ใต้ร่มธรรม
ริมระเบียงรับลมโชย => รับสายลมเย็นหน้าระเบียง => ล้างรูป => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 29, 2013, 10:37:05 am
-
ในกระทู้นี้ ผมขอรวบรวมการหาแหล่งรูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ มาฝากทุกๆท่าน
:13: :19:
.
-
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556
.
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/Untitled-1.jpg)
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/Untitled-2.jpg)
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/Untitled-3.jpg)
คู่มือวันเดียวเที่ยวได้ (อ.ส.ท.)
ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ การเดินทางไปไหนมาไหนต้องมีการวางแผนเสียก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งการไปเที่ยว เพราะในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าทางด่วน หากว่าต้องไปในแหล่งท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลมาก ไม่สามารถไป-กลับภายในวันเดียวได้ ก็มีค่าที่พักเพิ่มเข้ามาด้วย อนุสาร อ.ส.ท. จึงได้จัดทำคู่มือ “วันเดียวเที่ยวได้” เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวหันมาขับรถเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เน้นเส้นทางระยะสั้น การเดินทางไป-กลับภายใน 1 วัน สถานที่ท่องเที่ยวนั้นต้องอยู่ใกล้กรุงเทพฯ การเดินทางสะดวก เที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อย
โดยจะขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยว 8 จังหวัด ใกล้กรุง ขับรถไม่เกิน 2 ชั่วโมง ตามเส้นทางหลัก ได้แก่ นนทบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ชลบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา, นครนายก, สมุทรปราการ และสุพรรณบุรี มาเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้นยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายที่ ซึ่งอนุสาร อ.ส.ท. พร้อมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
8 เส้นทางวันเดียวเที่ยวได้
-
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/1_4.jpg)
สัมผัสวิถีคนมอญที่เกาะเกร็ด
เกาะใหญ่กลางลำน้ำเจ้าพระยามีพื้นที่มากกว่า 2,498 ไร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี ตัวเกาะเกิดจากการขูดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อย่นระยะทางการเดินเรือสินค้าจากอ่าวไทยไปยังอยุธยาการ ได้มาเยือนเกาะเกร็ดนอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวมอญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เลือกชมเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นอกลักษณ์ของเกาะเกร็ด ชิมอาหารและขนมไทยสูตรโบราณอร่อย ๆ เช่น ทอดมันหน่อกะลา ดอกไม้ทอด ข้าวแช่ ทองหยิบ ทองหยอด ฯลฯ นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว การไหว้พระขอพรก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/1_4.jpg)
วัดปรมัยยิกาวาส เป็นสัญลักษณะของเกาะเกร็ดไปแล้ว เมื่อเรานั่งเรือข้ามฟากจะเห็นเจดีย์เอียง คือ เจดีย์ทรงรามัญที่จำลองแบบมาจากพระธาตุเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากเจดีย์อยู่ติดแม่น้ำจึงทำให้กระแสน้ำกัดเซาะฐานรากเอียง ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาสและหอไทยนิทัศน์เครื่องปั้นดินผา จัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ เช่น พระพิมพ์ เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชาม
วัดเสาธงทอง หรือวัดสวนหมาก มีเจดีย์ศิลปะอยุธยาที่มีความสูงที่สุดในอำเภอปากเกร็ดประดิษฐานอยู่ ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงาม พระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพียะอาล้าต”
วัดไผ่ล้อม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีพระอุโบสถที่สวยงาม ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงาม
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94.jpg)
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
กวานอาม่าน หรือพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินผา เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาลายโบราณ เปิดให้เข้าชมทุกวัน
คลองขนมหวาน และคลองอื่น ๆ ในเกาะเกร็ด ชาวบ้านจะทำขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหวานอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมสาธิตวิธีการทำให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94_1.jpg)
การเดินทาง
จากห้าแยกปากเกร็ด ขับตรงไปทางท่าน้ำปากเกร็ดประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดสนามเหนือ ให้เลี้ยวเข้าไปจอดแล้วลงเรือข้ามฟากที่ท่าเรือของวัดไปยังเกาะเกร็ด ค่าเรือคนละ 2 บาท ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5
ไหว้พระ ชมวังที่บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา
เป็นเส้นทางใกล้กรุงอีกเส้นที่น่าสนใจ ขับรถสบาย ๆ ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องเข้าไปถึงใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยาก็ได้ แค่รอบนอกของตัวเมืองยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกไม่น้อย กรุงเก่าที่ใคร ๆ เรียกขาน วันวานนั้นอาจจะขมขื่นกับเรื่องราวในอดีตครั้งเสียกรุงให้แก่พม่า ซึ่งเหลือไว้แค่ซากปรักหักพัง ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แต่แหล่งท่องเที่ยวของพระนครศรีอยุธยาไม่ใช่จะมีแต่โบราณสถานเพียงอย่างเดียว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทรงคุณค่าอื่น ๆ ให้ไปเยือนอีกมากมาย เช่นที่อำเภอบางปะอิน เป็นต้น
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/2_3.jpg)
พระราชวังบางปะอิน เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ประทับแรมของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้นมาอีกครั้ง และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังพระราชวังบางปะอินเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
ตลาดโก้งโค้ง ตลาดโบราณย้อนยุคที่น่าสนใจ ชื่อตลาดเป็นคำที่ใช้เรียกตลาดในสมัยอยุธยา โดยคนขายจะนั่งขายสินค้าอยู่บนพื้นดิน ดังนั้น คนที่มาซื้อสินค้าจึงต้องโก้งโค้งเพื่อเลือกดูสินค้า ส่วนสินค้าที่มีจำหน่าย ได้แก่ อาหารสด-แห้ง อาหารคาว-หวาน ผักผลไม้ปลอดสารพิษจากสวนชาวบ้าน ฯลฯ เอกลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ คือ พ่อค้าแม่ค้าจะแต่งชุดไทยแบบชาวบ้านออกมาขายของ เสมือนว่าได้เข้าไปอยู่ในยุคนั้นจริง ๆ ตลาดโก้งโค้งจัดขึ้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น.
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/2_2_1.jpg)
วัดใหญ่ชัยมงคล สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ประมาณปี พ.ศ. 1900 พระองค์ทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพเจ้าแก้วเจ้าไท ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่า แล้วมีพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งได้ทรงสร้างพระเจดีย์ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้ทรงทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อ พ.ศ. 2135 ชาวบ้านได้นำเอาชื่อวัดกับนามพระเจดีย์มารวมกัน จึงเรียกขานกันต่อมาว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” จวบจนทุกวันนี้
วัดพนัญเชิง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิง (หรือวัดพระนางเชิง) คนไทยเรียกทั่วไปว่า หลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อพนัญเชิง ส่วนคนจีนเรียกว่าซำปอกง ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้บูรณะใหม่ทั้งองค์เมื่อปลาย พ.ศ. 2397 แล้วถวายพระนามพระพุทธรูปใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก”
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/2_1_3.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน เมื่อถึงประตูน้ำพระอินทร์ให้ข้ามสะพานวงแหวนรอบนอก จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 308 ตรงไปประมาณ 7 กิโลเมตร ถึงพระราชวังบางปะอิน จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 3477 (บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา) วิ่งตรงไปจะพบแหล่งท่องเที่ยวอยู่บนถนนเส้นนี้จนถึงวัดใหญ่ชัยมงคล ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0 3524 6076-7
ขับรถเลียบชายหาด อ่างศิลาถึงบางแสน
บางแสนจัดเป็นชายทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเพียงชั่วโมงเศษก็ถึง วันเดียวเที่ยวบางแสนมีอะไรน่าสนใจบ้าง นอกจากการได้พักผ่อนริมชายหาดแล้ว บางแสนก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้แก่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้อีกด้วย
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/3_4.jpg)
หาดบางแสน น้อยคนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ สถานที่พักผ่อนชายทะเลขึ้นชื่อของเมืองไทย เมื่อเราเดินบนชายหาดจะเห็นร่มและผ้าใบสีสันสดใสเรียงรายกันยาวตลอดเกือบ 2 กิโลเมตร ร้านขายของ อาหาร และเครื่องดื่มนับร้อยร้าน มีกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเห็นบานาน่าโบ๊ท เจ็ตสกี วอลเลย์บอลชายหาด ปั่นจักรยาน และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เทศบาลตำบลแสนสุขจัดขึ้น เช่น บางแสนย้อนยุค บางแสนไทยแลนด์ สปีด บางแสนไบค์วีก และกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายบนชายหาดมหาชนแห่งนี้
หาดวอนนภา เป็นชายหาดตอนใต้ของหาดบางแสน จากบริเวณวงเวียนบางแสนแล้วแยกไปทางซ้าย มีชายหาดยาวประมาณ 2 กิโลเมตร บรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดบางแสน
สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา เก็บรวบรวมตัวอย่างพืชและสัตว์ทางทะเล มีนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องมือประมง เครื่องมือสำรวจทางสมุทรศาสตร์และโบราณคดีใต้น้ำ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/3_1_1.jpg)
แหลมแท่น เป็นช่วงปลายแหลมของหาดบางแสนตอนเหนือต่อกับอ่าวเขาสามมุข มีศาลาทรงไทยและลานชมทิวทัศน์ มีประติมากรรมหินแกรนิตรูปปลาโลมากับเกลียวคลื่นตั้งอยู่
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/3_2_1.jpg)
พระตำหนักมหาราช พระตำหนักราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ในระหว่างที่ทรงสำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประพาสยุโรป ปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
สะพานปลา เดิมเรียกว่าสะพานหิน ปัจจุบันเป็นท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลา มีสินค้าท้องถิ่นและอาหารทะเลจำหน่ายหลายชนิด
เขาสามมุข เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน เชิงเขาเป็นที่ตั้งศาลเจ้าแม่เขาสามมุข บนยอดเขามีลิงป่าอาศัยอยู่จำนวนมาก จากจุดชมวิวบนเขายามเย็นจะมองเห็นทะเลบางแสนได้อย่างสวยงาม
อ่างศิลา ชุมชนชาวประมงริมทะเล มีชื่อเสียงมากเรื่องครกหินและการสกัดหินเป็นรูปต่าง ๆ มีตลาดเก่าอายุ 133 ปี จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง เช่น อาหารทะเลตากแห้ง และขนมหวานโบราณชนิดต่าง ๆ
ตลาดหนองมน ขายสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก ได้แก่ อาหารทะเลตากแห้ง ขนม และอาหารสำเร็จรูป ที่พลาดไม่ได้คือข้าวหลวมหนองมน มีรสชาติหวานมัน ใครมาต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากญาติมิตร เพื่อนฝูงทุกครั้ง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/3_3_1.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) ไปจังหวัดชลบุรี จากนั้นไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร ถึงสามแยกบางแสน เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3137 (ถนนลงหาดบางแสน) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงชายหาด ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณอ่างศิลาให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 3134 (บางแสน-อ่างศิลา) ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพัทยา โทรศัพท์ 0 3842 7667, 0 3842 8750 และ 0 3842 3990
ชมวัง ไหว้พระ สักการะองค์พระปฐมเจดีย์
หากนึกถึงเส้นทางสายตะวันตกที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นนครปฐม เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกิน และอุดมสมบูรณ์ด้วยพืช ผัก ผลไม้ จะเห็นได้จากการมีตลาดน้ำและตลาดอาหารชื่อดังอยู่หลายที่ เป็นเมืองที่ได้รับอารยธรรมและพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียเป็นที่แรก จึงทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาอยู่หลายแห่ง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/4_4.jpg)
พระปฐมเจดีย์ สัญลักษณ์ของจังหวัดนครปฐม นับเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมาตั้งหลักฐานประกาศหลักธรรมคำสอนที่นครปฐมเป็นครั้งแรก
พระราชวังสนามจันทร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งเสด็จมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ สิ่งสำคัญได้แก่ พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เป็นการผสมระหว่างศิลปะเรอเนซองส์ของฝรั่งเศส กับอาคารแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ของอังกฤษ มีอนุสาวรีย์ย่าเหล ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสุนัขทรงเลี้ยง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/4_1_1.jpg)
พุทธมณฑล สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา มีพื้นที่กว้างขวางถึง 2,500 ไร่ ประดิษฐานพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ สูงประมาณ 15 เมตร รอบองค์ประธานเป็นสถานที่จำลองของสังเวชนียสถานและศาสนสถานสำคัญอื่น ๆ
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งที่หล่อจากไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเมืองไทยไว้เป็นชุด เช่น ชุดพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ชุดพระอริยสงฆ์ ชุดสมเด็จพระปิยมหาราชกับการเลิกทาส ฯลฯ หุ่นแต่ละรูปนั้นมีลักษณะเหมือนคนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผิว ดวงตา แขน และเส้นผม
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/4_2_1.jpg)
ตลาดริมน้ำวัดดอนหวาย ตลาดเก่าสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีอาหารและสินค้าทางการเกษตรมาจำหน่ายที่วัดตอนหวายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-08.00 น. และมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/4_3.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงเลข 338 (ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) ผ่านถนนบรมราชชนนี ผ่านพุทธมณฑล นครชัยศรี แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ไปจนถึงตัวจังหวัดนครปฐม ส่วนตลาดริมน้ำวัดตอนหวายจะมีทางแยกเข้าตั้งแต่พุทธมณฑลสาย 5 ให้สังเกตป้ายบอกทางให้ดี ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 0 3475 2847-8
-
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556
.
ตามรอยวิถีไทยเมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา
เป็นจังหวัดใกล้กรุงที่น่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ระยะทางก็อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มากนัก สามารถขับรถไปเที่ยวโดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง เมืองแปดริ้วมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลากหลาย ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิตที่น่าสนใจ วันเดียวเที่ยวเมืองแปดริ้วนอกจากการขับรถไปแล้ว ยังมีการเดินทางรูปแบบอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รถไฟก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แสนคลาสสิก หรือการท่องเที่ยวโดยทางเรือ ซึ่งนับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แถมยังได้อรรถรสในการเที่ยวอีกด้วย
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/5_2.jpg)
ตลาดคลองสวน 100 ปี ชิมอาหารอร่อยทั้งอาหารคาวที่มีสูตรเฉพาะ ขนมหวาน กาแฟสูตรโบราณดั้งเดิม ชมของเก่า และสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า ตลาดจะมีคนเยอะเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
วัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคลต้องไปกราบพระขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ตามประวัติเล่าว่าเกิดปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาและมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/5_1_1.jpg)
วันจีนประชาสโมสร หรือวัดเล่งฮกยี่ เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีวิหารประดิษฐานเทพเจ้าต่าง ๆ เช่น วิหารบูรพาจารย์ วิหารเจ้าแม่กวนอิม พระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปศิลปะมหายาน 3 องค์ พร้อมด้วยองค์ 18 อรหันต์ ทำจากกระดาษที่นำมาจากเมืองจีน
วัดอุภัยภาติการาม เดิมเป็นวัดจีนแต่ปัจจุบันแปรสภาพเป็นวัดญวนในลัทธิมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระวิหารประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” ชาวจีนนิยมเรียกว่า “เจ้าพ่อซำปอกง” ที่มีอยู่เพียง 3 องค์ในประเทศไทย
ค้างคาวแม่ไก่วัดโพธิ์บางคล้า ค้างคาวแม่ไก่สายพันธุ์ใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ภายในวัดโพธิ์บางคล้าจำนวนนับแสนตัว ลักษณะมีปีกสีดำ หน้าตาเหมือนสุนัขป่า คือมีจมูกและใบหูเล็ก ตาใหญ่ ขนสีน้ำตาลแกมแดง ในเวลากลางวันจะเกาะห้อยหัวลงตามกิ่งไม้อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ยามพลบค่ำก็ออกหากิน
ตลาดร้อยปีบ้านใหม่ ตลาดโบราณอันเลื่องชื่อมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จำหน่ายทั้งอาหารคาว-หวาน ก๋วยเตี๋ยว กาแฟโบราณ เครื่องดื่มโบราณ สมุนไพร ขนมไทย-จีน ของเล่น ของฝากต่าง ๆ ตลาดจะเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/5_2_1.jpg)
การเดินทาง
จากรุงเทพฯ ไปฉะเชิงเทราได้หลายเส้นทาง เส้นทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (กรุงเทพฯ-มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา) ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เส้นทางที่สอง ใช้ทางด่วนมอเตอร์เวย์ สังเกตป้ายชี้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทราตามทางหลวงหมายเลข 314 หรือใช้ถนนสายอ่อนนุช-ฉะเชิงเทรา ผ่านสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ขับตรงไปจะผ่านตลาดคลองสวน 100 ปี อยู่ด้านซ้ายมือ หากขับตรงไปอีกจะเจอทางหลวงหมายเลข 314 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวจังหวัด ส่วนวัดโพธิ์บางคล้า จากตัวเมืองฉะเชิงเทราให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 มุ่งหน้าสู่อำเภอพนมสารคาม เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอบางคล้า ถึงบริเวณทางแยกป้อมตำรวจอำเภอบางคล้า ให้เลี้ยวซ้ายและตรงไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงวัดโพธิ์บางคล้า
ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5
ผจญภัย ท่องธรรมชาติที่นครนายก
เมืองเล็ก ๆ แห่งการแสวงหาธรรมชาติที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด เรียกว่าเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นท่องเที่ยวก็ไม่ผิดนัก นครนายกมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ เพียบพร้อมไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ ภูเขา น้ำตก สวนผลไม้ กิจกรรมผจญภัยอันหลากหลายที่นักท่องเที่ยวเมื่อไปเยือนแล้วต้องกลับมาด้วยความประทับใจ
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/6_2.jpg)
เที่ยวเขตทหารโรงเรียนนายร้อย จปร. สักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เข้าชมพิพิธภัณฑ์โรงเรียนนายร้อย จปร. 100 ปี เรียนรู้เรื่องราวของทหาร ประวัติศาสตร์เหตุการณ์ครั้งสำคัญ ร่วมกิจกรรมวัดใจคนกล้า เช่น โรยตัวจากผาจำลอง โหนเชือกข้ามลำน้ำ ฝึกยิงปืนอย่างถูกวิธี หัดพายเรือแคนู หรือขี่จักรยานท่องเที่ยว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกวันหยุดราชการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้ที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. โทรศัพท์ 0 3739 3185, 0 3739 3010
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/6_2_1.jpg)
เขื่อนขุนด่านปราการชล หรือที่เรียกกันติดปากว่า เขื่อนคลองท่าด่าน เป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชน บริเวณเขื่อนมีกิจกรรมล่องแก่งเรือยางและเรือคายัก ช่วงที่เหมาะกับการล่องแก่ง คือ เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ส่วนฤดูแล้งเขื่อนจะเปิดน้ำให้ล่องแก่งได้ วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวมาที่แก่งสามชั้นเป็นจำนวนมาก
ตลาดผลไม้หนองชะอม ตลาดผลไม้เก่าแก่ของนครนายก ผลผลิตเริ่มออกช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน ผลผลิตขึ้นชื่อได้แก่ มะยงชิดลูกขนาดเท่าไข่ไก่ ทุเรียนหลากหลายพันธุ์ และพืชผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ ตลาดเปิดเวลา 09.00-21.00 น.
