ใต้ร่มธรรม

อิ่มกาย อิ่มใจ => สุขภาพกับชีวิต => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2013, 07:12:59 pm

หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2013, 07:12:59 pm
ผมจะรวบรวมเรื่องราวของการเจ็บป่วย และ การป้องกัน จากเว็บไซด์ต่างๆ

หากท่านใดมีเรื่องราวดีๆ  ช่วยกันนำมาลงในกระทู้นี้กันครับ

 :13:
.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2013, 07:14:15 pm
7 สัญญาณอันตรายโรคมะเร็ง แนะวิธีเลี่ยง “ห้ามสูบบุหรี่-กินเหล้า-มั่วเซ็กซ์”
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000092698-


  อึ้ง! คนไทยป่วยมะเร็งรายใหม่แสนคนต่อปี ตายปีละ 60,000 ราย สธ.แนะสูตรห่างไกลมะเร็ง 5 ทำ 5 ไม่ เน้นออกกำลังกาย กินผักผลไม้ ตรวจร่างกายประจำ ห้ามสูบบุหรี่ กินเหล้า มั่วเซ็กซ์ ด้าน ผอ.สถาบันมะเร็งฯ ชี้ 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000009738201.JPEG)
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

       นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย ยาวนานกว่า 10 ปี ตกปีละประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างหนึ่งในนั้น คือ อายุที่เพิ่มขึ้น โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีระยะเวลาการก่อโรคที่ยาวนาน ใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรากฏอาการผิดปกติ ผู้ที่เป็นส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัว สิ่งที่ สธ.จะเน้นคือการให้ความรู้เพื่อลดความเสี่ยง การตรวจคัดกรอง และเพิ่มการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มอายุ ซึ่งผู้ที่มีไม่เคยป่วย หรือมีสุขภาพแข็งแรงก็มีโอกาสเป็นได้ การตรวจสุขภาพจะทำให้รู้สถานะสุขภาพของตนเอง มีการเฝ้าระวังความผิดปกติ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยง หรือได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่พบว่าเริ่มมีอาการผิดปกติ
       
       “หากดำเนินการตามวิธีนี้ เชื่อว่าจะลดความรุนแรงปัญหาได้ เนื่องจากผลการวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าโรคมะเร็งร้อยละ 60 สามารถป้องกันได้ เช่น กลุ่มวัยรุ่นจะเน้นให้ความรู้สุขภาพทางเพศ ลดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่ทำให้เป็นมะเร็งตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี วัยแรงงานหญิงเน้นการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก หรืองดบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ สธ.ได้จัดทำคำแนะนำประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง โดยใช้สูตรปฏิบัติตัว “5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง” โดย 5 ทำ ประกอบด้วย 1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป 2.ทำจิตใจให้แจ่มใส 3.กินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารที่บริโภคแต่ละมื้อ 4.รับประทานอาหารหลากหลาย และ 5.ตรวจร่างกายเป็นประจำ แม้จะมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย ส่วน 5 ไม่ ประกอบด้วย 1.ไม่สูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่ 2.ไม่มั่วเซ็กซ์ 3.ไม่ดื่มสุรา 4.ไม่ตากแดดจ้า และ 5.ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ
       
       ด้าน นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งของประเทศไทยปี 2552 มีผู้ป่วยใหม่ 102,791 คน ชายหญิงพอๆ กัน มะเร็งที่พบมากในผู้ชาย ได้แก่ มะเร็งตับ 13,281 คน ปอด 8,403 คน ลำไส้และทวารหนัก 4,790 คน ต่อมลูกหมาก 2,400 คน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 1,994 คน ส่วนในผู้หญิง ที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งเต้านม 10,193 คน ปากมดลูก 6,452 คน ตับ 6,143 คน ปอด 4,322 คน ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก 4,144 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง จากรายงานข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สธ.ปี 2554 พบ 61,082 คน โดยมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในเพศชาย เช่น มะเร็งตับ 10,189 คน มะเร็งปอด 6,769 คน และมะเร็งลำไส้ 1,501 คน เป็นต้น ส่วนในผู้หญิง เช่น มะเร็งตับ 4,125 คน มะเร็งปอด 3,434 คน และมะเร็งเต้านม 2,724 คน เป็นต้น
       
       นพ.ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งที่พบบ่อย สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองมี 7 ประการ ได้แก่ 1.ระบบขับถ่ายผิดปกติ เช่น ถ่ายเป็นก้อนแข็ง ท้องผูกนานหลายวัน มีกลิ่นผายลมเหม็นกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากสิ่งเน่าเสียค้างในลำไส้ใหญ่ 2.เป็นแผลเรื้อรัง รักษาไม่หาย 3.ร่างกายมีก้อนมีตุ่มขึ้น 4.กินกลืนอาหารลำบาก 5.มีเลือดออกที่ทวารหนักหรือช่องคลอด 6.ไฝ หูด มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 7.ไอเรื้อรัง เสียงแหบ หากพบความผิดปกติดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็ง เพราะการค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกมีประโยชน์มาก หากเป็นในระยะเริ่มต้นการรักษาจะได้ผลดี โอกาสหายขาดสูง เพราะโรคนี้ใช้เวลาก่อโรคนานหลายปี การรักษาเร็ว จึงเป็นการป้องกันมิให้เข้าสู่ระยะมะเร็งลุกลาม หรือระยะที่ 4 ซึ่งโอกาสหายมีน้อยมาก



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 04, 2013, 07:50:44 pm
กระดูกพรุน ปัญหาสุขภาพระดับโลก เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป
-http://women.sanook.com/1406893/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/-

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406893/p.jpg)

เชื่อหรือไม่! ปัจจุบันอุบัติการณ์โรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 2 ของโลก และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลง ใครที่เคยคิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นคงต้องคิดใหม่

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406893/p1.jpg)

นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติยังเปิดเผยว่า ภาวะกระดูกพรุนทำให้ทุก 3 วินาที มีคนกระดูกหัก และทุก 22 วินาที มีคนกระดูกสันหลังหัก สำหรับคนไทย มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ พบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิง 1 ใน 3 คน และผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีปัญหากระดูกพรุน และแต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยถึงปีละ 3 แสนบาท1 ฟังดูแล้วถือว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute) เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพกระดูก จึงสนับสนุนให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงเพราะคนไทยส่วนใหญ่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่ถึงครึ่งของปริมาณขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน บวกกับพฤติกรรมทำร้ายกระดูกต่างๆ ยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพกระดูกเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสำคัญ

โรคกระดูกพรุน เกิดจากการที่แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากกว่าการสร้างมวลกระดูก ทำให้ความหนาแน่นในกระดูกลดลง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก ส่งผลให้รูพรุนที่มีอยู่เป็นปกติในเนื้อกระดูกสลายตัวออกจนรูพรุนกว้างขึ้น กระดูกบางลงจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกได้ตามปกติ กระดูกจึงหักได้ง่าย โรคนี้จะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ โดยกว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีการแตกหักของกระดูก หรือได้รับการกระแทกเพียงเบาๆ กระดูกก็หักแล้ว บางรายถึงขั้นทุพพลภาพหรือเสียชีวิต เนื่องจากเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406893/p2.jpg)

นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์ เปิดเผยว่า "องค์การอนามัยโลก รายงานว่า สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุข อันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด2 โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ กระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่คนไทยมักมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง แคลเซียมถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อความสมบูรณ์แข็งแรงของกระดูก และการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในทุกช่วงวัยจะทำให้เสี่ยงที่จะประสบกับภาวะกระดูกแตกหรือกระดูกร้าวได้เมื่อสูงอายุขึ้นเพราะโรคกระดูกพรุนไม่มีอาการบ่งชี้ในช่วงเริ่มต้น จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็มักจะสายเสียแล้ว"

"เป็นที่น่ากังวลว่า คนไทยรับประทานแคลเซียมน้อยมาก เฉลี่ยเพียงวันละ 361 มิลลิกรัม3 จากความต้องการต่อวันคือ 800 - 1,000 มิลลิกรัม4 ปัจจุบันยังพบว่าประชากรวัยหนุ่มสาวไปจนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหา

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406893/p3.jpg)

ความผิดปกติอันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจัยเสี่ยงที่มักพบบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ท่านอน นั่ง ยืน หรือแม้แต่การยกของหนัก แฟชั่นที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูก เช่น การใส่รองเท้าส้นสูง การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว หรือแม้แต่การสูบบุหรี่ และบริโภคเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ตลอดจนความนิยมการมีผิวขาวของผู้หญิงเอเชียก่อให้เกิดพฤติกรรมการหลบเลี่ยง
แสงแดด ซึ่งเป็นแหล่งในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม การบริโภคอาหารไม่ถูกสัดส่วน และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก และอาจเกิดโรคกระดูกในที่สุด" นพ.สมบูรณ์กล่าวเพิ่มเติม

กระดูกเป็นอวัยวะที่มีชีวิตโดยมีเซลล์หลัก 2 ชนิด ชนิดแรกมีหน้าที่สลายกระดูกเรียกว่า Osteoclast และอีกชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างกระดูกใหม่เรียกว่า Osteoblast ซึ่งเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย โดยช่วงเวลาของการสร้างและสลายกระดูกแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้ 1.) ช่วงการสร้างมวลกระดูกเริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี 2.) ช่วงการคงมวลกระดูกเมื่ออายุ 30 - 45 ปี 3.) ช่วงการสลายมวลกระดูกเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยการสร้างกระดูกใช้เวลานานถึง 4 เดือน ในขณะที่แคลเซียมปริมาณเท่ากันถูกดึงออกจากกระดูกในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้น การได้รับแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กจนวัยชราจะช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกได้ดี และช่วยลดความเสี่ยงของปัญหากระดูกบางปัญหาได้ โดยช่วงอายุที่กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดคือ 18 - 30 ปี

ดร. คีธ แรนดอล์ฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เผยว่า "แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือ การมีโภชนาการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวันจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ สังกะสี ทองแดง แมงกานีส เป็นองค์ประกอบรวมที่ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน และรวมไปถึงสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟา ที่นอกจากจะมีแร่ธาตุแล้ว ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิดที่ให้ผลดีต่อเมทา- บอลิซึมของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาวในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต นอกเหนือจากการบริโภคอาหารให้ถูกต้องตามโภชนาการแล้ว แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง การออกแดดในช่วงเช้า และเย็น และลดปัจจัยเสี่ยงต่อการทำลายกระดูกต่างๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ชา หรือกาแฟ ก็จะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกให้แข็งแรงได้

(http://p3.s1sf.com/wo/0/ud/281/1406893/p4.jpg)

ปัญหาสุขภาพกระดูกไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราทุกคนมีโอกาสประสบกับโรคกระดูกพรุนได้ อาจไม่ใช่ในวันนี้ แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำร้ายกระดูกจะส่งผลอย่างแน่นอนในอนาคต ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองและคนที่เรารักเช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพร่างกายส่วนอื่นๆ เพื่อกระดูกแข็งแรงอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน


http://women.sanook.com/1406893/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/ (http://women.sanook.com/1406893/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B/)
.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 18, 2013, 09:00:44 pm
6 ท่าสู้อาการปวด "ออฟฟิศซินโดรม"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 สิงหาคม 2556 18:56 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102497-


 พฤติกรรมที่เห็นจนชินตาของหนุ่มสาวออฟฟิศยุคนี้ เห็นจะไม่พ้นการนั่งทำงานอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน อันเนื่องมาจากลักษณะหรือรูปแบบการทำงานที่บังคับให้เราต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน จนทำให้เกิดโรคร้ายคุกคามคนเมืองวัยทำงานขึ้นโรคหนึ่ง นั่นก็คือ "ออฟฟิศซินโดรม"


  แม้โรคนี้จะเป็นที่รู้จักและพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง แต่คนส่วนใหญ่ยังมองข้ามและขาดข้อมูลที่ดีในการรับมือ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และที่ปรึกษาคลินิกระงับปวด โรงพยาบาลศิริราช และอดีตนายกสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย อธิบายภายในงานเวิร์กชอปสุขภาพดีในหัวข้อ “รอบรู้เรื่องปวด” (Know Your Pain) จัดโดยบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อส่งเสริมความรู้แก่ประชาชนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการปวด รวมถึงแนวทางป้องกันและรักษาก่อนลุกลาม ว่า อาการออฟฟิศซินโดรม คืออาการปวดกล้ามเนื้ออันเนื่องมาจากการรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เกินวันละ 6 ชั่วโมง โดยไม่ลุกไปผ่อนคลายหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
       
       "สภาพแวดล้อมในการทำงานก็เป็นอีกส่วนที่ควรให้ความใส่ใจ โดยควรปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบาย และปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา นอกจากนี้ ยังต้องรู้จักและรู้เท่าทันอาการปวด เริ่มต้นด้วยวิธีป้องกันง่ายๆ คือหมั่นออกกำลังกายและบริหารเพื่อจัดโครงสร้างร่างกาย แต่ก็ต้องอาศัยความใส่ใจและความสม่ำเสมออย่างมาก"
       
       รศ.นพ.ประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า คนทำงานส่วนใหญ่มักจะละเลยสัญญาณเตือนของอาการปวดกล้ามเนื้อแบบออฟฟิศซินโดรม ท้ายที่สุดแล้วอาการอาจลุกลามร้ายแรงจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงานของผู้ป่วย และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ดังนั้น การไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อความสุขและสุขภาพที่ดีในอนาคต
       
       ด้าน นพ.พิชัย คณิตจรัสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า อาการไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงภาพรวมด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย อย่างประเทศอังกฤษ พบว่า มีผู้ป่วยจากอาการปวดเรื้อรังเกือบ 8 ล้านคน และอาการปวดหลัง คือ สาเหตุสำคัญอันดับ 2 ที่ทำให้ต้องลาหยุดงาน หรือไม่สามารถปฏิบัติงานตามปกติได้ ส่วนสหรัฐอเมริกามีรายงานว่า อาการปวดส่งผลกระทบต่อมูลค่าการผลิตในประเทศปี 2553 ประมาณ 297-335 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
       
       "สำหรับประเทศไทย จากการสำรวจเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2554 พบว่า คนวัยทำงานออกกำลังกายน้อยกว่าคนวัยอื่นอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ คนวัยทำงานเพียง 23.7% เท่านั้นที่ออกกำลังกาย นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การบริโภคอาหารไม่ครบ 5 หมู่ การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่"
       
       อย่างไรก็ตาม อาการปวดสามารถบรรเทาได้ด้วยการยืดหยุ่นร่างกาย นายชิษณุพงศ์ ยะอ้อน นักวิทยาศาสตร์กายภาพ ระบุว่า ท่าบริหารจัดโครงสร้างและยืดหยุ่นร่างกายอย่างถูกวิธี สามารถช่วยให้หนุ่มสาวออฟฟิศบรรเทาอาการปวดเฉพาะส่วนซึ่งเกิดจากออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งท่าบริหารอย่างง่ายที่สามารถนำไปปฏิบัติตามที่ทำงานได้ง่ายและบ่อยครั้ง มีทั้งหมด 6 ท่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมรรถนะและความยืดหยุ่น รวมถึงผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น คอ ไหล่ สะบัก หลัง และขา
       
       ทั้งนี้ นายชิษณุพงศ์ ได้สาธิตท่าบริหารทั้ง 6 ท่า ดังนี้



(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769101.JPEG)
       ท่าที่ 1: บริหารต้นคอ เริ่มต้นด้วยการไขว้แขนขวาไปด้านหลัง เอียงคอไปด้านซ้าย แล้วเอื้อมมือซ้ายข้ามศีรษะไปวางแนบด้านข้างของศีรษะด้านขวา แล้วทำเช่นเดียวกันนี้กับอีกข้างหนึ่ง


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769102.JPEG)
       ท่าที่ 2: บริหารบ่าและไหล่ ยืนตัวตรง ประสานมือเหยียดแขนไปข้างหน้า ก้มศีรษะพร้อมกับยืดตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค้างไว้แล้วนับ 1-10


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769103.JPEG)
       ท่าที่ 3: บริหารสะบักและหน้าอก ยืนตัวตรง กางแขนทั้งสองข้างออกในลักษณะตั้งฉาก แล้วค่อยๆ ดึงแขนไปด้านหลัง


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769104.JPEG)
       ท่าที่ 4: บริหารขาด้านหลังและหลังส่วนล่าง ยืนตัวตรง ชูแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงเอามือทั้งสองข้างวางแนบพื้นหรือแตะปลายเท้า โดยไม่งอเข่า


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769105.JPEG)
       ท่าที่ 5: บริหารขาด้านหลัง น่อง และหลังส่วนล่าง ทำต่อเนื่องจากท่าที่ 4 โดยยังอยู่ในท่าก้มตัว สอดมือทั้งสองไว้ด้านหลัง หัวเข่า แล้วค่อยๆ งอเข่าทั้งสองข้าง ค้างไว้แล้วนับ 1-10


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010769106.JPEG)
       และ ท่าที่ 6: บริหารหลังส่วนล่าง ยืนตัวตรง ยกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ ประสานมือเอาไว้ แล้วค่อยๆ เอนตัวไปด้านหลัง
       




http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102497 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000102497)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2013, 08:13:39 pm
6 วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่หากไม่ได้ฉีดวัคซีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2556 14:51 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000105888-

  กรมควบคุมโรคเผยยอดกลุ่มเสี่ยงมารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่แค่ 1.9 ล้านรายจากเป้าหมาย 3.5 ล้านรายเท่านั้น วอนรีบมาฉีดฟรีก่อนหมดเขต 30 ก.ย. ระบุฉีดแล้วควรรอดูอาการอย่างน้อย 30 นาที มีอาการข้างเคียงหรือไม่ พร้อมแนะ 6 วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน


       วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ชนิดเอ เอช 3 เอ็น 2 (H3N2) และชนิดบี (B) ไว้บริการให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม คือผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน -2 ปี และผู้ป่วยทุกอายุ ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค ได้แก่ โรคปอด ปอดอุดกั้น หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ ยังมีนโยบายให้วัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งได้ประมาณการไว้ 3.5 ล้านคนและเตรียมวัคซีนไว้เพียงพอ แต่ขณะนี้มีจำนวนผู้มารับบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ ระหว่างวันที่ 27 พ.ค. - 22 ส.ค. 2556 จำนวนประมาณ 1.9 ล้านราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยทุกกลุ่มอายุที่มีโรคเรื้อรังประมาณ 1.1 ล้านราย บุคคลอายุ 65 ปีขึ้นไป ประมาณ 5 แสนราย ที่เหลือเป็นหญิงมีครรภ์ บุคคลโรคอ้วน ผู้พิการทางสมอง ผู้ป่วยโรคทาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กอายุ 6 เดือน- 2 ปี
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า การให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. ขอให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไปรับบริการฟรี ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกเว้นเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไก่หรือไข่ไก่อย่างรุนแรง ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีไข้หรือเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือโรคประจำตัวกำเริบ ควบคุมไม่ได้ ควรเลื่อนการรับวัคซีนไปก่อน หลังการฉีดวัคซีนไม่ควรรีบกลับบ้าน ควรรอเฝ้าสังเกตอาการข้างเคียงในสถานพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที หากมีอาการข้างเคียง ซึ่งจะปรากฏภายใน 2-3 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง หลังฉีด เช่น หายใจไม่สะดวก เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงดัง ลมพิษ ซีดขาว อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะต้องแจ้งแพทย์ทันที
       
       นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนสามารถป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้โดย 1.ล้างมือบ่อยๆหลีกเลี่ยงการเอามือขยี้ต่ำหรือจับของเข้าปาก รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ 2.อย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ แปรงสีฟัน เป็นต้น สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยควรแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนซักหรือต้มในน้ำเดือน ตากให้แห้ง 3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่นขณะป่วยและควรนอนพักรักษาตัวที่บ้าน 4.สวมหน้ากากอนามัยหรือที่ปิดจมูกเวลาไอจาม 5.รักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอในช่วงอากาศหนาวเย็น และ 6.หากมีอาการไข้หวัดที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ส่วนใหญ่อาการจะหายภายใน 3-5 วัน โดยการนอนพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำมากๆ หรือน้ำผลไม้ น้ำซุป หรืออาจใช้นำเกลือแร่ร่วมด้วย ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียวเพราะอาจทำให้ขาดเกลือแร่ เมื่อไข้สูงห้ามอาบน้ำเย็นให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากมีอาการปวดศีรษะ ให้กินยาพาราเซตามอน ในผู้ใหญ่กินครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลิลกรัม) วันละ 2-3 ครั้ง ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องใช้ เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสจะส่งผลให้มีโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากมีอาการหอบหรือแน่นหน้าอกให้พบแพทย์ทันที
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 25, 2013, 07:26:17 am
สมุนไพรต้านหวัด

-http://campus.sanook.com/1369703/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94/-



แนะนำพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

การชื้นแฉะ อาจทำให้เราเป็นหวัดหรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจกันได้ง่ายๆ โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มากๆ โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก เรามีพืชผักและสมุนไพรใกล้ตัว เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอ จากเสมหะ มาฝากกัน

ต้นหอม โดยนำต้นหอมสดๆล้างน้ำให้สะอาด กินร่วมกับอาหารทุกมื้อ มื้อละ 2 - 3ต้น หรือต้มจนเดือด สูดไอระเหยจะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/5.jpg)


ขิง มีรสหวานและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมแหลมของขิงมีส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหย และสารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์เป็น "ยา" ส่วนคนที่กำลังไอ ขิงก็ช่วยได้ โดยเอามาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเท่าเบาบาง
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467296_qyh04.jpg)

วิธีใช้ก็ง่ายๆคือใช้ขิงแก่ขนาดเท่านิ้วมือทุบให้แตก ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยคั้นน้ำ 2 ช้อนแกงใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนแกง ผสมเข้ากันแล้วจิบบ่อยๆ ระวังอย่าจิบมากเกินไป อาจทำให้แสบคอได้

กระเทียม มีคุณสมบัติเป็นยาขับเสมหะ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัดและไข้หวัดใหญ่ และยังมีผลต่อเชื้อร้ายในทางเดินหายใจ จึงช่วยลดอาการไอ หรือหากรับประทานสดๆได้จะดีเพราะกระเทียมสดๆออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467393_3.jpg)



ฟ้าทะลายโจร จัดอยู่ในจำพวกยาปฎิชีวนะ เหมือนพวกเพนนิซิลินและเตตราซัยคลิน ซึ่งรักษาได้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มีพิษต่อตับ และไม่ตกค้างในร่างกาย ซ้ำยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโดยโรคบางอย่างดีกว่ายาแผนปัจจุบันเสียอีก
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/6.jpg)



มะขาม มีรสเปรี้ยวเพราะมีกรดอินทรีย์ มะขามช่วยให้หายคัดจมูกและขับเหงื่อ สูดจนหมดไอแล้วผสมน้ำเย็นลงไปพออุ่นแล้วอาบ ทำวันละ 1 - 2 ครั้ง ประมาณ 3-4 วัน
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467411_2.jpg)



เพกา ส่วนที่นำมาใช้คือ เมล็ด ซึ่งเมล็ดเพกานี้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำจับเลี้ยงที่คนจีนใช้ดิ่มแก้ร้อนใน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ โดยใช้เมล็ดประมาณ 1 กำมือ หนักประมาณ 3 กรัม ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟ่อ่อนๆ พอเดือด เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง ดื่มวันละ 3 ครั้ง
(http://p4.s1sf.com/ca/0/ud/273/1369703/1376467430_1.jpg)



นอกจากนี้แล้ว การที่เราหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเองในหน้าฝนนี้ ด้วยการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็จะช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นได้

ที่มา:หนังสือสมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2013, 11:20:07 am
ระวัง! เชื้อราจากสัตว์เลี้ยงแสนรัก เจ้าของอาจถึงตาย แต่ป้องกันได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 กันยายน 2556 09:32 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000112294-

  โดย...ทีมสัตวแพทย์คลินิกโรคผิวหนังและโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
       
       สัตว์เลี้ยงแสนรักที่นอกเหนือจากต้องสรรหาอาหารถูกหลักโภชนาการ ฉีดวัคซีนตามกำหนด เจ้าของยังต้องใส่ใจสุขอนามัยภายนอก โดยเฉพาะโรคผิวหนังและเชื้อรามักเกิดขึ้นได้กับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ซึ่งอาจนำมาติดต่อสู่ตัวเจ้าของหรือคนใกล้ชิดได้โดยไม่รู้ตัว
       
       ทีมสัตวแพทย์คลินิกโรคผิวหนังและโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ แนะวิธีดูแลเพื่อนรัก 4 ขาให้ห่างไกลจากโรคนี้ และป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรคผิวหนังและเชื้อราจากสัตว์เลี้ยง ว่า ปัจจุบันคนนิยมเลี้ยงสัตว์ในบ้านกันมากขึ้น โดยเฉพาะสุนัข แมว กระต่าย ทำให้ต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น รวมถึงต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดกับผิวพรรณและเส้นขนสัตว์เลี้ยง ที่อาจเป็นสาเหตุนำมาสู่ “โรคผิวหนังและเชื้อราในสัตว์เลี้ยง” ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมักมีต้นตอการเกิดโรคแฝงอยู่เสมอ ทำให้การรักษามักไม่ตรงจุด สัตวแพทย์จำเป็นต้องหาสาเหตุหลักนั้นๆ ให้เจอ หรือบางโรคมักจู่โจมกับบางสายพันธุ์ เช่น ลูกสุนัขชิวาว่า มักเป็นเชื้อรา และไรขี้เรื้อนขุมขน หรือ สุนัขพันธุ์บลูด็อก มักมีโรคผิวหนังติดเชื้อตามร่องแก้ม หรือหลืบตามร่างกาย เพราะเป็นจุดที่อับชื้น อากาศน้อย ติดเชื้อง่าย เป็นต้น ดังนั้นการรักษาจำเป็นต้องได้รับการซักถามประวัติกันมาก และใช้เวลาในการตรวจมากซักหน่อย
       
       "ที่สำคัญ โรคผิวหนังส่วนใหญ่พบได้ในสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ทั้งน้องหมา น้องแมว กระต่าย กระรอก เม่น ม้า วัว สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์น้ำก็เป็นได้ ซึ่งโรคผิวหนังได้มีการแบ่งหลายแบบ สามารถแบ่งให้เข้าใจง่ายคือ โรคผิวหนังแบบติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ ดังนั้นการสังเกตสัญญาณเบื้องต้น คือ การเกามากกว่าปกติ มีตุ่มตามตัว เลียบางส่วนของร่างกายมากกว่าปกติ กลิ่นตัวแรงทั้งๆที่เพิ่งอาบน้ำ ขนร่วงมากกว่าปกติ เป็นต้น ควรพาไปพบคุณหมอ"
       
       ส่วนข้อสงสัยที่ว่า โรคผิวหนังสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ซึ่งแนวทางการรักษาแต่ละโรคไม่เหมือนกัน ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยสัตวแพทย์เสียก่อน ว่าจะรักษานานเท่าไหร่จะหายขาดหรือกลับมาเป็นใหม่ ทั้งนี้ บางโรคต้องยอมรับจริงๆว่าไม่หายขาด เช่น โรคภูมิแพ้สิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างการแพ้ไรฝุ่น ที่ตรวจพบจากการทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวหนัง แม้ให้วัคซีนแล้ว แต่ไม่สามารถเลี่ยงการเผชิญกับฝุ่นได้ เพราะอยู่บ้านเดิม นอนที่เดิม
       
       ดังนั้น การรักษาจึงเป็นการช่วยบรรเทาความคันยุบยิบได้ ให้สบายตัวขึ้น และอยู่กับโรคภูมิแพ้ได้โดยไม่ทรมานเกินไป บางโรคที่ติดเชื้อที่ผิวหนังรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด และเสียชีวิตได้ จึงควรพาสัตว์เลี้ยงมาตรวจตั้งแต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพสัตว์แล้ว นอกจากนี้โรคผิวหนังและเชื้อราในสัตว์เลี้ยงนั้นยังอาจติดต่อสู่เจ้าของทางการสัมผัสใกล้ชิด โดยคนที่เป็นอาจมักมีภาวะอ่อนแอบางอย่าง เช่น ตั้งครรภ์ เครียด ไม่สบาย หรือพักผ่อนน้อย เป็นต้น นอกจากนี้ โรคผิวหนังและเชื้อราในสัตว์เลี้ยง หากเกิดขึ้นแล้วควรรีบตรวจหาสาเหตุก่อนเพราะหลายๆโรค ติดต่อสู่คน หรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่น อย่างเช่น ลูกแมวเปอร์เซีย ที่เป็นเชื้อรากันมาก แต่เจ้าของคิดว่าผลัดขน เลยทิ้งไว้จนเจ้าของและลูกๆที่บ้านติด กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ดังนั้น หากจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงชนิดไหน ควรทราบถึงลักษณะเฉพาะของชนิด หรือสายพันธุ์นั้นๆก่อน ว่าเหมาะกับเราหรือครอบครัวหรือไม่ เพื่อป้องกันตนเองและสัตว์เลี้ยงแสนรัก
       
       อย่างไรก็ตาม เจ้าของควรหมั่นสังเกตอาการ พฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงของตัวเอง หากเริ่มมีอาการแปลกๆ อย่ารีรอ สิ่งแรกที่ควรทำคือ เมื่อพบว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เป็นสะเก็ด คัน หรือเกาไม่หยุด แนะนำให้รีบพามาตรวจหาสาเหตุแต่เนิ่นๆ เนื่องจากอาการเบื้องต้นของหลายๆ โรคมักเริ่มต้นเหมือนกัน โรคผิวหนังและเชื้อราเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ และหากเจ้าของสัตว์ติดโรคไปแล้วก็สามารถให้ครีมฆ่าเชื้อราทาบริเวณที่เป็นเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น และสิ่งสำคัญของคนรักสัตว์เลี้ยงคือ การใส่ใจในสุขอนามัยและไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเล็กๆ น้อยๆ ของสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา ทีมสัตวแพทย์จากรพ.สัตว์ทองหล่อ ฝากทิ้งท้าย

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 29, 2013, 09:16:37 am
แนะวิธีปรับพฤติกรรมห่างไกลโรคหัวใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 กันยายน 2556 12:54 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000122308-


กรมควบคุมโรคเผยปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 23.3 ล้านคนทั่วโลก ยันป้องกันได้ ถึงร้อยละ 80 แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน


       วันนี้ (28 ก.ย.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งทั่วโลกในปี 2551 มีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าว 17.3 ล้านคนทั่วโลก และคาดว่าในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ 23.3 ล้านคน และยังคงเป็นสาเหตุนำของการตาย ทั้งๆที่โรคนี้สามารถป้องกันได้มากถึงร้อยละ 80 โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
       
       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (heart attack) และโรคหลอดเลือดสมอง มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและมักมีสาเหตุหลักมาจากที่หลอดเลือดเกิดการอุดตันจากการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจและสมองลดลง เกิดอาการหัวใจขาดเลือด หรือสมองขาดเลือดไปเลี้ยง สำหรับโรคหลอดเลือดสมองนอกจากมีสาเหตุมาจากการอุดตันแล้ว อาจมีสาเหตุจากหลอดเลือดในสมองแตก การป้องกันโรคนี้ต้องกำจัดปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ ได้แก่ การสูบบุหรี่ บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมการรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม กินผัก ผลไม้น้อย ขาดกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย ความเครียด ภาวะอ้วน คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และต้องปฏิบัติตัว ดังนี้
       
       1. มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย 30 นาที 5 ครั้ง ต่อสัปดาห์ เช่น กิจกรรมเล่นกลางแจ้ง ทำงานบ้าน เดินขึ้น - ลงบันได ออกกำลังกาย 2. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสมดุล เช่น การรับประทานผัก / ผลไม้ ให้มากกว่าเนื้อสัตว์และแป้ง จำกัดขนมหวาน จำกัดเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา ไม่รับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย 3. งดบุหรี่ / เหล้า 4. ตรวจสุขภาพ ได้แก่ วัดความดันโลหิต ตรวจโคเลสเตอรอล ระดับน้ำตาลในเลือด วัดน้ำหนักตัวและค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เพื่อรู้ค่าความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด และหาทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า เคล็ดลับในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสำหรับหญิงตั้งครรภ์และทารก มีดังนี้ 1. เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ 2. ควรฝากครรภ์ตั้งแต่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 3. เมื่อตั้งครรภ์ควรดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น การกิน อาหาร การพักผ่อน การออกกำลังกาย งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่หรือเลี่ยงควันบุหรี่ 4. ระวังเรื่องการใช้ยา ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ 5. หลีกเลี่ยงการฉายรังสี และแจ้งให้แพทย์ทราบว่าตั้งครรภ์ 6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง( 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ) เช่น ตับ เนื้อแดง อาหารวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ และอาหารแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักหลากสีและผลไม้หวานน้อย 7. ออกกำลังกายครั้งละน้อยๆช้าๆ หลังครรภ์มีอายุ 3 เดือน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
       
       "วันที่ 29 ก.ย.ของทุกปี เป็นวันรณรงค์หัวใจโลก สำหรับปีนี้ สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) กำหนด ประเด็นสารว่า “Take the road to a healthy heart” ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ ใช้ประเด็นสาร ว่า "เลือกแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อหัวใจที่แข็งแรง" โดยเน้นไปยังกลุ่มผู้หญิงและเด็ก ตั้งแต่ทารกช่วงที่มีพัฒนาการอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่ง นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ได้มอบนโยบายสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าวไว้ชัดเจนว่า ใน 10 ปีข้างหน้านี้คนไทยทุกคนต้องมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น โรคไม่ติดต่อซึ่งเป็นโรคที่ป้องกันได้ต้องลดลง เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 12, 2013, 09:34:48 am
เดือน"มะเร็งเต้านม" ร่วมรณรงค์ - พบเร็วระยะแรกมีโอกาสหายได้
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UUXpNVE0zTkE9PQ==&subcatid=-

มะเร็งเต้านม ปัญหาสาธารณสุขของโลก รวมทั้งประเทศไทย ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเสี่ยง ซึ่งเดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการรณรงค์มะเร็งเต้านม (Breast Cancer Awareness Month) เรารู้จักกันดีกับ "สัญลักษณ์โบสีชมพู" ในเดือนนี้แคมเปญเกือบทั้งหมดจะเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพของเต้านมด้วยตนเอง การตรวจหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรก และยังมีคำขวัญว่า "มะเร็งเต้านมระยะแรก มีโอกาสหาย (ขาด) ได้"

นพ.อาคม เชียรศิลป์ ที่ปรึกษาชมรม Thai Breast Friends แห่งประเทศไทย ในฐานะเป็นหมอที่รักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มีข้อสังเกตว่า มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม คือ เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะกรณีที่แพทย์สามารถผ่าตัดเอามะเร็งที่กระจายออกหมด มีโอกาสหายได้เช่นกัน เพียงแต่กระบวนการรักษาจะมีความซับซ้อนกว่า ใช้เวลานานกว่า

จากข้อมูลทางวิชาการ ร้อยละ 30 ของมะเร็งเต้านมระยะแรก มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมระยะลุกลามแต่ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลามมีความก้าวหน้าขึ้นมาก ผู้ป่วยมะเร็งลุกลามมีโอกาสหายได้ หรือควบคุมโรคได้หลายครั้ง ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ เป็นผลทำให้บนโลกใบนี้มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลามเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

ปัจจุบันการรณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม ควรจะมีเนื้อหาสาระของมะเร็งเต้านมระยะลุกลามรวมอยู่ด้วย จะได้เป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มีมากมาย และลงลึกถึงระดับโมเลกุล (DNA) มีผลทำให้การรักษาโรคมะเร็งพัฒนาไปไกลมาก เช่น เราสามารถจัดผู้ป่วยมะเร็งเต้านมออกเป็นกลุ่มตามลักษณะการแสดงของยีน (DNA) ว่าแต่ละกลุ่มควรจะรักษาอย่างไร เป็นการแพทย์เฉพาะบุคคล

แม้แต่ผู้ป่วยมะเร็งที่โรคกลับมาเป็นซ้ำ อาจมีการแสดง ออกของยีนแตกต่างไปจากโรคมะเร็งเต้านมต้นกำเนิด ซึ่งแผนการรักษาอาจเปลี่ยนไป ที่สำคัญการพัฒนาการรักษาและยา เพื่อเอาชนะการดื้อยาของเซลล์มะเร็ง อาจออกมาในรูปของยาขนานใหม่ หรือนำยาเดิมมาใช้ร่วมกับสูตรยาขนานใหม่ เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ในกลุ่มที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นบวก (ER+) แม้ว่าจะมีการกระจายของโรคไปที่อวัยวะอื่นๆ แล้ว แต่ผู้ป่วยยังอยู่ในสภาพร่างกายที่ดี ก็สามารถรักษาได้

เมื่อปี ค.ศ.2009 ในสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม 9 คน ได้รวมพลังกันขอเข้าพบกับสมาชิกรัฐสภา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ในที่สุด คณะรัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลาม และการเข้าถึงการรักษา เพื่อให้ประชาชนทราบความจริง พร้อมทั้งประกาศให้วันที่ 13 ต.ค. ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ต่อต้านและช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

ดังนั้น เพียง 1 วันในเดือนตุลาคม ควรจะเป็นวันที่ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกระจายความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม การรักษาที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และแสดงให้เห็นว่ามะเร็งเต้านมระยะลุกลามไม่ใช่ระยะสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 12, 2013, 09:38:12 am
เดือน"มะเร็งเต้านม" ร่วมรณรงค์ - พบเร็วระยะแรกมีโอกาสหายได้
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UUXpNVE0zTkE9PQ==&subcatid=-

มะเร็งเต้านม ปัญหาสาธารณสุขของโลก รวมทั้งประเทศไทย ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเสี่ยง ซึ่งเดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการรณรงค์มะเร็งเต้านม (Breast Cancer Awareness Month) เรารู้จักกันดีกับ "สัญลักษณ์โบสีชมพู" ในเดือนนี้แคมเปญเกือบทั้งหมดจะเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพของเต้านมด้วยตนเอง การตรวจหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรก และยังมีคำขวัญว่า "มะเร็งเต้านมระยะแรก มีโอกาสหาย (ขาด) ได้"

นพ.อาคม เชียรศิลป์ ที่ปรึกษาชมรม Thai Breast Friends แห่งประเทศไทย ในฐานะเป็นหมอที่รักษาดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มีข้อสังเกตว่า มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม คือ เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะกรณีที่แพทย์สามารถผ่าตัดเอามะเร็งที่กระจายออกหมด มีโอกาสหายได้เช่นกัน เพียงแต่กระบวนการรักษาจะมีความซับซ้อนกว่า ใช้เวลานานกว่า

จากข้อมูลทางวิชาการ ร้อยละ 30 ของมะเร็งเต้านมระยะแรก มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมระยะลุกลามแต่ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลามมีความก้าวหน้าขึ้นมาก ผู้ป่วยมะเร็งลุกลามมีโอกาสหายได้ หรือควบคุมโรคได้หลายครั้ง ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ เป็นผลทำให้บนโลกใบนี้มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลามเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

ปัจจุบันการรณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม ควรจะมีเนื้อหาสาระของมะเร็งเต้านมระยะลุกลามรวมอยู่ด้วย จะได้เป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มีมากมาย และลงลึกถึงระดับโมเลกุล (DNA) มีผลทำให้การรักษาโรคมะเร็งพัฒนาไปไกลมาก เช่น เราสามารถจัดผู้ป่วยมะเร็งเต้านมออกเป็นกลุ่มตามลักษณะการแสดงของยีน (DNA) ว่าแต่ละกลุ่มควรจะรักษาอย่างไร เป็นการแพทย์เฉพาะบุคคล

แม้แต่ผู้ป่วยมะเร็งที่โรคกลับมาเป็นซ้ำ อาจมีการแสดง ออกของยีนแตกต่างไปจากโรคมะเร็งเต้านมต้นกำเนิด ซึ่งแผนการรักษาอาจเปลี่ยนไป ที่สำคัญการพัฒนาการรักษาและยา เพื่อเอาชนะการดื้อยาของเซลล์มะเร็ง อาจออกมาในรูปของยาขนานใหม่ หรือนำยาเดิมมาใช้ร่วมกับสูตรยาขนานใหม่ เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ในกลุ่มที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นบวก (ER+) แม้ว่าจะมีการกระจายของโรคไปที่อวัยวะอื่นๆ แล้ว แต่ผู้ป่วยยังอยู่ในสภาพร่างกายที่ดี ก็สามารถรักษาได้

เมื่อปี ค.ศ.2009 ในสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม 9 คน ได้รวมพลังกันขอเข้าพบกับสมาชิกรัฐสภา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ในที่สุด คณะรัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลาม และการเข้าถึงการรักษา เพื่อให้ประชาชนทราบความจริง พร้อมทั้งประกาศให้วันที่ 13 ต.ค. ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ต่อต้านและช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

ดังนั้น เพียง 1 วันในเดือนตุลาคม ควรจะเป็นวันที่ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกระจายความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม การรักษาที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และแสดงให้เห็นว่ามะเร็งเต้านมระยะลุกลามไม่ใช่ระยะสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป

ปีที่แล้ว ผมไปตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งมา
คุณหมอบอกว่า ผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านมเยอะขึ้น
โปรดระมัดระวังกัน ไปตรวจสุขภาพกันทุกๆปีครับ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 13, 2013, 08:04:30 am
4 เทคนิคง่ายๆ ป้องกันภาวะสมองเสื่อม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 ตุลาคม 2556 10:16 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000128166-

สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ มีผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนมากอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าในปี 2593 ไทยจะมีผู้สูงอายุล้นเมือง คือมีมากถึงร้อยละ 27 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งปัญหาสำคัญคือ นอกจากขาดแคลนแรงงานที่จะมาช่วยพัฒนาประเทศแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในการดูแลร่างกายวัยปลดเกษียณคงบานปลายจนเกินกว่าภาครัฐจะรับได้ไหว

 เพราะต้องยอมรับว่า ผู้สูงอายุที่ร่างกายเสื่อมโทรมและสึกหรอไปตามวัย คงไม่สามารถคงสภาพความแข็งแรงไว้ได้ดังเดิม โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพจิต ที่เป็นปัญหามากก็คือ 20% ของผู้สูงอายุ มักต้อวทนทุกข์ทรมานอยู่กับปัญหาสุขภาพจิตหรือปัญหาทางระบบประสาท โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อม!!

 ซึ่งภาวะดังกล่าว นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า เป็นความผิดปกติในการทำงานของสมอง ที่ได้รับผลกระทบจากโรค หรือความผิดปกติบางอย่าง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการความจำเสื่อม มีความถดถอยของพฤติกรรมและบุคลิกภาพ เกิดอาการสับสน และอาการผิดปกติด้านการพูดและความเข้าใจ อาการเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทบกระเทือนกับการใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคมของผู้ป่วย
       
       "คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประมาณ 35.6 ล้านคน ทุก 20 ปี จะมีปริมาณผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และภายในปี ค.ศ. 2050 จะมียอดผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมรวมกว่า 115.4 ล้านคน โดยโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดร้อยละ 60-80 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด รองลงมาคือ ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เคยคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมไว้ประมาณ 229,000 คน ในปี 2005 และมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยโรคอัลไซเมอร์ มีร้อยละ 40-70 ของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด"
       
       นพ.เจษฎา บอกว่า บางกลุ่มอาการรักษาไม่ได้ แต่ก็มีบางกลุ่มอาการที่สามารถรักษาได้ ถ้าค้นพบสาเหตุได้ชัดเจน การวินิจฉัยโรคที่รวดเร็วและแม่นยำจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่คงไม่เท่าการป้องกันโรคนี้ได้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 เทคนิคด้วยกันคือ
       
       1.บริหารสมอง โดยฝึกทักษะการใช้มือ เท้า และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้สามารถรับรู้และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น เต้นรำ เล่นหมากรุก หมากล้อม โยคะ รำมวยจีน ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานบ้านหรืองานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น

 2.บริโภคอาหาร โดยรับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น เลือกรับประทานอาหารที่บำรุงสมอง เช่น ธัญพืชหรือถั่ว ผักใบเขียวทุกชนิด ถั่วเหลือง อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ผลไม้รสเปรี้ยว ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทูน่า เป็นต้น
       
       3.รักษาร่างกาย โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ หากมีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน ที่สำคัญ ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม เป็นต้น
       
       และ 4.ผ่อนคลายความเครียด โดยการหารูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุดและสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริง เช่น การฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ การฝึกสมาธิ การพูดคุย หรือพบปะผู้อื่นบ่อยๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่างๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น
       


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 13, 2013, 08:25:26 am
เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง - X-RAY สุขภาพ
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/239792-


แม้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน จะออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังเข้ารับการรักษา “ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง” ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 4 ต.ค. แต่สิ่งที่หลายคนยังให้ความสนใจอยากรู้ คือ ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงบ้าง แล้วมีวิธีการรักษาอย่างไร ไปฟังคำตอบจาก นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมอง รพ.ราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

นพ.เมธี อธิบายว่า เยื่อหุ้มสมองมี 3 ชั้น คือ ชั้นนอกสุด ชั้นกลาง และชั้นในสุด  ที่เจอปัญหา คือ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุด และชั้นกลาง โดยเฉพาะชั้นกลางถือเป็นเรื่องใหญ่ มักเกิดจากเส้นเลือดแดงใหญ่ฉีกถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนกรณีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุดเมื่อทำการผ่าตัดระบายเลือดออกก็จบ

ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุด เกิดจากเส้นเลือดดำฉีก เลือดจะออกแบบค่อยเป็นค่อยไป มักกินเวลานานโดยจะเริ่มจากปริมาณเลือดน้อย ๆ และขยายตัวขึ้นในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ พบได้ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง คือ สมองฝ่อตัว จะมีช่องว่างอยู่ในสมอง ทำให้เส้นเลือดฉีกได้ง่าย เวลามีการกระแทกล้ม  พบได้บ่อยในผู้ป่วยวัยชราตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่มีการเสื่อมของสมอง หรือหากพบในกลุ่มที่มีอายุน้อยหรืออายุมากแต่ไม่ถึงกับวัยชรา ก็มักเป็นกลุ่มที่มีประวัติดื่มเหล้าต่อเนื่อง เป็น “แอลกอฮอล์ลิซึ่ม” มีประวัติได้รับยากันการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด ในรายที่เกิดจากการฝ่อของสมอง อาจได้รับประวัติอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนมีอาการประมาณ 2-4 สัปดาห์ 

ถ้าพูดในทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง คือ คนแก่ คนที่มีภาวะเลือดออกง่าย ดื่มสุราต่อเนื่อง  ซึ่งกรณีที่เกิดจากพิษสุราจะมีอุบัติการณ์สูง  นอกเหนือจากนี้ไม่ค่อยเจอ เช่น คนอายุน้อย ๆ ยกเว้นเป็นโรคตับอาจเจอได้ เพราะโรคตับส่วนใหญ่ก็สัมพันธ์กับเหล้า

คนไข้ที่มีอาการแล้วมาโรงพยาบาลแสดงว่าเป็นมานานแล้วอย่างน้อย 2 สัปดาห์ คือ เลือดออกวันแรก ๆ ไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าทิ้งไว้สัก 1-2 สัปดาห์จะเริ่มมีอาการ

อาการที่เด่นชัด คือ ปวดหัวเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ รู้สึกมึน ๆ ตื้อ ๆ สมองไม่โปร่ง คิดอ่านช้าลง การตัดสินใจผิดปกติไม่สมเหตุสมผล ตอบสนองช้าลง แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ล้มง่าย หรือพูดไม่ชัด ความจำไม่ปกติ ลืมง่าย

ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก คนที่เป็นส่วนใหญ่จะฟื้นตัวเร็วกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่ในคนที่ดื่มสุรา ปัญหา คือ ต้องเลิกเหล้า ถ้าไม่เลิกมักจะเป็นกลับมาอีกเรื่อย ๆ ดังนั้นเมื่อรักษาคนไข้แล้วแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดเหล้า

การรักษาภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก คนไข้กลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดที่คั่งในสมองออก โดยการเจาะรูระบายเลือดออก หรือบางแห่งอาจโกนศีรษะผ่าตัดเอาเลือดออกซึ่งแล้วแต่เทคนิคของแพทย์แต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจในการเลือกวิธีการรักษาของแพทย์

ท้ายนี้ นพ.เมธี ยังได้ฝากท่านผู้อ่านที่สนใจ อยากรู้โรคทางสมอง ไขสันหลัง ระบบประสาท กระดูกสันหลัง การผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.drmethee.com (http://www.drmethee.com)

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน


-------------------------------------------------------------


เส้นเลือดหัวใจตีบไม่มีอาการ-จะทำอย่างไร? - มองคุณภาพชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2556 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/1490/239791-

(http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/239791.jpg)



โรคภัยไข้เจ็บที่พบอยู่ทุกวันนี้มีหลายรูปแบบ บางรายเป็นน้อย เป็นมาก ทั้งมีอาการและไม่มีอาการ ทำให้บางครั้งคนไข้สับสนจะทำอย่างไรดี ผู้ที่มีความรู้ก็มักจะไปตามผู้รู้หรือไปพบแพทย์เพื่อปรึกษา ผู้ที่ไม่เข้าใจเห็นไม่มีอาการบางท่านก็จะปล่อยดูไปเรื่อย บางครั้งก็ปล่อยนานเกินไปจนสายเกินแก้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งที่อยากคุยวันนี้

ร่างกายเรามีหลายโรคหลายอวัยวะที่อาจเกิดเป็นโรค เกิดการอักเสบ เจ็บป่วยขึ้นมา แล้วอยู่ ๆ ก็หายไป เป็น ๆ หาย ๆ เป็นธรรมชาติของโรค บางครั้งป่วยแล้วอาการหายไปเอง ก็ทำให้เกิดความต้านทานมาป่วยใหม่เป็นครั้งที่ 2 ก็จะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนเก่า บางท่านกลัวพบแพทย์แล้วจะต้องมีการรักษาอาจให้ยาหรือผ่าตัด ความกลัวพอโรคทุเลาหรือหายก็ลืม ๆ ไป โชคดีโรคนั้นสงบก็มีชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปทำอะไรกับอวัยวะนั้น ๆ  ต่อไป

ตัวอย่างของโรค : ต่อมทอนซิลอักเสบ บางคนเวลาเกิดอาการอักเสบ ทรมานมาก ผู้ที่เป็นบ่อย อักเสบบ่อย พอค่อยหายดีมักไปพบแพทย์เพื่อต้องการให้ผ่าตัดออก บางท่านกลัวผ่าตัด อักเสบคราวใดกินยาไปก็หายเลยไม่ได้ผ่าตัด อยู่ไปเรื่อยก็สบายดี ไส้ติ่งอักเสบ รายที่เกิดอักเสบฉุกเฉิน มักถูกผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกทันที พวกที่อยู่ไกลหน่อยบางครั้งกินยาระงับอักเสบจนอาการดีขึ้น ก็รอ ๆ ไปก่อน บางรายกลัวว่าอาจเกิดอักเสบอีกเมื่อไรก็ได้ ก็มาทำผ่าตัดเอาออก พวกที่กลัวก็ปล่อยไปเรื่อย ๆ อักเสบใหม่อีกค่อยมาทำผ่าตัดก็มี

นิ่วในถุงน้ำดี : พบบ่อยบางท่านก็มีอาการถุงน้ำดีอักเสบ หรือปล่อยทิ้งไว้จนเป็นหนองก็ได้ถูกผ่าตัดออก ทั้งนิ่วและถุงน้ำดีถูกตัดออกไปพร้อมกัน บางรายมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดี อาจก้อนเดียวหรือหลายก้อน ไม่มีอาการ ชีวิตอยู่เป็นปกติดีก็ไม่ได้ตัดออก อยู่ไปจนวันหนึ่งเกิดปวดขึ้นมา จึงค่อยถูกผ่าตัดออก รายที่ไม่มีอาการพบนานเกิน 10 ปีก็มีอยู่มาก จึงอยู่ที่เหตุผลและความจำเป็นของแต่ละบุคคลไป

ก้อนตามตัว : พบบ่อยทั้งมีอาการและไม่มีอาการ ที่สำคัญต้องสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าก้อนโตเร็ว สีเปลี่ยนไปก็ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อผ่าตัดออกทันที อาจกลายเป็นเนื้องอกแบบมีพิษได้ โดยเฉพาะก้อนที่เต้านม คลำพบได้เมื่อใดต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเอาออกแต่เนิ่น ๆ ทีเดียว

ในภาพรวมโรคในร่างกายมีหลายรูปแบบ แต่ละคนแต่ละโรคไม่เหมือนกัน จะเอาเป็นบรรทัดฐานแบบใช้ทั่ว ๆ ไปไม่ได้ ตัวอย่างอีกหนึ่งอย่างที่จะขอคุยวันนี้ คือ เส้นเลือดหัวใจ เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าตีบลง แต่อาการเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะตัดสินใจอย่างไรดี

คนไข้ชายอายุ 82 ปี ชีวิตประจำวันเป็นปกติดี ไม่เจ็บอก ไม่เหนื่อย ขึ้นบันได 2-3 ชั้นช้า ๆ ได้ เห็นเขาตรวจเดินสายพานกัน ลองไปตรวจดูบ้าง แพทย์ดูจากกราฟตรวจหัวใจบอกว่าเส้นเลือดหัวใจตีบ แนะนำให้พบแพทย์หัวใจเพื่อดำเนินการฉีดสีดูต่อ
   
คนไข้รายนี้มีความรู้ดีคิดว่าหากทิ้งไว้นานเวลามีอาการเกรงจะมากขึ้น จึงอยากตรวจและแก้ไขสิ่งผิดปกติไปเลย วันที่แพทย์นัดฉีดสีเข้าหลอดเลือดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อดูว่าเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจถูกอุดตันมากน้อยเพียงใด ผมได้มีโอกาสเข้าไปดูด้วยที่ห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด รพ.ศิริราช ทีมแพทย์คนไข้รายนี้ นพ.ดำรัส ตรีสุโกศล, นพ.สำรวย กริดกระโทก, ชัชญาภา ศรีพรม และ สุรีย์ โพธาราม ด้วยการประสานงาน นพ.ยงยุทธ และ พญ.จิราศรี วัชรดุลย์ ร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย

แพทย์ได้พบจุดที่อุดตันของหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ได้ใช้บอลลูนขยายและใส่ขดลวดชุบน้ำยาคาไว้บริเวณที่ตีบคนไข้รู้สึกตัวดีตลอด เพียงใช้ยาชาเฉพาะที่ราว 2 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย อยู่โรงพยาบาลหลังทำ 1 คืนก็กลับบ้านได้

ที่คุยมาเป็นตัวอย่างของเรื่องเจ็บป่วย แม้จะไม่มีอาการหากได้ตรวจพบก็ควรให้การรักษาให้เรียบร้อย รอมีอาการจะยุ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงวัยควรตรวจดูเรื่องหัวใจไว้ด้วย.

นพ.สุวิทย์ เกียรติเสวี
suvit.kiatisevi@gmail.com




หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 13, 2013, 10:02:07 am
บิ๊ก อย.เตือนกินเจระวัง "สารเคมีตกค้างในผัก" ชี้ระยะยาวเสี่ยงความจำเสื่อม-เป็นหมัน-มะเร็งลำไส้
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1380877529&grpid=&catid=09&subcatid=0902-

อย. แนะนำ วิธีการเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ให้ปราศจากสารพิษตกค้างจากสารฆ่าแมลงในช่วงเทศกาลกินเจ เพราะหากผู้บริโภคได้รับสารฆ่าแมลงเข้าไปในร่างกายเป็นเวลานานจะทำให้การทำงานของระบบอวัยวะภายในร่างกายผิดปกติ อาจถึงขั้นเป็นมะเร็งได้

         
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่าในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ มีผู้นิยมรับประทานอาหารเจเป็นจำนวนมาก โดยผักผลไม้ เป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญของอาหารเจ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยในเรื่องความปลอดภัยจากการรับประทานผักผลไม้ เนื่องจากที่ผ่านมามักพบปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือสารฆ่าแมลง ดังนั้น จึงขอแนะนำให้เลือกซื้อผักที่มีสภาพสดใหม่ สะอาด ไม่มีลักษณะแข็งหรือกรอบจนเกินไป ไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก ไม่มีเชื้อรา ไม่มีสีผิดจากธรรมชาติ ไม่มีเศษดินหรือสิ่งสกปรกเกาะเป็นคราบติดอยู่ และที่สำคัญต้องไม่มีคราบสีขาวของสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่


นอกจากนี้ควรเลือกซื้อผักที่มีรูพรุนจากการเจาะของแมลง ซึ่งอาจแสดงว่าผักนี้ไม่ใช้สารฆ่าแมลง  ส่วนการเลือกซื้อผลไม้ ต้องดูที่ผิวสดใหม่ ขั้วหรือก้านยังเขียวและแข็งเปลือกไม่ช้ำหรือดำ ที่สำคัญหลังจากที่ซื้อผักผลไม้มาแล้วนั้น ควรทำความสะอาดก่อนนำไปรับประทานหรือนำไปปรุงอาหาร เพื่อลดสารพิษตกค้าง จากสารฆ่าแมลง โดยวิธีการล้างผักผลไม้มีหลายวิธีที่จะแนะนำ ดังนี้  ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต  (เบ็คกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำอุ่น 20 ลิตร แช่นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 80-95%หรือเด็ดผักเป็นใบ ใช้น้ำสะอาดไหลผ่านหลายๆครั้ง จะช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้  54-63% หรืออาจจะใช้ด่างทับทิม 20-30 เกร็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างลงได้ 35-43% หรือใช้น้ำส้มสายชูที่มี  1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด จะสามารถช่วยลดปริมาณสารพิษลงได้ 29-38% หรือใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณสารตกค้างได้ 27-38%อย่างไรก็ตามผักผลไม้ที่จะต้องปอกเปลือก ควรล้างน้ำให้สะอาดก่อนปอกเปลือก

       

รองเลขาธิการ ฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ขอให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ หากเลือกซื้อหรือล้างผักผลไม้อย่างไม่ถูกวิธี อาจได้รับอันตรายจากสารเคมีตกค้างได้โดยถ้าได้รับในปริมาณมาก อาจแสดงอาการภายใน 2-3 ชั่วโมง อาการที่พบได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ท้องร่วง เป็นต้น แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย แต่บ่อยครั้ง เป็นเวลานานในระยะยาวอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังแห้ง ความจำเสื่อม เป็นหมัน มะเร็งลำไส้ เป็นต้น

 

ฉะนั้น จึงขอย้ำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อและล้างผักผลไม้ให้ถูกวิธี เพราะนอกจากจะลดสารพิษที่ตกค้างอยู่ได้แล้วยังจะคงคุณค่าสารอาหารทั้งวิตามินและแร่ธาตุได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 13, 2013, 10:13:21 am
วางแผนสู่"วัยทอง" ความสุขหลังเกษียณ
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UTXdNalF3TlE9PQ==&subcatid=-
รายงานพิเศษ


ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว และคาดการณ์ว่าจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าในวัยเกษียณน่าจะเป็นวัยที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ความเป็นจริงผู้สูงอายุกลับต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยาก เพราะไม่ได้เตรียมพร้อมกับชีวิตวัยสูงอายุไว้ล่วงหน้า

พญ.ภัทรวรรณ ขันธ์แก้ว จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ร.พ.มนารมย์ อธิบายว่า เมื่ออายุมากขึ้นหรือแก่ขึ้นก็มักจะเกิดความเจ็บป่วย เช่น ปัญหาความจำ ปัญหาเกี่ยวกับไขข้อและกระดูก ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น-ได้ยิน การกลั้นปัสสาวะไม่ได้ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น ส่งผลต่อภาวะจิตใจจนอาจกลายเป็นปัญหาทางอารมณ์ได้

"สังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะไม่จ้างคนอายุ 45 ปีขึ้นไปเข้าทำงาน จึงพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในที่สุดจึงถูกมองว่าเป็นภาระของครอบครัวและสังคม ประกอบกับการสูญเสียเพื่อนวัยเดียวกัน และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน"

สำหรับครอบครัวที่ยังมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่ ลูกหลานควรให้การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สังคมควรมองผู้สูงอายุด้วยความเมตตาและให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บอกด้วยว่า วัยหนุ่มสาวที่ชีวิตเป็นช่วงขาขึ้น ต้องฝึกวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงชีวิตให้ดี เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุข เริ่มต้นจากวางแผนการเงินในอนาคต และเรื่องที่อยู่อาศัย ทำงานอดิเรกที่ชอบ พร้อมพัฒนาอารมณ์ให้มั่นคง รู้จักหาความสุขและความสนุกสนานได้เสมอจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น กับเพื่อนฝูง กับครอบครัว กับอาชีพการงานที่ทำอยู่ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ประนีประนอมและยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น จะปรับตัวในวัยสูงอายุ ได้ดีขึ้น

"เมื่อพัฒนาและเตรียมความพร้อมให้ตนเองแล้ว ก็ควรเผื่อแผ่สู่สังคมด้วยการช่วยกันรณรงค์เรื่องปัญหาผู้สูงอายุ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุเสียใหม่แทนที่จะมองว่าเป็นภาระครอบครัวและสังคม แล้วหันมาให้ความเห็นอกเห็นใจและ ทำกิจกรรมที่สนุกสนานและเป็นประโยชน์ร่วมกัน" จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

สำหรับผู้ที่ก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว ปฏิบัติตนให้มีความสุขได้ ด้วยการยอมรับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบัน ค้นหาเพื่อนใหม่ๆ ปรับความคิดให้รู้จักยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามยุคสมัย ลดการบ่นหรือการตำหนิติเตียนลูกหลานหรือคนรุ่นใหม่ รักษาอารมณ์ให้สดชื่นอยู่เสมอ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 19, 2013, 08:39:01 pm
5 เคล็ดลับบอกลา "เบาหวาน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2556 18:32 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000131238-


โดย : สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย
       
       การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่องในประชากรทั่วโลก และการรักษาที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้ในปี 2534 สหพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ได้ร่วมกันกำหนดให้วันที่ 14 พ.ย.ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อเชิญชวนให้ทุกประเทศร่วมรณรงค์ปัญหาโรคเบาหวาน มีการจัดกิจกรรมวันเบาหวานโลกทุกปีต่อเนื่องมาตลอด
       
       อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของปัญหากลับทวีมากขึ้น ไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดหรือชะลอลง ทั้งนี้ IDF และประเทศสมาชิกกว่า 150 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ได้เห็นพ้องว่าโรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขของทุกประเทศทั่วโลก เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นภาระทางเศรษฐกิจและสังคม จึงร่วมกันนำประเด็นโรคเบาหวานเข้าสู่ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติและสมัชชาได้ผ่านญัตติ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2549 (UNR 61/225) ให้โรคเบาหวานเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ ให้มีการดำเนินนโยบายจัดการและควบคุมโรคในระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง และให้วันที่ 14 พ.ย. เป็นวันเบาหวานโลกที่เป็นทางการขององค์การสหประชาชาติด้วย
       
       แม้มีการรณรงค์อย่างแพร่หลาย แต่ข้อมูลล่าสุดของ IDF พบว่า ขณะนี้ผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 371 ล้านคน หากไม่ดำเนินการใดๆ คาดว่าใน พ.ศ.2573 ผู้ป่วยเบาหวานจะเพิ่มขึ้นเป็น 552 ล้านคน โดยร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นประชากรในประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มองเห็นถึงภัยเงียบของโรคเบาหวานซึ่งกำลังคุกคามสุขภาพประชาชนไทย เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ได้ประสานความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รณรงค์ให้สังคมไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากโรคเบาหวาน
       
       เพื่อให้การรณรงค์มีน้ำหนักและสอดคล้องกันทั่วโลก ในแต่ละปี IDF จะกำหนดหัวข้อ คำขวัญ ข้อมูลและภาพที่ต้องการสื่อสาร ส่งให้ประเทศสมาชิกนำไปสื่อสารสู่สาธารณะในบริบทของตน ให้มีการรับรู้อย่างทั่วถึงและสร้างความตื่นตัว ใน 5 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี พ.ศ.2552 - พ.ศ.2556 เรื่องที่รณรงค์คือ “Diabetes Education and Prevention” หรือ “การให้ความรู้และป้องกันโรคเบาหวาน” คำขวัญสำหรับปี 2556 คือ “พิทักษ์อนาคตไทย พ้นภัยเบาหวาน” ข้อความที่ต้องการสื่อสาร คือ จำนวนประชากรที่เป็นเบาหวานในขณะนี้ ผู้ที่เป็นเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอยู่ ผลร้ายที่เกิดจากโรคเบาหวาน และ คนที่เป็นเบาหวานไม่ต่างจากคนทั่วไปต้องไม่แบ่งแยกออกจากสังคม

  โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรือร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์และถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ดังนั้น การที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมากกว่าปกติ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ในระยะยาวจะทำลายเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย หลอดเลือด ระบบประสาทส่วนปลาย และอวัยวะอื่นๆ นำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ตา ไต เส้นประสาทและสมอง หัวใจ หรือเกิดปัญหาที่เท้า รวมทั้งแผลเรื้อรังที่เกิดจากโรคเบาหวาน
       
       สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถป้องกันโรคเบาหวานได้เองง่ายๆ โดยใช้เคล็ดลับ “ใส่ใจ 3 อ. บอกลา 2 ส. ต้านโรคเบาหวาน” ประกอบด้วย ใส่ใจ 3 อ. ได้แก่ 1.อาหาร โดยเลือกรับประทานอาหารไม่หวานจัด มันน้อย เค็มน้อย รับประทานปริมาณเหมาะสม มีผักและผลไม้พอเหมาะ 2.ออกกำลังกาย ประมาณ 50-60 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ หรือให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ และ 3.อารมณ์ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม บอกลา 2 ส. ได้แก่ 1.งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงจากสถานที่ที่มีควันบุหรี่ และ 2.งดดื่มสุรา
       
       สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน สามารถทำความรู้จักและเข้าใจโรค เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยใช้เคล็ดลับเดียวกัน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียง และลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยรับคำแนะนำ / การรักษาโดยตรงกับแพทย์และทีมงาน ทำให้เกิดความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการใช้ยารักษา ควรเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ การกินยาบางชนิดหรือยาสมุนไพรอาจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเลือกผลิตภัณฑ์หรือยาเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว การรักษาที่ได้ผลตามเป้าหมายจะลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วย ความพิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
       
       การเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้เกิดความพิการทางด้านร่างกาย และกระทบต่อการประกอบอาชีพ รายได้ของผู้ป่วยและครอบครัว ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทุก ๆ 100 คนจะมีผู้เป็นเบาหวานถึง 7 คน ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จึงมีความจำเป็นที่คนไทยทุกคนต้องรู้จักโรคเบาหวาน ตระหนักถึงปัญหาและภัยของโรคเบาหวาน มีความตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพของตนเอง รู้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น มีการตรวจค้นหาและวินิจฉัยโรคเบาหวานให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมทั้งเพิ่มประสิทธิผลในการดูแลรักษาโรค ซึ่งจะช่วยลดอัตราความพิการ การเสียชีวิตที่เกิดจากโรคเบาหวาน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป

---------------------------------------------------------------------------------------

ออกกำลังกายอย่างไร ลดโรคกระดูกพรุน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 ตุลาคม 2556 09:40 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000130972-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714201.JPEG)

“การออกกำลังกาย” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน นอกจากเป็นการสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรงแล้ว ยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกได้อีกด้วย
       
       นพ.อรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ รองประธาน มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยฯ อธิบายถึงการออกกำลังกายที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อความแข็งแรงของกระดูก ว่า วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เพื่อเป็นต้นทุนสำหรับการสร้างเนื้อกระดูก และวิตามินดี ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และต้องทำร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อกระดูก การออกกำลังกายที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันโรคกระดูกพรุน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
       
       1. การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก คือ การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก โดยเฉพาะการลงน้ำหนักต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งชนิดของการออกกำลังกายและระดับความหนักเบาในการกระแทกหรือการลงน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับช่วงวัยและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
       2. การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะกระดูกและกล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อจะทำหน้าที่ช่วยพยุงกระดูกส่วนต่างๆ รวมถึงการทรงตัวของร่างกาย และถึงแม้กระดูกจะแข็งแรง หากถูกกระแทกจากการหกล้มบ่อยๆ ก็ส่งผลเสียกับกระดูกเช่นเดียวกัน
       “เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงในระยะยาว การดื่มนมเป็นประจำทุกวัน เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมและวิตามินดีสูงควบคู่กับการออกกำลังกายที่ถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งสร้างพฤติกรรมเสริมสุขภาพที่ดีให้กับตัวเองด้วยการ ลด ละ เลี่ยง พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายทำลายกระดูก เช่น ลดหรือเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซ้ำๆ ไม่หลากหลาย หรือแม้แต่การใส่รองเท้าส้นสูง การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว และควรให้ร่างกายได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดี” นพ.อรรถฤทธิ์ กล่าว
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2013, 07:34:48 am
รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (1)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กันยายน 2556 14:24 น.
-http://www.thaiday.com/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000113944-


ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
       
       เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายท่านมักพบว่าตนเองมีความคิดอ่านช้าลง ใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น หลงลืมง่ายขึ้น จนอาจเกิดความกังวลว่าตนเองมีอาการหลงลืมตามวัยที่เพิ่มขึ้นหรือว่าได้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมแล้ว
       
       โรคสมองเสื่อม เป็นภาวะที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ โดยเฉพาะด้านความจำเป็นหลัก ร่วมกับสูญเสียความสามารถด้านอื่นๆ ของสมองด้วย เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ การใช้เหตุผล การควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ ฯลฯ และอาจพบการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ พฤติกรรม และบุคลิกภาพในผู้ป่วยสมองเสื่อมได้เช่นกัน ซึ่งอาการเหล่านี้มักส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ โดยในขณะที่เกิดภาวะสมองเสื่อมนี้ ผู้ป่วยจะยังมีสติและรู้สึกตัวดีอยู่

   
       โรคสมองเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากพยาธิสภาพของร่างกาย เช่น เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ผู้ที่มีแนวโน้มจะเกิดสมองเสื่อมจากสาเหตุนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง สูบบุหรี่จัด ซึ่งอาจทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดสมองลดลง เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดสมอง และส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ นอกจากนี้สมองเสื่อมยังอาจเกิดได้จากการมีเนื้องอกในสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ภาวะต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ • การติดเชื้อในสมอง ซึ่งเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อ HIV และเชื้อวัณโรค การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน B1 (ในผู้ดื่มสุราจัด) B12 (ในผู้ที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก) และกรดโฟลิก ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยที่มีอาการชัก หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเวลานาน การได้รับสารพิษบางชนิดมากเกินไป หรือไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนซึ่งก็คือกลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ นั่นเอง
       
       ปัจจุบันพบผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมประมาณร้อยละ 5 ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20-40 ในผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป
       
       อาการของโรคสมองเสื่อมนั้น แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ผู้ป่วยมักจะมีปัญหาด้านความจำ หลงลืมง่าย โดยจะสูญเสียความทรงจำระยะสั้นๆ ก่อน เช่น เมื่อเช้ากินอะไร วางแว่นตาไว้ที่ไหน ต่อมาก็จะเริ่มสูญเสียความทรงจำระยะยาวขึ้น เช่น จำวัน เวลาไม่ได้ หรือสับสนจำวันผิด อาจมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิดง่ายขึ้น ควบคุมอารมณ์ลำบากขึ้น ไม่สามารถทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ แต่ยังสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ ระยะกลาง ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการดูแลสุขอนามัยตนเอง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ควบคุมการขับถ่าย การแต่งตัว การรับประทานอาหาร จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้ดูแลในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เป็นบางส่วน
       
       ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำระยะยาว เช่น จำเหตุการณ์สมัยยังเด็กไม่ได้ จำญาติใกล้ชิดไม่ได้ จำชื่อตนเองไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการทรงตัว การยืน การเดิน และบางรายอาจมีพฤติกรรมเดินไปเดินมาไร้จุดหมาย หรือหลงออกนอกบ้านแล้วจำทางกลับบ้านไม่ได้ ระยะนี้ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพาผู้ดูแลในทุก ๆ ด้านของชีวิต อย่างไรก็ตาม แต่ละช่วงระยะเวลาอาจใช้เวลาไม่เท่ากันในผู้ป่วยแต่ละราย และอาการในแต่ระยะอาจมีความคาบเกี่ยวกันได้
       
       โปรดติดตามแบบคัดกรองผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์จากญาติหรือผู้ดูแลในครั้งหน้า


--------------------------------------------------------------------

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (2)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 กันยายน 2556 05:38 น.
-http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9560000117159-

 ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
       
       ปัจจุบันมีแบบคัดกรองผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์จากญาติหรือผู้ดูแล ซึ่งพัฒนาโดย ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ และณภัทร อังคะสุวพลา
       
                                                        ญาติของท่านมีอาการต่อไปนี้หรือไม่

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9111.0;attach=2201;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9111.0;attach=2201;image)

 ข้อละ 1 คะแนน รวมคะแนนในข้อ 1-11 และนำมาเทียบดังนี้
       น้อยกว่า 4 คะแนน เป็นคนปกติ
       มากกว่า 4 คะแนน เข้าข่ายภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์
       
       หมายเหตุ แบบทดสอบนี้เป็นเพียงการคัดกรองภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์เท่านั้น ไม่สามารถคัดกรองภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นได้ อย่างไรก็ตาม หากญาติของท่านทำแบบทดสอบแล้วเข้าข่ายว่ามีภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ ควรมาพบจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา หรืออายุรแพทย์สาขาปัจฉิมวัย เพื่อรับ
       การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
       
       ครั้งหน้าพบการรักษาและป้องกันโรคสมองเสื่อมค่ะ

---------------------------------------

รู้เท่าทันโรคสมองเสื่อม (จบ)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กันยายน 2556 08:13 น.
-http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000120602-


ผศ.พญ.กอบหทัย สิทธิรณฤทธิ์
       ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

       คงจะดีไม่น้อย หากสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ผล แต่น่าเสียดายทำได้เพียงชะลออาการเท่านั้น
        ภาวะสมองเสื่อมอาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ถ้าเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจใช้เวลานาน 5-6 ปี แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แตกหรือตัน จะใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในสมอง ใช้เวลาสั้นเพียง 1-2 สัปดาห์ก็มี

       นอกจากนี้ โรคทางจิตเวชหลายโรคอาจมีอาการคล้ายโรคสมองเสื่อมได้ เช่น โรคซึมเศร้า และโรคจิต นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาแยกโรคสมองเสื่อมออกจากผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ สับสนจากสาเหตุทางกาย ซึ่งมักจะรู้สึกตัวไม่ค่อยดี หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับการรู้สึกตัวในระหว่างวันได้ เช่น อาการสับสนที่เกิดขึ้นภายหลังการชัก ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย เป็นต้น
       ในการรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม จะมีทั้งจิตแพทย์ อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยาและสาขาปัจฉิมวัยร่วมกัน แต่จะรักษากับใครก่อน ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยจะสะดวกไปพบแพทย์ และจะหายขาดหรือไม่ ต้องดูว่าโรคสมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุใด
       โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 15 ของผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าสาเหตุนั้นเกิดจากภาวะเลือดคั่งที่ผิวสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว ขาดวิตามิน B ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เกิดจากเยื่อหุ้มสมองบริเวณฐานสมอง หรือลมชักที่ไม่ได้รับการควบคุมรักษาที่ดีและถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อไม่ให้สมองถูกทำลายไปมาก และสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจหลงเหลืออาการของภาวะสมองเสื่อมในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เช่นกัน
       เมื่อตัดสินใจไปรับการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติจากผู้ป่วยและผู้ดูแลใกล้ชิด ตรวจร่างกายและตรวจสภาพจิตใจ (รวมถึงตรวจการทำงานของสมอง) ตรวจเลือด เพื่อแยกว่าผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อมจริงหรือเป็นเพียงอาการหลงลืมตามวัยเท่านั้น และหากมีภาวะหลงลืมจริง สาเหตุนั้นเกิดจากอะไร รวมถึงประเมิน ปัญหาในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมร่วมกับประเมินสภาพจิตใจของผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย บางรายแพทย์อาจส่งเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเจาะตรวจน้ำไขสันหลังเพิ่มเติมประกอบการวินิจฉัยด้วย จากนั้นแพทย์จะรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมก่อน
        หากไม่สามารถรักษาได้ จะแก้ไขด้วยการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยร่วมกับการให้ยาชะลอภาวะสมองเสื่อม และ/หรือให้ยาเพื่อควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม หรือภาวะอื่นทางจิตเวชที่พบในผู้ป่วยสมองเสื่อมควบคู่กันไป (ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ได้ผล) อย่างไรก็ตามยังไม่มียาตัวใดในปัจจุบันที่สามารถรักษาภาวะสมองเสื่อมให้หายขาดได้ เป็นเพียงชะลอการดำเนินโรคของภาวะสมองเสื่อมเท่านั้น
       อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีระดับการศึกษาสูง ไม่สูบบุหรี่ มีการใช้ความคิดวางแผนแก้ปัญหาเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ่อย ๆ และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง หรือถ้าเป็นโรคดังกล่าวแล้วพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในภาวะปกติ ก็อาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2013, 08:17:39 am
หลากวิธีแก้โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis) อย่างได้ผล

-http://club.sanook.com/10882/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87-


ช่วงนี้ยังคงมีฝนตกบ้างประปราย บางครั้งการเดินทางในแต่ละวัน ก็อาจจะต้องเจอกับแอ่งน้ำ หรือต้องลุยน้ำฝน ความเปียกชื้นทั้งหลาย จุดนี้บางคนอาจจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่มากๆเลยล่ะค่ะ เพราะความเปียกชื้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ค่ะ โดยเฉพาะกับส่วนที่อับชื้นง่ายเช่นเท้า หรือรองเท้าของเราๆนั่นเอง วันนี้เรามีข้อแนะนำเกี่ยวกับปัญหา และวิธีแก้ไขโรคเท้าเหม็นมาให้อ่านกันค่ะ

บางคนอาจจะมองว่า ปัญหาเท้าเหม็น นั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดกับทุกคนได้ถ้าใส่รองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนัง หรือรองเท้าที่มีการระบายต่ำ ถอดรองเท้าออกมาก็น่าจะเกิดกลิ่นเหม็นกันทุกคน ซึ่งไม่จริงเสมอไปเพราะบางคนที่ถึงจะใส่รองเท้าหรือถุงเท้ายังไงเท้าก็อาจจะไม่เหม็นเลย ปัญหาเท้าเหม็นนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่า เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าปัญหาเท้าเหม็นนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง ทำไมบางคนเหม็นแบบสุดๆ แต่บางคนกลับไม่มีกลิ่นเลย

 โรคเท้าเหม็น

 

ปัญหาเท้าเหม็นเกิดจาก

สาเหตุที่ทำให้เท้าของเราเหม็นนั้นไม่ได้เกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าเราโดยตรง แต่เกิดจากแบคทีเรียที่อยู่ที่เท้าของเราต่างหากที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเน่าออกมา โดยเชื้อแบคทีเรียที่ว่ามันก็จะไปทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ออกผสมผสานกันอย่างลงตัวจนได้กลิ่นมาดามเฉพาะตัวออกมา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เอามากๆ และอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าบางคนที่เท้าเหม็นมากๆนั้นจริงแล้วเค้าเป็น “โรคเท้าเหม็น” หรือ Pitted Keratolysis ซึ่งอาการที่จะสังเกตได้ก็คือ เท้าจะเหม็นอย่างรุนแรง อาจมีหลุมเล็กๆบริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า บางครั้งเวลาสวมถุงเท้าและถอดออกถุงเท้ามักจะแนบติดกับตัวเท้าจะหนืดนิดนึงเวลาถอด ซึงหากใครเป็นโรคเท้าเหม็นแล้วก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ บางครั้งการเข้าไปปรึกษาแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้

 

แต่ก่อนที่เราจะไปหาหมอเพื่อให้หมอช่วยรักษาอาการเท้าเหม็นนั้น บางทีเราก็ไม่อยากไปหาหมอสักเท่าไร เพราะคงไม่มีใครมีความสุขเวลาไปหาหมอแน่ หากเราสามารถรักษา บำบัด และป้องกันปัญหาเท้าเหม็นด้วยตนเองได้ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างแรกก็คือไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาหมอ และไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาค่ายา ทีนี้เราจะแยกวิธีการแก้ปัญหาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆก็คือ

    แก้ปัญหาที่เท้าของเรา
    แก้ปัญหารองเท้า + ถุงเท้าที่เราสวมใส่

เรามาดูวิธีแก้ปัญหาเท้าเหม็นไปทีละข้อกันค่ะ
1. แก้ปัญหาเท้าเหม็นที่เท้าของเรา

แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือ

เป็นวิธีการง่ายๆแต่ได้ผลดีมากก็คือต้มน้ำให้เดือดและทิ้งไว้ให้พออุ่น จากนั้นใส่เกลือแกงที่เรากินกันนี่แหละลงไปในน้ำที่เตรีมไว้ จากนั้นก็เอาเท้าลงแช่ประมาณ 15-20 นาที ทำอย่างนี้ทุกวัน ภายใน 1 เดือนอาหารเท้าเหม็นของเราจะทุเลาลงได้ เท้าจะเหม็นน้อยลงหรืออาจจะหายไปเลยก็ได้

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/dettol.png)
แช่เท้าในน้ำยาเดทตอล

หาซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอลที่เป็นขวดน้ำสีส้มๆมาโดยเอาผสมกับน้ำในถังหรือกะละมังที่เตรีมไว้ เวลาแช่ก็ให้เอาแปรงที่ใช้ขัดเท้าขัดทำความสะอาดไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณซอกเล็บกับง่ามนิ้วเท้าต้องขัดเป็นพิเศษเพราะเชื้อแบคทีเรียจะอยู่แวนั้นเยอะ ขัดทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้เท้าหายเหม็นแน่นอน

โรคเท้าเหม็น

แช่เท้าในน้ำยาบ้วนปาก

อีกหนึ่งสูตรการแช่เท้าก็คือไปหาซื้อน้ำยาบ้วนปากมาสักขวด เอายี่ห้ออะไรก็ได้ จากนั้นก็เทลงผสมกับน้ำสัก 2 ฝา แล้วก็นั่งแช่ไปเรื่อยๆตามความพอใจ เอาจนเท้าเปื่อยเลยก็ได้ น้ำยาบ้วนปากจะมีตัวยาที่ใช้ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ดีเช่นกัน แช่เป็นประจำก็ช่วยแก้ปัญหาเท้าเหม็นได้เหมือนกัน แต่จะเปลืองตังค์หน่อยนะ

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/01.jpg)
ขัดเท้าด้วยสารส้ม

หาซื้อสารส้มมาสัก  1 ก้อน แล้วก็เอาถูให้ทั่วเท้าทั้งฝ่าเท้า ง่ามเท้า หลังเท้า ทำเวลาอาบน้ำก็ได้อาบน้ำไปถูเท้าไป สารส้มเป็นยาระงับกลิ่นอย่างดี นอกจากเอามาขัดเท้าแล้วก็เอามาถูจั๊กแร้สำหรับคนที่มีกลิ่นตัวกลิ่นเต่าแรงๆได้ผลดีสุดๆ แต่ทาบ่อยๆผิวบริเวณนั้นจะตึงและอาจจะแตกได้นะ

โรคเท้าเหม็น

 
(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/10/Baking-soda.jpg)
ขัดเท้าด้วยเบคกิ้งโซดา

ซื้อเบคกิ้งโซดาหรือผงฟูที่เราเอามาทำขนม เช่น ซาลาเปา ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ นั่นแหละ มันจะเป็นเม็ดละเอียดๆสีขาวๆ เอามาผสมในน้ำพอให้ข้นๆ จากนั้นก็เอามาทาให้ทั่วเท้าแล้วใช้แปรงขัดทุกมุมของเท้าให้สะอาด เบคกิ้งโซดาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำความสะอาดเท้าไปในตัวได้ หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอร์รี่ทั่วไป ไม่แพงด้วยซองเล็กประมาณ 10-12 บาท

โรคเท้าเหม็น

 
2. แก้ปัญหารองเท้า + ถุงเท้าที่เราสวมใส่

ซักรองเท้าถุงเท้าให้สะอาด

การซักรองเท้าเราให้สะอาดนั้นหากเป็นรองเท้าผ้าใบก่อนอื่นก็เอารองเท้าไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเดทตอลซะก่อน ทิ้งไว้สัก 20 นาที แล้วก็สักด้วยผงซักฟองตามปกติ จากนั้นก็เอาไปตากแดดยิ่งจัดยิ่งดี ตากให้แห้งสนิทเพราะถ้าไม่แห้งแล้วมันก็จะเหม็นได้ง่ายมาก ส่วนถุงเท้านั้นก่อนสักก็เอาไปแช่ในน้ำร้อนก่อนสักครึ่งชั่วโมง แล้วก็ซักด้วยผงซักฟอกตามปกติตากให้แห้งสนิม จะได้ไม่มีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เท้าเหม็นติดอยู่ ช่วยลดความเหม็นไปได้เยอะ

อย่าใส่รองเท้าคู่เดิมซ้ำๆกัน

เรื่องถุงเท้าคงไม่ต้องบอกนะว่าไม่ควรใส่ซ้ำ แต่มีบางคนช่วยใส่ถุงเท้าซ้ำแบบว่าขี้เกียจซัก อันนี้เลือกทำซะมันเท้าให้เท้าเหม็นมาก ส่วนรองเท้านั้นเราไม่ควรใส่คู่เดิมติดต่อกันเกิน 2 วัน เต็มที่ไม่เกิน 3 วัน จะได้ไม่สะสมเชื้อโรคมากนัก ให้มันได้พักเอาไปตากแดดบ้างอย่างน้อยก็สัก 24 ชั่วโมง สับเปลี่ยนใส่กันไปก็ช่วยลดความอับความเหม็นของเท้าได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนพื้นรองรองเท้าใหม่เป็นประจำ

พื้นรองรองเท้าไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนังที่ขาด จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นที่เท้าชั้นดี เพราะฉะนันหากพื้นรองรองเท้าของเราเกิดขาดเป็นรูขึ้นมา ก็หาซื้อพื้นรองเท้าที่มีวางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปมาเปลี่ยนซะ BigC ,  Lotus มีหมดตามแผนกขายรองเท้านั่นแหละ คู่ละไม่กีบาท บางทีแค่เปลี่ยนพื้นรองรองเท้าอาจช่วยให้เท้าหายเหม็นเลยก็ได้

โรคเท้าเหม็น

 

ปัญหาเท้าเหม็นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนอกจากจะส่งผลต่อคนรอบตัว หรือผู้ร่วมงานที่ได้สัมผัสกับกลิ่นแล้ว ยังส่งผมลต่อบุคลิกภาพของเราในสายตาของคนอื่นด้วย หน้าตาดี แต่งตัวดี แต่ถอดรองเท้าออกมาเหม็นเป็นปลาเน่า คะแนนก็อาจจะติดลบเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นดูแลใส่ใจเท้าและรองเท้าของเราให้ดี เพื่อเท้าที่หอมของเรา เพื่อตัวคุณและคนที่คุณรัก “วันนี้คุณซักรองเท้าแล้วหรือยัง?”

 

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ :: healthbeautydd.blogspot.com

----------------------------------------------------------------------

20 วิธีช่วยตัวเองให้มีความสุข

-http://club.sanook.com/11926/20-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7-

การทำงานเป็นสาเหตุของความเครียดได้เสมอ ไม่ว่าความเครียดนั้นจะมาจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวเนื้องานเอง  นอกจากจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย    การมีความกดดันในที่ทำงานบ้างเป็นสิ่งที่ดี เพราะ มันจะช่วยให้คุณปฏิบัติงานได้ดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่มาท้าทาย หรือการกระทำต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าความกดดัน และความต้องการมีมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิด ความเครียดที่สัมพันธ์กับการทำงาน  เพราะแบบนี้เราก็ควรจะมาทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุขดีกว่า

1. เช็ดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อาการสิวขึ้นเป็นแถบที่ข้างแก้ม นั้นคือสิวที่เกิดจากโทรศัพท์ที่เราพูดลงไปทุกวัน ทั้งฝุ่น ทั้งน้ำลาย แต่ไม่ต้องห่วง สำลีชุบแอลกอฮอล์ช่วยคุณได้

2. ช้อนส้อม 1 ถ้วยกาแฟ 1 ฟองน้ำล้างจาน 1 ต้องมี! ไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่ได้ทำตัวเป็นคุณหนู แต่มีไว้ใช้เป็นของส่วนตัวสบายใจ สบายตัวที่สุด เพราะคุณจะรู้หรือว่าใครไม่สบายเป็นอะไรกันรบ้าง แล้วคุณรู้มั้ยว่าฟองน้ำล้างจาน ตรงมุมกาแฟนั้น แม่บ้านเปลี่ยนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

3. อย่าเด็ดขาด! อย่าใส่ชุดสีดำทึม เทาในวันที่ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ไปทำงาน เพราะจะทำให้คุณรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม

4. ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วเชื่อหรือไม่? ว่าอากาศในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำนั้นแห้งได้พอๆ กับทุ่งนากลางแจ้งผิวคุณก็จะขาดความชุ่มชื่นไปได้อย่างไม่รู้ตัว

5. ยิ้มทุกครั้งเวลาที่รับโทรศัพท์ จะช่วยให้เสียงสวยจนปลายสายอยากเห็นหน้า

6. ตั้งกระจกไว้ที่โต๊ะทำงาน ช่วยแก้ฮวงจุ้ยได้บ้าง แต่งานหลักเอาไว้ให้เราได้ฝึกยิ้มอยู่เสมอ ยิ้มบ่อยๆ จะเครียดน้อยลง ใจจะสบายขึ้น

7. โหลดวอลล์เปเปอร์เป็นรูปขำๆ หรือวิวสวยๆ ไว้ที่หน้าจอ พักสายตาได้ดี

8. วางแฮนด์ครีมกลิ่นหอมๆ ถูกใจที่สุด ไว้ไกล้ๆ มือ หาบ่อยๆ กลิ่นหอมจะช่วยผ่อนคลายได้ แถมมือยังนุ่มตามมา

9. เลือกเพลงแจ๊สเบาๆ หรือเป็นเพลงแบบมิวสิคบ็อกซ์  ใสๆ ฟังได้สบายๆ หรือจะเป็นเพลงคลาสสิกก็ดี คลื่นสมองเราจะทำงานได้สงบดีขึ้น แล้วจะเลือกแผ่นไหนดี ให้เลือกเพลงที่ฟังได้เพลินๆ ทำงานไปได้เรื่อย โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียสมาธินั่นละ

10. One free Day แค่อาทิตย์ละวัน วันไหนที่ไม่ต้องมีนัดกับใครไม่ต้องไปประชุมกับลูกค้า ยกเว้นนั้นให้ตัวเองได้ แต่งตัวสบายๆ หยุดพยายามสวยกันสักหนึ่งวัน

11. ขยับตัว ยืดหลัง 2 ครั้ง ต่อวัน เป็นอย่างน้อย

12.วางคริสตัลหรือแท่งแก้ว หินสีไว้ที่โต๊ะทำงาน ศาสตร์ทางฮวงจุ้ยบอกว่าจะช่วยดูดพลังร้ายๆไป ศาสตร์เรื่องหินจะบอกว่า จะช่วยดูดซับพลังความร้อนจากคอมพิวเตอร์ได้

13. มีรองเท้าแตะไว้ที่ใต้โต๊ะ ไว้เปลี่ยนตอนเมื่อยๆจากรองเท้าส้นสูง

14. ซ่อนเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ ไว้พักขา ยืดขาตอนเมื่อยๆ

15. เคลียร์โต๊ะทุกอาทิตย์ เคลียร์เอกสาร ทุก 2 อาทิตย์ เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันในการหาของหรือเอกสารที่ต้องการใช้ ถ้าเรามีโต๊ะที่ยุ่งเหยิง หาอะไรไม่เคยเจอ ยิ่งหายิ่งเครียด หงุดหงิด ทำงานไม่ได้ดี หมอดูเห็นก็จะทำนายว่าชีวิตการงานจะยุ่งเหยิง (แม่นแน่ๆ)

16. ปัดฝุ่นบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ก็ผลิตฝุ่นได้และมากอย่างที่เรานึกไม่ถึงด้วย วันละนิด วันละนิด

17. ลบเมล์ Delete ไฟล์ที่ไม่ใช้ใน Inbox ออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง การทำงานจะง่ายขึ้น หาอะไรก็เจอ ความเครียดก็จะลดลง คล่องตัวขึ้น คอมพิวเตอร์ ก็เร็วขึ้นด้วย

18. Emergency Kit เพื่อความไม่ประมาท ควรมี 4 สิ่งนี้ติดลิ้นชักไว้เสมอ• ผ้าอนามัย แค่สักชิ้นก็พอ เผื่อฉุกเฉิน• แปรงสีฟัน+ยาสีฟัน+ควรใช้หลังอาหารเที่ยง หรือก่อนไปพบลูกค้า• โรลออน หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายแบบแห้งเร็ว สำหรับวันไหนที่ร้อน และเหงื่อออกมากกว่าปกติ• สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ปกติอาจจะไม่มี แต่ถ้าวันนั้นเดินมาก และเจอรองเท้าคู่อับ ก็มีสิทธิ์ได้ออกมาใช้เหมือนกัน

19. ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือเฮดเซ็ท สำหรับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์ทั้งวัน เพราะถ้าคุณเอียงคอ หนีบโทรศัพท์เรื่อยๆ มีโอกาสหมอนรองกระดูกอาจจะเสื่อม

20. รักงาน รักเพื่อน ร่วมงาน ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น เหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกอยู่เสมอง เมื่อรู้สึกดีๆ กับงานที่ทำ กับคนที่ทำงานด้วยกันชีวิตจะเป็นสุข
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 23, 2013, 08:20:35 pm
เป็นตะคริว...ทำอย่างไรดี
-http://health.kapook.com/view860.html-


เป็นตะคริว...ทำอย่างไรดี (Lisa)

       ไม่ใช่เฉพาะนักกีฬาเท่านั้นที่มักเป็นตะคริวที่น่อง หรือที่กล้ามเนื้อต้นขา บางคนมักเป็นตะคริวตอนกลางคืน ซึ่งเจ็บปวดทรมานจนทำให้รบกวนการนอนหลับ

       สาเหตุของตะคริว อาจเกิดจากการเสียเหงื่อมากจนทำให้ร่างกายต้องการแมกนีเซียม โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์หรือเกิดจากร่างกายต้องทำงานหนัก (ออกกำลังกาย) และมีความเครียดสะสมมานาน นอกจากนี้ก็อาจเกิดจากร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ซึ่งเกิดจากการกินยาบางชนิด อาเจียน หรือท้องเสียเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ  หรือโรคเบาหวานก็สามารถทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียมได้ แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ การกินอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ การไดเอ็ท และการขาดน้ำ

       สูญเสียเหงื่อมากกับการออกกำลังกาย จำเป็นต้องให้ร่างกายมีความสมดุลเมื่อสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม จึงต้องเติมน้ำและเกลือแร่ให้แก่ร่างกาย ที่สำคัญคือร่างกายควรได้รับแมกนีเซียมวันละประมาณ 300 มิลลิกรัม

       เล่นเทนนิส ไม่ขาดแมกนีเซียมแต่มักเป็นตะคริว ก็ต้องถามว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ เพราะเมื่อมีเหงื่อออกร่างกายก็จะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ ส่งผลให้เป็นตะคริว จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยที่สุดวันละประมาณ 1.5 ลิตร หากออกกำลังกายก็ให้ใส่เกลือลงไปในน้ำเล็กน้อย (มีโซเดียม) หากออกกำลังกายมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นไปได้ว่าตะคริวเกิดจากการขาดแมกนีเซียมและโซเดียม

       กินกล้วยช่วยป้องกันตะคริวได้มั้ย กล้วยมีสาระสำคัญๆ มากมาย เช่น  โพแทสเซียมและแมกนีเซียม แต่มันต้องใช้เวลานานกว่าจะดูดซึมเข้าเส้นเลือด หากเกิดตะคริวก็ต้องรีบช่วยตัวเองอย่างเร่งด่วน วิธีที่ดีที่สุดคือ ยืดเหยียด นวด และประคบร้อนบริเวณที่เป็นตะคริว

       กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยควรไปพบแพทย์มั้ย หากเป็นตะคริวบ่อยและเกิดขึ้นเกือบทุกเวลาก็ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคบางชนิดหรือหากมีคนในครอบครัวเป็นตะคริวก็อาจเกิดจากพันธุกรรม

       ป้องกันตะคริวได้อย่างไร เราควรบริหารเท้าทุกวัน ยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อน่องและเท้า นวดและประคบร้อนหรือเย็น ทดลองดูว่าแบบใดได้ผลดีกับคุณ หลายคนที่เป็นตะคริวมักใช้หมอนวางใต้เข่าเวลานอนและรู้สึกดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากล้ามเนื้อจะต้องได้รับการยืดเหยียดอย่างเร่งด่วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ลิซ่า(Lisa)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 07:52:11 am
รู้เปล่า? ผลวิจัยชี้ "นอนหลับ" ช่วยกำจัดขยะสมอง

-http://campus.sanook.com/1370103/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/-

ผลงานวิจัยตีพิมพ์ลงในวารสารไซน์ส เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ว่า ระหว่างการนอนหลับสมองจะเกิดกระบวนการกำจัดขยะ และยังเป็นกระบวนการที่ช่วยป้องกันโรคอีกด้วย ซึ่งผลการค้นคว้าดังกล่าวตอบคำถามที่ว่า เพราะเหตุใดมนุษย์จึงต้องใช้เวลานอนหลับถึง 1 ใน 3 ของชีวิต และอาจช่วยรักษาอาการสมองเสื่อมรวมถึงความผิดปกติทางระบบประสาทอื่นๆ ได้อีกด้วย

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์โรเชสเตอร์ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นำโดยนายไมเคน เนเอร์การ์ด ได้ทำการทดลองในหนูทดลอง พร้อมสังเกตการกำจัดเซลล์ขยะ รวมไปถึงโปรตีนที่ชื่อว่าแอมีลอยด์ บีตา โปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการสมองเสื่อม ทางหลอดเลือดเข้าสูระบบหมุนเวียนของร่างกายก่อนที่จะถูกส่งไปยังตับ

นักวิจัยชี้ว่าน้ำหล่อสมองไขสันหลังซึ่งถูกสูบฉีดเข้าไปในสมองจะทำหน้าที่กำจัดขยะดังกล่าวในช่วงเวลาที่กำลังหลับ โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เซลล์หดตัวส่งผลให้น้ำหล่อสมองไขสันหลังสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วสมองได้อย่างรวดเร็วและกำจัดขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตอนที่ตื่นอยู่ถึง 10 เท่า โดยนักวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการดังกล่าวว่าระบบ กลิมพาติก

(ที่มา:มติชนรายวัน 22 ต.ค.2556)

http://campus.sanook.com/1370103/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/ (http://campus.sanook.com/1370103/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 07:59:14 am
ความหมายที่แท้จริงของ “มอก.”

-http://club.sanook.com/12123/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-


ความหมายที่แท้จริงของ “มอก.“

วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับความหมายที่แท้จริงของเครื่องหมาย ” มอก. “  ว่าจริงๆแล้ว เครื่องหมาย ” มอก. ” นี้จะได้มาด้วยวิธีการใดบ้าง และมีประโยชน์ต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างไรกันค่ะ


มอก. คืออะไร

มอก.เป็นคำย่อมาจาก”มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” หมายถึงข้อกำหนดทางวิชาการที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)ได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ผลิตในการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดโดยจัดทำออกมาเป็นเอกสารและจัดพิมพ์เป็นเล่ม

ภายในมอก.แต่ละเล่มประกอบด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น เกณฑ์ทางเทคนิค คุณสมบัติที่สำคัญ ประสิทธิภาพของการนำไปใช้งาน คุณภาพของวัตถุที่นำมาผลิต และวิธีการทดสอบเป็นต้น

ปัจจุบันสินค้าที่สมอ. กำหนดเป็นมาตรฐานปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 เรื่อง ครอบคลุมสินค้าที่เราใช้ อยู่ในชีวิตประจำวันหลายๆ ประเภท ได้แก่ ประเภทอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

 

มอก. มีความสำคัญอย่างไร

มอก. มีประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องในหลายด้านด้วยกัน ดังนี้

ประโยชน์ต่อผู้ผลิต

1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

2. ลดรายจ่าย ลดเครื่องจักร ลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน

3. ช่วยให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ

4. ทำให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น และมีราคาถูกลง

5. เพิ่มโอกาสทางการค้า ในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการที่มีการกำหนดให้สินค้านั้นๆต้องได้รับมอก.


