(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/p480x480/305898_508983479162902_143270238_n.jpg)
วิถีเซน(38)...อิสรภาพแห่งใจ ตอนที 1
ธรรมะอรุณสวัสดิ์สังฆะที่รัก วันก่อนนั้นเราได้พูดถึง ประตูแห่งการหลุดพ้น 3 ประการ นั่นก็คือการเจริญสมาธิ 3 ประการ ซึ่งเป็นคำสอนที่ปรากฏอยู่ในพุทธศาสนาทุกนิกาย การเจริญสมาธิหมายถึงการใช้พลังแห่งการมองอย่างลึกซึ้ง เพื่อเข้าถึงธรรมชาติของความว่าง (emptiness) หรือสุญญตา การไร้สัญลักษณ์รูปลักษณ์ (signlessness) และการไร้ซึ่งความมุ่งหวัง (aimlessness)
ประตูแห่งการหลุดพ้น
ในประเพณีทางพุทธศาสนานั้น เราไม่ได้ให้คำสัญญาใดว่าผู้ปฏิบัติจะได้เข้าไปสู่สรวงสวรรค์ หรือดินแดนสุขาวดี หรือพ้นจากบาปหรือนรก แท้จริงแล้วเราปฏิบัติเพื่อที่จะมองอย่างลึกซึ้งและปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้น เราอาจเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากำลังหานั้น แท้จริงแล้วล้วนอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วในชั่วปัจจุบันขณะ อยู่ในตัวเรา อยู่รอบตัวเรา เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่การให้คำมั่นสัญญา นี่คือการปฏิบัติที่จะช่วยให้เราตื่นรู้กับความเป็นจริงของเรา และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโลก
เราทราบดีว่าการทำสมาธินั้นคือทำสมาธิกับอะไรสักอย่าง เมื่อเราพูดถึงการทำสมาธิกับความว่างหรือสุญญตา เรารู้ว่าธรรมชาติของความว่างนั้นคือธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเธอมองไปที่ใบไม้ ก้อนหิน หรือก้อนเมฆ เธอจะเห็นธรรมชาติของความว่างอยู่ในนั้น เช่นเดียวกับเวลาที่เธอมองไปที่ใครสักคนหนึ่ง ต้นไม้สักต้น หรือแม่น้ำ เธอควรมองให้เห็นถึงธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของความว่างในทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอดู ความว่างไม่ควรจะเป็นแค่ความคิดทางนามธรรม แต่เป็นปัญญาเห็นแจ้งที่เธอสามารถสัมผัสได้ เมื่อเธอสัมผัสสิ่งต่างๆ อย่างที่เขาเป็นอยู่
เช่นเดียวกันกับความเป็นจริงในเรื่องความไร้ซึ่งสัญลักษณ์ และรวมถึงร่างกาย ต้นไม้ เราควรจะสังเกตและมองเห็นในสิ่งต่างๆ ที่เป็นที่เกิดขึ้นว่าไม่มีสัญลักษณ์หรือสัญญา ให้เห็นถึงธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่เป็นอยู่ สัญญาหรือสัญลักษณ์นั้นสามารถที่จะหลอกลวงเรา เราควรตระหนักรู้ถึงการหลอกลวงของรูปลักษณ์สัญญาเหล่านั้น การติดยึดกับรูปแบบต่างๆ ทำให้เราถูกล่อลวงไปได้ง่าย
เราจะต้องสำรวจและเรียนรู้ ประยุกต์การทำสมาธิแบบนี้ ในวิถีทางที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันของเรา
ความอยากทำให้เรา
ไม่สามารถที่จะสัมผัส
กับความสุขที่เกิดขึ้น
ณ ที่นี่ ขณะนี้
คำสอนของพระพุทธองค์นั้นคือ
การมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
ณ ที่นี่ ในขณะนี้
อยู่บนพื้นฐานของ
การมองอย่างลึกซึ้ง
เพื่อให้เราเห็นว่า
เรามีเงื่อนไขอย่างเพียงพอ
ที่จะมีความสุขในขณะนี้อยู่แล้ว
..................................
