การเผชิญความตายอย่างสงบ (http://ipad.wallpapersus.com/wp-content/uploads/2012/10/White-Flower-Macro-Photography-300x300.jpg)
ที่มาของแนวคิดและโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ?
คนส่วนใหญ่ในสังคมเวลานี้มีความทุกข์มาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ก็ไม่สามารถวางใจให้ถูกต้องได้ ทุกข์ทรมานและตายไปกับความทุกข์ เราก็พบว่าคนที่ทุกข์ยังรวมถึงญาติพี่น้องด้วย จะช่วยเขาได้อย่างไร วิธีหนึ่งคือการทุ่มเทในการรักษา แต่บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาให้หายจากโรค แต่เป็นการยืดลมหายใจ ตัวผู้ป่วยก็ทุกข์ คุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้น ซ้ำยังส่งผลเสียต่อผู้คนต่อสังคมด้วย เพราะการรักษาพยาบาลในแบบที่ว่านี้ ทรัพยากรบุคคลและเทคโนโลยีที่จะช่วยผู้ป่วยที่มีโอกาสรอดได้ ถูกนำมาใช้เพื่อยืดอายุลมหายใจของผู้ป่วยที่หมดทางรักษา แทนที่จะปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบ นี่เป็นที่มาของโครงการเผชิญความตายอย่างสงบ
ในทางพุทธศาสนามีความเชื่อว่าสิ่งสำคัญในชีวิตเรา จิตในภาวะสุดท้ายมีความสำคัญมาก จะไปสู่สุคติ ทุคติก็ ส่วนหนึ่งอยู่ที่จิตใจภาวะสุดท้าย และเชื่อว่าคนเราสามารถตายอย่างสงบได้ สามารถช่วยให้ตัวเองอยู่เหนือความทุกข์ ความทรมานทางกายได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยสอนพุทธบริษัทคนหนึ่งว่า แม้กายกระสับกระส่าย อย่าให้จิตกระสับกระส่าย และก็มีอุบาสกอุบาสิกาจำนวนมากที่สามารถบรรลุธรรมได้ ขณะที่เขากำลังจะตาย โดยอาศัยจิตสุดท้ายในการบรรลุธรรม จากประสบการณ์จากการทำงานในเรื่องนี้เราก็พบว่า คนธรรมดาสามัญ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ฆราวาส คนธรรมดา สามารถตายอย่างสงบได้ แม้โรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าจะเป็นโรคร้าย ทำความเจ็บปวดให้ร่างกาย แต่ถ้าวางใจให้สงบ รักษาใจให้เป็นปรกติ ก็สามารถผ่านพ้นความเจ็บปวดทางกาย และผ่านความตายได้อย่างสงบ
ประโยชน์ของโครงการนี้คงไม่เฉพาะแต่การมุ่งให้คนไข้และญาติมุ่งรักษาใจให้เป็นปรกติในวาระสุดท้ายเท่านั้น แต่เราคิดว่ามันอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งก็หวังว่าจะทำให้เราไม่เน้นเฉพาะแต่เรื่องเทคโนโลยี แต่เน้นเรื่องการสร้างสมรรถภาพทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นการเยียวยาครอบครัวและญาติมิตรของผู้ป่วยด้วย และการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ก็จะเป็นไปในทางช่วยให้คลายทุกข์ และถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่แค่การยืดลมหายใจของบางคน ในขณะที่คนจำนวนมากที่ยังอยู่ในขั้นรักษาหายได้กลับต้องตายเพราะเขาไม่มีหมอ พยาบาล และเตียงคนไข้ เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับเขา
เราหวังว่าทัศนะสังคมจะเปลี่ยนในเรื่องของความตาย คนที่เข้าใจเรื่องความตายถูกต้อง ก็จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่บริโภคเสพสุขอย่างเอารัดเอาเปรียบกัน แล้วพอถึงเวลาใกล้ตายก็ทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเรารู้ว่าการตายอย่างสงบคือความถูกต้อง เราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีศีลมีธรรม เป็นกุศล สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมบริโภคนิยม เพราะเป็นสังคมที่มองความตายแบบปกปิด ไม่รับรู้ หลงลืมเรื่องความตาย
ถ้าวิธีการใช้ชีวิตของผู้คนปัจจุบันเปลี่ยนไป แล้วจะเกิดผลอย่างไรต่อครับ?