ประโยชน์ผู้บริโภค

1. ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า และ

2. สร้างความปลอดภัยในการนำไปใช้

3. ในกรณีที่ชำรุด ก็สามารถหาอะไหล่ได้ง่าย เพราะสินค้ามีมาตรฐานเดียวกัน ใช้ทดแทนกันได้

4. วิธีการบำรุงรักษาใกล้เคียงกัน ไม่ต้องหัดใช้สินค้าใหม่ทุกครั้งที่ซื้อ

5. ได้สินค้าคุณภาพดีขึ้นในราคาที่เป็นธรรมคุ้มค่ากับการใช้งาน

ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจส่วนรวมหรือประโยชน์ร่วมกัน

1. ช่วยเป็นสื่อกลางเป็นบรรทัดฐานทางการค้า ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความ เข้าใจที่ตรงกัน

2. ก่อให้เกิดความยุติธรรมในการซื้อขาย

3. ประหยัดการใช้ทรัพยากรของชาติ ทำให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด

4. สร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย

5. ป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ

6. สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ


เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

การนำมาตรฐานไปใช้ และประโยชน์ของการมาตรฐาน

ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจาก สมอ. แล้วว่ามีคุณภาพได้มารฐานตามที่กำหนดมีความปลอดภัยในการอุปโภค บริโภค มีประสิทธิภาพในการใช้งาน และมีคุณภาพสมราคา ปัจจุบัน สมอ. กำหนดเครื่องหมายมาตรฐานไว้ 3 ประเภท คือ



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9412.0;attach=2204)

เครื่องหมายมาตรฐานทั่วไป ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคซึ่งผู้ผลิตสามารถยื่นขอการรับรองด้วยความสมัครใจเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามเกณฑ์กำหนดมาตรฐาน

 

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9412.0;attach=2205)

เครื่องหมายมาตรฐานบังคับ เป็นเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิตต้องทำตามมาตรฐาน และต้องแสดงเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

 


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9412.0;attach=2206)

เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เป็นเครื่องหมายที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของรัฐบาล

ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมอก.ได้นั้น ต้องได้รับการตรวจสอบจากสมอ.แล้วว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม ที่กำหนด การตรวจสอบของสมอ. จ ะนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์มาตรวจสอบคุณภาพ ว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งจะตรวจสอบทั้งระบบการผลิตและระบบการควบคุมคุณภาพของโรงงานด้วยว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ ถ้าผ่าน สมอ.จะออกใบอนุญาตให้ผู้ผลิตแสดงเครื่องหมายมอก.ที่ผลิตภัณฑ์ของตนได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่สมอ.กำหนดด้วย หลังจากนั้นสมอ.ก็จะมีการติดตามผลโดยการตรวจสอบระบบควบคุมคุณภาพของโรงงานและสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้งจากโรงงานสถานที่นำเข้าและสถานที่จำหน่ายมาตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมอก. จะมีคุณภาพตามมาตรฐานและโรงงานยังสามารถรักษาคุณภาพไว้ได้ตามที่กำหนด

Credit : krumai.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 08:23:00 am
เครื่องดื่มเพิ่มพุง

-http://men.sanook.com/1471/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%87/-

เครื่องดื่มมีมากมาย ที่เราดื่มกันในแต่ละวัน แต่รู้ไหมว่าน้ำต่างๆที่เราดื่มไปนั้น อาจจะเพิ่มพุงให้เราด้วย มีเครื่องดื่มไรกันบ้าง

1. กาแฟขนาดกลาง 400 Kcal
2. น้ำอัดลมขนาดปรกติ 280 Kcal
3. ชามะนาว 220 Kcal
4. เบียรสด 150 Kcal
5. น้ำส้ม 110 Kcal

กาแฟประเภทต่างๆ

จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก(ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์) แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆอย่างจากคนเรานี่เองทำให้กาแฟจากร้านขายกาแฟขนาด 10ออนซ์ ใส่ครีมและน้ำตาลนั้นมีแคลอรี่มากถึง 120 แคลอรี่, ลาเต้ 230 แคลอรี่ และคาปูชิโน 130 แคลอรี่ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ ทางที่ดีที่สุดถ้ายังอยากดื่มกาแฟอยู่ก็หันไปหากาแฟดำดู ถ้าหากใครที่ยังไม่สามารถทนกับรสชมของมันได้ก็ใส่หญ้าหวานลงไปช่วยก่อนก็ได้

เครื่องดื่มจำพวกซอฟต์ดริ้งค์

เครื่องดื่มจำพวกนี้นั้นสามารถพบเห็นได้ในทุกๆวัน ซึ่งที่มีกันเกลื่อนนั้นก็เพราะมันมีรสที่อร่อย แต่ซอฟต์ดริ้งค์ขนาด 12ออนซ์ นั้นมีแคลอรี่ถึง 150-200 แคลอรี่และมีน้ำตาลมากกว่า 52 กรัม(น้ำตาลมากกว่า 13 ช้อนชา) จินตนาการเมื่อคุณดื่มซอฟต์ดริ้งค์ทั้งหลายแหล่ตอนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ... คุณจะได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกแทบจะเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

ชาที่มีรสหวาน

ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น, ชาดำเย็น หรือชาอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล, นมข้นหวาน, หรืออื่นๆที่ใส่เข้ามาเพิ่มนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

เครื่องดื่มชูกำลัง

เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอาจจะเป็นเครื่องดื่มที่้เฉพาะกลุ่มสักนิดหน่อย แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ ในช่วงลดน้ำหนักนี้ก็ยกเลิกสักพักก็แล้วกัน เพราะเครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน มีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม(6-13 ช้อนชา) เลยทีเดียว

ที่มา : http://www.lovefitt.com/ (http://www.lovefitt.com/)
by Sutthakit

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 08:36:33 am
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 1): อย่าปล่อยให้พวกมันหลอกพวกเราอีกต่อไป
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    4 ตุลาคม 2556 19:08 น.
-http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125053-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107701.JPEG)


ภาพที่ 1: แสดงประวัติศาสตร์เส้นทางเดินของมะพร้าว
       ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       ด้วยความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ได้นำน้ำมันมะพร้าวซึ่ง มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated oil) มาใช้เป็นอาหาร ยา และเครื่องสำอางค์นับเป็นพันๆปี โดยที่คนในสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรคเหมือนกับคนในสมัยนี้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคธัยรอยด์ โรคผิวหนัง ฯลฯ ที่น่าสนใจก็คือแม้โลกจะไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันเรื่องข้อมูลข่าวสารเหมือนกับยุคนี้ แต่คนทั่วโลกที่ใช้น้ำมันมะพร้าวในอดีตต่างรู้สรรพคุณในการใช้ใกล้เคียงกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้งในด้านการปรุงอาหาร เป็นยารักษาโรค ทาแผลจากของมีคมและฟกช้ำ ใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวและเส้นผม ทั้งในอินเดียที่ใช้กันมากว่า 5,000 ปี ชาวปาปัวนิวกินี ชาวปานนามาชาวจาไมก้า ชาวไนจีเรีย โซมาเลีย และเอธิโอเปียชาวแอฟริกากลางและแอฟริกาใต้ ชาวพื้นเมืองในเกาะซามัว ชาวศรีลังกา ชาวฟิลิปปินส์ ชาวอินโดนีเซีย ชาวไทย นิยมใช้น้ำมันมะพร้าวมาปรุงอาหาร คาวหวาน โดยเฉพาะกะทิ ใช้เป็นยา เป็นเครื่องประทินบำรุงผิว รักษาผิว
       
        ด้วยคุณสมบัติที่เป็นน้ำมันพืชที่มีสรรพคุณหลายด้านที่เห็นผลตรงกันในหลายประเทศ ทำให้ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 น้ำมันมะพร้าวจึงกลายเป็นน้ำมันที่นิยมใช้ในการปรุงอาหารและยาทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา แม้ในยุโรปในเวลานั้นก็มีการนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้สำหรับคนป่วยที่มีปัญหาระบบย่อยอาหารหรือการดูดซึมอาหารที่ไม่ดี ตลอดจนใช้สำหรับเด็กเล็กที่ย่อยไขมันชนิดอื่นไม่ค่อยได้ สร้างภูมิคุ้มกัน ฯลฯ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107702.JPEG)
ภาพที่ 2 : แสดงพื้นที่ในกรอบเส้นสีแดงที่เป็นแหล่งของมะพร้าวตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้คิดตามว่าหากคนในโลกนี้เปลี่ยนน้ำมันพืชมาเป็นน้ำมันมะพร้าวประเทศใดจะได้รับประโยชน์สูงสุด

       ต่อมาเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484 -2488) กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองประเทศฟิลิปปินส์และหมู่เกาะต่างๆในย่านเอเชียและแปซิฟิก ส่วนไทยก็เป็นทางผ่านร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นด้วย ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น ทำให้น้ำมันมะพร้าวในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนี้ต้องหยุดส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรฯไปโดยปริยาย
       
        เมื่อน้ำมันมะพร้าวขาดแคลนในสหรัฐอเมริกาจึงทำให้ต้องมีการสานต่อการผลิตน้ำมันพืชชนิดอื่นขึ้นมาแทน ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้มีการคิดค้นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated oil) ขึ้นมา เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันงา น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันคาโนลา น้ำมันถั่วลิสง ฯลฯ ผลก็คือทำให้เกิดการปลูกพืชเหล่านี้กันอย่างแพร่หลายมากในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรในยุคนั้นอย่างมหาศาล และทำให้สมาคมถั่วเหลืองในสหรัฐอเมริกากลายเป็นกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
       
        ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ประเทศญี่ปุ่นตกกลายเป็นผู้แพ้สงคราม หลังจากนั้น น้ำมันมะพร้าวจึงเริ่มส่งออกจำหน่ายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ในเวลานั้นสงครามทางการค้าระหว่าง "น้ำมันพืชอิ่มตัว" และ "น้ำมันพืชไม่อิ่มตัว" ได้เริ่มต้นรุนแรงขึ้น
       
        และคู่แข่งอันสำคัญในเวลานั้น ฝ่ายน้ำมันพืชอิ่มตัวก็คือ "น้ำมันมะพร้าว" จากเอเชียและแปซิฟิก
       
        และฝ่ายที่เป็นน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวก็คือ "น้ำมันถั่วเหลือง" ที่ปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น
       
        กลุ่มสมาคมถั่วเหลืองแห่งอเมริกัน(American Soybean Association หรือ ASA) ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวว่าเป็นไขมันอิ่มตัว ทำให้เป็นคอเลสเตอรอลได้ง่าย ทำให้เป็นโรคหัวใจได้ง่าย อ้วนง่าย และทำให้เป็นอัมพาต !!!
       
        ในปี พ.ศ. 2500 เป็นเวลา 12 ปีหลังจากยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ปฏิบัติการทำลายความน่าเชื่อถือน้ำมันมะพร้าวได้รุนแรงขึ้นไปอีก โดยได้มีงานวิจัยที่ประดิษฐ์ขึ้นหลายชิ้น ที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะทำให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อัมพาต และโรคอ้วน โดยงานวิจัยชิ้นเหล่านั้นนั้นมีการใช้ความร้อนและเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันมะพร้าวในส่วนที่ยังเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ให้เป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตที่ผิดธรรมชาติ เพื่อทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดแล้วโจมตีน้ำมันมะพร้าวให้เสียหายโดยตรง เพราะงานวิจัยชิ้นนั้นไม่สอดคล้องกับงานวิจัยต่อๆกันมาอีกจำนวนมากในรอบ 50 กว่าปีที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังเลยแม้แต่น้อย
       
        แต่งานวิจัยการโจมตีไขมันอิ่มตัวไม่มีเพียงลักษณะดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายชิ้นแต่ไม่ได้โจมตีน้ำมันมะพร้าวตามธรรมชาติโดยตรงเพราะรู้ว่าโจมตีได้ยาก จึงเน้นการโจมตีน้ำมันที่เป็น "ไขมันอิ่มตัว" ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ และทำให้เชื่อว่าไขมันอิ่มตัวคือผู้ร้ายในวงการน้ำมันที่ใช้สำหรับปรุงอาหาร เพื่อเชื่อมโยงทางอ้อมว่าน้ำมันมะพร้าวคือไขมันอิ่มตัว ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงต้องทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพด้วย
       
        สำหรับในประเทศไทยก็มีการโฆษณาน้ำมันถั่วเหลืองยี่ห้อหนึ่งว่าน้ำมันถั่วเหลืองของยี่ห้อตัวเองแช่ตู้เย็นแล้วไม่เป็นไข แต่น้ำมันอิ่มตัวแช่ตู้เย็นแล้วเป็นไข เพื่อชักชวนผู้บริโภคให้รู้สึกหวาดกลัวว่าเมื่อเป็นไขแล้วจะเป็นก้อนไขมันอุดตันในเส้นเลือดในท้ายที่สุด โดยผู้บริโภคในยุคนั้นไม่เคยฉุกคิดเลยสักนิดว่าน้ำมันมะพร้าวจะเริ่มจับตัวเป็นไขเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ร่างกายมนุษย์มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 36.4 - 37.0 องศาเซลเซียส จึงไม่มีทางจะเกิดไขขึ้นได้เลยในร่างกายมนุษย์
       
        แต่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะเป็น "สงครามทางการค้า" ที่มีความรุนแรงอย่างมาก สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน เผยแพร่และรณรงค์อย่างหนักในช่วงปี พ.ศ. 2523 - 2532 ให้คนอเมริกันเลิกกินไขมันอิ่มตัว ซึ่งรวมถึงน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ซึ่งเรียกรวมๆว่าเป็นน้ำมันจากเขตร้อน (Tropical Oil) เป็นอันตราย ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพื่อให้คนทั้งโลกไปบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Oils) โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลืองแทน
       
        หลังจากนั้นคนอเมริกันและคนทั่วโลกก็หลงอยู่ในมายาคติและการโฆษณาชวนเชื่อ จึงตื่นตระหนกและรังเกียจใช้น้ำมันมะพร้าวมากขึ้น ส่งผลทำให้คนบริโภคน้ำมันมะพร้าวน้อยลงอย่างรวดเร็ว และคนบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ ราคามะพร้าวตกลง มีการโค่นต้นมะพร้าวในเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากแล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นทดแทน เช่น ปาล์มน้ำมัน


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107703.JPEG)
ภาพที่ 3 : แสดงการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะหลังช่วงการรณรงค์ให้คนอเมริกันหวาดกลัวกับไขมันอิ่มตัว
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107704.JPEG)
ภาพที่ 4 : แสดงการเปลี่ยนแปลงของประชากรคนอ้วนและน้ำหนักเกินในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 19 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2533 - 2552)
       ในที่สุดสงครามน้ำมันพืชยุติลง "น้ำมันถั่วเหลือง" ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย!!!
       
        แต่สิ่งที่คนอเมริกันและทั่วโลกที่หันไปใช้น้ำมันถั่วเหลือง กลับได้รับคือ คอเลสเตอรอลที่มีอนุมูลอิสระทำลายหลอดเลือดสูงขึ้น เป็นโรคเบาหวานมากขึ้น อ้วนมากขึ้น(จนมีคนอ้วนมากที่สุดในโลก) และโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันมากที่สุด ทั้งๆที่ใช้น้ำมันถั่วเหลืองกันอย่างมหาศาลแล้ว และทำให้ในช่วง 15-20 ปีมานี้คนอเมริกันเริ่มตื่นตัวกับปัญหาสุขภาพของตัวเองกันมากขึ้น

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107705.JPEG)
ภาพที่ 5 : แผนภูมิแสดงเปรียบเทียบ % ของ 10 สาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรในสหรัฐอเมริการสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยโรคหัวใจและโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

       เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้อาจจะมีคนตั้งคำถามว่าการอ้วนขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงสาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันอาจไม่ได้มาจากน้ำมันพืชก็ได้ ก็มีส่วนจริงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ขอให้เก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน เพราะจะกล่าวถึงการศึกษาค้นคว้าและงานวิจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคเหล่านี้ต่อไป แต่ในชั้นนี้เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าการโฆษณาชวนเชื่อว่าการหยุดกินไขมันอิ่มตัวจากน้ำมันมะพร้าวแล้วหันมากินน้ำมันถั่วเหลืองแทนจะทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นโรคมะเร็ง หรือไม่เป็นโรคอ้วนนั้น ก็ไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107706.JPEG)
ภาพที่ 6 : ดร.เรย์ พีท (Ray Peat) นักชีววิทยา แห่งมลรัฐโอเรกอน อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธัยรอยด์และฮอร์โมน ในสหรัฐอเมริกา

       แต่ในทางตรงกันข้าม ดร.เรย์ พีท (Ray Peat) ผู้เชี่ยวชาญด้านธัยรอยด์ และฮอร์โมน แห่งมลรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ได้เขียนรายงานเอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548 ค้นพบว่า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการรณรงค์ในเรื่องการโจมตีน้ำมันมะพร้าวอย่างหนักหน่วง ทำให้คนเชื่อว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วนคอเลสเตอรอลในเลือดสูง และอ้วนง่าย ในช่วงเวลานั้นมีรายงานบันทึกปรากฏในหนังสือเอนไซโคลพีเดียแห่งสหราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2489 ว่า ผู้เลี้ยงหมูได้ซื้อน้ำมันมะพร้าวเอาไปเลี้ยงหมูเพราะเชื่อว่าจะทำให้หมูอ้วนเร็วทำน้ำหนักง่ายตามการโฆษณาของสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน แต่เมื่อนำน้ำมันมะพร้าวมาให้หมูกินแล้วปรากฏว่า...
       
        หมูที่เลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าว "ผอมลง"ทั้งเล้า!!!
       
        หลังจากนั้นวงการธุรกิจปศุสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ทั่วโลกต่างก็ได้มีความรู้มากขึ้นว่าหากจะเลี้ยงให้สัตว์ตัวเองอ้วนขึ้นนั้น ต้องให้กิน "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" เพราะล้วนแล้วแต่เป็นธัญพืชที่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสิ้น ไม่มีใครเลี้ยงด้วยน้ำมันมะพร้าวอีกต่อไป เพราะรู้ว่าน้ำมันจาก "ถั่วเหลือง" และ "ข้าวโพด" นั้นเป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วเหลืองในยุคหลังมีการตัดแต่งพันธุกรรมจะกดการทำงานของไทรอยด์ให้ต่ำลง ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ช้าลง สัตว์จึงกินน้อยแต่ขุนให้อ้วนง่าย ไขมันเยอะ เหมาะอย่างมากในการทำน้ำหนักให้ได้กำไรในการขาย

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013107707.JPEG)
ภาพที่ 7 : ภาพจากภาพยนตร์ Food Inc. สารคดีเปิดโปงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารได้รับรางวัลออสก้า แสดงการเปรียบเทียบขนาดของไก่ในยุคเมื่อปี พ.ศ. 2493 (ซ้ายมือ) หลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมา 5 ปีที่ใช้เวลาเลี้ยง 70 วัน กับ ไก่ที่เลี้ยงในยุคปี พ.ศ. 2551 (ขวามือ) ที่กินถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรมและฉีดยาปฏิชีวนะในช่วงเวลา 48 วัน

       และเมื่อปี พ.ศ. 2554 ดังเต รอคชีซาโน (Dante Roccisano) และ มาเช เฮนเนอเบอร์ค (Maciej Henneberg) จากหน่วยงานวิจัยทางด้านชีวมนุษยวิทยาและกายวิภาคเชิงเปรียบเทียบ จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแอดเดลเลทด์ (University of Adelaide) ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำหัวข้อการศึกษาในเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองโดยเฉพาน้ำมันถั่วเหลืองต่อหัวประชากรในหลายประเทศโดยอาศัยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก พบว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันถั่วแหลืองมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญสอดคล้องกับภาวะโรคอ้วน
       
        ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะมาปฏิวัติน้ำมันพืช เอาความจริงกลับคืนมา และไม่ให้พวกมันหลอกพวกเราอีกต่อไป !?


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 08:36:54 am

ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 2): อย่าปล่อยให้พวกมันหลอกต้มพวกเราเรื่อง "ไขมันอิ่มตัว"
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    11 ตุลาคม 2556 19:03 น.
-http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000128088-


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       จากการที่เราอาจถูกหลอกมานานให้รังเกียจน้ำมันที่เป็นไขมันอิ่มตัว เพื่อมาใช้ไขมันไม่อิ่มตัว ดังนั้น เราน่าจะมาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "กรดไขมัน"เสียก่อน ว่าไขมันที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้มีอยู่ 2 มิติที่มีความเชื่อมโยงกัน คือ มิติว่าด้วยเรื่องความอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว และมิติที่สองคือว่าด้วยเรื่องความยาวของโมเลกุลในกรดไขมันนั้น สำหรับในตอนนี้จะกล่าวถึงมิติว่าด้วยเรื่องความอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418001.JPEG)
ภาพที่ 8 น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันปรุงอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากที่สุด

       1. กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acids) คือกรดไขมันที่เป็นไขมันเต็มตัว คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนจับกันเป็นลูกโซ่ โดยที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยสายโซ่ที่อะตอมของคาร์บอน (C) เชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ด้วยแขนเดี่ยว (Single Bond) โดยสมบูรณ์ และแขนที่เหลือก็จับกับไฮโดรเจนเต็มพิกัด ทำให้โมเลกุลอยู่ตัว และไม่มีช่องว่างเหลือที่จะทำปฏิกิริยากับธาตุใดๆ อีก นั่นหมายความว่ากรดไขมันเหล่านี้ไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน เข้าไปแทรกได้อีก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418002.JPEG)
ภาพที่ 9 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของกรดลอริก (Lauric Acid) เป็นหนึ่งในกรดไขมันอิ่มตัวที่พบในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 50% ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาร์บอนอะตอม (C) ได้จับกับคาร์บอนด้วยแขนเดี่ยวและแขนที่เหลือได้จับกับไฮโดรเจนจนสมบูรณ์แล้วไม่เปิโอกาสให้ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนหรือออกซิเจนอีก
       กรดไขมันอิ่มตัวอยู่ในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 86%-91% รองลงมาคืออยู่ในน้ำมันแก่นปาล์มประมาณ 83% อยู่ในเนยเหลวประมาณ 69% อยู่ในน้ำมันปาล์มประมาณ 45% อยู่ในไขมันจากวัว 54% และอยู่ในน้ำมันหมูประมาณ 46%
       
        ในขณะที่ไขมันอิ่มตัวอยู่น้ำมันถั่วเหลืองเพียง 15% และอยู่ในน้ำมันข้าวโพดเพียง 13.7% เท่านั้น
       
        ในชั้นนี้จะขอกล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง "น้ำมันแก่นปาล์ม" กับ "น้ำมันปาล์ม" เอาไว้เบื้องต้นก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพราะคุณสมบัติของ 2 ชนิดนี้ต่างกันมากเพราะใช้ที่มาจากผลของปาล์มต่างกัน ทั้งนี้น้ำมันแก่นปาล์มได้มาจากแก่นของปาล์ม (Kernel) มีคุณสมบัติรองจากน้ำมันมะพร้าว ในขณะที่น้ำมันปาล์มที่ใช้กันส่วนใหญ่ในตลาดนั้นได้มาจากไฟเบอร์น้ำมัน (Mesocarp) น้ำมันจะได้จากการกดหรือการแยกด้วยสารละลายทำให้ได้ น้ำมันดิบจากแก่นของปาล์ม (CPKO) (5%) และ น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) (15-20%) ซึ่งน้ำมันปาล์มที่ใช้กันส่วนใหญ่ในตลาดนี้มีคุณภาพด้อยกว่าน้ำมันมะพร้าวอยู่มาก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418003.JPEG)
ภาพที่ 10 ผลของปาล์มที่นำมาใช้ผลิตน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร 2 ชนิดคือ น้ำมันปาล์มที่จากแก่นปาล์ม และน้ำมันปาล์มที่ได้จากไฟเบอร์น้ำมัน (Mesocarp)

       คุณสมบัติที่ดีของกรดไขมันอิ่มตัว คือ ไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน และออกซิเจนเข้าแทรก จึงเกิดประโยชน์ตรงที่ว่าเมื่อกรดไขมันเหล่านี้โดนความร้อนที่ผ่านอุณหภูมิสูงก็ไม่เกิดการเติมออกซิเจนและไฮโดรเจนแต่ประการใด
       
        กรดไขมันเมื่อโดนอากาศจึงสัมผัสกับก๊าซออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้เกิด "อนุมูลอิสระ" อันเป็นเหตุของความเสื่อมในโมเลกุลและทำให้เกิดการหืน เปรียบเสมือนเหล็กสัมผัสกับออกซิเจนแล้วเกิดสนิม ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นตัวการทำให้เกิดโรคแห่งความเสื่อมของร่างกายอย่างมากมาย เช่น เหี่ยวย่น ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ รหัสพันธุกรรมกลายพันธุ์จนเป็นโรคร้ายได้หลายโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง
       
        ดังนั้นเมื่อคุณสมบัติพิเศษของกรดไขมันอิ่มตัวไม่เปิดให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยาได้ กรดไขมันอิ่มตัวจึงไม่เปิดโอกาสให้เกิดปฏิกิริยาสร้างอนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะโดนความร้อนหรือไม่ก็ตาม
       
        เพราะกรดไขมันอิ่มตัวไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจน เข้าแทรกด้วย จึงสามารถโดนความร้อนได้โดยไม่เกิดการเปลี่ยนสภาพโมเลกุลเป็นไขมันทรานส์ (Trans fats) ซึ่งไขมันทรานส์นี้เองจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของรหัสพันธุกรรม DNA ของเซลล์ และด้วยไขมันทรานส์นี้เป็นสาเหตุอันตรายต่อสุขภาพก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ด้วยเหตุนี้จึงมีการรณรงค์ให้หยุดกินน้ำมันไม่อิ่มตัวที่ทอดซ้ำในหลายประเทศ ซึ่งจะกล่าวในเรื่องไขมันทรานส์ในโอกาสต่อไป
       
        ในขณะที่กรดไขมันอิ่มตัวไม่มีช่องว่างทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเมื่อโดนความร้อนจึงไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อนำไปผ่านความร้อน คนไทยในสมัยก่อนที่นิยมรับประทานไขมันอิ่มตัวสูง จึงแทบไม่พบผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจมากเท่ากับยุคปัจจุบันที่นิยมรับประทานน้ำมันไม่อิ่มตัวหรือน้ำมันผ่านกรรมวิธี (Trans Fats)
       
        ในสมัยก่อนประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ชาวบังกลาเทศ หรือ ไพลีนีเซียน สมัยก่อนกินน้ำมันมะพร้าวมาก ไม่เคยมีโรคหัวใจเลย แต่ปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้เมื่อบริโภคน้ำมันชนิดไม่อิ่มตัวมากขึ้น กลับมีโรคหัวใจมากขึ้น เช่นเดียวกันกับในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2473 - พ.ศ. 2483 ไม่ได้กินน้ำมันพืชน้ำมันถั่วเหลือง แต่กินอาหารอย่างอื่น กินแต่น้ำมันมะพร้าว ปรากฏว่าช่วงหลังอัตราการเกิดโรคหัวใจสูงขึ้น
       
        หรือตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือคนไทยเองสมัยก่อนใช้น้ำมันอิ่มตัวในการปรุงอาหาร เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู แต่สาเหตุการเสียชีวิตของคนสมัยก่อนไม่ได้เกี่ยวกับหลอดเลือดหรือโรคมะเร็งมากเท่าปัจจุบัน จริงหรือไม่?

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418004.JPEG)
ภาพที่ 11 แผนภูมิแสดงสัดส่วนของการเสียชีวิต 10 อันดับแรกระหว่าง พ.ศ. 2505 ที่คนไทยบริโภคแต่น้ำมันที่ส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว กับ พ.ศ. 2554 ที่คนไทยบริโภคน้ำมันจากไขมันไม่อิ่มตัวเพิ่มมากขึ้น
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418005.JPEG)
ภาพที่ 12 กราฟแสดงอัตราของผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคมะเร็งต่อประชากรพันคนในประเทศไทยในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2524
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418006.JPEG)
ภาพที่ 13 กราฟแสดงอัตราของผู้ป่วยนอกที่เป็นโรคระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจต่อประชากรพันคนในประเทศไทยในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2524
       จริงอยู่ที่ว่าอาจจะมีคนโต้แย้งว่าสาเหตุการเจ็บป่วยเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดจากน้ำมันพืชก็ได้จริงไหม?
       
        แต่เมื่อมาดูงานวิจัย 2 ชิ้น ในปี พ.ศ. 2537 และ ปี พ.ศ. 2542 (านวิจัยของ Felton, C.V. ; Crook, D.; Davies, MJ.; and Oliver, M.F. 1994. Dietary polyunsaturated fatty acids and composition of human aortic plages ตีพิมพ์ใน Lancet 344:1, 195-1,11196. และงานวิจัยของ Enig, M.G. 1999. Coconut : In Support of Good Health in the 21st Century. Paper Presented at the 36th Meeting of APCC) ก็จะพบว่า....
       
        "สารที่มีชื่อว่า Athermoas ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตัน (Plague) ในหลอดเลือด เป็นพวก "ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง" และจากการวิเคราะห์แผ่นไขมันที่เกาะที่เส้นเลือดพบว่าในอนุพันธ์คอเลสเตอรอลถึง 74% เป็นไขมันไม่อิ่มตัว เป็นไขมันอิ่มตัวเพียง 26% และกรดไขมันอิ่มตัว 26% นี้ก็ไม่ใช่กรด ลอริก หรือ กรดไมริสตริกจากน้ำมันมะพร้าวเลย"
       
        สรุปว่า "กรดไขมันอิ่มตัว" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันมะพร้าวถึงประมาณ 86%-93%นั้น เป็นน้ำมันพืชดื่มสกัดเย็นได้มีคุณภาพสูงมาก ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ทอดหรือผัดได้ดีที่สุด เพราะมีไขมันอิ่มตัวในระดับสูงมากที่ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน ในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง
       
        2. กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acids) คือกรดไขมันที่มีอะตอมของคาร์บอนเชื่อมต่อกันด้วยแขนคู่ (Double Bond) นั้นหมายความว่าแขนของคาร์บอนยังจับไฮโดรเจนไม่ครบ เปิดโอกาสให้มีการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจนเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในขณะที่ผ่านความร้อน เพราะแขนคู่เหล่านั้นอาจกลายสภาพไปทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจนที่เติมหรือสัมผัสเข้ามาได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแขนคู่ที่คาร์บอนอะตอมนั้นมีกี่ตำแหน่งที่จะเปิดโอกาสให้ทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆต่ออีก ดังนั้นกรดไขมันอิ่มตัวจึงแบ่งได้อีก 2 ลักษณะได้แก่
       
        2.1 กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง คือกรดไขมันที่คาร์บอนอะตอม (C) ตำแหน่งเดียวยังจับธาตุไฮโดรเจนไม่ครบอยู่ 1 ตำแหน่ง จึงจับแขนคู่ (Double Bond) กับคาร์บอนอะตอมด้วยกันเอง แปลว่ายังมีโอกาสทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมกับออกซิเจนซึ่งทำให้หืนอีก 1 ตำแหน่ง หรือทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนจนกลายสภาพได้ในระหว่างโดนความร้อนสูง 1 ตำแหน่ง ดังนั้นน้ำมันประเภทนี้แม้จะมีประโยชน์สูงอยู่หลายด้านหากนำมารับประทานโดยตรงโดยไม่ผ่านความร้อน กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง ประเภทกลุ่มนี้พบมากที่สุดใน น้ำมันมะกอก (มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง 77%)
       
        อย่างไรก็ตามกรดไขมันเหล่านี้ก็ยังถือว่ามีเพียงแค่ 1 ตำแหน่งเท่านั้นที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งแปลว่าแม้ว่าจะไม่ควรใช้ทอดหรือผัด แต่ผลเสียที่จะเกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนและออกซิเจนก็มีเพียง 1 ตำแหน่งเท่านั้น

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418007.JPEG)
ภาพที่ 14 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของกรดโอเลอิก (Oleic Acid) เป็นหนึ่งในกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวพบในน้ำมันมะกอกประมาณ 50% - 83% ซึ่งจะเห็นได้ว่าคาร์บอนอะตอม (C) ได้จับกับคาร์บอนด้วยแขนคู่ 1 ตำแหน่ง จึงเปิดช่องว่าให้ไฮโดรเจนหรืออกซิเจนเข้ามาทำปฏิกิริยาได้อีก 1 ตำแหน่ง

       สรุปว่า "กรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันพืชที่มีประโยชน์สูงในเรื่องไขมันในหลอดเลือดแต่เหมาะกับการดื่มโดยสกัดเย็น แม้จะยังไม่เหมาะสำหรับใช้ผัดหรือทอดเสียทีเดียว แต่ก็ยังเลวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับไขมันอิ่มตัวหลายตำแหน่ง เพราะยังเปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน อยู่เพียง ตำแหน่งเดียว โดยเฉพาะในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง
       
        2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือกรดไขมันที่คาร์บอนอะตอม (C) ตำแหน่งเดียวยังจับธาตุไฮโดรเจนไม่ครบมากกว่า 1 ตำแหน่งขึ้นไป จึงจับแขนคู่ (Double Bond) กับคาร์บอนอะตอมด้วยกันเองมากกว่า 1 ตำแหน่งขึ้นไป แปลว่ายังมีโอกาสทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมกับออกซิเจนซึ่งทำให้หืนได้หลายตำแหน่ง หรือทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนจนกลายสภาพได้ในระหว่างโดนความร้อนสูงได้มากกว่าหลายตำแหน่ง ดังนั้นน้ำมันประเภทนี้จึงเกิดอนุมูลอิสระได้มาก และเกิดไขมันทรานส์ได้ง่ายหากโดนความร้อนสูง พบไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งมากใน น้ำมันถั่วเหลือง 60% น้ำมันข้าวโพด 59.5%

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418008.JPEG)
ภาพที่ 15 : ตัวอย่างโครงสร้างการเรียงอะตอมของ กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ที่มีเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 2 ตำแหน่ง (มีคาร์บอนอะตอม (C) ไม่จับกับไฮโดรเจน แต่จับคาร์บอนอะตอมกันเองด้วยแขนคู่ 2 ตำแหน่ง) ซึ่งกรดไลโนเลอิกนี้มีมากในน้ำมันข้าวโพด 58%, น้ำมันถั่วเหลือง 51%, น้ำมันงา 45%

       สรุปว่า "กรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ถือว่ายังไม่เหมาะสำหรับใช้ผัดหรือทอดเสีย เพราะเปิดโอกาสให้เกิดการทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือ ออกซิเจน หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะในระหว่างโดนความร้อนที่อุณหภูมิสูง ยิ่งเมื่อนำมาทอดซ้ำแล้วจะเกิดอนุมูลอิสระมาก และเป็นสารก่อมะเร็ง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013418009.JPEG)
ภาพที่ 16 แผนภูมิสัดส่วนของกรดไขมันอิ่มตัว พบว่าน้ำมันมะพร้าวถือเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงที่สุด จึงเหมาะแก่การปรุงอาหารด้วยความร้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาน้ำมันปรุงอาหารทุกชนิด



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 08:39:26 am
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 3): ไขมันทรานส์อันตรายที่สุด กินอยู่ทุกวันแต่ดันไม่รู้ตัว
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    18 ตุลาคม 2556 18:43 น.
-http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000130977-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714701.JPEG)
ภาพที่ 17 เมนูอาหารที่มักพบไขมันทรานส์ (ไขมันผ่านกรรมวิธี)

       ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       หลายคนอาจคิดว่าตัวเองไม่ได้บริโภคไขมันทรานส์ หรือ ไขมันผ่านกรรมวิธี จึงไม่จำเป็นต้องอ่านในหัวข้อนี้ แต่ความจริงแล้ว ถ้าหากพูดถึง มาการีน ครีมเทียม เนยเทียม พีนัทบัตเตอร์ ขนมกรุบกรอบในบรรจุภัณฑ์แทบทุกชนิด คุ้กกี้ โดนัท รวมถึงการทอดแบบน้ำมันท่วมเช่น มันฝรั่งทอด ปาท่องโก๋ ข้าวโพดคั่ว ฯลฯ นี่ตัวอย่างอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้อาจมีไขมันทรานส์ปนอยู่ด้วย
       
        ยังไม่นับสิ่งที่เรามองไม่เห็นคือน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เช่น น้ำมันถั่ว เหลือง น้ำมันข้าวโพด แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้นานๆก็ไม่มีวันเหม็นหืน ก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน เลย ว่าไขมันที่กล่าวถึงนี้อาจเป็นไขมันทรานส์ผสมอยู่โดยที่ผู้บริโภคไม่เคยรู้ตัวเลยก็ได้
       
        ตามปกติแล้วไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เช่น กรดไลโนเลอิก ซึ่งมีมากในน้ำมัน ถั่วเหลืองและน้ำมันข้าวโพด มักจะมีปัญหาเพราะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ง่าย ส่งผลทำให้น้ำมันหืนง่ายอันเกิดจากอนุมูลอิสระ แต่กรดไขมันเหล่านี้ยังทำปฏิกิริยาอีก ด้านหนึ่งได้กับไฮโดรเจนเช่นกัน
       
        การที่น้ำมันไม่อิ่มตัวทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน หรือที่เรียกว่า "ไฮโดรจีเนต (Hydrogenation)" เกิดได้ 2 กรณีคือ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714702.JPEG)
ภาพที่ 18 ตัวอย่างโครงสร้างเรขาคณิตของโมเลกุลของกรดไขมันที่บิดตัวไปเมื่อใช้น้ำมันทอดในอุณหภูมิสูงซ้ำ
       ประการแรก เกิดการเติมไฮโดรเจนจากน้ำมันไม่อิ่มตัว เอาไปทอดด้วย อุณหภูมิสูง เช่น การทอดซ้ำโดยให้น้ำมันท่วมอาหารจนเป็นน้ำมันเหนียวๆ
       
        หรือ
       
        ประการที่สอง เกิดจากเจตนาเติมไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้น้ำมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้ จับกับไฮโดรเจนแทนจนเกิดการเปลี่ยนจุดหลอมเหลวและจุดเดือดใหม่กลายเป็นไขมันกึ่งแข็งกึ่งเหลว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้ไขมันไม่อิ่มตัวทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรืออนุมูลอิสระป้องกันไม่ให้เหม็นหืน ทนความร้อนได้สูง อาหารที่ทำจากอาหารประเภทนี้จะได้มีอายุยืนยาวขึ้น
       
        เราเรียกน้ำมันกลุ่มนี้ว่า "ไขมันทรานส์" หรือ "ไขมันผ่านกรรมวิธี"
       
        พอมาถึงขั้นตอนนี้หากตั้งข้อสังเกตให้ดีก็จะได้ข้อคิดว่า ถ้าน้ำมันอิ่มตัว ไม่ดีจริง ทำไมถึงต้องมีความพยายามทำให้ไขมันไม่อิ่มตัวกลายเป็นไขมันอิ่มตัวไปทำไม?
       
        แต่ที่สำคัญการเติมไฮโดรเจนในไขมันไม่อิ่มตัวเป็นการฝืนธรรมชาติคือ ทำให้น้ำมันเกิดการ"บิดตัว" ทางโครงสร้างเลขาคณิตของโมเลกุล คือเป็นจาก Cis Form เป็น Trans form ที่เรียกว่าไขมันทรานส์ อีกด้วย เช่น เมื่อน้ำมันโดน ทอดซ้ำในอุณหภูมิสูงแล้วไฮโดรเจนจากเดิมที่อยู่ด้านเดียวกัน จะบิดตัวไปอยู่คน ละด้านกัน ซึ่งทำให้จุดหลอมเหลวและจุดเดือดเปลี่ยนไป กลายเป็นไขมันกึ่งแข็งกึ่งเหลวเหนียวๆคล้ายพลาสติก และมีจุดหลอมเหลวสูงขึ้น

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714703.JPEG)
ภาพที่ 19 : กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ที่มีเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 2 ตำแหน่ง มีมากในน้ำมันข้าวโพด 58%, น้ำมันถั่วเหลือง 51%, น้ำมันงา 45% เมื่อโดนกระบวนการเติมไฮโดรเจน จึงการบิดของโครงสร้างเลขาคณิตจาก Cis Form (ด้านล่าง) มาเป็น Trans Form (ด้านบน)

       กรดไขมันทรานส์ ได้เปลี่ยนสภาพจาก ไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งเป็นของเหลว ให้เป็นไขที่เหลวกึ่งแข็งเนื่องจากมีจุดหลอมเหลวสูง แม้จะทำให้เหม็นหืนได้ยากมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับไขมันอิ่มตัว ทำให้สามารถนำน้ำมันพืชมาผลิตเป็น อาหารได้หลายชนิดโดยขยายวันหมดอายุได้นานขึ้น เช่น เนยเทียม(Margarine) เนยขาว เนยถั่ว (Peanut Butter) หรือนำน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี (น้ำมันทรานส์) ไปทำอาหารประเภทโดนัท  อาหารทอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมคุกกี้ ขนมอบต่างๆ และขนมขบเคี้ยวในบรรจุภัณฑ์แทบทุกชนิด
       
        ดังนั้นน้ำมันทรานส์ จึงไม่ได้เกิดขึ้นจากการนำน้ำมันมาทอดซ้ำๆ เท่านั้น้น แต่ยังเกิดจากการออกแบบของมนุษย์เองด้วย แต่ข้อสำคัญความผิดปกติของสภาพโครงสร้างเลขาคณิตที่เปลี่ยนไปนั้น ก่อให้เกิดคอเลสเตอรอลสูงในเส้นเลือดสูงขึ้น ก่อให้เกิดโรคหัวใจ และเกิดสารก่อมะเร็ง ได้อีกด้วย
       
        น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เมื่อถูกเติมด้วยไฮโดรเจน(Hydrogenated) ทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย ใช้ได้หลายๆครั้งโดยไม่เหม็นหืน พ่อค้าจึงชอบนำมาใช้ให้ผู้บริโภคได้รับประทานกัน แต่เมื่อโครงสร้างของไขมันเปลี่ยนไปเมื่อกินเข้าไปก็กลายเป็นคราบน้ำมันที่ทำให้น้ำซึม ผ่านผนังลำไส้ไม่ได้
       
        ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่ผิดธรรมชาติ ย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่นๆ เมื่อรับประทานไปมากๆ จะมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ที่มีชื่อว่า Cholesterol Acyltranferase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สำคัญในการเผาผลาญคอเลสเตอรอล เมื่อเอนไซม์เหล่านี้ถูกใช้งานอย่างหนักจึงทำให้การผลิตเอนไซม์เหล่านี้ค่อยๆลดลงไป ส่งผลทำให้ระดับของไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ (low density lipoprotein) หรือ แอลดีแอล (LDL) ที่วงการแพทย์มักจะเรียกว่าเป็น "คอเลสเตอรอลชั้นเลว" เพิ่มจำนวนขึ้น
       
        และซ้ำร้ายกว่านั้น คือทำให้ระดับของ (High density lipoprotein) หรือ เอชดีแอล (HDL) ที่วงการแพทย์มักจะเรียกว่าเป็น "คอเลสเตอรอลชั้นดี" ลดลงด้วย
       
        ที่เกิดเช่นนี้ได้ก็เพราะ หน้าที่ของเอชดีแอล (HDL) คือขนส่งคอเลสเตอรอล รวมถึง แอลดีแอล (LDL) และกรดไขมันจากส่วนต่างๆของร่างกายไปที่ตับเพื่อผลิตเป็นพลังงาน และเผาผลาญโดยใช้เอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase เปลี่ยนคอเลสเตอรอล ให้เป็น คอเลสเตอรอล เอสเตอร์ ซึ่งเก็บในแกนกลางของเอชดีแอล (HDL) หรือเอชดีแอลชนิดนี้อาจรับกรดไขมันอิสระ หรือ ไตรกลีเซอไรด์ที่โดนเอนไซม์ไลเปส (Lipase)ย่อยสลายเข้ามารวมกัน โดย ใช้เอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase แปลงสภาพให้เอชดีแอลมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ด้วย
       
        เพราะ ไขมันทรานส์ มีสภาพเหมือนยางพลาสติกเหนียวกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำให้ต้องเปลืองเอนไซม์ให้ทำงานอย่างหนักหน่วง เมื่อสูญเสียปริมาณเอนไซม์นี้มากขึ้นไปก็ย่อมทำให้การแปลงสภาพจากคอเลสเตอรอลมาเป็นแกนกลางของเอชดีแอล (HDL) ลดลงไปด้วยโดยปริยาย
       
        เมื่อเอชดีแอล (HDL) ลดน้อยลงก็ทำให้หน้าที่ในการขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังตับเพื่อผลิตเป็นพลังงานก็ย่อมต้องลดลง แอลดีแอล (LDL)ที่วงการแพทย์มักจะเรียกว่าเป็น "คอเลสเตอรอลชั้นเลว" ก็ย่อมต้องเพิ่มจำนวนขึ้นไปด้วย เพราะขาดการขนส่งจากเอชดีแอล (HDL)
       
        และเมื่อเอชดีแอล (HDL) ลดระดับต่ำลง ก็ย่อมทำให้คอเลสเตอรอลในเนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือดมีมากขึ้น ความสามารถในการจับตัวของลิ่มเลือดลดลง การอุดตันของการไหลเวียนเลือดย่อมเพิ่มมากขึ้น และเป็นสาเหตุสำคัญเบื้องต้นที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ
       
        1. น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น
       
        2. มีสภาวการณ์ทำงานของตับผิดปกติ
       
        3. มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
       
        นอกจากนี้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันทานตะวัน น้ำมัน ข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว หากจะทอดใช้ความร้อนสูง และ จุดเดือดน้ำมันพืชประมาณ 180 องศาเซลเซียส จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด เรียกรวมๆ ว่า กลุ่มสารโพลาร์ (Polar Compound) สารเคมีชนิดนี้ทำให้แสบจมูก และอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นสารก่อโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือด หัวใจ มะเร็ง อีกด้วย
       
        บางคนก็อาจเกิดคำถามขึ้นมาทันใดว่า ถ้ากรดไขมันไม่อิ่มตัวในน้ำมันถั่วเหลือง เติมไฮโดรเจนเข้าไปจนมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับไขมันอิ่มตัวแล้ว ก่อให้เกิดโรคร้ายมากขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวก็ต้องก่อให้เกิดโรค ร้ายด้วยใช่หรือไม่ ?
       
        คำตอบที่แท้จริงอยู่ตรงที่ว่าแม้กรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวส่วนใหญ่จะเป็นไขมัน อิ่มตัวไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและไฮโดรเจน แต่กรดไขมันในน้ำมันมะพร้าว ส่วน ใหญ่เป็นห่วงโซ่ของโมเลกุลสายปานกลางจึงเคลื่อนย้ายได้เร็ว จากกระเพาะไปยังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดและถูกใช้เป็นพลังงานในตับจนหมดสิ้น จึงไม่เหลือไขมันสะสมในร่างกาย
       
        ในขณะที่น้ำมันพืชที่ทำจากถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด แม้จะมีการแปลงทำให้ เปลี่ยนจากไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นคล้ายๆไขมันอิ่มตัวโดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไป แต่ต่างกันตรงที่ว่า น้ำมันพืช เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ทานตะวัน ที่เดิมไม่อิ่มตัว หลายตำแหน่งเหล่านี้เป็นห่วงโซ่ของโมเลกุลสายยาว ดังนั้นเมื่อแปลงสภาพเป็นไขมันอิ่มตัวเป็นกึ่งแข็งกึ่งเหลวอีก จึงทำให้ยิ่งไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานเมื่อบริโภคเข้าไปในร่างกายได้ ทำให้กลายเป็นไขมันสะสมเอาไว้ในร่างกายง่าย
       
        การเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืช เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีทำให้ น้ำมันพืชที่ไม่ อิ่มตัวกลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืดเหนียว จับกุมเป็นก้อนแข็งใน อุณหภูมิ 36-40 องศาเซลเซียส
       
        เมื่อไขมันทรานส์เหล่านี้จะเป็นไขและเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ 36-40 องศาเซลเซียส ดังนั้นไขมันทรานส์ย่อมตกค้างเป็นไขในร่างกายมนุษย์ซึ่งมีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสอย่างนอน ในขณะที่ไขของน้ำมันมะพร้าวเมื่อ อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส จึงไม่มีทางเกิดเป็นไขได้ในร่างกายมนุษย์
       
        และนี้คือเหตุผลสำคัญที่โครงสร้างของไขมันทรานส์เปลี่ยนไปเมื่อกินเข้าไปก็กลายเป็นคราบน้ำมันที่ทำให้น้ำซึมผ่านผนังลำไส้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าทดลองนำน้ำมันพืช ผ่าน กรรมวิธียี่ห้อไหนก็ได้ ลองใส่ภาชนะแล้วตากแดดให้อุณหภูมิใกล้เคียงกับภายในของมนุษย์ แล้วตรวจดูความเหนียวหนึบของมัน ลองเปรียบเทียบกับน้ำมันหมูและ น้ำมัน มะพร้าวที่เคี่ยวเองแล้วจะรู้ว่าการล้างจานชาม ที่เปื้อนน้ำมันหมู น้ำกะทิ และน้ำมันมะพร้าว ทำได้ง่ายกว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีมาก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714704.JPEG)
ภาพที่ 20 กระทะที่ทอดด้วยน้ำมันทอดซ้ำด้วยความร้อนสูงทำให้เกิดไขมันทรานส์

       คราบเหนียวหนึบยึดติดนี้ จะเกิดในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หลอดเลือดฝอยไต ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเป็นอันดับหนึ่ง ติดตามด้วย โรคมะเร็ง
       
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องตลาดทั่วไปที่มีการใช้น้ำมันพืชทอดซ้ำมาก เมื่อน้ำมันเหล่านั้นไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันพืช เก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย ทำให้เกิดสารพิษตกค้างใน ร่างกายมนุษย์อีก
       
        ในปี พ.ศ. 2545 ได้ปรากฏในงานวิจัยโดยสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) มีใจความว่า เนยเทียมทำให้หลอดเลือดอุดตันได้เร็วกว่าไขมันสัตว์ และซ้ำร้ายกว่านั้นเนยเทียมเพิ่มระดับ แอลดีแอล LDL (ที่วงการแพทย์มักเรียกว่า ไขมันตัวเลว) และลดระดับ HDL (ที่วงการแพทย์มักเรียกว่า ไขมันตัวดี)
       
        ทั้งนี้จากรายงานของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะในกรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา (Center for Science, in the Public Interest, in Washington, D.C.) ระบุว่า ถ้าใช้งดการใช้เนยเทียมในการทำอาหารของคนอเมริกันจะสามารถช่วยชีวิตคนอเมริกันไว้ได้ถึงปีละ 30,000 คนหรือมากกว่านั้น
       
        ในปี พ.ศ. 2549 ไขมันทรานส์ในสหรัฐอเมริกาถูกห้ามไปบางส่วน และบังคับให้อาหารที่ขายนั้นต้องระบุในฉลากโภชนาการว่ามีไขมันทรานส์ไว้บนฉลากผสมอยู่ในสัดส่วนเท่าไหร่ โยกำหนดให้มีปริมาณกรดไขมันทรานส์ให้น้อยกว่า 0.5 กรัม ต่อหน่วยบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็มีการออกกฎให้ระบุปริมาณของกรดไขมันทรานส์ไว้บนฉลากเช่นกัน รวมถึงการให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบด้วย เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000013714705.JPEG)
ภาพที่ 21 แผนที่โลกโดยองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าหลายประเทศเริ่มออกมาตรการและควบคุมไขมันทรานส์ในปี พ.ศ. 2554 ส่วนของประเทศไทยยังจัดในกลุ่มประเทศที่ไม่ห้ามและไม่บังคับให้ติดฉลาก

       ในปี พ.ศ.2552 ได้มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย แมค มาสเตอร์ (Mc Master University) ประเทศแคนาดา ได้นำงานวิจัยทั้งหลายที่เกี่ยวเรื่องน้ำมัน หรืออาหารที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ การกินกรดไขมันทรานส์ ( trans fatty acid ) มากเกินไป และกินอาหารที่มีน้ำตาลมาก
       
        เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บรรยายที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (ส.ส.ส.) ได้ระบุว่าประเทศไทยมีการใช้น้ำมันพืช 800,000 ตันต่อปี ในจำนวนนี้ยังมีการใช้น้ำมันทอดซ้ำจำนวนมาก ซึ่งน่าห่วงเพราะน้ำมัน ทอดซ้ำมีสารกลุ่มโพลาร์ที่เป็นสารก่อโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือด หัวใจ มะเร็ง อีกทั้งไอระเหยจากน้ำมันทอดซ้ำ หากสูดดมเป็นเวลานาน พบมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งที่ปอด และเนื้องอกในตับและปอดเพราะมีสารกลุ่มไพลีไซคลิกอโรเมติกไฮโดรคาร์บอน ทั้งยังพบว่าก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลองอีกด้วย
       
        ในขณะที่ รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างสารโพลาร์ในน้ำมันทอดอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 315 รายการ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เดือน ตุลาคม พ.ศ 2550 - พฤษภาคม พ.ศ. 2551 พบอาหารตกมาตรฐาน 47 รายการ หรือ 14.92% กลุ่มอาหารที่มีสารโพลาร์ในน้ำมันตกมาตรฐาน 5 อันดับแรก
       
        1. ลูกชิ้น 26.66%
        2.ไก่ทอด 18.60%
        3.ปลาทอด 17.54%
        4.นัทเก็ต 12.5%
        5.หมูทอด 6.67%
       
        ทั้งนี้น้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมคุณภาพ จะมีลักษณะหนืดข้นผิดปกติ มีสีดำ เกิดฟอง มาก มีกลิ่นเหม็นไหม้ เกิดควันมากขณะทอด
       
        และความจริงก็อย่าหลงเพียงแค่ว่าอาหารในตลาดทั่วๆไปจะใช้น้ำมันทอดซ้ำ เท่านั้น แม้แต่ร้านอาหารจานด่วนชื่อดัง ก็เคยถูกตรวจสอบในประเทศไทยมาแล้วว่ามีการใช้น้ำมันทอดซ้ำด้วย โดยปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 ว่า
       
        นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ได้ส่งตัวอย่างไก่ทอด จาก 7 ร้านค้า ประกอบด้วย 1.ไก่ทอดแมคโดนัลด์ (McDonald) ห้างสรรพสินค้า Center One 2.ไก่ทอดหาดใหญ่ ตลาดปทุมธานี 3.ไก่ทอดนายเอส (s) โรงอาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 4.ไก่ทอดอนงค์ ตลาด อตก. 5.ไก่ทอดเจ๊กี ซอยโปโล ถนนพระราม 4 5.ไก่ทอดสมุนไพร หน้าอาคารพหลโยธินเพลส 6.ไก่ทอดเดชา ปากซอยไมยราพ ถ.เกษตรนวมินทร์ 7.ไก่ทอด Chester Grill ห้างสรรพสินค้า Center One 8.ไก่ทอดจีระพันธ์ ตลาดหลังการบินไทย 9.ไก่ทอดหาดใหญ่ ตลาดบางจาก และ 10.ไก่ทอด KFC ห้างสรรพสินค้า Center One ทดสอบที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่ 7 อุบลราชธานี
       
        ผลการตรวจสอบพบว่า เกือบทุกตัวอย่างมีค่าโพลาร์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คืออยู่ระหว่าง 9-20 เปอร์เซนต์ โดยมีเพียงตัวอย่างเดียวที่พบการใช้น้ำมันทอดซ้ำเกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ ไก่ทอด แมคโดนัล (McDonald) สาขาห้างเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยพบโพลาร์เกินกว่าร้อยละ 25
       
        นอกจากไก่ทอดจากร้านแมคโดนัลด์แล้ว ยังพบอีก 3 ตัวอย่างที่มีสารโพลาร์เกือบเกินค่ามาตรฐาน คือน้ำมันใกล้เสื่อมสภาพ ได้แก่ ไก่ทอดหาดใหญ่ จากตลาดปทุมธานี ไก่ทอดเจ๊กีจากซอยโปโล ถ.พระราม 4 และไก่ทอดจีระพันธ์ จากตลาดหลังการบินไทย ถ.วิภาวดีรังสิต
       
        ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามสำหรับคนที่รักสุขภาพ ควรหยุดใช้น้ำมันผ่าน กรรมวิธี (น้ำมันทรานส์) และควรหยุดรับประทานอาหารที่ทำจากน้ำมันทรานส์ในทุก กรณี
       
        ความยากอาจไม่ได้อยู่ที่อาหารที่เราสามารถสังเกตได้ แต่หากอยู่ที่น้ำมันพืชที่เรา ใช้อยู่หากเป็น น้ำมันที่มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูงมากๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมัน ข้าวโพด แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้โดยที่ไม่หืนเลย ก็อาจจะต้องตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนเลยว่ามีการเติมไฮโดรเจนหรือไขมันทรานส์หรือไม่?
       
        ดังนั้นถ้าจะให้แน่ใจว่าน้ำมันพืชที่เราใช้อยู่นั้นไม่ใช่น้ำมันพืชที่แอบเติม ไฮโดรเจนเข้าไปแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดก็คือเลือกน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงๆตามธรรมชาติ ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวสูงๆนั้นมีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวซึ่ง นอกจาก จะไม่หืนเพราะไม่เปิดโอกาสให้ออกซิเจนเข้าทำปฏิกิริยาให้เกิดอนุมูลอิสระแล้ว ยังไม่เปิดโอกาสให้ไฮโดรเจนเข้าทำปฏิกิริยาให้เกิดไขมันทรานส์อีกด้วย
       
        สรุปว่า "น้ำมันทรานส์" โดยเฉพาะมีมากในน้ำมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ที่ "ทอดซ้ำ" เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันที่ ผ่านกรรมวิธีโดยการเติมไฮโดรเจนไม่ควรรับประทานโดยเด็ดขาด
       
        และจะให้ปลอดภัยจากไขมันทรานส์ "น้ำมันมะพร้าว" คือคำตอบที่แน่ชัดที่สุดว่าเป็นน้ำมันพืชที่ใช้สำหรับปรุงอาหารแล้วไม่เกิดไขมันทรานส์!!!
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 08:41:21 am
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 4) : เมื่อเราถูกบริษัทยาหลอกเรื่อง "คอเลสเตอรอล" !?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    25 ตุลาคม 2556 18:32 น.
-http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133720-

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       คนทั่วไปมักจะกลัวคำว่า "คอเลสเตอรอล" เพราะกลัวว่าคอเลสเตอรอลนี้จะอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งความจริงแล้วคอเลสเตอรอลก็มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มาก การที่เรากลัวโดยที่ไม่เข้าใจในเรื่องคอเลสเตอรอลให้ดี สุดท้ายก็อาจเสียท่าตกเป็นทาสบริษัทยาที่ขายยาลดคอเลสเตอรอลให้เราอีกเหมือนเดิม
       
        คอเลสเตอรอล มาจากคำในภาษากรีก chole-หมายถึง น้ำดี (bile) และ stereos หมายถึงของแข็ง (solid) เนื่องจากนักวิจัยตรวจพบ คอเลสเตอรอลในสภาพเป็นของแข็งที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี(gallstone) โดยคอเลสเตอรอล เป็นทั้งสาร สเตอรอยด์(steroid) ลิพิด(lipid) และ แอลกอฮอล์ พบใน เยื่อหุ้มเซลล์ของทุกเนื้อเยื่อในร่างกายและถูกขนส่งในกระแสเลือดของสัตว์
       
        คอเลสเตอรอล คือ หนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์ ทุกเซลล์ในร่างกายเราประกอบไปด้วยคอเลสเตอรอล และข้อสำคัญคือฮอร์โมนหลายชนิดในกลุ่มสเตียรอยด์ก็มาจากการสังเคราะห์ในร่างกายที่ได้มาจากคอเลสเตอรอล ซึ่งครอบคลุมฮอร์โมนเพศ และ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตทั้งหมด รวมถึงร่างกายนำมาผลิตเป็นน้ำดีของมนุษย์ด้วย
       
        คอเลสเตอรอล เป็นแหล่งสำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนในกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid Hormones) ซึ่งมี 6 กลุ่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญกับร่างกายเรา ได้แก่
       
        1. กลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) เป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญในการเผาผลาญ(Metabolism) กลุ่มพวกคาร์โบไฮเดรตให้เกิดพลังงาน ฮอร์โมนที่สำคัญกลุ่มนี้คือ คอติโซล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมหมวกไตที่ทรงพลังอย่างมากเพราะทำหน้าที่หลายประการในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น "ฮอร์โมนที่ต้านการอักเสบ" ที่ต้านระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานมากเกินไป
       
        2. กลุ่มมิเนอรอลคอร์ติคอยด์ (Mineralcorticoids) เช่น อัลโดสโตโรน (Adosterone) มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับระบบการเคลื่อนไหวของน้ำและอิเลคโตรไลท์ ผ่านการควบคุมของโซเดียมและโปแตสเซียม
       
        3. กลุ่มแอนโดรเจน (Androgens) เช่น ดีเอชอีเอ (DHEA) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนสร้างความต้องการทางเพศ ในขณะเดียวกันก็ธำรงรักษาความหนาแน่นของกระดูก จากการศึกษาจำนวนมากได้แสดงว่าระดับของดีเอชอีเอที่ต่ำ มีความสัมพันธ์ตามกันกับความหนาแน่นของกระดูกลดลงหรือโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ดีเอชอีเอยังมีความสำคัญต่อความทรงจำการแก่ชราลงด้วย
       
        4. กลุ่มโปรเจสตาเจน (Progestagens) เช่น โปรเจนเตอโรน (Progesterone) มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการมีประจำเดือนของผู้หญิง และเป็นฮอร์โมนตั้งครรภ์ในผู้หญิง
       
        5. กลุ่มเอสโตรเจน (Esgrogens) เช่น เอสตราดิโอล (Estradiol) เป็นฮอร์โมนที่สำคัญต่อการพัฒนาเกี่ยวกับเพศ และมีความหลากหลายหน้าที่สำหรับกระดูกและคุณภาพของสมอง
       
        6. วิตามินดี (Vitamin D) ในทางเทคนิคคือไขมันสเตอรอล (Sterol) แต่หน้าที่ของมันเหมือนกับสเตียรอยด์ ฮอร์โมน โดยวิตามินดีจะถูกแปลงสภาพในตับเป็นหน้าที่สนับสนุนภูมิต้านทานสำคัญหลายชนิด วิตามินดียังมีส่วนสำคัญยิ่งในการกำกับปริมาณแคลเซียมในกระแสเลือดอีกด้วย
       
        จากข้อมูลความสำคัญของกลุ่มฮอร์โมนทั้ง 6 ข้างต้น แสดงเห็นได้ว่าเมื่อคอเลสเตอรอลมีความสำคัญต่อระบบฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์เช่นนี้ มนุษย์ย่อมขาดคอเลสเตอรอลไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นใครก็ตามที่รับประทานอาหารโดยขาดคอเลสเตรอลก็อาจจะเกิดการพร่องการสังเคราะห์ฮอร์โมนและภูมิต้านทานไปด้วยอย่างแน่นอน
       
        ในทางตรงกันข้าม สำหรับคนที่รับประทานยาลดคอเลสเตอรอลนั้นจำต้องรู้ผลกระทบของผลข้างเคียงด้วยว่า ยาลดไขมันกลุ่มสแตตินเหล่านี้ (Statin Drugs) จะไปขัดขวางการสังเคราะห์ฮอร์โมนที่ได้มาจากคอเลสเตอรอลด้วย ผลก็คือทำให้เราสูญเสียความแข็งแกร่งทางร่างกายลง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สูญเสียความทรงจำ ตับทำงานผิดปกติ เกิดการอักเสบทางผิวหนังได้ง่ายขึ้น อารมณ์แปรปรวน เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ (myopathy) เบาหวาน ฯลฯ
       
        ตัวอย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2553 ของ โดเฮนนี่ (Doheny K.) เผยแพร่ใน WebMd Health News การสำรวจว่าผู้ชายกว่า 3,500 คนที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นผู้ที่ใช้ยาลดคอเลสเตอรอลในกลุ่มสแตตินมีมากเป็น 2 เท่าตัวและพบว่ามีฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนของคนเหล่านี้อยู่ในระดับต่ำ
       
        นอกจากยาที่ลดไขมันในเส้นเลือดจะขัดขวางการสังเคราะห์ให้คอเลสเตรอลเป็นฮอร์โมนแล้ว แล้วไขมันเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปไหนอีกด้วย เพียงแต่ว่าไขมันพวกนี้ย้ายที่ไปสะสมเก็บอยู่ที่ตับแทน เหตุก็เพราะว่ายาลดไขมันในกระแสเลือดพวกนี้จะทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (Receptor) บนเซลล์ตับ ดังนั้นคนที่รับประทานยาลดคอเลสเตอรอลอย่างยาวนานเมื่อทำการตรวจอัลตร้าซาวด์ที่ตับแล้วก็จะพบว่าคนเหล่านี้ได้โรคไขมันพอกตับร่วมด้วย และอาจส่งผลทำให้เกิดอาการตับแข็ง ตับอักเสบตามมา
       
        ข้อสำคัญยาพวกนี้แม้จะลดแต่เฉพาะไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (low density lipoprotein) หรือ แอลดีแอล (LDL) แต่ไม่ได้ลดไตรกลีเซอไรด์จึงอาจเป็นสาเหตุของการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ได้
       
        ด้วยทัศนคติที่เราถูกหลอกว่าคอเลสเตอรอลที่ตรวจพบในเส้นเลือดนั้นมาจากน้ำมันพืชกรดไขมันอิ่มตัวบ้าง บางคนก็เข้าใจว่าคอเลสเตอรอลที่อยู่ในเส้นเลือดนั้นส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ซึ่งความจริงแล้วเราอาจต้องทำความเข้าใจข้อเท็จจริงเสียใหม่เกี่ยวกับ "คอเลสเตอรอล"
       
        เพราะคอเลสเตอรอลโดยส่วนใหญ่แล้ว "ร่างกายสังเคราะห์เองถึงเกือบ 70% -80%" และลำเลียงผ่านเส้นเลือดตามความจำเป็นของร่างกาย !!!
       
        ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 68 กิโลกรัม โดยปกติจะมีคอเลสเตอรอลในร่างกายทั้งหมดประมาณ 35,000 มิลลิกรัม โดยในทุกๆวันร่างกายจะสังเคราะห์ขึ้นเองประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งร่างกายของคนทั่วไปควรได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งส่วนที่ร่างกายรับเพิ่มเข้าไปจะถูกชดเชยโดยการลดปริมาณที่สังเคราะห์ขึ้นเอง
       
        การสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในร่างกายมีสารตั้งต้นการสังเคราะห์มาจากอะซิทิล โคเอ (acetyl CoA) 1 โมเลกุลและอะซิโทซิทิล-โคเอ(acetoacetyl-CoA) 1 โมเลกุลโดยผ่าน เอชเอ็มจี-โคเอ รีดักเทส พาทเวย์ (HMG-CoA reductase pathway) การผลิตคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกายประมาณ 20-25 % เกิดขึ้นในตับมากที่สุด ส่วนอื่นของร่างกายที่ผลิตมากรองลงไป ได้แก่ ลำไส้เล็ก (intestines) ต่อมหมวกไต (adrenal gland) และอวัยวะสืบพันธุ์ (reproductive organ)
       
        หมายความว่าถ้าเรารับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ร่างกายก็จะจัดสมดุลใหม่ด้วยการลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลลง ในทางตรงกันข้ามถ้าเราขาดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลร่างกายก็จะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลแล้วส่งผ่านไปยังเส้นเลือดเพื่อใช้งานมากขึ้นอีกเช่นกัน
       
        ตัวอย่างงานสำรวจและวิจัยระหว่างช่วงการอดอาหาร นิตยสาร American Journal of Clinical Nutrition ฉบับที่ 11 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 ของนายแพทย์ Norman Ende ภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ เมืองแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการอดอาหารติดต่อกันเกิน 72 ชั่วโมง แต่เป็นการศึกษาที่สรุปเอาไว้ว่าระหว่างการอดอาหารคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000014000701.JPEG)
ภาพที่ 1 แสดงช่วงเวลาการอดอาหาร 72 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

       นี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุดเพราะในช่วงเวลาที่เราไม่มีอาหารเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อตรวจคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดกลับเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ดังนั้นย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายสังเคราะห์คอเลสเตอรอลตามความจำเป็นในการใช้งานของร่างกายอย่างแท้จริง
       
        แต่ถ้าเราฟังตามสูตรและตรรกะของบริษัทขายยาลดไขมัน ก็แปลว่าคนอดอาหารทุกคนต้องกลายเป็นคนที่ต้องรับประทานยาลดคอเลสเตอรอลทุกคนไปด้วย ซึ่งเป็นตรรกะที่ดูแปลกประหลาดอยู่มาก จริงหรือไม่?
       
        บริษัทยาได้ส่งเสริมและสนับสนุนและผลักดันจนเป็นผลทำให้ทั่วโลกได้รับเอา “มาตรฐานคอเลสเตอรรอลรวมในเลือด” ว่ามนุษย์ปกติไม่ควรมีคอเลสเตอรอลเกิน 250 mg/dL ในกระแสเลือด ต่อมาจึงได้มีการกำหนดลดลงไปอีกให้เหลือเพียง 200 mg/dL จึงจะถือว่าเป็นปกติ ผลปรากฏว่าจากคนที่เคยปกติต้องกลายเป็นคนไม่ปกติในชั่วข้ามคืนและทำให้ยอดขายยาสแตตินพุ่งขึ้นทำกำไรมหาศาลอย่างรวดเร็ว
       
        ศูนย์ควบคุมโรคของประเทศสหรัฐอเมริกา (US Center for Disease Control) ได้รายงานว่ามีผู้ใหญ่ 1 ใน 6 มีคอเลสเตอรอลในระดับสูง ในขณะที่องค์กรการวิจัยและคุณภาพของการดูแลสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (US Federal Agency for Health Research and Quality) รายงานว่าจำนวนประชากรที่ซื้อยาสแตติน เช่น ลิปิเตอร์ และโซคอร์ จากปี พ.ศ. 2543 อยู่ที่ 15.8 ล้านคน พอมาถึงปี 2548 เพิ่มขึ้นมาเป็น 29.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นมาถึง 88% ในระยะเวลาเพียง 5 ปี
       
        ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราถูกมายาคติหลอกให้เราหลงเข้าใจว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวมากๆ จะทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น จะความดันโลหิตสูงขึ้น จะทำให้หลอดเลือดอุดตัน และสุดท้ายก็จะกลายเป็นโรคหัวใจในที่สุด
       
        ในที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏกลับด้านว่า คนที่เป็นโรคหัวใจที่เสียชีวิตไปเกือบครึ่งหนึ่งนั้น มีคอเลสเตอรอลในเลือดอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ !!!
       
        เมื่อปี พ.ศ. 2551 องค์กรในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้แก่ British Heart Foundation Health Promotion Research Group Department of Public Health, University of Oxford and Health Economics Research Centre, Department of Public Health, University of Oxford ได้ทำการศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดของประชากรชาวยุโรป 40 ประเทศ กลับพบว่าปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัวของประชากรในยุโรปไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตโรคหัวใจเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่มากกว่ากลับมีแนวโน้มที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจน้อยลงเสียด้วยซ้ำไป

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000014000702.JPEG)
ภาพที่ 2 แสดงความสัมพันธ์การเปรียบเทียบสถิติของแต่ละประเทศเกี่ยวกับการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจต่อประชากร 100,000 คน (กราฟแท่งสีแดง) กับ อัตราร้อยละของปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัว (กราฟแท่งสีฟ้า) กราฟเส้นตรงสีเขียวแสดงค่าเฉลี่ยแนวโน้มพบว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจเลย แต่กลับมีแนวโน้มการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงเมื่อบริโภคไขมันอิ่มตัวมากขึ้น
       
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000014000703.JPEG)
ภาพที่ 3 แสดงความสัมพันธ์การเปรียบเทียบสถิติการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจต่อประชากร 100,000 คน (จุดสีแดง) กับ อัตราร้อยละของปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัว (กราฟแท่งสีฟ้า) กราฟเส้นตรงสีเขียวแสดงค่าเฉลี่ยแนวโน้มพบว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจเลย แต่กลับมีแนวโน้มการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงเมื่อปริมาณร้อยละของการบริโภคไขมันอิ่มตัวสูงขึ้น

       เมื่อปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดไม่ใช่คำตอบของอันตรายที่มีต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ได้เคยเกิดงานวิจัยครั้งใหญ่จากการสำรวจสถิติกลุ่มตัวอย่างถึง 3,641 คน โดยนักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนีย เมืองฟิลาเดเฟีย มลรัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคอเลสเตอรอลและโรคหัวใจ ซึ่งจัดทำโดย Kinosian, B; Click, H; and Garland, G.1994 ในหัวข้อ “Cholesterol and coronary heart disease: Predicting risks by levels and ratios.” ตีพิมพ์ใน Ann. Internal Med. 121:641-7 ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ให้คำตอบกว่าการกำหนดปริมาณเกณฑ์การใช้คอเลสเตอรอลในกระแสเลือดที่อ้างว่าจะทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นไม่สามารถชี้ชัดได้เลย และเมื่อเก็บสถิติแล้วกลับพบว่าความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน่าจะใช้วิธีอื่นวัดน่าจะถูกต้องมากกว่า
       
       ซึ่งตัวบ่งชี้เกี่ยวกับการตรวจวัดในกระแสเลือดที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจนั้นน่าจะใช้อัตราส่วนของปริมาณคอเลสเตอรอล หารด้วย ปริมาณไลโปโปรตีนหนาแน่นสูง (High Density Lipoprotein) หรือที่เรียกสั้นว่า HDL ที่แพทย์มักเรียกให้เข้าใจว่าไขมันตัวดีที่ทำหน้าที่เก็บกวาดไขมันตามเส้นเลือดส่งไปให้ตับใช้งาน ดังนั้นจึงกำหนดว่า
       
       “สัดส่วนปริมาณคอเลสเตอรอลโดยรวมไม่ควรมีเกิน 5 เท่าของปริมาณ HDL” น่าจะบ่งชี้ถึงการป้องกันอัตราเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจมากกว่า
       
       ในช่วงหลังๆก็มีการปรับตามสูตรของแต่ละสำนัก เช่น บ้างก็กำหนดให้ คอเลสเตอรอลโดยรวมอย่าเกิน 4.6 เท่าเมื่อเทียบกับ HDL และอีกสูตรหนึ่งคือ ปริมาณไลโปโปรตีหนาแน่นต่ำ (Low Density Lipoprotein) หรือ LDL ควรมีไม่เกิน 3 เท่าของ HDL เป็นต้น
       
       หรืออีกนัยหนึ่งจากงานวิจัยในช่วงหลัง คือปริมาณคอเลสเตอรอลไม่ใช่ปัญหาของโรคหัวใจ หากมี HDL มากพอ !!!
       
        ในที่สุดเมื่อเราเข้าใจมากขึ้นว่าโรคหัวใจไม่ได้มาจากปริมาณคอเลสเตอรอลตามที่บริษัทขายยาโฆษณาชวนเชื่อ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะมีสารอุดตันที่เรียกว่า พลาก (plague) ที่ไปสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดส่วนใน ทำให้หลอดเลือดแคบลง เมื่อมันโตขึ้นกระทั่งหลอดเลือดอุดตัน (Clog) จนเลือดก็ไหลผ่านไม่ได้ ก้อนเลือดนี้อาจจะหลุดออกและถูกพาไปตามกระแสเลือดไปสู่หลอดเลือดที่เล็กกว่า
       
        คำถามมีอยู่ว่าแล้ว พราก (Plague) มันคืออะไรที่มันไปสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือด?
       
       ความจริงก็ได้ปรากฏเมื่อมีงานวิจัย 2 ชิ้น ที่ทำให้ความจริงกระจ่างขึ้น คืองานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี พ.ศ. 2537 ของ Felton, C.V.;Crook, D.; Davis, M.J.; and Oliver, M.F. 1994 ในหัวข้อ Polyunsaturated fatty acids and composition of human aortic plaques. ลงตีพิมพ์ใน Lancet 344: 1,195-1,196 และ งานวิจัยอีกชิ้นคือในปีพ.ศ.2542 ของ Enig, M.G. 1999 ในหัวข้อ Coconut: Insupport of Good Health in the 21st Century. โดยเป็นรายงานที่นำเสนอในการประชุมครั้งที่ ของ APCC พบเรื่องความจริงที่น่าสนใจว่า:
       
        “สาร Athermoas ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของสารอุดตันพลาก (Plague) ในหลอดเลือด เป็นพวก “ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง” (มีมากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ) และจากการวิเคราะห์แผ่นไขมันที่เกาะเส้นเลือดพบว่าในอนุพันธ์คอเลสเตอรอล 74% เป็น “ไขมันไม่อิ่มตัว” และเป็น “ไขมันอิ่มตัวเพียง 26%” ข้อสำคัญคือกรดไขมันเหล่านี้ก็ไม่ใช่กรดลอริก หรือกรดไมริสตริกจากน้ำมันมะพร้าวเลย”
       
        จากข้อมูลข้างต้นจึงสรุปว่าการรับประทานยาลดไขมันไม่ใช่คำตอบในการแก้ไขปัญหาไขมันอุดตันในเส้นเลือด เพราะทำได้แค่เคลื่อนย้ายไขมันจากหลอดเลือดไปพอกที่ตับ หรือไม่ก็ตับก็ส่งไขมันไปตามเส้นเลือดตามการใช้งาน ดังนั้นทางออกในเรื่องนี้จึงอยู่ที่ต้องพยายามเผาผลาญเอาคอเลสเตอรอลไปใช้งานให้มากขึ้นต่างหากจึงจะถูกต้อง และหลีกเลี่ยงบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ
       
       ส่วนวิธีที่จะทำให้ HDL สูงขึ้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือการควบคุมการกินของเราเอง ออกกำลังกายเพิ่มการเผาผลาญให้มาก รวมถึงอาจเสริมด้วยการรับประทานน้ำมันมะพร้าวที่มีกรดไขมันสายสั้นและปานกลางที่ช่วยทำให้เกิดเผาผลาญได้มากขึ้น เมื่อการเผาผลาญมากขึ้นคอเลสเตอรอลทั้งหลายก็จะถูกแปลงเป็นฮอร์โมนและน้ำดีได้มากขึ้น และคอเลสเตอรอลก็จะกลายสภาพมาเป็นแกนกลางของ HDL มากขึ้นได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ดื่มน้ำมันมะพร้าวส่วนมากมักจะพบว่าปริมาณ HDL ในกระแสเลือดจะสูงขึ้นอย่างชัดเจน และจะมีสัดส่วนของคอเลสเตอรอลลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปริมาณ HDL ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยอีกจำนวนมาก
       
       แต่ที่น่าสนใจอย่างมากอยู่ที่ “สงครามการทำงานวิจัย” เพราะฝ่ายผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง และบริษัทยาทั้งหลาย ต่างพยายามโจมตีไขมันอิ่มตัวอย่างหนักหน่วงเช่นกัน โดยเทคนิคในการทำผลงานวิจัยให้ได้ผลตรงกันข้ามเหล่านั้นแทนที่จะเอาน้ำมันพืชโดยตรงไปทดสอบ แต่กลับใช้เล่ห์กลโดยวิธีการแยกกรดไขมันแต่ละชนิดให้แยกออกมาต่างหากเดี่ยวๆ โดยหลีกเลี่ยงที่จะวิจัยจากตัวน้ำมันชนิดนั้นโดยตรง เพราะน้ำมันแต่ละชนิดมีกรดไขมันหลายชนิดทำงานร่วมกันโดยเฉพาะกรดไขมันสายสั้นและปานกลางที่ร่วมกันในการเผาผลาญซึ่งกันและกัน เพื่อหวังผลให้เป็นตรงกันข้ามกัน ดังนั้นตรงนี้เป็นเทคนิคในการวิจัยที่ต้องรู้ทันชั้นเชิงนี้ด้วย
       
       สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกเพียงว่าการออกกำลังกายช่วยการเผาผลาญนั้นดีที่สุด และการบริโภคไขมันก็ควรจำกัดไม่เกิน 30% ของปริมาณแคลอรีที่บริโภคต่อวัน พยายามรับประทานหวานให้น้อยลง รับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น งดไขมันทรานส์ หลีกเลี่ยงของผัดๆทอดๆโดยเฉพาะจากมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (โดยเฉพาะ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ทานตะวัน)
       
       ข้อสำคัญเมื่อศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้และเชื่อมั่นจนปรับพฤติกรรมของเราได้แล้ว การหยุดยาลดไขมันทั้งหลายก็จะดีที่สุด เป็นการประกาศปลดแอกเป็นอิสระภาพจากการเป็นทาสความคิดของทุนสามานย์ด้วยตัวเราเอง
       
       ถ้าทำเช่นนั้นได้นอกจากจะมีสุขภาพกายที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นที่เรามีปัญญาไม่ถูกคนพวกนั้นหลอกเราอีกต่อไป จริงหรือไม่?
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 26, 2013, 09:43:25 am

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/7_%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/-

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายแม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มาข้อมูล bloggang.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 02, 2013, 07:52:13 pm
ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกลจาก...ภัยไข้หวัดใหญ่ระบาด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 15:43 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136758-

 ช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ อากาศเมืองไทยดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก บางวันก็ร้อนอบอ้าว บางวันฝนตก บางวันอากาศอาจจะเย็นให้พอสบายกายบ้าง หรือบางวันก็มาครบทั้ง 3 ฤดูเลยทีเดียว การที่อากาศเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้หลายคนมีความเสี่ยงต้องเผชิญกับ “โรคไข้หวัดใหญ่”ระบาด
       
       ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถึงการระบาดของเชื้อ เนื่องจากมีการระบาดเป็นประจำทุกปี ซึ่งช่วงเวลาของการระบาด ความรุนแรง และระยะเวลาในการระบาดของเชื้อ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละปี

    นพ.ไพศาล เตชะวลีกุล อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ คลินิกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่า “ไวรัสไข้หวัดใหญ่” นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอมาตลอด ดังนั้นมันจึงไม่ปกติสำหรับที่จะมีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ปรากฎขึ้นในแต่ละปี โดยจะมีช่วงเวลาของการระบาดนั้นสามารถคาดการณ์ได้ยากและมีความแตกต่างกันในแต่ละฤดู ซึ่งในประเทศไทยจะมีการระบาดอยู่ 2 ช่วงเวลาคือช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - ตุลาคม) และฤดูหนาว ( มกราคม - มีนาคม) ซึ่งช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดก่อนเดือนดังกล่าวได้และสามารถพบได้ทั้งปี
       
       "อาการทั่วไปของผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ไอแห้ง เจ็บคอ และมีน้ำมูก ไอมีเสมหะ หายใจเหนื่อยหอบ เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และมีไข้สูงตลอดเวลา อาการเหล่านี้เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ทั้งหมดนี้เป็นอาการนำของโรคไข้หวัดใหญ่ บางรายอาจพบอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้"
       
       วิธีการรักษาไข้หวัดใหญ่ที่ได้ผล นพ.ไพศาล ระบุว่า คนไข้ควรได้รับยาต้านไวรัส ภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากมีอาการไข้ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค นอกเหนือจากนั้นจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ทานยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น โดยระดับความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน ซึ่งคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ตลอดจนคนที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวาน และมะเร็ง กลุ่มนี้หากพบการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ influenza จะมีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดพบอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ และอาการติดเชื้อในหูชั้นในตามมาได้
       
       สำหรับการเตรียมตัวรับมือไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลนี้ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ( Center of Diseases Control and Prevention; CDC) ได้ให้คำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งเป็นสิ่งแรกและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ อย่างไรก็ตามมีไวรัสไข้หวัดใหญ่มากมายหลายสายพันธุ์ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ถูกสร้างมากเพื่อป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์หลักที่ได้วิจัยว่าจะเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยในฤดูกาลนั้นๆ ดังนั้นการได้รับวัคซีนสม่ำเสมอในแต่ละปีก็จะเป็นแนวทางที่ดีที่จะป้องกันเราจากการติดโรคและทำให้เราสามารถผ่านการระบาดของไข้หวัดใหญ่ไปได้
       
       “โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เพราะในแต่ละปีเชื้อโรคมีการเปลี่ยนแปลง และพบการกลายพันธุ์ ทำให้เกิดเชื้อตัวใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในแต่ละปีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเชื้อที่ระบาดในช่วงเวลานั้น โดยหลักแล้วจะครอบคลุมสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่พบ”
       
       โดยสามารถรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยเราสามารถรับวัคซีนได้ใน สถานพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาล และคลินิกเอกชนได้ สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฤดูกาล 2013-2014 ชนิดไวรัส 3 ชนิดประกอบด้วย 1) A/California/7/2009(H1N1)pdm09-like virus; 2) A(H3N2) virus antigenically like the cell-propagated prototype virus A/Victoria/361/2012; และ 3) B/Massachusatts/2/2012-like virus
       
       สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฤดูกาล 2013-2014 ชนิดไวรัส 4 ชนิดจะประกอบด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามข้างต้นและชนิด B อีก1 สายพันธุ์ ซึ่งอีกสายพันธุ์ได้แก่ B/Brisbane/60/2008-like virus ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 อย่างก็คือ สุขภาพและอายุของผู้ที่ได้รับวัคซีน ตลอดจนความเหมาะสมกันระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันโรคที่ระบาดอยู่ในชุมชน
       
       นพ.ไพศาล กล่าวด้วยว่า ถ้าสายพันธุ์ของไวรัสที่ระบาดอยู่กับสายพันธุ์ที่วัคซีนนั้นออกแบบมาตรงกันก็จะส่งผลให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูง ในขณะที่ถ้าไม่ตรงกันพอดีก็จะทำให้วัคซีนนั้นไม่มีประสิทธิภาพที่ดี โดยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้รับการออกแบบให้ป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ที่ได้รับการวิจัยว่าน่าจะเป็นพบบ่อยของฤดูกาลนี้ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันไวรัสชนิดอื่นได้ และไม่สามารถป้องกันไวรัสที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ได้
       
       "มีการศึกษาวิจัยหลายฉบับพบว่า มีความแตกต่างระหว่างฤดูกาลและการได้รับชนิดของวัคซีนและชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการลดลงตลอดเวลา ซึ่งการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันเป็นผลมาการหลายเหตุปัจจัยเช่น ชนิดของแอนติเจนที่ใช้ในวัคซีน อายุของผู้ได้รับวัคซีน และสุขภาพอนามัยของผู้ที่ได้รับวัคซีน ดังนั้นในคนที่สุขภาพดีส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมคุ้มกันปกติ เมื่อได้รับวัคซีนร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและปกป้องร่างกายต่อการระบาดของไวรัสในฤดูนั้นได้ แม้ว่าระดับของภูมิคุ้มกันจะลดลงตลอดเวลาก็ตาม"
       
       นพ.ไพศาล กล่าวอีกว่า ในผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็อาจจะสร้างระดับภูมิคุ้มกันได้ไม่มากเท่า หรือระดับภูมิคุ้มกันอาจจะลดลงไวกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันปกติหลังได้รับวัคซีน สำหรับทุกคน การได้รับวัคซีนประจำทุกปีก็จะทำให้มีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ดีและผ่านพ้นฤดูระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ไปได้ เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอ (drift) ซึ่งไวรัสนั้นสามารถมีการเปลี่ยนแปลงภายในฤดูกาลนี้หรือในฤดูกาลหน้าได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็จะคัดเลือกเชื้อที่มีการสุ่มตรวจตามที่ต่างๆ ในโลกเพื่อที่จะนำมาสร้างวัคซีนและส่งออกมาให้ตรงกับฤดูกาล ในฤดูระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้มีการสุ่มตรวจตัวอย่างไวรัสที่มีการหมุนเวียนอยู่ระหว่างฤดูกาล เพื่อนำมาดูความเหมาะสมกันระหว่างไวรัสในวัคซีนกับไวรัสที่หมุนเวียนอยู่เพื่อนำมาผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
       
       อย่างไรก็ตามโรคไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถรักษาได้ ระหว่างที่ป่วยแพทย์จะมีการให้ยาต้านไวรัสที่จะช่วยลดอาการให้น้อยลงและทำให้หายจากการป่วยได้ไวขึ้น และยังสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบได้ แม้วัคซีนจะไม่สามารถป้องกันโรคหวัดได้ 100% ในกรณีที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใกล้เคียง แต่จะช่วยบรรเทาอาการของโรค ไม่ให้เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาได้
       
       แต่วิธีการง่ายๆ ในการดูแลตัวเองให้พ้นภัยจากโรคไข้หวัดใหญ่ คือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี และสมุนไพรต่างๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ และไม่ควรตากฝน หากเปียกฝนก็ควรรีบอาบน้ำสระผมพร้อมกับเช็ดตัวให้แห้ง ดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัดหรือเริ่มมีอาการไข้หวัด โดยเฉพาะห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท หรือใครอยู่ในห้องแอร์สวมเสื้อผ้าที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นเพื่อให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ควรล้างมือสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้อีกทางหนึ่ง



-----------------------------------------------------------------


รู้เท่าทัน...โรคสะเก็ดเงิน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 09:00 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136506-

  รองศาสตราจารย์ ณัฎฐา รัชตะนาวิน
       หัวหน้าสาขาโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
       
       โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาง เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดการอักเสบบนผิวหนัง โรคนี้มักไม่ได้รับความสนใจและให้ความสำคัญมากนัก รวมทั้งคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ทั้งๆ ที่โรคนี้ส่งผลกระทบทางด้านจิตใจต่อผู้ป่วยและคนรอบข้างเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่พบว่าผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นปื้นแดง มีสะเก็ดขุยหนาหลุดลอก เนื่องจากผิวหนังมีวงจรการผลัดเซลล์ผิวที่สั้นลง ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยถึงร้อยละ 3 ของประชากรโลก องค์กรอนามัยโลกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและปัญหาของโรคสะเก็ดเงินจึงจัดตั้งให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสะเก็ดเงินโลก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000014292101.JPEG)
ลักษณะของสะเก็ดเงิน

       โรคสะเก็ดเงิน พบได้ทั้งในเด็กและผู้ป่วย ทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20-50 ปี สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบว่าจะเกิดกับผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน รวมถึงมีปัจจัยบางอย่างที่มากระตุ้น เช่น ความเครียด การสูบบุหรี่ การบาดเจ็บของผิวหนัง การเปลี่ยนแปลงระดับ ฮอร์โมน (ผื่นมักเริ่มเกิดในช่วงแตกเนื้อหนุ่มหรือเป็นสาว) และยาบางชนิด ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
       
       โดยทั่วไปผื่นสะเก็ดเงินมักไม่พบที่บริเวณใบหน้า นอกจากนี้เมื่อผื่น สะเก็ดเงินหายแล้ว จะไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่ สำหรับอาการของโรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่
       
       1.ชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดประมาณ 80% ของคนไข้ โดยจะเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัด ขุยหนา สีขาวหรือสีเงินจึงได้ชื่อว่า “โรคสะเก็ดเงิน” พบบ่อยบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว แขนขา โดยเฉพาะบริเวณ ข้อศอก และหัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเสียดสี
       
       2.ชนิดผื่นขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) จะเป็นตุ่มแดงเล็กคล้ายหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขุย ผู้ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 30 ปี และอาจมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
       
       3.ชนิดตุ่มหนอง (Pustular psoriasis) จะเป็นตุ่มหนองกระจายบนผิวหนังที่มีการอักเสบแดง ในรายที่เป็นมากอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งพบได้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
       
       4.ชนิดผื่นแดงลอกทั่วตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรง ผิวหนังมีลักษณะแดงและมีขุยลอกเกือบทั่วพื้นที่ผิวทั้งหมดของร่างกาย อาจเกิดจากการขาดยาหรือมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น
       
       นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ป่วยบางรายพบการอักเสบของข้อร่วมอยู่ด้วย พบได้ทั้งที่เป็นข้อใหญ่ และข้อเล็ก อาจเป็นข้อเดียว หรือหลายข้อก็ได้ ส่วนใหญ่การอักเสบของมือจะเกิดที่ข้อนิ้วมือ ซึ่งหากเป็นเรื้อรังจะให้เกิดการผิดรูปได้
       
       สำหรับแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ขึ้นกับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงน้อย จะใช้รักษาโดยใช้ยาทา แต่หากมีความรุนแรงมาก ให้รักษาโดยใช้ยารับประทาน หรือฉายแสงอาทิตย์เทียม หรืออาจใช้ร่วมกันระหว่างยารับประทานและฉายแสงอาทิตย์เทียม ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมในการรักษาแต่ละประเภทสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน
       
       1. ยาทาภายนอก มีหลายชนิด ได้แก่ ยาทาคอติโคสเตียรอยด์ น้ำมันดิน แอนทราลิน อนุพันธ์วิตามินดี และยาทากลุ่ม calcineurin inhibitor (tacrolimus, pimecrolimus) เป็นยากลุ่มใหม่ที่นำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาทาคอติโคสเตียรอยด์ แต่ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากยามีราคาแพง
       
       2. ยารับประทาน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทยมี 3 ชนิดได้แก่ เมทโทเทรกเสท อาซิเทรติน และ ไซโคลสปอริน
       
       3. การฉายแสงอาทิตย์เทียม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยจะใช้รังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต A และรังสีอัลตราไวโอเลต B
       
       4. ยาฉีดชีวภาพ เป็นการรักษามีใช้มาประมาณ 10 ปี เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนอง หรือมีผลข้างเคียงจากการรักษา 3 ชนิดข้างต้น
       
       ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินควรดูแลตัวเอง โดยการควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน หลีกเลี่ยงจากความเครียด การอดนอน การติดเชื้อ การเจ็บป่วย การเกา เนื่องจากกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และเมื่อมีการเจ็บป่วย ติดเชื้อ ควรรีบดูแลรักษาโดยเร็ว นอกจากนี้ควรดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
       
       โรคสะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ หากผู้ป่วยและคนรอบข้างมีความรู้และความเข้าใจ รวมถึงการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง จะสามารถควบคุมโรคได้ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 03, 2013, 07:06:55 am
5 วิธีเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุข
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 พฤศจิกายน 2556 17:23 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000136788-

   เมื่อพูดถึง "ฮอร์โมน" เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงซีรีส์พันธุ์ไทยชื่อดัง "ฮอร์โมน...วัยว้าวุ่น" แต่สำหรับงานสัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติปี 2556 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 1-7 พ.ย.นี้ จะว่าด้วยเรื่องของ "ฮอร์โมนความสุข" แบบล้วนๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า "ฮอร์โมนความสุข...สร้างได้ทุกวัย" ซึ่งค่อนข้างตอบโจทย์กับสถานการณ์ทางด้านอารมณ์ของคนไทย ที่พบว่า เคร่งเครียดมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากปัญหาการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือรวมไปถึงปัญหาการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
       
       แล้วจะดีสักแค่ไหนถ้าตื่นเช้าไม่ต้องเจอกับความทุกข์ ความเคร่งเครียด ชีวิตมีแต่ความสุข ความรู้สึกเชิงบวก และที่สำคัญสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง...เพียงแค่คิดก็ฟินแล้ว

 ทั้งนี้ นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ความสุขเป็นสิ่งที่คนทุกเพศทุกวัยต้องการ แต่อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ มีการศึกษาจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า ความสุขนั้นมีความสัมพันธ์กับสมอง เมื่อคนเรามีความสุข สมองซีกซ้าย ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล การวิเคราะห์ และการคำนวณจะทำงานมากขึ้น แต่เมื่อมีความรู้สึกเชิงลบหรือมีความทุกข์ สมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและศิลปะจะทำงานมากกว่า ดังนั้น คนที่มีสมองซีกซ้ายทำงานมากกว่าซีกขวา จึงมักจะเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม และมีความคิดในเชิงบวก คนที่อยู่รอบข้างก็มักจะรู้สึกถึงความสุขไปด้วย ซึ่งแตกต่างจากพวกที่สมองซีกขวาทำงานมากกว่า ที่จะพบว่าเป็นคนที่มีความคิดในแง่ร้าย ความจำไม่ดี และมีความรู้สึกในเชิงลบมากกว่าทำให้คนที่อยู่รอบข้างรับรู้ถึงความทุกข์ไปด้วย
       
       นพ.เจษฎา กล่าวอีกว่า ความสุขของคนเรายังเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหรือสารเคมีในสมองด้วย เช่น
       
       โดปามีน เป็นสารสื่อประสาทที่จะหลั่งเมื่อเราเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จ หรือได้รับการตอบสนองตามความต้องการ
       
       ซีโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่งที่หลั่งเมื่อเราเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หรือรู้สึกมีความสุขสงบ
       
       และ เอ็นดอร์ฟิน หรือสารแห่งความสุข เป็นฮอร์โมนที่หลั่งในขณะที่อารมณ์ดี และมักจะหลั่งออกมา โดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกาย อีกทั้ง ยังเป็นสารที่ช่วยลดความเจ็บปวดได้อีกด้วย
       
       การหลั่งของสารทั้งสามชนิดนี้ มักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในขณะที่เรามีความสุข อย่างไรก็ตาม นอกจากฮอร์โมนความสุขแล้ว ร่างกายเรายังสามารถหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์หรือความเครียดได้ เช่น คอร์ติโซน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะหลั่งเมื่อเรามีความเครียดหรือความกดดันขึ้น ฮอร์โมนชนิดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล ทำให้ความสามารถในการคิดและการจำลดลง ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงเช่นเดียวกัน
       
       "คงไม่มีสูตรสำเร็จรูปในการสร้างความสุข แต่สิ่งสำคัญคือ การเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนความคิด การรับรู้และการตัดสินคุณค่าของตัวเราให้เป็นไปตามความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตที่นำไปสู่ความสุขและความสมดุลได้ไม่ยาก ความสุขในชีวิตจึงไม่ใช่เกิดจากการไขว่คว้าหรือแสวงหาจากสิ่งภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่ตัวเราว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากหรือสุขน้อย ตราบใดที่ตัวเราสามารถให้ความรักแก่ตนเองและผู้อื่น ยอมรับตัวเราและผู้อื่น ยอมรับความเป็นจริงในปัจจุบัน สามารถชื่นชม ภาคภูมิใจ สิ่งที่เรามี และสิ่งที่ผู้อื่นมี มีความอ่อนโยน และเมตตาทั้งตัวเราและผู้อื่น มองโลกตามความเป็นจริง มองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ มีแง่ดีงามอยู่เสมอ รวมทั้งมีอารมณ์ขันกับเรื่องรอบตัวบ้าง เราก็จะเป็นสุขได้เช่นกัน"
       
       สำหรับวิธีที่จะช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุขให้เกิดขึ้นนั้น อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้แนะข้อปฏิบัติ 5 ข้อ ดังนี้
       
       1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ครั้งละ อย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อความสุข ความมั่นคงทางอารมณ์ และช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า เอ็นดอร์ฟิน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี ลดความกังวลและความเจ็บปวด และโดปามีน ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึก สดชื่น กระฉับกระเฉง
       
       2.รับประทานอาหาร จำพวกน้ำตาล ไขมัน และโคเรสเตอรอลในระดับที่พอเหมาะไม่น้อยเกินไป การรับประทานอาหารประเภทน้ำตาลหรือไขมันในระดับต่ำเกินไปจะทำให้ระดับโดปามีนในร่างกายต่ำไปด้วย การรับประทานกล้วย ธัญพืช สามารถช่วยเพิ่มระดับของโดปามีนได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารโปรตีนที่มีส่วนประกอบของ ทริปโตเฟน ในปริมาณมาก เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ปลา นม กล้วย ถั่วลิสง จะช่วยเพิ่มการหลั่งของ ซีโรโทนิน
       
       3.ทำกิจกรรมท่ามกลางแสงแดด อย่างน้อย 20 นาทีในตอนเช้า จะส่งผลให้ร่างกายผลิตสารเมลาโทนิน ที่จะเปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ช่วยในเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนได้เต็มที่ในตอนกลางคืน
       
       4.นวดตัว เป็นพลังจากการสัมผัส ซึ่งมีรายงานวิจัยโดย Touch Research Institute ของ Miami School of Medicine พบว่า การนวดตัวช่วยเพิ่มซีโรโทนิน ถึง 28 % และลดสารคอร์ติโซน ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดได้ถึง 31 %
       
       และ 5.ลดเครียดและจัดการอารมณ์ที่ทำให้เครียด เช่น ความกังวล ความโกรธ ความกลัว เพื่อช่วยเพิ่มระดับของซีโรโทนิน อาทิ การฝึกหายใจคลายเครียด


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 09, 2013, 06:05:44 pm
สธ. เตือน 6 โรคหน้าหนาว ระวังดื่มเหล้าคลายหนาว อันตรายถึงชีวิต
-http://health.kapook.com/view76013.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          สาธารณสุขจังหวัดพะเยา เผย 6 โรคหน้าหนาว พร้อมเตือนดื่มเหล้าคลายหนาวมากไป อันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะแอลกอฮอล์จะดูดซับความร้อนในร่างกายออกมา

          เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 นายฉลอง อัครชิโนเรศ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พะเยา เปิดเผยว่า ตอนนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เกิดสภาวะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้ไวรัสเติบโตได้ดี ด้วยเหตุนี้ หากประชาชนสุขภาพไม่แข็งแรงพอก็อาจจะทำให้เกิดอาการป่วยได้ง่าย สำหรับวิธีการป้องกันนั้น คือ ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ เฉลี่ยครั้งละ 30 นาที พร้อมกับนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง และไม่หักโหมงานหนักมากเกินไป

          ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ภายใต้ความเชื่อที่ว่าช่วยคลายความหนาวเย็นได้ เนื่องจากความเชื่อดังกล่าว เป็นความเชื่อแบบผิด ๆ แม้ว่าการดื่มสุราจะทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบ จากการที่หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ความจริงคือ ความร้อนในร่างกายได้ถูกระบายออก ทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลง ซึ่งถ้าหากมีการดื่มมากเกินไป ประกอบกับร่างกายมีเครื่องนุ่งห่มที่ทำให้อบอุ่นไม่เพียงพอ อาจทำให้เสียชีวิตได้


          

นอกจากนี้ สาธารณสุขจังหวัดพะเยา ยังได้เผยรายงาน 6 โรคที่พบผู้ป่วยมากที่สุดในฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ดังนี้

          

 โรคอุจจาระร่วง

          ไข้หวัดใหญ่

          ปอดบวม

          มือเท้าปาก

          อีสุกอีใส
          
 โรคหัด




          ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพ ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม และหมั่นล้างมือบ่อย ๆ หากป่วยให้รีบพบแพทย์



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE16ZzVPRGcxTkE9PQ==&subcatid=-

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 16, 2013, 08:32:06 pm
เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องป้องกัน แต่เป็นเรื่องดูแล


-------------------------------------------------------------------------

8 วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็น "มะเร็งตับ"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 พฤศจิกายน 2556 13:59 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142692-


การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับมีความพร้อมต่อการรักษา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาได้ด้วย ซึ่งวิธีดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีนั้น คู่มือเรียนรู้สู้มะเร็งตับ ได้แนะนำไว้ทั้งหมด 8 วิธี ดังนี้
       
       1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยมีหลักเกณฑ์คือ
       
       - เลือกรับประทานข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แน่นท้องมากขึ้นได้
       
       - ผักสามารถเลือกรับประทานผักใบเขียวได้ทุกชนิด แต่หากมีอาการท้องอืดมากควรเลือกผักที่ไม่มีเส้นใยมากนักคือ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน เป็นต้น
       
       - คาร์โบไฮเดรตรับประทานได้ตามปกติและควรเลือกชนิดย่อยง่าย หากรับประทานได้น้อย อาจดื่มน้ำหวานเพิ่มเพื่อป้องกันน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
       
       - ผลไม้ ควรเลือกรับประทานที่มีเนื้อไม่แข็งหรือมีเส้นใยมากจนเกินไป เช่น กล้วย ชมพู่ หากรับประทานผลไม้สดลำบาก อาจดื่มน้ำผลไม้แทนได้ ที่สำคัญควรนำผลไม้มาปอกเปลือกเองแทนการซื้อแบบที่ปอกไว้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้
       
       - โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ควรรับประทานให้มากพอ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาทที่มีผลแทรกซ้อนมาจากตับ เช่น ซึม การควบคุมตนเองผิดปกติ ควรได้รับโปรตีนในปริมาณที่จำกัดภายใต้การดูแลของนักกำหนดอาหาร
       
       - รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนและสารพิษ

   
       2.แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง คือ จากเดิมรับประทานอาหาร 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก็เพิ่มเป็นเช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น และก่อนนอน
       
       3.ดูแลผิวหนังโดยไม่อาบน้ำที่อุ่นจัด เย็นจัด หรืออาบน้ำนานเกินไป ใช้โลชันทาตัวหลังอาบน้เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง หากมีอาการคันมากควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ เพื่อสั่งจ่ายยาทาหรือรับประทานแก้คันให้
       
       4.พยายามทำตัวให้กระตือรือร้นและสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
       
       5.ผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ทำสมาธิ หรืองานอดิเรกอื่นๆ รวมถึงการท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีอากาศปรอดโปร่ง พักผ่อนให้เพียงพอ
       
       6.หลังการรักษาควรตรวจร่างกายตามปกติ เอ็กซ์เรย์ ทีซีสแกน ฯลฯ ตามที่แพทย์นัด เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ รวมถึงเพื่อกำหนดแนวทางในการลดหรือป้องกันอาการข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น
       
       7.หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง มีจุดเลือดออกตามผิวหนังหรือมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
       
       และ 8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามที่สภาพร่างกายเอื้ออำนวย ควรทำการบริหารข้อต่อและกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อลดอาการข้างเคียงจากปัญหาข้อยึดติด อย่างไรก็ตาม ก่อนออกกำลังกายควรทราบก่อนว่ามีอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ คือ
       
       ***สิ่งที่ควรทำ (Do's)***
       
       ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มแผนการออกกำลังกาย เพื่อทราบว่าร่างกายมีความพร้อมต่อการออกกำลังกายมากน้อยเพียงไร ส่วนเมื่อออกกำลังกายควรให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ มีส่วนร่วมด้วย นอกจากจะมีคนดูแลความปลอดภัยแล้ว ยังทำให้รู้สึกสนุกขึ้น โดยเริ่มต้นจากการออกกำลังกายอย่างช้าๆ แล้วจึงเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายให้นานขึ้นในวันต่อๆ ไป ทั้งนี้ จะต้องแบ่งช่วงพักจากการออกกำลังกายบ่อยขึ้น เช่น หากต้องการเดินเร็ว 30 นาที อาจแบ่งช่วงพักทุก 10 นาที เป็นต้น
       
       ***สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don'ts)***
       
       ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่จะมีตับแข็ง ซึ่งอาจมีเส้นเลือดขอดที่บริเวณตับร่วมด้วย ดังนั้น การออกกำลังกายแบบใดก็ตามที่ต้องมีอาการเกร็งหน้าท้อง เช่น ซิตอัป ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้เส้นเลือดที่ขอดแตกได้ หากมีอาการโลหิตจางก็ยังไม่ควรออกกำลังกาย ทั้งนี้ ปกติระหว่างการรักษาจะมีการเจาะเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือด ควรถามทีมแพทย์ว่าร่างกายตัวเองมีความพร้อมแล้วหรือยัง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ ซึ่งมีคลอรีนทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสีเกิดอาการระคายเคือง เช่นเดียวกับการรับเคมีบำบัด 7-12 วัน ไม่ควรว่ายน้ำในสระน้ำสาธารณะ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในที่สาธารณะ เพราะเคมีบำบัดทำให้ร่างกายรับมือกับเชื้อโรคได้น้อยลง รวมถึงหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายบนพื้นที่ขรุขระหรือลาดชัน เพราะเสี่ยงต่อการหกล้ม
       
       อย่างไรก็ตาม แม้จะออกกำลังกายได้วันละไม่กี่นาที แต่ร่างกายก็ยังได้รับประโยชน์ ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากวันไหนรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากออกกำลังกายก็ควรยืดเส้นยืดสาย เหยียดกล้ามเนื้อในท่าต่างๆ เป็นต้น



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 17, 2013, 08:18:23 pm
เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพน๊ะครับ


----------------------------------------------------


12 วิธีดูแลสุขภาพเท้าก่อนถูกตัดขาจาก “เบาหวาน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 พฤศจิกายน 2556 19:10 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000142553-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000014918001.JPEG)

 ปัญหาที่น่ากลัวของผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นแผลที่เท้า เพราะหากไม่ดูแลให้ดีอาจสูญเสียขาและเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยเบาหวานก็มีแนวโน้มการถูกตัดขาเพิ่มขึ้นจากการเป็นแผลที่เท้า จากข้อมูลของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า ทุก 1 ปี มีผู้ป่วยเบาหวานถูกตัดเท้าถึง 1 ล้านเท้า
       
       สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะ 1.การเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลายซึ่งรับความรู้สึก ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเหยียบวัตถุมีคม หรือโดนวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงหรือการกดรัดที่เท้า จึงเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว 2.โรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน ทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง เกิดเนื้อตาย หรือเมื่อเกิดแผลจากเหตุใดก็ตาม แผลจะหายยาก 3.การติดเชื้อง่าย เมื่อควบคุมเบาหวานไม่ดี ระดับน้ำตาลสูง จะทำให้ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคลดลง ทำให้เชื้อโรคลุกลาม และ 4.ภาวะเส้นประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ไม่มีเหงื่อออกผิวหนังบริเวณส่วนขาจึงแห้ง คัน หากเกาอาจมีแผลแตกและติดเชื้อได้ง่าย
       
       เมื่อผู้ป่วยเบาหวานเกิดแผลที่เท้า แผลจึงมักหายยากและเรื้อรัง ลุกลามได้ง่าย จึงเป็นต้นเหตุในการตัดขา ซึ่งพบสูงถึง 15-40 เท่าของผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน

   อย่างไรก็ตาม หากมีการดูแลสุขภาพเท้าเป็นอย่างดี มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดแผลที่เท้า และลดอัตราการตัดขาได้ถึง 44-85% ซึ่งวิธีการปฏิบัติดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานสามารถทำได้ 12 ข้อ ดังนี้
       
       1.ล้างเท้าด้วยน้ำธรรมดาและสบู่ที่มีฤทธิ์อ่อนทุกวันตอนเช้าและก่อนนอน ไม่ควรใช้แปรงหรือขนแข็งขัดเท้า ไม่จำเป็นต้องแช่เท้า ถ้าต้องการทำอาจใช้น้ำอุ่นน้อยๆ สามารถทดสอบได้โดยใช้มือ ข้อศอก หรือเทอร์โมมิเตอร์วัดเพื่อมิให้น้ำร้อนจนเกินไปจนทำให้ผิวหนังพองและเป็นแผล แต่ไม่ควรแช่นานเกิน 5 นาที หลังจากนั้นซับทุกส่วนโดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนู
       
       2.สำรวจเท้าด้วยตนเองทุกวันในสถานที่มีแสงสว่างเพียงพอว่ามีแผล รอยช้ำ ผิวเปลี่ยนสี หรือเม็ดพองหรือไม่ โดยตรวจทั่วทั้งฝ่าเท้า ส้นเท้า ซอกระหว่างนิ้วเท้า และรอบเล็บเท้า เมื่อพบความผิดปกติควรพบแพทย์
       
       3.ควรใช้กระจกส่องในการตรวจฝ่าเท้าถ้าไม่สามารถก้มเท้าดูด้วยตนเอง หรืออาจขอให้ญาติช่วยสำรวจเท้า
       
       4.ทาครีมหรือโลชั่นถ้าผิวแห้ง เพื่อป้องกันการเกิดรอยแตก ทาบางๆ โดยเว้นบริเวณซอกนิ้วเท้าและรอบเล็บเท้า ถ้าผิวหนังมีเหงื่อมากควรใช้แป้งฝุ่นหรือผงโรยเท้า
       
       5.สวมรองเท้าตลอดเวลา ทั้งในและนอกบ้าน ไม่ควรเดินเท้าเปล่า
       
       6.สวมรองเท้าขนาดพอดี ไม่คับหรือหลวมเกินไป วัสดุที่ทำควรมีลักษณะนิ่ม ไม่ใส่รองเท้าส้นสูง ก่อนใส่รองเท้าควรตรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในรองเท้าหรือไม่ เช่น หิน กรวด ทราย เพราะเท้าที่ชาจะไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ เมื่อซื้อรองเท้าคู่ใม่ควรใส่เพียงวันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมง ก่อนประมาณ 3-5 วัน และการเลือกซื้อรองเท้าควรทำในช่วงตอนบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่เท้าขยายขนาดกว่าตอนเช้า
       
       7.ควรใส่ถุงเท้าด้วยทุกครั้ง โดยใช้ถุงเท้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายนุ่ม ไม่ควรใช้ไนล่อนหรือถุงเท้าที่รัดมาก และถุงเท้าที่ใส่ไม่ควรให้มีรอยย่นในรองเท้า หลีกเลี่ยงถุงเท้าที่ยาวสูงถึงน่องหรือมียางยืดที่รัดแน่นอยู่ขอบบน เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงเท้าไม่สะดวก และต้องเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน
       
       8.หลังอาบน้ำอาจใช้หินขัดเท้าถูเบาๆ ที่แคลลัส (ผิวหนังที่หนาขึ้นจนแข็ง) เพื่อลดการหนาตัว ห้ามใช้สารเคมีที่ซื้อตามร้านทั่วไปเพื่อลอกตาปลาหรือจี้หูด เนื่องจากสารพวกนี้จะระคายเคืองผิวหนังมากไป ห้ามตัดตาปลาหรือหูดเองด้วยมีดโกน
       
       9.การตัดเล็บ ให้ตัดหลังอาบน้ำใหม่ๆ เพราะเล็บเท้าจะนิ่มขึ้น ทำให้ตัดง่าย ถ้าสายตามองเห็นไม่ชัดควรให้ผู้อื่นช่วยตัดเล็บให้ เล็บเท้าที่หนาและผิดปกติควรได้รับการตะไบและตัดแต่งให้เรียบร้อย
       
       10.เมื่อมีบาดแผล ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผล ห้ามใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ถ้าแผลมีการอักเสบสังเกตได้จากมีอาการปวดบวม แดงมากขึ้น มีหนองที่แผล ต้องรีบปรึกษาแพทย์
       
       11.งดการสูบบุหรี่ เนื่องจากมีผลให้หลอดเลือดตีบแข็ง อาจขาดเลือดมาเลี้ยงทำให้เกิดแผลจากเนื้อตาย หรือถ้ามีแผลติดเชื้อทำให้เม็ดเลือดขาวเข้ามากินเชื้อได้น้อย การหายช้า ทำให้แผลลาม
       
       และ 12.การบริหารเท้าทุกวัน ช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่เท้าดีขึ้น โดยบริหารดังนี้
       
       บริหารขาในท่าแกว่งเท้า ให้ยืนเกาะขอบโต๊ะ แกว่งเท้าไปมา ไม่งอขาขณะแกว่งในด้านหน้า ให้เกร็งยกขาสูงขึ้นจากส้นนับ 1-10 แล้วจึงแกว่งไปด้านหลัง ทำทีละข้างๆ ละ 10 ครั้ง
       
       บริหารน่อง นั่งเก้าอี้หลังตรง ยกปลายเท้าสูงจากพื้น 1 ฟุต เกร็งปลายเท้าให้ชี้เข้าหาตัว ส้นเท้าเหยียดออกจนรู้สึกน่องตึง นับ 1-10 แล้วคลายกล้ามเนื้อที่น่องทำ 10 ครั้งสลับข้าง
       
       เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานมีสุขภาพเท้าที่ดี และห่างไกลปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดแผลที่เท้าและไม่ลุกลามจนต้องถูกตัดขาในที่สุด
       

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 18, 2013, 09:58:16 pm
รู้ไว้ใช่ว่า

---------------------------------------------------------------------

ซิฟิลิส โรคร้าย จุดจบของลำยอง

-http://men.sanook.com/1537/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87/-

(http://p3.isanook.com/me/0/ud/0/1537/sifi.jpg)

น่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหนึ่งโรค ที่ได้รับความสนใจพอๆ กับโรคติดต่ออื่นๆนะครับ เนื่องด้วยกระแสของลำยองนั่นเอง ที่จุดจบของเธอ เป็นโรคนี้ อย่างน่าอนาจ แต่ผู้ชายอย่างเราๆ ก็อย่าได้ไว้วางใจนะครับ เพราะโรคนี้ ผู้ชายก็เป็นได้เหมือนกัน และส่วนใหญ่ ก็มักจะพบในผู้ชายซะด้วย ดังนั้น เรามารู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นดีกว่า

ซิฟิลิส เป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอันตรายเนื่องจากมีอาการเรื้อรัง มีระยะติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี สามารถทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่าง ๆของร่างกายได้หลายระบบ อาจมีอาการแสดงที่ชัดเจนหรืออาจอยู่ในระยะสงบได้เป็นระยะเวลานาน นอกจากติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้วยังสามารถติดต่อจากมารดาไปยังทารกได้

การติดโรคนี้ มีด้วยกันหลายทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ ,ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง และติดต่อแม่สู่ลูก

โรคซิฟิลิสมี 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 เป็นแผล
แผลซิฟิลิสเกิดที่อวัยวะเพศชายมากกว่าหญิง เกิดหลังร่วมเพศ 10 ถึง 90 วัน ถ้าแผลเกิดภายในวันสองวันหลังร่วมเพศมักจะไม่ได้เกิดจากซิฟิลิส ตอนแรกจะเป็นกลุ่ม แล้วผิวบนแตกออกเป็นแผล แผลจะมีลักษณะขอบแข็งคล้ายยางลบ พื้นแผล สีแดง แผลนี้ไม่เจ็บ

แผลที่อาจเกิดที่บริเวณอื่น เช่น ขา ทวาร ริมฝีปาก สุดแต่ว่าเชื้อมันเข้าไปที่ใดบ้าง ระยะนี้ถ้าตรวจเลือดอาจยังไม่พบ "บวก" ก็ได้

ระยะที่ 2 เข้าข้อ ออกดอก
ระยะนี้เกิดหลังจากระยะแรกประมาณ 6 สัปดาห์มีอาการปวดข้อ และมีผื่นขึ้นตามตัว ผื่นนี้ไม่คัน ระยะนี้ถ้าตรวจเลือดจะพบ "บวก" ชัดเจนผื่นจะหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา และเข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่ 3 แฝงตัว
ระยะนี้ไม่มีอาการอะไร แต่เชื้อซิฟิลิส แฝงอยู่ข้างในอาจอยู่เป็นปีๆ หรือเป็นสิบปีกว่าจะโผล่เป็นระยะที่ 4

ระยะที่ 4 ทำลาย
ระยะนี้มีการทำลาย ลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจรั่วบ้าง หลอดเลือดใหญ่โป่งพองบ้าง ทำลายสมองอาจทำให้เป็นอัมพาตบ้าง หรือมีสมองเสื่อมบ้าง ถ้าถึงระยะนี้ยากหรือไม่สามารถที่จะแก้ไขให้กลับคืนปกติได้

การป้องกัน
หากชายคนไหน ไม่นอกใจคู่ครองตัวเองไปมีอะไรกับหญิงอื่นบ่อยๆ ก็น่าจะวางใจไปได้มากกว่าครึ่ง ว่าจะไม่เป็นโรคนี้ หรือถ้าคุณอดใจไม่ได้จริงๆ ถุงยางอนามัย ก็น่าจะช่วยคุณได้ แต่ทางที่ดี รักเดียว ใจเดียว มีคนเดียว ดีที่สุดแล้วล่ะครับ

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 29, 2013, 11:48:33 pm
แผลในช่องปาก...มากกว่าที่คิด

-http://campus.sanook.com/1370312/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81...%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94/-

คอลัมน์ เรื่องฟันFunกับทันต จุฬาฯ โดย ศ.ทญ.กอบกาญจน์ ทองประสม


การเกิดแผลในช่องปากนั้นมีหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยๆ มักเป็นแผลที่เกิดจากการกระทบกระแทก เช่น ฟันแตกคม ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง กัดกระพุ้งแก้ม ตะขอฟันปลอม หรือเครื่องมือจัดฟันระคายเคืองเนื้อเยื่อช่องปากบริเวณที่สัมผัส เป็นต้น แผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เมื่อกำจัดสาเหตุออกไปแล้ว จะหายไปได้เองภายใน 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่า แผลในช่องปากบางชนิดอาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคของระบบต่างๆ ในร่างกายที่มีความสำคัญกับผู้ป่วย การใช้ยารักษาผู้ป่วยที่มีโรคต่างๆ ของร่างกาย มักมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดผลเสียอันไม่พึงประสงค์เสมอ บางครั้งยาบางชนิดจะสามารถกระตุ้นทำให้เกิดแผลเรื้อรังในช่องปาก ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดมากได้ ยาที่พบบ่อยว่าสามารถทำให้เกิดแผลในช่องปากได้ คือ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาที่ใช้รักษาโรคข้อและกระดูกอักเสบ ยาต้านลมชัก ยาคุมกำเนิด และยาชนิดอื่นๆ

ส่วนรอยโรคนั้น มักจะพบลักษณะเป็นลายเส้นสีขาวร่วมกับการอักเสบแดงจัดเป็นแผล บางครั้งมีเลือดออกบริเวณรอยโรคด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการปวดแสบปวดร้อนในช่องปาก กินอาหารรสจัดไม่ได้ ส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงวัยกลางคน ยาที่สามารถกระตุ้นให้เกิดรอยโรคชนิดนี้มีมากมายหลายชนิด ที่พบบ่อยๆ คือ ยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคเบาหวาน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาลดไขมันบางชนิด เป็นต้น และรอยโรคชนิดนี้ มีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งในช่องปากได้ แต่พบน้อยในคนไทย

อีกอย่างที่ควรรู้คือ โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเองบางชนิด บางครั้งอาจตรวจพบว่า มีแผลในช่องปากที่มีลักษณะคล้ายกับแผลร้อนใน ซึ่งแผลที่เกิดขึ้นนี้จะมีลักษณะเรื้อรังนานเป็นปีหรือหลายปี ส่วนใหญ่มักจะพบแผลได้ที่บริเวณกระพุ้งแก้ม เพดานปาก ริมฝีปาก

ดังนั้น หากท่านมีแผลเรื้อรังในช่องปาก ควรไปพบทันตแพทย์ซึ่งจะเป็นบุคคลแรกที่สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงในช่องปาก และอาจตรวจพบมะเร็งในช่องปากระยะแรกได้

ที่มา : นสพ.มติชน




หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 08:33:15 am
เตือน "เรดอน" ภัยเงียบในบ้านเสี่ยงมะเร็งปอด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 พฤศจิกายน 2556 13:35 น.

