง ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นผักเหลียงยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันได้อีกด้วย
       
       ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม “ผักเหลียง” ถึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน” คุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ หากใครยังไม่เคยลิ้มลองรสของผักเหลียง คงต้องไปหามากินเสียแล้ว!


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 23, 2015, 05:49:57 am
"น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน
คอลัมน์ เครื่องแนม

-http://campus.sanook.com/1376101/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%991/-


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/275/1376101/fod03180158p1.jpg)


นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง...อาเมน
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 29, 2015, 09:52:27 pm
ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง

-http://guru.sanook.com/26965/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-30-%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-


กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

        ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี

         ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า

ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
   มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม 
   มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
   แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
   มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
   มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
   สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
   แตงโม 122 ไมโครกรัม
   ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม 
   ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ

   ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
   มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
   มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
   มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
   มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
   กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
   แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม

ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

   ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
   ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
   มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
   มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
   เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
   ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
   สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
   มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
   พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม   
   ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : -http://apilosonmd.igetweb.com/-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2015, 08:11:15 pm
เมล็ดเจีย ธัญพืชมากประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งสุขภาพ

-http://health.kapook.com/view110535.html-

(http://img.kapook.com/u/kantana/Health/health%20%281%29.jpg)

(http://img.kapook.com/u/kantana/Health/health%20(3).jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย ธัญพืชตัวจิ๋วแต่มากด้วยประโยชน์ ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวช่วยลดน้ำหนัก แต่รู้ไหมว่า เมล็ดเจียไม่ได้มีดีแค่ช่วยลดน้ำหนักนะ ยังป้องกันโรคและบำรุงสุขภาพของเราได้อีกด้วย

          เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเมล็ดเจีย (Chia Seed) กันมาบ้างแล้ว จากสรรพคุณหลายข้อของเมล็ดเจียที่ดีต่อสุขภาพทั้งช่วยป้องกันโรคและดูแลสุขภาพของเราให้แข็งแรง โดยเฉพาะเรื่องการลดน้ำหนัก แต่อาจยังไม่รู้กันว่าเมล็ดเจียตัวจิ๋วที่เราชอบทานนั้นมีประโยชน์แอบซ่อนอยู่อีกมาก เรียกว่าประโยชน์คับเมล็ดเลยก็ว่าได้ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกคนมาทำความรู้จักเจ้าเมล็ดเจียตัวจิ๋วนี้กันให้มากขึ้นว่าทำไมเมล็ดเจียจึงเป็นธัญพืชมากประโยชน์ที่เราควรกินให้ได้ทุกวัน

เมล็ดเจีย คืออะไร มาจากไหนกันนะ
               
          จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า เมล็ดเจียเป็นพืชที่มีอายุมานานกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาลตั้งแต่สมัยอาณาจักรแอซแท็ก และอาณาจักรมายันในทวีปอเมริกา  มีความหมายว่า ความแข็งแรง เพราะชาวแอซเท็กและชาวมายันนิยมนำมาบริโภคเป็นอาหารหลักเหมือนกับธัญพืชทั่วไป เช่น ข้าวโพด และถั่ว โดยพวกเขาจะนำเอาเมล็ดเจียมาบดรวมกับแป้ง คั้นเป็นน้ำมันออกมาเพื่อใช้ดื่ม หรือไว้ปรุงอาหาร ด้วยความเชื่อที่ว่า เมล็ดเจียมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง
               
          ต่อมาในยุคล่าอาณานิคมของสเปน ฝั่งอเมริกาใต้ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ทำให้เมล็ดเจียกลายเป็นอาหารต้องห้าม โดยผู้นำสเปนในยุคนั้นประกาศว่า ห้ามเพาะพันธุ์เมล็ดเจียอีกต่อไปทำให้เมล็ดเจียค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าสู่ยุคของอเมริกาสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพันธุ์พืชเมล็ดเจียอีกครั้ง จึงเกิดการค้นคว้าวิจัยถึงประโยชน์ของพืชพันธุ์ชนิดนี้ และเริ่มมีการขยายสายพันธุ์กระทั่งกลายมาเป็นสายพันธุ์เมล็ดเจียที่เราใช้บริโภคกันจนทุกวันนี้
 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเมล็ดเจีย

          เมล็ดเจียเป็นพืชในกลุ่มเครื่องเทศตระกูลเดียวกับกะเพรา หรือ มินต์ มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ชื่อว่า Salvia Hispanica L.ลักษณะลำต้นสูงประมาณ 4-6 ฟุต เป็นพืชให้เมล็ดเล็ก ๆ มีสองสีคือดำและขาว เปลือกนอกเมล็ดพองตัวได้เหมือนเม็ดแมงลัก พืชชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น และเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันมากในทวีปอเมริกา ได้แก่ ประเทศเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา โบลิเวีย เอกวาดอร์ และกัวเตมาลา นอกจากนี้ก็ยังปลูกได้ในประเทศออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยมีการเพาะพันธุ์เมล็ดเจียในหลายจังหวัด ส่วนใหญ่คือ ลำปาง กาญจนบุรี ฯลฯ

เมล็ดเจีย
 
เมล็ดเจีย เม็ดแมงลัก ต่างกันอย่างไร

          หลายคนเข้าใจคิดว่าเมล็ดเจียคือเม็ดแมงลัก ความจริงแล้วเป็นธัญพืชคนละชนิดกันเลยค่ะ แม้ว่าทั้งเมล็ดเจียและเม็ดแมงลักจะนำไปแช่น้ำแล้วจะมีลักษณะคล้ายกันก็ตาม แต่ก็มีความต่างที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ค่ะ นั่นคือ ก่อนนำไปแช่น้ำ เมล็ดเจียจะมีลักษณะรี มีสีน้ำตาลเทา มีลวดลายเล็กน้อย ส่วนแมงลักจะมีลักษณะรี มีสีดำเข้ม แต่ถ้าหากนำไปแช่น้ำแล้วจะพบว่าเมล็ดเจียจะเกิดการพองตัวลักษณะเม็ดใส แต่เม็ดแมงลักจะพองตัวลักษณะเม็ดมีเมือกสีขาวขุ่น
 
เมล็ดเจียกับคุณค่าทางโภชนาการที่ไม่ธรรมดา

          จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture) เผยว่า เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคุณสมบัติเป็นทั้ง Super Fruit และ Super Seed อัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ไฟเบอร์ กรดไขมันดีชนิดโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 แคลเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ และโปรตีน ซึ่งเมื่อนำเมล็ดเจียเต็มเมล็ด หรือนำไปบด แล้วนำไปแช่กับของเหลว เช่น น้ำ น้ำผลไม้ หรือ นม เมล็ดเจียจะสามารถพองตัวขึ้นมาได้อีก 12 เท่า ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับอาหารได้ เช่น การเพิ่มเมล็ดเจียในน้ำผลไม้ที่มีสารเรสเวอราทรอล เช่น น้ำทับทิม หรือ น้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี จะช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเครื่องดื่มนั้น ๆ ได้
 
เมล็ดเจียเพียง  1 ออนซ์ (28 กรัม) ให้พลังงานเพียง 137 แคลอรี อุดมด้วยสารอาหารเน้น ๆ ดังต่อไปนี้
 
          พลังงาน 382 กิโลแคลอรี
          น้ำ 6.61 กรัม
          โปรตีน 40.32 กรัม
          ไขมัน 11.89 กรัม
          คาร์โบไฮเดรต 35.14 กรัม
          ไฟเบอร์ 34.4 กรัม
          แคลเซียม 150 กรัม
          ธาตุเหล็ก 14.30 กรัม
          แมกนีเซียม 362 กรัม
          ฟอสฟอรัส 810 กรัม
          โพแทสเซียม 425 กรัม
          โซเดียม 41 กรัม
          ซิงก์ 10.70 กรัม
          วิตามินเอ 3  ไมโครกรัม
          วิตามินบี 1 2.5  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 2 0.270  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 3 12.6  มิลลิกรัม
          วิตามินบี 6 0.152  มิลลิกรัม
          โฟเลต 29  ไมโครกรัม
          กรดไขมันอิ่มตัว 1.634 กรัม
          กรดไขมันไม่อิ่มตัว 4.405 กรัม
          กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 5.113 กรัม   
       
เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย สรรพคุณทางยาสุดเวิร์กที่ต้องบอกต่อ

          เมล็ดเจียเม็ดเล็ก ๆ มีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีกค่ะ เรามาดูกันว่าถ้าเรากินเมล็ดเจียเป็นประจำทุกวันแล้ว สุขภาพของเราจะดีขึ้นในด้านไหนบ้างนะ

หัวใจแข็งแรง

          เมล็ดเจียอุดมด้วยกรดไขมันดีโอเมก้า-3 และ โอเมก้า-6 ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เกิดการไหลเวียนเลือดดีเข้าสู่หัวใจ จึงเป็นผลให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น

ห่างไกลโรคเบาหวานประเภท 2

          เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่อุดมด้วยไฟเบอร์สูงที่ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวานประเภท 2 ได้

บาดแผลหายเร็ว ไม่ติดเชื้อง่าย

          เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) มีฤทธิ์แก้อักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผล ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่เรื้อรัง

ร่างกายมีระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

          เมล็ดเจียมีไฟเบอร์ โปรตีน และกรดไขมันโอเมก้าทรีสูง จึงช่วยปรับสมดุลระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้

บำรุงความจำ

          เมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้าทรีสูงกว่าปลาแซลมอนถึง 9 เท่า ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานเป็นปกติ เราจึงมีกระบวนการเรียนรู้และจดจำดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น

ห่างไกลโรคกระดูกพรุน
           
          เมล็ดเจียอุดมด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางได้

ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
           
          เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์อยู่ประมาณ 34.4 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณไฟเบอร์ที่เพียงพอสำหรับร่างกายในแต่ละวัน ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
 
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

          เมล็ดเจียอุดมด้วยโปรตีน และแร่ธาตุฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายเรา เพื่อดูดซึมไปใช้กระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

เมล็ดเจีย
 
เมล็ดเจีย กับประโยชน์สุขภาพเน้น ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

          นอกจากเมล็ดเจียจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายของเราสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังมีข้อดีที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย มาดูกันว่าถ้าเราบริโภคเมล็ดเจียเป็นประจำทุกวัน เราจะได้ประโยชน์อะไรจากเมล็ดเจียบ้าง

อารมณ์ดี
           
          กรดอะมิโนทริปโตเฟนในเมล็ดเจียเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกับที่พบในนม ช่วยคุมความอยากอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ และช่วยปรับปรุงอารมณ์ให้เป็นปกติ

อิ่มแบบพุงไม่ป่อง

          เมล็ดเจียมีไฟเบอร์สูง อุดมด้วยไขมันดี อีกทั้งยังกินแล้วย่อยง่ายด้วย ดังนั้น เราจึงหายห่วงเรื่องกินอิ่มแล้วมีพุงป่องยื่นออกมา

ท้องไม่ผูก

          เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดไซเลียม หรือเส้นใยกลุ่มล้างสารพิษ ช่วยดูดซึมสารพิษตกค้างในลำไส้ ให้ระบายออกมาในรูปของเสีย และยังช่วยให้เราท้องไม่ผูกอีกด้วย

เป็นแหล่งพลังงานในยามเร่งด่วน

          เมล็ดเจียมีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่ร้อยละ 20 ซึ่งมากกว่าโปรตีนที่พบในธัญพืช หรือเมล็ดข้าวชนิดต่าง ๆ ซะอีก จึงช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้ดีในยามที่เราต้องเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา ที่ต้องการอาหารบำรุงร่างกายให้สามารถมีแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องตัว

ไม่อ้วน

          เมล็ดเจียกินแล้วอิ่มสบายท้อง อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย ร่างกายไม่สะสมเป็นไขมัน เราจึงไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย

ดูอ่อนวัยลง

          เมล็ดเจียมีสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินมากกว่าในผลไม้ตระกูลเบอร์รีซะอีก  ช่วยบำรุงความงามให้ดูอ่อนวัยลงในด้านต่าง ๆ เช่น เส้นผมนุ่มสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เล็บแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และยังช่วยลดปัญหาสิวอีกด้วย

ไม่ขาดสารอาหาร

          ใครที่อยากลดน้ำหนักแต่ไม่อยากขาดสารอาหาร เมล็ดเจียน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะอุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันอย่างครบถ้วน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม ธาตุเหล็ก ซิงก์ ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และกรดไขมันโอเมก้าทรี
 
เมล็ดเจีย กับเมนูสุขภาพที่หลากหลาย

          เมล็ดเจียสามารถนำไปทำเป็นเมนูสุขภาพได้อย่างหลากหลายเชียวค่ะ รับรองว่าคนชอบกินต้องถูกใจแน่นอน มาดูกันดีกว่าเมล็ดเจียเม็ดจิ๋วนี้นำไปเมนูได้หลากหลายแค่ไหนกันนะ

          อาหารคาว ได้แก่ สลัดผัก พาสต้า สปาเกตตี้ พิซซ่า และก๋วยเตี๋ยว หรือแม้แต่เป็นผักเครื่องเคียงในเมนูทุกชนิด

          อาหารหวาน ได้แก่  ผสมเป็นสเปรด (Spread) กับเนยเอาไว้ทาขนมปัง นำไปโรยใส่ไอศกรีม กินกับโยเกิร์ต เพิ่มในซีเรียล ทำเมนูสมูธตี้และมิลค์เชค

          เครื่องดื่ม ได้แก่ ใส่ในน้ำผลไม้คั้นสด หรือทำเบเกอรีชนิดต่าง ๆ พุดดิ้ง เมนูชา กาแฟ
 
เมล็ดเจีย ปริมาณการกินที่ต่อสุขภาพ

          เมล็ดเจียเป็นอาหารที่เราสามารถกินได้ทุกวัยเลยนะคะ ลองมาดูกันว่า ปริมาณการบริโภคเมล็ดเจียที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพนั้นควรเป็นอย่างไร

          เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ควรบริโภคประมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน

          เด็กที่อายุตั้งแต่ 5-18 ปี ควรบริโภคประมาณ 1.4-4.3 กรัมต่อวัน

          วัยผู้ใหญ่ ควรบริโภคประมาณ 15 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

          ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรบริโภคแบบป่นประมาณ 33-41 กรัมทุก ๆ 3 เดือน

เมล็ดเจีย

เมล็ดเจีย ลดความอ้วนได้อย่างไร

          เมล็ดเจียเหมาะที่จะเป็นอาหารลดน้ำหนักอย่างดี เพราะนอกจากจะช่วยคุมความอยากอาหารได้แล้ว ยังทำให้เราอิ่มท้องนานแบบมีแคลอรีต่ำ ไม่สะสมเป็นไขมันในร่างกายได้ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเบื้องหลังนั้น เมล็ดเจียมีกลไก 3 อย่างเท่านั้นที่ทำให้เราลดความอ้วนได้สำเร็จ นั่นคือ

           ดูดซึมของเหลว เมล็ดเจียอุดมด้วยไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ ดังนั้นเมื่อเรานำเมล็ดเจียไปแช่ในของเหลวประเภทต่าง ๆ เช่น นม น้ำเปล่า หรือ น้ำผลไม้ เมล็ดก็จะทำการอุ้มน้ำเอาไว้ และเมื่อเราทานเข้าไป ไฟเบอร์ก็จะทำการขยายตัวในกระเพาะของเรา เราจึงรู้สึกอิ่ม

          ค่อย ๆ ถูกย่อย อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ไฟเบอร์นั้นย่อยง่าย แต่แทนที่จะถูกระบบย่อยอาหารของเราย่อยสลายหมดไปภายในพริบตาเดียว กลับกลายเป็นว่าระบบย่อยอาหารค่อย ๆ ย่อยไปทีละน้อย เราจึงรู้สึกอิ่มนาน ไม่นึกอยากกินอะไร

          คงคุณค่าสารอาหาร เมล็ดเจียถือเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักที่ดีสำหรับคนชอบกินนะคะ เพราะการที่เราอยากกินจุบจิบก็มาจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไม่เพียงพอนั่นเอง
 
เมล็ดเจีย ซื้อที่ไหน ราคาแพงไหม

          เมล็ดเจียเป็นหนึ่งในธัญพืช จัดอยู่ในหมวดอาหารออร์แกนิค เราสามารถหาซื้อเมล็ดเจียได้ตามร้านขายอาหารชีวจิต ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ร้านขายสินค้าโอทอป หรือ แม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไปในแผนธัญพืช ส่วนใหญ่วางขายในรูปของบรรจุหีบห่อ ทั้งแบบชนิดสด และสำเร็จรูป
 
          สำหรับราคาของเมล็ดเจียแบบบรรจุห่อนั้นมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกรดของเมล็ดพันธุ์ที่อาจมาจากแหล่งผลิตในประเทศ หรือนำเข้าจากต่างประเทศ และถ้าใครสนใจอยากซื้อเป็นเมล็ดพันธุ์มาเพาะพันธุ์เอง ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชทั่วไป ชมรมเกษตรประจำจังหวัด หรือมูลนิธิโครงการหลวงค่ะ โดยราคาของเมล็ดพันธุ์อยู่ที่ประมาณหลักสิบขึ้นไป หรืออาจไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะมีแจกฟรี
 
เมล็ดเจีย

8 ข้อยกเว้นน่ารู้ของเมล็ดเจีย

          แม้ว่าเมล็ดเจียจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งก็มีข้อมูลที่เป็นคำเตือนจากหลายองค์กรสำคัญ ได้แก่ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)  หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) สมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA) ผลการวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยโตรอนโต และบริษัทผู้ผลิตอาหารสุขภาพในสหรัฐฯ  เผยตรงกันว่า เมล็ดเจียอาจไม่ได้กินแล้วดีต่อสุขภาพสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ปัญหาเรื่องสุขภาพดังต่อไปนี้

          คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก รวมถึงกรดไหลย้อนนั้นหากกินเมล็ดเจียเข้าไปแล้ว จะทำให้อาการหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะเส้นใยไฟเบอร์ที่ขยายตัวในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ที่จะยิ่งกระตุ้นให้ตับอ่อนเร่งสร้างน้ำย่อยออกมานั่นเอง

          เมล็ดเจียไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคแพ้กลูเตน หรือ โรคแพ้โปรตีนในธัญพืช วิธีเช็กว่าตัวเองแพ้กลูเตนหรือไม่ ให้ลองกินมัสตาร์ด หรือเมล็ดมัสตาร์ด หากมีอาการแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินเมล็ดเจีย

          คนที่ต้องเข้ารับการศัลยกรรม หรือ มีประวัติการใช้ยาแอสไพริน ไม่ควรกินเมล็ดเจีย เพราะจะยิ่งทำให้หลอดเลือดบางลง ซึ่งอาจมีผลต่อการเกิดภาวะฮีโมฟิเลีย (Haemophiliacs) หรือภาวะที่เลือดแข็งตัวช้า เลือดไหลไม่หยุด

          ผู้ชายไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียมากเกินไป เพราะในเมล็ดเจียมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแอลฟา ลิโนเลอิก (alpha-linoleic acid) ที่จะไปกระตุ้นให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้น

          ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อแรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวให้ต่ำลง (Diastolic blood pressure) อาจก่อให้เกิดอาการช็อก หรือหมดสติได้

          ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี เพราะร่างกายจะเกิดการเสพติด และเลิกยาก ทางที่ดีควรเว้นช่วงไปบ้าง

          ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อสารอาหารในน้ำนมให้เปลี่ยนไปจากเดิม

          การกินเมล็ดเจียร่วมกับอาหารเสริมวิตามินบี 17 ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ร่างกายสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์ในปริมาณมาก กลายเป็นสารพิษที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งในที่สุด
             
          เห็นไหมคะว่า เมล็ดเจียเม็ดจิ๋วนี้มีประโยชน์แอบซ่อนอยู่ไว้เพียบเลย ดังนั้นใครที่กินเมล็ดเจียเป็นประจำอยู่แล้ว เราเชื่อว่าน่าจะรู้หลักในการบริโภคกันมากขึ้น หรือถ้าใครยังไม่เคยลองกินเลย ก็ขอให้รีบไปหาซื้อมาติดครัวเอาไว้นะคะ รับรองว่ากินแล้วสุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคภัยแน่นอนค่ะ




----------------------------------------------------------------------------------------------------------




รู้ไว้ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ยา อาจได้รับอันตราย!!