รู้เท่าทันปมแห่งความผูกมัด (https://lh5.googleusercontent.com/proxy/xX7AaxfEUz9y_L1gChDsvhwDmE3I7HKT37qcsaXfty76aRpXkWVjVyhU31e5M15dCxYyfgNHX3ZTYgC6AN1_b5raao66_QFbPVDOoQm9aZLX9rTnjfrcy27dC2rfckaeaEbSkhrAOKOf16Ar=w325-h225)
ในพุทธศาสนาเราพูดถึง เงื่อนไข 10 ประการที่บั่นทอนความเป็นอิสระของเรา เวลาที่เราพูดถึงการหลุดพ้นนั่นคือการหลุดพ้นจาก "ปม" ที่ผูกมัดนี้ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องฝึกปฏิบัติเจริญสมาธิที่เพื่อที่จะคลายการผูกมัดจากปมทั้งหลาย
สิ่งที่ผูกมัดเราข้อแรกคือ ความอยากมีสิ่งต่างๆ ในความอยากนั้นมีสิ่งที่เป็นอันตราย เราคิดว่าสิ่งที่เราอยากนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องมี ถ้าเรามีสิ่งนั้นเราจึงจะมีความสุข แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เห็นอันตรายในสิ่งที่เราอยากได้ ในสิ่งที่เราไขว่คว้าหามา ความอยากทำให้เราไม่สามารถสงบสุขได้อีกต่อไป มันทำให้เราไม่มีความพึงพอใจกับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น หรือสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ ความอยากทำให้เราไม่สามารถที่จะสัมผัสกับความสุขที่เกิดขึ้น ณ ที่นี่ ขณะนี้ คำสอนของพระพุทธองค์นั้นคือการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ณ ที่นี่ ในขณะนี้ อยู่บนพื้นฐานของการมองอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เราเห็นว่าเรามีเงื่อนไขอย่างเพียงพอที่จะมีความสุขในขณะนี้อยู่แล้ว หากเรามีไฟแห่งความอยากอยู่ภายใน เราเชื่อว่า หากเราปราศจากสิ่งที่เราต้องการ เราจะไม่สามารถเป็นสุขได้อีกต่อไป ไฟแห่งความอยากทำให้เราสูญเสียความสุข ความสงบ และความสามารถที่จะมีความสุขในปัจจุบันขณะ นี่คือ 1 ใน 10 สิ่งที่ผูกมัดเราไว้ และเราจะต้องคลายปมเหล่านี้ออก
เราจะมองให้เห็นถึงสิ่งที่เราอยากได้อย่างไร พระพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างมากมาย เพื่อให้เราเห็นถึงอันตรายจากการวิ่งไขว่คว้าสิ่งที่เราอยากได้ ตัวอย่างที่หนึ่งคือ ภาพของใครสักคนหนึ่งที่กำลังถือคบไฟและวิ่งต้านลม ลมกำลังเผาไหม้มือของเขาผู้นั้นแต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไป นั่นคืออันตรายของความอยาก
ตัวอย่างที่สองที่พระพุทธองค์ได้ทรงเสนอให้เราเห็นคือ ภาพของสุนัขที่กำลังวิ่งไล่กระดูกเปล่าๆ ถึงแม้ว่าสุนัขตัวนั้นจะได้กระดูกชิ้นนั้นแล้ว แต่ก็ยังไม่พึงพอใจ เพราะมันพยายามเคี้ยวกระดูกที่ไม่มีชิ้นเนื้อติดอยู่เลย หนำซ้ำกระดูกนั้นเป็นกระดูกพลาสติกอีกต่างหาก สิ่งที่เราอยากได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน สิ่งที่เราอยากได้ไม่เคยเติมเต็มความต้องการของเรา
