ใต้ร่มธรรม

อิ่มกาย อิ่มใจ => สุขภาพกับชีวิต => กองทัพเดินด้วยท้อง => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:03:05 pm

หัวข้อ: 5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 15, 2012, 09:03:05 pm
5 อาหารไทย ติดใจคนทั่วโลก
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126254-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
15 ตุลาคม 2555 13:57 น.


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428631)
ต้มยำกุ้งสูตรประยุกต์
       ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใดๆ ในโลก ก็มักจะมีอาหารประจำชาติอันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของตนเอง ในส่วนของประเทศไทยนั้นก็เช่นเดียวกัน อาหารไทยถือเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอย่างหนึ่งที่ได้รับการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่างยาวนาน
       
       นอกจากจะเป็นอาหารของคนไทยแล้ว อาหารไทยก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้จากผลสำรวจ 50 อาหารอร่อยที่สุดในโลกประจำปี 2554 โดย CNNGO ผลปรากฏว่า มีอาหารไทยติดอันดับหลายเมนู ได้แก่ อันดับที่ 1 แกงมัสมั่น อันดับที่ 8 ต้มยำกุ้ง อันดับที่ 19 น้ำตกหมู และอันดับที่ 46 ส้มตำ หรือแม้แต่แทบลอยด์ชื่อดังของประเทศอังกฤษ “เดอะซัน” ก็มีการสำรวจในเฟซบุ๊ค ถึง 100 สิ่งที่ควรกินก่อนตาย ยังพบว่ามีอาหารไทยติดอันดับด้วยเช่นกัน ได้แก่ ส้มตำ ต้มยำ ทุเรียน กล้วยทอด และผักกระเฉด
       
       รสชาติของอาหารไทยนั้น มีความแตกต่างและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร โดย สันติ เศวตวิมล นักชิมชื่อดัง ให้ความเห็นไว้ว่า อาหารในโลกนั้นมีเพียงไม่กี่ประเทศที่จะมีรสชาติหลากหลาย หรือมากกว่า 4 รสชาติ แต่สำหรับอาหารไทยนั้นถ้าจะพูดจริงๆ ก็มีถึง 9 รสชาติ
       
       “อาหารที่เรากินมีพื้นฐานอยู่ 4 รส คือ เค็ม เผ็ด หวาน และเปรี้ยว ส่วนอาหารไทยจะมีรสชาติเพิ่มเติมอีก คือ ขม ขื่น ฝาด เฝื่อน และปร่า ธรรมชาติสร้างให้คนแต่ละประเทศมีความสามารถแตกต่างกันไป ผมคิดว่าธรรมชาติสร้างให้คนไทยมีลิ้นอันวิเศษ สามารถแยกรสชาติได้ดีมาก นอกจากนั้น คนไทยก็โชคดีที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองวัฒนธรรมใหญ่ของโลก คือ วัฒนธรรมอินเดีย และวัฒนธรรมจีน อาหารจีนจะเป็นอาหารแบบธรรมชาติ ส่วนอินเดียจะเน้นความจัดจ้านและเครื่องเทศต่างๆ จึงทำให้คนไทยนำทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานกัน”
       
       สำหรับอาหารไทยซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวโลกนั้นก็มีหลากหลายเมนู แต่ต้องขอเลือกมาเพียง 5 เมนู ที่ชาวต่างชาติจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนี้
       

       ต้มยำกุ้ง
       
       “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นเมนูแรกๆ ที่ชาวโลกพูดถึงหากมีหัวข้อเกี่ยวกับอาหารไทย โดยต้มยำนั้นถือเป็นอาหารประเภทแกง เน้นรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก ผสมกับความเค็มและหวานเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วคนจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำที่ใส่เนื้อสัตว์ชนิดอื่น
       
       ต้มยำกุ้งจะมี 2 ประเภท คือ ต้มยำน้ำใส และต้มยำน้ำข้น ซึ่ง สันติ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ต้มยำโบราณจริงๆ นั้นไม่ได้ใส่น้ำพริกเผาเหมือนในทุกวันนี้ และจะเป็นต้มยำน้ำใส ที่ใส่มันกุ้งให้ดูสวยงามและเพิ่มรสชาติ ในช่วงหลัง เริ่มหามันกุ้งได้ยากขึ้นเพราะคนกินเยอะ เลยประยุกต์ใส่น้ำพริกเผาลงไปแทนเพื่อให้สีสันสวยงาม และยังมีการใส่กะทิ หรือนมสด ลงไปในต้มยำในภายหลัง ถือเป็นการดัดแปลงและพัฒนาจากน้ำใสมาเป็นน้ำข้น ส่วนความหวาน เดิมจะได้รสหวานมาจากความสดของกุ้ง แต่ปัจจุบันใส่ทั้งน้ำพริกเผา นมสด และน้ำตาล เพื่อให้ได้รสหวานมากขึ้น จนไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมของต้มยำกุ้ง
       
       

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428632)
ส้มตำรสจัดจ้าน

       ส้มตำ
       
       คนมักจะเข้าใจว่า “ส้มตำ” เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคอีสาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส้มตำเป็นอาหารที่ถือกำเนิดขึ้นในภาคกลาง ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ในประเทศไทยไม่ได้ปลูกต้นมะละกอ แต่มะละกอมีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ จากนั้นก็ถูกเผยแพร่เข้ามาสู่ทวีปเอเชีย และมีอยู่ที่เมืองมะละกาเป็นหลัก ภายหลังก็ถูกเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย โดยคนไทยเองก็เข้าใจว่าพืชชนิดนี้มาจากมะละกา จึงมีการเรียกชื่อเพี้ยนมาเป็นมะละกอ เหมือนในปัจจุบัน
               