-http://club.sanook.com/65575/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A/-


รู้ไว้ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ยา อาจได้รับอันตราย!!

อย.เตือนผู้บริโภค อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ย้ํา! ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องเพศ อย.ไม่เคยอนุญาตโฆษณา “อกฟูรูฟิต” ขอให้ผู้บริโภคพิจารณาให้ ถี่ถ้วนก่อนซื้อ นอกจากเสียเงินโดยไม่จําเป็นแล้ว อาจได้รับผลข้างเคียงอย่างคาดไม่ถึง

 

อาหารเสริม

 

ภก.ประพนธ์อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และในฐานะโฆษก อย. เปิดเผยว่า หลังเป็นข่าวบนโลกออนไลน์มีผู้นําอุทาหรณ์ที่เกิดขึ้นกับภรรยามาแชร์ถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร“อกฟูรูฟิต” ที่ได้รับผลข้างเคียงถึงข้ันต้องผ่าตัดก้อนเนื้อในมดลูก ซึ่งระบุว่ากินติดต่อกันมานานถึง 6 ปีเริ่มแรก 2- 6 เม็ดและเพิ่มปริมาณเป็น 10 เม็ดต่อวัน โดยผู้ขายสินค้าอธิบายว่ากินมากได้ผลเร็ว สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้บริโภคมักได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากผู้ขายว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรับประทานในปริมาณมากได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด เพราะการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดเข้มข้นในปริมาณมาก อาจทําให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องทางเพศ ขอให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่สําคัญ อย่าได้หลงเชื่อสรรพคุณว่าสามารถป้องกันหรือรักษาโรค นอกจากเสียเงินโดยไม่จําเป็นแล้ว หากท่านมีโรคประจําตัว อาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยคาดไม่ถึงได้ที่ผ่านมา อย. ได้มีการตรวจจับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริงในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะลดน้ําหนัก เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ทําให้ผิวขาวใส ฟิต หุ่นเฟิร์ม หรือใช้บุคคลเป็นตัวแทนบอกเล่าสรรพคุณการใช้ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่พบโฆษณาในลักษณะ ขายตรง , ทางเว็บไซต์ , ทางคอลเซ็นเตอร์ , ทางเคเบิลทีวี , ทางวิทยุ หรือตามหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่ง อย.ได้ตรวจสอบและดําเนินคดีต่อผู้กระทําผิดมาโดยตลอดเพราะผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเหล่านี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตโฆษณาจาก อย.

 

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายก็เพียงพอ ไม่จําเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรงนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักเพื่อเสริมสารบางอย่างและมีจุดมุ่งหมายสําหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติไม่ใช่ผู้ป่วย และไม่ควรให้เด็กและสตรีมีครรภ์รับประทาน แต่หากจําเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากต้องตรวจสอบข้อมูลโฆษณาให้แน่ชัดแล้ว ผู้บริโภคต้องตรวจสอบข้อความบนฉลาก ซึ่งต้องแสดงข้อความภาษาไทย ได้แก่ ชื่ออาหาร เลขสารบบอาหาร 13 หลัก ในกรอบเครื่องหมายอย. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต/ผู้แบ่งบรรจุ หรือผู้นําเข้า (ในผลิตภัณฑ์นําเข้าต้องระบุประเทศผู้ผลิตด้วย) ส่วนประกอบสําคัญ วันเดือนปีที่ผลิต และวันเดือนปีที่หมดอายุ เป็นต้น

 

รองเลขาธิการฯ อย. ในตอนท้ายว่า หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกินจริงผ่านทางสื่อต่าง ๆ หรือโฆษณาหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยการขายตรง ขอให้แจ้งร้องเรียนมายังสายด่วน อย. 1556 หรือ e–mail : 1556@fda.moph.go.th หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อทางราชการจะได้ตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูล จาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบ จาก istockphoto.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2015, 08:40:40 pm
"น้ำมันมะกอก" แก้นอนกรน

-http://campus.sanook.com/1376101/-

(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/275/1376101/fod03180158p1.jpg)

นอนกรน เป็นเรื่องธรรมชาติ!

แต่บ่อยครั้ง...ธรรมชาติก็เป็นเรื่องที่โหดร้าย

ฟี้เล็กๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้ามาเป็นหวูดรถไฟ น่าคิดว่าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน

จริงๆ แล้วมีกลวิธีง่ายๆ ในการขจัดเสียงกรน โดยไม่ต้องใช้หมอน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจที่มาของการกรนเสียก่อน

โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้นจะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือบริเวณที่โคนลิ้น เป็นที่มาของเสียงกรน

แต่วันไหนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วนอนหลับสนิทมากๆ "ลิ้น" ที่ว่าจะตกลงไปมาก ทำให้ยิ่งกรนหนักขึ้น ยิ่งเป็นคนอ้วน เสียงยิ่งดังสนั่น

วิธีแก้แบบปัจจุบันทันด่วน...เพียงแค่ให้เจ้าตัวนอนในท่าตะแคง หรือเกือบๆ คว่ำ ช่วยลดเสียงกรนลงได้

ส่วนวิธีแก้แบบระยะยาว "น้ำมันมะกอก" ช่วยได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชนิดสำหรับทำอาหาร (จะให้ดีควรเลือกแบบ Extra virgin olive oil) กิน 4-5 หยดก่อนนอน ที่สำคัญควรทำควบคู่กับการคุมน้ำหนักตัว

เท่านี้โลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง...อาเมน


--------------------------------------------------------------------



คัดข่าวดี  ภัยเงียบจากการนอนกรน นาทีที่ 0.20

-http://ch3.sanook.com/43343/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%99-

อากาศที่หนาวเย็นในช่วงนี้ อาจทำให้หลายคนรู้สึกอยากนอนทั้งวัน แต่การนอนสำหรับใครบางคนอาจส่งเสียงรบกวนคนข้าง ๆ “การนอนกรน” ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบกับคนข้าง ๆ แล้ว ที่น่าห่วงก็คืออาการหยุดหายใจในขณะหลับนั่นเอง

คุณหมอจากโรงพยาบาลพระราม 9 กล่าวว่า หลัก ๆ แล้วการนอนกรน มี 2 แบบ คือ การนอนกรนธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดเสียงรบกวนต่อคนรอบข้างเท่านั้น กับ การนอนกรนร่วมกับภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน หรือมีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย ถือว่าอันตรายและพบมากในวัยกลางคนอายุระหว่าง 30-60 ปี โดยพบในผู้ชายประมาณร้อยละ 4 และผู้หญิงร้อยละ 2 สัดส่วนของเด็กๆจะพบประมาณร้อยละ 1-2 ซึ่งสาเหตุที่พบในเด็กนั้นมักเกิดจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต และในกรณีเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ความผิดปกติทางโครงสร้างกะโหลกศรีษะและใบหน้า โรคอ้วนและพันธุกรรม

วิธีการสังเกตุว่าแบบไหนคือการนอนกรนธรรมดา และการนอนกรนแบบหยุดหายใจร่วมด้วย คุณหมอมีคำแนะนำแบบนี้ว่า หากเป็นการนอนกรนธรรมดาเสียงกรนจะสม่ำเสมอ นอนหลับได้ปกติ และหลังตื่นนอนจะรู้สึกสดชื่นเหมือนปกติ แต่หากเป็นการนอนกรนที่มีอันตรายนั้น เสียงกรนจะขาดหายเป็นช่วง มีลักษณะหยุดหายใจที่เกิน 5 ครั้งใน 1 ชั่วโมง มีอาการนอนหลับไม่สนิท หลังตื่นนอนจะรู้สึกไม่สดใสสดชื่น มีอาการง่วงนอนระหว่างวัน ทั้งนี้ในเด็กอาจพบว่ามีการปัสสาวะรดที่นอนร่วมด้วย

สาเหตุที่ทำให้การนอนกรนแล้วมีภาวะหยุดหายใจไปด้วย คุณหมออธิบายว่าในช่วงที่มีภาวะหยุดหายใจระดับออกซิเจนในเลือดแดง อาจจะต่ำกว่าปกติ ทำให้หัวใจ ปอด และสมองทำงานหนักมากขึ้น และอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาวะตีบตันของหลอดเลือดในสมอง และความดันโลหิตสูงของหลอดเลือดในปอด สำหรับเด็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการที่ไม่ดี จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วย

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเพื่อห่างไกลจากการนอนกรนที่เป็นอันตราย ก็คือ การดูแลตัวเองไม่ให้อ้วน ซึ่งค่า BMI ต้องไม่เกิน 23 ด้วยการ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และยานอนหลับหรือยาที่กดประสาทส่วนกลาง และหากพบว่ามีลักษณะการนอนกรนเข้าข่ายเป็นอันตรายก็ควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษาและรักษาได้อย่างทันท่วงที


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2015, 09:23:48 pm
8 ข้อควรรู้! กิน “ถั่ว” อย่างไรให้ได้ประโยชน์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000010630-


เมื่อพูดถึง “ถั่ว” เชื่อได้ว่าคงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบของใครหลายคน เนื่องจากรสของถั่วนั้นมีความมัน ทำให้ยิ่งกินยิ่งเพลินจนหยุดไม่ได้
       
       พืชตระกูลถั่วนั้นเรียกได้ว่ามีหลากหลายชนิด และการกินถั่วไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เพราะถั่วเป็นอาหารที่ค่อนข้างที่จะย่อยยาก และถ้ากินไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
       
       “นิตยสารหมอชาวบ้าน” ได้แนะนำการกินถั่วให้ถูกวิธีและให้ได้ประโยชน์มา 8 ข้อด้วยกันดังนี้
       
       1.สำหรับผู้ที่พึ่งหัดกินถั่วใหม่ๆ หรือปกติไม่ได้กินถั่วเป็นประจำนั้น ให้เริ่มกินแต่น้อยๆ เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายปรับตัว
       2.ควรแช่เมล็ดถั่วในน้ำเปล่า เป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง ก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยให้แป้งหรือ oligo-saccharide บางส่วนที่ย่อยยากนั้นสามารถย่อยได้มากขึ้น
       3.เลือกชนิดของถั่วที่จะนำมากิน ทั้งนี้ถั่วแต่ละชนิดนั้นทำให้เกิดแก๊สไม่เท่ากัน เช่น ถั่วขาวและถั่วเหลืองจะมีแก๊สมาก ส่วนถั่วดำ ถั่วแดงและถั่วเขียวจะมีแก๊สน้อยกว่า นอกจากนี้ “ถั่วเมล็ดแห้ง” ก็จะทำให้เกิดแก๊สในท้องมากกว่าถั่วสำเร็จรูปที่บรรจุกระป๋อง
       4.เวลากินถั่วควรเคี้ยวให้ละเอียดมากที่สุด เพราะเอนไซม์ในน้ำลายนั้นจะทำหน้าที่ช่วยย่อยแป้งได้ดี
       
       5.เนื่องจากในถั่วมีสารประเภทกรดไฟติก หรือไฟเทต ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม ดังนั้นจึงควรกินถั่วที่ปรุงสุกแล้ว ถั่วที่ผ่านการงอก หรือกระบวนการหมักมาแล้ว เพื่อลดปริมาณสารไฟเทต
       6.ปริมาณที่แนะนำในการกินถั่วคือ ครึ่งถ้วย หรือ 64 กรัม และใน 1 สัปดาห์ควรกินให้ได้ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์
       7.การเลือกซื้อถั่ว ให้เลือกถั่วที่ผลิตใหม่ๆ เมล็ดสมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่ฝ่อ หรือการกัดแทะของแมลง โดยเฉพาะถั่วลิสงจะมีเชื้อรา “อะฟลาท็อกซิน” จะขึ้นได้ง่าย หากเมล็ดของถั่วมีการแตกหัก หรือมีความชื้นสูง ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อถั่วเก็บไว้เป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราหรือสร้างสารพิษอะฟลาท็อกซินได้
       8.สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรืออาการไม่พึงประสงค์หลังกินถั่วเมล็ดแห้ง ถ้าปฏิบัติตามข้อ 1, 2 และ 3 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเลือกกินถั่วในรูปแบบที่ผ่านกระบวนการงอก หรือถั่วที่ผ่านกระบวนการหมักมาแล้ว จะทำให้อาการดีขึ้น
       
       และนี่ก็เป็น 8 ข้อควรรู้ในการกิน “ถั่ว” ให้ถูกวิธี ไม่ว่าอาหารชนิดใดหากกินในปริมาณที่มากเกินไป หรือกินไม่ถูกวิธีก็สามารถทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้ ดังนั้นควรที่จะกินในปริมาณที่พอดีเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ รู้อย่างนี้แล้วต่อไปก็สามารถกินถั่วได้อย่างถูกต้องและได้ประโยชน์แล้วล่ะ!
       
       *หมายเหตุ ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000001098801.JPEG)
(ภาพประกอบจาก www.goodfoodgoodlife.in.th (http://www.goodfoodgoodlife.in.th))

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2015, 09:26:56 am
สะเดา ผักพื้นบ้านมากสรรพคุณ

-http://health.mthai.com/howto/thai-medicine/10099.html-

สะเดา ไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน  คือ  สะเดายอดเขียวและสะเดายอดแดง ซึ่ง สะเดา ยอดเขียวจะมีความขมน้อยกว่าหรือบางต้นอาจจะขมน้อยจนได้ชื่อว่า สะเดาหวานหรือ สะเดามัน  แต่สะเดายอดแดงจะมีความขมมากกว่า

ส่วนของ สะเดา ที่ชาวบ้านนิยมนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด คือ ยอดและดอก  ซึ่งกำลังออกมากในช่วงนี้  ใช้รับประทานเป็นผักช่วยให้เจริญอาหาร  ซึ่งมีคุณค่าทาง โภชนาการ ดังนี้ ยอด สะเดา 100 กรัมให้พลังงานต่อร่างกาย 76 กิโลแคลอรี  ประกอบด้วยน้ำ 77.9 กรัม  คาร์โบไฮเดรต 12.5  กรัม  โปรตีน 5.4 กรัม  ไขมัน 0.5 กรัม  มีกาก 2.2 กรัม  แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส  26 มิลลิกรัม  เหล็ก 4.6  มิลลิกรัม  เบต้า-แคโรทีน 3611 ไมโครกรัม  วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม  วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม  วิตามินซี 194 มิลลิกรัม

Neem leaves and flowers

สรรพคุณของ สะเดา

    ดอก ยอดอ่อน  –  แก้พิษโลหิต กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหารผักได้ดี
    ขนอ่อน – ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
    เปลือกต้น – แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิดมูกเลือด
    ก้านใบ – แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย
    กระพี้ – แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
    ยาง – ดับพิษร้อน
    แก่น – แก้อาเจียน ขับเสมหะ
    ราก – แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซึ่งเกาะแน่นอยู่ในทรวงอก
    ใบ,ผล – ใช้เป็นยาฆ่าแมลง บำรุงธาตุ
    ผล มีสารรสขม – ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ
    เปลือกราก – เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง
    น้ำมันจากเมล็ด – ใช้รักษาโรคผิวหนัง และยาฆ่าแมลง

วิธีและปริมาณที่ใช้

    เป็นยาขมเจริญอาหาร

ช่อดอกไม่จำกัด ลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก หรือใช้เปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/2 ถ้วยแก้ว

    ใช้เป็นยาฆ่าแมลง

สะเดา ให้สารสกัดชื่อ Azadirachin ใช้ฆ่าแมลงโดยสูตร สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม  ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม นำแต่ละอย่างมาบดหรือตำให้ละเอียด หมักกับน้ำ 20 ลิตร 1 คืน น้ำน้ำยาที่กรองได้มา 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้ฉีดฆ่าแมลงในสวนผลไม้ และสวนผักได้ดี โดยไม่มีพิษและอันตราย

ข้อควรระวัง

    ห้ามใช้กับคนที่มีความดันโลหิตต่ำ เนื่องจาก สะเดา จะไปลดความดันให้ต่ำลงมาอีก ทำให้หน้ามืดเป็นลม
    สะเดา มีรสขม จึงเป็นยาเย็น บางคนอาจไม่ถูกกับบาเย็นทำให้ท้องอืดเกิดลมในกระเพาะ
    ห้ามใช้กับหญิงที่ให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมไม่มี

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.rspg.or.th (http://www.rspg.or.th)
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดนครราชสีมา
ไทยสมุนไพร.net

-------------------------------------


สะเดา

-http://www.vegetweb.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2/-


สะเดา เป็นไม้โตเร็ว เจริญได้ดีในแถบร้อน ที่มีปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 400-1,200 มม. เป็นพืชทน อากาศแห้งแล้งได้ดี สามารถขึ้นได้ในดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ แต่จะเจริญเติบโตเร็ว ในสภาพดินที่ไม่ชื้นแฉะ และปริมาณน้ำฝนไม่เกิน 800 มม.
การขยายพันธุ์สะเดา