-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000148157-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015499701.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015499702.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015499703.JPEG)

อุปกรณ์ตรวจวัดก๊าซเรดอนของ สทน.



สทน.- สทน.เตือน ถึงเวลาคนไทยตระหนักถึง “เรดอน” ภัยเงียบในบ้านเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด
       
       สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. แจ้งข่าวถึงอันตรายของ "เรดอน" ก๊าซเฉื่อยที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส ว่าหากได้รับมากเกินจำเป็นเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด แนะคนอยู่คฤหาสน์ หรือบ้านปูน ใส่ใจสร้างระบบระบายอากาศ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ สามารถลดความเสี่ยงได้ ปัจจุบันมีคนจำนวนมากสร้างบ้านเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โต เลือกใช้วัสดุที่ราคาแพง แข็งแรงคงทน หรูหรา อย่างคอนกรีต หินแกรนิต หินอ่อน กระเบื้องโมเสคต่างๆ
       
       "วัสดุเหล่านั้นใช่ว่าจะมีผลดีต่อสุขภาพคนเรา เพราะบ้านท่านอาจจะปะปนไปด้วย ก๊าซเรดอน ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการเสื่อมสลายตัวของธาตุยูเรเนียม ซึ่งมีปะปนอยู่ในหินดินทรายทั่วโลก จนกลายเป็นเรเดียมและกลายมาเป็นก๊าซเรดอนในที่สุด โดยเมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก๊าซเรดอนจะสลายตัวปล่อยรังสีอัลฟาพลังงานสูงออกมาทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด" จดหมายจาก สทน.ระบุ
       
       ทั้งนี้ เรดอนเกิดจากธรรมชาติ ปะปนอยู่ในชั้นหิน แร่หิน ที่สำคัญก๊าซเรดอนไม่มีสี ไม่มีกลิ่น คนเราไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสใดๆ มันสามารถแทรกตัวผ่านพื้นดินเข้ามาในตัวบ้านโดยตรง หรือผ่านทางท่อ รูเปิดต่างๆ และรอยแตกร้าว นอกจากนั้นยังอาจจะมาจากหินหรือทรายที่มีแร่เรเดียมปนเปื้อน แล้วนำมาใช้ในการสร้างบ้าน
       
       มีข้อมูลระบุว่าก๊าซเรดอนที่สะสมในบ้านเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดและทำให้ผู้ป่วยในสหภาพยุโรปเสียชีวิตปีละ 20,000 คน ส่วนในสหรัฐอเมริกาพบว่าบ้าน 1 ในทุก 15 หลัง จะมีระดับก๊าซเรดอนสูง จนองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศจัดให้ก๊าซเรดอนเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์อย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 หรือ 25 ปี มาแล้ว
       
       องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ประเทศสหรัฐอเมริกา (The U.S. Environmental Protection Agency; EPA) ได้กําหนดระดับก๊าซเรดอนในอาคารที่พักอาศัยไว้ที่ 4 pCi/L (หรือ 148 Bq/m3) และกำหนดเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ก๊าซเรดอนจะมีปริมาณน้อยกว่า 4 pCi/L ก็ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และควรจะต้อง ลดปริมาณลงให้น้อยกว่านี้อีก ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าบ้านในประเทศสหรัฐอเมริกามีประมาณ 6% ที่มีปริมาณก๊าซเรดอน ในบ้านสูงกว่าหรือเท่ากับระดับที่กำหนด
       
       ต่อมาในปี 2009 องค์การอนามัยโลก (The World Health Organization: WHO) ได้ปรับลดค่าเรดอนภายในอาคารที่พักอาศัยเป็น 2.7 pCi/L (หรือ 100 Bq/m3) เพื่อให้มีระดับความปลอดภัยแก่ ประชาชนมากยิ่งขึ้น แต่ในประเทศไทยเรายังไม่มีกฎหมายกำหนดปริมาณก๊าซเรดอนที่ปลอดภัย
       
       ด้าน ​ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สทน.กล่าวว่า เจ้าของบ้านอาจจะไม่รู้ว่ามีก๊าซชนิดนี้วนเวียนอยู่ในบ้านเราหรือไม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าบ้านเรามีก๊าซเรดอนในปริมาณสูงมากน้อยเพียงใด เพราะในประเทศไทยมีเครื่องมือในการวัดปริมาณก๊าซเรดอนและนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ที่ สทน. ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวสามารถวัดปริมาณก๊าซเรดอนในพื้นที่เป้าหมายได้ผลอย่างแม่นยำ ​
       
       ดร.สมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่มีก๊าซเรดอน แต่เราสามารถลดปริมาณก๊าซเรดอนภายในบ้านได้ ซึ่งทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การออกแบบบ้านให้มีช่องระบายอากาศ และไม่ ปิดทึบจนเกินไป การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่มีสารกัมมันตรังสี และการระบายอากาศภายในบ้าน โดยการเปิดประตู หน้าต่าง และช่องระบายลม เพื่อไม่ให้มีก๊าซเรดอนอยู่ภายในบ้านสูงเกินไป และที่สำคัญคือ การอุดรอยร้าวและรอยแยก ตามพื้นและผนังของบ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เรดอนเข้าสู่ภายในบ้าน
       
       "หากผู้ประกอบการบ้านจัดสรร โดยเฉพาะหมู่บ้านจัดสรรที่มีราคาสูงใช้วัสดุอย่างดีในการก่อสร้างบ้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นทรายที่นำมาผสมกับปูน หินแกรนิต หรือใยหินต่างๆ ก็อาจมีเรดอนปะปนอยู่ แต่ไม่ทราบว่ามากน้อยเท่าไร ขอแนะนำผู้ประกอบการสามารถติดต่อกับ สทน. เพื่อขอรับบริการวัดก๊าซเรดอนได้ สทน.จะนำเครื่องวัดก๊าซเรดอนไปให้บริการวัดก๊าซเรดอนให้กับท่าน การวัดนั้นสามารถทำได้ปีละครั้งก็ยังดี ถือเป็นบริการหลังจากการขายดีๆ จากผู้ประกอบการ และยังเป็นการดูแลสุขภาพแก่ลูกบ้านให้อยู่กันอย่างมีความสุขไปอีกนานเท่านาน" ผู้อำนวยการ สทน.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 08:36:09 pm
แบบนี้ อันตรายมากๆๆๆๆๆ



----------------------------------------------


โพลเผย คนไทยมีเซ็กส์กับคนที่ไม่ใช่แฟนโดยไร้ถุงยาง 29% หวั่นเอดส์พุ่ง
-http://health.kapook.com/view77444.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


           โพลเผย ประชาชนเคยมีเซ็กส์แบบสอดใส่กับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนหรือคนรักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 29 หวั่นปัญหาโรคเอดส์เพิ่มขึ้น วอนทุกภาคส่วนตระหนักและร่วมแก้ปัญหา

           เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 ภก.เชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยว่า ทางหน่วยงานได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง HIV และเอดส์ ทางระบบออนไลน์และสำรวจจากกลุ่มเป้าหมายในการจัดรณรงค์โรคเอดส์ ช่วงวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2556 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 200 ราย ได้ผลดังนี้

           1. ด้านพฤติกรรม

           ดูออกว่าคนที่มีเซ็กส์ด้วยกันเคยมีเซ็กส์กับคนอื่นมาก่อน ร้อยละ 52
           มั่นใจว่าคู่ของตนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เมื่อมีเซ็กส์กับคนอื่น ร้อยละ 31
           มั่นใจว่าจะมีเซ็กส์กับคนคนเดียว ร้อยละ 62
           เคยมีเซ็กส์แบบสอดใส่กับคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนหรือคนรักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 29
           ปฏิเสธการมีเซ็กส์เสี่ยงแบบไม่ป้องกันได้ตลอดทุกครั้ง ร้อยละ 54
           มีถุงยางอนามัยเมื่อต้องการใช้ทุกสถานการณ์ ร้อยละ 47
           เคยใช้เข็มฉีดสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น ร้อยละ 9
           เคยไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 56

           2. ด้านการรักษา

           ทราบข้อมูลว่าปัจจุบันมียาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาของคนไทย ร้อยละ 73
           ทราบว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ที่กินยาต้านไวรัสรักษาอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง จะช่วยชะลอการเสียชีวิตได้ ร้อยละ 83
           ทราบว่าผู้ป่วยที่กินยาต้านไวรัสรักษาอยู่จะช่วยป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้ ร้อยละ 39

           3. ด้านการรังเกียจและตีตรา

           หากติดเชื้อเอชไอวีจะยอมบอกคนในครอบครัว ร้อยละ 77
           ผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อที่ตนรู้จักคือคนในครอบครัว เพื่อนสนิท รวมกันร้อยละ 9 เป็นคนรู้จักถึงร้อยละ 49
           ถ้าทราบว่าคนที่รู้จักติดเชื้อเอชไอวีจะเดินหนีหรืออยู่ห่าง ๆ ร้อยละ 14
           รู้สึกรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 2 รังเกียจผู้ป่วยเอดส์ ร้อยละ 4
           ถ้ามีบริการตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวีฟรีจะไปตรวจทันที ร้อยละ 75

           ทั้งนี้ ภก.เชิดเกียรติ กล่าวว่า ภาคธุรกิจและภาคประชาชนในส่วนภูมิภาค ควรได้ตระหนักถึงความจำเป็นต้องขจัดปัญหาเอชไอวีและเอดส์ โดยอาศัยข้อมูลนี้มุ่งพลิกสถานการณ์ ตอบสนองและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเร่งรัดการต่อสู้กับปัญหาเอชไอวีและเอดส์ บรรลุผลให้เป็นศูนย์ สู่ 3 ต. คือ ไม่ติด ไม่ตาย และไม่ตีตรา


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1385721712&grpid=&catid=01&subcatid=0100-




หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2013, 09:10:49 pm
2 กฎเหล็กป้องกัน "ภาวะเลือดเป็นกรด"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤศจิกายน 2556 20:38 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000148534-


    ปกติเลือดของคนเราจะมีความเป็นด่างอยู่นิดๆ คือมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 7.2-7.4 ซึ่งจะนับว่าเป็นคนที่มีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ทุกวันนี้คนเราเจอกับ "ภาวะเลือดเป็นกรด (acidosis หรือ hypo-Alkalinity)" มากขึ้น ซึ่งภาวะดังกล่าวจะทำให้เกิดอาการหิว อาหารไม่ย่อย มีอาการร้อนและรู้สึกเจ็บในคอหอยและช่วงอก มีอาการวิงเวียน อาเจียน ปวดศีรษะ โรคประสาทต่างๆ และอาการนอนไม่หลับ
       
       ทั้งนี้ ภญ.สุมาพร ไทยเจริญ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับภาวะเลือดเป็นกรดเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจในจุลสารโรงพยาบาลสระบุรี ซึ่ง ASTVผู้จัดการออนไลน์ ขอนำมาเผยแพร่ให้แฟนนานุแฟนโต๊ะข่าวคุณภาพชีวิต ดังนี้ ภาวะเลือดเป็นกรด มักพบได้บ่อย แต่ไม่ได้แสดงอาการที่บ่งบอกชัดเจน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น ภาวะไตวาย โรคไต ความผิดปกติในการขับกรด ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม รวมทั้งผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วย นอกจากนี้ ยังเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันด้วย!!
       
       พฤติกรรมประจำวันที่ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด ได้แก่ 1.การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ เต็มไปด้วยสารเคมี ฝุ่นละออง สารพิษ 2.การรับประทานอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าเป็นกรดและล้วนเป็นอาหารที่แต่ละคนโปรดปรานทั้งนั้น เช่น อาหารฟาสต์ฟูด น้ำตาล ชา กาแฟ เนื้อสัตว์ แป้ง ผลไม้รสหวาน ไขมัน ถั่ว เม็ดมะม่วงฟิมพานต์ และ 3.ความเครียด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไปสะสมจนร่างกายมีปริมาณกรดในเลือดเพิ่มขึ้น หรือเมื่อปริมาณสารที่มีฤทธิ์เป็นด่างในเลือดลดลง แม้ว่าจะเป็นระดับที่เล็กน้อยก็ส่งผลให้ความสามารถในการขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้รับลดลง เกิดการสะสมของกรดในเนื้อเยื่อ จึงเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า "ภาวะเลือดเป็นกรด" และจะทำให้ร่างกายเสื่อมลงช้าๆ และรบกวนการทำงานของร่างกาย

สำหรับวิธีการป้องกันภาวะเลือดเป็นกรด สามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1.รับประทานอาหารให้ร่างกายได้รับอาหารที่เป็นด่าง (อัลคาไลน์) เพราะเมื่อมีการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ร่างกายก็จะลดการเสื่อมสภาพลง ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างภาวะด่างในร่างกายขึ้นมา การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างมากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานดีขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปการรับประทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราได้รับอาหารที่เป็นทั้งกรดและด่าง โดยที่โภชนาการอุดมคติที่ควรจะเป็นนั้น จะต้องประกอบด้วย อาหารที่เป็นด่าง (อัลคาไลน์) 75% และกรด (อะซิติก) 25% ของปริมาณอาหารทั้งหมดในแต่ละมื้อ
       
       อาหารที่เป็นด่าง จะมีค่า pH ระหว่าง 7.0 - 9.0 อาทิ แตงกวา สาหร่าย แคนตาลูป เลมอน (มะนาวฝรั่ง) กีวี แอปเปิ้ล อะโวคาโด ถั่วเหลือง บร็อคโคลี เยื่อไฝ่ ฟักทอง ข้าวโพด อัลมอนด์ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ผักบุ้ง แครอต ขึ้นฉ่าย กระเทียม ลูกแพร์ องุ่นแห้ง ฝรั่ง ปวยเล้ง ชาเขียว กะหล่ำปลี แตงโม และมะเขือเทศ เป็นต้น
       
       ส่วนอาหารที่เป็นกรด จะมีค่า pH ระหว่าง 5.0 - 7.0 อาทิ น้ำตาลสังเคราะห์ เนื้อวัว เนื้อหมู น้ำอัดลม แป้งทำขนม เบียร์ สุรา ป็อปคอร์น อาหารแช่แข็ง น้ำสมสายชู เนื้อแกะ เนื้อแพะ ไก่งวง กาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป เนยสังเคราะห์ ข้าวขัดสี อาหารกระป๋อง สีผสมอาหารสังเคราะห์ ช็อกโกแลต ผงชูรส อาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน เป็นต้น
       
       และ 2.การออกกำลังกายที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่เป็นด่าง แต่ต้องระมัดระวังอย่าออกกำลังกายมากจนเกินไปคือ เลยจุดความอ่อนล้า เพราะจะเกิดภาวะเลือดและเนื้อเยื่อในร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป นอกจากนี้ เซลล์ที่ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ จะส่งผลให้การหายใจระดับเซลล์บกพร่องจนค่า pH ต่ำลง และจะหันไปใช้กระบวนการสลายกลูโคสแบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งผลที่ได้จะกลายสลายจะได้เป็นกรดแล็กติก จึงทำให้คนรู้สึกแย่กับการออกกำลังกายที่หักโหมจนเกินไป
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการล้างสารพิษในร่างกายทำงานไม่สมดุลกับกรดที่มีมากเกินไปในเนื้อเยื่อ และหากไม่มีการออกกำลังกายเลย กรดและสารพิษที่ถูกสร้างขึ้นมาในร่างกาย ก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้เช่นกัน
       
       หากอยากหลีกเลี่ยงภาวะเลือดเป็นกรด ก็ควรรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง อย่ารับประทานอาหารที่เป็นกรดมาก และต้องออกกำลังกายให้เหมาะสม เท่านี้ก็จะช่วยให้มีร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีภาวะเลือดเป็นกรดให้ยุ่งยากใจอีกต่อไป

---------------------------------------------------------------------------

การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤศจิกายน 2556 13:23 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000148527-


 โดย...รศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล
       สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
       คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
       
       เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องในคน ส่วนโรคเอดส์ หมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด ปัจจุบันนี้การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย จากรายงานขององค์การอนามัยโลกคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 35 ล้านคนเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2555 สำหรับในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีเกือบ 6 แสนคน และเสียชีวิตประมาณ 3 หมื่นคน ความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีเท่ากับร้อยละ 1.4 แต่ในความเป็นจริงคาดว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 1 ล้านคน ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศเมื่อปี 2530
       
       การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด เป็นโรคติดต่อเรื้อรังเหมือนโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่ 2 โรคหลังนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ทางหลักของการติดต่อที่พบมากที่สุดในประเทศไทยคือ ทางเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ส่วนการติดต่อทางอื่นที่พบได้คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการสักและจากมารดาสู่ทารก หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีในช่วงแรกผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลยก็ได้ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเอง แม้ไม่ได้รับการรักษาและจะเข้าสู่ระยะติดเชื้อที่ไม่มีอาการ
       
       เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวตลอดเวลาจึงทำให้เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคลดต่ำลงไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะมีอาการเช่น น้ำหนักลด, ฝ้าขาวในปาก, ท้องเสียเรื้อรังหรือมีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา และระยะสุดท้ายคือ เอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ต่ำมากและหรือมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนเช่น วัณโรคหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ซึ่ง 2 ระยะหลังนี้ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี
       
       นอกจากการให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ภูมิคุ้มกันต่ำมากแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีคือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี การใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดรวมกันเป็นสูตรยาที่เหมาะสมและถูกต้อง จะนำไปสู่การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีที่ควบคุมได้คือ ไม่สามารถตรวจพบไวรัสในเลือด ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีสี่สูงขึ้น มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสลดลง อัตราตายลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากยังไม่มียาต้านเอชไอวีชนิดใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดหรือยับยั้งการดำเนินของโรคได้นานตลอดไป

   
การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้

       ดังนั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงต้องกินยาทุกวันตลอดชีวิต ในปัจจุบันได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่กินง่าย มีผลข้างเคียงน้อย หรือเป็นแบบรวมเม็ดที่กินวันละ 1 เม็ด และมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก รวมไปถึงมีการพัฒนารูปแบบยาให้เป็นแบบฉีดและยาที่ออกฤทธิ์ในนาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยที่จะพยายามทำให้โรคหายขาด ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 หลักการที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้คือ การรักษาเร็วตั้งแต่ที่มีการติดเชื้อใหม่ๆ แต่ปัญหาคือผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเมื่อมีอาการหรือติดเชื้อมานานแล้ว และการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งทั้ง 2 หลักการนี้ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
       
       เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวียังเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาดในขณะนี้ การป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ วิธีที่ยังมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์คือ การใช้ถุงยางอนามัย ทั้งถุงยางอนามัยสำหรับเพศชายและถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิง แต่ถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิงนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากมีราคาแพงและใช้ไม่สะดวก ส่วนการป้องกันการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกคือ การให้ยาต้านเอชไอวีแก่มารดาที่ติดเชื้อและการให้ยาในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งมีประสิทธิภาพลดการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกได้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่ปัญหาที่พบคือ มารดามาฝากครรภ์ช้าหรือไม่ได้ฝากครรภ์ จึงไม่ได้รับยาต้านเอชไอวีเพื่อการป้องกัน จึงยังพบเด็กที่มีการติดเชื้อรายใหม่อยู่เรื่อยๆ
       
       การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดคือ การใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดและไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น แต่การที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงเป็นข้อมูลที่แสดงว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยลดลง ผู้วิจัยหลายกลุ่มจึงได้มีการพัฒนาและวิจัยวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีใหม่ๆ เพื่อเสริมกับประสิทธิภาพของการใช้ถุงยางอนามัย โดยในช่วง 2-3 ปีนี้มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์หลายการศึกษาโดยเฉพาะการใช้ต้านเอชไอวีที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะได้รับเชื้อในผู้ที่มีความเสี่ยง
       
       มีหลายการศึกษาที่แสดงว่าเมื่อผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น เป็นชายรักชาย ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดหรือผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีคู่ที่ติดเชื้อเอชไอวี กินยาต้านเอชไอวีชนิดเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการติดเชื้อเอชไอวีลดลง โดยยาต้านเอชไอวีมีประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 40-50 แต่การกินยาต้านเอชไอวีนี้เป็นการป้องกันเสริมหรือร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนายาต้านเอชไอวีเป็นรูปแบบเจล เพื่อให้ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีใช้ใส่เข้าไปในช่องคลอด ทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างแรกที่ผู้หญิงสามารถเลือกใช้ได้ในกรณีที่ผู้ชายไม่ยอมใส่ถุงยางอนามัย แม้ว่าประสิทธิภาพของเจลชนิดนี้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไม่สูงมากคือ ประมาณร้อยละ 40 และยังขึ้นกับความสม่ำเสมอในการใช้เจล
       
       นอกจากนี้ ยังมีหลักการที่ใช้ยาต้านเอชไอวีรักษาผู้ติดเชื้อและในขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อ หมายถึงเมื่อให้การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีคนนั้นๆ แล้ว จะทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลดลง ส่งผลให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในสิ่งคัดหลั่งที่อวัยวะเพศลดลง และลดการติดต่อของเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งหลักการนี้สามารถลดการติดเชื้อไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึงร้อยละ 96 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
       
       โดยสรุป การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ในปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการวิจัยที่จะทำให้การรักษาเป็นแบบหายขาด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยช้า ไม่ได้มีการตรวจเลือดคัดกรองโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับการรักษาช้า ซึ่งอาจจะทำให้มีผลการรักษาที่ไม่ได้หรือเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนตามมา


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 01, 2013, 09:52:54 am
10 ความรู้เรื่องเอดส์

-http://campus.sanook.com/1370317/10-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C/-

สภากาชาดไทยให้ความรู้เรื่องเอดส์และการตรวจเอดส์ ไว้หลายประการ ดังนี้

1.เอดส์ ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับผู้อื่น

2.เอดส์ สามารถป้องกันได้โดยการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือโดยการเลิกเสพยา หรือโดยการใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดทุกครั้งที่เสพยา แต่ก็มีคนไทยติดเชื้อใหม่ปีละเกือบ 200,000 รายคนที่ติดเชื้อใหม่ติดมาจากคนที่ติดเชื้ออยู่ก่อน แต่ไม่รู้ตัว เพราะไม่เคยไปตรวจ หรือไม่มีอาการอะไร

3.คนที่ติดเชื้ออาจไม่มีอาการอะไรเลยเป็นปีๆ หรืออาจมีอาการป่วยขึ้นมากะทันหัน จนเสียชีวิตได้

4.การตรวจ Anti - HIV เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (เอดส์) โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ สามารถตรวจพบได้หลังจากรับเชื้อมาแล้ว 2-6 สัปดาห์

5.ถ้าอยากตรวจพบให้เร็วขึ้น เช่นภายหลังรับเชื้อมาเพียง 3-7 วัน ต้องตรวจด้วยวิธี Nucleic Acid Technology (NAT) ปัจจุบันคลินิกนิรนามให้บริการตรวจด้วยวิธี NAT ทุกราย ถ้าการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) ด้วยวิธีแรกแล้วไม่พบ6.การติดเชื้อคนไทยทุกคน ทุกสิทธิ สามารถตรวจหา Anti - HIV ได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศไทย โดยตรวจฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง ตามชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)

7.ใครบ้างที่ควรตรวจเอดส์? ทุกคนที่ติดยาเสพติดโดยการฉีด และทุกคนที่เคย หรือกำลังมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยแม้เพียงครั้งเดียว ทั้งกับคนที่รู้จัก (เช่น สามี หรือภรรยาของตัวเอง) หรือไม่รู้จัก ถือว่ามีพฤติกรรมที่มีโอกาสติดเอดส์ เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เรามีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้นเคยมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเอดส์มาก่อนหรือเปล่า ดังนั้น ว่าไปแล้วคนเกือบทุกคนสมควรจะตรวจเอดส์อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต

8.ก่อนการตรวจเอดส์ทุกครั้ง ผู้ตรวจควรมีข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเอดส์และการตรวจเอดส์ ซึ่งอาจหาได้จากการขอรับคำปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือหาอ่านได้จากแหล่งข้อมูล เช่นสายด่วน 1663 หรือที่ www.trcarc.org (http://www.trcarc.org) หรือ www.adamslove.org (http://www.adamslove.org)

9.ปัจจุบัน คนที่ติดเชื้อไม่ต้องป่วย หรือเสียชีวิตจากเอดส์อีกแล้ว ถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ และรักษาแต่เนิ่นๆ ถ้ารู้ตัวเร็วและรักษาเร็ว อาจไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต

10.คนที่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นได้ โดยไม่เป็นภัยหรือเป็นภาระกับใครจึงเป็นประโยชน์และไม่น่ากลัวที่เราจะไปตรวจเอดส์กัน

อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิต ตรวจเพื่อให้รู้ว่าเราไม่ติดเชื้อ ชีวิตจะได้ก้าวไปอย่างมั่นใจ

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

----------------------------------------------------------------------------------------



มีตกขาว อย่าพึ่งตกใจ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88/-

พ.อ.ผศ.น.พ .ธนบูรณ์   จุลยามิตรพร   ได้ให้ข้อแนะนำไว้ว่า
         ตกขาว เป็นของเหลวใด ๆ ที่ไหลออกมานอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือด ของเหลวดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากช่องคลอด ปากมดลูก และอวัยวะข้างเคียงบริเวณปากช่องคลอด ลักษณะของตกขาว จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทั้งในขณะที่อยู่ในภาวะปกติ หรือกำลังเป็นโรคอยู่

ภาวะตกขาวที่ปกติเป็นอย่างไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
           ตามปกติแล้วในสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อีกนัยหนึ่ง คือ สตรีที่อยู่ในช่วงอายุที่ยังมีประจำเดือน หรือมีฮอร์โมนเพศหญิงเจริญเต็มที่) จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแตกต่างกันไปตามระยะของประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการลักษณะของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์สตรี ดังเช่น ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือน หรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ซึ่งเป็นเวลาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้ จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใสๆ ปริมาณมากกว่าระยะเวลาอื่น ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นจะมีสีขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก  นอกจากนั้นแล้ว ตกขาวที่ปกติควรจะไม่คัน และไม่มีกลิ่น ถ้าตกขาวของท่านมีลักษณะดังที่กล่าวมานี้ถือว่าปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตาม สตรีแต่ละท่านจะมีปริมาณตกขาวแตกต่างกันไป บางท่านอาจมีปริมาณตกขาวมากจนเปื้อนชุดชั้นในอยู่หลายวันในแต่ละเดือน แต่สำหรับบางท่านอาจมีปริมาณน้อยจนไม่รู้ว่ามีตกขาวเลย

ภาวะตกขาวที่ผิดปกติเป็นอย่างไร มีสาเหตุจากอะไร
        ตกขาวผิดปกติจะมีลักษณะที่ต่างออกไปจากที่กล่าวมาข้างต้น จะมีสาเหตุใหญ่อยู่ 2 ประเภท คือ สาเหตุจากการติดเชื้อ และ สาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ

ตกขาวที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ
        ตกขาวจากสาเหตุนี้ เกิดได้จากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา และพยาธิในช่องคลอด ตกขาวประเภทนี้ หรือตกขาวบางชนิดจะมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะตัว เป็นต้น

ตกขาวที่มีสาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ
        ตกขาวผิดปกติประเภทนี้ มีสาเหตุได้จาก การระคายเคืองหรือแพ้สารเคมี จากมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี (เช่น มะเร็งของปากมดลูก ช่องคลอด ท่อนำไข่) รวมทั้งเกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด

ท่านจะทำอย่างไร? ในกรณีที่เกิดปัญหาตกขาว
         ท่านที่ประสบปัญหาตกขาวที่มีลักษณะปกติดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาแต่อย่างไร เพียงแต่ควรมาพบสูตินรีแพทย์ของท่าน เพื่อตรวจภายในพร้อมทั้งตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปีแต่ถ้าหากว่าท่านมีอาการตกขาวที่มีลักษณะผิดปกติ กล่าวคือ มีสี กลิ่นผิดไปจากปกติหรืออาจมีอาการคันร่วมด้วย ก็ควรจะได้รับการตรวจและรักษาให้ถูกต้องตามสาเหตุ



ที่มาข้อมูล : vibhavadi.com
ที่มารูปภาพ : www.tlcthai.com (http://www.tlcthai.com)


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


“บารากุ ” ภัยร้าย! ภายใต้ความหอมหวาน

-http://club.sanook.com/14594/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B8-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/11/357px-Hookah_2.jpg)

ช่วงหลังมักเห็นภาพ วัยรุ่น คนหนุ่มสาว ที่นิยมนั่งตามสถานที่ท่องเที่ยว และมักจะสั่ง บารากุ มานั่งสูบกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นแฟชั่น หรือเข้าใจว่า บารากุ นั้นมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามที่คิดจะสูบมัน อยากให้ทุกคนลองคิดใหม่ค่ะ เพราะว่าการสูบ บารากุ ที่มีกลิ่นหอมหวานนั้น มันมีภัยร้ายแอบแฝงอยู่ ซึ่งบางทีอาจมากกว่าบุหรี่หลายเท่าตัว

ซึ่งอันตรายจาก บารากุ นั้น เราจะแบ่งออกได้เป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ

- เมื่อสูบ บารากุ ประมาณหนึ่งเดือน ผู้สูบจะเริ่มติด จะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย คิดอะไรไม่ออก

- บารากุ มีโทษกว่าบุหรี่ถึง 6 เท่า

- สูบ บารากุ 1 ห่อ เท่ากับ การสูบบุหรี่ถึง 20 มวน

- เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งไม่น้อยไปกว่าการสูบบุหรี่

- ใน บารากุ ประกอบด้วยเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ ในระดับสูง

- การสูบ บารากุ นาน 45 นาที จะผลิตสารน้ำมันดิน (ทาร์) มากกว่าการสูบบุหรี่ 5 นาที ถึง 36 เท่า

- อาจก่อให้เกิดโรคติดต่อ หากใช้อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น วัณโรค

จากโทษที่อันตรายของบารากุนั้น จึงส่งผลให้เกิดการผลักดันออกกฎหมายควบคุมยาสูบชนิดนี้ในไทย หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องรับโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่จากการสำรวจกลับพบว่ามอระกู่ก็ยังมีขายตามสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนอย่างเปิดเผย

นอกจากนั้น เรายังได้อ่านเจอข้อมูลจาก นพ.โสภณ เมฆธน ยังกล่าวว่า “ควันที่ผ่านน้ำลงไป ยังคงมีสารพิษในระดับสูงทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์ โลหะหนัก และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  การสูบบารากู่แต่ละครั้งมักจะใช้เวลาสูบนาน ผู้สูบอาจสูดควันมากกว่าผู้สูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน” เลยทีเดียว

ซึ่งถ้าใครที่ชื่นชอบการสูบ บารากุ ล่ะก็ ก็อยากขอให้ลด ละ เลิก กันเถอะนะคะ เพราะร่างกายจะได้ไม่เป็นอันตรายและเสียสุขภาพด้วยค่ะ

 

Credit ภาพ : sri.cmu.ac.th , Wikipedia

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 07, 2013, 11:35:02 pm
คนไทยเป็นมะเร็งตับกว่า 2 หมื่นราย แนะเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง

-http://health.kapook.com/view77682.html-


คนไทยเป็นมะเร็งตับกว่า2หมื่น-เลี่ยงปิ้งย่าง (ไอเอ็นเอ็น)
 
           อธิบดีกรมอนามัย เผย พบผู้ป่วยมะเร็งตับในไทย 23,410 ราย แนะประชาชนหลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง

           วันที่ 4 ธันวาคม 2556 ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยสถิติขององค์การอนามัย ปี 2553 พบผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทย 23,410 ราย และเสียชีวิต 20,334 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 55 คนต่อวัน ซึ่งเกิดจากประชาชนนิยมกินอาหารปิ้งย่างหรือรมควันเป็นประจำ และเสี่ยงต่อการได้รับสารอันตราย 3 ชนิด ได้แก่

           สารไนโตรซามีน ที่พบในปลาหมึกย่าง ประเภทแหนม ไส้กรอก แฮม ที่มีสีแดงผิดปกติ

           สารพัยโรลัยเซต พบมากในส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหาร ปิ้ง ย่าง บางชนิดมีฤทธิ์ร้ายแรงทางพันธุกรรมมากกว่าสารอะฟลาทอกซิน ตั้งแต่ 6-100 เท่า

           สารพีเอเอช หรือสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก เป็นชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ควันบุหรี่ เตาเผาเชื้อเพลิงในโรงงาน พบในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหาร เช่น หมูย่างติดมัน โดยสารนี้จะมีมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง หากรับประทานเข้าไปเป็นประจำจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ

           ทั้งนี้ ประชาชนควรเลือกเนื้อสัตว์เฉพาะส่วนหรือที่มีไขมันติดน้อยอยู่ที่สุด ก่อนปิ้งย่าง เพื่อลดไขมันที่จะไปหยดลงบนถ่าน และควรใช้ถ่านที่อัดเป็นก้อน หรือใช้ฟืนที่เป็นไม้เนื้อแข็ง ที่สำคัญ ควรใช้ใบตองห่ออาหารก่อนจะทำการปิ้งย่าง และหลังปิ้งย่าง ควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุด


ไอเอ็นเอ็น
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2013, 08:34:08 am
4 เรื่องควรเลี่ยงกระตุ้น “ไมเกรน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 ธันวาคม 2556 20:15 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000150988-


 พอเอ่ยถึง “ไมเกรน” ก็พาลให้คิดถึงอาการปวดหัวขึ้นมาโดยฉับพลัน เพราะไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะเพศหญิงในวัยเจริญพันธุ์ การปวดหัวไมเกรนนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตและสมรรถนะในการทำงานของคนวัยนี้สูญเสียไป
       
       สาเหตุเกิดจากมีการกระตุ้นต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกที่บริเวณเยื่อหุ้มสมองและหลอดเลือดใหญ่ภายในกระโหลก เกิดการหลั่งของสารเคมีต่างๆ ไปกระตุ้นให้เกิดเป็นการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ส่งผลให้หลอดเลือดใหญ่ที่ติดกับเยื่อหุ้มสมองขยายตัวเกิดเป็นความปวดขึ้นมา

 สำหรับอาการที่บ่งบอกว่า “คุณ” กำลังปวดศีรษะไมเกรนก็คือ
       
       1.ผู้ป่วยประมาณ 60% จะปวดที่ข้างใดข้างหนึ่งของศีรษะ ส่วนอีก 35% จะปวดสลับข้างไปมา และที่เหลือจะปวด 2 ข้างพร้อมกัน
       
       2.ระดับความปวดรุนแรงปานกลางถึงมาก จนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติได้
       
       3.ลักษณะการปวดเป็นแบบตุ๊บๆ ในบริเวณที่มีหลอดเลือดขนาดใหญ่ เช่น ขมับซ้ายและท้ายทอย
       
       4.มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
       
       5.อาการปวดจะแย่ลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมและดีขึ้นเมื่อพักผ่อน
       
       และ 6.ตาสู้แสงไม่ได้ ไม่ชอบเสียงดัง
       
       ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการปวดจะคงอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง ส่วนความถี่ของอาการอาจเป็นหลายครั้งต่อเดือนหรือปีละ 1-2 ครั้ง
       
       โรคปวดศีรษะไมเกรนแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ คือ ไมเกรนแบบไม่มีอาการเตือน ซึ่งจะพบได้บ่อยกว่าประมาณ 85% และไมเกรนแบบมีอาการเตือน จะเกิดขึ้นใช่วงก่อนหรือหลังปวดไม่เกิน 1 ชั่วโมงและคงอยู่นาน 15-30 นาที โดยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
       
       เห็นแสงวูบวาบ ซิกแซก หรือเงามืดขยายวงที่มุมข้างหนึ่งของลานสายตา เจ็บหรือเหน็บชาร่างกายครึ่งซีก และพูดผิดปกติและอ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก
       
       ทั้งนี้ อาการไมเกรนในเด็ก อการปวดศีรษะอาจไม่ชัดเจน แต่จะมีอาการนำเด่น เช่น อาเจียนหรือปวดท้อติดต่อกันโดยไม่มีสาเหตุอื่น
       
       ไมเกรนถือเป็นโรคเรื้อรัง โดยธรรมชาติของโรคอาการจะดีขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาการของโรคอาจรุนแรงขึ้น ทำให้ต้องใช้ยาก้ปวดมากเกินขนาด โดยในรายที่มีอาการไม่บ่อย หรือน้อยกว่า 2 ครั้งต่อเดือน อาจรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราวและควรมาพบแพทย์เมื่อมีอาการปวด ดังนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 55 ปี หรือขณะตั้งครรภ์ มีอาการปวดนานเกิน 72 ช่วโมง มีอาการปวดบ่อยกว่า 2 เดือนต่อครั้ง และเกิดร่วมกับไข้ ผื่นผิวหนัง คอแข็ง ชักกระตุก ซึมลง ตามัว เห็นภาพซ้อน และแขนอ่อนแรง
       
       การรักษาปวดศีรษะไมเกรน หากเป็นการรักษาอาการปวดระยะเฉียบพลัน จะใช้ยาแก้ปวดทั้งชนิดออกฤทธิ์เร็วหรือออกฤทธิ์ยาวนานต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถให้ยาป้องกันอาการปวดได้ ซึ่งจะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการลงได้ภายหลังการรักษาไปแล้ว 1-2 เดือน สำหรับการรับประทานยานั้นควรรับประทานยารักษาอาการปวดทันทีที่เกิดอาการปวด จะทำให้อาการปวดทุเลาลงเร็ว และม่ควรรับประทานยาชนิดนีก่อนที่จะมีอาการปวด จะทำให้เกิดการใช้ยาที่ไม่ถูกวิธี และทำให้ติดยาแก้ปวดได้
       
       สำหรับสิ่งที่ควรเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนคือ
       
       1.อาหาร เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ ผงชูรส สารแทนความหวาน เนยแข็ง ช็อกโกแลต และการอดอาหาร
       
       2.ยา เช่น ฮอร์โมน ยาคุมกำเนิด ยาโรคหัวใจบางชนิด
       
       3.สิ่งกระตุ้น เช่น น้ำหอม ทินเนอร์ บุหรี่ กลิ่นฉุนๆ
       
       และ 4.สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน และความเครียด
       
       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรพึงปฏิบัติก็คือต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และออกกำลังกายม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เท่านี้ก็จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคปวดศีรษะไมเกรนได้
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 09, 2013, 12:28:53 am
12 อาการน่าสงสัย...ติดเอดส์!!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ธันวาคม 2556 20:44 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000151177-


ต้องยอมรับว่าขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งมีความน่าเป็นห่วงกว่ากลุ่มอื่น อันเนื่องมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รวมถึงศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ก็ออกมาตีปี๊บว่า หากรู้ตัวเร็วว่าติดเชื้อเอชไอวีไม่เกิน 4 สัปดาห์ก็มีโอกาสรักษาให้หายได้

12 อาการน่าสงสัย...ติดเอดส์!!!

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015812501.JPEG)
ภาพ วิชาการ.คอม


       แล้วอาการใดบ้างที่เกิดขึ้นกับร่างกายแล้วบ่งบอกว่าเข้าข่ายต้องสงสัยว่าติดเอดส์เข้าเสียแล้ว
       
       สำนักโคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค (คร.) ได้ให้ความรู้ไวในคู่มือ มีรักอย่างไรให้ปลอดภัยว่ามีทั้งหมด 12 อาการต้องสงสัยให้รีบไปรักษาโดยไว
       
       1.ผู้ชายจะมีปัสสาวะแสบขัด หรือมีหนองไหลออกมา
       
       2.เจ็บปวดอวัยวะเพศชาย
       
       3.มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยเพศชาย
       
       4.ขาหนีบบวมหรือเป็นฝี
       
       5.ตกขาวผิดปกติ หรือมีสีเหลือง กลิ่นเหม็น
       
       6.เจ็บ เสียวท้องน้อย
       
       7.มีผื่น ตุ่ม คันอวัยวะเพศหญิง
       
       8.มีเชื้อราในปากและลำคอ
       
       9.ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
       
       10.เป็นงูสวัดหรือแผลชนิดลุกลาม
       
       11.มีอาการเรื้อรังเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย
       
       และ 12.ผิวหนังอักเสบและน้ำหนักลด
       
       เมื่อพบว่ามีอาการดังกล่าวก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะหากติดเชื้อเอชไอวีก็จะได้ทำการรักษาต่อไป ด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส แม้ขณะนี้โอกาสการรักษาให้หายขาดจะยังดูริบหรี่ แต่ก็จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 09, 2013, 12:50:06 am
9 วิธีทำให้ง่วง แก้อาการนอนไม่หลับ!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   4 ธันวาคม 2556 08:51 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000149500-

   ผลวิจัยชี้ว่า ขณะหลับเซลล์สมองจะหดตัวลงร้อยละ 60 ทำให้กระบวนการน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังที่ถูกส่งมาจากเนื้อเยื่อสมอง เพื่อกำจัดของเสียออกไปทำงานได้ดีขึ้นกว่าตอนตื่นถึง 10 เท่า
       
       ดังนั้นเราลองมาดูกันซิว่า อะไรควรเลี่ยงและควรทำก่อนนอน เพื่อแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับกันบ้าง
       
       เลี่ยงอาหารทำให้เกิด “ลม”


       หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น น้ำอัดลม ถั่ว มันเทศ หัวหอมใหญ่ พริกหยวก บล็อกโคลี่ มันแกว ข้าวโพด กล้วยหอม
       
       รวมถึง งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว
       
       ผลิตภัณฑ์นม…เพื่อนความง่วง
       
       ควรกินผลิตภัณฑ์จากนม เพราะอาหารเหล่านี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักในตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามิน และเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน
       
       ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่าง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว นมข้น และเนยแข็งสีขาว ส่วนมื้อค่ำควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลี่ยงอาหารที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส
       
       พยายามหาว


       แน่นอนปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อง่วงจะทำให้เกิดอาการหาวบ่อยๆ ทว่าการบังคับตนเองให้หาวจะช่วยผ่อนคลายได้ และทำให้อยากนอน
       ยิ่งหากได้ยืดแข้งยืดขา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการนวดหรือสปาจะยิ่งทำให้คุณหลับดีขึ้น
       
       ไม่กินก่อนนอน 2 ชั่วโมง
       
       ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอนในขณะอาหารกำลังย่อยอยู่ ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างน้อยสอง ชัวโมงหลังอาหารค่ำ หรือหากอยากให้ย่อยไว แนะนำให้เดินในบ้านจะทำให้กระเพาะทำงานได้ดีขึ้น
       
       อย่าดื่มน้ำมาก
       
       ก่อนเข้านอนไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป อาจจะทำให้คุณต้องลุกขึ้นปัสสาวะระหว่างที่คุณกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข หรือไม่คุณก็อาจหลับลึกจนต้องอั้นปัสสาวะไว้ทำให้ตื่นมากะเพาะปัสสาวะอักเสบอีก
       
       ทว่าควรดื่มน้ำมากๆ ในระหว่างวัน ที่สำคัญ ก่อนนอนควรลดการบริโภคของเหลว
       
       อาบน้ำอุ่น

 อาบน้ำอุ่น จากนั้นค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส น้ำอุ่นสามารถกล่อมประสาทให้ง่วงนอนได้
       หรือแช่เท้าในน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายเส้นประสาท เส้นโลหิต หลอดน้ำเหลือง ทำให้หลับได้ดีขึ้น
       
       ปิดตาก่อนดับไฟ
       
       หลับตาสักพักก่อนดับไฟจะช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ยขึ้น โดยช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงคือ 2-3 นาที จะทำให้คุณหลับลึกและสบายตา ผ่อนคลายม่านตาได้ดียิ่งขึ้น
       
       บอกลากิจกรรมเครียดก่อนนอน

9 วิธีทำให้ง่วง แก้อาการนอนไม่หลับ!
       2-3 ชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องใช้สติปัญญา หยุดการใช้สมอง และการจินตนาการ และการใช้ความคิด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเครียดและทำให้นอนไม่หลับได้
       
       ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น
       
       ชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร จะช่วยทำให้หลับง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะในสมัยโบราณเขาใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ นั่นเอง
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 14, 2013, 07:34:46 am
วัย 50 อัประวัง! มีอัตราตายเพราะความหนาวสูงสุด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2556 13:04 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153411-

กรมควบคุมโรคเผยมีคนตายเพราะฤดูหนาวปีที่แล้ว 18 คน พบวัย 50 กว่าปี มีอัตราตายสูงสุด เตือนอย่าอาบน้ำอุ่นด้วยการใช้ก๊าซหุงต้ม อาจหมดสติในห้องน้ำ เสี่ยงเสียชีวิต แนะสวมเสื้อผ้าไม่ต้องหนามาก แต่หลายๆ ชั้น สร้างความอบอุ่นมากกว่า

 นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ของไทยมีอุณหภูมิต่ำกว่า 14 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ จากการที่สํานักระบาดวิทยา คร.ได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวปี 2555 โดยการรวบรวม ตรวจสอบข้อมูลการเสียชีวิตที่อาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวเย็น จากข่าวสารและรายงานจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พบว่า มีทั้งหมด 24 ราย สอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด มีผู้เสียชีวิตเข้าเกณฑ์ 18 ราย และไม่เข้าเกณฑ์ 7 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้ง 18 ราย พบว่า เป็นเพศชาย 17 ราย และ หญิง 1 ราย พบการเสียชีวิตสูงสุดในเดือนมกราคม 2556 (ร้อยละ 55.56) รองลงมาคือ เดือนธันวาคม 2555 (ร้อยละ 38.89) กลุ่มอายุที่มีอัตราตายสูงสุด คือ อายุระหว่าง 50-54 ปี รองลงมาคือ อายุระหว่าง 35-39 ปี และ 65 ปีขึ้นไป
       
       นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า นอกจากโรคติดต่อในฤดูหนาว 6 โรคที่ต้องระวังแล้ว ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส มือเท้าปาก และ อุจจาระร่วง สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ การดื่มสุราแก้หนาว การผิงไฟในที่อับ ไม่มีอาการถ่ายเท และใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้พลังงานจากแก๊สหุงต้ม ซึ่งทั้งสามเรื่องอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ อย่างการอาบน้ำอุ่นด้วยการใช้แก๊สหุงต้ม ถ้าไม่มีเครื่องระบายอากาศ ควรเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อให้อากาศถ่ายเท มิเช่นนั้นอาจหมดสติในห้องน้ำและเสียชีวิตได้
       
       “สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือ เสื้อผ้าและผ้าห่มกันหนาวให้เพียงพอกับสมาชิกในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องหนามาก แต่ให้มีจำนวนเพียงพอกับสมาชิก และสามารถพลัดเปลี่ยนหรือหมุนเวียนซักล้างได้ ที่สำคัญควรเป็นเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว โดยสวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น จะทำให้ร่างกายอบอุ่นมากกว่าการสวมเสื้อผ้าหนาๆ ชั้นเดียว นอกจากนี้ ต้องมีขนาดพอดีตัว เพราะการสวมเสื้อผ้าที่ขนาดเล็กและรัดรูปจนเกินไป อาจทำให้การไหลเวียนเลือดน้อยลง และไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้ดีนัก ถ้าสามารถทำได้ควรสวมถุงมือ ถุงเท้า และผ้าพันคอ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ และในเวลานอนหลับตอนกลางคืน” อธิบดี คร. กล่าว
       

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 14, 2013, 08:37:44 pm
3 ปัญหาโรคตาจากการใช้คอมพิวเตอร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 ธันวาคม 2556 16:17 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153562-

 คอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้งใช้ทำงาน ทำการบ้าน หรือเล่นเกมผ่อนคลายต่างๆ อย่างไรก็ตาม การใช้คอมพิวเตอร์อาจมีผลเสียต่อสุขภาพตา เรียกว่า “โรคตาจากจอคอมพิวเตอร์ (Computer vision syndrome)” คือภาวะอาการปวด เคืองตา ภายหลังจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
       
       ปัจจบันมีผู้มีปัญหาโรคตาจากจอคอมพิวเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักมีปัญหา ดังนี้
       
       1.ปัญหาปวดตาหรือเมื่อยตา เกิดจากการเพ่งใช้สายตาติดต่อกันอย่างยาวนาน ทำให้มีอาการเมื่อยล้าจากการใช้สายตา ข้อแนะนำคือ ควรมีการหยุดพักสายตาเป็นระยะ โดยทุกๆ 20-30 นาที ให้พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ โดยมองไปบริเวณพื้นที่กว้างหรือนอกหน้าต่าง เพื่อลดการเพ่งของสายตาประมาณครึ่งนาทีถึงหนึ่งนาที ก่อนกลับมาทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ต่อไป
       
       2.ปัญหาเคืองตา ปกติตาคนเราจะมีน้ำตาเคลือบผิวอยู่ตลอดเวลาเป็นการหล่อเลี้ยงตา ช่วยในเรื่องการหักเหของแสงที่เข้าตา ทำให้มองเห็นชัดและยังช่วยเจือจางสารที่เป็นพิษต่อตา รวมทั้งล้างออกไปด้วย แต่ถ้าเมื่อใดน้ำตาเคลือบผิวตาได้น้อยกว่าปกติก็จะเกิดอาการตาแห้ง มีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง มีตาพร่ามัวเป็นพักๆ ได้ ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าภาวะปกติ ซึ่งควรมีการกระพริบตาประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง หรือเมื่อรู้สึกเคืองตา แสบตา ให้หลับตาพัก 3-5 วินาที เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจากเปลือกตาบนด้านในมาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาชนิดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียม เพื่อบรรเทาปัญหา
       
       และ 3.ปัญหาตามัว เป็นปัญหาที่พบในเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์เล่นเกมมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดศีรษะ เมื่อยตา และทำให้มีการเพ่งตาค้าง เกิดภาวะคล้ายสายตาสั้น คือมองไกลไม่ชัด แต่มักเป็นอยู่เพียงชั่วคราวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ดังนั้น แม้ว่าการเล่นเกมจะไม่ทำให้สายตาสั้นถาวร เพราะภาวะสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวถูกกำหนดมาโดยธรรมชาติ พฤติกรรมการใช้สายตามีผลน้อยมากหรือไม่มีเลยก็ตาม แต่ก็ควรให้เด็กเล่นแต่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพของตัวเด็กเอง
       
       ทั้งนี้ การใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัยกับสุขภาพ มีวิธีการดังนี้
       
       1.จัดตำแหน่งการทำงานให้เหมาะสม แสงสว่างเพียงพอ ไม่มีแสงจากหน้าต่างส่องเข้าตาโดยตรง โต๊ะ เก้าอี้ สูงพอเหมาะ จัดระดับของจอภาพให้อยู่ต่ำกว่าสายตาประมาณ 10-15 องศา
       
       2.ควรมีการหยุดพักสายตาเป็นระยะ โดยทุกๆ 20-30 นาที ให้พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ โดยมองไปบริเวณพื้นที่กว้างหรือนอกหน้าต่าง เพื่อลดการเพ่งของสายตาประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาที
       
       3.กระพริบตาประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้งหรือให้หลับตาพัก 3-5 วินาทีบ่อยๆ เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตามาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา และอาจพิจารณาใช้ยาหยอดตาชนิดน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการแสบตา
       
       และ 4.การใส่แว่น จะช่วยผู้ที่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตา ให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153562 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153562)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 15, 2013, 08:36:12 pm


“กัวซา” ศาสตร์ทางเลือกรักษา “ออฟฟิศซินโดรม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 ธันวาคม 2556 19:37 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000153749-

   การทำงานของคนยุคใหม่ที่วันๆ หนึ่ง ต้องนั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนบางครั้งลืมกินข้าวกินน้ำ หรือแม้แต่จะลุกขึ้นเดินเพื่อผ่อนคลายก็ยังไม่มีเวลา จึงส่งผลให้สุขภาพร่างกายปวดเมื่อย สมองอ่อนล้า ไม่แปลกที่คนทำงานปัจจุบันจะเผชิญกับปัญหาออฟฟิศซินโดรมกันเป็นจำนวนมาก
       
       อย่างไรก็ตาม หนทางหนึ่งในการรักษาโรค “ออฟฟิศซินโดรม” นั้น อาจารย์หยาง เผยเซิน ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์ หยาง แนะนำว่า “กัวซา” เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งจากตำนาน “กัวซา” เป็นศาสตร์วิชาแพทย์แผนจีนโบราณแขนงหนึ่งที่มีมานานหลายพันปี เป็นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นวิถีชาวบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มมีการเล่าขานถึงตั้งแต่ในยุคชุนชิวจั้นกั๋วแต่ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์หยวน ชื่อ “ตำรายอดนิยมของหมอกลางบ้าน” โดย เวย อี้หลิน ในราวปี ค.ศ.1337 ต่อมาในยุคหลังจึงเริ่มบันทึกเป็นตำราทางศาสตร์กัวซา


       อาจารย์หยาง บอกว่า “กัวซา” เป็นศาสตร์ที่เพียงใช้อุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ มากวาดบนผิวหนังตามเส้นลมปราณทั่วร่างกาย เพื่อเสริมสุขภาพและขับพิษออกจากร่างกาย ซึ่งวิธีการนี้สามารถใช้เสริมสุขภาพและบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะ “โรคออฟฟิศซินโดรม” ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยทำงาน เกิดจากอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว นั่งหลังค่อม เก้าอี้ไม่มีพนักพิงจึงไม่สามารถรองรับแผ่นหลัง การจัดวางของที่ทำให้หยิบจับลำบาก และการกดแป้นคีย์บอร์ดไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ
       
       “การที่คนเราทำงานด้วยอิริยาบถและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม ส่งผลทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ จากแป้นคีย์บอร์ดที่ไม่มีการรองรับข้อมือ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วมือและข้อมือ ส่วนความเครียดสะสมจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ หรือเป็นโรคเครียดได้ อาการที่กล่าวมานี้ล้วนสามารถใช้ศาสตร์แห่งการกัวซาฟื้นฟูได้”
       
       อาจารย์หยาง เล่าอีกว่า การกัวซามีประสิทธิภาพในการขับพิษ เมื่อทำกัวซาเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสุขภาพความงามและลดความอ้วนได้อีกด้วย อีกทั้งการกัวซาจะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตภายใต้ผิวหนัง ขยายรูขุมขนให้เปิดกว้างทำให้การหมุนเวียนของโลหิตปรุโปร่งร่างกายผลัดเซลล์เก่าสร้างเซลล์ใหม่และขับพิษออกทางต่อมเหงื่อ อวัยวะภายในได้รับการบำรุงเลี้ยงจากโลหิตอย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายมีการปรับสมดุลช่วยฟื้นฟูสมรรถนะของระบบภูมิต้านทานโรคให้แข็งแรง
       
       “อาการที่ใช้วิธีกัวซาเสริมสุขภาพแล้วให้ผลดีที่สุดและเห็นผลเร็วที่สุด ได้แก่ อาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดเมื่อย หรือชาตามร่างกาย ปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ไข้หวัด หวัดแดด อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ เป็นต้น จุดเด่นของการกัวซาออฟฟิศซินโดรม อาทิ แก้อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาอาการปวด ชาบริเวณ คอ ไหล่ หลัง บ่า แขน และข้อมือ อาการมือชา เท้าชา และนิ้วล็อค ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ที่สำคัญประโยชน์ของกัวซายังสามารถช่วยในเรื่องความสวยความงามของผิวหน้าได้อีกด้วย”
       
       อาจารย์หยาง เล่าว่า การรักษาสุขภาพผิวหน้าด้วยวิธีกัวซา เป็นการกระตุ้นเส้นชีพจรบนใบหน้า ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ผิวหน้า ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและละเอียดอ่อน ลดการเหี่ยวย่นและรอยด่างดำ นอกจากนี้ การกัวซาใบหน้ายังมีส่วนในการปรับสมดุลระบบการทำงานของอวัยวะภายใน เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวหนังบริเวณใบหน้าโดยตรง กระตุ้นการหมุนเวียนสูบฉีดของโลหิต ทำให้ได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ จึงทำให้ใบหน้าชุ่มชื้นเป็นประกาย มีเลือดฝาดผิวพรรณเต่งตึง เนียนนุ่ม มีชีวิตชีวา
       
       ผู้สนใจต้องการศึกษา สามารถเข้ารับการอบรมสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “กัวซา เสริมสุขภาพฯ” ในวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2557 เวลา 09.00-17.00 น. ณ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์ หยาง 71 อาคาร จี.พี.เฮ้าส์ ถนนทรัพย์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ สามารถสำรองที่นั่ง โทร.0-2637-0121-2 สำหรับผู้ที่จบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย กรมการแพทย์ 6 (DMS 6) กระทรวงสาธารณสุข
       
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 17, 2013, 06:05:08 am
ปวดหลังจงหายไป ! เคล็ดลับง่าย ๆ ที่คุณทำได้

-http://health.kapook.com/view77990.html-



ปวดหลังจงหายไป ! (Lisa)

          อูยยย...ยังไม่แก่สักหน่อย ทำไมปวดหลังอย่างนี้นะ ! เมื่ออาการปวดหลังไม่ใช่โรคที่เกิดจากความเสื่อมตามวัยอีกต่อไป ก็มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าอะไรคือสาเหตุให้ต้องปวดตั้งแต่ยังสาวจะได้กำจัดปัญหาตั้งแต่ต้นตอ



@Desk Work
 
          จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ปรับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี ไม่ต้องก้มหรือเงยเวลาทำงาน และปรับระดับเก้าอี้ให้สามารถวางเท้าบนพื้นได้พอดี หากโต๊ะสูงเกินไปจนเวลานั่งแล้ววางเท้าไม่ได้ ก็ควรหาเก้าอี้เตี้ย ๆ หรือกล่องเล็ก ๆ มาใช้สำหรับวางเท้า

          เลือกเก้าอี้หมุนได้ เวลาหันไปรับโทรศัพท์หรือหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน จะได้หมุนไปทั้งตัวง่าย ๆ โดยไม่ต้องเอี้ยวตัวไปมา

          จิบน้ำบ่อย ๆ อาการขาดน้ำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปวดหลังหรอกค่ะ แต่การเดินไปเติมน้ำในแก้วบ่อย ๆ จะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

          หาหมอนมาหนุนหลัง เวลานั่งเก้าอี้ไม่จำเป็นต้องเกร็งหลังให้ตรงเป๊ะ หาหมอมารองช่วงเอว แล้วนั่งพิงสบาย ๆ หลังอาจจะแอ่นนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร

          ตรวจสายตาสม่ำเสมอ สายตาที่เปลี่ยนไปอาจทำให้คุณต้องก้มตัวไปจ้องหน้าจอโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ปวดต้นคอและแผ่นหลังโดยหาสาเหตุไม่ได้

@Shopping

          อย่าหิ้วของหนักเกิน เวลาช้อปปิ้ง พยายามกระจายน้ำหนักข้าวของที่ถือในมือทั้งสองข้างให้ใกล้เคียงกัน และอย่าช้อปเพลินจนต้องก้มตัวเวลาหิ้ว

          ยกของหลังต้องตรง เวลายกของขึ้นจากพื้นโดยเฉพาะของหนัก อย่าก้มตัวลงไป เพราะอาจจะทำให้ต้องใช้แรงที่หลังมากเกินจนกล้ามเนื้ออักเสบได้ แต่ให้ใช้วิธีย่อเช่าลงไปยกแล้วยืนขึ้นมาตรง ๆ

          เลือกรถเข็นให้ดี เวลาไปช้อปในซูเปอร์มาร์เก็ตควรเลือกรถเข็นที่มีขนาดเล็กหน่อย และทดสอบดูว่าล้อเลื่อนสามารถใช้การได้ไม่ติดขัด จะได้ไม่ต้องใช้แรงมากจนต้องก้มตัวเวลาเข็น

          ถอดส้นสูงซะบ้าง เมื่อใส่รองเท้าส้นสูง หลังของเราอยู่ในลักษณะแอ่นมาข้างหน้า เพื่อพยุงความสมดุลในการยืนไม่ให้เราล้ม หากเราต้องยืนหรือเดินบนส้นสูงนาน ๆ จะปวดหลังก็ไม่แปลก เพราะยิ่งส้นสูงมากก็ยิ่งปวดมาก ควรลดส้นให้เตี้ยลงเหลือ 1 นิ้วครึ่งหรือ 2 นิ้วก็พอแล้ว



@Sleeping

          ฟูกนิ่มเกินไปไหม? ที่นอนนุ่ม ๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณฝันหวาน กระดูกสันหลังที่อยู่ในท่าไม่เหมาะสมตลอดคืนจะทำให้อาการปวดหลังมาเยือนเมื่อคุณตื่นขึ้น แต่ก็ไม่นุ่มจนยุบตัวเวลานอน แบบที่นอนยัดนุ่นแน่น ๆ นั่นแหละ...เป๊ะ!

          อย่านอนคว่ำ เวลานอนคว่ำกระดูกสันหลังส่วนเอวจะโค้งไปด้านหน้ามากขึ้น แถมหน้าที่หันไปข้างใดข้างหนึ่งยังทำให้กระดูกต้นคอบิดด้วย ควรนอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้เช่าให้สะโพกงอเล็กน้อย หรือนอนตะแคงกอดหมอนข้างไว้ก็ได้

@Exercise

          ฟิตพุงต้องฟิตหลัง น้ำหนักตัวที่มากเกินเกณฑ์ ทำให้ส่วนที่ต้องรับน้ำหนักกระดูกสันหลังมีโอกาสเสื่อมได้เร็วขึ้น แต่เวลาลดก็ต้องใส่ใจกล้ามเนื้อทั้งตัว และต้องบริหารให้สมดุลกัน เช่น บริหารหน้าท้องก็ต้องบริหารแผ่นหลัง ถ้าฟิตแต่หน้าท้องอย่างเดียว อาการปวดหลัง ก็ถามหาได้เหมือนกัน

          ปวดหลังมาก ๆ เล่นโยคะช่วยได้ การออกกำลังยืดเหยียดแบบโยคะเป็นประจำ ช่วยได้ทั้งป้องกันและรักษาอาการปวดหลัง แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่เล่นครั้งเดียวแล้วอาการปวดจะหายเป็นปลิดทิ้ง

          หยุด ! ซิตอัพ แบบเก่า ๆ วิธีซิตอัพที่ให้นอนหงายงอเข่า แล้วเกร็งคอและหน้าท้องยกลำตัวขึ้นมาจนแตะหัวเข่าซึ่งเราคุ้นชินมาแต่เด็ก เป็นท่าทางที่ทำให้เกิดแรงกดบริเวณหลังส่วนล่าง และทำให้กระดูกสันหลังม้วนในแบบที่ไม่ดีนัก ทำซ้ำ ๆ ไปมาก็จะทำให้คุณปวดหลังได้ ให้เปลี่ยนเป็นทำ Reverse Curl-Ups ที่ใช้การยกขาแทนลำตัวส่วนบนจะดีกว่า

          กายบริหารยืดหลังส่วนล่าง หากไม่คุ้นชินกับการออกกำลังกายก็สละเวลาสักนิดทำกายบริหารยืดหลัง ส่วนล่างแบบง่าย ๆ แค่นั่งบนเก้าอี้แล้วค่อย ๆ โน้มตัวมาข้างหน้าจนรู้สึกดึง แล้วจึงค่อย ๆ ก้มลงไปให้มากที่สุด



Check Yourself !

           อาการปวดหลังมีได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เบา ๆ อย่างกล้ามเนื้ออักเสบไปจนถึงมีปัญหาที่กระดูกสันหลัง แต่จะรู้ได้ยังไง? นพ.กลยุทธ ตัณนิติศุภวงษ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง จากร.พ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล มีวิธีการสังเกตมาบอกว่าแต่ว่าคุณปวดแบบไหน?

          A. ขยับแล้วปวด นั่งเฉย ๆ ไม่เป็นไร

          B. ปวดหน่วง ๆ นั่งนาน ๆ แล้วปวด

          C. ยิ่งเดินยิ่งปวด

          D. ปวดจนนอนไม่หลับ

          E. ปวดร้าวลงไปที่ชา

           อาการแบบข้อ A เป็นการปวดที่สัมพันธ์กับท่าทาง ซึ่งเป็นลักษณะของอาการปวดกล้ามเนื้อธรรมดา หากไม่ได้ปวดมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่น่ากังวลเท่าไหร่

           อาการแบบข้อ B-D เป็นอาการที่คุณควรพบแพทย์ เนื่องจากอาจมีการผิดปกติที่กระดูกสันหลัง ซึ่งอาจยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดก็ได้ ไม่ต้องกลัวไป !

           อาการแบบข้อ E ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด อาการปวดหลังแล้วร้าวลงขาที่คุณเป็นอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาทก็ได้ และหากกดหนัก ๆ คุณอาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้เลยทีเดียว

ปวดนะ...แต่ยังไม่อยากพบแพทย์ ทำไงดี ?!

           ถ้าอาการปวดหลังของคุณไม่ได้เข้าข่ายอันตราย คุณหมอกลยุทธ ชี้ว่าจะลองบรรเทาอาการปวดด้วยตัวเองดูก่อน หากไม่ดีขึ้น หรือทนไม่ไหว ค่อยไปพบแพทย์ก็ได้



ประคบร้อน ไม่ใช่ประคบเย็น

           เมื่อต้องการบรรเทาอาการปวดหลัง ควรเลือกการประคบด้วยความร้อน เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว เส้นเอ็น ยืดหยุ่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดก็จะลดลง ส่วนการประคบเย็นนั้นมักใช้ใน 24-48 ชั่วโมงแรกที่เกิดอุบัติเหตุอย่างการล้มแล้วบวมขึ้น

รัดเอวพยุงหลัง…อย่านานเกิน

           ที่รัดเอวจะช่วยผ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานน้อยลง อาการปวดก็เลยดีขึ้น แต่ก็ควรใช้แค่ในช่วงสั้น ๆ 1-2 สัปดาห์ที่มีอาการปวดเท่านั้น หากรัดนาน ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อลีบได้

นวดผ่อนคลาย & กายภาพ

           การนวดก็ถือเป็นการกายภาพบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดลงได้ แต่ก็ไม่ควรนวดท่าที่ต้องใช้การบิดตัวแรง ๆ เพราะอาการอาจจะแย่ลงได้หากอาการปวดของคุณมีต้นเหตุมาจากกระดูกสันหลัง หรือไม่แทนที่จะไปนวดตามร้านทั่วไป คุณอาจจะไปทำกายภาพบำบัดโดยใช้การอัลตร้าซาวนด์ ดึงหลัง และเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นได้เหมือนกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.lisaguru.com/-



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 17, 2013, 06:11:18 am
เทคโนโลยีซินโดรม คุกคามคุณอย่างเงียบๆ!



Weekly C3

เทคโนโลยีซินโดรม

เทคโนโลยีซินโดรม โรคที่กำลังคุกคามชาวไซเบอร์ยุคใหม่ ผู้ชื่นชอบการเสพติดเทคโนโลยี ว่าแต่…คุณเองก็กำลังป่วยด้วยหรือเปล่านะ?

สมัยนี้กลายเป็นยุคที่คนใช้ “ดวงตา” จ้องหน้าจอ ใช้ “มือ” ถือแท็บเล็ต และใช้ “นิ้ว” จิ้มและลากสมาร์ทโฟน มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนก้มทำพฤติกรรมแบบนี้ไปหมด ไม่ว่าจะกำลังนั่งรอรถเมล์ กำลังนั่งทานอาหาร ขับรถ เดินอยู่ข้างถนน เลยไม่แปลกใจที่เราจะได้ยินคนใกล้ตัว หรือแม้แต่ตัวเองบ่นว่า รู้สึกเคืองตา ปวดตา เจ็บมือ เจ็บนิ้วอยู่บ่อย ๆ อาการเหล่านี้เป็นภัยสุขภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า “เทคโนโลยีซินโดรม” และกำลังคุกคามชาวไซเบอร์อยู่อย่างเงียบ ๆ

น่าตกใจไม่น้อยที่ในช่วงระยะหลังมานี้มีผู้ป่วยตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ เข้ารับการรักษาด้วยโรคเทคโนโลยีซินโดรมจำนวนมาก และยังมีผู้ป่วยอีกมากที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วยด้วยอาการดังกล่าว วิธีการสังเกตอาการของโรคเทคโนโลยีซินโดรม เพื่อให้ตรวจสอบกันว่า ตัวคุณ หรือคนข้าง ๆ เข้าข่ายด้วยหรือไม่ ซึ่งจะมี 3 อาการหลัก ๆ คือ

1. ดวงตามีปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บตา ดวงตาล้า  ตาช้ำ ตาแดง แสบตา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากใช้คอมพิวเตอร์ หรือจ้องจอนานเกิน 25 นาทีขึ้นไป รวมทั้งการวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้ระดับที่เหมาะสมกับสายตา หรือปรับความสว่างหน้าจอไม่เหมาะสม หากดวงตาตรึงอยู่กับหน้าจอแบบนี้เป็นเวลานาน จะเกิดอาการเกร็ง มีผลกระทบต่อระบบของการกรอกตา และยังทำให้ระบบกล้ามเนื้อและประสาทผิดปกติด้วย

2. มีอาการทางกล้ามเนื้อกระดูก

ถ้าใครเป็นคนที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ แล้วยังนั่งไม่ถูกท่า ต้องก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ทุกวัน สุดท้ายแล้วอาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดนิ้วมือ ตามมาอย่างแน่นอน

3. เสพติดเทคโนโลยี

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ลองไม่ได้หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็กเฟซบุ๊กสัก 10 นาที ก็รู้สึกกระวนกระวายแล้ว หรือโพสต์ภาพไปเมื่อกี้ก็ว้าวุ่นใจอยากรู้ว่าจะมีใครมากดไลค์หรือยังนะ หรือแม้เพียงเข้าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็รู้สึกหงุดหงิดสุด ๆ จนกลายเป็นความเครียด แบบนี้เข้าข่ายเป็นคนติดเทคโนโลยีแล้ว เพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่ห่างจากโลกไซเบอร์ได้เลย

ส่วนใครที่มีอาการติดเทคโนโลยีแบบว่าอยู่ห่างแทบไม่ได้เลย คุณหมอ ก็แนะนำให้หากิจกรรมอื่นทำบ้าง เช่น อ่านหนังสือ ออกไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย อย่าเอาแต่จ้องหน้าจออย่างเดียว และถ้าไม่อยากปวดตาก็พยายามพักสายตาประมาณ 1-5 นาที หลังจากเล่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนทุก ๆ 25-30 นาที เพื่อให้สายตาไม่อ่อนล้าจนเกินไป

 


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 19, 2013, 06:15:36 am
ท้องเสียคร้ังต่อไปคิดถึง “ฝรั่ง”

-http://club.sanook.com/17580/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%96-

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2013/12/175598213.jpg)


ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ  วันนี้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอก

นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้

นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด ก็ช่วยรักษาได้เช่นกัน แต่อย่าจิบมากจนเกินไป อาจทำให้ท้องผูกได้ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com (http://www.photos.com)

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 21, 2013, 10:41:03 pm
7 วิธีปฏิบัติตัวป้องกันมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 ธันวาคม 2556 17:44 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156641-

    ขึ้นชื่อว่า "มะเร็ง" ใครๆก็ไม่อยากเป็น ทว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างกลับเอื้อต่อการเป็นโรคมะเร็งต่างๆ อย่างมาก ซึ่งขอเพียงเราปรับพฤติกรรมสุขภาพและการบริโภคให้เหมาะสมก็จะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ 30-40% ของโรคมะเร็งทั้งหมดได้ รวมไปถึงป้องกันโรคหัวใจ ฏรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

ทั้งนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้แนะนำวิธีการปฏิบัติตนให้มีพฤติกรรมสุขภาพป้องกันมะเร็งไว้ 7 วิธี คือ
       
       1.ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยที่ชัดเจนว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 มวน/วัน นาน 10 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นโรคมะเร็งปอด 8-10 เท่าของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และที่สำคัญ 80% ของมะเร็งปอดล้วนเกิดจากการสูบบุหรี่ทั้งสิ้น ขณะที่ผู้สูบบุหรี่หากหยุดสูบก็จะสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ 60-70%
       
       2.ไม่ดื่มสุรา หรือดื่มแค่พอควรถ้ามีความจำเป็น นั่นก็คือดื่มไม่เกินปริมาณของ Ethanol 20 กรัม/วัน หรือประมาณวันละ 1 แก้ว เพราะการดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของ Ethanol ต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 9 เท่าของผู้ไม่ดื่ม ที่น่ากลัวคือถ้าดื่มสุรามากกว่า 60 กรัมของ Ethanol ต่อวัน และสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวนต่อวันด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง 50 เท่า
       
       3.ปรับพฤติกรรมการกิน โดย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย โดยกินอาหารที่หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการและหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร รวมไปถึงควรเลือกกินอาหารที่ประกอบด้วยธัญพืช เช่น เมล็ดถั่วต่างๆ งา ข้าวโพด ข้าวกล้อง มันฝรั่ง และกินผักผลไม้สดให้มากเป็นประจำตามฤดูกาล ประมาณวันละ 500 กรัม หรือมากกว่าครึ่งของปริมาณอาหารที่กินจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ 20%
       
       นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ โดยในผู้ชายผู้ใหญ่ควรได้พลังงานวันละ 2,000 แคลอรี ผู้หญิง 1,600 แคลอรี และได้รับไขมันไม่เกิน 25-30% ของปริมาณพลังงานทั้งหมดต่อวัน กินอาหารที่เค็มน้อยและหวานน้อย โดยกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือ 6 กรัมในอาหารทั้งหมดของแต่ละวัน กินน้ำตาลไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน ที่สำคัญอาหารที่มีสารก่อมะเร็งควรกินให้น้อยลง เช่น เนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง รมควัน หากก่อด้วยกระดาษอลูมิเนียมจะช่วยลดสารก่อมะเร็งได้ อาหารหมักดองเค็มและเนื้อสัตว์เค็มตากแห้ง อาหารที่มีเชื้อราขึเน การกินปลาสุกๆดิบๆ และการกินเนื้อสัตว์สีแดง เช่น วัว หมู ในปริมาณมากเป็นเวลานาน จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ไม่ควรกินเกิน 80 กรัมต่อวัน ที่ขาดไม่ได้คือควรดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน
       
       4.หลีกเลี่ยงการสูดควัน ทั้งจากการเผาไหม้ของน้ำมัน ถ่านหิน ถ่านไม้ หรือจากการทำอาหาร
       
       5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมตามร่างกายและวัย เช่น เดินเร็วๆ วันละ 1 ชั่วโมง ทำงานบ้าน ทำสวน และให้ออกกำลังกายให้เหงื่อออกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เช่น เล่นกีฬา เต้นแอโรบิค
       
       6.ควบคุมน้ำหนักให้พอดีตัว ไม่อ้วน โดยดัชนีมวลกาย คือ น้ำหนักกิโลกรัม หารด้วย ความสูงเมตรยกกำลังสอง ค่าจะต้องออกมาอยู่ในช่วง 18.5-25 น้ำหนักจึงพอดี หากได้ 25-30 น้ำหนักมาเกินไป และมากกว่า 30 คือโรคอ้วน
       
       และ 7.ทำจิตใจให้ผ่องใส ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
       
       เท่านี้คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2013, 10:33:44 am
4 เคล็ดลับ บ๊าย บาย อาการนอนไม่หลับ

-http://campus.sanook.com/1370169/4-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9A%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A/-


เชื่อว่าหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า ′การนอนไม่หลับ′ มักเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งอาหาร รูปแบบการใช้ชีวิต การเจ็บป่วย การใช้ยา ความเครียด ดื่มกาแฟก่อนนอน รวมไปถึงรูปแบบเตียงนอนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่นอนไม่หลับ มักมีอาการเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น และหลังจากนั้นอาการดังกล่าวจะหายไปเอง แต่บางรายนอนไม่หลับเป็นเวลานานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ขึ้นไป และหากปล่อยเอาไว้นานๆ จะกลายเป็นอาการเรื้อรัง (Insomnia) จนส่งผลเสียร้ายแรงต่ออารมณ์ ความจำ การตื่นตัว ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา และไม่มีเรี่ยวแรง ท้ายสุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ฉบับนี้เราเลยอาสานำสารพัดวิธีเด็ดมาพิชิตอาการนอนไม่หลับกัน

1) กุญแจสู่การหลับอย่างเป็นสุข

เริ่มจากการนอนและตื่นเป็นเวลา โดยพยายามตื่นเวลาเดิมทุกเช้า ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า ผู้ที่วิ่งหรือเดินก่อนนอนเป็นประจำวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ การทำกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายก่อนเข้านอนทุกคืนยังจะช่วยให้คุณนอนหลับสนิทได้อีกด้วย เช่น ฟังเพลงเบาๆ สบายๆ เขียนบันทึกประจำวัน เป็นต้น และยิ่งถ้าคุณผสมสมุนไพรต่างๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ง่วง อย่างเช่น ลาเวนเดอร์ ดอกมะนาว คาโมไมล์ เลมอน และบาล์ม ใส่ไว้ในปลอกหมอน หรือทำถุงผ้าเล็กๆ แล้ววางไว้ข้างศีรษะเพื่อสูดดมกลิ่นหอมขณะนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ระเหยออกมาจากหมอน จะช่วยให้คุณคลายเครียดได้ หรือจะเป็นการแช่น้ำอุ่น ก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายแล้วปล่อยให้เย็นลง จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกว่าถึงเวลานอนแล้ว และจะทำให้คุณผ่อนคลายจนรู้สึกอยากนอนขึ้นมาเลยทีเดียว ที่สำคัญเตียงคุณนุ่มเกินไปหรือแข็งจนเกินไปที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหรือเปล่า

2) การกินอาหารก็ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น

ในขณะที่คุณกำลังทานอาหารในมื้ออยู่นั้น พึงระลึกเสมอว่าไม่ควรกินอิ่มจนเกินไป เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก และถ้าคุณเกิดหิวในเวลาก่อนนอน ควรเลือกกินอาหารเบาๆ เช่น นมจืดพร่องมันเนย นมถั่วเลือง โยเกิร์ต ก่อนนอน ส่วนข้อแนะนำอื่นๆเพื่อช่วยให้หลับง่ายนั้นอาจจะต้องงดหรือลดเครื่องดื่มกาเฟอีน เนื่องจาก กาเฟอีนจะตกค้างในร่างกายหลายชั่วโมงกว่าจะถูกขับออก คนที่ติดกาแฟเมื่อเลิกทันทีจะทำให้อ่อนเพลีย สะลึมสะลือ ดังนั้น ควรค่อยๆ ลดปริมาณลง งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้หลับสบายในชั่วโมงแรก แต่หลังจากนั้นจะทำให้เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายและอุณหภูมิร่างกาย ทำให้ตื่นกลางดึก และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ก่อนนอน เพราะสารนิโคตินจะกระตุ้นให้ตื่นตัว ทำให้หลับยาก เลี่ยงการดื่มน้ำและเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น น้ำผลไม้ 90 นาทีก่อนนอน เพราะร่างกายใช้เวลาประมาณ 90 นาทีในกระบวนการขับน้ำออกทางปัสสาวะ

3) วิตามินเสริมการนอนหลับ

หากใครยังไม่หาย ลองหันมาเสริมวิตามินต่างๆ เหล่านี้ดูบ้าง เผื่อบางทีอาจช่วยให้คุณมีการนอนหลับที่ดีขึ้นได้ เริ่มจากวิตามินบี 6 จะมีความสำคัญในการสร้างสารเซโรโทนินในสมอง สารตัวนี้จะช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ คนที่ได้รับวิตามินตัวนี้ไม่เพียงพออาจมีอาการซึมเศร้าหรือหงุดหงิดได้ ส่วนวิตามินบี 12 จะช่วยให้อาการนอนไม่หลับดีขึ้น แต่เมื่อหยุดเสริมอาการจะกลับมาอีก แต่การเสริมวิตามินบี 12 เพื่อแก้ไขอาการนอนไม่หลับต้องใช้ปริมาณสูง ดังนั้น จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์และสำหรับแคลเซียมและแมกนีเซียม แร่ธาตุทั้ง 2 ตัวจะช่วยในการทำงานของระบบประสาท ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ การขาดแร่ธาตุนี้จะทำให้เกิดตะคริวและรบกวนการทำงานของเส้นประสาท มีผลทำให้นอนไม่หลับ นอกจากนี้การขาดธาตุเหล็กและทองแดงจะทำให้หลับช้า นอนนาน และอาจตื่นกลางดึก ทำให้นอนไม่อิ่มสำหรับการทานวิตามินนั้น

4) คลายเครียด

อาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากสภาพจิตใจ หรือความเครียดที่สะสมจนทำให้เกิดความกังวลและทำให้นอนไม่หลับ หากเกิดอาการแบบนี้ ลองฝึกกำหนดลมหายใจ ฝึกสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ นอกจากนี้ ในช่วงวัยทองหลายคนยังเกิดอาการหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ ตื่นมากลางดึกแล้วพาลนอนไม่หลับเสียเฉยๆ ก็มี อาการเหล่านี้ อาจนำไปสู่โรคซึมเศร้า อาการทางจิตประสาท หากนอนไม่หลับจนรู้สึกว่ากระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น ไม่มีสมาธิ รู้สึกง่วงตลอดวัน โมโห ฉุนเฉียวง่าย เก็บตัว ฯลฯ ต้องรีบปรึกษาจิตแพทย์ด่วน

6 สูตรสมุนไพรช่วยได้

1.ดอกไม้จีนแห้ง 15 กรัมต้มในน้ำ 1 ถ้วย เติมน้ำตาลกรวด ดื่มเป็นชาก่อนนอน

2.ใบขี้เหล็กประมาณ 30-50 กรัม ต้มเอาน้ำ ดื่มก่อนนอน เพราะมีสารแอนไฮโดรบาราคอลช่วยให้นอนหลับ

3.มะตูมอ่อน เหง้าขมิ้นอ้อย เถาบอระเพ็ด และพริกไทยในปริมาณเท่าๆกัน ต้มเอาน้ำ เพื่อดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา

4.ราก ลำต้น และใบ ของ ตะไคร้ ต้นข่าตาแดง และเหง้าขิงสด อย่างละ 5 ต้น มาล้างให้สะอาด สับเป็นท่อน ต้มให้เดือด 15 นาที ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา

5.ดื่มน้ำสมุนไพร คาโมไมล์ ดอกเสาวรส หรือชาวาลิเรียน ก่อนนอน จะช่วยให้หลับสบายได้ดียิ่งขึ้น

6.ดื่มชาที่ทำจาก เมล็ดเซเลอรี 1 ถ้วยก่อนนอน โดยใช้เมล็ดที่บดแล้ว 2 ช้อนชาแช่ในน้ำเดือด 1 ถ้วยก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

Tip : สำหรับอาการนอนไม่หลับที่ควรไปพบแพทย์ : จะต้องมีอาการมานานกว่า 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน หรือรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย จนไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในตอนกลางวัน รวมไปถึงสงสัยว่าเป็นโรคบางอย่างแฝงอยู่ เช่น ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ที่มา : หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน

คอลัมน์ สุขภาพทางเลือกเชิงป้องกัน : โดย ชาญณรงค์ บุปผาแดง


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2014, 09:31:20 pm
8 ท่ายืดเส้นแก้ปวดหัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2557 20:25 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001228-


รู้หรือไม่ว่าการยืดเส้นยืดสายสามารถป้องกันและบรรเทาอาการปวกศีรษะได้ โดยอาการปวดศีรษะ เป็นอาการที่พบบ่อยมากอาจมีอาการมึนงง ง่วงนอน คลื่นไส้ อาเจียน หรือชาลงไปตามแขน หรืออาจจะมีอาการเหล่านี้โดยไม่มีอาการปวดศีรษะ ส่วนมากมักจะเป็นที่บริเวณหน้าผาก กระบอกตา ขมับ ท้ายทอย อาจจะเป็นทั้งสองข้างหรือข้างเดียว
       
       อาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุที่พบบ่อย คือมีจุดเจ็บหรือตึงในกล้ามเนื้อและพังผืด ที่อยู่บริเวณลำคอ บ่า และบริเวณหลังส่วนบน เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวมีการหดหรือเกร็งตัวเป็นระยะเวลานานจากการใช้แขน และมือทำงานต่างๆ หรือมีท่าทางไม่เหมาะสมการรับประทานยาแก้ปวดหรือคลายกล้ามเนื้อ กดจุดหรือฝังเข็มอาจจะดีขึ้นเพียงชั่วคราวแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก ดังนั้น การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ บ่า และหลังส่วนบนด้วยการยืดเหยียด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการป้องกันและแก้ปัญหาการปวดศีรษะ
       
       สำหรับท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อที่สามารถปฎิบัติได้ตามง่ายๆมีทั้งหมด 8 ท่า ดังนี้

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094201.JPEG)
       1.ท่าเตรียม : ยืนหรือสั่งศีรษะตรง มือประสานกันหันฝ่ามือขึ้นวางบนศีรษะ
       
       ปฎิบัติ: เหยียดแขนขึ้นข้างบนและเอนไปข้างหลังค้างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียมผ่อนคลายและทำซ้ำ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094202.JPEG)
       2.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง มือประสานกันข้างหน้าในระดับไหล่ หันฝ่ามือออกข้างหน้า
       
       ปฎิบัติ: เหยียดแขนไปข้างหน้าในระดับไหล่จนสุด ก้มศรีษะค้างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียมผ่อนคลายและทำซ้ำ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094203.JPEG)
       3. ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่งศีรษะตรง มือประสานกันข้างหลังหันฝ่ามือเข้าหาลำตัว เหยียดแขนให้ตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกแขนขึ้นเท่าที่สามารถจะทำได้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ผ่อนคลายและทำซ้ำ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094204.JPEG)
       4.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่งศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : เอียงศีรษะไปข้างขาวขณะเดียวกันใช้มือขวาดึงมือซ้ายลงมาข้างล่างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเตรียม เปลี่ยนสลับข้าง ทำเช่นเดียวกันและทำซ้ำ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094205.JPEG)
       5.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกฝ่ามือขวาดันศรีษะและใบหู เกร็งกล้ามเนื้อต้นคอไว้ประมาณ 6 วินาที กลับสู้ท่าเตรียม เปลี่ยนสลับข้าง ทำเช่นเดียวกันและทำซ้ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นการดันศีรษะบริเวณหน้าผากสลับกับท้ายทอย และทำซ้ำตามรูป

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094206.JPEG)
       6.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : ยกฝ่ามือขวาวางที่แก้มขวาใช้ปลายนิ้วชี้ไปทางหู ข้อศอกชี้ไปข้างหน้าออกแรงดันขณะที่พยายามหมุนศีรษะไปทางขวา เกร็งค้างไว้ 6 วินาที ผ่อนคลายและหมุนศีรษะไปทางซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ค้างไว้ 10 วินาที และทำซ้ำจากนั้นเปลี่ยนสลับข้างทำเช่นเดียวกัน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094207.JPEG)
       7.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง แขนห้อยแนบลำตัว
       
       ปฎิบัติ : หมุนไหล่ทั้งสองไปข้างหน้าและวนไปข้างหลัง ทำซ้ำๆ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000094208.JPEG)
       8.ท่าเตรียม : ยืนหรือนั่ง ศีรษะตรง
       
       ปฎิบัติ : หันหน้าไปข้างขวา จากนั้นก้มศีรษะและหมุนทวนเข็มนาฬิกาไปทางซ้าย ทำกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ ซ้ำๆ ตามต้องการไม่ควรหมุนศีรษะเป็นวงกลม เพราะอาจจะเกิดการบาดเจ็บที่คอได้
       
       ทั้งนี้ให้เหยียดกล้ามเนื้อค้างไว้ 10-30 วินาที หรือเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 6 วินาที หายใจเข้าออกตามปกติไม่ต้องกลั้นหายใจ แต่ละท่าทำซ้ำ 4-6 ครั้ง ทำอย่างน้อย 2-3วันต่อสัปดาห์หรือเป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้อาการปวดศีรษะดีขึ้นได้


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001228 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001228)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2014, 10:16:37 pm
ภัยครีมหน้าหนาว ระวังสารก่ออันตราย

รายงานพิเศษ

ปัญหาผู้บริโภคเลือกซื้อครีมทาผิวช่วงฤดูหนาว เสี่ยงมีส่วนผสมของสารโคเบตาซอลโพรพิโอเนต (สเตียรอยด์) และอาจก่ออันตรายต่อร่างกาย



ผศ.พญ.สุ วิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชา สัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บอกว่า กรมวิทยา ศาสตร์การแพทย์ ออกมาเตือนประชา ชนให้ระวังการเลือกซื้อครีมทาผิวแบบแบ่งขาย ที่พบว่ามีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ชนิดทาภายนอกที่มีความรุนแรง



เนื่อง จากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ผู้มีปัญหาผิวแห้งอยู่แล้ว อาจทำให้อาการกำเริบจนเกิดการอักเสบ แดง คันตามมา หรือบางคนที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบภูมิแพ้หรือโรคสะเก็ดเงิน ช่วงหน้าหนาวนี้โรคมักจะกำเริบมากขึ้น



ทั้งนี้การเลือก ผลิตภัณฑ์ครีมทาผิว ควรตรวจสอบให้ถี่ถ้วน และซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจพบครีมทาผิวแบบแบ่งขายเอง ที่ไม่มี อย. และมีส่วนผสมของสารโคเบตาซอลโพรพิโอเนต (สเตียรอยด์) ทำให้ผิวบาง ผิวแตกลายสีขาว มีรอยแดง มีลักษณะเหมือนคนอ้วน หรือคนตั้งครรภ์ ทำให้เกิดสิว ขนยาว และดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน



ผศ.พญ.สุ วิรากรบอกอีกว่า การซื้อครีมทาผิว ต้องอ่านฉลากให้ละเอียด ทั้งที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป ตามเว็บไซต์ หรือการโปรโมตขายตามรายการโทรทัศน์เคเบิลทีวีบางช่อง มักมีการโฆษณาเกินจริง บางครั้งครีมทาผิวที่ใช้อาจเป็นของปลอม หรือมีส่วนผสมของ สารโคเบตาซอลเป็นสเตียรอยด์ชนิดที่แรงที่สุด และมีคำเตือนว่าห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 4 สัปดาห์ และมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง



นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ บอกว่า คนไทยสามารถซื้อหาครีมหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์ได้เอง โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ราคาถูก 10 กรัม 50 บาท มีเป็นร้อยยี่ห้อ ขณะที่ประเทศเจริญแล้ว ต้องมีใบสั่งแพทย์ ร้านขายยาจึงจะขายให้



โดยผลข้างเคียงจาก การใช้ครีมสเตียรอยด์ ประเภทเฉียบพลัน ทำให้เกิดสิว เป็นตุ่มนูนแดง เกิดผื่นแพ้สัมผัส เป็นต้น ประเภทเรื้อรัง ทำให้ผิวหน้าบางลง หลอดเลือดใต้ผิวหนังเปราะแตกง่าย ขนยาวขึ้นบริเวณทายา เกิดสิวและผื่นอักเสบรอบปาก เวลาหยุดยาแล้วจะแดง และต้องใช้ครีมสเตียรอยด์แรงมากขึ้น เป็นต้น



วิธีการดูแลผิวหน้าหนาวที่ถูกต้อง คือ รักษาความสะอาดผิว โดยสบู่อ่อน อย่าอาบน้ำร้อนจัด ทาสารให้ความชุ่มชื้น ใช้ครีมกันแดดทุกวัน



ผู้บริโภคไม่มั่นใจผลิตภัณฑ์ ตรวจสอบไปที่ สายด่วน อย. 1556
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 05, 2014, 09:18:27 am
ไวรัสตับอักเสบซี

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/206289/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A+%E0%B8%8B%E0%B8%B5-

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/507656.jpeg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/507659.jpeg)

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/507660.jpeg)


ในปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังประมาณ 180 ล้านคนทั่วโลกโดยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเขตเอเชียแปซิฟิกถึง 30-35
วันอาทิตย์ 5 มกราคม 2557 เวลา 00:00 น.