คือถ้าคนเรารู้ว่าความตายไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ไม่ใช่วิกฤติ แต่คือโอกาส อาจเป็นวิกฤติในทางกาย แต่ในทางใจคือโอกาส คือเราสามารถเข้าถึงความสงบได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ยกจิตของเราให้สูงขึ้น เราก็จะไม่ฝืนหรือปฏิเสธความตาย แต่เราจะรับมือหรือเผชิญหน้ากับความตายอย่างดีที่สุด ซึ่งจะทำให้เราพึ่งเทคโนโลยีน้อยลง ไม่ฝืนความจริง แต่ยอมรับและเผชิญกับความเป็นจริงอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วเราทุกข์เพราะความยึดติดกับสิ่งที่จะพลัดพรากจากกัน ทรัพย์สมบัติ คนรัก ชื่อเสียง เกียรติ หรือความรู้สึกที่ไม่ดี เช่น ความรู้สึกผิด ความห่วงหาอาลัย ซึ่งจะทำให้คนตายไม่ดี แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ จะทำให้จิตใจเราเบา และผ่านความตายไปได้อย่างสงบ เกิดจิตที่สว่างไสว
หัวใจของการเผชิญความตายอย่างสงบ คือการเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงของชีวิตอย่างไม่ขัดขืน ไม่ฝืนความจริง รู้จักปล่อยวาง สิ่งเหล่านี้เทคโนโลยี เงินทอง ช่วยเหลือไม่ได้ ต้องอาศัยการฝึกจิตใจของเรา อาศัยสิ่งแวดล้อม เช่น ญาติ มิตร หมอ พ่อแม่ ช่วยเหลือ
ผู้ป่วยใกล้ตายนอกจากเรื่องร่างกายแล้ว ยังมีปัญหาด้านจิตใจด้วย?
ใช่ ส่วนใหญ่คนเวลาป่วยไม่ใช่เป็นที่ร่างกายเท่านั้น ป่วยใจด้วย คือ เกิดความกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง เป็นภาระกับผู้อื่น กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวตายแล้วจะไปไหน วิตกกังวล เป็นห่วงลูกหลาน การงาน เป็นความทุกข์ทางใจที่จะไปกดทับโรคร่างกาย และบางครั้งความเจ็บป่วยทางใจอาจหนักหนาสาหัสกว่าโรคทางกาย อย่างบางคนร่างกายยังไม่เป็นอะไร แต่พอหมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง ใจนี่ทรุดเลย หรืออย่างที่มีเรื่องเล่าว่า มีคนๆหนึ่งตัวซีด ไม่มีเรี่ยวแรง ต้องนั่งรถเข็นมาตรวจ นักศึกษาตรวจว่า ไม่มีอะไรเป็นพยาธิทำให้โลหิตจาง ตัวซีด กินธาตุเหล็กหน่อยก็ดีวันดีคืน พูดจบคนไข้ลุกได้เลย แล้วก็พูดกับหมอว่า ถ้าเป็นแค่นี้ไม่ต้องใช้รถเข็นแล้ว ทีแรกที่ไม่มีแรงเพราะวิตกกังวลว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรง พอรู้ว่าไม่มีอะไร เรี่ยวแรงก็กลับคืนมา เจอเยอะคนไข้ทำนองนี้
มีบางคนเป็นโรคมะเร็งแต่เขากลับมีความแช่มชื่นเบิกบาน เพราะใจเขายอมรับความจริงได้ ปล่อยวางได้ อย่างมีเด็กคนหนึ่ง อายุ 14 แต่หน้าตาแจ่มใสทั้งที่เป็นมะเร็งสมอง เขาบอกเขาโชคดีที่เป็นมะเร็งสมอง ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก เพราะย่าเขาที่เป็นมะเร็งมดลูก เจ็บปวดมาก บางคนแค่ปวดหัวตัวร้อน แต่กลับทรุดหนัก เพราะโรคทางใจไปปรุงแต่งให้ทุกข์มากขึ้น แต่ถ้าทุกข์ทางใจหมดไป โรคร้าย ๆ ก็กลับไม่น่ากลัว
บางทีคนสมัยนี้อยากจะตายไม่ใช่เพราะโรคทางกาย แต่เป็นเพราะโรคทางใจ มีการวิจัยในประเทศฮอลแลนด์ กับคน 200 คนที่อยากตาย โดยให้หมอเป็นคนทำ เกินครึ่งอยากตายเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องทางใจ
การใช้เครื่องมือแพทย์ยื้อชีวิต บางกรณียื้อแล้วก็อาจจะฟื้น แต่บางกรณีเยื้อไปก็ไม่รอด เส้นแบ่งควรอยู่ตรงไหนครับ?
