ใต้ร่มธรรม
วิถีธรรม => จิตภาวนา-ปัญญาบารมี => ข้อความที่เริ่มโดย: นิกายเซน ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:38:20 am
-
เริ่มโหมโรง "มหากาพย์"
หนังสือธรรมะคำสอนเซน..
ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย
"หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน" (the core of zen)
เขียนโดย พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/600488_336946689748712_1217757951_n.jpg)
เข้าไปอ่าน"หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน" (the core of zen)
ได้ที่
1.http://www.facebook.com/ammarintharo (http://www.facebook.com/ammarintharo)
2.http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138 (http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138)
3.http://www.facebook.com/profile.php?id=100003001500398 (http://www.facebook.com/profile.php?id=100003001500398)
และเข้าไปฟัง ธรรมะใจต่อใจในการฝึกตน mp 3 ( video )
ได้ที่
1.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 1.flv (http://www.youtube.com/watch?v=icz6yul9yv8#)
2.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 2.flv (http://www.youtube.com/watch?v=1hlS-CG4wmE#)
3.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 3.flv (http://www.youtube.com/watch?v=qe8X_5yjnMk#)
4.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 4.flv (http://www.youtube.com/watch?v=4EI5IGtz4yU#)
5.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 5.flv (http://www.youtube.com/watch?v=AKRWLwM23Lc#)
6.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 6.flv (http://www.youtube.com/watch?v=fA7sw6VRuQ8#)
7.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 7 (http://www.youtube.com/watch?v=38_I31rPrAk#)
8.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 8 (http://www.youtube.com/watch?v=586EvinSQfI#)
9.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 9 (http://www.youtube.com/watch?v=As7Cv50I_s8#)
[/size]
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/555405_319605168149506_1987030920_n.jpg)
(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/47856_334506833326006_351292199_n.jpg)
-
คำอนุญาต
หนังสือธรรมะ “ใจต่อใจในการฝึกตน” (The core of Zen) ถูกพิมพ์ขึ้นเพื่อมีวัตถุประสงค์
เผยแพร่ธรรมะ เพื่อให้ธรรมเป็นทาน หากผู้ใดมีเจตนา จะเอาธรรมะในหนังสือเล่มนี้ไปพิมพ์ต่อ เพื่อมีเจตนาจะเผยแพร่ธรรม และพิมพิ์แจกฟรี ผู้เขียนอนุญาตในทุกกรณี แต่ห้ามดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม เนื้อหาธรรมะ ในทุกส่วนของหนังสือเล่มนี้ ขออนุโมทนาบุญ สำหรับผู้ที่สนใจ จะนำ หนังสือธรรมะ “ใจต่อใจในการฝึกตน” (The core of Zen) ไปพิมพ์แจกจ่ายฟรี เพื่อให้ธรรมเป็นทาน สมดังเจตนาของผู้เขียน
ผู้เขียน พระราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/579198_287619744681407_330352991_n.jpg)
-
ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันก้าวไปกว่ากรอบทางศาสนา
และความเชื่อใดๆที่มนุษยชาติเคยรู้จัก
มันก้าวหน้าพ้นแม้กระทั่ง
ศีลธรรมอันดีอันบริสุทธิ์ของมนุษย์
ในเนื้อหาธรรมชาติมันมีแต่ความว่างเปล่า..มันไม่มีกรอบ
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/553940_487593471267155_1077978143_n.jpg)
สอนฉัน
แล้วฉันจะลืม
แสดงให้ฉํนทำ
แล้วฉันจะจำได้
ให้ฉันฝึกทำ
แล้วฉันจะเข้าใจ
ลองถอยไป
ให้ฉันแสดงให้ดู
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/22612_283352591774764_89110283_n.jpg)
ฟ้าร้อง..คำรามลั่น
น้ำฝนย้อยลงเหมือนสายม่าน
ใจเย็นฉ่ำเหมือนฝน
..
..
บทกวีไฮกุ...นายเมฆ โคโมริ
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/397313_283703595072997_672652978_n.jpg)
-
"คนของเรา"
ย่อมขึ้นฝั่งพระนิพพานทุกดวงจิต
ภายใต้ความโอบอุ้มปีกพุทธะ
แห่ง "ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ "
ที่เราจักหยิบยื่นให้ตามวาระและโอกาส
ด้วยมิตรไมตรีที่เคยมีให้กันเสมอมา
ครูสอนเซน
พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/75755_287620811347967_972829804_n.jpg)
-
ฉันจะกลับไปญี่ปุ่น
ไปพบครูสอนเซน
ผู้วางแนวทางให้แก่ฉัน
กลับไปหาพ่อแม่และคนที่ฉันรัก
ฉันจะพาเธอไปดูต้นข้าวที่ออกรวง
ในแปลงนาของเราผืนนั้น
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/579497_287621731347875_1089097446_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง
“มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ” เป็นเจ้าของแนวคิดเกษตรธรรมชาติที่เป็นที่รู้จักในหมู่เกษตรกรและนักวิชาการ ชาวไทยเป็นอย่างดี ภายหลังจากที่หนังสือ One Rice Straw Revolution หรือในชื่อไทยคือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ได้รับการเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2530 ฟูกูโอกะได้รับรางวัล แมกไซไซ ในปี 2531 จากผลงานเกษตรธรรมชาติซึ่งมีหลักการสี่ประการได้แก่ การไม่ไถพรวน การไม่ใช้ปุ๋ยเคมี การไม่กำจัดวัชพืช และการไม่ใช้สารเคมี ซึ่งหลักการของฟูกูโอกะได้สวนทางกับการเกษตรกรรมแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ฟูกูโอกะเป็นนักโรคพืชวิทยาที่ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกรมาไม่ต่ำกว่า 50 ปี โดยพยายามที่จะฟื้นฟูดินและระบบนิเวศในไร่นาให้กลับมามีชีวิตดังเดิม สร้างเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พรรณไม้และพืชผลในทางคุณภาพและปริมาณอีก
ด้วยมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454 ในหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะซิโกกุทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และจบการศึกษาทางจุลชีววิทยาสาขาโรคพืชวิทยา เคยทำงานเป็นนักวิจัยทางการเกษตรของกรมศุลกากรเมืองโยโกฮาม่าในการตรวจสอบ พันธุ์พืชที่จะนำเข้าและส่งออก เมื่อเขาอายุได้ 25 ปี ได้ตัดสินใจลาออกจากงานและกลับไปทำเกษตรกรรมที่บ้านในชนบท เขาใช้เวลากว่า 50 ปี ไปกับการพัฒนาวิธีการทำการเกษตรธรรมชาติ
ฟูกูโอกะเป็นผู้นำงานจากห้องทดลองออกมาสู่ไร่นา เขาอธิบายว่า ชาวนาเชื่อว่าทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน แต่ถ้าปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย เพียงแต่ปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง
ผู้เขียนนึกถึงหนังสือเล่มนี้ทีไรก็อดนึกถึงวันเก่าๆในสมัยที่ยังเป็นพระเด็กๆซึ่งเริ่มหัดภาวนาไม่ได้ ก็เพราะว่าหนังสือเล่มนี้นี่เอง “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ( One Rice Straw Revolution ) ที่มันพลิกโฉมหน้าการปฏิบัติของข้าพเจ้ามาสู่เส้นทางธรรมอันคือธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ ดร.ฟูกูโอกะ ที่ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นและหนังสือของท่านได้รับรางวัลแมกไซไซ แล้วข้าพเจ้าก็เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นฆาราวาสตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 3 และครั้งเมื่อมาบวชได้ 9 พรรษาจึงได้มาเจอหนังสือเล่มนี้อีกครั้งบนศาลาใหญ่หอประชุม แห่ง “วัดถ้ำเสือวิปัสสนา” จังหวัดกระบี่ เป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้มาจำพรรษาพำนักอยู่หลายปีแล้ว ครั้งเมื่อเจอมันโดยบังเอิญก็รีบหยิบมันขึ้นมาอ่านเพื่อเสพอรรถรสในเนื้อหาเดิมๆของหนังสือเล่มนี้
แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านไปๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาไม่รู้ตัวถึง “วิธีการธรรมชาติ” ที่ ดร.ฟูกูโอกะ ท่านนำเอามาใช้ในวิธีการทำเกษตรของท่านเองที่ตั้งใจย้อนยุคไปสู่วิธีการธรรมชาติดั้งเดิมในการทำกสิกรรมของคนญี่ปุ่นโบราณ บนพื้นฐานความคิดที่ว่า “ไม่ต้องใส่วิธีการใดๆลงไปในการเพาะปลูก ไม่ไถพรวน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช และไม่ใช้สารเคมี ควรให้ธรรมชาติมันปรับปรุงระบบมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว” ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบว่า มันก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้า พยายามปฏิบัติธรรม ทำโน้น ทำนี่ ทำตรงนั้นกับตรงนี้ เป็นการใส่วิธีการลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งผลแห่งการปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังไว้ แต่ในภาวะความเป็นจริง ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมาตั้ง 9 พรรษาแล้วนับแต่บวช แต่ผลแห่งการปฏิบัติก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควรแต่อย่างใด ก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วในระดับหนึ่งซึ่งเป็นโลกียฌาน ได้มาหลายๆอย่างแต่ก็ทำให้ตัวเองควบคุมกำลังจิตตรงนั้นไม่ได้ จนทำให้จิตข้าพเจ้ามันเกิดความวิปลาส จิตแตกจิตเสีย เกือบแทบเสียผู้เสียคนเสียความเป็นพระนักปฏิบัติไป ครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าละเลิกการเข้าไปทำกรรมฐานแบบกสินอย่างเด็ดขาดและหันมาวิปัสสนาดูจิตตนเองมากขึ้น แต่เมื่อวิปัสสนามาอีกหลายปีมันก็ยังไม่ดีขึ้น ราคะ โทสะ โมหะ ก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ จนกระทั่งข้าพเจ้าคิดว่า ตนเองคงไม่มีวาสนาที่จะบรรลุขึ้นฝั่งพระนิพพานเป็นพระอรหันต์เหมือนครูบาอาจารย์รูปอื่นๆแล้วกระมัง ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบขึ้นและเดินจงกรม พิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญญาตามรู้ตามดูจิตของตนเองตลอด โดยมีเวลาพักผ่อนได้นอนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
แต่เมื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ฉุกคิดขึ้นมาถึงคำว่า “เพียงแต่ให้ธรรมชาติมันฟื้นฟูตัวมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว” มันทำให้ข้าพเจ้าครุ่นคิดเก็บนำมาพิจารณาถึงเรื่อง “จิต” ของเราเช่นกัน เราเองก็ควรปล่อยให้จิตมันดำเนินกลับไปสู่วิถีธรรมชาติดั้งเดิมของมัน แล้วมันน่าจะฟื้นฟูตัวมันเองออกจาก อวิชชาตัณหาอุปาทานได้ เพราะโดยธรรมชาติของจิตนั้นเมื่อถูกปรุงแต่งขึ้น มันก็ย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน หลักธรรมชาตินั้นมันไม่มีอะไรที่สามารถตั้งอยู่ได้เพราะธรรมชาติแท้จริงมันคือความไม่มีไม่เป็น ถ้ามีมันก็ย่อมแปรปรวนเสื่อมไปสิ้นไป ดับไปเองตามภาวะธรรมชาติอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเลยกลับมาพิจารณาถึงวิธีปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าที่พยายามฝืนธรรมชาติทำในสิ่งที่ขัดต่อธรรมชาติ โดยข้าพเจ้าพยายามเข้าไป บังคับ จับฉวย จับกุม ให้จิตมันว่างไม่ปรุงแต่งขึ้นมา
มันก็คงเหมือนกับที่ พวกชาวนาญี่ปุ่นเชื่อว่า... “ทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน” มันเป็นการที่ชาวนาใช้ความพยายามทำอะไรลงไปสักอย่างในผืนนาแล้วชาวนาเหล่านี้คิดว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการช่วยส่งเสริมการพรวนดินทำให้คุณภาพดินดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงการกระทำดังกล่าวมันกลับทำให้ดินแย่ลงกว่าเดิม และชาวนาพวกนี้ก็ลืมและมองข้าม “วิธีธรรมชาติ” ไปว่า แท้จริงแล้วธรรมชาตมันก็มีวิธีการปรับปรุงตัวมันเองอยู่แล้ว และวิธีการธรรมชาติมันก็เป็นวิธีการจัดการโดยตัวมันเองโดยกระบวนการมันเอง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดแบบเหมาะสมลงตัว ด้วยการปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย
ในการจัดการจิตก็เช่นกัน หากเรางดเว้นที่จะเอาความเป็น “เรา” เข้าไปยุ่งเกี่ยวยุ่งยากกับมัน แล้วปล่อยให้ “ธรรมชาติ” แห่งจิตนั้น มันจัดการปรับปรุงตัวมันเอง โดยเราเห็นว่าจิตที่ถูกปรุงแต่งขึ้นนั้นมันคือทุกข์ ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเข้าไปสาละวนในการปรุงแต่งต่อเติมยืดเยื้อออกไป เมื่อเราหยุดสาละวน โดยธรรมชาติแห่งจิตนั้นเมื่อไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมาทำให้มันต้องแสดงเนื้อหาแห่งความปรุงแต่งเป็นตัวจิตมันให้ยืดยาวออกไป โดยธรรมชาติจิตนั้นเองมันก็จะมีความแปรปรวนไปตั้งอยู่ได้ไม่นานและในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะดับไปเองเป็นธรรมดาตามระบบธรรมชาติแห่งมันอยู่แล้ว การที่จิตมันดับไปๆ มันก็ทำให้เราออกจากพฤติกรรมที่ชอบเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นจิตอยู่เนืองๆ มันเป็นระบบธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูปรับปรุงจิตให้กลับไปสู่ระบบธรรมชาติของจิตที่มันแปรปรวนดับไปไม่มีเหลือเป็นธรรมดา ธรรมชาติแห่งความเสื่อมไปสิ้นไปมันจะช่วยปรับปรุงฟื้นฟูให้เกิดความคลายกำหนัดอันเกิดจากการที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงความหมายแห่งธรรมชาติที่มันมีอยู่ในธรรม และเข้าใจอย่างชัดเจนในพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า
-ธรรมชาติแห่งจิตนั้น เมื่อมันถูกปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นจิต มันย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดา
-ธรรมชาติแห่งขันธ์ทั้ง 5 นั้น เมื่อขันธ์ทั้ง 5 เกิดขึ้นแล้ว ขันธ์ทั้ง 5นั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
พระพุทธองค์ท่านก็ใช้ระบบธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูตัวมันเองเข้ามาในการแก้ไขปัญหาแห่งทุกข์แห่งการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆ และพระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบในวันที่ท่านได้ตรัสรู้ว่า แท้ที่จริงหากหลงผิดยังคิดว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ธรรมชาติแห่งความมีของสิ่งนั้นย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอนตั้งอยู่สภาพแห่งความมีเดิมๆได้ไม่นาน มันย่อมแปรปรวนสิ้นไปดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพแห่งธรรมชาติ และแท้ที่จริงธรรมชาติอันแท้จริงนั้นย่อมว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้นไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลย และจึงไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะแปรปรวนดับไป มันคือความว่างเปล่าที่เป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ใน ตติยนิพพานสูตร ว่า นิพพาน คือ “ธรรมชาติ แห่งการปรุงแต่งไม่ได้แล่ว”
เมื่อข้าพเจ้าเข้าใจเนื้อหาธรรมชาติดังนี้แล้ว นับแต่วันที่ได้อ่านหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ของ ดร.ฟูกูโอกะ เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจึงงดเว้นที่จะเอาความเป็น “ข้าพเจ้า” เข้าไปกำกับจิต จับฉวยจับกุมจิต ตามรู้ตามดูเพื่อบังคับจิตมิให้มันเกิดขึ้นหรือคอยบังคับให้มันดับไปตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้วคอยประคองภาวะความว่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันผิดวิธีธรรมชาติ ข้าพเจ้าได้เริ่มนำเอากระบวนการวิธีธรรมชาติมาใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ระบบธรรมชาติมันปรับปรุงฟื้นฟูตัวมันเอง จนกว่าข้าพเจ้าจะตระหนักชัดและซึมทราบภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของมันอีกครั้ง
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/314102_318432748266748_1953473633_n.jpg)
-
การเกิดขึ้นของมายาก็ดี
การถอนมายาออกเสียได้ก็ดี
ล้วนแต่เป็นมายาด้วยกันทั้งสิ้น
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/528603_283063605136996_1594791981_n.jpg)
-
หันหลังให้มายา
กลับสู่ธรรมชาติพุทธะ
โลกใบนี้...แค่นี้
..
..