ชมและชิมผลไม้ในสวน นครนายกนับว่าเป็นเมืองผลไม้ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด สวนผลไม้หลายแห่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น ท่าด่านโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่าง ๆ ชิมผลไม้สด ๆ จากต้นตามฤดูกาล สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลข โทรศัพท์ 0 3738 5015, 08 3738 5015, 08 1804 4503, บ้านสวนสายสมร เปิดเป็นที่พักและมีกิจกรรมต่าง ๆ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด เป็นต้น สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 7030 1824, 08 0566 1901, สวนละอองฟ้า มีสวนทุเรียนมากกว่า 100 สายพันธุ์ ที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ทุเรียนหายาก เหมาะสำหรับคนรักทุเรียนตัวจริง สามารถเข้าชมและชิมทุเรียนโบราณรสชาติดีได้ด้วย สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 3821 6035-6
ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับ ตั้งอยู่ที่ถนนรังสติ-นครนายก คลอง 15 เป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และจัดส่งไปยังแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อได้ในราคาขายส่ง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/6_1_1.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) เลียบคอลงรังสิต ผ่านอำเภอองครักษ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครนายก ระยะทางประมาณ 105 กิโลเมตร ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานนครนายก โทรศัพท์ 0 3731 2282, 0 3731 2284
เที่ยวสบาย ๆ สไตล์สุพรรณบุรี
ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงสุพรรณบุรี เป็นเส้นทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป ทำให้มีเวลาท่องเที่ยวได้อย่างคุ้มค่า คุ้มเวลา สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งมีป้ายบอกชัดเจน แต่ละสถานที่อยู่ไม่ไกลกันมาก วันเดียวเที่ยวสุพรรณบุรี จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/7.jpg)
วัดป่าเลไลยก์ เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุราว 1,200 ปี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต ปางป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 23.47 เมตร บริเวณด้านข้างวัดมีเรือนขุนช้าง เป็นเรือนไม้สักไทยโบราณ ตามวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นไปบนเรือนจะเห็นภาพวาดตัวละครขุนช้าง ห้องต่าง ๆ จัดแสดงเครื่องใช้สมัยโบราณ
สวนเฉลิมภัทรราชินี หอคอยบรรหาร-แจ่มใส ตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองสุพรรณบุรี เป็นหอคอยแห่งแรกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูง 123.25 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวสูง 78.75 เมตร ด้านบนติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ส่วนบริเวณสวนเฉลิมภัทรราชินีประดับด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ สวนปาล์ม สวนน้ำพุ ธารน้ำตก สไลเดอร์ สนามเด็กเล่น ช่วงค่ำมีน้ำพุประกอบดนตรี สีสันสวยงาม
สามชุก ตลาดร้อยปี ตลาดเก่าที่ยังมีชีวิต แม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน ตัวตลาดเก่าที่สร้างด้วยไม้เรียงติดกันอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ทุกวันนี้ยังคงอยู่ เมื่อถึงวันเสาร์-อาทิตย์ผู้คนจะหลั่งไหลมาเที่ยวที่ตลาดสามชุกกันอย่างเนืองแน่น เสน่ห์ของการมาตลาดสามชุก คือ ได้เดินชมความคลาสสิกของบ้านไม้อายุนับร้อยปี รวมทั้งกินอาหารอร่อย ๆ ไปตลอดทาง อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรก ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดสามชุก ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของชุมชนสามชุกในอดีตได้เป็นอย่างดี
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/7_1.jpg)
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ภายในจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีน ตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทางประวัติศาสตร์ และแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพี่น้องไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย เรื่องราวที่นำเสนอประกอบด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ ปรัชญา ภูมิปัญญา และการค้นพบประดิษฐกรรมสำคัญของบรรพบุรุษชาวจีน ผ่านสื่อจัดแสดงที่ทันสมัยและสวยงาม
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/7_2.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 340 (กรุงเทพฯ-บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) เส้นทางนี้สามารถไปได้ถึงตลาดสามชุก ซึ่งอยู่เลยตัวเมืองสุพรรณบุรีไปประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุพรรณบุรี โทรศัพท์ 0 3553 5789, 03553 6189, 0 3553 6030 หรือเว็บไซต์ http://www.tatsuphan.net/ (http://www.tatsuphan.net/)
ท่องเมืองนาวี ดูวิถีคนปากน้ำ สมุทรปราการ
นับเป็นอีกจังหวัดที่น่าท่องเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก จะเรียกว่าเป็นจังหวัดเดียวกันเลยก็ว่าได้ หลายคนมองภาพของจังหวัดนี้ว่ามีแต่โรงงานอุตสาหกรรม คงไม่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจเป็นแน่แท้ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองปากน้ำแฝงไว้ด้วยของดีอีกมากมายที่คุณคาดไม่ถึง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/8.jpg)
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เกิดจากความคิดริเริ่มของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็นด้วยช้างสามเศียรขนาดมหึมา เฉพาะส่วนหัวช้างสามเศียรก็มีน้ำหนักรวมหลายร้อยตัน หุ้มด้วยทองแดงทั้งตัว ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะด้วยมือเป็นแห่งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจัดแสดงวัตถุของมีค่า พระพุทธรูป เทวรูปสมัยต่าง ๆ และเครื่องลายครามของจีน สมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ชิง ชามสังคโลกสมัยสุโขทัย เครื่องเคลือบเขียวสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสำคัญประมาณค่ามีได้ ฯลฯ
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการเพาะพันธุ์จระเข้ทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลกนี้ มีจระเข้ทั้งหมดเกือบ 80,000 ตัว มีการแสดงจับจระเข้ด้วยมือเปล่า นอกนั้นยังมีส่วนที่เป็นสวนสัตว์ มีการแสดงช้าง ละครลิง การป้อนนมเสือขาว ให้นักท่องเที่ยวชม
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/8_1.jpg)
เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจำลองวิถีชีวิตไทยในอดีต ศูนย์รวมปูชนียสถานที่สำคัญ ๆ ของแต่ละจังหวัด เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง บางแห่งเท่าแบบจริงการท่องเที่ยว ภายในเมืองโบราณควรจอดรถไว้แล้วเช่าจักรยานขี่ชมจะสะดวกกว่า
สถานตากอากาศบางปู จากอดีตถึงปัจจุบันยังเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยม กับบรรยากาศยามเย็นรอชมพระอาทิตย์อัสดง และฝูงนกนางนวลที่บินอวดโฉมกางปีกสวยให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิดบนสะพานสุขตา ในราวต้นเดือนพฤศจิกายนฝูงนกนางนวลจะบินหนีหนาวมาที่บางปูเป็นจำนวนมาก เมื่อได้คู่ผสมพันธุ์แล้วก็จะทยอยบินกลับไปวางไข่บนที่ราบสูงใกล้ ๆ ทะเลสาบในทิเบตและมองโกเลีย มันจะเริ่มบินย้ายถิ่นกลับในราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม มื้อค่ำถ้าหิวก็เดินเข้าไปภายในศาลาสุขใจ ซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารไว้บริการ
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/8_2.jpg)
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) เป็นหลักจะสะดวกที่สุด โดยเริ่มจากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณไปจนถึงสถานตากอากาศบางปู ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5
-
ธรรมจักรศิลาทวารวดีสมบูรณ์สุดในไทย ของดีที่ “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”/ปิ่น บุตรี
โดย ปิ่น บุตรี 27 มิถุนายน 2556 18:42 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345-
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713290)
เมืองไทยเป็นประเทศที่มีพิพิธภัณฑ์เยอะมากติดอันดับต้นๆของโลก เพราะนอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ของราชการ ของกรมศิลป์แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์เอกชน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ส่วนตัว พิพิธภัณฑ์ตามวัดต่างๆ สารพัด
แต่น่าแปลกที่คนไทยกลับไม่นิยมเข้าพิพิธภัณฑ์ ทั้งๆที่บ้านเรามีพิพิธภัณฑ์ดีๆ พิพิธภัณฑ์น่าสนใจมากมาย แถมราคาค่าเข้าชมในหลายๆพิพิธภัณฑ์นั้นก็ถูกแสนถูก ถูกกว่ากาแฟแบรนด์ดังแก้วหนึ่งเสียอีก
สำหรับหนึ่งในพิพิธภัณฑ์น่าสนใจที่ผมเพิ่งได้เข้าไปเที่ยวชมมาเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ที่ตั้งอยู่ในตัวอำเภออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713322)
ภาพการขุดค้นเมืองโบราณอู่ทองในอดีต
พิพิธภัณฑ์ฯอู่ทอง เป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุและแหล่งเรียนรู้อารยธรรมทวารวดีชั้นดี ที่มีความเชื่อมโยงกับ “เมืองโบราณอู่ทอง” หนึ่งในพื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองไทยที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอำเภออู่ทอง
รู้จักเมืองโบราณอู่ทอง
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีพบว่า ดินแดนที่เป็นเมืองโบราณอู่ทองนั้นเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่มายาวนานตั้งแต่ราว 3,000-2,500 ปีก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสังคมเกษตรกรรมยุคหินใหม่ต่อเนื่องถึงยุคโลหะ โดยมีการค้นพบหลักฐานจำพวกขวานหินขัด ลูกปัด ภาชนะดินเผา เหล็กปั่นด้าย ฉมวก หอก อาวุธโบราณ และเครื่องใช้ไม้สอยโลหะอื่นๆอีกมากมาย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713323)
แผนที่สมัยทวารวดีแสดงให้เป็นว่าอู่ทองเคยเป็นเมืองชายฝั่งติดทะเล
หลังจากนั้นชุมชนได้เติบโต เริ่มทำการติดต่อค้าขายกับต่างชาติจนพัฒนาเป็นเมืองท่าชายฝั่ง เพราะดั้งเดิมที่เป็นชุมชนชายฝั่งริมทะเล มีเรือสินค้าของชาวต่างชาติแวะเวียนเข้าออก โดยในราวพุทธศตวรรษที่ 5 ขึ้นไปเมืองอู่ทองมีบทบาทเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ(หากดูในแผนที่โบราณที่จะพบว่า อู่ทองเป็นเมืองติดทะเล ส่วนกรุงเทพฯ อยุธยา สมัยนั้นยังไม่เกิด เพราะผืนแผ่นดินบริเวณนี้ยังเป็นทะเลอยู่เลย)
ราวพุทธศตวรรษที่ 8-10 วัฒนธรรมอินเดียที่รุ่งโรจน์ในยุคนั้นได้แผ่ขยายเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิปรากฏอย่างชัดเจนในอู่ทอง มีการค้นพบหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพระพุทธศาสนา การใช้ภาษาและตัวอักษรแบบ “ปัลลวะ” เป็นต้น
วัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามาจากภายนอกได้มาผสมผสานกับวัฒนธรรมภายในของท้องถิ่น เกิดเป็น “วัฒนธรรมทวารวดี” ขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12-16 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุควัฒนธรรมสมัยแรกสุดของเมืองไทย มีหลักฐานการสร้างตัวเมืองเป็นผังรูปวงรี กว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713324)
ผังเมืองโบราณอู่ทองเป็นรูปวงรี
เมืองอู่ทองยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในฐานะเมืองท่า ศูนย์กลางการค้า โดยนักวิชาการบางคนเชื่อว่าเมืองอู่ทองมีความสำคัญมากถึงขนาดเคยเป็นเมืองหลวงรุ่นแรกของอาณาจักทวารวดีเลยทีเดียว เพราะมีการค้นพบเหรียญเงินจำนวนหลายเหรียญจารึกคำว่า “ศฺรีทฺวารวตี ศฺวรปุณฺยะ” ที่แปลว่า “พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” หรือแปลว่า “การบุณย์ของพระเจ้าศรีทวารวดี” ที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญเชื่อมโยงต่อข้อสันนิษฐานว่าเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีน่าจะอยู่ที่เมืองอู่ทอง
นอกจากเมืองท่า เมืองหลวงแล้ว อู่ทองยังเป็นดินแดนศูนย์กลางทางพุทธศาสนาแห่งสุวรรณภูมิ และเป็นจุดที่พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาประดิษฐานเป็นแห่งแรกของเมืองไทย โดยมีข้อสันนิษฐานว่า “พระโสณะ”เถระและ“พระอุตตระ”เถระ 2 ผู้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ(หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 300 ปี) ได้เข้ามาสร้างวัดพุทธแห่งแรกขึ้นในเมืองอู่ทอง
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713325)
ยอดเขาทำเทียม(ในปัจจุบัน)ที่เชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดวัดแห่งแรกในเมืองไทย
สำหรับจุดสร้างวัดพุทธแห่งแรกที่เป็นวัดแห่งแรกของไทยอยู่บนยอดเขาของ “วัดเขาทำเทียม” ในปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบร่องรอยการใช้เพิงผาถ้ำบนยอดเขาเป็นที่พำนักของพระอัครสาวกทั้ง 2 และค้นพบโบราณวัตถุเป็นก้อนหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่หมายถึงภูเขาแห่งดอกไม้ และค้นพบธรรมจักรศิลาที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยที่วัดแห่งนี้เช่นกัน (ศิลปวัตถุทั้ง 2 ชิ้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง)
เมืองอู่ทองดำรงความเจริญรุ่งเรืองอยู่นับร้อยปี ก่อนจะโรยร้างไป ซึ่งปัจจุบันมีข้อสันนิษฐานใน 3 แนวทางถึงการเสื่อมสลายของเมืองอู่ทอง ดังนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713331)
หินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่ขุดพบที่วัดเขาทำเทียม
-สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่า เมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด จึงมีการทิ้งเมืองไทยสร้างพระนครศรีอยุธยา
-ศาสตราจารย์ฌอง บวสเซอลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะในเอเชียอาคเนย์ ชาวฝรั่งเศส สันนิษฐานว่าเกิดน้ำท่วมจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำพัง ชาวเมืองจึงทิ้งบ้านเมืองไป แต่ไม่ได้ทิ้งร้าง หากแต่ยังมีชุมชนอาศัยอยู่เรื่อยมา
-ข้อสันนิษฐานจากลักษณะภูมิประเทศว่า เมืองอู่ทองเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เกิดการทับถมของโคลนตะกอนจากแม่น้ำสายต่างๆ จนกลายเป็นแผ่นดิน ปิดเส้นทางสัญจรทางทะเล ส่งผลให้ความเป็นเมืองท่าชายฝั่งของอู่ทองหมดไป
แม้การเสื่อมสลายของเมืองโบราณอู่ทองไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่เมืองโบราณอู่ทองในฐานะแอ่งอารยธรรมทวารวดียังคงมีความสำคัญนับจากอดีตมาจนถึงทุกวันนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713332)
พิพิธภัณฑ์อู่ทองแหล่งรวมศิลปะยุคทวารวดีที่น่าสนใจ
ย้อนอดีต สู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคต ที่พิพิธภัณฑ์อู่ทอง
สำหรับจุดศึกษา เรียนรู้ ปูพื้น เรื่องราวในยุคสมัยทวารวดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองไทยนั้นก็คือที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือเรียกที่สั้นๆว่า “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”
พิพิธภัณฑ์อู่ทอง เป็นแหล่งจัดแสดงอารยธรรมทวารวดีและศิลปวัตถุสำคัญๆมากมาย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ มีการจัดแสดงเกี่ยวบ้านเรือนชนเผ่าไว้ในส่วนที่เป็นกลางแจ้ง ส่วนภายในแบ่งพื้นที่การจัดแสดงเป็น 2 อาคารหลัก คือ อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 และหมายเลข 2
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713333)
ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร โบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย
อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 แบ่งเป็น 2 ห้องจัดแสดง
ห้องแรก ห้องจัดแสดง “บรรพชนคนอู่ทอง” จัดแสดงพัฒนาการเมืองอู่ทองตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจึงถึงยุคทวารวดี มีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ อาทิ จารึกแผ่นทองแดงเหรียญกษาปณ์โรมัน เงินตราโบราณ พระพุทธรูปสำริด เครื่องประดับทองคำ ลูกปัดแบบต่างๆ และสิ่งของสำคัญคือ ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร ศิลปะอินเดียแบบอมารวดี(ศิลปะก่อนยุคทวารวดี) ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการค้นพบโบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย
อ้อ!?! สำหรับการชมศิลปวัตถุต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทองนั้น ทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บอกกับผมว่า ถ้าชิ้นไหนเป็นของสำคัญจะมีการเติมจุดแดงไว้ที่แผ่นป้ายบอกชื่อและอายุของชิ้นงาน
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713334)
เครื่องปั้นดินเผาโบราณที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
ส่วนห้องที่สอง เป็นห้องจัดแสดง “อู่ทองศรีทวารวดี” จัดแสดงเกี่ยวกับเมืองอู่ทองในฐานะเมืองสำคัญของยุคทวารวดี มีสิ่งน่าสนใจได้แก่ พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ เหรียญกษาปณ์โรมัน สิงโตสำริด ตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิง เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของคนโบราณ งานดินเผารูปหัวคน
ในห้องนี้ยังมีไฮไลท์สำคัญที่ตั้งเด่นสะดุดตาคือ “ธรรมจักรศิลา” พร้อมแท่นและเสา ซึ่งถูกค้นพบที่บนยอดเขาทำเทียมกับหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี”
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713337)
ธรรมจักรศิลาทวารวดีที่สมบูร์ที่สุดในเมืองไทย
ธรรมจักรศิลาชุดนี้ เป็นศิลปะทวารวดีมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 (1,300-1,400 ปีมาแล้ว) เป็นธรรมจักรศิลาทรงกลม ฉลุซี่ล้อโปร่ง ที่ฐานสลักลวดลายกลีบบัวบาน ขอบธรรมจักรสลักลายสี่เหลี่ยมเปียกปูนสลับวงกลมเรียงเป็นแถว มีเสาตั้งเป็นแท่งหินรูป 8 เหลี่ยม หัวเสาสลักลวดลายพวงอุบะ มีแท่นรองธรรมจักรเป็นรูป 4 เหลี่ยม นับเป็นธรรมจักรศิลาที่สวยงามสมส่วนยิ่งนัก ซึ่งธรรมจักรศิลาชุดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดีที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713338)
ธรรมจักรศิลาครบชุดทั้งองค์ธรรมจักร ฐาน และเสาแท่ง 8 เหลี่ยม
ไปดูสิ่งน่าสนใจในอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง
อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 ต่างจากอาคารหมายเลข 1 ตรงที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลและใช้เทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ ผสม แสง สี เสียง มีการสร้างเรื่องราว ข้าวของส่วนใหญ่เป็นการจำลองทำขึ้นมา ขณะที่การจัดแสดงในอาคารหมายเลข 1 เป็นการมุ่งนำเสนอศิลปวัตถุ โบราณวัตถุที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นของจริงให้คนได้มาสัมผัสกัน
อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 มี 2 ชั้น โดยห้องจัดแสดงชั้นบนส่วนที่ 1 เป็นห้อง “พัฒนาการทางประวัติศาสตร์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ” ขณะที่การจัดแสดงส่วนที่ 2 ขอชั้นบนเป็น ห้อง “สุวรรณภูมิการค้าของโลกยุคโบราณ”
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713339)
แสดงเส้นทางการเดินเรือ การค้า
มาดูห้องจัดแสดงชั้นล่างของอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง เป็นห้อง “อู่ทองศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา” จัดแสดงให้เห็นถึงผังเมืองโบราณอู่ทองด้วยเทคนิคสมัยใหม่ มี แสง สี เสียง ครบ พร้อมกันนี้ยังมีการชูไฮไลท์คือธรรมจักรศิลามาทำเป็นเรื่องราว แสดงเห็นถึงชาวบ้านในยุคนั้นสร้างทำ ธรรมจักรศิลา รวมถึงจำลองร่องการขุดค้นพบมาให้ชม
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713340)
การนำธรรมจักรมาจัดแสดงบอกร่องรอยการขุดค้นและโยงไปถึงวิถีชีวิตในอดีต
และนั่นก็เป็นสิ่งน่าสนใจต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่นับเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในยุคทวารวดีเพิ่มเติมมาอีกมากโข ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ดูตั้งใจกันดี ทำงานกันด้วยใจรักด้วยอยากให้ความรู้กับประชาชน
ส่วนที่เป็นปัญหาเหมือนๆกันกับพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศก็คือ การขาดงบประมาณ ขาดการสนใจจากภาครัฐอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ปัญหาของพิพิธภัณฑ์ในบ้านเราก็ยังคงหนีไม่พ้นจากวังวนเดิมๆ นั่นพลอยทำให้คนที่ตั้งใจดูแลพิพิธภัณฑ์ ตั้งใจทำพิพิธภัณฑ์ดีๆ เขาอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เพราะผมมักได้ยินคนทำพิพิธภัณฑ์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บ่นถึงปัญหาเหล่านี้ให้ฟังอยู่เสมอ
***********************************************************
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือ พิพิธภัณฑ์อู่ทอง ตั้งอยู่ติดกับที่ว่าการอำเภออู่ทอง ริมถนนมาลัยแมน(สุพรรณบุรี-อู่ทอง) หมายเลข 321 ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีประมาณ 40 กม. เปิดทำการทุกวันพุธ-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์(หยุดวันจันทร์-อังคาร) เวลา 9.00-16.00 น. ค่าบริการเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ ภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาต่างๆเข้าชมฟรี ภายในพิพิธภัณฑ์สามารถถ่ายรูปได้ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-3555-1021,0-3555-1040
หมายเหตุ : บทความนี้อ้างอิงประวัติศาสตร์อารยธรรมทวารวดีจากเอกสารและข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อู่ทอง
-
สัมผัสวีถีชาวบางกอกผ่าน “พิพิธภัณฑ์” รอบเกาะรัตนโกสินทร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มิถุนายน 2556 13:04 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078384-
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713376)
เราเป็นใคร มาจากไหน รู้ได้ที่มิวเซียมสยาม
ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์ดีๆน่าสนใจมากมาย แต่น่าแปลกที่พฤติกรรมคนไทยกับไม่ค่อยนิยมเข้าพิพิธภัณฑ์สักเท่าไหร่
อย่างไรก็ดีการเที่ยวชมสำหรับคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือคนที่สนใจจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนั้น มันมีเสน่ห์และความเพลิดเพลินที่น่าสนใจไม่น้อย
สำหรับทริปนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันเลือกเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นหลักร่วมไปกับสิ่งน่าสนใจรอบๆเกาะรัตนนโกสินทร์ เพื่อเที่ยว - ชม แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ โดยฉันเริ่มต้นที่ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนสนามไชย รูปร่างภายนอกสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตึกมิวเซียมสยามเป็นตึกเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เดิมเคยเป็นกระทรวงพาณิชย์มาก่อน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงามไม่แพ้ที่ไหนอีกด้วย
เรื่องราวในมิวเซียมสยามนั้นเน้นเรื่องประวัติศาสตร์ไทย แต่ที่โดดเด่นก็คือการเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการชมพิพิธภัณฑ์ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่เหมือนที่ไหนก็คือ นอกจากจะได้เดินดูเฉยๆ แล้ว ยังสามารถจับต้องสิ่งของที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้ สามารถเล่นและถ่ายรูปได้ เหมือนกับได้เรียนรู้กันแบบสมจริงสมจังอีกด้วย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713377)
มาลองเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 4 บางขุนพรหม
เมื่อเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามแล้ว จะเจอกับนิทรรศการชุด “เรียงความประเทศไทย” ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองและผู้คนในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยดึงลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การเมือง วัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลาจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศถึงประเทศไทย เพื่อเรียนรู้อดีตของผู้คนในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และค้นหาคำตอบว่า “เราคือใคร” และ “ความเป็นไทยหมายถึงอะไร”
นอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของอดีตในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ก็ยังสามารถเข้าไปมีประสบการณ์ร่วมกับอดีตที่เคยผ่านมาได้ด้วย อย่างที่ห้องหนึ่ง ฉันก็ยังได้ลองเข้าไปสวมบทบาทเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ของช่อง 4 บางขุนพรหม มีทั้งโต๊ะผู้ประกาศข่าวและมีกระดาษให้อ่าน เสมือนว่าได้เป็นผู้ประกาศข่าวกันจริงๆ หรือจะเป็นห้องที่มีการลองเครื่องแต่งตัวของคนไทยในสมัยก่อน ก็ทำให้การมาชมพิพิธภัณฑ์ดูสนุกไปอีกแบบ
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713378)
ย้อนยุคสู่แสงสี
เมื่อฉันออกจากมิวเซียมสยามมา ฉันก็มุ่งหน้ามาที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร เพื่อเข้ามาชมสิ่งโดดเด่นของวัดราชนัดดาฯ นั่นก็คือ “โลหะปราสาท” (พุทธสถานที่มีเรือนยอดเป็นโลหะที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวในโลก) โลหะปราสาทนับเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวในประเทศไทย และนับเป็นโลหะปราสาทองค์ที่ 3 ของโลก
ถึงแม้ว่าโลหะปราสาทแห่งนี้จะเป็นโลหะปราสาทที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวของโลก แต่โลหะปราสาทแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นโลหะปราสาทหลังแรก เพราะก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการสร้างโลหะปราสาทมาแล้ว 2 หลังด้วยกัน คือโลหะปราสาทที่ประเทศอินเดีย (ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว) และประเทศศรีลังกา (ปัจจุบันเหลือเพียงซากปราสาท)
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713379)
โลหะปราสาทก่อนการบูรณะ