ใช้วิธีเพาะเมล็ด ซึ่งสามารถทำได้จำนวนมาก เพราะปริมาณของ ผลสะเดามีมากในทุก ๆ ปี แต่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ได้นาน เพราะเมล็ดจะสูญเสียเปอร์เซ็นต์ความงอกงามได้เร็วมาก หลังจาก เก็บผล สุกมาและเอาเนื้อออกหมดแล้วล้างเมล็ดให้สะอาด นำไปเพาะทันที จะงอก ได้ดีมาก เมื่อสะเดาเจริญเติบโตจะติดผลเมื่ออายุ 5 ปีขึ้นไป และให้ผลผลิต เต็มที่เมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไปปริมาณของผลสะเดาจะอยู่ระหว่าง 10-50 กก./ต้น/ ปี
ชนิดของสะเดา

สะเดา แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. สะเดาอินเดีย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟีนเลื่อย ปลายของฟันเลื่อยแหลมโคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียวแคบมากคล้ายเส้นขร ผลสุกในเดือน ก.ค.-ส.ค.
2. สะเดาไทย มีลักษณะของใบหยักเป็นฟันเลื่อย แต่ปลายของฟันเลื่อยทู่ โคนใบเบี้ยวแต่กว้างกว่า ปลายใบแหลม ผลสุกในเดือน เม.ย.- พ.ค.
3. สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม ขอบใบจะเรียบ หรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ปลายเป็นติ่งแหลม ขนาดใบและผลใหญ่กว่า 2 ชนิดแรก ผลสุกในเดือน พ.ค.- ส.ค.
** ต้นสะเดาอินเดีย และสะเดาไทย เป็นชนิด (species) เดียวกัน แต่ต่างพันธุ์ (variety) ส่วนสะเดาช้างหรือต้นเทียม ไม้เทียม จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับสะเดาไทย และสะเดาอินเดีย แต่คนละชนิด (species) สะเดาทั้ง 3 ชนิด นี้จะมีลักษณะ ใบและต้นแตกต่าง กันดังกล่าวมาแล้ว
ประโยชน์ของสะเดา

1. เนื้อไม้ เหมาะสำหรับนำไปก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา เข็ม และ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมทั้งเป็นเชื้อเพลิงคุณภาพดี
2. เป็นอาหารและพืชสมุนไพร เช่น ในดอก และยอดอ่อน ใช้เป็นอาหาร และยาเจริญอาหาร ดอกแก้พิษเลือดกำเดา บำรุงธาตุ ผลแก้โรคหัวใจ ยางดับพิษร้อน เปลือกแก้ไข้มาลาเรีย และเป็นยาสมานแผล ผลอ่อนใช้ถ่ายพยาธิ เมล็ดใช้รักษาโรคเบาหวาน
3. เป็นสารป้องกันและกำจัดแมลง สะเดามีสารชนิดหนึ่งชื่อ กะซ้าหอยแรคติหน สามารถนำมาสกัด เป็นสารป้องกันกำจัดแมลงได้ พบมากที่สุดในส่วนของเมล็ด
4. ปลูกเพื่อเป็นแนวกันลมและให้ร่ม เนื่องจากมีใบหนาทึบ รากลึก ทนแล้ง ทนดินเค็ม และผลัดใบในเวลาสั้น
5. อื่นๆ เช่น น้ำมันจากเมล็ดสะเดาใช้ทำเชื้อเพลิงจุดตะเกียง เปลือกมีสารแทนนิน ใช้ในอุตสาหะกรรมฟอกหนัง กากสะเดาใช้เป็นปุ๋ย ผสมเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น
การปลูกสะเดา

- การเตรียมพื้นที่ ไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบ เก็บเศษไม้และวัชพืช สุมเผาใน ช่วงฤดูร้อน แล้วปักหลักกำหนดระยะปลูก
- ระยะปลูก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการปลูก เช่น ต้องการไม้ขนาดเล็ก ใช้ระยะปลุก 1×2 หรือ 2×2 เมตร ต้องการไม้ใหญ่ สำหรับใช้ในการก่อสร้างและ ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ระยะปลูก 2×4 หรือ 4×4 เมตร ต้องการเมล็ดไปทำสารฆ่าแมลง ใช้ระยะปลูก 6×6 เมตร แต่เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ อาจปลูกระยะถี่ก่อน เมื่อเรือนยอด เบียดชิดกันจึงตัดสะเดาบางส่วนไปใช้ประโยชน์ ให้ต้นสะเดาที่เหลือ มีระยะห่างตาม วัตถุประสงค์การปลูกต่อไป
- หลุมปลูก ขนาดที่เหมาะสม คือ กว้างxยาวxลึก ประมาณ 25×25x25 ซม.
- วิธีปลูก หลังจากขุดหลุมปลูกแล้ว ตากดินประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรค ในดิน แล้วจึงใส่ปุ่ยร็อคฟอสเฟส รองก้นหลุม อัตรา 150-200 กรัมต่อหลุม หรือครึ่งกระป๋องนม แล้วนำกล้าไม้ที่เตรียมไว้ ย้ายลงปลูก ขนาดกล้าไม้ที่ เหมาะสมควรสูง 8-12 นิ้ว อายุประมาณ 4-5 เดือน ฤดูปลูก ควรเป็นฤดูฝน โดยเลือกปลูกหลังจากวันที่ฝนตกหนัก ฉีกถุงพลาสติกใส่กล้าออก วางกล้าลงตรง กลางหลุม กลบดินและกดรอบๆ โคนต้นให้แน่น
การดูแลรักษา

1. การกำจัดวัชพืช ในปีแรกจำเป์นต้องเอาใจใส่กำจัดวัชพืชออกบ้าง เพื่อไม่ให้สูงคลุมเบียดบังแย่งแสง และอาหาร ต้นสะเดา
2. การใส่ปุ๋ย เมื่อกล้าไม้ที่ปลูกตั้งตัวแล้ว ควรเร่งการเจริญเติบโตด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อน กาแฟ โดยการ พรวนดินรอบโคนต้น แล้วปุ๋ยตาม
3. การริดกิ่ง หากต้องการให้สะเดามีลำต้นตรงเปลา ใช้ประโยชน์ในการแปรรูปได้มากขึ้น ควรหมั่นริดกิ่งอยู่ สม่ำเสมอ
4. การป้องกันไฟ ควรทำแนวกันไฟกว้างประมาณ 6-8 เมตร รอบแปลงปลูก เพื่อป้องกันไฟไหม้ ในฤดูแล้ง
การเก็บเกี่ยวผลสะเดา

สะเดาจะเริ่มติดผลเมื่ออายุ 3-5 ปี ให้ทำการเก็บผลสะเดาสุกจากต้นหรือผลที่ ร่วงใหม่ๆ รีบนำมาแยกเนื้อหุ้มผลออกจากเมล็ด แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำ เมล็ดไปตากแดด 1-2 วัน แล้วนำไป ผึ่งลมในที่ร่มจนแห้งสนิท จึงค่อยบรรจุใส่ภาชนะ ที่มีอากาศถ่ายเท ได้ดี เช่นกระสอบป่าน ถุงตาข่ายไนล่อน เป็นต้น เก็บไว้ในที่แห้งเย็น ไม่อับชื้น เพื่อป้องกันเชื้อรา

-------------------------------------------------------------------------------------------------------



2 สูตรน้ำจิ้มลูกชิ้นปิ้ง รสแซ่บ เจอแบบนี้ซื้อลูกชิ้นมารอเลย

-http://cooking.kapook.com/view110862.html-
http://cooking.kapook.com/view110862.html (http://cooking.kapook.com/view110862.html)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2015, 05:16:27 am
หัวหอมใหญ่ยาครอบจักรวาล

-http://guru.sanook.com/9502/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5/-


ทราบหรือไม่ว่า...การทานหัวหอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร แล้วจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ และไขมันอุดตัน ซึ่งในปัจจุบันการทานอาหารมีวิธีการทานที่จะต้องแข่งกับเวลาซะเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันจึงไม่ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง งั้นคุณลองหันมาทาน "หัวหอมใหญ่" ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ ดีกว่าค่ะ

หอมหัวใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีสรรพคุณเป็นพืชสมุนไพร มีสารสำคัญคือ ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ซึ่งมีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด ซึ่งถ้าเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตันทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังช่วย "ลดไขมันในเลือด" ได้อีก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน

น่าสนใจมากที่ปัจจุบัน นิยมนำหอมหัวใหญ่มาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย หรือที่เราเรียกกันว่า การบำบัดแบบ "อโรมาเทอราปี" โดยหอมหัวใหญ่ที่สุกจะมีน้ำมันหอมที่ชื่อว่า "อัล ลิลิก ไดซัลไฟด์ (Allilic disulfides)" ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ถ้าสูดดมมากๆ จะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ บรรเทาอาการหวัด และลดเสมหะได้ หรือน้ำคั้นจากหอมหัวใหญ่ ก็จะช่วยลดอาการอักเสบบวม หรือลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเส้นเลือด เนื่องจากหอมหัวใหญ่มีธาตุฟอสฟอรัสที่สูง จึงช่วยทำให้ความจำดีขึ้นอีก และยังสามารถนำหอมหัวใหญ่ไปใช้เป็นยาทาภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียใช้แก้พิษแมลงกัดอาการปวดบวมตามข้อหรือทาแก้สิวได้ด้วย

           หอมหัวใหญ่ คนไทยนำมาประกอบอาหารหลายชนิด เช่น ยำต่างๆ ข้าวผัด สลัด ไข่เจียว ซุปหรือสตูต่างๆ ซึ่งถ้ารับประทานกันแบบสดๆ จะมีรสชาติกรอบ เผ็ดร้อน แต่ถ้านำไปปรุงอาหาร หรือถูกความร้อนก็จะมีรสชาติหวาน เนื่องจากสารที่ชื่อ "อัลลิลโปรบิลซัลไฟต์" ระเหยไประหว่างที่ถูกความร้อนและได้สารที่มีรสหวานมาแทน ว่ากันว่า...ถ้ารับประทานหอมหัวใหญ่วันละครึ่งหัวทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยลดอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณทราบกันแล้วว่าหัวหอมดีอย่างไร อย่าลืมทุกครั้งที่ทำอาหาร ให้คุณลองเติมเมนูที่มีหอมหัวใหญ่ไปด้วย เพื่อสุขภาพของคนที่คุณรักนะคะ

ที่มาข้อมูล myhomeveg.com

(http://p3.isanook.com/gu/0/rp/r/w300/ya0xa0m1w0/aHR0cDovL3AzLmlzYW5vb2suY29tL2d1LzAvdWkvMS85NTAyLzI3MzkzMV9fMjExMTIwMTMxMTE0MDYuanBn.jpg)
ที่มารูปภาพ thaiza.com



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2015, 10:18:09 pm
กระเฉด กรุบกรอบ กินดี แต่มีอันตรายจริงหรือ

-http://campus.sanook.com/1376577/-


ผักกรุบกรอบ ที่ขึ้นชื่อว่า มีกลิ่นติดปากมากพอพอสมควร บางคนก็ชอบกิน บางคนก็เลี่ยงที่จะกิน สังเกตุง่ายๆ เวลากินยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร จะมีคนที่ไม่ใส่ผักกระเฉด เพราะไม่ชอบที่ใบมันติดฟัน หรือไม่ก็กลิ่นค่อนข้างแรง แต่สำหรับคนที่ชอบ นี่สารพัดจะเลือกเมนูเพื่อให้ได้ลิ้มรส และความกรุบกรอบของผักกระเฉดนี้


กระเฉดถือเป็นผักน้ำชนิดหนึ่ง ลำต้นทอดเสมอผิวน้ำ ระหว่างข้อปล้องของผักกระเฉดจะมีกระเปาะ หรือที่เรียกว่านม ลักษณะคล้ายฟองน้ำหุ้มอยู่ทำให้ลอยน้ำได้ ผักชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งที่ไม่คุ้นหูสักเท่าไรว่า "ผักรู้นอน"


กระเฉดอุดมคุณค่า แร่ธาตุและวิตามิน

ผักกระเฉดนั้นนำมาทำอาหารได้หลายชนิด จะยำ จะแกงส้ม หรือแค่นำไปผัดไฟแดงก็อร่อยอย่าบอกใคร ซึ่งคุณประโยชน์ของผักกระเฉดนั้นก็มีมากมาย ถือเป็นผักที่สารพัดแร่ธาตุ และวิตามินที่ดีต่อร่างกายทั้งนั้น

ใบผักกระเฉด 100 กรัม จะประกอบด้วยแคลเซียมสูงถึง 387 มิลลิกรัม มีเบตาแคโรทีน 478 ไมโครกรัม มีธาตุเหล็ก 5.3 มิลลิกรัม มีวิตามินบี3, 3.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 34 มิลลิกรัม และเส้นใยอาหาร 3.8 กรัม ซึ่งสารอาหารทั้งหมดจะมีคุณค่าต่อร่างกาย โดย...

วิตามินซี - มีความสำคัญกับตา ช่วยในการมองเห็นโดยเฉพาะภาวะที่มีแสงน้อย นอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเป็นปกติ และที่สำคัญยังในการเจริญโตและ ช่วยในระบบสืบพันธ์ ไม่อยากเป็นหมันก็ลองทานผักกระเฉดดู

แคลเซียม - เสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปรกติ

ธาตุเหล็ก - มีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด หากขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

เบตาแคโรทีน - ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุของโรคมะเร็ง และช่วยต้านความเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ไปจนกระทั่งถึงความเสื่อมของอวัยวะสำคัญภายใน

วิตามินบี3 - ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant ช่วยต่อทำลายพิษหรือ ท็อกซินจากมลพิษ ลดความอยากดื่มแอลกอฮอล์ และ ยาเสพติด รวมถึงช่วยลดการสร้างเมลานินที่ทำให้สีผิวเข้มขึ้น

เส้นใยอาหาร - ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ดึงดูดและรวมตัวกับน้ำทำให้เกิดของเหลวลักษณะเหมือนเจลระหว่างกระบวนการย่อย รวมถึงยังช่วยเพิ่มปริมาตรของอาหารโดยไม่เพิ่มแคลอรี่ ลดจำนวนของคอเลสเตอรอลและไขมัน LDL ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

สรรพคุณของผักกระเฉด


ไม่เพียงแต่ประโยชน์ด้านโภชนาการเท่านั้น ผักกระเฉดยังจัดเป็นสมุนไพรด้วย โดยตามตำราสมุนไพรไทยแล้ว ผักกระเฉดจะเป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถอนพิษเบื่อเมา ป้องกันโรคตับอักเสบ และก็ยังมีสูตรยาโบราณ ที่นำผักกระเฉด ตำผสมกับสุราแล้วหยอดบริเวณฝันที่ปวด ซึ่งเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้

กระเฉด กินดี แต่อาจมีอันตราย


แม้กระเฉดจะเป็นผักที่มีคุณค่า แต่ว่า ก็มีคำเตือนจากกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ประชาชนระวังการบริโภคผักบุ้ง ผักกระเฉด

แต่อย่าพึ่งตระหนกตกใจ อันตรายที่ว่านี้ไม่ใช่อันตายของผัก แต่เป็นอันตรายจากว่าอาจจะได้รับอันตรายจากศัตรูตัวใหม่ที่เรียกว่า "ไข่ปลิง" ที่จะอยู่ในพืชน้ำเหล่านี้

ในการทานผักกระเฉดที่ไม่ผ่านการต้มเดือดถึง 500 องศาเซลเซียส อาจเสี่ยงที่จะรับทานไข่ปลิงเข้าไปได้ ทางที่ดีควรต้มให้เดือนมากๆ เป็นชั่วโมงเสียก่อนจึงจะปลอดภัย เพราะเจ้าไข่ปลิงตัวนี้สามารถทนความร้อนได้สูงมาก ใครที่จะทานก็ระมัดระวัง ในการปรุงอาหารก่อนรับประทาน จะได้ไม่เป็นอันตราย

พืชผัก และอาหาร มีประโยชน์ แต่ก็มีโทษมีอันตรายด้วยกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือความสะอาด และการทานแต่พอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป แล้วจะเกิดประโยชน์กับร่างกาย

ที่มา : http://www.emaginfo.com/?p=66193 (http://www.emaginfo.com/?p=66193)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2015, 10:34:24 am
เม็ดบัว!! คุณประโยชน์เหลือล้น

-http://men.sanook.com/4721/-


หลายท่านจะยังไม่เคยทาน”เม็ดบัว”และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี

สรรพคุณของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด

“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น” เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้

โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆ

ที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

ข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์เลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก
wellnessthai

ขอขอบคุณ S! MEN ผู้สนับสนุนเนื้อหา



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2015, 01:32:08 pm
7 ประโยชน์น่าทึ่งของกระเทียม กับเรื่องในบ้าน !

-http://home.kapook.com/view113293.html-

 ประโยชน์ของกระเทียมที่รู้แล้วอาจจะอึ้ง ใครจะเชื่อว่ากระเทียมจะทำประโยชน์ได้มากมายสารพัด อ่านจบแล้วไปหาซื้อมาไว้ติดบ้านกันด่วนเลย !!