เซน แห่ง ครูสอนเซน (พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท)
(http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/602690_315583388551684_1604054298_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ใจต่อใจในการฝึกตน
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแห่งฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม วัดเรียวอันจิร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยือนชมหิน ๑๕ ก้อนอันลือนาม ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ปีนั้นเกียวโตอายุครบ ๑,๒๐๐ ปี มูลนิธิญี่ปุ่นร่วมฉลองงานโดยให้ทุนอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปทัศนศึกษา เพื่อเป็นการเตรียมงานฉลองเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อมีโอกาสแวะวัดเรียวอันจิคราวนี้ เราได้รับอนุญาตพิเศษเข้าไปในบริเวณด้านใน หลบลี้หนีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปที่ประดิษฐานข้างใน หลังจากนั้น อาจารย์ศิริชัย นฤมิตรเรขการ ขอเข้าพบเจ้าอาวาสวัดที่เคยพบเมื่อหลายปีก่อนเพื่อถวายของฝากให้ท่าน ครั้นไปพบแล้วก็ปรากฏว่าไม่ใช่รูปนี้ที่เคยพบแต่ก็ถวายของที่นำมาให้กับท่าน แล้วบอกท่านว่า พวกเรามาจากที่ที่วุ่นวายมาก ท่านจะมีอะไรจะสอนเพื่อให้เราได้มีความสงบใจบ้าง ยังจำหน้าตายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันกังวานของท่านได้ เมื่อท่านตอบผ่านล่ามว่า “อาตมาอยู่ที่นี่ก็วุ่นวายมากแล้วเห็นจะไม่มีอะไรจะบอกกล่าว” ทำให้เรานึกภาพวัดเรียวอันจิที่พลุกพล่าน ขนมหวานที่ท่านกรุณานำมาต้อนรับ รสกลมกล่อม ชาเขียวเล่าก็ปลุกเราให้ตื่น ลิ้มรสหมดเกลี้ยง แล้วจึงได้กราบลาท่าน พอเราเดินพ้นประตูกุฏิท่านได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็มีคนวิ่งออกมาบอกว่าพระที่เราอยากจะพบตัวจริงนั้นอยู่ที่ไดชูอิน พร้อมนำเราเดินไปอีกมุมหนึ่งของวัดเรียวอันจิ และมอบของที่ระลึกคืนเพื่อถวายให้กับท่านอาจารย์ ที่อาจารย์ศิริชัยต้องการมาเยี่ยมคารวะตรงประตูเล็ก ๆ หน้าบริเวณไดชูอิน ชาวตะวันตกชายหญิง ๑ คู่ ในเสื้อญี่ปุ่นสีดำ ละมือจากการตัดเล็มพุ่มไม้มาต้อนรับคณะเรา แล้วนำเราไปนั่งรออาจารย์ที่เรือนไม้หลังเล็กอันเป็นกุฏิของท่าน
ท่านโซโก โมรินากะ โรชิ ดูสูงสง่าด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางสีชมพู ที่เป็นเสื้อคลุมตัวนอก หรือ (okesa) กลมกลืนกับจีวรที่คล้องคอ ในวัย ๗๐ ปีต้น ๆ ท่าทางท่านยังคล่องแคล่วแข็งแรง เราเริ่มสนทนากับท่านโดยผ่านล่ามคือ คุณโอชิ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ทานาเบ้ ผู้ซึ่งยอมรับในภายหลังว่า ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเป็นล่ามครั้งนี้เพราะเขารู้เรื่องพุทธศาสนานิกายเซนน้อยมาก แม้เป็นชาวญี่ปุ่นโดยกำเนิด ท่านโซโก โรชิ พูดถึงการฝึกปฏิบัติแบบซาเซนว่าสำหรับบางคนต้องใช้เวลายาวนาน พลางชะโงกหน้าไปข้างนอกดูลูกศิษย์ชาวเยอรมัน ๒ คน ที่ต้อนรับเราเมื่อครู่ก่อน ก่อนจะบอกเราว่า “คู่นี้อยู่ฝึกมาแล้ว ๑๕ ปี แล้วยังไม่ละลายเลย”
ท่าน โซโก โรชิ เกิดในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ อูโอทซู จังหวัดโตยามะ ที่ตั้งริมฝั่งทะเลญี่ปุ่น และเติบโตมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังเข้มข้นแผ่ขยาย และญี่ปุ่นถลำลึกลงในเวทีประยุทธ์พร้อมชูความรักชาติเป็นธงชัยให้ประชาชนเห็นดีงามด้วย ช่วงนี้ท่านโซโก โรชิ ยังเป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยมสายศิลปะซึ่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสู้รบศัตรู ในขณะที่นักเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่ถูกเก็บไว้ให้ทำงานด้านเทคนิควิทยาการ และการแพทย์ ท่านเล่าไว้ใน Pointers to Insight หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เป็นอัตชีวประวัติว่า ที่เป็นดังนั้นก็เพราะรัฐบาลเห็นว่า นักเรียนสายวิทยาศาสตร์จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มาก นักเรียนสายศิลปะซึ่งมักจะมีปรัชญา และความเห็น ขัดแย้งกับรัฐบาลเสมอ ในที่สุดเด็กหนุ่มทั้งหลายในสายศิลปะก็ต้องไปทำสงครามในนามของความรักชาติ เพื่อนร่วมชั้น และ ร่วมโรงเรียนของท่านหลายคน ได้ทิ้งชีวิตไว้ในสนามรบ ทำให้ท่านและเพื่อนร่วมวัยต้องตกอยู่ในภาวะครุ่นคำนึงถึงความตาย และในกรณีของท่านเองนั้นเองนั้น ก่อนที่ท่านจะต้องออกไปเป็นซามูไรสมัยใหม่นั้น ทั้งโยมพ่อ และโยมแม่เสียชีวิตในเวลาไร่เรี่ยกันเพียงไม่กี่วัน การรอดชีวิตจากสงคราม ยามเมื่อสงบลงแล้วนั้น จะเรียกว่าเป็นโชคดีเสียทั้งหมดเลยก็มิได้ เพราะประเทศผู้แพ้นั้นตกอยู่ในสภาพที่ย่อยยับดับสลาย โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานศีลธรรมจรรยา รวมทั้งความเชื่อซึ่งสั่นคลอนทั้งสังคมก็ว่าได้ ถูก–ผิด ดี–ชั่ว นั้นแทบแยกกันไม่ออกตัดสินกันไม่ได้เลยทีเดียว ยากนักที่จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยสิ้นไร้รากฐานความเชื่อในชีวิต การศึกษาก็ดูไร้ค่าไปหมด และมีการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่หลังสงคราม ท่านโซโก โรชิ พบว่าที่ดินที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้ถูกยึดคืนไปหมด เคว้งคว้างหาที่พึ่งอยู่ได้ไม่นาน โชคชะตา ก็นำพาให้ไปยืนเคาะประตูไดชูอิน สาขาเล็ก ๆของวัดเซนในเกียวโต
ที่นี่เอง ท่านได้เรียนรู้ที่จะวางใจในครู หลังจากที่สูญสิ้นความวางใจในทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว วันแรกที่ไปถึงพระอาจารย์คือท่าน ซูอิกัน โรชิ ขณะนั้นอยู่ในวัย ๗๐ ปีแล้ว ได้ตั้งคำถาม หลังที่ได้ฟังเรื่องราวของหนุ่มน้อย ผู้แจ้งความประสงค์จะบวชอยู่ที่วัด ว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะสิ้นศรัทธาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งผู้คนด้วย แต่ที่นี้การฝึกปฏิบัตินั้น จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากเธอไม่วางใจในครู เธอจะไว้เนื้อเชื่อใจฉันได้ไหมล่ะ ถ้าได้ฉันจะรับเธอไว้ที่นี่ แต่ถ้าไม่ ก็เป็นการสูญเปล่า เธอก็กลับบ้านเสียดีกว่า” แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความวางใจ แต่ด้วยความกลัวจะถูกปฏิเสธท่าน โชโก โรชิ จึงตอบแข็งขันว่า ท่านวางใจในท่านอาจารย์ บทเรียนในวันแรกที่ไดชูอิน อาจารย์ซูอิกัน ไม่ได้สอนด้วยการนั่งเทศนา พรรณนาด้วยคำพูดอันมากมาย แต่ด้วยวิธีการชี้นำที่ล้ำลึกควรแก่การเอ่ยถึง นั่นคือท่านบอกให้ท่าน โซโก โรชิ ไปกวาดบริเวณรอบ ๆ ไดชูอิน ในวัดเซนทุกวัดนั้นพระท่านตั้งใจปลูกต้นไม้หลากหลายพันธุ์ เพื่อที่จะให้มีใบไม้ร่วงให้พระได้กวาดเป็นการฝึกปฏิบัติตลอดทุก ๆ ฤดูกาล เพื่อจะเป็นที่ยอมรับของอาจารย์ ท่าน โซโก โรชิ จับไม้กวาดลงมือปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างแข็งขัน ไม่นานก็ได้ใบไม้กองใหญ่เท่าภูเขา แล้วจึงไปถามอาจารย์ท่านว่าจะให้เอาขยะกองนี้ไปไว้ที่ไหน อาจารย์ซูอิกัน ส่งเสียงดังทันใด “ใบไม้ไม่ใช่ขยะนะ นี่เธอไม่เชื่อใจใช่ไหม” พอท่านเปลี่ยนคำถามว่า จะให้กำจัดใบไม้เหล่านี้อย่างไร อาจารย์ก็แผดเสียงอีกว่า “เราไม่กำจัดมันหรอก” และบอกให้ท่านไปเอาถุงมาใส่ใบไม้ที่กวาดได้นำไปเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนที่เหลือเป็นก้อนกรวดก้อนหินที่หลังเก็บไปแล้วท่านให้นำไปไว้ตรงชายหลังคา เป็นทั้งที่รองรับน้ำฝน และเพิ่มความงามให้กับสถานที่ และท้ายสุดท่านอาจารย์ก้มลงเก็บเศษของกรวดหินชิ้นเล็ก ๆ นำไปฝังไว้ในดินจนบริเวณนั้นเกลี้ยงเรียบหมดจด แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เธอเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า สภาพที่แท้และดั้งเดิมของมนุษย์และสรรพสิ่งนั้นปราศจากขยะ” นี่เป็นบทเรียนแรกในชีวิตสมณะของท่าน โซโก โรชิ อีกนานกว่าท่านจะค่อย ๆ เข้าใจว่า นี่คือถ้อยคำที่เป็นสัจธรรมในพุทธศาสนา และเป็นสาระเดียวกันกับที่ศากยมุนีได้เปล่งเป็นวาจาในคืนวันตรัสรู้ ดังที่บันทึกไว้ในพระสูตรมหายานของจีนว่า “ตถาคต บรรลุถึงซึ่งมรรควิถีพร้อมโลกทั้งโลก และสรรพชีวิต สรรพสิ่งทั้งหลาย ภูผาป่าดง แม่น้ำลำธาร ไม้ใหญ่ และหย่อมหญ้าล้วนตรัสรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น”
เช้าจรดค่ำในวัดเซน จะเป็นช่วงเวลาของการฝึกตนในวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวัน ตื่นนอนตอนเช้า ฉันอาหาร ตามด้วยพิธีชงชาอย่างสั้น ๆ อันเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสนทนากับครูที่ไดชูอิน ช่วงนั้นมีเพียงท่านอาจารย์ซูอิกัน ลูกศิษย์ชื่อ โซโก โมรินากะ และสตรีผู้สูงวัย อีกท่านหนึ่ง ชื่อ โอกาโมโต ผู้ซึ่งเคยมีส่วนพัฒนาการการศึกษาของผู้หญิงในญี่ปุ่น แต่บัดนี้ดูแลเอาใจใส่ท่านอาจารย์ ชูอิกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระเซนจะอยู่ร่วมกับสตรี แม้ก่อนหน้าจะมีการอนุญาตให้พระแต่งงานมีครอบครัวได้อย่างเป็นทางการ (เชื่อกันว่าเป็นการลดอำนาจของพระสงฆ์ที่มีสูงมากในช่วง โชกุนเป็นใหญ่) ก็มีผู้หญิงพำนักพักพิงอยู่ในวัดอย่างไม่เปิดเผย ดังที่มีคำใช้เรียกเธอว่า ไดโกกุ–ซามะ (Daikoku–sama) ซึ่งเป็นชื่อเทพารักษ์แห่งโชค องค์หนึ่งในเจ็ด ชาวญี่ปุ่นมักจะเอาเทวรูปของ ไดโกกุ–ซามะ ไว้ในครัวหรือตามทางเดินเข้าบ้าน สุภาพสตรีของท่านซูอิกันท่านนี้นอกจากจะดูแลเรื่องส่วนตัวของท่านอาจารย์แล้ว ยังเป็นคู่สนทนาธรรมที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นประโยชน์ต่อศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ เมื่อแรกที่ได้อยู่ในไดชูอินนั้น ท่านอาจารย์ไม่เคยสนทนากับลูกศิษย์เลย แม้เมื่อคุณโอกาโมโต จะบอกให้เสนอ
ความเห็น ท่านอาจารย์ก็ตัดบทไม่ให้กล่าวอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า “เขายังไม่พร้อมที่จะพูดต่อหน้าผู้คน” ช่วงนั้นท่านโซโก โรชิ ยังโต้เถียงอาจารย์ อึงอลอยู่ในใจ แล้วจึงเข้าใจในเวลาต่อมาว่า การฝึกตนที่จะไว้วางใจครูนั้น จะต้องฝึกที่จะตอบรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะแค่วาจาท่าทางเท่านั้นแต่ด้วยใจทั้งหมดทั้งสิ้นด้วย เมื่อมองย้อนไปในอดีต ท่านโซโก โรชิ รู้สึกซาบซึ้งในวิธีการอันเข้มงวดที่อาจารย์ของท่านปฏิบัติต่อท่าน เพราะทำให้ท่านได้สำรวจตรวจสอบความตั้งมั่นในสายสัมพันธ์ ครู–ศิษย์ และความตั้งใจในการปฏิบัติ และท่านภูมิใจยิ่งที่ครูจัดให้เป็นศิษย์แถวหน้าไม่เคยอ่อนด้อยถอยถด
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งท่านได้ประจักษ์ในน้ำใจครู คือวันที่ท่านจากลาเพื่อไปเรียนรู้ในวัดที่ใหญ่ขึ้น ท่านอาจารย์ซูอิกันเรียกท่านเข้าไปพบแล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ พลางบอกว่า “นี่เป็นเงินเพื่อไปสู่นิพพาน” “การฝึกปฏิบัติในวัดนั้นหนักหนาสากรรจ์อาจถึงตายได้ถ้าหากเธอประคองตนไปไม่ถึงฝั่ง เงินจำนวนนี้คือเงินทำศพของเธอ จะได้ไม่ต้องให้ใครเดือดร้อน” แม้จะรู้สึกสะทกสะท้านบ้างกับคำพูดของครู แต่ท่านก็น้อมรับอย่างเต็มใจ พอพร้อมที่จะก้าวเดินจากประตูไดชูอิน ครูผู้ปกติมีบุคลิกน่าเกรงขาม เดินตามหลัง และได้กระทำในสิ่งที่ศิษย์ไม่คาดคิดมาก่อน คือ ก้มลงผูกสายรองเท้าให้เสร็จแล้วเอามือตบเบา ๆ บนปมเชือกที่ผูกรัดกัน และเอ่ยคำที่ต้องจำให้มั่น “อย่าแกะมันออกนะ” คำที่ย้ำเตือนถึงคำมั่นสัญญาที่ศิษย์ได้ให้ในการฝึกปฏิบัติ ซึ่งเสมือนเสริมสร้างให้ความมุ่งหมายนั้นมั่นคงขึ้น โดยที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ประสบการณ์ที่จะได้รับ ที่ประตูวัดไดโตกูจิ จะสร้างความสั่นคลอนให้กับความมุ่งมั่นตั้งใจนั้น แม้จะเตรียมใจมาก่อนว่า “นิวาซูเม” (Niwazume) ซึ่งคือการทดสอบความตั้งใจ ที่ต้องพิสูจน์ด้วยความอดทนรอคอยหน้าประตูวัดเซนก่อนการยอมรับเข้าวัดนั้น เป็นกระบวนการตรวจสอบที่ทรหดตามประเพณีที่ถือปฏิบัติมา เมื่อครั้งท่าน เอกะ หรือจีนเรียกว่า หุยค่อ ผู้เป็นพระสังฆปริณายกรูปที่สองได้ตัดแขนซ้ายถวายแด่ท่านอาจารย์ คือพระโพธิธรรม เพื่อให้เห็นถึงความมั่นคงในทางธรรม แต่เมื่อต้องยืนหนาวเหน็บหน้าประตูไดโตกูจิเข้าจริงก็แทบจะหมดสิ้นความมุ่งมั่น ในวันที่ ๓ ของการรอคอยท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือกเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย และในขณะที่ความตั้งใจหมายมั่นทั้งหมดกำลังจะถึงจุดพังทลาย ท่านโซโกโรชิ ก็ได้ประจักษ์ในความหมายที่แท้จริงของประเพณีนิวาซูเม และแล้วประตูสู่ความสำเร็จทางใจก็เปิดอ้ารับ
บรรยากาศของพุทธศาสนาแบบเถรวาททำให้เราคุ้นชินกับเสียงสวดมนต์ คำเทศนาและวาทะถ้อยต่าง ๆ แต่นิกานเซนนั้นดูจะเบื่อลัทธิถ้อยไปเลย เราพบว่าสื่อจากใจถึงใจจะไปอยู่ในสวนญี่ปุ่น การชงชา ลีลาในละครโนะ ศิลปะการวาดรูปแบบตวัดพู่กันครั้งเดียวจบ หรือแม้กระทั่งการยิงธนู เมื่อจะใช้คำพูดก็น้อยมาก พระเซนที่มีชื่อ เช่น ชุนเรียว ซูซูกิ ฝากหนังสือเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้โลกเพียงเล่มเดียวก่อนลาจากคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ส่วนท่านโซโก โรชิ ก็มีเพียงอัตชีวประวัติที่ชื่อ Pointer to Insight เล่มบาง ๆ เช่นกันก่อนที่จะล่วงลับด้วยโรคมะเร็ง ๒ ปีหลังจากที่ไปคารวะท่านครั้งนั้น จำได้ว่าก่อนจะกราบลาท่านวันนั้น เราถามคำถามท่านกันคนละข้อ ต่อคำถามของผู้เขียนว่า เซนยังอยู่ในญี่ปุ่นหรือไปเบ่งบานในยุโรปและอเมริกานั้น ท่านชี้แจงไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านดังต่อไปนี้ “สิ่งซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่าพุทธศาสนาจะแพร่ขยายหรือนิกายเซนจะเจริญรุ่งเรือง แต่อยู่ที่ว่าคนแต่ละคนมีชีวิตที่เต็มอิ่ม และเพียงพอใจ เปี่ยมด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
ประตูทางเข้าไดชูอิน ยังคงสงบไร้ความพลุกพล่าน ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่เมืองทั้งเมืองคงอบอวลด้วยกลิ่นหอม อันเป็นสาระของดอกไม้นานาพันธุ์ บริเวณรอบไดชูอินก็เช่นกัน ทั้งความหอมหวานและสีสันของดอกไม้สีม่วงแม้ใกล้ร่วงโรย แต่ยังคงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจถึงทุกวันนี้ ผู้มาเยือนจากเชียงใหม่ในครั้งนี้เหลือเพียงสตรี ๒ คนพร้อมล่าม ทั้งที่ทราบว่าท่านโซโก โรชิได้มรณภาพเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว แต่จุดมุ่งหมายของการเยือนคือ อยากศึกษาเรื่องการสืบทอดทางวัฒนธรรม อีกทั้งใจจริงใคร่รู้ว่าใครคือผู้นั่งในไดชูอินแทนท่านอาจารย์ สุภาพบุรุษในวัย ๓๐ ที่นั่งคุกเข่าก้มศีรษะต้อนรับเราตรงหน้าเรือนไม้หลังเดิม อยู่ในเสื้อคลุมอย่างไม่เป็นทางการ เป็นผู้เดียวกับที่เข้ามาในห้องที่เราสนทนากับท่านโซโก โรซิเมื่อสองปีก่อน ที่จำได้แม่นเพราะเป็นท่าทางและร่างกายอันอ่อนน้อมและงดงาม เช่นเดียวกันกับเมื่อนำเสนอน้ำชาและขนมให้กับเราคราวนั้น เราไม่รู้จักแม้กระทั่งนามของท่าน ได้แต่เดินท่านไปตามระเบียงไม้ ผ่านห้องเล็ก ๆ ที่มีคน ๓–๔ คนกำลังนั่งเรียนเขียนอักขระแบบโบราณไปยังห้องกลาง ล่ามบอกว่า เพื่อให้เราได้คารวะและระลึกถึงอาจารย์ผู้ล่วงลับคนก่อน ๆ จากนั้นก็ถูกพาไปยังอีกห้องหนึ่ง เพื่อรอที่จะพบท่านเจ้าอาวาสไดชูอินคนใหม่