ไวรัสตับอักเสบซี ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามผู้คนมานานโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการจนกว่าจะมีการเสื่อมของตับมาก ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานาน 10– 20 ปีหลังจากติดเชื้อจึงจะเริ่มมีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ อ่อนเพลียซึ่งตอนนั้นก็มักเกิดตับแข็งหรืออาจเป็นมะเร็งตับแล้วก็ได้

ในปัจจุบันพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังประมาณ 180 ล้านคนทั่วโลกโดยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเขตเอเชียแปซิฟิกถึง 30-35 ล้านคนในประเทศไทยได้มีการสำรวจจากผู้บริจาคโลหิตพบมีอุบัติการณ์ของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ (คิดเป็น 6 แสนคนจากประชากร 60 ล้านคน) การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังนี้จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีอัตราของผู้ป่วยโรคตับแข็งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 20 ในอีก 10 ปีข้างหน้ารวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง มะเร็งตับและอัตราตายจากโรคตับมากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว

การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่ติด ต่อผ่านทางเลือดดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่ได้รับเลือดหรือสาร ประกอบของเลือดก่อนปี พ.ศ. 2535 ผู้ที่ฉีดยาเสพติดเข้าทางเส้นเลือด ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังพบในผู้ที่สักตามร่างกาย เจาะหู ฝังเข็มรักษาโรคหรือแม้กระทั่งการขริบอวัยวะเพศหากเครื่องมือไม่ได้รับการฆ่าเชื้อที่ถูกต้องก็อาจเป็นสาเหตุของการติดต่อได้รวมถึงผู้ที่ได้รับเชื้อผ่านทางการรักษาเช่น การฟอกไต เป็นต้น อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่าร้อยละ 15-30 ของผู้ป่วยก็ไม่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ

ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ, ไวรัสตับอักเสบบี, ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสตับอักเสบดี และไวรัสตับอักเสบอี ซึ่งมีลักษณะการติดเชื้อที่แตกต่างกัน

ไวรัสตับอักเสบซี เป็นเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายโดยเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อปะปนอยู่แล้วเข้าไปเจริญเติบโตในเนื้อตับและทำให้ตับอักเสบเรื้อรังได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการจึงมักจะตรวจพบเมื่อมาตรวจร่างกายประจำปีพบการอักเสบของตับหรือทราบจากการบริจาคโลหิตแล้วไม่สามารถให้เลือดได้บางคนอาจจะรู้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเป็นตับแข็งแล้ว

ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรค

ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสซี เช่น เพศ อายุของผู้ป่วยขณะติดเชื้อ การดื่มสุรา การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสเอชไอวี (เอดส์) ร่วมด้วย เช่นผู้ชายและการดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 50 กรัม/วัน จะมีการดำเนินโรคจนเกิดตับแข็งได้เร็วกว่าในผู้หญิงที่ดื่มสุราน้อยกว่า 50 กรัม/วัน การติดเชื้อไวรัสซีในผู้ป่วยอายุมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งมากกว่า 40 ปีจะมีโอกาสการดำเนินโรคตับแข็งได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อในอายุน้อย

ใครที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

ผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดโดยเฉพาะในช่วงก่อน ปี พ.ศ. 2535

ผู้ที่ใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น

ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ใช้เครื่องฟอกไตเด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีคู่นอนของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือ ผู้ที่มีประวัติเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆผู้ที่สูดโคเคนทางจมูกบุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุจากการดูแลรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี เช่น เข็มตำ

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรัง ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงและมีการทำงานของตับผิดปกติแพทย์ก็จะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาอาการแสดงของโรคตับเรื้อรังและเจาะเลือดเพื่อดูการอักเสบของตับโดยดูจากค่า AST และ AST พร้อมกับตรวจหา anti-HCV เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือไม่ ถ้าผลการตรวจ anti-HCV เป็นบวกก็จะตรวจยืนยันผลโดยการเจาะเลือดส่งตรวจปริมาณเชื้อไวรัสว่ามีปริมาณมากน้อย นอกจากนี้แพทย์จะตรวจหาชนิดของไวรัสตับอักเสบซี (Genotype) เพื่อประโยชน์ในการบ่งบอกถึงโอกาสที่จะตอบสนองต่อการรักษา

การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรัง

การรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้คือการรักษาด้วย PegylatedInterferon ฉีดเข้าใต้ผิวหนังสัปดาห์ละ 1 ครั้งร่วมกับยารับประทาน Ribavirin 4-5 เม็ด/วัน เป็นเวลานาน 24-48 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ชนิดไหน ถ้าเป็น Genotype 1 ซึ่งเป็นชนิดที่รักษายากก็ต้องใช้ระยะเวลารักษานานถึง 48 สัปดาห์โดยผลการรักษามีโอกาสหาย 50-60% แต่ถ้าเป็น Genotype 2, 3 ก็สามารถรักษาให้หายในระยะเวลา 24 สัปดาห์ โดยได้ผลประมาณ 80%

ผลข้างเคียงของยา : การรักษาด้วยยา Interferon อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้หลายอย่างเช่น อาจมีไข้ต่ำ ๆ หลังฉีดยาปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ ผมร่วง ซึมเศร้าอารมณ์แปรปรวน ส่วน Ribavirin ที่ต้องรับประทานร่วมกันก็ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกจนมีอาการซีดลงได้มาก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังเริ่มรักษา หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้น ดังนั้น การรักษาไวรัสตับอักเสบซี จึงต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดเพื่อแพทย์จะได้ปรับขนาดยาตามความเหมาะสมและให้การรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น

ปัญหาที่สำคัญของการรักษาคือค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื้อรังยังมีราคาแพงรวมแล้วประมาณ 360,000 ถึง 720,000 บาทขึ้นกับระยะเวลาในการรักษาและอาจต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจเลือดและยาที่ใช้รักษาผลข้างเคียงจากยาด้วยแต่ในปัจจุบันราคายาถูกลงมากและมีโครงการในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้นทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น

การป้องกัน

เนื่องจากยังไม่มียาหรือวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ได้วิธีที่ดีที่สุด คือ การป้องกันตนเองโดย

หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน

หลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด.

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พญ.อภิญญา ลีรพันธ์

หน่วยระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 18, 2014, 09:27:11 am
 อุจจาระร่วง เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 มกราคม 2557 08:07 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000006283-

  หลายคนคงเคยประสบกับเหตุการณ์ที่อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการข้าศึกโจมตี จนทนไม่ไหวต้องรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำไวปานจรวด จากที่สบายดี จู่ๆ เราก็มีอาการ “อุจจาระร่วง” หรือที่มักเรียกกันว่า “ท้องร่วง” “ท้องเสีย” ขึ้นมาทันใด บางคนอาจมีอาการไม่มาก แต่บางคนอาจเป็นหนักถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว วันนี้ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับโรคอุจจาระร่วง เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามกัน
       
       โรคอุจจาระร่วง หรือ diarrhea หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลวเกิน 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายเหลวเป็นน้ำ 1 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งในหนึ่งวัน หรือมีอาการถ่ายเหลวผิดปกติหรือถ่ายบ่อยกว่าปกติ เรามักพูดกันติดปากว่า ท้องร่วง ท้องเสีย ในบางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดบิดในท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน โดยโรคนี้แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบเฉียบพลัน (acute) และแบบเรื้อรัง (chronic) ผู้ป่วยที่เป็นอุจจาระร่วงเฉียบพลันมักหายภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่หายได้เอง แต่หากเป็นนานเกิน 2 สัปดาห์เรียกว่า อุจจาระร่วงเรื้อรัง โดยโรคนี้เป็นโรคพบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของเราทุกคน องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงในแต่ละปีมากกว่า 1,700 ล้านคนทั่วโลก
       
       โรคอุจจาระร่วงจัดว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตลำดับต้นๆ ของประชากรในประเทศกำลังพัฒนา ในแต่ละปี มีเด็กประมาณ 2-3 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนเป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันมากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งป่วยจนส่งผลต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยจำนวน 10% ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ส่วนที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมีถึง 250,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 5,000 คน ส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุ
       
       ในประเทศไทย สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่าในปี พ.ศ.2555 มีผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจำนวน 1,229,641 คน อัตราป่วยเท่ากับ 1,913.35 ต่อประชากรแสนคนและมีผู้เสียชีวิต 27 คน คิดเป็นอัตราตาย 0.04 ต่อประชากรแสนคน จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าโรคนี้มีอัตราป่วยสูงและอัตราป่วยตายต่ำ อย่างไรก็ดี แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่ควรมองข้าม เพราะโรคนี้อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เราจึงควรเรียนรู้สาเหตุและวิธีการดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคอุจจาระร่วงอย่างถูกต้อง
       
       โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ผู้ป่วยมากกว่า 90% เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากการติดเชื้อ อาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิ โดยได้รับเชื้อผ่านการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเหล่านี้ ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับเชื้อจนมีอาการมักจะเป็นวันๆ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการคลื่นไส้ เป็นไข้ และปวดท้องร่วมด้วย ที่เหลืออีก 10% เกิดจากการกินอาหารที่มีพิษของเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ รวมทั้งผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาหัวใจเต้นผิดปกติ ยาลดความดัน ยาเคลือบกระเพาะ ยาระบาย ระยะเวลาตั้งแต่รับพิษของเชื้อ หรือรับยาจนมีอาการจะสั้นกว่า มักไม่ถึงหนึ่งวัน
       
       โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากภาวะหรือโรคอื่นซึ่งส่งผลต่อลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Inflamatory Bowel Disease) โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) ภาวะต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาเกินปกติ (Hyperthyroidism) หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งก็ได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม หากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ อุจจาระมีมูกเลือดปน ท้องเสียรุนแรงนานกว่าสามวัน หรือมีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็วหรือเบา หายใจเร็วหรือหอบ ซึมหรือกระสับกระส่าย ควรรีบไปพบแพทย์ เรื่องนี้ต้องอาศัยญาติ ผู้ใกล้ชิดคอยดู เพราะบางครั้งผู้ป่วยเองอาจจะไม่ทันสังเกต โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทั้งโรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ เผลอนิดเดียว อาการทรุดหนักได้ หากเด็กๆ มีอาการท้องเสีย ควรพาไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ เนื่องจากเด็กมักบอกอาการเองไม่ได้ ยิ่งถ้าเด็กมีอาการขาดน้ำ เช่น ตาโหล ปากแห้ง กระหม่อมบุ๋ม ซึมหรือกระสับกระส่าย ไม่เล่นตามปกติ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
       
       การรักษาโรคอุจจาระร่วง สำหรับในแบบเฉียบพลัน สิ่งสำคัญในการรักษาคือ การให้น้ำและเกลือแร่เพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสียไป ป้องกันและแก้ไขภาวะขาดน้ำ ในผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง อาจให้ดื่มน้ำเกลือแร่ โดยละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ หรือที่เรียกกันว่า ผง ORS (Oral Rehydration Salts) ในน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ดื่มแทนน้ำบ่อยๆ และคอยสังเกตดูสีปัสสาวะ หากมีสีเข้มแสดงว่ายังได้น้ำไม่เพียงพอ ต้องพยายามดื่มน้ำเกลือแร่เพิ่มอีก สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก มีภาวะขาดน้ำรุนแรง โดยเฉพาะรายที่มีอาการอาหารเป็นพิษร่วมด้วย และมีอาการอาเจียนมาก กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ การให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วยนั้น แพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป โดยให้ในผู้ป่วยบางรายที่คาดว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น โรคบิดไม่มีตัว อหิวาตกโรค หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
       
       เนื่องจากโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันส่วนใหญ่หายได้เอง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ การให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อดื้อยาในอนาคต ดังนั้นผู้ป่วยท้องร่วง ท้องเสีย จึงไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง หากใครมีปัญหาโรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและให้การรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
       
       อย่างไรก็ตาม เราสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นโรคอุจจาระร่วงได้ โดยดื่มน้ำสะอาด ถ้าเป็นน้ำต้มสุกที่เก็บในขวดหรือภาชนะที่สะอาด ปิดสนิท จะดีที่สุด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และสะอาด ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังรับประทานอาหาร รวมทั้งหลังเข้าห้องน้ำ ภาชนะที่ใส่อาหารต้องล้างให้สะอาดก่อนใช้
       
       ...หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้ห่างไกลจากโรคอุจจาระร่วงกัน

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 18, 2014, 09:46:49 am

ปัญหาการนอนกรน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%99/-

การนอนกรนถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หากทางเดินหายใจโล่งดีไม่ควรมีเสียงกรนเกิดขึ้น
        แต่อันตรายของการกรนจะมากหรือน้อย ขึ้นกับว่าสุขภาพของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร และมีการหยุดหายใจ (Apnea) ร่วมด้วยหรือไม่
ดังนั้นเราจึงอาจแบ่งการนอนกรนได้เป็น ๒ ชนิดคือ

กรนธรรมดา (Habitual Snoring)
อาจเรียกว่า “กรนรำคาญ” ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ไม่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย อันตรายของการกรนจึงเกิดจากการสร้างความรำคาญให้แก่คนข้างเคียง จนในบางรายอาจถึงขั้นมีปัญหากับคู่สมรส ต้องแยกห้องนอน

กรนที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea)
เป็นชนิดที่มีอันตราย เนื่องจากในช่วงที่หยุดหายใจ ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสเลือดจะลดลงเป็นช่วงๆ
ก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น นอนไม่อิ่ม สะดุ้งตื่นบ่อยๆ ปวดศีรษะช่วงเช้า ง่วงนอนในตอนกลางวัน เผลอหลับในบ่อยๆ สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย และจากการศึกษาในปัจจุบันยังพบว่าผู้ที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วยในระดับรุนแรงจะมีอัตราการตายสูงกว่าประชากรทั่วไป และเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆที่สำคัญได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต


การรักษา
ขึ้นกับชนิดของการนอนกรน และระดับความรุนแรง
โดยถ้ามีการหยุดหายใจร่วมด้วย ไม่ควรปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจแบ่งการรักษาออกได้เป็น

1. การรักษาทั่วไป หลีกเลี่ยงสาเหตุเสริมต่างๆ ทำได้โดย ลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, ปรับการนอน ไม่นอนหงาย, งดดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์, หลีกเลี่ยงยาบางประเภท รวมทั้งรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ภูมิแพ้ โรคในโพรงจมูก ซึ่งต้องรักษาก่อนที่จะไปรักษาโดยใช้วิธีอื่น

2. การรักษาโดยใช้เครื่องเพิ่มความดันของอากาศในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งจะทำให้ช่องทางเดินหายใจถ่างกว้างออกจึงไม่เกิดเสียงขณะหายใจ และไม่เกิดการหยุดหายใจเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า Nasal CPAP (continuous positive airway pressure) การรักษาโดยใช้ Nasal CPAP นี้ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกรายหากผู้ป่วยสามารถทนใช้เครื่องได้ แต่ผู้ป่วยบางส่วนไม่สามารถทนใช้เครื่องได้เนื่องจากรู้สึกรำคาญที่ต้องใช้เครื่องขณะนอนหลับ

3. การผ่าตัด มีหลายวิธีขึ้นกับระดับความรุนแรง ความพอใจของผู้ป่วยแต่ละราย รวมทั้งความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา ตัวอย่างของการผ่าตัดได้แก่
- การผ่าตัดบริเวณต่อมทอนซิลและลิ้นไก่ เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้นและการสั่นสะเทือนขณะหลับน้อยลงจึงลดเสียงกรนและลดการหยุดหายใจที่เกิดจากอุดกั้นของทางเดินหายใจ
- การใช้คลื่นความถี่สูง เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณ เพดานอ่อน, ลิ้นไก่, โคนลิ้น, ต่อมทอนซิล และทำให้เนื้อเยื่อกระชับขึ้น
- การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นสาเหตุของการกรนและการอุดกั้นทางเดินหายใจ แต่ควรพิจารณาเฉพาะในรายที่อ้วนมากๆเท่านั้น
- การผ่าตัดยืดขากรรไกรและแก้ไขโครงสร้างของใบหน้า ได้ประโยชน์ในรายที่การกรนเกิดจากโครงสร้างของใบหน้าผิดปกติ
- การเจาะคอ ใช้ในรายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นแล้ว โดยเฉพาะในรายที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรงและไม่สามารถใช้ Nasal CPAP ได้



ข้อมูลและรูปภาพ : ศูนย์หลอดเลือด โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 03:33:47 pm
สธ. เตือนระวังโรคอุจจาระร่วง ช่วงหน้าหนาว พบป่วยแล้วกว่า 2 แสนราย

-http://health.kapook.com/view80513.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังโรคอุจจาระร่วงช่วงหน้าหนาว เผยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ป่วย 210,906 ราย เสียชีวิตแล้ว 1 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป

          วันที่ 19 มกราคม 2557 มีรายงานว่า นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า สธ. ได้เฝ้าระวังการเจ็บป่วยของประชาชนในช่วงหน้าหนาว พบว่า โรคอุจจาระร่วง เป็นโรคที่พบได้บ่อยทุกปี จากรายงานการเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงทุกจังหวัด ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวที่ผ่านมา คือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556-13 มกราคม 2557 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงรวม 210,906 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่ากลุ่มอื่น และหากป่วยอาการจะรุนแรงกว่าวัยอื่น ๆ

          ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สาเหตุของโรคอุจจาระร่วง เกิดจากเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย ไวรัส รวมทั้งเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม อยากย้ำเตือนประชาชนว่า อย่าชะล่าใจว่าอากาศเย็นแล้วอาหารจะไม่บูดเสีย เพราะความเย็นแค่ช่วยชะลอการเติบโตของเชื้อโรคในอาหารเท่านั้น ไม่ทำให้เชื้อโรคตาย ดังนั้น ขอให้เก็บอาหารเหลือค้างมื้อใส่ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ -1 ถึง 8 องศาเซลเซียส และนำมาอุ่นให้เดือดก่อนรับประทานทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ใช้ช้อนกลางตักอาหาร ล้างมือฟอกสบู่ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งและหลังการใช้ห้องน้ำห้องส้วม ถ่ายอุจจาระลงส้วมทุกครั้ง

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยถึงการป้องกันโรคท้องร่วงในเด็กเล็กว่า นมผสมของเด็กที่เหลือจากการดูด ไม่ควรเก็บไว้เกิน 2 ชั่วโมงในห้องอุณหภูมิปกติ และไม่เกิน 4 ชั่วโมงในห้องแอร์ เพราะอุณหภูมินอกตู้เย็น เหมาะแก่การเพิ่มจำนวนเชื้อโรคที่มาจากปากและฟัน ส่วนนมแม่ หากยังไม่ได้กิน จะอยู่ในห้องแอร์ได้ 8 ชั่วโมง ไม่ควรนำนมไปวางทิ้งไว้ในที่อุ่นนม เพราะการเก็บนมไว้ในที่อุณหภูมิสูง จะทำให้เสียเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ควรเตรียมนมให้พอดีในแต่ละมื้อ ไม่ให้เหลือค้างขวด เพราะนมอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดีจึงมีโอกาสบูดเสียได้ แนะนำให้เปลี่ยนขวดนม ขวดน้ำ และจุกนมทุกครั้ง ล้างทำความสะอาดและนึ่งฆ่าเชื้ออุปกรณ์ให้ดี เพราะการลวกน้ำร้อนไม่สะอาดเพียงพอ อาจทำให้เด็กท้องเสียได้ และให้หมั่นล้างมือให้เด็ก ทำความสะอาดของเล่นบ่อย ๆ

          สำหรับการดูและผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงนั้น อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า ควรรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร เพื่อให้มีสารอาหารที่จำเป็นไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆในร่างกาย แต่ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด และให้ดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่แทนน้ำ หากอาการไม่ดีขึ้น ยังถ่ายบ่อย อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้ กระหายน้ำมากกว่าปกติ มีไข้สูง หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกปนเลือด ให้รีบพบแพทย์
 
          ส่วนการดูแลในเด็กเล็ก ขอให้ป้อนอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด สามารถกินนมแม่ได้ตามปกติ ถ้าเด็กกินนมผสม ให้เจือจางนมผสมเหลือครึ่งหนึ่งของปกติที่เคยได้รับ จิบน้ำละลายผงน้ำตาลเกลือแร่บ่อย ๆ และให้อาหารที่ย่อยง่าย เช่นโจ๊ก ข้าวต้ม อาการเด็กจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นปกติภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ถ่ายเหลวไม่หยุด เด็กซึมลง ปากแห้งมาก ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ให้พาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=215135&catid=176&Itemid=524#.UtuOTrSlYdV-



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 03:36:08 pm
10 วิธีคลายความเหนื่อยล้า

-http://campus.sanook.com/1370555/10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2/-

เช้าวันใหม่ที่แสนจะอ่อนล้าแบบนี้ เหมือนการพักผ่อนในวันหยุดจะยังไม่พอสำหรับคุณ ยิ่งถ้าอากาศเป็นใจด้วยแล้วยิ่งทำให้ไม่อยากตื่นจากที่นอนกันเลยใช่ไหมล่ เรามีวิธีช่วยให้คุณสดใสรับเช้าของคุณทุกๆ วันมาฝากกันค่ะ

เช้าวันจันทร์ หรือเช้าของทุกๆ วัน ที่ทำให้คุณไม่อยากจะตื่นจากที่นอนเพื่อลุกมาทำงาน หรือบางทีอาจจะเบื่อกับรถติด เบื่อกับการทำงานที่เต็มบนโต๊ะ ซึ่ง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกเหนื่อยล้าลงได้ง่าย วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้ทุกๆ วันของคุณ สดใส และมีพลังมาฝากกันจร้า

1.เข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาทุก ๆ วัน ตัวเราจะได้เคยชินและไม่ไปง่วงในเวลาอื่น

2.นอนให้ได้ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือสังเกตดูตัวเองว่า นอนกี่ชั่วโมงถึงพอ แล้วยึดเวลานั้นเป็นหลัก บางคนต้องการนอนมาก หรือน้อยกว่าคนอื่น

3.ถ้านอนไม่หลับ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ หรืออ่านหนังสือประเภทชวนง่วง เพื่อให้หลับง่าย คุณจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่นอนหลับยากแบบถ

4.กินอาหารหรือของขบเคี้ยวทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มพลัง ถ้าปล่อยให้หิวหลายชั่วโมง จะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ให้กินอาหาร 3 มื้อแต่น้อย ๆ และ ขบเคี้ยวพวกผักผลไม้ หรืออาหารมีประโยชน์อีก 2 มื้อย่อยระหว่างวัน

5.ทำตัวให้มีสุขบ้าง เพราะความเครียดความเศร้าเสียใจดูดพลังงานของเราไป ถ้าคุณทำอะไรแล้วมีความสุขเพลิดเพลินช่วยให้หัวเราะ หรือยิ้มได้บ้าง หาเวลาทำสิ่งนั้นบ่อยขึ้น

6.งดดื่มชากาแฟ พวกชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มมีกาเฟอีน จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลับยาก ดื่มน้ำเปล่าดีกว่าค่

7.ลดน้ำหนักส่วนเกิน ถ้าเราปล่อยให้อ้วนมากเกินไป การเดิน วิ่ง หรือขึ้นลงบันไดของเราจะเปลืองพลังงานมากกว่าตอนที่เราตัวเบา เสียแรงเหนื่อยไปเปล่า

8.อย่าออกกำลังกายก่อนนอน เพราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ร่างกายสดชื่น ไม่นึกอยากจะนอน

9.หมั่นตรวจสอบความเครียดว่ามากไปหรือยัง พยายามลดความเครียดด้วยการออกกำลังกาย ทำโยคะ

10.ปรึกษาคุณหมอ หากคิดว่าดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ยังไม่รู้สึกว่าจะหายจากความเหนื่อยล้าไปได้ คงต้องสาเหตุที่แท้จริงกันอีกทีค่ะ



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 09:17:05 am

ใจสั่น แบบไหน ควรไปหาหมอ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99_%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD/-


        เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่หลายคนเคยเจอ บางรายหมายถึงปกติ แต่บางรายอาจถือว่าไม่ปกติก็ได้ โดยทั่วไปเรามักรู้สึกถึง การเต้นของหัวใจ ในภาวะที่หัวใจบีบตัวแรง เต้นเร็ว ในขณะออกกำลังกาย แต่ในภางะที่ไม่มีอะไรมากระตุ้นเลย ในบางคนอาจจะเกิด อาการใจสั่น จนทำให้เกิดข้อกังวลสงสัยว่า หัวใจฉันเกิดความผิดปกติหรือไม่

     6 ลักษณะอาการใจสั่นที่เกิดขึ้นได้
        1.อาการใจสั่นที่อาจเกิดจากความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ หรือ โรคหัวใจ
        2.อาการใจสั่นร่วมกับอาการอื่น เช่น หน้ามืด เป็นลมหมดสติ เจ็บ แน่นหน้าอก หรือเหนื่อยหอบกว่าปกติ อาจบ่งบอกถึง โรคหัวใจรุนแรงควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
        3.อาการใจสั่นที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยไม่สัมผัสกับการออกแรง และสามารถหายได้เอง ผู้ป่วยมักแยกอาการแตกต่างกันขณะที่มีและไม่มี อาการใจสั่น
        4.อาการใจสั่นที่เกิดร่วมกับจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ
        5.อาการใจสั่นในผู้ป่วยที่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยที่เคยมี กล้ามเนื้อหัวใจตาย จากหลอดเลือดอุดตัน หัวใจโตล้มเหลว หัวใจผิดปกติแต่กำเนิด
        6.อาการใจสั่นในผู้ป่วยที่มีประวัติ คนในครอบครัว ใกล้ชิด เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะการเสียชีวิตกะทันหัน ก่อนวัยอันควร

        ในบางครั้งที่หัวใจเต้นเร็วมาก อาจเกิดการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อย หรือเวียนศีรษะ บางครั้งหัวใจเต้นเร็วจนไม่สามารถพยุงความดันโลหิต ก็จะส่งผลให้เกิดการหน้ามืด เวียนศีรษะได้ และถ้าอาการเกิดขึ้นขณะที่อยู่นิ่งๆ โดยอาการเกิดขึ้นและหยุดทันที ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์หรือสัมพันธ์กับอาการเวียนหัว วูบ หน้ามืด มักมีสาเหตุจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติ เพราะหากเกิดการตื่นเต้น เครียด หรือการออกกำลังกาย มักจะมีการเต้นเร็ว ค่อยๆเป็น และค่อยๆเต้นช้าลงเรื่อยๆ

        ทั้งนี้ภาวะหัวใจเต้นเร็วบ่อยครั้งที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ แต่เกิดจากความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะเลือดจาง ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ จากโรคท้องร่วงหรือเสียเลือดมาก ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาแล้ว ภาวะหัวใจเต้นเร็ว ก็จะกลับสู่ปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ

สิ่งที่กระตุ้น ที่จะทำให้เกิดภาวะใจสั่น
        -   คาเฟอีน
        -   เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
        -   ภาวะความเครียด
        -   การอ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ
        -   ภาวะขาดน้ำ
        -   การเจ็บป่วยจากโรค เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือทำงานมากเกินไป
        -   ยาบางชนิด

เช็คสภาพหัวใจด้วยตัวคุณเอง
        หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่นั้น หากคุณไปพบคุณหมอในเวลาต่อมา อาการ และการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้หายแล้ว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่กี่วินาที อาจไม่พบความผิดปกติ ดังนั้นคุณอาจมีส่วนช่วยในการวินิจฉัย โดยการจับชีพจร และนับอัตราการเต้นของชีพจรในระยะเวลา 1 นาที และสังเกตจังหวะของชีพจรเร็วกว่าปกติหรือไม่ ชีพจรสม่ำเสมอหรือเร็วช้าไม่สม่ำเสมออย่างไร

        หรือสำรวจด้วยการเช็คสมรรถภาพร่างกาย หากลดลง เช่น เหนื่อยง่าย มีอาการเจ็บหน้าอก หน้ามืดเป็นลมบ่อย หัวใจสั่นมากผิดปกติทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกาย มีอาการบวมในร่างกายเกิดขึ้น นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหัวสูงเท่านั้น ในรายที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็จะเช็คสภาพหัวใจได้ง่าย แต่ในรายที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย แน่นอน วิ่งนิดหน่อย คุณก็เหนื่อยแล้ว

        การดูแลรักษาในเบื้องต้น คุณหมอจะสอบถามประวัติการตรวจร่างกาย การตรวจเอ็กซเรย์เงาปอด และหัวใจ และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อช่วยการวินิจฉัย หรือนำไปสู่การส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมที่เหมาะสม ส่วนใครสงสัยว่า ฉันอาจมีปัญหาเรื่องหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาดหรือไม่นั้น แพทย์อาจส่งตรวจการเต้นของหัวใจด้วยการเดิน วิ่ง สายพานเลื่อน หรือผู้ใดที่สงสัยว่าตัวเอง มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนา หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ลิ้นหัวใจตีบ หรือผนังกั้นหัวใจรั่ว หรือโรคของ เยื่อหุ้มหัวใจ คุณหมอก็จะส่งตรวจด้วย เครื่องตรวจเสียงสะท้อนหัวใจ (Ecohocardigraphy) อีกครั้งหนึ่ง

        นอกจากนี้ การรักษายังขึ้นอยู่กับผลการตรวจว่า มีหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ถ้ามี การที่หัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นเป็นชนิดใด และที่สำคัญมีสาเหตุจากโรคหัวใจ หรือ ความผิดปกติของอวัยวะใด การรักษาที่สำคัญ คือ รักษาที่สาเหตุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว หากหลอดเลือดหัวใจตีบมาก อาจต้องได้รับการรักษาด้วยการ ขยายหลอดเลือดหัวใจ เช่น การทำบอลลูน หรือการถ่างหลอดเลือด ด้วยขดลวดต่อไป
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2014, 08:53:00 pm
10 วิธีคลายความเหนื่อยล้า

-http://news.springnewstv.tv/42083/10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2-


เช้าวันอาทิตย์หรือเช้าของทุกๆ วัน ที่ทำให้คุณไม่อยากจะตื่นจากที่นอนเพื่อลุกมาทำงาน หรือบางทีอาจจะเบื่อกับรถติด เบื่อกับการทำงานที่เต็มบนโต๊ะ ซึ่ง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกเหนื่อยล้าลงได้ง่าย วันนี้เรามีวิธีที่จะช่วยให้ทุกๆ วันของคุณ สดใส และมีพลังมาฝากกัน

1.เข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาทุก ๆ วัน ตัวเราจะได้เคยชินและไม่ไปง่วงในเวลาอื่น

2.นอนให้ได้ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือสังเกตดูตัวเองว่า นอนกี่ชั่วโมงถึงพอ แล้วยึดเวลานั้นเป็นหลัก บางคนต้องการนอนมาก หรือน้อยกว่าคนอื่น

3.ถ้านอนไม่หลับ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ หรืออ่านหนังสือประเภทชวนง่วง เพื่อให้หลับง่าย คุณจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่นอนหลับยากแบบถ

4.กินอาหารหรือของขบเคี้ยวทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มพลัง ถ้าปล่อยให้หิวหลายชั่วโมง จะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ให้กินอาหาร 3 มื้อแต่น้อย ๆ และ ขบเคี้ยวพวกผักผลไม้ หรืออาหารมีประโยชน์อีก 2 มื้อย่อยระหว่างวัน

5.ทำตัวให้มีสุขบ้าง เพราะความเครียดความเศร้าเสียใจดูดพลังงานของเราไป ถ้าคุณทำอะไรแล้วมีความสุขเพลิดเพลินช่วยให้หัวเราะ หรือยิ้มได้บ้าง หาเวลาทำสิ่งนั้นบ่อยขึ้น

6.งดดื่มชากาแฟ พวกชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มมีกาเฟอีน จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลับยาก ดื่มน้ำเปล่าดีกว่า

7.ลดน้ำหนักส่วนเกิน ถ้าเราปล่อยให้อ้วนมากเกินไป การเดิน วิ่ง หรือขึ้นลงบันไดของเราจะเปลืองพลังงานมากกว่าตอนที่เราตัวเบา เสียแรงเหนื่อยไปเปล่า

8.อย่าออกกำลังกายก่อนนอน เพราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ร่างกายสดชื่น ไม่นึกอยากจะนอน

9.หมั่นตรวจสอบความเครียดว่ามากไปหรือยัง พยายามลดความเครียดด้วยการออกกำลังกาย ทำโย

10.ปรึกษาคุณหมอ หากคิดว่าดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ยังไม่รู้สึกว่าจะหายจากความเหนื่อยล้าไปได้ คงต้องสาเหตุที่แท้จริงกันอีกที



ขอบคุณข้อมูล news.sanook.com

----------------------------------------------------------------------------------------------

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม

-http://news.springnewstv.tv/42085/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1-

เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อมแบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้

>> 1.ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับหลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี

>> 2.รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน (ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ

>> 3.เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึง และต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ

>> 4.ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ

>> 5.ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขน และข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้เล็กน้อยเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินไปที่จะใส่ใจกับสิ่งของที่เราต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สาระน่ารู้ดีดี





หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 12:15:30 pm
เรื่องนี้ ผมขอลงเป็นความรู้ครับ

---------------------------------------------------------



ไบโพล่า โรคซึมเศร้าที่ต้องการคนเข้าใจ

-http://club.sanook.com/8174/%E0%B9%84%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95-


” ไบโพล่า “  โรคซึมเศร้าที่ต้องการคนเข้าใจ

วันนี้ได้อ่านเจอเรื่องๆ นึง ที่เกี่ยวกับกรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคไบโพล่า หรือถ้าให้เรียกเข้าใจง่ายๆ ตามความเข้าใจของเรา อาจจะอธิบายได้ว่าผู้ป่วยนั้น จะมีสองบุคลิก ซึ่งหลายคนอาจจะว่าเค้าเป็นบ้า แต่ความเป็นจริงแล้ว คนที่เป็นไม่ได้บ้า แต่สิ่งที่เกิดเป็นอาการของโรคๆหนึ่ง ที่ใครเป็นแล้ว ต้องได้รับการดูแลเห็นใจและเข้าใจในตัวผู้ป่วยให้มากๆ  ซึ่งวันนี้เรามีบทความอธิบายเกี่ยวกับ โรคไบโพล่า มาฝากกันค่ะ



ภาวะซึมเศร้าที่จะพูดกันวันนี้ เป็นโรคที่พบได้บ่อย เรียกกันในการแพทย์ว่า ไบโพล่า (bipolar หมายถึง สองขั้ว)หรือ แมนิค ดีเพรสซิฟ (manic-depressive disorder)

โรค ไบโพล่า เป็นภาวะผิดปกติของสารสื่อประสาทสมองและเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง ที่มีการรักษาได้ คนไข้จะมีการเปลี่ยนแปลงภาวะอารมณ์ พลังงาน และความคิด จากด้านหนึ่งคือพลังความคิดมากและรู้สึกตนเองว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่(หรือที่เรียกว่า แมเนีย mania) และเปลี่ยนกลับมาเป็นซึมเศร้า ท้อแท้ ไม่ทำอะไร อยากตาย รู้สึกว่าไร้ค่า(ซึมเศร้า depression) ได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งการเปลี่ยนแปลงจะรวดเร็วรุนแรง และส่วนใหญ่ จะมีช่วงที่คนไข้ปกติ บางครั้งคนไข้จะมีโรคทางกายร่วม เช่น ไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น

ผู้ที่จะทราบว่าผู้ป่วยเป็น ที่ดีที่สุดคือญาติ ผู้ร่วมงาน หรือในระยะแรกคือตัวคุณเอง ลองถามตัวเองว่า

1.   บางครั้งเรารู้สึกตัวเองว่าอยู่สูงสุดในโลก
2.   มีพลังทำอะไรทุกอย่าง หัวคิดแล่น สร้างสรรค์
3.   ไม่ต้องนอน
4.   ความต้องการทางเพศเพิ่ม
5.   รู้สึกอยู่ไม่สุขต้องหาอะไรทำ
6.   รู้สึกบ้า
7.   ไม่สามารถใจจดจ่อกับอะไรเป็นเวลานาน
8.   พูดเร็ว บางครั้งหยุดไม่ได้
9.   ใช้จ่ายเงินมือเติบในสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือสิ่งของราคาแพง
1o. เพื่อนบอกว่า ทะเลาะ พูดเสียงดัง อารมณ์แปรปรวน

ถ้ามี คุณกำลังอยู่ในขั้นของแมเนีย และในบางครั้ง พอสักพัก
1.  กลับเปลี่ยนเป็นไม่มีพลัง
2.  เศร้าตลอดเวลา เดียวดาย
3.  ไม่อยากทำอะไรในสิ่งที่เคยอยากทำ
4.  นอนไม่หลับ
5.  เพลียมาก อยากนอนตลอด
6.  ไม่อยากกินอะไร
7.  ปวดเมื่อยเนื้อตัว
8.  อยากอยู่คนเดียวหรือไม่อยากอยู่บนโลก
9.  ไม่มีความต้องการทางเพศ
10. ลืมง่าย ไม่มีสมาธิ
11. กลัว หงุดหงิดง่าย
12. ไม่อยากเป็นตัวเอง หรือไม่ คุณกำลังอยู่ในขั้น ซึมเศร้า ถ้ามีสลับกัน คุณกำลังเข้าข่ายโรคไบโพล่า รีบปรึกษาแพทย์

รายละเอียดอื่นๆ ของโรคนี้ หาอ่านได้ที่ โรคซึมเศร้า จาก ไทยเฮลท์เอนไซโคลปีเดีย
พึงระลึกไว้เสมอว่า โรคนี้ต้องให้สังคมและคนใกล้ชิดช่วยจะดีที่สุด รักษาให้หายได้เหมือนคนปกติ และเขาก็ไม่ใช่คนบ้า แต่เป็นคนป่วยหนัก ที่ต้องการรักษาทั้งร่างกายและจิตใจ

ขอขอบคุณ : สมาคมนักกิจกรรมบำบัด/อาชีวบำบัดแห่งประเทศไทย , www.otat.org (http://www.otat.org)



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 05:19:55 pm

ปัญหาการนอนกรน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%99/-

การนอนกรนถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หากทางเดินหายใจโล่งดีไม่ควรมีเสียงกรนเกิดขึ้น
        แต่อันตรายของการกรนจะมากหรือน้อย ขึ้นกับว่าสุขภาพของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร และมีการหยุดหายใจ (Apnea) ร่วมด้วยหรือไม่
ดังนั้นเราจึงอาจแบ่งการนอนกรนได้เป็น ๒ ชนิดคือ

กรนธรรมดา (Habitual Snoring)
อาจเรียกว่า “กรนรำคาญ” ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ไม่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย อันตรายของการกรนจึงเกิดจากการสร้างความรำคาญให้แก่คนข้างเคียง จนในบางรายอาจถึงขั้นมีปัญหากับคู่สมรส ต้องแยกห้องนอน

กรนที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea)
เป็นชนิดที่มีอันตราย เนื่องจากในช่วงที่หยุดหายใจ ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสเลือดจะลดลงเป็นช่วงๆ
ก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น นอนไม่อิ่ม สะดุ้งตื่นบ่อยๆ ปวดศีรษะช่วงเช้า ง่วงนอนในตอนกลางวัน เผลอหลับในบ่อยๆ สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย และจากการศึกษาในปัจจุบันยังพบว่าผู้ที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วยในระดับรุนแรงจะมีอัตราการตายสูงกว่าประชากรทั่วไป และเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆที่สำคัญได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต


การรักษา
ขึ้นกับชนิดของการนอนกรน และระดับความรุนแรง
โดยถ้ามีการหยุดหายใจร่วมด้วย ไม่ควรปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจแบ่งการรักษาออกได้เป็น

1. การรักษาทั่วไป หลีกเลี่ยงสาเหตุเสริมต่างๆ ทำได้โดย ลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, ปรับการนอน ไม่นอนหงาย, งดดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์, หลีกเลี่ยงยาบางประเภท รวมทั้งรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ภูมิแพ้ โรคในโพรงจมูก ซึ่งต้องรักษาก่อนที่จะไปรักษาโดยใช้วิธีอื่น

2. การรักษาโดยใช้เครื่องเพิ่มความดันของอากาศในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งจะทำให้ช่องทางเดินหายใจถ่างกว้างออกจึงไม่เกิดเสียงขณะหายใจ และไม่เกิดการหยุดหายใจเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า Nasal CPAP (continuous positive airway pressure) การรักษาโดยใช้ Nasal CPAP นี้ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกรายหากผู้ป่วยสามารถทนใช้เครื่องได้ แต่ผู้ป่วยบางส่วนไม่สามารถทนใช้เครื่องได้เนื่องจากรู้สึกรำคาญที่ต้องใช้เครื่องขณะนอนหลับ

3. การผ่าตัด มีหลายวิธีขึ้นกับระดับความรุนแรง ความพอใจของผู้ป่วยแต่ละราย รวมทั้งความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา ตัวอย่างของการผ่าตัดได้แก่
- การผ่าตัดบริเวณต่อมทอนซิลและลิ้นไก่ เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้นและการสั่นสะเทือนขณะหลับน้อยลงจึงลดเสียงกรนและลดการหยุดหายใจที่เกิดจากอุดกั้นของทางเดินหายใจ
- การใช้คลื่นความถี่สูง เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณ เพดานอ่อน, ลิ้นไก่, โคนลิ้น, ต่อมทอนซิล และทำให้เนื้อเยื่อกระชับขึ้น
- การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นสาเหตุของการกรนและการอุดกั้นทางเดินหายใจ แต่ควรพิจารณาเฉพาะในรายที่อ้วนมากๆเท่านั้น
- การผ่าตัดยืดขากรรไกรและแก้ไขโครงสร้างของใบหน้า ได้ประโยชน์ในรายที่การกรนเกิดจากโครงสร้างของใบหน้าผิดปกติ
- การเจาะคอ ใช้ในรายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นแล้ว โดยเฉพาะในรายที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรงและไม่สามารถใช้ Nasal CPAP ได้



ข้อมูลและรูปภาพ : ศูนย์หลอดเลือด โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:02:51 pm
5 อาการ...ดวงตาบอกสุขภาพ

-http://campus.sanook.com/1370658/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3...%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/-

ดั่งคำที่กล่าวว่า มองตาก็รู้ใจแล้ว...ดวงตายังจะสามารถบอกสุขภาพของคุณได้อีกด้วย โดยสังเกตได้จากอาการต่างๆ ที่เกิดกับดวงตาคู่สวยของคุณ งั้นไปสังเกตดวงตากันเลยค่ะ


(http://p3.isanook.com/ca/0/ud/274/1370658/78481521.jpg)


1.เปลือกตากระตุก อาการแบบนี้จะมาทันทีเมื่อกล้ามเนื้อหนังตาเกร็งตัวหรือเกิดกระแสส่งประสาทอย่างมากเกิดการกระตุ้นกล้ามเนื้อตาผิดปกติ แต่มักจะเกิดเวลาเครียดจัดๆหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ เชื่อว่าหลายคงคงเคยเจอปัญหาตากระตุกแล้วบอกเป็นรางร้าย!! แนะนำว่าควรรีบกลับไปนอนดีกว่า

2.ขนตาร่วงผิดปกติ ขนตาของคนเราก็เหมือนผม สามารถหลุดร่วงได้ทุกวัน แต่ถ้าอยู่ดีๆขนตาดกหนาของคุณร่วงจนบางอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะคุณกำลังมีอาการเปลือกตาอักเสบก็ได้ อาการนี้จะเกิดขึ้นหากคุณขยี้ตาบ่อยหรือใช้ขนตาปลอมและมาสคาร่าคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ของเหล่านี้จะทำให้รูขุมขนบริเวณดวงตาอุดตันจนเกิดการอักเสบขึ้นมา ถ้าขนตาร่วงมากๆ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การไปหาหมอ แต่คุณควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ความสวยจะดีกว่าขยี้ตาบ่อยๆ


3.ขอบตาดำคล้ำ อาการแบบนี้หมายถึงการไหลเวียนในหลอดเลือดฝอยบริเวณตาอาจจะเกิดการอุดตัน ไหลเวียน ไม่สะดวก หากปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเลยการอุดตันจะยิ่งมากแล้วขอบตาก็จะดำ ส่วนใหญญ่แล้วอาการเหล่านี้จะเกิดกับ

# คนที่นอนน้อยเกินไป การพักผ่อนน้อยจะทำให้เกิดของเสียสะสมรอบบดวงตา ไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดจนตาดำอย่างที่เห็น

# ขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาบ่อยๆเป็นการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีบริเวณรอบดวงตา อาทำให้ขอบตาดำถาวร ต้องพึ่งศัลยกรรมลูกเดียว

#เป็นโรคภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคนี้มักจะมีตับและไตที่อ่อนแอ พอตับซึ่งมีหน้าที่ฟอกเลือดไม่แข็งเรง เลือดก็จะไม่สะอาด อาจจะหนืดหรือทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย

#ความเครียด การกินอาหารขยะก็เป็นอีกสาเหตุของปัญหาขอบตาคล้ำ หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ที่ชื่นชอบรับประทานแฮมเบอร์เกอร์หรือของทอดๆ มากเกินไป ลองเปลี่ยนมากินผักสดและดื่มน้ำเปล่ามากๆ ขอบตาคุณก็จะหายดำคล้ำแล้ว

4.ถุงใต้ตาบวม สำหรับใครที่มีเหมือนถุงกาแฟห้อยอยู่ใต้ตา แสดงว่าชอบกลั้นปัสาวะระหว่างนอนหลับ หรือไม่ก็แพ้อาหารบางอย่างเช่นถั่ว อาหารทะเล ปกติถุงใต้ตา จะบวมอยู่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยุบหายไปเอง แต่ถ้าใต้ตาของคุณบวมเรื้อรังนั่นเป็นสัญญาณว่าคุณเป็นเกี่ยวกับไต โดยเฉพาะโรคไตวายยิ่งต้องระวังให้มากที่สุด

5.ตาเหลือง ส่วนใหญ่อาการนี้มาจากโรคดีซ่านแต่สำหรับบางคนที่นอนน้อย ทำงานหนักติดต่อกันมากๆ หรือชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ เป็นไปได้ว่าอาจมีปัญหาในถุงน้ำดี เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เป็นมะเร็งตับอ่อน หรือไม่ก็เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อความปลอดภัยสาวๆตาเหลืองควรไปเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลด่วนๆ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2014, 08:56:16 pm
เตือนภัย “โรคพิษสุนัขบ้า” พบได้ตลอดปี ติดเชื้อตาย 100 เปอร์เซ็นต์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กุมภาพันธ์ 2557 12:49 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000015309-



      สธ. เตือนภัยโรคพิษสุนัขบ้าพบได้ตลอดปี เป็นโรคร้ายแรงป่วยแล้วเสียชีวิต 100 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลกพบผู้เสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ส่วนไทยปีที่แล้วมี 6 ราย ชี้โรคนี้ป้องกันได้ด้วยวัคซีนโดยฉีดในสัตว์เลี้ยงทุกปี ส่วนในคนหากถูกสุนัขหรือแมวกัด ข่วน ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทันที

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) เป็นโรคร้ายแรงที่พบได้ตลอดปี โรคนี้มีความเป็นพิเศษต่างจากโรคอื่นๆ คือ หากติดเชื้อจนมีอาการป่วยจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องเสียชีวิตทุกราย แต่โรคนี้ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยง และในคนหลังถูกสุนัข หรือแมวกัด แต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 50,000 คน ประเทศไทยสัตว์ที่แพร่เชื้อมากที่สุดคือ สุนัข พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี ในปี 2556 มี 6 ราย ทุกรายถูกสุนัขกัด และไม่ได้ฉีกวัคซีนหลังถูกกัด จึงนับว่าโรคนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันในสุนัขบางพื้นที่ครอบคลุมไม่ถึงร้อยละ 80 ของสุนัขในพื้นที่ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ซึ่งคาดว่าทั่วประเทศมีประชากรสุนัขประมาณ 7 ล้านตัว ในแต่ละปีคนไทยถูกสุนัขกัดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้นที่มารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
       
        นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งสร้างพื้นที่ในชนบท และเขตเมืองทั่วประเทศให้ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า ตั้งเป้าครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2558 เพื่อกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศภายใน พ.ศ.2563 ตามเป้าที่อนามัยโลก และองค์การควบคุมโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศกำหนด โดยร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป ครอบคลุมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของสุนัขที่มีในหมู่บ้าน ขึ้นทะเบียนการเลี้ยงทุกหลังคาเรือน และทำหมัน เพื่อควบคุมจำนวนสุนัข โดยเฉพาะสุนัขจรจัด และให้เจ้าของนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี
       
        ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อโรคในสัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเช่น สุนัข แมว วัว ควาย ลิง ชะนี เป็นต้น ในไทยพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคนี้มากที่สุดร้อยละ 96 รองลงมาคือ แมว เชื้อติดต่อสู่คนจากการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด ข่วน เลีย น้ำลายกระเด็นเข้าทางตา ปาก หรือบาดแผลตามผิวหนัง โดยเชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนที่บริเวณแผลถูกกัด หลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์-4 เดือน จะมีอาการป่วย บางรายอาจเร็วเพียง 4 วัน การป่วยจะช้า หรือเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่เข้าไป ตำแหน่งบาดแผล หากอยู่ใกล้สมอง เชื้อจะเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง หรือเข้าสู่สมองได้เร็ว ผู้ป่วยจะมีอาการคลุ้มคลั่ง ดุร้าย กระวนกระวาย หากเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังจะทำให้สมอง และไขสันหลังทำงานผิดปกติ มีอาการอัมพาต และเสียชีวิตในที่สุด
       
        ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้วจะเสียชีวิตทุกราย แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน หากถูกสุนัขกัด ถูกเล็บข่วน หรือถูกเลียบริเวณที่มีบาดแผล ขอให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ อาการของสุนัขที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าที่สังเกตง่ายคือ สุนัขจะมีอารมณ์หงุดหงิด หางตก น้ำลายไหล อาจมีอาการคล้ายคล้ายกระดูก หรือก้างติดคอ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของเข้าใจผิด เอามือไปล้วงที่ปาก คลำหาก้าง หรือกระดูก หากพบสุนัขมีอาการดังกล่าวขอให้นึกถึงโรคพิษสุนัขบ้า และแยกสุนัขไว้ไม่ให้คลุกคลีกับสุนัขอื่น หรือคน และแจ้งปศุสัตว์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที
       
       ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีการชุมนุมทางการเมืองของกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการประเมินผลการปฏิบัติงานของทีมแพทย์กู้ชีพในรอบ 24ชั่วโมง มีผู้บาดเจ็บเพิ่ม 2 ราย ที่นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตรวจอาการและเย็บแผลให้กลับบ้านแล้ว
       
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความคืบหน้าของการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองและผู้ชุมนุมชาวนาว่า ได้จัดทีมแพทย์กู้ชีพชั้นสูง จากโรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับสภากาชาด และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว เตรียมพร้อมดูแลผู้ชุมนุมในพื้นที่ ร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี นพรัตนราชธานี และเลิดสิน และปฏิบัติกู้ชีพขั้นพื้นฐาน เตรียมพร้อมดูแล คือบริเวณสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง เตรียมพร้อมทีมแพทย์ฯ พร้อมให้การสนับสนุน
       
       "ส่วนกรณีของผู้ชุมนุมชาวนาที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ ได้มอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี และโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โดยปฏิบัติงานร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และทีมมูลนิธิกู้ชีพในพื้นที่ ติดตามดูแลการเจ็บป่วยและให้ทุกจังหวัดที่มีการชุมนุมทางการเมืองและการชุมนุมของชาวนา จัดทีมแพทย์ดูแลทุกจุด" ปลักสธ. กล่าว


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 08:23:16 am

กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87_%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89/-


เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย
คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย

วิธีดูแล
1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ
2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย
3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น
4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า
5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย


(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_274424__19122013033055.jpg)

ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 11:12:12 am
รักษาโรคสะเก็ดเงิน ด้วยการแพทย์แผนไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 กุมภาพันธ์ 2557 17:17 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000018107-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001872702.JPEG)


โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ เรื้อนมูลนก ในทางการแพทย์แผนไทยเกิดจากเลือดและน้ำเหลืองที่ผิดปกติ ทำให้น้ำเหลืองเสีย ส่งผลให้แสดงอาการเป็นผื่นที่ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีรอยผุดขึ้นเป็นแว่น เป็นวง ตามผิวหนัง เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสีขาว มีขอบนูนเล็กน้อย และมีอาการคันร่วมด้วย เมื่อนานเข้าจะลามไปทั่วร่างกาย
       
       โรคสะเก็ดเงิน จัดว่าเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุของโรคยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่ที่พบเจอได้บ่อยมักมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้หรือมีสาเหตุจากพันธุกรรมนั่นเอง และการรักษาแผนปัจจุบันมักเป็นเพียงการให้ยาเพื่อไม่ให้อาการกำเริบ แต่ศาสตร์การแพทย์แผนไทย ได้มีมุมมองการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งไปถึงพื้นฐานของโรค มีการวิเคราะห์มูลเหตุการเกิดโรค ลักษณะอาการ และมีการแยกตามลักษณะหรือธาตุประจำตัวผู้ป่วยร่วมด้วย เพื่อใช้ในการตั้งตำรับยาอย่างตรงจุด และช่วยปรับสมดุลต่างๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น และรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินไปพร้อมกัน โดยยาสมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นกลุ่มยาบำรุงและระบายน้ำเหลืองเสีย โดยมีทั้งยาต้ม ยาอาบ ยาแช่ และยาน้ำมันทาภายนอกแก้คัน
       
       อาการเริ่มต้นของโรคนี้ คือ จะมีอาการคันที่หนังศีรษะ มีสะเก็ดคล้ายรังแคแต่มีขนาดใหญ่กว่า และเป็นเรื้อรัง ใช้แชมพูขจัดรังแคก็ไม่หาย หรือมีสะเก็ดสีขาวขึ้นตามข้อศอก ข้อพับต่างๆ มีอาการกำเริบมากในช่วงที่อาการแห้ง หรืออากาศเย็น เมื่อไม่ได้รับการรักษา โรคจะลามเข้าเล็บทำให้เล็บเหลือง เป็นคลื่น คล้ายดอกเล็บสีขาวแต่มีขนาดใหญ่กว่า คล้ายกับมีเชื้อราที่เล็บ ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือรับการรักษาไม่ต่อเนื่อง ประกอบกับการรับประทานของแสลงอยู่เรื่อยๆ จะทำให้อาการของสะเก็ดเงินล่ามเข้าไปในข้อ เข้ากระดูก ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดตามข้อ ตามกระดูก นานเข้าก็จะทำให้เกิดอาการข้อผิดรูป หงิก งอ โดยเฉพาะข้อมือ ข้อเท้า
       
       การรักษา
       
       ใช้ยาต้มสมุนไพร ที่มีรสเมาเบื่อ เพื่อแก้น้ำเหลืองเสีย แก้พิษโลหิต และใช้ยาทา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก้ผิว พวกน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กลีเซอรีน หรือโลชั่นบำรุงผิว (แต่ต้องทามากกว่าปกติ 2-3 เท่า) ที่สำคัญผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องมาพบแพทย์แผนไทยก่อน เพื่อทำการประเมินและแยกโรค และจ่ายยาให้เหมาะสมกับผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน
       
       โดยการประเมินผู้ป่วยนั้นจะประเมินจาก
       
       1.ลักษณะความสุขสบาย ภาวะความเครียด ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้จากการซักประวัติ และสังเกตบุคลิก อารมณ์ สีหน้า ฯลฯ
       
       2.ลักษณะของผิวหนัง เช่น ผื่น สีผิว ความร้อน-เย็น ตำแหน่งของผื่น
       
       3.ลักษณะของเล็บ ซึ่งมักจะพบลักษณะเล็บของผู้ป่วยผิดปกติ เช่น เป็น Oil Drop (ลักษณะเล็บเป็นคลื่นขรุขระ)
       
       4.ลักษณะของการขับถ่าย ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีภาวะท้องผูกร่วมด้วย
       
       อาการแสดงของโรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกเป็น
       
       1.ผิวหนังชื้น ลอก แดง เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของน้ำเหลือง ซึ่งต้องจ่ายยาในกลุ่มของน้ำเหลืองเป็นหลัก เช่น ข้าวเย็นทั้งสอง, เปลือกขันทองพยาบาท, เหงือกปลาหมอ เป็นต้น
       
       2.ผิวหนังแห้ง ขุย ล่อน เป็นลักษณะที่แสดงถึงภาวะความผิดปกติของโลหิต ต้องจ่ายยาในกลุ่มบำรุงเลือด เช่น ฝาง, คำฝอย, คำไทย เป็นต้น
       
       ข้อห้ามและข้อควรระวังของผู้ป่วยสะเก็ดเงิน
       
       1.งดอาหารแสลง (ห้ามรับประทานเด็ดขาด) อาทิ ปลาไม่มีเกล็ด เช่น ปลาดุก ปลาไหล ปลากราย เพราะเมือกและความคาวของปลาจะทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้น และจะทำมีอาการคันมากขึ้นด้วย ปลาครีบแข็ง เช่น ปลาหมอ ปลานิล ของหมักดอง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ อาหารรสจัด อาหารรสมันจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารทะเล
       
       2.หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเครียด
       
       3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
       
       จากประสบการณ์การรักษาที่ผ่านมากว่า 4 ปี ของร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร พบว่า ผู้ป่วยมีอาการค่อยๆ ดีขึ้น เป็นที่น่าพอใจ แต่ทั้งนี้ ต้องควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี การงดอาหารแสลง ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้และด้วยทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้เล็งเห็นว่าโรคนี้เป็นปัญหาสุขภาพและมีผลกระทบต่อคนไทยเพิ่มมากขึ้น จึงได้ทำการเปิดคลินิกพิเศษโรคสะเก็ดเงินภายในงานการแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลขึ้น เพื่อขยายช่องทางการรับบริการ โดยปัจจุบันผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ 2 ช่องทาง คือ ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร และที่งานการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น.(เฉพาะวันทำการ จันทร์-ศุกร์) โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านยาไทยโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร 087-582-0597 และงานการแพทย์แผนไทย 085-391-2255

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 05:31:47 pm
วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส

-http://club.sanook.com/23327/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2-


(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/02/chickenpox21.jpg)



วิธีป้องกันและดูแลอาการป่วย โรคอีสุกอีใส

อีสุกอีใส เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน นับเป็นโรคที่ไม่รุนแรงในเด็กปกติ สามารถหายได้เองและไม่มีอันตราย แต่อาจทำให้มีผลเสียทางอ้อม เช่น ต้องหยุดโรงเรียน พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องหยุดงานเพื่อมาดูแล อาการของโรคและผลกระทบจะมากขึ้นกรณีเป็นเด็กโต นอกจากนี้ เด็กโต ผู้ใหญ่ และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากขึ้น

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด

 

การติดต่อ

ติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำที่ผิวหนังผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอนของผู้ป่วยที่สัมผัสกับตุ่มน้ำ หรือจากการสูดหายใจเอา ละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าทางเยื่อเมือก ระยะติดต่อคือ ช่วง ก่อนเกิดตุ่มคันที่ผิวหนัง 1 หรือ 2 วัน

 

อาการ

หลังจากได้รับเชื้อเข้าไปจากการสัมผัสโดยตรงหรือจากการหายใจ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 10-21 วัน เริ่มต้นด้วยมีไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว 2-4 วัน หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นเกิดขึ้น ผื่นของโรคนี้อาจมีอาการคันได้ ผื่นจะเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้าและลำตัวก่อนแล้วค่อยๆลามไปยังแขนขา ผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะต่างๆอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง จากผื่นแดงกลายเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำและตกสะเก็ด ตุ่มน้ำจะมีลักษณะคล้ายหยดน้ำอยู่บนผิวหนังที่แดง เมื่อตุ่มน้ำโตเต็มที่จะกลายเป็นตุ่มหนอง ต่อมาตุ่มหนองจะแห้งลง มีลักษณะบุ๋มตรงกลางแล้วตกสะเก็ดหลุดไปในเวลา 5-20 วัน หลังสะเก็ดหลุด จะเห็นผิวหนังเป็นหลุมเล็กๆสีชมพู ซึ่งต่อมาจะจางเป็นสีขาวและไม่เกิดแผลเป็น แต่ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือแกะสะเก็ดให้หลุดไปก่อนจะเกิดแผลเป็นตามมาได้ ผื่นของโรคนี้มักอยู่เป็นกลุ่มและมักพบผื่นหลายระยะในบริเวณใกล้ๆกัน โดยพบมากที่บริเวณศีรษะ ลำตัว และใบหน้า ส่วนบริเวณแขนขาจะมีตุ่มขึ้นน้อยกว่า

ลักษณะไข้มักเป็นพร้อมผื่น โดยจะเป็นอยู่ 2-4 วัน และหายไปเมื่อตุ่มตกสะเก็ด โรคอีสุกอีใสในเด็กเล็กอาจไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ แต่ในเด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่มักมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว และเบื่ออาหารนำมาก่อนที่จะมีผื่นเกิดขึ้นประมาณ 1-2 วัน

 

ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปโรคนี้มักจะหายเป็นปกติได้เอง พบภาวะ แทรกซ้อนได้น้อยในเด็ก พบบ่อยขึ้นในผู้ใหญ่และมักมีอาการรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย มักเกิดบริเวณผิวหนังที่เป็นตุ่มน้ำหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ข้อหรือกระดูกได้

2. สมองอักเสบ พบได้น้อยกว่า 1 ใน 1,000 ราย อาการที่พบบ่อยคือ เดินเซ โดยมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หรือผู้ใหญ่ อาการมักเกิดหลังผื่นขึ้น3-8 วัน

3. ปอดอักเสบ มักพบในผู้ใหญ่ โดยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย อาจมีอาการเขียวหรือไอเป็นเลือดได้ มักเกิดภายในวันที่ 1-5 หลังผื่นขึ้น

4. การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน อาการของโรคมักรุนแรงมีการดำเนินโรคเร็ว

นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ในระยะก่อนคลอด 5 วันหรือหลังคลอด 2 วัน ทารกที่เกิดมาอาจเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้

การรักษา

เนื่องจากโรคนี้หายได้เองโดยธรรมชาติ การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาตามอาการ

 

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรได้รับการพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ

2. ถ้ามีไข้ ให้ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการไรย์ (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับ ทำให้มีอาการของสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลืองจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ นอกจากนี้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ

3. ถ้าปากหรือลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก

4. ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด อาจใช้สบู่ที่มียาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

5. ควรตัดเล็บให้สั้น พยายามไม่แกะหรือเกาตุ่มคันซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองได้

6. ควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ระยะแพร่เชื้อคือตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นจนกระทั่งระยะ 6 วันหลังผื่นขึ้น

7. โรคนี้ไม่มีอาหารแสลง ควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค

 

การป้องกันโรค

การป้องกันการติดต่อของโรคนี้ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนผื่นตกสะเก็ด

• เด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรงดไปโรงเรียนจนผื่นตกสะเก็ดหมด อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆในห้องอาจได้รับเชื้อไปตั้งแต่ก่อนผื่นขึ้นแล้ว

• การป้องกันที่ได้ผลในปัจจุบันคือ การฉีดวัคซีนป้องกัน วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้ดีในเด็ก

 

การฉีดวัคซีน

• เด็กอายุ 1-12 ปี ป้องกันโดยฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว

• เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ การเกิดภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนไม่ดีเท่าเด็กเล็ก จึงต้องฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน

 

ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน

• มีไข้ต่ำๆหรือตุ่มน้ำเล็กน้อยในบางราย

• การฉีดวัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ทุกคน โดยจะป้องกันได้ร้อยละ 85-95

• ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเมื่อเป็นโรคจะมีอาการไม่รุนแรงมีตุ่มขึ้นจำนวนน้อยและหายเร็ว

• โรคงูสวัดจะพบน้อยลงหลังฉีดวัคซีน

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หน่วยสุขศึกษา โรงพยาบาบจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เว็บไซค์ : http://www.chulalongkornhospital.go.th/ (http://www.chulalongkornhospital.go.th/)

ภาพประกอบจาก www.Photos.com (http://www.Photos.com)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 05:40:44 am
ออกกำลังได้มากขึ้น ด้วยวิธีเพิ่มกำลังให้แรงบีบมือ

-http://men.kapook.com/view80175.html-


(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7564.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก robshep, thebaseballzone, oneresult เเละ shapefit
 
          หลายคนคงมีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแขนสุดล่ำ หน้าอกที่ดูบึกบึน รวมถึงรูปร่างทรงวีเชปที่แสนเซ็กซี่ โดยคุณจำเป็นต้องออกกำลังกายด้วยการใช้ดัมเบล บาร์เบล และการโหนบาร์อย่างหนักหน่วง ซึ่งส่วนสำคัญของการออกกำลังกายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างไทรเซปส์หรือหัวไหล่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนที่ทำหน้าที่จับอุปกรณ์ทั้งหลายเอาไว้ด้วยอย่างมือก็สำคัญเช่นกัน ได้ยินแบบนี้แล้ว หลายคนคงสงสัยว่า แรงบีบมือ ของเราสำคัญต่อการออกกำลังกายอย่างไรกันแน่ ถ้างั้นลองมาติดตามวิธีบริหารกำลังมือที่เรานำมาจากเว็บไซต์ fashionbeans.com ก่อนเลยดีกว่าครับ

          กล้ามเนื้อมือสำคัญไฉน ?

          ถึงแม้ว่าเป้าหมายการออกกำลังกายของคุณจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก ไทรเซปส์ หรือหัวไหล่ แต่คุณก็ต้องพึ่งพามือในการจับบาร์เบล ยึดตัวไว้กับบาร์โหนอยู่ดี ซึ่งถ้าหากกล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรงพอ ก็จะไม่สามารถใช้มือประคองน้ำหนักที่มากขึ้นได้ รวมทั้งเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวมากทีเดียว รู้ความสำคัญขนาดนี้แล้ว คุณก็ควรเริ่มบริหารกล้ามเนื้อมือไว้เสียแต่เนิ่น ๆ รับรองว่า ทั้งง่ายและคุ้มค่ากว่าที่คิดแน่นอน

(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7565.jpg)

          เทคนิคช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อมือ

          ใช้มือเปล่าออกกำลัง ถึงแม้ว่าถุงมือจะช่วยให้การออกกำลังกายง่ายขึ้นและลดอาการบาดเจ็บลงไปได้ แต่การฝึกใช้มือเปล่าออกกำลังกายก็ยังจำเป็นอยู่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของมือ ซึ่งส่งผลต่อการออกกำลังกายในระยะยาวของคุณอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว

          เน้นการบริหารบ่อย ๆ กล้ามเนื้อมือก็เหมือนกล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ต้องการความถี่ในการฝึกฝน แต่ต่างที่การฝึกกล้ามเนื้อมือไม่จำเป็นต้องแยกออกไปเป็นการบริหารเฉพาะอย่าง และสามารถสอดแทรกมันลงไปได้ในการโหนบาร์ การยกเล่นเวทได้ เพียงแค่คุณออกแรงบีบบาร์โหน หรือเปลี่ยนจากถือด้วยอุ้งมือก็ลองใช้นิ้วมือประคองบาร์เบลแทน

          ฝึกในสิ่งที่ต้องการ ตั้งเป้าหมายในการฝึกว่าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการกับท่าออกกำลังกายแบบใด เพื่อจะได้ฝึกให้ถูกลักษณะ เช่น ถ้าต้องการยกน้ำหนักแบบ Dead Lift ได้มากขึ้น คุณก็ควรฝึกโหนบาร์ค้างเพื่อเรียกความแข็งแรง และไม่จำเป็นต้องฝึกหมุนข้อมือเพื่อความยืดหยุ่นมากนัก

          ท่าการบริหารกล้ามเนื้อมือ

(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7567.jpg)

          โหนบาร์ค้างไว้

          ท่านี้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่โหนบาร์ค้างไว้ให้นานที่สุด ซึ่งยิ่งผ่านไปนานเท่าไรความแข็งแรงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เบื้องต้นควรใช้สองมือ แต่ถ้ามันไม่ท้าทาย จะใช้มือข้างเดียวสลับกันก็ได้ ควรทำท่านี้ให้ได้อย่างน้อย 1 นาทีโดยไม่ปล่อยมือ


(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7568.jpg)
          ถือจานน้ำหนักด้วยนิ้ว

          ถือจานน้ำหนักขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นให้ใช้นิ้วมือถือจานน้ำหนัก โดยไม่ให้ใช้ฝ่ามือช่วย นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มจานน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ ได้ตามความเหมาะสม


(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7566.jpg)

          เปลี่ยนวิธีโหนบาร์

          ปกติแล้วท่า Pull Up หรือการโหนบาร์ก็เป็นท่าที่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมืออยู่แล้ว แต่ถ้าหากอยากบริหารให้มากกว่านี้ คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีการจับบาร์โหน เช่น เอาผ้าเช็ดตัวพันบาร์โหนให้แน่น ซึ่งทำให้บาร์โหนลื่นมากกว่าปกติเลือกโหนบาร์ที่มีความหนามากขึ้น หรือจะเอาที่จับออกจากตัวบาร์เลยก็ยังได้ ทั้งหมดนี้จะทำให้การโหนบาร์ยากขึ้น จึงต้องอาศัยความพยายามในการจับมากขึ้นตามไปด้วย


(http://img.kapook.com/u/thachapol/6/w7569.jpg)

          หมุนข้อมือ

          ใช้มือถือบาร์เบลในลักษณะคว่ำมือ จากนั้นก็หงายมือขึ้นเพื่อหมุนบาร์เบลเหมือนท่าควงคฑาจากนั้นคว่ำมือลง ทำ 10 รอบ รับรองว่ามือคุณจะแข็งแรงขึ้นแน่นอน

          ได้รู้ทั้งความสำคัญและเทคนิควิธีการบริหารกล้ามเนื้อมือกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้ปฏิบัติจริงกันบ้าง เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของการออกกำลังกายที่คุณตั้งใจไว้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นยังไงล่ะครับ...


http://men.kapook.com/view80175.html (http://men.kapook.com/view80175.html)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 05:50:42 am

สี ลิ้น บอกโรค

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%AA%E0%B8%B5_%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99_%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84/-



"ลิ้น" เป็นอวัยวะสำคัญที่แพทย์จีนแผนโบราณใช้ในการตรวจโรค เพราะลิ้นเป็นอวัยวะที่บอบบาง ลักษณะของลิ้นจึงเปลี่ยนไปตามสภาพร่างกายได้ง่าย โดยตำราแพทย์แผนจีนแบ่งแผนที่ "ลิ้น" ออกเป็นธาตุทั้ง 5 ดังนี้

ปลายลิ้น : ธาตุไฟ
ระบบหลอดเลือดหัวใจ
      ปลายลิ้นจะบ่งบอกถึงสุขภาพหัวใจทั้งกายและจิต สีแดงและจุดแดงที่ปลายลิ้น แสดงถึงความเครียดต่าง ๆ โดยธาตุไฟที่พลุ่งพล่านนี้จะสื่อว่า หัวใจของเราทำงานหนักเกินไป เพราะมีความเครียดและแรงกดดันนั่นเอง

ส่วนถัดจากปลายลิ้นเข้ามา : ธาตุเหล็ก
ระบบหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน
      บริเวณนี้หมายถึงแนวโค้งที่อยู่ถัดจากปลายลิ้นเข้ามา หากมีสีออกแดง หรือมีจุดสีแดงขนาดเท่าหัวเข็ม อาจสื่อถึงการติดเชื้อในปอดสีซีด บ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ถ้ามีสีออกน้ำตาลอาจแสดงถึงเชื้อราในปอด

กลางลิ้น : ธาตุดิน
ระบบย่อยอาหาร
       กลางลิ้นจะเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร ม้าม และตับอ่อน รวมถึงปัญหาของระบบขับถ่าย เช่น คราบสีแดงและเหลืองที่กลางลิ้น บ่งบอกถึงโรคกรดไหลย้อนที่ทำให้เราตื่นขึ้นมากลางดึก การเปลี่ยนแปลงใดก็ตามในบริเวณธาตุดินอาจช่วยชี้ปัญหาในระบบขับถ่ายที่เรายังไม่รู้ก็ได้

ข้างลิ้น : ธาตุไม้ 
ระบบของตับ
       หากมีรอยฟันที่ข้างลิ้นอาจหมายความว่าพลังงานที่ตับไม่ไหลเวียน บางครั้งจะเห็นเป็นจุดสีเขียวช้ำหรือม่วง หากเป็นสีเข้มอาจสื่อถึงปัญหาร้ายแรง เช่น กระดูก ซี่โครงด้านล่างขยายตัวหรืออาการปวดบวมบริเวณท้องน้อย

โคนลิ้น : ธาตุน้ำ
ระบบปัสสาวะ
       โดยหลักแล้วโคนลิ้นจะสื่อถึงไตและกระเพาะปัสสวะ สิ่งที่เราต้องดูคือสีและคราบ ถ้าโคนลิ้นตรงกลางมีคราบสีเหลืองอาจแสดงว่ากระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ซึ่งบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว กันไว้ก่อนดีกว่าต้องไปพบแพทย์ทีหลัง


ที่มาข้อมูล :  นิตยสาร Lisa
รูปภาพจาก : www.dek-d.com (http://www.dek-d.com)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 06:02:24 am
แอร์บ้าน…5 เรื่องที่คนไม่รู้ควรอ่าน


-http://club.sanook.com/24948/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1-




เครื่องปรับอากาศ คือ ภัยที่หลายคนมองข้ามในฐานะแหล่งเพาะเชื้อโรคหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อที่มีการแพร่ทางอากาศ ยิ่งเปิดนาน ก็ยิ่งรับการสะสมภัยอันตรายมาก และนี่คือ 5 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน


1. แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน

2. อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

3. ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามี กลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง

4. ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ

5. ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก วิชาการดอทคอม


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 10:08:44 am
ปวดหัว อย่าชะล่าใจ ไม่ธรรมดา


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/217939/%E2%80%98%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7+%E2%80%93+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88+%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E2%80%99+-+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-



ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
วันอาทิตย์ 23 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้คนต่างหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นครับ นั่นก็เพราะคนเราเริ่มมีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งการจะใช้ชีวิตยืนยาวได้อย่างมีความสุขปัจจัยหนึ่งคือจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง

และหนึ่งในโรคหรืออาการที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งนำเราไปพบแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกหรือตามโรงพยาบาลก็คือ อาการ “ปวดศีรษะ หรือ ปวดหัว” นั่นเอง ซึ่งบางคนบอกว่าอาการปวดหัวนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ขณะที่อีกหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยมีใครที่เกิดมาแล้วในชีวิตนี้ไม่เคยปวดหัว เรียกว่าพบได้บ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ...แต่น้อยคนจะทราบว่าภายใต้คำว่า “ปวดศีรษะ” นั้น อาจมีโรคบางอย่างที่เป็นอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ฉบับนี้เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะให้มากขึ้นครับ

เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อ.นพ.ปรีชา ศตวรรษธำรง” อดีตผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ในเรื่องเกี่ยวกับโรคปวดศีรษะ ซึ่ง อ.นพ.ปรีชา มีความคิดเห็นในแนวทางเดียวกับผมว่า ปัจจุบันมีคนไข้มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางคนปวดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือบางคนปวดจนไม่สามารถทำงาน เรียนหนังสือหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับแพทย์คือจะต้องแยกให้ออกว่าอาการปวดศีรษะของคนไข้นั้นจัดอยู่ในกลุ่มใด ซึ่งในทางการแพทย์ จะแบ่งโรคปวดศีรษะออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มที่ไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือในเยื่อหุ้มสมองเลย แต่เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเอง เช่น โรคไมเกรน, ปวดศีรษะจากความเครียด, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะจากเส้นประสาทใบหน้าอักเสบ โดยลักษณะอาการที่พบได้คือ

1. มีอาการปวดศีรษะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังมาเป็นเวลานาน ช่วงที่ไม่มีอาการก็เป็นปกติ

2. ไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท พูดไม่ชัด หรือแขนขาอ่อนแรง

3. ไม่มีไข้ หรือคอแข็งตึง

4. มักพบในคนอาชีพที่มีความเครียดสูง เช่น นักธุรกิจ นักศึกษา

 

5. เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปจะพบในกลุ่มอายุน้อยกว่า 60 ปี

 

6. มีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด การอดนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง รวมถึงการมีประจำเดือน

2. กลุ่มที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะจริง ในกลุ่มนี้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น โรคเนื้องอกในสมอง, หลอดเลือดสมองโป่งพอง, เลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง, เลือดคั่งในสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคฝีในสมอง ซึ่งอาการปวดศีรษะในกลุ่มนี้อาจมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เช่น

1. ปวดทันทีและรุนแรงมาก แบบที่ไม่เคยปวดมาก่อนเลยในชีวิต

2. ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยไม่มีช่วงหายดีเลย

3. ปวดรุนแรง พร้อมกับมีอาการคอแข็ง หรืออาเจียนมาก

4. มีอาการแขนขาอ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว ซึมลง สับสน ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือหมดสติ รวมกับอาการปวด

 

5. ปวดเมื่อไอ จาม หรือ เบ่งถ่ายอุจจาระจะยิ่งทวีความปวดขึ้น

 

6. ปวดครั้งแรก เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี โดยไม่ได้มีโรคปวดหัวใด ๆ มาก่อน

ในคนไข้ปวดศีรษะกลุ่มที่ 1 ซึ่งไม่ได้มีรอยโรคในสมองหรือเยื่อหุ้มสมองเลย พบได้ประมาณ 80% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมด โดยส่วนใหญ่มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หายๆ หลังจากที่แพทย์ซักประวัติและวินิจฉัยแล้ว จะแนะนำให้คนไข้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ผ่อนคลายขึ้น, ให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และอาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดในรายที่จำเป็น เช่น ในคนไข้ปวดศีรษะไมเกรน แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนไข้กลุ่มนี้ก็คือ ต้องพยายามสังเกตตัวเองว่าอะไรเป็นสาเหตุหรือเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการปวดศีรษะ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาคนไข้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยปัจจัยที่พบบ่อยก็เช่น เรื่องของอารมณ์, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การทำงานที่เครียดหรือหักโหมจนเกินไป ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ซึ่งคนไข้บางรายสามารถหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์เลยครับ

แต่ความน่ากลัวของอาการปวดศีรษะก็คือการที่มีโรคร้ายแอบแฝงอยู่ นั่นก็คือในคนไข้กลุ่มที่ 2 ที่มีรอยโรคอยู่ในสมองและศีรษะ ซึ่งพบได้ประมาณ 20% ของคนไข้ปวดศีรษะทั้งหมดครับ ดังนั้นการซักประวัติและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างละเอียดแก่แพทย์ จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยและรักษา หากพบว่าคนไข้มีลักษณะอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคร้ายแรงโรคใดโรคหนึ่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วย เช่น ถ้าสงสัยว่ามีภาวะเลือดคั่งในสมองหรือเส้นเลือดในสมองแตก แพทย์จะใช้การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT – 64 Slices), ถ้าสงสัยหลอดเลือดขอดในสมอง และเนื้องอกในสมอง อาจต้องทำการตรวจด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูอย่างละเอียดทั้งในส่วนของสมองและหลอดเลือด ถ้าสงสัยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือมีเลือดออกซึมในชั้นเยื่อหุ้มสมอง อาจต้องมีการเจาะตรวจน้ำไขสันหลังทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจ CT-Scan หรือ MRI-Scan

การตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดดังที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ถูกต้อง และเหมาะสมกับโรคและอาการที่เป็นอยู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนไข้จะต้องรู้จักตัวเองและรู้จักภาวะโรคที่ตนเองเผชิญอยู่ด้วย เพราะถ้าหวังพึ่งแต่แพทย์เพียงอย่างเดียว เชื่อว่าการรักษาคงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรครับ

การดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เหมาะสำหรับคนทุกวัยและทุกโรค เพราะมันช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยให้หลอดเลือดเสื่อมช้าลง อีกทั้งยังทำให้หลับสบาย จิตใจผ่อนคลายขึ้น การศึกษาธรรมะ การมีสติ มีสมาธิ สนใจพิจารณาแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาและประสบการณ์หรือปรึกษานักจิตวิทยา จิตแพทย์ แพทย์ระบบประสาทและสมองก็เป็นหลาย ๆ ทางเลือกที่ควรเลือกใช้ เลือกปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อาการปวดศีรษะไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็สามารถจะบรรเทาและลดน้อยลงไปได้เอง หรือปรับปรุงแก้ไขรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมครับ.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2014, 06:24:10 pm
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่เกี่ยวกับความสวย ความหล่อ ครับ



---------------------------------------------------------------------------

ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”


-http://club.sanook.com/25233/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%AB-


ตามหาสาเหตุของ “ผมหงอก หัวขาว”

ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว
รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สีเส้นผมเกิดจากเม็ดสีซึ่งรากผมสร้างขึ้นมา ทำให้เส้นผมมีสีต่างๆตามพันธุกรรม ถ้าเม็ดสีมีมากและเข้มข้น เส้นผมจะมีสีเข้ม แต่ถ้าเม็ดสีถูกสร้างมาน้อย สีเส้นผมก็จะอ่อน ระดับของเม็ดสีของเส้นผมจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของร่างกาย ธรรมชาติของสีผมมีทั้งสีดำ เช่นคนเอเชีย สีน้ำตาลและสีบลอนด์ เช่น ชาวตะวันตก สีเส้นผมจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม และสีผิวกับสีนัยน์ตา

เส้นผมสีดำนับเป็นสีที่พบมากที่สุดของคนทั่วโลก รองลงมาคือผมสีน้ำตาลซึ่งพบทั่วไปในทวีปยุโรป เส้นผมสีดำโดยทั่วไปมักจะประกอบด้วยเม็ดสีเข้มข้นน้อยกว่าผมสือื่นๆ สีดำของเส้นผมโดยธรรมชาติมีหลายเชดสี ตั้งแต่สีดำจัดคล้ายผงถ่าน ดำอ่อน ดำน้ำตาล จนถึงดำน้ำเงิน

 

ผมสีเทาและผมสีขาว

ผมสีเทาหรือสีขาว ซึ่งมักเรียกกันว่าผมหงอกหรือหัวหงอก ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้นไม่ได้มีสาเหตุจากการสร้างเม็ดสีขาวแทนเม็ดสีดำ แต่เกิดจากการที่รากผมไม่สร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมไม่มีสี กลายเป็นเส้นผมสีขาวหรือเทาเงินเมื่อสะท้อนแสง เส้นผมสีเทาหรือขาวมักเกิดขึ้นเมื่อคนเรามีอายุสูงวัย แต่ก็สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 10 ปี ด้วยต้นเหตุเดียวกันคือรากผมไม่สร้างเม็ดสีให้เส้นผม ทำให้เส้นผมไม่มีสี ในบางกรณีผมสีเทาอาจเกิดได้จากโรคต่อมไทรอยด์ หรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินบี12

จากงานวิจัยปี คศ.2005 ในวารสารการแพทย์พบว่าคนเอเซียจะเริ่มมีผมหงอกหรือผมขาวตั้งแต่อายุปลาย 30 ส่วนฝรั่งหรือชาวตะวันตกจะพบเส้นผมเริ่มขาวตั้งแต่อายุ 35 แต่ชาวอัฟริกัน-อเมริกันจะพบเส้นผมขาวได้ช้ากว่าเมื่ออายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีสีผิวและ เส้นผมเป็นสีเผือกนั้นมีสาเหตุจากเม็ดสีทั่วร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมีน้อยมากนั่นเอง

ความเข้าใจที่ว่าถ้าดึงเส้นผมหงอกออก 1 เส้น ผมหงอกจะงอกขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นความเข้าใจที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

 

ปัจจัยที่มีผลต่อสีผมธรรมชาติ

อายุ เด็กทารกแรกเกิดสีผมจะอ่อน และจะค่อยๆดำเข้มขึ้นตามวัยจนถึงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของสีผมจะเป็นไปโดยธรรมชาติเมื่ออายุเจ้าของสูงวัยขึ้นจนเป็นผมสีเทาหรือสีดอกเลาหรือสีผมหงอก บางคนเกิดมาก็มีผมขาวทั้งหัวซึ่งเป็นไปตามพันธุกรรมก็มี

สาเหตุทางการแพทย์ เช่น คนที่มีปัญหาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด ทำให้เส้นผมด่างขาวเป็นกลุ่มๆ คนที่มีปัญหาร่างกายขาดสารอาหาร มีผลทำให้เส้นผมไม่แข็งแรง ผมเส้นบางและเบา สีผมอ่อนและขาวไวกว่าอายุ เส้นผมที่ดำขำอาจเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลแดงคล้ายกากมะพร้าวเนื่องจากรากผมไม่สามารถผลิตเม็ดสีได้ปกติ หากร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและแข็งแรง สภาพเส้นผมจะกลับคืนมีชีวิตชีวาได้ในกรณีนี้ อีกกรณี เช่น คนที่มีปัญหาโรคโลหิตจางหรือซีด อาจมีผลทำให้เกิดเส้นผมขาวหรือหงอกได้เร็วเพราะรากผมขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหรือไม่เพียงพอ นอกจากนี้ทางการแพทย์ยังมีข้อสังเกตุว่า คนที่มีอายุระหว่าง 50-70 ปี และมีเส้นผมขาวแต่มีขนคิ้วดำ มีสถิติว่าจะมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับคนวัยเดียวกันที่มีผมขาวและขนคิ้วสีขาวไปด้วยกัน

 

ปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น

คนที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มของผมขาวเร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

ผมขาวบางครั้งอาจค่อยๆดำขึ้นเมื่อร่างกายมีอาการอักเสบและกินยาบางชนิดร่วมด้วยซึ่งเป็นปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่อยารักษา

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตชั่วคราวและผมร่วงเป็นกระจุก อาจทำให้เห็นผมหงอกได้เร็วเสมือนหนึ่งเผมหงอกชั่วข้ามคืน

เมื่อคนเราอายุ 30 เส้นผมจะหงอกขาวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ทุกๆ 10 ปี

คนที่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายพักผ่อนน้อย รวมทั้งการรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ ทำให้การเจริญเติบโตของรากผมไม่แข็งแรง นอกจากเส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายแล้ว การสร้างเม็ดสีก็ลดน้อยลง ทำให้เส้นผมขาว

เป็นที่น่าเสียใจที่ไม่พบว่ามีอาหารชนิดพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออาหารเสริมพิเศษชนิดใด รวมทั้งไม่พบหลักฐานทางการแพทย์ว่าโปรตีนเสริมหรือวิตามินใดๆที่สามารถเสริมเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดผมสีขาวหรือผมหงอกได้

 

คุณค่าอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์บำรุงให้เส้นผมแข็งแรง เช่น

วิตามินเอ จำเป็นต่อสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผมที่แข็งแรง พบทั่วไปในผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สีผมและสีหลือง

วิตามินบี ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำมันธรรมชาติเพื่อหล่อลื่นเส้นผมให้เงางามและชุ่มชื้น พบในผักใบเขียว มะเขือเทศ กล้วย โยเกริต และธัญพืช

แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ช่วยบำรุงให้เส้นผมแข็งแรง ได้จากแหล่งอาหาร เช่น เนื้อแดง เนื้อไก่ ไข่แดง อาหารทะเล และธัญพืช

โปรตีน ช่วยบำรุงให้เส้นผมเงางามและมีความยืดหยุ่นดี ไม่ขาดตอน พบทั่วไปในเนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ ฯลฯ

 

Credit : ผมหงอก … หัวหงอก … ผมขาว มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชศาสตร์
ภาพประกอบจาก : www.Photos.com (http://www.Photos.com)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2014, 02:20:22 am
เตือนผู้ป่วยโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยง-ลดปริมาณการใช้ธูป

-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU1qWXdOVGMyT1E9PQ==&subcatid=-

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนชาวไทย จะร่วมทำบุญตักบาตรและจุดธูปเวียนเทียน นอกจากความอิ่มใจจากการร่วมกันทำบุญตักบาตร แต่ยังมีภัยเงียบที่แฝงมากับการจุดธูปที่ควรต้องระมัดระวังด้วย จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานกรรมการทุนวิจัย วัณโรคดื้อยา ศิริราชมูลนิธิ หัวหน้าแผนกไอซียู โรงพยาลวิชัยยุทธ ระบุว่า ธูปเป็นเครื่องหอมที่ทำจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ไม้หอม ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมก็จะพอกอยู่บนก้านไม้ ธูปมีหลายรูปหลายขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มาก เผาไหม้หมดในเวลา 20 นาที ถึง 3 วัน 3 คืน ซึ่งในประเทศไทย ในการบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ บางคนต้องจุดธูปถึง 9 ดอก

ทั้งนี้ การจุดธูป จะเกิดการเผาไหม้และปล่อยสารพิษ ฝุ่นละอองขนาดเล็กต่างๆ มากมาย ตลอดจนสารก่อมะเร็งต่างๆ เช่น ฟอร์มาลีไฮด์ เบซีน และบิวทาไดอีน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในควันธูป ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบเลือด และมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่ต้องอยู่กับควันธูปเป็นระยะเวลานานมีความเสี่ยงต่อการได้รับมลพิษ และการเกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคมะเร็ง อีกด้วย

นพ.อนุชากล่าวต่อว่า ผู้ที่มีอาการของการเป็นโรคปอด หรือโรคหอบหืด หรือมีอาการเจ็บป่วยจากทางเดินหายใจ ควรงดการใช้ธูป หรือถ้าจะใช้ก็ควรลดปริมาณของธูปลง ทั้งนี้ หากเราพบเห็นผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการกำเริบ เช่นหายใจติดขัดให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 พร้อมทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในลำดับต่อไป
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2014, 05:36:26 am
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม



-----------------------------------------------------------


พยาธิในช่องคลอด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 กุมภาพันธ์ 2557 01:12 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000022336-



อ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา
       ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
       
       โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้น้อยลงในปัจจุบัน แต่สามารถทำให้เกิดอาการแสบคันในช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะที่ค่อนข้างรุนแรง

   
พยาธิในช่องคลอด
       สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อ Trichomonas vaginalis ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงเม็ดเลือดขาว เชื้อนี้มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เกิดการระคายเคืองมาก สามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและน้ำในช่องคลอด จึงถ่ายทอดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ไม่ติดต่อโดยการกอดจูบหรือมีเพศสัมพันธ์โดยใช้มือหรือนิ้วช่วย รวมถึงการใช้ห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัว สระว่ายน้ำ จนถึงแก้วน้ำ จาน ชามร่วมกันก็ไม่ติดต่อค่ะ
       
       ในเรื่องอาการ พบว่าผู้ชายมักไม่แสดงอาการ ในขณะที่ผู้หญิง อาการจะค่อนข้างชัดเจน มีตกขาวออกมากและมีสีเหลืองหรือเขียว แสบเวลาปัสสาวะ คันในช่องคลอด ส่วนผู้ชาย จะมีมูกใสออกจากท่อปัสสาวะ ซึ่งไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แสบเวลาปัสสาวะ ปวดที่อัณฑะ และอาจมีการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาติ แต่อาการอย่างหลังพบได้น้อย
       
       หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวมา หรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ควรมารับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านท่าน ซึ่งแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน โดยนำตกขาวไปตรวจ รวมถึงตรวจมะเร็งปากมดลูก และหากพบว่าติดเชื้อ ก็ควรตรวจเลือดเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซิฟิลิส พร้อมกับเก็บสิ่งส่งตรวจทุกส่วนของร่างกายที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ เช่น ตรวจหาเชื้อในคอ หรือตรวจทางทวารหนัก
       
       อย่างไรก็ดี ไม่มีการตรวจใดให้ผล 100 % ดังนั้น หากท่านยังคงมีอาการอยู่ ทั้งที่ผลการตรวจทุกอย่างเป็นลบ แนะนำให้มาตรวจติดตามเพื่อประเมินซ้ำอีกครั้ง ในทางกลับกัน หากท่านไม่มีอาการแต่ผลการตรวจเป็นบวก เนื่องจากคู่ของท่านติดเชื้อ แนะนำให้ท่านรับการรักษาไปพร้อม ๆ กัน
       
       ทั้งนี้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยเร็วที่สุด เพื่อลดการแพร่เชื้อ ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังเริ่มการรักษา แต่มีข้อห้ามคือ ในระหว่างการรักษาห้ามดื่มแอลกอฮอล์
       
       โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคที่รักษาได้ง่ายและหายขาด แต่อาจกลับเป็นซ้ำได้ ไม่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก -ไม่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และจะมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เมื่อเป็นโรคนี้ในระหว่างตั้งครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ แต่จะไม่มีการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารก
       

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2014, 07:02:48 am
ระวัง! 5 สารพิษ ภัยไร้สายที่คุณไม่รู้


-http://ch3.sanook.com/12573/it-24-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-


IT 24 ชม. อันตรายจากแบตฯเสื่อม และวิธีป้องกัน

การใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันนอกจากจะตอบสนองต่อความเร่งรีบในชีวิตประจำวันแล้ว ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการเสี่ยงอันตรายที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพ เพราะไม่ว่าการใช้มือถือ แท็บเล็ต โน็ตบุ๊ค ผู้ใช้งานก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งเจ้าแบตเตอรี่นี่แหละเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ใช้งาน หากตัวแบตไม่อยู่ในสภาพที่ปกติ หรือมีอาการแบตเสื่อมนั่นเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ที่เราใช้นี้อยู่ไม่ได้กำลังทำลายสุขภาพที่ดีของเรา?

น.พ. สิทธา ลิขิตนุกูล หรือหมอกอล์ฟ แพทย์เวชปฎิบัติศูนย์บริการสาธารณสุข14 ได้ให้คำแนะนำว่าผู้ใช้งานจะต้องเป็นผู้หมั่นคอยตรวจสอบอุปกรณ์ในมือด้วยตนเอง เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อต่อสุขภาพ โดยมีวิธีตรวจสอบเบื้องต้นดังนี้

1. อุปกรณ์ไม่สามารถชาร์ตไฟได้เต็ม

2. เมื่อชาร์ตแบตเตอรี่ไปได้ไม่นาน แล้วเกิดอาการร้อนที่ผิดปกติ

3. เมื่อนำแบตเตอรี่มาทดลองหมุนบนพื้นโต๊ะ แล้วสามารถหมุนได้แสดงว่าแบตเกิดอาการบวม นูน เป็นที่ชัดเจนเลยว่าแบตเสื่อมแล้ว

4. หากแบตเตอรี่บวมแล้วมีน้ำซึมออกมา หรือมีสนิมสารเคมีมาเกาะ แสดงว่าแบตเสื่อมจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ให้รีบก็เปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที

คุณหมอกอล์ฟยังบอกอีกว่า เพราะว่าในแบตเตอรี่ มีสารเคมีมากมายเป็นส่วนประกอบ หากมันไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปรกติ เราอาจจะเสี่ยงต่อพิษของสารเคมีต่างๆได้ดังนี้

1. แคดเมียม ซึ่งหากสะสมในร่างกายในปริมาณถึงระดับหนึ่งก็จะก่อให้เกิดโรคไตวายได้ และเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งโดยการสูดดม

2. ตะกั่ว เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางระบบย่อยอาหาร ไต โลหิต หัวใจ การพัฒนาของทารกในครรภ์

3. ลิเธียม ก่อให้เกิดการการระเคืองต่อจมูก ลำคอ ทำให้หายใจติดขัดถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีฤทธิ์ กัดกร่อนทำให้เกิดอาการ เจ็บคอ ปวดท้องและอาเจียนได้ ถ้าเข้าตาจะทำให้เกิดการระคายเคืองและอาจทำให้ตาบอด

4. ทองแดง ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ และเป็นอันตรายหากกลืนกิน

5. นิเกิล เป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการหอบหืด หลอดลมอักเสบ หายใจติดขัดและทำให้ผิวหนัง อักเสบ และถ้ากลืนหรือกินเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ซึ่งการตรวจหาสารพิษต่างๆในร่างกาย สามารถตรวจได้ตั้งแต่การตรวจร่างกายภายนอก จนถึงการตรวจหาสารพิษทางโลหิตวิทยา แต่ทางที่ดีผู้ใช้งานก็ควรใช้อุปกรณ์ในมืออย่างระมัดระวัง นอกจากสามารถอำนวยความสะดวกได้แล้ว ก็ต้องมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆกัน อย่าให้ถึงขนาดใช้ไปป่วยไป หรือใช้เทคโนโลยีแล้วต้องใช้เงินเพิ่มเติมในการรักษาตัวเอง



http://ch3.sanook.com/12573/it-24-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD (http://ch3.sanook.com/12573/it-24-%E0%B8%8A%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 02, 2014, 08:32:39 pm
โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือระบบประสาท ที่ทางการแพทย์เรียกว่าโรคทางประสาทวิทยานั้น มีหลายโรคด้วยกันครับ แต่โรคที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือดสมอง”
วันอาทิตย์ 2 มีนาคม 2557 เวลา 00:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/219684/%E2%80%98%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E2%80%99+%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2+-+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-


เมื่อพูดถึงศูนย์บัญชาการที่ทำให้ร่างกายของเราสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ทุกคนคงนึกถึง “สมอง” เป็นอันดับแรก ใช่แล้วครับ “สมอง” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องวัดว่าใครมีไอคิวดีหรือมีความฉลาดมาก-น้อยแค่ไหนเท่านั้น แต่สมองยังเป็นแหล่งรวมของระบบและกระแสประสาทที่จะส่งสัญญาณไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาหรือโรคบางอย่างขึ้นกับสมอง แน่นอนว่ามันย่อมส่งผลกระทบถึงส่วนอื่น ๆ ในร่างกายด้วย

โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือระบบประสาท ที่ทางการแพทย์เรียกว่าโรคทางประสาทวิทยานั้น มีหลายโรคด้วยกันครับ แต่โรคที่เป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งคือ “โรคหลอดเลือดสมอง” เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของทั้งคนไทยและทั่วโลก แต่อีกหนึ่งโรคที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แม้จะไม่ได้เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต แต่นับเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลงไปอย่างมาก นั่นก็คือ “โรคลมชัก”

หลายครั้งที่มีผู้ป่วยโรคลมชัก รวมถึงญาติผู้ป่วย มาถามผมว่า โรคลมชักคืออะไร? เป็นโรคทางกายหรือโรคทางจิต? ผมก็อธิบายว่า ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างอาการชักและโรคลมชัก...อาการชัก (Seizure) หมายถึง ภาวะที่มีไฟฟ้าผิดปกติวิ่งผ่านเนื้อสมอง ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการชักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อาการเกร็งกระตุก ซึ่งอาการชักในบางรูปแบบอาจไม่ใช่โรคลมชักก็เป็นได้ ส่วนคำว่า โรคลมชัก (Epilepsy) หมายถึง อาการชักที่เกิดขึ้นซํ้า ๆ โดยที่ไม่มีสิ่งมากระตุ้น โดยลักษณะของผู้ที่เป็นโรคลมชักจะแสดงอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้คนตามต่างจังหวัดจึงมักเรียกติดปากว่า “โรคลมบ้าหมู”

โรคลมชักนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยครับ โดยสาเหตุของโรคที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ เกิดจากการมีแผลเป็นในสมอง ซึ่งแผลเป็นที่ว่านี้อาจจะเกิดขึ้นในวัยเด็ก เช่น มีไข้สูงแล้วเกิดอาการชัก หรือมีสมองอักเสบ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ตำแหน่งในการอักเสบก็พัฒนากลายเป็นแผลเป็นและเป็นสาเหตุของโรคลมชักได้ นอกจากนี้การผ่าตัดสมองก็เป็นสาเหตุของโรคลมชักได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมอง, มีเลือดออกในสมอง หรือประสบอุบัติเหตุที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง ซึ่งภายหลังการผ่าตัดอาจมีแผลเป็นที่สมองและเกิดอาการชักตามมาได้

โรคลมชักทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยแย่ลง เพราะการชักแต่ละครั้งจะมีเซลล์สมองตายไปทุกครั้ง ทำให้ความจำ, ความรู้เชิงบริหารและเชิงธุรกิจต่าง ๆ นั้นค่อย ๆ ลดลง รวมถึงการชักอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น เกิดอาการชักขณะขับรถ เป็นเหตุให้รถชน หรือเกิดการชักในขณะว่ายน้ำ ขึ้นต้นไม้ เล่นกีฬา หรือปีนหน้าผา เป็นต้น

และดังที่ผมกล่าวไปข้างต้นว่าอาการชักบางอย่าง อาจไม่ใช่โรคลมชักก็เป็นได้ ดังนั้นการจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติ รวมถึงผู้พบเห็นเหตุการณ์ ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นคือโรคลมชักหรืออย่างอื่น เพราะหลายครั้งที่พบว่าอาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือดก็ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายโรคลมชักได้เช่นเดียวกัน จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย และตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองในผู้ป่วยที่สงสัย เพื่อเป็นการตรวจวัดว่ามีตำแหน่งของไฟฟ้าที่ผิดปกติอยู่ในสมองส่วนไหนบ้าง ซึ่งจะเป็นการยืนยันการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง

’สำหรับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ลักษณะก็คล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจครับ เพียงแต่ตำแหน่งที่เราตรวจคือเราจะวางขั้วไฟฟ้าบนหนังศีรษะแทนที่จะเป็นหน้าอกเหมือนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ใช้เวลาการตรวจประมาณ 30 นาที ซึ่งข้อมูลที่จะได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง นอกจากจะบอกได้ว่ามีส่วนใดของสมองที่มีไฟฟ้าเกินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคลมชักแล้ว ก็ยังสามารถบอกได้ว่ามีตำแหน่งใดของสมองที่ทำงานไม่ปกติ นอกจากนี้อาจใช้การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กหรือ MRI สมองร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพของโครงสร้างทั้งสมองว่ามีส่วนใดที่ผิดปกติไปหรือไม่ มีแผลเป็นหรือเนื้องอกเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นประโยชน์มากต่อการวาง แผนการรักษาครับ”

เมื่อวินิจฉัยจนทราบแน่ชัดแล้วว่าเป็นโรคลมชักจริง โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาเริ่มให้การรักษาด้วย “ยากันชัก” เป็นอันดับแรก โดยมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด ซึ่งในจำนวนผู้ป่วยโรคลมชักที่ได้รับยาทั้งหมด จะมีประมาณ 1% ที่ยากันชักได้ผลและสามารถหยุดยากันชักได้ หลังรับประทานติดต่อกันมาประมาณ 2 ปี, มีผู้ป่วยอีก 2 ใน 3 ที่ยากันชักสามารถควบคุมอาการได้ แต่ผู้ป่วยต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต เมื่อใดหยุดยา อาการชักก็จะกลับมาอีก, ส่วนผู้ป่วยอีก 1 ใน 3 ที่ไม่ตอบสนองกับยากันชัก แพทย์จึงจำเป็นต้องไปพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การผ่าตัด หรือการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า

สำหรับการผ่าตัดนั้น แพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยโรคลมชักรายใดเหมาะสมได้รับการผ่าตัด โดยดูจาก ความเข้ากันได้ของอาการ คืออาการชักในแต่ละแบบจะมีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ของสมอง เช่น ถ้าคนไข้มาด้วยอาการชักที่เหมือนกับตำแหน่ง A, ในการตรวจร่างกายแพทย์พบอาการเหมือนกับตำแหน่ง A, การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองในขณะที่คนไข้กำลังชัก พบว่าออกมาจากตำแหน่ง A อีกทั้งการตรวจ MRI ก็พบความผิดปกติ

ตรงตำแหน่ง A ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าเราสามารถผ่าตัดแก้ไขปัญหาตรงจุดดังกล่าวได้ ซึ่งการผ่าตัดมี 2 แบบคือ

1.การผ่าตัดเอาเนื้อสมองส่วนที่มีปัญหาออกไปบางส่วน หรือในผู้ป่วยบางรายอาจมีการผ่าตัดเอาเนื้อสมองออกไปจำนวนมาก ในกรณีนี้มีการศึกษาติดตามผลพบว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะสามารถควบคุมอาการชักได้ ส่วนเรื่องความจำหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสมองนั้น ต้องอธิบายว่า ก่อนที่แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาสมองบางส่วนออกนั้น จะมีการพิสูจน์ทราบก่อนว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ถ้าพบว่ามีความเสี่ยงที่สมองจะเสียหาย ก็จะยังไม่พิจารณาผ่าตัดให้คนไข้

2.การผ่าตัดเพื่อลดการกระจายของไฟฟ้าของสมองซีกซ้าย–ขวา ผู้ป่วยบางราย การชักเกิดจากหลายจุดในสมอง ซ้ายบ้าง-ขวาบ้าง ไม่สามารถจับจุดได้ชัดเจน เมื่อมีอาการชัก ผู้ป่วยเสี่ยงที่จะล้มศีรษะฟาดพื้น แพทย์จะใช้การผ่าตัดโดยเปิดแผลเล็ก ๆ ระหว่างสมองทั้งสองข้าง แล้วเข้าไปตัดส่วนไฟเบอร์ที่เชื่อมกันระหว่างสมองสองข้าง ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าเดินช้ากว่าเดิม คนไข้ยังคงมีอาการชักได้อยู่ แต่คนไข้จะรู้ตัว โอกาสที่จะล้มศีรษะฟาดจึงลดลง

นอกจากการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดแล้ว ปัจจุบันยังสามารถรักษาโรคลมชักได้ด้วยการฝังเครื่องมือชนิดหนึ่งเข้าไปที่หน้าอก คล้ายกับเครื่องกระตุ้นหัวใจ แล้วจะมีลวดพันขึ้นไปที่เส้นประสาทบริเวณคอ เมื่อใดที่ผู้ป่วยมีอาการชัก เราก็จะมีเครื่องมือให้นาบลงไปบริเวณหน้าอกส่วนที่ฝังเครื่องมือไว้ แล้วเครื่องนี้จะปล่อยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำ ๆ ไปที่เส้นประสาท เพื่อไปช่วยหยุดอาการชักที่เกิดขึ้นได้ ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางการแพทย์

อย่างไรก็ตาม โรคลมชักก็ยังคงเป็นโรคที่มีอนาคตในการรักษาอยู่ครับ ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยการทานยาจะต้องทานไปตลอดชีวิตในคนไข้ส่วนใหญ่ หรือบางรายอาจต้องทำการผ่าตัด แต่เมื่อทำการผ่าตัดบนพื้นฐานของการวินิจฉัยที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว การผ่าตัดก็มีโอกาสประสบผลสำเร็จมากขึ้น โอกาสที่ผู้ป่วยจะหายขาดก็มีมากขึ้น

สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณข้อมูลความรู้เพิ่มเติมจาก พญ.กาญจนา อั๋นวงศ์ อายุรแพทย์ทางด้านระบบประสาท และนพ.กุลพัฒน์ วีรสาร ศัลยแพทย์ระบบประสาท จากสถาบันประสาทวิทยา กระทรวงสาธารณสุข.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 08, 2014, 07:18:19 am
6 โรคร้ายคืนชีพระบาดซ้ำปี 57 ที่คนไทยยังไม่รู้!


