ใต้ร่มธรรม
บล็อก => บทความ (Blog) => ข้อความที่เริ่มโดย: honeypor ที่ สิงหาคม 05, 2010, 02:49:23 pm
-
ชายคนหนึ่งระหว่างเดินทางไปตลาด พบกระเป๋าเงินตกอยู่บนถนน เมื่อเปิดกระเป๋าพบเงินสดจำนวนเก้าพันบาท และนามบัตรซึ่งเข้าใจว่าต้องเป็นชื่อและที่อยู่ของเจ้าของ พร้อมกับมีโน๊ตเล็กๆ เขียนข้อความไว้ว่า ถ้าใครพบกระเป๋าใบนี้ กรุณาส่งคืนเจ้าของตามนามบัตรนี้ และจะให้รางวัลสิบเปอร์เซ็นต์
ชายผู้พบกระเป๋าถึงแม้จะเป็นคนยากจน แต่เขาเป็นคนสุจริต ไม่คิดคดโกงผู้อื่น จึงไม่คิดที่จะยึดเงินในกระเป๋าตั้งเก้าพันบาทเป็นของตน ถึงแม้ว่าเงินจำนวนนี้ถือว่ามากมายสำหรับครอบครัวเขา
เขาตามหาเจ้าของจนพบ ปรากฎว่าเป็นพ่อค้าในตลาดนั้นที่มีชื่อเสียงว่าค่อนข้างจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ชายยากจนยื่นกระเป๋าเงินคืนให้ ส่วนชายเจ้าของกระเป๋าแทนที่จะกล่าวขอบคุณ กลับรีบเปิดกระเป๋าและนับธนบัตรในนั้น พร้อมกับอุทานออกมาว่า ชายผู้พบกระเป๋าคงหยิบเงินหนึ่งพันบาทที่เป็นค่ารางวัลออกไปแล้ว ในกระเป๋าจึงมีเงินเหลือเพียงเก้าพันบาท ส่วนชายยากจนก็ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้หยิบเงินออกไปเลย ในกระเป๋ามีเงินเพียงเก้าพันบาทจริงๆ ตอนที่เขาพบมันบนถนน
ทั้งคู่ถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ โดยต่างคนต่างไม่ยอมกัน ในที่สุดจึงตกลงพากันไปหาผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านรับฟังเรื่องราวจากทั้งสองฝ่าย โดยให้ฝ่ายเจ้าของกระเป๋าที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เริ่มเล่าเรื่องของตนก่อน......เมื่อเล่าจบแล้วก็ถามผู้ใหญ่บ้านว่าจะเชื่อเขาไหม? ผู้ใหญ่บ้านตอบว่า แน่นอน เชื่อพ่อค้าใหญ่แห่งหมู่บ้านแน่ๆ........แล้วจึงไปสอบถามเรื่องราวกับชายผู้พบกระเป๋า ชายผู้นั้นก็เล่าเรื่องในด้านของตน และถามคำถามเดียวกันว่า เชื่อเขาไหม? ผู้ใหญ่บ้านก็ตอบเหมือนกับที่ตอบพ่อค้าว่า แน่นอน ตนเชื่อว่าชายยากจนเป็นคนสุจริตแน่ๆ...... ทั้งคู่จึงถามผู้ใหญ่บ้านว่า ในเมื่อเชื่อคำพูดของทั้งสองคน แล้วจะ ตัดสินเรื่องนี้อย่างไร?......