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ภาพของปลาที่กำลังงับเหยื่อบนเบ็ด ชาวประมงจะใช้เหยื่อติดขอเบ็ดเพื่อตกปลา แล้วโยนเบ็ดนั้นลงไปในแม่น้ำ เมื่อปลาเห็นเหยื่อตกปลาเหล่านั้นก็รู้สึกว่าเหยื่อน่าดึงดูดใจ น่าเข้าไปกัดกินมาก โดยหารู้ไม่ว่าเมื่อกัดเข้าไปแล้ว ตนเองจะติดกับดักและถูกจับได้ ซึ่งบางครั้งเหยื่อปลาที่มีสีสันที่น่าดึงดูดเหล่านั้นเป็นเพียงเหยื่อพลาสติกด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองให้เห็นว่าสิ่งที่เราอยากได้นั้นมีอันตราย เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจน เราจะเห็นว่าถึงแม้สิ่งนั้นจะน่าดึงดูดใจ แต่มันจะไม่สามารถดึงดูดใจเราได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเราเห็นถึงอันตรายของสิ่งที่เราอยากได้นั้น นี่คือสิ่งที่เราจะต้องฝึกทำสมาธิ
(https://lh3.googleusercontent.com/-0KGTgFuYpds/UYei1Vfns5I/AAAAAAABdqk/bI2xvr86so4/w618-h386-no/221Tt.jpg)
เท่าทันปมแห่งความโกรธ ความไม่รู้ ความเปรียบเทียบ และความสงสัย
ปมที่สองคือ ความโกรธ เปลวไฟแห่งความโกรธนั้นก็ทำลายเรามากพอๆ กับเปลวไฟแห่งความอยาก เมื่อความโกรธฝังอยู่ในตัวเรา เราจะไม่มีความสามารถมีความสงบ ความสุข ณ ที่นี่และขณะนี้ นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องฝึกปฏิบัติมองอย่างลึกซึ้งให้เห็นว่า ความโกรธนั้นเกิดจากความโง่เขลาหรืออวิชชา ซึ่งเป็นการมองเห็นอย่างผิดๆ การมองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ทำให้เราเข้าใจถึงความทุกข์ ซึ่งคืออริยสัจข้อที่หนึ่งในอริยสัจ 4
เมื่อเราเข้าใจอริยสัจข้อที่หนึ่ง คือการเห็นความทุกข์ เราก็จะสามารถก้าวข้ามความโกรธ และคลายปมแห่งความโกรธนั้นได้ ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสได้ว่าความโกรธนั้นอยู่ในตัวเขา เขาก็จะสามารถฝึกการคลายปมแห่งความโกรธที่อยู่ในตัวเขา ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยจิตปรุงแต่งนั้น
ปมข้อที่สามคือ ความไม่รู้ อวิชชา หรือความคิดเห็นที่ผิด ทำให้เราสับสนว่าเราควรจะไปไหน ทำอะไร และไม่ควรทำอะไร ที่เราทำในสิ่งที่ผิด เราพูดในสิ่งที่ผิดเพราะว่าเรามีความโง่เขลา เรามีความไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก อะไรคือสิ่งที่ผิด นี่คือปมผูกมัดเราในข้อที่สาม
ปมข้อที่สี่คือ ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เหนือกว่า หรือเท่ากับคนอื่น นั่นเพราะว่าเรามีความคิดเห็นต่อความมีตัวตน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ทำให้เกิดปมด้อย ปมเด่น ปมเท่าเทียมกันในใจของเรา และเราก็เป็นทุกข์กับความเด่น ความด้อย ความเท่าเทียมเหล่านั้น
ปมข้อที่ห้าคือ ความสงสัย ความไม่เชื่อ เวลาที่เราสงสัยเราก็จะไม่มีความสุข มันมีความไม่รู้ ความไม่เชื่ออยู่ตรงนั้น
ปลดปล่อยความคิดเห็นผิด