การนั่งกับพื้นของชาวตะวันออก นอกจากจะเป็นการสำรวมด้วยท่วงท่าของร่างกายแล้ว ยังหมายลึกถึงประเพณีของการสื่อสาระของใจด้วยการนั่ง ดังที่เรารู้กันว่าคำว่า อุปนิษัท ที่ใช้เรียกยุคทองของปรัชญาอินเดีย ๒๕๐ ปีก่อนและหลังพุทธกาลนั้น รากลึก ๆ แปลว่านั่งใกล้ นั่งใกล้ครูผู้สอนสั่งหรือนั่งใกล้สัจธรรมที่โน้มนำใจ ตรงกลางห้องในขณะที่นั่งรอคอยนี่เอง เราเห็นการนั่งด้วยใจที่ปรากฏเป็นความงามในท่าทางของสุภาพสตรีวัย ๔๐ ที่กำลังชงชาอยู่ตรงห้อง เพลินอยู่กับการชงชาของเธอจนกระทั่ง ประตูโชจิ ด้านหลังของห้องเลื่อนเปิดออกจากกัน ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือ ผู้ที่นำขนมมาให้ในปีก่อนโน้น และผู้ที่เพิ่งจะต้องรับเราเข้ามาในตัวเรือนนั่นเอง บัดนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มรูปแบบ ด้วยเสื้อคลุมตัวนอกหรือโอเกสะผ้าค่อนข้างหนาสีคราม และจีวรคล้องคอสีเขียวเข้ม “ทามูระ โซกัน” เราเพิ่งจะรู้จักฉายาท่านผ่านล่าม ท่านบวชที่ไดชูอินเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ครั้งยังอายุ ๒๑ และอยู่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์โซโก โรชิ ที่ไดชูอินมาโดยตลอดแม้จะต้องไปเรียนและฝึกฝนตนในวัดเซน ที่ใหญ่กว่าที่มีชื่อว่า เมียวชินจิ นับว่าอายุท่านยังน้อยเมื่อนึกถึงว่า ท่านรับภาระหน้าที่แทนท่านอาจารย์ ในตำแหน่งเจ้าอาวาสไดชูอิน และอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮานาโซโน ที่สอนพุทธศาสนาด้วย แต่ท่านทามูระ โซกัน ได้ใช้ชีวิตนักบวชตามวิถีเซน คือ เรียนรู้จากครูผู้ถ่ายทอดจากใจหนึ่งถึงอีกใจหนึ่งซึ่งพร้อมรับ ถึงวันนี้ศิษย์ต้องยืนอยู่ด้วยตัวเองไม่มีอาจารย์คอยประคับประคอง ยังมีการสอนซาเซนอยู่ที่ไดชูอิน แต่ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ต่างจากท่านโซโกโรชิจึงทำให้ท่านพบว่า การสอนซาเซนเช่นอาจารย์นั้นเป็นความยากยิ่งสำหรับท่าน แต่ก็มีศิษย์ชาวตะวันตกของอาจารย์แวะเวียนมาปีละ ๑ ครั้ง เราสนทนากันหลายเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในญี่ปุ่น พุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่คลายความสำคัญ อิทธิพลของเซนที่ยังคงแทรกซึมอยู่ในชีวิตเล็กๆ ของผู้คนจำนวนไม่มากแต่มีพลังเรื่อง “ซาโตริ หรือสัมโพธิ”ซึ่งคือ ญาณที่เป็นคำฮิตติดปากคน เมื่อเอ่ยถึงพุทธศาสนานิกายเซน ซึ่งท่านบอกว่าเอามายึดเป็นที่พึ่งไม่ได้ อีกทั้งไม่แน่ใจนักว่ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมายา เรื่องเล็กที่สุดที่ท่านตอบสนองความใคร่รู้จากเบื้องลึกของใจผู้เขียนคือ อาจารย์ท่านสั่งเสียอะไรในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ท่านทามูระ โซกัน เล่าให้ฟังว่า อาจารย์ไม่ได้บอกกล่าวสาระสำคัญอันใดไว้ เพียงยกมือขึ้นวางแนบลงตรงหัวใจเท่านั้นเอง และท่านก็ยกมือทำท่าสาธิตให้ดู เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องจดไว้ในบันทึกหน้าขนบแห่งชีวิตของครูตอนก่อนหมดลมหายใจ
ท่านทามูระ โซกัน สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน จากประเทศที่มีประเพณีทางพุทธศาสนาที่แตกต่างอย่างแน่นอน แต่นั่นเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ที่สะท้อนจากการฝึกปฏิบัติภายในที่เป็นผลทำให้ใจใสบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้ทำให้เราเกิดความหวังต่อโลกสมัยใหม่อีกนานัปการ เรื่องราวของการสื่อธรรมะจากครูถึงศิษย์ด้วยใจต่อใจที่สืบสายกันมาใน ไดชูอิน ทำให้เข้าใจซึ้งถึงความหมายของคำว่า อันเตวาสิก ที่ไม่หมายความผิวเผินเพียงแค่ศิษย์ก้นกุฏิที่ชิดใกล้ แต่ตามรากความเดิมคือ ผู้อาศัยอยู่ภายใน ล่วงรู้ใจของกันและกัน นอกจากนี้ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบว่า บรรยากาศอุปนิษัทนั้นมิใช่อยู่แต่ในประวัติศาสตร์อันห่างไกลสุดไขว่คว้า หากเป็นเรื่องจริงที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน แม้จะเกิดขึ้น ณ มุมเล็ก ๆ บนผืนแผ่นดินโลกอันกว้างใหญ่ เรื่องวัฒนธรรมประเพณีก็สำคัญ แม้ไม่ใช่สาระอันยิ่งใหญ่ แต่เรื่องใจนั้นยิ่งยวดกว่ายากจะหาอะไรเสมอเหมือน
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/551269_327482087361814_230739043_n.jpg)
-
เพราะพุทธะในความคิดเธอ
ต้องประกอบไปด้วยธรรมต่างๆนาๆ
มันก็คือ พุทธะที่เป็นตัวตนขึ้นมาในหัวเธอน่ะ
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
ครูสอนเซน พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/603096_322454361197920_1735511983_n.jpg)
-
เซน
ให้ละทิ้ง..แม้กระทั้ง
การซึมซาบและการกลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน
แบบกลมกลืนกับ...เซน
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/398370_284098088366881_1862905772_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
พระพุทธองค์ คือ ต้นกำเนิด “เซน”
แก่นแท้คำสอนของ เซน ( The core of Zen ) ในญี่ปุ่นที่เรียกว่า เซนสายรินไซ หรือ รินไซเซนนั้น ได้สืบทอดคำสอนบรรลุแบบฉับพลันมาจากประเทศจีนซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่ท่านโพธิธรรม (ตั๊กม๊อ ซือโจ๊ว)และสังฆปรินายกองค์ที่ 6 หรือ ครูเว่ยหล่าง และรุ่นหลังต่อมาคือ ครูบาฮวงโป เป็นคำสอนที่เน้นให้นักศึกษาทางฝั่งโน้นได้เข้ามาศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้ตระหนักชัดในเนื้อหาที่เป็นความดั้งเดิมแท้แห่งธรรมอันคือธรรมชาติที่มันว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้นโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งมันคือเนื้อหาแห่งความหลุดพ้นหรือพระนิพพานนั่นเอง โดยคำสอนแห่งเซนมุ่งเน้นสอนให้รู้จักทำความเข้าใจในธรรมธาตุที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ ธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง(สังขตธาตุ) และ ธรรมธาตุแห่งธรรมชาติอันไม่ปรุงแต่งแห่งธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว(อสังขตธาตุ)
ก็ในส่วนของธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง (สังขตธาตุ) นั้น ทางคำสอนแห่งเซนปฏิเสธที่จะให้นักศึกษาทางฝั่งโน้นเข้าไปศึกษาและปฏิบัติตามเนื้อหาแห่งสังขตธาตุอันว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นดับไปและรวมทั้งลักษณะแห่งความดับไปเป็นธรรมดาก็ตาม คำสอนแห่งเซนเน้นให้เข้าไปทำความเข้าใจในเนื้อหาแห่งอสังขตธาตุคือธาตุอันว่างเปล่าอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้นอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งเป็นเนื้อหาแห่งความหลุดพ้น โดยคำสอนเซนมองว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะเข้าไปปฏิบัติ เพราะการดำเนินไปในการปฏิบัติแบบระลึกรู้ตามธรรมชาติในสิ่งที่มันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดานั้น สิ่งที่มันปรุงแต่งให้ “เกิดขึ้น” นั้น โดยตัวมันเองก็คือสภาพแห่งสังขตธาตุคือสภาพแห่งการปรุงแต่งอยู่แล้ว แต่ในส่วนของธรรมอันคือวิธีการเรียนรู้และทำความเข้าใจที่จะไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าจะเป็น อริยสัจจ์ทั้ง 4 มรรคมีองค์ 8 สติปัฏฐานทั้ง 4 โพชฌงค์ทั้ง 7 ธรรมเหล่านี้ถึงแม้จะช่วยให้เราเข้าใจและตระหนักชัดถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นและระลึกรู้ตามธรรมชาติแล้วก็ตาม แต่ธรรมเหล่านี้โดยสภาพมันเองก็คือการปรุงแต่งหรือสังขตธาตุชนิดหนึ่งเช่นกัน เป็นการปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรม เป็นการปรุงแต่งไปในเนื้อหาธรรมนั้นๆ สรุปแล้วธรรมที่คือการแสดงลักษณะเนื้อหาแห่งปัญหา และธรรมที่คือการแสดงลักษณะเนื้อหาแห่งวิธีการเข้าไปแก้ไขปัญหา ต่างก็เป็นสังขตธรรมคือธรรมอันปรุงแต่งทั้งสองลักษณะ เพราะฉะนั้นในคำสอนแห่งเซนจึงมองว่าการปฏิบัติแบบระลึกรู้ตามธรรมชาติว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดานั้น มันเป็นเพียงการบรรเทาพฤติกรรมการเข้าไปปรุงแต่งซึ่งมันคือความคลายจากการกำหนัดที่ชอบเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเพียงเท่านั้น และด้วยธรรมอันคือวิธีการเข้าไปแก้ไขปัญหาซึ่งคือการปฏิบัตินั้นก็โดยสภาพมันเองมันก็เป็นการปรุงแต่งเป็นอัตตาตัวหนึ่งที่ “เกิดขึ้น” เช่นกัน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ความเป็นอัตตาการปรุงแต่งชนิดที่เรียกว่า “การปฏิบัติ” ไปตามหาธรรมชาติแห่งการไม่ปรุงแต่งล้วนๆ จะใช้สิ่งที่มันเป็นการปรุงแต่งด้วยชนิดหนึ่ง(การปฏิบัติ)ไปตามหาการไม่ปรุงแต่งอันคือความว่างเปล่าล้วนๆ มันจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
คำสอนเซนจึงมองว่าถึงจะปฏิบัติไปในลักษณะเช่นนี้ก็ยัง “ไม่เกลี้ยงเกลา”อยู่ดี เพราะยังติดปรุงแต่งขึ้นมาเป็นจิตในเรื่องการปฏิบัติ ว่าจะต้องปฏิบัติแบบนี้เพื่อให้ได้ผลแห่งการปฏิบัติแบบนั้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาในเรื่องการปฏิบัติมันก็คือการปรุงแต่งทั้งสิ้น มันจึงไม่เกลี้ยงเกลาเพราะปรุงแต่งในการเข้าไปปฏิบัตินี่เอง จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะสอนนักศึกษาฝั่งทางโน้นให้เข้าไปปรุงแต่งสาละวนในเรื่องความไม่เกลี้ยงเกลาเหล่านี้ เป็นการ “สาละวนปรุงแต่งง่วนอยู่ในการปฏิบัติอยู่อย่างนั้น”
และด้วยเหตุผลเหล่านี้ที่มองว่าทุกข์และวิธีการแก้ไขทุกข์ ซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสมาเกือบทั้งหมดในพระไตรปิฎกนั้นมันก็คือสังขตธาตุหรือธาตุแห่งการปรุงแต่งล้วนๆ คำสอนแห่งเซนจึงให้สลัดออกสลัดทิ้งเสียซึ่งสิ่งเหล่านี้ แล้วหันกลับไปทำความเข้าใจถึงสภาพธรรมชาติดั้งเดิมที่มันไม่เคยมีไม่เคยเป็น มันว่างเปล่าของมันโดยตัวมันเองตามสภาพดั้งเดิมอยู่แล้ว มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนตามสภาพเดิมๆของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นสภาพดั้งเดิมแท้ของมันอยู่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากการที่ต้องมีใครเข้ามาทำให้มันเกิดขึ้นมันถึงจะว่างแบบตลอดสายถ้วนทั่ว โดยสภาพดั้งเดิมแท้นั้นมันว่างแบบตลอดสายถ้วนทั่วตามสภาพเดิมๆอยู่แล้ว คำสอนแห่งเซนเพียงแต่ให้นักศึกษาทางฝั่งโน้นเข้ามาศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ตรงนี้เพียงเท่านี้ เพื่อตกผลึกในความหมายอันแท้จริงแห่งธรรมชาติที่มันคงเนื้อหาดั้งเดิมของมันอยู่อย่างนั้น เพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนตามธรรมชาติในที่สุด
ก็ด้วยคำสอนแห่งเซนในลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้หลายๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเทวาหรือมนุษย์ ล้วนมองกันว่าการปฏิบัติธรรมแบบคำสอนแห่งเซนด้วยวิธีการตกผลึก ตระหนักชัดและซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนตามธรรมชาตินั้น มันเป็นการบรรลุแบบรวดเร็วฉับพลัน และมองด้วยความสงสัยว่ามันบรรลุเร็วเกินไปหรือเปล่า และก็เกิดข้อกังขาขึ้นมาว่า การปฏิบัติธรรมตามวิถีเซนนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มปฏิบัติธรรมในสยามประเทศที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายเถรวาท” ที่หลายๆกลุ่มนิยมฝึกปฏิบัติธรรมกันในแบบที่เรียกว่า “ค่อยๆปฏิบัติ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป” ค่อยๆฝึกไปแล้วนิพพานมันจักจะเกิดขึ้นเอง ซึ่งคำสอนแห่งเซนไม่เห็นพ้องตรงนี้ด้วย ทางวิถีเซนถือว่า การค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ค่อยๆปฏิบัติธรรมไป โดยตัวมันเองแห่งการ “ค่อยๆ” โดยเนื้อหามันเองแบบ “ค่อยๆ” นี้ มันคือการปรุงแต่งชนิดหนึ่ง ซึ่งมันขวางธรรมชาติแห่งพระนิพพาน มันขวางโดยเนื้อหาโดยสภาพมันเองที่มันคือ สังขตธาตุอันคือธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง
แต่ทั้งนี้โดยความเป็นจริงพระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสถึง สังขตธาตุ คือ ธรรมธาตุแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ได้ไม่นานและมีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดา พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงธรรมอันคือ “การเกิดขึ้น” นั้นว่า มันคือสภาพแห่งทุกข์ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสธรรมไว้ในหมวดต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในวิธีการออกจากทุกข์ตรงนี้ แต่ด้วยปัญญาแห่งพุทธวิสัยพระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสอีกเช่นกันว่า ธรรมต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นหนทางออกจากกองทุกข์นั้น โดยตัวมันเองโดยสภาพมันเองแห่งธรรมเหล่านี้ก็เป็นการ “เกิดขึ้น” เป็นลักษณะแห่งสังขตธาตุเช่นกัน พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเรื่องการเกิดขึ้นและดับไปแห่ง “ธรรม” ไว้ในหมวด ธรรมานุปัสสนาสติ กล่าวคือ
นักปฏิบัติทั้งหลายพึงรู้ด้วยอีกว่า “ การพิจารณาธรรม” ทั้งหมดเหล่านี้ในสติปัฏฐานแห่งหมวดธรรม ก็ล้วนเป็น “สังขต
ธาตุ” คือธาตุแห่งการปรุงแต่ง มันล้วนคือจิตปรุงแต่งชนิดหนึ่ง และพึงรู้ชัดว่า
- จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นขันธบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นขันธบรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
-จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นอายาตนะบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นอายาตนะบรรพะนั้นล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
-จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นนิวรณ์บรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นนิวรณ์บรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
-จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นโพชฌังคบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นโพชฌังคบรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
-จิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นสัจจะบรรพะนั้น โดยธรรมชาติจิตที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นการพิจารณาธรรมอันเป็นสัจจะบรรพะนั้น ล้วนไม่เที่ยง ล้วนดับไปเป็นธรรมดาโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
และพระพุทธองค์ยังทรงกล่าวถึงนิพพานว่า มันคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว ไว้ใน ตติยนิพพานสูตรว่า เพราะมีธรรมชาติแห่งการปรุงแต่งไม่ได้ ซึ่งมันคือเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งมันมีมาในฐานะตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่แล้ว เมื่อมีธรรมอันคือธรรมชาติตรงนี้ปรากฎอยู่ พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้ภิกษุทั้งหลายสลัดออกซึ่งสังขตธรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นธรรมอันว่าด้วยเรื่อง “การเกิดขึ้น” คือทุกข์ และธรรมอันว่าด้วย “การดับไป” แห่งทุกข์ เพราะด้วยปัญหาและวิธีแก้ไขปัญหาซึ่งคือเนื้อหาแห่งการปฏิบัตินั้น มันล้วนแต่คือสังขตธาตุ คือ ธาตุอันว่าด้วยการปรุงแต่ง “เกิดขึ้น” ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงให้สลัดออกซึ่งธรรมเหล่านี้เสียสลัดทิ้งเสีย ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะเหตุว่ามันมีธรรมอันมีเนื้อหาประณีตกว่านั้นซึ่งมันมีอยู่และเป็นที่สุดแห่งธรรมแล้ว ไม่มีธรรมอันใดจะประณีตกว่าธรรมเหล่านี้แล้ว และธรรมอันเป็นที่สุดและประณีตนี้ก็สามารถทำให้พ้นจากกองทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ธรรมที่ว่านี้คือ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งมันเป็นเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง เป็นเนื้อหาธรรมชาติที่ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว เป็นเนื้อหาธรรมชาติที่มันว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ตนอยู่อย่างนั้น เป็นเนื้อหาธรรมชาติที่มันไม่เกิดไม่ดับ ซึ่งมันคือเนื้อหาแห่งพระนิพพานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใน ตติยนิพพานสูตรนั่นเอง
เมื่อเนื้อหาธรรมแห่งคำสอนเซนซึ่งเป็นการมุ่งเน้นให้สลัดออกซึ่งสังขตธาตุ และมุ่งเน้นให้ตระหนักชัดซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้นั้น เป็นเนื้อหาธรรมที่ตรงกับธรรมที่พระพุทธองค์ได้ประกาศไว้แล้วเช่นกัน คำสอนแห่งเซนจึงเป็นคำสอนที่ถูกต้อง ซึ่งตรงกับแนวคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้สอนแก่บรรดาหมู่เวไนยสัตว์ที่มีรอบปัญญาบารมีมากพอที่จะวิเคราะห์แยกแยะได้อย่าง “เด็ดขาด” ว่าธรรมลักษณะใดทั้งปวงคือ สังขตธาตุ ธรรมลักษณะใดคือ อสังขตธาตุ ด้วยเหตุผลนี้ “พระพุทธองค์จึงเป็นต้นกำเนิดเซน” ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่าในยุคที่พระพุทธองค์ยังทรงประกาศธรรมอยู่นั้นก็ได้มีบัณฑิตบางพวกได้บรรลุธรรมแบบฉับพลันต่อหน้าพระพุทธองค์มาแทบนับจำนวนไม่ถ้วน พระพุทธองค์ได้เผยแพร่คำสอนแบบเซนมานานตราบจนกระทั้งพระองค์ท่านได้เสด็จปรินิพพาน
(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/479863_332969973479692_1472331245_n.jpg)
-
มนุษย์แต่ละคน
มีศักยภาพอย่างเต็มเปี่ยม
สำหรับการดำรงชีวิต
ที่เป็นอิสระและสมบูรณ์
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
ครูสอนเซน พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/487016_281589088617781_126108361_n.jpg)
-
กำลังธรรมธาตุ
แห่งแสงพุทธะของพวกเธอ
จะพาระเริงเล่น
..