เมื่อมาถึงฉันไม่รอช้ารีบเดินตรงปรี่ไปยังโลหะปราสาทยอดสูงทันที ภายนอกดูใหญ่โตอลังการสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ โลหะปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน เมื่อเดินเข้าไปยังด้านใน ชั้นหนึ่งจะเป็นการจัดแสดงนิทรรศการ ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลหะปราสาท เมื่อเดินชมนิทรรศการจนครบแล้ว ฉันมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นบน ในส่วนของชั้นที่สองจะเป็นสถานที่นั่งสมาธิและเดินจงกลม เมื่อเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จะมองเห็นทัศนียภาพบริเวณรอบๆ วัดราชนัดดาฯ อย่างชัดเจน และนอกจากนี้โลหะปราสาทส่วนบนยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอีกด้วย (หากไปชมโลหะปราสาทในช่วงเวลานี้อาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการบูรณะโลหะปราสาทอยู่)
จากนั้นฉันเลือกเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ที่ก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณโลหะปราสาทนัก เพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันทรงคุณค่า เมื่อฉันมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ก็มองเห็นสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์นีโอคลาสสิกสีขาว มีทั้งหมด 3 ชั้น และมียอดโดมตรงกลาง ซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713380)
ภาพวันพระราชพิธีอภิเษกสมรสของรัชกาลที่ 7 ในพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า
อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมเป็นสำนักงานใหญ่กรมโยธาฯ ต่อมาในปี ในปี พ.ศ.2523 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น “พิพิธภัณฑ์รัฐสภา” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ในปี พ.ศ.2544 โดยมีสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 ทั้งหมด ตั้งแต่การสืบราชสันติวงศ์ พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพระราชทานรัฐธรรมนูญ สิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี รวมถึงยังมีการแสดงในส่วนของศาลาเฉลิมกรุงเก่าอีกด้วย ซึ่งในส่วนนิทรรศการทั้งหมดนั้นจะอยู่ในชั้นที่ 2 และ 3
เมื่อเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ ด้านในมีการจัดแบ่งโซนไว้อย่างเรียบร้อย โดยทางเดินจะช่วยบังคับให้เราไล่เรียงเรื่องราวต่างๆ ไปตามลำดับกาลและง่ายต่อการเข้าใจ จนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยก่อนได้ดีทีเดียว
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713381)
ย่านต่างๆ ในบางกอก
ปิดท้ายการเดินทางของวันนี้ ฉันมาจบลงที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ข้างลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ในยุครัตนโกสินทร์ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นจำลอง การนำสื่อผสมเสมือนจริง 4 มิติ ทำให้เราได้ร่วมสนุก และตื่นตาตื่นใจไปกับการจัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวเป็น 9 ห้องด้วยกัน ได้แก่ รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์, เกียรติยศแผ่นดินสยาม, เรื่องนามมหรสพศิลป์, ลือระบิลพระราชพิธี, สง่าศรีสถาปัตยกรรม, ดื่มด่ำย่านชุมชน, เยี่ยมยลถิ่นกรุง, เรื่องรุ่งวิถีไทย และดวงใจปวงประชา
สำหรับการเข้าชมภายในแต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายประวัติต่างๆ ให้เราฟัง เริ่มแรกฉันได้เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลา ถัดมาก็เข้าสู่ห้องดื่มด่ำย่านชุมชน และห้องอื่นๆตามลำดับ แต่การมาที่นี่ของฉันไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้เท่านั้น ฉันยังทำกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละห้องอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจำลองร้านทำผม การถ่ายรูปหน้าปกนิตยสารในสมัยก่อน หรือกระทั่งห้องจำลองการนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ตาม
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713382)
แอบดูชีวิตชาววังในอดีต
นอกจากนี้แล้วภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ยังมีห้องสมุดให้ฉันได้เข้าไปนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย และการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ของฉันในครั้งนี้ นอกจากฉันจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์แล้ว ฉันยังได้ความสนุกและความประทับใจกลับบ้านไปอีกด้วย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2713383)
ย้อนอดีตที่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สำหรับใครที่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์การท่องพิพิธภัณฑ์บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ทางสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ได้จัดโครงการ “Muse Pass” ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่จะพาท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ร่วมเดินทางเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทย และร่วมย้อนอดีตรำลึกถึงความรุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ ผ่านพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อาทิ มิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท เป็นต้น
บัตร Muse Pass สามารถใช้ท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้ภายในใบเดียว โดยสามารถเข้าเยี่ยมชมมิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท และชิมอาหารอร่อยในย่านเก่าแก่บางลำพูและท่าเตียน และสามารถใช้สิทธิ์ส่วนลดในร้านค้า ร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมบริการรถรับ-ส่ง ตลอดเส้นทางท่องเที่ยว โดยหมดเขตภายในเดือนกันยายนปีนี้เท่านั้น
บัตร Muse Pass ราคาใบละ 100 บาท มีจำหน่ายที่มิวเซียมสยามและนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ สามารถใช้บัตรได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2556 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ มิวเซียมสยาม โทร. 0-2225-2777 ต่อ 123, 505 www.museumsiam.org (http://www.museumsiam.org), www.facebook.com/museumsiamfan (http://www.facebook.com/museumsiamfan) และ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ โทร. 0-2621-0044 www.nitasrattanakosin.com (http://www.nitasrattanakosin.com), www.facebook.com/nitasrattanakosin (http://www.facebook.com/nitasrattanakosin)
-
ไหว้หลวงพ่อพระใส ดูทะเลหมอกหนองคาย
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372496653&grpid=&catid=09&subcatid=0901-
คอลัมน์ เที่ยวกันมะ โดย travel@matichon.co.th
(http://www.matichon.co.th/online/2013/06/13724966531372496681l.jpg)
การยกระดับอำเภอบึงกาฬ ขึ้นเป็นจังหวัดที่ 77 ของไทย มีผลต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดหนองคายอยู่ไม่น้อย เพราะการแยกหลายอำเภอในบริเวณดังกล่าวยกระดับขึ้นรวมกันเป็นจังหวัดบึงกาฬ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นกับหนองคายเหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ทำให้หน่วยงานต่างๆ ต้องเร่งค้นหาและเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ขึ้นมาทดแทน
แต่ที่แน่ๆ ใครมาถึงหนองคาย ต้องไม่พลาดสักการะ หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหนองคาย ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง
หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก ตามตำนานเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง โดยพระธิดา 3 องค์แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บ้างก็ว่า พระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนามพระพุทธรูปตามนามของตนเองว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ
เดิมหลวงพ่อพระใสประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ล่องมาตามลำน้ำงึมจนมาถึงปากน้ำโขง เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เกิดพายุใหญ่ จนพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า ?เวินสุก? และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
เหลือแค่พระเสริมและพระใส ซึ่งเมื่อมาถึงหนองคาย ได้อัญเชิญพระเสริมขึ้นประดิษฐานที่วัดโพธิชัย ส่วนพระใสอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าให้อัญเชิญพระเสริมและพระใสมากรุงเทพฯ แต่หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมมาประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า ?หลวงพ่อเกวียนหัก?
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของหนองคาย เพิ่งเปิดตัวไปกับ ทะเลหมอก แห่งเดียวของหนองคาย ที่หลังภูอีสัน ตำบลบ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอตามเส้นทาง อ.สังคม-อ.ปากชม จ.เลย ประมาณ 17 กิโลเมตร ซึ่งภูอีสันเป็นภูเขาเตี้ยๆ ที่มีถนนที่สามารถใช้รถเพื่อการเกษตรขึ้นไปได้ โดยใช้เวลาเดินทางไปถึงยอดเขาไม่ถึง 10 นาที และต้องเดินเท้าอีกเล็กน้อยเพื่อหาจุดชมวิว ก็จะพบทะเลหมอกที่ขาวโพลน เป็นทางยาวสุดลูกหูลูกตา ที่โอบล้อมภูเขาจนเห็นเพียงยอดภูเขาเท่านั้น ซึ่งทะเลหมอกจะมีการเคลื่อนไหวตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้บางครั้งมีลักษณะเป็นชั้นๆ ม้วนตัวคล้ายคลื่นทะเล บางขณะก็เหมือนน้ำตก สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ
ทะเลหมอกที่เกิดขึ้น เป็นหมอกที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำโขง คือ ฝั่งขวาจะเป็นฝั่งไทย และฝั่งซ้ายเป็นฝั่ง สปป.ลาว สำหรับช่วงเหมาะชมทะเลหมอกเป็นช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เวลาเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่ง ไปจนถึงประมาณ 9 โมงเช้า
นอกจากนี้ ยังมีเหมืองแร่ทองแดงและเหมืองทองคำเก่า ที่วัดเขาคีรีวงกต บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอไปตามเส้นทาง อ.สังคม ไป อ.ปากชม จังหวัดเลย ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม เมื่อไปเที่ยวในเขตอำเภอสังคม เหมืองทองแดงและเมืองทองคำเก่าแห่งนี้ เป็นแหล่งโบราณคดีภูโล้น ได้เคยมีการสำรวจและดำเนินการขุดค้นแล้ว
ที่อำเภอสังคม มีสถานที่มากมายหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกธารทอง น้ำตกธารทิพย์ จุดชมวิววัดผาตากเสื้อ หรือวัดถ้ำเพียงดิน
เลือกเที่ยวกันตามอัธยาศัย!!
หน้า 14,มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2556
-
หลบมลพิษ พักผ่อนเติมพลังใกล้ๆ กรุงที่ “บางปู”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2556 16:02 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091462-
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2747093)
“ศาลาสุขใจ” สถานตากอากาศบางปู
การดำเนินชีวิตในเมืองกรุงนั้น สิ่งที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ”มลพิษ” ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางเสียงหรือมลพิษทางอากาศล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากใครที่กำลังมองหาสถานที่ที่ใช้เป็นที่หลีกหนีจากมลพิษเหล่านี้ในช่วงเวลาสั้นๆแล้ว “สถานตากอากาศบางปู” ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลบมลพิษใกล้กรุงที่เหมาะสำหรับชีวิตคนทำงานที่ไม่ค่อยจะมีเวลาในการพักผ่อน
“สถานตากอากาศบางปู” ตั้งอยู่ที่ กิโลเมตรที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้มีชื่อว่า "บางปู" มาแต่เดิม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนริมชายทะเลอ่าวไทยที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีต โดยสถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 จากดำริของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และปัจจุบัน สถานตากอากาศบางปูอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของกรมพลาธิการทหารบก
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2747094)
“สะพานสุขตา” มีวิวสวยๆตลอดเส้นทาง
สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์คงหนีไม่พ้น “สะพานสุขตา” สะพานคอนกรีตที่ทอดยาวลงไปสู่ทะเลอ่าวไทย บริเวณสะพานสุขตาแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทอดน่องกินลมชมวิวได้ตลอดเส้นทาง โดยปลายสุดของสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของ "ศาลาสุขใจ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารร้านอาหารและห้องจัดเลี้ยง โดยจะมีจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งบริเวณหลังอาคารสุขใจแห่งนี้
ทัศนียภาพโดยรอบของสถานตากอากาศบางปูนั้น เป็นภาพบรรยากาศของป่าชายเลนริมทะเลอ่าวไทย อีกทั้งเมื่อเวลาน้ำลดก็สามารถที่จะเห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมายที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน โดยเฉพาะ "ปลาตีน" ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นครั้งแรกในความแปลกของรูปร่างหน้าตาและการดำรงชีวิต ในส่วนของจุดชมวิวด้านหลังศาลาสุขใจก็สามารถที่จะมองเห็นทะเลอ่าวไทยได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่พัดมาจากทะเลและจากป่าชายเลนขณะที่กำลังชมวิวอีกด้วย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2747095)
สามารถพบ “นก” กำลังออกหากินได้ตลอดเส้นทาง
นอกจากจะเป็นสถานตากอากาศที่ได้รับความนิยมใกล้กรุงแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในการดูนกอีกด้วย เพราะในป่าชายเลนย่านบางปูแห่งนี้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของนกน้ำนานาชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ ที่สามารถพบเห็นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะสามารถพบเห็นนกนางนวล ที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียมาในช่วงนี้ของทุกๆ ปี
ใกล้กันนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี ” โดยมีเส้นทางเดินลัดเลาะเพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพภายในป่าชายเลน ภายในเป็นที่ตั้งของหอดูนกขนาดเล็กที่ใช้ในการสังเกตพฤติกรรมของนกในธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2747096)
จุดชมวิวด้านหลัง ”อาคารสุขใจ” ชมวิวอ่าวไทยสุดสายตา
และหากเที่ยวเสร็จแล้วและกำลังมองหาของร้านของฝากติดไม้ติดมือหรือร้านแวะพักกินอาหารเติมพลัง เพียงย้อนกลับไปยังเขตอำเภอเมืองไม่ไกลมากนัก บริเวณ”ย่านปากน้ำ” ท่าเรือข้ามฟาก จะเป็นที่ตั้งของร้านขายของและร้านอาหารมากมาย ให้เลือกซื้อกลับบ้านหรือแวะพักกินกันได้ตามใจ (คลิกอ่านร้านอาหารแนะนำ ”ย่านตลาดปากน้ำ” ได้ตามลิงค์นี้)
สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ คงจะทำให้ใครหลายคนที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวได้เต็มอิ่มกับการพักผ่อนหย่อนใจและชาร์จแบตเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในความทรงจำของใครหลายๆคนที่สามารถกลับมาแวะเวียนเพื่อได้เสมอ
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2747097)
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบกฯ (บางปู)”
**********************************************************************************
สถานตากอากาศบางปู เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว : ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทสายเก่า โดยมีจุดสังเกต คือ นิคมอุตสาหกรรมบางปูจะอยู่
ทางซ้ายมือ ส่วนสถานตากอากาศบางปูนั้นจะอยู่ทางขวามือ
รถสาธารณะ : รถโดยสารประจำทางปอ. สาย 8 ,11,25, 55,102, 142, 155 507, 508 และ 511 รถโดยสารประจำทางธรรดาสาย 25, 102 และ 145 ลงตลาดปากน้ำ แล้วต่อรถเมล์เล็กสาย 36, จากนั้นต่อรถสองแถวปากน้ำ-วัดตำหรุ, ปากน้ำ-นิคมบางปู และปากน้ำ-คลองด่าน และไปลงปากทางเข้าสถานตากอากาศบางปู
-
ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่วังนารายณ์ ลพบุรี
-http://travel.kapook.com/view67187.html-
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/17/ttt.jpg)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
สุดสัปดาห์นี้ใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างแหล่งโบราณสถานอันเก่าแก่ และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เข้ามาเลยค่ะ เพราะวันนี้กระปุกท่องเที่ยวขอแนะนำทริปท่องเที่ยวแบบสั้น ๆ เชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ที่สามารถไปในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นั่นคือ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ส่วนภายในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ตามเราไปเที่ยวกันเลยจ้า
พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี โดยชาวเมืองลพบุรี ได้เรียกชื่อสถานที่แห่งนี้จนติดปากว่า "วังนารายณ์" ปัจจุบันได้จัดพื้นที่บางส่วนภายในวังให้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ สถานที่สำหรับจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุตามอาคารและพระที่นั่งต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนกว่าพันรายการ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งที่ลำดับที่ 3 ของประเทศไทยอีกด้วย
ประวัติความเป็นมา
พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เกิดขึ้นในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2209 สำหรับใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับในการล่าสัตว์ ออกว่าราชการ รวมทั้งต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่หลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงสวรรคต ในปี พ.ศ. 2231 พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ที่ตั้งอยู่ภายในก็ได้หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์องค์ใหม่ ก็ได้ย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดไปประทับอีกเลย ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการซ่อมแซมกำแพงเมือง, ป้อม และประตู รวมทั้งมีการสร้างพระที่นั่งวิมารมงกุฎในพระราชวัง พร้อมทรงพระราชทานนามพระราชวังว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" ในปัจจุบัน
สำหรับพื้นที่ภายในทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน ดังนี้
เขตพระราชฐานชั้นนอก
อ่างเก็บน้ำซับเหล็กหรือถังเก็บน้ำประปา : เป็นระบบการจ่ายทดน้ำผลงานของชาวฝรั่งเศส โดยการสร้างที่เก็บน้ำในถัง ด้วยการก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษ สร้างพื้นให้มีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อจ่ายน้ำไปใช้ตามตึกและพระที่นั่งต่าง ๆ โดยท่อดินเผา ซึ่งระบบการจัดการน้ำ ระบบการจ่ายน้ำ และทดน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน
ตึกสิบสองท้องพระคลังหรือพระคลังศุภรัตน์ : สันนิษฐานว่าเป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าและสิ่งของ เป็นตึกที่ตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำและตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง สร้างด้วยอิฐเป็น 2 แถวยาว มีคูน้ำล้อมรอบตึก ภายในคูน้ำมีน้ำพุขึ้นมาอีกด้วย ใช้เป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของที่ใช้ในราชการ
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%B2.jpg)
ตึกพระเจ้าเหา : มีลักษณะเป็นหอประจำพระราชวัง และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีชื่อว่า พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อตึกนั่นเอง
ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ : อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก โดยตึกหลังนี้ตั้งอยู่ตรงกลางอุทยาน ซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส บริเวณรอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงยาว 20 จุด ซึ่งสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87.jpg)
โรงช้างหลวง : ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงพระราชวังเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่
เขตพระราชฐานชั้นกลาง
พระนารายณ์ราชนิเวศน์
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/17/tt2.jpg)
พระที่นั่งจันทรพิศาล : หอประชุมองคมนตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระที่นั่งจันทรพิศาลใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งของพระราเมศวร โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหญ่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97.jpg)
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท : เป็นพระที่นั่งท้องพระโรง สำหรับเสด็จออกคณะราชทูตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดแหลมทรงมณฑปศิลปกรรมแบบไทยผสมผสานกับฝรั่งเศส ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชรที่เสด็จออกเพื่อมีปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าฯ ท้องพระโรงบริเวณประตูและหน้าต่างสร้างรูปโค้งแหลมแบบฝรั่งเศส ตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทั้งประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ จุดเด่นอยู่ที่ตรงกลางท้องพระโรง โดยมีสีหบัญชรเป็นสถานที่เสด็จ ออกเพื่อมาปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตอนหน้า ด้านในท้องพระโรงประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยม ประดับลายดอกไม้ทองคำและผลึกแก้ว ผนังด้านนอกเจาะเป็นช่องเล็กสำหรับใส่ตะเกียงในตอนกลางคืน
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/17/tt1.jpg)
พระที่นั่งพิมานมงกุฎ : สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับ, พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน, พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ และพระที่นั่งอักษรศาสตราคม เป็นที่ทรงพระอักษร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด และเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ในปัจจุบัน
โดยภายในหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎมีสถานที่สำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้
ชั้นที่ 1 จัดแสดงโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,500-4,000 ปี เช่น โครงกระดูก, เปลือกหอย, ขวานหิน, ขวานสำริดและเครื่องประดับ เป็นต้น
ชั้นที่ 2 จัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดลพบุรี เช่น ทับหลังแกะสลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ, พระพุทธรูปสมัยลพบุรีปางต่าง ๆ เครื่องถ้วยกระเบื้องของไทยและจีน เป็นต้น
ชั้นที่ 3 เป็นห้องบรรทมของรัชกาลที่ 4 จัดแสดงฉลองพระองค์ เครื่องแก้ว และภาชนะที่มีตราประจำพระองค์
ทิมดาบ : ที่พักของทหารรักษาการณ์ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวังในสมัยรัชกาลที่ 4
เขตพระราชฐานชั้นใน
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99.jpg)
(http://img.kapook.com/u/pree/pree6/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%991.jpg)
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/17/tt3.jpg)
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/17/tt4.jpg)
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ : เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า "พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำขนาดใหญ่ 4 สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน" สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231
หมู่ตึกพระประเทียบ : ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน เป็นตึกชั้นเดียว 2 หลัง ก่อด้วยอิฐปูน 2 ชั้น มี 8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จประพาสที่เมืองลพบุรี
นี่เป็นเพียงหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีที่เที่ยวอื่น ๆ อีกมาก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าวางแผนไปเที่ยวนะคะ เพราะเดินทางสะดวกและไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังได้รู้เรื่องราวในอดีตของพระราชวังอีกด้วยล่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ททท. และ lopburi.mots.go.th
-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C--909-
-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C-
และ lopburi.mots.go.th
-
ปลื้ม-ทับทิม คู่รักวัยทีน เชิญชวนร่วมตื่นตาตื่นใจในงาน “3D-ART EXHIBITION”
-http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/-
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390750/58ba0b3b74561c9c38320e8a65e2ff5a.jpg)
ปลื้ม สุรบถ หลีกภัย - ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา" เชิญชวนผู้สนใจและชื่นชอบการถ่ายรูปมาร่วมสัมผัสและค้นหาความมหัศจรรย์ภาพ 3 มิติ ในงาน "3D-ART EXHIBITION" ที่ขนทัพกองทัพภาพ 3D ขนาดใหญ่จำนวนกว่า 50 ภาพ จากแดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น มาแสดงบนพื้นที่ 600 ตารางเมตร ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบเดินทางมาสัมผัสความมหัศจรรย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และกลายเป็นจุดนัดพบถ่ายภาพสุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ
โดยการแสดงผลงานดังกล่าวจะจัดขึ้นและเปิดให้เข้าชมทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้-มกราคม 2014 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ชั้น B2 ศูนย์การค้า เดอะพาลาเดี่ยมเวิลด์ช้อปปิ้ง ประตูน้ำ ราคาบัตรผ่านประตูสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท และต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 150 บาท
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390750/photo_1.jpg)
งานนี้รับรองว่าทุกท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจและสนุกไปกับความมหัศจรรย์กับภาพถ่าย 3 มิติพิศวงที่เสมือนจริงที่จะช่วยสร้างจินตนาการและดึงผู้ชมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่าย ด้วยเทคนิคการเขียนภาพแบบ 3 มิติ ตามแบบฉบับของญี่ปุ่นขนานแท้ ซึ่งมาจากฝีมือการวาดของศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่น Mr.Hattori Masashi ที่มีความโดดเด่นการวาดภาพ 3 มิติ
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390750/photo_2.jpg)
เพราะมีการแสดงออกด้านเทคนิค และนวัตกรรมฉูดฉาด จนมาเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน 3 มิติ และได้เป็นตัวแทนของประเทศในงาน "No Time Art" ได้เคยจัดงานแสดง นิทรรศการศิลปะ 3 มิติ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและนานาประเทศ สำหรับคนที่ชื่นชอบผลงานศิลปะชนิดนี้ ไม่ควรพลาด และลองมาสัมผัสความสนุกแปลกใหม่ไร้ขีดจำกัดและประชันโพสท่าสวยเพื่อเป็นที่ระลึกได้ที่งาน 3D-ART EXHIBITION เท่านั้น!