พูดยาก แต่มีบางโรคที่ไม่มีทางรักษา ที่ทางการแพทย์เรียกว่าผู้ป่วยหมดหวัง เช่น มะเร็งระยะสุดท้าย หมดสติไปแล้ว อาการแบบนี้ไม่มีทางจะดีขึ้นมาได้ มีแต่จะตายในที่สุด ซึ่งต่างจากผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ โรคหัวใจ ซึ่งโรคปัจจุบันทันด่วนบางกรณีหมออาจหมดหวังแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมาก็มี อันนี้อยู่ในข่ายที่น่าจะลอง แต่ลักษณะอย่างผู้ป่วยมะเร็งเรื้อรัง ถ้าลักษณะของโรคมีแต่จะแย่ลง ๆ การยื้อไม่ใช่ยื้อเพื่อหวังให้หาย แต่หวังเพียงแค่ยืดลมหายใจ ซึ่งเป็นการยืดความทุกข์ทรมานออกไป
แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าเราทุ่มเทไปที่เรื่องเทคโนโลยีมากน้อยเท่าใด แต่อยู่ตรงที่ว่าเราให้ความสำคัญเรื่องกายจนลืมเรื่องใจ เรายื้อเรื่องกาย แต่ใจ เรามองข้าม เมื่อไม่ให้ความสำคัญกับจิตใจก็คิดว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเยื้อชีวิตไว้ให้นานที่สุด เพราะเป็นเรื่องเดียวที่เราทำได้ ผู้ป่วยหลายคน ญาติหลายคน ไม่ได้นึกเรื่องนี้ในตอนแรก เขาคิดว่าต้องยื้อให้เต็มที่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีแนวโน้มที่จะหาย แต่พอเขารู้ว่าในภาวะเช่นนี้ถ้าเขาได้ตายอย่างสงบ มีเรี่ยวมีแรงอยู่กับลูก ได้มีเวลาพูดคุยความในใจ อาจช่วยให้เขาตายอย่างสงบได้ พอลูกรู้เช่นนี้ เขาก็ตระหนักว่าเขาไม่จำเป็นต้องยื้อ หันมาให้ความสำคัญกับการให้เวลากับคนไข้
คนส่วนใหญ่ที่ยื้อเพราะไม่รู้ว่ามีวิธีอื่นที่ทำได้ช่วยได้ บางทีเมื่อเขารู้ว่ามีวิธีอื่น เขาก็ไม่ยื้อ หันมาใช้วิธีการให้การเยียวยาจิตใจ มีเวลาคุยกับผู้ป่วย พูดถึงสิ่งดี ๆ ที่ทำให้เขาภูมิใจ และมีโอกาสได้ร่ำลา ช่วยเขาปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ หลายคนก็พบว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด ผู้ป่วยได้ตายอย่างสงบ แทนที่จะเสียใจเขาได้ความปิติที่ได้ให้สิ่งที่ดีแก่ผู้ป่วย แต่ปัจจุบันเรามองไม่เห็นวิธีอื่นใดนอกจากเรื่องการปั๊ม ถ้ามีเงินก็บอกหมอทำเต็มที่ฉันมีเงินให้ จากสภาพการณ์ที่เห็นการมุ่งยื้อชีวิตผู้ป่วยหนักเป็นสำคัญ
มีแรงบันดาลใจหรืออะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พระอาจารย์หยิบเอาเรื่องการตายอย่างสงบมาเป็นคำตอบ?
