(http://10000.narrative.biz/images/read_enlight_0105.gif)
๑๑๗. ต้องเป็นผู้รู้ ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้
"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวความสิ้นอาสวะของผู้รู้ผู้เห็น ไม่กล่าวความสิ้นอาสวะของผู้ไม่รู้ไม่เห็น.
รู้อะไร? เห็นอะไรเล่า? ความสิ้นอาสวะจึงมีได้.
รู้เห็นโยนิโสมนสิการ (การทำไว้ในใจโดยแยบคาย)
และอโยนิโสมนสิการ (การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย).
เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย อาสวะที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดขึ้น
ที่เกิดแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น.
เมื่อทำไว้ในใจโดยแยบคาย อาสวะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น
ที่เกิดแล้ว ก็จะละเสียได้."
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่พึงละได้ด้วยทัสสนะ (การเห็น) ก็มี
อาสวะที่พึงละได้ด้วยสังวร (ความสำรวม) ก็มี
อาสวะที่พึงละได้ด้วยปฏิเสวนะ (การใช้สอย, การบริโภค) ก็มี,
อาสวะที่พึงละได้ด้วยอธิวาสนะ (การอดทน หรือข่มไว้) ก็มี
อาสวะที่พึงละได้ด้วยปริวัชชนะ (การงดเว้น) ก็มี
อาสวะที่พึงละได้ด้วยวิโนทนะ (การบรรเทา หรือการทำให้น้อยลง) ก็มี
อาสวะที่พึงละได้ด้วยภาวนา (การอบรม คือลงมือปฏิบัติให้เกิดผล) ก็มี."
(๑) อาสวะที่พึงละได้ด้วยทัสสนะ(การเห็น)
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่พึงละได้ด้วยการเห็น เป็นไฉน?
ปุถุชน (คนผู้ยังมากด้วยกิเลส) ในโลกนี้ ผู้มิได้สดับ ผู้มิได้เห็นพระอริยเจ้า
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า มิได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า
มิได้เห็นสัตบุรุษ (คนดี) ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
มิได้ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมไม่รู้จักธรรมที่ควรทำไว้ในใจ (ควรใส่ใจ)
ไม่รู้จักธรรมที่ไม่ควรทำไว้ในใจ (ไม่ควรใส่ใจ).
เมื่อไม่รู้จักธรรมที่ควรใส่ใจ และไม่ควรใส่ใจ จึงใส่ใจธรรมที่ไม่ควรใส่ใจ
ไม่ใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาใส่ใจธรรมที่ไม่ควรใส่ใจชนิดไหน ?
คือชนิดที่เมื่อใส่ใจเข้า กามาสวะ (กิเลสที่หมักดองสันดานคือกาม)
ภวาสวะ (กิเลสที่หมักดองสันดานคือความยินดีในภพ๑)
อวิชาสวะ (กิเลสที่หมักดองสันดานคืออวิชาความไม่รู้จริง)
ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาไม่ใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจชนิดไหน ?
คือชนิดที่ เมื่อใส่ใจเข้า กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่เกิด
ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะละเสียได้.
เพราะการใส่ใจธรรมที่ไม่ควรใส่ใจ และการไม่ใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจของบุคคลผู้นั้น
อาสวะที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น.
ผู้นั้นย่อมใส่ใจโดยไม่แยบคาย อย่างนี้ว่า
"๑. เราได้เคยเกิดมาแล้ว ในอดีตกาลนานไกลหรือหนอ ?
๒. หรือว่าเราไม่ได้เคยเกิดมาแล้ว ในอดีตกาลนานไกล ?
๓. เราได้เคยเกิดเป็นอะไรหนอ ในอดีตกาลนานไกล ?
๔. เราได้เคยเกิดเป็นอย่างไรหนอ ในอดีตกาลนานไกล ?
๕. เราได้เคยเกิดเป็นอะไรแล้วเกิดเป็นอะไรอีกหนอ ในอดีตกาลนานไกล ?
๖. เราจักเกิดหรือหนอ ในอนาคตกาลนานไกล ?
๗. หรือว่าเราจักไม่เกิด ในอนาคตกาลนานไกล ?
๘. เราจักเกิดเป็นอะไรหนอ ในอนาคตกาลนานไกล ?
๙. เราจักเกิดเป็นอย่างไรหนอ ในอนาคตกาลนานไกล ?
๑๐. เราจักเกิดเป็นอะไรแล้วเกิดเป็นอะไรอีกหนอ ในอนาคตกาลนานไกล ?
หรือปรารภปัจจุบันกาลนานไกล ก็เกิดความสงสัยภายในขึ้นว่า
๑๑. เราเป็นหรือหนอ ๑๒. หรือว่าเราไม่ได้เป็น
๑๓. เราเป็นอะไรหนอ ๑๔. เราเป็นอย่างไรหนอ
๑๕. สัตว์นี้มาเกิดจากที่ไหนหนอ ๑๖. เราจักไปเกิดที่ไหนหนอ ?"