http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/ (http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/)
.
-
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
-http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/miniaturethairoyalbarge.html-
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จำลองพระราชพิธี กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ด้วยฝีมือการประดิษฐ์ที่ประณีตงดงาม วิจิตรพิสดารโดยอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเิงินไทย บุคคลดีเด่นแห่งชาติปี 2551 แสดงให้เห็น ถึงเอกลักษณ์ประจำชาติอันเป็น มรดกสืบทอดทางประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม และสถาปัตยกรรม อันทรงคุณค่า พร้อมเนื้อหา สาระทางวิชาการให้กับ นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบการนำเสนอโดยใช้ ภาพ แสดง สี เสียง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แห่งเดียวในโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสบรรยากาศที่กล่าวมาข้างต้นเสมือนร่วมอยู่เหตุการณ์ด้วยภาพยนตร์ 4 มิติ ครั้งแรก ของเมืองไทยอีกทั้งชมภาพยนตร์จอยักษ์ 360 องศาแสดงประวัติความเป็นมาของเรือไทย ในรูปแบบภาพยนตร์ Animation จากอดีตถึงปัจจุบันซึ่งหาชมไม่ง่ายในปัจจุบัน
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นแหล่งทัศนศึกษาแก่คนไทยเพื่อปลูกจิตสำนึกให้มี ความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติที่มีความสนใจ ในศิลปวัฒนธรรมและ ประเพณีไทย สืบเนื่องมาจากการที่จะมีโอกาสได้ชมขบวนเรือพระราชพิธีมีโอกาสน้อยมาก ดังเช่นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระเจ้า อยู่หัวรัชกาลปัจจุบันในช่วงเวลา 60 ปี ได้มีการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค (ใหญ่) จำนวน 7 ครั้ง และจัดขบวน พยุหยาตราชลมารค (น้อย) จำนวน 7 ครั้ง ทุกครั้งที่มีการจัดขบวนพยุหยาตรา (ครั้งหลังสุด) เป็นการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในเวลากลางคืนเป็นครั้งแรก โดยใช้คำว่า “ขบวนเรือพระราชพิธี” แทน (เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ เสด็จฯประทับมา ในกระบวน ฯ ด้วย) จะมีประชาชนเฝ้าชมแน่นขนัดทั้งสองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง 4 มิติ พัทยา
การจัดการแสดงขบวนเรือพระราชพิธีเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้น แม้ชาวต่างประเทศซึ่งมีโอกาสได้ เห็นได้ชม ความงามของเรือหรือกระบวนเรือพระราชพิธีทางชลมารค ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นประทับใจทึ่งในความงามความประณีต วิจิตร สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของเรา ชาวไทยที่ควรจะต้องภูมิใจและรักษาไว้ให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติ อีกทั้ง ขบวนเรือพระราชพิธี ถือว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ปัจจุบันเหลือเพียงแห่งเดียวในโลก
(http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/pic/miniaturethairoyalbarge.jpg)
(http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/pic/miniaturethairoyalbarge21.jpg)
(http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/pic/miniaturethairoyalbarge4.jpg)
(http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/pic/miniaturethairoyalbarge10.jpg)
รูปติดตามชมในเว็บ http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/miniaturethairoyalbarge.html (http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/miniaturethairoyalbarge.html)
--------------------------------------
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง4มิติ
http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI (http://"http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI")
ศูนย์แสดงเรือพระราชพิธีจำลอง4มิติ (http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI#ws)
-http://www.youtube.com/watch?v=JD01of2KbaI-
-
10 สถานที่สุดฮิตมาแรงครึ่งปี 2013
-http://travel.sanook.com/1390758/10-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013/-
1.ดาษดาแกลเลอรี่ รายล้อมด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ครบครันทั้งที่พัก และที่เที่ยว เป็นอาณาจักรฟาร์มดอกไม้ที่กว้างใหญ่อีกทั้งเป็นรีสอร์ทท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติที่คุณจะได้ถ่ายรูปกับดอกไม้นานาพันธุ์
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/5.jpg)
[ดาษดาแกลเลอรี่ ]
2.ซานโตรินี พาร์ค เป็นสถานที่แห่งสีสันที่จัดให้มีกิจกรรมตลอดทั้งปี ออกแบบพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตารางเมตรให้สอดคล้องกับกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังได้รังสรรค์บรรยากาศให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนต่างสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดพื้นที่สวนที่เปิดโล่ง เพื่อให้สามารถนั่งฟังเพลงจากคอนเสิร์ตเล็กๆ พร้อมวิวสวยๆ รอบตัว การตกแต่งที่นี่เป็นไปอย่างตั้งใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ดูสร้างสรรค์ แปลกใหม่ แล้วยังให้ความสุขใจ เมื่อใครๆ ได้พบเห็นอีกด้วย
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/img_2027.jpg)
[ซานโตรินี พาร์ค]
3.สวิส ชีฟ ฟาร์ม จำลองบรรยากาศแบบยูโรคันทรีของประเทศสวิสเซอร์แลนด์มาไว้ในเมืองไทย ซึ่งเป็นฟาร์มแกะแห่งแรกของ อ.ชะอำ ที่เปิดบริการนั่งรถม้าเที่ยวชมบรรยากาศของทุ่งหญ้าและให้อาหารแกะแบบใกล้ชิด อีกทั้งมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาโอบล้อมไว้เป็นฉากหลัง ให้ได้ถ่ายภาพสวยๆ กลับบ้านไปอวดเพื่อนให้อิจฉาได้อย่างแน่นอน
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/pc4.jpg)
[สวิส ชีฟ ฟาร์ม]
4.เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ แหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนใจกลางกรุง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ครบทุกสิ่งทั้งชอป ชิม ชิลล์ ถ้าไม่อยากไปไหนไกลจากกรุงเทพ ลองขับรถมาเที่ยวที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ แหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตั้งอยู่ตรงข้าม เจริญกรุง 93 รวบรวมร้านค้าถึง 1,500 ร้านเ พื่อรองรับนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/dsc04227_1.jpg)
[เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์]
5. ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ ตลาดนัดที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้ เพลิดเพลินกับบรรยากาศประทับใจ แหล่งรวมเฟอร์นิเจอร์ ของสะสม ของตกแต่งบ้านสุดคลาสสิค รถโบราณ อะไหล่รถคลาสสิค ของสะสมโบราณ เสื้อผ้าวินเทจ ของฝากสุดชิค และอาหารอร่อยๆ กินดื่มชิลๆ กับบรรยากาศเก๋ๆ ของโกดังเก่า ขบวนโบกี้รถไฟสุดเท่ห์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เย็นๆ ไปจนถึง เที่ยงคืน
6. สวนซ่อนศิลป์ หรือ Secret Art Garden สวนศิลปะแห่งใหม่บริเวณตลาดน้ำศิลปะกลางดงที่ผสมผสานความงดงามของศิลปะและธรรมชาติไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/fdd83b8c525ff5e589677d898ddc98ea.jpg)
[สวนซ่อนศิลป์]
7.art in parsdise พิพิธภัณฑ์ศิลปะ 3 มิติเปิดใหม่ใหญ่โตอลังการ ของดีของเมืองพัทยาที่เรียกนักท่องเที่ยวให้แวะมาเยี่ยมชมของเล่นใหม่ทางสายตาได้เป็นอย่างมากในตอนนี้
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/04.jpg)
[art in parsdise]
8.mimosa pattaya (มิโมซ่า พัทยา) ใหม่สดเริ่ดสุดๆ ในพัทยาตอนนี้ต้องยกให้ Mimosa Pattaya ไลฟ์สไตล์มอลล์สุดชิคที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ The City of Love เมืองเเห่งความรัก จำลองบรรยากาศจากเมือง Colmar (โกลมาร์) หรือลิตเติ้ลเวนิสในฝรั่งเศสที่ติดอันดับเมืองโรแมนติก 1 ใน 10 ของโลก
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/dsc_1390.jpg)
[mimosa pattaya]
9.ตลาดน้ำขวัญเรียม ตลาดน้ำแห่งใหม่ใจกลางกรุง ที่ตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮอตของเขตมีนบุรีไปซะแล้ว
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/img_0982.jpg)
[ตลาดน้ำขวัญเรียม ]
10.the venezia hua hin สัมผัสบรรยากาศสุดประทับใจในแบบของเมืองเวนิส เมืองที่มีมนต์เสน่ห์ในเรื่องของการคมนาคมทางน้ำของประเทศอิตาลี ที่ถูกจำลองมาไว้ในประเทศไทย ซึ่งที่นี่เพื่อนๆ จะได้ชอปชิมชิลล์กับอาคารร้านค้าที่มีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรม
(http://p4.s1sf.com/tr/0/ud/278/1390758/img_9779.jpg)
[the venezia hua hin]
http://travel.sanook.com/1390758/10-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013/ (http://travel.sanook.com/1390758/10-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013/)
-
พระพุทธโลกนาถราชฯ วัดพระเชตุพนฯ
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AF_%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%AF/-
(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_273201__14102013025157.gif)
"วัดโพธิ์" หรือนามทางการว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธาราม เป็นวัดหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษ ฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถ เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย
พระอารามหลวงแห่งนี้มีเนื้อที่ 50 ไร่ 38 ตารางวา อยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพน ขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาวแบ่งเขตพุทธาวาส และสังฆาวาสชัดเจน
มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระ บรมมหาราชวังแล้ว มีพระราชดำริว่า วัดเก่าขนาบพระบรมมหาราชวัง 2 วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) ด้านใต้คือ วัดโพธาราม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่อำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ.2331
ใช้เวลา 7 ปี 5 เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดฯ ให้มีการฉลองเมื่อปี พ.ศ.2344 พระราชทานนามใหม่ ว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส"
ทั้งนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ นานถึง 16 ปี 7 เดือน ขยายเขตพระอารามด้านใต้และตะวันตก คือ ส่วนที่เป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสสวนมิสกวัน สถาปนาขึ้นใหม่พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจระเข้ บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ เป็นโบราณสถาน ในพระอารามหลวง ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้โปรดฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม"
แม้การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุด เมื่อฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี พ.ศ.2525 เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใดๆ
เกร็ดประวัติศาสตร์ของการสถาปนาและการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์แห่งนี้ บันทึกไว้ว่า รัชกาลที่ 1 และที่ 3 ได้ระดมช่างในราชสำนัก ช่างวังหลวง ช่างวังหน้า และช่างพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมสาขาต่างๆ ได้ทุ่มเทผลงานสร้างสรรค์พุทธสถาน และสรรพสิ่งที่ประดับอยู่ในวัดพระอารามหลวงด้วยพลังศรัทธา ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านที่ให้เป็นแหล่งรวมสรรพศิลป์ สรรพศาสตร์ เปรียบเป็นมหา วิทยาลัยแห่งสรรพวิชาไทย (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรก) ที่รวมเอาภูมิปัญญาไทย ไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้อย่างไม่รู้จบสิ้น
ณ พระวิหารด้านทิศตะวันออกมุขหลัง เป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธโลก นาถราชมหาสมมติวงศ์ องค์อนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร"
พระพุทธรูปองค์นี้พระนามเดิมเรียกว่า "พระโลกนาถศาสดาจารย์" ปรักหักพังทิ้งร้างอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ หลังจากเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธารามเป็นพระอารามกว้างขวางมาก ได้ชะลอพระพุทธรูปยืนพระโลก นาถศาสดาจารย์ ลงมาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งองค์ ประกอบพิธีบรรจุพระบรมธาตุแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารตะวันออกมุขหลัง
พระพุทธโลกนาถฯ เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ขนาดสูง 20 ศอก วัสดุโลหะปิดทอง ศิลปกรรมสมัยอยุธยา
จารึกวัดพระเชตุพนฯ ได้พรรณนาพระพุทธโลกนาถฯ ไว้ดังนี้ "พระพุทธรูปยืนสูง 20 ศอก ทรงพระนามว่าพระโลกนาถศาสดาจารย์ ปรักหักพัง เชิญมาแต่วัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงเก่า ปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วเชิญประดิษฐานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บรรจุพระบรมธาตุด้วย ผนังเขียนพระโยคาวจร พิจารณาอาศภสิบและอุปรมาญานสิบ"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเพิ่มสร้อยพระนามพระโลกนาถศาสดาจารย์ ว่า พระพุทธโลกนาถราชมหาสมมติวงศ์ องค์อนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ หนังสือพิมพ์ข่าวสด
-
ไหว้พระ 9 วัดเสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ 2557
-http://horoscope.sanook.com/944157/%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B09%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%882557/-
สำหรับปีใหม่ 2557 ปีมะเมียนี้ ใครที่อยากเสริมเป็นสิริมงคลแก่ตนเองการไหว้พระ 9 วัด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ค่ะ และวันนี้ทาง Sanook! Horoscope ได้รวบรวมวัดทั้ง 9 รวมไปถึงวิธีการลักการะบูชา การเดินทาง มาไว้ให้ชาว สนุก!ดูดวงได้เตรียมให้พร้อมก่อนไปทำบุญสักการะไหว้พระ 9 วัดกันค่ะ
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_san.jpg)
1. ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร (เวลาเปิด-ปิด 05.30 - 19.30 น.)
ไปสักการะ "เทพารักษ์ทั้ง 5" คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ "ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี" ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย
สถานที่ตั้ง อยู่บริเวณหัวมุมสวนหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 9, 15, 25, 30, 32, 33, 39, 43, 44, 47, 53, 64, 80, 82, 91,201, 203 รถปรับอากาศ สาย 503,508, 512
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_kanw.jpg)
2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว(เวลาเปิด-ปิด 08.30 - 16.00 น.)
ไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เป็นศูนย์กลางความศรัทธาไทย - ลาว เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวน เงินทองไหลมาเทมาตลอดปี" ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่
สถานที่ตั้ง อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 9, 15, 25, 30, 32, 33, 39, 43, 44, 53, 59, 64, 80, 82,91,201, 203 รถปรับอากาศ สาย 501, 503, 508, 512
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_pol.jpg)
3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
นมัสการพระพุทธไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ (ที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างประดับมุก ลวดลายภาพมงคล 108 ประการ) เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ ร่มเย็นเป็นสุข อยู่ดีกินดีตลอดปี" ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น
สถานที่ตั้ง หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 6, 9, 12, 25, 43, 44, 47, 53, 60, 82, 91, 123,รถปรับอากาศ สาย 501, 508
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_sanjol.jpg)
4. ศาลเจ้าพ่อเสือ (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ เพื่อเสริม "อำนาจบารมี" ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง "ศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋า" หนึ่งในสามมหาสถานของพระนครที่ชาวจีนต้องสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล "เสริมอำนาจบารมี"
สถานที่ตั้ง ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 19, 35, 42, 56, 96
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_sutud.jpg)
5. วัดสุทัศน์เทพวราราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้พระองค์ประธาน (พระศรีศากยมุณี) ที่เก่าแก่ ซึ่งอดีตเคยประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงวัดมหาธาตุของกรุงสุโขทัย เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดสุทัศนฯ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป" ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย
สถานที่ตั้ง บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 10, 12
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_chana.jpg)
6. วัดชนะสงคราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ในพระอุโบสถ และ "สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา)" ผู้นับถือความซื่อสัตย์ ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า "จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง" "ไหว้พระวัดชนะสงคราม อุปสรรคร้ายพ่ายแพ้"
สถานที่ตั้ง ถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 3, 6, 9, 15, 30, 32, 33, 43, 53, 64, 65, 82, 123 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 6, 509
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_rakang.jpg)
7. วัดระฆังโฆษิตาราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
สักการะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระประธานที่วัดระฆัง อ่านคาถาชินบัญชร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู
สถานที่ตั้ง ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 19, 57, 83 ท่าเรือ เรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่ารถไฟหรือท่าวังหลังก็ได้ หรือลงเรือข้ามฟากจากท่าช้างไปท่าวัดระฆัง
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_arun.jpg)
8. วัดอรุณราชวราราม หรือ วัดแจ้ง (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้พระปรางค์วัดอรุณฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตโรจน์รุ่ง ทุกวันคืน" ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ "พระปรางค์" อีก 3 รอบ เพื่อ "ชีวิตรุ่งโรจน์"
สถานที่ตั้ง ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทางสาย 19, 57, 83 ทางเรือ ลงเรือข้ามฟากที่ท่าเตียนขึ้นที่ท่าวัดอรุณ
(http://p.isanook.com/ho/0/ud/188/944157/v_kalaya.jpg)
9. วัดกัลยาณมิตร หรือวัดซำปอกง (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้หลวงพ่อซำปอกง (พระพุทธไตรรัตนนายก) พระโตริมน้ำตามตำนาน กรุงศรีอยุธยา ณ วัดกัลยาณมิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดปี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่
สถานที่ตั้ง แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี
การเดินทาง โดยรถประจำทาง สาย 3, 4, 7, 7ก, 9, 21, 37, 56, 82 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 7, 21, 82 (นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างจากโรงเรียนศึกษานารี เข้ามาที่วัดเพราะรถ ประจำทางเข้าไม่ถึง) ทางเรือ ลงเรือข้ามฟากที่ท่าปากคลองตลาดขึ้นท่าวัดกัลยาณมิตร เพื่อความสะดวกควรเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง หรือบริการขนส่งสาธารณะ เนื่องจากสถานที่จอดรถมีจำกัดมาก
การได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษทางศาสนาเท่านั้น หากสามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท่านั้น หากยังเป็นกุศโลบายที่สร้างความเชื่อมั่นในการพาชีวิตก้าวเดินต่อไปในอนาคต ด้วยสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเอง และถ้าไม่มุ่งมั่นในการโกย "มงคล" เกินไป เวลานั้นน่าจะเป็นเวลาทองที่ได้ซึมซับความสงบสุข ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมุลและภาพประกอบจาก wikipedia
-
:13: อนุโมทนาสาธุครับพี่หนุ่ม ขอบคุณครับผม
-
ไหว้พระ 5 วัดริมราชดำเนิน กราบพระไพรีพินาศ-ขอพรพระวัดชนะสงคราม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤศจิกายน 2556 15:07 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147108-
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389308.JPEG)
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
จนถึงวันนี้เหตุการณ์ทางการเมืองยังไม่สรุป รัฐบาลยังทำมึนไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชน จึงยังมีผู้คนทยอยมาร่วมชุมนุมแสดงพลังกันอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของเล่นที่จะให้รัฐบาลจับดึงไปทางไหนก็ได้ตามใจชอบ ขณะนี้จึงยังมีประเด็นให้ต้องติดตามกันเป็นระยะๆ
สำหรับผู้ที่มาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะผู้ที่มาจากจังหวัดต่างๆ ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่นอกจากจะมารวมพลังขับไล่อำนาจมืดในแผ่นดินแล้ว ยังจะได้มาชมวัดและมากราบพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลและยังจะได้ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองประเทศไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขต่อไป
ในบริเวณถนนราชดำเนินตลอดทั้งสายนั้นมีวัดอยู่หลายแห่ง แต่มีอยู่ 5 วัดสำคัญด้วยกันที่เราขอนำมาแนะนำกันในวันนี้
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389301.JPEG)
วัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของไทย
ชวนไปวัดแรกที่ “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” หรือ “วัดพระแก้ว” วัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน ใกล้กับสนามหลวงและถนนราชดำเนินนอก วัดนี้มี “พระแก้วมรกต” หรือ “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทำขึ้นจากหินสีเขียวงดงามเป็นอย่างยิ่ง องค์พระแก้วประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ เช่นพระสัมพุทธพรรณี พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยม คือไม่มีเกตุมาลา เป็นต้น และก็ยังมีพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 พระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น รวมทั้งพระชัยหลังช้าง ที่ใช้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างยามออกรบอีกด้วย
ไหว้พระแก้วมรกตแล้วขอแนะนำอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์บริเวณพระระเบียงรอบๆ พระอุโบสถ ที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนเขียนภาพเล่าเรื่องตามพระราชนิพนธ์ ซึ่งภาพเหล่านี้ก็ได้มีซ่อมและเขียนใหม่หลายครั้งด้วยกัน แต่ละภาพล้วนวิจิตรงดงามดูได้ไม่เบื่อ
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389302.JPEG)
พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ฯ วัดชนะสงคราม
วัดแห่งที่สองคือ “วัดชนะสงคราม” บนถนนจักรพงษ์ ใกล้กับถนนข้าวสารและสะพานพระปิ่นเกล้า แค่ชื่อวัดก็เป็นมงคลแล้ว โดยแต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดตองปุ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงครามหลังจากที่สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 1 ทรงมีชัยชนะในสงคราม 9 ทัพ และกลับมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่
พระอุโบสถของวัดชนะสงครามก็ถือว่างดงามไม่แพ้วัดไหน เพราะเป็นฝีมือของช่างวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 1 ด้านในพระอุโบสถค่อนข้างกว้าง ภายในประดิษฐานพระประธานนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์ มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดม บรมศาสดาอนาวรญาณ" พระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389303.JPEG)
พระพุทธชินสีห์ (หน้า) พระสุวรรณเขต (หลัง) พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรฯ
“วัดบวรนิเวศวิหาร” ตั้งอยู่บริเวณบางลำพูไม่ไกลจากสี่แยกคอกวัวและถนนราชดำเนินเท่าไรนัก อีกทั้งในขณะนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ไปเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งพระศพไว้ที่ตำหนักเพชรในเขตสังฆาวาส
ภายในวัดบวรนิเวศฯ มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบ พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปริศนาธรรมเนื่องด้วยคุณของพระรัตนตรัย และมีจิตรกรรมฝาผนังตอนล่างของพระอุโบสถที่เขียนแสดงเหตุการณ์สำคัญของขนบธรรมเนียมไทย และประเพณีสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ด้านหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน ด้านหลังเจดีย์เป็นวิหารเก๋งจีน และยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณที่มีคนนำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงพระผนวชอยู่ที่วัดบวรฯ พระองค์ทรงถวายนามให้พระพุทธรูปองค์นี้ว่าพระไพรีพินาศ เนื่องจากบรรดาอริราชศัตรูที่คิดปองร้ายพระองค์ในขณะนั้นต่างพ่ายแพ้พระองค์ไปเสียสิ้น หากใครได้ไปไหว้ก็ขอให้ช่วยกันอธิษฐานขอให้ศัตรูที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองจงพินาศแพ้ภัยตัวเองไปด้วยเถิด
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389304.JPEG)
พระบรมรูปรัชกาลที่ 3 บริเวณลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์ ด้านหลังเป็นโลหะปราสาทวัดราชนัดดา (ภาพก่อนการบูรณะ)
ที่ “วัดราชนัดดา” วัดนี้อยู่ใกล้กับจุดชุมนุมมากที่สุด คืออยู่บริเวณถนนมหาไชยตัดกับถนนราชดำเนินกลาง หรือใกล้กับป้อมมหากาฬนั่นเอง สิ่งสำคัญของวัดราชนัดดาก็คือ "โลหะปราสาท" ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวในโลกด้วย
โลหะปราสาทนี้เป็นอาคารทรงไทย 7 ชั้น (มองจากด้านนอกจะเห็นเป็น 3 ชั้น) ไม่ได้สร้างจากโลหะทั้งหมด โดยส่วนที่เป็นโลหะคือส่วนของหลังคายอดปราสาททั้ง 37 ยอด แทนความหมายถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อันเป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นเข้าสู่นิพพาน โดยที่ยอดปราสาทชั้นบนสุดนั้นเป็นมีบุษบกที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ประชาชนขึ้นไปกราบไหว้ แม้ขณะนี้โลหะปราสาทกำลังซ่อมแซมภายนอกอยู่ แต่ก็สามารถขึ้นไปกราบพระบรมสารีริกธาตุและไหว้พระพุทธรูปขอพรพระให้คนโกงบ้านโกงเมืองหมดอำนาจไปจากประเทศไทย
ติดกับวัดราชนัดดายังเป็นที่ตั้งของ "ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์" ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และยังมีพลับพลาที่ประทับงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง ลานกว้างแห่งนี้ยังใช้เป็นที่จัดกิจกรรมสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015389305.JPEG)
สถาปัตยกรรมอันงดงามที่วัดเบญจมบพิตร
วัดสุดท้ายใกล้จุดชุมนุม ที่ “วัดเบญจมบพิตร” ถนนพิษณุโลก ไม่ห่างจากพระบรมรูปทรงม้ามากนัก ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตำรวจนำเอาแท่งปูน ลวดหนาม ฯลฯ มาปิดกั้นจราจรบริเวณหน้าวัดจนประชาชนไม่สามารถมาตักบาตรได้ ทำเอาพระเจ้าเดือดร้อนไม่สามารถทำกิจของสงฆ์ได้อย่างสะดวก
วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิสังขรณ์และสถาปนาขึ้น วัดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น "สถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบ" ซึ่งออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ได้ทรงออกแบบพระอุโบสถและพระระเบียงอย่างวิจิตรงดงามด้วยแบบอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ โดยพระอุโบสถของวัดเบญจมบพิตรนั้นเป็นแบบจตุรมุข มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลัง ถือเป็นพระอุโบสถที่สร้างได้สัดส่วนสวยงามเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวพระอุโบสถยังสร้างด้วยหินอ่อนจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติว่า “Marble Temple”
เข้าไปด้านในพระอุโบสถกราบพระประธานคือพระพุทธชินราช ซึ่งจำลองมาจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก อีกทั้งบริเวณพระระเบียงยังมีพระพุทธรูปหลากหลายปางที่รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะให้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ และปางต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้ประชาชนได้ชม ดังนั้นใครที่มาไหว้พระที่วัดเบญจฯ ก็อย่าลืมมาเดินชมและกราบไหว้พระพุทธรูปงดงามเหล่านี้กัน
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147108 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147108)
-
เที่ยวทะเลปีใหม่กับ 15 สถานที่เด็ด ๆ สวยจับใจ
-http://travel.kapook.com/view78061.html-
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/page_12.jpg)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
“ปีใหม่” ทั้งทีหลายคนคงเตรียมตัววางแผนทริปเดินทางท่องเที่ยวต้อนรับปีใหม่กันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก ทะเล หรือไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในจังหวัดต่าง ๆ แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงครองใจและเสมือนเป็นแรงดึงดูดให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวพักผ่อน นั่นก็คือ ท้องทะเลสวย ๆ ทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เพราะมีความงดงามซุกซ่อนอยู่มากมาย ฉะนั้น เรามาต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ ด้วยทริปท่องเที่ยวต้นปี กับบรรยากาศสวย ๆ กันดีกว่า โดยกระปุกท่องเที่ยวได้รวบรวมเอาเกาะและหาดน่าเที่ยวในช่วงปีใหม่มาฝากกัน ส่วนจะมีที่ไหนน่าสนใจบ้างนั้น ไปชมกันเลยจ้า
1. เกาะตาชัย
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/1_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2.jpg)
มาเริ่มกันที่ “เกาะตาชัย” ถือเป็นเกาะสุดฮิตน่าท่องเที่ยว อยู่ในเขตจังหวัดพังงา ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะสุรินทร์มากนัก โดยผู้ที่ค้นพบครั้งแรกชื่อ ตาชัย ทำให้เกาะนี้ถูกตั้งชื่อเกาะตามคนค้นพบว่า “เกาะตาชัย” ทั้งนี้ เกาะนี้ได้ถูกสำรวจพบมานานแล้ว แต่เพิ่งจะขึ้นตรงกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ไปยลโฉมความงามได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้บนเกาะตาชัยยังไม่มีบ้านพักไว้คอยบริการแต่ทางอุทยานฯ อนุญาตให้กางเต็นท์พักค้างคืนได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างห้องน้ำแยกชายหญิงเป็นสัดส่วนไว้บริการอีกด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งช่วงเวลาที่เกาะตาชัยงดงามที่สุด คือ เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จากนั้นเกาะตาชัยจะปิด 6 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู
ทั้งนี้ ผู้สนใจการท่องเที่ยวธรรมชาติสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 93 หมู่ 5 บ้านทับละมุ ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โทรศัพท์ 0 7645 3272
2. เกาะสมุย
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/2_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A2.jpg)
เกาะสมุย อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออก 84 กิโลเมตร รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่รายล้อมไปด้วยภูเขา ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงคลื่นลมสงบจึงเหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด นอกจากนี้ เกาะสมุยยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แถมยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็ต่างขนานนามให้เกาะสมุยนี้เป็น "สวรรค์กลางอ่าวไทย" เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น สวยงาม มีเสน่ห์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำทะเลใสบริสุทธิ์ หาดทรายขาวทอดขนานไปกับทิวต้นมะพร้าวริมชายหาด และนอกจากธรรมชาติชายทะเลแล้วยังมีน้ำตกที่มีน้ำใสเย็นเกือบตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวท้องถิ่น เช่น วัดสำเร็จ วัดละไม วัดพระใหญ่ เจดีย์แหลมสอ เป็นต้น
ส่วนในท้องทะเลโดยรอบบริเวณเกาะสมุยยังมีแนวปะการังอยู่ทั่วไป ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังพร้อมไปด้วยโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท สนามกอล์ฟ สปา ร้านอาหาร สถานบันเทิง บริการนำเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งล้วนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนเกาะสมุยเสมอ
3. เกาะหลีเป๊ะ
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/3_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8A%E0%B8%B0.jpg)
เกาะหลีเป๊ะ เจ้าของฉายา “มัลดีฟส์เมืองไทย” เป็นเกาะเล็ก ๆ ของจังหวัดสตูล มีลักษณะแบน ๆ คล้ายบูมเมอแรง โดยชื่อ "เกาะหลีเป๊ะ" หมายถึง เกาะที่ราบเรียบคล้ายกระดาษ ซึ่งมีที่มาจากภาษาท้องถิ่นชาวเล ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรบนเกาะจะประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก บริเวณโดยรอบเกาะเต็มไปด้วยปะการังอันสมบูรณ์ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายขาวละเอียด อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของความสะดวกสบายทั้งที่พัก ที่กิน ที่เที่ยวยามค่ำคืนครบครัน
นอกจากนี้ เกาะหลีเป๊ะยังเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของปะการังบริเวณรอบเกาะ มีหาดทรายละเอียดนิ่มเหมือนแป้ง โดยมีชายหาดหลัก ๆ อยู่ 3 หาดคือ หาดซันเซ็ท หาดซันไรส์ และหาดพัทยา (บันดาหยา) ส่วนกิจกรรมที่เป็นที่นิยมบนเกาะหลีเป๊ะ คือ การดำผิวน้ำและการดำน้ำลึก รวมถึงการรับประทานอาหารเที่ยงบนชายหาดที่สวยงามร้านดำน้ำ และรีสอร์ทต่าง ๆ มักจะมีอุปกรณ์ดำน้ำให้เช่า และสามารถจัดเรือให้บริการสำหรับทริปดำน้ำต่าง ๆ
4. เกาะพงัน
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/4_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%99.jpg)
เกาะพะงัน ตั้งอยู่ภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ห่างจากเกาะสมุยขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเนื้อที่ประมาณ 120,625 ไร่ หรือ 168 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 3 ตำบล คือ ตำบลเกาะพงัน ตำบลบ้านใต้ และตำบลเกาะเต่า โดยลักษณะภูมิประเทศของเกาะจะมีภูเขาอยู่ตรงกลางเกาะ ทอดตัวจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีที่ราบทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเทือกเขาจรดทะเล นอกจากนี้ เกาะพะงันยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะบริเวณ "หาดริ้น" ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูน ปาร์ตี้ เป็นประจำทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งถือเป็นเทศกาลดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศทั้งในและต่างประเทศ ให้เดินทางไปเยือนกันเป็นประจำทุกปี รวมทั้งยังมีท้องทะเลสวย ๆ และมีน้ำใส ๆ รวมทั้งหาดทรายสีขาวอีกด้วย
5. เกาะหมาก
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/5_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.jpg)
ถือเป็นเกาะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดตราด อยู่ระหว่าง เกาะช้าง กับ เกาะกูด มีรูปร่างคล้ายดาวสี่แฉก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสวนมะพร้าว โดยรอบมีอ่าว ชายหาด และน้ำใสสะอาดหลายแห่ง ซึ่งบริเวณชายฝั่งรอบเกาะและเกาะใกล้เคียงพบแนวปะการังที่สมบูรณ์ บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ช่วงฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณเกาะหมากยังเป็นที่อยู่ของชุมชนดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นเขมรเชื้อชาติไทยที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อครั้งเมืองประจันตคีรีเขตรหรือเกาะกงเป็นของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยมี หลวงพรหมภักดี ต้นตระกูลตะเวทิกุล เป็นผู้ควบคุมคนจีนบนเกาะกง คนบนเกาะส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน มีอาชีพเกษตรกรรมทำสวนยางพารา และสวนมะพร้าวจนเกาะหมากได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญของจังหวัดตราดอีกด้วย
6. เกาะนางยวน
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/6_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%99.jpg)
เกาะนางยวน ตั้งอยู่ภายในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ให้บรรยากาศส่วนตัวมีธรรมชาติที่สวยงามและมีความพิเศษสุด ๆ กับภาพสันทรายสะอาดที่เชื่อมเกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะเล็ก ๆ เข้าไว้ด้วยกัน นับเป็นความงดงาม 1 ใน 10 ของโลก ที่มาเยือนแล้วก็ต้องพลาดไม่ได้ที่จะขึ้นไปเที่ยวชมจุดชมวิวของสุดยอดเกาะส่วนตัวแห่งนี้กัน รวมทั้ง เกาะเต่า เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์กลางทะเลอ่าวไทย และเพราะมีธรรมชาติสวยงามและอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกขนาดใหญ่และสวยงาม จึงเป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย
7. เกาะล้าน
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/7_kohlan.jpg)
เกาะล้าน ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่มีเวลาเที่ยวน้อย โดยสามารถนั่งเรือข้ามไปที่เกาะโดยใช้เรือโดยสารใช้เวลา 45 นาที พื้นที่ของเกาะมีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำเพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใส และสะอาดมาก สามารถว่ายลอยตัวบนผิวน้ำใส ๆ ก็ได้เช่นกัน หรือจะเลือกไปดำน้ำดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำก็ได้จ้า อีกทั้งบนเกาะล้านยังมีที่พักหลายสไตล์ ใครชอบแบบไหนเลือกได้ตามใจชอบเลยจ้า
8. เกาะช้าง
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94_2.jpg)
เกาะช้าง เป็นหนึ่งเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากเกาะภูเก็ต แถมยังมีเกาะเล็กเกาะใหญ่มากกว่า 52 เกาะ แต่เดิมไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย หากมีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม เป็นแหล่งเสบียงอาหารและน้ำจืด โดยเฉพาะบริเวณอ่าวสลักเพชรหรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ และญวน สำหรับภูมิประเทศของเกาะช้าง มีพื้นที่กลางเกาะเป็นภูเขา และป่าดิบชื้น มีที่ราบอยู่ตามขอบเกาะก่อนถึงชายหาดของอ่าวต่าง ๆ ที่ราบเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว สวนยางพารา และสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน ส้มโอ ฯลฯ ตลอดจนเปิดเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลาย ทั้งที่พักริมชายหาด บนเขา หรือแบบโฮมสเตย์สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน
9. ปราณบุรี
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/9_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5.JPG)
ปราณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอ่าวไทย ที่เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เพราะอยู่ห่างจากหัวหินเพียง 30 กิโลเมตร และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าชายทะเลอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียงกัน จึงเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ นอนฟังเสียงทะเล ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติก และเหมาะกับการเล่นกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งพายเรือคายัก ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ยิ่งไปกว่านั้นปราณบุรียังเป็นศูนย์รวมของโรงแรม รีสอร์ท เก๋ไก๋ มีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์ รองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างครบครับ ปราณบุรีจึงเป็นสถานที่อินเทรนด์อีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง
โดยมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ชายหาดปราณบุรี เป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องจากชายหาดหัวหิน เงียบสงบร่มรื่น มีที่พักหลายแห่งให้บริการ และหมู่บ้านปากน้ำปราณ บริเวณช่วงที่แม่น้ำปราณบุรีไหลลงสู่ทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมอาหารทะเลจำหน่ายในราคาย่อมเยา
10. ทะเลสัตหีบ
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A.jpg)
สัตหีบ อำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวเมืองชลบุรี 85 กิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบหลายแห่ง เช่น หาดเตยงาม ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเตยงาม มีชายหาดสีขาวยาวสุดสายตา, หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณจุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นหาดที่ยังคงความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลแถบตะวันออก, หาดนางรอง ตั้งอยู่ต่อจากแหลมนางรำ เป็นหาดทรายขาวละเอียด, หาดทรายแก้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ เป็นหาดทรายขาวลักษณะของเม็ดทรายจะสวยงามและน้ำทะเลใสสะอาด, หาดเทียนทะเล อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงาม สามารถชมวิวได้ในมุมกว้าง, หาดบางเสร่ เป็นชายหาดที่ยาวประมาณ 1,500 เมตร สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนจำนวนมาก, หาดบ้านอำเภอ หาดที่ยังคงมีธรรมชาติที่สวยงาม น้ำทะเลใส และเป็นหาดที่เงียบสงบ
เกาะแสมสาร ถือเป็น 1 ใน 9 เกาะ ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ หรือ อพ.สธ. นับเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมดในอำเภอสัตหีบ บนเกาะมีสถานที่เล่นน้ำ ได้แก่ หาดเทียน, หาดแหลมฝรั่ง, หาดลูกอม (สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากดำน้ำ ให้อาหารปลา), หาดขวด และหาดหน้าบ้าน และ เกาะขาม มีรูปร่างคล้ายตัว H มีพื้นที่ประมาณ 61 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลของกองเรือป้องกันฝั่ง เป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์ทางด้านธรรมชาติ ชายหาดที่สวยงาม และแนวปะการังที่สมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหมาะกับการอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการ
11. เกาะห้อง
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg)
เกาะห้อง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เกาะเหลาบิเละ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม มีกัลปังหาและปะการังรอบเกาะ ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาหินปูน น้ำทะเลใส หาดทรายขาว มีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเหมาะแก่การดำน้ำ ตกปลา นอกจากนี้ บนเกาะห้องยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 400 เมตร รอบ ๆ เกาะห้องสามารถพายเรือแคนูได้ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเดินทางต่างอยากไปสัมผัสเกาะห้องด้วยตาตัวเอง นั่นคือ ทะเลใน ซึ่งเปรียบเสมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ผนังเป็นหน้าผาชันโดยรอบ ลักษณะคล้ายห้อง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว กว้างประมาณ 10 เมตร สามารถนำเรือเข้าไปได้ พื้นเป็นทรายขาวสะอาดราบเรียบเสมอกัน น้ำตื้น และใสมาก เหมาะแก่การเล่นน้ำ
12. เกาะมุก
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%81.jpg)
เมื่อพูดถึงเกาะมุก สถานที่สำคัญที่เป็นไฮไลท์ภายในเกาะที่หลายคนต้องไปเยือนนั่น ก็คือ ถ้ำมรกต ซึ่งเป็นถ้ำน้ำขนาดเล็กที่หลังน้ำลดจะสามารรถนั่งเรือลอดเข้าไปได้ หรือไม่นักท่องเที่ยวก็ต้องลอยคอเข้าไปชมความงามภายในถ้ำ ซึ่งเมื่อพ้นปากถ้ำจะพบกับห้องโถงใหญ่ที่มีพื้นเป็นน้ำทะเลสะท้อนแสงสีเขียวมรกต ล้อมรอบด้วยผนังผาสูงชันและหาดขาวละเอียด ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกต คือ ช่วงที่น้ำขึ้นในแต่ละวันระหว่างเวลา 10.00-14.00 น. และเดือนที่เหมาะสมในการเที่ยว ก็คือ ช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณรอบเกาะยังมีชายหาดสวยงามกับวิถีชุมชนมุสลิมที่ยังชีพด้วยการประมงพื้นบ้านเป็นบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะจะหลบมาพักผ่อนเป็นอย่างดี
13. เกาะกูด
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/13_kohkood.jpg)
เกาะกูด เป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายทางทิศตะวันออกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลตราด ลักษณะโดยทั่วไปของเกาะยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยมีภูเขาและที่ราบสันเขาซึ่งเป็นต้นกำเนิดลำธาร สายน้ำ ทำให้เกาะกูดมีน้ำตกหลายแห่ง แต่ที่ขึ้นชื่อบนเกาะกูด คือ น้ำตกคลองเจ้า จะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ส่วนทางฝั่งตะวันตกของเกาะตั้งแต่อ่าวตาติ้น, หาดคลองยายกี๋, แหลมหินดำ, หาดคลองเจ้า, หาดง่ามโข่, แหลมบางเบ้า, หาดอ่าวพร้าว ไปจนสุดปลายแหลมเทียน
อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันออกที่น่าสนใจ ได้แก่ อ่าวสับปะรด, แหลมศาลา, อ่าวยายเกิด, อ่าวคลองหิน และอ่าวจาก ล้วนแต่เป็นหาดที่มีหาดทรายสวยงามและน้ำทะเลใส มีธรรมชาติสงบเงียบ ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าวริมหาด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวและพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ โดยแต่ละหาดจะมีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว ในแบบบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว นอกจากนี้ บนเกาะกูดยังมีป่าชายเลนที่สมบูรณ์ แนวปะการังนานาชนิดและปลาทะเลสีสันสวยงามในบริเวณทะเลด้านในของตัวเกาะอีกด้วย
14. เกาะทะลุ
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/14_koh%20talu.jpg)
เกาะทะลุ ตั้งอยู่ในตำบลบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเกาะขนาดเล็ก เดินทางจากชายฝั่งบ้านหนองเสม็ด ภูมิประเทศเป็นชายหาด ภูเขาและสวนมะพร้าวซึ่งยังคงสภาพสวยงามอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาวสะอาด เช่น อ่าวมุก บรรยากาศเงียบสงบ ทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีสวย, อ่าวไทรใหญ่ เหมาะแก่การดำน้ำดูปะการัง พายเรือคายัก เล่นเรือใบ, อ่าวเทียน เหมาะแก่การชมวิวทิวทัศน์ เพราะมีต้นเทียนอยู่มาก ส่วนด้านตะวันออกของเกาะมีสุสานปะการังที่ถูกน้ำทะเลพัดมาทับถมจนเต็มหาด
สำหรับหัวเกาะด้านทิศเหนือเป็นหน้าผาหินและมีช่องหินขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของลมและน้ำทะเล ที่กัดเซาะจนสามารถมองเห็นทะเลอีกด้านหนึ่ง อันเป็นที่มาของชื่อเกาะ บริเวณรอบเกาะทะลุอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายักชมความงามรอบเกาะได้ รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ
15. เกาะสีชัง
(http://img.kapook.com/u/natthida/travel/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%87.jpg)
เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้ ชุมชนเกาะสีชังอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง) และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถสามล้อเครื่องหรือสกายแล็ปไปยังจุดอื่น ๆ บนเกาะสีชังจุดท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ, มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ
ช่องเขาขาด ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย, พระจุฑาธุชราชฐาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง ถัดขึ้นไปเป็นตึกวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง ตึกผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม ตึกอภิรมย์ และวัดอัษฎางค์นิมิตบนยอดเขา ซึ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก และหาดถ้ำเขาพัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวกมากหากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ
เรียกได้ว่า 15 เกาะและชายหาดที่เราคัดเลือกมานั้น เป็นท้องทะเลที่เหมาะสำหรับวางแผนไป “เที่ยวทะเลปีใหม่” เป็นอย่างยิ่ง ใครอยากพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นสิ่งดี ๆ หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปีก็อย่าลืมเลือกสักที่แล้วแวะไปเที่ยวกันนะจ๊ะ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://thai.tourismthailand.org/-
-http://www.dnp.go.th/index3d.asp-
http://thai.tourismthailand.org/ (http://thai.tourismthailand.org/)
http://www.dnp.go.th/index3d.asp (http://www.dnp.go.th/index3d.asp)
-
ตามรอยความอร่อยในงาน “กินข้างทาง…นั่งข้างวัง” ที่ "มิวเซียมสยาม"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ธันวาคม 2556 19:21 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000154389-
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016147101.JPEG)
มิวเซียมสยาม ชวนร่วมงาน “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม (Night at the Museum)” ครั้งที่ 4 ตอน มิวเซียมกินได้ “กินข้างทาง...นั่งข้างวัง” ในวันที่ 20 - 22 ธ.ค.56 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. ณ มิวเซียมสยาม พบกับการสาธิตการปรุงอาหารชาววัง ของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นต้น
โดยภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การสาธิตการปรุงอาหารชาววัง อาหารโบราณของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 สาธิตโดย อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่สูตรอาหารในแต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน เพื่อเผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการอาหารสตรีทฟู้ดของไทย ที่มีรากเหง้าแต่ดั้งเดิมมาจากห้องเครื่องต้นในรั้ววัง และในงานนี้ยังมีวางจำหน่ายให้ได้ลิ้มลอง อาทิ น้ำพริกลูกหนำเลี๊ยบ, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกตะไคร้, ไก่นมวัว, ข้าวในกะหล่ำปลี, ข้าวงบไก่, ข้าวบายศรีปากชาม, แกงเลียงนพเก้า เป็นต้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้เวิร์คช็อปกับการปรุงอาหารสูตรสำรับห้องเครื่องต้น รัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ยังมีการออกร้านค้าอาหารชื่อดัง ที่ความอร่อยยกนิ้วให้จนเป็นตำนานร่วม 30 บูธ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย, ข้าวแกงร้านฉวาง, ผัดไทยร้านสวัสดี, ข้าวหมกไก่คุณเล็ก, กาแฟโกปี๊ นครศรีธรรมราช และน้ำแข็งใสร้านเซ็งเซียมอี้ ท่ามกลางบรรยากาศลมหนาวเย็นสบาย เคล้าเสียงเพลงอันไพเราะที่จะขับกล่อมตลอดงาน และชมนิทรรศการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหารการกิน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2225-2777 ต่อ 414, 415 หรือ www.facebook.com/museumsiamfan (http://www.facebook.com/museumsiamfan)
-----------------------------------------------
มิวเซียมสยาม
-http://www.museumsiam.com/book.php-
ข้อมูลสำหรับผู้เข้าชม
ที่ตั้ง
มิวเซียมสยาม | สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์ 02-225-2777
โทรสาร 02-225-2775
เวลาเปิดให้บริการ
วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
(ปิดให้บริการทุกวันจันทร์)
ค่าเข้าชม
บุคคลทั่วไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
50 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
100 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
300 บาท
หมู่คณะ 5 คนขึ้นไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
25 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
50 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
150 บาท
(http://www.museumsiam.com/images/map-full.png)
-http://www.museumsiam.com/map.html-
-
ร่วมย้อนอดีตเมืองกรุงฯในงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2556 17:09 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155361-
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016248401.JPEG)
กรมธนารักษ์ จับมือหลายหน่วยงานจัดงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ภายใต้ในแนวคิด “ ยุคทองของแผ่นดิน ร้อง รำ ทำ กิน สะท้อนงานศิลป์ถิ่นไทย” ระหว่างวันที่ 20-22, 28-29 ธ.ค. 56 และ 4-5, 11-12 ม.ค. 57 บริเวณพื้นที่รอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ถึงใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
นริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสืบสานและการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้จัดโครงการเทศกาลรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2555 ในชื่องาน "รำลึกรัตนโกสินทร์ 230 ปี" ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์และกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงได้ต่อยอดการจัดงานอีกครั้ง และถือโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษาในปีนี้ พร้อมสืบสานศิลปวัฒนธรรม สัมผัสวิถีชุมชนไทย รวมถึงจะมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ของกรมธนารักษ์ และห้องสมุดชุมชนชาวบางลำพู
สำหรับงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ครั้งนี้ ภายในงานแต่ละสัปดาห์จะมีกิจกรรมไฮไลท์แตกต่างกันไป อาทิ สัปดาห์แรก - เทศกาลแสดงรถโบราณ, สัปดาห์ 2 - การแสดงโชว์ศิลปะด้านกีฬา เช่น มวยไทย มวยทะเล หลากหลายประเภท สัปดาห์ 3 - เทศกาลวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์สมัยต้น กลางและปลาย สัปดาห์ 4 - สัปดาห์ที่สี่อยู่ในช่วงวันเด็กจะมีความพิเศษ มีดาราเด็ก กิจกรรมของเด็กๆ ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆ ที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆที่น่าสนใจ การประกวดภาพถ่าย กิจกรรมการแสดงต่างๆอีกหลากหลาย ผู้สนใจดูเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/rattanakosinfestival (http://www.facebook.com/rattanakosinfestival)
-
เที่ยวย้อนยุค เจาะเวลา พาสนุก ที่ “พพ.ศิริราชพิมุขสถาน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ธันวาคม 2556 19:53 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156374-
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351401.JPEG)
อาคารอนุรักษ์สถานีรถไฟธนบุรี (เดิม).
ฉันว่าช่วงนี้ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร อากาศเย็นสบายดีเป็นพิเศษมากกว่าในหลายๆ ปีที่ผ่านมา อากาศดีก็ทำให้อารมณ์ดี จะให้นั่งจับเจ่าอยู่บ้านก็กระไรอยู่ ว่าแล้วก็จัดแจงแต่งตัว ออกไปเที่ยวสนุกๆ แถมหาความรู้ไปในตัวกันดีกว่า
วันหยุดนี้ฉันก็เลยพาตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเสียเลย แต่ไม่ต้องตกใจว่าป่วยเป็นอะไร เพราะฉันจะมาเดินเที่ยวที่โรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างที่เคยรู้กันว่าภายในโรงพยาบาลศิริราชนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์เปิดให้ผู้คนเข้าไปหาความรู้อยู่หลายแห่ง และล่าสุดนี้ก็ได้มีการเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” แบบนี้ฉันก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมเสียหน่อย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351402.JPEG)
ห้องโถงบรรยากาศสถานีรถไฟ
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” สร้างขึ้นบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เดิมเคยเป็นที่ตั้งพระราชวังหลัง ต่อมามีการสร้างสถานีรถไฟธนบุรีและโรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตของชุมชนบางกอกน้อย โรงพยาบาลศิริราชจึงได้รวบรวมประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้เพื่อนำมาจัดแสดงในอาคารสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เป็นอาคารอนุรักษ์ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
ฉันเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์ก็ต้องยืนชื่นชมความสวยงามของอาคารอนุรักษ์ที่เป็นสีเหลืองอ่อนๆ สลับกับอิฐสีส้มแดง และด้านข้างยังมีหอนาฬิกาสูง ดูแล้วเป็นอาคารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งใน กทม. เลยทีเดียว
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351403.JPEG)
ชมวิดีทัศน์เล่าเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์
พอเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอกับห้องจำหน่ายบัตร ที่ตกแต่งบริเวณโดยรอบให้เหมือนกับสถานีรถไฟในสมัยก่อน ซึ่งก็เพื่อให้รำลึกถึงว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางรถไฟสายใต้
ซื้อตั๋วเข้าชมกันแล้ว เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ก็พาฉันเข้ามาสู่การจัดแสดงห้องแรกที่มีชื่อว่า “ห้องศิริสารประพาส” ที่ห้องนี้จะนำเสนอเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์โดยรวมผ่านวิดีทัศน์และสิ่งจัดแสดงต่างๆ ส่วนฉันก็นั่งดูอยู่ที่เก้าอี้ไม้สักทองแบบที่นักศึกษาแพทย์หลายรุ่นเคยใช้มาก่อน
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351404.JPEG)
จิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรงดงาม
ส่วนจุดเริ่มต้นในการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ “ห้องศิริราชขัตติยพิมาน” ซึ่งเป็นห้องฉันได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มีต่อโรงพยาบาลศิริราช และการแพทย์ของประเทศไทย ทำให้พวกเราได้มีสุขภาพที่ดีกันเหมือนในทุกวันนี้
ถัดมาเป็น “ห้องสถานพิมุขมงคลเขต” ที่ฉันได้นั่งชมจิตรกรรมไทยที่สวยงาม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ที่ผสมผสานแสงสีเสียงให้ได้ตื่นตาตื่นใจ และได้รับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351405.JPEG)
ภาพยนตร์ 4 มิติ ตื่นตาตื่นใจ
สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาล ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์เท่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และเรื่องราวของชุมชนในละแวกนี้ ที่นำเสนอผ่านการจัดแสดงในส่วนต่างๆ เริ่มจาก “ฐานป้อม” ที่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงอดีตของพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ที่เคยตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะผ่านความทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา ใกล้ๆ กันก็มีการจัดแสดง “เครื่องถ้วยโบราณ” ที่ขุดค้นพบในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช
หรือจะเป็น “แผนที่เมืองธนบุรี” ซึ่งเป็นแผนที่จำลองมาจากของเก่าที่เขียนโดยชาวพม่าที่ลักลอบเข้ามาสืบความลับในสยาม มีการลงรายละเอียดของสถานที่ต่างๆ และยังมีการเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบัน ทำให้พอนึกออกว่าสมัยธนบุรีนั้นบ้านเมืองเราเป็นอย่างไรบ้าง
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351406.JPEG)
สัมผัสบรรยากาศห้องตรวจโรค
และห้องที่ฉันชอบที่สุดในส่วนของประวัติศาสตร์ก็คือ “ห้องโบราณราชศัตรา” ที่ห้องนี้จะจัดแสดงศาสตราวุธหลากหลายชนิดและหลากหลายชาติพันธุ์ที่ทรงคุณค่า เพราะว่าเป็นของเก่าที่ได้รับมอบมาจากราชสกุลเสนีวงศ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ข้างๆ ตู้จัดแสดงก็ยังมีวีดิทัศน์ที่บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำความสะอาดและการเก็บรักษาศาสตราวุธต่างๆ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยในการรักษาของเก่าให้อยู่ในสภาพดีขนาดนี้ และแม้ว่าห้องนี้จะถ่ายรูปไม่ได้ แต่ฉันก็ได้เก็บเอาภาพความวิจิตรงดงามของศาสตราวุธทั้งหลายเอาไว้ในใจ
ห้องถัดไปเป็นห้องสุดท้ายของบริเวณชั้นล่าง ในอาคารพิพิธภัณฑ์ 1 นั่นก็คือ “ห้องคมนาคมบรรหาร” ที่มีภาพยนตร์สี่มิติให้ได้ชมกัน ฉันลองไปยืนในห้องแล้วก็ใส่แว่นตาสี่มิติพร้อมๆ กับชมภาพยนตร์ไป ก็รู้สึกเหมือนเข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์จริงตั้งแต่ช่วงการสร้างสถานีแห่งนี้ เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องเอี้ยวตัวหลบลูกระเบิดไปด้วย จนกระทั่งมาถึงช่วงปัจจุบันของสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม)
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351407.JPEG)
ลองมาเป็นแพทย์ผ่าตัด
ขึ้นมาที่ชั้นสอง ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาทางด้านการแพทย์กันบ้าง อย่างห้องแรก “งานพระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์” ที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลศิริราช เนื่องจากไม้ อาคารประกอบ และเครื่องเรือนจากงานพระเมรุครั้งนี้ ได้นำมาสร้าง “โรงศิริราชพยาบาล” โรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของแผ่นดิน
ห้องต่อมาเล่าเรื่องราวของโรงเรียนแพทย์ในยุคแรก ที่จะต้องเรียนรู้ผ่าน “หุ่นกายวิภาคมนุษย์” ที่ทำมาจากเยื่อกระดาษ และยังเล่าเรื่องราวของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย ในห้อง “สมเด็จพระบรมราชชนก”
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351408.JPEG)
จำลองร้ายขายสมุนไพร
ถัดมา ฉันก็ได้เรียนรู้เรื่องราวทางด้านการแพทย์มากขึ้น ทั้งการตรวจโรคในเบื้องต้น การสืบค้น การวินิจฉัยและรักษาโรค ในห้อง “หุ่นโรควิเคราะห์” ที่จัดแสดงให้เหมือนกับห้องตรวจโรคผู้ป่วย และได้ลองเป็นคุณหมอฟังเสียงปอด เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์โรค
แต่ส่วนที่สำคัญของการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ ที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องรู้จักดี ก็คือ “อาจารย์ใหญ่” ซึ่งเป็นผู้ที่เสียสละร่างกายของตนเองให้ทำการศึกษา เพื่อผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพในอนาคต การจัดแสดงในส่วนนี้ใช้โต๊ะปฏิบัติการที่เคยรองรับอาจารย์ใหญ่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความขลังผ่านการจัดแสดงและการจัดแสงในส่วนนี้
มาถึงอีกห้องที่ฉันชอบมากก็คือ “ห้องจำลองการผ่าตัด” เป็นการจำลองการผ่าตัดแบบย้อนยุค ให้ได้รู้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรที่ทำงานในห้องผ่าตัดมีใครบ้าง แล้วฉันก็ได้ลองมาเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ลองจับเครื่องมือผ่าตัดให้คนไข้ (จำลอง) เป็นประสบการณ์สนุกๆ อีกอย่างหนึ่งที่ฉันได้ลอง
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351409.JPEG)
ชุมชนบางกอกน้อยในสมัยก่อน
นอกจากเรื่องราวของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ก็ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยอีกด้วย โดยในห้อง “มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์” จะมาไขรหัสการแพทย์จากมุมมองของแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนที่ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และยังมีการจำลอง “ร้านโอสถวัฒนา” ร้านยาสมุนไพรไทยมาให้ได้ชมกัน
เดินมาก็ตั้งนาน เพิ่งจะหมดบริเวณของอาคาร 1 ออกมาที่ระเบียงชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ก็มีมุมร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อนก่อนจะเดินต่อไปยังอาคาร 3 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับชุมชนบางกอกน้อย
เริ่มจากการมาสักการะ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระมหาเถระที่ได้รับการเคารพศรัทธาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ไปจนถึงชาวบ้านทั่วไป แล้วก็มาลองชม “วิถีชีวิตชาวบางกอกน้อย” ที่มีการจำลองโรงละคร ร้านค้า ร้านอาหาร แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนสองฝั่งคลองบางกอกน้อยในสมัยก่อนว่าเป็นอยู่กันอย่างไร
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016351410.JPEG)
เรือโบราณลำใหญ่
สุดท้ายก็เดินมาชม “เรือโบราณ” ที่ขุดค้นพบในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือไม้โบราณขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 24 เมตร และถือว่าเป็นเรือไม้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเท่าที่เคยขุดค้นได้ เดินดูรอบๆ แล้วก็ต้องทึ่งในความสามารถของคนไทยเราที่สามารถต่อเรือลำใหญ่ได้ขนาดนี้
กว่าจะเดินชมจนครบทุกห้องที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบหมดวันเลยทีเดียว แต่ก็ได้ความรู้พร้อมๆ กับความสนุกสนาน ที่ทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลาไปเลย สถานที่ดีๆ แบบนี้ มาแล้วก็ต้องบอกต่อให้คนอื่นลองมาชมด้วย จะได้มีความรู้และสนุกสนานเหมือนกันฉัน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม. เปิดให้บริการวันจันทร์, พุธ-อาทิตย์ (หยุดวันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 80 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 25 บาท ต่างชาติ 200 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าฟรี
นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแล้ว ภายในโรงพยาบาลศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์การแพทย์อีก 5 แห่ง ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในวันและเวลาเดียวกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์กายวิภาค-คองดอน และ พิพิธภัณฑ์และห้องปฏิบัติการเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ สุด แสงวิเชียร
ซึ่งหากสนใจเข้าชมทั้งพิพิธภัณฑ์ศิริรราชพิมุขสถาน และพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช สามารถซื้อบัตรเดียวเที่ยว 2 พิพิธภัณฑ์ได้ในราคาพิเศษ ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 50 บาท ต่างชาติ 300 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม.