เราได้พบกรณีตัวอย่างมามาก เขาโดนโรคร้ายเกาะกินแล้วก็ไปอย่างสงบได้ บางคนแทบไม่ได้พึ่งยาแก้ปวด อาศัยสมาธิ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่ปฏิบัติธรรมมานาน มาสนใจตอนที่ป่วย แต่สามารถอาศัยสมาธิหายจากความเจ็บปวดได้ หรือบางคนสมาธิอาจไม่เข้มแข็ง แต่อาศัยพยาบาล ญาติพี่น้องเป็นผู้นำจิต หรือใช้การผ่อนคลายทางกาย หรือใช้จินตนาการ ก็หายกระสับกระส่าย เราได้เจอแบบนี้มาก จึงคิดว่าการให้ความสำคัญเรื่องจิตใจกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายเป็นสิ่งสำคัญ กรณีตัวอย่างที่ได้พบไม่ได้เป็นพระ แต่อาจเป็นคนธรรมดา ที่เคยมีความยึดติด ที่เคยต่อสู้กับความตาย ความเจ็บปวด แล้วในช่วงท้ายของชีวิต เกิดมีคนแนะนำให้เขาวางจิตได้ถูกต้อง เขาก็ไปสงบ
เราเจอแบบนี้เยอะก็พบว่าการตายอย่างสงบ เป็นสิทธิของทุกคน เราต้องยอมรับว่าการตายเป็นหน้าที่ของทุกชีวิต เราปฏิเสธหน้าที่นี้ไม่ได้ และเป็นหน้าที่ที่มาพร้อมกับสิทธิ แล้วการตายอย่างสงบก็เป็นสิทธิที่ทุกคนเข้าถึงได้ เราก็เลยเกิดความมั่นใจว่าการช่วยให้คนตายอย่างสงบไม่ใช่เรื่องที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ไม่ต้องศรัทธามั่นคงแน่นแฟ้นในศาสนาก็ได้
ยกตัวอย่างได้ไหมครับ?
เด็กสิบสี่ขวบคนหนึ่งเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย วันสุดท้ายในชีวิตเขากระสับกระส่ายมาก พยาบาลที่ไม่ได้รู้เรื่องธรรมะอะไรมาก แต่รู้ว่าเด็กคนนี้ชอบอุลตร้าแมน ตอนเด็กกระสับกระส่ายก็บอกให้เด็กจินตนาการว่ากำลังไปซื้ออุลตร้าแมนด้วยกัน โดยมีพยาบาลเป็นผู้บรรยายนำทาง ทำอยู่ประมาณ 30 นาที เด็กก็เริ่มสงบ แล้วไม่กี่ชั่วโมงเด็กก็ตายอย่างสงบ นี่เป็นตัวอย่างว่าเด็กก็ตายสงบได้ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นมะเร็ง
ผู้ใหญ่ก็มี อย่างพี่สาวของเพื่อนอาตมา เขาเป็นมะเร็งเต้านม ต่อมาท่อน้ำดีอุดตันทำให้ตับเป็นพิษ ก็ไม่อยากรักษา บอกว่าไม่อยากจะยื้อชีวิตแล้ว หมอเป็นห่วงว่าพิษจะซึมไปทั่วร่างกาย แล้วทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง เพ้อ หมดสติ แต่ปรากฏว่า 7 วันสุดท้ายของโยมคนนี้ รู้ตัวอยู่ตลอด จนถึงชั่วโมงสุดท้าย โดยไม่มีอาการเพ้อ ซึ่งผิดจากที่หมอคาด เพราะครอบครัวเขาดูแลเรื่องจิตใจ ลูกหลานมาเยี่ยมเยียน แม่ พี่น้องเอาใจใส่ ผู้ป่วยก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งตรงข้ามกับในโรงพยาบาล หรือในห้องไอซียู ครอบครัวยังชักชวนให้คนป่วยทำบุญ ทำสมาธิด้วยกัน