          กระเทียมนอกจากจะเป็นสิ่งประกอบอาหารที่แทบทุกอย่างต้องใส่แล้ว เชื่อไหมว่ากระเทียมทำอะไรเจ๋ง ๆ กว่านั้นก็ได้ด้วยนะ เพราะสามารถนำมาใช้ได้ทั้งกับงานในบ้าน นอกบ้าน และแม้กระทั่งใช้กับร่างกาย ก็มีประโยชน์มากมายจนคาดไม่ถึง วันนี้กระปุกดอทคอมจะมากระซิบบอกกันดัง ๆ ว่า ประโยชน์ของกระเทียม มีให้ทึ่งกันตั้ง 20 อย่างดังนี้ รู้แล้วก็อยากลืมมีกระเทียมติดบ้านกันไว้นะจ๊ะ

กำจัดศัตรูพืชจอมก่อกวน

          แมลงจอมก่อกวนทั้งหลายอาจทำลายสวนที่คุณรักได้ ดังนั้นให้กำจัดแมลงกวนใจเหล่านี้ด้วยสเปรย์กระเทียมสูตรทำเอง ด้วยการสับกระเทียม 3 กลีบให้ละเอียด และผสมเข้ากับน้ำมันแร่แล้วทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นนำเศษกระเทียมออกแล้วเติมน้ำมันพร้อมกับน้ำยาล้างจานอีก 2 ช้อนชา แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ที่บรรจุน้ำเปล่า ก่อนจะนำไปฉีดพ่นบนพืชเพื่อป้องกันแมลง

 
 
ใช้เป็นยากันยุง

          สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีปัญหากับกลิ่นกระเทียม โดยใช้กระเทียมสับเล็กน้อยผสมกับน้ำมันแร่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นใส่น้ำมันหอมระเหยกลิ่นกระเทียม ลงผสมในน้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ก่อนจะเทลงในขวดเสปรย์ใช้ฉีดไล่ยุงแบบปลอดภัยไร้สารพิษ
 
ใช้ซ่อมแซมกระจก

          รู้หรือไม่ว่ากระเทียมมีฤทธิ์เป็นกาวธรรมชาติ โดยให้นำกระเทียมมาทุบให้แตก จากนั้นนำน้ำเหนียว ๆ ของมันไปถูบนรอยร้าวของแก้วหรือกระจก เพื่อให้น้ำกระเทียมซึมเข้าไปในรอยร้าวก่อนจะเช็ดส่วนเกินออกด้วยด้วยผ้าสะอาด

กำจัดเสี้ยนตำ

          เสี้ยนที่ตำเข้าไปในผิวหนังอาจจะสร้างความเจ็บปวดรวมถึงเอาออกได้ยากหากเสี้ยนตำในผิวจนลึกเกินไป แต่แทนที่จะรอให้มันหลุดออกมาเอง ลองใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการนำกระเทียมที่ฝานบาง ๆ มาวางไว้บนเสี้ยนที่อยู่บนผิวหนัง จากนั้นกดเบา ๆ ด้วยผ้าพันแผล กระเทียมจะช่วยให้เสี้ยนหลุดออกมาได้ภายใน 1 ชั่วโมง


ใช้เป็นเหยื่อล่อปลา

          กระเทียมอาจมีกลิ่นรุนแรงแบบที่แมลงไม่ชอบ แต่กับปลานั้นให้ผลตรงกันข้าม เพราะนักตกปลาบางคนแนะนำให้ใช้กระเทียมเพื่อดึงดูดปลาบางสายพันธุ์ เช่น ปลาดุก ปลาคาร์พ ปลาเทราท์  โดยให้ทำเหยื่อล่อปลาด้วยการผสมขนมปังแครกเกอร์เข้ากับอาหารแมว แล้วเคลือบด้วยผงกระเทียม เพื่อใช้กลิ่นเป็นตัวล่อให้ปลามาติดเบ็ดนั่นเอง


สลายการจับตัวของน้ำแข็ง

          อยากให้น้ำแข็งละลายเร็ว ๆ รู้ไหมว่ากระเทียมช่วยได้นะ แค่หั่นหรือสับกระเทียมแล้วเอาไปวางบนน้ำแข็งที่ต้องการให้ละลาย แค่นี้กระเทียมก็ออกฤทธิ์จนน้ำแข็งยอมจำนน และสลายร่างไปเองแล้ว

รักษาโรคน้ำกัดเท้า

          ใครเกิดเป็นโรคน้ำกัดเท้าขึ้นมา รู้ไหมว่ากระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อราโดยธรรมชาติ จึงช่วยให้รักษาโรคเชื้อราหรือน้ำกัดเท้าได้ดี โดยให้ทุบกระเทียม 2-3 กลีบ แล้วใส่ลงในน้ำอุ่น และแช่เท้าลงไปเป็นเวลา 30 นาที เพื่อรักษาอาการดังกล่าว

          ประโยชน์เยอะขนาดนี้ ต้องมีติดบ้านไว้เป็นประจำแล้วล่ะ เพราะทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ คราวนี้อย่าลืมหากระเทียมมาปลูกไว้ติดบ้านกันหน่อย คงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 12, 2015, 10:12:30 pm
“สเต๊ก” สั่งแบบไหนให้สุกโดนใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000028421-

หลายๆ คนมีความชื่นชอบเมนู “สเต๊กเนื้อ” เป็นอย่างมาก ไม่ว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็อยากจะลองลิ้มดูหลายๆร้าน แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ไม่รู้ว่าจะต้องสั่งให้กริลล์เนื้อสเต๊กมาสุกถึงขั้นไหน ถึงจะอร่อยถูกปากเรา
       
       “108 เคล็ดกิน” มีคำแนะนำมาบอก ซึ่งก่อนอื่นนั้นก็ต้องสำรวจความชื่นชอบของตัวเองก่อนว่า ชอบให้เนื้อสุกถึงขั้นไหน จะกินแบบเนื้อนุ่มฉ่ำมีเลือดนิดๆ หรือชอบกินแบบสุกๆ ไปเลย
       
       ขั้นความสุกของเนื้อนั้นแบ่งออกได้ดังนี้ (เริ่มจากแบบสุกมากที่สุด)
       
       Overcook (โอเวอร์คุ๊ก) เป็นเนื้อแบบที่สุกมากที่สุด ย่างเนื้อให้สุกมากๆ ไปจนค่อนข้างเกรียม อาจจะมีขอบไหม้ ผิวไหม้บ้าง ทำให้เนื้อแห้งและแข็งกระด้าง รวมถึงอาจมีรสขมปนอยู่
       
       Well Done (เวลล์ดัน) สเต๊กในระดับความสุกนี้ จะถูกย่างมาให้สุกเต็มที่ทั้งด้านนอกและด้านใน ไม่มีเนื้อสีแดงหรือเลือดออกมาให้เห็น ความฉ่ำของเนื้ออาจจะลดลงบ้าง และเนื้ออาจจะแข็งไปสักหน่อย
       
       Medium Well Done (มีเดียมเวลล์ดัน) เป็นแบบที่เนื้อเกือบจะสุกเต็มที่ ด้านในของเนื้ออาจะเห็นสีชมพูระเรื่อบ้าง แต่เนื้อจะมีความฉ่ำมากขึ้นกว่าแบบเวลล์ดัน
       
       Medium (มีเดียม) เป็นสเต๊กเนื้อที่สุกแบบปานกลาง ด้านนอกจะดูสุกเต็มที่ แต่เมื่อแล่ออกมาดูแล้วด้านในจะยังเห็นเนื้อชมพูอมแดงอยู่ ซึ่งความสุกในระดับมีเดียมแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน เพราะจะได้ลิ้มรสความนุ่มฉ่ำของเนื้อที่ยังหลงเหลืออยู่
       
       Medium Rare (มีเดียมแรร์) เป็นสเต๊กเนื้อที่กึ่งสุกกึ่งดิบ ด้านนอกจะดูสุกแบบฉ่ำๆ ส่วนด้านในยังเป็นเนื้อแดงๆ อยู่
       
       Rare (แรร์) สเต๊กแบบนี้จะย่างเนื้อด้านนอกให้สุกพอประมาณ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงดิบๆ อยู่ ส่วนใหญ่สเต๊กระดับนี้จะใช้เวลาย่างประมาณ 1 นาที
       
       Blue Rare (บลูแรร์) เนื้อแบบนี้จะย่างเฉพาะผิวเนื้อด้านนอก ด้านในยังดิบเกือบทั้งชิ้น โดยจะใช้ไฟแรงแล้วย่างอย่างรวดเร็ว
       
       รู้ระดับความสุกของสเต๊กกันแล้ว คราวหน้าถ้าไปลองชิมสเต๊กที่ร้านไหน จะได้เนื้อที่สุกมาแบบถูกใจเสียที



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 14, 2015, 09:55:02 pm
โอ้มายก๊อด แกะปูไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


http://www.youtube.com/watch?v=TRyvJh-5i_8#t=15 (http://www.youtube.com/watch?v=TRyvJh-5i_8#t=15)
-http://www.youtube.com/watch?v=TRyvJh-5i_8#t=15-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2015, 09:39:41 pm


    น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

-http://health.kapook.com/view113540.html-

  น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ให้ประโยชน์อันน่าทึ่งต่อสุขภาพ นอกเหนือจากการบำรุงความงาม แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไปเสียอย่างนั้น

          น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมาก­กว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ กระปุกดอทคอมจึงมีคำเฉลยในเรื่องนี้มาให้อ่านกัน ให้รู้ไปเลยว่า­ สรุปแล้ว คำร่ำลือที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วดีต่อสุขภาพน่ะ แท้จริงแล้ว เขากินกันอย่างไร แล้วมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง


 น้ำมันมะพร้าว คืออะไร

          น้ำมันมะพร้าวก็คือ น้ำมันที่ได้จากผลมะพร้าวนั่นเอง โดยนำมาสกัดแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนสูง และไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน อาจมีชิ้นเนื้อมะพร้าว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เอง น้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Extra Virgin Coconut Oil) น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น

          น้ำมันมะพร้าวเป็นของเหลวก็จริง แต่ก็สามารถกลายสถานะเป็นของแข็งได้ โดยน้ำมันมะพร้าวจะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส และกลายสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่เราสามารถทำให้มันเป็นของเหลวได้อย่างง่ายโดยใช้ความร้อนเพียงเ­ล็กน้อย

          ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid)


 น้ำมันมะพร้าวที่ดี สังเกตยังไง

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          น้ำมันมะพร้าวที่วางขายกันทั่วไปอาจมีหลายยี่ห้อ ทำให้เราตัดสินใจเลือกไม่ถูกว่าแบบไหนดีกว่ากัน เรามีวิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่ได้คุณภาพมาฝากค่ะ

          ต้องมีความใส ไม่มีสี ลักษณะโปร่งแสง ไม่มีการตกตะกอน แต่การสังเกตจากข้อนี้อาจไม่ชัดเจน เพราะบางยี่ห้อก็บรรจุในขวดพลาสติกขุ่น หรือมีสี แต่ถ้าบรรจุขวดแก้วก็จะสังเกตได้ง่ายกว่า

          ต้องมีกลิ่นหอมของมะพร้าว ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว แม้ว่าจะมีการเปิดใช้หลายครั้งแล้ว แต่ด้วยกระบวนการผลิตในบางยี่ห้อ อาจมีการดัดแปลงโดยใช้น้ำหอมสังเคราะห์กลิ่นมะพร้าว หรือกลิ่นมะพร้าวน้ำหอมเข้าไป ทำให้มีกลิ่นหอมมากในตอนเปิดขวดแรก ๆ แต่หลังจากนั้นความหอมจะจางลง กลายเปลี่ยนเป็นเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะทำให้อายุของน้ำมันมะพร้าวอยู่ได้ไม่นาน

          ต้องความหนืดน้อย สามารถกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย มีความรู้สึกเหมือนละลายในปาก ไม่ให้ความรู้สึกเลี่ยน หรือเมื่อนำไปทาผิวแล้ว สามารถซึมสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิว


 ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว มาดู ดีต่อสุขภาพยังไง

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          น้ำมันมะพร้าวถูกจัดว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันช­นิดอื่น เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ร่างกายดึงไปเผาผลาญได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสำคัญและวิตามินละลายในไขมันบางชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ ดี อี เค ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที เพราะคุณค่าเหล่านี้จึงทำให้น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณต่อสุขภาพใน­หลาย ๆ ด้าน


 สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ

          มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภา­พในเรื่องใดบ้าง

 1. กินแล้วไม่อ้วน

          น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน

 2. กระตุ้นการขับถ่าย

          น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย

 3. บำรุงกำลัง

          น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย

 4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต

 5. บำรุงกระดูก

          สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความ­แข็งแรงของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย

 6. บำรุงครรภ์

          น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้­งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย

 7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น

          ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อ­ยจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย

 8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ

          น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจ­ากการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ

 9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง

 10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

          น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง


 วิธีกินน้ำมันมะพร้าว

          ความพิเศษของน้ำมันมะพร้าวอยู่ตรงที่เราสามารถตวงกับช้อนแล้วกิ­นได้เลย หรือจะนำไปปรุงเป็นเมนูคาวหวานก็ได้ แม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะกินแล้วดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องปริมาณการบริโภค รวมถึงต้องปรับพฤติกรรมการกินควบคู่ไปด้วย มิเช่นนั้น อาจให้ผลตรงกันข้าม

          สำหรับวิธีการกินน้ำมันมะพร้าวที่เหมาะสมนั้น อาจยึดหลักจากน้ำหนักตัว ดังนี้

          น้ำหนักตัว 30-40 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 0.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน
          น้ำหนักตัว 40.1-60 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน
          น้ำหนักตัว 60.1-80 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 1.5-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
          น้ำหนักตัว 80.1 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริโภคได้ 2.5-3 ช้อนโต๊ะต่อวัน
          เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป วันละ 1-2 ช้อนชา
          ผู้สูงอายุรับประทานวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ

          ทั้งนี้ การกินน้ำมันมะพร้าวภายในครั้งเดียวร่างกายอาจรับไม่ได้ ดังนั้น ควรจะแบ่งทานเป็น 3 เวลา โดยกินก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้อาจรวมถึงการนำน้ำมันมะพร้าวไปเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงประกอบอาหาร เช่น นำไปผัดอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่น ๆ

          อย่างไรก็ดี ควรเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข


 น้ำมันมะพร้าว มีข้อเสียไหม

          ตามกลไกของร่างกายแล้ว การกินน้ำมันวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะนั้น ถือเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้หมด คำแนะนำส่วนใหญ่จึงถือว่าการกินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เป็นปริมาณที่เหมาะสม

          อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่ารับพลังงานไขมันจากแหล่งอื่นมากน้อยแค่ไหน โดยคำแนะนำคือปริมาณบริโภคเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่น ๆ แล้ว ไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 60 กรัม ดังนั้น หากเป็นคนที่ได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารชนิดต่าง ๆ แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้อีก 2 ช้อนโต๊ะ หรือถ้าเป็นคนที่ทานมังสวิรัติ ไม่รับประทานนม ไข่ ชีส หรือน้ำมันอื่น ๆ ก็อาจทานน้ำมันมะพร้าวมากขึ้น

          ดังนั้น ทางที่ดีควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสุขภาพตัวเอง เพราะถ้าหากทานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย ร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็เกิดการสะสมได้ไม่ต่างจากไขมันประเภทอื่น


 น้ำมันมะพร้าว ทาหน้าได้ไหม

          น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นสามารถนำมาทาหน้าได้นะคะ เพียงแต่มีข้อควรรู้ในการใช้อยู่บ้าง เรามาอ่านกันดีกว่าว่า ควรใช้น้ำมันมะพร้าวทาหน้าอย่างไร ให้ได้หน้าขาวใสวิ้ง ๆ อย่างใจต้องการ

          ทาตอนกลางคืนดีกว่ากลางวัน เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติอุ้มแสง อาจทำให้ผิวหน้าเราคล้ำลงบ้าง แต่สีผิวก็จะสม่ำเสมอกัน เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติกระจายแสง

          สามารถผสมกับไนท์ครีมที่ใช้อยู่เป็นประจำได้ โดยการหยดน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 หยดผสมกับไนท์ครีมที่ใช้อยู่ประจำ จะช่วยเก็บล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวยามหลับได้ดี

          หากเป็นคนผิวหน้ามัน และผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะยิ่งทำให้สิวขึ้นเห่อ

          ใช้มาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื้นได้ นำสำลีชุบน้ำอุ่นบีบให้หมาด แล้วหยดน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 หยดบนสำลี เช็ดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าโดยไม่ต้องล้างออก


 น้ำมันมะพร้าว ทำอาหารได้ไหม

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          น้ำมันมะพร้าวสามารถนำไปปรุงอาหารได้เหมือนกับน้ำมันชนิดอื่น โดยที่เราไม่ต้องกังวลว่ากินแล้วจะทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายเพ­ิ่มขึ้น เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง เมื่อรับประทานแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ร่างกายดึงไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ดี นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนเนย และมาการีน ที่จะช่วยเพิ่มความหอมอร่อยให้กับเมนูอาหารนั้น ๆ น่ารับประทานขึ้นอีกด้วย


 น้ำมันมะพร้าวทำผิวสีแทน ได้ไหม

          ความมหัศจรรย์ของน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีแค่เรื่องบำรุงสุขภาพอย่­างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความพิเศษอีกข้อคือ สามารถทำให้ผิวขาว ๆ ของเรากลายเป็นผิวสีแทนสวยได้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีจุดเดือดสูง จึงไม่ไวต่อแสง แต่สามารถอุ้มแสงและกระจายแสงได้ดี หากเราทาหลังออกแดด สีผิวของเราจะถูกปรับสภาพให้คล้ำลงอย่างสม่ำเสมอกัน และคล้ำลงแบบดูสุขภาพผิวดีด้วย


 น้ำมันมะพร้าว ลดน้ำหนัก ได้ไหม

          หากสาว ๆ คนไหนกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่แสนง่าย กว่าการไดเอต เราขอให้ลองดูคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวกันก่อน ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่กินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก็ช่วยให้น้ำหนักลงได้แล้ว เห็นได้คุณสมบัติเด่นเรื่องการลดความอ้วนทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้

          มีไขมันแคลอรีต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น คือ 8.6 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นมีไขมันแคลอรีถึง 9 กิโลแคลอรี/กรัม
          กินแล้วทำให้อิ่มนานขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกอยากกินจุบจิบ
          กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้ท้องไม่ผูก
          เพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย


 น้ำมันมะพร้าวกับ 10 ประโยชน์ความงามที่น่าลอง

          นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังมีคุณสมบัติบำรุงความงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท­้าได้อีกด้วย มาอ่านกันดีกว่า

 1. หมักผม

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          หากนำน้ำมันมะพร้าวไปหมักผม ก็ควรจะสระด้วยยาสระผมอีกครั้ง และล้างออกด้วย น้ำอุ่น จะทำให้ความมันบนเส้นผมก็จะลดลง เส้นผมจะนุ่มขึ้น และดูเงางาม

 2. น้ำมันนวดตัว (Body Oil)

          น้ำมันมะพร้าวสามารถเป็นน้ำมันสำหรับนวดสปาได้ สามารถผสมน้ำมันหอมระเหยเข้าไปด้วยประมาณ 2-3 หยด เพิ่มความผ่อนคลาย

 3. ลิปบาล์ม

          เพิ่มความชุ่มชื้นให้เรียวปาก ด้วยน้ำมันมะพร้าว แค่หยดบนนิ้วมือ ทาบาง ๆ บนริมฝีปาก ก็ช่วยให้เรียวปากไม่แห้งตึงแล้ว

 4. บำรุงเล็บ

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเล็บ และจมูกเล็บได้ ทำให้เรียวมือของเราเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น

 5. รอยคล้ำใต้ดวงตา

          ผิวบริเวณใต้ดวงตานั้นมีความบอบบางมาก สามารถเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ถุงใต้ตา หรือรอยคล้ำใต้ตาได้ง่าย น้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตาได้เหมือนกับอายครี­ม

 6. บำรุงเส้นผม

          หากลองใช้น้ำมันมะพร้าวปริมาณเท่าเมล็ดถั่วบำรุงเส้นผม จะช่วยเพิ่มความหนา ลดอาการชี้ฟู ขาดเส้น และหลุดร่วงได้