เมื่อเขาใส่ใจโดยไม่แยบคาย อย่างนี้ ทิฏฐิ(ความเห็น) ๖ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นคือ
๑. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "อัตตา (ตัวตน) ของเรามีอยู่."
๒. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "อัตตา (ตัวตน) ของเราไม่มี."
๓. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "เรายอมจำอัตตา(ตัวตน) ได้ด้วยอัตตา (ตัวตน) นี่เอง."
๔. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "เรายอมจำอนัตตา (สิ่งไม่ใช่ตัวตน) ได้ด้วยอัตตา (ตัวตน) นี่เอง."
๔. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "เรายอมจำอนัตตา (สิ่งไม่ใช่ตัวตน) ได้ด้วยอัตตา (ตัวตน)นี่เอง."
๕. ความเห็นอย่างเป็นจริงอย่างมั่นคงของผู้นั้น ย่อมเกิดขึ้นว่า "เรายอมจำอัตตา (ตัวตน) ได้ด้วยอนัตตา (สิ่งไม่ใช่ตัวตน) นี่เอง."
๖. หรือผู้นั้นเกิดความเห็นอย่างนี้ว่า "อัตตา (ตัวตน) ของเรา เป็นผู้พูด เป็นผู้รู้ ย่อมเสวยผลแห่งกรรมดี กรรมชั่ว ในที่นั้น ๆ อัตตา(ตัวตน)ของเรา นั้นแหละ เป็นของเที่ยง ยั่งยืน เป็นอย่างนั้น ไม่แปรผัน จักตั้งอยู่อย่างนั้น เสมอด้วยสิ่งซึ่งคงทนทั้งหลาย."
"นี้แล ภิกษุทั้งหลาย เรียกว่า
ทิฏฐิคตะ (ตัวทิฏฐิ)
ทิฏฐิคหณะ (การยึดด้วยทิฏฐิ)
ทิษฐิกันตาระ (ทางกันดารคือทิฏฐิ)
ทิฏฐิวิสูกะ๒ (ความยอกย้อนแห่งทิฏฐิ)
๒ อรรถกถาแก้ว่า สมฺมาทิฏฺฐิยา วินิวิชฺฌฏเฐน วา วิโลมนฏฺเฐน วา วิสูกํ
ทิฏฐิวิปผันทิตะ (ความผันผวนแห่งทิฏฐิ
และทิฏฐิสังโยชนะ (เครื่องผูกคือทิฏฐิ)."
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุถุชน ผู้มิได้สดับ ผู้ถูกเครื่องผูกคือทิฏฐิผูกมัดแล้ว เรากล่าวว่า ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความพิไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ไม่พ้นไปจากทุกข์ได้."
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ผู้เห็นพระอริยเจ้า ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าได้รับการแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยเจ้า ผู้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับการแนะนำดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้จักธรรมที่ควรใส่ใจ และไม่ควรใส่ใจ. ผู้นั้น เมื่อรู้จักธรรมที่ควรใส่ใจ ย่อมใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจ ย่อมใส่ใจในธรรมที่ควรใส่ใจ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาย่อมไม่ใส่ใจธรรมที่ไม่ควรใส่ใจชนิดไหน ? คือชนิดที่เมื่อใส่ใจเข้า กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะที่ยังไม่เกิด ก็จะเกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญยิ่งขึ้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาย่อมใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจชนิดไหน ? คือชนิดที่ เมื่อใส่ใจเข้ากามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว ย่อมละเสียได้. เพราะการไม่ใส่ใจธรรมที่ไม่ควรใส่ใจ เพราะการใส่ใจธรรมที่ควรใส่ใจของบุคคลนั้น อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ก็จะไม่เกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว ก็จะละเสียได้ ผู้นั้นย่อมใส่ใจโดยแยบคายว่า นี้คือทุกข์, นี้คือเหตุให้ทุกข์เกิด, นี้คือความดับทุกข์, นี้คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์. เมื่อบุคคลนั้นใส่ใจโดยแยบคายอย่างนี้ ย่อมละสังโยชน์ (กิเลสเครื่องผูกมัด) ๓ อย่างเสียได้ คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นเป็นเหตุยึดถือว่ากายของเรา) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) สีลัพตปรามาส (ความยึดถือศีลและพรต ได้แก่ความติดในลัทธิพิธีต่าง ๆ). นี้แล ภิกษุทั้งหลาย เรียกว่า อาสวะที่พึงละได้ด้วยการเห็น."
(http://www.larnbuddhism.com/tripitaka//002.JPG)