ช่วง 2 วันสุดท้าย มีการพูดนำทางให้คนไข้นึกถึงพระรัตนตรัย ให้ใจน้อมนึกถึงพระรัตนตรัย และให้เดินตามไป รวมทั้งให้น้อมจิตขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร และแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้นึกถึงสิ่งดี ๆ เขารักษาอยู่ที่บ้าน 7 วันสุดท้ายไม่ไปโรงพยาบาล วันสุดท้ายครอบครัวก็ยังไม่คิดว่าเขาจะตายก็ชวนกันว่ามาสวดมนต์ 1,000 จบ ระหว่างที่สวดเขายังรู้สึกตัว จนราวห้าหกร้อยจบก็มีคนสังเกตว่าเขาหมดลมไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าในตอนไหน ทั้งที่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขายังจำแม่ได้ ทักคนได้ ขอกินข้าวด้วยซ้ำ แล้วก็จากไปในขณะที่ยังสวดอยู่ สงบมาก เมื่อรู้ว่าหมดลมแล้ว ทางญาติก็ยังสวดต่อไปจนครบพันจบ ถือเป็นของขวัญสุดท้ายที่จะให้แก่เขา ญาติก็ภูมิใจและปลื้มปิติที่ส่งญาติของเขาให้จากไปอย่างสงบได้
ในหลาย ๆ กรณีความตายไม่ใช่เรื่องที่น่าเศร้า ความตายอาจสามารถนำความปลื้มปิติมาให้ หากว่าเป็นการตายอย่างสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ยื้อยุดฉุดชีวิตเอาไว้ หรือถูกยื้อยุดชีวิต คนป่วยก็ทรมาน ญาติก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดี ความตายถ้าตายอย่างสงบจะเยียวยาผู้ป่วย เยียวยาญาติมิตรได้ด้วย ซึ่งมิตินี้การแพทย์ไม่สนใจ เพราะเขาวัดอัตราความสำเร็จว่ารอดอยู่ได้กี่วัน รอดอยู่ได้หลายวันก็ถือว่าสำเร็จมาก ซึ่งระหว่างนั้นคนป่วยก็ทุกข์ ญาติก็ทุกข์ พอเขาตายญาติก็เสียใจ บางทีก็เสียใจว่าไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่าง หรือรู้สึกผิดว่าไม่มีโอกาสได้พูดได้คุยกันในหลายเรื่อง
เรื่องหลักวิธีการล่ะครับ พระอาจารย์ได้มาจากไหนครับ?
ก็จากประสบการณ์ สรุปออกมาเป็นแนวทาง อย่างแรกคือความรัก การให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนี่สำคัญมากอย่างคนป่วยส่วนหนึ่งก็อย่างที่บอก เขาไม่ได้ป่วยกายเขาป่วยใจ วิธีที่จะระงับได้ไม่ใช่ยาอย่างเดียว ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือธรรมโอสถ มีคนดูแลเอาใจใส่ พร้อมที่จะดูแลเขาจนนาทีสุดท้าย ก็เกิดกำลังใจ กำลังใจนี่ทำให้เอาชนะความกลัวได้
ปัญหาหนึ่งของคนป่วยคือกลัวว่าเขาจะถูกทอดทิ้ง ต้องตายอยู่คนเดียว สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ให้ความรักกับเขา ให้ความมั่นใจว่าเราจะดูแลช่วยเหลือเขา และให้เขานึกถึงสิ่งที่ดีงาม หลักธรรม สิ่งที่เขานับถือ รวมทั้งสิ่งดีงามที่เคยทำมา การทำบุญ การเลี้ยงดูลูก การเป็นแบบอย่างให้แก่ญาติพี่น้อง การเป็นครูที่ดี ลูกที่ดี ทำให้เขาภาคภูมิใจและรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เมื่อรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย ความตายก็เป็นเรื่องไม่น่ากลัว เพราะถ้าอยู่อย่างดีก็ตายดี การนึกถึงสิ่งดีงามช่วยได้มาก อีกอย่างหนึ่งคือช่วยให้เขาปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ พระอาจารย์แปลและเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องความตาย รวมทั้งหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพุทธศาสนา
พระอาจารย์เขียนมาก่อนหรือสนใจเรื่องนี้ก่อนจึงไปศึกษาครับ?