-http://ch3.sanook.com/13196/6-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9B-


ครอบครัวข่าวเช้า 6 โรคร้ายระบาดซ้ำในปี 57

รายการครอบครัวข่าวเช้า ช่อง 3 รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.57 นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุม DDC Forum เรื่อง “การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพ ปี 2557” ว่า การพยากรณ์โรคเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ของโรคภัยที่อาจเกิดกับประชาชน ซึ่งเป็นการติดตามความเปลี่ยนแปลงของโรคและภัยสุขภาพ เพื่อเตรียมรับมือล่วงหน้า ด้วยการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม รวมทั้งสื่อสารความเสี่ยงเตือนภัยการระบาดของโรคแก่ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปี 2557 นี้ มีโรคที่น่าจับตามอง และจะมีแนวโน้มของจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จำนวน 6 โรค ได้แก่

1. โรคสุกใส

คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 58,000-71,000 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับปี 2556 ทั้งนี้ โดยในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยสูงสุดอยู่ในช่วง ม.ค. ก.พ. และ มี.ค. และเกิดในกลุ่มคนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งสาเหตุของการไม่มีภูมิคุ้มกัน ได้แก่ 1) ประชากรไม่คงที่ มีการเกิด การตาย การย้ายถิ่น 2) กลุ่มคนไม่เคยเป็นโรคสุกใสมาก่อนทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกัน 3) การที่คนไม่ได้รับวัคซีนสุกใส เพราะไม่ได้อยู่ในตารางเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของกระทรวงสาธารณสุข และ 4) ฤดูกาล ทำให้ระยะการถ่ายทอดโรคยาวนานขึ้น เช่น ฤดูหนาว ทำให้ไวรัสมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น จึงโอกาสถ่ายทอดโรคได้มากขึ้น

2. โรคไข้สมองอักเสบ

คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 680–830 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2556 เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าปี 2547-2549 มีอัตราป่วยคงที่ แต่ในช่วงปี 2550-2555 อัตราป่วยกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือปี 2555 ในเดือน มิ.ย. และในปี 2556 เดือน ม.ค.

3. โรคไข้กาฬหลังแอ่น

คาดว่าจะมีผู้ป่วยในปี 2557 ประมาณ 14-17 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยโรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์ค่อนข้างต่ำ พบผู้ป่วยตลอดทั้งปี และทุกภาคทั่วประเทศ จำนวนผู้ป่วยจะกระจายเดือนละประมาณ 1-3 ราย ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือ ปี 2547 มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 50 ราย และ ปี 2549 มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 35 ราย

4. โรคอหิวาตกโรค

คาดว่าในปี 2557 ถ้าไม่มีการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่ดี และน่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 3.8 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 280-340 รายในปี 2557 เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังพบว่า มีการระบาดใหญ่ใน จ.ภูเก็ต และสงขลา ปี 2550 ในเดือน ต.ค. มีการระบาดในศูนย์อพยพ จ.ตาก ปี 2553 ในเดือน มิ.ย. และมีการระบาดใหญ่ใน จ.ตากและปัตตานี โดยสถานการณ์ของอหิวาตกโรค ตั้งแต่ปี 2547 มีลักษณะการระบาดปีเว้นสองปี

5. โรคไทฟอยด์

คาดว่าจำนวนผู้ป่วยในปี 2557 น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 2,700-3,300 รายในปี 2557 ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้

6. โรคไวรัสตับอักเสบ เอ

คาดว่าจำนวนผู้ป่วยในปี 2557 น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปี 2556 โดยจะมีผู้ป่วยประมาณ 430-520 รายในปี 2557 ปีที่พบผู้ป่วยมากกว่าค่าปกติที่คาดการณ์ไว้ คือ ปี 2548 เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังพบว่าในเดือน พ.ค. มีการระบาดมากที่สุด 1,447 ราย และในเดือน มิ.ย. 299 ราย ปี 2555 มีการระบาดเกิดในโรงงานอุตสาหกรรมและในสถานประกอบการหลายแห่ง ส่วนสาเหตุมาจากกลุ่มผู้ป่วยมักดื่มสุรา รับประทานอาหารเย็นและใช้แก้วน้ำร่วมกัน ส่วนอีกเหตุการณ์คือ การระบาดในทุกอำเภอ จ.บึงกาฬ โดยเกิดจากการบริโภคน้ำแข็งจากบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.บึงกาฬ

กรมควบคุมโรค เปิดสายด่วนเพื่อให้ประชาชนโทรศัพท์มาสอบถามว่ามีอาการเข้าข่าย 6 โรคร้ายนี้หรือไม่ เพื่อช่วยเหลือและป้องกันการเกิดโรคได้ทันท่วงที โทร 02-590-3183 หรือ 1422


--------------------------------------------------------------------

กลิ่นเท้าแรง มีวิธีแก้

-http://guru.sanook.com/9616/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89/-


เรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย   คุณเคยได้กลิ่นเหม็นอบอวน ชวนอาเจียนโชยมาในห้องเรียน,ออฟฟิศ หรือที่ต่างๆบ้างไหม แล้วคุณคิดว่ากลิ่นมันมาจากไหน เจ้าของกลิ่นจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายคนรอบข้างอยู่ แน่นอนเข้าคงไม่รู้ตัวหรอก เพราะถ้าเขารู้เขาคงไม่ถอดรองเท้าออกปล่อยกลิ่นขนาดนั้น หรือไม่กลิ่นอาจจะมาจากเท้าของคุณเองก็ได้ ไม่เชื่อลองแอบยกมาดมดูสิ "กลิ่นเท้า" เกิดจากการหมักหมมของแบคทีเรียของรองเท้า ทำให้เกิดกลิ่นมักจะเกิดกับคนที่มีเหงื่อออกเท้ามาก แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เพียงรักษาความสะอาดซักนิดนอกจากเท้าของคุณจะปราศจากกลิ่นแล้วเท้าของคุณก็จะไม่หยาบกร้าน ส้นเท้าแตก แก่ก่อนวัย
วิธีดูแล1. ทำความสะอาดเท้าด้วยการล้างน้ำอุณภูมิปกติ2. ผสมน้ำอุ่นกับสบู่ แช่เท้าลงไปประมาณ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกไปได้ง่าย3. จากนั้นขัดเท้าและซอกนิ้วด้วยที่ขัดเท้า ขัดเป็นวงกลมนวดไปให้ทั่วโดยเน้นเฉพาะส่วนที่หยาบ หนากว่าส่วนอื่น4. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิปรกติเพื่อปิดรูขุมขน แล้วเช็ดออกด้วยผ้า5. ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้าโดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำสัปดาห์ละครั้ง นอกจากจะได้เท้าสะอาดไร้กลิ่นยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อีกทางด้วย



ข้อมูลและรูปภาพจาก : ความรู้รอบตัว.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2014, 06:03:31 am
ตาปลาเกิดจากอะไร วิธีรักษาตาปลาให้หาย

-http://health.kapook.com/view48.html-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตาปลาเกิดจากอะไร รักษาตาปลาแบบไหนได้ผล ไม่เจ็บตาปลาที่เท้าอีก ข้อมูลต่อไปนี้ช่วยคุณได้จ้า

          อูยยย..เจ็บตาปลาที่เท้าจังเลย ใส่รองเท้าก็เดินลำบาก ถ้าใครไม่เคยเป็นคงไม่รู้หรอกว่าทรมานแค่ไหน แบบนี้ต้องรีบหาวิธีรักษาตาปลาเสียแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นตาปลา ก็น่าจะรู้ข้อมูลไว้บ้าง จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้ทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดตาปลาไงเนอะ


ตาปลาคืออะไร

          พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า "ตาปลา" ก็คือก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรังเป็นเวลานานนั่นเอง เราจึงพบตาปลาเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ที่บริเวณฝ่าเท้า เพราะเป็นส่วนที่แบกรับน้ำหนักตัวของเราตลอดเวลา

          ทั้งนี้ ตาปลามีด้วยกัน 2 ชนิด คือ "ตาปลาชนิดขอบแข็ง" มักขึ้นตามข้อพับ ส้นเท้า ฝ่าเท้า บริเวณที่ถูกกระแทก หรือเสียดสีบ่อย ๆ กับ "ตาปลาชนิดอ่อน" มักขึ้นตามง่ามนิ้วเท้า


ตาปลาเกิดจากอะไร

          แล้วทำไมการที่ผิวหนังเสียดสีกันนาน ๆ ถึงทำให้เกิดตุ่มตาปลาได้ล่ะ ? เรื่องนี้อธิบายได้ง่าย ๆ ว่า ผิวหนังของคนเรานั้นมีทั้งส่วนที่เป็นหนังกำพร้าและหนังแท้ ซึ่งมีสารเชื่อมให้ทั้งสองชั้นเกาะติดกัน แต่ถ้าผิวหนังถูกเสียดสีอย่างรุนแรง จะทำให้ผิวหนังกำพร้าแยกออกมาเป็นตุ่มพอง ๆ และถ้ายิ่งเสียดสีไปนาน ๆ เข้า จะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนาขึ้นจนมีลักษณะแข็ง ๆ เป็นก้อนแหลม ๆ คล้ายลิ่ม พอกดเข้าไปตรงบริเวณตุ่มน้ำใส ๆ ก็จะรู้สึกเจ็บ

          แล้วรู้ไหมว่าตาปลาไม่ได้เกิดเฉพาะที่ฝ่าเท้าอย่างที่พบกันบ่อย ๆ เท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดได้ระหว่างซอกนิ้วเท้า ที่กระดูกนิ้วเสียดสีกัน หรือด้านบนของหลังเท้า ที่เกิดจากการสวมรองเท้าหัวแบนบ่อย ๆ ทำให้ผิวหนังส่วนนั้นเสียดสีกับรองเท้า สรุปได้ว่า ตาปลาเกิดจากแรงเสียดสีของผิวหนังนั่นเอง ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อใด ๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน


อาการของตาปลา

          ถ้าเป็นตาปลาขึ้นมาล่ะก็สิ่งแรกที่เราจะรู้สึกได้ก็คือความเจ็บปวดนี่แหละ เห็นตุ่มแข็ง ๆ เม็ดเล็กนิดเดียว ก็ทำให้เจ็บจี๊ดได้เลยนะ โดยเฉพาะถ้าตาปลามีขนาดใหญ่ แล้วเราต้องไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้ฝ่าเท้ารับน้ำหนักมาก เช่น วิ่ง เดินนาน ๆ ยืนนาน ๆ หรือคนที่เป็นตาปลามีน้ำหนักมาก ก็ยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้น เพราะก้อนแข็ง ๆ นี้จะยิ่งถูกกดให้ลึกเข้าไปในผิวหนัง บางทีไปกดทับกระดูกหรือเส้นประสาทเข้าอีก แบบนี้ต้องรีบหาวิธีรักษาเลย


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Ache-Pain/Foot/cornonfoot.jpg)

ตาปลา


ตาปลากับหูดต่างกันตรงไหน

          หลายคนเห็นก้อนไตแข็ง ๆ ขึ้นมาที่เท้า ไม่แน่ใจว่าเป็นหูดหรือตาปลา ให้ตรวจดูแบบนี้ว่า ถ้าเป็นหูด ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสฮิวแมน เพ็ปพิลโลมาไวรัส (Human papillomavirus) หรือเชื้อ HPV ไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้แบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า มักจะเกิดขึ้นกับเท้าเดียว และจะรู้สึกเจ็บมากถ้าบีบก้อนด้านข้างเข้าหากัน เมื่อปาดผิวตุ่มนั้นออกดูจะเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น ถ้าตัดลึกลงไปอีกจะมีเลือดออก เพราะมีเลือดมาเลี้ยงเซลล์ผิวหนังตรงส่วนนี้ด้วย

          แต่ถ้าเป็นตาปลาบีบด้านข้างจะไม่เจ็บ จะเจ็บก็ต่อเมื่อกดลงไปในตุ่ม และในตุ่มนั้นจะไม่มีเลือดออก เพราะเป็นเพียงผิวหนังที่ขี้ไคลหนาขึ้นจากการกดทับและเสียดสีเป็นเวลานานเท่านั้น


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Ache-Pain/Foot/hood.jpg)

หูด


วิธีรักษาตาปลาที่เท้า

          การรักษาตาปลาให้ได้ผลนั้นมีอยู่หลายวิธีที่ขอนำเสนอก็คือ

          1. ใช้พลาสเตอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก 40% ปิดส่วนที่เป็นตาปลาทิ้งไว้ 2-3 วัน จากนั้นค่อยแกะพลาสเตอร์ออก แล้วแช่เท้าในน้ำอุ่นเพื่อให้ผิวหนังตรงฝ่าเท้านิ่มลง จะช่วยทำให้ตาปลาหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าตาปลาหลุดลอกออกไปยังไม่หมด ก็ให้แปะพลาสเตอร์ซ้ำ แล้วกลับมาแช่น้ำอุ่นอีกครั้ง

          2. ใช้ยาแอสไพริน (แต่ไม่ได้ให้ทานนะ) โดยในแอสไพรินก็มีกรดซาลิไซลิกเช่นกัน ก็ช่วยกัดตาปลาได้ (แต่คุณต้องมั่นใจด้วยว่าตัวเองไม่แพ้ยาแอสไพริน) วิธีใช้ก็คือ นำแอสไพริน 5 เม็ดมาบดเป็นผง แล้วผสมกับน้ำมะนาว 12 ช้อนชา และน้ำเปล่าอีก 12 ช้อนชา จากนั้นนำมาป้ายตรงตาปลา แล้วใช้พลาสติกมาห่อไว้ ตบท้ายด้วยการพันผ้าขนหนูอุ่น ๆ ทับอีกชั้นหนึ่ง ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วถอดออก แล้วใช้หินมาขัดเบา ๆ จะช่วยให้ตาปลาลอกออกมา

          3. ทายากัดตาปลาหรือหูด วันละ 1-2 ครั้ง หรือจนกว่าตาปลาจะหลุดออกไปหมด โดยมีคำแนะนำคือ ก่อนทายาให้แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนสัก 15-20 นาที เพื่อให้ผิวหนังนิ่มขึ้น แล้วใช้ผ้าขนหนูมาถูตรงตาปลาเพื่อลอกขุยออก จากนั้นอาจใช้วาสลินหรือน้ำมันมะกอกมาทาผิวรอบ ๆ ตาปลา เพื่อที่ผิวบริเวณนั้นจะได้ไม่ถูกตัวยาไปกัดผิวหนัง แล้วค่อยแต้มยาลงบนตาปลา

          4. ผ่าตัดหรือใช้เลเซอร์จี้ตาปลาออก เป็นอีกวิธีที่สะดวกรวดเร็ว แต่ก็อาจทิ้งแผลเป็นไว้ และที่สำคัญคือค่ารักษาแพงกว่าวิธีอื่น ๆ แต่วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่เป็นตาปลาเพราะเกิดจากความผิดปกติของกระดูกที่ทำให้กระดูกเสียดสีกัน
     
          ส่วนใครที่เคยได้ยินคนแนะนำให้เอาธูปจี้ตาปลา หรือใช้ของมีคมเฉือนตาปลาออก ข้อเตือนไว้ตรงนี้เลยค่ะว่าเป็นวิธีที่อันตรายมาก เพราะนอกจากอาจไม่ได้ช่วยให้ตาปลาหายแล้ว ยังทำให้เกิดแผลอักเสบติดเชื้อตามมาเป็นของแถม แบบนี้ไม่ไหวแน่



ป้องกันตาปลาที่เท้าง่าย ๆ แค่เลือกรองเท้าให้เหมาะ

          ก่อนจะเป็นตาปลาที่เท้า หรือรักษาตาปลาหายไปแล้วไม่อยากกลับมาเป็นซ้ำอีกรอบ ก็ต้องรู้จักเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับตัวเอง ตามนี้เลย

          1. เลือกใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า ไม่คับเกินไป หรือหลวมเกินไป เพราะไม่ว่ารองเท้าจะคับหรือหลวมก็ทำให้นิ้วเท้าเสียดสีกัน

          2. หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง รองเท้าหัวแหลม รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างกระดูกเท้า รองเท้าพวกนี้จะไปบีบรัดทำให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทาง และทำให้เกิดการเสียดสีมากขึ้น แต่สำหรับสาว ๆ ที่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลือกรองเท้าส้นสูงที่มีแผ่นหนุนด้านหน้า เพื่อลดแรงกดที่นิ้วเท้า และไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงยืนเดินนานจนเกินไป ควรหารองเท้าสบาย ๆ ไปเปลี่ยนระหว่างวันด้วย

          3. หาฟองน้ำหรือแผ่นรองเท้ามาใส่เพิ่มในรองเท้า เพื่อลดการเสียดสีระหว่างรองเท้ากับผิวหนัง

          4. เลือกใส่รองเท้าที่เหมาะกับกิจกรรมที่ทำ เช่น รองเท้าเทนนิสไม่ควรใส่มาวิ่ง

          5. ถ้าชอบมีตาปลาเกิดขึ้นระหว่างง่ามนิ้วเท้า อาจใช้สำลีหรือฟองน้ำบุระหว่างง่ามนิ้วเท้าไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสี

          6. หากตาปลาเกิดจากมีเท้าผิดรูป หรือการลงน้ำหนักของเท้ามีความผิดปกติ อาจเลือกใช้รองเท้าที่ออกแบบเป็นพิเศษที่เหมาะสมกับความผิดปกติแต่ละชนิด

          ถ้าใครที่มีตาปลาขึ้นที่มือ ก็ควรใส่ถุงมือหนา ๆ เวลาต้องทำงานที่รับแรงเสียดสี หรือถ้าใครมีน้ำหนักตัวเกิน ก็ต้องลดน้ำหนักลงบ้าง เพื่อลดการเสียดสีเช่นเดียวกัน


-http://www.mcot.net/-

-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakk1TVRFMU5nPT0=-

-http://www.readersdigestthailand.co.th/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-

.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 16, 2014, 07:05:32 am
เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2557 19:08 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000029507-

สาวๆ ทั้งหลายมีสารพัดโรคมะเร็งให้กังวลมากพอแล้ว ทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก เพราะเป็นอวัยวะที่ผู้ชายไม่มี สำหรับคุณผู้ชายที่ต้องกังวลก็ต้องเป็นอวัยวะที่ผู้หญิงไม่มีเช่นกัน อ๊ะๆ! อย่าเพิ่งคิดลึกไปถึงอวัยวะอย่างมังกรผงาดโลกเด็ดขาด แต่เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันต่างหาก นั่นก็คือ ต่อมลูกหมาก
       
       ศ.นพ.สุชาย สุนทราภา ศัลยแพทย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นอวัยวะหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ชายที่มีหน้าที่ในการผลิตส่วนประกอบของน้ำอสุจิ และหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ ต่อมลูกหมากอยู่ภายในช่องเชิงกรานใต้ต่อกระเพาะปัสสาวะและอยู่หน้าลำไส้ตรงหรือทวารหนัก และล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น

เตือนหนุ่มๆ ฟาดอาหารไขมันสูงเสี่ยง “มะเร็งต่อมลูกหมาก”
   
       “สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผิวของต่อมลูกหมาก ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง เช่น กะรเพาะปัสสาวะ ถุงเก็บน้ำอสุจิ ท่อปัสสาวะ เป็นต้น จนเกิดภาวะการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะตำแหน่งต่างๆ เกิดการคั่งค้างของปัสสาวะ ทำให้ไม่สามารถระบายของเสียออกจากร่างกายได้ จึงเสี่ยงทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้อีก ถ้ามะเร็งต่อมลูกหมากกระจายไปทั่วตัวในระยะท้ายก็จะทำให้เสียชีวิตได้”
       
       สำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ศ.นพ.สุชาย บอกว่า คือผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อมีอายุสูงขึ้นอัตราเสี่ยงในการเป็นก็มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชายที่อายุน้อยกว่า 50 ปีก็มีโอกาสเป็นได้แต่น้อย นอกจากนี้ พบว่าชายที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากก็จะมีอัตราเสี่ยงสูงเช่นกัน รวมถึงผู้ชายที่นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงสูงมากขึ้น ซึ่งพบมากในประเทศตะวันตกที่นิยมกินอาหารไขมันสูง ดังนั้น ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจต่อมลูกหมากปีละครั้ง
       
       “อาการของมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ในระยะแรกจะยังไม่แสดงอาการใด เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ อาจจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่งปัสสาวะมากขึ้น ปัสสาวะเป็นเลือด ถ้าเป็นมากจะปัสสาวะไม่ออก หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แต่อาการปัสสาวะผิดปกติเช่นนี้อาจจะเหมือนกับโรคต่อมลูกหมากโตแบบธรรมดาได้ จึงจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด สำหรับระยะลุกลาม จะลามไปถึงกระดูกจะมีอาการปวดบริเวณกระดูกสันหลัง บริเวรกระดูกเชิงกราน หรือปวดบริเวณซี่โครง นอกจากนั้น จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเกิดภาวะซีด หรือมีกระดูกหักง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายเป็นอัมพาตจากกระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาทได้”
       
       การจะตรวจเช็กว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ศ.นพ.สุชาย ระบุว่า การตรวจสามารถทำได้โดยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ PSA ซึ่งผู้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากค่า PSA ในเลือดจะสูงกว่าปกติ และตรวจทางทวารหนัก โดยแพทย์จะสอดนิ้วเข้าไปคลำต่อมลูกหมากผ่านรูทวารหนัก ถ้าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะคลำได้ลักษณะก้อนแข็ง อย่างไรก็ตาม หากการตรวจทั้งสองอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยัน โดยการผ่านเข็มผ่านทางเครื่องอัลตราซาวนด์ของต่อมลูกหมาก ซึ่งทำได้โดยใช้ยาเฉพาะที่
       
       ในแง่การรักษานั้น ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระยะของผู้ป่วย ถ้ามาพบแพทย์ช่วงระยะเริ่มต้นผลการรักษาจะดี มีโอกาสหายได้ หากมาในระยะท้าย การรักษาจะช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นแต่ไม่หายขาด ซึ่งหากเป็นระยะที่ 1 และ 2 รักษาโดยการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด เป็นการรักษาที่ได้ผลวิธีหนึ่ง มีโอกาสหายขาดได้ วิธีนี้มักจะทำในผู้ป่วยอายุไม่เกิน 70 ปี แต่ถ้ามากกว่า 70 ปีขึ้นไป แพทย์จะดูสภาวะอื่นๆ ของผู้ป่วยแล้วใช้ดุลยพินิจในการรักษาให้เหมาะสม ผลข้างเคียงของการผ่าตัดคือ ผู้ป่วยอาจจะสูญเสียความสามารถในการแข็งตัวของอวัยวะเพศหลังผ่าตัด บางรายอาจจะมีปัญหาในการกลั้นปัสสาวะ
       
       อีกวิธีหนึ่งคือการฉายรังสี หรือฝังแร่ในต่อมลูกหมาก โดยใช้รังสีไปทำลายเซลล์มะเร็งของต่อมลูกหมาก ผลข้างเคียงคือ จะเกิดการระคายเคืองของเยื่อบุผิวของกระเพาะปัสสาวะ หรือเยื่อบุผิวของลำไส้ตรง จะทำให้มีปัสสาวะเป็นเลือดเป็นครั้งคราว ปัสสาวะลำบาก หรือมีอุจจาระเป็นเลือด อุจจาระลำบากได้
       
       ศ.นพ.สุชาย กล่าวว่า หากมะเร็งลุกลามระยะ 3 ต้องใช้การรักษาผสมผสาน ทั้งการผ่าตัดต่อมลูกหมากออกจนหมด หรือฉายแสงร่วมกับการรักษาโดยการลดฮอร์โมนเพศชาย คือ การตัดลูกอัณฑะออกทั้ง 2 ข้าง หรือการฉีดยา LHRH agonist เพื่อยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเทสโตสเตอร์โรนจากลูกอัณฑะได้ นอกจากนั้น ยังมีการให้ยา anti-androgen ร่วมด้วย เพื่อยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจนจากต่อมหมวกไต ส่วนระยะที่ 4 คือระยะที่มะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือกระดูกแล้ว การรักษาที่นิยมคือ การลดฮอร์โมนเพศชายตามที่ได้ระบุไป
       
       “หลังการรักษา แพทย์จะนัดติดตามผลการรักษาโดยการเจาะเลือด PSA เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของระดับ PSA ถ้าต่ำคือการรักษาได้ผลดี ถ้าสูงขึ้นแสดงว่าโรคกำเริบ ดังนั้น ผู้ป่วยต้องมารับการตรวจทุกครั้งที่แพทย์นัด”
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2014, 07:47:56 pm

เนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง แม้ไม่กินยาสเตียรอยด์ก็เป็นได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มีนาคม 2557 18:57 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000032536-


โดย...ศ.นพ.อภิชาติ วิชญาณรัตน์ สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์
       คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
       
       โรคเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง (Cushing’s Disease) ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย แต่มีอาการคล้ายกับโรคอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมโรคเหล่านี้ได้ยาก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003365001.JPEG)

   คนที่อ้วนขึ้นผิดสังเกต โดยเฉพาะผู้ที่มีใบหน้าอ้วน กลม และแดง พุงยื่นป่อง แต่แขนขากลับลีบ ผิวหนังมีรอยแตกสีชมพูม่วงคล้ำ มักพบที่หน้าท้องหรือต้นขา บริเวณต้นคอด้านหลังอาจมีไขมันพอกหนาคล้ายหนอก ผิวหนังบางจนเห็นเส้นเลือดได้ชัด เส้นเลือดบนผิวหนังเปราะและแตกง่าย เห็นเป็นรอยช้ำสีม่วง มีสิวและขนอ่อนขึ้นบนใบหน้า ผู้ที่มีลักษณะต่างๆ เหล่านี้เรียกว่าเกิดภาวะ “คุชชิ่ง ซินโดรม” เป็นสัญญาณบอกว่าในร่างกายมีระดับคอร์ติโคสเตียรอยด์สูงเป็นเวลานาน
       
       การที่ร่างกายมีคอร์ติโคสเตียรอยด์ (เรียกสั้นๆ ว่าสเตียรอยด์) สูงเกิดขึ้นได้ทั้งจากสาเหตุภายในร่างกาย และภายนอกร่างกาย ส่วนใหญ่เราจะพบภาวะคุชชิ่งซินโดรมจากสาเหตุภายนอกร่างกาย คือคนที่รับประทานยาลูกกลอนหรือยาหม้อที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ หรือซื้อยาชุดที่มียาเม็ดสเตียรอยด์อยู่ด้วย เพื่อรักษาโรคปวดข้อ โรคปวดเมื่อย โรคคัน โรคหอบหืด หรือเพื่อให้เจริญอาหาร
       
       ในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องนี้กันอย่างมาก ร้านขายยาส่วนใหญ่ไม่จ่ายยากลุ่มนี้ถ้าไม่มีใบสั่งแพทย์
       
       ส่วนสาเหตุจากภายในร่างกายซึ่งพบน้อยมาก คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักกัน สาเหตุอาจเกิดจากเนื้องอกต่อมหมวกไต หรือต่อมหมวกไตโต และสร้างสเตียรอยด์มากเกินจากผลของเนื้องอกต่อมใต้สมอง ทั้งต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองเป็นต่อมไร้ท่อที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสเตียรอยด์ฮอร์โมนในร่างกาย หลายๆ คนอาจไม่ทราบว่าสเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนที่มีการผลิตในร่างกายอยู่แล้ว เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมระบบเมตะบอลิสม (เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารแป้ง ไขมัน และโปรตีนเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน) การทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด และการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย โดยปกติร่างกายจะมีการผลิตสเตียรอยด์ในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ
       
       เนื่องจากในเดือนเมษายน ทั่วโลกมีการรณรงค์ให้ความรู้เรื่องเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่ง จึงอยากให้ความรู้เกี่ยวกับโรคชนิดนี้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักกันนัก แล้วต่อมใต้สมองคืออะไร…..
       
       ต่อมใต้สมองเป็นต่อมขนาดเล็ก น้ำหนักประมาณ 0.6 กรัม ที่ติดอยู่กับส่วนล่างของฐานสมอง มีหน้าที่ควบคุมการสร้างฮอร์โมนหลายชนิด รวมทั้งฮอร์โมนที่ควบคุมการสร้างสเตียรอยด์ เมื่อเกิดเนื้องอกของต่อมใต้สมองชนิดที่มีการสร้างฮอร์โมน ACTH ฮอร์โมนนี้จากเนื้องอกจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้มีการสร้างสเตียรอยด์ฮอร์โมนมากขึ้น ทำให้เกิดอาการและโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแสดงออกแตกต่างกัน แต่ทุกรายจะมีลักษณะเด่นต่างๆ ของคุชชิ่ง ซินโดรมดังกล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปร่างอ้วน หน้ากลมแดง อาจมีสิวและขนอ่อนเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดคุชชิ่งยังอาจมีอาการอื่นๆ ที่เกิดจากการมีสเตียรอยด์ฮอร์โมนในร่างกายสูง เช่น ปวดหลังเนื่องจากกระดูกผุ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ นอนไม่หลับ ติดเชื้อง่ายและเป็นแผลหายช้า ผมร่วง ในผู้หญิงประจำเดือนอาจมาน้อยหรือไม่มาเลย ส่วนในผู้ชายอาจไม่มีความรู้สึกทางเพศ ตัวเนื้องอกต่อมใต้สมองอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
       
       ในปัจจุบันการรักษาโรคนี้ใช้วิธีการผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไปเป็นลำดับแรก เนื่องจากมีโอกาสหายขาด ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดแล้วไม่หาย หรือโรคกลับมาเป็นซ้ำ รวมทั้งผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดเนื้องอกได้ จะรักษาด้วยรังสีรักษาหรือให้ยาเพื่อยับยั้งการสร้างสเตียรอยด์ฮอร์โมน ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เข่น ความดันโลหิตสูง หรือน้ำตาลในเลือดสูง แต่ควบคุมไม่ได้ กระดูกหักง่าย ติดเชื้อง่าย ความดันโลหิตสูงทำให้เกิดโรคหัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด ถ้ามีลักษณะหรืออาการต่างๆ ดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

--------------------------------------------------------------------------




เตือน! นอนดูทีวี นอนตะแคงแชตมือถือ ระวังเดินคอเอียง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 มีนาคม 2557 10:55 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000032648-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003376701.JPEG)
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


 จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เตือนประชาชนที่ชอบนอนดูโทรทัศน์ แม้จะสบายแต่อาจส่งผลอนาคต ขั้นคอเดี้ยง เนื่องจากกล้ามเนื้อเกร็ง และย้ำเตือนผู้ที่นอนตะแคงเล่นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต จะเกิดปัญหาเดินคอเอียงไม่รู้ตัว รวมทั้งแนะผู้ที่มีอาการตาแห้ง แสบตาหลังดูจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ ไม่จำเป็นต้องหยอดตา วิธีแก้ไขที่ถูกต้องคือดื่มน้ำบ่อยๆ และหลับตาเพื่อพักสายตาจะช่วยได้



        นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้การใช้พฤติกรรมประจำวันของประชาชนน่าห่วง ผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ที่มีพื้นที่จำกัด มักชอบนอนดูทีวีและทีวีมักจะตั้งอยู่สูงกว่า การดูทีวีในลักษณะนี้ อาจก่อปัญหาโดยไม่รู้ตัว การนอนดูทีวีเพราะทีวีอยู่ข้างบน เป็นท่าที่ไม่ถูก จะมีผลเสียต่อกล้ามเนื้อที่คอ กระดูกคอ ทำให้เอ็นคออักเสบ และหากมีพฤติกรรมติดต่อกันไปนานๆ ในระยะยาว จะเกิดอาการคอเดี้ยงคือปวดต้นคอ กล้ามเนื้อเกร็งและอักเสบ ท่าที่ดีที่สุดในการดูทีวีคือ ท่าที่สบายที่สุด เช่น นั่งเอกเขนก และทีวีต้องอยู่ในระดับสายตา
       
        นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่น่าห่วงอีกประการหนึ่ง ขณะนี้ประชาชนมักจะอยู่กับเครื่องมือสื่อสารเกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน และชอบนอนตะแคงดูข้อมูลหรือภาพหรือนอนตะแคงกดข้อความส่งไลน์ การนอนดูข้างเดียว มือจะถือข้างเดียว เมื่อดูติดต่อกันนานๆ อาจจะมีผลต่อบุคลิกไม่รู้ตัว เด็กบางคนจะเดินคอเอียงๆ บางคนไม่รู้ตัว เคยพบมาแล้ว เป็นเด็กอายุ 7 ปี เดินคอเอียง เนื่องจากนอนเล่นแท็บเล็ต ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากความเคยชิน เหมือนเช่นบางคนขณะอยู่เฉยๆ แต่เคาะโต๊ะเล่น หรือเขย่าเท้าเล่น
       
        นอกจากนี้ การใช้สายตาดูจอมือถือหรือดูคอมพิวเตอร์มากเกินไป จะเกิดปัญหาตาแห้ง ในช่วงหลังๆ มานี้จะพบผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ คือมักไปด้วยอาการแสบตา เคืองตา ตาพร่ามัว แต่สายตาปกติ และผู้ป่วยมักจะนิยมไปพบจักษุแพทย์เพื่อขอยาหยอดตา เนื่องจากเข้าใจว่าตาติดเชื้อ นับว่าเป็นความเข้าใจผิด และไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาดังกล่าว เนื่องจากสาเหตุที่ตาแห้งเกิดจากแสงจ้าจากจอมือถือและคอมพิวเตอร์ สายตาต้องเพ่งลงที่จอ ติดต่อเป็นเวลานาน นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว จะเกิดผลเสียในอนาคตคือปัญหาการดื้อยา วิธีแก้ไปอาการแสบตา เคืองตาหลังเพ่งจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องคือให้ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้น้ำไปหล่อเลี้ยงดวงตาทำให้ตาชุ่มชื้น หรือนั่งหลับตาพักสายตาชั่วครู่ประมาณ 10-15 นาทีก็จะช่วยได้
       
        “วิธีการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ขอให้ใช้เทคโนโลยี ใช้เมื่อจำเป็น หากไม่จำเป็น ก็อย่าใช้ โดยเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนขณะนี้ ถือว่าใช้มากเกินความจำเป็น”นพ.ฐานปนวงศ์ กล่าว


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2014, 12:32:32 am
10 สัญญาณร่างกาย บอกว่า...คุณเป็นโรค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มีนาคม 2557 11:14 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034492-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003568801.JPEG)



http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034492 (http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000034492)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2014, 11:00:48 pm
“วัณโรค” สำคัญกว่าที่คุณคิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 มีนาคม 2557 17:49 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000035337-

 โดย...นพ. กำพล สุวรรณพิมลกุล
       แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
       
       จากข้อมูลล่าสุดพบว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะแฝง ซึ่งไม่แสดงอาการอยู่มากถึง 1/3 ของประชากรทั่วโลก หรือเทียบเท่ากับ 2,000 ล้านคนทั่วโลก โดยผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอดจากการรายงานขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เมื่อปี พ.ศ.2555 พบว่า อุบัติการณ์ (incident) การเกิดโรควัณโรคสูงถึง 8.6 ล้านคน ใน 1 ปี และในผู้ป่วยกลุ่มนี้พบว่าเสียชีวิตจากวัณโรคสูงถึง 1.3 ล้านคนต่อปี

   
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000003659103.JPEG)
นพ. กำพล สุวรรณพิมลกุล

       ส่วนในประเทศไทยจากรายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลกปี พ.ศ.2555 พบผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทยทั้งหมด 61,208 รายที่มีการลงทะเบียนทั้งนี้ยังไม่ได้นับรวมกับผู้ป่วยบางส่วนที่ไม่ได้มีการลงทะเบียนซึ่งเชื่อว่ามีอีกจำนวนมาก
       
       เชื้อวัณโรค หรือ TB (tubercle bacillus) จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกลุ่มเชื้อแบคทีเรียที่มีการเจริญเติบโต หรือการแบ่งตัวช้ากว่าแบคทีเรียทั่วไปชนิดอื่นๆ โดยแบคทีเรียกลุ่มนี้ชื่อว่า ไมโครแบคทีเรีย มีหลายสายพันธุ์ซึ่งก่อให้เกิดวัณโรคได้ แต่สายพันธุ์ที่พบบ่อยและก่อปัญหามากที่สุดในมนุษย์คือ เชื้อ Mycobacterium tuberculosis
       
       มนุษย์สามารถติดเชื้อวัณโรคได้โดยผ่านทางการหายใจเอาเชื้อที่ล่องลอยในอากาศเข้าไปภายในปอด และต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด เชื้อในปอดหรือต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอดอาจมีการแพร่กระจายทางเลือดหรือระบบน้ำเหลือง และอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ได้ทั่วร่างกาย เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ ตับ ม้าม กระดูก หรือเยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น แต่วัณโรคที่ปอดเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดเนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้โดยการไอและเชื้อแขวนลอยอยู่ในอากาศ
       
       โดยปกติเชื้อวัณโรคจะแพร่กระจายโดยเชื้อที่แขวนลอยอยู่ในอากาศจะเข้าสู่ทางเดินหายใจและปอด ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะมีการตอบสนองของเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ที่อยู่ที่ปอดเพื่อต่อสู้กับเชื้อวัณโรคที่เข้ามาอยู่ในร่างกาย ผลของการตอบสนองจากระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.เชื้อวัณโรคจะถูกกำจัดได้หมดโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่มีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกาย
       2.เชื้อวัณโรคจะเข้ามาอยู่ในร่างกาย แต่จะอยู่ในระยะแฝงของการติดเชื้อวัณโรค โดยจะมีเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ โอบล้อมเชื้อวัณโรคอยู่ทำให้เชื้ออยู่ในระยะสงบหรือระยะแฝง ซึ่งจะไม่ก่อโรคหรือที่เรียกว่า Latent tuberculosis ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการใดๆ และจะไม่มีการแพร่กระจายของเชื้อ แต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันเสื่อม เม็ดเลือดขาวที่โอบล้อมเชื้ออยู่ไม่สามารถควบคุมเชื้อได้ก็จะทำให้ผู้ติดเชื้อป่วยเป็นโรควัณโรคได้
       
       และ 3.กลุ่มผู้ป่วยที่กลายเป็นโรควัณโรค (active tuberculosis) หลังจากที่มีการสัมผัสเชื้อ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
       
       ถ้าเราอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค เราจะมีโอกาสติดเชื้อวัณโรคได้มากน้อยเพียงใด?
       
       นิยามของผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด (Close contact) คือ ผู้ที่อยู่ในสถานที่เดียวกัน เช่น บ้านเดียวกัน ห้องนอนเดียวกัน ห้องเรียนเดียวกัน มีการสัมผัสใกล้ชิดที่ต่อเนื่องตั้งแต่ 8 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ถ้าเป็นการสัมผัสไม่ต่อเนื่องให้คิดเวลารวมตลอดเดือนหากมากกว่า 120 ชั่วโมงขึ้นไปถือว่าสัมผัสใกล้ชิด โอกาสการติดเชื้อวัณโรคจากบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปริมาณเชื้อวัณโรคของผู้ป่วย ลักษณะการระบายอากาศของห้องที่อยู่ร่วมกัน เป็นต้น
       
       ยกตัวอย่างพอสังเขปให้ง่ายขึ้น คือ ผู้ป่วยที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอดในห้องเดียวกัน 100 คน โดยเฉลี่ยแล้ว จะมี 70 คนที่ร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อไปได้หมด ส่วนที่เหลือ 30 คนจะมีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกาย และ ใน 30 คนนี้ จะมีประมาณ ร้อยละ 5 ที่จะป่วยเป็นวัณโรคในระยะเฉียบพลัน ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ดี ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ เป็นต้น ส่วนอีกร้อยละ 95 จะติดเชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะแฝงที่ไม่แสดงอาการ ถ้าผู้ป่วยแข็งแรงดีเชื้อก็จะอยู่ในระยะแฝงต่อไปเรื่อยๆ โดยผู้ติดเชื้อจะไม่เป็นโรค และไม่แพร่กระจาย แต่จะป่วยเป็นโรคได้เมื่อมีภูมิต้านทานลดลง (reactivation)

“วัณโรค” สำคัญกว่าที่คุณคิด
   
       การตรวจว่าเรามีเชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะแฝงในร่างกายเราหรือไม่อย่างไรนั้น มีวิธีการตรวจที่เรียกว่า Tuberculin skin test (TST) เป็นการทดสอบที่มีการใช้มานานกว่า 100 ปี ใช้หลักการของการตอบสนองโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกาย (delay-type hypersensitivity reaction) ที่จะสามารถให้ผลบวกได้ระหว่าง 2 ถึง 8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยฉีด purified protein derivation (PPD) ขนาด 0.1 มล ซึ่งเป็นสารที่สกัดจากเชื้อวัณโรค เข้าบริเวณท้องแขนชั้น intradermal และวัดผลการตอบสนองภายใน 48-72 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ความไวและความจำเพาะของการทดสอบวิธีนี้ค่อนข้างจำกัด
       
       อาการที่พบบ่อยของวัณโรคปอด คือ ไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะหรือไอแห้งๆ ก็ได้ มีน้ำหนักลด รับประทานอาหารลดลง อาการไข้ เหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือมีอาการไอเป็นเลือด ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์ เพียงอย่างเดียวก็ได้โดยที่ไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย การวินิจฉัย คือการส่งเสมหะเพื่อตรวจย้อมเชื้อวัณโรค และการส่งเพาะเชื้อวัณโรค ร่วมกับการถ่ายเอกซเรย์ปอด จะช่วยในการวินิจฉัย
       
       วัณโรคสามารถรักษาได้หายขาด แต่จะกลับเป็นซ้ำได้ ถ้ารับประทานยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง เนื่องจากเชื้อบางส่วนจะหลบซ่อนอยู่ในเซลล์ ทำให้ต้องรักษาด้วยยาร่วมกันหลายขนานในช่วง 2-3 เดือนแรก และต้องรักษานานอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อลดโอกาสการดื้อยาและการกลับเป็นซ้ำ ถ้าเป็นวัณโรคปอด หลังจากรับประทานยาไปแล้วอาการไข้ หรือ ไอ ดีขึ้นห้ามหยุดยาโดยเด็ดขาด ถ้าหยุดยาก่อนแพทย์สั่งจะมีผลต่อการดื้อยาและการกลับเป็นซ้ำจะทำให้รักษาหายขาดได้ยากขึ้น ยกเว้นเกิดอาการข้างเคียงรุนแรงที่สงสัยว่าเป็นจากยาต้านวัณโรค เช่น คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ มีผื่นขึ้นรุนแรงทั่วตัว เป็นต้น ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
       
       โดยทั่วไปถ้าเป็นการรักษาวัณโรคปอดที่ไม่ดื้อยา ส่วนใหญ่หากตรวจย้อมเสมหะไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว 2-3 ครั้งหลังทำการรักษาก็ถือว่าอยู่ในระยะปลอดภัยในการแพร่กระจายของเชื้อ แต่ถ้าวินิจฉัยวัณโรคจากอาการ และภาพเอกซเรย์ปอด โดยที่ย้อมสีเสมหะไม่พบเชื้อวัณโรคตั้งแต่แรก โดยทั่วไปแล้วเชื้อมักจะไม่แพร่กระจายหลังจากที่รักษาด้วยยาต้านวัณโรคไปแล้ว 2-3 สัปดาห์
       
       ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดตามนิยามดังที่กล่าวข้างต้น กลุ่มเสี่ยงที่สุดและคุ้มค่าในการให้ยาป้องกันการเป็นวัณโรคมากที่สุดคือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ถือว่ามีความเสี่ยงสูงสุดที่จะป่วยเป็นวัณโรค และถ้าเป็นแล้วจะมีโอกาสกระจายทั่วร่างกาย และเป็นวัณโรคในเยื่อหุ้มสมองได้สูง (การฉีดวัคซีน BCG จะช่วยลดอุบัติการณ์การเป็นวัณโรคทั่วร่างกายและวัณโรคในเยื่อหุ้มสมองได้มาประมาณร้อยละ 60) ในทางปฏิบัติเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปีที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคโดยทั่วไปแล้วแนะนำให้รับประทาน ยา isoniazid เพื่อป้องกันการเป็นวัณโรค 6-9 เดือนทุกราย แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนให้ยาป้องกันว่าเด็กไม่ได้เป็นวัณโรคอยู่ก่อนแล้ว (ควรถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดก่อนให้ยาป้องกัน) ส่วนเด็กที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 5 ปีให้พิจารณาเป็นรายๆ ไปตามผลการทดสอบ Tuberculin skin test
       
       สิ่งสำคัญในการปฏิบัติตนเมื่อมีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้าน?
       
       ควรแยกห้องกับสมาชิกในครอบครัวให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2-3 สัปดาห์แรก ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และให้แสงแดดส่องถึงเนื่องจากแสงแดดจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี หมั่นนำเครื่องนอนออกตากแดด ควรสวมหน้ากากหรือผ้าปิดจมูก และเปลี่ยนให้สม่ำเสมอเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และเสมหะควรบ้วนลงภาชนะหรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2014, 09:16:40 am

โปรดระวัง น้ำแข็งใสๆ อาจไม่ปลอดภัย อย่างที่คุณคิด!

หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ!! น้ำแข็งก็ทำมาจากน้ำทั้งหมด 100% แล้วอันตรายจะมาจากตรงไหนกันล่ะ?

(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/623328.jpeg)

-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/227878/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%86+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94!-



เริ่มเข้าเดือนที่จัดว่าร้อนที่สุดของปี และเป็นเดือนที่ยอดการขาย การบริโภคน้ำแข็งมากที่สุดตามอุณหภูมิที่ร้อนระอุด้วยเช่นกัน และในแต่ละมื้อ เราล้วนจะต้องได้เกี่ยวพันกับเจ้าน้ำแข็งใส ๆ นี้กันแทบทุกคนใช่ไหมคะ? ไม่ว่าจะมาจากการไปรับประทานอาหารนอกบ้านในแต่ละมื้อ ทั้งตามร้านอาหาร ภัตราคาร ไปจนถึงอาหารง่าย ๆ เช่นร้านอาหารตามสั่งทั่ว ๆ ไป จนถึงร้านเครื่องดื่มเย็นที่ขายตามริมท้องถนน หรือหน้าออฟฟิศกัน เคยคิดกันไหมค่ะว่า “เห็นหน้าตาใส ๆ เย็น ๆ แบบนี้ จะมีอันตรายแฝงอยู่ อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ”

หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ!! น้ำแข็งก็ทำมาจากน้ำทั้งหมด 100% แล้วอันตรายจะมาจากตรงไหนกันล่ะ? จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเป็นที่ปรึกษา และการตรวจโรงงานผลิตน้ำแข็งนั้น จะมาเล่าให้ฟังกันค่ะว่า ที่มาที่ไป และอันตรายที่ควรระวังจากน้ำแข็งนั้น คืออะไร

น้ำแข็งที่เราบริโภคกันโดยส่วนใหญ่ มาจาก 2 แหล่งหลัก ๆ คือ น้ำแข็งที่ผลิตมาจากโรงงานผลิตน้ำแข็ง และ น้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ไม่นับที่แช่ทำเองในตู้เย็นบ้านเรากันนะคะ

อันตรายจากน้ำแข็งที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ที่เราควรระมัดระวังกัน นั่นก็คือ เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคที่ปะปนมาจากการผลิตและการขนส่งกันนั่นเองค่ะ เห็นไหมค่ะว่า เป็นภัยร้ายที่มองไม่เห็นกันจริง ๆ หากเราเคยติดตามข่าวสารของ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขกันมาบ้าง อาจเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ กับการตรวจพบจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในน้ำแข็งเกินมาตรฐาน ดังเช่น “พบโรงงานน้ำแข็งหลอดย่านบางเขน ปรับที่พักเป็นโรงงานผลิต อย.นำตัวอย่างส่งตรวจ พบปนเปื้อนเชื้อโรคอื้อ โดยเฉพาะ อี.โคไล จุลินทรีย์ซาลโมเนลล่า ตัวการโรคท้องร่วง เผยปกติเชื้อโรคดังกล่าวปนเปื้อนในอุจจาระ พร้อมสั่งหยุดผลิตทันควัน ขู่ฝ่าฝืนเจอโทษหนัก” อย่างนี้เป็นต้น ภัยที่น่ากลัวจากเจ้าน้ำแข็งนี้มาจากกระบวนการผลิตและการขนส่งของโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีจิตสำนึกที่ดีในการผลิตอาหารให้ปลอดภัย ตั้งแต่มาตรฐานน้ำที่จะนำมาผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค ก็ควรต้องเป็น น้ำมาตรฐานน้ำบริโภค และผู้เขียนเองมั่นใจค่ะว่า โรงงานน้ำแข็งที่ผลิตภายใต้สุขลักษณะที่ดี และผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินโรงงานตามกระทรวงสาธารณสุขนั้นมีน้อยมาก มาฟังกันต่อดีกว่าค่ะว่าประเภทน้ำแข็งที่เราต้องระวัง มีอะไรบ้าง

น้ำแข็งที่เราบริโภคกันในปัจจุบันมีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่ น้ำแข็งหลอด น้ำแข็งเกล็ด น้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น ที่โม่และป่นมาจากน้ำแข็งซอง(สมัยก่อนเรียก น้ำแข็งมือ นึกภาพง่าย ๆ คือน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ ที่นำมาทำเป็นน้ำแข็งใสกัน) ไปจนถึงน้ำแข็งที่เป็นหลอดเล็กที่นิยมใช้ในปัจจุบันกัน

เจ้าน้ำแข็งที่เราควรระวังมากที่สุด คือน้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น ที่ผลิตจากโรงงานที่ไม่ได้มาตารฐานนี่แหละค่ะ ที่ตามร้านอาหารตามสั่งทั่ว ๆ ไปนิยมใช้ใส่แก้วมาให้เรา เพื่อเติมน้ำอัดลม หรือน้ำหวานตามที่เราสั่งมาดื่ม หรือร้านขายเครื่องดื่ม เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น และน้ำหวาน การปนเปื้อนของเชื้อโรคนี้ปนเปื้อนได้ตั้งแต่แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำแข็ง กระบวนการตัดก้อนน้ำแข็งให้มีขนาดเล็กลงจากการใช้ใบมีดที่เป็นเหล็ก และมีสนิม แอบบอกนะคะว่าโรงงานเหล่านี้ คนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ต้องมีแรงและพลังกายในการยก การตัดก้อนน้ำแข็งเยอะ ๆ แอบเห็นอยู่บ่อย ๆ คะว่า ไม่สวมเสื้อทำงาน ใส่เพียงกางเกงขาสั้น และรองเท้าบูท เดินบนลานน้ำแข็งไปมา นี่เพิ่งแค่เริ่มต้นนะคะ ยังไม่นับรวมการบรรจุน้ำแข็งเหล่านี้มาส่งตามร้านอาหารที่เราจะรับประทานกัน บรรจุภัณฑ์ที่ใช้มักจะเป็นกระสอบเก่า ๆ ของกระสอบข้าวสารสีขาว ๆ กระสอบแป้ง และไม่แน่ใจว่าจะเอากระสอบสารเคมีอะไรมาใส่หรือเปล่า มีกระบวนการในการล้างทำความสะอาดกระสอบที่เวียนกลับมาใช้หรือไม่

แล้วเคยเห็นเวลาจะนำลงจารถขนส่งกันไหมค่ะ เหยียบขึ้นไปบนกระสอบเอย ลากลงมาที่พื้นเอย เห็นแล้วแทบไม่กล้าทานอาหารร้านนั้นเลยล่ะคะ ยังไม่รวมการปนเปื้อนเมื่อมาถึงที่ร้านแล้ว หากคุณแม่ค้าพ่อค้าไม่ใส่ใจ นำน้ำแข็งมาแช่ในถังที่แอบแช่หมูสด ผักสดที่ใช้เป็นวัตถุดิบต่าง ๆ ลงไปในถังน้ำแข็งอีก ฟังเท่านี้แล้วอาจเลิกทานน้ำแข็งประเภทนี้กันไปเลยใช่ไหม สังเกตไหมค่ะว่าชาวต่างชาติจะกลัวน้ำแข็งบ้านเรามาก ๆ เพราะหลายต่อหลายรายท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษเข้าโรงพยาบาลเพียงเพราะน้ำแข็งกันมานักต่อนักแล้วล่ะคะ และหลายต่อหลายครั้งที่เราท้องเสียบ้าง อาหารเป็นพิษบ้าง แล้วมัวแต่ไปคิดถึงว่า เราทานอะไรเข้าไปน้า โดยที่ทุก ๆ คนจะมองข้ามน้ำแข็งที่เราทานกันเข้าไป เคยลองสังเกตว่าน้ำแข็งแต่ละร้านที่เราทานเข้าไปนั้นกันบ้างไหมคะ ว่าสะอาดหรือไม่ แค่ลองสังเกตดูก้นแก้ว(หากใส)เวลาที่น้ำแข็งละลายหมดแล้วน่ะคะ ถ้าผู้ที่ชอบสังกตน่าจะเคยเห็นเหมือนผู้เขียนว่ามีตะกอนสิ่งสกปรกตกอยู่ที่ก้นแก้วจำนวนมาก นี่แค่สิ่งที่มองเห็นได้เท่านั้นนะคะ

ดังนั้นหากเราอยากทานน้ำแข็งที่สะอาดและปลอดภัย จึงควรใส่ใจกับแหล่งที่มา และหัดสังเกตน้ำแข็งจากร้านที่เราทานอาหารกันค่ะว่า สะอาดเพียงพอหรือไม่ ควรเลือกทานน้ำแข็งที่ผลิตโดยเครื่องอัตโนมัติ (ที่ใช้กันทั่วไปตามโรงแรม หรือร้านสะดวกซื้อนั่นแหละค่ะ) เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า หรือเลือกทานน้ำแข็งอนามัยที่ผ่านการรับรองคุณภาพตามระบบ GMP หรือระบบความปลอดภัยของอาหารกันดีกว่านะคะ เวลาไปซื้อเครื่องดื่มหรือทานอาหารตามร้านที่ไม่ได้ใช้น้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องอัตโนมัติ ก็ควรแอบสังเกตภาชนะที่ใส่น้ำแข็งกันนะคะว่ามีความสะอาดและสุขลักษณะที่ดีเพียงใด ไม่อย่างนั้นแล้ว เราอาจได้เชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเข้ามาในร่างกายเรา จนทำให้เราเจ็บป่วยได้นะคะ

อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิดนะคะ อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ

โดย “PrincessFangy”

-Twitter @Princessfangy-

รูปประกอบจาก-http://iceman-travel.igetweb.com/-

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2014, 09:20:27 am
ช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความชุ่มชื้นคือช่วงเทศกาล “สงกรานต์” และสิ่งที่จะได้เห็นและได้ทำในวันนี้ก็คือ การ ออกไปสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ แป้งขาว ๆ ที่ใช้ประหน้าอย่าง “ดินสอพอง”
วันเสาร์ 5 เมษายน 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/227892/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2!!!%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-

ช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความชุ่มชื้นคือช่วงเทศกาล “สงกรานต์” และสิ่งที่จะได้เห็นและได้ทำในวันนี้ก็คือ  การ ออกไปสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปก็คือ แป้งขาว ๆ ที่ใช้ประหน้าอย่าง “ดินสอพอง” ที่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีอันตราย

แต่ล่าสุดจากการสุ่มตรวจของสถา   บันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหา ชน) มีการพบว่า “ดินสอพอง” มีเชื้อโรคที่อันตรายมากที่สามารถที่จะก่อให้เกิดบาดทะยักได้ และถ้าเชื้อโรคนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ และกล้ามเนื้อตาย อีกทั้งถ้าเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด กล้ามเนื้อตายเน่า และการติดเชื้อในเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตและอาจทำให้ผู้ใช้ถึงแก่ชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากนี้ทางศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ยังเคยทำการสุ่มตรวจสอบดินสอพองที่ผู้ประกอบการได้นำมาจำหน่ายตามท้องตลาด พบว่าผู้ค้าบางรายมีการนำดินสอพองปลอมที่ดัดแปลงจากผง     ยิปซัม ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดานมาทำเป็นดินสอพองจำหน่ายให้ผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

เนื่องจากการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์บริการระบุผลออกมาว่า ผงยิปซัมดังกล่าวหากนำมาเล่นถือเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เช่น เมื่อนำมาทาบริเวณผิวหนังจะเกิดการระคายเคือง หากผู้ใดแพ้ฝุ่นอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการนำดินสอพองที่มีเชื้อโรคมาฉายรังสีแกมมาในปริมาณ 9.30-10.40 กิโลเกรย์ ก็สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ได้เกือบทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของประชาชนที่สนใจซื้อดินสอพองไปใช้หรือนำไปเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางด้านผู้ผลิตคงต้องทำดินสอพองให้สะอาดเสียก่อน

ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ครั้งนี้ ทางด้านผู้บริโภคเอง จึงควรระวังไม่ให้ดินสอพองเข้าจมูกหรือปาก และไม่ควรเล่นดิน

สอพองหากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสงกรานต์ที่สนุกสนานปลอดภัยไร้กังวล.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2014, 11:20:04 am
ย้อนรอย เรื่องจริงฯ 18 กรกฎาคม 2556 1/6

ย้อนรอย เรื่องจริงฯ 18 กรกฎาคม 2556 1/6 (http://www.youtube.com/watch?v=ipU7w6GXrsk#)

-http://www.youtube.com/watch?v=ipU7w6GXrsk-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2014, 06:48:15 am
เตือนสงกรานต์เล่นน้ำเปียก...เสี่ยง 5 โรค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2557 18:20 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000038729-

 โดย...พญ.กรุณา อธิกิจ อายุรแพทย์ รพ.ปิยะเวท
       
       เทศกาลแห่งความสุขที่ทุกคนรอคอยกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ นั่นก็คือเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวอย่างต่อเนื่องกันหลายวัน คนส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และได้เล่นน้ำสงกรานต์คลายร้อนกันอย่างสนุกสนาน แต่หารู้ไม่ว่าโรคต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากการเล่นน้ำสงกรานต์นั้นมีอะไรบ้าง


       แล้วยิ่งน้ำที่ไม่สะอาดด้วยแล้วนั้น อาจนำมาซึ่งเชื้อโรคต่างๆ มากมาย ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายเราผ่านทาง ตา หู จมูก ปาก หรือแม้กระทั่งการสัมผัส ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสต่างๆ ยิ่งในช่วงอากาศร้อนอบอ้าวด้วยแล้ว ความเสี่ยงในการเกิดโรคก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น เรามาดูกันดีกว่าว่าโรคอะไรบ้างที่มากับอากาศร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อเตรียมตัวในการรับมือได้อย่างถูกวิธี
       
       1.โรคอาหารเป็นพิษ โรคท้องร่วง โรคอหิวาตกโรค โรคไวรัสตับอักเสบเอ เนื่องจากในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศร้อนและแห้งเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคโดยเฉพาะแบคทีเรียส่งผลให้อาหารที่ทำออกมารับประทานนั้นอาจบูดเสียได้ง่าย โดยเฉพาะพวกแกงที่มีส่วนผสมของกะทิหรือนมด้วยแล้ว รวมถึงการทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาดปนเปื้อนเชื้อโรค อาจทำให้เกิดโรคดังกล่าวได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน แต่หากมีภาวะขาดน้ำรุนแรงจะทำให้เกิดภาวะช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้
       
       2.โรคไข้หวัดและปอดอักเสบ เนื่องจากการเล่นน้ำสงกรานต์ทำให้ร่างกายเปียกชื้นเป็นเวลานาน ยิ่งในต่างจังหวัดมีการเล่นติดต่อกันตั้งแต่เช้าถึงเย็นด้วยแล้ว ควรต้องระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำและในกลุ่มเด็ก ไม่ควรสาดแรงจนเกินไปอาจทำให้สำลักน้ำ จนกลายเป็นที่มาของโรคปอดอักเสบได้ หากรู้สึกมีไข้หรือไม่สบายควรงดเล่นน้ำทันที เพราะจะทำให้อาการยิ่งรุนแรงมากขึ้น
       
       3.โรคตาแดง เป็นอีกโรคที่พบบ่อย เมื่อเราเล่นน้ำแล้วน้ำที่ไม่สะอาดที่มีเชื้อโรคปะปน เช่น น้ำในคลอง น้ำบาดาล หากน้ำกระเด็นเข้าตาและมือเราที่ไม่สะอาดอาจไปขยี้ตาก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบบวมแดงขึ้นมาได้ ถ้ามีอาการเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล ปวดตา
       
       4.โรคผิวหนัง ได้แก่ กลาก เกลื้อน ผดร้อน มักจะเกิดขึ้นได้ในหน้าร้อน จากการไม่รักษาความสะอาดของผิวหนัง และติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากเล่นน้ำที่ไม่สะอาดก็จะเกิดโรคได้ง่ายมาก จึงควรรักษาความสะอาดร่างกาย ใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาหรือคับจนเกินไป จะมีได้ทั้ง ตุ่มใส ตุ่มแดง ตุ่มหนอง ผื่นวงแดง ผื่นจุดสีขาว คันตามจุดอับชื้น หากมีผื่นที่น่าสงสัยให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
       
       5.โรคลมแดดหรือ ฮีตสโตรก (Heat Stroke) เป็นอีกโรคที่คนมักมองข้ามและคิดว่าอาจจะไม่ร้ายแรงมาก แต่แท้จริงแล้วอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว โดยโรคนี้คือการเป็นลมจากอากาศร้อน ทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เกิดได้ในผู้ที่ร่างกายแข็งแรง ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อนจัดทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเป็นเวลานานๆ ร่างกายปรับตัวไม่ทัน สูญเสียเหงื่อมาก ระดับความเข้มข้นของเลือดและเกลือแร่ในร่างกายเข้มข้นเกินไป อาการเบื้องต้นได้แก่ รู้สึกกระหายน้ำมากๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก หมดสติได้
       
       ผู้ป่วยจะมีอาการตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเหงื่อออก ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่าจะมีเหงื่อออกด้วย หากเกิดอาการดังกล่าวจะต้องหยุดพักทันที การป้องกันโรคลมแดด ควรหลีกเลี่ยงการยืนตากแดดเป็นเวลานานๆ หากจำเป็นควรสวมหมวกหรือกางร่ม ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด ยกเว้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคไต รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอากาศร้อนทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์จะสูง ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เกิดอาการปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะบ่อย ขาดน้ำ เป็นต้น
       
       ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานร่าเริง แต่ก็ไม่ควรละเลยการใส่ใจในการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ต้องระวังเรื่องความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม และยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ด้วยการทานอาหารที่สุกใหม่สะอาด งดอาหารสุกๆ ดิบๆ หลีกเลี่ยงการทานอาหารค้างคืนหรืออาหารที่ปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน ดื่มน้ำที่สะอาดผ่านการกรองหรือต้มสุกมาแล้ว ล้างมือก่อนปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ใช้ช้อนกลางหากทานอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแมลงวันตอม และเวลาเล่นน้ำสงกรานต์ควรจะใช้น้ำสะอาดในการเล่น อย่าใช้มือในการสัมผัสกับดวงตา ไม่ควรแช่อยู่ในเสื้อผ้าเปียกเป็นเวลานานๆ ควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่แห้งทันทีหลังเล่นน้ำเสร็จ เพื่อป้องกันเชื้อโรคและปรสิตที่ปะปนมากับน้ำ
       
       เมื่อเราเล่นน้ำเสร็จแล้วก็ควรรีบล้างตัวให้สะอาดด้วยสบู่ และเช็ดตัวให้แห้ง และหลักสำคัญคือควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน และหากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
       
       เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นประเพณีที่ดีงาม เราจึงควรช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมนี้ไว้ ด้วยการนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นเป็นหลัก ระวังอย่าสาดน้ำแรงจนทำให้ผู้อื่นสำลัก อย่าเล่นน้ำด้วยความคึกคะนองจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เท่านี้คุณก็จะอยู่กับอากาศร้อนในช่วงสงกรานต์ได้อย่างมีความสุขและความสนุกสนานอย่างมีวัฒนธรรม


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 10, 2014, 06:25:36 am
7 วิธีป้องกัน “โรคอุจจาระร่วง” เมื่อต้องหม่ำข้าวนอกบ้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2557 19:32 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000040155-


กรมควบคุมโรคเผยแค่ 3 เดือน คนไทยป่วยอาหารเป็นพิษแล้ว 3.1 หมื่นราย สำรวจพบออกนอกบ้านประชาชนกลัวโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษมากที่สุด แนะ 7 วิธีป้องกันตัวเองเวลากินข้าวนอกบ้านให้ปลอดภัยจากโรค

 วันนี้ (9 เม.ย.) ที่กรมควบคุมโรค นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานแถลงข่าว ดีดีซีโพล ครั้งที่ 4 เรื่อง “โรคและภัยสุขภาพจากการท่องเที่ยว: โรคอาหารเป็นพิษ” ว่าจากข้อมูลเฝ้าระวังโรคอาหารเป็นพิษ โดยสำนักระบาดวิทยา คร. ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. พบผู้ป่วยจำนวน 31,627 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 49.79 ต่อแสนประชากร สูงสุด 5 อันดับแรกคือ อุดรธานี หนองบัวลำภู อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และตราด โดยโรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสารพิษที่เชื้อโรคสร้างเข้าไป ซึ่งการปนเปื้อนอาจเกิดตั้งแต่แหล่งผลิตอาหาร แหล่งปรุง เสิร์ฟอาหาร หรือแม้กระทั่งปนเปื้อนขณะกิน อาการที่พบคือ ถ่ายเหลว ร่วมกับปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว และปวดข้อ เป็นต้น
       
       “โรคอาหารเป็นพิษมักป่วยไม่รุนแรง ยกเว้นกรณีได้รับเชื้อชนิดรุนแรง ในรายที่เสียน้ำและเกลือแร่มาก ในกรณีเด็กหรือผู้สูงอายุ เป็นต้น โรคนี้รักษาได้ตามอาการ เช่น การทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายเกลือแร่ และน้ำตาลทางปาก” อธิบดี คร. กล่าว
       
       นพ.โสภณ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 3,112 ตัวอย่าง พบว่าโรคเกี่ยวกับอาหารและน้ำในช่วงหน้าร้อนที่อยากให้ คร. ดำเนินการมากที่สุดคือ โรคอุจจาระร่วง ร้อยละ 53.8 รองลงมาคือ โรคอาหารเป็นพิษในนักเรียน ร้อยละ 23.3 และโรคอหิวาตกโรค ร้อยละ 11.2 ส่วนโรคที่น่ากลัวที่สุดขณะเดินทางคือ โรคอุจจาระร่วง/อาหารเป็นพิษ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างในสังคมชนบท เมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษไม่สามารถทำน้ำเกลือแร่ร้อยละ 59.1 ไม่แน่ใจทำน้ำเกลือแร่เพื่อรักษาตัวเองเบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ร้อยละ 57.5 ทั้งนี้ ร้อยละ 75.7 คิดว่าน้ำแข็งที่แบ่งขายตามท้องตลาด ร้านอาหารไม่สะอาด สำหรับการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาร้าดิบ ก้อยดิบ ลาบดิบ พบว่ากินเป็นประจำ 5-7 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 61.8 ที่สำคัญไม่เคยล้างมือก่อนการเตรียมและปรุงอาหาร มากกว่าเป็น 2 เท่าของกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในเมือง
       
       นพ.โสภณกล่าวว่า วิธีป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ต้องป้องกันสาเหตุคือ การป้องกันการติดเชื้อทางอาหาร น้ำดื่ม และทางมือ ทั้งนี้เมื่อต้องเดินทางสามารถป้องกันได้โดย 1. ถ้าเตรียมอาหารไปจากบ้าน ไม่ควรเตรียมอาหารที่บูดเสียง่าย เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท ไม่เก็บในที่ร้อนเกินไปและนานเกินไป ควรทำให้ร้อนก่อนกิน 2. กรณีใช้อาหารกระป๋องสำเร็จรูป เลือกยี่ห้อและร้านค้าที่เชื่อถือได้ ฉลากอยู่ครบ มีวันหมดอายุชัดเจน กระป๋องไม่มีรอยบุบ หรือโป่ง 3. เมื่อกินอาหารตามร้าน ควรเลือกร้านที่ได้รับการรับรอง เลือกกินอาหารปรุงสุก ใช้วัตถุดิบสด จัดเก็บได้ถูกต้อง ไม่มีแมลงวันตอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และผักสด
       
       นพ.โสภณกล่าวว่า 4. เลือกซื้ออาหารที่ไม่ปรุงอาหารทิ้งไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอาหารที่มีกะทิประกอบ ส่วนยำ ลาบ ต้องปรุงให้สุก 5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่คุ้นเคย 6. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนเตรียมอาหารและกินอาหาร รวมทั้งหลังจากเข้าห้องน้ำ 7. ดื่มน้ำสะอาด ถ้าต้องดื่มน้ำนอกบ้าน เลือกดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์ที่มีตรา อย. และถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรนำมาต้มให้เดือดก่อน
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 16, 2014, 03:09:42 am

เตือนภัย! จอดรถเปิดแอร์นอน-ปิดกระจกถึงตาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 เมษายน 2557 13:48 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000042052-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004355701.JPEG)

 สพฉ. เตือนภัยเงียบเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ จอดพักรถนอนเปิดแอร์และปิดกระจก ถึงตายได้เพราะสูดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แนะก่อนเดินทางควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อม หากต้องจอดพักเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย
       
       นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงของการเดินทางกลับบ้านของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังมีภัยเงียบที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือการจอดพักรถริมข้างทางแล้วเปิดแอร์เพื่อนอนหลับพักผ่อน ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ได้มีผู้ขับขี่รถต้องเสียชีวิตจากการเปิดแอร์นอนในรถแล้วหลายราย อันตรายจากการสตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์นอนไปด้วยนั้นถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม เพราะการเปิดแอร์พร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้และปิดกระจกรถมิดชิดทั้ง 4 ด้านนั้น จะทำให้ระบบแอร์ของรถยนต์ซึ่งจะต้องดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาหมุนเวียนภายในรถ จะดูดเอาควันจากท่อไอเสียรถยนต์เข้ามา ซึ่งในไอเสียรถยนต์มีทั้งก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ระบุว่าการสูดดมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่องซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจากมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเมื่อระบบแอร์ของรถยนต์ดูดก๊าซเหล่านี้เข้ามาเมื่อเรานอนหลับอยู่เราก็จะสูดดมก๊าซเหล่านี้เข้าไปด้วย และจะส่งผลต่อร่างกายของเราโดยทำให้เราค่อยๆ หมดสติจนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตไปในที่สุด
       
       นพ.อนุชา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลควรจะวางแผนการเดินทางให้ดี โดยต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการเดินทางให้ละเอียดเพื่อย่นระยะเวลาของการเดินทางให้ไวขึ้น และเลือกใช้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัย  และควรตรวจเช็กสภาพของรถให้พร้อมทั้งระบบเบรก สภาพเครื่องยนต์ใบปัดน้ำฝน หรือสัญญาณไฟต่างๆ ของรถ  และเมื่อรู้สึกง่วงก็ควรที่จะจอดรถนอนหลับพักผ่อนประมาณ 30-40 นาทีในที่ที่เหมาะสม อาทิ ป้อมตำรวจ ปั๊มน้ำมันที่มีไฟส่องสว่าง เมื่อจอดรถยนต์แล้วก็ควรดับเครื่องยนต์รถ และแง้มกระจกลงเล็กน้อยเพื่อทำให้เกิดการระบายอากาศภายในรถ และควรปรับเบาะรถให้พอดีกับการนอน  และอย่าลืมหากบาดเจ็บ หรือป่วยฉุกเฉินให้โทรหาสายด่วน 1669  ซึ่งเราพร้อมในการดูแลประชาชนทุกคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 16, 2014, 03:20:34 am



โรคไฟลามทุ่ง

-http://guru.sanook.com/26934/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87/-

(http://img.medscape.com/pi/emed/ckb/dermatology/1048885-1052445-48.jpg)


ไฟลามทุ่ง เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นแดงลุกลามเร็ว คล้ายไฟลามทุ่ง สามารถรักษาให้หายขาดด้วยยาปฏิชีวนะที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค

ข้อสำคัญ ต้องรีบรักษาตั้งแต่แรก หากปล่อยทิ้งไว้ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเป็นอันตรายได้

ชื่อภาษาไทย

ไฟลามทุ่ง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ

ชื่อภาษาอังกฤษ

Erysipelas. St. Anthony's Fire

สาเหตุ

โรคนี้เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้น (upper subcutaneous tissue) รวมทั้งท่อน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า "เบตาเฮโมโลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (betahemolytic group A streptococcus)" มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า streptococcus pyogenes ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับที่ทำให้คอหอยหรือทอนซิลอักเสบ ส่วนน้อยอาจเกิดจากสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น หรือเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น

เชื้อจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยแยกของผิวหนัง (เช่นผลถูกของมีคมบาด แผลถลอก รอยแกะเกา แผลผ่าตัด) ผู้ป่วยมักมีประวัตเกิดบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณที่จะเกิดไฟลามทุ่งมาก่อน (แต่บางคนอาจไม่มีประวัติดังกล่าวชัดเจนก็ได้)

โรคนี้มักพบในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ยาสตีรอยด์ ซึ่งอาจผสมอยู่ในยาชุด ยาลูกกลอน) ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา (นำไปทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ) หรือผู้ที่มีภาวะอุดตันหลอดเลือดหรือท่อน้ำเหลือง

อาการ

มักพบผิวหนังมีการอักเสบ เป็นผื่นแดง ปวด บวม ร้อน (ใช้หลังมือคลำจะออกร้อนกว่าผิวหนังปกติ) ส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยมักมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศรีษะ ร่วมด้วย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หลังติดเชื้อ (มีบาดแผล)

ต่อมาผื่นจะลุกลามขยายออกโดยรอบอย่างรวดเร็วแผ่เป้นแผ่นกว้าง ขอบนูนแยกออกจาผิวหนังที่ปกติอย่างชัดเจน และมีลักษณะคล้ายผิวส้ม เมื่อกดตรงบริเวณนั้นสีจะจางลงและมีรอยบุ๋มเล็กน้อย

ผื่นแดงที่แผ่ลามออกไปรวดเร็วนี้ เกิดจากพิษ (exotoxin) ของเชื้อโรค ไม่ใช่จากตัวเชื้อโดยตรง แม้ว่าเชื้อจะถูกกำจัดจากการใช้ยา พิษที่ตกค้างอยู่ก็ยังคงทำให้ผื่นลุกลามต่อไป จึงได้ชื่อว่า "ไฟลามทุ่ง"

ระยะท้าย ผื่นจะยุบและค่อยๆ จางหายไป ผิวหนังอาจจะลอกเป็นขุย และใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ กว่าผื่นจะหายสนิท โดยไม่เป็นผลเป็น

บางรายอาจพบรอยโรคเป็นเส้นสีแดง เนื่องจากท่อน้ำเหลืองอักเสบ ก่อนที่จะพบรอยผื่นแดงที่แผ่กระจาย และอาจพบต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณใกล้เคียงบวมโตและเจ็บ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดตุ่มน้ำพอง มีน้ำเหลืองเยิ้ม มักจะไม่เป็นหนองข้น (ถ้าเป็นหนองมักเกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ)

มักเกิดบริเวณขา อาจพบที่แก้ม รอบหู รอบตา แขน นิ้วมือ หรือนิ้วเท้าก็ได้

การแยกโรค

ผิวหนังอักเสบเป็นรอยผื่นแดง ปวด ร้อน อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (cellulitis) มีสาเหตุและลักษณะอาการแสดงแบบเดียวกับไฟลามทุ่ง แต่กินลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกกว่า ได้แก่ชั้นไขมันด้วย ผื่นจะมีขอบไม่ชัดเจนแบบไฟลามทุ่งและอาจพบเป้นหนองหรือผิวหนังกลายเป็นเนื้อตายร่วมด้วย

งูสวัด (herpes zoster) ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อนและมีตุ่มน้ำพุขึ้นเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท อาจพบที่ใบหน้า ต้นแขน ชายโตรง หรือขา มักเกิดขึ้นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ต่อมาตุ่มจะแห้งตกสะเก็ด และทุเลาภายใน 2-3 สัปดาห์ อาจมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ลมพิษ (urticaria) ผู้ป่วยจะมีผื่นนูนแดง และคัน ไม่ปวด เกิดขึ้นฉับพลัน หลังมีอาการแพ้ เช่น แพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ฝุ่น เป็นต้น มักไม่มีไข้และจะขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย

เกาต์ (gout) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อ ข้อบวมแดงร้อน มักเป็นที่ข้อหัวแม่เท้า หรือข้อเท้าเพียงข้อใดข้อหนึ่ง อาจมีไข้ร่วมด้วย มักเกิดขึ้นหลังกินเลี้ยง ดื่มสุรา หรือกินอาหารที่ให้ยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล พืชผักหน่ออ่อน ยอดผัก

การวินิจฉัย

แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งจากลักษณะอาการแสดง และการตรวจพบผื่นแดงร้อน ปวด บวม ลุกลามเร็ว มีขอบชัดเจน

ในรายที่ไม่แน่ใจ อาจทำการตรวจเลือด หรือเพราะเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิาแทรกซ้อน

การดูแลตัวเอง

หากพบมีอาการอักเสบของผิวหนัง คือเป็นรอยผื่นแดง ร้อน ปวด บวม ลุกลามรวดเร็ว หรือมีไข้ร่วมด้วยควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น กินยาสตีรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน)

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไฟลามทุ่ง ควรรับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์แนะนำ อย่าหยุดยาเอง หรือหันไปใช้วิธีรักษาอื่น

ผู้ป่วยควรหยุดพักการเคลื่อนไหว และยกแขนหรือขาข้างที่เป็นให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดและบวม

บางรายอาจต้องใช้ผ้ายืด (elastic bandage) พันตามคำแนะนำของแพทย์

การรักษา

แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อเช่น เพนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน นาน 10-20 วัน ถ้ามีไข้หรือปวดมาก ให้พาราเซตามอลบรรเทา ในรายที่เป็นรุนแรง หรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลและใช้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน) ชนิดฉีด จนกว่าจะทุเลาจึงค่อยเปลี่ยนเป็นยาปฏิชีวนะชนิดกิน

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งหากพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

บางรายเชื้ออาจแพร่กระจายไปที่หัวใจ (กลายเป็นเยื่อบุหัวใจอักเสบ) หรือข้อ (กลายเป็นข้ออักเสบชนิดเป็นหนอง)

ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาจกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียงพลัน (acute glomerulonephritis) มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดงคล้ายสีน้ำล้างเนื้อ

ร้อยละ 16-30 ของผู้ป่วยโรคนี้หลังจากรักษาหายแล้ว อาจกำเริบซ้ำได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน ผู้สูงอายุ) หรือมีความผิดปกติของท่อน้ำเหลือง

ถ้าเป็นซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้ท่อน้ำเหลืองถูกทำลายถาวร เกิดอาการบวมแขนหรือขาได้

การดำเนินโรค

หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก อาการมักจะทุเลาภายใน 24-72 ชั่วโมง คือไข้ลด อาการปวดหรือร้อนของผื่นลดลง

ส่วนผื่นอาจลุกลามต่อไป และจะค่อยๆ จางหายไปใน 2-3 สัปดาห์ ในรายที่ได้รับการรักษาช้าเกินไป หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจรุนแรงถึงเป็นอันตรายได้

การป้องกัน

1. ระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนัง

2. ถ้ามีบาดแผลเกิดขึ้น รีบล้างด้วยน้ำสบู่ และใช้ขี้ผึ้งที่เข้ายาปฏิชีวนะทา

3. หากพบผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงร้อน หรือมีลักษณะเป็นเส้นสีแดง หรือมีไข้ร่วมด้วย หรือเป็นเบาหวาน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่นๆ

ความชุก

ไฟลามทุ่ง พบได้บ่อยในผู้ที่มีบาดแผลหรือรอยแยกที่ผิวหนัง โดยเฉพาะในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยาสตีรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้ามกัน ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา

ข้อมูลจาก : http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/)























หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 19, 2014, 12:59:33 pm
วิธีดูแลตัวเองเมื่อนอนดึก พักผ่อนน้อย

-http://guru.sanook.com/26956/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-




การนอนดึก พักผ่อนน้อย เป็นเหตุให้อายุสั้น การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด

ดัง นั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว

ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอา พลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่าง กายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่

แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้ง ทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูก งอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรีย เข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้า เส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ

คนที่ไม่มี เหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ

ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นใน ตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้

แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้ สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Samitivej Club

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 19, 2014, 06:46:18 pm
เคล็ด(ไม่)ลับต้มผักให้ได้ประโยชน์


-http://club.sanook.com/27094/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-



ในอาหารหลัก 5 หมู่ “ผัก” เป็นอาหารที่รวมรวมวิตามิน เกลือแร่และใยอาหารอยู่มากมาย มีคุณสมบัติช่วยรักษา หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยบางประเภทได้ ผู้คนจึงนิยมบริโภค “ผัก” กันมากขึ้น และเมนูที่ใช้ “ผัก” ก็มีอยู่มากมายทั้งผัด ต้ม หรือลวก วันนี้ Sanook! Club มีวิธีต้มผัก หรือลวกผักให้ไม่เสียวิตามิน หรือคุณค่าทางอาหารมาฝากค่ะ

 

- ใช้น้ำน้อย หากใช้น้ำในปริมาณมาก จะทำให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำที่ต้มผักมากไปด้วย

- ต้มน้ำให้เดือดก่อนจึงใส่ผักลงไป และใช้เวลาต้มน้อยที่สุด (ไม่เกิน 3 นาที) เพราะวิตามินบางชนิดจะสลายไปเมื่อโดนความร้อนนานๆ

- ใส่เกลือเล็กน้อยขณะน้ำเดือดจัด จะช่วยให้ผักต้มสุกเร็วขึ้น

- ไม่ควรหั่นผักชิ้นใหญ่ จะทำให้สุกช้า

- ผักที่เป็นหัว เช่นแครอท หัวไชเท้า ควรต้มน้ำเดือดอ่อนๆ และต้มทั้งหัว

- ตักผักที่ต้มสุกได้ที่แล้วลงไปแช่ในน้ำเย็นจัด ทำให้ผักคงสีเขียวสดน่ารับประทาน
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 09:45:16 am
โรคพิษสุนัขบ้า ป่วยแล้วตายทุกราย แพทย์แนะถูกกัดข่วนรีบหาหมอ

-http://health.kapook.com/view86453.html-


โรคพิษสุนัขบ้า ปัญหาที่ทุกคนต้องตระหนัก (สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค)

          โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ป่วยแล้วตายทุกราย แพทย์แนะผู้ที่ถูกสัตว์ต้องสงสัยโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข แมว กัดหรือข่วน ให้รีบล้างแผล ใส่ยา กักหมา แล้วรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน

          เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวถึงสถานการณ์การพบสุนัขเพศเมียพันธุ์ผสมพุดเดิ้ล อายุ 3 ปี ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า และทำให้ลูกสุนัขที่นำไปขายในจังหวัดมหาสารคามติดเชื้อด้วยว่า ทางปศุสัตว์อำเภอโกสุมพิสัย ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุข และองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบถึงการระบาด และดำเนินการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมทั้งวิธีการปฏิบัติหลังสัมผัสสุนัขและแมวที่ต้องสงสัยในพื้นที่รอบจุดเกิดโรครัศมี 5 กิโลเมตรแล้ว

          พร้อมกันนี้ กรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดโครงการรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และส่งเสริมการเลี้ยงสุนัขที่ถูกต้องทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้เลี้ยงสุนัขนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองไปฉีดวัคซีนกระตุ้นตามที่สัตวแพทย์กำหนด และฉีดซ้ำทุกปีไม่ต้องรอหน้าร้อน เพราะโรคพิษสุนัขบ้าเกิดได้ตลอดทั้งปี

          ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุม กล่าวว่า โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เกิดจากเชื้อไวรัสเรบี่ส์ สัตว์นำโรคได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น ชะนี กระรอก กระแต กระต่าย ลิง ค้างคาว หรือแม้กระทั่งสัตว์เศรษฐกิจ วัว ควาย แพะ แต่ สัตว์นำโรคที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย คือ สุนัข โดยมีผู้ป่วยร้อยละ 95 ติดเชื้อมาจากสุนัขกัดหรือข่วน รองลงมาคือ แมว ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าในน้ำลายได้ 1-7 วัน ก่อนแสดงอาการโรคพิษสุนัขบ้า

          ทั้งนี้ อาการของโรคพิษสุนัขบ้าที่พบในคนนั้น อาการเริ่มแรก คือ เบื่ออาหาร เจ็บคอ มีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการคันรุนแรงบริเวณที่ถูกกัด แล้วอาการคันลามไปส่วนอื่น ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย กลัวแสง กลัวลม ไม่ชอบเสียงดัง เพ้อเจ้อ กลืนลำบาก โดยเฉพาะของเหลว กลัวน้ำ ปวดท้องน้อยและกล้ามเนื้อขากระตุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรืออาจชัก เกร็ง อัมพาต หมดสติ และตายในที่สุด

 สำหรับโอกาสที่จะเจ็บป่วยหลังถูกสัตว์ที่ป่วยหรือมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วนขึ้นอยู่กับ

          1. จำนวนเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าที่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งบาดแผลที่ถูกกัดมีขนาดใหญ่ ลึก หรือมีบาดแผลหลายแห่งจะมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้มาก

          2. ตำแหน่งที่ถูกกัด หรือตำแหน่งที่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่ร่างกาย เช่น ศีรษะ หรือ บริเวณที่มีปลายประสาทมาก เช่น มือหรือเท้า เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ระบบประสาทได้ง่าย

          3. อายุของคนที่ถูกสุนัขกัดหรือข่วน เช่น เด็กและผู้สูงอายุจะมีความต้านทานต่อโรคพิษสุนัขบ้าต่ำกว่าคนหนุ่มสาว

          4. สายพันธุ์ของเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ถ้าเป็นสายพันธุ์จากสัตว์ป่า จะมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์จากสัตว์เลี้ยง

          อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า ประชาชนควรปฏิบัติตัวดังนี้

          1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สัตว์เลี้ยง ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน และฉีดซ้ำทุกปี แม้จะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านเพราะอาจถูกสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดขณะที่เห่าบริเวณช่องรั้วบ้าน หรือถูกกัดขณะเจ้าของเปิดประตูบ้านโดยที่เจ้าของไม่ทราบ หรือจากสุนัขที่นำเข้ามาเลี้ยงใหม่

          2. ปฏิบัติตามคำแนะนำ 5 ย คือ อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ และอย่ายุ่ง เพื่อป้องกันการถูกสุนัขกัด (อย่าแหย่ให้สุนัขโมโห อย่าเหยียบสุนัข (หาง, ตัว, ขา) หรือทำให้สุนัขตกใจ อย่าแยกสุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามอาหารขณะสุนัขกำลังกิน และอย่ายุ่งกับสุนัขนอกบ้านหรือที่ไม่ทราบประวัติ)

          3. เมื่อถูกสุนัขกัดให้ล้างแผลให้สะอาด และรีบไปพบแพทย์ ส่วนสุนัขที่กัดให้ขังดูอาการเป็นเวลาอย่างน้อยเป็นเวลา 10 วัน

          "โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้ หากติดเชื้อและมีอาการแล้วเสียชีวิตทุกราย ป้องกันได้ด้วยการนำสัตว์เลี้ยงไปรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนด ใช้คาถา 5 ย ถ้าถูกสุนัขหรือสัตว์กัดข่วนให้รีบล้างแผล ใส่ยา กักหมา หาหมอ ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 0-2590 3177-78 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเน้นย้ำในตอนท้าย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.ddc.moph.go.th/-

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 23, 2014, 10:15:29 pm
สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 เมษายน 2557 15:55 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000045199-

  สธ. เตือนสัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ ระวังโรคลมแดด ชี้อันตรายร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจถึงตาย เผยหน้าร้อนปีที่แล้วตายถึง 20 ราย แนะ 6 กลุ่มเสี่ยงป้องกันตัว โดยเฉพาะคนสูงอายุ เด็ก ความดัน อ้วน อดนอน ทำงานกลางแดด และกินเหล้า ให้ดื่มน้ำมากๆ เลี่ยงแดด ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนดี

สัปดาห์นี้ร้อนสุดๆ “คนอ้วน-เด็ก-แก่” ระวัง “โรคลมแดด” อาจถึงตาย!!
   
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุด ที่น่าห่วงและมีอันตรายคือ โรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (Heat stroke) ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่ร่างกายไม่สามารถปรับความร้อนในร่างกายได้ อุณหภูมิร่างกายจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หน้ามืด เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ กลุ่มเสี่ยงมี 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด 2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบและผู้สูงอายุ 3. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 4. คนอ้วน 5. ผู้ที่อดนอน และ 6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
       
       “ร่างกายของคนอ้วนและผู้ที่อดนอน จะตอบสนองต่อความร้อนที่ได้รับช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีไขมันใต้ผิวหนังมาก กลายเป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้ร่างกายระบายความร้อนออกได้น้อยกว่าคนทั่วไป ส่วนคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ร่างกายจึงสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนไม่ได้ดื่ม ที่สำคัญอากาศที่ร้อนจัดทำให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย แต่เลือดไปเลี้ยงที่ตับ ไตน้อยลง ทำให้ไตวาย ร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้” ปลัด สธ. กล่าว
       
       ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ปัญหาจากอากาศร้อนมีผลกระทบต่อสุขภาพ 4 ระดับ ได้แก่ 1. ผิวหนังไหม้ (Sun burn) 2. ตะคริวจากความร้อน (Heat cramp) เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อมาก 3. เพลียแดด (Heat exhaustion) จากร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง มีอาการหน้าซีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด ตาลาย และ 4. ลมแดด (Heat Stroke) ทั้งนี้ สำนักระบาดวิทยา รายงานปี 2546-2556 มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดรวม 196 ราย เป็นผู้สูงอายุมากที่สุด รองลงมาคือผู้มีอาชีพรับจ้าง มีโรคประจำตัว และดื่มสุรา โดยปี 2556 มีผู้เสียชีวิต มี.ค. - เม.ย. จำนวน 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายและอายุมากกว่า 60 ปี เสียชีวิตในบ้านมากที่สุด รองลงมาคือ ที่ทำงาน และในรถยนต์
       
       นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือผู้เป็นลมแดด ให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด คลายชุดชั้นในและถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือน้อยชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ ตัว รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก ร่วมกับการใช้พัดลมช่วยเป่าระบายความร้อน หรือเทน้ำเย็นราดตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลง และรีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ในรายที่อาการยังไม่มากควรให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ส่วนการป้องกันนั้น ช่วงที่อากาศร้อนขอให้ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี ลดกิจกรรมออกแรงกลางแจ้ง ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดกลางแจ้ง ผู้ที่ออกกำลังกายควรทำในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ซึ่งอากาศไม่ร้อนมาก และค่อยเป็นค่อยไป ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียนปวดศีรษะ ใจสั่น ขอให้พบแพทย์



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 26, 2014, 07:54:54 am
อากาศร้อน...กลิ่นตัวแรง..กำจัดอย่างไรดี


-http://guru.sanook.com/27011/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99...%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87..%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5/-



วันนี้พี่เอมี่เจอเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาปรึกษาปัญหากลิ่นตัว..เพราะอากาศร้อนมาก อาบน้ำไม่นานเหงื่อก็ออกอีกแล้ว เพื่อนพี่บอกว่าขนาดใช้โรลออนที่โฆษณาว่าได้ผลนักหนายังไม่ช่วยอะไรเลย ทำอย่างไรดี

โดยปกติแล้วทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนดม ต่างจาก กลิ่นตัว (Body Odor) ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมของร่างกาย ขับเหงื่อและไขมันออกมาทางผิวหนัง ทำให้เกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดการเปื่อยยุ่ย และลอกออกของผิวหนัง จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้ว และขับกรดออกมาทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุด คือ ที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่างๆ และอวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยออกไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ
นอกจากนี้ อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิด ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มีสารเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน

แล้วทำอย่างไรจะช่วยกำจัดหรือลดปัญหากลิ่นตัวได้บ้าง

1. รักษาความสะอาด อาบน้ำให้สะอาด สวมเสื้อผ้าที่สะอาด โดยเลือกเนื้อผ้าที่ใช้เส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายเหงื่อได้ดี ในกรณีที่กลิ่นยังติดอยู่บนเสื้อผ้า ซักด้วยผงซักฟอกแล้วยังไม่ออก ให้ลองแช่ผ้าในน้ำเกลืออุ่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยใช้เกลือ 3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร
2. ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน เพราะร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลีนออกมา
3. ทำดีท็อกซ์ การสะสมสารพิษในร่างกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน ปัญหานี้ช่วยได้ด้วยการทำดีท็อกซ์
4. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆเพราะจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย ดังนั้นขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบางประเภทก็ส่งผลต่อปัญหากลิ่นตัวของเราได้ ดังนั้น มีวิธีลดกลิ่นตัวด้วยอาหาร ดังนี้

1. กินอาหารหลากหลาย กินโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สดโดยเฉพาะแก้วมังกรวันละ 1 จานเล็ก จะช่วยได้ดี หรือน้ำคั้นสดจากผักและผลไม้ รวมทั้งกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล 2. เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กุยช่าย ขิงสด สะตอ หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ รวมถึงเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3. เลี่ยงอาหารก่อพิษ จำพวกเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะใต้วงแขน และที่สำคัญจะก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้  ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่หากเกิดปัญหากลิ่นตัวแล้ว จะระงับได้อย่างไร พี่เอมี่มีวิธีด้วยสมุนไพรตามแบบธรรมชาติมาแนะนำค่ะ

1. ใบพลู นำใบพลูมาขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ เพราะใบพลูมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายชนิด 2. ใบฝรั่ง นอกจากจะช่วยระงับกลิ่นปากได้แล้ว ใบฝรั่งยังช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน โดยนำใบฝรั่งประมาณ 10 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วทารักแร้ ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วอาบน้ำให้สะอาด 3. มะนาว ใช้มะนาวผ่าซีกทาบริเวณรักแร้ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 4. มะขามเปียก คั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ มะขามเปียกจะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมม

ถ้าสมุนไพรยากไป มีอีกหลายวิธีที่นิยมค่ะ

1. สารส้ม ใช้สารส้มถูทาที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง โดยทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่ 2. สารส้มและพิมเสน นำสารส้มสะตุผสมพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย ทาที่รักแร้ปล่อยให้แห้ง 3. ปูนแดง ใช้ปูนแดงผสมน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ เพื่อใช้ความเป็นด่างของปูนแดง ช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวหนัง (อย่าใช้ปูนแดงปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้กัดผิวได้) 4. สารสกัดจากสะระแหน่ หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยด ใส่ลงในอ่างอาบน้ำ เพราะสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว

และสุดท้าย เพื่อสาวทำงานแบบพี่เอมี่โดยเฉพาะ

วิธีกำจัดกลิ่นตัวอย่างง่ายในออฟฟิศ

ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาด หยดโคโลญเล็กน้อย หรือจะใช้น้ำมันหอมกลิ่นที่ชอบก็ได้ เช็ดใต้วงแขน หรือแผ่นหลัง สัก 1-2 รอบ จะรู้สึกสบายตัว เหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เป็นวิธีขจัดเหงื่ออย่างได้ผล และไม่เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาอีกด้วย  ก่อนจากไป ขอสารภาพว่ายังไม่เคยทดลองใช้วิธีไหนเลยค่ะ เพื่อนๆ คนไหนทดลองแบบใดได้ผลไม่ได้ผลอย่างไรบอกข่าวกันบ้างก็ดีนะคะ...Happy Summer ค่ะ

ที่มา : sizterss.blogspot.com


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 07:54:21 am
10 วิธีลดเครียดเพียง 5 นาที!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   30 เมษายน 2557 07:38 น.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000046788-


By Lady Manager
       
       ความเครียด ไม่ควรเก็บไว้นาน ควรเอามันออกจากหัว และหัดปล่อยวางบ้าง เพราะสังคมทุกวันนี้อาจจะต้องแข่งขันกันสุดๆ
       
       เรามีวิธีลดเครียดด้วยวิธีแสนง่าย และรวดเร็วมาฝากกันค่ะ ปิ๊ง!! เพียงแค่ 5 นาที หายเครียดเป็นปลิดทิ้ง
       
       1. จิบชาเขียว

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844201.JPEG)
       ชาเขียวเป็นแหล่งที่มาของ L-Theanine สารเคมีที่ช่วยให้บรรเทาความโกรธ ต้มน้ำที่เทออกและใช้จิบผ่อนคลายเป็นประจำทุกวันช่วยคุณให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสิ่งรายล้อมอันแสนจะวุ่นวาย แถมยังทำให้สุขภาพดีด้วยนะ
       
       2. เคี้ยวหมากฝรั่ง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844202.JPEG)
       รสมิ้นต์, ผลไม้  ของหมากฝรั่งนุ่มๆ เหนียวๆ หวานๆ เย็นๆ เคี้ยวปุ้บจะทำให้คุณหายเครียดทันทีทันใด เป็นวิธีลดเครียดที่ง่ายและรวดเร็วที่จะเอาชนะความเครียด
       
       เพียงไม่กี่นาทีของการเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถลดความวิตกกังวลและลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกหลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดความเครียด หรือนอนไม่เพียงพอ
       
       แม้แต่การกินขนมขบเคี้ยวช่วยลดความเครียดได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืช และช็อคโกแลตชิป กินสักหนึ่งกำมือคุณก็พอจ้ะ มิเช่นนั้นน้ำหนักอาจจะพุ่งพรวดได้ เครียดหนักกว่าเดิม
       
       3. ใช้ความคิดสร้างสรรค์
       
       การสร้างภาพในจิตนาการ หรือความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราได้รับความสุขแห่งจินตนาการ มันจะเพิ่มอารมณ์สุขขึ้นมาทันทีในวันที่เรารู้สึกเครียด และตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว
       
       4. วางหัวลงบนหมอน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844203.JPEG)
       การนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นสิ่งที่ดี แต่หากคุณอยู่ในออฟฟิศและมีความเครียดสะสมในช่วงเช้า พอถึงช่วงเที่ยงหรือบ่าย หากคุณมีเวลางีบสัก 10-15 นาที จะสามารภทำให้สมอง จิตใจ ร่างกาย ได้รับการพักผ่อนและชาร์ทพลัง
       
       ดังนั้นการมีหมอนนุ่มๆ เล็กไว้ในโต๊ะทำงานก็เป็นสิ่งที่เยี่ยมมาก เพียงวางหัวของคุณลงบนหมอนนุ่มๆ หรือเบาะนุ่มๆ เพียงไม่กี่นาทีจะทำให้คุณคลายกังวล ตื่นมาด้วยจิตที่เบิกบานได้ ลองดูสิ
       
       5. หายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ
       
       ค่อยๆ หายใจเข้าและหายใจลึกๆ กำหนดลมหายใจเหมือนการนั่งสมาธิ เพียงแค่นี้ก็ช่วยลดความเครียดได้ ซึ่งบางทีเรามักลืมทำ แต่เป็นวิธีคลายเครียดที่เลิศมาก
       
       การหายใจช้าๆ ลึกๆ สามารถช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจได้ บรรเทาความวิตกกังวล รักษาสมดุลของจิตและกาย
       
       6. นวดมือด้วยตัวเอง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844204.JPEG)
       ระหว่างทำงาน มือวางบนคีย์บอร์ด ตาจ้องหน้าคอมพ์ แน่นอนทั้งร่างกายล้าโดยไม่รู้ตัวเพราะคร่ำเคร่งกับงานหยุดจากจอคอมพ์สักครู่
       
       จากนั้นหันมาคว้าโลชั่น โดยบีบบนฝ่ามือ และใช้มือนวดฐานของกล้ามเนื้อใต้นิ้วหัวแม่มือเพื่อบรรเทาความเครียด ไหล่ คอ
       
       นอกจากนี้ การได้ยืดแข้งยืดขา สามารถคลายกล้ามเนื้อได้เช่นกัน
       
       7. หลับตาลง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844205.JPEG)
       ไม่ต้องหลับลึกนะคะ เพียงแค่หลับตาจากความวุ่นวาย พักสายตา และสมองด้วยวิธีที่รวดเร็วและง่าย แค่ลดเปลือกตาจะทำให้จิตสงบลดเครียดได้ดีจริงๆ
       
       8. หยดน้ำเย็นบนข้อมือของคุณ
       
       บริเวณข้อมือจะมีหลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ ภายใต้ผิวจะมีการระบายความร้อนเพื่อให้พื้นที่เหล่านี้สามารถช่วยให้สงบทั้งร่างกาย
       
       แนะนำว่า หากอยากลดความเครียดถูกต้องควรหยดน้ำเย็นให้โดนเส้นเลือดแดงจะทำให้ลดอุณหภูมิความร้อนได้ จิตใจสงบขึ้น
       
       9. หวีผม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844206.JPEG)
       การหวีผมบ่อยๆ หรือการเคลื่อนไหวบริเวณหนังศีรษะซ้ำๆ ด้วยการแปรงผมจะทำให้ผ่อนคลายได้ เหมือนได้นวดศีรษะ
       
       แปรงที่ผ่านหนังศีรษะซ้ำๆทั่วหัวจะทำให้คุณผ่อนคลาย บางคนถึงขนาดอยากนอนเลยก็มี นั่นหมายความว่า อาจแปรงผมจะช่วยให้คุณอยากพักผ่อน และลดเครียดได้
       
       10. อยู่คนเดียว

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000004844207.JPEG)
       การหลีกหนีจากผู้คน หรือสังคมอันวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวนานมาก เพียงแค่ 10-30 นาที หลีกหนีออกมาจากเพื่อนฝูงเจ้านายสักพัก
       
       เพราะการได้อยู่คนเดียวจะทำให้คุณอยู่กับจิตใจตัวเองจริงๆ สามารถช่วยทำให้มีสมาธิ และล้างความเครียดจากคนอื่นได้อย่างดี
       
       เรียบเรียงจากวูเมนเฮลธ์

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 10, 2014, 07:56:48 pm
บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com

บำบัดการปวดหลัง 2555 sripai.com (http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q#)

http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be (http://"http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be")

-http://www.youtube.com/watch?v=ECtcKE3Lr6Q&feature=youtu.be-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 07:12:43 pm
"ดร.เทอรี่ กรอสแมน" แนะวิธีบริหารสมองไม่เสื่อม

-http://campus.sanook.com/1371206/%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1/-


"หากคุณอยากบริหารสมองและฝึกความจำละก็ ลุกขึ้นมาเต้นรำกันเถอะ"

ข้อความข้างต้นเป็นหนึ่งในคำแนะนำจาก "ดร.เทอรี่ กรอสแมน" ผู้อำนวยการด้านการแพทย์นานาชาติ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล

ดร.เทอรี่ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเต้นรำไม่ว่าจะจังหวะอะไร สไตล์ไหน ทั้งวอลซ์ แทงโก้ รุมบ้า หรือซัลซ่า เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายสมองและเพิ่มความสามารถของสมอง เพราะต้องทำความเข้าใจกับท่าใหม่ ฟังเพลง ตัดสินใจ ตลอดจนจดจ่อกับจังหวะและท่าเต้น

นอกจากการเต้นรำแล้ว ดร.เทอรี่แนะนำเพิ่มเติมว่า การเรียนภาษาใหม่เพิ่มก็เป็นวิธีที่ดีอีก วิธีหนึ่งในการออกกำลังกายสมองเหมือนกัน โดยการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการทำงานหรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นวิดีโอเกม เล่นดนตรี เป็นต้น

การลดความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษาความจำ ซึ่ง ดร.เทอรี่มองว่า คนส่วนใหญ่สูญเสียความทรงจำ เพราะความเครียดมากกว่าโรคภัยหรือการเจ็บป่วยเสียอีก

"ความเครียดเป็นตัวทำลายความจำอันดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกต คือมีทั้งความเครียดที่ดีและไม่ดี ทุกคนควรรักษาความสมดุลของความเครียดทั้งสองส่วน"

กิจกรรมเพื่อลดความเครียดแบบง่าย ๆ ได้แก่ การเล่นโยคะ การนวด การออกกำลังกาย การรำไท้เก๊ก ฟังเพลง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน เมื่อคนเราอ่อนล้าหรือเหนื่อยมาก ๆ ร่างกายจะเกิดความเครียดและความดันเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น

การออกกำลังกายสมองตลอดช่วงชีวิตจะช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมชนิดต่าง ๆ ในเวลาต่อมาได้

ดร.เทอรี่กล่าวว่า การฟังเพลงเบา ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ เป็นวิธีเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับที่ดี สิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งก่อน

เข้านอน คือการมองที่หน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้จะรบกวนการนอนหลับ เพราะมนุษย์ไม่คุ้นเคยกับแสงสีนี้ในเวลากลางคืน

สิ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพสมองได้ คืออาหารที่มีคุณค่าและสมดุลทางโภชนาการ กล่าวคือ ควรรับประทานอาหารจำพวกปลา ผักและผลไม้สด หรือการดื่มไวน์ 1 แก้วต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติอย่างแปะก๊วยหรือวิโนซีติน ก็สามารถช่วยบำรุงสมองได้เช่นกัน

ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและอาหารทอด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือที่เรียกว่า "โรคเบาหวานของสมอง"

"ในอนาคต การใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเลตที่แพร่หลาย จะเปลี่ยนวิธีการใช้สมองของเรา เทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อวิธีการใช้สมองของเรา และอาจช่วยให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้น การวิจัยและพัฒนาสมองอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต จะทำให้การรักษาสมองจากโรคภัยและความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไป"

เพื่อเป็นการระแวดระวังไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างในระยะที่เกินเยียวยา ดร.เทอรี่แนะนำว่า หมั่นสังเกต

เห็นคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นญาติ คู่รัก หรือเพื่อน หากไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวัน อย่างการขับรถ แต่งตัว ทำอาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ ได้ ควรทำแบบประเมินกิจวัตรประจำวัน เพื่อดูว่าต้องรับการรักษาหรือไม่


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 10:27:12 am
“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

 
(http://club.sanook.com/31233/)
ความดันโลหิตสูง

 

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 11:33:54 am
วิธีป้องกันงูกัด-ปฐมพยาบาลอย่างไร เรื่องใกล้ตัวที่ต้องรู้ !