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2419-2601, 0-2419-2618-9
www.si.mahidol.ac.th/museums (http://www.si.mahidol.ac.th/museums)
FB : siriraj.museum
-
อิ่มบุญปีใหม่ “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2557 10:24 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884-
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611701.JPEG)
มหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ วัดไตรมิตรฯ
ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กิจกรรมหนึ่งที่ผู้คนนิยมทำกันมากก็คือการทำบุญไหว้พระ โดยเฉพาะการเดินทางไหว้พระ 9 วัด ใน 1 วันนั้นก็เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ และสำหรับในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ปี 2557 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรม “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” ซึ่งเป็นเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ที่จัดทำขึ้นใหม่ มีบางวัดที่น่าสนใจเข้ามาเพิ่มเติม เป็นเส้นทางทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา โดยวัดทั้ง 9 แห่งต่างก็มีคติอันเป็นมงคลแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าสนใจและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611702.JPEG)
พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร : สุขภาพแข็งแรง
“วัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นวัดที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง
ด้นหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน บริเวณระเบียงองค์เจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อว่าท่านจะช่วยให้ผู้ที่คิดร้ายต้องแพ้ภัยต่อตัวเองในที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถมากราบขอพระจากท่าน ขอให้ท่านอวยพระให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนตลอดไป อีกทั้งขณะนี้วัดนี้ยังเป็นที่ตั้งพระศพของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปอีกด้วย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611711.JPEG)
วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)
วัดทิพยวารีวิหาร : ความรักยืนยาว
“วัดทิพยวารีวิหาร” (กัมโล่วยี่) เป็นวัดจีน ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนแต่แทรกศิลปะไทยบางแห่ง เช่น ลวดลายแกะสลักต่างๆ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนศาลเจ้าจีน ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบจีน
ผู้คนนิยมมาสักการะเทพอุ้มสม ขอพรให้สมหวังในความรักและครอบครัวมีความสุข นอกจากนี้ศาลเจ้าที่วัดแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเทพมังกรเขียวที่คนจีนแต้จิ๋วนับถือกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของท่านมักอวยพรให้ผู้ศรัทธา ได้ผลสมความปรารถนา ด้านการคุ้มครองดวงชะตา เสริมพลังบารมี และโชคลาภ
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611703.JPEG)
พระพุทธเทวราชปฏิมากร แห่งวัดเทวราชกุญชร
วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร : การงานก้าวหน้า
“วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” หรือชื่อเดิมว่า “วัดสมอแครง” เป็นวัดเก่าแก่ที่กรมพระพิทักษ์เทเวศรได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และพระองค์จึงทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนานว่า “วัดเทวราชกุญชร”
สถานที่สำคัญภายในวัดนี้คือพระอุโบสถขนาดใหญ่ ภายในมีภาพจิตรกรรมที่งดงามเป็นหมู่เทวดาชุมนุมขณะที่พระพุทธองค์ทรงโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังมีภาพภิกษุปลงอสุกรรมฐานซึ่งหาชมได้ยาก
เข้ามากราบนมัสการองค์พระพุทธเทวราชปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดี พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้นิยมถวาย “ผ้าไตร” แทนดอกไม้ธูปเทียน ใครขอพรเรื่องการงาน อาชีพ ได้รับความสำเร็จเป็นทวีคูณ
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611704.JPEG)
หลวงพ่อโต หรือซำปอกง วัดกัลยาณมิตรฯ
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร : ค้าขายรุ่งเรือง
“วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ภายในวัดกัลยาฯ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือที่ชาวบ้านจะนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อโต" ส่วนคนจีนก็จะเรียกว่า "ซำปอกง" โดยพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ
พุทธศาสนิกชนทั้งคนไทยและคนจีนนิยมมากราบสักการะหลวงพ่อโต หรือซำปอกง และมักขอพรเรื่องธุรกิจการค้า การเดินเรือ และขอให้การเดินทางปลอดภัย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611705.JPEG)
หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตรฯ
วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร : การเงินมั่งคั่ง
“วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ "หลวงพ่อทองคำ" พระพุทธรูปทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุค เชื่อกันว่าหลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เดิมถูกปูนพอกไว้แต่ต่อมาปูนกะเทาะออกด้วยอุบัติเหตุคนจึงได้เห็นว่าองค์พระสร้างด้วยทองคำ
ปัจจุบันหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ และภายในมณฑปยังจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อทองคำบอกเล่าเรื่องราวขององค์พระพุทธรูป และมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเยาวราช จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับชุมชนเยาวราชย่านไชน่าทาวน์ของไทย อีกทั้งผู้คนยังนิยมมากราบนมัสการพระพุทธทศทลญาณหรือ “หลวงพ่อโต” พระประธานในอุโบสถอันศักดิ์สิทธิ์ และนิยมมาบนบานกันด้วยพวงมาลัยดอกมะลิที่อธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมหวัง การเงินมีทรัพย์มาก
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611706.JPEG)
ภายในพระอุโบสถวัดราชบพิธตกแต่งในสไตล์ตะวันตก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร : ธุรกิจมั่นคง
“วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร” เป็นวัดที่มีความโดดเด่นตรงที่พระอุโบสถที่ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย แต่ภายในตกแต่งแบบตะวันตกในสไตล์ยุโรปแบบโกธิค คล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่งในพระราชวังแวร์ซาย ภายในประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระประธานอันงดงามที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากอิตาลี และที่ใต้ฐานพระได้บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ถึง 5 พระองค์คือ พระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ธุรกิจมั่นคง
ภายในวัดราชบพิธยังเป็นที่ตั้งของ “สุสานหลวง” ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อประดิษฐานพระสรีรังคารแห่งสายพระราชสกุลในพระองค์ ซึ่งอนุสาวรีย์เหล่านั้นก็มีรูปทรงที่หลากหลาย มีทั้งแบบไทย แบบฝรั่ง หรือแม้แต่แบบขอมก็มี
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611707.JPEG)
กราบเจดีย์ 4 รัชกาลที่วัดโพธิ์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) : สำเร็จสมหวัง
“วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” เป็นวัดที่มีของดีน่าชมอยู่หลายสิ่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฎิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิอันงดงาม ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพรพระพุทธเทวปฏิมากร ให้พรสำเร็จดุจดังเทวดาสร้างสรรค์ทุกประการ
ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดชม โดยองค์พระพุทธไสยาสที่วัดโพธิ์นี้เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเมืองไทย ทอดพระองค์ยาว 46 เมตร พระบาทตกแต่งลายประดับมุกภาพมงคล 108 ที่รับคติมาจากชมพูทวีป ถือเป็นลายศิลปะไทยผสมจีน ผสมผสานกันอย่างประณีตศิลป์
นอกจากนั้นในวัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ 4 รัชกาล ได้แก่ พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1) , พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2) ,พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3) และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่และงดงามมากอีกด้วย
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611708.JPEG)
ไปวัดอรุณอย่าลืมชมยักษ์วัดแจ้งด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) : ราบรื่น ร่มเย็น
“วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” มีพระปรางค์วัดอรุณตั้งโดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา องค์ปรางค์มีความสูงประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามยิ่งนัก
เข้าไปกราบสักการะพระประธานในพระอุโบสถพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ภายในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขอพรให้ชีวิตราบรื่น ร่มเย็น และอย่าลืมออกมาชม “ยักษ์วัดแจ้ง” ที่ด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัว นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับยักษ์ทั้งสองตนนี้
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000016611709.JPEG)
โลหะปราสาทแห่งวัดราชนัดดา
วัดราชนัดดารามวรวิหาร : ความสุข
“วัดราชนัดดารามวรวิหาร” เป็นวัดที่มี "โลหะปราสาท" หนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวของโลก ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างธรรมเจดีย์ โดยช่างได้เดินทางไปดูแบบถึงยังประเทศลังกาและนำเค้าเดิมนั้นมาเป็นแบบสร้าง แล้วปรับปรุงให้เป็นศิลปกรรมแบบไทย ด้านบนโลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สามารถขึ้นไปกราบไหว้ขอพรให้ชีวิตมีความสุข ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
ผู้ที่สนใจเส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” สามารถขอรับแผนที่ท่องเที่ยวได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ วัดทั้ง 9 แห่งที่กล่าวมานี้
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884)
-
ขอบคุณมากครับผม :13:
-
10 ที่ท่องเที่ยวฮิตชลบุรี ระยอง เมืองริมทะเลอ่าวไทย
-http://travel.sanook.com/1391046/10-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/-
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/602eabe3c2c63251d82ed16b4b7ee8fe.jpg)
1. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลเขาหมาจอ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 5 อาคาร คือ เทิดพระเกียรติมหาราช ปวงปราชญ์ร่วมใจ ใฝ่เรียนรู้ผู้ฉลาด พิฆาตความไม่ดีที่ประจักษ์ และ พิทักษ์ศักยภาพทะเลไทย ตามลำดับ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเชิงวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/b3a31747641dab20fe074207c153902c.jpg)
2. อาณาจักรปลาการ์ตูน เพอคูล่า ฟาร์ม (PERCULA FARM) ที่ตั้ง : 3/46 หมู่ 2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ฟาร์มปลาการ์ตูนเอกชนรายแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์ของปลาการ์ตูน ตื่นตากับเหล่าฝูงปลาการ์ตูนพันธุ์ต่างๆ นับแสนตัว บริเวณด้านในอควอเรียม และถ้าหากท่านใดต้องการสัมผัสกับปลาทะเลให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น สามารถนั่งเรือไปชมปลาในกระชังพร้อมให้อาหารปลาทะเลที่หาดูยาก อาทิ ปลาช่อนทะเล ปลาฉลาม ปลาโฉมงาม ปลาหูช้าง และปลาอื่นๆ อีกกว่าร้อยชนิดได้
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/fb6767cb720c784c13ee0f3279a4455f.jpg)
3 ตลาดสดอาหารทะเลแสมสาร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเพราะคุณสามารถซื้อหาอาหารทะเลทุกประเภทได้ที่นี่ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิด ที่ส่งตรงมาจากท้องทะเลทุกวัน หน้าตาคุ้นบ้าง ไม่คุ้นบ้าง แต่แม่ค้าบอกว่ารับประทานได้ทุกตัว จะจ้างร้านค้าแถวนั้นให้นึ่งหรือย่างให้เลยก็ได้ โดยมีน้ำจิ้มรสเด็ดปรุงขายพร้อม หรือจะซื้อกลับไปทำรับประทานเองที่บ้านก็ดี ราคาไม่แพง ในส่วนของร้านค้าฝั่งตรงข้ามจะจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งและของที่ระลึก
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/7.jpg)
4. เรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่ตั้ง : กองเรือยุทธการ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของประเทศไทย ที่ทางกองทัพเรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองกับการปฏิบัติภารกิจแบบครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่ออันเป็นมงคลว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/2.jpg)
5. หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณใกล้เคียงกับกองเรือยุทธการ จุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร หากขับรถตรงเข้าไปก่อนถึงกองเรือยุทธการให้เลี้ยวซ้าย ขับไปตามทางจะพบกับหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดที่มีความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลอ่าวไทยแถบตะวันออกแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านท้องถิ่นและคนบริเวณแถบนี้ เพราะมีความเงียบสงบ น้ำทะเลมีความสะอาดใส หาดทรายสีขาวนวลสวย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/75a2200d095ca996b519b2cd63ffc1b4.jpg)
6. ถนนยมจินดา ตลาดเก่าเมืองระยอง ในสมัยก่อนที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้าขาย แหล่งรวมเศรษฐกิจแห่งแรกของเมืองระยอง ที่พรั่งพร้อมไปด้วย ตลาดสด ธนาคาร โรงหนัง และร้านค้าขายต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นที่ตั้งบ้านเจ้าเมืองต้นตระกูลยมจินดาอีกด้วย ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือไว้เพียงความเงียบเหงา ที่แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์ของบ้านเก่า เรือนเก่าที่บางหลังก็มีคนอยู่บ้าง หรือบางหลังก็อาจปิดไว้เพื่อรอการบูรณะในโอกาสต่อไป การมาเดินเล่นที่นี่ก็ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคดีเหมือนกัน
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/3.jpg)
7. เจดีย์กลางน้ำ เจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในสมัยที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยอง ในสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำถือว่าเป็นการคมนาคมสายหลักของจังหวัดระยอง เจดีย์กลางน้ำจึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้เดินทางเข้ามาถึงยังตัวเมืองระยองแล้ว ปัจจุบันได้รับการบูรณะเพื่อให้มีทางเชื่อมถึงยังองค์พระเจดีย์ได้ มีความร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางจากตัวเมืองไปตาม ถนนอดุลย์ธรรมประภาส เลี้ยวขวาที่ถนนสมุทรคงคา ตัดผ่านตรงต่อไปผ่านวัดปากน้ำไปอีกราว 1.5 กิโลเมตร ไปจนสุดทางก็จะพบกับพระเจดีย์กลางน้ำ
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/1.jpg)
8.ตลาดน้ำเกาะกลอย ตั้งอยู่ในบริเวณด้านหลังปั้มน้ำมัน ปตท. บนถนนสาย 36 ตรงข้าม Big C ระยอง เป็นตลาดน้ำเปิดใหม่ขนาดกะทัดรัดกำลังเดิน ในคอนเซ็ป "เพลิดเพลินเดินเล่น ตลาดเกาะกลอย อุ่นไอร่องรอย ความทรงจำครั้งเยาว์วัย" มีให้เลือกช้อปและเลือกชมกันทั้งของกินของใช้ ในบรรยากาศย้อนยุค สถานที่สะอาด ลมพัดเย็นสบาย
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/461c6409ede899b84dbc3a3934a9fd34.jpg)
9.ทุ่งโปรงทอง ชมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่ชาวประแสภูมิใจเสนอในเวลานี้ ทางเดินไปชมทุ่งโปรงทอง เป็นสะพานไม้ทอดยาวบนป่าชายเลน เมื่อเดินมาถึงปลายทางก็จะพบทุ่งโปรงทองที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่นเต็มพื้นที่ หากจะมาเที่ยวแนะนำให้มาช่วงตอนสายนิดๆ กับตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก เพราะบรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูปและชมวิวชิลล์ๆ เป็นที่สุด
(http://p4.isanook.com/tr/0/ud/278/1391046/img_9331.jpg)
10. เรือรบหลวงประแส เรือรบหลวงของไทยที่ผ่านสมรภูมิรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริศัตรูมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันได้มีการนำเรือหลวงประแสมาตั้งไว้บริเวณปากน้ำประแสเพื่อสร้างความภูมิใจกับชาวประแส นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมและถ่ายภาพกับเรือรบได้ทุกซอกทุกมุม หรือหากใครอยากนั่งชมวิว บริเวณนั้นก็มีศาลาและร้านอาหารให้สั่งมาชิมลองท้องในบรรยากาศเงียบสงบติด ทะเล เหมาะสำหรับพาเพื่อนฝูงและครอบครัวมาเที่ยวมาก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารคู่หูเดินทาง
-
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก
-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยอยู่ติดกับกองเรือเล็ก กองทัพเรือ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวในโลก ที่มีการจัดแสดงเรือที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์มาแต่อดีตโบราณกาล ที่บ่งบอกถึงคุณด้านวัฒนธรรมของศิลปกรรมงานเชิงช่างที่สง่างามวิจิตรบรรจง เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลมรดกทางทะเล ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ( THE WORD SHIP THUST MARITIME HERITAGE AWARD “ SUPHANNAHONG ROYAL BARGE) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ
วันนี้จึงขอนำชมเรือพระราชพิธีกันอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าหลายคนได้มีโอกาสชื่นชมขบวนเรือพระยุหยาตราชลมารค ซึ่งเป็นราชประเพณีว่าด้วยการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีขบวนเรือทั้งหมด๕๒ ลำ ที่มีการจัดรูปกระบวนเรือรบในแม่น้ำตามตำราพิชัยสงคราม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปัจจุบัน ได้มีประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ถวายผ้ากฐินหลวงวัดอรุณราชวราราม
เรือพระราชพิธีที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ มีจำนวน ๘ ลำได้แก่