       “คนไทยเราตำมะละกอที่เรียกว่าส้มตำมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้มะละกอและพริก ซึ่งมาจากอเมริกาใต้เหมือนกัน นำมาตำพร้อมๆ กัน และสมัยก่อนก็ยังไม่มีการใส่ปลาร้า ใส่มะกอก แต่จะตำแบบไทยๆ คือ ใส่มะนาวและน้ำตาลปี๊บ เพราะคนไทยกินรสเปรี้ยวหวาน ส่วนส้มตำไทยแท้ๆ ก็จะใส่กุ้งแห้ง และถั่วลิสงด้วย แต่พอคนอีสานมาเห็นส้มตำไทย ก็ปรับเปลี่ยนรสชาติตามที่ชอบ คือ คนอีสานจะกินรสเค็มเผ็ด จึงไม่ใส่น้ำตาล และใส่ปลาร้าเพิ่มเติม” สันติ กล่าว
               
       นอกจากส้มตำแบบพื้นฐานแล้ว ก็ยังมีการประยุกต์ส้มตำให้เป็นไปตามแบบของแต่ละท้องถิ่น หรือตามรสชาติที่ชอบอีกด้วย อาทิ ส้มตำปูปลาร้า ตำซั่ว ตำป่า ตำไข่เค็ม ส้มตำหอยดอง และส้มตำปูม้า หรือจะนำผัก-ผลไม้อื่นๆ มาใช้แทนมะละกอ เช่น ตำมะม่วง ตำกล้วย ตำแตง ตำถั่ว เป็นต้น

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428633)
ผัดไทย

       ผัดไทย
       
       “ผัดไทย” เป็นอาหารอีกจานที่คนต่างชาติรู้จักกันมาก เนื่องจากชื่ออาหารที่เรียกง่าย และบ่งบอกความเป็นอาหารไทยได้อย่างชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้ Hotels.com เว็บไซต์ด้านโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโลก ได้สำรวจอาหารชาติต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมกินมากที่สุดระหว่างการเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างแดน ผลปรากฏว่า อาหารไทยติดอันดับที่ 7 และเมนู “ผัดไทย” ก็ถือเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาอาหารไทย
               
       อันที่จริงแล้วผัดไทยนั้นมีมาตั้งแต่โบราณ และเป็นหนึ่งในอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวผัด แต่เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากขึ้นในสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ จากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มีการรณรงค์ให้หันมานิยมกินก๋วยเตี๋ยวแทน เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ และยังมีการเปลี่ยนชื่อให้เป็น “ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย” เพื่อเน้นความนิยมไทยอีกด้วย
     

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428634)           
       แกงเขียวหวาน
       
       “แกงเขียวหวาน” เป็นแกงกะทิที่ถูกพัฒนามาจากแกงเผ็ดแบบดั้งเดิม คือ แกงเผ็ดจะใช้พริกแห้งสีแดงเป็นส่วนผสม จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้พริกสดสีเขียว และใส่ใบพริกสดตำลงไปพร้อมกับเครื่องแกงด้วย เพื่อให้มีสีเขียวที่เด่นชัดขึ้น
               
       ชื่อแกงเขียวหวานมีที่มาจากสีเขียวของเครื่องแกง แต่คำว่า “หวาน” นั้น ไม่ได้หมายถึงรสชาติของอาหารแต่อย่างใด กลับหมายถึงเป็นแกงที่มีสีเขียวแบบหวาน คือเขียวนวลๆ ไม่ฉูดฉาด ส่วนรสชาติของเมนูนี้จะเน้นเค็มนำ แล้วหวานตาม และจะมีความเผ็ดมากกว่าแกงเผ็ดชนิดอื่นเล็กน้อย เพราะใช้พริกสดเป็นเครื่องแกง
               
       และจากกรณีที่มีข่าวฟอร์เวิร์ดว่า พ่อครัวชาวอเมริกันได้จดสิทธิบัตรแกงเขียวหวาน ซึ่งเป็นอาหารของคนไทย ในภายหลังได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า ไม่เป็นความจริง ยังไม่มีชาวต่างชาติจดสิทธิบัตรแกงเขียวหวานเป็นของตนเอง และการจดสิทธิบัตรแกงเขียวหวานนั้นมีเพียงคนไทยเท่านั้นที่เป็นผู้ยื่นคำขอจดสิทธิบัตร ดังนั้น แกงเขียวหวานก็ยังคงเป็นอาหารของไทยต่อไป

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428634)
แกงเขียวหวาน


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428635)
       มัสมั่น
       
       “มัสมั่น” ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก จากการสำรวจของเว็บไซต์ CNNGO ซึ่งก็กลายเป็นเมนูอาหารไทยที่ได้รับความนิยมในต่างแดนไปแล้ว แม้ว่าปัจจุบัน มัสมั่นจะมีสัญชาติเป็นอาหารไทย แต่จุดเริ่มต้นของมัสมั่นนั้นต้นตำรับมาจากอินเดีย แต่ในประเทศไทยนั้นเกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งนำเข้ามาโดยชาวเปอร์เซีย
               
       แกงมัสมั่นแบบต้นตำรับจะมีรสชาติออกเค็มมัน และนิยมใช้เนื้อวัวมาปรุง ส่วนมัสมั่นของไทยจะมีรสหวานนำ และลดปริมาณเครื่องเทศให้น้อยลง และในปัจจุบันมีการเลือกใช้เนื้อสัตว์ที่หลากหลายมากขึ้น ถือเป็นการปรับรสชาติให้เข้ากับความชื่นชอบของคนไทย
               
       นับได้ว่าอาหารไทย 5 เมนูนี้ เป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชาวต่างชาติรู้จักอาหารไทยที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับการที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2428635)
มัสมั่น เมนูอร่อยที่สุดในโลก

.