-http://health.kapook.com/view88365.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/ETC./snake.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วิธีป้องกันงูกัด งูชนิดไหนมีพิษบ้าง หากถูกกัดแล้วจะมีอาการอย่างไร แล้วจะปฐมพยาบาลอย่างไร เรื่องใกล้ตัวที่ต้องรู้รับฤดูฝน

          ฤดูฝนไม่ได้มาพร้อมกับสายฝนที่ชุ่มฉ่ำเท่านั้น แต่จะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังสัตว์มีพิษชนิดต่าง ๆ ที่พบได้บ่อยในช่วงนี้ด้วย โดยเฉพาะ "งู" ที่อาศัยอยู่ตามสภาพแวดล้อมใกล้ตัว เพราะหากไม่ระวังก็เสี่ยงถูกงูพิษกัดจนเสียชีวิตได้เลย

          สำหรับเรื่องของงูนั้น นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ได้ให้ความรู้เพื่อแจ้งเตือนให้พวกเราได้ระวังกันว่า งูมีอยู่หลายชนิด ทั้งมีพิษและไม่มีพิษ หากถูกงูพิษกัดจะมีรอยเขี้ยว 1-2 แผลเสมอ และมีเลือดออกซึม ๆ แต่ถ้าถูกงูกัดแล้วไม่พบรอยเขี้ยว แสดงว่านั่นไม่ใช่งูพิษ

 ทั้งนี้ งูพิษที่คนถูกกัดบ่อย ๆ นั้นมีอยู่ 7 ชนิด คือ งูเห่า งูจงอาง งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ซึ่งเราสามารถจำแนกพิษของงูได้เป็น 4 ประเภท คือ

          1. พิษต่อระบบประสาท ได้แก่ พิษของงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ลืมตาไม่ได้ กลืนลำบาก เสียชีวิตได้

          2. พิษต่อโลหิต ได้แก่ พิษของงูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้มีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ ตามผิวหนัง เหงือก อาเจียนเป็นเลือด

          3. พิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ พิษงูทะเล ปวดกล้ามเนื้อมาก ปัสสาวะสีดำเนื่องจากกล้ามเนื้อถูกทำลาย

          4. พิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ได้แก่ พิษงูเห่า งูจงอาง ทำให้ลืมตาไม่ขึ้น น้ำลายมากกลืนลำบาก เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ

          ในส่วนวิธีการป้องกันงูกัดนั้น ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการเดินในที่แคบ หรือบริเวณที่รกมีหญ้าสูง ถ้าจำเป็นต้องเดินผ่านควรใส่รองเท้าหุ้มข้อเท้า กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เตรียมไฟฉายและไม้

          แต่หากถูกงูกัดแล้วควรปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่น ๆ ทาแผล ไม่ควรใช้ปากดูดเลือด ไม่ควรใช้ผ้าหรือเชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดแน่นเกินไป หากจะรัดควรรัดให้แน่นพอที่สามารถสอดนิ้วมือเข้าใต้วัสดุที่ใช้รัดได้ 1 นิ้วมือ รัดทั้งเหนือและใต้แผลประมาณ 3 นิ้วมือ และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 12:34:35 pm
แชร์ประสบการณ์เมื่อโดนแมงกะพรุน รักษาเบื้องต้นอย่างไรดี


-http://health.kapook.com/view88427.html-


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-2.jpg)


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ช่วงนี้อากาศช่างเป็นใจให้ยกขบวนไปเที่ยวทะเลเสียจริง ๆ แต่ถ้ามัวแต่เล่นน้ำทะเลจนเพลินไม่ระแวดระวังรอบตัวให้ดี ก็อาจจ๊ะเอ๋กับ "แมงกะพรุน" ที่แม้จะตัวเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้เราเจ็บจี๊ด ปวดแสบปวดร้อนจนเกินคำบรรยายได้เลย

          ฟังแล้วชักสยองขึ้นมานิด ๆ ซะแล้ว แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป เพราะวันนี้ คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ตั้งกระทู้บอกเล่าประสบการณ์ที่โดนพิษแมงกะพรุนที่หัวหิน พร้อมแนะนำวิธีรักษาเบื้องต้นด้วย ใครกำลังจะแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวทะเล ลองมาอ่านแล้วจำไว้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินดูกันเลยจ้า


          แชร์ประสบการณ์โดนแมงกะพรุน ณ หัวหิน + วิธีรักษาเบื้องต้นเมื่อโดนพิษแมงกะพรุน โดย คุณสมาชิกหมายเลข 1337171 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปเที่ยวทะเลหัวหิน วันที่ 24-26 ไปกับเพื่อนรวมแล้ว 11 คน ในวันแรกที่ไปถึง เมื่อเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ไปหาอะไรกินกัน แล้วจึงไปเล่นน้ำทะเลที่หาดหัวหิน โดยไม่รู้เลยว่าวันที่ 23 (ก่อนผมจะมา 1 วัน) มีฝนตก ซึ่งเค้าบอกกันว่า หลังฝนตกไม่ควรเล่นน้ำ เพราะจะมีแมงกะพรุนลอยตามชายหาดเยอะ ด้วยความไม่รู้ จึงเล่นกันเต็มที่ครับ 5555

          จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องขึ้นมา ผมก็นึกว่าเหยียบเศษหอยในน้ำ แล้วเพื่อนก็วิ่งหนีขึ้นฝั่ง แต่พวกผมก็เล่นน้ำต่อ ไม่ได้ไปดูว่าเพื่อนเป็นอะไร หลังจากนั้นประมาณ 1 นาที เพื่อนอีกคนก็ตะโกนว่าเจอแมงกะพรุน จังหวะนั้นผมก็รีบหันมาดูว่าอยู่ตรงไหน ปรากฏคือ มันอยู่หลังผมเลยครับ หันไปปุ๊บ มันลอยมาแปะขาพอดี

          ด้วยความตกใจ เพราะรู้สึกสยองมากตอนมันมาแปะขา เห็นตัวนิ่ม ๆ เหมือนไม่มีอะไร ที่ไหนได้ ความรู้สึกตอนโดนเหมือนโดนเข็มแหลม ๆ เป็นสิบ ๆ อันมาจิ้มขาครับ ผมเลยรีบวิ่งขึ้นหาด  ตอนนั้นก็เริ่มเจ็บ ๆ แสบ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ครับ เพื่อนคนแรกที่วิ่งหนีไปก็วิ่งกลับมาหาครับ สรุปว่าเพื่อนก็โดนเหมือนกัน แปะเต็ม ๆ แข้งทั้งสองข้างเลย ผมกับเพื่อนที่โดนเลยบอกเพื่อนคนอื่นว่าขอวิ่งไปที่เกสท์เฮ้าส์ก่อน ให้เพื่อนที่เหลือวิ่งตามมา

          ขณะที่วิ่งไปที่พักครับ ตรงจุดที่โดนแมงกะพรุนนั้น แดงขึ้นมาเป็นเส้น ๆ เลยครับ เหมือนโดนหนวดมัน ปวดแสบปวดร้อนมาก ๆ เหมือนโดนน้ำร้อนลวกอะครับ เราก็รีบวิ่งไป 200 เมตรก็ถึงที่พักครับ พี่ที่เกสท์เฮ้าส์บอกว่าเค้าไม่มียา ให้ไปที่ร้านขายยา ตรงไปอีก 200 เมตรจากเกสท์เฮ้าส์ ผมกับเพื่อนคนนี้ก็วิ่งไปครับ รวมแล้ว 400 เมตร เพื่อนที่เหลือก็วิ่งตาม ๆ กันมา กลุ่มหนึ่งมาซื้อยากับผม อีกกลุ่มไปอาบน้ำ

          พอถึงร้านขายยา ผมก็ถามว่ามียาอะไรใช้ทาได้บ้าง พี่เค้าก็หยิบแอมโมเนียครับ คนละขวด มาราดแผล ตอนนั้นแสบมากขึ้นเรื่อย ๆครับ เหมือนว่าเข็มพิษแมงกะพรุนมันกัดแผลอยู่  เพื่อนที่ตาม ๆ มาก็ซื้อยามาให้อีกหลอดครับ เป็นยาทารักษาแผลไฟไหม้ ให้พอกแผลไว้ แสบ ๆ คัน ๆ ครับ

          ***** สำหรับคนที่โดนพิษแมงกะพรุนนะครับ ถ้าแถวนั้นไม่มีผักบุ้งทะเล แนะนำให้ไปร้านขายยาโดยเร็วที่สุดครับ เพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น อย่าเอาน้ำจืดมาราดแผลเด็ดขาด !!! เพราะพิษจะยิ่งลามไปเรื่อย ๆ ครับ อย่าเอานิ้วไปเกา หรือไปถูแผลด้วยครับ **********


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-1.jpg)


          หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ผมกับเพื่อนก็กลับไปที่เกสท์เฮ้าส์  ในตอนนั้นชาวบ้านหัวหินใจดีมาก ๆ ครับ ทุกคนมาถามแล้วก็บอกว่า ให้ไปเอาใบผักบุ้งทะเลตามชายหาดมาบดแล้วมาโปะแผลไว้ เพื่อดับพิษแมงกะพรุน เพื่อน ๆ ผมสามคนก็ไปถามจากชาวประมงแถวนั้น แล้วก็เก็บมาหนึ่งกำครับ
                 
          ในตอนนั้นจำได้ว่า ตอนกำลังทำแผลอยู่ที่ร้าน รู้สึกปวดต้นขาข้างขวาครับ ปวดเหมือนจะเป็นตะคริว ปวดได้ประมาณ 10-15 นาที ก็ค่อย ๆ ปวดน้อยลงครับ (ส่วนเพื่อนปวดที่เอว ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงปวด) เมื่อกลับมาถึงเกสท์เฮ้าส์ ก็รีบอาบน้ำ แสบมากกกกกกกกกกกกกกกกครับ ก้าวขาแต่ละทีรู้สึกเกร็ง ๆ เพราะว่าแผลของผมเป็นหลายที่ครับ โดนเต็ม ๆ อยู่3ที่  คือบริเวณข้าง ๆ หัวเข่าข้างขวา บริเวณข้อพับขาขวา (หายยากมากครับตรงนี้ เพราะเป็นที่ข้อพับพอดี) และก็ตรงต้นขาข้างขวาครับ นี่คือแผลใหญ่   ส่วนแผลเล็ก ๆ มีเป็นจุดเล็ก ๆ ประมาณ10กว่าจุดได้ มีตรงข้อเท้ามั่ง หน้าแข้งมั่ง กระจายกันไปครับ ส่วนมากจะอยู่ด้านหลัง เพราะผมโดนแปะที่ด้านหลังครับ


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-3.jpg)


          แผลเล็ก ๆ บริเวณต้นขาครับ

          เพื่อน ๆ ที่ไปเอาใบผักบุ้งทะเล ก็กลับมาครับ พร้อมกับซื้อน้ำส้มสายชูมาหนึ่งขวดครับ วิธีผสมยาคือ เอาใบผักบุ้งทะเล บดให้ละเอียดครับ หาอะไรก็ตามที่ใช้บดได้ (****ทุกอย่างต้องล้างให้สะอาดนะครับ โดยเฉพาะใบผักบุ้งทะเล ต้องล้างดี ๆ****) เมื่อบดเสร็จแล้วจึงผสมกับน้ำส้มสายชู ให้ใบพอแฉะ ๆ ครับ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำส้มสายชูมากเกินไปครับ

          เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ (ที่อาบน้ำ เพื่อล้างแอมโมเนียและครีมที่พอกไว้ตอนแรกออกครับ) ก็นอนให้เพื่อนรีดเข็มพิษออกครับ โดยทำตามที่เภสัชกรบอก วิธีการคือเอาสำลีชุบน้ำส้มสายชูครับ มาถูกับแผลให้แรงที่สุดเท่าที่พอทำได้ เพื่อขูดเอาเข็มพิษออกครับ เจ็บมากกกกกกกกก มันแสบอยู่แล้ว พอมาถูกับน้ำส้มสายชู ยิ่งปวดยิ่งแสบครับ ถูกันอยู่เกือบ 20 นาที ก็เริ่มเอาใบผักบุ้งทะเลที่บดไว้มาโปะแผลครับ แผลมันปวดตุ้บ ๆ เลยครับตอนนั้น เหม็นน้ำส้มสายชูมาก ๆ ครับ

          พอกไว้ทั้งคืนนะครับ *******ผักบุ้งทะเล มีสรรพคุณคือ แก้พิษของแมงกะพรุนครับ ส่วนน้ำส้มสายชูมีสรรพคุณคือ จะช่วยยับยั้งไม่ให้เข็มพิษแตกเพิ่มขึ้น ห้ามถู หรือสัมผัสบริเวณแผลด้วยมือเปล่า (ใช้สำลีแทน) เพราะอาจจะมีเข็มพิษอยู่ครับ*********

          ภาพหลังจากโปะใบผักบุ้งทะเลครับ (ที่โปะทั่วขา เพราะมันเป็นจุดเล็ก ๆ คล้ายผื่น แต่จะแสบ ๆ ครับ)


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-5.jpg)

(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-6.jpg)


          รูปประกอบ ใบผักบุ้งทะเลครับ มีขึ้นอยู่ตามชายฝั่ง ถ้าไม่แน่ใจ ควรถามชาวประมงหรือชาวบ้านแถวนั้นครับว่าผักบุ้งขึ้นตรงไหน

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/beachmor.jpg)
ผักบุ้งทะเล

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/beachmorningglory.jpg)
ผักบุ้งทะเล

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Herb/beachmorn.jpg)
ผักบุ้งทะเล


          ในวันที่ 2 หลังจากตื่นขึ้นมา พบว่ารอบ ๆ แผลแดงขึ้นมาเป็นเส้น ๆ เลยครับ แผลไหนเล็ก ๆ ก็เป็นจุดแดง ๆ ทั่วขา วันนี้ผมกับเพื่อนเหมารถไปเที่ยวรอบตัวเมืองหัวหินครับ เวลาเดินจะเจ็บแผลที่ข้อพับที่สุดครับ เพราะแผลยังปวดและแสบอยู่ แต่น้อยกว่าตอนโดนใหม่ ๆ เยอะครับ ลืมบอกไปครับ ในคืนแรก ผมกินยาแก้แพ้ครับ เพราะพี่สาวบอกว่าเดี๋ยวจะเป็นไข้แล้วเที่ยวไม่สนุก เลยกินไป 2 เม็ดครับ

          ภาพนี้ถ่ายไว้ตอนเช้าวันที่สองครับ สังเกตได้เลยว่าแผลนูนขึ้น และชัดขึ้นมากกว่าเมื่อคืน


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-8.jpg)


          ใช้เวลาในการเที่ยวรอบหัวหินเกือบ 6 ชั่วโมงครับ ไปซาฟารีหัวหิน วัดห้วยมงคล ซานโตรินี่ Swiss sheep farm แล้วก็เวเนเซียครับ  อากาศร้อนมาก ๆ แล้วผมใส่กางเกงขาสั้นผมดี ขากางเกงก็ดันไปถูกับแผลตลอด ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหมนะครับ แต่แผลยิ่งบวมและแดงมากขึ้น ตามภาพเลยครับ


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-9.jpg)

          หลังจากไปเที่ยวกลับมาช่วงบ่าย ก็ไม่ได้เข็ดแต่อย่างใด ไปเล่นน้ำทะเลต่อที่เดิม 5555 แต่คราวนี้ไม่ลงไปไกลมาก และสอดส่องก่อนตลอดเวลา ว่ามีไคจูตัวไหนจะโผล่มาไหม สาเหตุนั้นแหละครับ ทำให้แผลเริ่มเละไปอีก (คือไม่ควรลงน้ำทะเลหรือทางที่ดี ไม่ควรโดนน้ำเลยครับ) ตอนโดนน้ำทะเล ก็แสบ ๆ คัน ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เล่นกันจนมืดมาก ๆ เลยกลับขึ้นมาอาบน้ำครับ  มาดูแผลอีกที มีตุ่มใส ๆ เล็ก ๆ ขึ้นรอบ ๆ แผลครับ เป็นทุกที่เลย แผลเล็กแผลใหญ่ก็ขึ้นหมด ลองบีบ ๆ มัน น้ำแตกครับ ! น้ำใส ๆ ในตุ่มนั่นแหละ ไม่รู้ว่าใช่หนองรึเปล่านะครับ


(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-10.jpg)

          ก็กินยาแก้แพ้ต่อครับ แล้วก็ไปหาของกินที่ถนนคนเดินต่อ (**** เมื่อมีแผลประเภทนี้ ไม่ควรกินอาหารทะเล ไข่ หรืออาหารที่มีเปลือก และของแสลงครับ เท่าที่ทราบมา ก็เพื่อไม่ให้แผลอักเสบไปมากกว่านี้ และเพื่อไม่ให้เป็นแผลเป็นชัด ๆ ครับ*****)

          หลังจากผ่านไปประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ แผลก็เริ่มแข็งเป็นสะเก็ด มีหนอง เหมือนแผลไฟลวกครับ แต่ไม่หนักเท่าหลาย ๆ เคสที่เคยเห็น
             
          ใช้วิธีเอาน้ำเกลือราดเอาแล้วเอาสำลีซับอะครับ คือผมทำแผลแบบนี้ไม่ค่อยเป็น เลยใช้วิธีที่เคยทำ (เคยโดนตะปูเกี่ยวนิ้วเห็นว่าแผลคล้าย ๆ กัน) หลังจากราดน้ำเกลือก็ทาเบตาดีนเอาครับ ไม่กล้าราดไฮโดรเจน ตอนอยู่บ้านก็ไม่ได้เอาผ้าก็อซปิดแผลนะครับ เพราะอยากให้แผลแห้ง แต่ตอนไปข้างนอกก็ปิดเอาไว้ครับ

          ภาพนี้เป็นแผลช่วงที่เริ่มเป็นสะเก็ดครับ

(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-12.jpg)

(http://img.kapook.com/u/natthida/health/32017572-13.jpg)

          สารภาพเลยว่าเป็นคนมือซนมาก ๆๆ ชอบเผลอเอามือไปเขี่ย ๆ แผล จนสะเก็ดมันหลุด เลือดกับหนองไหล เป็นบ่อยมาก เลยทำให้แผลหายช้า+เป็นแผลเป็นชัดขึ้นไปอีก ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งบุ๋ม หลังจากนั้นเลยไม่แกะเลยครับ แผลก็เป็นแบบนี้ประมาณ 7-10 วันครับ

          แผล ณ ปัจจุบันนี้ หายแล้วครับ เป็นแค่แผลเป็นยาว ๆ ไว้ทาครีมเอาครับ ส่วนเพื่อนที่โดน ตอนนี้ยังไม่หายเลยครับ 2 เดือนแล้ว  เพราะของเพื่อนจะเป็นวงกลมครับเท่าเหรียญ 50 สตางค์ แต่มีเต็มหน้าแข้งครับ เยอะมาก ของผมโชคดีที่เป็นเส้น ๆ หายง่ายกว่า

          ****ทางที่ดี ก่อนลงทะเลควรเช็กให้แน่ใจนะครับ เพื่อความปลอดภัย อย่างผมเนี่ย ไม่รู้ว่าฝนตกแล้วแมงกะพรุนจะขึ้นมา หรือเมื่อโดนแล้วก็ควรรักษาเบื้องต้นให้เร็วที่สุดครับ สิ่งเบื้องต้นที่ดีที่สุดคือน้ำส้มสายชูและผักบุ้งทะเลครับ****

          ขอบคุณที่ติดตามครับ"

          ทั้งนี้ ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นพร้อมแชร์ประสบการณ์ในกระทู้นี้อย่างมากมาย รวมทั้ง คุณ ส.มโนมัย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง ก็ได้เข้ามาให้ความรู้เพิ่มเติมถึงวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อโดนแมงกะพรุนเบื้องต้นด้วยว่า สามารถใช้ได้ทั้งผักบุ้งทะเลและน้ำส้มสายชู ซึ่งผักบุ้งทะเลมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากน้ำส้มสายชู แต่ผักบุ้งทะเลจะได้ผลเมื่อตำให้ละเอียดแล้วเอามาล้างแผลแมงกะพรุน ฉะนั้น การล้างด้วยน้ำส้มสายชู จะสะดวกและรวดเร็วกว่า

          อย่างไรก็ตาม เมื่อโดนแมงกะพรุนแล้ว ห้ามล้างแผลด้วยสบู่เด็ดขาด เพราะจะทำให้แคปซูลพิษของแมงกะพรุนที่ค้างอยู่บนผิวหนังแตกออก และจะยิ่งทำอันตรายผิวหนังมากขึ้น การล้างควรล้างเบา ๆ ให้แคปซูลพิษค่อย ๆ หลุดไป หากถูแรง ๆ เหมือนที่เจ้าของกระทู้ทำจะยิ่งทำให้แคปซูลพิษแตกง่ายขึ้น จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการในวันที่สองเป็นมากขึ้น

          ส่วนเรื่องการกินอาหารทะเลนั้น คุณหมอก็ให้ข้อมูลด้วยว่า ไม่ได้ทำให้อาการเป็นมากขึ้น ดังนั้น สามารถทานอาหารทะเลได้ เพราะอาการจะเป็นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง




























หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 12:42:41 pm
“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

-http://club.sanook.com/31233/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5/-

(http://club.sanook.com/31233/)

“ความดันโลหิตสูง” ภัยเงียบ..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ไม่ได้จั่วหัวเรื่อง “ความดันโลหิตสูง” ให้ดูน่ากลัว แต่ถ้าทุกๆคนได้อ่านบทความนี้จากกรมการแพทย์แล้ว จะต้องทำให้ทุกคนหยุดคิด แล้วก็ต้องหันมาดูแลตัวเองกันมากๆแล้วล่ะค่ะ

อธิบดีกรมการแพทย์ชี้ 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง ระบุภัยร้ายความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมแนะลดหวาน มัน เค็ม ป้องกันโรคไต โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์และอัมพาต

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ซึ่งค่าความดันปกติในปัจจุบันถือเอาค่าตัวบน ไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และค่าตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท  และมีคนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่ปรากฏอาการในช่วงแรก เมื่อปล่อยนานไปโดยไม่รับการรักษาแรงดันในหลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญหลายระบบในร่างกายเป็นเหตุให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไต เรียกว่าเพชฌฒาตเงียบ  ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็น 1   ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากสถิติขององค์การอนามัยโลก รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงพันล้านคน โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก 1 ใน 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูง และได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลกสูงถึง 1.56 พันล้านคน และข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 พบผู้ป่วย จำนวน 156,442 ราย และ ปี 2555 พบผู้ป่วย 1,009,385 ราย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 5 เท่า

จากความรุนแรงดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก จึงได้กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันความดันโลหิตสูงโลก โดยได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า “Know Your Blood Pressure” และคำขวัญของกระทรวงสาธารณสุขและสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย คือ ท่านทราบระดับความดันโลหิตของท่านหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพ  โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคอาหารเค็ม รับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ  ภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย   ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่และมีภาวะเครียด รวมทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น วิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันโรคความดันโลหิตสูง คือ ลดการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่หวานน้อยรวมถึงบริโภคธัญพืชแทนของว่าง ขนมกรุบรอบ ลดการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่   ที่สำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ตลอดจนวัดความดันโลหิตเป็นประจำพร้อมจดบันทึกค่าความดันโลหิตในช่วงของการกินยา เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และป้องกันโรค

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก Thinkstockphoto.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2014, 07:11:55 am
โรคกระดูกพรุน คืออะไร


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/238108/_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%3F_-


จากโครงสร้างของกระดูกที่เคยหนาแน่นประสานกันเป็นโยงใยในการรับน้ำหนักได้ดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการโปร่งบาง
วันอาทิตย์ 18 พฤษภาคม 2557 เวลา 00:00 น.

เป็นภาวะที่ความหนาแน่นเนื้อกระดูกลดลง จากโครงสร้างของกระดูกที่เคยหนาแน่นประสานกันเป็นโยงใยในการรับน้ำหนักได้ดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการโปร่งบางของโครงสร้างกระดูกไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเท่าเดิม อีกทั้งยังมีโอกาสเปราะหักเกิดการบาดเจ็บได้ง่ายอีกด้วย

มีภาวะใดบ้างที่ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน

• เพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชายเนื่องจากโครงกระดูกในเพศหญิงมีความหนาแน่นน้อยกว่า

• เมื่อมีอายุสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุเกินกว่า 40 ปี

• ภาวะหมดประจำเดือนในเพศหญิงที่เกิดการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน

• ผู้ที่รับแคลเซียมและวิตามินดี ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำอย่างไรจึงจะรักษาความหนาแน่นของกระดูก เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน?

• กระดูกคนเราจะมีความหนาแน่นสูงสุดในอายุ 30 ปี ดังนั้นการเสริมสร้างกระดูกให้มีความหนาแน่นมากที่สุดเมื่ออายุ 20-30 ปี เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด และระยะสำคัญรองลงมาก็คือในช่วงก่อนหมดประจำเดือน

• เสริมสร้างกระดูกให้มีความหนาแน่นมากที่สุด ตั้งแต่ในช่วงอายุ 20-30 ปี ด้วยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและวิตามินดีให้เพียงพอ นอกจากนี้อาจใช้ยาช่วยได้ ซึ่งแบ่งกลุ่มยาเป็น 2 กลุ่มคือ

1. ยาระงับการทำลายกระดูก ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนแคลซิโตนิน ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท และแคลเซียม เป็นต้น

2. ยากระตุ้นการสร้างกระดูกได้แก่ วิตามินและฟลูออไรด์

มีวิธีป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร?

ในผู้ที่มีเนื้อกระดูกมากตั้งแต่แรกจะมีโอกาสเกิดการกระดูกพรุนได้น้อยกว่าผู้ที่มีเนื้อกระดูกน้อย ดังนั้น “การสะสมเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวก็จะเป็นวิธีการป้องกันกระดูกพรุนได้ดีที่สุด รวมถึงการได้รับการตรวจ

วัดความหนาแน่นของกระดูกซึ่งสามารถตรวจพบการลดลงของเนื้อกระดูกตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นได้”

ตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร?

จากการใช้เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometer) ที่ใช้เทคนิคการเรดิเอชั้น ซอร์ส (Radiation Source) โดยใช้หลักการจากการดูความหนาแน่น (Thickness) และส่วนประกอบของเนื้อ (Composition) แล้วนำไปเปรียบเทียบกับค่าปกติ

บุคคลที่ควรได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง Bone Densitometry

• หญิงทุกคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

• หญิงวัยหมดประจำเดือน แม้ว่าอายุน้อยกว่า 65 ปี แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน

• หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีประวัติกระดูกหัก หรือมีภาพเอกซเรย์กระดูกผิดปกติ หญิงที่ต้องการรักษาโรคกระดูกพรุน การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกจะช่วยในการตัดสินใจ

• หญิงที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน มาเป็นระยะเวลานาน ๆ

• บุคคลที่มีภาวะกระดูกสันหลังผิดปกติ

• บุคคลที่ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน

• บุคคลที่ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ

• เพื่อติดตามการรักษากระดูกพรุน

• บุคคลที่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา

• บุคคลที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ

ผู้หญิงอายุเท่าไหร่ ที่ควรรับประทานแคลเซียมเสริม?

ผู้หญิงควรรับประทานแคลเซียมในช่วงอายุ  20-30 ปี และในช่วงก่อนหมดประจำเดือน

การรักษา

เป็นการรักษาที่มุ่งเน้นเพื่อให้มีผลยับยั้งการทำลายกระดูกและเพื่อเป็นการเสริมสร้างให้กระดูกหนาแน่นและมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

จะติดตามผลการรักษาภาวะกระดูกพรุนได้อย่างไร?

จากการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometry) เป็นระยะสม่ำเสมอตามแผนติดตามการรักษาของแพทย์

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง Bone Densitometry ต่างจากการตรวจด้วยเครื่อง Ultrasound อย่างไร?

การตรวจด้วยเครื่อง Bone Densi-tometry เป็นวิธีการตรวจที่จะได้รับความหนาแน่นของกระดูกมาตรฐาน ถูกต้องและแม่นยำมากที่สุดในขณะนี้

ข้อมูลจาก ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 1 / http://www.phyathai.com (http://www.phyathai.com)

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2014, 07:25:57 am
"เพลียเรื้อรัง" โรคนี้มีอยู่จริง และอาจพ่วงถึงไต...


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1400063044&grpid=&catid=09&subcatid=0902-



หลายคนอาจจะสงสัยว่า มีด้วยหรือ ไอโรคเพลียเรื้อรัง ไม่ยักจะเคยได้ยิน E-mag ขอบอกเลยว่ามี และก็ค่อนข้างจะร้ายแรงหากอาการหนักมากๆเสียด้วย


คุณเคยรู้สึกเพลียมากๆ จนไม่อยากจะแก้ไข ไม่อยากทำอะไรกับชีวิตไหม?

 


อาการเพลีย ในที่นี้ คืออาการที่เกิดกับร่างกาย เหนื่อยกาย ไม่ใช่เหนื่อยใจ แบบว่ารู้สึกเหนื่อย เพลีย หมดแรง ไร้เรี่ยวแรง ปวดเมื่อยเนื้อตัว ไม่ได้ทำงานหนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่ก็รู้สึกเพลีย บอกได้เลยว่า เป็นไปได้ที่คุณกำลังเสี่ยงที่จะเป็นโรคเพลียเรื้อรัง

 

โรคเพลียมีจริงหรือ


เจ้าโรคเพลียเรื้อรังนี้ขอบอกว่ามีจริงๆ ค่ะ โดยชื่อทางการแพทย์ก็คือ Chronic Fatigue Syndrome หรือ CFS ไม่ใช่อาการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปอย่างไข้หวัดหรือกล้ามเนื้ออักเสบ เพราะหากเป็นการเจ็บป่วยตามธรรมดาเหล่านี้ เราจะอธิบายได้และค้นหาสาเหตุได้


แต่อาการป่วยจาก CFS เป็นอาการป่วยที่ยากต่อการรักษา เพราะหาสาเหตุไม่พบและอธิบายไม่ได้ รวมถึงค่อนข้างวินิจฉัยยากเพราะคล้ายกับหลายโรค โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ และบางทีก็เกิดจากสร่างไข้ใหม่ ๆ เลยทำให้ตัวคุณเองอาจไม่แน่ใจว่าเพราะยังไม่ฟื้นไข้ดีหรือเปล่า


โรค CFS ทำให้ภูมิต้านทานโรคตกลง และมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง บางคนมีความจำเสื่อม สมาธิสั้นลง ปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ เจ็บต่อมน้ำเหลือง (เช่น ตรงรักแร้ ขาหนีบ ฯลฯ) และเจ็บคอ


ภาวะเหนื่อยเรื้อรังนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า แต่ตัวเลขนี้เอาแน่ยังไม่ได้ อาจเป็นไปได้ว่าเพราะผู้หญิงใส่ใจสุขภาพมากกว่า พอรู้สึกไม่สบายก็มักไปหาหมอมากกว่าผู้ชายเลยมีสถิติมากกว่าก็เป็นได้


อ.จูดี มิโควิทส์ และคณะ แห่งสถาบันวิทท์มอร์ พีเทอร์ซัน สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ และคลินิกคลีฟแลนด์ สหรัฐฯ พบไวรัสมีชื่อว่า ‘XMRV’ ในเลือดของคนไข้ CFS 68 ใน 101 คน = 67.3% เทียบกับคนที่มีสุขภาพดีพบไวรัสนี้ 8 ใน 128 = 6.25%


ยังไม่มีใครทราบว่าภาวะเพลียเรื้อรังเกิดจากอะไรกันแน่ ชื่อนี้ได้มาจากอาการที่แสดงให้เห็น เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอ่อนเพลียมากๆ แม้จะพักผ่อนมากเท่าไรแล้วก็ตาม ทั้งเหนื่อยล้าเกินกว่าอยากจะหยิบจับทำอะไรๆ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก

 

ระวัง! ภาวะเพลียเรื้อรัง รักษาได้ แต่ไม่หายขาด


การสังเกตตัวเองอยู่เสมอ จะทำให้คุณรู้ตัวได้เร็วกว่าว่าคุณกำลังเสี่ยงกับโรคนี้อยู่หรือเปล่า บ่อยครั้งที่ภาวะเหนื่อยเรื้อรังเกิดหลังจากป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นว่าเป็นไข้หวัดหรือท้องเสีย บางครั้งก็เกิดในช่วงที่เครียดจัด แต่ก็มีเหมือนกันที่อยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาโดยไม่มีอาการเตือนหรือไม่สบายมาก่อน ปกติแล้วอาการจะเกิดแบบต่อเนื่อง หรือเป็นๆ หายๆ ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน


เพราะอาการของโรคนี้จะคลุมเครือชี้ชัดได้ยากกว่าเป็นอะไรกันแน่ และแพทย์น้อยคนนักที่จะนึกถึง ซึ่งถ้าแพทย์ให้การรักษาตามอาการแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีหลายอาการประกอบกัน ก็เข้าข่ายว่าน่าจะเป็นภาวะเหนื่อยเรื้อรัง

 

 


เพราะไม่มียาเฉพาะที่จะรักษาโรคนี้ให้หายขาด การรักษาตามอาการและการดูแลสุขภาพกายและใจจึงเป็นหนทางเดียวในขณะนี้ที่จะช่วยบรรเทาได้ พร้อมๆ ไปกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ทานอาหารให้สมดุล พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หลีกเลี่ยงความเครียด


ที่สำคัญพอรู้ตัวว่าเป็นหรือเพียงแค่สงสัยก็ควรรีบกำจัดสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เป็นหนักขึ้นนั้นซะ ที่สำคัญหากคิดว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้แล้ว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที


เข้าใจว่าชื่อโรคอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อว่าจะมีเท่าไหร่ แถมฟังดูไม่น่าอันตรายอะไร แต่หากทิ้งไว้เพราะคิดว่าเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่น่ากลัวคงไม่ดีแน่ เพราะโรคนี้ก็เหมือนกับโรคอื่นๆ ทั่วไป ที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้ รังแต่จะเป็นอันตรายร้ายแรงในอนาคต

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก -www.emaginfo.com/-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2014, 06:07:06 am
คัน มีกลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้นทำไงดี? มีวิธีดูแลจุดซ่อนเร้นดีๆมาบอก


-http://guru.sanook.com/27154/%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81/-



ปัญหาอาการคันและมีกลิ่นของจุดซ่อนเร้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ไม่อยากให้ใครรู้ แต่บางครั้งถ้าจุดซ่อนเร้นของเรามีอาการคัน และมีกลิ่นเหม็นที่รุนแรง มันก็คงถึงเวลาที่เราจะต้องไปหมอให้หมอช่วยรักษาให้ โดยเฉพาะอาการคันซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับจุดซ่อนเร้น เพราะมันมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส ซึ่งถ้าไม่รับรักษาปัญหาที่จุดซ่อนเร้นของเราก็อาจลุกลามใหญ่โตได้

วิธีแก้ปัญหากลิ่นที่จุดซ่อนเร้น


    วันนี้มีวิธีดูแลรักษาจุดซ่อนเร้นมาฝาก ทำยังไงไม่ให้จุดซ่อนเร้นเราคันและมีกลิ่น กันไว้ดีกว่าแก้นะ

1. ล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอ


บางคนคิดว่าการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่ดีคือการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีวางขายกัน ซึ่งจริงมันก็ดีแต่ใช้บ่อยๆก็ไม่ได้ อาจทำให้จุดซ่อนเร้นของเราเกิดการระคายเคืองได้ น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้ดีที่สุด วิธีทำความสะอาดคือ ให้ใช้น้ำเปล่าล้างจุดซ่อนเร้นตามปกติ และใช้กระดาษทิชชู่สะอาดๆซับบริเวณจุดซ่อนเร้นให้สะอาด ไม่ควรใช้หัวฉีดทำความสะอาดฉีดเข้าไป เพราะมันรุนแรงเกินไป ยิ่งเป็นหัวฉีดตามห้องน้ำในห้างยิ่งน่ากลัว เพราะเชื้อโรคอาจติดอยู่ที่หัวฉีดได้ นอกจากนี้การใช้น้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการทำความสะอาดที่ดีด้วยเช่นกัน

2. ไม่ควรใช้น้ำยาสวนล้างช่องคลอด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อแรงๆ


เพราะน้ำยาเหล่านี้มันจะเข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีๆที่ช่วยป้องกันเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นกับจุดซ่อนเร้นของเราได้ โดยเชื้อราที่ว่ามีชื่อว่า "แลคโตแบซิลไล" ซึ่งจะทำให้ช่องคลอดของสาวๆมีความเป็นกรดอ่อนๆ สามารถช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราได้เป็นอย่างดี

3. เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆเวลามีประจำเดือน


เวลาที่มีประจำเดือนเป็นช่วงที่จุดซ่อนเร้นสกปรกได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นและติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นเวลามีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัย และควรเข้าห้องน้ำบ่อยๆ 2-3 ชั่วโมงเข้าครั้งหนึ่งจะดีมาก เป็นวิธีที่ช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดี

4. .ใส่กางเกงในที่ระบายอากาศดี


อีกหนึ่งสาเหตุของความอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นก็คือความอับชื้นที่เกิดขึ้นเนื่องจากสวมใส่กางเกงในที่ระบายอากาศไม่ดี ทำให้กลิ่นอับไม่สามารถระบายออกไป ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดเชื้อราที่จุดซ่อนเร้นได้ กางเกงในที่ดีที่ควรสวมใส่ควรทำมาจากผ้าฝ้าย บาง เบา ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรหลีดเลี่ยงการใส่กางเกงฟิต เช่นกางเกงรัดรูป หรือกางเกงยีนส์ขาเดปฟิต เพราะจำทำให้เกิดการเสียดสีบริเวณจุดซ่อนเร้นมากและทำให้เกิดการหมักหมมเพิ่มขึ้นได้

วิธีสังเกตการติดเชื้อจากตกขาวที่เกิดขึ้น

    ตกขาวเป็นก้อนเเหมือนตะกอนนมสีขาว มีอาการร่วมด้วย อาจติดเชื้อรา
    ตกขาวมีสีเหลืองเขียว เหม็นเปรี้ยว อาจติดเชื้อแบคทีเรีย
    ตกขาวมีสีเทา มีอาการคัน แสบ ร้อน อาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

    จุดซ่อนเร้นเป็นอวัยวะที่สำคัญของสาวๆ ควรดูแลและป้องกันการตอดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียให้ดี นอกจากนี้ควรทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมา เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหากลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้นอีกต่อไป ที่มา : healthbeautydd




หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 06:08:02 am
เด็กฮิตเคี้ยวหมากฝรั่ง-อมลูกอมดับกลิ่นปาก เสี่ยงเจอมะเร็ง!!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 พฤษภาคม 2557 15:34 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000055985-



  เด็กเกินครึ่งนิยมเคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอมดับกลิ่นปาก กรมอนามัยชี้เข้าใจผิดอย่างแรง ระบุช่วยให้มีกลิ่นหอมชั่วคราว แต่เสี่ยงได้รับอันตรายจากสารในหมากฝรั่งและลูกอมจนเกิดมะเร็ง เป็นอันตรายต่อสมอง ต่อมไทรอยด์ ตับ และไต ได้ หากรับสารมากเกินไป แนะแปรงฟันด้วยสูตร 222

  นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการสุ่มสำรวจการบริโภคอาหารว่างและเครื่องดื่ม การดูแลสุขภาพช่องปาก และสภาวะทันตสุขภาพของเยาวชนในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศปี 2556 ของกรมอนามัย พบว่า ร้อยละ 55.1 นิยมเคี้ยวหมากฝรั่ง และร้อยละ 42.3 อมลูกอม เพื่อระงับกลิ่นปาก โดยเข้าใจผิดว่าจะช่วยลดกลิ่นปาก แต่ความจริงแล้วมีกลิ่นหอมเพื่อกลบกลิ่นปากชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังอาจได้รับอันตรายจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งและลูกอมมากเกินไป เช่น สารกันเสีย สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเอสปาร์แตม ซึ่งหากบริโภคมากเกินกว่า 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดมะเร็งและอันตรายต่อสมองได้ รวมทั้งสารที่ให้รสชาติเหมือนน้ำตาลจริงและให้พลังงานต่ำ เช่น ซูคลาโลส หากได้รับมากเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน จะเป็นอันตรายต่อต่อมไทยรอยด์ ตับ และไต ได้เช่นกัน
       
       นพ.พรเทพ กล่าวว่า การลดกลิ่นปากที่มีประสิทธิภาพต้องดูแลและทำความสะอาดช่องปากเป็นประจำตามสูตร 222 คือ แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เช้าและก่อนนอน แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที เพื่อให้สะอาดทั่วทั้งปากทุกซี่ ทุกด้าน และให้ฟลูออไรด์ได้ใช้เวลาทำปฏิกิริยากับฟันเพื่อป้องกันฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปล่อยให้ปากสะอาดไม่กินขนมหวาน น้ำอัดลมหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง หากให้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันวันละครั้ง ก็จะดีต่อสุขภาพช่องปากของเยาวชนและคนวัยหนุ่มสาวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนะนำให้แปรงลิ้นด้วยจะช่วยลดกลิ่นปากได้ดี รวมทั้งการจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพกายและคงความสดชื่นของปากได้ แต่ถ้ามีเหงือกอักเสบ หินปูน หรือฟันผุ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที
       
       “วิธีทดสอบกลิ่นปากอย่างง่ายๆ ให้เอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก หรือใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู เมื่อทดสอบดูแล้วพบว่ามีกลิ่นปากก็สามารถป้องกันได้ตามสาเหตุ เช่น หากมีฟันผุเป็นรูควรไปรักษาด้วยการอุดฟัน และหมั่นดูแลทำความสะอาดในช่องปากด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธีเพื่อลดปัญหาฟันผุ ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียฟันในวัยเด็กที่อาจสะสมจนกลายเป็นการสูญเสียฟันทั้งปากในวัยสูงอายุตามมาได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000005793701.JPEG)

.


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 27, 2014, 02:45:57 am
ตรวจสุขภาพ ใครควรตรวจ? โดยวิธีใด? เมื่อไร?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 พฤษภาคม 2557 23:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000058530-


การคัดกรองทางสุขภาพ หรือการตรวจสุขภาพในปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก เป็นช่องทางทำรายได้ให้ธุรกิจทางการแพทย์มากมาย ในขณะเดียวกันก็เป็นรูรั่วขนาดใหญ่ของทรัพยากรสุขภาพของชาติได้เช่นกัน
       เป็นที่ทราบกันว่า ไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองทางสุขภาพใดที่สามารถให้ผลการตรวจคัดกรองสุขภาพที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือคนที่เป็นโรคบางคนอาจได้รับผลการคัดกรองที่สรุปว่าไม่เป็นโรค ทั้งที่ตนเองเป็นโรค (ผลลบลวง) ขณะที่คนปกติที่ไม่เป็นโรคอาจได้ผลการคัดกรองที่เป็นบวก (ผลบวกลวง)
       รวมทั้งบางวิธีขาดหลักฐานสนับสนุนด้านประสิทธิภาพว่ามีประโยชน์ และบางวิธีมีหลักฐานชัดเจนว่ามีโทษ (เพราะนำไปสู่การตรวจอื่นๆ หรือการรักษาที่อันตรายต่อสุขภาพ)
       การตรวจคัดกรองสุขภาพ เป็นการซักถามหรือตรวจเบื้องต้น เพื่อค้นหาความเสี่ยงหรือโรคในประชากรสุขภาพดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลดความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรค วิธีการที่นำมาใช้คัดกรองโรคหรือปัญหาสุขภาพหนึ่งๆ อาจมีได้หลายวิธี
       ข้อมูลจากผลการศึกษา เรื่อง การพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ด้านการคัดกรองทางสุขภาพระดับประชากรในประเทศไทย (http://www.hitap.net/research/10643 (http://www.hitap.net/research/10643)) จัดทำโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอ มาตรการที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคัดกรอง 12 โรค/ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนไทยที่มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไป ในที่นี้ขอเสนอเฉพาะการตรวจคัดกรองปัญหาสุขภาพบางประเภท ดังนี้
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรคัดกรองโรคเบาหวาน โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร (fasting plasma glucose) โดยทำการคัดกรองซ้ำทุก 5 ปี
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 31-40 ปี ควรคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี จำนวน 1 ครั้งในชีวิต ร่วมกับการให้วัคซีนหากพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน
       ทั้งหญิงและชาย ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรคัดกรองหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยการคลำชีพจรทุกครั้งที่ไปรับบริการที่สถานพยาบาล หากผลผิดปกติให้ตรวจยืนยันด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
       หญิง ที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี หรือ หรือเมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์ (ในกรณีที่อายุน้อยกว่า 30 ปี) ควรทำการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีตรวจภายใน (Pap smear หรือ VIA) ทุก 5 ปี
       สำหรับ รายการตรวจคัดกรองที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีประโยชน์ หรือไม่จำเป็นต้องตรวจในคนปกติทั่วไป เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม การถ่ายภาพรังสีทรวงอก การตรวจการทำงานของไต และตับ
       ข้อเสนอข้างต้น ไม่รวมการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีประวัติเสี่ยง การตรวจวินิจฉัยโรค การตรวจติดตามเพื่อการรักษาโรค การตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในผู้ป่วย และการตรวจคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเหล่านี้ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ในการพิจารณาวิธีการตรวจคัดกรองที่เหมาะสม
       แต่มีการตรวจคัดกรองที่ทำได้ง่ายๆ ไม่เปลืองตังค์ และทุกคนทำได้ด้วยตนเอง
       นั่นคือ ลองตั้งคำถามต่อไปนี้ เพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยในอนาคตหรือไม่
       1.ฉันสูบบุหรี่หรือไม่
       2.ฉันดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่
       3.ฉันขับรถเร็วหรือไม่
       4.ฉันบริโภคอาหารหวานมากหรือไม่
       5.ฉันบริโภคอาหารปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่
       6.ฉันออกกำลังกายสม่ำเสมอหรือไม่
       7.ฉันนอนดึกพักผ่อนน้อยหรือไม่
       8.ฉันเครียดเป็นประจำหรือไม่
       9.ฉันโกรธง่ายและชอบทะเลาะกับผู้คนหรือไม่
       ถ้าท่านคัดกรองตนเองโดยใช้คำถามข้างต้น แล้วพบว่า “ใช่” เป็นส่วนใหญ่ นั่นแหละท่านมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วย ต้องรีบหาทางแก้ไขเสียโดยเร็ว

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 08:45:47 am
เตือนภัย!! เสพติดข่าวมากไปอาจนำโรคภัยมาถึงตัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มิถุนายน 2557 06:38 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000060861-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000006295601.JPEG)

โดย พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ
       จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท
       
       สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ ทำให้ประชาชนให้ความสนใจและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่เสพติดข่าวการเมืองจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์อินเทอร์เน็ต หรือจากโลกสังคมออนไลน์ โดยบางคนถึงกับดูออนไลน์ผ่านมือถือตั้งแต่เช้าจรดเย็น หรือแม้กระทั่งเดินทางกลับบ้านนอนก็ยังเปิดมือถือทิ้งไว้ตลอดเวลาเลยทีเดียว โดยที่หารู้ไม่ว่าอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยมาเยือนโดยไม่รู้ตัว
       
       พญ.ญดา พงษ์กาญจนะ จิตแพทย์ที่ปรึกษา โรงพยาบาลปิยะเวท ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่เสพข่าวการเมืองมากเช่นนี้ว่าอาจเป็นการทำให้สมองทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา นำพาไปสู่ภาวะความเครียด และส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ในที่สุด บางคนการเสพข่าวอาจก่อให้เกิดความรู้สึกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ บางคนอาจถึงขั้นซึมเศร้าหรือมีอาการทางจิตได้ ในขณะที่บางคนภาวะความเครียดอาจแสดงออกมาในรูปแบบอาการทางร่างกาย เช่น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง เวียนศีรษะ ปั่นป่วนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ หรือฝันร้าย ในคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะความเครียดสามารถส่งผลให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลงหรือควบคุมโรคประจำตัวลำบาก
       เรามาดูกันดีกว่าว่าแนวทางการรับมือกับโรคเครียด 7 วิธีง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ มีวิธีอะไรบ้าง
       
       1. ใช้วิจารณญาณเลือกรับฟังข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้และเสพข่าวอย่างมีสติ รู้จักปล่อยวาง
       2. จำกัดช่วงเวลาที่ใช้ในการรับฟังข่าวสาร ปิดทีวี ปิดมือถือและเครื่องมือสื่อสารเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว
       3. ทำจิตใจให้ผ่อนคลายอาจใช้วิธีนั่งสมาธิ สวดมนต์
       4. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดเช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง
       5. รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ งดเว้นการใช้สุราหรือสารเสพติด
       6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กำหนดเวลานอน และเวลาตื่นอย่างเป็นเป็นเวลา
       7. หากมีปัญหาที่ค้างคาใจควรหาคนปรึกษาไม่ควรเก็บไว้คนเดียว
       
       อย่างไรก็ตาม เราในฐานะผู้บริโภคสื่อก็ควรเลือกที่จะเปิดรับข่าวสารอย่างพอเหมาะพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป หากไม่รับรู้ข่าวสารเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ารับรู้มากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และหากเกิดปัญหาจากการเสพข่าวที่มากเกินไปแล้ว อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้แล้วค่ะ

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 01, 2014, 10:59:07 am
มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ จัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในสตรี โรคมะเร็งทุกโรคจัดว่ามีความผิดปกติในระดับยีนในเซลล์ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ยีนผิดปกติเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดจากแม่ไปสู่ลูก


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/241560/%E2%80%98%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E2%80%99-


(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/701987.jpeg)


วันอาทิตย์ 1 มิถุนายน 2557 เวลา 00:00 น.

เมื่อไม่นานมานี้ หลายท่านคงได้ยินข่าวครึกโครมว่า ดาราสาวชื่อดังในฮอลลีวูด“แองเจลินา โจลี” ได้ทำการผ่าตัดเต้านมทิ้งทั้ง 2 ข้าง ในช่วงอายุไม่ถึง 40 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอได้ไปตรวจยีนมะเร็งเต้านม ชื่อBRCA1 และผลเป็นบวก ทำให้โอกาสเป็นมะเร็งเต้านมในช่วงชีวิตนี้สูงถึง 87% และเธอตั้งปณิธานว่า อีกไม่นานนี้ เธอจะผ่าตัดรังไข่ทิ้ง เนื่องจากยีนที่ผิดปกติดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ ชนิดที่มีความรุนแรงสูง ได้อีก 50% ในตลอดชีวิตนี้

หลายท่านได้ยินเรื่องราวนี้ ต่างตระหนกกันมากว่า คนที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมไปสู่ลูกหลานได้เป็นศูนย์จริงหรือ และจำเป็นต้องตรวจยีน และผ่าตัดเต้านมและรังไข่ทิ้งจริงหรือ เราจะมาไขข้อข้องใจกันครับ

มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ จัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในสตรี โรคมะเร็งทุกโรคจัดว่ามีความผิดปกติในระดับยีนในเซลล์ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ยีนผิดปกติเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดจากแม่ไปสู่ลูก ในกรณีของมะเร็งเต้านมและรังไข่ ก็มีเพียง 5-8%

เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นมะเร็งดังกล่าว เราไม่สามารถทราบได้ว่า ใครจัดเป็นกลุ่มที่มีโอกาสถ่ายทอดยีนทางสายเลือดได้ เนื่องจากมะเร็งสตรีดังกล่าว มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหลัก เช่น การได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากรูปของยาคุมกำเนิด ความอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์และยังมีปัจจัยที่อาจไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นการรับสารพิษ สารเคมี เป็นต้น นอกจากนั้นความเสื่อมตามวัยก็เป็นปัจจัยที่ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นไปได้ ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นเพียงปัจจัย

หนึ่ง ที่ส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้เร็วขึ้น ดังนั้น จึงมีคำแนะนำทางการแพทย์ว่า ครอบครัวใดก็ตามที่มีผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม หรือรังไข่ ญาติสายตรง ได้แก่ บุตรสาว น้องสาว พี่สาว จำเป็นต้องรับทราบโอกาสที่ตนเองอาจจะได้รับการ

ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งนั้น เพราะไม่มีใครทำนายได้ว่า เราจะตกอยู่ในกลุ่ม 5-8%นั้นหรือไม่ การคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์เต้านม จึงมีประโยชน์มาก ที่จะค้นหาโรคก่อนที่จะเกิด

อาการ และรับการรักษาได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องสูญเสียเวลา และคุณภาพชีวิต ในการไปผ่าตัดใหญ่ ฉายแสง หรือรับเคมีบำบัด ส่วนมะเร็งรังไข่ก็รับการคัดกรองด้วยการตรวจภายในประจำปีโดยสตินรีแพทย์ เช่นกัน

เพราะฉะนั้น วิธีดูคร่าว ๆ หญิงคนใดมีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ที่ถ่ายทอดทางยีนมาในสายเลือด เพียงแค่ดูจากประวัติคนที่เป็นโรคในครอบครัวคร่าว ๆ โดยการวาดแผนภูมิครอบครัวก็พอจะบอกได้

จากรูปที่ให้มา คือลักษณะของแผนภูมิครอบครัว หรือเรียกเป็นศัพท์เทคนิคเฉพาะว่าพงศาวลี (pedigree) สี่เหลี่ยมคือผู้ชาย วงกลมคือผู้หญิง สีดำคือเป็นโรค ขีดคาดคือเสียชีวิตแล้ว ลูกศรคือคนที่มารับคำปรึกษา ดังนั้น ใน

กรณีรูปนี้ หญิงที่มารับคำปรึกษา สมมุติว่าอายุ30 ปี ตนเองไม่เคยมีอาการใด ๆ แต่มีมารดายาย ป้า น้าสาว ลูกสาวของป้า ล้วนแต่เป็นมะเร็งเต้านมกันหมด เพียงเท่านี้ก็ประเมินเบื้องต้นได้ว่า ครอบครัวนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการถ่ายทอดของยีนมะเร็งจากรุ่นสู่รุ่น ก็คืออาจจะตกอยู่ในกลุ่ม 5-8% กลุ่มนั้นนั่นเอง ซึ่งกลุ่มนี้ควรมาพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยละเอียด ซึ่งกลุ่มต้องสงสัยประกอบไปด้วยมีคนเป็นมะเร็งเต้านม รังไข่ หรือมะเร็งที่อาจเกี่ยวข้องในกลุ่มยีนเดียวกัน เช่น มะเร็งตับอ่อน หรือมะเร็งต่อมลูกหมากในญาติฝ่ายชาย โดยเมื่อซักย้อนขึ้นไป 3 รุ่น มีคนเป็นทุกรุ่น และถ้ามีคนที่เป็นมะเร็งดังกล่าวอายุน้อยกว่าปกติ เช่น ช่วงอายุ 18-40 ปี มีผู้ชายเป็นมะเร็ง หรือมีคนเป็นมะเร็งกลุ่มดังกล่าวหลายมะเร็งในคนเดียวกัน ยิ่งต้องสงสัยความเสี่ยงสูงที่จะถ่ายทอดมะเร็งทางสายเลือดมากขึ้นไปอีก ญาติผู้หญิงสายตรงของคนกลุ่มนี้ยิ่งต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อที่จะคัดกรอง

มะเร็งตั้งแต่ยังไม่มีอาการ และจะไม่รอไปจนถึงอายุ 40 ปี เหมือนผู้หญิงทั่วไป ในบางครอบครัวที่มีความรุนแรงสูงมาก อาจต้องคัดกรองกันตั้งแต่อายุ 18 ปีด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าต้องสงสัยว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะรับการถ่ายทอดยีน ก็จะมีคำถามว่า จะต้องมาตัดเต้านมทิ้งเหมือนดาราสาวโจลีหรือไม่ คำตอบก็คือ “ไม่” ความเสี่ยงสูงแค่ไหน ก็ยังไม่เกิดโรค จนกว่าจะมีการพิสูจน์ระดับยีน ซึ่งยีนที่ทราบว่า ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมและรังไข่ในปัจจุบัน ได้แก่ ยีน BRCA1 และ BRCA2การตรวจสามารถกระทำได้ด้วยการเจาะเลือด และดึงสายดีเอ็นเอออกจากเม็ดเลือดขาว เพื่อไปทำการถอดรหัสพันธุกรรม แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง ถึงระดับครึ่งแสนบาท คนที่จะรับการตรวจ ก็ต้องมีความเสี่ยงสูงจริง ๆไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เป็นมะเร็งจะต้องไปตรวจหมด การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรับคำปรึกษาแนะนำทางพันธุกรรมที่ถูกต้อง จึงจำเป็นที่สุดครับ

ทีนี้ ถ้าตรวจมาแล้ว มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนในระดับยีนแบบโจลี จะทำอย่างไร การมียีนผิดปกติไม่ได้บอกว่าคุณผู้หญิงผู้นั้นจะต้องเป็นมะเร็ง 100% เพียงแต่ว่าความเสี่ยงในช่วงชีวิตนี้ก็จะสูงขึ้นมาก และไม่สามารถบอกได้ว่า

จะเกิดเมื่อไหร่ วิธีการดูแลก็มี 2 อย่าง

1. ตรวจคัดกรองเต้านม รังไข่ ทุก 6เดือน และกำจัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง ได้แก่ไม่รับฮอร์โมน ลดความอ้วน ไม่ดื่มเหล้า

2. จะตัดเต้านมและรังไข่ทิ้ง เพื่อป้องกันการเกิดเป็นโรคในอนาคต อย่างที่โจลีทำก็ได้ เพียงแต่คนที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีหลักฐานระดับยีนสนับสนุนเท่านั้น

สรุปคือ ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ทุกคนจะถ่ายทอดทางพันธุกรรม ไม่ใช่ทุกคนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจะต้องตรวจยีน และไม่ใช่ทุกคนที่ตรวจยีนจะต้องตัดเต้านมทิ้ง เพียงแต่ว่าไม่มีใครทราบเองหรอกครับว่าเราเป็นกลุ่มไหน การปรึกษาแแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ

ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์

และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาโมเลกุล

การแพทย์ / http://www.phyathai.com (http://www.phyathai.com)

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 07, 2014, 09:38:43 am
โซเชียลทำพิษ... 5 โรคฮิตของคนติดจอ

-http://health.kapook.com/view90153.html-

โพสต์เมื่อ :

โรคฮิตโซเชียล


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          5 โรคฮิตของคนติดจอ ติดแชท หมกมุ่นอยู่กับโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กมาก ๆ ป่วยไม่รู้ตัว มาดูซิมีโรคอะไรบ้าง แล้วเราเองก็เข้าข่ายด้วยหรือเปล่า

          ยุคสังคมออนไลน์ที่แทบทุกคนต้องมีสมาร์ทโฟน คุยกับเพื่อนผ่านเฟซบุ๊กหรือไลน์แทนการโทรศัพท์ สไลด์หน้าจอรับข่าวสารรอบตัวแบบไม่ให้ตกยุค พฤติกรรมแบบนี้แหละที่หอบเอาปัญหาสุขภาพจากความอินเทรนด์มาถึงตัวแบบยกเซต ว่าแต่ชาวโซเชียลมีเดียมักมีปัญหาสุขภาพอะไรมากที่สุดนะ

          สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน ได้นำข้อมูลจาก คอลัมน์ ทันโรค ของ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ที่เขาจัดอันดับ 5 โรคฮิตของคนติดโซเชียลมีเดียไว้มาบอกกัน โดย 5 โรคฮิตของคนติดจอ ก็คือ โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก, โรคละเมอแชท, โรควุ้นในตาเสื่อม, โรคโนโมโฟเบีย และโรคสมาร์ทโฟนเฟซ เอ...ฟังชื่อดูก็ประหลาด ๆ ทั้งนั้น งั้นเรามาดูซิว่าแต่ละโรคเป็นอย่างไร แล้วอาการไหนที่เราเข้าข่ายซะแล้ว




1. โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก (Facebook Depression Syndrome)

          หลายคนอาจสงสัยว่า เล่นเฟซบุ๊กก็มีเพื่อนตั้งมากแล้วจะเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างไร แต่อาการนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ เพราะคนเราเมื่อติดอยู่แต่หน้าจอ จิ้ม ๆ กด ๆ คุยกับคนในโลกออนไลน์ ก็กลายเป็นไปเพิกเฉยต่อคนในโลกจริง แถมหลายคนใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเราว้าเหว่ เหงา เดียวดาย ก็ยิ่งโพสต์เยอะ

          โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ได้เขียนบทความให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก ไว้อย่างน่าสนใจว่า วารสารการแพทย์กุมารเวชศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ และพบว่า คนที่ถูกเพื่อน ๆ ปฏิเสธหรือเป็นที่รังเกียจในโลกเฟซบุ๊กจะเป็นอันตรายมากกว่าถูกปฏิเสธในโลกแห่งความจริง และหลายรายอาจมีปัญหาซึมเศร้าตามมา

          นั่นเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างความเป็นจริงเทียม (artificial reality) ขึ้นมา จากการโพสต์แต่เรื่องดี ๆ แต่เก็บงำเรื่องร้าย ๆ แย่ ๆ ที่อยากปกปิดเอาไว้ เราถึงเห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบในโลกเสมือนจริงเต็มไปหมด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ความรู้สึก "ไร้ค่า" จึงเกิดขึ้น

          ถ้าคุณรู้สึกเสียความมั่นใจสุด ๆ เวลาส่งคำร้องไปขอเป็นเพื่อนแล้วไม่ได้รับการตอบรับ เก็บมาคิดว่าทำไมจึงไม่เป็นที่ต้องการ นี่ก็เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊กแล้ว วิธีหลีกหนีอาการนี้ก็คือ ลดการเล่นเฟซบุ๊กลง ทั้งอ่านเรื่องคนอื่น และโพสต์เรื่องตัวเอง จะได้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น




2. ละเมอแชท (Sleep-Texting)

          อาการนี้ก็คือ ถึงแม้เราจะนอนแต่ก็ยังลุกขึ้นมาพิมพ์เหมือนกับคนละเมอนั่นเอง สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนเกินเหตุ ทำให้สมองยึดติดกับโทรศัพท์อยู่ทุกขณะจิต แม้กระทั่งเวลานอน หากมีข้อความเข้ามา สมองก็จะปลุกร่างกายที่หลับใหลให้อยู่ในสภาวะละเมอ แล้วกดส่งข้อความไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรไป หรือส่งไปหาคน เพราะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบนี้ก็เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดได้เลยนะเนี่ย

          นอกจากเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดแล้ว อาการละเมอแชทยังกระทบสุขภาพด้วย เพราะเมื่อสมองปลุกให้เราตื่นในช่วงนี้ร่างกายก็จะนอนหลับไม่สนิทเต็มที่ เป็นเหตุให้พักผ่อนไม่พอ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สะสมความเครียด เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงานได้เลยล่ะ



3. โรควุ้นในตาเสื่อม

          ปกติเราก็ใช้งานดวงตาหนักอยู่แล้ว และถ้ายิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเพ่งข้อความในจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ดวงตาของเราก็ทำงานหนักขึ้นแบบคูณสอง ถ้าปล่อยไปนาน ๆ จนมองเห็นหยากไย่ ตาข่าย หรือเส้นอะไรวนไปวนมาเหมือนยุง ปัดเท่าไรก็ไม่โดนสักที แบบนี้ต้องรีบหาหมอแล้ว เพราะนี่คือ "โรควุ้นในตาเสื่อม"

          จะบอกว่าจริง ๆ แล้วโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ เพราะใช้งานดวงตามานานจนเสื่อมไปตามวัย แต่น่าตกใจทีเดียวที่ปัจจุบันพบคนอายุน้อย ๆ เป็นโรคนี้มากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการแชททั้งวัน จ้องจอทั้งคืน เล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ ไม่ว่างเว้นนี่เอง พอรู้สึกปวดตาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก มารู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพเป็นคราบดำ ๆ เป็นเส้น ๆ ไปซะแล้ว

          วิธีป้องกันก่อนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อมก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักพักสายตาเสียบ้าง มองไปในที่ไกล สูดอากาศธรรมชาติให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย หลับตาลงสักครู่ รู้จักใช้งานเทคโนโลยีในมืออย่างพอเหมาะ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงโรคนี้ได้แล้ว




4. โนโมโฟเบีย (Nomophobia)

          ชื่อประหลาด ๆ นี้ มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" แปลตรงตัวก็คือ โรคกลัวไม่มีมือถือใช้ เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล

          คิดดูว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือจู่ ๆ แบตเตอรี่โทรศัพท์ดันหมดซะงั้น แล้วเรารู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย แสดงว่าเข้าเค้าอาการโนโมโฟเบียแล้วล่ะ ในบางคนเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ได้เลย ซึ่งอาการจะหนักเบาขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน

          สำรวจตัวเองดูหน่อยซิว่า เราหมกมุ่นอยู่กับการเช็กข้อความในมือถือ ชอบหยิบขึ้นมาดูบ่อย ๆ หรือเปล่า หรือทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเตือนจากมือถือจะต้องวางภารกิจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มาเช็กแบบด่วนจี๋ทันใจ ใครเป็นแบบนี้ก็เข้าข่ายโนโมโฟเบียแล้วล่ะจ้า ยิ่งถ้าตื่นนอนปุ๊บเช็กมือถือปั๊บ ห่างจากมือถือไม่ได้เลย หรือใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนตรงหน้า ก็ยิ่งชัด

          ใครที่มีอาการอย่างที่กล่าวว่า ต้องระวังปัญหาสุขภาพให้มาก ๆ โดยเฉพาะนิ้วล็อก ปวดตา ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ รวมทั้งอาการนอนไม่หลับ และโรคอ้วนที่เกิดจากมัวแต่นั่งเล่นมือถือนาน ๆ ไม่ลุกไปไหนด้วยนะ




5. โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)

          โรคฮิตของคนติดแชทที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 5 ก็คือ โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face) หรือโรคใบหน้าสมาร์ทโฟน เกิดจากการที่เราก้มลงมองหน้าจอ หรือจ้องสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตเป็นเวลานานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดอาการเกร็งและไปเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม

          เมื่อแก้มถูกแรงกดนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด จนแก้มบริเวณกรามย้อยลงมา แถมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากก็จะตกไปทางคางด้วย จนใบหน้าอาจดูผิดแปลกไปจากเดิม และจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ของตัวเอง ฟังแล้วน่ากลัวนะเนี่ย หากใครเป็นมาก ๆ เข้าก็ถึงกับต้องศัลยกรรมกันเลยนะ

          สรุปแล้วว่าทั้ง 5 โรคนี้ดูไม่ได้ไกลจากตัวเราเท่าไรเลยนะคะ เพราะทุกคนล้วนใช้โลกออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารกันหมด แต่วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคเหล่านี้ก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสม ก้มมองหน้าจอให้น้อยลง เล่นโทรศัพท์ ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นเกมให้น้อยลง จะได้ไม่ด่วนป่วยไปซะก่อนไงคะ
 
http://health.kapook.com/view90153.html (http://health.kapook.com/view90153.html)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 13, 2014, 10:45:17 pm
อาการเจ็บปวดตามจุดต่างๆ ร่างกาย บ่งบอกถึงอะไร

-http://guru.sanook.com/27156/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/-


อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้



‘เจ็บต้นคอร้าวแขน‘ เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้ ‘เจ็บแขนร้าวปลายมือ‘ ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้

‘ปวดศีรษะร้าวต้นคอ‘ อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง ‘ปวดหลังร้าวลงขา‘ น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา

‘เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย‘ ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่ ‘ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ‘ บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

‘เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา‘ ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก ‘เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง‘ อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน

ปวดหลัง

‘เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา‘ ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์

และสุดท้าย ‘เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท‘ การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว

คุณหมอกฤษดา ย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บปวดตามร่างกายทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า

ที่มา – สาระน่ารู้ดีดี.com



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 17, 2014, 05:02:13 am
หวิดดับ! รองผอ.กินหูหมู ช็อกหมดสติ 12 ชม



-http://news.sanook.com/1613393/%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%AD.%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9-%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4-12-%E0%B8%8A%E0%B8%A1/-


(http://pe1.isanook.com/ns/0/ud/322/1613393/defgtr.jpg)


นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

(15 มิ.ย.) นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ฝ่ายเวชกรรมสังคม เข้าตรวจอาการนายสุรสิทธิ์ สมยศ รองผู้อำนวยการเขตการศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1 อายุ 58 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน ด้วยอาการหนาวสั่น เหงื่อท่วมตัว ท้องร่วง อาเจียน หน้ามืด หมดแรง และความดันเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแพทย์ระบุว่าเป็นโรคสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) หรือโรคหูดับ ขณะนี้ได้ให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ และรอดูอาการอย่างใกล้ชิดประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อรักษาตามขั้นตอน

นายสุรสิทธิ์ ให้ข้อมูลกับแพทย์ว่า ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเปิดโรงเรียนที่ ต.สันทะ อ.นาน้อย ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กและปิดไปหลายปี โดยปีการศึกษานี้ได้มีคำสั่งให้เปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง จึงจัดงานฉลองเปิดโรงเรียนและไปซื้อหมูมาจากคนในหมู่บ้านมาชำแหละ 1 ตัว เพื่อทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานกว่า 100 คน ซึ่งได้รับประทานลาบหมูดิบและหมูต้ม โดยเฉพาะช่วงหูและลำคอ ชาวบ้านบอกว่าเป็นส่วนอร่อยที่สุด หลังรับประทานไปแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง เริ่มมีอาการหนาวสั่น เหงื่อออก อาเจียน และแขนขวาเริ่มชา จึงรีบเข้าพบแพทย์ทันที จากนั้นก็หมดสติไปนานถึง 12 ชั่วโมง

นพ.พงศ์เทพ อธิบายว่า โรคหูดับเป็นโรคอันตรายมาก หากอาการรุนแรงและถึงโรงพยาบาลช้าอาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้ ซึ่งโรคนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีในหมูเท่านั้น หากหมูป่วยจะพบเชื้อนี้มากบริเวณต่อมทอมซิลของหมู คือ ช่วงระหว่างหูและลำคอของหมู โดยผู้รับประทานหมูที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เข้าไปจะมีไข้สูง หน้ามืด เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย อุจจาระร่วง อาเจียน ในรายอาการรุนแรงนอกจากไข้สูงยังติดเชื้อในกระแสเลือด ความดันเลือดลดต่ำอย่างรวดเร็ว เสียการทรงตัว ไม่มีแรง ประสาทหูอักเสบจนกระทั่งสูญเสียการได้ยิน ช็อคและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเร็วมากภายใน 1-2 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับประทานลาบหมูดิบในงานดังกล่าวอีกกว่า 100 คน ต้องเฝ้าระวังอาการ แต่คาดว่าจะปลอดภัยแล้วทั้งหมด เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานและได้รับเชื้อแบคทีเรียน้อย
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 21, 2014, 12:51:35 pm
เตือน! หน้าฝนนี้ระวัง “โรคฉี่หนู” ระบาด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 มิถุนายน 2557 12:18 น.


-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000069839-


แพทย์เตือนหน้าฝนระวังโรคฉี่หนูระบาด แนะเลี่ยงแช่ ดื่มน้ำไม่มีภาชนะปิดเสี่ยงเชื้อปนเปื้อน พบอาการไข้สูง ปวดหัว เลือดออกเยื่อบุตารีบปรึกษาแพทย์


        พญ.กรุณา อธิกิจ อายุรแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่าโรคที่มากับหน้าฝนและน้ำที่สำคัญ คือ โรคฉี่หนู หรือ เล็ปโตสไปโรสิส (Leptospirosis) เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์มาสู่คน โดยสัตว์ที่เป็นพาหะที่พบบ่อย คือ หนู ไม่ว่าจะเป็นหนูบ้าน หนูท่อ หนูนา หนูพุก หนูตะเภา โดยเชื้อโรคมาจากในปัสสาวะของหนู จึงเรียกโรคนี้ว่า “ฉี่หนู” แต่สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ได้แก่ หมู วัว ควาย แพะ แกะ ม้า นก กระรอก รวมทั้ง สุนัข แเมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวเรานั้นเอง ซึ่งจะติดต่อเมื่อหนูฉี่ลงในน้ำที่ท่วมขัง แล้วเราไปย่ำลงน้ำ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่มีบาดแผล หรือเข้าผ่านมาทางผิวหนังที่เปียกชุ่มจากการแช่น้ำนานๆ ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า หรือเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน อาจหายใจเอาละอองเชื้อจากของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ แต่ยังไม่พบการติดต่อจากคนถึงคนโดยตรง ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ โดยอาการของโรคผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ แบบแรกมีอาการไม่รุนแรง จะพบได้มากสามารถรักษาได้ง่าย อาการของโรคจะคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้หนาวสั่น อาจมีไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด ปวดศีรษะค่อนข้างมาก ตาแดงเลือดออกที่เยื่อบุตา คลื่นไส้ อาเจียน และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะ ปวดน่องขาทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการปวดหลังและท้อง
       
        แบบที่สอง มีอาการรุนแรงนั้นถึงขั้นเสียชีวิตได้ มีอัตราการเสียชีวิตราว 5-15% โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต ตับวาย ไตวายเฉียบพลัน ตับอ่อนอักเสบรุนแรง สับสน เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย จนถึงระบบหายใจล้มเหลว อาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย เช่น ผื่น จุดเลือดออกที่ผิวหนัง ไอมีเสมหะปนเลือด เลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มสมอง ทำให้เสียชีวิตในที่สุด หากพบว่าตัวเองมีความผิดปกติดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อทำการตรวจเลือกและปัสสาวะและให้ยาปฏิชีวนะที่รวดเร็วและเหมาะสม อย่างน้อย 7 วัน ในผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มอาการไม่รุนแรง จะให้ในรูปแบบยากิน และรักษาแบบผู้ป่วยนอก ส่วนในผู้ป่วยกลุ่มอาการรุนแรง ต้องนอนโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ ดังนั้นเราควรป้องการก่อนที่จะเกิดโรคขึ้นโดยการไม่เดินย่ำน้ำ หรือแช่ในน้ำที่ท่วมขัง ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูทยาง หรือถุงมือยางป้องกัน หากสัมผัสกับน้ำท่วมขังให้รีบอาบน้ำหรือล้างผิวด้วยน้ำสบู่ทันที หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะโรคฉี่หนู ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำที่ไม่มีภาชนะปกปิด เพราะอาจมีหนูมากินได้
       
        พญ.กรุณา กล่าวอีกว่า หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บกล้ามเนื้อน่องมาก ร่วมกับมีประวัติ เดินลุยน้ำ หรือมีประวัติ เดินป่า ตั้งแคมป์ ท่องเที่ยวตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบและน้ำตก อย่าซื้อยาปฏิชีวนะทานเอง เพราะอาจเกิดอันตรายจากการแพ้ยาหรือใช้ยาไม่ตรงกับโรค ดังนั้น ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 24, 2014, 09:30:20 pm
6 วิธีป้องกันเสียงรบกวนในคอนโดให้อยู่หมัด !


-http://home.kapook.com/view87474.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ปัญหาเสียงดังรบกวนจากคนข้างห้อง หรือทางเดินในคอนโดเป็นปัญหาโลกแตกที่ใครเจอก็ต้องส่ายหัวกันเป็นแถว แต่นับจากนี้ต่อไปเราจะหยุดปัญหาเสียงรบกวนในคอนโดกันด้วยมาตรการ 6 ข้อ ที่สามารถแก้ปัญหาเสียงดังในคอนโดได้อยู่หมัด ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันค่ะ

          ที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตได้เกือบครบทุกข้อ โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่ถึงจะมีข้อดีนานับประการก็ใช่ว่าการอยู่คอนโดจะไม่เจอปัญหากวนใจอะไรเลยนะคะ บางครั้งก็ต้องทนกับเสียงที่ดังจากข้างห้อง หรือเสียงรบกวนจากโถงทางเดินหน้าห้องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีป้องกันเสียงดังรบกวนในคอนโดมาฝาก แถมด้วยการจัดการเสียงภายในห้องไม่ให้ไปรบกวนใคร ๆ ด้วยจ้า

1. เช็กช่องโหว่บนพื้นและผนัง

          หากรู้สึกว่าเสียงข้างห้องดังเข้ามาในห้องเรามากเกินไป เหมือนกับอยู่ภายในบริเวณเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ลองตรวจสอบพื้นห้องที่ขนานกับผนังห้องดูก็ได้ค่ะว่าบนพื้นมีช่องโหว่ หรือยาแนวร่องกระเบื้องไว้แน่นหนาดีหรือเปล่า รวมทั้งตรวจสอบรอยร้าวบริเวณผนังห้องด้วยก็ดี เนื่องจากเสียงที่ดังจากข้างห้อง อาจจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางนี้ได้ ดังนั้นปิดช่องโหว่ทั้งหมดนี้แล้ว เสียงจากข้างห้องที่ดังรบกวนก็จะเบาลง เหลือแต่ความเงียบสงบภายในห้องเราเอง

2. ปิดกั้นเสียงเข้า-ออกจากด้านล่างของประตู

          ไม่ว่าเสียงจากข้างนอก หรือเสียงจากข้างในห้องของเราเอง ก็สามารถเล็ดลอดผ่านทางช่องโหว่ด้านล้างประตูได้เช่นกันนะคะ ฉะนั้นเพื่อป้องกันเสียงจากด้านนอกเข้ามารบกวนในห้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงจากห้องเราไปรบกวนใคร ทางที่ดีปิดช่องโหว่ด้านล่างประตูทุกบานเอาไว้ดีกว่า หรือถ้าติดไว้อยู่แล้ว แต่ยังได้ยินเสียงจากด้านนอกอยู่ กรณีนี้อาจจะต้องตรวจสอบความแน่นหนาของแผ่นซีลอีกที

3. ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียง

          หากต้องการปิดกั้นเสียงจากภายนอกให้อยู่หมัด และไม่อยากให้เสียงภายในห้องหลุดลอดออกไปได้ แนะนำให้ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียงไว้ที่ผนังไปเลยค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกหลายแบบ หลากจุดประสงค์การใช้งาน คราวนี้ภายในห้องก็จะเงียบสงบ เป็นส่วนตัวมากขึ้น

4. เตียงอยู่ห่างจากผนังดีกว่า

          ตอนนี้ตำแหน่งหัวเตียงของใครชิดติดกับผนังห้องที่แชร์ร่วมกับห้องอื่น ๆ ลองหมุนเตียงให้ห่างจากผนังดีกว่าค่ะ หรือจะปรับตำแหน่งเตียงมาวางติดผนังฝั่งที่ไม่ได้แชร์ร่วมกับห้องใครก็ได้ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถวางหัวเตียงชิดผนังด้านใดได้เลย อาจจะต้องลองวางหัวเตียงชนเข้ากับมุมผนังแทน อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะลดพลังงานเสียงที่แทรกเข้ามาจากผนังห้องโดยตรงได้บ้าง

5. จัดวางอุปกรณ์ส่งเสียงให้ห่างจากผนัง

          สำหรับคอนโดที่ไม่เก็บเสียง คงจะดีกว่าถ้าคุณจัดวางอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีเสียง อย่างโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นดีวีดี หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊กให้อยู่ห่างจากผนังด้านที่แชร์ร่วมกันกับห้องอื่น ๆ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้เสียงดังจากห้องเราไปรบกวนข้างห้องได้ในระดับหนึ่ง หรือถ้าหวังผลในระยะยาว แนะนำให้ลงทุนติดตั้งฉนวนกันเสียงบนผนังห้องไปเลยดีกว่า ควบคุมเสียงในห้องเราให้ดีอย่างนี้ ห้องข้าง ๆ ก็อาจจะเกรงใจเราขึ้นมาบ้าง และพยายามเก็บเสียงภายในห้องของเขาไม่ให้ดังรบกวนเราก็ได้นะคะ

6. ตกแต่งห้องด้วยผ้าเพื่อดูดซับเสียง

          ผ้าเป็นวัสดุที่ดูดซับเสียงได้ดี ซึ่งถ้าอยากลดเสียงดังรบกวนจากห้องข้าง ๆ ให้คุณตกแต่งห้องด้วยผ้าให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแขวนผ้าม่านที่หน้าต่าง ติดแถบผ้าด้านล่างประตู เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า เช่น โซฟาผ้า หรือหุ้มเบาะเก้าอี้ด้วยผ้า ตกแต่งโต๊ะอาหารด้วยผ้า หรือถ้าปูพรมบนพื้นได้ด้วยก็ยิ่งดี แค่นี้เสียงที่เคยดังเข้ามารบกวนก็จะลดน้อยลง คืนความเงียบสงบให้คุณอยู่สบายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว

 
          ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเป็นฝ่ายทนกับเสียงที่ดังจากด้านนอก หรือบางครั้งก็เป็นฝ่ายทำเสียงดังรบกวนข้างห้องจนรู้สึกเกรงใจ ลองนำวิธีที่เราแนะนำไปใช้กันดูได้นะคะ คราวนี้จะได้หมดปัญหาเสียงดังรบกวนในคอนโดสักทีจ้า

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 24, 2014, 09:37:27 pm
คอลลาเจน 90% ไม่ผ่าน อย. เตือนกินมาก เสี่ยงไตวาย

-http://health.kapook.com/view91542.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          อย. เตือนบริโภค คอลลาเจน ชี้ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดกว่า 90% ไม่ได้ขออนุญาต อย. หากบริโภคเกินขนาดเสี่ยงไตวายได้

          เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่โฆษณาอย่างกว้างขวางในเวลานี้ร้อยละ 90 ไม่ได้ขออนุญาตจาก อย. และมักโฆษณาเกินจริง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากรับประทานเกินขนาดจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต จนเกิดอาการไตวายได้

          โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนมีผู้บริโภคบางรายรับประทานเสริมอาหารวันหนึ่งถึงสิบยี่สิบเม็ด ส่งผลให้ไตทำงานหนัก เบื้องต้นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับผู้บริโภค เพื่อไม่ให้หลงเชื่อการโฆษณาขายตรง หรือการโฆษณาทางเว็บไซต์

          นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร ยังแนะนำว่า หากต้องการให้ผิวขาวใส ดูเป็นธรรมชาติ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเลือกทานผักผลไม้วันละ 400 กรัม เพียงแค่นี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนเพียงพอ ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำพวกนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

-https://twitter.com/SpringNews_TV/status/481266746045640704/photo/1-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 29, 2014, 09:03:56 pm
15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี


-http://health.kapook.com/view91744.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/ETC./mosquitobite.jpg)




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          วิธีป้องกันยุงกัด ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ยุงค่อนข้างชุกชุมเป็นพิเศษ หลายคนเลยโดนยุงตัวเล็ก ๆ บินมากัดจนเป็นตุ่มไปหมด แต่ถ้าอยากป้องกันยุงกัดโดยไม่เสี่ยงอันตรายจากสารเคมี ต้องรีบมาดู 15 วิธีป้องกันยุงกัด สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติโดยเว็บไซต์ Huffington Post ที่รับรองว่าคุณจะรอดปลอดภัยจากพิษของสารเคมีอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ปราบยุงได้อยู่หมัดเลยล่ะค่ะ
 

1. พยายามอย่าอยู่ในที่มืดและอับชื้น
           
          ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่า ประชากรยุงจะค่อนข้างหนาแน่นในบริเวณที่มืดและอับชื้น เพราะตามปกติแล้วยุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่างเท่าไร ฉะนั้นหากคุณไม่อยากโดนยุงกัดก็พยายามอย่าไปอยู่ในที่มืดและอับชื้นดีกว่า หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่จริง ๆ ควรเปิดพัดลมไล่ยุงด้วยก็ดีค่ะ
 


2. กระเทียมก็ช่วยได้
           
          กระเทียมเป็นสมุนไพรกลิ่นฉุนที่ยุงไม่ปลื้มเอามาก ๆ ซึ่งก็แปลได้ว่าหากคุณกินกระเทียมเข้าไป ยุงก็จะไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะได้กลิ่นกระเทียมออกมาจากผิวของคุณ ห่างไกลการโดนยุงกัดได้ง่าย ๆ แถมยังได้ประโยชน์มากมายจากกระเทียมอีกต่างหาก
 

3. พริกไทยดำ ยุงก็ยี้

          หากได้กลิ่นฉุน ๆ ของพริกไทยดำ เจ้ายุงร้ายทั้งหลายก็มีอันต้องรีบบินหนีไปให้ไกล เพราะอย่างที่บอกว่ายุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนทุกชนิด ไม่เกี่ยงว่าเป็นกลิ่นเหม็นหรือหอมเลยล่ะ อย่างนี้ก็หมายความว่า หากคุณเองก็ไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นและรสชาติของกระเทียมนัก พริกไทยดำก็เป็นตัวเลือกไล่ยุงที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน
 

4. ป้องกันยุงด้วยต้นสะเดา

          สถาบันวิจัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยผลวิจัยว่า ต้นสะเดามีสรรพคุณในการไล่ยุงได้เต็มประสิทธิภาพกว่าสเปรย์ไล่ยุงหลายเท่า และไม่ว่าจะเป็นต้นสะเดาสด ๆ หรือน้ำมันสกัดจากเมล็ดสะเดา ก็สามารถนำมาป้องกันยุงได้อยู่หมัดเลยเชียวล่ะ




5. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
           
          หากยุงไม่ได้กินเลือดจากคนหรือสัตว์บางชนิด เจ้ายุงเหล่านี้จะเลือกกินเกสรดอกไม้เป็นอาหารแทน ผู้เชี่ยวชาญจึงเตือนว่า ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของฝูงยุง พยายามเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะดีกว่า เนื่องจากกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะหอมหวนชวนกินมาก ๆ ในความคิดของยุงนั่นเอง



6. ไล่ยุงด้วยน้ำมันสกัดจากตะไคร้หอม
           
          ผลวิจัยที่เว็บไซต์ Huffington Post ได้เผยเอาไว้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันสกัดจากตะไคร้หอมจะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามายุ่มย่ามกับคุณได้นานกว่า 20 นาที ในขณะที่น้ำมันสกัดจากดอกเจอเรเนียมและน้ำมันถั่วเหลืองก็สามารถปกป้องคุณจากยุงได้นานถึง 90 นาทีเป็นอย่างต่ำเช่นกัน แต่ดูแล้วน้ำมันตะไคร้หอมจะเป็นตัวเลือกที่หาง่ายและน่าใช้มากกว่าเนอะ เพราะตอนนี้ก็มีตะไคร้หอมในรูปแบบสเปรย์มาให้เราฉีดป้องกันยุงกันแล้วด้วย
 

7. จุดเทียนหอม
         
          แม้ยุงจะโปรดปรานกลิ่นหอมของดอกไม้และเห็นว่าเป็นอาหารอันโอชะ (ในยามที่ขาดแคลนเลือด) แต่กับกลิ่นเทียนหอมเป็นข้อยกเว้นค่ะ แถมยังเป็นกลิ่นที่ยุงเกลียดสุด ๆ อีกต่างหาก ดังนั้นถ้าคุณจุดเทียนหอมไว้รอบ ๆ บ้าน ก็จะช่วยป้องกันยุงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้จะเลือกเทียนหอมกลิ่นตะไคร้หอม หรือกลิ่นอื่น ๆ ก็ตามความชอบเลยจ้า
 

8. ใส่เสื้อผ้ามิดชิด
           
          อีกหนึ่งวิธีป้องกันยุงกัดที่คุณทำเองได้ง่ายมากโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมใด ๆ นอกจากแค่สวมใส่เสื้อเสื้อผ้าที่มิดชิด ดีที่สุดก็กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เสริมด้วยผ้าพันคอคอยปัดและคลุมส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าด้วยก็จะดีมาก
 

9. กินวิตามิน B1

          ผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการของเมโย คลินิก เผยว่า วิตามิน B1(ไทอะมิน) สามารถช่วยเปลี่ยนกลิ่นเลือดในตัวเราให้กลายเป็นกลิ่นที่ไม่ยั่วยวนยุงได้ โดยต้องบริโภควิตามิน B1(ไทอะมิน) ปริมาณ 75-150 มิลลกรัมต่อวัน จึงจะเพียงพอที่จะป้องกันยุงไม่ให้มากัด
 

10. กำจัดแหล่งน้ำขังให้เกลี้ยง
           
          ยุงเป็นสัตว์ที่วางไข่ในน้ำ โดยเฉพาะแอ่งน้ำที่เน่าขัง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับ มืด และอบอุ่น ซึ่งยุงจะรู้สึกปลอดภัยมาก ดังนั้นก็ควรสำรวจบริเวณรอบ ๆ บ้านของคุณเองว่า มีแอ่งน้ำขังอยู่ตรงบริเวณไหนบ้าง และหากพบก็จัดการเทน้ำที่ขังอยู่ทิ้งให้หมดเกลี้ยงไปซะดี ๆ จะได้ไม่มีที่ให้ยุงมาวางไข่นะจ๊ะ



11. อยู่ใกล้ ๆ พัดลม
           
          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอฟันธงว่ายุงไม่ใช่สัตว์นักบินที่ดีนัก แค่แรงพัดลมก็ทำให้ยุงบินเซได้แล้วล่ะะ และในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็พยายามอยู่ใกล้พัดลม ให้ลมจ่อไล่ยุงดีกว่าเนอะ
 

12. อาศัยเครื่องดักยุง
           
          ยุงมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายหิ่งห้อย ในเรื่องชื่นชอบแสงไฟริบหรี่อย่างที่สุด ดังนั้นเมื่อเห็นแสงไฟนวล ๆ จากเครื่องดักยุง ยุงเข้าก็จะเข้าไปติดกับ หันเหความสนใจของยุงจากตัวเราได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแค่เสียบเครื่องดักยุงเอาไว้ในบริเวณที่ยุงชุกชุม ก็ช่วยกำจัดยุงได้เยอะเลยทีเดียว
 


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Pet/catnip.jpg)

13. ปลูกต้นแคทนิป
           
          ผลการศึกษาเมื่อปี 2001 บันทึกเอาไว้ว่า น้ำมันต้นแคทนิปหรือต้นกัญชาแมว มีคุณสมบัติในการไล่ยุงสูงกว่ายากันยุงชนิดสารเคมีถึง 10 เท่าเลยทีเดียว อย่างนี้ก็ปลูกแคทนิปไว้ในบ้านซะเลยน่าจะดี จะได้ทั้งไล่ยุง และบ้านไหนเลี้ยงน้องเหมียวก็ได้อาหารเสริมของแมวไปด้วยอีกต่างหาก
 

14. ดื่มแอปเปิลไซเดอร์กันยุง
         
          แอปเปิลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งของส่งตรงจากธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันยุงกัดได้ โดยให้คุณผสมแอปเปิลไซเดอร์ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาดประมาณครึ่งลิตร จากนั้นก็เขย่าให้เข้ากันแล้วจิบบ่อย ๆ (ในกรณีที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดนยุงกัด) หรือหากอยากเพิ่มรสหวานก็สามารถเติมน้ำผึ้งลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
 

15. ทาโลชั่นกันยุง
           
          โลชั่นกันยุงเป็นนวัตกรรมป้องกันยุงกัดที่ไม่ถึงกับใหม่กิ๊กอะไร แต่ก็สามารถไล่ยุงได้อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร ทว่าการทาโลชั่นกันยุงจะช่วยปกป้องผิวเราไม่ให้โดนยุงกัดได้เพียง 23 นาทีเท่านั้น ซึ่งเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันยุงที่ยาวนานกว่านี้ ก็ต้องหมั่นทาซ้ำบ่อย ๆ นะคะ
 
          แม้ยุงจะเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่น้ำลายยุงก็เป็นพาหะนำโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกและโรคมาลาเรีย แถมยังทำให้เราเกิดอาการคันและทิ้งร่องรอยตุ่มสีแดง ๆ ให้ดูต่างหน้า ฉะนั้น บ้านไหนที่ยุงชุกชุม และมักจะโดนยุงกัดอยู่บ่อย ๆ ลองนำวิธีไล่ยุงทั้งหมดนี้ไปใช้ไล่ยุงกันได้นะคะ แถมยังเป็นสูตรไล่ยุงจากธรรมชาติ รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์จ้า
 





หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 30, 2014, 10:34:21 pm

แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังจนทำให้สุขภาพแย่

-http://men.kapook.com/view91778.html-

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v2013.jpg)



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ TurkTS สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           สำหรับคนที่มีเป้าหมายในการลดน้ำหนัก นอกจากเรื่องของการออกกำลังกายแล้ว การควบคุมอาหาร ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ ทว่าในปัจจุบันยังมีหลายคนที่มีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการควบคุมอาหารอยู่มาก ดังเช่นเรื่องราวของหนุ่มคนหนึ่งที่มีความเชื่อเรื่องการคุมอาหารแบบผิด ๆ จนถึงขั้นระบบเผาผลาญเสียหายเลยทีเดียว

           วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำเอาเรื่องราวของคุณ TurkTS หนึ่งในสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเขาได้ตั้งกระทู้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับระบบเผาผลาญของร่างกายในกระทู้ "แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังมาหลายปี อยู่ในช่วงปรับ เป็นข้อมูลเผื่อคนที่รักษาสุขภาพครับ" มาให้อ่านเป็นข้อคิดเตือนใจ ก่อนจะเลือกใช้วิธีลดน้ำหนักแบบผิด ๆ ถ้างั้น ตอนนี้เราไปดูเรื่องราวของคุณ TurkTS กันเลยดีกว่าครับ

(http://img.kapook.com/u/thachapol/a999999999999999999999999999/v2014.jpg)



เริ่มแรก : ผิดวิธีตั้งแต่ตั้งต้น

           คือเราลดน้ำหนักจากที่เคยอ้วนมาก (97 กิโลกรัม) ลงมาเรื่อย ๆ ซึ่งแรก ๆ เราลดผิดวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมกันเป็นอย่างมาก นั่นคือ "อ ด อ า ห า ร" อดแบบเรียกว่าจริงจัง คือกินข้าววันละมื้อตอน 10.30 น. ที่เหลือดื่มน้ำเปล่า เวลาที่โหยมากก็อัดน้ำ อัด ๆ ๆ มันเข้าไป ซึ่งน้ำหนักก็ลดเร็วมาก ภายใน 5 เดือนหายไป 20 กว่ากิโลกรัม แต่มนุษย์อยู่อย่างนั้นทั้งชีวิตไม่ได้ เลยกลับมาทานอาหารมากขึ้น แต่ไม่ได้ทานเหมือนเมื่อก่อน คราวนี้เจอสิ่งที่เรียกว่า "โยโย่ เอฟเฟกต์" เพราะน้ำหนักเด้งกลับมา 10 กว่ากิโลกรัม ซึ่งตอนนั้นเราก็ เฮ้ย ! โอเคนี่นา เพราะบางคนเห็นว่าน้ำหนักเด้งเกินกว่าที่เคยหนักที่สุดด้วยซ้ำ

รอบสอง: มาถูกวิธีครึ่งนึง

           พอเข้ามหาวิทยาลัย ไปฟิตเนสเจอพี่สตาฟฟิตเนสคนนึงเดินเข้ามาทักมาคุยด้วย พี่เขาใจดีมาก เขาก็มาแนะนำให้ทำนั่นนี่ แล้วบอกว่าไหนลองเปิดเสื้อสิ เท่านั้นแหละ ความจริงมันปรากฎทันที เพราะเมื่อก่อนเราเคยมีรอบเอว 44 นิ้ว ตอนที่เราลดลงมามันเหลือ 32 นิ้ว
จากการอดอาหาร

           ทว่าสภาพมันเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม มันย้วย ย้อย หย่อนยาน สาเหตุมาจากการลดน้ำหนักผิดวิธี เป็นเพราะตอนที่คนเราอ้วน มวลภายในร่างกายและผิวหนังมันขยายไปในทิศทางเดียวกัน แต่พอเราลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว มวลข้างในเราหายไปไวมาก เพราะน้ำและ กล้ามเนื้อหายไป แต่หนังมันไม่หด นี่เลยนับเป็นก้าวแรกที่เราก้าวเข้าสู่ชีวิตฟิตเนสอย่างแท้จริง

           เราเล่นฟิตเนสแบบบ้าคลั่งมาก อยู่มันวันละ 2-3 ชั่วโมง เบิร์น ๆ ๆ เล่นเป๋ไปเป๋มา คนนั้นบอกอันนั้นดี เฮ้ย ลอง คนนี้บอก ไม่ ๆ อันนี้ดีกว่า เฮ้ย ลอง เขาบอกว่าวิ่งไปเลยวันละ 1-2 ชั่วโมงก็วิ่ง จนไม่เคยมีทิศทางการเล่นเป็นของตัวเอง กินเหล้านอนดึก ตื่นเช้าเพื่อจะมาฟิตเนส วันไหนแฮงค์ก็ไม่สน ต้องลากสังขารเพื่อไปฟิตเนส เพราะ ณ จุด ๆ นั้น ฟิตเนสคือทุกสิ่งเลย เล่นมันเข้าไปจนน้ำหนักลดลงมาถึง 65 กิโลกรัม ซึ่งมันเป็นจังหวะที่กลายเป็นคนตัวเล็ก หน้าแหลม แล้วเราก็กลายเป็นโรค "เสพติดความผอม" ไปโดยปริยาย

           ปัญหาที่ตามมาไม่ใช่เรื่องเวลาที่นอนดึกตื่นเร็ว หรือเรื่องอื่นใดนอกจาก เอฟเฟกต์ที่เกิดจากการกินอาหาร...

ปัญหาจุด PEAK :

           เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1 ที่เริ่มเล่นฟิตเนสเราแทบจะ "ไม่กินแป้งเ ลย !"

           เพราะเราเชื่อคำคนนั้นคนนี้ที่ว่า อยากผอมเหรอ ลดแป้งสิ อยากผอมเหรอ ห้ามกินแป้งนะ ข้าวนี่ตัดไปได้เลย ขนมปังนี่ห้ามเลยนะ แล้วมันส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้าวันไหนเราอยากกินขึ้นมา แล้วได้กินข้าวสัก 1 จาน วันรุ่งขึ้นน้ำหนักเราจะขึ้น 1 กิโลกรัม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหรอกที่กินข้าวจานเดียวแล้วทำให้น้ำหนักขึ้น 1 โลกรัม น้ำหนักที่ขึ้นมาต่อวันนั้นมีปัจจัยเยอะแยะมากมาย อาจมาจาก น้ำ ที่เราดื่มเข้าไปเยอะ ๆ แล้วยังไม่ได้ปัสสาวะก็เป็นได้ แต่สมอง ณ ตอนนั้นมันสั่งไปแล้วว่าเป็นเพราะแป้งแน่ ๆ ก็เลยเลิกกินมันเลยละกันตัดปัญหา

           ตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก็ 8 ปีแล้วครับที่ผมไม่กินแป้ง แต่ตอนนี้ผมกลับมาทานแป้งเหมือนเดิม สาเหตุที่กลับมาทานเพราะได้ศึกษาเรื่องฟิตเนสอย่างจริงจังมากขึ้น ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น ว่าจริง ๆ แล้ว ร่างกายที่เราใช้งานทุกวันต้องการอะไรจากเรา ซึ่งคำตอบก็คือ ต้องการสารอาหารดี ๆ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะอย่างนั้นผมเลยตัดสินใจเล่นฟิตเนสเหมือนเดิม แต่กลับมาบริโภคแป้ง

และสิ่งที่ผมพบเจอ...

Yoyo ของจริง :

           ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมได้เจอ "โยโย่ เอฟเฟกต์" ของจริงแล้วครับ น้ำหนักมันขึ้นเร็วมาก เร็วจนหน้าตกใจ บวม ๆ ฉุ ๆ ตัน ๆ ซึ่งผมกำลังทำใจ อดทนรับกับมันอยู่ครับ สาเหตุที่โยโย่คราวนี้เป็นเพราะตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมไม่บริโภคคาร์โบไฮเดรตเลย มันทำให้ร่างกายและสมองสั่งแล้วว่า ร่างกายผมไม่จำเป็นต้องเผาผลาญแป้งนะ เพราะมันไม่เข้ามาในร่างกายอยู่แล้วนี่ คราวนี้พอกินแป้งเข้าไปร่างกายก็ไม่เผาผลาญสิ มันเลยตกค้างอยู่อย่างนั้น

           เท่านั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมกำลังปรับระบบการเผาผลาญตัวเองใหม่หันมากินข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวในทุก ๆ มื้ออาหาร ตอนนี้กลับจากจีนมาเกือบ 1 ปี น้ำหนักผมจากเดิม 71.1 กิโลกรัม ขึ้นมาเป็น 75 กิโลกรัมเรียบร้อยแล้วครับ ใครที่ไม่เห็นผมนาน เจออาจจะตกใจได้ ซึ่งตอนนี้ผมต้องอดทนมากที่จะให้ร่างกายตัวเองอ้วนเป็นหมีเพื่อปรับระบบเผาผลาญตัวเองใหม่

แล้วทำไมต้องอดทน :

           ถ้ามีคนถามคำถามนี้ผมขอตอบว่า เพราะผมรักตัวเองครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากมีร่างกายที่ดูดีนะ แต่เพราะผมอยากอยู่กับมันไปนาน ๆ อยากอยู่ด้วยร่างกายที่ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ผิดแผกแตกแยกเหมือนเมื่อก่อน ที่เวลาเขาไปทานอาหารฝรั่งกันแล้วผมต้องนั่งหาแต่สเต๊ก  ไปกินอาหารไทยแล้วต้องนั่งกินแต่กับข้าวที่รสจัด ๆ โดยไม่ทานข้าว

           ผมไม่ได้บอกว่าการไม่กินแป้งเป็นสิ่งไม่ดี สำหรับคนที่ร่างกายและรูปแบบชีวิตเหมาะสมกับแบบนี้ ตามสบายเลยครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองอยากมีระบบเผาผลาญที่เป็นปกติเท่านั่นเอง

           ตอนนี้ต้องอดทนไปก่อน ระบบเผาผลาญพังมาตั้งหลายปี ให้หายในวัน สองวันคงไม่มีทาง ยังไงเอาใจช่วยกันด้วยนะ แล้วสำหรับคนรักสุขภาพทุกคน อย่าลืมออกกำลังและเลือกอาหารการกินดี ๆ ให้ร่างกายกันด้วยนะครับ

           เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากที่ได้ทราบเรื่องราวของคุณ TurkTS ไป ไม่น่าเชื่อเลยว่า อาหารการกินที่หลายคนไม่ค่อยใส่ใจกันสักเท่าไร กลับส่งผลกระทบต่อระบบภายในร่างกายเราได้ขนาดนี้ หากไม่อยากต้องทนทรมานกับอาการโยโย่เอฟเฟกต์เหมือนอย่างเจ้าของเรื่อง ก็ลองใช้ประสบการณ์ของเขาเป็นเครื่องเตือนใจแล้วกันนะครับ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 02, 2014, 10:03:03 pm
รู้ทันอาการกระดูกสันหลังคด


-http://club.sanook.com/40511/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5/-



อธิบดีกรมการแพทย์เผย คนไทยป่วยด้วยอาการกระดูกสันหลังคดมากขึ้น แนะหากมีอาการกระดูกสันหลังผิดรูป ปวดหลัง เอว คอ เรื้อรังให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี

(http://p3.isanook.com/cl/0/up/2014/06/166843210.jpg)

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า ผู้ป่วยกระดูกสันหลังคดในประเทศไทย พบมาก 2-3 % ของประชากร โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดกระดูกสันหลังคด 80 % ของผู้ป่วยไม่พบสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบ เช่น กระดูกสันหลังคดจากขาที่ยาวไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคดจากสมองพิการ หรือเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น จากสถิติของผู้ป่วยพบได้เท่ากันในเพศชายและเพศหญิง แต่เพศหญิงมักจะมีการคดงอของกระดูกมากกว่าเพศชาย และพบว่าผู้ป่วยช่วงอายุ 10-15 ปี 10 % ได้รับการถ่ายทอดมาจากกรรมพันธุ์ กระดูกคดเกิดจากภาวะกระดูกสันหลังโค้งงอไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาจนผิดปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกระดูกสันหลังของคนเราจะโค้งงอไปด้านหน้าและหลังในระดับที่สมดุลกับร่างกาย เมื่อมองจากด้านข้างจะเป็นรูปตัว S แต่ถ้ามองจากด้านหลังจะเป็นแนวเส้นตรง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังคดนั้น กระดูกสันหลังจะบิดหรือผิดรูปออกทางด้านข้าง การที่กระดูกสันหลังโค้งไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้สะโพก เอว และไหล่ของผู้ป่วยไม่เท่ากัน

 

สำหรับอาการของผู้ป่วย คือ มีแนวกระดูกสันหลังไม่ตรง ระดับหัวไหล่ 2 ข้างไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณ หลังเอว คอ เรื้อรัง เนื่องจากกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนแบกรับน้ำหนักไม่เท่ากัน รวมทั้งมีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากกระดูกหน้าอกไปกดทับปอดมากกว่าปกติ ในกรณีที่มีความคดของกระดูกเล็กน้อย แพทย์จะนัดตรวจเพื่อติดตามอาการสม่ำเสมอและให้ผู้ป่วยใส่เสื้อเกราะให้รัด กระชับ เพื่อดัดกระดูกสันหลัง ป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังคดมากขึ้น โดยใส่ประมาณ 23 ชั่วโมงต่อวัน การใส่เสื้อเกราะจะต้องใส่จนกว่าผู้ป่วยหยุดการเจริญเติบโต และค่อยๆ ลดจำนวนชั่วโมงที่ใส่ลงจนแน่ใจว่า กระดูกสันหลังไม่คดมากขึ้นจึงสามารถหยุดใส่ได้ ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกคดมากกว่า 45 องศา โดยการใช้โลหะดามกระดูกสันหลังให้ตรงขึ้น และเชื่อมข้อกระดูกสันหลังให้ติดแข็งในแนวที่จัดไว้ ซึ่งหลังผ่าตัดควรงดกิจกรรมที่เคลื่อนไหวด้วยกระดูกสันหลังประมาณ 6-9 เดือน เช่น การก้ม บิดตัว แล้วจึงออกกำลังกายที่ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

 

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวแนะนำการสำรวจตนเองง่ายๆ ว่ามีอาการกระดูกสันหลังคดหรือไม่ โดยให้สังเกตความสูงของระดับหัวไหล่ ความนูนของกระดูกสะบัก และระดับแนวกระดูกสะโพกของร่างกาย ซึ่งมักจะมีระดับสูง-ต่ำไม่เท่ากัน หรือทดสอบโดยการยืนให้เท้าชิดกันและให้ก้มไปด้านหน้า ใช้มือทั้ง 2 ข้างแตะให้ถึงพื้น จะเห็นความนูนของหลังไม่เท่ากัน ซึ่งหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวให้พบแพทย์เพราะหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติได้

 

ข้อมูลจาก :: กระทรวงสาธารณะสุข

ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2014, 10:28:54 pm
ภัยใกล้ตัวมนุษย์ออฟฟิศ


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/249412/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A8-


ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้ดวงตามีการใช้งานอย่างหนัก
วันศุกร์ 4 กรกฎาคม 2557 เวลา 03:00 น.

ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้ดวงตามีการใช้งานอย่างหนัก เพราะต้องจับจ้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ส่งผลให้เสี่ยงเกิดโรคที่เป็นอันตรายกับดวงตา 4 โรค ดังนี้

1.โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรค“ออฟฟิศซินโดรม” จะมีอาการมองเห็นภาพซ้อน ตาโฟกัสช้ากว่าปกติ เคืองตา แสบตา ตาแห้ง ดวงตาล้า

2.โรคประสาทตาเสื่อม จะมีอาการภาพมีสีซีดจางไป อ่านหนังสือลำบาก แยกแยะใบหน้าคนยากขึ้น เห็นจุดดำบริเวณศูนย์กลางของภาพ

3.โรคต้อหิน มีอาการตาพร่ามัว เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียน เห็นดวงไฟที่มีแสงจ้าเป็นรัศมีกระจาย

4.โรควุ้นในตาเสื่อม มีอาการเห็นคราบดำๆเหมือนหยากไย่ลอยไปมา หากมองแบ็คกราวน์ที่มีสีสว่างอาการจะชัดยิ่งขึ้น

“เดลินิวส์ออนไลน์” จึงนำวิธีการดูแลรักษา "สายตา" เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคมนุษย์ออฟฟิศ ด้วยวิธีง่ายๆ มาฝากกัน

1.ควรพักสายตาทุก 15 นาที ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า อย่าขยี้ตา หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหาร ดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด

2. ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้รู้สึกสบายตาโดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา

3.หมั่นตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำสม่ำเสมอ ควรมีแบบ ทดสอบ Amsler grid ไว้ที่บ้านเพื่อจะได้ทดสอบสายตาด้วยตนเอง และที่สำคัญควรหันมารับประทานผักและผลไม้ที่มีสีส้มและสีเหลืองเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้สายตาท่ามกลางแสงแดดจ้าเป็นเวลานาน ๆ และให้ใส่แว่นตากันแดดที่มีระบบป้องกันรังสียูวีด้วย

4. หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตาหรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

5. สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้งการหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้

6. ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติเพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน10วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก1-2ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

7. ใช้เลนส์แว่นตาที่มีคุณสมบัติ ในการตัดรังสี ยูวี เวลาใช้งานหน้าคอมฯ นานๆ

อย่างไรก็ตาม การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยให้ดวงตาไม่เมื่อยล้าจนเกินไป และต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายเพื่อให้มีความสมดุลด้วย

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก -http://news.siamphone.com/news-14140.html-, -http://www.sukumvithospital.com/LASIK/light-well.html-

ขอบคุณภาพประกอบจาก -http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131127185953950-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 06, 2014, 09:26:47 am
พบโรคสุกใสเพิ่ม 3 เท่า แนะเลี่ยงกินยาแอสไพรินลดไข้

-http://club.sanook.com/41095/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-3-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%99/-



ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคสุกใสอย่างใกล้ชิด เนื่องจากโรคนี้เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยปีนี้เพียง 6 เดือน พบผู้ป่วยแล้ว 6.3 หมื่นราย เฉลี่ยวันละ 350 รายสูงกว่าปี 2556 จำนวน 3 เท่าตัว และเสียชีวิต 1 ราย ย้ำให้ถ้ามีไข้ ผื่นหรือตุ่มใส ให้หลีกเลี่ยงกินยาแอสไพรินลดไข้ และหากมีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก หายใจหอบ ชัก ซึมลง ต้องรีบพบแพทย์

นอกจากนี้ นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสุกใส หรือโรคอีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลา (Varicella) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายทางการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัส รวมทั้งการใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ที่นอน ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น อาการป่วยที่พบหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ เด็กเล็กจะเริ่มจากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่ จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัด มีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้หรือขึ้นหลัง
มีไข้ 1 วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากและลิ้นเปื่อย

โดยในระยะแรกจะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มใส และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขุ่นคล้ายหนอง แล้วกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว แผ่นหลัง และช่องปาก หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ผื่นจะตกสะเก็ด สำหรับการรักษานั้น ในรายที่เป็นไม่มาก อาจดูแลตัวเองที่บ้านได้ตามอาการ เช่น หากมีไข้ ให้รับประทานยาพาราเซตามอล หากมีอาการคันให้ใช้ยาทา เพื่อลดอาการคันในรายที่มีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น หายใจหอบ ชัก ซึมลง ต้องรีบพบแพทย์

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากติดเชื้ออาจมีความเสี่ยงอาการรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี /เอดส์ มะเร็ง เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อดูแลรักษา ลดความรุนแรงโรค สำหรับการป้องกันโรคนี้ ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนถึงระยะผื่นตกสะเก็ด เด็กที่เป็นโรคสุกใส ควรหยุดไปโรงเรียน จนกว่าผื่นตกสะเก็ดหมดแล้วอย่างน้อย 1 วัน การป้องกันที่ได้ผลในปัจจุบันคือการฉีดวัคซีนป้องกัน วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้ดีในเด็กอายุ 1-12 ปี

 

นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่ประชาชนควรรู้เกี่ยวกับโรคสุกใส คือ

1.โรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ใช่เฉพาะเด็ก

2.คนที่เคยเป็นโรคสุกใสแล้ว หากได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่อาจป่วยซ้ำได้อีก

3. ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคสุกใสจะหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางคนอาจไม่หาย เนื่องจากติดเชื้อแทรกซ้อน ทำให้มีอาการต่างๆ เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือติดเชื้อในสมอง ถ้ารับการรักษาช้าอาจทำให้เสียชีวิตได้

4.โรคสุกใสสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนร้อยละ 90 โดยวัคซีนช่วยลดความรุนแรงอาการป่วยได้

5.หากมีไข้ขึ้นสูง ควรรับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ร่วมกับใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการไข้

6.ไม่รับประทานแอสไพรินลดไข้ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการที่เรียกว่าไรย์ ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับทำให้มีอาการสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลือง จนเกิดอันตรายร้ายแรงได้

7.ทายาลดอาการคันตามที่แพทย์แผนปัจจุบันสั่ง

8.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ไปสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื้อ และที่สำคัญคือต้องพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ

 

ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค โทร. 02 590 3163 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ข้อมูลจาก :: สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 04:29:27 pm
โรคมีจังหวะการหาย (หมอชาวบ้าน)
โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

-http://health.kapook.com/view92602.html-

          อาการเจ็บป่วยหลายอย่างมีจังหวะการหายที่ค่อนข้างแน่นอน หากเข้าใจ เราก็สามารถให้การดูแลตนเองและรอจังหวะที่จะหาย หรือตระหนักว่าถ้าเลยจังหวะนั้นไปแล้วยังไม่ทุเลา ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรรีบไปหาหมอ หากไม่ทราบ เราก็อาจแสวงหาการดูแลช่วยเหลือที่ไม่เหมาะสม ทำให้สิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง และได้รับความเสียหายต่าง ๆ ได้ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างที่พบบ่อยไว้เป็นอุทาหรณ์

ไข้หวัด หายได้ใน 48-96 ชั่วโมง

          มีคนจำนวนไม่น้อย เมื่อเป็นไข้หวัด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเล็กเป็นไข้หวัด) ในวันแรกไปหาหมอได้ยามากิน พอวันรุ่งขึ้นยังมีอาการตัวร้อนอยู่ ก็รีบเปลี่ยนไปหาหมอคนที่ 2 ได้ยามา (ส่วนใหญ่ก็เป็นยาคล้าย ๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบและสีสันของยา) มากิน ก็ยังมีไข้สูง ก็เปลี่ยนไปหาหมอคนที่ 3 วันรุ่งขึ้นถึงจังหวะที่ไข้ลง (อยู่ระหว่าง 48-96 ชั่วโมง) พอดี ก็คิดว่าหายเพราะยาของหมอคนหลังสุด

          ความจริงไข้หวัด (มีอาการตัวร้อน น้ำมูกไหลไอ) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไม่มีการรักษาโดยจำเพาะ (คือ ไม่มียาที่ใช้ฆ่าเชื้อไข้หวัด) เพียงแต่ให้ยาแก้ไข้ ลดน้ำมูก แก้ไอ บรรเทา แล้วรอจังหวะให้อาการต่าง ๆ ทุเลาไปเอง ยาเหล่านี้เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการให้สุขสบาย หาได้มีผลต่อการหายของโรคไม่ จะไม่กินก็ได้ เช่น ไข้ไม่สูงก็ไม่ต้องกินยาลดไข้

          ผู้ที่เป็นไข้หวัดมักไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่นาน 2 วันเต็ม ถึง 4 วันเต็ม โอกาสจะทุเลาภายใน 48 ชั่วโมงมีค่อนข้างน้อย แต่ถ้ามีไข้นานเกิน 4 วัน ก็แสดงว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์

          การเปลี่ยนหมอหลายคนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น นอกจากเสียเวลาเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจได้ยาซ้ำซ้อน ทำให้ได้รับขนาดยาสูงเกินควร เช่น ได้ยาลดน้ำมูกซ้ำซ้อน อาจทำให้ง่วงนอนหรือซึม ได้รับยาพาราเซตามอลแก้ไข้เกินขนาด ซึ่งอาจมีพิษต่อตับและไตได้ ที่สำคัญอาจได้รับยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น (ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียมี่ประโยชน์ต่อการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส) ซึ่งอาจทำให้แพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงจากยาได้

          ทางที่ดีควรมีหมอประจำตัว (และครอบครัว) ที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำได้สะดวก หากหาหมอประจำตัวแล้วรู้สึกไม่ทุเลาก็ควรกลับไปปรึกษาหมอท่านเดิม จะได้รับการดูแลต่อเนื่อง และได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป


ไอ

เป็นหวัด อาจไอถึง 3 เดือน

          มีบ่อยครั้งที่หลงจากเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอนาน 1-3 เดือนกว่าจะทุเลา ทั้งนี้เนื่องจากมีหลอดลมอักเสบแทรกซ้อน แม้ว่าจะได้รับการดูแลจนหายติดเชื้อแล้ว แต่หลอดลมที่อักเสบนั้นมีเยื่อบุที่เสียหาย ทำให้ระคายเคืองง่ายเมื่อถูกสิ่งระคายเคือง (เช่น ลม ควัน ฝุ่น ความเย็น) ก็จะรู้สึกระคายคอและไอแค้ก ๆ อยู่เรื่อย จนน่ารำคาญโดยที่ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีไข้ กินได้ น้ำหนักไม่ลด ทำงานได้ปกติ มักจะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะขาวเพียงเล็กน้อย (หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้เรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไอเป็นเลือด หรือมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นวัณโรคปอดหรือสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ)

          ผู้ป่วยที่มีหลอดลมอักเสบจากไข้หวัดดังกล่าว จะไออยู่นานอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ บางครั้งอาจนาน 1-3 เดือน (เต็มที่ไม่เกิน 3 เดือน) เนื่องเพราะต้องรอจนกว่าเยื่อบุหลอดลมที่เสียหายไปนั้นจะฟื้นตัวแข็งแรงได้ดังเดิมก็จะหายระคายเคืองง่าย ระหว่างนั้นควรหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง และกินยาระงับไอเป็นครั้งคราว

          ผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือมีความวิตกกังวลก็อาจกินยาอะไรมากมาย รวมทั้งยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็นนอกจาก จะไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยาได้

          กรณีนี้หากมีหมอประจำตัว ก็อาจได้รับคำแนะนำ และการดูแลที่เหมาะสมมากกว่าที่ต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองอย่างผิด ๆ


การดูแลสุขภาพ


ทอนซิลอักเสบ จะทุเลาหลังกินยา 48 ชั่วโมงไปแล้ว

          ผู้ที่มีไข้ เจ็บคอมาก ทอนซิลบวมแดงและเป็นหนอง แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ โดยทั่วไปต้องรอกินยาไปแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง อาการไข้และเจ็บคอจึงจะเริ่มทุเลา เนื่องเพราะต้องรอให้ยาฆ่าเชื้อไปได้มากถึงระดับหนึ่งก่อน

          มักพบว่าเมื่อกินยาไปได้เพียงครึ่งวัน อาการไม่ดีขึ้น หรืออาจรู้สึกว่ากลับเจ็บคอมากขึ้น ผู้ป่วยก็จะเปลี่ยนหมอเปลี่ยนยาหรือหันไปขอให้หมอฉีดยาโดยไม่จำเป็น ทำให้สิ้นเปลืองและเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยา

          ในทางตรงกันข้าม หากกินยา 48 ชั่วโมงไปแล้วไม่ทุเลา ก็อาจบ่งชี้ว่าโรคดื้อยา หรือให้ยาไม่ถูกกับโรคควรกลับไปปรึกษาแพทย์เพื่อปรับวิธีรักษาให้เหมาะสม

          มีบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอมาก โดยที่ไม่มีไข้ ก็นึกว่าเป็นทอนซิลอักเสบ จะไปซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง ผ่านไป 3-4 วันแล้วก็ยังไม่ทุเลา พบว่า ที่แท้อาการเจ็บคอของผู้ป่วยนั้นไม่ได้เกิดจากทอนซิลอักเสบ แต่เกิดจากแผลร้อนใน (แผลแอฟทัส ซึ่งมีอาการเจ็บคอเพียงจุดเดียว ไม่ได้เจ็บทั่วคออย่างทอนซิลอักเสบ และเจ็บมากเวลากลืนหรือพูด) มักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ (ถึงใช้ก็ได้ผล) แต่อาการเจ็บคอจะเจ็บสุด ๆ ในวันที่ 3-4 ไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงเป็นลำดับ


อาหารเป็นพิษ

ท้องเดินจากอาหารเป็นพิษ หายเองภายใน 6-48 ชั่วโมง

          อาการท้องเดินมักเกิดจากอาหารเป็นพิษเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการกินอาหารที่มีพิษที่เชื้อโรคปล่อยไว้ในอาหารถึงแม้ปรุงให้สุกพิษก็ถูกทำลาย ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยบางคนอาจมีไข้หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย

          การรักษาให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ น้ำข้าวใส่เกลือ หรือน้ำอัดลมใส่เกลือ (ควรปล่อยให้แก๊สออกหมดก่อน) ทดแทนน้ำและเกลือแร่ให้มากพอกับที่สูญเสียไป สังเกตจากการมีปัสสาวะออกมากและใสใจไม่หวิวไม่สั่น ไม่มีอาการหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน แต่ถ้ามีอาการอาเจียน หรือดื่มไม่ได้ ก็ควรไปพบแพทย์ในรายที่เป็นรุนแรงแพทย์จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด

          โรคนี้ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เพราะเกิดจากพิษ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่ควรกินยาแก้ท้องเสียใด ๆ ยาแก้ท้องเสียบางอย่างมีฤทธิ์ทำให้ลำไส้หยุดนิ่ง ไม่ขับเคลื่อนตัว ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง และถ่ายห่างขึ้น แต่กลับกักเก็บพิษไว้ในลำไส้ให้อยู่นานขึ้น โรคกลับหายช้าลง

          ควรปล่อยให้ถ่ายขับพิษออกไป ก็จะช่วยให้โรคหายเร็ว แต่ต้องกินน้ำกับเกลือแร่ทดแทนให้พอ ก็จะปลอดภัย

          ถ้าพิษไม่มาก ก็มักจะทุเลาได้ภายใน 6-12 ชั่วโมง ถ้าพิษมากก็อาจกินเวลา 24-48 ชั่วโมงกว่าจะหายขาด


ไมเกรน

ไมเกรน ปวดนาน 4-32 ชั่วโมง

          ผู้ที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดศีรษะเป็นประจำมาตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว ทุกครั้งจะมีเหตุกระตุ้นให้อาการกำเริบอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถูกแสงจ้า ใช้สายตามาก ถูกเสียดงัง ได้กลิ่นฉุน ๆ กินอาหารพวกโปรตีนสูง กินผงชูรส ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อดนอน นอนตื่นสาย หิวหรืออิ่มจัด อากาศร้อนหรือเย็นจัด อากาศอบอ้าว ร่างกายเหนื่อยล้า มีประจำเดือน กินยาเม็ดคุมกำเนิด จิตใจตึงเครียด ฯลฯ โดยรวม ๆ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีเหตุกำเริบมากกว่าหนึ่งอย่างเสมอ

          ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบ ๆ (ตามจังหวะชีพจร) ที่ขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และมักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย เมื่อเริ่มมีอาการ หากสัมผัสถูกแสงเสียง ฝืนทำงานหรือเคลื่อนไหวร่างกายไปมา อาการปวดจะเป็นมากขึ้นถ้าปล่อยไว้ ไม่กินยาแก้ปวด ก็จะปวดติดต่อนานอย่างน้อย 4 ชั่วโมง อย่างมาก 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน 3 คืน (เวลานอนหลับจะไม่รู้สึกปวด แต่ตื่นขึ้นมาก็จะปวดต่อ) ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมงหรือปวดทุกวันไม่เว้นมักจะเกิดจากสาเหตุอื่นมากกว่าไมเกรน

          1. รีบกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล 1-2 เม็ด ทันทีที่เริ่มรู้สึกมีอาการ อย่าปล่อยให้นานเกินครึ่งชั่วโมง และหาทางนอนหลับหรือนั่งพักในที่เงียบ ๆ แสงสลัว ๆ และมีอากาศสบาย ๆ ถ่ายเทดี ก็มักจะทุเลาได้ภายในไม่นาน ไม่ต้องปวดนานถึง 4 ชั่วโมงขึ้นไป

          2. สังเกตว่ามีเหตุกำเริบจากอะไรบ้าง แล้วหลีกเลี่ยงเสีย ก็จะช่วยให้อาการห่างหายไปได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.doctor.or.th/-

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 21, 2014, 10:34:29 pm
แมงมุมพิษกัด ห้ามนวด-ประคบร้อน หวั่นพิษกระจาย

-http://health.kapook.com/view93576.html-

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/ETC./mangmoom.jpg)


สาธารณสุขแพร่เตือน หากโดนแมงมุมพิษกัด ห้ามประคบร้อน ห้ามนวด เพราะจะทำให้พิษกระจาย แนะนำให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด แล้วรีบพบแพทย์โดยด่วน (สสจ.แพร่)

          แมงมุมพิษกัด ห้ามประคบร้อน ห้ามนวดเด็ดขาด เพราะจะทำให้พิษกระจาย แนะรีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด แล้วรีบพบแพทย์โดยด่วน

          จากกรณีที่ประชาชน 4 รายในอำเภอเด่นชัยโดนแมงมุมพิษกัด รายแรกอาการสาหัส ยังรักษาตัวอยู่ที่ รพ.แพร่ ส่วนอีก 3 ราย หลังโดนแมงมุมพิษกัดได้รีบมาพบแพทย์ทันที ขณะนี้อาการไม่น่าเป็นห่วง แต่มีบาดแผลจากการถูกแมงมุมพิษกัด ได้มาทำแผลทุกวัน ขณะนี้อาการดีขึ้นแล้วนั้น

          นายแพทย์ปิติ ทั้งไพศาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่า แมงมุมทุกชนิดมีพิษเพื่อล่าเหยื่อ หากถูกแมงมุมทั่วไปกัดอาการก็จะคล้ายแมลงกัดต่อย จะมีอาการปวดบวมร้อน แต่ถ้าถูกแมงมุมพิษกัดจะเป็นอันตรายได้

          ทั้งนี้ แมงมุมมีพิษที่มีความสำคัญทางการแพทย์ ได้แก่ แมงมุมแม่ม่ายดำ และแมงมุมพิษสีน้ำตาลซึ่งคนมักเรียกชื่อผิดว่า แมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล หากโดนแมงมุมแม่ม่ายดำกัด พิษของมันจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีเลือดออกตามอวัยวะภายใน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ มีการอักเสบกดรู้สึกเจ็บได้ มีเหงื่อออก ความดันโลหิตสูง รอยกัดเขียวช้ำ มีจุดแดง อาการที่เฉพาะของพิษคือ อ่อนแรง สั่น ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็ง ท้องแข็ง เป็นอัมพาต ซึมและชักในรายที่แพ้พิษรุนแรง

          นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวต่อว่า หากโดนแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด จะไม่มีอาการในระยะแรก แต่หลังจากนั้น 3-8 ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกเจ็บ บวมแดง อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการอักเสบ เป็นผื่น แผลเริ่มมีสีดำไหม้ เป็นหนอง ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2.5 เซนติเมตร ขอบแผลยกขึ้น ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด เป็นเนื้อตายเกิดเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณหลายเดือนแผลจึงหายสนิท บางรายที่พิษเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะขัด โลหิตจาง เป็นไข้ ตัวเขียว และอาจเสียชีวิต

          นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า หากถูกแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด ห้ามนวด ห้ามประคบร้อนบริเวณที่ถูกแมงมุมกัดโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้พิษกระจาย ให้รีบล้างทำความสะอาดแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด และรีบไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านทันที หลังจากแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ผู้ป่วยจะต้องไปติดตามอาการทุกวัน อย่างน้อยเป็นเวลา 4 วันหลังถูกแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด และการป้องกันที่ดีที่สุด ควรจัดบ้านเรือนให้สะอาด ปัดหยากไย่ ไม่ให้มีในบ้าน ควรปัดที่นอน หมอน ผ้าห่ม และตรวจสอบที่นอนก่อนนอนทุกครั้ง
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 03:38:04 pm
7 ภัยที่ไม่คาดคิด เมื่อฝนมา

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000082601-

โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เพื่อนรักย่อมกล้าเตือนในสิ่งที่ไม่สบายหูนัก เช่นเดียวกับหน้าฝนที่เป็นดั่งเพื่อนแสนดีคอยเตือนว่าให้ระวังสุขภาพกันอยู่ก็คือ โรคภัยไข้เจ็บที่มาจากอากาศแปรปรวนทั้งหลาย
       
       หวัดน้อย หวัดใหญ่ ไปจนถึงหวัดแกมบรรจง เอ๊ย…หวัดไม่ธรรมดา
       
       เชื่อว่าท่านที่รักทราบดี
       
       ในหน้าฝนนี้ยังมีสิ่งที่ “กว่าไข้หวัด” เกิดขึ้นได้อีกครับ ผมเองทำงานอยู่ใต้ฟ้าเดียวกับท่านแถมที่ทำงานก็อยู่ในที่ที่มากคนและเจริญรถ เลยพอจะเห็นว่าในหน้าฝนนี้มีอีกหลายเรื่องสุขภาพที่สามารถป้องกันได้
       
       ขอแค่ไม่มองข้ามเท่านั้น
       
       บางวันที่ผมใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ก็ได้เห็น
       
       หลายครั้งที่ผมเดินอยู่ริมถนนก็ได้ประสบ
       
       ประเภทนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วจู่ๆ ลงไปนอนกับพื้นก็เคยกับตัวเองมาแล้ว
       
       นอกจากนั้นยังมีคนไข้ที่เข้ามาหาอย่างฉุกเฉินในหน้าฝนน้ำเจิ่งท่อระบายน้ำเช่นนี้อยู่แทบทุกปี เลยเห็นว่าพอมีสิ่งที่จะป้องกันได้และช่วยกันระวังได้จะได้ไม่ต้องไปโชว์ตัวให้คุณหมอดูโดยไม่จำเป็น
       
       โดยมีสิ่งที่ต้องคอยดูแลใกล้ชิดสักนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ครับ
       
       *ภัยที่ไม่อาจมองข้ามในหน้าฝน


       1) อุบัติเหตุจักรยานยนต์
       
       คนนั่งซ้อนท้ายอย่างผมหรือท่านที่ขับเองต้องระวังไว้ครับ เพราะ 2 ล้อที่เกาะถนนเมื่อมีสายน้ำมาชะให้พื้นถนนลื่น อุบัติเหตุตื้นๆ ง่ายๆ อย่างลื่นล้ม ลื่นไถล หรือพลิกคว่ำแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะน้ำทำให้แรงฝืดจับล้อลดลงตามกฏที่ครูฟิสิกส์ท่านเคยสอนตอนแรงเสียดทาน ทำให้การประคองรถและเบรกยากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความเสี่ยงเนื้อแนบพื้นได้
       
       2) น้ำสาดเข้าตัว
       
       ภัยนี้เกิดกับคนเดินถนนครับ ทั้งเคยเจอกับตัวและเห็นกับตาเวลาเดินตรอกแถวบ้านที่ไม่มีทางเท้า เมื่อขับรถเร็วเข้าแล้วเหยียบน้ำก็ทำให้คนธรรมดาข้างทางกลายร่างได้ น้ำที่ไม่รู้ที่มาน่าห่วงครับ เพราะถ้าโดนเข้ากับแผลเปิดตามตัว, ผิวหนัง, เนื้อเยื่ออ่อนก็เสี่ยงติดเชื้อได้สูงทั้ง เชื้อหนองอักเสบ, เชื้อลุกลามในคนเบาหวาน และเชื้อราโรคผิวหนังที่มากับน้ำข้างทาง
       
       3) น้ำกระเด็นเข้าตา
       
       เกิดได้กับทั้งท่านที่ขับขี่จักรยานยนต์ และคนเดินถนนที่อยู่ใต้ฟ้าฉ่ำฝนนี้ครับ น้ำที่ปนเปื้อนเมื่อกระเด็นเข้าตาพาให้เกิด ตาแดงติดเชื้อ มีขี้ตาเข้มข้นทั้งคันและเคือง เกิดตากุ้งยิง ต่อมไขมันเปลือกตามีเชื้อเข้าไปจนบวมตุ่ยเป็นหนอง ดูเหมือนกับตามีมิติมากขึ้นโดยมีฟิลเลอร์เป็นหนองที่มาจากเชื้อไม่สะอาดในน้ำ อีกทั้งสาวๆ ที่ชอบกรีดตาเมคอัพก็ต้องระวังครับ
       
       4) สัตว์มีพิษจากท่อระบายน้ำ
       
       อาจมีอันตรายที่คืบคลานขึ้นมาจากใต้บาดาลมาทักทายท่าน ได้เคยเจอคนไข้ที่ถูกตะขาบไต่จากท่อระบายน้ำขึ้นมากัดขา หรือแม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ต้องระวังว่าบุตรหลานของสัตว์หลายบาทหรือไม่มีบาท (งู)เหล่านี้จะยกโขยงกันขึ้นมาซุ่มซ่อนอยู่ตามที่นอน, ปลอกหมอน, เสื้อผ้า และรองเท้าครับ
       
       ขอให้จับมาสะบัดก่อนหรือเคาะรองเท้าก่อนจะช่วยได้มากครับ
       
       5) อาหารเป็นพิษ
       
       ให้ระวังภัยจากอาหารการกินสักนิดอาจออกฤทธิ์ในหน้าฝนนี้ได้ เพราะที่ไหนมีน้ำที่นั่นอาจมีการปนเปื้อนได้ เพราะอากาศชื้นทำให้อาหารเสียง่ายโดยเฉพาะผัก, ผลไม้ที่นำขึ้นมาแล้วเปียกน้ำนาน หรืออาหารแห้งหลายอย่างที่ถูกน้ำแล้วพังอย่าง ธัญพืช, สมุนไพรแห้ง และถั่วลิสงที่อาจมีพิษเชื้อรา “อะฟลาท็อกซิน” ซุกซ่อนอยู่
       
       6) ภัยจากคลื่นสูง
       
       ควรระวังในหมู่นักท่องเที่ยว นักดำน้ำ นักเดินทางโดยเรือ และผู้รักการผจญภัยที่รักทุกท่าน ในหน้าฝนนี้ขอให้ติดตามพยากรณ์ทั้งบนบกและทะเลให้ดี ถ้าฤกษ์ยังไม่ดีแม้มีเรือเล็กก็ไม่ควรออกจากฝั่ง ควรเชื่อฟังผู้มีประสบการณ์เพราะเรื่องคลื่นลมนั้นเอาแน่นอนไม่ได้ เห็นใสๆเรียบดีก็มีเปลี่ยนได้ไม่ตั้งตัว ภาษิตว่า “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” ยังคงจริงอยู่เสมอ
       
       7) บ้านทรุด ตึกร้าว
       
       ขออย่าเพิ่งตกใจด้วยหวังว่าจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น แต่ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่าข่าวตึกถล่มหลายแห่งเกิดในช่วงหน้าฝนซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อน้ำเซาะลงดินจนนุ่มน่วมดีราวกับเนื้อบราวนี่ชั้นดีแล้ว น้ำหนักของสิ่งใดๆ ที่ทับอยู่เบื้องบนก็พร้อมจะยุบยวบลงมาพร้อมกับคนที่อยู่อาศัย
       
       ในเรื่องนี้ขอท่านป้องกันโดยดูแลความปลอดภัยโครงสร้างไว้ก่อนหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้มายกเครื่องกันหน่อยก็ได้ครับ
       
       แม้ดินฟ้าอากาศจะไม่อาจกำหนดได้ แต่ท่านสามารถป้องกันภัยอันอาจตามมาเหล่านี้ได้ถ้าเตรียมตัวไว้ดีๆ ก่อนครับ เช่นก่อนออกจากบ้านก็เตรียมเสื้อหรือผ้าสะอาดผืนเล็กๆ ติดไว้ เลิกงานแล้วก็พกร่ม ส่วนเวลาขึ้นมอเตอร์ไซค์ก็ใส่หมวกและใส่แว่นกันน้ำกระเด็นไว้ก็ได้ ใครเคยนั่งมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนย่อมรู้ดีถึงความเจ็บปวดเวลาเม็ดฝนพุ่งปะทะหน้าตา
       
       สิ่งที่ว่านี้ถ้าท่านป้องกันไว้จะช่วยให้ท่านไม่ต้องเสียเวลากับความเจ็บป่วย เสียขวัญจากสิ่งไม่คาดคิด และไม่ต้องรับความเสี่ยงจากสัตว์พิษทั้งหลาย
       
       จะได้เป็นหน้าฝนที่แสนสบายครับ

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2014, 08:24:47 pm
"แบคทีเรียกินเนื้อคน" พิษรุนแรงเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง

-http://news.springnewstv.tv/51836/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99-48-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87-


(http://www.springnewstv.tv/upload/news/picture/250714_114018_%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99.jpg)


กรณีกระแสโซเซียลเน็ตเวิร์ค เงี่ยงปลาตำนิ่วเสียชีวิต เพราะติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน โดยอธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยัน พิษรุนแรงเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง


ากกรณีที่การแชร์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค โดยมีข้อความระบุว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.ค. ญาติผู้จัดการแบงก์ คนหนึ่งไปเลือกซื้อปลาทับทิมแล้วโดนเงี่ยงปลาตำนิ้ว เกิดเป็นแผลอักเสกบวม จึงไปโรงพยาบาลนนทเวช ให้หมอล้างแผลนิ้วมือ แล้วกลับบ้านพร้อมยารับประทาน แต่กินยาแล้วมึน จึงเดินเซล้มไปเตะบันได กระดูกขาเจ็บ และกลางคืนปวดขามาก เริ่มบวมเวลาประมาณ 03.00 น. เช้าวันอังคารที่ 22 ก.ค. ไปโรงพยาบาลอีกรอบเนื่องจากขาเริ่มบวมมากขึ้น และมีเม็ดรอบๆ ขา 2 ข้าง ช่วงบ่ายหมอนำเข้าห้องผ่าตัดน่องขาขวา ปรากฏว่าเนื้อกล้ามเนื้อเน่าแล้ว ผู้ป่วยฟื้นมายังมีสติดีในตอนเย็น แต่หมอยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ต่อมาวันที่ 23 ก.ค. เวลา 03.00 น. หมอโทรศัพท์แจ้งลูกสาวว่า พ่อเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต จากการได้รับเชื้อ "แบคทีเรียกินเนื้อคน" จากก้างปลาที่ตำนิ้วหัวแม่มือ โดยรายละเอียดเชื้อโรคชนิดนี้ หาได้ในเว็บไซต์กูเกิ้ล และขอฝากให้พวกเราระมัดระวังในการเลือกซื้ออาหารด้วย

นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า น่าจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกชื่อ แอนแอโรบิกแบคทีเรีย และแอโรโมแนสแบคทีเรีย แต่โอกาสที่จะได้รับเชื้อทั้ง 2 กลุ่มนี้มีน้อย นอกจากคนที่มีภูมิต้านทานไม่ดีเชื้อแบคทีเรียทั้ง 2 ตัว เป็นเชื้อที่ไม่ต้องอาศัยออกซิเจน เป็นแบคทีเรียที่รุนแรงมากกว่าแบคทีเรียชนิดอื่นหลายเท่า เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการเน่าตายของเนื้อเยื่อ และลามไปถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้ผู้รับเชื้อช็อกเสียชีวิตในเวลา 48 ชั่วโมง ส่วนบุคคลที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อ คือ คนที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ที่สำคัญเสี่ยงกับบุคคลที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เพราะหากเป็นแผล เชื้อจะลามมากกว่าบุคคลทั่วไป

ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นกับญาติผู้จัดการธนาคารนั้น เชื่อว่าปลาอาจมีเชื้อ 2 กลุ่มนี้ และเชื้อจะอยู่ตามลำตัว ก้างปลา เงี่ยง และซอกเหงือก หากโดนก้างปลาตำ ร่างกายจะได้รับเชื้อ และเกิดอาการ ดังกล่าว แพทย์อาจต้องตัดชิ้นเนื้อเพื่อไม่ให้พิษลาม ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุด หากไม่มั่นใจว่าโดนพิษจากแบคทีเรียทั้ง 2 กลุ่มนี้หรือไม่ หลังจากลุยน้ำสกปรก หรือเลือกซื้ออาหารที่เป็นสัตว์น้ำต่างๆ ควรล้างมือ ล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดทันที หรือหากโดนก้างปลาตำ และมีเลือดออก ควรบีบเลือดให้ออกมากที่สุด ใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล จะช่วยฆ่าเชื้อได้ในชั่วโมงเร่งด่วน หากกลับมาถึงบ้านแล้วมีอาการแผลบวม เป็นไข้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางเว็บไซต์ Thai LA Newspaper ได้เคยเขียนถึงกรณีดังกล่าว โดยได้มีการอ้างอิงจากผู้ติดเชื้อชาวอเมริกัน ซึ่งอธิบายเรื่องนี้ว่า “แบคทีเรียกินเนื้อมนุษย์” มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า  “Necrotizing fasciitis” และหากติดเชื้อแล้วโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงถึง 73%  อาการของโรคที่เกิดขึ้น คือ จะเกิดอาการติดเชื้อจากบาดแผลที่เปิดลึกใต้ชั้นผิวหนังและแบคทีเรียจะเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมันเติบโตมันจะคายพิษ (Toxin) ออกมา ซึ่งเจ้าพิษนี้เองที่ทำลายเนื้อเยื่อของมนุษย์ โดยผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นตามบริเวณแขน ขา หรือใบหน้า ตลอดจนหน้าท้อง การตัดเนื้อออกก็เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียลุกลามไป

แบคทีเรียชนิดนี้เมื่อติดเชื้อแล้วจะเหมือนแข่งกับเวลาทุกนาทีของชีวิต ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์แรงมากที่สุดให้ทันท่วงที ความรวดเร็วของเชื้อโรคที่แบ่งตัวนี้เร็วมากจนสามารถมองเห็นด้วยตา น่าสยดสยองที่เห็นผิวหนังของเรากลายเป็นสีม่วงและปริออกทุกนาที สาเหตุสำคัญที่การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลเต็มร้อยก็เนื่องจากเชื้อโรคนี้ดื้อยาและเติบโตในบริเวณที่มีออกซิเจนน้อยคือใต้ผิวหนังชั้นลึก และมีการไหลเวียนของเลือดต่ำ ยาที่รับเข้าทางเส้นเลือดจึงเข้าไปทำลายเชื้อไม่ได้ ต้องตัดอวัยวะนั้นออกในทันที

สำหรับแหล่งที่พบนั้น มีอยู่ในทุกๆ ที่ โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่นิ่ง ที่ซึ่งมีซากสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำหรือสัตว์บกตายอยู่ในน้ำนั้น แบคทีเรียชนิดนี้มีหลายเผ่าพันธุ์มีทั้งชนิดร้ายแรงมากและร้ายแรงน้อย อาการที่เกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผู้ที่รับเชื้อ หากเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายก็จะต่อต้านแบคทีเรียได้ดี ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือโรคอื่นๆ ที่ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ คนเหล่านี้จะติดเชื้อรุนแรงได้ง่าย

ฉะนั้น "วิธีป้องกันและปฐมพยาบาล" เบื้องต้นก็คือ เมื่อพบบาดแผล ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลายๆ ครั้ง จากนั้นให้ใส่ยาแอนตี้ไบโอติคเพื่อฆ่าเชื้อโรคทันที บาดแผลที่มีโอกาสติดเชื้อได้สูงนั้น มักจะเป็นแผลที่ลึกลงไปกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอก เช่น การเหยียบตะปู การโดนมีดบาดลึก หรือกระจก เศษแก้วบาดลึกนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อมนุษย์นี้มาก
 
ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 31, 2014, 09:14:52 pm
เชื้ออีโบลา กับ 8 เรื่องที่คุณควรรู้


-http://health.kapook.com/view94656.html-



(http://img.kapook.com/u/fontip/Health/ebola-virus%5B4%5D.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก solarisastrology.blogspot.com

            เชื้ออีโบลา 8 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสอีโบลา ที่กำลังระบาดหนักในแอฟริกาตะวันตก ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลาแล้วนับพัน เสียชีวิตแล้วกว่า 600 ราย ทำความรู้จักกับเชื้อไวรัสอีโบลา ไวรัสมรณะติดแล้วถึงตายไปพร้อม ๆ กัน

            อีโบลา เป็นเชื้อไวรัสมรณะที่กำลังระบาดหนักในแอฟริกาตะวันตก จนทำให้นายแพทย์ชีคห์ อูมาร์ ข่าน ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการต่อต้านเชื้ออีโบลา ป่วยจากการติดเชื้อเสียเองและเสียชีวิตลงในที่สุด ซึ่งปัจจุบันนี้การระบาดยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อกว่า 1,300 คน เสียชีวิตแล้วกว่า 600 ราย เชื้อไวรัสอีโบลาระแพร่จากคนสู่คนได้ง่ายและความรุนแรงของโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีสิทธิ์เสียชีวิตสูงถึง 50%-90% เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักเชื้อไวรัสมรณะนี้ให้มากขึ้น และนี่คือ 8 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสอีโบลา ที่เรานำมาฝากจากเว็บไซต์ฮัฟฟิงตันโพสต์ ค่ะ

            1. เชื้ออีโบลา ระบาดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519

            เชื้อไวรัสมรณะระบาดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศซูดานและซาร์อี (ปัจจุบันคือ คองโก) ในปี 2519 และถูกตั้งชื่อว่า "อีโบลา" ตามชื่อแม่น้ำในทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ก็ยังมีรายงานการระบาดให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วแอฟริกา อาทิ คองโก ไอวอรี่โคสต์ ยูกันดา ซูดานใต้ กาบอง กินี และไลบีเรีย

            2. เชื้ออีโบลา มี 5 สายพันธุ์

            เชื้อไวรัสอีโบลามีทั้งหมด 5 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ตั้งชื่อตามสถานที่ที่เกิดการระบาด ได้แก่ อีโบลา-ซาร์อี (Ebola-Zaire), อีโบลา-ซูดาน (Ebola-Sudan), อีโบลา-โกตดิวัวร์ (Ebola-Côte d’Ivoire), อีโบลา-เรสตัน (Ebola-Reston) และ อีโบลา-บันดิบูเกียว (Ebola-Bundibugyo) โดยสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอย่างหนักในแอฟริกาตะวันตกขณะนี้ คือ อีโบลา-ซาร์อี และยังมีสายพันธุ์ อีโบลา-เรสตัน ที่เชื้อไม่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยในมนุษย์

            3. ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคอีโบลามักเสียชีวิต

            จากสถิติผู้ป่วยโรคอีโบลาสายพันธุ์ซาร์อีในตอนนี้ มีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 80%-90%

            4. ไวรัสอีโบลา แพร่เชื้อจากคนสู่คน

            เชื้อไวรัสอีโบลาสามารถแพร่ได้จากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสถูกสารคัดหลั่งจากตัวผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เลือด เหงื่อ ปัสสาวะ หรืออสุจิ รวมถึงการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ราวจับประตู ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟต์ ตลอดจนการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยเชื่อว่าค้างคาวผลไม้ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวแอฟริกานิยมจับทำอาหาร เป็นพาหะในการแพร่เชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แพร่ระบาดงดล่าและนำค้างคาวมาประกอบอาหารแล้ว

            5. อีโบลา ไม่สามารถวินิจฉัยได้แน่นอนจากอาการแรกเริ่ม

            การวินิจฉัยผู้ป่วยที่ติดเชื้ออีโบลาในช่วงแรกอาจเป็นไปได้ล่าช้า เนื่องจากอาการผื่นและตาแดง ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของโรค ก็เป็นอาการของความเจ็บป่วยชนิดอื่นได้เช่นกัน ส่งผลให้การวินิจฉัยโรคในระยะแรกที่ติดเชื้อนั้นไขว้เขวหรือไม่แม่นยำ อย่างไรก็ดี ในตอนนี้มีกระบวนการตรวจสอบเชื้อซึ่งจะทราบผลอย่างแม่นยำได้ในไม่กี่วันหลังมีอาการ

            6. ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มแสดงอาการหลังรับเชื้อแล้ว 8-10 วัน

            ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการของโรคอีโบลา หลังได้รับเชื้อไปแล้วประมาณ 8-10 วัน แม้ว่าเชื้อจะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ 2-21 วันก็ตาม โดยอาการจะประกอบด้วย มีไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย ท้องเสีย อาเจียน ไม่อยากอาหาร ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อตามร่างกาย ปวดข้อ การติดเชื้อยังทำให้เกิดอาการเลือดออกทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย มีปัญหาในการหายใจ การกลืนอาหาร เจ็บคอ เจ็บหน้าอก ตาแดง สะอึก ไอ มีผื่น นอกจากนี้ อาการเลือดออกที่ตา จมูก หู และปาก นับเป็นอาการที่ชี้ถึงการติดเชื้อที่เด่นชัด

            7. การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่ในขั้นรุนแรง

            ปกติแล้ว การระบาดของโรคอีโบลา มักเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล แต่การระบาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกลับเกิดขึ้นพื้นที่ซึ่งจัดว่าไม่ทุรกันดารนัก โดยในตอนมีการระบุพื้นที่ติดเชื้อต่าง ๆ แล้วกว่า 60 จุด ในประเทศเซียร์ราลีโอน กินี และไลบีเรีย

            8. ปัจจุบันยังคงไม่มีวิธีการรักษาหรือวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา

            ในปัจจุบันยังคงไม่มียาหรือวิธีการเพื่อรักษาโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาโดยเฉพาะ รวมทั้งยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่ทำได้ในตอนนี้ คือ การรักษาไปตามอาการ คอยรักษาระดับของเหลวและอิเล็กโตรไลท์ในร่างกายในสมดุล รักษาระดับความดันโลหิต ระดับออกซิเจนในเลือด และรักษาตามอาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น

            โรคอีโบลา โรคติดเชื้อร้ายแรง ติดแล้วถึงตาย อีกทั้งยังคงไม่สามารควบคุมการแพร่ระบาดได้ในปัจจุบัน แม้ประเทศไทยจะอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการระบาดต่ำ แต่การทราบข้อมูลของเชื้อโรค และการไม่ประมาทที่จะป้องกันตัวเอาไว้ก่อน ย่อมเป็นสิ่งทีดีที่สุด


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 01, 2014, 09:19:30 pm
เนื้อเน่า โรคจากแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม


-http://health.kapook.com/view94644.html-




เนื้อเน่า โรคจากแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม (e-magazine)

          เดี๋ยวนี้แผลเล็กน้อยนิดเดียว ก็มองข้ามไม่ได้ จะปล่อยให้แผลหายเองเหมือนที่เคยเป็นมาครั้งก่อน ๆ คงไม่ได้แล้ว เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

          หากได้ดูข่าวตามหน้าจอโทรทัศน์ หรือตามหนังสือพิมพ์ คงจะได้รับรู้ข่าว เรื่องราวของโรคที่คาดไม่ถึง ที่มีผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งไปเลือกซื้อปลาทับทิมที่ตลาดสด ก่อนถูกเงี่ยงปลาตำนิ้วจนบวมอักเสบ ต่อมาเกิดสะดุดตกบันได ทำให้กล้ามเนื้อตาย ก่อนติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต ซึ่งแพทย์ระบุว่า เกิดจากเชื้อแบคทีเรียตระกูลแอโรโมแนส หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า แบคทีเรียกินเนื้อคน

          หรืออย่างกรณีล่าสุด ที่มีผู้ป่วยอีกรายที่เริ่มจากเกิดแผลผื่นคันขึ้นเล็กน้อยที่น่องซ้าย แต่ก็ปล่อยผ่านไปเพราะไม่คิดว่าเป็นอันตรายอะไร จนกระทั่งมีแมลงหวี่มาตอมแผล จึงตบแมลงหวี่ตายตรงแผลพอดี จนกลางดึกมีอาการไข้ขึ้น หนาวสั่น โชคดีที่ส่งโรงพยาบาลทัน

          ถึงได้บอกว่า แผลเล็ก ๆ ก็มองข้ามไม่ได้แล้ว เพราะแบคทีเรียสมัยนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด

          สำหรับโรคที่เกิดจากแบคทีเรียที่อยู่ในแผล อย่างสองกรณีที่กล่าวไปนี้ คือ โรคเนื้อเน่า เป็นโรคติดเชื้ออย่างรุนแรงของผิวหนังและไขมันใต้ผิวหนัง อันที่จริงโรคนี้มีมานานแล้ว มีอัตราตายและพิการสูง พบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักพบในเกษตรกรที่ทำไร่ทำนา ซึ่งมีโอกาสเกิดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในดิน หรือในน้ำได้ง่าย


สาเหตุและอาการของโรคเนื้อเน่า

          โรคเนื้อเน่ามักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดร่วมกัน เช่น เชื้อสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus group A) เชื้อเคลปซิลล่า (Klebsiella) เชื้อคลอสตริเดียม (Clostridium) ที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก เชื้ออี โคไล (E.coli) เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) และเชื้อแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา (Aeromonas hydrophila) เป็นต้น

          เชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ โดยจะปวดแผลมาก แผลอักเสบบวม แดง ร้อนอย่างรวดเร็ว โดยอาการปวดจะรุนแรงมากแม้จะมีบาดแผลเล็ก ๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ รวมทั้งมีไข้สูง ผิวหนังที่บาดแผลมีสีคล้ำ ม่วง ดำ หรือมีถุงน้ำเกิดขึ้น หากได้รับการตรวจรักษาที่รวดเร็ว โดยผ่าตัดเอาเนื้อที่เน่าตายออก และให้ยาปฏิชีวนะ จะลดอัตราตายและพิการลงได้


กลุ่มคนที่มีความเสี่ยง

          1. ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด เช่น เบาหวาน ไตวาย

          2. ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด

          3. ผู้สูงอายุ

          4. คนอ้วน

          5. ผู้ที่กินยาสเตรอยด์หรือยาชุด

          6. ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ

          7. กลุ่มเกษตรกรที่ทำไร่ทำนา ซึ่งมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคได้ง่าย

          โดยกลุ่มคนที่ว่ามานี้ ต้องระวังอย่าให้มีบาดแผล หากมีบาดแผลก็จะต้องดูแลรักษาแผลให้สะอาด และหลีกเลี่ยงให้แผลโดนน้ำหรือดิน เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อลุกลามเป็นโรคเนื้อเน่า


ป้องกันโรคเนื้อเน่า

          1. ผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยง คือมีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาก่อน เช่น มีดบาด ตะปูตำ หนามข่วน สัตว์ มดกัด เป็นต้น แล้วปล่อยปละละเลย ดังนั้น ผู้ที่มีบาดแผล แม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ควรจะทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพรวิดีน

          2. ผู้ที่มีบาดแผล ควรระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปในบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เกิดจากวัสดุที่สกปรก เช่น ตะปู หนาม ไม้ที่อยู่ในน้ำ ทิ่มแทง ควรรีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน และสังเกตอย่างใกล้ชิดหากมีไข้ บวม ปวดแผลมากขึ้นให้รีบปรึกษาแพทย์

          3. ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ และผักผลไม้ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

          4. ไม่ควรกินยาชุดหรือซื้อยาลูกกลอน ยาแก้ปวดเมื่อยกินเป็นประจำ เนื่องจากอาจมีสารสเตรอยด์ผสมอยู่ ซึ่งจะไปกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อง่าย ไตวายได้

          ไม่ใช่เพียงแค่คนเท่านั้นที่ต้องมีการพัฒนา เชื้อโรค แบคทีเรียก็มีวิวัฒนาการ พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวมันเองให้ไม่แพ้คน ไม่แพ้ตัวยาที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจำให้แม่นขึ้นใจเลยค่ะว่า แผลเล็กก็ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลร้ายในระยะยาวถึงชีวิตได้


-http://www.emaginfo.com/?p=61355-
ลิขสิทธิ์บทความของ emaginfo.com
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 01, 2014, 09:43:39 pm
พบเชื้อมาลาเรียดื้อยาระบาดชายแดนไทย

-http://ch3.sanook.com/28211/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8A-


เรื่องเล่าเช้านี้ พบเชื้อมาลาเรียดื้อยาระบาดชายแดนไทย

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ขณะนี้เชื้อมาลาเรียที่สามารถต้านฤทธิ์ยาได้ กำลังเริ่มแพร่ระบาดตามชายแดนของประเทศพม่า ไทย เวียดนาม และกัมพูชาแล้ว ท่ามกลางความพยายามควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวดของทั่วโลก

ทั้งนี้ วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่นำตัวอย่างเลือดผู้ป่วยมาลาเรีย จำนวนกว่า 1,000 คน จาก 10 ประเทศทั้งในเอเชียและแอฟริกา มาตรวจ แล้วพบว่า เชื้อมาลาเรียดื้อยาอาร์ติมิซินินได้กระจายไปตามชายแดนด้านตะวันออกของประเทศพม่า ไทย เวียดนาม รวมทั้งชายแดนด้านตะวันตกและทางเหนือของกัมพูชาแล้ว

ขณะเดียวกันยังพบสัญญาณการดื้อยาทางภาคกลางของพม่า ภาคใต้ของลาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บริเวณที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุดคือชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งในอดีตเคยมีการระบาดของเชื้อมาลาเรียดื้อยา

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาก็แนะนำว่า หากแพทย์ให้ยารักษามาลาเรียเพิ่มขึ้นจาก 3 วัน เป็น 6 วัน อาจช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยาระบาดไปทั่วเอเชียและแอฟริกาได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เรื่องเชื้อมาลาเรียดื้อยานี้ต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดจะรอช้าไม่ได้

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้มีรายงานด้วยว่า นักวิจัยกำลังศึกษาพัฒนาวัคซีนโรคมาลาเรียตัวแรกของโรค และคาดว่าหากได้รับอนุมัติ จะสามารถผลิตได้ในปี 2015


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 10:03:48 am
โรคเกาต์ภัยร้าย แพทย์เตือนทำข้ออักเสบเฉียบพลัน

-http://health.kapook.com/view94730.html-


แพทย์เตือนโรคเกาต์ภัยร้าย ทำข้ออักเสบเฉียบพลัน พบมากในเพศชาย (กระทรวงสาธารณสุข)

          แพทย์ ชี้ โรคเกาต์ทำข้ออักเสบเฉียบพลัน สาเหตุสำคัญจากกรดยูริกพุ่งสูง แนะเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ และอาหารประเภทเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก รวมทั้งอาหารทะเลปริมาณมากเป็นประจำ

          เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุด เป็นผลจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานานหลาย ๆ ปี ทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรตในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยเฉพาะผู้ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป สำหรับในเพศหญิงมักเริ่มต้นอาการในวัยหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว

          ทั้งนี้ กรดยูริกพบมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่าง ๆ และยอดผักอ่อน ๆ รวมทั้งเกิดจากการสลายตัวของเซลล์ภายในร่างกาย กรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะ หากร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไปหรือไตขับยูริกได้น้อยลง เนื่องจากไตเสื่อมลง กรดยูริกก็จะตกผลึกที่บริเวณผนังหลอดเลือด ไตและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณข้อ ทำให้เกิดอาการปวดข้อและโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ข้อพิการ นิ่วในไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ กระดูกพรุน เป็นต้น

          สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงหรือมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาตได้มากยิ่งขึ้น

          อาการที่พบบ่อย คือ ปวดข้อรุนแรง เฉียบพลัน ถ้าเป็นการปวดครั้งแรกมักจะปวดข้อเดียวและปวดไม่กี่วัน ข้อที่ปวดบ่อย คือ นิ้วหัวแม่เท้าข้างใดข้างหนึ่ง บางรายอาจปวดที่ข้อเข่า ซึ่งข้อจะบวมและเจ็บมากจนทนไม่ไหว ผิวหนังบริเวณที่ปวดจะตึง ร้อนและแดง เมื่ออาการเริ่มทุเลา ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะลอกและคัน มักจะเริ่มปวดตอนกลางคืนหรือมีอาการกำเริบหลังจากทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง นอกจากนี้อาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น อ่อนเพลียหรือเบื่ออาหารร่วมด้วย

          สำหรับแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคเกาต์ที่สำคัญ คือ

          รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

          หากมีอาการผิดปกติ หรือมีผลข้างเคียงจากการรับประทานยาให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

          ไม่ควรหยุดยา ปรับขนาดยา หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาแล้ว ยังอาจจะทำให้ควบคุมโรคได้ไม่ดี

          เข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด เพื่อดูระดับกรดยูริกและการทำงานของตับและไตเป็นระยะ ๆ

          ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 3,000 มิลลิลิตร

          หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

          ลดการรับประทานอาหารประเภทเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก อาหารทะเล

          ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อข้อที่รุนแรง

          หลีกเลี่ยงการบีบ นวด ถู บริเวณข้อ เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้ข้ออักเสบกำเริบได้

          การให้ความร่วมมือในการรักษาและรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้  และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://pr.moph.go.th/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=66999-

.


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2014, 04:58:49 am
กรดไหลย้อน ไม่เล็กอย่างที่คิด

-http://campus.sanook.com/1372705/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94/-


คอลัมน์ เปิดโลกสุขภาพ

โดย นพ. พูนศักดิ์ ชื่นเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสต ศอ นาสิก แผนก ตา หู คอ จมูก ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล


กรดไหลย้อน เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนกลับของกรด หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบน ทำให้เกิดอาการจากการระคายเคืองจากกรด ส่งผลให้หลอดอาหารอักเสบทั้งมีแผลและไม่เกิดแผล ในรายที่กรดไหลย้อนขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน อาจทำให้เกิดอาการนอกหลอดอาหาร โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โรคกรดไหลย้อนธรรมดา เป็นกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาอยู่ภายในหลอดอาหาร ไม่ไกลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารนส่วนบน ส่วนใหญ่จะมีอาการของหลอดอาหารเท่านั้น กับ โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง เกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการของคอและกล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด

อาการของโรคกรดไหลย้อน

1. ทางคอหอยและหลอดอาหาร มีอาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจร้าวไปถึงคอรู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ แน่นคอ กลืนลำบาก รู้สึกเจ็บขณะกลืน กลืนติดๆขัดๆคล้ายสะดุดสิ่งแปลกปลอมในคอ เจ็บ-แสบคอหรือลิ้น โดยเฉพาะในตอนเช้า รู้สึกมีรสขมของน้ำดีหรือรสเปลี่ยนของกรดในคอหรือปาก มีเสบหะอยู่ในลำคอหรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้คล้ายมีอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอ รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย มีน้ำลายมากผิดปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้

2.ทางกล่องเสียงและหลอดลม มีอาการ เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน ไอหรือรู้สึกสำลักน้ำลาย หายใจไม่ออกเวลากลางคืน กระแอมไอบ่อย ถ้ามีอาการหอบหืดที่เป็นอยู่(ถ้ามี) แย่ลงหรือไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยา เจ็บหน้าอก เป็นโรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ

3. ทางจมูก และหู มีอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ หูอื้อเป็นๆ หายๆ หรือปวดหู หากแพทย์สงสัยว่าอาจมีโรคกรดไหลย้อน นอกจากการซักประวัติแล้ว แพทย์จะตรวจร่างกายทางหู คอ จมูก และบริเวณท้องอย่างละเอียด เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคกรดไหลย้อน อาจจะทดลองให้ยาลดกรดชนิด proton pump inhibitor (PPI) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วสอบถามอาการหลังจากที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ ถ้าอาการดังกล่าว ดีขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 อาจแสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน อีกวิธีคือ ส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วน หรือ ส่งตรวจวัดค่าความเป็นกรด ด่าง (pH) ในหลอดอาหารและคอหอยส่วนล่าง

การรักษาโรคกรดไหลย้อน

1.ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงความเครียด บุหรี่ ควันบุหรี่ เลี่ยงสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป โดยเฉพาะบริเวณรอบ หลีกเลี่ยงการนอนราบ หลังรับประทานอาหารทันที ดื่มน้ำมากๆ รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากให้มากขึ้น ออกกำลังกายแบบแอโรบิกสม่ำเสมอ

2. รับประทานยา เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร และ/หรือ เพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหารในการกำจัดกรด ปัจจุบันยาลดกรดกลุ่ม proton pump inhibitor (PPI) เป็นยาที่สามารถยับยั้งการหลั่งกรดได้ดี อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง ต้องใช้ขนาดยา PPI ในการรักษามากกว่าโรคกรดไหลย้อนธรรมดา ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยา หรือ หยุดยาเอง

3. การผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอและกล่องเสียง การรักษาวิธีนี้จะทำใน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาไม่หายด้วยยา ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาได้



ที่มา:Hospital Healthcare วันที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2014, 03:52:13 pm
” ยาปฏิชีวนะ ” ยาอันตราย..ห้ามซื้อกินเอง

หลายคนอาจคิดว่า การเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปซื้อยามากินเองได้ สะดวกและง่ายดี แต่แท้จริงแล้วหากเราใช้ยาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล เช่น แพทย์ เภสัชกร ดูให้ ยาที่เราซื้อมากินเองนั้น ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น แพ้ยา ดื้อยา หรือเสียชีวิตได้

 
-http://club.sanook.com/41939/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B9%89/-


องค์การเภสัชกรรม ได้ออกเตือนคนไทย ที่ชอบนิยมซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง และซื้อมากินบ่อยจะเกินความจำเป็น  ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการดื้อยาสูง และแพ้ยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มยาปฏิชีวนะเข้าสู่ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์  โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย ซึ่งองค์การเภสัชกรรมแนะนำว่าต้องกินยาอย่างถูกวิธี ต่อเนื่องจนครบและซึ้อยาจากร้านที่มีเภสัชประจำร้านดูแล และสามารถให้คำแนะนำการใช้ยาเท่านั้น

เกสัชกรหญิงนิภาพร ชาตะวิริยะพันธ์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เผยว่า จากผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประชาชนไทยนิยมซื้อยามากินเอง ถึงร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยกินยาปฏิชีวนะมากถึง 20% ของยาทั้งหมด  การใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทยในปัจจุบันนี้พบว่านิยมซื้อยากินเองจากร้านขายยาใกล้บ้าน เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงการไปพบแพทย์ และผู้ป่วยเองก็สามารถหาซื้อยาปฏิชีวนะได้ง่าย  ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติยาได้กำหนดไว้ว่า **ยาปฏิชีวนะถือเป็นยาอันตรายที่จะจำหน่ายได้เฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันภายใต้การควบคุมของเภสัชกรและเป็นผู้จ่ายยาให้เท่านั้น  ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบถึงความจำเป็นในการใช้ยา หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะไม่ได้รับคำแนะนำหรือการซักถามอาการเบื้องต้นจากเภสัชประจำร้านยา เนื่องจากไม่มีเภสัชกรประจำร้านในขณะที่ซื้อยาหรือไม่มีเภสัชกรประจำร้านยานั้นๆ อยู่เลย

รองผู้อำนวยการ กล่าวต่อไปว่า ถ้าผู้ป่วยกินไม่ถูกต้องหรือไม่ครบตามขนาดและจำนวนที่กำหนดได้ จะส่งผลทำให้มีเชื้อแบคทีเรียหลงเหลืออยู่และเพิ่มจำนวนขึ้นจนกลับมาเป็นใหม่ได้ ส่งผลให้เชื้อดื้อยาได้  จนทำให้ต้องกินยาที่มีความแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายอาจจะไม่มียาชนิดใดฆ่าหรือต้านเชื้อได้ และที่อันตรายที่สุดของยาปฏิชีวนะคือการแพ้ยา **อาการแพ้ยาที่พบผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด บางรายอาจเกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังถึงขึ้นรุนแรงหรือที่เรียกว่า สตีเว้น จอนสัน ซินโดรม (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งถ้าส่งแพทย์ทำการรักษาไม่ทันอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ยาปฏิชีวนะเป็นที่ใช้ยับยั้ง ฆ่า และหรือต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ปัจจุบันมีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน อาทิ  ยากลุ่มเพนิซิลลิน ยากลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ เตตราไซคลีน หรือยากลุ่มซัลฟา เป็นต้น หลักสำคัญของการใช้ยาปฏิชีวนะ คือ ต้องมีการคัดกรองประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วย และต้องเลือกใช้ยาให้เหมาะสม ตรงกับชนิดของโรคที่จะรักษา  เช่น กรณีที่ป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการปวดหัว ตัวร้อน น้ำมูกไหล และเจ็บคอ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักคิดว่าคออักเสบติดเชื้อ แล้วไปหาซื้อยาแก้อักเสบมากินเอง  แต่การกินยาแก้อักเสบนี้กลับเป็นการเพิ่มยาปฏิชีวนะเข้าสู่ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์   เพราะการเจ็บคอจากไข้หวัดนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสไม่ใช่เชื้อแบคทีเรียอย่างที่สรรพคุณยาสามารถฆ่าเชื้อได้ ต่างจากอาการเจ็บคอที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย  อาทิ  โรคทอนซิลอักเสบเป็นหนอง มีเสมหะสีเขียวข้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ดังนั้นหากคิดจะใช้ยาปฏิชีวนะ ทางที่ดีก็ควรจะปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยากินเองอย่างพร่ำเพรื่อ  ที่สำคัญถ้าจำเป็นจะต้องซื้อยาปฏิชีวนะกินเองควรซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้านคอยให้คำแนะนำต่างๆแก่ท่าน  นอกจากนั้นเภสัชกรจะยังทำหน้าที่ช่วยคัดกรองผู้ป่วยในกรณีที่เห็นว่าไม่สามารถรักษาอาการเบื้องต้นได้ เภสัชกร จะส่งผู้ป่วยให้แพทย์ทำการรักษาต่อไป

 

ขอขอบคุณข้อมูล จาก องค์การเภสัชกรรม
ภาพประกอบ จาก  Photostocks.com
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2014, 04:47:47 pm

11 สูตรอัศจรรย์ใกล้ตัวรักษาแผลน้ำร้อนลวก ผิวไหม้


-http://health.kapook.com/view94570.html-






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เตารีดทาบ รักษาอย่างไรดี ลองมาดู 11 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยรักษาแผลให้หายได้ในเวลาอันรวดเร็ว

          แผลที่เกิดจากการโดนเผาไหม้หรือน้ำร้อนลวกนั้นเป็นแผลที่สร้างความเจ็บปวดมากและเป็นเวลานาน ซ้ำยังมีอาการอักเสบตามมาด้วย ซึ่งหลายคนเชื่อว่าการใช้ของเย็นในการรักษาแผลเบื้องต้นจะช่วยทำให้บรรเทาอากาศเจ็บปวดได้ แต่การใช้ของเย็นในการรักษาแผลโดนเผาไหม้นั้นไม่ใช่ว่าจะทำให้อาการดีขึ้นเสมอไป เพราะการใช้น้ำแข็งหรือของน้ำเย็นนั้นก็ต้องใช้เวลานานกว่าแผลนั้นจะเย็นลง

          วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับสูตรสำหรับการแผลที่เกิดจากการเผาไหม้ซึ่งสามารถช่วยรักษาให้หายได้ไวและได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ จาก Reader's Digest มาแนะนำกันค่ะ เผื่อว่าคราวหน้าเราเจอใครโดนน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้จะได้รักษากันได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้างที่ช่วยในการรักษาได้

11 สูตรอัศจรรย์ใกล้ตัวรักษาแผลน้ำร้อนลวก ผิวไหม้

 ว่านหางจระเข้ดีกว่าน้ำแข็ง

          น้ำแข็งสามารถหยุดการไหลเวียนของเลือดและความเสียหายของเนื้อเยื่อที่บริเวณผิวหนังได้ก็จริง แต่ว่าก็ต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 20 นาที ถึงจะด้ผล ดังนั้นแทนที่จะใช้น้ำแข็งที่ได้ผลช้ากว่า เราควรใช้ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นพืชสามัญประจำบ้านที่แทบทุกบ้านต้องมีจะดีกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่า การใช้ว่านหางจระเข้นั้นจะช่วยหยุดอาการเจ็บปวดจากการเผาไหม้ ช่วยลดอาการอักเสบและช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและผิวหนัง


ยาสีฟัน

          เมื่อเราไปสัมผัสกับอะไรร้อน ๆ โดยไม่ได้สวมอะไรป้องกันก็อาจจะทำให้เกิดอาการโดนลวกได้ ซึ่งบางทีแผลก็ไม่ใหญ่นัก ยาสีฟันที่เรามักจะใช้อยู่ในห้องน้ำนั่นล่ะสามารถจะช่วยบรรเทาอาการโดนลวกเล็กน้อยนี้ได้ โดยเริ่มจากการล้างแผลด้วยน้ำเย็นแล้วค่อย ๆ ใช้ผ้าซับจากนั้นก็นำยาสีฟันป้ายลงบนบาดแผล ก็จะทำให้แผลลดการอักเสบและหายเร็วขึ้น

 วนิลา

          การใช้สารวนิลาสกัดในการรักษาแผลเผาไหม้นั่นเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลอีกวิธีหนึ่ง เพราะการใช้สารวนิลาสกัดทาลงไปเบา ๆ บนแผลนั้น แอลกอฮอล์ที่อยู่ในสารวนิลาสกัดจะช่วยให้แผลเผาไหม้นั้นเย็นลงและบรรเทาอาการเจ็บปวดได้


 ถุงชา

          ชาดำมีส่วนประกอบของกรดแทนนินซึ่งจะช่วยลดความร้อนจากเผาไหม้และช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บปวดได้ โดยใช้ถุงชาดำที่เย็นและเปียกประคบลงแผลที่ถูกเผาไหม้ซึ่งปิดด้วยผ้ากอซ ก็จะทำให้บรรเทาอาการได้

 น้ำส้มสายชู

          กรดอะซิติกที่อยู่ในน้ำสมสายชูนั้นเป็นส่วนประกอบของยาแอสไพรินที่ช่วยบรรเทาอาการปวด คัน และการอักเสบที่เกิดจากการเผาไหม้ นอกจากนี้ยังเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อและช่วยป้องกันไม่ให้แผลที่ถูกเผาไหม้ติดเชื้อด้วย ดังนั้น หากใครเผลอไปถูกน้ำร้อนลวกหรือมีแผลไฟไหม้ ให้หาน้ำส้มสายชูมาใช้ได้เลย จะช่วยลดความร้อนของแผลเผาไหม้ได้ด้วยค่ะ


 น้ำผึ้ง

          น้ำผึ้งเป็นหนึ่งในยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้ป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อ น้ำผึ้งมีค่า pH อยู่ในระดับที่ไม่เอื้ออำนวยต่อแบคทีเรีย ซึ่งการใช้เพียงครั้งเดียวก็สามารถช่วยกำจัดแบคทีเรียที่อยู่บนแผลได้หมด นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและรักษาแผลได้อีกด้วย


 นมสด

          เชื่อหรือไม่ว่านมสามารถช่วยในการบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและการรักษาแผลที่ถูกเผาไหม้ได้ เนื่องจากในนมนั้นมีปริมาณของไขมันและโปรตีนสูง เพียงแช่เแผลลงในนมสด 15 นาที ก็จะทำให้อาการเจ็บปวดทุเลาลงได้ หรือจะใช้โยเกิร์ต ก็สามารถช่วยทำให้แผลเย็นขึ้นและช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นได้เช่นกัน



 ข้าวโอ๊ต

          ข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบได้ โดยเฉพาะในช่วงที่แผลจากไฟไหม้นั้นกำลังอยู่ในช่วงการรักษา อาจจะทำให้คุณรู้สึกอยากจะเกาที่แผล เพียงแค่นำข้าวโอ๊ตผสมกับน้ำแล้วแช่แผลลงในน้ำที่ผสมกับข้าวโอ๊ตประมาณ 20 นาที ข้าวโอ๊ตจะช่วยเคลือบบริเวณแผลเอาไว้ทำให้ความรู้สึกคันลดลง แต่ถ้าต้องการบรรเทาอาการแสบของแผลก็เพียงผสมเบกกิ้งโซดาลงไปด้วย ก็จะทำให้อาการแสบลดลง



 น้ำมันมะพร้าว

          น้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินอีและยังมีกรดไขมันซึ่งช่วยในการป้องกันบาดแผลจากเชื้อราและแบคทีเรียได้อีกด้วย แผลจากการเผาไหม้นั้นจะทำให้เกิดแผลเป็นน่าเกลียด

วิธีการรักษาแผลเป็นเหล่านั้นก็เพียงผสมน้ำมะนาวกับน้ำมันมะพร้าวแล้วนำมานวดบริเวณที่เป็นแปลเป็น กรดจากมะนาวจะช่วยทำให้แผลนิ่มลงและน้ำมันมะพร้าวจะช่วยรักษาให้แผลจางลงได้



 น้ำมันจากดอกลาเวนเดอร์

          นักเคมีชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบอำนาจในการรักษาของน้ำมันจากดอกลาเวนเดอร์ในช่วงต้นศตวรรษ 1900 เมื่อมือของเขาเกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงภายในห้องทดลอง เขาได้นำมือจุ่มลงไปในน้ำมันหอมระเหยจากดอกลาเวนเดอร์ และพบว่าแผลเหล่านั้นได้หายอย่างรวดเร็ว
 
ดังนั้น ถ้าใครมีแผลลักษณะนี้ก็ลองผสมน้ำมันจากดอกลาเวนเดอร์ 1 ช้อนชากับน้ำสะอาด 2 ออนซ์ จากนั้นเทใส่ขวดสเปรย์ ซึ่งสามารถพ่นได้ลงบนแผลได้บ่อย ๆ ตามที่ต้องการ หรือจะใช้น้ำมันจากต้นชาและต้นฮาเซลนัทก็สามารถช่วยรักษาแผลเผาไหม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เช่นกัน



 วิตามินซี และวิตามินอี

          วิตามินซีมีคุณสมบัติใช่วยรักษาอาการบาดแผลและช่วยในการสร้างคอลลาเจนส่วนวิตามินอีก็มีคุณสมบัติในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยซ่อมแซมและปกป้องผิวได้
 
          ดังนั้นถ้าหากอยากให้แผลหายเร็วเราสามารถนำวิตามินซี วิตามินอี ที่เป็นอาหารเสริมนั้นมารักษาแผลได้ โดยใช้วิตามินซีปริมาณ 2,000 มิลลิกรัม และวิตามินอี 1,000 ยูนิต ทั้งนี้ ควรจะใช้หลังจากเกิดแผลประมาณ 1 สัปดาห์ จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นและไม่เกิดแผลเป็นอีกด้วย

          อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายวิธีในการช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและรักษาแผลที่เกิดจากการเผาไหม้ได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดนั่นคือความสะอาด หากบาดแผลเราไม่สะอาดพอก็อาจเกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้นเราควรจะรักษาความสะอาดของแผลและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลบ่อย ๆ จะดีที่สุดนะคะ


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 10, 2014, 04:49:08 pm
ขิง ประโยชน์และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึง


-http://health.kapook.com/view95236.html-


 เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          ประโยชน์ของขิงมีมากมาย แต่ก็มีข้อที่ควรระวังเช่นกัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าเราจะนำไปใช้อย่างไร ลองมาดูข้อมูลกันเลย

          แม้ว่าขิงจะเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ทำอาหารและมีสรรพคุณในการรักษาโรค แม้ว่าขิงจะมีกลิ่นฉุนและมีรสชาติเผ็ดร้อน เลยทำให้ไม่ถูกปากหลายคนนั้น แต่ขิงก็เป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ทำอาหารและมีสรรพคุณรักษาโรค.... อย่างที่เว็บไซต์ Reader's Digest ได้บอกเอาไว้ค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรดี ๆ อย่างขิงนั้นมีประโยชน์และโทษอะไรที่เราคาดไม่ถึงบ้าง

ประโยชน์ของขิง
 
ลดอาการท้องอืด

          หากคุณรู้สึกท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือกินขิงสดจะทำให้คุณรู้ดีขึ้น หรือถ้าหากคุณเกิดอาการท้องอืดจากการกินถั่วละก็ คราวหน้าลองฝานถั่วบาง ๆ ลงไปในอาหารที่มีถั่ว นั่นก็จะช่วยลดอาหารท้องอืดได้เช่นกันค่ะ เพราะขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้

ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน

          จากการศึกษาพบว่า การรับประทานขิงตอนที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบนั้น จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดจากอาการไมเกรนลดลงได้ เพราะขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่น แสดงให้เห็นอีกว่าขิงสามารถช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ โดยพบว่าผู้ที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์มีอาการลดลงเมื่อบริโภคขิงผงเป็นประจำทุกวัน



ช่วยป้องกันมะเร็ง

          ขิงมีคุณสมบัติในการช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยมีการศึกษาพบว่าขิงช่วยทำให้เซลล์มะเร็งภายในรังไข่ตาย เพราะในขิงมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีขิงเป็นส่วนประกอบยังช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้

          ขิงสามารถบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ โดยชาวเอเชียนั้นมักจะใช้ขิงในการช่วยบรรเทาอาการเมารถ หรือเมาเรือ นอกจากนี้ยังมีหลายการศึกษาพบว่าขิงสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอาเจียนหลังจากการผ่าตัดและยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดได้อีกด้วย

ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

          มีการศึกษาใหม่พบว่า ขิงผงนั้นสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานขิงร่วมกับยา เพราะขิงอาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาได้ และควรติดตามผลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพราะหากรับประทานขิงมากเกินไปก็อาจจะทำให้ระดับอินซูลินลดลงมากเกินไปจนอยู่ในขีดอันตรายได้



ข้อควรระวังในการทานขิง

อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ได้

          มีบางการศึกษาพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์และการแท้ง แต่ในการตั้งครรภ์รายอื่น ๆ นั้นไม่พบว่าการรับประทานขิงจะทำให้เกิดอาการเหล่านั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการคลื่นไส้จากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ดังนั้นคุณควรไปปรึกษาแพทย์ก่อนจะที่ใช้ขิงในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตนเองค่ะ

ทำให้เกิดแผลร้อนในภายในปากได้

          ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ถ้าหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุภายในช่องปากเกิดการอักเสบจนเป็นอาการร้อนในได้ ดังนั้นไม่ควรรับประทานขิงมากจนเกินไปค่ะ
 
ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด

          การศึกษาหนึ่งในออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีสรรพคุณในการต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่ายาแอสไพริน สถาบันสุขภาพของออสเตรเลียได้ออกคำเตือนให้งดการรับประทานขิงในขณะที่ใช้ยาละ]ายลิ่มเลือดเพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอาการห้อเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเลือดออกผิดปกติหรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานขิงค่ะ

          เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว หวังว่าหลาย ๆ คน ที่กำลังคิดจะใช้ขิงช่วยบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ก็คงจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นนะคะ เพราะบางทีถ้าหากเราใช้ขิงในการรักษาโรคหนึ่งแต่ก็อาจจะไปช่วยกระตุ้นให้อีกโรคนั้นอาการกำเริบได้ ดังนั้นควรจะรับประทานขิงอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าหากไม่มั่นใจล่ะก็ ไปปรึกษาแพทย์ดีกว่านะคะ

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2014, 07:16:15 pm
โรคไวรัสอีโบลา Ebola คืออะไร


-http://guru.sanook.com/27269/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B2/-


โรคไวรัสอีโบลา หรือไข้เลือดออกอีโบลา เป็นโรคของมนุษย์ที่เกิดจากไวรัสอีโบลา เริ่มมีอาการสองวันถึงสามสัปดาห์หลังสัมผัสกับไวรัส โดยมีไข้ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ จากนั้นมีคลื่นไส้ อาเจียนและท้องร่วงร่วมกับการทำหน้าที่ของตับและไตลดลง เมื่อถึงจุดนี้ บางคนเริ่มมีปัญหาเลือดออก


ประชากรรับโรคนี้ครั้งแรกเมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวร่างกายจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ลิงหรือค้างคาวผลไม้ เชื่อว่าค้างคาวผลไม้เป็นตัวพาและแพร่โรคโดยไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัส เมื่อติดเชื้อแล้ว โรคอาจแพร่จากคนสู่คนได้ ผู้ที่รอดชีวิตอาจสามารถส่งผ่านโรคได้ทางเพศสัมพันธ์เป็นเวลาเกือบสองเดือน ในการวินิจฉัย ต้องแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันออก เช่น มาลาเรีย อหิวาตกโรคและไข้เลือดออกจากไวรัสอื่น ๆ จากนั้น อาจทดสอบเลือดหาแอนติบอดีต่อไวรัส ดีเอ็นเอของไวรัส หรือตัวไวรัสเองเพื่อยืนยันการวินิจฉัย


การป้องกันรวมถึงการลดการระบาดของโรคจากลิงและหมูที่ติดเชื้อสู่คน ซึ่งอาจทำได้โดยการตรวจสอบหาการติดเชื้อในสัตว์เหล่านี้ และฆ่าและจัดการกับซากอย่างเหมาะสมหากพบโรค การปรุงเนื้อสัตว์และสวมเสื้อผ้าป้องกันอย่างเหมาะสมเมื่อจัดการกับเนื้อสัตว์อาจช่วยได้ เช่นเดียวกับสวมเสื้อผ้าป้องกันและล้างมือเมื่ออยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว ตัวอย่างจากผู้ป่วยควรจัดการด้วยความระมัดระวังเพิ่มขึ้น


ไม่มีการรักษาไวรัสอย่างจำเพาะโดยความพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยมีการบำบัดคืนน้ำ (rehydration therapy) ทางปากหรือหลอดเลือดดำ โรคนี้มีอัตราตายสูง โดยอาจถึง 90% ตรงแบบเกิดในการระบาดในเขตร้อนแอฟริกาใต้สะฮารา ระหว่างปี 2519 ซึ่งมีการระบุโรคครั้งแรก และปี 2555 มีผู้ติดเชื้อน้อยกว่า 1,000 คนต่อปี มีการระบุโรคนี้ครั้งแรกในประเทศซูดานและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก แม้จะมีความพยายามพัฒนาวัคซีนอยู่ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีวัคซีน


ศัพท์มูลวิทยาของ โรคไวรัสอีโบลา Ebola
ไวรัสชนิดนี้ได้ชื่อมาจากพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอีโบลา ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทวีปแอฟริกา (ชื่อประเทศเดิมคือ ซาอีร์) ซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่โรคนี้ระบาดครั้งแรก
โครงสร้าง
ขนาดและรูปร่าง
จากการดูไวรัสอีโบลาด้วยกล้องจุลทัศน์อิเล็กตรอนพบว่าตัวมันมีลักษณะเป็นเส้นด้ายในกลุ่มฟิโลไวรัส ไวรัสอีโบลาหรือ EBOV VP30 มีความยาวประมาณ 288 หน่วยกรดอะมิโน ตัวไวรัสมีลักษณะเป็นท่อมีรูปร่างขดตัวต่างกันหลายแบบ เช่นคล้ายตัว "U" หรือเลข "6" แต่อาจเป็นไปได้ที่เครื่องปั่นหนีศูนย์ที่ใช้ในกระบวนการทำบริสุทธิ์อาจทำให้ตัวมันมีลักษณะดังที่เห็นก็เป็นได้ โดยทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลางของไวรัสนี้จะตกอยู่ประมาณ 80 นาโนเมตร ความยาวผันแปรแตกต่างกันมากกว่าลำตัว ซึ่งอาจยาวได้ถึง 1,400 นาโนเมตร แต่โดยปกติแล้วไวรัสอีโบลาจะยาวประมาณ 1,000 นาโนเมตร
จีโนม
จีโนม ของไวรัสแต่ละตัวจะมีโมเลกุลย่อยที่ยาวเป็นเส้นเดี่ยว และเป็น อาร์เอ็นเอ ประเภทเนกาทีฟ (negative sense RNA) ยาวเป็นจำนวน 18959 ถึง 18961 นิวคลีโอไทด์

โรคไข้เลือดออกอีโบลา


อาการโรคและการติดโรคไวรัสอีโบลา Ebola

อาการของโรคมีความผันแปรและมักเกิดฉับพลัน อาการแรกเริ่มได้แก่การมีไข้สูง (อย่างต่ำ 38.8°C หรือ 102°F) ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ข้อและช่องท้องรุนแรง อ่อนเพลียอย่างหนักและวิงเวียนศีรษะ ในช่วงแรกๆ ที่เกิดการระบาดและยังไม่เป็นที่รู้จักมากมักวินิจฉัยว่าเป็นไข้มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ ท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งโรคอื่นๆ ที่เกิดจากแบคทีเรียซึ่งมีอาการคล้ายกันแต่ไม่รุนแรงถึงชีวิต
อาการอาจร้ายแรงขึ้น เช่นท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระกลายเป็นสีดำหรือแดงจัด อาเจียนเป็นโลหิต ตาแดงจัด ความดันโลหิตลดต่ำกว่า 90/60 ไต ม้ามและตับได้รับความเสียหาย อัตราการตายสูงมากถึงระหว่าง 50% - 90% สาเหตุที่ตายเกิดจากขาดเลือด หรืออวัยวะวาย


การรักษาโรคไวรัสอีโบลา Ebola

หอผู้ป่วยแยกในโรงพยาบาลที่เมืองกูลู อูกานดา เมื่อคราวการระบาดเมื่อ พ.ศ. 2543
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับโรคไวรัสอีโบลา มีแต่เพียงการรักษาประคับประคอง (supportive treatment) ได้แก่ทำหัตถการแบบรุกล้ำให้น้อยที่สุด รักษาสมดุลอิเล็กโตรไลต์และสารน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ให้สารต้านการแข็งตัวของเลือดในระยะแรกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (DIC) ให้สารช่วยการแข็งตัวของเลือดในระยะท้ายเพื่อควบคุมไม่ให้มีเลือดออก รักษาระดับออกซิเจน บรรเทาอาการปวด และใช้ยาต้านเชื่อแบคทีเรียหรือยาต้านเชื้อราเพื่อรักษาการติดเชื้อซ้ำซ้อน (ถ้ามี)
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2014, 09:44:10 pm
อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs (http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs)

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
http://youtu.be/IjjadrM8-ZA (http://youtu.be/IjjadrM8-ZA)
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
http://youtu.be/xXfvy9N-pyo (http://youtu.be/xXfvy9N-pyo)

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
http://youtu.be/eITtsSDJV_o (http://youtu.be/eITtsSDJV_o)

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/XAspVSaqtOo (http://youtu.be/XAspVSaqtOo)

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
http://youtu.be/c9SYYYL309g (http://youtu.be/c9SYYYL309g)

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/sUB96DVpV2w (http://youtu.be/sUB96DVpV2w)

--------------------------------------------



อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 -http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs-

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
-http://youtu.be/IjjadrM8-ZA-
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
-http://youtu.be/xXfvy9N-pyo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
-http://youtu.be/eITtsSDJV_o-

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/XAspVSaqtOo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
-http://youtu.be/c9SYYYL309g-

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/sUB96DVpV2w-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 12, 2014, 08:21:26 am

ไม้ดีมีประโยชน์ : 'สามสี' ใบรักษาแผล

-http://www.komchadluek.net/detail/20140812/189942.html-


ไม้ดีมีประโยชน์ : 'สามสี' ใบรักษาแผล : โดย...นายสวีสอง
 
                        บางพื้นที่เรียกต้น "สามสี" ว่าพุดตาน สามผิว มีถิ่นกำเนิดแถบบ้านเรา ปลูกง่าย ดอกสวยงามมาก สรรพคุณทางยาก็มี ใบแห้งผสมน้ำผึ้งทารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้ 
 
 
                        เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ในวงศ์  MALVACEAE  ลำต้นและกิ่งก้านมีสีเทา มีขนปกคลุม
 
 
                        ใบ  เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ เรียงสลับ ปลายแหลม โคนรูปหัวใจ ขอบเว้าลึก 3-5 แฉก แผ่นใบสีเขียวค่อนข้างหนา มีขนปกคลุม สากมือ 
 
 
                        ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอก ปลายกิ่ง มี 5 กลีบเลี้ยง มีทั้งชั้นเดียวและซ้อนกัน กลีบดอกเปลี่ยนสีไปตามอุณหภูมิของวัน ตอนเช้าสีขาว กลางวันสีชมพู ตอนเย็นสีชมพูเข้ม
 
 
                        ผล ทรงกลมมีจะงอย ขนาดราว 2 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 5 แฉก เมล็ดรูปไต มีขนยาว 
 
 
                        ขยายพันธุ์ ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด เติบโตเร็วในดินร่วน ระบายน้ำดี ความชื้นปานกลาง แสงแดดเต็มวัน
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2014, 09:08:14 am
10 พฤติกรรมทำจนชิน พากระดูกเสื่อมก่อนวัย

-http://health.kapook.com/view96478.html-


(http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Ache-Pain/Back/backpain12.jpg)


10 พฤติกรรม พากระดูกเสื่อมก่อนวัย (e-magazine)

          บุคลิกภาพที่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตของเราสิ่งที่ควรระวังให้มาก ๆ คือพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การทำร้ายบุคลิกภาพ

          อย่างเช่น การนั่งไขว่ห้างหรือการสวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้ผู้หญิงเดินอย่างมั่นใจ สง่า แต่บางทีการกระทำเหล่านั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อกระดูกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน นั่ง หรือนอน ก็มีโอกาสที่จะทำลายกระดูกได้ทั้งนั้น แม้จะเสริมให้บุคลิกภาพดีในช่วงปัจจุบัน แต่ทว่า อนาคตอาจจะบั่นทอนบุคลิกภาพของเราไปอีกยาวนาน

          สำหรับกระดูก เป็นอวัยวะที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างแข็งภายใน (endoskeleton) ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน้าที่หลักของกระดูกคือการค้ำจุนโครงสร้างของร่างกาย การเคลื่อนไหว การสะสมแร่ธาตุและการสร้างเซลล์เม็ดเลือด เพราะฉะนั้นหากเราไม่ดูแลรักษากระดูก ก็เป็นการทำลายกระดูก ทำร้ายร่างกายตัวเอง

          เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า พฤติกรรมใดบ้างที่จะทำร้ายกระดูกโดยของเราได้โดยไม่รู้ตัว

1. พฤติกรรมการยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

          กลายเป็นสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัยสำหรับหลาย ๆ คน ที่มักจะยืนแอ่นพุง หรือไม่ก็เดินหลังค่อม จนทำให้เสียบุคลิกภาพ แถมยังไปทำร้ายกระดูกอีกต่างหาก เพราะพฤติกรรมการยืนแอ่นพุงไปด้านหน้า หรือการยืนหลังค่อมก็จะทำให้กระดูกสันหลังขดงอ ผิดรูปไปได้

          การยืนหลังตรงจึงเป็นการยืนที่ดีที่สุดสำหรับการยืนที่ดี คือการแสดงถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีของบุคคลนั้น การยืนหลังตรง หน้าอกผาย จะทำให้เราเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี ดูน่าสนใจ



2. พฤติกรรมการนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

          เวลาที่แต่ละคนนอน มักจะมีท่านอนประจำของตัวเองที่ทำให้หลับสบาย บางคนชอบนอนหงาย บางคนชอบนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง แต่ไม่ว่าคุณจะนอนในลักษณะไหน การนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือควรนอนหลับอย่างต่อเนื่อง 6-8 ชม.

          และเนื่องจากเวลา 6-8 ชม. เป็นเวลาที่นานพอสมควร ลักษณะของท่านอนของคุณจึงส่งผลโดยตรงกับการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนขดตัว หรือนอนตัวเอียงที่ส่งผลกระทบกับกระดูกโดยตรง เนื่องจากการนอนที่ผิดรูปทรงของกระดูกจึงเป็นการทำลายกระดูกได้ดีที่เดียว

          ท่าในการนอนที่ดีที่สุด คือการนอนหงายจึงเป็นการนอนที่ถูกต้องที่สุด อย่าลืมลองเปลี่ยนท่านอนกันนะคะ

3. นั่งกอดเข่า

          การนั่งกอดเข่า เป็นท่านั่งของคนที่จิตตกก็ว่าได้ คิดอะไรไม่ออก เสียใจ ก็ชอบนั่งท่านี้ เด็ก ๆ จะชอบนั่งเวลาไม่ได้ดั่งใจ หากทำบ่อย ๆ จะก่อเป็นพฤติกรรมที่ทำลายกระดูก เพราะทำให้หลังช่วงบน สะบักและหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้

          นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้ ไม่อยากเสี่ยงภัยก็อย่าลืมควบคุมตัวเองไม่ให้นั่งท่านี้กันนะ



4. สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

          ในชีวิตของคนเราในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน และการเดินทางนั้นคงไม่มีใครเดินทางตัวเปล่าแน่นอน ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล ทุกคนก็ย่อมมีสัมภาระ มีสิ่งของที่จะต้องพกพากันทั้งนั้น และกระเป๋าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คนแทบทุกคนจะต้องมี

          แน่นอนว่าการสะพายกระเป๋านั้น หากเป็นกระเป๋าสะพายข้าง ไม่ใช่กระเป๋าเป้ที่สะพายหลังแล้ว โดยทั่วไปเราจะสะพายไปข้างที่ตัวเองถนัด สะพายด้วยแขนเดียว ซึ่งพฤติกรรมการสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวนั้นทำให้ไหล่ของเราต้องรับน้ำหนักอยู่ข้างด้วย และยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำบ่อย ๆ ทุกวัน ก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้อย่างที่เราไม่ทันคิดกันเลย

5. นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

          มีสาว ๆ หนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อย ที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเอกสาร หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และก็ย่อมจะเกิดอาการเมื่อยล้ากันบ้าง จึงทำให้บางคนชอบการนั่งเก้าอี้แบบครึ่งก้น ซึ่งหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นนี้ จะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ กระดูกต้องรับน้ำหนักตัวมาก มีผลต่อกระดูกที่จะค่อย ๆ เสื่อมลง

          แต่ถ้าเรานั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าหากอยากให้มีกระดูกที่แข็งแรงไปอีกนาน ก็ลองปรับท่านั่งในการทำงานใหม่ค่ะ




6. นั่งหลังงอ หลังค่อม

          คงจะเป็นไปได้ยากที่เราจะหลังตรงกันตลอดเวลา อาจจะต้องมีบ้างที่แอบเผลอนั่งหลังงอ หรือนั่งหลังค่อม แต่การนั่งแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลคติค ทำให้มีอาการปวดเมื่อย แล้วปัญหากระดูกผิดรูปก็จะตามมา

          การนั่งหลังตรงเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี เราควรฝึกฝนให้นั่งหลังตรงจนติดเป็นนิสัย

7. หิ้วของหนักด้วยนิ้ว

          ในทุก ๆ การซื้อของหรือหิ้วของ เราจะต้องใช้นิ้วมือในการหิ้ว และการใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

          ทั้งนี้อาจเป็นเพราะจริง ๆ แล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักของนิ้วคือการใช้หยิบ, จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนัก ๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหิ้วหนักมาก ๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

          เพราะฉะนั้น ลองหาวิธีหิ้วของที่เราจะถนอมกระดูกนิ้วมือมาใช้กัน เช่น การใส่ของลงกระตร้าหรือรถเข็นนะคะ




8. ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

          สำหรับรองเท้าส้นสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คือ accessories สำคัญสำหรับผู้หญิง ซึ่งยากนักที่จะเลี่ยงได้ เพราะสาว ๆ หลายคนจำเป็นต้องสวมใส่ในการทำงาน

          การใส่รองเท้าส้นสูงนั้น จะทำให้ดูเป็นคนที่มีความสง่า และมีบุคลิกภาพที่ดี เสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้หญิง แต่ทว่าการใส่รองเท้าส้นสูงนานเกินไป หรือบ่อยเกินไปก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้ด้วย เนื่องจากจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

          ดังนั้นแล้ว หากวันไหนที่ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง สาว ๆ อาจจะใส่รองเท้าส้นเตี้ยแทน เพราะแค่มีความมั่นใจ บุคลิกภาพก็ดีได้แล้ว

9. ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

          เวลาที่เราต้องยืนตรงนาน ๆ ก็ต้องรู้สึกเมื่อยกันบ้าง และเราก็จะพยายามหาท่ายืนที่ช่วยลดอาการเมื่อยลงบ้าง อย่างเช่นการยืนพักขาข้างเดียว

          การยืนพักขาด้วยการลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียวเป็นการลงน้ำหนักตัวที่ขาข้างเดียว จะเป็นผลให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวทำให้กระดูกสันหลังคด

          สำหรับท่ายืนที่ถูกต้องก็คือ ท่ายืนที่ลงน้ำหนักที่สองขาพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลของร่างกาย ไม่ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป แต่หากเมื่อย อยากจะพักขา ก็ทำได้ แต่พักได้ไม่นานค่ะ สลับขากันไป




10. นั่งไขว่ห้าง

          ถือเป็นพฤติกรรมที่คาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว เพราะสาว ๆ มักจะนิยมนั่งไขว้ห้างเป็นประจำ หรือบางทีหนุ่ม ๆ หลายคนก็เป็น อาจเป็นเพราะนั่งแล้วทำให้ดูขาสวย ทำให้นั่งแล้วดูสง่า มั่นใจ แต่หลายคนคงจะยังไม่รู้ว่าการนั่งไขว่ห้างนั้นเป็นท่านั่งที่จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการกระดูกคดโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นการทำลายกระดูกอย่างยิ่งทีเดียว

          การนั่งตัวตรง หลังตรง คือวิธีที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งจะทำให้กระดูกของเราจะได้อยู่กับเราอย่างสวยงามไปนาน ๆ

          หากรู้แล้วว่า พฤติกรรมไหนที่เสี่ยงต่อกระดูกเสื่อมแล้ว ก็ให้คุณสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาดูแลรักษากระดูกของเรากันดีกว่า ให้กระดูกนั่นอยู่เสริมบุคลิกภาพกับเราไปอีกนาน ๆ ค่ะ

ลิขสิทธิ์บทความของ emaginfo.com
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 24, 2014, 08:23:54 pm
3 กลุ่มโรคมากับน้ำท่วม ไม่ระวังอาจถึงตาย!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 สิงหาคม 2557 15:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000096745-


กรมควบคุมโรคเตือน 3 กลุ่มโรคที่มากับน้ำท่วม เสี่ยงบาดเจ็บ เจ็บป่วย จนถึงเสียชีวิต แนะดูแลสุขภาพ พักผ่อน ออกกำลังกายให้เพียงพอ จัดการสิ่งแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งเพาะโรค พบป่วยไข้เกิน 2 วันให้รีบพบแพทย์

 วันนี้ (24 ส.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึง ช่วงฤดูฝนอาจมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมได้ในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพตัวเอง เนื่องจากอาจเจ็บป่วย บาดเจ็บ และเสียชีวิต จากกลุ่มโรคที่มากับน้ำท่วมได้ มี 3 กลุ่ม คือ 1.โรคติดเชื้อ 7 โรค ได้แก่ โรคผิวหนัง โรคตาแดง โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และโรคไข้ฉี่หนู บางโรคอาจมีความรุนแรงน้อย เช่น โรคผิวหนัง จำพวกน้ำกัดเท้า เชื้อรา แผลพุพองเป็นหนอง เกิดจากการย่ำน้ำที่มีเชื้อโรค หรือความอับชื้นจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาด ส่วนบางโรคมีอาการรุนแรง และทำให้เสียชีวิต เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งปีนี้ระบาดรุนแรงกว่า 2-3 ปี โดย 8 เดือนมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 60 ราย ประชาชนกลุ่มเสี่ยงควรรีบไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีที่สถานพยาบาลรัฐ
       
       นพ.โสภณ กล่าวว่า 2. การบาดเจ็บที่เกิดจากสัตว์ แมลงมีพิษกัดต่อย เช่น งู ปลิง แมลงและสัตว์อื่นๆ เป็นต้น เพราะสัตว์เหล่านี้จะหนีน้ำท่วมขังขึ้นมาหลบบนที่สูง ถ้าถูกงูหรือสัตว์พิษกัด ต้องตั้งสติให้มั่น ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด (ถ้ามี) ห้ามกรีดแผล ห้ามดูดแผล ห้ามใช้ไฟ หรือไฟฟ้าจี้ที่แผล ห้ามประคบน้ำแข็ง ห้ามพอกสมุนไพร ห้ามดื่มสุรา แต่ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานบริการสุขภาพที่ใกล้ที่สุด และ 3. อุบัติเหตุ ได้แก่ จมน้ำ ไฟฟ้าดูด วัตถุแหลมคม โดยเฉพาะประชาชนที่ประกอบอาชีพทางน้ำ เช่น หาปลา ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีน้ำท่วม พักอาศัยในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ไม่ควรลงเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม อย่าพยายามวิ่งหรือขับรถผ่านบริเวณที่น้ำท่วมขัง ให้ขนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าขึ้นที่สูง จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิด อย่าปลอดให้อยู่ตามลำพัง ถ้าเดินทางควรเดินทางเป็นกลุ่ม และสวมชูชีพหรือเตรียมอุปกรณ์อื่นที่ช่วยในการลอยตัวในน้ำ เป็นต้น
       
       “ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพมากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ จัดการสิ่งแวดล้อมรอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งเพาะโรค กำจัดขยะและแอ่งน้ำขัง หากป่วยมีไข้สูงเกิน 2 วันไม่ลดควรรีบพบแพทย์” อธิบดี คร. กล่าว



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 27, 2014, 09:56:41 pm
อันตรายและโรคของ ′สังคมก้มหน้า′ที่คุณควรรู้ไว้ ?