..
บทกวีไฮกุ แต่งโดย ครูสอนเซน
พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/179745_331986786911344_1894318557_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ธรรมชาติดั้งเดิมแท้
พระพุทธองค์เคยตรัสเรื่อง “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” ไว้ใน ตติยนิพพานสูตร ว่า
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้ แล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัด ออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้วปรุงแต่แล้วจึงปรากฏ ”
พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ว่า มันคือธรรมชาติแห่งความไม่เกิดแล้ว คือธรรมชาติแห่งความไม่มีธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไป คือธรรมชาติแห่งความไม่เป็น มันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยเนื้อหามันเองตามสภาพธรรมชาติมันอยู่แล้ว
และพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงความมีแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มีมันแสดงเนื้อหามันอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อมีธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันจึงมีการสลัดออกจากธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นการปรุงแต่งขึ้นและธรรมอันว่าด้วยความแปรปรวนดับไป ในความหมายของพระพุทธองค์นั้นหากไม่มีธรรมชาติดั้งเดิมแท้ในโลกใบนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็คงสั่งสอนธรรมแก่บรรดาหมู่เวไนยสัตว์แค่ธรรมที่ว่าด้วย การมีสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่งและสิ่งนี้ย่อมดับไปเป็นธรรมดา พระพุทธองค์คงสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์แค่เรื่อง อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ คือสอนธรรมอันเกิดขึ้นและดับไปเพียงเท่านั้น แต่โดยความเป็นจริง ตามธรรมชาตินั้นมันมีเนื้อหาธรรมที่แท้จริงคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติแห่งความไม่มีไม่เป็นอยู่แล้วโดยเนื้อหามันเอง ไม่มีใครผู้ใดใช้ความสามารถแสวงหาเพื่อสร้างมันขึ้นมาได้เพราะมันเป็นเรื่องฝืนและขัดต่อความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันคือเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้นโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เมื่อความจริงธรรมอันแท้จริงคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ พระพุทธองค์จึงทรงให้ “สลัดทิ้ง” ซึ่งธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไปเสีย พระพุทธองค์ให้ “สลัดทิ้ง” ทั้งวิธีการในกระบวนการทั้งปวงแห่งการเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และกระบวนการการเรียนรู้และการตระหนักชัดถึงสิ่งที่ดับไปเป็นธรรมดา เพราะแท้จริงตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันไม่มีธรรมอันว่าด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาเลย แต่แท้จริงแล้วมันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่ปรากฎเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแบบถ้วนทั่วทุกอนูธรรมธาตุโดนสภาพมันเองโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เพราะมันแสดงเนื้อหามันเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแค่ “สลัดทิ้ง”ซึ่งธรรมอันว่าด้วยเนื้อหาปรุงแต่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่ “สลัดทิ้ง”ซึ่งธรรมอันว่าด้วยความดับไปเป็นธรรมดา เพียงแค่“สลัดทิ้ง”ซี่ง กระบวนการปฏิบัติธรรมอันเกี่ยวข้องกับธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไป และเมื่อสลัดทิ้งแล้วก็ทำความเข้าใจเพื่อตระหนักชัดถึงความหมายแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่แสดงเนื้อหามันเองอยู่แล้วตามธรรมชาติและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมัน
การที่ยังดำเนินเนื้อหาแห่งการปฏิบัติธรรมตามเหตุปัจจัยแห่งการระลึกรู้ตามธรรมชาติแห่งการเกิดขึ้นและดับไปนั้น มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมเพื่อความคลายกำหนัดจากพฤติกรรมที่ชอบเข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งเป็นจิตต่างๆเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมแบบนี้แล้วนิพพานจักจะเกิดขึ้นนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันยังไม่ใช่ “การสลัดทิ้ง” ตามที่พระพุทธองค์ตรัส
เพราะฉะนั้น หากนักศึกษาฝั่งทางโน้นผู้ใดมีความประสงค์ที่จะตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับนิพพานในชาตินี้ หากท่านได้อ่านบทความธรรมะที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ ภาค 1 สังขตธาตุ ตั้งแต่บทที่ 1 ถึงบทที่ 46 อันว่าด้วยธรรมธาตุซึ่งมีลักษณะเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดานั้น นักศึกษาฝั่งทางโน้นทั้งหลายต้อง “สลัดทิ้ง” ซึ่งความรู้และ “สลัดทิ้ง” ซึ่งการตระหนักชัดในเรื่องธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไปเหล่านี้ทิ้งเสีย และหันหน้ามาเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่อง “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” ใน ภาค 2 อสังขตธาตุ อันว่าด้วยธรรมธาตุซึ่งมีลักษณะไม่มีไม่เป็นมันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่บทที่ 47 เป็นต้นไป เพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้ในที่สุด
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/312356_335271089916247_1925936165_n.jpg)
-
“สิ่งซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญนั้น
ไม่ใช่อยู่ที่ว่าพุทธศาสนาจะแพร่ขยาย
หรือนิกายเซนจะเจริญรุ่งเรือง
แต่อยู่ที่ว่าคนแต่ละคนมีชีวิตที่เต็มอิ่ม และเพียงพอใจ
เปี่ยมด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
เซน แห่ง ครูสอนเซน โซโก โมนาริกะ โรชิ
ไดชูอิน วัดเรียวอันจิ ประเทศญี่ปุ่น
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/537243_322471097862913_1333653189_n.jpg)
เข้าไปอ่าน"หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน" (the core of zen)
ได้ที่
1.http://www.facebook.com/ammarintharo (http://www.facebook.com/ammarintharo)
2.http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138 (http://www.facebook.com/profile.php?id=100004436700138)
3.http://www.facebook.com/profile.php?id=100003001500398 (http://www.facebook.com/profile.php?id=100003001500398)
และเข้าไปฟัง ธรรมะใจต่อใจในการฝึกตน mp 3 ( video )
ได้ที่
1.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 1.flv (http://www.youtube.com/watch?v=icz6yul9yv8#)
2.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 2.flv (http://www.youtube.com/watch?v=1hlS-CG4wmE#)
3.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 3.flv (http://www.youtube.com/watch?v=qe8X_5yjnMk#)
4.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 4.flv (http://www.youtube.com/watch?v=4EI5IGtz4yU#)
5.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 5.flv (http://www.youtube.com/watch?v=AKRWLwM23Lc#)
6.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 6.flv (http://www.youtube.com/watch?v=fA7sw6VRuQ8#)
7.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 7 (http://www.youtube.com/watch?v=38_I31rPrAk#)
8.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 8 (http://www.youtube.com/watch?v=586EvinSQfI#)
9.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 9 (http://www.youtube.com/watch?v=As7Cv50I_s8#)[/size]
-
“เธอเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า
สภาพที่แท้และดั้งเดิม
ของมนุษย์และสรรพสิ่งนั้น
ปราศจากขยะ”
เซน แห่ง ครูสอนเซน ท่านโซอิ
ไดชูอิน วัดเรียวอันจิ ประเทศญี่ปุ่น
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/1131_315511241892232_1521407062_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ดอกบัวแห่ง “ ไดชูอิน ”
ผู้เขียนในฐานะเป็นครูบาอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากหน้าหลายตา ผู้เขียนเองได้เริ่มมีแนวทางสอนลูกศิษย์โดยได้รับแรงบันดาลใจจากบทความชิ้นหนึ่งซึ่งได้อ่านจากวารสารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเป็นของคณาจารย์มหาวิทยาลัยไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น และคณาจารย์ชุดนี้ได้ไปแวะเยี่ยมพระรูปหนึ่งที่ชื่อ พระอาจารย์โซโก โมนิรากะ โรชิ ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดเรียวอันจิ และหนึ่งในกลุ่มอาจารย์ของมหาวิทยาเชียงใหม่เป็นรองศาสตราจารย์ผู้หญิงซึ่งผู้เขียนจำชื่อไม่ได้ก็ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่งขึ้นมาซึ่งปรากฎอยู่ในวารสารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั่นเองเป็นบทความที่ชื่อ “ครูกับศิษย์นิกายเซน;ใจต่อใจในการฝึกตน” โดยในบทความชิ้นนี้เป็นการเขียนบรรยายแนวทางในการฝึกลูกศิษย์ของพระอาจารย์ โซโก โรชิ และแนวทางในการดำรงชีวิตของผู้ที่ศึกษาธรรมะนิกายเซน ซึ่งบทความชิ้นนี้ผู้เขียนได้นำมาลงไว้แล้วในหนังสือ “ใจต่อใจในการฝึกตน”นี้ เป็นบทความที่ชื่อว่า “ใจต่อใจในการฝึกตน”
ผู้เขียนชอบบทบาทของท่านโซโก ในฐานะอาจารย์ใหญ่ผู้รับตำแหน่ง “โรชิ ” คอยฝึกสอนลูกศิษย์ใน “ ไดชูอิน” ซึ่งเป็นชื่อของโรงเรือนไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณ เป็นสถานที่ฝึกเพื่อนั่งวิเคราะห์ธรรมแบบเซนซึ่งเป็นสถานที่อันสงบ ในมุมมองของคนที่เป็นครูบาอาจารย์อย่างท่านโซโก โรชิ นั้น ท่านมีมุมมองแบบความเป็นพุทธะ ท่านมิได้มองในด้านเนื้อหากรรมภายนอกว่าอะไรจะต้องเป็นอะไร แต่ท่านกลับมีมุมมองสมกับฐานะทางธรรมของท่าน คือท่านเป็นผู้หลุดพ้นแล้วด้วยการตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ท่านเพียงมุ่งหวังว่าให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาธรรมะแต่ละคนพึงมีชีวิตที่เต็มอิ่มและเพียงพอใจเปี่ยมด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต โดยท่านมิได้มองว่าตัวพระพุทธศาสนาจะเผยแพร่ขยายหรือนิกายเซนจะเจริญรุ่งเรืองไปทั่วโลก โดยท่านมองว่าขอเพียงให้ทุกคนเข้าใจเนื้อหาคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เพื่อที่ทุกคนจะได้นำไปขัดเกลาจิตใจพัฒนาตนเองเพื่อออกจากกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
ผู้เขียนได้นำแนวคิดนี้มาสอนลูกศิษย์ทั้งหลายตามแนวทางของครูโซโก โรชิ ซึ่งผู้เขียนเองนับถือท่านเป็นส่วนตัวในฐานะครูของผู้เขียนซึ่ง “ท่านเป็นครูผู้วางแนวทาง” ในการสอนลูกศิษย์ของผู้เขียนให้ผู้เขียนเดินตามแนวทางนี้เรื่อยมา ผู้เขียนพยายามสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจเรื่องการดำรงชีวิตในเส้นทางธรรมชาติดั้งเดิมแท้ โดยพยายามสอนให้ทุกคนดำรงชีวิตบนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความสุขในรสชาติแห่งเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ไปวันๆ พอใจที่ตนเองมีข้าวกินอิ่มสามมื้อเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด และผู้เขียนมีความพยายามที่จะสอนให้ลูกศิษย์รู้จักที่จะเรียนรู้เรื่องลักษณะจิตต่างๆ เรียนรู้เรื่องระบบกรรมวิสัยที่เป็นไปในแต่ละยุคในแต่ละกลุ่ม เรียนรู้ถึงเหตุลักษณะกรรมที่มีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้และหัดที่จะยอมรับกับมัน โดยผู้เขียนมีจุดประสงค์จะให้ลูกศิษย์เหล่านี้เป็นครูคอยสอนคนอื่นเฉกเช่นเดียวกับตัวผู้สอนเอง ผู้เขียนเองเคยตั้งปณิธานไว้ว่าสิ่งใดๆที่ผู้เขียนจะพึงมีพึงได้ในความรู้ต่างๆในสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ามันดีและเลือกเฟ้นแล้ว ผู้เขียนจักจะหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผู้เขียนให้กับลูกศิษย์เพื่อดำเนินรอยตาม
และมีอยู่อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามศึกษาเรียนรู้และคอยนำมาสอนลูกศิษย์ข้าพเจ้าซึ่งจะเป็นครูรุ่นต่อไปในอนาคต คือมุมมองของพระพุทธองค์ที่ท่านทรงมองภาพโดยรวมแห่งระบบกรรมวิสัยในแต่ละยุคแบบตรงๆตามเหตุและผลและแนวทางการสอนการโปรดบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายแบบไม่เลือกกลุ่มและหมู่เหล่า พระพุทธองค์ทรงมองในมุมมองแบบผู้อยู่เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นมุมมองของผู้ที่เข้าใจในเหตุผลแห่งกรรมที่มีเนื้อหาเป็นไปในลักษณะ “เพราะมีสิ่งนี้จึงเกิดสิ่งนี้” พระพุทธองค์ทรงอยู่เหนือระบบกรรมวิสัยทั้งปวงและท่านก็ใช้ความเป็น “พุทธวิสัยศาสตร์” คอยสอนหมู่เวไนยสัตว์ทั้งหลายตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น สิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ ทั้งตัวข้าพเจ้าเองและบรรดาลูกศิษย์ทุกรุ่นจักจะต้องมีมุมมองและแนวทางสอนเหมือนกับที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนบรรดาหมู่เวไนยสัตว์ในยุคที่ผ่านมา ผู้เขียนเพียงมุ่งหวังว่าจะให้ลูกศิษย์ของข้าพเจ้าทุกรุ่นได้นำแนวคิดเหล่านี้ไปสอนลูกศิษย์ตัวเองเพื่อสร้างครูในรุ่นต่อๆไป และครูทุกรุ่นก็ยังดำเนินปณิธานนี้อยู่ เพียงเพื่อหวังว่าครูทุกๆรุ่นจะเป็นผู้สืบทอดคำสอน “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” ไปในอนาคตอย่างไม่ขาดสาย
ปณิธานเหล่านี้ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ไดชูอิน” สถานที่ฝึกตนแบบใจต่อใจระหว่างครูกับลูกศิษย์โดยอาศัยความไกล้ชิดและปณิธานตามมุมมองของพระพุทธองค์ ที่พระพุทธองค์มองธรรมและระบบกรรมวิสัยในจักวาลใบนี้แบบตรงไปตรงมา ผู้เขียนจึงหวังว่า “ดอกบัวแห่งไดชูอิน” ในแต่ละดอกที่มันบานสะพรั่งไปด้วยธรรมธาตุแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ดอกบัวเหล่านี้จะทำหน้าที่ของตนในเส้นทางธรรมชาติแห่งพุทธะได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเอื้อประโยชน์แก่ชาวโลกทุกหมู่เหล่าตราบนานเท่านานตามพุทธะประสงค์แห่งบรมครูที่ชื่อ "พุทธโคดม”
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/60785_333976230045733_668709147_n.jpg)
-
ธรรมชาติหล่อเลี้ยง
ก่อรูปสังคมอิสระ
ธรรมาธิปไตย
..