สนใจเรื่องความตายเพราะรู้สึกว่าวันหนึ่งเราต้องตายและไม่รู้จะตายในลักษณะไหน อาจด้วยมะเร็ง ถูกคนทำร้าย อุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวทั้งนั้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเราทำใจได้หรือเปล่า ก็เกิดความหวั่นไหว อันนี้มีมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้ว เมื่อเริ่มศึกษาก็พบว่าการฝึกจิตนี้สำคัญ ทำให้ศึกษาเรื่องพวกนี้ ตอนหลังเมื่อมาจับงานแปลก็ได้เห็นการเตรียมตัวตายที่ดีขึ้น ตอนหลังก็มีคนนิมนต์ไปพูด ก็คิดว่าน่าจะจัดการอบรมเรื่องนี้ มีคนเห็นด้วยก็กลายเป็นโครงการขึ้นมา เริ่มแรกมาจากความพยายามที่จะแก้โจทย์ส่วนตัว แต่ได้เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นด้วย เริ่มโครงการเล็ก ๆ เมื่อปี 45 ตอนนี้เป็นระดับเล็ก
เรื่องชื่อโครงการล่ะครับ?
เรารู้สึกว่าทุกวันนี้เรากลัวความตาย จนคำว่า ความตาย กลายเป็นคำที่อุจาด แต่เราคงเผชิญความตายอย่างสงบไม่ได้ถ้าแม้แต่คำว่าความตายยังเป็นเรื่องรับไม่ได้ มีคนแนะนำให้ใช้ว่า สุนทรียมรณัง อะไรทำนองนั้น แต่เราคิดว่าวิธีแบบนั้นปรุงแต่งเกินไป และเราควรพร้อมที่จะคุยเรื่องความตาย เสมือนเป็นสิ่งธรรมดาที่อาจเกิดในชีวิตประจำวัน เราเลยเขียนชื่อตรง ๆ เลย
เราถือว่าการเผชิญหน้ากับความตายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราพร้อมที่จะเผชิญเสียแต่เดี๋ยวนี้ และอย่างที่มีคำคนบอกว่า อะไรที่เราสู้กับมันไม่ได้ ก็เป็นมิตรกับมันเสียเลย ความตายนี่เราสู้มันไม่ได้ เราก็ควรเรียนรู้ที่จะเป็นมิตรกับความตาย เห็นความตายเป็นสิ่งที่จะทำให้เราไม่ประมาท ขวนขวายทำความดี รู้จักปล่อยวาง ความตายมีประโยชน์ ถ้าเรานึกถึงความตายจะทำให้เราขวนขวายในสิ่งที่เราชอบผัดผ่อน แล้วก็ปลดเปลื้องในสิ่งที่เราชอบยึดติด
หลายคนชอบผัดผ่อนในเรื่องที่ดี การไปวัดปฏิบัติธรรม การไปเยี่ยมพ่อแม่ บางคนชอบบอกเอาไว้ก่อน แต่พอรู้ว่ามีเทศกาลลดราคาที่ห้างสรรพสินค้า คืนนี้คืนสุดท้าย ก็แห่ไปกันใหญ่ เรื่องที่ไม่จำเป็นนี่เร่งรีบเหลือเกิน แต่เรื่องที่สำคัญ-ผัดผ่อน เรื่องสัมพันธภาพกับคนรัก เรื่องลูก ตอนนี้ยังไม่มีเวลาให้ลูก ขอทำงานก่อน ให้รวยก่อนค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัว แต่พอรู้เรื่องความตายก็จะตระหนักว่าเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ อะไรที่สำคัญจึงควรทำเสีย
แต่เรื่องไม่ดีเราชอบยึดติดนัก ใครด่าเราจำมั่น โกรธใครเกลียดใครนี่จำแม่น มันเป็นทุกข์ยิ่งกว่าติดคุก พอเศร้าเสียใจก็จมอยู่กับมัน แต่ถ้ารู้เรื่องความตายจะช่วยกระตุ้นให้เราปล่อยวาง จะโกรธเขาไปทำไมไม่นานก็ตายจากกันแล้ว งานการล้มเหลว เป็นทุกข์ แต่พอนึกถึงเรื่องความตายขึ้นมา เรื่องพวกนี้เราปล่อยวาง กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไป ของหาย รถหาย เงินหาย กลุ้มเหลือเกิน แต่พอนึกถึงความตาย ของพวกนี้กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำให้เราปล่อยวางได้
(http://ipad.wallpapersus.com/wp-content/uploads/2012/10/Wet-Leaves-300x300.jpg) (http://ipad.wallpapersus.com/wp-content/uploads/2012/10/Macro-Mushroom-300x300.jpg)