 7. เพิ่มความฉ่ำวาวให้ผิวหน้า

          เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเพิ่มความฉ่ำวาวให้ผิวหน้าเราได้เหมื­อนการลงเมคอัพไฮไลท์ เช่น ทาบริเวณโหนกแก้ม เปลือกตา หรือโหนกคิ้ว ก็จะทำให้ผิวหน้าเราดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี

 8. เมคอัพ รีมูฟเวอร์

          ใช้น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ช่วยลบเมคอัพได้ ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าว เช็ดเบา ๆ บนเมคอัพ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 9. บอดี้สครับ

          ผสมเกลือและน้ำตาลในอัตราส่วนเท่ากัน นำไปละลายในน้ำมันมะพร้าว ใช้ขัดผิวในบริเวณที่ต้องการ ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทำให้ผิวนุ่มขึ้น ใช้ขัดข้อศอก และหัวเข่าที่ด้าน หากต้องการเพิ่มกลิ่นหอมที่ผ่อนคลายมากขึ้น ก็หยดน้ำมันหอมระเหยเพิ่มเข้าไปได้

 10. ครีมกำจัดขน

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          ครีมกำจัดขนที่ใช้อยู่หมด ไม่ต้องห่วงเลย ถ้าเรามีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นซะอย่าง เพียงแค่นำไปผสมกับน้ำอุ่นให้ร้อนเล็กน้อย ชโลมให้ทั่วผิวบริเวณที่ต้องการจะโกนขน ก็จะโกนได้เกลี้ยงเกลา ไม่เกิดการระคายเคือง ผิวเนียนนุ่ม


 น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น วิธีการทำที่หลายคนอยากรู้

          เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นราคาแพง ๆ แพ็กเกจสวย ๆ ในซุปเปอร์มาร์เกตนั้น มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง แล้วเราสามารถทำเองได้ไหม เราขอตอบเลยว่า ทำได้ ลองทำตามสูตรนี้เลย

          1. เก็บมะพร้าวงอก หรือมะพร้าวที่มีจาว

          2. นำมะพร้าวที่ขูดได้ ผสมน้ำเปล่า ในอัตราส่วน หัวกะทิ 1 กิโล ต่อน้ำ 1 ลิตร เพื่อนำไปคั้นเป็นน้ำกะทิ

          3. นำน้ำกะทิมากรองใส่ถัง แล้วผสมกับน้ำกะทิที่ได้ คนให้เข้าเนื้อกัน

          4. ครอบฝาโดยการแง้มไว้ อย่าปิดแน่น ทิ้งไว้ประมาณ 14-20 ชั่วโมง หรือประมาณ 1 คืนกว่า ๆ เพื่อให้กะทิ และน้ำมันแยกชั้น โดยส่วนที่เราต้องการคือ ตรงกลาง เป็นส่วนของน้ำมัน

          5. เอาน้ำที่แยกชั้นอยู่ด้านล่างออก โดยการดูดด้วยสายยางขนาดเล็ก กรณีใส่ถังที่มีก๊อกก็ปล่อยน้ำส่วนล่างออก

          6. ใช้ช้อนตักส่วนที่เป็นขี้มันด้านบนออก แล้วตักน้ำมันมะพร้าวแยกไว้ต่างหาก ส่วนน้ำมันที่เหลือชั้นล่างสามารถนำไปทำน้ำมันเกรดสอง หรือใช้ในการประกอบอาหาร

          7. ตักส่วนที่เป็นน้ำมันออกมา นำไปกรองด้วยกระชอน 2 ใบซ้อนกัน แต่การซ้อนของกระชอน จะต้องรองด้วยกระดาษทิชชูที่มีความหนาเล็กน้อยซ้อนกันประมาณ 6 ชั้น ส่วนที่ไหลผ่านกระชอนก็คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

          8. นำไปบรรจุขวดที่มีฝาปิดสนิท


 การเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม

          น้ำมันชนิดอื่น ๆ หากนำไปแช่ตู้เย็น ก็ยังคงสภาพเป็นของเหลว แต่สำหรับน้ำมันมะพร้าวนั้นสามารถแข็งตัวได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า­ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าวไม่ให้เสียเร็วก่อนวันหมดอาย­ุ หรือ มีกลิ่นหืน ก็ควรจะบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เก็บในอุณหภูมิห้อง และไม่ควรโดนแสงแดดกรณีนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วเป็นไข ก็สามารถทำให้ละลายได้โดยการอุ่นด้วยความร้อน


 น้ำมันมะพร้าวที่เสียแล้ว เป็นอย่างไร

          วิธีการสังเกตน้ำมันมะพร้าวที่เสียแล้วนั้นง่ายมาก คือ สีจะเปลี่ยนจากใสกลายเป็นเหลืองอ่อน ๆ หรือมีความขุ่น มีการตกตะกอน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวเสียเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าการเก็บรักษาหลังการใช้ เช่น ปิดฝาไม่สนิท มีสิ่งเจือปนอื่น ๆ เก็บในที่ที่มีแสงแดดส่องเป็นเวลานาน เป็นต้น

          อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงสุขภาพนั้น หากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ควรดูตามความเหมาะสมของสุขภาพเราด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังเป็นน้ำมันอยู่ดี หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ผลลัพธ์ก็อาจตรงกันข้ามก็ได้




อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
ชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย 
ชีวจิต 
สมุนไพรดอทคอม 
Health.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 01, 2015, 07:16:55 pm
แมงลัก สรรพคุณแจ่มแท้ ก่อนกินตามกระแส รู้ 10 เรื่องนี้หรือยัง?

-http://health.kapook.com/view117877.html-

(http://img.kapook.com/u/wanchalerm/Herb_1_1.jpg)

(http://img.kapook.com/u/wanchalerm/Herb_3_1.jpg)

แมงลัก สรรพคุณไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่ใช่แค่ช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมายแฝงอยู่ในพืชชนิดนี้ ทั้งส่วนใบและส่วนเมล็ด ก่อนจะทานตามกระแสที่ใคร ๆ เขาบอกว่าดี มารู้จักเม็ดแมงลักให้มากขึ้นเสียก่อน จะได้รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เหมาะกับเราหรือเปล่า

1. แมงลักเป็นพืชตระกูลกะเพรา

          บางคนรู้จักแต่เม็ดแมงลัก แต่ไม่เคยเห็นต้นและใบ เลยไม่รู้ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในพืชตระกูลกะเพรา-โหระพา (Basil) เหมือนกันนะ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hoary Basil หรือ Hairy Basil ลักษณะต้นคล้ายกับต้นกะเพรา แต่กลิ่นไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ต้นและใบกะเพรากับโหระพายังมีสีแดงปนอยู่บ้าง แต่แมงลักจะไม่มีสีแดงเลย


2. ใบแมงลักให้พลังงานน้อย แต่สารอาหารเพียบ

          ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารอาหารไทย โดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า ใบแมงลักหนึ่งหน่วยบริโภค ให้พลังงานเพียง 32 กิโลแคอลรี และยังให้แร่ธาตุวิตามินมากมาย คือ

          วิตามินบี 1 0.12 มิลลิกรัม
          วิตามินบี 2 0.28 มิลลิกรัม
          วิตามินซี 12 มิลลิกรัม
          แคลเซียม 194 มิลลิกรัม
          ฟอสฟอรัส 42 มิลลิกรัม
          เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
          คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
          โปรตีน 4.1 กรัม
          ไขมัน 0.8 กรัม
          น้ำ 89.3 กรัม
          ไฟเบอร์ 1.6 กรัม

3. รักษาโรคหวัดได้ด้วย

          คนชอบเป็นหวัดคัดจมูกต้องผูกมิตรกับใบแมงลักไว้สักหน่อยค่ะ เพราะแมงลักเป็นยารสร้อนเล็กน้อย ใบสดของแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาแก้หวัด ลดอาการหลอดลมอักเสบ ขับเหงื่อได้ แนะนำใส่ในแกงเลียงที่มีสมุนไพรหลายชนิด แล้วอาการหวัดจะดีขึ้น

4. เรียกน้ำนมให้คุณแม่มือใหม่

          จะบอกให้รู้ว่า "ใบแมงลัก" เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรียกน้ำนมได้ดีทีเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ การทานแมงลักจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม เพิ่มปริมาณสารอาหารในน้ำนมของมารดาส่งต่อให้ลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยแก้อาการน้ำนมคัดได้อีกนะ

5. ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย

          ในอาหารที่เราทานเข้าไปมีทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แต่เม็ดแมงลักมีส่วนช่วยขับคอเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากร่างกายได้ เพราะเส้นใยของแมงลักสามารถดูดซับไขมันไว้ได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อไขมันดี

          และในเมื่อเม็ดแมงลักสามารถกำจัดคอเลสเตอรอลตัวร้ายให้พ้นจากร่างกายไปได้ เพราะฉะนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ถ้ารับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เลย


6. นี่ละตัวช่วยควบคุมน้ำหนักชั้นเลิศ

          เคล็ดลับลดน้ำหนักหลายสำนักมักแนะนำให้ทานเม็ดแมงลักก่อนทานอาหาร ซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ค่ะ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำไปแช่น้ำสักพักจนพองตัว แล้วนำมาทานก่อนทานอาหารก็จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง หลังจากนี้ก็จะทานอาหารได้น้อยลง เป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี เลยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย

          แต่ขอเตือนว่าไม่ใช่หวังจะลดน้ำหนัก เลยทานแต่เม็ดแมงลักทุกมื้อ ถ้าเป็นแบบนี้รับรองได้ป่วยเพราะขาดสารอาหารแน่นอน ควรรับประทานแค่บางมื้อ หรือพอให้กระเพาะอาหารรู้สึกอิ่มเท่านั้นดีกว่าค่ะ

7. ท้องผูก ไม่ถ่าย เป็นยาระบายชั้นดี

          ด้วยความที่เปลือกด้านนอกสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย เม็ดแมงลักก็เลยช่วยเพิ่มกากใยและช่วยหล่อลื่น ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ขับถ่ายสะดวกขึ้นเยอะ เพราะเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนัก คนท้องผูกบ่อย ๆ ต้องสรรหาเม็ดแมงลักมาทานดูว่าเห็นผลแค่ไหน วิธีใช้คือรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา แช่น้ำให้พอง แล้วดื่มก่อนนอน

8. ป่วยเบาหวานก็ทานเม็ดแมงลักได้

          การที่เม็ดแมงลักพองตัวมากขนาดนั้น เลยทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย


9. ก่อนทานต้องแช่น้ำให้พองตัวเต็มที่

          นี่เป็นข้อควรระวังขีดเส้นใต้หนา ๆ ไว้เลยนะคะ เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น แย่เลย

10. อย่าทานยาพร้อมเม็ดแมงลัก

          การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก

          ทานใบแมงลักและเม็ดแมงลักให้ถูกวิธีก็ช่วยดูแลสุขภาพได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานเม็ดแมงลักผสมน้ำเปล่า ๆ อาจทานกับน้ำแดง หรือผสมลงในผลไม้ โยเกิร์ต แล้วจะช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น อร่อยพร้อมสุขภาพดีแบบคูณสอง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร
-http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/ocimbas.html-
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ระบบฐานข้อมูลสารอาหารไทย
-http://www.thai-nutrient.com/?page=mat&genlangmat=20122014202705&mattype=3#ad-image-0-

.

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 01, 2015, 07:33:53 pm
“ใบขลู่” พืชใบเขียวช่วยขับปัสสาวะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
   
30 เมษายน 2558 17:37 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000040252-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000004170201.JPEG)
ใบขลู่สีเขียวสด
        “หวานเป็นลมขมเป็นยา” สุภาษิตไทยนั้นมีที่มาเสมอ “กินเพื่อสุขภาพ” คราวนี้จะพาไปรู้จักกับ พืชสมุนไพรบ้านๆ ที่มีรสฝาด แต่แฝงไปด้วยสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายทีเดียว ซึ่งพืชที่ว่านั้นก็คือ “ใบขลู่”


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000004170202.JPEG)
ยำสมุนไพรใบขลู่
        “ต้นขลู่” จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่ชอบดินเค็ม มักขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ ตามริมห้วยหนอง หรือตามหาดทราย ด้านหลังป่าชายเลน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบมีขนาดเล็กและมีกลิ่นฉุน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือรูปรี ปลายใบแหลมหรือแหลมีติ่งสั้นๆ เนื้อใบมีลักษณะบางคล้ายกระดาษ ใบค่อนข้างแข็งและเปราะ มีกลิ่นหอมฉุน


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000004170203.JPEG)
ชาใบขลู่
        โดยส่วนมากเรามักพบเห็นใบขลู่ในลักษณะที่นำมาทำเป็นชาชงดื่ม สำหรับใบขลู่ นอกจากจะนำมาทำเป็นชาได้แล้ว ยังสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบอาหารกินสดได้เลย ซึ่งในใบขลู่นั้นเรียกได้ว่าอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมาย ทั้งช่วยแก้ริดสีดวงทวาร แก้กษัย ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ เป็นยาอายุวัฒนะ สมานภายนอกและภายใน
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ต้นขลู่ยังมีสรรพคุณช่วยแก้นิ่วในไต ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะผิดปรกติ แก้มุตกิดระดูขาว แก้ตานขโมย แก้ริดสีดวงจมูก ช่วยขับนิ่ว อีกทั้งยังแก้ไข้ช่วยขับเหงื่อได้ดีอีกด้วย





หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 09, 2015, 06:24:54 am
กินดี ช่วยต้านหวัด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000052617-

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เดี๋ยวก็ร้อนจัด เดี๋ยวก็ฝนตก ทำให้หลายๆ คนเกิดอาการเป็นหวัดขึ้นมาได้ คราวนี้ต่างคนต่างก็ต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ป่วยไข้ พยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงที่สุดเพื่อเป็นปราการป้องกันไม่ให้ไข้หวัดมารุกราน และการดูแลร่างกายด้วยการกินอาหารที่ "108 เคล็ดกิน" นำมาฝากก็เป็นอีกทางหนึ่งช่วยป้องกันโรคหวัดได้เช่นกัน
       
       สำหรับอาหารต้านหวัดนั้นก็คือ "วิตามินซี" ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเรา ไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายดายนัก วิตามินซีนั้นพบในผลไม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะขาม ซึ่งให้วิตามินซีสูง แล้วยังซื้อหาได้ง่ายอีกด้วย แล้วก็ยังมีผักที่มีวิตามินสูงอีกด้วย เช่น ดอกขี้เหล็ก มะรุม พริกหวาน สะเดา พริกหนุ่ม บร็อกโคลี่ ผักหวาน ผักคะน้า ผักกาดเขียว มะระ (ยอดอ่อน) เป็นต้น
       
       "สมุนไพรรสร้อน" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันหวัด ได้แก่ พริกไทย ขิง กะเพรา กระชาย กานพลู อบเชย หอมแดง เป็นต้น ถ้าจะให้แนะนำเมนูอาหารรสร้อนก็เช่น แกงป่า แกงเลียง ต้มแซ่บ ต้มโคล้ง ซึ่งทั้งอร่อยและยังทำให้ร่างกายอบอุ่น
       
       และสำหรับคนที่เริ่มมีอาการหวัด "ซุปไก่ตุ๋นร้อนๆ" จะช่วยลดน้ำมูก ลดอาการไอ ลดอาการคัดจมูก ทำให้หายใจคล่องขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการอักเสบจากการติดเชื้อได้ แล้วก็ควรดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพราะน้ำช่วยให้ทางเดินหายใจและทางเดินอาหารชุ่มชื้น ทำให้เสมหะถูกขับออกง่าย
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 09, 2015, 07:05:44 pm
ทำไมคนญี่ปุ่นถึงรัก "โซบะ"?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Japan/ViewNews.aspx?NewsID=9580000033616-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000003482601.JPEG)
โซบะ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000003482603.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000003482604.JPEG)
soba-yu

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000003482605.JPEG)
คาเรด้ง


สวัสดีครับ Mr.Leon มาแล้วครับ พูดถึงโซบะกับคนญี่ปุ่นนี่มันขาดกันไม่ได้ครับ
       
       เคยมีคนไทยถามผมครับ คำถามคือ "เวลาคนญี่ปุ่นกินราเมงหรือก๋วยเตี๋ยว ทำไมต้องซดเสียงซู้ด ซู้ด ดังมาก" ผมขอตอบครับว่าเป็นเหมือนมารยาทอย่างหนึ่งในการรับประทานอาหารประเภทเส้นของญี่ปุ่น คือถ้ายิ่งกินได้ดังเท่าไหร่ ก็คล้ายเป็นสัญลักษณ์แสดงให้คนทำอาหาร หรือร้านอาหารนั้นหรือเพื่อนร่วมโต๊ะรับทราบว่า เราอร่อยและพอใจในรสชาติอาหารแค่ไหน
       
       ปกติคนญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นเวลาทานราเมง อุด้ง โซบะก็จะจัดเต็ม กินดังกินเร็ว ทีนี้พอคนญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทยมากินก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ก็มีลักษณะการกินแบบที่คุ้นเคย คือกินดังกินเร็ว คนรอบข้างก็มองสิครับ แหม่ ตาคนญี่ปุ่นหน้าขาวคนนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!! เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ละครับ เอวัง
       
       แต่ถ้าคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไปร้านราเมง ร้านโซบะ อย่าลืมกินดังๆ ออกสียง ซู้ด ซู้ด นะครับยิ่งดังยิ่งแสดงเป็นสัญลักษณ์ครับว่าเราอร่อย (ยิ้ม)
       
       มีนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่นคือคุณ ริว มุราคามิ(Ryu Murakami) เขียนบทความเปรียบเปรยคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวว่า เหตุที่คนญี่ปุ่นไม่นิยมออกไปแสวงหางานนอกประเทศทำ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยดี สภาพแวดล้อมก็กดดัน ภัยธรรมชาติก็เยอะ เป็นเพราะที่ญี่ปุ่นมี “ซูชิ” กับ “โซบะ” !!! คืออันที่จริงความหมายของนัยยะนี้ไม่ใช่แค่นี้ แต่อาจหมายถึงว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่พูดภาษาต่างประเทศอื่นๆ ไม่ค่อยได้ หรือจะเรื่องค่านิยมรักชาติ ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คุณริวแฝงความหมายอีกนัยด้วยว่า เพราะที่ญี่ปุ่นมี ซูชิ กับ โซบะ ที่อร่อยมากๆ ..กินที่ไหนก็ไม่ได้บรรยากาศเท่า อีกด้วย
       
       ในวันส่งท้ายปีเก่าคนญี่ปุ่นมักจะนิยมกินโซบะ เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่าทำไม
       1. โซบะเส้นนุ่มตัดง่าย หมายถึงให้เราสามารถตัดเรื่องร้ายๆ เรื่องที่ไม่ดี ไม่ควรคิด ของปีเก่า ได้อย่างง่ายดาย
       2. เส้นโซบะจะยาว ซึ่งใช้แทนความยืนยาวและโชคดีในชีวิต ต่อๆ ไป
       