..
บทกวีไฮกุ แต่งโดย ครูสอนเซน
พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/71867_322453501198006_1968812867_n.jpg)
-
จิตวิญญาณพุทธะ
สาดแสงส่องทั่วปฐพี
โลกสว่างไสว
..
..
บทกวีไฮกุ แต่งโดย นายเมฆ โคโมริ
ใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/404523_327477124028977_1164798474_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
แสงหนึ่งเมื่อรุ้งงาม
เราทุกคนต่างก็ดิ้นรนเพื่อให้พ้นทุกข์ เมื่อใดที่สุขก็อยากจะอยู่กับสุขนั้นให้นาน แต่เพราะไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ใดๆก็ตาม มิอาจอยู่กับเราได้ตลอดไป มันเป็นความจริงที่ว่าทุกสรรพสิ่งนั้น ดำเนินอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ เกิดขึ้นแล้วย่อมสลายไป
รวมถึงสภาวะทางอารมณ์ต่างๆ ก็ไม่มีอะไรที่ตั้งอยู่ได้เลย เกิดแล้วดับไป วนเวียนจนไม่อาจนับครั้งได้ และโดยธรรมชาตินั้น จิตเราย่อมทำหน้าที่รู้สึกนึกคิด เรามักพยามไล่ตามมัน โดยใช้สติควบคุม หรือกดมันไว้ ก็ได้แค่เพียงชั่วขณะ แต่พอเผลอมันก็เตลิดไปอีก บางทีไล่ตามมันจนเกิดความชำนาญ คิดว่านั่นคือความสงบหรือความว่าง แท้จริงแล้ว เราได้ใช้ความมีตัวตนเข้าไปจัดการมันต่างหาก เพราะมีเราได้เข้าไปเริ่มและจบให้กับมัน ก็เป็นการสมมุติปรุงแต่งทั้งนั้น ทำให้บดบังความเป็นธรรมชาติอันแท้จริง
เพราะทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมดาของมันอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรเลยสักอย่าง เราเองต่างหากที่สร้างความมีตัวตน เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เข้าไปจัดการสร้างสิ่งอันเป็นมายาขึ้นมาใช่หรือไม่ ทำให้เกิดวัฏจักรเกิดดับไม่จบสิ้น ทั้งๆที่ทุกสรรพสิ่งมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไรเพื่ออะไร หรือใช้ความพยามเข้าไปบังคับ เมื่อมันเกิด มันก็ดับไปเอง ไม่ต้องเข้าไปจัดการในสิ่งอันสมบูรณ์อยู่แล้ว มันเป็นวิถีซึ่งเบ็ดเสร็จในตัวของมันเอง นี่ก็คือธรรมชาติอันคือความเป็นจริงเพียงส่วนหนึ่ง
เราทั้งหลายก็มิได้มีสภาพอันมีตัวตนอยู่เลย ล้วนเป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งสิ้น ธาตุขันธ์ทั้งหลาย ตลอดจน องค์ประกอบความบริบูรณ์ของสภาพแวดล้อมต่างๆ ก็เกิดจากสภาพจิตของแต่ละคนที่ได้ยึดมั่นสั่งสมมาช้านาน เหตุเพราะจิตเราเองยังหลงยึดมั่น ถือครองเป็นเจ้าของในสิ่งอันเราสมมุติขึ้นมานาน และถูกฝังการรับรู้ชนิดต่าง สิ่งนั้นถูกสิ่งนี้ผิด อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี หากไม่มี ไม่เป็นตามนั้นก็โศกเศร้าเสียใจ หรือความยินดีต่อการได้สิ่งนั้น สิ่งนี้มา ก็ใครกันกำหนดกฏเกณฑ์ และสร้างเงื่อนไขต่างๆขึ้น มิใช่เราเองหรอกหรือ เพราะเราสร้างความมีตัวตนในทุกสิ่งทุกสภาวะของธรรมชาติ จนเวียนว่ายเกิดดับอยู่ในวัฏสงสารมิจบสิ้น มันไม่มีวันจบจริงๆ
ทว่าดีหรือชั่ว มีหรือไม่มี ก็อยู่แต่ในจิตเรานี้เอง ทุกสรรพสิ่งเป็นมายาของจิตทั้งนั้น แท้จริงแล้วมันไม่เป็นสิ่งใดเลย และมันไม่อาจมีความหมาย หรือนิยามใด เมื่อหยุดสมมุติ ปรุงแต่ง ก็ไม่มีสิ่งไหนเกิดสิ่งไหนเกิดดับอีกต่อไป วัฎจักรก็จบสิ้นทันที เปิดใจให้กว้าง แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นความจริงอันเป็นสัจธรรมนี้ และตระหนักชัดถึงความเป็นธรรมชาติ แล้วอยู่เหนือสภาวะทั้งมวล เด็ดขาดออกจากมัน ไม่ต้องสมมุติว่า มี ไม่มี ต้องเป็น หรือไม่เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เอาความเป็นตัวเราออกมา ไม่เป็นผู้แสดง ไม่เป็นผู้แต่งบท ปล่อยวางจากทุกสภาวะ ก็จะเป็นอิสระทันที
คนเรามักพยามแสวงหาในสิ่งที่ไกลตัวออกไป จนมองข้ามที่จะศึกษาภายในจิตของตน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสรรพสิ่งทั้งมวล ไม่กล้าที่จะเด็ดขาด และยอมรับความจริง อย่าเที่ยวแสวงหาสิ่งใดจากภายนอกเพื่อดับทุกข์อีกเลย เพราะถึงแม้เราจะเพียรพยายามสร้างสมความดีเท่าไหร่ จิตเราก็จะติดอยู่แต่ในกุศลบุญนั้น และยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป หากเราไม่ใช้ปัญญาที่จะทำความเข้าใจความเป็นธรรมชาติภายในจิตเรา
เหตุที่จิตนี้เป็นที่บรรจุสรรพสิ่งต่างๆไว้อย่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน มันเก็บเรื่องราวไว้ได้มากมายกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดความจำสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ ฉะนั้นผลของการแบกรับทุกสิ่งไว้ ทำให้เรารู้สึกคับแคบหรือถูกบีบอัด จนต้องดิ้นรนหนีมัน และการเจริญด้วยสติว่ามีมันอยู่ แล้วรอดูการดับไป ก็ไม่ได้ทำให้เข้าถึงธรรมชาติอันแท้จริง เพราะสิ่งอันเป็นมายาทั้งหลายก็จะมาวนเวียนมาให้เราดูอยู่เสมอ จนกว่าเราจะใช้ปัญญาซึ่งเป็นเสมือนกุญแจ ปลดความมีตัวตนออกมา เพื่อให้เห็นสิ่งอันจริงแท้ ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็น ว่าแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียว
ธรรมะจึงมิใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือการทำความเข้าใจในกฏของธรรมชาติซึ่งเป็นจริงเสมอ และมันก็อยู่ภายในจิตเรานี้เอง
และนี่เป็นเพียงทัศนะทางธรรมของข้าพเจ้าเท่านั้น ที่ส่งจากเพื่อนถึงเพื่อน ด้วยหวังว่าจะเป็น “ แสงหนึ่ง ” ซึ่งนำทางให้เพื่อนทั้งหลายได้ข้ามพ้นวัฏสงสาร สาธุ
บทความนี้
เขียนโดย นางสาวนวพัฒน์ พรหมครุฑ (ลูกศิษย์)
(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/551501_327476680695688_1933217309_n.jpg)
-
กลีบเจ้าได้บานออก
รับแสงแห่งความตื่นรู้แจ้ง
ดอกไม้ไม่จำนรรจ์
..
..
บทกวีไฮกุ แต่งโดย นายเมฆ โคโมริ
ใจต่อใจในการฝึกตน
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/529453_327477907362232_626272763_n.jpg)
-
ดอกไม้เบ่งบานขึ้นอย่างเงียบงัน
และจะหลุดร่วงไปโดยไร้สำเนียง
มาบัดนี้ ณ กาลนี้ และ ณ สถานที่นี้
ดอกไม้ทั้งหมด โลกทั้งหมด ล้วนเบิกบานขึ้น
นี่คือคำจำนรรจาแห่งดอกไม้
คือสัจจะแห่งการเบ่งบาน
แสงอันเรืองรองแห่งชีวิตนิรันดร์
ได้ฉายฉานลง ณ ที่นี้แล้ว
..
..
เซน แห่ง เซนไค ชิบายามะ(ดอกไม้ไม่จำนรรค์)
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/487397_327481627361860_1267112278_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ไม่มีหนทางที่จะเข้าถึง
ธรรมชาติที่แท้จริงนั้น มันคือ สัจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติที่มันแสดงเนื้อหาความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น มันดำรงเนื้อหาสัจธรรมความเป็นจริงของมันอยู่เช่นนี้มานานแสนนานแล้ว อย่าถามเลยว่าความเป็นจริงนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรและมันจะมีวันจบสิ้นสูญสลายไปไหม ก็เพราะความจริงนี้มันคือคุณลักษณะแห่งความไม่มีไม่เป็นโดยเนื้อหามันเองอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหรือดับไปได้ และมันก็คือเนื้อหาธรรมชาติแห่งทุกๆอนูธรรมธาตุที่เป็นคุณลักษณะดั้งเดิมแท้ของมันอยู่แล้ว มันจึงดำรงเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นด้วยความเป็นเช่นนั้นของมันเอง มันจึงไม่ต้องอาศัยกาลเวลาเพื่อที่จะทำให้มันเกิดขึ้นหรือเสื่อมสิ้นดับสูญไป หากจะถามแบบโง่ๆว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร ก็ขอตอบแบบโง่ๆว่า รู้แต่ว่า “มันมีมามันเป็นมา” ตั้งแต่ก่อนที่พวกคุณจะลงมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกคุณที่เป็นนักศึกษาทางฝั่งโน้นจะบังอาจแสดงความโง่เขลาของตนเข้าไปทำธรรมชาติดั้งเดิมแท้ให้มันเกิดขึ้นอีกได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อมันดำรงเนื้อหาแสดงเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้มานานแสนนานอยู่แล้วก่อนที่พวกคุณจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เสียอีก มันดำรงเนื้อหาซึ่งเป็นเนื้อหาที่บริบูรณ์อยู่แล้วมาก่อนหน้าพวกคุณที่คิดผิดจะเข้าไปแสวงหาสร้างให้มันเกิดขึ้นในสภาพบริบูรณ์ตามความเข้าใจของพวกคุณด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นด้วยการ “ตกผลึก” และ “ตระหนักชัด” ในธรรมจึงจะเข้าใจว่า แท้จริงมันไม่มีหนทางที่ไปสู่ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้เลย การที่คิดว่าต้องมีหนทางมันจึงเริ่มแสวงหาเพื่อ “สร้างหนทาง” ที่จะพาให้เราเข้าถึงตัวเนื้อแท้แห่งธรรมชาติ แต่ด้วย “ความคิด” ซี่งมันคือรายละเอียดแห่งอวิชชาการแสวงหาการ มันก็คือการปรุงแต่งเพื่อความเกิดขึ้นและดับไปแห่งจิตที่ปรารถนาหนทางนั้นเอง มันจึงเป็นการฝืนและขัดต่อสัจธรรม อันคือธรรมชาติแห่งความไม่มีความไม่เกิดความไม่ดับ
จากมุมมองแบบผ่านกระบวนการ “การตกผลึก” แล้ว ทุกสรรพสิ่งอันคือความเกิดขึ้นมันย่อมไม่มีปรากฎ มันย่อมไม่มีไม่เป็นแม้กระทั้งสิ่งใดๆเลย ไม่มีโลก ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีเขา ไม่มีใคร ไม่มีความรู้สึก ไม่มีขันธ์ทั้ง 5 ไม่มีสิ่งนั้น ไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีเรา และไม่มีอะไรต่ออะไรอีกมากมายก่ายกองที่เรียกมันว่า “ทุกสรรพสิ่ง” มันดำรงแต่เนื้อหาที่มีคุณลักษณะแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแสดงปรากฎออกมาอยู่อย่างนั้นแบบนี้มาช้านานตลอดกาลนานตราบชั่วนิจนิรันดร์ มันไม่มี “เรา” แต่เราคือเนื้อหาสัจจธรรมอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่เผยตัวออกมาอยู่ตลอดเวลาต่างหากอยู่แล้วนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเราเพียงแต่ทำความเข้าใจเพื่อจะได้ตระหนักชัดในความหมายแห่งคุณลักษณะมัน และซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกับมันอย่างกลมกลืนเท่านั้น ไม่มีเราและไม่มีมันซี่งมีระยะห่างจากเราและเราต้องทำหนทางไปหามัน ด้วยธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันไม่เคยแยกจากที่ที่เราอยู่เลยแม้ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่มี เพราะฉะนั้นการเข้าไปสาละวนในการปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะแสวงหาหนทางสร้างหนทางในมรรคมีองค์แปดเพื่อเข้าถึงมัน การมุ่งปฏิบัติเช่นนี้แล้วเข้าใจว่านิพพานหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันจะเกิดขึ้น มันก็จะเป็นการเสียเวลาเปล่า หามีประโยชน์อันใดไม่
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/526816_330624310380925_952007138_n.jpg)
-
สิ่งที่เรียกว่า “เซน” นั้น
ไม่อาจถือว่าเป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนา
เซนไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่กับพุทธศาสนานิกายเซนเท่านั้น
หากแต่เป็นสัจจะอันสากล
ซึ่งจะนำปรีชาญาณที่แท้และนำสันติสุข
มาสู่ชีวิตของมหาชนในโลก...
..
..
เซน แห่ง เซนไค ชิบายามะ(ดอกไม้ไม่จำนรรค์)
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/551269_327482087361814_230739043_n.jpg)
-
เซนบอกเราอยู่เสมอ
ให้ขจัดโลกแห่งการแบ่งแยกออกไป
และเปิดตาขึ้นรับรู้ต่อโลกแห่งความเป็นหนึ่งเดียวอันสูงสุด
ในขณะเดียวกัน
ก็ไม่ไปติดอยู่กับความหนึ่งเดียว
จนสูญสิ้นอิสรภาพแห่งตนไป
..
..
เซน แห่ง เซนไค ชิบายามะ(ดอกไม้ไม่จำนรรค์)
(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/487536_327485310694825_1376988623_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
หน้าตาแห่งความบริสุทธิ์
ในการภาวนาแบบ “เซน” มันคือ ความตกผลึกในธรรมชาติ เพื่อให้เข้าถึงความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งเป็นเนื้อหาแห่งความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนานั้น มันเป็นเพียงแต่ทำความเข้าในความหมายเพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและตกผลึกซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้แห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้นเพียงเท่านั้น เพียงแค่ตระหนักชัดและมันไม่มีวิธีการเข้าไปทำ การตระหนักชัดและการที่ตกผลึกซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนไม่แปลกแยกกับธรรมชาตินั้น มัน “ไม่ใช่วิธีการ” ตัวธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันก็บริสุทธิ์อย่างแท้จริงอยู่แล้ว มันคือความบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น มันบริสุทธิ์โดยตัวมันเองปราศจากความสกปรกแปดเปื้อนไปด้วยมลทินแห่งอวิชชาตัณหาอุปาทานในธรรมอันคือ “สังขตธาตุ” หรือธรรมธาตุอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาแห่งสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทั้งหลาย ธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันบริสุทธิ์ด้วยความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นไม่มีความสกปรกมลทินแห่งความเกิดขึ้นและดับไปเลย นี่คือ “หน้าตาแห่งความบริสุทธิ์” ที่เป็นเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีนักศึกษาทางฝั่งโน้นที่ไม่เข้าใจเนื้อหาธรรมอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ และไม่รู้จัก “หน้าตาแห่งความบริสุทธิ์” ที่แท้จริง นักศึกษาพวกนี้ก็เลยมีความกุลีกุจอเร่งรีบที่จะเข้าไปภาวนาโดยการ “กำหนดลงไปที่จิต” ว่ามีจิตชนิดนี้มีจิตชนิดนั้นเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา และยังโง่เขลาต่อไปอีกว่าการกำหนดลงไปที่จิตต่างๆแบบนี้คือความบริสุทธิ์ และก็ได้กำหนดลงไปที่ความบริสุทธิ์แบบนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเข้าใจว่ามันคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง สำหรับการกำหนดจดจ่อลงไปที่จิตนั้นไม่ควรทำเพราะจิตต่างๆนั้นมันเป็นของมืดมัวมาก่อนเสียแล้ว มันเป็นมลทินแห่งจิตชนิดต่างๆที่เจือปนไปด้วยธรรมธาตุแห่งการเกิดขึ้นและดับไป จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆที่จะเข้าไปกำหนดดูจิตแบบนี้ การเข้าไปกำหนดเช่นนี้มันจึงเป็นความมัวหมองแห่งอวิชชาที่ซ้อนเข้ามาเพื่อปิดบังความบริสุทธิ์ที่แท้จริง และการที่เราตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับ “ความดับไปแห่งจิต” ซึ่งเกิดจากการเข้าไปกำหนดจดจ่อจิตประเภทต่างๆนั้นแล้วถือว่าตรงนี้เป็นความบริสุทธิ์ เป็นการกำหนดลงไปที่ตัวความบริสุทธิ์นั้น ก็ถือว่ามันยังไม่ใช่เป็นความบริสุทธิ์แต่มันคืออวิชชาตัวใหม่ที่เกิดขึ้นมาอันหนึ่งเท่านั้น มันคือ “อวิชชาแห่งความบริสุทธิ์” เพราะแท้จริงธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันคือความบริสุทธิ์โดยเนื้อหามันเองอยู่แล้ว คือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครสามารถสร้างความบริสุทธิ์ขึ้นมาซ้อนเข้ามาแทนมันซึ่งคือความบริสุทธิ์ดั้งเดิมแท้ได้
ตัวความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น มันไม่มีสัณฐาน ไม่มีรูปร่างลักษณะ ไม่มีขนาด ไม่มีปริมาณ ไม่มี “ความชัดเจนหรือไม่ชัดเจน” การที่จะสร้างความบริสุทธิ์ขึ้นมาตามความไม่เข้าใจของตน การสร้างความบริสุทธิ์แบบนี้คือ “การเข้าไปประดิษฐ์รูปร่างแห่งความบริสุทธิ์” ขึ้นมาเสียเอง และก็ยังหลงเข้าใจผิดต่อไปอีกว่าการภาวนาเพื่อกำหนดลงไปที่ความบริสุทธิ์แบบนี้มันคือปัญหาสำคัญแห่งความหลุดพ้นต้องกำหนดจดจ่อกับความบริสุทธิ์แบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีภาวะหลุดพ้นเกิดขึ้น เมื่อถือหลักความคิดแบบนี้มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นักศึกษาเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นผู้ขับไล่ไสส่งความบริสุทธ์เสียเองแล้ว ความคิดผิดเหล่านี้มันเป็นการปรุงแต่งซ้อนเข้ามาเพื่อมาปิดบังความบริสุทธิ์ที่แท้จริงแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งมันคือเนื้อหาแห่งความหลุดพ้นอยู่แล้ว มันหลุดพ้นโดยตัวมันเองสภาพมันเอง
เพียงแค่ ละทิ้ง สลัดทิ้ง สลัดออก ซึ่งกระบวนการต่างๆแห่งความเข้าใจผิดในการกำหนดจดจ่อลงไปที่จิต ในการกำหนดจดจ่อลงไปที่ความบริสุทธิ์ซึ่งเป็นธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา แล้วหันหน้ามาทำความเข้าใจในความหมายของความบริสุทธิ์ที่แท้จริงแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ แล้วตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมันเพียงเท่านี้ “หน้าตาแห่งความบรสุทธิ์” ที่แท้จริงก็จะปรากฏเผยโฉมหน้าของมันขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/480937_322504184526271_832576371_n.jpg)
-
เซนมีบางสิ่งบางอย่าง
ที่สงบล้ำและปราศจากการปรุงแต่งทั้งมวล
ในขณะเดียวกับที่ห่อหุ้มปรีชาญาณอันลึกซึ้งไว้ภายใน
และถ้าหากเราพยายามที่จะยึดมันไว้
เพื่อนำมาดูว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่
มันก็จะสูญหายไปจนไร้ร่องรอย
..
