กาแฟน่ะดื่มแต่พอดี รับนํ้าชาเพิ่มสักถ้วยดีกว่ามั้ยครับ (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
โดย....คุณหมอbenzcl
(http://media.rd.com/rd/images/rdc/books/stress/5-simple-ways-to-lift-your-spirits/enjoy-a-cup-of-tea-af.jpg)
1. ปัจจุบันเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้เป็นที่นิยมกันไปทั่วทุกมุมของโลก
มีร้านจำหน่ายชากาแฟโดยเฉพาะ เเละยังมีให้เลือกบริโภคได้อีกหลายรูปแบบใช่ไหมครับ
ผมเองก็ดื่มชาและกาแฟ แต่จะดื่มชาเป็นประจำทุกวัน
และดื่มมานานหลายสิบปีแล้วครับ เพราะรู้ว่ามีอะไรดีดีจากการดื่มชานั่นเองครับ(http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_mrgreen.gif)
คนเรามักบริโภคกาแฟเมื่อเพลียยามเช้า หรือเมื่อตอนเครียดเป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีผลวิจัยทางการแพทย์ที่เชื่อถึอได้ ยืนยันได้ว่า
การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
แต่คอกาแฟที่ดื่มกันหนักๆ มักทำในสิ่งที่ไม่ได้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีสักเท่าไร
จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟมากๆมักจะสูบบุหรี่ตามไปด้วย หรือไม่ก็ชอบทานของมัน และไม่ค่อยออกกำลังกาย
ในขณะที่พวกดื่มชามีแนวโน้มว่า ชอบออกกำลังกายมากกว่า และทานผักผลไม้สดมากกว่า
(http://www.telegraph.co.uk/telegraph/multimedia/archive/01298/coffee_1298838c.jpg)
2. ทุกท่านคงทราบกันดีว่า ในชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (caffeine)คาเฟอีนที่บริสุทธิ์จะสกัดได้เป็นผงสีขาว และะมีรสขม ดังในรูปด้านล่าง
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c7/Caffeine_USP.jpg/800px-Caffeine_USP.jpg)
คาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อหลายระบบ ของร่างกาย โดยเฉพาะการกระตุ้นประสาทส่วนกลาง เพิ่มการเผาผลาญเมตาบอลิซึม เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต
และยังมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ (anti-diuretic effect) ซึ่งทำให้ไตต้องขับของเหลวมากกว่าปกติ (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_exclaim.gif)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/72/Main_side_effects_of_Caffeine.png/525px-Main_side_effects_of_Caffeine.png)
ในชาจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟมาก กล่าวคือมีอยู่ราว 40 มิลลิกรัมต่อนํ้าชา 1 ถ้วยขนาดทั่วไป
ในขณะที่กาแฟคั่วบดมีคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมแล้วแต่เมล็ดพันธุ์กาแฟ และชนิดผงสำเร็จรูปมี 64 มิลลิกรัม
ปกติแล้วในหนึ่งวันร่างกายไม่ควรได้รับคาเฟอีนเกินกว่า 300 มิลลิกรัม
อย่างไรก็ดี คาเฟอีนเป็นสารที่ไม่สามารถสะสมอยู่ในร่างกายได้
จึงไม่ต้องกังวลเรื่องผลตกค้าง จะต้องระวังก็เพียงแต่การบริโภคเกินขนาดที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน
สตรีมีครรถ์และมารดาที่ให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
เพราะคาเฟอีนถูกส่งผ่านรกเข้าสู่ทารกได้ และยังผ่านทางนํ้านมได้ด้วย
ดังนั้น ถ้าพิจารณาถึงปริมาณของคาเฟอีน เราจึงไม่ต้องเลิกกาแฟ
ขอเพียงแต่ดื่มไม่เกินวันละ 2 ถึง 3 ถ้วยเท่านั้น และเลือกใช้กาแฟสดแทนกาแฟผงสำเร็จรูป
ส่วนนํ้าชาดื่มได้ไม่เกินวันละ 7 ถึง 8 ถ้วย แต่มีประโยชน์ของชาที่ผมจะกล่าวในรีพลายต่อไป
คนที่ดื่มทั้งสองอย่างก็ต้องพิจารณาอย่างเหมาะสมนะจะบอกให้
การดื่มชาและกาแฟติดต่อกันนานๆ ย่อมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายขาดนํ้าได้
ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงไม่ควรดื่มชากาแฟแทนนํ้าที่ร่างกายเสียไป (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_evil.gif)