ปมข้อที่หกคือ ความคิดเห็นที่ผิด เป็นการมองที่ผิด เรามีความคิดเห็นอยู่ 5 ประเภทที่จะบอกได้ว่าเป็นความคิดเห็นที่ผิด
ความคิดเห็นที่ผิดอย่างแรกคือ กายนี้เป็นตัวฉัน ฉันคือกายนี้ ถ้าเธอเข้าใจหรือเชื่อว่าเมื่อเธอตายไปแล้วเธอจะไม่อยู่ตรงนั้นอีก และเธอเชื่อว่าก่อนที่จะเป็นกายนี้เธอไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น นั่นคือความคิดเห็นที่ผิด
ความคิดเห็นที่ผิดอย่างที่สองคือ ความเชื่อในความคิดเห็นที่เป็นสองขั้ว การเชื่อว่าฝ่ายขวานั้นตรงกันข้ามกับฝ่ายซ้าย เชื่อว่ามีการเกิด-มีการตาย เชื่อว่ามีข้างนอก-มีข้างใน เชื่อว่ามีการเป็นอยู่-มีการไม่เป็นอยู่ เชื่อว่ามีความเหมือนกัน-มีความต่างกัน ความคิดเห็นที่มองทุกสิ่งออกเป็นสองขั้วที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน การมองแบบนี้จะนำความทุกข์มาให้เราทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงพยายามทำให้เรามีความสามารถ ที่จะข้ามพ้นความคิดเห็นที่เป็นคู่ตรงข้ามกันแบบนี้ เพื่อให้เราเข้าสู่ความเป็นอิสระ ความเป็นอิสระที่ข้ามพ้นความคิดเห็นสองขั้วนั่นคือการมองทางสายกลาง นั่นจะทำให้เราไม่ติดยึดแบบนี้ นี่เป็นคำสอนที่กว้างและลึกมาก
ความเห็นที่ผิดข้อที่สามคือ การยึดติดอยู่กับความคิดเห็นใดความคิดเห็นหนึ่ง เมื่อมีความคิดเห็นเช่นนี้ นั่นคือจุดจบในความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของเธอ เมื่ออะไรก็ตามที่เธอได้เรียนรู้ ได้ยิน เธอควรจะมีความระมัดระวัง และไม่ควรจะตัดสินไปว่ามันคือความจริงอันสูงสุด เธอควรปล่อยวางเพื่อจะได้ก้าวเข้าไปสู่ความจริงที่สูงขึ้น เมื่อเธอมีปัญญาเห็นชอบในเรื่องหนึ่ง และเธอคิดว่าปัญญาเห็นชอบนั้นเป็นความจริงอันสูงสุดแล้ว เธอย่อมไม่สามารถที่จะรับความจริงที่สูงกว่านั้น และเธอก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เธอต้องมีความพร้อมที่จะปลดปล่อยความเข้าใจของเธอ ปล่อยวางปัญญาที่ได้รับและความคิดเห็นที่เธอมีอยู่ เหมือนกับเธอเดินขึ้นบันได เมื่อเราเดินขึ้นบันไดไปถึงขั้นที่สี่ เราคิดว่านั่นคือขั้นสูงสุดแล้ว เธอก็จะไม่สามารถเดินขึ้นบันได้ที่สูงขึ้นไปได้อีก เธอต้องปล่อยวางขั้นที่สี่เพื่อที่จะข้ามไปยังขั้นที่ห้า เมื่อเธอเดินขึ้นไปบนขั้นที่ห้าเธอก็ควรที่จะพร้อมปลดปล่อยขั้นที่ห้าเพื่อที่จะเดินขึ้นไปบนขั้นที่หก เพราะฉะนั้น หากความรู้หนึ่งเป็นอุปสรรคต่อความรู้อื่น เธอควรปลดปล่อยความรู้นั้นเพื่อเข้าไปสู่ความรู้หรือความเข้าใจที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นี่คือความหมายของการไม่ติดยึดกับความคิดเห็น ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์มาก เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติหรือควรปฏิบัติ
ความคิดเห็นที่ผิดข้อที่สี่คือ ความเชื่อที่ว่า สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไขปัจจัย นั่นคือความคิดเห็นที่บิดเบือน กฎที่แท้จริงคือ เมื่อเธอได้มีความคิดเห็นอันใด เธอก็จะได้ผลผลิตจากความคิดเห็นนั้น เมื่อเธอบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธ เธอก็จะได้รับผลนั้น เมื่อเธอบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการคิดแบบนี้ เธอก็จะได้รับผลของการคิดเช่นนั้น เมื่อเธอสังเกตสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เธอก็จะเห็นว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเงื่อนไขเหตุปัจจัยหลายอย่างมารวมกันที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้น แต่ถ้าเธอไม่คิดว่ามันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดผลนั้นขึ้นมา เธอคิดว่ามันมีเหตุอย่างเดียวที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา นั่นคือความคิดเห็นที่บิดเบือน
หากเธอไม่เชื่อว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากวิถีการใช้ชีวิตของเรา นั่นคือความคิดเห็นที่บิดเบือน นั่นก็คือการกระทำที่ผิด ความคิดเห็นที่ผิด เธอคิดว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นมาของมันเอง โดยไม่คิดว่ามันมีเหตุมาจากการดำเนินชีวิต นี่คือความคิดเห็นบิดเบือนจากความเป็นจริง
ความเห็นผิดข้อที่ห้าคือ ความเชื่อทางไสยศาสตร์ หากเธอเชื่อว่าการมีพิธีกรรมแบบนี้จะทำให้เธอได้รับการปลดปล่อยออกมาจากนรกหรือบาป นั่นคือสิ่งที่เธอยึดติดกับความเชื่อในพิธีกรรม เมื่อเธอเชื่อว่าเธอทานเนื้อสัตว์อะไรก็ได้ยกเว้นเนื้อวัว เมื่อเธอไม่ทานเนื้อวัวแล้วจะทำให้เธอเป็นนักบุญ หรือเธอทานเนื้ออะไรก็ได้ยกเว้นเนื้อหมู นี่เป็นเช่นเดียวกันกับความคิดต้องห้ามที่เรามีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความคิดในแง่ไสยศาสตร์เหล่านี้ไม่ช่วยให้เธอเป็นอิสระ สิ่งที่จะนำมาซึ่งการปลดปล่อยคือความเข้าใจจนเกิดปัญญา ใช่ว่าการสังเกตถึงความคิดต้องห้ามแบบนี้จะทำให้เธอเป็นอิสระ นั่นไม่เพียงพอ เธอต้องมองอย่างลึกซึ้งและเข้าใจอย่างแท้จริง เธอถึงจะปลดปล่อยได้
นี่คือความคิดเห็นผิด 5 ประการที่เธอจะต้องปลดปล่อยจากจิตปรุงแต่งของเธอ
แท้จริงแล้วการกราบไหว้
คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
คือการมองอย่างลึกซึ้ง
ฉะนั้นก่อนที่เรา
จะกราบไหว้พระพุทธองค์
เราจะต้องรู้ว่า
พระพุทธองค์อยู่ในตัวเรา
และเราอยู่ในตัวพระพุทธองค์
เราและพระพุทธองค์นั้น
เป็นความว่างโดยธรรมชาติ
และนี่คือพลังแห่งการหลุดพ้น
คลายจากปมพิธีกรรมที่ว่างเปล่า
แท้จริงแล้วการกราบไหว้คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง คือการมองอย่างลึกซึ้ง ฉะนั้นก่อนที่เราจะกราบไหว้พระพุทธองค์ เราจะต้องรู้ว่าพระพุทธองค์อยู่ในตัวเรา และเราอยู่ในตัวพระพุทธองค์ เราและพระพุทธองค์นั้นเป็นความว่างโดยธรรมชาติ และนี่คือพลังแห่งการหลุดพ้น