..
เซน แห่ง เซนไค ชิบายามะ(ดอกไม้ไม่จำนรรค์)
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/150647_327486487361374_1469214852_n.jpg)
-
เซนปฏิเสธการใช้สมองขบคิดใคร่ครวญ
เพราะกระทำดังนั้น
เท่ากับตกเป็นทาสของจิตใจแบบแบ่งแยก
..
..
เซน แห่ง เซนไค ชิบายามะ(ดอกไม้ไม่จำนรรค์)
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/72992_327503590692997_1023694295_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ความสิ้นสุดแห่ง “การเกิดขึ้นและดับไป ”
ก็ในสมัยนั้น พระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 (เว่ยหล่าง) ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำทางด้านศาสนาแห่งนิกายเซน เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่เนื้อหาธรรมอันหลุดพ้นจนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทางจีนตอนใต้ มีภิกษุในประเทศจีนทั่วสารทิศในยุคนั้นได้เข้ามาพำนักฝากตัวเป็นศิษย์อยู่กับท่านเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วยหลายร้อยรูป หนึ่งในนั้นก็คือ ภิกษุ ฉิต่าว ภิกษุรูปนี้ท่านได้อ่านมหาปรินิรวาณสูตรมานานเป็นสิบปี ท่านไม่เข้าใจในเนื้อหาแห่งพระสูตรที่กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานที่ว่า “สิ่งทุกสิ่งไม่คงตัวอยู่อย่างถาวร ดังนั้น สิ่งทั้งปวงจึงตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมที่เป็นความเกิดขึ้นและความแตกดับ(กล่าวคือสังขตธรรมหรือธรรมอันปรุงแต่ง) เมื่อความเกิดขึ้นและความแตกดับมาสิ้นสุดลงด้วยกัน ศานติสุขแห่งความหยุดได้โดยสมบูรณ์ และ ความสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลง (กล่าวคือนิพพาน) ย่อมปรากฏขึ้น”
พระสังฆปรินายกเว่ยหล่าง ได้อธิบายความหมายแห่งพระสูตรนี้ให้ ภิกษุ ฉิต่าว ฟังว่า “ ไม่ว่าในขณะใดทั้งหมด นิพพานย่อมไม่มีปรากฎการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง หรือแห่งการเกิดดับ ไม่มีแม้กระทั่งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่ของความเกิดขึ้น และความแตกดับ นิพพานเป็นการแสดงออกของความหยุดได้โดยสมบูรณ์ และความสิ้นสุดของความเปลี่ยนแปลง ”
ก็ด้วยเนื้อหาพระนิพพานหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันคือ อสังขตธรรม กล่าวคือเป็นธรรมอันไม่ปรุงแต่ง มันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น และความว่างเปล่านั้นมันคือคุณสมบัติดั้งเดิมแท้ของมันเองเป็นเนื้อหาเดิมๆของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว มิใช่เป็นความว่างเปล่าที่เกิดจากการอาศัยเหตุปัจจัยจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นและดับไปและไม่ได้อาศัยเหตุปัจจัยจากการสิ้นสุดลงแห่งความเกิดและแตกดับซึ่งเป็นความดับสนิทไม่มีเหลือ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใดเล่า ก็เพราะว่าเนื้อหานิพพานหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันคือความว่างเปล่าซึ่งมันว่างเปล่าเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น มันคืออสังขตธาตุ ธรรมธาตุแห่งความไม่มีการปรุงแต่ง เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงย่อมไม่มีปรากฎการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงในการเกิดขึ้นดับไป ไม่มีแม้กระทั้งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่แห่งความเกิดขึ้นและดับไปดังกล่าว เพราะเนื้อหาเหล่านี้มันคือความหมายแห่งสังขตธาตุ คือ ธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง มันเป็นจิตปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นจิตที่ปรุงแต่งเพื่อคอยอาศัยการเกิดดับ มันเป็นจิตที่ปรุงแต่งเพื่อรอคอยความสิ้นสุดแห่งการเกิดดับ มันเป็นจิตที่ปรุงแต่งเข้ามาซ้อนเข้ามาปิดบังไม่ให้เห็นไม่ให้เข้าใจในความหมายที่แท้จริงแห่งพระนิพพาน เพียงแค่ตระหนักชัดและตกผลึกว่า เนื้อหานิพพานหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันคือความว่างเปล่าแบบถ้วนทั่วซึ่งเป็นคุณสมบัติของมันอยู่แล้ว เพียงแค่ซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับมันด้วยความกลมกลืนในความว่างเปล่าแบบถ้วนทั่วทุกอนูธรรมธาตุซึ่งมันเป็นความบริบูรณ์แห่งความว่างเปล่าอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดอันเป็นตัวตนที่จะแทรกเข้ามาทำหน้าที่เกิดดับได้เลย
นิพพานหรือธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น เป็นการสลัดออกจากธรรมอันคือการปรุงแต่งซึ่งคือการเกิดขึ้นดับไปโดยสิ้นเชิง เป็นการสลัดออกโดยเด็ดขาด เป็นความเด็ดขาดที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุปัจจัยจากการทำหน้าที่แห่งความสิ้นสุดของการเกิดดับด้วยซ้ำไป เป็นความเด็ดขาดซึ่งคือความหมายแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรกับอะไรอยู่แล้ว ไม่มีเกิดขึ้นและดับไปอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องสิ้นสุดในหน้าที่อะไรอยู่แล้ว เป็นความเด็ดขาดที่คือความหมายแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นซึ่งเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมแท้ของมันเองอยู่แล้ว เป็นความเด็ดขาดที่เรียกมันว่า “ตถตา” คือ มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น เป็นความเด็ดขาดซึ่งคือการตกผลึกและเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั่นเอง
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/563189_331004790342877_1718030491_n.jpg)
-
เธอชอบเข้าไปดูในสิ่งที่มันไม่มี เธอชอบเข้าไปดู "จิต"
เมื่อเข้าใจผิดว่ามันมี..เธอก็ต้องตามรู้ความมีที่เธอเข้าใจผิด
ว่ามันดับไปเป็นธรรมดาตามหลักเกณฑ์อะไรของเธอ
และก็มานั่งภูมิใจว่านี่คือตัวรู้ นี่คือสัมมาสติ อะไรทำนองนี้
ทั้งๆที่ความจริงมันไม่เคยมีมันจึงไม่เกิดไม่ดับ..มันไร้วิถีเกิดดับ
มันจึงเป็นการที่เธอหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามี
และต้องเหนื่อยกับมันในการเข้าไปตามรู้ตามดูมันที่เกิดๆดับๆ
มันเหนื่อยเปล่า...ที่ชีวิตนี้ทิ้งไปกับการปฏิบัติแบบนี้
..
..
เซน แห่ง หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
ครูสอนเซน พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโทฃ
และเข้าไปฟัง ธรรมะใจต่อใจในการฝึกตน mp 3 ( video )
ได้ที่
1.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 1.flv (http://www.youtube.com/watch?v=icz6yul9yv8#)
2.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 2.flv (http://www.youtube.com/watch?v=1hlS-CG4wmE#)
3.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 3.flv (http://www.youtube.com/watch?v=qe8X_5yjnMk#)
4.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 4.flv (http://www.youtube.com/watch?v=4EI5IGtz4yU#)
5.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 5.flv (http://www.youtube.com/watch?v=AKRWLwM23Lc#)
6.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 6.flv (http://www.youtube.com/watch?v=fA7sw6VRuQ8#)
7.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 7 (http://www.youtube.com/watch?v=38_I31rPrAk#)
8.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 8 (http://www.youtube.com/watch?v=586EvinSQfI#)
9.นิกายเซน ใจต่อใจในการฝึกตน 9 (http://www.youtube.com/watch?v=As7Cv50I_s8#)[/size]
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/555789_328156730627683_1566332175_n.jpg)
-
เมื่อรุ่งรางฟ้าสางที่ราวป่า
ข้าเจ้าเฝ้าดูสายหมอกขาว
เข้าห่มหมู่ไม้เห็นเป็นเงาสีเทา
แลดูคล้ายวิหารใหญ่
ข้าเจ้าแว่วเพลงบรรเลงจากยอดไม้
เสมือนว่าป่านั้นเข้าใจ
ว่าอรุณสมัยในวนาวิหาร
คือสถานอันควรแก่การภาวนา
..
..
เซน แห่ง The Meadows of Heaven : J.P. Folinsbee
(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/487504_328160867293936_723277076_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
สลัดออก
การ “สลัดออก” คือ ศาสตร์แห่งความเป็นพุทธะวิสัยที่ตถาคตเจ้าซึ่งเปรียบเสมือนครูใหญ่ของเหล่ามนุษย์และเทวา ท่านใช้การ “สลัดออก” เป็นศิลปะในการสอนเพื่อชี้แนะบรรดาหมู่เวไนยสัตว์ทั้งหลายให้ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจเพื่อไปสู่ความตกผลึกตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมที่ตถาคตเจ้าทรงโปรดสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์ตามความเหมาะสมแห่งการรับธรรม
บางครั้งตถาคตเจ้าก็ทรงสอนให้ “สลัดออก” ซึ่งภาวะจิตอันเป็นอกุศล โดยท่านทรงชี้แนะให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายเรียนรู้ทำความเข้าใจที่จะรักษาจิตโดยการพยายามปรุงแต่งจิตไปในทางกุศล เช่น การรักษาศีล โดยตถาคตทรงใช้อุบายอันแยบยลซึ่งคือศิลปะในการสอน ท่านทรงชี้ถึงการได้รับโทษต่างๆเมื่อยังดำเนินจิตไปในทางอกุศลและทรงชี้ถึงการได้รับผลแห่งบุญเมื่อดำเนินจิตไปในทางกุศล
บางครั้งตถาคตเจ้าก็สอนให้ “สลัดออก” ซึ่งความทุกข์ทั้งปวง โดยท่านทรงชี้แนะให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องขันธ์ทั้ง 5 เรื่องธรรมชาติแห่งขันธ์ทั้ง 5 ที่มันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา เรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องสังขตธาตุทั้งหลายอันคือธรรมธาตุที่มีคุณลักษณะแห่งการเกิดขึ้นละดับไปเป็นธรรมดา
บางครั้งตถาคตเจ้าก็สอนให้ “สลัดออก” ซึ่งสังขตธาตุทั้งปวง โดยท่านทรงชี้แนะให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่อง อสังขตธาตุ อันคือธรรมธาตุที่มีคุณลักษณะแห่งการไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ได้ และไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดับไปสิ้นไป มันคือความเป็นอิสระอย่างเด็ดขาดแห่งความว่างเปล่าอันไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้น โดยตถาคตเจ้าได้ใช้อุบายอันแยบยลอันคือศิลปะในการสอน ท่านทรงชี้ว่าสังขตธาตุนั้นความจริงมันเป็นเพียงภาวะแห่งความแปรปรวนไม่แน่นอนแห่งอัตตาตัวตนที่เกิดขึ้นและดับไปเพียงเท่านั้นแต่มันยังไม่ใช่ภาวะเด็ดขาดแห่งความว่างเปล่าอันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไปได้เลย แต่แท้ที่จริงมันมีภาวะธรรมที่เป็นธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือความเป็นสังขตธาตุ มันคือ “อสังขตธาตุ” อันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันว่างเปล่าไร้ตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นความว่างเปล่าแบบเด็ดขาดที่อยู่นอกเหนือการเกิดขึ้นและดับไป ตถาคตทรงชี้ว่า “ความว่างเปล่าอันมิใช่ตัวมิใช่ตนนั้นมันทำหน้าที่ตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์โดยตัวมันเองอยู่แล้ว” ตถาคตเจ้าจึงทรงตรัสธรรมไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อันหมายถึง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว (โดยตัวมันเองโดยสภาพธรรมชาติของมันเอง) เมื่อเราเข้าใจและตระหนักชัดในความหมายแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้แล้ว ตถาคตจึงทรงชี้ให้ “สลัดออก” เสียซึ่งสังขตธรรมทั้งปวงเสีย
การ “สลัดออก” จึงเป็นความหมายแห่งการละทิ้งภาวะธรรมเดิมๆของตนที่เคยได้เข้าไปเรียนรู้แล้วตกผลึกตระหนักชัดและเคยซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมัน “เป็นการละทิ้งได้โดยสิ้นเชิง” และเป็นความหมายแห่งการได้เริ่มเรียนรู้ภาวะธรรมใหม่ที่ดีกว่าอันเป็นอุบายทำให้ออกจากกองทุกข์ได้ผลมากกว่า และท้ายที่สุดเมื่อ “สลัดออก” ซึ่งสังขตธาตุและการที่ได้ตกผลึกตระหนักชัดและซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันกับอสังขตธาตุอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งเป็นการออกจากกองทุกข์ทั้งปวงได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว มันจึงเป็นการ “สลัดออก” ไปสู่ความเป็นที่สุดแห่งธรรม ความรู้ที่พาพวกเธอ “สลัดออก” และนำไปสู่ความพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิงได้นั้น ก็คือ สภาพความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นซึ่งมันอยู่นอกเหนือภาวะความหลุดพ้นและภาวะความไม่หลุดพ้น
นี่คือ พุทธศาสตร์ที่ชื่อ “สลัดออก” แห่งพุทธะวิสัย
(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/13174_332324266877596_469817969_n.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
โศลกแห่งเซน
เว่ยหล่าง เป็นพระอรหันต์ในยุค 1200 กว่าปีที่ผ่านมา ท่านดำรงตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ที่ 6 แห่งนิกายเซน ท่านเป็นโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ส่วนหนึ่งในการต่ออายุพระพุทธศาสนา ได้อย่างสมภูมิธรรมของท่าน เว่ยหล่าง เป็นชายผู้ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ท่านสามารถฟังธรรมและวิเคราะห์ธรรมที่พระพุทธองค์ประกาศไว้ได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น ถือว่าท่านเป็นอริยสงฆ์แห่งนิกายเซนในประเทศจีนที่เด่นทางด้านปฏิสัมภิทาญาณมาก ท่านสามารถอธิบายธรรมที่ยากให้สามารถเข้าใจได้ง่าย
มีอยู่วันหนึ่ง พระสังฆปรินายกองค์ที่ 5 ได้เรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนเขียนโศลก ว่าด้วยเรื่อง ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ โดยหากผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัตร (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปรินายก) และจะถูกสถาปนาผู้นั้นเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 6 แห่งนิกายเซน
ชินเชา ภิกษุผู้เป็นเชฏฐอันเตวาสิก ผู้มีอายุกาลพรรษามากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของสังฆปรินายกองค์ที่ 5 ได้พยายามแต่งโศลกขึ้น มีข้อความดังนี้
“กายของเราคือต้นโพธิ์
ใจของเราคือกระจกเงาอันใส
เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆชั่วโมง
และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองลงจับ”
แต่สังฆปรินายกองค์ที่ 5 ได้ทราบก่อนอยู่แล้วว่า ชินเชาผู้นี้ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูแห่งการตรัสรู้ และเขายังไม่ซึมทราบในธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ท่านได้อ่านโศลกที่ชินเชาเขียนแปะไว้ที่ฝาผนังทางเดินแล้วท่านก็กล่าวแก่คนทั่วไปว่า เพราะสูตรๆ นั้นได้กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งที่มีรูป หรือมีความปรากฏกิริยาอาการ ย่อมเป็นอนิจจังและเป็นมายา" หากผู้ใดน้อมไปยึดถือปฏิบัติก็จะได้ไปจุติในสวรรค์ ครั้นเวลาเที่ยงคืน พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอแล้วถามว่าเขาเป็นผู้เขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่ พระสังฆปริณายกได้พูดต่ออีกว่า "โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้ง ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุด ด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น ยากที่จะสำเร็จได้"
"การที่ใครจะบรรลุอนุตรสัมโพธิได้นั้น ผู้นั้นจะต้องสามารถรู้แจ้งด้วยใจเอง ในธรรมชาติแท้ของตนเอง หรือที่เรียกว่าธรรมชาติดั้งเดิมแท้ อันเป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้ หรือทำลายให้สูญหายไปก็ไม่ได้ ชั่วเวลาขณะจิตเดียวเท่านั้น ผู้นั้นสามารถเห็นแจ้งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้โดยตลอดกาลทั้งปวง ต่อจากนั้นทุกๆ สิ่งก็จะเป็นอิสระจากการถูกกักขัง กล่าวคือจะเป็นวิมุติหลุดพ้นไป ตถตา (คือความเป็นแต่ที่เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้, ซึ่งเป็นชื่อของธรรมชาติดั้งเดิมแท้อีกชื่อหนึ่ง) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งเดียวหรือชั่วขณะจิตเดียว ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากความหลงได้ตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไรใจของผู้นั้น ก็จะยังคงอยู่ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" สถานะเช่นนี้ที่จิตได้ลุถึงนั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ ถ้าเจ้าสามารถเห็นสิ่งทั้งปวง โดยลักษณะการเช่นนี้ เจ้าจะได้รู้แจ้งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้อันสูงสุด"
เวลาล่วงมาอีกสองวัน บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางห้อง ที่เว่ยหล่างตำข้าวอยู่ เด็กคนนั้น ได้เดินท่องโศลกของชินเชา ที่จำมาจากฝาผนังอย่างดังๆ พอได้ยินโศลกนั้น เว่ยหล่างก็ทราบได้ทันทีว่าผู้แต่งโศลกนั้น ยังไม่ใช่ผู้เห็นแจ้งใน ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ เว่ยหล่างจึงไหว้วานเจ้าหน้าที่เสมียนพนักงานแห่งตำบลกองเจาคนหนึ่งชื่อ จางตัตยุง เขียนโศลกให้ตนขึ้นเพราะตนเองไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือเองได้
โศลกของเว่ยหล่าง มีว่า:-
"ไม่มีต้นโพธิ์
ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
ฝุ่นจะลงจับอะไร?"