       ถ้าเพื่อนๆ เคยสังเกตร้านอาหารที่ญี่ปุ่นโดยเฉพาะถ้าเป็นร้านสมัยเก่าหน่อย จะเห็นว่าเขาจะขายอาหารเฉพาะอย่าง คือถ้าร้านซูชิก็ขายแค่ซูชิ ร้านโซบะก็ขายเฉพาะโซบะ เพราะการเรียนทำอาหาร การสั่งสมประสบการณ์นั้นต้องเทพมาก ไม่เก่งจริงจะไม่ได้เป็นพ่อครัวมือหนึ่ง การเรียนจนกระทั่งสามารถทำอาหารประเภทนี้ได้เชี่ยวชาญขึ้นมามันยากมาก บางร้านต้องมีการเรียนตั้งแต่พื้นฐานงานเก็บกวาดร้าน และเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มเข้าครัว เริ่มเรียนทำน้ำซุป ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 3 ปี สำหรับหน้าที่การเคี่ยวน้ำซุป ซึ่งระหว่างนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จับเส้นโซบะนะครับ เก่งขึ้นมาเมื่อไหร่จึงค่อยๆ เลื่อนขั้นมาจับเส้น ทำเส้นโซบะได้ เริ่มมีแววเป็นพ่อครัวได้อาจใช้เวลาหลายปีหรือเป็นสิบปี กระทั่งสามารถทำทุกอย่างได้เองทั้งหมด หนทางช่างยากเย็น แต่สมัยใหม่ร้านหนึ่งอาจมีอาหารหลายๆ อย่าง กระนั้นการทำเส้นโซบะ และซุปโซบะให้อร่อยก็ต้องเป็นพ่อครัวที่มากประสบการณ์มาก่อนอยู่ดี
       
       ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ ไปญี่ปุ่นผมแนะนำให้ลองเข้าร้านโซบะ เพราะราคาไม่แพงเกินไปและอาหารที่เกี่ยวข้องกับโซบะจะอร่อยทุกอย่าง แม้แต่คาเรด้ง( ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ซึ่งที่ร้านโซบะจะใช้ซุปโซบะใส่คาเรหรือแกงกะหรี่ซึ่งรสชาติจะอร่อยมากกว่าคาเรอื่นๆ)
       
       แล้วเมื่อเราลองเปรียบเทียบอาหารประเภทโซบะกับขนมปัง และข้าว โซบะจะมีโปรตีน วิตามินบีและสารอาหารที่จำเป็นเยอะมากกว่า ยิ่งทานก็ยิ่งทำให้สุขภาพแข็งแรง เพื่อนคนไทยบอกว่าเด็กๆ ไทยสมัยก่อนกินน้ำข้าว ที่ญี่ปุ่นก็ประมาณนั้นครับคือกินน้ำลวกโซบะ คนสมัยนี้ก็ยังกินเพราะมีประโยชน์มากจริงๆ ถ้าไปญี่ปุ่นเวลาเพื่อนๆ สั่งโซบะแห้งมาลองเอาน้ำร้อนที่ปกติร้านให้มาด้วยลวกๆ เส้นดูนะครับ เรียกว่า soba-yu น้ำที่ได้จากการลวกเส้นนั้นแหละสารพัดประโยชน์มากๆ เลยเชียว แต่เสียดายร้านโซบะที่ไทยไม่มีการลวกแล้วกินแบบนี้ ไม่งั้นผมคงมีความสุขมากที่ได้กินของชอบ ถ้าร้านที่ไทยมีบริการน้ำร้อนเพื่อทำ soba-yu น่าจะถูกใจคนญี่ปุ่นครับ
       
       พูดเรื่องโซบะมายาวมากๆ นึกขึ้นได้ครับ เพื่อนๆ ครับ รู้มั้ยครับว่ามีอาหารญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรู้จักดี อาหารนี้มีต้นกำเนิดครั้งแรกมาจากร้านโซบะ ที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่ผมจบมานี่เอง อาหารนี้แม้แต่ในฟู้ดคอร์ดตามห้างสรรพสินค้าในไทยก็ยังมีขายเลย ทายสิครับว่าอะไร.....?!
       
       ไม่ยากครับอาหารนั้นคือข้าวหน้าหมูญี่ปุ่น หรือ คัตสึด้ง(Katsudon) นั่นเอง มีใครเดาถูกไหมเนี่ย แล้วเจ้าคัตสึด้งเกี่ยวยังไงกับร้านโซบะ ผมขอเล่าในตอนหน้านะครับ วันนี้ขอตัวไปทานโซบะก่อนคร้าบ
       




หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2015, 05:54:35 am

ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร

-http://guru.sanook.com/27225/-

หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ

แหล่งที่มา :ThaifoodDB


-------------------------------------------------------------------------------------------






ประโยชน์มากมายจาก มะนาว

-http://guru.sanook.com/6430/-

ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้

          1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

          2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

          3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

          4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

          5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

          6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

          7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

          8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

          9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

          10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

          11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

          12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

          13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

          14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

          15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

          17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

          18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

          19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

          20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

          21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

          22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

          23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

          24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

          25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

          26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

          27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

          28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

          29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

          30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

          31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

          32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

          33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

          34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

          35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

          36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

          37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

          38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

          39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

          40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

          41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

          42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

          43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

          44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

          45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

          46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

          47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

          48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

          49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

          50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

          51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

          52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

          53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

          54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

          55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

          56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

          57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

          58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

          59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

          60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

          61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

          62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

          63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

          64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

          65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

          66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

          67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

          68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

          69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

          70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

          71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

          72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

          - ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา -http://learners.in.th/blog/kugkikkaticat/26091-

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2015, 11:49:48 am
“ทุเรียน” ลดความอ้วนได้ จริงหรือ??
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 พฤษภาคม 2558 15:08 น.


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005690201.JPEG)

จากที่มีการแชร์ข้อความ “ทุเรียนลดความอ้วน” กันอย่างมากมายในโลกโซเชียล จนทำให้หลายคนหันมาสนใจการกินทุเรียนมากขึ้นกว่าเดิม
       
       แต่จริงๆ แล้ว “ทุเรียน” สามารถช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือไม่นั้น ลองตามมาดูข้อมูลเหล่านี้กัน
       
-ทุเรียนมีเส้นใยสูง มีกำมะถัน ช่วยฆ่าเชื้อ ถ่ายพยาธิ และช่วยระบบเผาผลาญจากความร้อนของกำมะถัน : ทุเรียนมีกำมะถันอยู่จริง และมีเส้นใยสูงจริง แต่ไม่ได้มีมากขนาดที่จะไปช่วยระบาย หรือช่วยระบบเผาผลาญของร่างกาย ส่วนสารประกอบที่มีอยู่ในกำมะถัน จะไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่ใช้ในการสะลายแอลกอฮอล์ จึงเป็นที่มาของการห้ามกินทุเรียนคู่กับเหล้า ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้
       
-ทุเรียนไม่มีคอเลสเตตอรอล : เพราะไขมันในทุเรียนคือไขมันไม่อิ่มตัว น้ำตาลและไขมันในทุเรียนถูกดูดซึมไปใช้ได้ง่าย และทำให้อ้วนง่าย พลังงานที่มากเกินไปหากร่างกายใช้ไม่หมดก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้

 -ทุเรียนมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย : จึงเป็นข้อควรระวังของผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไตวายเรื้อรัง เพราะทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง
       
       ปริมาณทุเรียนที่พอเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงตามปกติ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้กินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 187 กิโลแคลอรี แต่หากมีโรคประจำตัว ควรศึกษาและควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
       
       ส่วนใครที่อยากลดความอ้วน สูตรง่ายๆ ก็คือ ควบคุมปริมาณอาหาร ให้ปริมาณพลังงานที่กินเข้าไป น้อยกว่าพลังงานงานที่ร่างกายใช้ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2015, 01:49:43 am
ลดน้ำหนักด้วยกล้วย เรื่องกล้วยๆ ที่ไม่เคยทำ
02 พ.ค. 57 11.57 น.

-http://guru.sanook.com/27085/-

เชื่อหรือไม่ว่า การรับประทานกล้วย สามารถช่วย “ลดน้ำหนัก"  ได้...!?”

กล้วย... ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหน ต่างก็มีสารอาหารและวิตามินอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยจะมีโปรตีนมากกว่าถึง 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและแร่ธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า พร้อมอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงประสาท ทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตอีกด้วย

กล้วย ยังสามารถช่วยทำให้ท้องอิ่ม เพราะกล้วยหอม 100 กรัม สามารถให้พลังงานมากถึง 120 กิโลแคลอลี่ ต่อหน่วย ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า การทานกล้วยเพียง 2 ใบ สามารถให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที ด้วยเหตุนี้นักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาเทนนิส จึงนิยมรับประทานกล้วยในขณะที่ทำการแข่งขัน คุณประโยชน์ของกล้วยมีมากมายถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะกินกล้วย แต่รับรองว่าจะไม่ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน...

ในกล้วยหนึ่งใบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

เมื่อรับประทานกล้วยหนึ่งใบ ร่างกายจะได้รับสารอาหารดังต่อไปนี้


1. วิตามินบี 1 และบี 2 ซึ่งจะช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันอาการตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า

2. เกลือแร่ อาทิเช่น โปรเตสเซียม ที่ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ แมกนีเซียม ซึ่งช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม

3. เส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องผูก

4. ช่วยทำดีท็อกซ์ แป้งในกล้วยดิบมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนในกล้วยสุกจะช่วยเพิ่มความต้านทานของร่างกาย และป้องกันหวัดได้เป็นอย่างดี

5. สารโพลีฟินิล มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

6. สารยูจินอล ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย

7. เซโรโทนิน ช่วยลดความหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง

8. มีเอ็นไซต์ช่วยในการย่อย ทำให้การย่อย การดูดซึมอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กระเพาะและลำไส้จึงไม่ต้องทำงานหนัก

9. น้ำตาลในกล้วย เช่น กลูโคส ฟลุกโตส ซูโคส ช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน พร้อมกับช่วยลดความต้องการในการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันลดลง

10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการกับมะเร็ง

สำหรับสายพันธุ์ของกล้วยที่แนะนำให้รับประทานเพื่อลดน้ำหนักนั้น ควรเป็นกล้วยหอม เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่น้อย เมื่อเทียบกับกล้วยในสายพันธุ์อื่นๆ แต่ก็สามารถใช้กล้วยประเภทอื่นๆมาทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า หรือกล้วยไข่ เป็นต้น ซึ่งในวันนี้จะขอแนะนำสูตรการลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอมในมื้อเช้า ซึ่งเป็นสูตรที่ง่าย อร่อย และราคาไม่แพง มาฝากคุณสาวๆ กัน....
 

สูตรการลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยแทนมื้อเช้า

ใครจะเชื่อว่ากล้วยหอมเพียง 2 ใบ สามารถช่วยลดหุ่นให้ดูผอมเพรียวลงได้…!?

สำหรับสูตรลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงนี้ เป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆด้วยตัวคุณสาวๆเอง โดยเพียงแค่การรับประทานทานกล้วยหอม 1-2 ใบ พร้อมกับน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องในตอนเช้า ส่วนในมื้อกลางวันและเย็นสามารถทานอาหารได้ตามปกติ แต่อาจเพิ่มอาหารว่างในตอนบ่ายสาม

 

ข้อมูลจาก : -http://www.kondoodee.com/-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 14, 2015, 10:01:54 am
5 วิธีล้างผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ นาทีที่ 8.45

-http://ch3.sanook.com/52111/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88-

วิธีที่ 1

ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำอุ่น 20 ลิตร แช่ไว้นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 80-95%

วิธีที่ 2

เด็ดผักเป็นใบ ล้างผ่านน้ำสะอาดไหลผ่านหลาย ๆ ครั้ง ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 54-63%

วิธีที่ 3

ใช้ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 35-43%

วิธีที่ 4

ใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารตกค้างได้ 29-38%

วิธีที่ 5

ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารตกค้างได้ 27-38%



http://ch3.sanook.com/52111/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88 (http://ch3.sanook.com/52111/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%88)

.
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 14, 2015, 01:32:12 pm
มาพิชิต...อ้วนกันเถอะ

-http://health.sanook.com/457/-


ในภาวะเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โรคที่พบส่วนใหญ่เกิดจากมลภาวะ ความเครียด และการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพตามมา โรคอ้วนก็เป็นโรคหนึ่งที่พบได้มากขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป

โรคอ้วน หมายถึง การที่บุคคลมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ปกติ โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI : Body mass index) เป็นตัวกำหนด ซึ่งค่า BMI ที่เหมาะสมของคนเอเชียมีเกณฑ์ดังนี้ ค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 – 22.9 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่าเหมาะสม แต่ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่าผอมเกินไป ค่า BMI อยู่ระหว่าง 23 – 24.9 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกิน และถ้าค่า BMI มากกว่า 25 กิโลกรัม/เมตร2 แสดงว่า เป็นโรคอ้วน ค่าดัชนีมวลกายมีวิธีคำนวณดังนี้

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
ความสูง2 (เมตร)

เช่น ผู้ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตรหรือ 1.60 เมตร
มีค่าดัชนีมวลกาย = 55 = 21.5 กิโลกรัม/เมตร2
1.6 x 1.6

ซึ่งจัดว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นต้น

ความอ้วนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังนี้

1. เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ง่าย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคนิ่วในถุงน้ำดี ปอดทำงานไม่ดี เป็นต้น
2. ความอ้วนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งในอวัยวะบางตำแหน่งของร่างกาย เช่น ลำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี ต่อมลูกหมาก เต้านม ปากมดลูก รังไข่ และปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น
3. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งจะทำให้ออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจน เป็นต้น
4. การรักษาโรคใดก็ตามด้วยการผ่าตัดมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า
5. ทำให้ข้อต่างๆของร่างกายต้องแบกรับน้ำหนักมาก มีผลทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้
6. รูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและจิตใจ
7. การเคลื่อนไหวร่างกายทำได้ไม่สะดวก ขาดความกระฉับกระเฉงว่องไวในการทำกิจกรรม

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ได้แก่

1. พฤติกรรมในการรับประทานอาหาร : การรู้จักเลือกประเภทอาหารในการรับประทานเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก เช่น ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุด โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ขาหมู ข้าวมันไก่ เป็ดย่าง เนื้อผัดน้ำมันหอย เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ไข่แดง นม เนย อาหาร จำพวกทอดต่างๆ กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ถ้ารับประทานในปริมาณมากก็จะทำให้ได้พลังงานเกินและเก็บสะสมไว้ในร่างกายส่งผลทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้น นอกจากนี้พฤติกรรมการ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รับประทานจุบจิบ รับประทานขนมขบเคี้ยวก็มีผลต่อน้ำหนักของร่างกายเช่นเดียวกัน

2. กิจวัตรประจำวัน : ปัจจุบันคนในสังคมเมืองทำงานในสำนักงานมากกว่างานที่ใช้แรง ทำให้การใช้พลังงานในชีวิตประจำวันลดน้อยลงรวมทั้งขาดการออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายถือว่ามีความสำคัญมากเพราะเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูงและแต่ละคนจะใช้พลังงานส่วนนี้แตกต่างกัน

3. พันธุกรรม: การสะสมพลังงาน เด็กที่มีพ่อแม่อ้วนมีแนวโน้มว่าจะอ้วน 25 – 30 %

4. เพศ : เพศหญิงจะอ้วนง่ายกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศชายมีกล้ามเนื้อมากจึงมีการใช้พลังงานมากกว่า

5. อายุ : เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกล้ามเนื้อจะน้อยลงและการทำกิจกรรมต่างๆลดลงทำให้การใช้พลังงานน้อยลง พลังงานจึงถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน

6. ความอ้วนในวัยเด็ก : ปกติร่างกายของทุกคนประกอบด้วยเซลล์ไขมันประมาณ 30,000 - 40,000 ล้านเซลล์ เซลล์เหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บไขมันส่วนเกินไว้ในตัวมันเองโดยไม่จำกัดขนาดของเซลล์ ดังนั้นเด็กที่ได้รับอาหารมากกว่าปกติตั้งแต่ในวัยเด็กจะมีปริมาณและขนาดเซลล์ไขมันมากกว่าเด็กปกติ 3 เท่า ซึ่งจะทำให้เด็กคนนั้นมีโอกาสอ้วนไปตลอดชีวิต

7. โรคอื่นๆ : มีโรคบางอย่างที่ทำให้อ้วนได้ เช่น โรคของการเผาผลาญ อาหารบางอย่าง หรือโรคของฮอร์โมนบางชนิด เป็นต้น

วิธีลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนัก มีดังนี้

1. จงลดความอ้วนด้วยความต้องการของตนเอง ไม่ใช่ลดเพราะผู้อื่นบังคับ
2. เลือกเวลาที่เหมาะสม มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
3. ตั้งเป้าหมายในการลดความอ้วนที่มีความเป็นไปได้ ไม่ตั้งเป้าสูงเกินไป โดยผู้หญิงควรตั้งเป้าไว้ ½ กก.ต่อสัปดาห์ ส่วนผู้ชาย 1 กก.ต่อสัปดาห์ และควรให้น้ำหนักค่อยๆลดลงเพราะถ้าน้ำหนักลดลงเร็วเกินไปจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย
4. รับประทานอาหารทุกมื้อตามปกติแต่ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง เช่น อาหารประเภทข้าว แป้ง ขนมปังควรรับประทานแต่พอควร ซึ่งโดยทั่วไปผู้หญิงที่ทำงานในสำนักงานไม่ควรรับประทานข้าวเกิน 7-8 ทัพพี/วัน สำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 10-12 ทัพพี/วัน และควรรับประทานผัก ผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ มะละกอ แตงโม ฝรั่งให้มากขึ้นเพราะให้พลังงานต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมันหรือติดหนัง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ กะทิ เป็นต้น
5. งดดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ และงดรับประทานอาหารหวาน ขนมหวาน และผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย เป็นต้น
6. ปรับเปลี่ยนนิสัยในการรับประทานอาหาร เช่น ไม่รับประทานจุบจิบ ไม่รับประทานขนมขบเคี้ยว และควรเคี้ยวอาหารช้าๆ เป็นต้น
7. หมั่นออกกำลังกาย เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ อย่างน้อยครั้งละ 30 – 45 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้งหรือวันเว้นวัน หรือเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันเพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น เช่น ขึ้นลงโดยใช้บันไดแทนการใช้ลิฟท์ เป็นต้น

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

1. การอดอาหาร : จะทำให้น้ำหนักตัวในช่วงแรกลดลงเร็วจากการขาดน้ำ แต่ปริมาณไขมันในร่างกายไม่ได้ลดลง ในทางตรงข้ามหลังอดอาหารเมื่อกลับมารับประทานอาหารใหม่มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

2. รับประทานยาลดความอ้วน : เนื่องจากเป็นยาที่ลดความอยากอาหารหรือเพิ่มการใช้พลังงานโดยการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง มีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ขาดน้ำการดูดซึมอาหารลดลง นอกจากนี้ร่างกายมักมีอาการทนต่อยาและต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลในการลดน้ำหนักซึ่งอาจมีโทษต่อร่างกายตามมา ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับยาลดความอ้วนต่างๆ สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนแล้วควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ

1. ลดน้ำหนักให้ได้พอควร

2. รักษาน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้วให้ได้ตลอด

3. ร่วมกับโรคอ้วน

การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมกับความตั้งใจจริงจะเป็นหัวใจสำคัญในการลดน้ำหนักให้ได้ผล อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักตัวไว้ได้โดยวิธีการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย รวมทั้งมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นควรไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาในการดูแลรักษาต่อไป


เอกสารอ้างอิง

พินิจ กุลละวณิชย์.(2544).โรคอ้วน.วงการแพทย์,ปีที่ 2 (ฉบับที่ 80), หน้า 22.