นอกจากนี้ชาและกาแฟยังรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้
ฉะนั้น ถ้าคุณมีแนวโน้มจะมีภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็กแล้วชอบดื่มชากาแฟ
ก็ควรงดดื่มในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนเวลาอาหาร จนถึงอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหาร
(http://www.ava-healthcenter.com/private_folder/Green20Tea.jpg)
3. มีผลวิจัยที่ประเทศแถบทวีปยุโรปยืนยันว่า การดื่มชาวันละ 4 - 6 ถ้วยต่อวัน
จะช่วยลดความเสี่ยงต่อจากโรคบางอย่างได้ เช่นโรคหัวใจและเส้นเลือด
และมีรายงานไว้ชัดเจนว่า กลุ่มผู้ชายอายุ 50-69 ปี ที่ดื่มชาเฉลี่ยวันละประมาณ 4-5 ถ้วย
ความเสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดในสมองแตกลดลงได้ถึงเกือบ 70 %
ส่วนในสหรัฐอเมริกาก็มีวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาวันละ 1 ถ้วยขึ้นไป
จะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มชาเลยถึง 50 %
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าในชาไม่ว่าจะเป็นชาดำ ชาอูหลง หรือชาเขียว
ต่างก็เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ( anti-oxidant) จำพวก ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)
ซึ่งจะสลายออกมาจากใบชาในช่วงไม่กี่นาทีแรกที่เราเติมนํ้าร้อนเข้าไป
ฟลาโวนอยด์นี้เองที่จะไปช่วยให้ร่างกายต่อต้านอนุมูลอิสระชนิดต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา
และเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็งบางชนิด น่านล่ะครับ
การดื่มชาวันละ 3 ถ้วย เป็นเวลาสองสัปดาห์
จะช่วยเพิ่มปริมาณฟลาโวนอยด์ในเลือดได้ถึง 25 % (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
(http://www.photographyblogger.net/wp-content/uploads/2009/05/coffee-cup.jpg)
4.ทิ้งท้ายไว้สักนิดแต่ก็มีความสำคัญนะครับ
1. ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟลดความอ้วนจำหน่ายหลายยี่ห้อ (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_twisted.gif)
แต่ที่พิสูจน์ได้ชัดทางการแพทย์ พบว่าได้ผลกับการดื่มชาบางชนิด และช่วยลดนํ้าหนักได้ไม่มาก
ส่วนที่มีคนบอกว่า ดื่มกาแฟประเภทสลิมมิ่งแล้วนํ้าหนักลด
ทางองค์การอาหารและยาบ้านเราวิเคราะห์แล้วพบว่า
หลายยี่ห้อมีการเจือปนยาลดความอ้วนบางชนืดเข้าไปด้วย (sibutramine) ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะไม่ได้เป็นการพบแพทย์โดยตรง (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_rolleyes.gif)
2. การบริโภคชากาแฟมากเกินพอดีเป็นประจำจนติดและไม่ดื่มไม่ได้นั้น ถือว่าติดคาเฟอีนแล้ว
แต่การติดคาเฟอีนไม่จัดเป็นยาเสพติดตามเกณฑ์ PSM-IV ของสมาคมจิตแพทย์ศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา
และนิยมเรียกพฤติกรรมบริโภคคาเฟอีนว่า บริโภคจนเป็นนิสัยหรือติดมากกว่า
ถ้าดื่มจนติดเป็นนิสัยและไม่ได้รับคาเฟอีนจะเกิดอาการถอนคาเฟอีน (caffeine withdrawal ) โดยจะมีอาการปวดศีรษะภายใน 6 ชั่วโมง
ตามมาด้วยอาการอ่อนเพลีย น้ำมูกไหล เหงื่อออกมาก ปวดกล้ามเนื้อ วิตกกังวล กระวนกระวาย อาการเหล่านี้จะคงอยู่ไม่ต่ำกว่า 72 ชั่วโมง
ฉะนั้นหากจะเลิกดื่มชากาแฟ ก็แก้ปัญหาได้โดยการค่อยๆลดปริมาณการดื่มลง ไม่ใช่เลิกแบบปุบปับครับ (http://www.baanpud.net/forum/images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
(http://www.plazacool.com/attachments/product/images_1-56556.jpg)
ขอขอบคุณ....คุณหมอbenzcl
http://www.baanpud.net/forum/viewtopic.php?f=47&t=2418 (http://www.baanpud.net/forum/viewtopic.php?f=47&t=2418)
noway2know -http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=59.0