วันรุ่งขึ้น พระสังฆปริณายกได้ลอบมาที่โรงตำข้าวอย่างเงียบๆหลังจากที่ท่านได้อ่านโศลกของเว่ยหล่างแล้ว ท่านก็ได้อธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตร(กิมกังเก็ง) ให้แก่เว่ยหล่าง เมื่อท่านได้อธิบายมาถึงข้อความที่ว่า "คนเราควรจะใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย ทันใดนั้นเว่ยหล่างก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์ และได้เห็นแจ้งชัดว่า "ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ก็คือตัว ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ นั่นเองมิใช่อื่นไกล"
เว่ยหล่างได้ร้องขึ้นในที่เฉพาะหน้าพระสังฆปริณายก ในที่นั้นว่า "แหม! ใครจะไปคิดว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ นั้น เป็นของบริสุทธิ์อย่างบริสุทธิ์แท้จริง ใครจะไปคิดว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ นั้น เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจ ความต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง ใครจะไปคิดว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง อย่างสมบูรณ์แท้จริง ใครจะไปคิดว่า ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง อย่างนอกเหนือแท้จริง ใครจะไปคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจากตัว ธรรมชาติดั้งเดิมแท้"
เมื่อพระสังฆปริณายก สังเกตเห็นว่า เว่ยหล่างได้เห็นแจ้งแล้วใน ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ท่านได้กล่าวว่า "สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตนเอง ว่าคืออะไร ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะศึกษาพุทธศาสนา ตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร และเห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซับว่า ธรรมชาติแท้ของตนเองคืออะไรด้วยแล้ว ผู้นั้นคือวีรมนุษย์ คือครูของเทวดาและมนุษย์ คือพุทธะ "
ดังนั้น, ในฐานะที่ความรู้ย่อมไม่เป็นของบุคคลใดแต่ผู้เดียว ธรรมะอันนั้นจึงถูกมอบตกทอดมายังเว่ยหล่างในเที่ยงคืนวันนั้นเอง พระสังฆปริณายกได้กล่าวสืบไปว่า "บัดนี้ ท่านเป็นสังฆปริณายกองค์ที่6 ท่านต้องคุ้มครองตัวของท่านให้ดี จงช่วยมนุษย์ให้มากพอที่จะช่วยได้ จงทำการเผยแพร่คำสอน และสืบอายุคำสอนไว้อย่าให้ขาดตอนลงได้"
ถึงแม้ชินเชาจะบวชเป็นพระและปฏิบัติธรรมอยู่กับสังฆปรินายกองค์ที่ 5 มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี แต่ชินเชากลับไม่เข้าใจธรรมชาติดั้งเดิมแท้ว่า แท้จริงโดยเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปเลย และธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้เป็นสิ่งที่
ใครสร้างขึ้นไม่ได้ แต่ชินเชากลับเห็นว่ายังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอยู่ คือยังเห็นว่ามีกายมีใจ เห็นว่ายังมีสิ่งๆหนึ่งเกิดขึ้นคือฝุ่นละอองแห่งมายาจิตที่ปรุงแต่งลงมาจับกระจกให้หมองมัวไม่ใสกระจ่างและต้องมีวิธีที่เข้าไปกวาดเช็ดถูมันทุกๆชั่วโมงซี่งเป็นความหลงปรุงแต่งที่จะเข้าไปแสวงหาสร้างธรรมชาติดั้งเดิมแท้ให้มันเกิดขึ้นมาตามความต้องการของตน ซึ่งความเข้าใจในธรรมของชินเชา “มันขัดต่อ มันฝืนต่อ” ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้โดยสิ้นเชิง
แต่ในส่วนของเว่ยหล่าง ชายผู้ตัดฟืนเป็นคนป่าคนเยิงไม่มีความรู้อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้และไม่เคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนามาก่อน เมื่อมาอยู่วัดก็ถูกสังฆปรินายกองค์ที่ 5 ไล่ให้ไปอยู่ในโรงตำข้าว แต่เว่ยหล่างกลับเป็นคนผู้มีปัญญาสามารถตระหนักชัดและซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้แห่งความไม่มีตัวไม่มีตนโดยตัวมันเองได้ เว่ยหล่างจึงแต่งโศลกขึ้นมาว่า แท้จริงกายใจก็ไม่มี ฝุ่นละอองก็ไม่มี กระจกก็ไม่มี วิธีกำจัดฝุ่นละอองก็ไม่มี โศลกของเว่ยหล่างมีความหมายว่า แท้จริงในทุกสรรพสิ่งสากลนั้นล้วนคือหน้าตาธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่แล้ว การที่เราจะเข้าไปกำจัดอะไรออกไปจากใจ เพื่อให้ธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันเกิดขึ้น “การเข้าไปกำจัด” มันก็คือจิตอันเป็นมายาปรุงแต่งขึ้นมาตัวหนึ่งซึ่งมาบดบังธรรมชาติดั้งเดิมแท้ไม่ให้เราได้ตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมันได้ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้เป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ก็คือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันก็ทำหน้าที่ของมันของมันอยู่อย่างนั้นโดยบริบูรณ์ในฐานะธรรมชาติดั้งเดิมแท้โดยเนื้อหาโดยสภาพมันเองอยู่แล้ว การที่จะตระหนักชัดและจะสามารถซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้นั้นมิใช่เกิดจากการลงมือปฏิบัติแสวงหามันเพื่อทำให้มันเกิดขึ้นตามความต้องการของเรา เพราะการลงมือปฏิบัติแสวงหามันเป็นจิตปรุงแต่งตัวหนึ่ง “ซึ่งมันเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป” มันคืออวิชชาตัณหาอุปาทานตัวหนึ่ง มันเป็นอัตตาตัวตนชนิดหนึ่งที่มีลักษณะธรรมธาตุแห่งการเกิดขึ้นดับไป มันจึงไม่ใช่เนื้อหาของธรรมชาติดั้งเดิมแท้ซึ่งไม่ใช่สภาพธรรมอันที่จะสามารถปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและแปรปรวนดับไปได้ มันขัดต่อธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันเป็นการปรุงแต่งเพื่อหลงเข้าไปปฏิบัติอยู่อย่างนั้น หลงปรุงแต่งเป็นจิตเกิดขึ้นในการเข้าไปปฏิบัติ เป็นการปรุงแต่งในวิธีปฏิบัติ
(http://farm3.staticflickr.com/2395/2536051940_fa415bbd95_o.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ผูกมัดโดยไม่ต้องมีเชือก
หน้าตาดั้งเดิมแท้ของธรรมชาติที่เผยตัวเองออกมาอยู่ตลอดเวลานั้น มันคงคุณลักษณะแห่ง “ความเป็นอิสระ” ซึ่งคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น เป็นความอิสระโดยเนื้อหาตัวมันเองโดยสภาพตัวมันเอง ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะแทรกเข้าไปอยู่ปะปนกับมันได้เลย หากจะไปอยู่รวมกับมันก็ไม่ใช่ไปอยู่ในสถานะที่ “ต้องอยู่”แต่ต้องมีคุณลักษณะแห่งความเป็นอิสระในความว่างเปล่าซึ่งเป็นเนื้อหาเดียวกันกับมันแบบกลมกลืนเท่านั้น เป็นความกลมกลืนแบบไม่อาจแบ่งแยกออกมาเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เลย การกลมกลืนเป็นเนื้อหาเดียวกันจึงไม่ใช่เป็นการ “เข้าไปอยู่” หรือ ไม่ใช่เป็นการต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ได้ “อยู่” กับมัน
เพราะฉะนั้น นักศึกษาทางฝั่งโน้นจงอย่าได้เดินตกไปสู่หลุมลึกแห่งความขาดอิสระโดยไม่รู้ตัว การที่เราจะกลมกลืนกับมันในความเป็นอิสระนั้น มิใช่เป็นการที่เราต้องรีบเข้าไปกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้ “ผล”แห่งการเข้าไปกระทำการนั้นเกิดขึ้นซึ่งพวกคุณเรียกมันว่า “การปฏิบัติ” และพวกคุณก็ยังเข้าใจอีกว่า “ผล”ที่เกิดขึ้นนั้นคือความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่โดยความเป็นจริงตามเนื้อหาแห่ง “ความคิด”ซึ่งสั่งการให้กระทำเหล่านี้ ความหมายของมันกลับเป็นการเข้าไปตีกรอบเพื่อให้เกิดแบบแผนซึ่งมันเป็น “กฏเกณฑ์” ที่เข้าใจผิดคิดขึ้นมาเองว่า จะต้องกระทำและจะต้องได้ผลแห่งการกระทำ ซึ่งโดยเนื้อหามันกลับเป็น “ความไม่อิสระ” เพราะเป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับการปรุงแต่งที่เรียกว่า “วิธีปฏิบัติที่เป็นแบบแผนและกฎเกณฑ์” อยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามถึงแม้จะงดเว้น “ไม่เข้าไปกระทำเพื่อให้ผลเกิดขึ้น ”แล้ว แต่ก็ยังเข้าไป “รอคอย” ซึ่งเนื้อหาแห่งความอิสระให้เกิดขึ้น “การรอคอย”นั้นก็เป็นการผูกมัดตัวเองด้วยเช่นกันประการหนึ่ง เป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับ “กาลเวลาแห่งการปรุงแต่ง” เป็นการผูกมัดตัวเองโดยไม่ต้องใช้เชือกสักเส้นเดียว
(http://farm4.staticflickr.com/3185/3285796861_0c5d5ffa00_o.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ปีศาจแห่งความเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้เราจะรู้ว่าสิ่งๆนี้คือสิ่งที่ “เกิดขึ้น” จากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในเวทนาทั้งหลายด้วยอวิชชาความไม่รู้จนก่อให้เกิดตัณหาอุปาทานเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมา และเรียกสิ่งนี้ว่า “ทุกข์” นี่ก็เป็นความรู้ที่ถูกต้อง
และถึงแม้เราจะรู้เพิ่มเติมอีกว่าสิ่งที่ “เกิดขึ้น” นั้น โดยธรรมชาติแล้วมันมีความแปรปรวนตั้งอยู่ได้ไม่นานและมันต้องดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพธรรมชาติของมัน โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปริเริ่มปฏิบัติเองแบบผิดๆเพื่อเข้าไปบังคับจับกุมให้มันไม่เที่ยงไปตามความต้องการของเราซึ่งมันเป็นการปรุงแต่งซ้อนเข้ามาปิดบังธรรมชาติแห่งความดับไปเป็นธรรมดา นี่ก็เป็นความรู้ที่ถูกต้อง
แต่ถึงกระนั้น กระบวนการทั้งหมดทั้งปวงในการรู้เห็นความเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพธรรมชาติแห่งความแปรปรวนนั้น มันก็ยังเป็นเพียงแค่ความรู้ถูกต้องในระดับหนึ่งเท่านั้น มันเป็นความถูกต้องบนพื้นฐานในความคิดเห็นว่า “ ยังมี ” ซึ่งมันกลับเป็นความถูกต้องในความผิดพลาดอันใหญ่หลวง เพราะแท้จริงตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเลย มันว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นโดยสภาพมันเอง ถึงแม้จะเห็นว่ามี “ความเปลี่ยนแปลง” เกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา แต่มันก็ยังเป็นการเห็นบนความเข้าใจในธรรมว่ายัง “มี” สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เพื่อให้เราเข้าไปรับรู้ถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ในการเกิดขึ้นดับไปของมัน ถึงจะรู้เห็นตามธรรมชาติว่ามันมีความเปลี่ยนแปลง แต่โดยความเป็นจริงมันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าความ “มี” อยู่ มันจะคลายออกไปมากๆแล้วก็ตามด้วยการเข้าไปปฏิบัติแบบต่อเนื่อง แต่เมื่อยังคิดว่า “มี” มันจึงเกิดการเข้าไปตามรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงแห่งความ “มี” ที่เรายังคิดเป็นพื้นฐานแบบนี้อยู่ตลอดเวลาไม่มีวันจบสิ้น หากเราเข้าใจและ
ตระหนักชัดในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ว่า แท้จริงมันย่อมไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นเลย มันคือเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น ก็ในเมื่อเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดเลยสักสิ่ง พฤติกรรมในการปฏิบัติแห่งการเข้าไประลึกรู้ตามธรรมชาติว่ามัน “มี” และมันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นดับไป ก็จะไม่เกิดขึ้น
“ความเปลี่ยนแปลง” จึงเปรียบเสมือนเป็นปีศาจที่มาหลอกให้เราคอยใช้ “ความพยายามแห่งปัญญาอันโง่เขลา” เข้าไปวิ่งไล่ตามจับมัน
มันจึงเป็นการเสียเวลาเปล่าๆที่จะต้องใช้ความพยายามไล่จับ “ปีศาจแห่งความเปลี่ยนแปลง” ตลอดชีวิต เป็นการไล่จับบนพื้นฐานความคิดของเราที่ยังเห็นว่า “มี” อยู่ตลอดชีวิตเช่นกัน
(http://ursispaltenstein.ch/blog/images/uploads_img/felice_beatos_japan_places_people_1_1.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
ความไม่มุ่งเน้น
ความที่มันคงคุณลักษณะของมันอยู่อย่างนั้นโดยปราศจากการตั้งต้นและไม่มีวันดับไปจบสิ้น มันแสดงเนื้อหาอันเป็นคุณสมบัติของมันอยู่อย่างนั้นโดยสภาพมันเอง มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครหรือสิ่งใดแม้กระทั้ง“ธรรมอันละเอียดประณีตแห่งสัมมาทิฐิ” จะมาเป็นเหตุปัจจัยทำให้มันเกิดขึ้นได้เลย ไม่มีภาวะแห่งการเกิดขึ้นดับไป ตรงนี้เรียกว่า ธรรมชาติอันคือ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้
ธรรมชาติ มันทำหน้าที่มันเองตามปรกติ แต่ด้วยความไม่เข้าใจของเราก็เลยเอาความเป็น “เรา” เข้าไป “มุ่งเน้น” เพื่อเสริมสร้างก่อรูปในสภาวะธรรมต่างๆขึ้นมา โดยมีความเข้าใจอย่างผิดๆว่า ธรรมต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้ลักษณะธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันเกิดขึ้นและจะเข้าไปช่วยให้ธรรมชาติมันทำหน้าที่ในเนื้อหาความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนตลอดไปอย่างมั่นคงถาวร เช่น การเข้าไป “มุ่งเน้น” อินทรีย์แห่งสติ หรือ “ ตัวรู้ ” โดยเข้าใจว่าตัวรู้นี้คือ สัมมาสติ และสัมมาสติแห่งตัวรู้นี้เองที่เข้าใจว่า มันจะช่วยให้ความความว่างเปล่าไร้ตัวตนนี้ทำหน้าที่ของมันได้ตลอดแบบประติดประต่อกันไปจนไม่ขาดสาย แต่โดยความเป็นจริง “ความมุ่งเน้น” มันคือพฤติกรรมการปรุงแต่งของจิตชนิดหนึ่งที่ “ เกิดขึ้น ” ซึ่งเป็นลักษณะแห่ง สังขตธาตุ ซึ่งมันขัดและฝืนต่อเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แห่งอสังขตธาตุ โดยธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นมันทำหน้าที่แสดงเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาแบบประติดประต่อตลอดสายคงคุณลักษณะแห่งเนื้อหาความว่างเปล่าอันคือธรรมชาติอยู่แล้ว มันเป็นคุณสมบัติโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ต้องเข้าไปทำให้มัน การคิดที่จะเข้าไปทำคุณสมบัติให้ธรรมชาติมันครบถ้วนบริบูรณ์ตามความเข้าใจผิดของตนมันกลับเป็นการปรุงแต่งทางจิตขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวเหมือนเส้นผมบังภูเขา ซึ่งมันกลับทำให้ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นหายไปเสียสิ้น
แต่ถึงกระนั้น เมื่อตระหนักชัดเข้าใจเนื้อหาธรรมชาติข้างต้นแล้วก็ยังอดที่จะเข้าไป “มุ่งเน้น” โดยการเข้าไปประคับประคองความเป็นธรรมชาติ เข้าไปประคับประคองให้ธรรมชาติมันคงความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เข้าไปประคับประคองโดยกลัวว่าความเป็นธรรมชาติมันจะเสียรูปทรงและหายไปต้องเข้าไปประคับประคองโดยตลอด ซึ่งความเข้าไป “มุ่งเน้น” ในภาวะธรรมชาติเช่นนี้มันเป็นการปรุงแต่งจิตขึ้นมาด้วยเหตุแห่งความมุ่งเน้นนั้นมันปรุงแต่งซ้อนเข้ามาบังความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ก็โดยเนื้อหาธรรมชาติ “ดั้งเดิมแท้” นั้นมันเป็นเนื้อหาความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้นมานานแสนนานแล้ว เป็นความ “ดั้งเดิม” โดยความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของมันแบบนี้มาช้านานแล้ว เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการตั้งต้นและจะเป็นธรรมชาติไปแบบนี้อยู่อย่างนั้นไม่มีวันสิ้นสุดจบสิ้นแห่งความเป็นธรรมชาติอีกด้วย เพราะฉะนั้นจงทำความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติอันคือความดั้งเดิมแท้ของมันว่า มันสามารถดำเนินเนื้อหาหรือแสดงเนื้อหาแห่งธรรมชาติอันไม่มีไม่เป็นของมันอยู่อย่างนั้นแบบ “ไม่ผิดเพี้ยน” มันสามารถทำหน้าที่แสดงคุณสมบัติของมันได้ในทุกที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส โดยที่มันไม่ต้องการความสามารถจากใครๆหรือผู้ใดเข้าไปประคับประคองในคุณสมบัติแห่งมันเลย เพราะว่ามันคือธรรมชาติ “ อยู่แล้ว ” มันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ “อยู่แล้ว” เป็นความ “อยู่แล้ว” แบบบริบูรณ์ในเนื้อหาอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีส่วนบกพร่อง