หากเราไม่ทำเช่นนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราเชื่อว่า การกราบไหว้พระพุทธองค์คือการอธิษฐานให้เราได้รับความปลอดภัย เมื่อนั้นเธอกำลังยึดติดกับพิธีกรรม เช่นเดียวกับเมื่อพระชาวคริสเตียนฉีกชิ้นขนมปังให้เธอในพิธีของชาวคริสเตียน แล้วเธอเชื่อจริงๆ ว่านั่นคือเนื้อของพระเยซู เธอกำลังติดยึดอยู่กับพิธีกรรม ที่วัดของเราเวลาที่เราหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งขึ้นมา เรามองอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เห็นว่าชิ้นขนมปังนั้นคือตัวแทนของจักรวาลทั้งหมด ในชิ้นขนมปังเธอสามารถเห็นพระอาทิตย์ ก้อนเมฆ และทุกสิ่งทุกอย่าง จักรวาลทั้งจักรวาลนั้นอยู่ในขนมปัง เมื่อเธอทานขนมปัง เธอก็สัมผัสกับจักรวาล ผืนดิน และโลกทั้งหมด นั่นคือการปฏิบัติเจริญสติ เจริญสมาธิ และเกิดปัญญา
นักบวชชาวคริสเตียนประกอบพิธีกรรม เพื่อให้เธอได้สัมผัสกับพระเยซูที่อยู่ในตัวเธอ และพระชาวคริสต์นั้นควรทำให้พิธีกรรมมีชีวิตชีวาขึ้นมาจริงๆ ณ ที่นี่ ในขณะนี้ เหมือนกับเวลาที่เราเชิญระฆัง ทุกคนกลับมาสู่บ้านแห่งปัจจุบันขณะ เราก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าเราไม่มีชีวิตชีวาขึ้นมาจริงๆ เราเพียงแต่ดำรงในความเงียบและทำไปตามพิธีกรรม เรากำลังติดยึด ในพิธีของชาวคริสต์จะต้องมีชีวิตชีวา ผู้เข้าร่วมในโบสถ์จึงจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ และนั่นคือเป้าหมายของพิธีกรรม พิธีกรรมแบบนั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเราทำตามพิธีกรรมเพียงเพราะว่านั่นเป็นพิธีกรรม เราจะไม่ได้รับอะไรเลย แต่ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงกับพระเยซู และสัมผัสได้ว่าพระเยซูอยู่ในตัวเรา นั่นย่อมเป็นมากกว่าการทำตามพิธีกรรม สิ่งเหล่านี้เป็นจริงในทุกประเพณี ทุกศาสนา
หากเราติดยึดในพิธีกรรม เราก็ต้องปลดปล่อยพิธีกรรมเหล่านี้ เมื่อเราจัดวันแห่งสติ เราจะต้องจัดในวิถีทางที่ทำให้วันแห่งสตินั้นเป็นชั่วขณะแห่งสติ เป็นชั่วขณะแห่งความเบิกบาน ความสงบ และความอิสระ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าวันแห่งสติจะเต็มไปด้วยการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ แต่กลับว่างเปล่าจากความมีชีวิตชีวาและความปิติเบิกบาน วันแห่งสติก็เป็นแค่เพียงพิธีกรรม แม้แต่การนั่งสมาธิ เดินสมาธิ การสวดมนต์ก็อาจกลายเป็นพิธีกรรมที่ว่างเปล่าได้ นี่คือเงื่อนไขปมอันหนึ่งที่เราจะต้องปลดปล่อย เพื่อไปสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง... (มีต่อค่ะ)
(http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/383135_508997452494838_1954620971_n.jpg)