๑.เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ จัดเป็นเรือพระที่นั่งลำดับชั้นสูงสุด สำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ เรียกว่าเรือพระที่นั่งทรง โขนเรือเป็นรูปหงส์ ซึ่งหมายถึงหงส์อันเป็นพาหนะของพระพรหมตามคติฮินดู และเป็นเครื่องหมายของความสง่างามที่ควรคู่กับพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ ในพระพุทธศาสนาได้มีกล่าวไว้ในชาดก เรื่องของหงส์ซึ่งบอกเล่าถึงชาติกำเนิดในอดีตของพระพุทธองค์ หงส์ในสังคมไทยเป็นเครื่องหมายแสดงความสง่างาม สิ่งสูงส่ง และบุคคลมีชาติตระกูล เรือสุพรรณหงส์มีลักษณะ ปิดทองประดับกระจก มีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๒.เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชจัดเป็นเรือสำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ หรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ เรียกว่าพระที่นั่งรอง โขนเรือเป็นรูปพญานาค ๗ เศียร นาคปรากฏอยู่ในตำนานอินเดียที่อาศัยอยู่ในโลกบาดาลทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนน้ำ อนันตนาคราชผู้แผ่ร่างเป็นที่ประทับของพระนารยณ์ขณะบรรทมเหนือเกษียรสมุทร ในช่วงเวลาที่ถูกสร้างโลกใหม่หลังจากที่เวลากัลป์หนึ่งได้สิ้นสุดลงอนันตนาคราจึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร สะท้อนถึงความเชื่อของสังคมไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นอวตารแห่งพระนารายณ์เมื่อพระองค์เสด็จประทับในเรือพระที่นั่งเปรียบเสมือนพระนารายณ์ประทับเหนือพญาอนันตนาคราช โดยเรือมีลักษณะเป็นไม้จำหลักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีขาว ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๔.๘๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๒ นาย นายท้าย ๒ นาย
๓.เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งลำแรกและลำเดียว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง โขนเรือ สลักลวดลายเป็นนาคเกี่ยวกระหวัดนับร้อยนับพันตัว หรือที่เรียกว่านาคเกี้ยว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่านาคผู้มีถิ่นที่อยู่ในน้ำและเป็นผู้พิทักษ์ผืนน้ำ ลักษณะปิดทองประดับกระจก มีลวดลายนาคเกี้ยวตลอดลำ ภายนอกลำเรือทาสีชมพู ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๕.๖๗ เมตร กว้าง ๒.๙๑ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๔.เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ โขนเรือเป็นพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาฮินดู ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้ปกป้องโลก ตามตำนานกล่าวว่าพระวิษณุประทับอยู่กลางเกษียรสมุทรเมื่อเกิดทุกข์เข็ญ รูปของพระวิษณุ คือ บุรุษมีสี่กร ถือตรี คฑา จักร สังข์ และทรงครุฑ (สุบรรณ)เป็นพาหนะ สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อในคติสมมติเทพที่รับมาจากศาสนาพราหมณ์หรืฮินดู เชื่อว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอวตารของพระวิษณุ การสร้างสิ่งต่าง ๆ สำหรับพระมหากษัตริย์จึงสอดคล้องกับความเชื่อนี้ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ เป็นเรือลำแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี มีลักษณะไม้จำหลักลงรักปิดทองล่องชาดประดับกระจกสีน้ำเงิน พื้นเรือทาสีแดงชาด ลำเรือแกะสลักประดับกระจก ลายก้านขดกระหนกเทศ ความยาว ๔๔.๓๐ เมตร กว้าง ๓.๒๐ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๕.เรือครุฑเหินเห็จจัดเป็นเรือรูปสัตว์ ในประเภทเรือกระบวนปิดทอง ลักษณะโขนเรือเป็นรูปพญาครุฑหยุดนาคสีแดง สร้างขึ้นตามตำนานของอินเดียว่าเป็นพาหนะของระนารายณ์ ซึ่งในงานศิลปะมักปรากฏครุฑคู่อยู่กับนาค ซึ้งสร้างตามเรื่องราวของการต่อสู้ครุฑกับนาคที่เป็นอริกัน ตัวเรือปิดทองประดับกระจก ตัวเรือภายในทาสีแดง ภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๕๘ เมตร กว้าง ๒.๑๐เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ นาย นายท้าย ๒ นาย
๖.เรือกระบี่ปราบเมืองมาร จัดเป็นเรือรูปสัตว์ โขนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร แสดงถึงหนุมานในฐานะนายทหารผู้จงรักภักดีต่อพระราม (อวตารหรือพระวิษณุ) มีหน้าที่สำคัญในการยกทัพไปตีเมืองมาร หรือกรุงลงกาของทศกีณฑ์ประเภทกระบวนปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โชนเรือเป็นรุปกระบี่สีขาว ปิดทองประดับกระจก เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๘๕ เมตร กว้าง ๒.๑๐ เมตร ฝีพาย ๓๖ นาย นายท้าย ๒ นาย
๗.เรือสุรวายุภักตร์ จัดเป็นเรือรูปสัตว์ ประเภทเรือกระบวนเขียนลายทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โขนเรือสลักเป็นรูปยักษ์ กายเป็นนกสีคราม ปรากฏในเรื่องราวรามเกียรติ์ว่าคราวหนึ่งบินไปเห็นพระราม พระลักษณ์ ก็จะโฉบเอาไปกิน หนุมานและสุครีพตามไปช่วยไว้ได้ และฆ่าอสุรวายุภักษ์เสีย ลักษณะเรือ ปิดทองประดับกระจก เครื่องแต่งกายสีม่วงด้านหลังสีเขียว ลำเรือภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๓๑.๐๐ เมตร กว้าง ๒.๐๓ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๘.เรือเอกไชยเหินหาว สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โขนเรือเป็นทวนไม้รูปดั้งเชิดสูง เขียนลายทองรูปเหรา หรือจระเข้ เป็นสัตว์หิมพาน อาจมีที่มาจากมกรที่มีลำตัวยาว มีขา ๔ ขา มาจากศิลปะอินเดียโบราณ ดังปรากฏในศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรี เรียกชื่อ เหรา เห็นได้จากปราสาทบายนของเขมรโบราณ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ตัวเรือมีความยาว ๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๒.๐๖ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๘ นาย นายท้าย ๒ นาย
ขบวนพยุหยาตราชลมารค ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวต่างประเทศมาแล้วถึงความสง่างามยิ่งใหญ่หาที่ใดเสมอเหมือน ที่มีความสวยงามและทรงคุณค่าในด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นขวัญกำลังใจให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมในพระบารมีพระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยยิ่งนัก หากมีเวลาควรไปชมด้วยตนเองเพราะถือได้ว่าสมบัติของแผ่นดินที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกนี้ การเดินทางไม่อยากหากคุณเริ่มต้นจากสนามหลวงสามารถขึ้นรถโดยสารประจำทาง ๑๔๕ สังเกตกรมอู่ทหารเรือ แล้วสามารถลงป้ายนั้นเดินผ่านกรมอู่ทหารเรือมาเข้าซอยเล็ก ๆ ก็จะพบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข ๐-๒๔๒๔-๐๐๐๔
พาเที่ยวไปกับ.....โชติกา วีรนะ
-
ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก
-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-
-
พาชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย
-http://travel.kapook.com/view96258.html-
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/2/DSC_0002.jpg)
พิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย
เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม
ถ้าเอ่ยถึง "ครุฑ" หลาย ๆ คนคงนึกถึงเครื่องหมายสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงความผูกพันทางศาสนาและในวรรณคดีที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปเรียนรู้อีกมุมหนึ่งของครุฑผ่าน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยกันค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะไปเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์ครุฑ ควรต้องไปทราบถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับครุฑกันก่อนค่ะ โดย อาจารย์ประสาท ทองอร่าม (ครูมืด) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย กรมศิลปากร ได้บอกเล่าว่า ครุฑเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสัตว์ประเสริฐ ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ โดยคำว่า องค์ครุฑ พญาครุฑ หรือครุฑ แปลว่า ผู้รับภาระหรือผู้ที่แบกภาระ ท่านเป็นวิหคกึ่งเทพ ลักษณะรูปร่าง คือ มีจะงอยปาก ส่วนหน้า หน้าตา มีปีก มีขาเป็นพญานกอินทรีย์ ส่วนร่างกายจะเป็นเทพหรือมนุษย์ที่น่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่ และสง่างาม ตามตำนานของศาสนาฮินดูโดยแท้จริงนั้นบอกว่าท่านเป็นโอรสของพระกัศยปฤาษีและพระนางวินตา (โดยมีพี่น้องต่างมารดากับ "พญานาค" เทพเจ้าแห่งงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งทั้งสองไม่ถูกกัน) อีกทั้งท่านยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อมารดาเป็นอย่างมาก เพราะท่านช่วยเหลือมารดาให้พ้นจากคำสาป
ตำนานขององค์ครุฑ
ตามตำนานของศาสนาฮินดูเล่าว่าองค์ครุฑเป็นโอรสของ "พระกัศยปฤาษี" และ "พระนางวินตา" โดยก่อนหน้านี้ "พระทักษะ" ได้มอบธิดา 2 คน คือ "นางกัทรุ" และ "นางวินตา" ให้กับพระกัศยปฤาษีซึ่งใหญ่เทียบเท่ากับบรรดาเทพทั้งหลาย มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ใครขอพรอะไรจะได้อย่างนั้น ซึ่งต่อมาทั้ง 2 นาง ได้เข้าไปขอพรกับพระกัศยปฤาษี โดยนางกัทรุขอให้มีลูก 1,000 คน และมีอิทธิฤทธิ์เก่งกาจ ซึ่งนางก็ได้สมหวังโดยคลอดลูกออกมาเป็นพญานาค 1,000 ตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีลูก 2 คน แต่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าลูกทั้งพันของนางกัทรุ เวลาต่อมานางวินตาก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ 2 ฟอง แต่นานวันเข้าไข่ทั้ง 2 ฟอง ก็ไม่ฟักซะที นางร้อนใจจึงทำการกะเทาะเปลือกไข่ 1 ฟอง ส่งผลทำให้ลูกที่เกิดมานั้นเป็นชายครึ่งนกที่มีสภาพร่างกายพิการ ชื่อว่า อนอุรุ (ต่อมาชื่อว่า พระอรุณ) ซึ่งอนอุรุโกรธมารดาที่ทำให้พิการ จึงสาปขอให้มารดาตกเป็นทาสของนางกัทรุ 500 ปี และจะพ้นจากสาปก็ต้องพึ่งใบบุญจากลูกที่เกิดจากไข่อีกหนึ่งฟองที่เหลือ ซึ่งจะเกิดหลังนี้อีก 500 ปี จากนั้นท่านก็บินจากไปเป็นสารถีของพระอาทิตย์
ต่อมาเมื่อเวลาล่วงผ่านไป 500 ปี ไข่อีก 1 ฟอง ก็ถึงเวลากำเนิดเกิดขึ้น ว่ากันว่าเวลาที่ท่านกำเนิดออกมานั้นทั่วทั้งจักรวาลได้ยินเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั่วหล้า โดยองค์ครุฑมีลำตัวใหญ่ถึง 50 โยชน์ ปีกซ้ายและขวากว้างใหญ่อีกข้างละ 50 โยชน์ ลำคอ หาง 50 โยชน์ จะงอยปาก 9 โยชน์ ปากอ้ากว้างได้อีก 9 โยชน์ เวลาบินกระพือปีกกวักหนึ่งบินไกลไปได้ 100 โยชน์ (ความยาว 1 โยชน์ มีระยะเทียบเท่ากับ 16,000 เมตร หรือ 16 กิโลเมตร) และเมื่อเกิดมาแล้วองค์ครุฑก็ต้องคอยรับใช้นางกัทรุและลูก ๆ ที่เป็นพญานาคตามมารดา
หยดน้ำตาที่หลั่งลงบนผืนดินของมารดายามหลับใหลด้วยความลำเข็ญ หลังการรับใช้นางกัทรุมาเป็นเวลานาน ทุก ๆ วันองค์ครุฑเฝ้าดูมารดาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนมารดาของตนต้องตกเป็นทาสเขาอยู่ร่ำไป จนวันหนึ่งที่ความอดทนถึงขีดสุด เมื่อนางกัทรุมารดาแห่งพญานาค ใช้ให้มารดาพานางและเหล่านาคกว่า 1,000 ตัว ข้ามไปยังมหาสมุทรอีกฝั่งด้วยความยากลำบากแสนสาหัส การเจรจาต่อรองกับพญานาคเพื่อไถ่ตัวมารดาให้พ้นทุกข์จึงเกิดขึ้น องค์ครุฑมิอาจทนเห็นมารดาของตนตกเป็นทาสรับใช้นางกัทรุ จึงไต่ถามนางกัทรุถึงวิธีที่มารดาจะเป็นอิสระ
"เจ้าจงไปเอาน้ำอมฤตมาให้เราดื่ม บัดนั้นมารดาเจ้าจะพ้นจากการเป็นทาส" เพราะซึ่งน้ำอมฤตจากพระจันทร์สรรค์สร้างความอมตะนิรันดร์สู่ผู้ถือครอง ต่อมาพระอินทร์ได้เข้าขัดขวางองค์ครุฑ เกิดการต่อสู้กันขึ้น จนทำให้ขนจากกายองค์ครุฑร่วงหล่นลงเส้นหนึ่ง องค์ครุฑจึงได้ถวายขนเส้นนั้นให้แก่พระอินทร์ จึงได้นามว่า "สุบรรณ" และว่าขนอันงดงาม และเมื่อพระอินทร์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการน้ำอมฤตเพื่อช่วยมารดา ท่านจึงเปิดทางให้ องค์ครุฑจึงกล่าวกับพระอินทร์ว่า "น้ำอมฤตนี้เพื่อแลกอิสรภาพของมารดา ขอท่านจงชิงกลับมาก่อนที่นาคจะได้ดื่ม หลังจากข้านำน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้สู่แดนพญานาคแล้ว"
ครานั้นพระนารายณ์เทพผู้รักษา เสด็จขึ้นจากเกษียรสมุทรเพื่อมาขัดขวางองค์ครุฑมิให้สามารถนำน้ำอมฤตไปได้ แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าจึงมิอาจมีผู้ใดชนะ และเมื่อพระนารายณ์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการนำน้ำอมฤตไปช่วยมารดาหาใช่นำมาให้ตนเอง จึงชื่นชมในความกตัญญูและมอบน้ำอมฤตให้ไปเพื่อล้างคำสาปของมารดา
"ข้าขอสรรเสริญที่ท่านไม่คิดดื่มน้ำอมฤตนี้ พรหนึ่งข้อจะเป็นของท่าน" พระนารายณ์ จึงประทานพรให้องค์ครุฑหนึ่งข้อ
"ข้าขออยู่สูงกว่าพระองค์ ขอเป็นผู้ไม่มีความเจ็บแม้ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤต" องค์ครุฑได้เอ่ยขอพรจากพระนารายณ์
"ท่านยอมเป็นพาหนะของข้า ข้าจะให้ท่านอยู่ที่เสาธงของข้า เพื่อที่ท่านจะได้อยู่สูงกว่าข้า" หลังจากนั้นปรางค์ "นารายณ์ทรงสุบรรณ" ได้ถือกำเนิดขึ้น เหตุนี้เององค์ครุฑจึงเปรียบเป็นดั่งพาหนะของกษัตริย์ ผู้ทรงเป็นอวตารของพระนารายณ์ ครุฑจึงได้รับการนับถือและยกให้เป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งแผ่นดินไทยนับแต่นั้นมา
เอาล่ะ...พอทราบตำนานขององค์ครุฑกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ตามเราไปเที่ยวชมความสง่างามที่น่าเกรงขามขององค์ครุฑ ณ พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กันเลยค่ะ
ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ครุฑ
พิพิธภัณฑ์ครุฑของธนาคารธนชาต นับเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จัดสร้างจากแนวความคิดของผู้บริหารธนาคารธนชาต ที่ต้องการส่งผ่านความเคารพและความรู้ที่มีความสำคัญเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งยังตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อองค์ครุฑ
ทั้งนี้นับจากที่ธนาคารนครหลวงไทย ได้ควบรวมเข้ากับธนาคารธนชาต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ธนาคารธนชาต ซึ่งได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญขององค์ครุฑพระราชทานที่มีความผูกพันและความศรัทธามาอย่างนานกับคนไทย จึงได้อัญเชิญเครื่องหมายครุฑพ่าห์ที่พระราชทานให้กับธนาคารหลวงไทย เพื่อติดตั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาเป็นการเฉพาะนั้น ไปประดิษฐานในที่อันเหมาะสม ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาต บางปู และมีการประกอบพิธีกรรมทางพราหมณ์ตามหลักประเพณีปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยคณะพราหมณ์จากสำนักพระราชวัง เพื่อจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครุฑในทุก ๆ ด้านให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยมีพื้นฐานความเชื่อจากคติจักรวาลในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ อีกทั้งยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับสถาบันการปกครองของไทยอย่างลึกซึ้ง และครอบคลุมความเชื่อที่ปรากฏให้เห็นในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับพิพิธภัณฑ์ครุฑนั้น แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 ห้อง ได้แก่ โถงต้อนรับ, ห้องครุฑพิมาน (ป่าหิมพานต์), ห้องนครนาคราช, ห้องอมตะจ้าวเวหา และห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่า
โดยเรามาเริ่มกันที่ "โถงต้อนรับ" ซึ่งเป็นรูปวงกลม ที่เมื่อเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ครุฑสิ่งที่เห็นเด่นเป็นสง่า ก็คือ โลโก้พิพิธภัณฑ์ครุฑที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง และทางด้านขวามือจะเป็นกาพย์ห่อโคลงที่กล่าวถึงพญาครุฑในแง่มุมทางพุทธศาสนา ที่ได้รับเกียรติจากยอดกวีแห่งยุครัตนโกสินทร์ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส่วนทางด้านขวามือของโถงต้อนรับยังมีภาพถ่ายหน้าสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทย ที่ถ่ายทอดความประทับใจเก็บไว้ รวมถึงมีวีดิทัศน์แนะนำเรื่องราวและความสำคัญขององค์ครุฑโดย อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นที่ปรึกษาในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าประสบการณ์การปั้นครุฑจากศาสตราภิชาน สัญญา วงศ์อร่าม ภาควิชาศิลปศึกษา คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากนั้นเมื่อชมโถงต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็เดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อท่องไปยังดินแดนหิมพานต์ ณ ห้องครุฑพิมาน หรือวิมานแห่งครุฑ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ห้องจัดแสดงให้เป็นเสมือนป่าหิมพานต์ ดินแดนที่กำเนิดขึ้นภายใต้แนวความคิดศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ห้องนี้จะมีการจำลองสัตว์วิเศษที่ปั้นเสมือนจริง ต้นมักกะลีผล สระอโนดาตจำลอง ฯลฯ
ดื่มด่ำกับดินแดนหินพานต์แล้วก็ได้เวลาไปชื่นชมความงามของ "นครนาคราช" โดยเนรมิตอุโมงค์ทางเดินกว่า 10 เมตร ให้กลายเป็นมหานครใต้น้ำทั้งสีสันและบรรยากาศ เพื่อให้สมกับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าแห่งสายน้ำอย่างพญานาค ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์กับองค์ครุฑ โดยมีการจิตรกรรมฝาผนัง "ครุฑยุดนาค" ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ขององค์ครุฑและพญานาค
ก่อนจะเข้ามาชมสื่อมัลติมีเดีย ณ ห้องอมตะจ้าวเวหา ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ขององค์ครุฑในด้านการกตัญญูกตเวที พละกำลัง และความเสียสละ ซึ่งที่ห้องนี้ได้มีการนำเอาองค์ครุฑบางส่วนมาประทับไว้บนผนัง
และเมื่อรับรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์ครุฑกันบ้างแล้ว ก็ถึงเวลาไปพบกับ "ห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่าแก่" จำนวนมาก โดยแต่ละตัวมีรูปแบบที่สง่างามแตกต่างกันไปตามจินตนาการของช่างแกะสลัก เพราะในอดีตไม่มีการกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่กำหนดลักษณ์ขององค์ครุฑ ทั้งนี้ เสน่ห์ขององค์ครุฑไม้สักแกะสลักนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสวยงาม ท่วงท่าอันสง่างามที่แสดงถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่คุณค่าและประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์องค์ครุฑแต่ละตัว ซึ่งทุกตัวถูกอันเชิญมาประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ครุฑก็มีความเก่าแก่แตกต่างกันไป โดยตัวที่เก่าแก่ที่สุด คือ องค์ครุฑจากสาขาราชดำเนิน ซึ่งเป็นสาขาแรกของธนาคารนครหลวงไทย มีอายุกว่า 70 ปี
ทั้งนี้พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ยังไม่เปิดให้เยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ หากใครต้องการไปสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ต่าง ๆ ขององค์ครุฑนั้น อดใจรอกันสักหน่อยนะคะ ^__^
(http://img.kapook.com/u/sutasinee/2/map.jpg)
แผนที่การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ครุฑ