(http://farm4.staticflickr.com/3102/2871573192_a6f29649e6_o.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
นิพพานในฝั่งเถรวาท
วิชชา แปลว่า ความรู้แจ้งทั้งปวงในธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีเนื้อหาแห่งธรรมอันเกิดขึ้นดับไป
วิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้น เป็นความหลุดพ้นจากสภาพปรุงแต่งแห่งการเกิดขึ้นดับไป เป็นความหลุดพ้นที่เป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่อย่างนั้น
วิชชาและวิมุตติจึงเป็นความหมายของคำว่า “นิพพาน” นั่นเอง
แต่วิชชาและวิมุตติจะบริบูรณ์เกิดขึ้นได้เพราะเกิดจากโพชฌงค์ธรรมบริบูรณ์
และโพชฌงค์ธรรมจะบริบูรณ์ได้ เพราะเกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน4 นั่นเอง (เป็นข้อความที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในกุณฑลิยสูตร)
สรุปได้ว่า เมื่อบุคคลได้เจริญซึ่งสติปัฏฐาน 4 เมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ ย่อมยังให้โพชฌงค์บริบูรณ์และวิชชาวิมุติย่อมบริบูรณ์ตามไปด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ย่อมทำพระนิพพานให้แจ้งได้
โดยลักษณะธรรมธาตุแห่งธรรมมีอยู่เพียง 2 ลักษณะเท่านั้น คือ
1. สังขตธาตุ คือ ธรรมธาตุ อันมีลักษณะปรุงแต่ง
2. อสังขตธาตุ คือ ธรรมธาตุ อันมีลักษณะไม่ปรุงแต่ง
สังขตธาตุ นั้น คือธรรมอันมีลักษณะปรุงแต่ง ซึ่งเกิดจากอวิชชาความไม่รู้ โดยไม่รู้ว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน(อนัตตา) อยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน เมื่อไม่รู้ก็เลยเข้าไปยึดมั่นถือมั่นก่อให้เกิดเป็นตัณหาอุปทานจนกลายเป็นตัวตน มีเรา มีเขา ขึ้นมา (อัตตา) ซึ่งสังขตธาตุนี้เป็นธรรมซึ่งผิดไปจากความเป็นจริง เนื้อหาแห่งสังขตธาตุไม่ตรงต่อสัจธรรม ไม่ตรงต่อ “ธรรมชาติดั้งเดมแท้”
อสังขตธาตุ นั้น คือธรรมอันมีลักษณะไม่ปรุงแต่ง ซึ่งเกิดจากความรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) อยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน อสังขตธาตุนี้เป็นธรรมซึ่งตรงต่อความเป็นจริง เนื้อหาแห่งอสังขตธาตุนี้เป็นเนื้อหาซึ่งตรงต่อสัจธรรมตรงต่อธรรมชาติโดยสภาพมันเองอยู่แล้ว
การเข้าไปเจริญซึ่งสติปัฏฐาน 4 เป็นการรู้เท่าทันว่า เมื่อเกิดการปรุงแต่ง(สังขตธาตุ) ตามลักษณะของหมวดธรรมทั้ง 4 ในสติปัฏฐานแล้ว การปรุงแต่งนั้นก็ย่อมไม่เที่ยงดับไปเองโดยสภาพมันเองโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นการเข้าไปเจริญซึ่งสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นการตกผลึกและตระหนักชัดในธรรม คือ กาย เวทนา จิต ธรรม อันเกิดขึ้นตั้งอยู่แปรปรวนและดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพธรรมชาติ สติปัฎฐานจะบริบูรณ์ได้ย่อมเกิดจาก “การตัดได้โดยเด็ดขาด” จากอาการปรุงแต่งทั้งปวง(สมุทเฉจ) จนกลายเป็นสภาพแห่งธรรมอันไม่ปรุงแต่งล้วนๆ จนกลายเป็นสภาพ “ธรรมชาติล้วนๆอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว” สมุทเฉจหรือการตัดได้โดยเด็ดขาดจากการปรุงแต่งทั้งปวงนั้นเป็นอุบายอันแยบยลอันเกิดจากการพิจารณาว่า โดยแท้จริงแล้ว สติปัฏฐานธรรมนั้นโดยสภาพมันเองก็เป็นสังขตธาตุอันคือธาตุแห่งการปรุงแต่งที่ต้องสลัดออก เป็น “การสลัดออก” ด้วยความเข้าใจว่าความเป็นจริงแห่งธรรมชาติอันคือลักษณะแห่งอสังขตธาตุ มันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเลยไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ และไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรปรวนดับไป แท้จริงแล้วมันคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้ มันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น มันคือธรรมชาติแห่งความเป็นเช่นนั้นเองอยู่อย่างนั้น เมื่อเข้าใจว่าแท้จริง “สติปัฏฐานธรรม” ก็ไม่มี มันคือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นซึ่งเป็นเนื้อหา “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” มันจึงเป็นการตัดได้โดยเด็ดขาด โดยที่สัมมาสติมันบริบูรณ์ มันทำหน้าที่เป็นปกติไม่ขาดตกบกพร่องในความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น
เมื่อเข้าใจว่า ตัวสติปัฏฐานธรรม มันคือสังขตธาตุหรือธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นแห่งธรรมอันคือสติปัฏฐาน เป็นการตั้งอยู่แห่งธรรมอันคือสติปัฏฐาน และธรรมชาตินั้นมีความแปรปรวนตั้งอยู่ได้ไม่นานเป็นการดับไปแห่งธรรมอันคือสติปัฏฐาน มันจึงต้อง “สลัดออก” และส่งผลทำให้สติปัฏฐานบริบูรณ์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในกุณฑลิยสูตรนั้น แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ที่ตัวสติปัฏฐานบริบูรณ์ เพราะตัวสติปัฏฐานแท้จริงไม่มี แต่มันเป็นความบริบูรณ์ในอสังขตธรรมคือธรรมธาตุแห่ง “ธรรมชาติอันว่างเปล่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น” เพราะฉะนั้น การที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์บริบูรณ์ และวิชชาวิมุติย่อมบริบูรณ์ตามไปด้วยนั้น เป็นการตรัสด้วยเหตุและผลแห่งการทำหน้าที่ของอินทรีย์แห่งธรรมเท่านั้น
(http://25.media.tumblr.com/tumblr_mbkercT31G1rc38tlo1_1280.jpg)
-
บทความจากหนังสือใจต่อใจในการฝึกตน (The core of Zen)
เขียนโดย..พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
อรหันตมรรค อรหันตผล
โดยเนื้อหาแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้ตามแนวคำสอนแห่งเซนซึ่งเป็นเรื่องความไร้ตัวตนนี้ ตัวธรรมชาติดั้งเดิมแท้เองนั้นมันเป็นสัจธรรมซึ่งมีเนื้อหาที่สมบูรณ์แบบโดยตัวมันเองอยู่แล้ว และมันเป็นเนื้อหาที่ที่ไม่ต้องการสิ่งใดๆมาเพิ่มเติมหรือมายุ่งเกี่ยวกับมันอีกในทุกๆด้าน เพราะแท้จริงมันย่อมไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทุกๆลักษณะในทุกๆทางที่จะเกิดขึ้นในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้เลย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้นธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันจึงเป็นเรื่องสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว มันไม่ต้องการอะไรกับอะไร ไม่ต้องการให้ใครมาบรรลุธรรมอะไรเพื่อให้เกิดอะไร มันไม่ใช่เป็นเรื่องใครต้องมาบรรลุอะไรแล้วธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันถึงจะเกิดขึ้น
แต่ในพระไตรปิฏกในส่วนของสังขตธาตุนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเรื่อง ธรรมอันเกิดขึ้นว่าด้วยสมุทเฉทปหาน ซึ่งเป็นการตัดได้โดยเด็ดขาดจากอาสวะกิเลสทั้งปวง เป็นการตัดได้โดยเด็ดขาดจากพฤติกรรมการปรุงแต่งทางจิตทั้งปวงไปสู่ความดับสนิทไม่มีเหลือ เป็นความดับสนิทจากเหตุแห่งการชักจูงเข้าไปปรุงแต่งทุกๆกรณี ธรรมแห่งสมุทเฉทปหานที่พระพุทธองค์ตรัสถึงนี้เป็นธรรมอันว่าด้วย การมีเหตุปัจจัยให้ได้พิจารณาและตกผลึกซึ่งมัน “เป็นอุบายอันแยบยล” ที่จะทำให้เราไม่เข้าไปปรุงแต่งได้อีกอย่างเด็ดขาด ซึ่งเราเรียกว่า ธรรมอันเกิดขึ้นว่าด้วย อรหันตมรรค และ อรหันตผล
ธรรมอันเกิดขึ้น ซึ่งคือเนื้อหาแห่งอรหันตมรรคนั้น เป็นการหยิบยกธรรมขึ้นมาพิจารณาถึงเรื่องคุณลักษณะแห่งธรรมทั้งปวงว่า อะไรคือธรรมทั้งหมดซึ่งมีลักษณะแห่งการปรุงแต่งหรือสังขตธาตุ และ อะไรคือธรรมอันมีลักษณะธรรมชาติแห่งการปรุงแต่งไม่ได้หรืออสังขตธาตุ เมื่อเราสามารถแยกแยะออกมาได้ทั้งหมดแล้วว่าธรรมเหล่าใดมีคุณลักษณะแห่งสังขตธาตุคือธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง พระพุทธองค์ได้ทรงชี้แนะให้ “สลัดออก” ในธรรมอันคือสังขตธาตุ ซึ่งคือธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่งนี้ทิ้งเสีย และให้ดำเนินไปสู่เนื้อหาธรรมอันคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้หรืออสังขตธาตุนั่นเอง
ในส่วนเนื้อหาธรรมอันคือ “สังขตธาตุ” ทั้งหมดนั้น ก็คือเนื้อหาธรรมอันว่าด้วยการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ว่าด้วยการดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ ซึ่งประกอบไปด้วย ธรรมอันคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สุจริต 3 สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ธรรม และธรรมทุกๆหมวดที่พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวถึงซึ่งมีเนื้อหาอันเกี่ยวกับสภาพธรรมที่มีลักษณะปรุงแต่งเกิดขึ้นและดับไป
และก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดใจ แต่มันคือความเป็นจริงกล่าวคือ ธรรมอันคืออรหันตมรรคนั้น เป็นการที่ต้องหยิบยกเรื่อง “มรรคมีองค์ 8” ซึ่งเป็นหนทางหลุดพ้นนั้นขึ้นมาพิจารณาถึงความที่มันเป็นธาตุแห่งการปรุงแต่งหรือสังขตธาตุด้วย ก็เพราะว่ามรรคมีองค์ 8 มันคืออินทรีย์แห่งธรรมที่เกิดจากการตระหนักชัดและการที่ได้ซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพธรรมชาติ มันจึงเป็นธรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป และมรรคมีองค์ 8 เองก็โดยคุณลักษณะของมัน “มันก็คือํธรรมชนิดหนึ่งที่มีสภาพเกิดขึ้นและดับไป” เช่นกัน มันจึงเป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับนักปฏิบัติธรรมที่พึ่งจะเข้าใจว่า แท้จริงแล้วอรหันตมรรค คือ ความที่ไม่ต้องมีธรรมอันว่าด้วยมรรคเกิดขึ้น คือความที่ต้องสลัดมรรคมีองค์ 8 ออกไปตามพุทธประสงค์ที่ให้สลัดออกซึ่งสังขตธาตุ เพราะถ้าเราคิดว่ามันจะต้องเดินไปบนเส้นทางมรรคมีองค์ 8 อยู่ มันก็ยังเป็นสังขตธาตุคือธรรมธาตุอันปรุงแต่งอยู่นั่นเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องแห่งการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นดับไปเกี่ยวกับมรรค มันทำให้บดบังและไม่ให้เกิดความเข้าใจใน “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” ที่แท้จริง
และก็ยิ่งเป็นที่ประหลาดใจไปมากกว่านั้นก็คือ การหยิบยกธรรมอันว่าด้วย อรหันตมรรค อรหันตผล ขึ้นมาพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาธรรมนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยการพิจารณาเช่นนี้มันก็เป็นการเกิดขึ้นและดับไปแห่งธรรมอันว่าด้วย อรหันตมรรค อรหันตผล นี้ด้วย ซึ่งเป็นคุณลักษณะแห่งสังขตธาตุที่เป็นการปรุงแต่งมีสภาพเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน เป็นสังขตธาตุแห่ง อรหันตมรรค อรหันตผล ที่ต้องสลัดออกสลัดทิ้งไปเพื่อไปสู่ความตระหนักชัดในเนื้อหา “ธรรมชาติดั้งเดิมแท้” อย่างแท้จริงเช่นกัน
ในส่วนเนื้อหาธรรมอันคือ “อสังขตธาตุ”นั้น ก็คือเนื้อหาธรรมอันว่าด้วยธรรมชาติที่ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว เนื้อหามันคือความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น มันปราศจากการพิจารณาธรรมทั้งปวง มันเป็นเนื้อหาธรรมชาติที่ “ไม่ยุ่งเกี่ยว” กับ “กระบวนการพิจารณาแยกแยะธรรมแบบเด็ดขาดว่า อะไรคือการปรุงแต่ง อะไรคือธรรมชาติแห่งการไม่ปรุงแต่ง” มันเป็นเนื้อหาธรรมชาติที่ “ไม่ยุ่งเกี่ยว” กับ “กระบวนการการสลัดออกแห่งสังขตธาตุได้อย่างสิ้นเชิง” มันเป็นธรรมชาติที่มันเป็นอิสระโดยตัวมันเองในความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น
มันแสดงเนื้อหามันอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใดๆทั้งสิ้น
เมื่อสามารถตระหนักชัดว่า อะไรคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว ซึ่งมันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นตามธรรมอันว่าด้วย “อรหันตมรรค” นั้นแล้ว และการที่ได้ซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นได้ มันก็คือ “อรหันตผล” นั่นเอง อรหันตผล เป็นเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันเผยตัวมันเองออกมา แสดงเนื้อหามันออกมาซึ่งมันคือความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น ไม่มีธรรมสิ่งใดเลยในคุณลักษณะแห่งการปรุงแต่งคือสังขตธาตุเกิดขึ้นและดับไปในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ได้ ไม่มีแม้กระทั้งการปรุงแต่งด้วยว่า “นี่คือธรรมอันว่าด้วย อรหันตผล”
สรุปโดยหลักแล้ว ธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันมิได้เกิดขึ้นจากสิ่งใดหรือใครต้องมากระทำให้เกิดขึ้น มันแสดงเนื้อหาอันคือ ความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น และในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันก็ไม่ได้มีกระบวนการ “การทำความเข้าใจและพิจารณาธรรม” อันว่าด้วยธรรมอันคือ อรหันตมรรค อรหันตผล แต่อย่างใด เพราะโดยสภาพแห่งธรรมอันว่าด้วย อรหันตมรรค อรหันตผล นี้ มันคือธรรมอันมีสภาพปรุงแต่งซึ่งมันมิใช่เนื้อหาของธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่แล้ว มันจึงต้องสลัดออกซึ่งธรรมอันคือ อรหันตมรรค อรหันตผล ซึ่งเป็นสังขตธาตุ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันถึงจะเผยตัวมันเองออกมา ซึ่งมันเป็นเนื้อหาตามธรรมชาติอยู่แล้ว
การพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุให้เราตระหนักชัดถึง"ธรรมชาติดั้งเดิมแท้" มันเป็นเรื่องต่างหากจากเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันเผยตัวมันเองออกมา การพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุให้เราตระหนักชัดถึง"ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ " มันคือเนื้อหาแห่งการปรุงแต่งด้วยชนิดหนึ่งที่ต้องสลัดออกไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เมื่อพิจารณาจนเกิดความเข้าใจแล้ว ก็ต้องสลัดการพิจารณาออกอันคือธาตุแห่งการปรุงแต่งด้วย แล้วเราจะได้ซึมทราบเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนกับ "ธรรมชาติดั้งเดิมแท้" ที่มันว่างอยู่อย่างนั้นมานานแสนนานอันหาจุดเริ่มต้นไม่ได้
(http://img1.etsystatic.com/000/0/6504887/il_fullxfull.319768693.jpg)