ผู้ใหญ่บ้านยิ้ม และสรุปว่า ง่ายนิดเดียว คุณพ่อค้ายืนยันว่าในกระเป๋ามีเงินหนึ่งหมื่นบาท ส่วนชายยากจนยืนยันว่ามีเก้าพันบาท เพราะฉะนั้นกระเป๋านี้เป็นคนละใบกับที่พ่อค้ายืนยัน ไม่ใช่ของพ่อค้า พูดแล้วจึงยื่นกระเป๋าที่มีเงินเก้าพันบาทให้แก่ชายยากจนนำกลับบ้านไปใช้ เพราะถือว่าไม่มีเจ้าของ.......ส่วนพ่อค้าก็ตกใจอุทานออกมาว่า แล้วกระเป๋าเงินของเขาล่ะ ผู้ใหญ่บ้านก็ตอบว่า รอให้คนที่พบกระเป๋าที่มีเงินหนึ่งหมื่นบาทนำมาคืนให้ก็แล้วกัน
เบื้องหลังการตัดสินความ
ผู้ใหญ่ บ้านคนนี้เป็นคนมีเชาว์ มีปรีชาญาณแห่งพระพรการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ข้อ ค. ก่อนหน้านั้นเขามีข้อมูลความจริงเกี่ยวกับชีวิตของทั้งสองอยู่แล้ว ดังนี้.-
.......ตัวพ่อค้าคนนี้ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ในแต่ละวันหลังจากใช้เงินจากกระเป๋าของเขาแล้ว ทุกค่ำเขาจะเติมเงินให้ครบเก้าพันบาท เพื่อว่า ถ้าหากว่าวันหนึ่ง กระเป๋าสตางค์ของเขาตกหล่นหาย (อย่างที่เกิดเหตุการณ์ในวันนี้) เขาจะสามารถได้มันคืนมาด้วยแรงจูงใจ 10 เปอร์เซนต์ โดยเขาไม่ต้องเสียค่ารางวัลเลย โดยจะยืนยันว่า เงินในกระเป๋าต้องมีครบหนึ่งหมื่นบาทเสมอ (ซึ่งความจริง เขาจงใจให้มีเพียงเก้าพันบาท โดยจะอ้างว่า ผู้พบดึงหนึ่งพันบาทที่เป็นค่ารางวัลออกไปเองก่อนแล้ว)
.......ส่วนด้านชายยากคนผู้พบกระเป๋าสตางค์ เป็นชาวนายากจน หาเช้ากินค่ำ แต่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เขามีครอบครัวที่น่ารัก ภรรยาตั้งครรภ์ใกล้คลอด วันนั้นเขาคงมาตลาดเพื่อซื้อนม พร้อมทั้งยาประจำบ้าน และติดต่อหมอตำแยเพื่อให้มาทำคลอดเมื่อถึงเวลาที่ภรรยาจะคลอดบุตร
......บนพื้นฐานการตัดสิน ผู้ใหญ่บ้านก็ให้เหตุผลว่า ถึงแม้ว่าเขารู้ว่ากระเป๋าเงินใบนั้นเป็นของพ่อค้าผู้ตระหนี่ก็จริง แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่ามีเงินหนึ่งหมื่นบาท โดย อ้างว่าชายยากจนดึงเงินรางวัลออกไปเองก่อนเป็นการแสดงเจตนาแบบฉลาดแกมโกงของ ตนที่จะไม่ยอมเสียเงินหนึ่งพันบาทเป็นค่ารางวัลให้แก่ผู้พบกระเป๋า .......คำพูดของพ่อค้าเจ้าของกระเป๋าที่ยืนยันว่า เงินต้องมีครบหนึ่งหมื่นบาททั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เป็นคำให้การแบบฆ่าตัวตายเองของพ่อค้า ผู้ใหญ่บ้านจึงตัดสินความให้พ่อค้ารอรับกระเป๋าคืนจากคนที่พบกระเป๋าพร้อมเงินครบหนึ่งหมื่นบาท ส่วนกระเป๋าใบนี้พร้อมเงินเก้าพันบาทมอบให้แก่ชายยากจนเป็นรางวัลสำหรับความซื่อสัตย์สุจริต และในขณะเดียวกัน ก็เป็นบทเรียนแก่พ่อค้าผู้ร่ำรวยแต่ใจตระหนี่ถี่เหนียวคนนี้ด้วย
Rabbi Nilton Bonder
Shambala Publication Inc., Boston; 1999)
-
ผู้ใหญ่บ้านเจ๋งจริงๆ :47: :47: :47: :47: :47:
-
นึกถึงคุณตาผมเลยครับ ท่านก็เป็นเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีวันไหนที่ไม่มีเรื่องให้แก้ปัญหา ยุ่งตลอด..
ท่านไม่อยู่นานแล้วครับ ท่านเสียแล้ว ตั้งแต่ตอนผมเล็กๆแล้วล่ะ จำได้แค่ว่าท่านใจดีมากครับ
^^
ขอบคุณครับพี่ปอได้คติธรรมดีครับ