วิชัย ตันไพจิตร ปรียา ลีฬหกุล รัตนา พากเพียรกิจวัฒนา. (2544).การตรวจคัดกรองโรคอ้วนและภาวะทุพโภชนาการในผู้ใหญ่. วารสารคลินิก,ปีที่ 17 (ฉบับที่ 4),หน้า 295 – 304.

วิชัย ตันไพจิตร ปรียา ลีฬหกุล รัตนา พากเพียรกิจวัฒนา. (2544).การให้คำปรึกษาเพื่อป้องกันและบำบัดโรคอ้วน.วารสารคลินิก,ปีที่ 17(ฉบับที่ 4),หน้า 305 – 317.

วันทนีย์ เกรียงสินยศ.(2548).กินอย่างไรไม่ให้อ้วน. ใน สุรเกียรติ อาชานานุภาพ(บรรณาธิการ),นิตยสารหมอชาวบ้าน(ฉบับที่ 318,หน้า 30 – 32 ).กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน

สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.อาหารทั่วไปและเฉพาะโรคผู้สูงอายุ.

สุรเกียรติ อาชานานุภาพ,(2544).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2 ).กรุงเทพฯ: อุษาการพิมพ์.


งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้เรียบเรียง รุ่งฤดี จิณณวาโส และ ภัทราพร พูลสวัสดิ์

จัดทำโดยหน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพ โทร. 0-2201-2520-1

ขอบคุณข้อมูล จาก http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/main/?q=node/79 (http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/main/?q=node/79)

เนื้อหาโดย : Sanook!


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 16, 2015, 11:22:38 am
“กีวี่” อร่อยดี มีคุณค่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088447-

“กีวี่” เป็นผลไม้ลูกเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยคุณค่า หลายคนอาจจะคิดว่ากีวี่มีต้นกำเนิดในประเทศทางยุโรป หรือที่นิวซีแลนด์ แต่รู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้ว “กีวี่” มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน นี่เอง
       
       กำเนิดของกีวี่แม้จะอยู่ในประเทศจีน แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกมานอกประเทศ จนกระทั่งมีผู้นำไปปลูกที่ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วมีการปรับปรุงพันธุ์จนได้กีวี่ที่มีรสชาติดี สามารถปลูกเพื่อเป็นสินค้าส่งออกที่มีชื่อเสียงของประเทศได้ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นกีวี่มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Chinese Gooseberry” แต่เมื่อมารุ่งเรืองที่นิวซีแลนด์ จึงมีการเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “Kiwi” ตามชื่อของนกกีวี่ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์
       
       รูปร่างหน้าตาของลูกกีวี่นั้น จะเป็นผลรีๆ รูปไข่ มีขนเล็กๆ ปกคลุมทั่วผล เนื้อด้านในเป็นสีออกเขียว หรือออกเหลือง แล้วแต่สายพันธุ์ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ สามารถเก็บไว้ได้นานถึงสองอาทิตย์หากเก็บไว้อย่างเหมาะสม
       
       สำหรับคุณค่าที่ได้จากการกินกีวี่นั้น อย่างแรกเลยคือ กีวี่เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก เพื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ส้ม มะละกอ ฯลฯ ซึ่งวิตามินซีนั้นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ด้วย
       
       นอกจากนี้ กีวี่ยังมีวิตามินอีที่ช่วยชะลอความชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนโลหิตในร่างกายด้วย ที่สำคัญ ยังมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารจากธรรมชาติ ช่วยในเรื่องระบบการขับถ่ายและการย่อย
       
       ผลไม้ลูกเล็กๆ แค่นี้ แต่ต้องเรียกว่าเล็กพริกขี้หนู เพราะกินแล้วได้ประโยชน์มากมายจริงๆ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000009157001.JPEG)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 09, 2016, 09:02:25 pm
กะเพรา...ราชินีแห่งสมุนไพร / รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โดย MGR Online    
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000002818-
9 มกราคม 2559 14:00 น.

ในภาษาฮินดี เรียกกะเพราว่า Tulsi มีความหมายว่า “ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบได้” คนอินเดียเชื่อว่าใบกะเพราเป็นร่างหนึ่งของเทพเจ้า จึงปลูกกะเพราไว้กราบไหว้บูชา เก็บมาใช้เป็นยา และยกย่องให้กะเพราเป็นราชินีแห่งสมุนไพร (Queen of Herbs)
       
       กะเพรา เป็นทั้งอาหารและยาชั้นเลิศ ที่มีใช้ทางการแพทย์อายุรเวทมายาวนานกว่า 5000 ปี กะเพราแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ กะเพราขาว ที่เรานิยมใช้ทำอาหาร กิ่งก้านใบจะเป็นสีเขียว กลิ่นไม่ฉุนมาก และกะเพราแดง ซึ่งมีฤทธิ์ทางยาสูง กิ่งก้านใบจะเป็นสีแดงคล้ำออกม่วงๆ กลิ่นฉุนกว่ากะเพราขาว เพราะมีน้ำมันหอมระเหยมากกว่า
       
       ประโยชน์ของกะเพราต่อร่างกายมีมากมาย โดยจำแนกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้
       
       ด้านสมอง - อารมณ์ การแพทย์อายุรเวทโบราณมีการใช้กะเพรามายาวนานในด้านการปรับดุลจิตใจ คลายเครียด ทำให้สงบ ในการแพทย์แผนปัจจุบัน มีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่า กะเพรามีฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับ และยังมีงานวิจัยในคนที่เป็นโรควิตกกังวล (Anixety) ให้ทานสารสกัดกะเพรา 500 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลา หลังอาหารเช้าเย็น ติดต่อกันเป็นเวลา 60 วัน พบว่ากะเพราช่วยลดความวิตกกังวล ความเครียด และอาการซึมเศร้าได้ จึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกะเพรามากมายหลายยี่ห้อในต่างประเทศ ที่มีข้อบ่งใช้ทานเพื่อหวังผลลดความเครียด ปรับสมดุลธาตุในร่างกายและจิตใจ
       
       ด้านการมองเห็น มีการศึกษาพบว่า สารสกัดด้วยน้ำจากกะเพราแดง มีฤทธิ์ต้านการเกิดต้อกระจก ในหลอดทดลอง โดยทำให้กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันการขุ่นของแก้วตาในหนูทดลอง โดยพบว่าหนูที่ตาเสื่อมจากเบาหวาน หลังได้รับสารสกัดกะเพราแดง ร่วมกับวิตามินอี เป็นเวลา 16 สัปดาห์ พบว่าการบวมของจอประสาทตา ภาวะเลือดออกที่จอประสาทตา รวมถึงไขมันที่รั่วออกจากเส้นเลือดในจอประสาทตาได้หายไปหมด มีการฟื้นคืนกลับของจอประสาทตา และมีการมองเห็นที่ดีขึ้น
       
       อย่างไรก็ตาม ในรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคต้อกระจกแล้ว ก็ควรได้รับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก เพราะผลการศึกษานี้ยังเป็นเพียงข้อมูลในสัตว์ทดลอง แต่หากจะลองทานน้ำกะเพราะแดงควบคู่กันไปเพื่อชะลอความเสื่อมก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะในคนไข้เบาหวานที่ยังไม่เป็นโรคต้อกระจก เพื่อบำรุงสายตาเอาไว้แต่เนิ่นๆ หรือคนที่กำลังมองหาสมุนไพรเพื่อบำรุงสายตา ก็แนะนำให้รับประทานกระเพราแดงไว้เป็นประจำ เพราะในกะเพราแดงมีสารที่สำคัญต่อการมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน นอกจากนี้ กะเพราแดงยังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้ด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกได้อีกทางหนึ่ง
       
       ด้านระบบเมตาบอลิซึม (น้ำตาลในเลือด / ไขมันในเลือด) ชาวอินเดียและชาวปากีสถาน มีการใช้กะเพราทั้งแบบต้มน้ำกิน และแบบผงเพื่อรักษาเบาหวาน หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาในหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน พบว่ามีการลดลงของน้ำตาล และไขมันในเลือด เมื่อได้รับสารสกัดกะเพรา ติดต่อกัน 4 เดือน อีกทั้งยังมีงานศึกษาวิจัยยืนยันในคน โดยทำการศึกษาในคนไข้เบาหวาน โดยทานใบกะเพรา 2.5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่าสามารถลดระดับนำตาลได้ถึง 17.6% และลดโคเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 6.5%
       
       ด้านระบบทางเดินหายใจ ใบกะเพรามีเอกลักษณ์ด้านกลิ่นและรส คือ กลิ่นฉุนรสออกเผ็ดร้อน ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากในกะเพรา มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นน้ำมันหอมระเหย ที่สำคัญ คือ eugenol (62%) และ methyleugenol (86%) ซึ่งส่งผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ ตำรายาไทยระบุว่ากะเพราช่วยขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ไข้ และมีการศึกษาในคนไข้หอบหืดยืนยันว่า กะเพราทำให้ปอดมีการทำงานดีขึ้น การหายใจสะดวกขึ้น และยังมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นได้อีกด้วย
       
       ด้านระบบทางเดินอาหาร ในตำรายาไทย ใช้ใบและยอดกระเพราเป็นยาบำรุงธาตุ ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ปวดท้อง แก้อาการจุกเสียดในท้อง ทำให้เรอ แก้ท้องร่วง แก้คลื่นไส้อาเจียน คนไทยสมัยก่อนนิยมกินแกงเลียงใส่ใบกะเพราหลังคลอดบุตร เพื่อขับลมและบำรุงธาตุให้เป็นปกติ สำหรับงานวิจัยในปัจจุบันพบว่า กะเพรามีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลกระเพาะอาหาร ลดการหลั่งกรด และมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
       
       สรรพคุณอื่นๆ คนไทยโบราณและตำรับยาพื้นบ้านของอินเดียใช้น้ำคั้นใบกระเพราทาผิวหนังแก้กลากเกลื้อน และโรคผิวหนังอื่นๆ ใช้หยอดหู แก้อาการปวดหู ในชวาใช้ใบปรุงอาหาร รับประทานเพื่อขับน้ำนม และมีการศึกษาเบื้องต้นในหนูทดลองพบว่ากะเพรามีฤทธิ์แก้ปวดลดอักเสบได้
       
       ขนาดและวิธีการใช้เป็นยา สำหรับการนำกะเพรามาใช้ ทำได้ง่ายๆ เพียงใช้ใบ ยอด ต้นสด หรือแห้งของกะเพราแดงมาต้ม หรือปั่นดื่ม วันละ 1-3 แก้วเป็นประจำ
       
       ข้อควรระวัง ควรระวังการใช้กะเพราในขนาดสูงในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาที่ชัดเจน แต่ยังสามารถทานเป็นอาหารได้ตามปกติ หรือในผู้ป่วยเบาหวานรายที่มีการคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีอยู่แล้ว ก็ต้องระวังการใช้กะเพราขนาดสูง ควรมีการปรับขนาดการทานตามความเหมาะสม ที่จะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป โดยอาการน้ำตาลตกสังเกตได้จากอาการรู้สึกหิว กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย มึนงง ปวดศีรษะ เหงื่อออก ตัวเย็น หน้าซีด เป็นลมและอาจชัก หรือหมดสติได้
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2016, 08:37:19 pm
10 อาหารต้านมะเร็ง ยิ่งทานยิ่งสตรอง!
-http://health.sanook.com/2601/-



ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งใช่ไหมคะ แต่จะให้ซื้อยา หรืออาหารเสริมมาทานก็ไม่แน่ใจในเรื่องของประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง หรือแม้กระทั่งราคาที่แพงลิบลิ่ว Sanook! Health จึงขอแนะนำอาหารธรรมดาๆ หาได้ตามท้องตลาด แต่ต้านมะเร็งได้อยู่หมัดมาให้เลือกทานกันตามใจชอบเลยค่ะ



1. ผัก

ผักหลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น

- ผักสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว ส้ม แดง ม่วง เช่น ผักโขม แครอท มะเขือเทศ

- กะหล่ำต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโคลี กะหล่ำดอก

- หัวหอม และกระเทียม



2. ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ที่นอกจากจะช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยโปรตีนที่ดี และกากใยอาหารตามธรรมชาติ ขับถ่ายได้สะดวกอีกด้วย



3. ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี ต้านมะเร็งก็ดี วิตามินบีก็ได้ ลดความดันโลหิตก็เยี่ยม



4. สาหร่ายทะเล เป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย มีให้เลือกทานหลายชนิด แต่ควรเลือกทานสลับชนิดกันไปเรื่อยๆ ไม่ควรทานสาหร่ายชนิดเดียวติดต่อกันนานเกินไป หรือใครอยากลองสาหร่ายพวงองุ่นก็ดีนะคะ เทรนด์กำลังมาเลยล่ะ (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น ที่นี่)



5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ทั้งสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่ ทั้งอร่อยสดชื่น และมีประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินต่างๆ และกากใยอาหาร ทานสดจะได้คุณค่าสูงสุดค่ะ



6. ปลาน้ำเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเล เช่น แซลมอน ที่มีโอเมก้า 3 และไขมันที่ดีต่อร่างกาย ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน



7. เครื่องเทศต่างๆ เช่น เก๋ากี้ (หรือโกจิเบอร์รี่) พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ สามารถนำมาทำอาหาร หรือทานสดได้ (หากทานได้) ช่วยต้านมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย



8. โยเกิร์ต ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารอนุมูลอิสระ ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย หรือจะลองกรีกโยเกิร์ต ที่เข้มข้นกว่า สารอาหารมากกว่า และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ดีกว่าด้วย



9. เห็ดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดออรินจิ และอื่นๆ ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มีเส้นใยอาหารที่ช่วยเรื่องการย่อย และการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย



10. น้ำดื่มธรรมดาๆ นี่แหละ น้ำดื่มสะอาด ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนำพาเอาของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย



เห็นไหมคะว่าอาหารแต่ละอย่างอยู่รอบตัวเราทั้งนั้น แค่ปลานึ่ง ผักต้ม น้ำพริก แกงจืด ยำเห็ด ตบด้วยน้ำผลไม้ปั่น ทุกอย่างรสชาติดี และมีประโยชน์ในราคาสบายกระเป๋า เพราะฉะนั้นเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีด้วยกันดีกว่าค่ะ
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2016, 01:54:24 pm
องค์ประกอบ “น้ำมันรำข้าว” ใกล้เคียงน้ำมันที่ดีที่สุด
โดย MGR Online    
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000013168-
5 กุมภาพันธ์ 2559 19:24 น. (แก้ไขล่าสุด 5 กุมภาพันธ์ 2559 22:41 น.)


นักโภชนาการแนะใช้ “น้ำมัน” ทำกับข้าวให้เหมาะสม ชี้ “น้ำมันรำข้าว” ใกล้เคียงน้ำมันที่ดีที่สุด มีองค์ประกอบกรดไขมันอิ่มตัว ไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน และ เชิงเดี่ยว อัตราเกือบเป็น 1 ต่อ 1 ต่อ 1
       
        ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าวเรื่อง “น้ำมันดี น้ำมันเลว มีจริงไหม” ว่า องค์การอนามัยโลกกำหนดว่าในแต่ละวันประชาชนทั่วไปควรบริโภคไขมันทั้งหมด 15 - 30% ของพลังงานทั้งหมด โดยแยกเป็น 1. ไขมันอิ่มตัว หรือประเภทแช่เย็นแล้วเป็นไข ควรรับต่ำกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมด ข้อไม่ดี คือ ทำให้ค่าแอลดีแอล หรือ คอเรสเตอรอล ที่ไม่ดีเพิ่มขึ้น แต่ข้อดี คือ ไม่หืน เมื่อนำไปใช้ในการทอดจะเปลี่ยนสภาพน้อย มีความกรอบมาก จึงเป็นน้ำมันที่เหมาะกับการทอด 2. ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง หรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน มีข้อดี ทำให้แอลดีแอลลดลง แต่ข้อเสียคือ หืนง่าย หากทำให้อุณหภูมิสูงจะเกิดควัน และอนุมูลอิสระ มีสารก่อมะเร็งและเซลล์เสื่อม จึงไม่เหมาะกับการทอด 3. โอเมก้า-6 หรือไขมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว 2 ตำแหน่ง ควรได้รับ 5 - 8% ของพลังงานทั้งหมด  4. โอเมก้า-3 หรือที่มีไขมันไม่อิ่มตัว 3 ตำแหน่ง ควรได้รับ 1 - 2% ของพลังงานทั้งหมด และ 5. ไขมันทรานส์ ควรได้รับต่ำกว่า 1% ของพลังงานทั้งหมด หรือได้รับยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะทำให้แอลดีแอลเพิ่ม และเอชดีแอลที่เป็นคอเรสเตอรอบที่ดีลดลง จึงแย่กว่าไขมันอิ่มตัว
       
       “น้ำมันที่ดีต้องมีส่วนประกอบของกรดไขมันอิ่มตัว 1 ส่วน ไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 1 ส่วน ไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 1 ส่วน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า น้ำมันรำข้าวมีสัดส่วนที่ใกล้เคียง 1 ต่อ 1 ต่อ 1 มากที่สุด จึงมีความอเนกประสงค์ในการใช้ได้มากกว่าน้ำมันอื่น ส่วนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากจะเหมาะกับการทอด ส่วนถ้ามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากเหมาะกับการผัด การได้รับไขมันที่เหมาะสมต่อร่างกายไม่ควรน้อย หรือมากกกว่าเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นไขมันที่มาจากพืช หรือสัตว์ และควรใช้ปรุงอาหารให้เหมาะกับคุณสมบัติของน้ำมันแต่ละชนิด” ศ.ดร.วิสิฐ กล่าว
       
       ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการวิเคราะห์สัดส่วนของกรดไขมันในน้ำมันชนิดต่าง ๆ 16 ชนิดของสถาบันโภชนาการ พบว่า มีกรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน โดยประมาณ ดังนั้น

1. ดอกคำฝอย  10%, 12% ,78%

2. วอลนัท  12%, 18% , 70%

3. เมล็ดทานตะวัน  11%, 25%, 64%

4. ข้าวโพด  16%, 26%, 58%

5. ถั่วเหลือง 16%, 22%, 62%

6. เมล็ดฝ้าย 27%, 19%, 54%

7. รำข้าว 23%, 45%, 32%

8. งา 17%, 41%, 42%

9. ถั่วลิสง  20%, 51%, 29%

10. แคโนลา 8%, 64%, 28%

11.มะกอก 15%, 74%, 11%

12. ปาล์มโอเลอีน 48%, 40%, 12%

13. มะพร้าว 90%, 7%, 3%

14. น้ำมันหมู 44%, 46%, 10%

15. ไขมันไก่  44%, 48%, 16%

และ 16. ไขมันวัว 67%, 25% และ 8%

โดยน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากจะเหมาะกับการทอดและน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากเหมาะกับการใช้ผัด
       
       “แหล่งไขมันส่วนหนึ่งมาจากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ นม เนย เพราะฉะนั้น การได้รับไขมันต่อวันไม่เกิน 65 กรัมของพลังงานทังหมด จะต้องคำนึงถึงการได้ไขมันจากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ใน 1 วัน จึงแบ่งเป็นไขมันจากเนื้อสัตว์ที่เป็นไขมันอิ่มตัวไปแล้ว 1 ส่วน ราว 6 - 9 ช้อนกินข้าว จึงมีการแนะนำให้ใช้น้ำมันจากพืชในการสร้างสมดุลได้อีก 5 - 7 ช้อนกินข้าว” ผศ.ดร.วันทนีย์ กล่าวและว่า สำหรับน้ำมันมะพร้าวที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเหมาะกับการใช้ทอด แต่กลับพบว่า มีการนำมารับประทานแบบเพียวเป็นอาหารเสริมนั้น แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีไขมมันอิ่มตัวมาก แต่เป็นมีความแตกต่างจากน้ำมันอื่น ตรงที่ส่วนประกอบของน้ำมันมะพร้าวประมาณครึ่งหนึ่งมีความยาวโมเลกุลปานกลาง เมื่อร่างกายได้รับจะย่อยง่าย และดูดซึมได้ง่าย ทำให้มีการสะสมในร่างกายน้อยกว่าน้ำมันอื่นที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเช่นเดียวกัน แต่หากกินน้ำมันมะพร้าวร่วมกับน้ำมันอื่นจนได้รับต่อวันเกินเกณฑ์ก็ไม่ดีต่อสุขภาพ ควรใช้ในการประกอบอาหาร ไม่ควรกินเป็นอาหารเสริม


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2016, 10:32:42 am
6 สูตรน้ำจิ้มซีฟู้ด รวมความแซ่บจัดจ้านที่ใคร ๆ ก็ทำกินได้
http://cooking.kapook.com/view127999.html (http://cooking.kapook.com/view127999.html)

-http://cooking.kapook.com/view127999.html-






7 สูตรน้ำจิ้มแจ่ว รสจัดจ้านหลากสไตล์ เลือกให้โดนท้าให้ลอง
http://cooking.kapook.com/view130001.html (http://cooking.kapook.com/view130001.html)

-http://cooking.kapook.com/view130001.html-




2 สูตรน้ำจิ้มลูกชิ้น รสแซ่บ เจอแบบนี้ซื้อลูกชิ้นมารอเลย
http://cooking.kapook.com/view110862.html (http://cooking.kapook.com/view110862.html)

-http://cooking.kapook.com/view110862.html-
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 23, 2016, 09:18:20 am
“น้ำเต้า” พืชผักสารพัดประโยชน์
โดย MGR Online       
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066555-
22 กรกฎาคม 2559 15:57 น.

“น้ำเต้า” เป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มักจะเห็นวางขายกันอยู่ตามตลาดทั่วไป หลายคนอาจจะเห็นน้ำเต้าที่มีรูปทรงแตกต่างกัน นั่นก็เพราะน้ำเต้านั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับน้ำเต้า “108 เคล็ดกิน” จะชวนมาแนะนำให้รู้จักกัน
       
       “น้ำเต้า” เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งตระกูลเดียวกับฟักและฟักทอง ผลมีรูปต่างๆ หลากหลายมาก ตั้งแต่กลมก้นแป้นตั้งได้ไปจนเป็นทรงรีหรือยาวมาก ตรงขั้วผลอาจมีคอคอดลงไปหรือไม่มีก็ได้ เมื่อผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อแก่สีจะจางลง และอาจกลายเป็นสีขาวครีมเมื่อผลแห้ง
       
       คนไทยเราจัดว่าน้ำเต้าเป็นผักชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ต้มจิ้มน้ำพริก นำไปแกงจืด ทำแกงส้ม ผัดน้ำเต้า เป็นต้น

นอกจากมีประโยชน์ในการนำไปปรุงอาหารอร่อยๆ แล้ว น้ำเต้าก็ยังมีสรรพคุณทางยาอีกหลายประการ เช่น ใบสด นำไปโขลก คั้นเอาแต่น้ำ ทาแก้ฟกช้ำ แก้โรคผิวหนัง แก้ผิวหนังพุพอง ใบแห้ง นำไปปรุงเป็นยาเขียวดับพิษไข้ แก้ตัวร้อน กระหายน้ำ เนื้อหุ้มเมล็ด ใช้ทำให้อาเจียน เป็นยาระบาย เมล็ด เป็นยาถ่ายพยาธิ แก้บวมน้ำ เป็นต้น
       
       ผลของน้ำเต้าเมื่อยังอ่อน ก็สามารถนำมาทำเมนูต่างๆ ได้หลากหลาย แต่พอแก่เต็มที่แล้วผลจะแห้งจนภายในผลกลวง สามารถนำไปทำเป็นภาชนะสำหรับบรรจุน้ำได้ โดยเป็นภาชนะใส่น้ำที่มนุษย์รู้จักใช้กันมานับหมื่นปีแล้ว
หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2016, 05:38:29 am
6 สูตรทำน้ำซุป กลมกล่อมทำเองได้เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า
-http://cooking.kapook.com/view155758.html-


เปิดเคล็ดลับเด็ดสูตรทำน้ำซุปสไตล์โฮมเมด เคี่ยวอร่อยง่าย ๆ ไม่ใส่ผงชูรส เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

เมนูก๋วยเตี๋ยวนอกบ้านก็อร่อย แต่กลัวลูกน้อยแพ้ผงชูรสเลยอยากลงมือทำเอง เครื่องเคราเตรียมพร้อมแล้วเหลือแต่สูตรน้ำซุปนี่แหละที่หนักใจ ถ้าทำไม่อร่อยก็จบ ! กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ 7 สูตรทำน้ำซุป มีทั้งน้ำซุปกระดูกหมูน้ำใส น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้นสีดำ น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้นสีขาว น้ำซุปโครงไก่ และน้ำซุปผัก เลือกวิธีทำน้ำซุปให้เหมาะกับก๋วยเตี๋ยวเลยจ้า

น้ำซุป

1. น้ำซุปกระดูกหมู (สูตรทำก๋วยเตี๋ยว)

เริ่มกันที่สูตรทำน้ำซุปกระดูกหมู จาก คุณ swin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ส่วนผสมไม่เยอะ น้ำซุปหวานหอมอร่อยโดนใจ ทำเป็นน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวน้ำใสหรือน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวต้มยำก็ได้จ้า

ส่วนผสม น้ำซุปกระดูกหมู

• กระดูกหมู 1 กก.
• พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
• รากผักชี
• กระเทียม

วิธีทำน้ำซุปกระดูกหมู

• 1. ลวกกระดูกหมูในน้ำเดือด 2 นาทีก่อน เพื่อล้างเลือด แล้วนำไปล้างน้ำอีกครั้งให้สะอาด
• 2. ใส่กระดูกหมูลงในหม้อความดัน ตามด้วยพริกไทย รากผักชี และกระเทียม ใช้เวลาต้ม 1 ชั่วโมง 30 นาที หรือประมาณ 90 นาที

soup101

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ หมูแดง ขาหมู ชามเดียวอิ่มสะใจ
-http://cooking.kapook.com/view114421.html-

++++++++++++++++++++

น้ำซุป

2. น้ำซุปไก่

น้ำซุปไก่สูตรนี้ถอดมาจากการทำน้ำต้มไก่สำหรับทำข้าวมันไก่ ของ คุณมันแกวกะแห้วหมู สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีทีเด็ดตรงที่ว่า นอกจากน้ำซุปไก่จะอร่อยแล้ว แทนที่เราจะให้ความหวานจากเนื้อไก่ถูกปล่อยออกมาสู่น้ำซุป แต่จะเปลี่ยนเป็นทำให้รสชาติน้ำซุปซึมเข้าไปที่เนื้อไก่แทน ทำให้เนื้อไก่ที่เรานำลงไปต้มไม่จืดชืดด้วย อร่อยทั้งน้ำและเนื้อเลยล่ะ

ส่วนผสม น้ำซุปไก่

• ผักกาดขาว หรือผักหางหงส์สด 1 หัว (ต้องเลือกที่สด ๆ เพื่อให้หวาน)
• กระเทียม 3-4 หัว (ประมาณ 30 กลีบ)
• รากผักชี 5-6 ราก
• ขิงแก่หั่นเป็นแว่นบาง 5–6 แว่น
• ขิงทุบ เล็กน้อย
• พริกไทยขาวทุบหยาบ 20–30 เม็ด
• เกลือสมุทร 1-2 ช้อนโต๊ะ (ได้ดอกเกลือยิ่งดี เพื่อให้มีรสเค็มขึ้นมาบ้าง ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ)
• น้ำตาลกรวด 1/2 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วขาว 2–3 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันพืช 1/2 ช้อนโต๊ะ
• ไก่ส่วนที่ชอบ

วิธีทำน้ำซุปไก่

• 1. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อยกเว้นไก่ (ควรใส่น้ำเผื่อไว้หน่อยกันน้ำแห้งเกินไป) นำขึ้นตั้งไฟแรง (ไม่ต้องปิดฝา) ต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 30 นาที
• 2. พอครบเวลาใส่ไก่ลงไปจนหมด (ถ้าหม้อใบเล็กเกินจะเอาผักกาดขาวออกให้หมดก่อนก็ได้) พอใส่ไก่ชิ้นสุดท้ายลงไป ให้ลดไฟอ่อนลง จากนั้นต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเดือด หมั่นช้อนฟองอากาศทิ้ง

หมายเหตุ : ควรจับเวลาให้ดี ถ้าต้มนานไปไก่จะสุกเกินไม่อร่อย ถ้าไก่ดิบไปก็กินไม่ได้ (คือกระดูกมีเลือด เนื้อส่วนที่ติดกระดูกเหนียวเลาะไม่ออก) ปกติจะใช้เวลาในการต้มประมาณ 1 ชั่วโมงนับจากใส่ไก่ลงไป หมั่นตักฟองทิ้งไปบ้าง จากนั้นก็ปล่อยให้ไฟรุม ๆ ไปเรื่อย ๆ

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ข้าวมันไก่ พร้อมสูตรน้ำจิ้ม เคล็ดไม่ลับที่ทำเองได้
-http://cooking.kapook.com/view97623.html-

++++++++++++++++++++

น้ำซุป

3. น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น (สีขาว)

ใครอยากทำน้ำซุปกระดูกหมูแบบสีขาวน้ำข้นก็ต้องสูตรจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรน้ำซุปสีขาวหวานธรรมชาติจากหอมใหญ่ เพิ่มความหอมจากกระเทียม ทำเองคุ้มกว่าเยอะเลยค่ะ

ส่วนผสม น้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น

• กระดูกซุปหมู ประมาณ 1.6 กิโลกรัม
• น้ำ 3 ลิตร
• ต้นหอมญี่ปุ่น (หั่นเป็นท่อนสั้น) 2 ต้น
• กระเทียมสด (ทุบแล้วปอกเปลือก) 12 กลีบ
• หอมใหญ่ (ผ่า 4 ส่วน) 2 หัว
• เหล้ามิริน 2 ทัพพี
• เกลือ เล็กน้อย
• น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำซุปกระดูกหมูน้ำข้น

• 1. ใส่น้ำลงในหม้อกะพอท่วมกระดูกหมู จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟ ต้มจนน้ำเดือด
• 2. ใส่กระดูกหมูลงต้ม นานประมาณ 5 นาที (ไม่ต้องคน) พอต้มครบ 5 นาที ให้เทน้ำทิ้ง จากนั้นตักกระดูกหมูออกมาล้างน้ำให้สะอาด 2 ครั้ง เตรียมไว้
• 3. เติมน้ำ 3 ลิตรลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรง ใส่กระดูกหมูล้างสะอาด ต้นหอมญี่ปุ่น กระเทียม และหอมใหญ่ลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ หากน้ำในหม้อแห้งให้หมั่นเติมน้ำเป็นระยะ ๆ หมั่นช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวจนผักและเนื้อเริ่มเปื่อยและน้ำซุปสีขาวข้นขึ้น
• 4. เติมเหล้ามิริน เกลือ และน้ำตาลทรายลงไป กรองน้ำซุปด้วยตะแกรง โดยใช้ทัพพีคนและกดไปเรื่อย ๆ ทำเสร็จพร้อมราดเส้นราเมน

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ราเมนน้ำซุปกระดูกหมูแบบประหยัด อาหารญี่ปุ่นดูดี ใครก็ทำได้
-http://cooking.kapook.com/view96783.html-

++++++++++++++++++++

น้ำซุป

4. น้ำซุปโครงไก่ (ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ)

ทำสูตรน้ำซุปกระดูกหมูมาหลายมื้อลองเปลี่ยนมาสูตรน้ำซุปโครงไก่ สูตรจาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา สูตรนี้น้ำซุปสีดำเหมาะสำหรับทำก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ เอาล่ะ... เตรียมไก่ตุ๋นกับเส้นรอเลยจ้า

ส่วนผสม น้ำซุปโครงไก่

• โครงไก่ 2 โครง
• น้ำเปล่า 8 ลิตร
• หอมใหญ่ปอกเปลือก 2 หัว
• รากผักชี 5 ราก
• น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วยตวง
• กระเทียมดอง 3 หัว
• เครื่องเทศสำหรับตุ๋น 1 ชุด
• น้ำตาลมะพร้าว 70 กรัม
• เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วขาว (สูตร 5) 12 ช้อนโต๊ะ
• ซอสปรุงรส (ตราแม็กกี้) 12 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำซุปโครงไก่

• 1. เทน้ำเปล่าลงในหม้อใบใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟแรง ใส่หอมใหญ่ รากผักชี น้ำกระเทียมดอง กระเทียมดอง เครื่องตุ๋น 1 ชุดลงไป ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ ปิดฝา ต้มให้เดือด
• 2. พอเดือดแล้วจึงใส่โครงไก่ลงไป (หากจะให้ดีโครงไก่ควรถลกหนังและตัดตูดออก) แล้วลดเป็นไฟอ่อน ปิดฝาต้มจนน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม

หมายเหตุ : หากมีน้ำมันไก่หรือฟองลอยบนน้ำซุปก็ให้ช้อนออกเท่าที่จะทำได้ น้ำซุปจะได้ใส และไม่มันเลี่ยน

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นมะระ รสเข้มข้น สูตรเด็ดสร้างอาชีพได้
-http://cooking.kapook.com/view116658.html-

++++++++++++++++++++

น้ำซุป

5. น้ำซุปผัก

ฝนตกออกจากบ้านไปจ่ายตลาดลำบากก็ลองจับผักเหลือ ๆ ในบ้านมาทำเป็นน้ำซุปผัก สูตรจาก คุณ iamrabbiy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม น้ำซุปผักใส่ไช้เท้ากับแครอท ปรุงรสตามชอบ ขอบอกง่ายเว่อร์

ส่วนผสม น้ำซุปผัก

• น้ำเปล่า
• แครอทหั่นชิ้น
• ไช้เท้าหั่นชิ้น
• รากผักชี
• ซอสหอยนางรม (สูตรโซเดียมต่ำ)
• น้ำปลา (สูตรโซเดียมต่ำ)

วิธีทำน้ำซุปผัก

• ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่แครอท ไช้เท้า และรากผักชี ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรมและน้ำปลา

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ อาหารคลีนแบบไทย 29 เมนู กินแล้วชีวิตดี๊ดี ไขมันต่ำอิ่มโปรตีนประโยชน์เต็ม
-http://cooking.kapook.com/view124911.html-

++++++++++++++++++++

น้ำซุป

6. น้ำซุปผัก (สูตรเจ)

น้ำซุปผักสูตรเจก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ สูตรจาก คุณ a pinky pig สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม น้ำซุปอุดมไปด้วยผักนานาชนิด ปรุงรสด้วยเกลือ เหมาะกินกับเมนูก๋วยเตี๋ยวเจมากเลยจ้า

ส่วนผสม น้ำซุปผัก

• ไช้เท้า 2 หัว
• แครอท 1 หัว
• ข้าวโพดหวาน 1 ฝัก
• ฟักเขียว 1/2 หัว
• ผักกาดขาว 1 หัว
• กะหล่ำปลี 1 หัว
• เกลือป่น เล็กน้อย

วิธีทำน้ำซุปผัก

• 1. ล้างผักทั้งหมดให้สะอาด ปอกเปลือกออกและหั่นเป็นชิ้น เตรียมไว้
• 2. ใส่ไช้เท้า แครอท และข้าวโพดหวานลงต้มในหม้อ ปรุงรสด้วยเกลือป่นเล็กน้อย
• 3. พอน้ำซุปเดือด ใส่ฟักเขียวลงไป พอเดือด ใส่กะหล่ำปลีลงไป รอจนเดือดอีกครั้ง ใส่ผักกาดขาวลงไป พอเดือดลดเป็นไฟอ่อน ต้มต่อประมาณ 30 นาที

+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวน้ำเจ เสิร์ฟเมนูเส้นร้อน ๆ ต้อนรับเทศกาลกินเจ
-http://cooking.kapook.com/view99248.html-


อื้อหือ ! มีสูตรน้ำซุปให้เลือกทำถึง 6 สูตรแบบนี้ รับรองสุขภาพดีแน่นอน ไม่ต้องใช้ซุปก้อนให้ระคายสุขภาพ ทุกสูตรเพื่อสุขภาพ เหมาะกับทุกคนทุกวัย โดยเฉพาะลูกรัก