-http://campus.sanook.com/1373249/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89/-


โรค′เท็กซ์เนค′ อาการของ′สังคมก้มหน้า′

โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th

อันที่จริงเรื่อง "เท็กซ์เนค" ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พูดถึงกันมา 2-3 ปีแล้ว ที่ผมหยิบกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งเป็นเพราะว่าตอนนี้มันกำลังกลายเป็น "โกลบอล ซินโดรม" คือออกอาการกันแพร่หลายไปทั่วโลก ตามการแพร่ระบาดของอุปกรณ์พกพาสารพัดตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เรื่อยไปจนถึงอีบุ๊กรีดเดอร์

ทั้งหลาย

ก่อนหน้านี้อุปกรณ์เหล่านี้ถูกจำกัดการใช้งานด้วยการเชื่อมต่อแต่ตอนนี้เมื่อสามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกเวลาเนื้อหาที่มากับหน้าจอก็หลากหลายมากขึ้น ดึงดูดใจมากขึ้น ทั้งไลน์ ทั้งเกม ทั้งอีบุ๊กสารพัด สัดส่วนการใช้งานต่อวันก็เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล ไปไหนมาไหนก็เจอแต่ผู้คนก้มหน้าลงหาจออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟฟ้า รถประจำทาง ร้านอาหาร

หนักๆ เข้าเดินไปไหนมาไหน ยังไปในลักษณะ "ก้มหน้า" จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งค่อนแคะให้เข้าหูว่าสังคมยุคนี้กลายเป็น "สังคมก้มหน้า" ไปแล้ว

"เท็กซ์เนค" เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการของกระดูกสันหลังชาวอเมริกัน คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคที่เกิดขึ้นจากการ "ก้มหน้า" บ่อยๆ ซ้ำๆ และนานเกินปกตินี้ อาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ การปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ กล้ามเนื้อคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดทุกวัน หนักเข้าก็อาจพาลไปถึงเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน ซึ่งถือว่าสาหัสเลยทีเดียวครับ

ที่น่ากังวลก็คือ การก้มหน้าในลักษณะนี้บ่อยๆ นานๆ จะส่งผลต่อบุคลิกท่าทาง และการเติบโตของร่างกายในเด็กและวัยรุ่นให้ออกมาบิดเบี้ยวโค้งงอจนต้องมาหาทางแก้กันยุ่งยากในภายหลัง

ที่มาของโรคนี้คือการก้มนั่นแหละครับในทางการแพทย์เขาบอกว่าเพียงแค่การก้มศีรษะลงไปข้างหน้า ผิดจากท่าปกติตามธรรมชาติ (คือเมื่อหูของเราอยู่ในแนวเดียวกับไหล่) เพียงแค่นิ้วเดียว น้ำหนัก

ของศีรษะก็จะทำให้ กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและเส้นประสาทในบริเวณไหล่ คอ ต้องแบกรับภาระหนักเพิ่มขึ้นมากแล้ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วยการถ่วงไปข้างหน้าจะไปดึงรั้งกล้ามเนื้อเส้นเอ็นทั้งหมดให้ต้องแบกรับภาระมากขึ้นตามไปด้วยอาการตึงจะเกิดขึ้นตามมาถ้าทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก็จะเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ทั้งกับกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว

ดร.ฟิชแมนเคยแสดงให้เห็นฟิล์มเอกซเรย์ของวัยรุ่นอเมริกันที่แสดงชัดเจนว่ากระดูกสองสามชิ้นบริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบนโค้งงอไปด้านหน้าแบบผิดธรรมชาติเพราะเหตุนี้มาแล้ว

ข้อมูลที่ได้จากผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี2000ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วศีรษะของคนเราจะหนักประมาณ 5 กิโลกรัม การก้มไปข้างหน้าทุกๆ 2 เซนติเมตร จะทำให้ไหล่ต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ถ้าก้มลงไป 6 เซนติเมตร น้ำหนักของศีรษะที่ไหล่ คอ และกระดูกสันหลังที่ต้องรองรับนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 20 กิโลกรัม

น้ำหนักขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการก้มนานๆ ซ้ำๆ อยู่ทั้งวันถึงก่อให้เกิดอาการได้มากขนาดนั้น

คำแนะนำของแพทย์เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนคอย่างง่ายๆก็คือ ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ

ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้ หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องก็ได้ ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้

ใครที่ใช้มาตรการประดานี้แล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่า เท็กซ์เนคของคุณค่อนข้างไปทางรุนแรงแล้ว ควรไปพบแพทย์ อย่างน้อยๆ ก็อาจต้องใช้ยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อช่วย แต่ถ้าอาการเกิดไปกระทบทำให้กลุ่มประสาทในบริเวณดังกล่าวถูกบีบ กดอยู่นานๆ จนเกิดอาการปวดประสาท ก็จัดอยู่ในขั้นต้องให้แพทย์ที่เชี่ยวชาญดูแลเป็นการเฉพาะจะดีที่สุด

แล้วก็ต้องลดการตกไปเป็นส่วนหนึ่งของ"สังคมก้มหน้า"ลงให้เหลือน้อยที่สุดแล้วละครับ

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 02, 2014, 10:20:56 pm
วิธีไล่แมลงวันสารพัดสูตร ให้หมดไปจากบ้าน

-http://home.kapook.com/view97127.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           วิธีไล่แมลงวัน สำหรับคนที่กำลังถูกรบกวนจากแมลงหัวเขียว และอยากกำจัดแมลงวันให้ออกไปพ้น ๆ จากบ้านสักที วันนี้เรามีวิธีไล่แมลงวันมาบอก

           เคยเป็นไหมคะ ถึงแม้จะทำความสะอาดบ้านจนเอี่ยมอ่องเท่าไร แต่ก็ยังเผลอมีแมลงวันตัวจ้อยบินวนเวียนเข้ามาส่งเสียงคำรามเบา ๆ ให้รำคาญใจทุกที แถมยังไล่แล้วไล่อีกก็ไม่ยอมบินออกจากบ้านไปง่าย ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอรวบรวม วิธีไล่แมลงวัน มาช่วยแก้ปัญหาให้คนที่กำลังหนักใจกับฝูงแมลงวันในบ้านอยู่ ลองไปดูวิธีกันเลยจ้า

วิธีไล่แมลงวัน

1. น้ำยาล้างจานผสมน้ำ

           เป็นวิธีบ้าน ๆ ที่ไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์จากไหน เพียงแค่นำน้ำยาล้างจานมาผสมกับน้ำเปล่าในปริมาณเท่า ๆ กัน อัตราส่วน 1 : 1 จากนั้นก็นำส่วนผสมที่ได้ไปใส่ลงในกระบอกฉีดน้ำ แล้วนำไปพ่นใส่แมลงวัน จะทำให้แมลงวันหายใจไม่ออก หากไม่อยากให้ถึงตายก็พ่นแค่ละอองเบา ๆ โดยเว้นระยะห่างให้เยอะหน่อย แมลงวันก็คงเข็ดจนหนีหัวซุกหัวซุนแล้วล่ะ

2. พริกไทยป่นผสมน้ำตาลปีบ

           อีกหนึ่งอุปกรณ์ไล่แมลงวันที่มีอยู่ในครัว คือพริกไทยป่นและน้ำตาลปีบ โดยให้นำมาผสมกันให้เป็นเนื้อเหนียว ๆ แล้วนำไปป้ายลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าเพื่อวางล่อแมลงวัน จากนั้นเมื่อแมลงวันบินมาตอมพิษเผ็ดร้อนของพริกไทยก็จะทำให้แมลงวันสิ้นใจทันที

3. น้ำเชื่อมผสมพริกไทย

           วิธีที่ยากขึ้นมาอีกหน่อย คือการมองหาน้ำเชื่อมเข้มข้นที่มีความเหนียวหนืด นำมาผสมกับพริกไทย จากนั้นใส่ภาชนะแล้วนำไปตั้งไว้ในบริเวณที่แมลงวันชุม เมื่อแมลงวันบินเข้ามาตอมก็จะติดกับดักน้ำเชื่อมเหนียวหนืด และบินหนีไปไหนไม่ได้อีก

4. ยางพาราสดผสมน้ำมันพืช

           ทำกาวดักแมลงวันแบบง่าย ๆ ด้วยการใช้ยางพาราสดมาผสมเข้ากับน้ำมันพืช ให้มีความลื่นและเหนียว จากนั้นใส่ภาชนะหรือป้ายลงบนกระดาษ อาจจะวางเหยื่อล่อนิดหน่อย เช่น อาหารบูด เมื่อแมลงวันมาตอมก็จะติดกับดัก

5. น้ำส้มสายชูผสมน้ำ

           ใช้ประโยชน์จากน้ำส้มสายชูที่มีอยู่ในบ้านด้วยการนำมาผสมเข้ากับน้ำ โดยเน้นความเข้มข้นของน้ำส้มสายชูมากกว่า จากนั้นนำใส่กระบอกฉีดหรือชุบผ้า แล้วนำไปพ่นหรือทาบริเวณมุ้งลวด และจุดที่มีแมลงวันชุม กลิ่นฉุน ๆ ของน้ำส้มสายชูจะทำให้แมลงวันหลีกเลี่ยงและบินหนีไปที่อื่น


วิธีไล่แมลงวันสารพัดสูตร ให้หมดไปจากบ้าน


6. กระเทียมต้มน้ำเดือด

           ปอกกระเทียมแล้วนำไปใส่หม้อต้มน้ำให้เดือด จากนั้นกิ่งไม้เล็ก ๆ มาแช่ลงไปในน้ำกระเทียมที่ต้มเดือดแล้ว แช่ทิ้งไว้จนแน่ใจว่ากลิ่นจะติดกิ่งไม้ได้นาน ก็นำขึ้นไปปักไล่แมลงวันในจุดที่ชุกชุม กลิ่นฉุนของกระเทียมจะทำให้แมลงวันไม่อยากเข้าใกล้

7. รวมมิตรผักกลิ่นฉุน

           ระดมนำเอาผักสดกลิ่นฉุน เช่น ต้นหอม กระเทียม หอมแดง หอมใหญ่ หั่นให้กลิ่นออกแล้วนำไปวางไว้ตามหน้าต่าง หรือโซนที่คิดว่าแมลงวันชอบมาป้วนเปี้ยน กลิ่นฉุนตามธรรมชาติที่ถูกผนึกกำลังกันของผักสด จะทำให้แมลงวันเหม็นจนไม่อยากผ่านเลย

8. เผาเปลือกส้มตากแห้ง

           เปลือกส้มแห้งสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ไล่แมลงวันได้ เพียงแค่นำมาเผาให้เกิดควัน เพื่อให้แมลงวันบินหนีไป และนอกจากจะช่วยไล่แมลงวันได้แล้ว กลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้านยังถูกกำจัดออกไปได้ด้วย

9. ตะไคร้หอม

           เรามักจะคุ้นเคยกับสรรพคุณไล่ยุงของตะไคร้หอม แต่จริง ๆ แล้วตะไคร้หอมก็สามารถนำมาไล่แมลงวันได้ไม่ต่างกัน เพียงแค่จุดเตาดินเผาเหมือนที่ใช้ในสปา จากนั้นก็นำตะไคร้หอมใส่ลงไปเผาให้เกิดควัน กลิ่นหอมปนฉุนของตะไคร้หอม จะช่วยไล่แมลงวันและกำจัดยุงได้ในคราวเดียวกันเลย

10. น้ำหมักเหล้าขาว

           สูตรนี้เป็นสูตรจัดหนักที่จะใช้ปราบแมลงวันให้สิ้นซาก ด้วยการนำ เหล้าขาว 40 ดีกรี 1 ขวด, น้ำส้มสายชู 2 ขวด, กากน้ำตาล 1 ลิตร, น้ำเปล่า 6 ลิตร และ EM สูตรขยาย 1 ลิตร นำมาผสมให้เข้ากันแล้วหมักไว้ 21 วัน

           เมื่อถึงเวลาให้นำมาใช้ครั้งละ 15 ซีซี ผสมกับน้ำอีก 1 ลิตร หรือลองปรับให้น้อยลงในกรณีที่ใช้น้อย จากนั้นให้นำไปฉีดพ่นแหล่งกำเนิดแมลงวัน จะทำให้ไข่ฝ่อจนหมด นอกจากนี้น้ำหมักที่เหลือ ยังสามารถนำไปฉีดพ่นต้นไม้ในสวนให้งามไม่มีแมลงรบกวนได้อีกด้วย


           ได้รู้จักกับวิธีไล่แมลงวันพร้อมสูตรต่าง ๆ เหล่านี้ หวังว่าจะช่วยให้แมลงวันที่คอยกวนใจหมดไปจากบ้านของคุณสักทีนะคะ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 05, 2014, 08:25:43 am
สเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงเป็นทางเลือกของผู้บริโภคหลายราย เนื่องจากสะดวกใช้งาน สามารถกำจัดแมลงต่าง ๆ ได้ ยาฆ่าแมลงประเภทสเปรย์ฉีดพ่นจะมีฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นพิษ
วันเสาร์ 4 ตุลาคม 2557 เวลา 00:00 น.



-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/271218/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-



ปัจจุบันเราจะพบเห็นสินค้าหลากหลายชนิดที่มีการบรรจุในกระป๋องสเปรย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการใช้งานเพียงแค่กดหัวฉีดก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างง่ายดาย โดยกระป๋องสเปรย์ที่ใช้บรรจุสินค้านั้นจะมีการอัดก๊าซบางชนิดเข้าไปเพื่อเป็นแรงขับดันให้ผลิตภัณฑ์ถูกฉีดพ่นออกมา โดยเฉพาะสเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย

สเปรย์ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงเป็นทางเลือกของผู้บริโภคหลายราย เนื่องจากสะดวกใช้งาน สามารถกำจัดแมลงต่าง ๆ ได้ ยาฆ่าแมลงประเภทสเปรย์ฉีดพ่นจะมีฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นพิษ ถ้าหากสัมผัสแล้วซึมผ่านเข้าทางผิวหนัง ตัวยาจะยับยั้งเอนไซม์ cholinesterase ซึ่งส่งผล อย่างรวดเร็วต่อระบบประสาททำหน้าที่ฆ่าแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสารเคมีประเภทนี้จะสลายตัวภายใน 72 ชั่วโมง ปกติยาฆ่าแมลงในกลุ่มนี้ที่พบตามท้องตลาดคือ chlopyrifos, dichlovos หรือ DDVP พบในสเปรย์กำจัดยุงและแมลงสาบ สเปรย์กำจัดแมลงสาบ และสเปรย์กำจัดปลวก มด และมอด

ปัจจุบันผู้ผลิตได้มีการเติมสารต่าง ๆ เช่น กลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ และกลิ่นหอมต่าง ๆ ผสมลงในสารเคมีกำจัดแมลง อาจทำให้เข้าใจว่า สเปรย์ฉีดพ่นกำจัดแมลงดังกล่าว ไม่เป็นอันตราย ซึ่งจริง ๆ แล้วยาฆ่าแมลงจะถูกสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน เนื่องจากโมเลกุลของยาฆ่าแมลงนี้เป็นสารพิษร่างกายจะนำไขมันไปล้อมสารพิษไว้และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน เพื่อไม่ให้ออกมาทำอันตรายต่อร่างกายซึ่งระบบร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าแมลงเหล่านี้โดยตรง ได้แก่ ตับ ไต และระบบประสาท ผลจากการได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลงสะสมเป็นเวลานาน จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว พันธุกรรมบกพร่อง เป็นหมัน ตับถูกทำลาย โรคผิดปกติของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน และโรคไต

ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ยากำจัดแมลง ผู้บริโภคจะต้องอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนการใช้งาน ควรสวมเครื่องป้องกันตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางผิวหนังที่สำคัญอย่าฉีดพ่นในห้องที่มีเด็ก ผู้ป่วย ผู้อยู่อาศัย และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งในบริเวณที่มีอาหารและบริเวณที่มีเปลวไฟ ควรจัดเก็บในที่มิดชิดห่างไกลมือเด็กหลังจากมีการฉีดพ่นควรปิดห้อง ไว้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้ละอองสารเคมีกำจัดแมลงที่กระจายในอากาศเจือจาง แล้วค่อยทำความสะอาดพื้นห้องควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งหลังจากการฉีดพ่น ส่วนภาชนะที่บรรจุผลิตภัณฑ์เมื่อใช้หมดแล้ว ให้นำไปฝังดินห้ามนำไปเผาเพราะอาจจะทำให้เกิดระเบิดได้.


http://www.dailynews.co.th/Content/economic/271218/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84 (http://www.dailynews.co.th/Content/economic/271218/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87++-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84)

.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 05, 2014, 10:02:13 am
8 โรคที่มักแถมมาจากโรงพยาบาล
(ผู้หญิงถึงผู้หญิง)
-http://ch3.sanook.com/37195/8-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2-

เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่มีเชื้อโรคห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา ยิ่งโรงพยาบาลด้วยแล้ว ก็มีเชื้อโรคมากมาย แถมยังเป็นเชื้อก่อโรคด้วย  มีการพบเชื้อโรคบนเสื้อกาวน์ บนหูฟังของแพทย์ บนเตียงคนไข้ เวชระเบียน และในโรงพยาบาลชั้นยอดที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องคนไข้ก็พบเชื้อโรคมากบนคีย์บอร์ด คนไข้ที่เข้าพักในโรงพยาบาลเพียง 1 วัน จะมีเชื้อโรคของโรงพยาบาลติดตัวไปอยู่นาน 2 สัปดาห์ คนนอนโรงพยาบาลติดเชื้อมากกว่าคนอยู่บ้าน การเข้านอนในโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นจึงไม่มีผลดี   และต่อจากนี้คือ โรคที่มักจะติดมาจากการไปโรงพยาบาล

1. ไข้หวัดใหญ่
คนป่วยด้วยโรคนี้กันมาตลอดทั้งปี แล้วที่ที่คนเป็นหวัด มักไปชุมนุมกันอย่างคึกคัก ก็คือ ห้องรอตรวจ หรือโอพีดี ของโรงพยาบาลนั่นเอง

2. ไข้หวัด เจ็บคอเสียงเป็ดเรียกพี่
คนไข้ที่ติดเชื้อนี้จะมีทั้งเจ็บคอและเสียงเปลี่ยน การได้รับเชื้อมาก็ง่ายแสนง่าย แค่นั่งอยู่ใกล้ ๆ คนป่วย โดยเฉพาะอยู่ในห้องแอร์ ที่แบ่งกันหายใจด้วยอากาศเก่า ๆ

3. ปอดติดเชื้อ
มีหลักฐานที่แน่นหนาว่ามากจากโรงพยาบาลโดยตรง ถึงขนาดมีชื่อเรียกสามัญประจำโรคว่า “ปอดติดเชื้อจากโรงพยาบาล” โดยคนป่วยเป็นโรคนี้มักเกิดจากไป “แอดมิท” หรือนอนค้างอ้างแรมที่โรงพยาบาล

4. มือเท้าปาก (Hand Foot Mouth disease)
สามารถติดได้จากการสัมผัสและการหายใจ สิ่งที่น่ากลัวของโรคที่ว่านี้ คือ เป็นเชื้อ ไวรัส ที่ไม่มียารักษา

5. สุกใส (อีสุกอีใส)
มันติดได้ทางอากาศและการสัมผัสขอเพียงแค่มีสะเก็ดของสุกใสขนาดจิ๋ว ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ก็สามารถที่จะพาเชื้อไวรัส ติดปีก ไปติดได้ไกลแล้วผ่านระบบท่อแอร์ของโรงพยาบาล

6. เชื้อสวาปามเนื้อ (Flesh-eating bacteria)
ชื่อจริงของมันก็คือ เชื้อดื้อยา “เอ็มอาร์เอสเอ (MRSA)” เป็นเชื้อดื้อยาที่มีสิทธิ์มาติดคนไข้ที่มานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ อาการของมัน คือ จะมีไข้สูงอุกอาจมาก อาจจะมีจุดที่ผิวหนังให้เห็นได้ โดยมีรอยแดงกว้างแล้วจากนั้นไม่นานเชื้อก็จะลามลึกไปในผิวหนังจนทำให้เกิดเนื้อตายเป็นวงใหญ่

7. โรคที่เกิดกับลำไส้
โรคนี้คือ “ท้องเสียจากการให้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป” โดยเชื้อโรคนี้จะล่องลอยอยู่ในโรงพยาบาล แล้วเมื่อคนไข้ที่นอนรักษาตัวอยู่บริโภคเข้าไปโดยไม่รู้ตัวผ่านทางอาหาร (เพราะเล็กมากมองไม่เห็น) ก็จะทำให้เกิดลำไส้ติดเชื้อ

8. เยื่อหุ้มสมองติดเชื้อลุกลามในเลือด (Meningococcal disease)
ทำให้เด็กที่ติดเชื้อนั้นเสียชีวิตแทบทั้งหมด ส่วนรายที่รอดได้ก็จะต้องตัดแขนตัดขาส่วนที่ติดเชื้ออกไปเพื่อช่วยชีวิต โรคนี้ไม่พบบ่อยแต่ว่าน่ากลัวมาก เพราะว่าทำให้ตายแทบทุกราย


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 16, 2014, 06:10:48 pm
กรมอนามัยเตือน กินเนื้อสัตว์ร้านปิ้งย่าง ระวังเป็นไข้หูดับ

-http://ch3.sanook.com/37915/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-

-http://www.krobkruakao.com/-



Family News Today  กินเนื้อสัตว์ร้านปิ้งย่าง ระวังเป็นไข้หูดับ (นาทีที่ 00.12)

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง หรืออาหารประเภทรมควันในช่วงหน้าหนาว เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหูดับ

กรมอนามัย เปิดเผยถึงการกินอาหารประเภทปิ้ง ย่างเพื่อคลายหนาวเสี่ยงโรคมะเร็ง ว่า ในขณะนี้หลายๆ พื้นที่ในประเทศไทยเริ่มหนาวเย็นลง ซึ่งนอกจากการใส่เสื้อผ้าที่หนาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว ในส่วนของการกินอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพราะในช่วงนี้ประชาชนส่วนใหญ่มักเลือกอาหารประเภทปิ้งย่างเป็นเมนูสำหรับคลายหนาว

ทั้งนี้กรมอนามัย เตือนประชาชนให้งดรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น หมูกระทะที่ปิ้งย่างไม่สุก จิ้มจุ่มที่ต้มไม่สุก ลาบ หลู้ หมูดิบ เนื่องจากในช่วงนี้ฟาร์มหรือโรงเลี้ยงสัตว์มีความอับชื้น ส่งผลให้สัตว์เลี้ยงมีโอกาสป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะหมูซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) เป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ ที่มักติดมาสู่คนได้และมีอันตรายถึงชีวิต

ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค  ระบุว่า  ผู้ป่วยโรคไข้หูดับส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงานที่มักดื่มสุราร่วมกับการรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ โดยเชื้อแบคทีเรียจจะอยู่ในทางเดินหายใจ และกระแสเลือดของหมูที่กำลังป่วย ติดต่อสู่คนทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกาย ทางเยื่อบุตา และจากการรับประทาน หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าไปทำให้เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุหัวใจอักเสบประสาทหูอักเสบและเสื่อมจนหูหนวก

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 20, 2014, 10:02:42 pm
“มะเร็ง” หายขาดได้ ถ้ารักษาเร็ว

-http://club.sanook.com/64771/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81/-


“มะเร็ง” หายขาดได้ ถ้ารักษาเร็ว

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระดมแพทย์ทั่วประเทศ พัฒนาศักยภาพรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พร้อมระบุมะเร็งหลายชนิด  อาทิ มะเร็งเต้านม  มะเร็งลูกอัณฑะ  มะเร็งรังไข่ชนิดเนื้อเยื่อบุผิว หากตรวจพบในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาหายได้


นายแพทย์ภาสกรชัยวานิชศิริ    รองอธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ว่า  โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย จากรายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. 2554 พบว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิต  จากโรคมะเร็ง ปีละประมาณ 60,000 รายหรือเฉลี่ย 7   รายต่อชั่วโมง และยังคงพบอัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมะเร็งที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกในเพศชาย คือ มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ส่วน  3  อันดับแรกในเพศหญิง คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก  มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี  ซึ่งการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่อง และเสียค่าใช้จ่ายสูง  จึงส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม และเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโรคมะเร็ง  รวมทั้งเพื่อให้ผลลัพธ์จากความก้าวหน้าทางวิชาการ  มีความเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติ   ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินงานของแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข  คือ การลดอัตราการเกิด และการตายจากโรคมะเร็ง ทำให้ประชาชนชาวไทยห่างไกลจากโรคมะเร็ง ยกระดับการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาประเทศอีกทางหนึ่ง ดังนั้น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ   จึงร่วมกับโรงพยาบาลมะเร็งภูมิภาค 7 แห่ง ของกรมการแพทย์ จัดประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติในหัวข้อ “National Strategies to Nationwide Cancer Care” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการ นักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ในหลากหลายสาขา จำนวน 800 คน จากทั่วประเทศ   มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ได้ทราบถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และวิทยาการต่าง ๆ ในการป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคมะเร็ง  รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคมะเร็งให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

นายแพทย์วีรวุฒิ  อิ่มสำราญ  ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ  กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นกลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ มากกว่าปกติ ให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง หลอดเลือดและหลอดน้ำเหลืองและในที่สุดก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะเหล่านั้นผิดปกติโดยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ที่สำคัญ 3 ประการ คือ หนึ่ง ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม  ยารักษาโรค  รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด สอง ปัจจัยจากพฤติกรรม  เช่น การสูบบุหรี่  ดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและไหม้เกรียมเป็นประจำและสุดท้ายปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีน  และความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน

ในปัจจุบันแพทย์สามารถรักษามะเร็งหลายชนิดให้หายได้ และทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีอัตรารอดชีวิตที่ยาวนานมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็งที่พบ  เพราะมะเร็งระยะเริ่มแรกย่อมมีการตอบสนองต่อการรักษาหรือมีโอกาสหายขาดมากกว่าระยะลุกลาม หรือระยะสุดท้าย  ดังนั้น  การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญ

สำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง มีหลักการง่าย ๆ คือ  ออกกำลังกายประจำ ทำจิตแจ่มใส กินผักผลไม้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร  กินอาหารให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก จำเจ และใหม่สด สะอาด ปราศจากเชื้อรา ไม่กินอาหารที่มีไขมันสูง  อาหารปิ้งย่างหรือทอดไหม้เกรียม  อาหารหมักดองเค็ม และปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดดิบ ๆ รวมทั้งไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา  ไม่มีเซ็กซ์มั่วหรือไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย  ไม่อยู่กลางแดดนานๆ  และที่สำคัญคือตรวจร่างกายเพื่อค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก เป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง

 

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์
ภาพประกอบจาก istockphoto.com

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 26, 2014, 06:04:12 am
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส


-http://guru.sanook.com/27277/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA/-



โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เอแอลเอส
ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
สมอง  ไขสันหลัง  ระบบประสาทวิทยา

อาการที่เกี่ยวข้อง :กล้ามเนื้ออ่อนแรง

บทนำ
ถ้าใครติดตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วพบข่าวดังข่าวหนึ่งว่า แม่ของดาราชื่อดังท่านหนึ่งป่วยเป็น “โรคเอแอลเอส (ALS)” ท่านคงจะงงกับโรคนี้ โรคเอแอลเอส คืออะไร จะรักษาหายหรือไม่ ต้องตามอ่านบทความนี้ครับ เพื่อความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งขึ้น


โรคเอแอลเอส คืออะไร?
โรคเอแอลเอส (ALS) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส ย่อมาจาก Amyotrophic lateral sclerosis เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor neuron dis ease : MND) ไม่ใช้โรคกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เนื่องจากเซลล์ประสาทนำคำสั่งในไขสันหลังส่วนหน้า และมีบางส่วนของเนื้อสมองเสื่อม จึงสูญเสียการนำคำสั่งในการทำงานมายังกล้าม เนื้อ จึงก่อให้เกิดอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อขึ้น


โรคเอแอลเอสเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดการเสื่อมของเซลล์นำคำสั่งได้อย่างไร เชื่อว่าอาจเกิดจากหลายๆปัจจัย เช่น สารพิษ ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก สารรังสี การติดเชื้อไวรัส หรืออาจเกิดจากการเสื่อมของเซลล์เอง (อาจจากอายุ และ/หรือ มีจีน/ยีน/Gene บางชนิดผิดปกติ)


ใครมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคเอแอลเอสบ้าง?
โรคเอแอลเอสนี้ พบได้น้อยมาก ในประเทศไทยไม่มีข้อมูลว่าพบมากน้อยเพียงใด ในยุ โรปพบประมาณ 2 รายต่อประชากร 100,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุมากกว่า 60 หรือ 65 ปีขึ้นไป ผู้ชายพบบ่อยกว่าผู้หญิง ไม่พบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่แน่ชัด


โรคเอแอลเอสมีอาการอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคเอแอลเอส จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณ แขน มือ ขา ข้างหนึ่งข้างใดก่อน โดยอาการค่อยๆเป็นค่อยๆไป ต่อมามีอาการรุนแรงมากขึ้น ร่วมกับมีอาการ พูดไม่ชัด กลืนอาหารลำบาก กล้ามเนื้อต่างๆลีบ และมีอาการเต้นกระตุกของกล้ามเนื้อด้วย ต่อมาเป็นทั้ง 2 ข้างของร่างกาย อาการในช่วงแรกๆจะไม่ค่อยชัดเจน ผู้ป่วยอาจบ่นว่าอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรงเดิน หรือหยิบจับของไม่ถนัด ร่วมกับมีกล้ามเนื้อเต้นกระตุกด้วย การดำเนินโรคจะใช้เวลาหลายเดือนถึงเป็นปี จึงมีอาการชัดเจน ทั้งนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติด้านความจำ ระดับความรู้สึก ตัวใดๆ รวมทั้งในการขับถ่าย แม้จะเป็นในระยะสุดท้ายของโรคก็ตาม


เมื่อมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
ผู้ป่วยที่มีปัญหาอาการกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงหรือกล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อเต้นกระตุกบ่อยผิดปกติ และ/หรือพูดลำบาก ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ ไม่ควรรอให้เป็นมาก


โรคเอแอลเอสวินิจฉัยได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคเอแอลเอสได้โดย จะพิจารณาจากลักษณะอาการผู้ป่วย คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยการรับรู้ความรู้สึกเป็นปกติ กล้ามเนื้อลีบฝ่อ ไม่ปวด ไม่ชา มีการเต้นกระตุกของกล้ามเนื้อ พูดไม่ชัด กล้ามเนื้อลิ้นลีบ และมีการเต้นของกล้ามเนื้อลิ้น
ตรวจร่างกายพบกล้ามเนื้อลีบฝ่อทั่วๆไป ลิ้นลีบ มีการเต้นกระตุกของลิ้น และพบรีเฟล็กซ์ผิดปกติ
ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) พบความผิดปกติที่เข้าได้กับโรคนี้
นอกจากนั้นคือ ต้องตรวจประเมินไม่พบโรคอื่นๆที่ให้อาการคล้ายกัน และ โรคนี้ไม่จำเป็น ต้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอมอาร์ไอสมอง ซึ่งการตรวจสืบค้นเพิ่มเติมเหล่านี้ขึ้นกับดุลพิ นิจของแพทย์ผู้รักษา
อนึ่ง โรคที่มีอาการคล้ายกับโรคเอแอลเอส เช่น
โรคไทรอยด์เป็นพิษ
โรคซิฟิลิส ระยะเข้าไขสันหลัง และ/หรือเข้าสมอง
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม ในบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ


รักษาโรคเอแอลเอสอย่างไร? มีการพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร?
ปัจจุบัน การรักษาและการพยากรณ์โรคของโรคเอแอลเอส คือ โรคเอแอลเอส ยังไม่มียา หรือวิธีใดๆที่จะรักษาให้หายได้ มีเพียงยาชื่อ ริลูซอล (Riluzole) ที่พอจะชะลออาการของโรคได้บ้าง โดยสามารถชะลอภาวะหายใจล้มเหลวได้ระยะเวลาหนึ่งเมื่อเทียบกับไม่ใช้ยา แต่สุด ท้ายผู้ป่วยก็จะมีอาการรุนแรงขึ้น หายใจเองไม่ไหว ต้องใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจตลอดไป โดยส่วนใหญ่ อาการจะค่อยๆเลวลงหลังจากวินิจฉัยได้แล้วประมาณ 2-5 ปี ก็จะมีภาวะหายใจล้มเหลว และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากระบบหายใจล้มเหลว และการติดเชื้อในระบบต่าง ๆโดยเฉพาะในทางเดินหายใจ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะค่อยๆไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนจะอ่อนแรง และฝ่อลีบไปเรื่อยๆจนไม่มีแรงเลย ยกเว้นที่พอทำงานได้ คือ การกลอกตาไปมา และการหลับตา ลืมตา
การรักษาที่ดีที่สุดคือ การรักษาประคับประคองตามอาการ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ชะลอการฝ่อลีบให้ช้าลง และเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อน/ผลข้าง เคียงที่จะเกิดขึ้น เช่น แผลกดทับ และการสำลักอาหารและน้ำลาย ที่จะส่งผลถึงการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
อนึ่ง ผู้ป่วยที่มีภาวะหายใจล้มเหลว ก็อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งการดูแลในโรงพยาบาลคือ การดูแลการใช้เครื่อง ช่วยหายใจ และการป้องกันการติดเชื้อ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัด ดังนั้นถ้าทางครอบครัวมีความพร้อม ก็สามารถให้การดูแลที่บ้านได้ ซึ่งจะปลอดภัยจากภาวะติดเชื้อในโรงพยาบาล แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก และต้องลงทุนซื้อเครื่องช่วยหายใจ และติดตั้งระบบออกซิเจนที่บ้าน ปัจจุบันก็มีบางครอบครัวที่สามารถทำแบบนี้ได้


ครอบครัวและผู้ป่วยควรทำอย่างไรเมื่อทราบว่าเป็นโรคนี้?
เมื่อเป็นโรคนี้ กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกคนต้องมีกำลังใจที่ดี ยอมรับความเป็นจริง ปรับตัวอยู่กับโรคให้ได้ ไม่ควรท้อแท้ หรือหมดกำลังใจ ในระยะแรกของโรค การออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ก็เป็นการช่วยชะลอโรคได้
อนึ่ง การดูแลรักษาที่บ้านนั้น ในระยะแรกสามารถทำได้ แต่ถ้าเกิดภาวะหายใจล้มเหลวแล้ว การดูแลที่บ้าน ทางครอบครัวต้องมีความพร้อมทุกอย่างดังที่กล่าวแล้วข้างต้น รวมทั้งการให้อาหารทางสายยาง ไม่ว่าจะเป็นทางจมูกหรือทางหน้าท้อง การดูแลการขับถ่าย และการเตรียมญาติและผู้ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเมื่ออยู่บ้าน ผู้ป่วยจะมีความสุขมากกว่าอยู่โรงพยาบาล


เมื่อดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
เมื่อผู้ป่วยเกิดการสำลักอาหารบ่อยขึ้น มีไข้ หรือมีการติดเชื้อในระบบต่างๆ เช่น ในทางเดินหายใจ หรือในทางเดินปัสสาวะ หรือเมื่อมีปัญหาต่างๆในการดูแลผู้ป่วย ก็ควรต้องปรึกษา แพทย์ พยาบาลก่อนนัด ซึ่งเมื่อป่วยเป็นโรคนี้ ควรต้องสอบถามแพทย์/พยาบาลล่วงหน้าถึงวิธี การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน การปรึกษาแพทย์/พยาบาลทางโทรศัพท์ หรือการมาโรงพยาบาลก่อนนัดว่า ควรทำอย่างไร จะได้เหมาะสมและสะดวกทั้งกับผู้ป่วยและผู้ดูแล


โรคเอแอลเอสป้องกันได้หรือไม่?
เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคเอแอลเอส


สรุป
อาจกล่าวได้ว่าโรคเอแอลเอส เป็นโรคเวรโรคกรรมก็ได้ แต่เราก็ต้องเข้าใจ ยอมรับธรรมชาติ และมีกำลังใจที่ดีในการอยู่กับโรคนี้



ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก haamor.com

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2014, 10:04:30 am
ภัยเงียบจากตัวเรือดไม่ควรมองข้าม

-http://ch3.sanook.com/38919/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-


Family News Today  ภัยเงียบจากตัวเรือดไม่ควรมองข้าม (นาทีที่ 10.00)

การพบตัวตัวเรือดแมลงสร้างความรำคาญในปัจจุบัน มักติดมากับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีการตรวจพบตัวเรือดสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบในประเทศไทย กรมควบคุมโรคแนะนำดูแลความสะอาดของสถานที่สม่ำเสมอ และถูกวิธี เป็นการป้องกันกำจัดตัวเรือดที่ได้ผลดีที่สุด

นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ประเทศไทยไม่มีรายงานตรวจพบตัวเรือด ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็ก ดูดเลือดสัตว์และคนกินเป็นอาหาร มาหลายสิบปีแล้ว แต่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมามีการตรวจเจอตัวเรือดอย่างต่อเนื่องตามโรงแรม หรือ เกสต์เฮ้าส์ เพราะส่วนใหญ่ตัวเรือดมักจะติดมากับเสื้อผ้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงมีการขยายพันธุ์และซ่อนตัววางไข่อยู่ตามร่องไม้ หัวเตียง ใต้ที่นอน ตะเข็บที่นอน หรือโซฟา และอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวได้ ที่สำคัญยังมีการพบตัวเรือดสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบในไทยด้วย

ทั้งนี้ตัวเรือดนอกจากจะก่อความรำคาญจากการกัดและรบกวนการนอนแล้ว น้ำลายของตัวเลือดยังมีพิษทิ้งรอยผื่นแดงไว้บนผิวหนัง และอาจเกิดอาการคัน อักเสบ ติดเชื้อซ้ำ หากมีอาการแพ้ ทำให้รอยแผลหายยากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ปรากฎว่าตัวเรือดเป็นพาหะนำโรคติดต่อสู่คน ซึ่งปกติตัวเรือดจะออกมาดูดกินเลือดเฉพาะในเวลากลางคืน และหลบซ่อนตัวในเวลากลางวัน พบมากตามรอยแตกของอาคาร มุมอับ อาคารสาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์ โรงแรม โดยเฉพาะสถานที่ที่ค่อนข้างสกปรก เฟอร์นิเจอร์ที่มีซอก ตะเข็บ

สำหรับการกำจัด และป้องกันตัวเรือด นายแพทย์นิพนธ์ ให้คำแนะนำว่า ควรหมั่นดูแลบ้านเรือนให้สะอาด หากมีรอยแตกแยกโดยเฉพาะห้องนอนให้ทำความสะอาด แก้ไขซ่อมแซม เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของตัวเรือด เครื่องนอนต่าง ๆ ต้องนำไปทำความสะอาด ตากแดดอยู่เสมอ

สำหรับผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน เสื้อผ้าที่พบว่ามีตัวเรือดให้นำไปต้มในน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 15-30 นาที ไข่และตัวเรือดก็จะตาย จากนั้นฉีดพ่นสารกำจัดแมลงชนิดกำจัดปลวกไปตรงจุดที่พบตัวเรือด ทุก ๆ 1-2 อาทิตย์ จนกระทั่งตัวเรือดหมดไป



(http://p3.isanook.com/c3/0/up/2014/11/Image-143.png)

-http://www.krobkruakao.com/-





หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2014, 10:41:49 am
รู้เท่าทัน “โรคริดสีดวงทวาร”

-http://men.sanook.com/1082/-

ริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในเพศชายและเพศหญิง ริดสีดวงทวารเป็นเนื่องจากมีภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไป ในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพองเป็นหัว เรียกว่า หัวริดสีดวง แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ ทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว อาจพบเป็นเพียงหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้ โรงพยาบาลธนบุรี ให้ความรู้แนะนำเพื่อรู้ทันโรคริดสีดวงทวาร

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร เกิดจากการเบ่งถ่ายอุจจาระ ท้องผูก การนั่งนานๆ ภาวะตั้งครรภ์ หรืออาจส่งผลมาจากน้ำหนักตัวมาก การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไอเรื้อรัง ตับแข็ง ต่อมลูกหมากโตและผู้ที่มีเนื้องอกในช่องท้อง เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อนจากนั้นจะมีเลือดสดๆ ไม่มีมูกเลือดปน มีก้อนที่ยื่นออกมาจากทวารขณะที่เบ่งอุจจาระ คลำได้ก้อนที่บริเวณทวารหนัก เจ็บและคันบริเวณทวารหนัก

สำหรับวิธีการรักษาริดสีดวงทวาร
ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก
- รักษาโดยการให้ยาเหน็บที่ทวารหนักเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและสร้างความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด อาจใช้ร่วมกับยาระบายได้
- ฉีดยาที่หัวริดสีดวงทวารเพื่อให้เกิดพังพืดรัดหัวริดสีดวงและฝ่อได้เอง มักใช้ในกรณีที่หัวริดสีดวงมีเลือดออกและหัวริดสีดวงที่ย้อยไม่มาก
- ยิงยางรัดหัวริดสีดวง(Baron Gun) จะทำให้ริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเองประมาณ 7 วัน
- รักษาโดยการผ่าตัด มักใช้ในระยะที่ 3,4 และริดสีดวงที่มีการอักเสบ

อาการหลังผ่าตัดริดสีดวงทวาร อาจมีเลือดออกได้ตั้งแต่หลังผ่าตัดจนถึงประมาณวันที่ 10 ของการผ่าตัดปกติจะมีเลือดออกไม่มากและจะหยุดเอง ถ้ามีเลือดออกมากให้มาพบแพทย์ หรือมีน้ำเหลืองซึ่งที่ขอบทวาร 4-6 สัปดาห์ ในกรณีที่ไม่ได้เย็บปิดแผล และบริเวณปากทวารหนักอาจบวมเป็นติ่ง แนะนำให้นั่งแช่ก้นด้วยน้ำอุ่น อาจถ่ายอุจจาระไม่ออกในระยะแรก

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร เน้นการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ หรือ ยาเพิ่มกากใย ดื่มน้ำวันละประมาณ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีถึง 1 ชม. อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ฝึกขับถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอและขับถ่ายเป็นเวลาทุกวัน ผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำให้สังเกตว่าอาหารชนิดใดที่รับประทานแล้วช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นให้รับประทานอาหารชนิดนั้นเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมการขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ติดต่อกันอย่างน้อย 6-8 ชม. ต่อวัน และหลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานๆให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ


ข้อมูลโดยศูนย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลธนุบรี
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2014, 11:19:18 am
ไม่อยากเป็น “โรคหัวใจ” ต้องเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

-http://club.sanook.com/59207/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B9%89/-


กรมการแพทย์แนะพฤติกรรมห่างไกลโรคหัวใจ

อธิบดีกรมการแพทย์เผย คนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แนะเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงจากอาหารไทยไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ หันมาออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สมาพันธ์หัวใจโลก กำหนดให้วันที่ 29 กันยายนของทุกปี เป็นวันรณรงค์หัวใจโลก เนื่องจากกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและของโลก ซึ่งจากข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลก พบว่าโรคดังกล่าวมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของสาเหตุการเสียชีวิตประชากรโลก ประชากรจำนวน 17.3 ล้านคน เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี พ.ศ. 2556 มีผู้เสียชีวิตจำนวน 54,530 คน เฉลี่ยเสียชีวิตวันละ 150 คนหรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน สะท้อนให้เห็นว่าโรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคที่รุนแรงและต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วนสำหรับอาการที่บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ คือ จุกแน่นหน้าอก จะมีอาการจุกบริเวณยอดอกตรงกลางมักเป็นในขณะออกกำลังกาย หลังจากหยุดออกกำลังกายอาการจะดีขึ้น มีอาการเจ็บหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ และอาการเจ็บนี้จะปวดร้าวไปที่หัวไหล่ซ้ายหรือไปที่กราม ถ้าอาการเจ็บหน้าอกนี้เป็นนานเกินกว่า 5 นาที พักแล้วไม่ทุเลาหรืออาการเจ็บรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องรีบพบแพทย์ มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเวลาทำงาน หัวใจเต้นผิดปกติ จังหวะการเต้นของชีพจร มีสะดุดหรือไม่สม่ำเสมอ ที่สำคัญประชาชนจะต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้อง หากพบว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด ไม่ออกกำลังกาย ไม่กินผักผลไม้ โรคอ้วนลงพุง เช่น รอบเอว มากกว่า 36 นิ้วในผู้ชาย และมากกว่า 32 นิ้วในผู้หญิง กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตั้งแต่อายุน้อย ควรได้รับการวินิจฉัยในเบื้องต้นจากแพทย์

นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เปลี่ยนแปลงนิสัยการกิน งดอาหารมัน เค็ม เพิ่มอาหารพวกผัก ผลไม้ และพวกเส้นใยต่างๆ ทำจิตใจให้แจ่มใส งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อประเมินภาวะสุขภาพและระดับความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัจจัยการเกิดโรคหัวใจได้

 

ขอขอบคุณข้อมูล จาก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์ (กระทรวงสาธารณสุข)


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 24, 2014, 05:46:04 am
"อธิบดีกรมควบคุมโรค" พบเชื้ออหิวาเทียมในเลือดไก่ ทำโรคอาหารเป็นพิษระบาดอีสาน-เหนือ ชี้มักปะปนใน "ข้าวมันไก่-ลาบไก่"ที่มีเลือดผสมอยู่ สั่งโรงงานผลิต เร่งปรับปรุงก่อนระบาดหนัก
วันอังคาร 23 ธันวาคม 2557 เวลา 06:30 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/regional/289192/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99_%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88_%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88-



เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยกับ "เดลินิวส์" ว่า แม้ขณะนี้กรมควบคุมโรคจะขาดแคลนนักระบาดวิทยา เพราะติดปัญหาเรื่องค่าตอบแทน และความก้าวหน้าในวิชาชีพ แต่จากการลงพื้นที่ของนักระบาดวิทยา 20 คน ตรวจหาอันตรายจากโรคติดเชื้อต่างๆ ตั้งแต่โรคอาหารเป็นพิษ จนถึงโรคติดเชื้อรุนแรง โดยจากข้อมูลใน จ.เชียงใหม่ พบการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ย. 57 จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่าเกิดจากการรับประทานข้าวมันไก่ถึง 15 เหตุการณ์ และเมื่อทบทวนรายงานการสอบสวนโรคของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่ พบเชื้ออหิวาเทียม (Vibrio parahaemolyticus) ถึง 13 เหตุการณ์ ซึ่งเกิดจากก้อนเลือดไก่ ในข้าวมันไก่ โดยเป็นเลือดไก่ที่มาจากโรงงานผลิตแห่งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยังพบการระบาดลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ธ.ค.พบรายงานการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษที่เกี่ยวข้องกับไก่ และผลิตภัณฑ์จากไก่ในเขตรับผิดชอบของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ทั้งหมด 20 เหตุการณ์ จำนวน 1,410 ราย กระจายไป 7 จังหวัด ได้แก่ จ.กาฬสินธุ์ ขอนแก่น หนองบัวลำภู อุดรธานี บึงกาฬ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด โดยพบการระบาดมากที่สุดในเดือน พ.ย.และสงสัยมาจากอาหารที่มีเลือดไก่เป็นส่วนประกอบ อาทิ ข้าวมันไก่ ลาบไก่ที่ผสมเลือด ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งไปยังโรงงานผลิตเลือดไก่ ขอให้ปรับปรุง ซึ่งเร็วๆ นี้กรมควบคุมโรคได้เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบซ้ำ

นพ.โสภณ กล่าวว่า จะเห็นได้ว่านักระบาดวิทยามีความสำคัญมาก เพราะข้อมูลข้างต้นได้มาจากการลงตรวจสอบในพื้นที่ ดังนั้น นักระบาดจึงเป็นเหมือนนักสืบที่มีความสำคัญในการทราบว่าแหล่งโรคมาจากที่ใด เพื่อป้องกันได้ตรงจุด และจากปัญหาความขาดแคลนบุคลากรตรงนี้ ตนได้ทำหนังสือถึงนพ.รัชจะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข ให้พิจารณาปรับค่าตอบแทนให้กับบุคลากรกลุ่มนี้ และระหว่างการพิจารณาอยู่นั้น กรมควบคุมโรคได้จัดระบบในการสร้างแรงจูงใจให้กับแพทย์ระบาดวิทยาด้วยการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงรายวันสำหรับคนลงพื้นที่ภาคสนามจากวันละ 100 กว่าบาท เป็น 200 บาทต่อวัน ขณะเดียวกันก็เร่งผลิตบุคลากรกลุ่มนี้เพิ่มด้วยการอบรมบุคลากรสายเชี่ยวชาญอื่นๆ เบื้องต้นจะพยายามให้ได้ 30-40 คน เพราะการผลิตนักระบาดระดับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง อาจจะค่อนข้างยาก.
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2015, 07:26:05 pm
เลี่ยง 10 เมนูอันตรายลดเสี่ยงอาหารเป็นพิษ เผยต้นปี 58 พบป่วยกว่า 4 พันราย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000009468-

 คร.ย้ำดูแลอาหารในโรงเรียน-กิจกรรมเข้าค่าย ลดเสี่ยงอาหารเป็นพิษ เผยต้นปี 58 ป่วยกว่า 4 พันราย ส่วนมากพบในหารกล่องแจกนักเรียน นักท่องเที่ยว แนะยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”


        นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยพบว่ามีเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอยู่หลายชนิด เช่น เชื้อคลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum food poisoning) เชื้อวิบริโอ พาราฮิมโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) เป็นต้น และที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษได้บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากการที่คนจำนวนมากรับประทานอาหารร่วมกัน และมีอาการหลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคดังกล่าวอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลรายงานการเฝ้าระวังโรค โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ตลอดทั้งปี 2557 พบผู้ป่วยจากโรคอาหารเป็นพิษ 133,946 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 15-24 ปี จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสุงสุด 3 อันดับแรก คือ หนองบัวลำภู (647.83 ต่อแสนประชากร), หนองคาย (616.66 ต่อแสนประชากร) และอุดรธานี (592.44 ต่อแสนประชากร) ตามลำดับ
       
       ส่วนสถานการณ์ในปี 2558 นี้ ตั้งแต่วันที่ 1-19 มกราคม 2558 พบผู้ป่วยแล้ว 4,181 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 15-24 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ร้อยละ 27.5 จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 3 อันดับ อันดับแรก คือ ลําพูน (59.06 ต่อแสนประชากร) รองลงมาคือ อุดรธานี (24.08 ต่อแสนประชากร) และศรีสะเกษ (16.66 ต่อแสนประชากร) ตามลำดับ
       
        นพ.โสภณกล่าวต่อไปว่า สำหรับเมนูที่มักเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่พบได้ทุกปี มี 10 เมนู ได้แก่

1. ลาบและก้อยดิบ เช่น ลาบหมู ก้อยปลาดิบ
2. ยำกุ้งเต้น
3. ยำหอยแครง
4. ข้าวผัดโรยเนื้อปู
5. อาหารและขนมที่ราดด้วยกะทิสด
6. ขนมจีน
7. ข้าวมันไก่
8. ส้มตำ
9. สลัดผัก
10. น้ำแข็ง

โดยเฉพาะกรณีอาหารที่ทำในปริมาณมาก เช่น อาหารกล่องแจกนักเรียนหรือคณะท่องเที่ยว ในปีนี้กรมควบคุมโรคเน้นเฝ้าระวังโรคอาหารเป็นพิษที่เกิดกับนักเรียนทั้งในโรงเรียนและกรณีนักเรียนเข้าค่ายและทัศนศึกษา ซึ่งเน้นการป้องกันโดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความรู้แก่ครูในโรงเรียน และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุมโรคอาหารเป็นพิษในโรงเรียน ดังนี้ 1. จัดระบบโรงอาหารในโรงเรียน โดยการกำกับติดตามให้ผู้ประกอบการหรือนักการภารโรง ให้ดำเนินการตามมาตรฐานการสุขาภิบาลอาหาร 2. มีการตรวจรับนมที่มีคุณภาพและตรวจสอบความปลอดภัยของนมก่อน และเก็บรักษาอย่างถูกวิธี 3. อาหารบริจาค อาหารที่มาในรูปแบบของอาหารกระป๋องหรืออาหารที่ปรุงสำเร็จแล้ว ควรตรวจสอบคุณภาพก่อนที่จะนำไปรับประทาน 4. อาหารในกรณีนักเรียนเข้าค่ายหรือทัศนศึกษา ควรเลือกจากร้านอาหารที่สะอาดตามเกณฑ์มาตรฐาน Clean Food Good Taste อาหารที่ใส่กล่องไม่ควรราดบนข้าวโดยตรง ควรแยกบรรจุกับข้าวในถุงพลาสติกต่างหาก หรือเป็นอาหารประเภทแห้งๆ และควรบริโภคภายใน 4 ชั่วโมง ที่สำคัญบนกล่องบรรจุอาหาร ต้องติดป้ายแสดงสถานที่ วัน/เวลาที่ผลิต และวันเวลาที่ควรบริโภค 5. พืชพิษ อาหารเป็นพิษจากการกินเมล็ดสบู่ดำ แนะนำไม่ให้นำเมล็ดสบู่ดำมารับประทาน และ 6. การดูแลรักษาเบื้องต้น ประสานส่งต่อ และการสื่อสารความเสี่ยงเมื่อพบนักเรียนป่วยหรือเกิดเหตุการณ์ระบาดในโรงเรียน
       
        นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้ดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ อสม. เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ หากเกิดการระบาดของโรค กรมควบคุมโรคร่วมกับกรมอนามัยลงพื้นที่สอบสวนโรค หาสาเหตุและควบคุมโรค รวมถึงตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในส่วนของประชาชนทั่วไป ก่อนการรับประทานอาหารทุกครั้งขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ดังนี้ 1. กินสุกร้อน โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและปรุงเสร็จใหม่ๆ หากเป็นอาหารข้ามมื้อให้อุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อน 2. ใช้ช้อนกลาง ตักอาหารขณะกินอาหารร่วมกับผู้อื่น และ 3. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและภายหลังจากการใช้ห้องส้วม รวมถึงก่อนเตรียมนมให้เด็กทุกครั้ง ที่สำคัญประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและดื่มน้ำให้มากขึ้น
       
        นพ.โสภณกล่าวอีกว่า อาการส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษคือ มีอาการของระบบทางเดินอาหารผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระ ปวดหัว คอแห้งกระหายนํ้า อาจมีไข้ เป็นต้น สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้น ทำโดยให้สารละลายเกลือแร่โอ อาร์เอส หรือของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และให้อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำข้าว หรือแกงจืด เป็นต้น ไม่งดอาหารรวมทั้งนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสมให้ผสมเหมือนเดิม แต่ปริมาณลดลงและให้สลับกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร เมื่ออาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทันที และไม่ควรรับประทานยาเพื่อให้หยุดถ่าย เพราะจะทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกายซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2015, 08:53:10 am
“แพ้ยางธรรมชาติ” โรคใกล้ตัวเสี่ยงตายมากกว่าที่คิด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000015288-

นพ.ธนวรรธน์ เครือคล้าย
       อายุรแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก
       โรงพยาบาลเวชธานี
       
       โรคภูมิแพ้นับได้ว่าเป็นโรคที่เป็นกันมากในปัจจุบัน ทั้งแพ้อากาศ หอบหืด หรือ แม้กระทั่งส่วนประกอบของอาหารบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ เช่น กล้วย ขนุน ฯลฯ ซึ่งบางครั้งอาการแพ้อาจจะรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายแก่ชีวิต การแพ้ผลไม้นั้นเชื่อมโยงไปถึงแพ้ยางพาราธรรมชาติ หรือ เรียกว่า “ภูมิแพ้ลาเท็กซ์” นพ.ธนวรรธน์ เครือคล้าย อายุรแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงโรคดังกล่าวว่า ภูมิแพ้ลาเท็กซ์ เกิดจากการแพ้ “โปรตีนลาเท็กซ์” หรือโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งเมื่อร่างกายสัมผัสกับยางพาราธรรมชาติ ซ้ำๆบ่อยๆ ทำให้ร่างกายมีโอกาสได้สัมผัสกับโปรตีนในยางธรรมชาติผ่านทางบาดแผล หรือเยื่อบุของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายสร้างภูมิต่อยางธรรมชาติ และเมื่อร่างกายได้สัมผัสกับยางธรรมชาติอีกในภายหลังจะก่อให้เกิดปฎิกิริยาการแพ้ขึ้น เนื่องจากยางพาราเป็นพืช โปรตีนในยางจึงจะไปคล้ายกับพืชผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย อโวคาโด กีวี มันฝรั่ง มะเขือเทศ เกาลัด มะละกอ ฯลฯ ทำให้คนที่แพ้ยางธรรมชาติแพ้ผลไม้บางชนิดไปด้วยในภายหลัง
       
       “บางครั้งเราอาจคาดไม่ถึงว่าในชีวิตประจำวันนั้นเราสัมผัสกับยางธรรมชาติมากขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน รองเท้า ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย หนังสติ๊ก ลูกโป่ง รวมถึงวัสดุทางการแพทย์ ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลบางอาชีพต้องสัมผัสกับยางธรรมชาติมากเป็นพิเศษ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ช่างเสริมสวย ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงในการแพ้ยางธรรมชาติมากกว่ากลุ่มอื่น”
       
       สำหรับอาการแพ้นั้น นพ.ธนวรรธน์ กล่าวว่า มีหลายรูปแบบ เช่น การระคายเคือง เป็นผื่นลมพิษซึ่งเกิดขึ้นภายใน 10-15 นาทีหลังจากสัมผัสยางธรรมชาติ ในบางรายมีการสูดดมเอาละอองของยางธรรมชาติเข้าไป อาจทำให้เกิดอาการคล้ายหอบหืด และแพ้อากาศ หากมีอาการแพ้รุนแรงกว่านั้นคือ เกิดภาวะแพ้แบบ อนาไฟแลคซีส (Anaphylaxis) ซึ่งหมายถึงการแพ้ขั้นรุนแรง เช่น ทางผิวหนัง จะมีผื่นลมพิษหรือผื่นแดงกระจายที่ร่างกาย ตาบวม ปากบวม ระบบทางเดินหายใจอาจมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หายใจมีเสียงวี๊ด ส่วนในระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ปวดท้อง และในระบบไหลเวียนโลหิต อาจมีอาการความดันตก วูบ มึนศรีษะ หรืออาจรุนแรงมากจนถึงขั้นหมดสติ
       
       ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าแพ้ยางธรรมชาติหรือไม่นั้น นพ.ธนวรรธน์ กล่าวว่า ผู้ที่สงสัยสามารถมาพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบทางผิวหนัง โดยการหยดน้ำยาทดสอบ หลังจากนั้นจะใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดบริเวณผิวหลังที่หยดน้ำยาทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วอ่านผล หากมีอาการแพ้ผิวหนังบริเวณที่ทดสอบจะนูนแดงขึ้น หรืออีกวิธีหนึ่งคือการตรวจเลือดหาแอนติบอดีจำเพาะ (Serum specific Ig E) ที่มีปฏิกริยาต่อยางธรรมชาติ
       
       นพ.ธนวรรธน์ กล่าวถึงการดูแลรักษาว่า ผู้ป่วยที่แพ้รุนแรงมีอาการหลายระบบ ทุกรายต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ผู้ป่วยที่มาด้วยอาการแพ้ผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย จำเป็นจะต้องนึกถึงการแพ้ยางธรรมชาติด้วย ในขณะผู้ป่วยกลุ่มที่มาด้วยอาการแพ้ยางธรรมชาติก็ต้องเฝ้าระวังการแพ้ข้ามกลุ่มยังผลไม้บางชนิด แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากยางพาราธรรมชาติ เช่น หนังยางรัดผม รองเท้าแตะ สายนาฬิกา ถุงยางอนามัย เป็นต้น นอกจากนั้น ในด้านผู้ป่วยที่แพ้ยางธรรมชาติหากมีเหตุเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องแจ้งแก่แพทย์และพยาบาลทุกครั้งถึงอาการแพ้ เพื่อป้องกันการใช้ผลิตภัณฑ์และวัสดุในการรักษาที่ทำมาจากยางธรรมชาติ เนื่องจากในโรงพยาบาลมักจะเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มียางเป็นส่วนประกอบ เช่น ถุงมือตรวจโรค จุกปิดขวดยาฉีด สายสวนปัสสาวะ เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ ในปัจจุบันการแพ้ยางพาราธรรมชาติ ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำมาจากยางธรรมชาติ รวมไปถึงต้องระมัดระวังการรับประทานผลไม้บางชนิด


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2015, 05:18:37 am
พฤติกรรมทำลายสมอง


-http://guru.sanook.com/9501/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87/-



 ใครที่กำลังอยู่ในภาวะสมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน
1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้
2.กินอาหารมากเกินไป การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4.ทานของหวานมากเกินไป มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง
5.การอดนอน คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน
6.มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ
7.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ
8.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร
9.นอนคลุมโปง เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
สมองนับเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญของเรา อย่าลืมใส่ใจและรักษาสุขภาพสมองของตัวเองให้ดี

ข้อมูลจาก : สาระน่ารู้ดีดี

รูปภาพจาก : sirikwanmay.wordpress.com



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2015, 02:17:31 pm
เตือน 5 โรคสำคัญที่มักพบบ่อยในฤดูร้อน

-http://club.sanook.com/75795/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-5-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%9A/-


กรมควบคุมโรค ออกประกาศเตือน 5 โรคสำคัญที่มักพบบ่อยในฤดูร้อน พร้อมเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า โรคลมแดด และการป้องกันเด็กจมน้ำ

โรคหน้าร้อน

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งอากาศที่ร้อนเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้มีโอกาสเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ กรมควบคุมโรคจึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเจ็บป่วยจากโรคที่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ตามประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่เกิดในช่วงฤดูร้อน ซึ่งประกอบด้วย 5 โรคสำคัญ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อยหรือไข้ไทฟอยด์

นอกจากนี้ยังมีโรคพิษสุนัขบ้า โรคลมแดด และการป้องกันเด็กจมน้ำ ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ต้นปี 2558 มีรายงานผู้ป่วยทั้ง 5 โรค รวม 197,504 ราย เสียชีวิต 2 ราย โรคที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง 175,270 ราย เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่พบมากสุด คือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ร้อยละ 11.48 และอายุ 15-24 ปี ร้อยละ 11.15 รองลงมา คือ โรคอาหารเป็นพิษ 21,682 ราย โรคบิด 334 ราย ไข้รากสาดน้อยหรือไข้ไทฟอยด์ 217 ราย และโรคอหิวาตกโรค 1 ราย ตามลำดับ

นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในช่วงฤดูร้อนปีนี้ กรมควบคุมโรคได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนให้ระวังโรคจากภัยสุขภาพ โดยส่งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 แห่ง พร้อมเตรียมภารกิจในการดูแลประชาชนในพื้นที่ประสบกับภาวะแล้ง ได้แก่
1.การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของโรคในพื้นที่
2.การควบคุมโรคในกรณีถ้ามีการระบาดของโรคติดต่อ กรมควบคุมโรคมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว(SRRT) เข้าไปดำเนินการสอบสวน ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่
3.การสื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์ความรู้แก่ประชาชน

โดยเน้นประชาชนใน 3 กลุ่มเสี่ยง คือ 1.กลุ่มเด็กที่มีอายุตํ่ากว่า 5 ปี 2.กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และ 3.กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น

สำหรับการป้องกันตนเอง ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ คือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ประกอบด้วย 1.กินร้อน โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและปรุงเสร็จใหม่ๆ หากเป็นอาหารค้างมื้อ อุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อนรับประทาน 2.ใช้ช้อนกลาง ตักอาหารขณะกินอาหารร่วมวงกับผู้อื่น 3.ล้างมือ ด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง หลังจากใช้ห้องส้วม ก่อนปรุงและรับประทานอาหาร รวมถึงก่อนเตรียมนมให้เด็กทุกครั้ง นอกจากนี้ควรดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก กำจัดขยะมูลฝอย เศษอาหาร และสิ่งปฏิกูลรอบๆบ้านทุกวัน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน และถ่ายอุจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกครั้ง เพื่อไม่ให้แพร่โรค

นายแพทย์โสภณ กล่าวอีกว่า ส่วนโรคที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคพิษสุนัขบ้า โรคลมแดด และการป้องกันเด็กจมน้ำ ซึ่งจากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้าในปี 2557 มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสเรบี่ส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทุกปี มีพาหะหลักจากสุนัข และแมว ซึ่งอาจติดโรคจากการกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผล ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วตายทุกราย ไม่มียารักษา แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการนำสุนัขทุกตัวไปรับการฉีดวัคซีน และลดความเสี่ยงจากการถูกสุนัขกัดหรือโดนทำร้าย โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ 5ย ได้แก่ “ อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง ” มีรายละเอียด ดังนี้ อย่าแหย่ให้สุนัขโมโห อย่าเหยียบสุนัข (หาง,ตัว,ขา) หรือทำให้สุนัขตกใจ อย่าแยก สุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า อย่าหยิบชามอาหารขณะสุนัขกำลังกิน และอย่ายุ่งกับสุนัขนอกบ้านหรือที่ไม่ทราบประวัติ หากถูกสุนัขกัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น เบตาดีน รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจนครบตามที่แพทย์แนะนำ ต้องจำสัตว์ที่กัดให้ได้เพื่อสืบหาเจ้าของและสอบถามประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ติดตามดูอาการสุนัข 10 วัน และถ้าพบสุนัขนั้นตายก่อน 10 วัน และมีประวัติกัดคนหรือสัตว์อื่น ควรนำหัวส่งตรวจโดยประสานกับเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์พื้นที่ใกล้บ้าน

ส่วนโรคลมแดด เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่พบเบื้องต้น ได้แก่ อ่อนเพลีย หน้ามืด เป็นลม หากรุนแรงอาจมีอาการตัวร้อนจัด คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นต้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ บุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดโรคลมแดด ได้แก่ ทหารที่เข้ารับการฝึกโดยไม่เตรียมร่างกายให้พร้อมต่อสภาพอากาศร้อน นักกีฬาสมัครเล่น ผู้ที่ทำงานในอากาศร้อนชื้น รวมถึงผู้สูงอายุ เด็ก คนอดนอน คนดื่มสุราจัด และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ส่วนวิธีป้องกัน ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้าน หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้ทำงานในร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว สวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา และระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ควรให้การดูแลเด็ก และผู้สูงอายุเป็นพิเศษ

“สุดท้ายเรื่องการป้องกันเด็กจมน้ำ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันในช่วงฤดูร้อน เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมของเด็ก โดยพบว่าในกลุ่มเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในทุกสาเหตุทั้งโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ซึ่งตลอดปี 2557 มีเด็กเสียชีวิต 807 คน หรือ 7.1 คนต่อประชากรเด็กแสนคน ซึ่งมาตรการที่ต้องยึดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คือ“ตะโกน โยน ยื่น” ได้แก่ 1.ตะโกน คือ การเรียกให้ผู้ใหญ่มาช่วยและโทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ 1669 2.โยนอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น เชือก ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า โดยโยนครั้งละหลายๆชิ้น 3.ยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ เสื้อ ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ โดยไม่ต้องกระโดดลงไปช่วย เพราะจากข้อมูลพบว่าเด็กมักจะจมน้ำเสียชีวิตพร้อมกันครั้งละหลายๆ คน เนื่องจากเด็กไม่รู้วิธีการเอาชีวิตรอดในน้ำและวิธีการช่วยเหลือผู้อื่นที่ถูกต้อง นอกจากนี้ หน่วยงานในท้องถิ่น/ผู้นำชุมชน ควรจัดการสิ่งแวดล้อมในบริเวณแหล่งน้ำที่มีความเสี่ยง เช่น จัดหาอุปกรณ์ลอยน้ำ แกลลอนพลาสติก ไม้ เชือก สร้างรั้ว ทำป้ายเตือน และสถานบริการสาธารณสุขมีการให้ความรู้ในเรื่องนี้เช่นเดียวกับการให้วัคซีนแก่เด็ก หากสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422” นายแพทย์โสภณ กล่าวปิดท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก :: สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 09, 2015, 06:26:05 am
กินดี ช่วยต้านหวัด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000052617-

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เดี๋ยวก็ร้อนจัด เดี๋ยวก็ฝนตก ทำให้หลายๆ คนเกิดอาการเป็นหวัดขึ้นมาได้ คราวนี้ต่างคนต่างก็ต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ป่วยไข้ พยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงที่สุดเพื่อเป็นปราการป้องกันไม่ให้ไข้หวัดมารุกราน และการดูแลร่างกายด้วยการกินอาหารที่ "108 เคล็ดกิน" นำมาฝากก็เป็นอีกทางหนึ่งช่วยป้องกันโรคหวัดได้เช่นกัน
       
       สำหรับอาหารต้านหวัดนั้นก็คือ "วิตามินซี" ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเรา ไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายดายนัก วิตามินซีนั้นพบในผลไม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะขาม ซึ่งให้วิตามินซีสูง แล้วยังซื้อหาได้ง่ายอีกด้วย แล้วก็ยังมีผักที่มีวิตามินสูงอีกด้วย เช่น ดอกขี้เหล็ก มะรุม พริกหวาน สะเดา พริกหนุ่ม บร็อกโคลี่ ผักหวาน ผักคะน้า ผักกาดเขียว มะระ (ยอดอ่อน) เป็นต้น
       
       "สมุนไพรรสร้อน" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันหวัด ได้แก่ พริกไทย ขิง กะเพรา กระชาย กานพลู อบเชย หอมแดง เป็นต้น ถ้าจะให้แนะนำเมนูอาหารรสร้อนก็เช่น แกงป่า แกงเลียง ต้มแซ่บ ต้มโคล้ง ซึ่งทั้งอร่อยและยังทำให้ร่างกายอบอุ่น
       
       และสำหรับคนที่เริ่มมีอาการหวัด "ซุปไก่ตุ๋นร้อนๆ" จะช่วยลดน้ำมูก ลดอาการไอ ลดอาการคัดจมูก ทำให้หายใจคล่องขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการอักเสบจากการติดเชื้อได้ แล้วก็ควรดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพราะน้ำช่วยให้ทางเดินหายใจและทางเดินอาหารชุ่มชื้น ทำให้เสมหะถูกขับออกง่าย
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 10, 2015, 10:44:08 am
ปัญหาการนอนกรน

26 พ.ย. 56 05.25 น.

-http://guru.sanook.com/26744/-

การนอนกรนถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ หากทางเดินหายใจโล่งดีไม่ควรมีเสียงกรนเกิดขึ้น
แต่อันตรายของการกรนจะมากหรือน้อย ขึ้นกับว่าสุขภาพของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร และมีการหยุดหายใจ (Apnea) ร่วมด้วยหรือไม่
ดังนั้นเราจึงอาจแบ่งการนอนกรนได้เป็น ๒ ชนิดคือ

กรนธรรมดา (Habitual Snoring)

อาจเรียกว่า “กรนรำคาญ” ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ไม่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย
อันตรายของการกรนจึงเกิดจากการสร้างความรำคาญให้แก่คนข้างเคียง
จนในบางรายอาจถึงขั้นมีปัญหากับคู่สมรส ต้องแยกห้องนอน

กรนที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea)

เป็นชนิดที่มีอันตราย เนื่องจากในช่วงที่หยุดหายใจ ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในกระแสเลือดจะลดลงเป็นช่วงๆ ก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น นอนไม่อิ่ม สะดุ้งตื่นบ่อยๆ ปวดศีรษะช่วงเช้า ง่วงนอนในตอนกลางวัน เผลอหลับในบ่อยๆ สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย และจากการศึกษาในปัจจุบันยังพบว่าผู้ที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วยในระดับรุนแรงจะมีอัตราการตายสูงกว่าประชากรทั่วไป และเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆที่สำคัญได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต


การรักษา

ขึ้นกับชนิดของการนอนกรน และระดับความรุนแรง
โดยถ้ามีการหยุดหายใจร่วมด้วย ไม่ควรปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจแบ่งการรักษาออกได้เป็น

1. การรักษาทั่วไป หลีกเลี่ยงสาเหตุเสริมต่างๆ ทำได้โดย ลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, ปรับการนอน ไม่นอนหงาย, งดดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์, หลีกเลี่ยงยาบางประเภท รวมทั้งรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ภูมิแพ้ โรคในโพรงจมูก ซึ่งต้องรักษาก่อนที่จะไปรักษาโดยใช้วิธีอื่น

2. การรักษาโดยใช้เครื่องเพิ่มความดันของอากาศในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งจะทำให้ช่องทางเดินหายใจถ่างกว้างออกจึงไม่เกิดเสียงขณะหายใจ และไม่เกิดการหยุดหายใจเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า Nasal CPAP (continuous positive airway pressure) การรักษาโดยใช้ Nasal CPAP นี้ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกรายหากผู้ป่วยสามารถทนใช้เครื่องได้ แต่ผู้ป่วยบางส่วนไม่สามารถทนใช้เครื่องได้เนื่องจากรู้สึกรำคาญที่ต้องใช้เครื่องขณะนอนหลับ

3. การผ่าตัด มีหลายวิธีขึ้นกับระดับความรุนแรง ความพอใจของผู้ป่วยแต่ละราย รวมทั้งความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา ตัวอย่างของการผ่าตัดได้แก่
- การผ่าตัดบริเวณต่อมทอนซิลและลิ้นไก่ เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้นและการสั่นสะเทือนขณะหลับน้อยลงจึงลดเสียงกรนและลดการหยุดหายใจที่เกิดจากอุดกั้นของทางเดินหายใจ
- การใช้คลื่นความถี่สูง เพื่อลดขนาดของเนื้อเยื่อบริเวณ เพดานอ่อน, ลิ้นไก่, โคนลิ้น, ต่อมทอนซิล และทำให้เนื้อเยื่อกระชับขึ้น
- การผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นสาเหตุของการกรนและการอุดกั้นทางเดินหายใจ แต่ควรพิจารณาเฉพาะในรายที่อ้วนมากๆเท่านั้น
- การผ่าตัดยืดขากรรไกรและแก้ไขโครงสร้างของใบหน้า ได้ประโยชน์ในรายที่การกรนเกิดจากโครงสร้างของใบหน้าผิดปกติ
- การเจาะคอ ใช้ในรายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นแล้ว โดยเฉพาะในรายที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจรุนแรงและไม่สามารถใช้ Nasal CPAP ได้


ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 06, 2015, 07:31:02 am
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการระบาด”ไวรัสเมอร์ส”

-http://ch3.sanook.com/51511/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2-2-

ข้อสังเกตเกี่ยวกับการระบาด”ไวรัสเมอร์ส” นาทีที่ 2.58

1.คนติดเชื้อ (ทั้งในตะวันออกกลางและเอเชีย) ไม่ใช่คนที่เดินตามท้องถนน ส่วนใหญ่ติดจากโรงพยาบาล อย่างน้อย 25 เคส ในเกาหลีใต้เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือ ใกล้ชิดกับชายที่ติดเชื้อคนแรก ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

2.ยังไม่มีข้อสรุปว่า ไวรัสแพร่กระจายได้อย่างไร แพร่มาทางอากาศหรือไม่ (ถ้าแพร่ทางอากาศได้ มันจะอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศได้เป็นชั่วโมง) หรือไวรัสติดอยู่ตามผ้าปูเตียงหรือสิ่งของที่ผู้ป่วยใช้

3.การแพร่ระบาดในเกาหลีใต้ (ถ้าไม่นับในซาอุฯ) มีลักษณะต่างจากประเทศอื่น เพราะกระจายไปเยอะกว่า จริง ๆ แล้วมีหลายประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือในยุโรป เช่น เนเธอแลนด์ แต่ประเทศเหล่านั้นไม่มีการแพร่กระจาย ติดกันอยู่แค่คนสองคน

ก่อนหน้าที่จะมีเคสเกาหลีใต้ มีความเชื่อว่าเมอร์ส ติดไม่ง่าย เพราะจะติดหรือส่งผลต่อระบบหายใจส่วนล่างของมนุษย์ซึ่งยากมากที่จะแพร่เชื้อไปสู่คนต่อไป แต่กรณีเกาหลีใต้ไม่เป็นเช่นนั้น

4.ยังมีข้อมูลหรือความรู้ไม่มากว่าไวรัสตัวนี้กลายพันธุ์ได้หรือไม่ ( แต่เป็นเรื่องปกติที่ไวรัสจะกลายพันุธ์) สำหรับ เคสเกาหลีใต้ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังมุ่งศึกษาตรงนี้ ที่อยากรู้คือ Genetic Order หรือการเรียงลำดับของยีนของเจ้าตัวที่แพร่ในเกาหลีใต้ ว่ามันมีหน้าตาอย่างไร ซึ่งตอนนี้เกาหลีใต้ได้ส่งตัวอย่างให้ห้องแลป ที่เนเธอแลนด์แล้ว

ลักษณะของการระบาดในเกาหลีใต้ เรียกว่า Super Spreading Event ซึ่งต่างจากการระบาดของประเทศอื่น ( ยกเว้นชาอุดิอาระเบีย)

วิธีป้องกันที่คนเกาหลีใต้กำลังรณรงค์กันอยู่ ได้แก่

1.หากมีอาการเหล่านี้ ให้ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อไวรัสเมอร์ส คือ ไข้สูงเกิน 38 องศา ไอ หายใจติดขัด

2.ขณะไอหรือจาม ควรใช้กระดาษชำระหรือผ้าเช็ดหน้า

3.ควรล้างมือบ่อย ๆ

4.ไม่ควรใกล้ชิดกับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเมอร์ส

5.พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ต่างๆ เช่น อูฐ ค้างคาว แพะ

6.ไม่ควรดื่มนมอูฐที่ยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ และ หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้ออูฐที่ปรุงไม่สุก

ขณะที่ สำนักข่าวที่ประเทศเกาหลี ก็ได้ออกคำแนะนำ ด้านการรับประทานอาหาร ที่จะสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเมอร์สโดยควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ปลา นม และเต้าหู้ นอกจากนี้ อาหารที่เป็นที่นิยม อย่างกิมจิและถั่วนัตโตะ ก็ได้รับการแนะนำว่าควรทานด้วย รวมถึงยังควรเน้นทานผัก ผลไม้ เพื่อเสริมสร้างวิตามิน

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 20, 2015, 11:08:48 am
ไวรัสเมอร์ส อาการแบบนี้ต้องสงสัย ป่วยแล้วรีบไปโรงพยาบาล

-http://health.kapook.com/view121897.html-

     ไวรัสเมอร์ส อาการแสดงของโรคมีอะไรบ้าง ที่ทำให้เราต้องฉุกคิดว่าอาจจะป่วย พร้อมวิธีป้องกันเบื้องต้น ก่อนโรคไวรัสเมอร์สจะคร่าชีวิต

          ไวรัสเมอร์สดูเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิดเมื่อพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทยแล้ว แม้กระทรวงสาธารณสุขจะออกมายืนยันว่าไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตระหนก เพราะพบผู้ป่วยได้เร็วและขณะนี้ยังไม่มีการระบาดในประเทศไทย แต่เราทุกคนจะเพิกเฉยเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องรู้ว่า ไวรัสเมอร์ส คืออะไร โดยเฉพาะอาการที่ต้องสงสัยเข้าข่ายไวรัสเมอร์ส เพราะหากพบเจอขึ้นมาจะได้รักษาทัน


 ไวรัสเมอร์ส อาการเด่น ๆ มีอะไรบ้าง

          1. มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดทั่วไป หรือไข้หวัดใหญ่

          2. มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส

          3. มีอาการไอ หอบ หายใจลำบากตามความรุนแรงของภาวะขาดออกซิเจน

          4. ผู้ป่วยประมาณ 30-40% จะมีอาการท้องเสีย มวนท้อง คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการเด่นชัดที่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา

          5. มีอาการปอดบวม

          หากใครมีอาการในลักษณะนี้มากกว่า 2 ข้อขึ้นไป และมีประวัติเดินทางมาจากประเทศในตะวันออกกลาง หรือเคยสัมผัส อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เดินทางมาจากตะวันออกกลาง ขอให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที เพราะโรงพยาบาลมีเครื่องมือในการตรวจสอบได้ดีกว่าคลินิก ซึ่งถ้าใครไปช้าจนมีอาการรุนแรงแล้ว อาจเสียชีวิตได้จากอาการปอดอักเสบรุนแรง หรือไตวาย

 ไวรัสเมอร์ส ป้องกันเบื้องต้นอย่างไรดี

          การป้องกันไวรัสเมอร์สก็ไม่ต่างจากอาการไข้หวัดทั่วไป นั่นก็คือการดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง และมีสุขอนามัยที่ดี อย่างเช่น
 
          1. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อย ๆ หากไม่มีสบู่สามารถใช้เจลล้างมือได้

          2. หากมีอาการไอหรือจาม ให้ใช้ทิชชูหรือผ้า ปิดจมูกและปาก จากนั้นนำทิชชูทิ้งขยะ

          3. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสดวงตา จมูก และปาก หากยังไม่ได้ล้างมือ

          4. หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ อาทิ จูบ หรือการมีสัมพันธ์ร่วมกันกับคนที่มีอาการป่วย

          5. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบริเวณที่ต้องมีการสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ประตู หรือโทรศัพท์

          6. ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และใช้ช้อนกลาง

          7. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมาก

          8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง

          9. ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัด หรือมีอาการปอดบวม

           10. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค ควรดูแลสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่เลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ เช่น ฟาร์ม ตลาด เป็นต้น

         11. หากเดินทางกลับจากประเทศแล้วมีอาการไข้และไอเกิน 2 วัน ขอให้รีบเดินทางมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที และแจ้งประวัติการเดินทางต่อแพทย์ด้วย


          อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับโรคไวรัสเมอร์ส แม้จะเป็นโรคที่ยังไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะต่อเชื้อนี้ในการรักษา แต่ถ้าหากป่วยแล้วรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ก็สามารถรักษาตามอาการแบบประคับประคองจนกว่าการอักเสบในระบบทางเดินหายใจจะลดน้อยลงจนหายเป็นปกติได้


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 20, 2015, 08:02:47 pm
อย.แนะรับมือ "ยุงลาย" ภัยร้ายหน้าฝน

-http://health.sanook.com/659/-

 ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ในฐานะโฆษก อย. เปิดเผยว่า ขณะนี้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝน เป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยวิธีเบื้องต้นที่จะป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออก ต้องระมัดระวังไม่ให้โดนยุงกัด ซึ่งหนึ่งในวิธีป้องกันอย่างง่าย คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุง ซึ่งนิยมใช้รูปแบบทาและฉีดพ่นผิวหนัง ออกฤทธิ์โดยการไปรบกวนกลไกการรับรู้กลิ่นของยุง จึงสามารถใช้ในการไล่ยุงแต่ไม่สามารถฆ่ายุงได้

(http://p2.s1sf.com/he/0/ud/0/659/2.jpg)

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.ebay.com/gds/Don-t-Let-Mosquitoes-Bug-You-This-Summer-/10000000205249210/g.html?roken2=ti.pU3RlcGhhbmllIFJvc2U= (http://www.ebay.com/gds/Don-t-Let-Mosquitoes-Bug-You-This-Summer-/10000000205249210/g.html?roken2=ti.pU3RlcGhhbmllIFJvc2U=)


          ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการไล่ยุง จัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านหรือทางสาธารณสุข ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ซึ่งวิธีการเลือกซื้อแตกต่างกันตามชนิดของสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ ดังนี้ ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มีสาร DEET ,Icaridin ,Elthyl butylacetyl aminopropionate ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.

          ดังนั้นควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ฉลากมีการแสดงเลขทะเบียน อย.วอส. ในกรอบเครื่องหมาย อย. และ แสดงระยะเวลาในการป้องกันยุง ส่วนผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มีน้ำมันตะไคร้หอม หรือ citronella oil เป็นสารออกฤทธิ์ในการไล่ยุง ไม่ต้องขอขึ้นทะเบียน แต่ต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่อ อย. จึงควรเลือกซื้อที่มีการแสดงเลขที่รับแจ้งบนฉลาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพควรมีฤทธิ์ในการไล่ยุงลายบ้านได้ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง

          การใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุง เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ยุงกัด แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ควรเก็บในที่มิดชิดห่างจากเด็ก อาหาร และ สัตว์เลี้ยง ปิดฝาให้สนิทและอย่าให้ถูกแสงแดด เปลวไฟ หรือ ความร้อน ห้ามใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี (ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์) สำหรับผลิตภัณฑ์ไล่ยุงประเภทแป้งหรือโลชั่น ห้ามนำไปทาแทนแป้งหรือโลชั่นทั่วไป ควรใช้เฉพาะจำเป็น อย่าใช้ติดต่อกันเป็นประจำ

เนื้อหาโดย : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 07, 2015, 09:47:03 pm
อย. เตือน! ชาสมุนไพร ไม่ใช่ยา รักษาโรคไม่ได้

-http://health.sanook.com/691/-




กรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อ เกี่ยวกับชาสมุนไพร ที่อ้างว่าใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน อย. มีความห่วงใย ขอเตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณรักษาโรค เนื่องจาก ชาสมุนไพร จัดเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา จึงไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรค แนะผู้บริโภคเลือกซื้อชา สมุนไพรที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนด และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชา สมุนไพรที่ฉลากระบุเครื่องหมาย อย. พร้อมเลขทะเบียนในกรอบ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณี ที่มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อ เกี่ยวกับชาสมุนไพร โฆษณาอ้างสรรพคุณว่าสามารถบรรเทาอาการของ โรคสะเก็ดเงินได้นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแล ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอเตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ คำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรค ได้ เนื่องจากชาสมุนไพร จัดเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา จึง ไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคชาสมุนไพร จัดเป็นอาหารกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 280) พ.ศ. 2547 เรื่อง ชาสมุนไพร ซึ่งกำหนดไว้ว่า สถานที่ผลิตหรือนำเข้า ต้องปฏิบัติตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 193) พ.ศ. 2543 เรื่องวิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ใน การผลิตและเก็บรักษาอาหารในส่วนของผลิตภัณฑ์ จะต้องผลิตจากส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ระบุไว้ใน บัญชีแนบท้ายประกาศฯ เรื่อง ชาสมุนไพร หรือตามรายชื่อที่ อย. ประกาศเพิ่มเติมเท่านั้น และ อนุญาตให้นำพืชสมุนไพรมาผ่านกรรมวิธีอย่างง่าย เฉพาะการทำแห้งและลดขนาดให้เล็กลงด้วยการ ตัด สับ หรือบดเท่านั้น เพื่อจุดมุ่งหมายในการบริโภคโดยการต้มหรือชงกับน้ำเท่านั้น ต้องไม่มี จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ไม่มีสารเป็นพิษจากจุลินทรีย์ สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช สารปนเปื้อน หรือสารพิษชนิดอื่นในปริมาณที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่มียาแผนปัจจุบันหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อ จิตและประสาทหรือยาเสพติดให้โทษ การแสดงฉลากต้องมีข้อความภาษาไทย แสดงชื่อผลิตภัณฑ์ เลขสารบบอาหาร (อย.) ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้แบ่งบรรจุ/นำเข้า น้ำหนักสุทธิ ส่วนประกอบที่ สำคัญเป็นร้อยละของน้ำหนัก วันเดือนปีที่หมดอายุ หรือ วันเดือนปีที่อาหารยังมีคุณภาพ ข้อมูล สำหรับผู้แพ้อาหาร เป็นต้น และการโฆษณาผลิตภัณฑ์ ถ้าเผยแพร่เฉพาะท้องถิ่นหรือจังหวัด สามารถ ยื่นขออนุญาตได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด แต่หากเป็นการเผยแพร่ทั่วประเทศ จำเป็นต้องขอ อนุญาตต่อ อย. และต้องไม่มีการอ้างสรรพคุณในการบำบัด บรรเทารักษาหรือป้องกันโรค และไม่ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือหลอกลวงผู้บริโภค สำหรับโรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ การรักษาจึงต้องมีการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ชาสมุนไพรไม่ สามารถช่วยให้หายจากโรคได้รองเลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพร ด้วย การ อ่านฉลากอาหาร ก่อนซื้อควรสังเกตวันที่ผลิต วันที่ควรบริโภคก่อน สภาพภายนอกของ บรรจุภัณฑ์ต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยบุบหรือฉีกขาด มีการเก็บรักษาในสภาพที่เหมาะสม และอย่า หลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างว่าสามารถให้ผลในการบำบัด บรรเทารักษาหรือป้องกันโรค หากผู้บริโภคพบ เห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค ขอให้ร้องเรียนมา ได้ที่สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือ ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือผ่าน Oryor Smart Application หรือ สำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อ อย. จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดต่อไป

******* กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค 18 มิถุนายน 2558 ข่าวแจก 76 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 โทร 0 2590 7117 , 7123โทรสาร 0 2591 8474 http://www.fda.moph.go.th (http://www.fda.moph.go.th)

แหล่งข่าวโดย » สำนักสารนิเทศ

เนื้อหาโดย : Sanook!

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2015, 05:04:47 pm
โรคไข้สมองอักเสบเจอี มันมาพร้อมหน้าฝน !
โพสต์เมื่อ : 24 มิถุนายน 2558 เวลา 16:54:21
โรคไข้สมองอักเสบเจอี

-http://baby.kapook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81-122362.html-


          โรคไข้สมองอักเสบเจอี มีพาหะสำคัญคือ ยุงรำคาญ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และระบาดในช่วงฤดูฝน เกิดได้ทุกเพศทุกวัย พบมากที่สุดในเด็กช่วงอายุ 5 - 9 ขวบ วันนี้กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้เรื่อง โรคไข้สมองอักเสบเจอี มาฝากกัน และเพื่อความปลอดภัยควรพาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนในเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ขวบ ขึ้นไป อ่านวิธีป้องกันเบื้องต้นจากนิตยสารบันทึกคุณแม่ กันเลยค่ะ ...

          จะว่าไปเผลอแป๊ปเดียวก็เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนหน้าที่บ่นว่าร้อน ๆ ตอนนี้ก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับสวยเผ่นแล้วสินะ !!! ความพร้อมอย่างแรก ต้องบอกว่าอย่าลืมพกร่ม หรือชุดกันฝนเวลาออกจากบ้าน เพราะอากาศบ้านเราเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ร่างกายก็จะกลายเป็น 3 วันดี 4 วันไข้ อย่าว่าแต่เด็ก ๆ จะเจ็บป่วยได้ง่ายเลย ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เองก็เจ็บป่วยได้ง่ายไม่ต่างกัน

          โดยเฉพาะ "โรคไข้สมองอักเสบเจอี" ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Japanese encephalitis (JE) เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันได้พบโรคนี้ในประเทศแถบเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และตอนบนของทวีปออสเตรเลีย ส่วนประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค แต่จะพบมากที่สุดคือ ภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ที่การเลี้ยงสัตว์ตามไร่นาที่มีการเลี้ยงสุกร

          สุกรเป็นรังของโรคไข้สมองอักเสบเจอี ซึ่งจะระบาดในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน และยังเป็นที่มีเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี

          "โรคไข้สมองอักเสบเจอี" เกิดได้ทุกเพศทุกวัย และพบมากที่สุดในเด็กช่วงอายุ 5 - 9 ขวบ เป็นโรคที่มียุงรำคาญเป็นพาหะ และสุกรเป็นรังโรค เมื่อยุงไปกัดสุกรที่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ไวรัสจะเพิ่มจำนวนในต่อมน้ำลายยุง และถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดขณะกัดคน ต่อมาเมื่อยุงไปกัดคนที่ไม่มีภูมิต้านทานโรค เชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้าสู่ร่างกาย โดยการระบาดของโรคมักเกิดกับสุกรก่อนที่จะมาสู่คน ซึ่งเชื้อเจอียังอาศัยอยู่ในสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง เช่น แพะ แกะ ลา หนู นก ค้างคาว ไก่ เป็ด เป็นต้น โดยไม่ทำให้สัตว์มีอาการผิดปกติ และมีระยะฟักตัว 1-2 สัปดาห์หลังถูกยุงกัด

          อาการของโรค... เมื่อได้รับเชื้อจะไม่แสดงอาการใด ๆ มีเพียง 1 ใน 300 คนเท่านั้นที่จะแสดงอาการ และหากมีอาการทางสมองแล้วจะมีโอกาสเสียชีวิต 10-20% หรือถ้าไม่เสียชีวิต เมื่อหายแล้ว 60% จะมีอาการทางสมอง และระบบประสาท เช่น อัมพาต ความจำเสื่อม โรคนี้รุนแรงที่สุดในบรรดาโรคไข้สมองอักเสบ ที่เกิดจากไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ เพราะไม่มียารักษา แต่ป้องกันได้โดยฉีดวัคซีน

          โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย และคอแข็ง ปวดศีรษะมากขึ้น คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ตาพร่า กล้ามเนื้อกระดูก เป็นบางส่วน มือเท้าเกร็ง บางรายเป็นอัมพาตที่กล้ามเนื้อลูกตา หรือกล้ามเนื้อแขนขา ซึมในระยะ 24 - 48  ชั่วโมง ในรายที่เป็นรุนแรงจะไม่รู้สึกตัว และทำให้เสียชีวิตได้ ในระยะ 4 - 7 สัปดาห์ ในส่วนของการรักษาแพทย์จะรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้ยาลดไข้ ให้อาหารทางสายยาง ให้ยากันชัก ผลของการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

          สิ่งสำคัญ และจำเป็นที่สุดสำหรับ "โรคไข้สมองอักเสบเจอี" จึงเป็นเรื่องการป้องกันไม่ให้ยุงกัด เลี่ยงในการสัมผัสกับโรค กำจัดยุง และแหล่งเพาะพันธุ์ยุงภายในบ้าน และบริเวณรอบบ้านให้หมดไป ตลอดจนหากต้องเดินทางไปพักค้างคืนนอกบ้านด้วยแล้วล่ะก็ ต้องเตรียมยากันยุงกัด รวมถึงไม่ควรนอนพักใกล้แหล่งรังโรค อย่างเช่นมีการเลี้ยงสุกรใกล้ ๆ ด้วย

          โรคไข้สมองอักเสเจอี เป็นโรคที่รักษายาก หรืออีกนัยหนึ่งคือเมื่อรักษาโรคหายแล้ว ใช่ว่าผลกระทบของอาการโรคที่เกิดขึ้นจะหมดตามไปด้วย เพราะในบางรายเมื่อหายจากโรคนี้แล้ว 60% จะมีอาการทางสมอง และระบบประสาท เช่น อัมพาต ความจำเสื่อม ดังนั้นพ่อแม่นอกจากจะระมัดระวังลูกน้อยเป็นอย่างดีแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังในส่วนของตนเองด้วย เบื้องต้นควรพาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนในเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ขวบ และฉีดวัคซีนสำหรับผู้ต้องเดินทางไปในพื้นที่ระบาดตั้งแต่ 30 วันขึ้นไปด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้เป็นดีที่สุดนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.mothersdigest.in.th/-
http://www.mothersdigest.in.th/ (http://www.mothersdigest.in.th/)
Vol.22 Issue 263 มิถุนายน 2558
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 02, 2015, 09:08:35 am
หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมภาวะเสี่ยงในวัยทำงาน

-http://health.sanook.com/885/-



อธิบดีกรมการแพทย์เผยกลุ่มคนวัยทำงานเสี่ยงเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมสูง ชี้สาเหตุมาจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม อายุที่เพิ่มมากขึ้น แนะปรับเปลี่ยนอิริยาบถของร่างกายหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคดังกล่าวได้

นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม เกิดจากสาเหตุสำคัญ คือ การสึกหรอตามอายุการใช้งาน เช่น การทำกิจกรรมซ้ำๆเป็นเวลานาน โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ การยกของหนัก และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ซึ่งมีผลทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงบริเวณหมอนรองกระดูกน้อยลง นอกจากนี้วัยที่สูงขึ้นทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังซึ่งทำหน้าที่รับน้ำหนักตัว มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ซึ่งจากการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังทำให้เกิดการทรุดตัวของโครงสร้างกระดูกสันหลัง ร่างกายจะมีการตอบสนองโดยการสร้างกระดูกงอกหรือหินปูนขึ้นมาเพื่อต้านการทรุดตัวดังกล่าว กระดูกงอกที่ร่างกายสร้างขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่บางรายเกิดกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปตามเส้นประสาท ทำให้ปวดขา ชาขา ผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังเสื่อมและทรุดพบว่าถ้ามีการทรุดตัวมากขึ้นจะทำให้เกิดกระดูกสันหลังคด หรือบางรายอาจทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน

อาการแสดงที่พบบ่อย คือ ปวดหลัง เป็นๆ หายๆ เป็นเวลานาน มีอาการปวดขาตั้งแต่บริเวณสะโพกร้าวไปบริเวณน่อง เท้า ซึ่งจะปวดมากเวลาเดิน ทำให้เดินได้ไม่ไกล ต้องหยุดเดินเป็นระยะๆ อาการปวดหลังร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ถือเป็นอาการเด่นของโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ถ้าทิ้งไว้นาน เส้นประสาทจะทำงานได้น้อยลง อาการชาและอ่อนแรงของขาซีกนั้นจะเริ่มเด่นชัดขึ้น ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหลังและร้าวลงขา ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษา ส่วนใหญ่โรคนี้สามารถรักษาหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ ร่วมกับให้ยาลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบๆ เส้นประสาทหรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ชารอบก้น อั้นอุจจาระและปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้น้อย จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แพทย์จะผ่าตัดเพื่อตัดเอาส่วนที่กดทับเส้นประสาทออกร่วมกับการทำกายภาพบำบัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวแนะแนวทางป้องกันโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท คือ การใช้กล้ามเนื้อบริเวณหลังในชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ อย่านั่งอยู่กับที่นานติดต่อกันเกิน 1 ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการ ลุก ยืน เดิน มีการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบๆ หลัง และหน้าท้องให้แข็งแรงสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ลดการทำงานของกล้ามเนื้อหลังลงโดยการปรับท่านั่งให้หลังตรงหรือเดินตัวตรง ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักที่มากเกินไป เนื่องจากหลังจะต้องเป็นส่วนที่รับน้ำหนักตัวของคนเรา เมื่อมีน้ำหนักตัวมากเกินไป การทำงานของกล้ามเนื้อหลังก็จะมากไปด้วยรวมทั้งงดการสูบบุรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้กระดูกพรุนและหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้น

แหล่งข่าวโดย » ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์

เนื้อหาโดย : Sanook!



หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2016, 06:07:58 am
ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !
-http://health.kapook.com/view2522.html-

ดูรูปที่ 1

 ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย

โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน

          ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของโรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี

 ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก

          ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า

          ยุงกัดเพราะอะไร ระวังไว้ ก่อนป่วยไข้เลือดออก !

          มาดูกัน...ยุงชอบกัดคนประเภทไหน
ดูรูปที่ 2


 อาการของ ไข้เลือดออก

          อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ

          1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน

          2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว

          3. ตับโต

          4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก  :  มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ

ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง

          อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที


ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก

          ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน

 ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ

          ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

 ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง

          ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ

 ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก

          อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้

          นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก

 ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว

          ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ

          ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว

เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที

          เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย

          เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง


 แนวทางการรักษาโรค ไข้เลือดออก

           โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้

          1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร

          2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด

          3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

          4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย

จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว

          ผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการไข้ลดลง ภายใน 24-48 ชั่วโมง แล้วเริ่มกินอะไรได้ รู้สึกตัวดี ไม่ซึม แสดงว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

 การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็น ไข้เลือดออก

          เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธุ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่า มีคนเป็นไข้เลือดออกด้วย และแจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง รวมถึงดูแลให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัด สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้รีบจัดการและทำลายแหล่งแพร่พันธุ์นั้น เพื่อป้องกันการเป็นไข้เลือดออก

          นอกจากนี้ต้องคอยระวังเฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออกได้

โรคไข้เลือดออก กับยาที่ควรหลีกเลี่ยง

          ในการรักษาของผู้ป่วยไข้เลือดออกควรจะใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาเท่านั้น และห้ามรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ซึ่งได้แก่ยาแอสไพรินชนิดเม็ด หรือยาแอสไพรินแบบซองที่ขายทั่วไป และยาในกลุ่มไอบูโปรเฟน เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงรุนแรง คืออาจไปกัดกระเพาะทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ ซึ่งทำให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้


อาหารสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก เป็นแล้วควรกินอะไร

          ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสและฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว โดยอาหารที่ควรรับประทานคือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะนาว ส้ม เลมอน หรือเกรปฟรุต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น และควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงด้วย เพื่อให้มีเรี่ยวแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี

          นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำผัก หรือน้ำผลไม้ แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง

ไข้เลือดออกห้ามกินอะไรบ้าง รู้แล้ว เลี่ยงให้ไกล

          นอกจากจะควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ แล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ ประเภทอาหารทอด หรือผัด และไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดเพราะอาจจะทำให้แสบท้องและเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล เพราะสีของอาหารอาจจะทำให้การสังเกตอาการเลือดออกในปัสสาวะและอุจจาระเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย


เป็นไข้เลือดออกแล้วมีสิทธิ์เป็นซ้ำอีกได้ไหม

          เนื่องจากไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป หากผู้ป่วยติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดไปแล้ว ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้ระยะหนึ่ง ก่อนภูมิคุ้มกันในสายพันธุ์อื่นจะหายไป ดังนั้น ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นได้อีกในสายพันธุ์ที่ต่างจากที่เคยเป็น แต่ทว่า การติดเชื้อครั้งที่ 2 มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการป่วยครั้งแรก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนเรามักติดเชื้อไม่เกิน 2 ครั้ง

การป้องกันโรค ไข้เลือดออก

          ทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษา ไข้เลือดออก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง 

          15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี



 การควบคุมสิ่งแวดล้อม Environmental management

          การควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ยุงมีการขยายพันธุ์

          แท็งก์น้ำ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุง ต้องมีฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่

          ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แท็งก์น้ำหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะฤดูฝน

          ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาโต๊ะ ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลงไป ส่วยถ้วยรองขาโต๊ะให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันลูกน้ำ

          หมั่นตรวจสอบถาดรองน้ำที่ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศเพราะเป็นที่แพร่พันธุ์ของยุง โดยเฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดี โดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลายเซนติเมตร ทำให้มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

          ตรวจสอบรอบ ๆ บ้านว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ ท่อระบายน้ำบนหลังคามีแอ่งขังน้ำหรือไม่ หากมีต้องจัดการ

          ขวดน้ำ กระป๋อง หรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำ หากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดินเพื่อไม่ให้น้ำขัง

          ยางเก่าที่ไม่ใช้ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน

          หากใครมีรั้วไม้ หรือต้นไม้ที่มีรูกลวง ให้นำคอนกรีตเทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิดแอ่งน้ำ

วิธีกำจัดลูกน้ำยุงลาย
ดูรูปที่ 3

 การป้องกันส่วนบุคคล

          ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร ควรจะใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เด็กนักเรียนหญิงก็ควรใส่กางเกง

          การใช้ยาฆ่ายุง เช่น pyrethrum ก้อนสารเคมี

          การใช้กลิ่นกันยุง เช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่น ๆ

          นอนในมุ้ง

          การควบคุมยุงโดยทางชีวะ

          เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ

          ใช้แบคทีเรียที่ผลิตสาร toxin ฆ่ายุง ได้แก่ เชื้อ Bacillus thuringiensis serotype H-14 (Bt.H-14) และ Bacillus sphaericus (Bs)

          การใช้เครื่องมือดักจับลูกน้ำซึ่งเคยใช้ได้ผลที่สนามบินของสิงคโปร์ แต่สำหรับกรณีประเทศไทยยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากไม่สามารถควบคุมแหล่งน้ำธรรมชาติจึงยังมีการแพร่พันธุ์ของยุง


 การใช้สารเคมีในการควบคุม

          ใช้ยาฆ่าลูกน้ำ วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดและได้มีการสำรวจพบว่ามีความชุกของยุงมากกว่าปกติ

          ใช้สารลดแรงตึงผิว เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ฉีดพ่นกำจัดยุง เพราะสารดังกล่าวจะไปทำลายระบบการหายใจของแมลง ทำให้แมลงตายได้

          ใช้ "ทรายอะเบท" กำจัดยุงลาย โดยให้นำทรายอะเบท 1 กรัม ใส่ในภาชนะที่มีน้ำขัง (อัตราส่วน 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร หรือ 20 กรัม) จะป้องกันไม่ให้เกิดลูกน้ำได้นานประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากใช้เสร็จแล้วต้องเก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด รวมทั้งเก็บในที่เย็น แห้ง และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ

          การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีการนี้ใช้ในประเทศเอเชียหลายประเทศมามากกว่า 20 ปี แต่จากสถิติของการระบาดไม่ได้ลดลงเลย การพ่นหมอกควันเป็นรูปธรรมที่มองเห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรเกี่ยวกับการระบาด แต่การพ่นหมอกควันไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุง ข้อเสียคือทำให้คนละเลยความปลอดภัย การพ่นหมอกควันจะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก

การระบาดของไข้เลือดออก

          ช่วงเวลาการระบาดของโรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะระบาดมากในฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี

สถานการณ์ของโรคไข้เลือดออก

          จากข้อมูลทางกระทรวงสาธารณสุขเผยว่า 8 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม-18 สิงหาคม 2558 มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 51,500 ราย มากกว่าปี 2557 ถึง 2 เท่า และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 37 ราย โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กโต อายุระหว่าง 10-14 ปี โดยสาเหตุร้อยละ 80 เกิดจากถูกยุงลายที่อยู่ในบ้านกัด และส่วนที่เหลือคือถูกยุงลายที่อยู่ตามสวนกัด

          หากใครมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) หมายเลขโทรศัพท์ 089-204-2255 ตลอด 24 ชั่วโมง

เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ยุงคือฆาตกรอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ

ดูรูปที่ 4

          จากสถิติสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในโลก 15 อันดับ ที่ gatesnotes บล็อกส่วนตัวของบิล เกตส์ ได้นำข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) มาสรุปให้ดูเมื่อปี 2014 จะเห็นว่า สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุง สามารถคร่าชีวิตมนุษย์เกือบล้านคนต่อปี ถือเป็นสัตว์ที่อันตรายกับสวัสดิภาพมนุษย์มากกว่าสัตว์ดุร้ายอย่างงูพิษหรือฉลามเสียอีก เอาเป็นว่าอย่ามัวเสียเวลาค่ะ มาไล่เรียง 15 สัตว์ตัวร้ายที่อาจเป็นภัยกับมนุษย์แบบเรียงตัวเลยดีกว่า

1. ยุง

          ด้วยความที่ยุงมีขนาดตัวเล็ก บินได้คล่องตัว มนุษย์เราจึงเสี่ยงกับเชื้อไวรัสที่ยุงเป็นพาหะนำมาทำร้ายเราได้ง่ายกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้มาลาเรีย ที่คร่าชีวิตมนุษย์กว่า 600,000 คนต่อปี และเป็นพาหะที่ทำให้มนุษย์ป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนอกจากโรคไข้มาลาเรียแล้ว เจ้ายุงที่มีมากกว่า 2,500 สายพันธุ์ ยังเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และโรคสมองอักเสบอีกต่างหาก ซึ่งจากสถิติแล้ว ยุงที่มีพาหะของเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ได้คร่าชีวิตมนุษย์มากถึง 725,000 คนต่อปี

2. มนุษย์

          มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ทำร้ายกันและกันเองมากเป็นอันดับที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของคนด้วยกันเองถึงปีละ 475,000 คนต่อปีเลยทีเดียว

3. งู

          สัตว์เลื้อยคลานมีพิษร้ายอย่างงู รั้งอันดับ 3 ไปด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกกว่า 50,000 คนต่อปี

4. สุนัข (ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า)

          โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตราย หากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ซึ่งได้คร่าคนไปกว่า 25,000 คนต่อปี

5. แมลงดูดเลือด

          พาหะนำโรคง่วงหลับมาคร่าชีวิตมนุษย์ปีละ 10,000 คนทั่วโลก

6. มวนเพชรฌฆาต

          แมลงชนิดนี้มีฉายาว่า ฆาตกรแบกศพ มักพบในประเทศมาเลเซีย และเป็นแมลงที่คร่าชีวิตมนุษย์มากถึงปีละ 10,000 คนเช่นกัน

7. หอยเชอร์รีหรือทากน้ำ

          ตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ หากกินหอยชนิดนี้ดิบ ๆ ก็อาจได้รับเชื้อจนเพิ่มสถิติคร่าชีวิตคนจาก 10,000 คนต่อปีให้มากขึ้นได้

8. พยาธิไส้เดือน

          อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบคือ เจ้าพยาธิไส้เดือนนี่ล่ะ โดยจากสถิติแล้ว สัตว์ตัวเล็ก ๆ นี้คร่าคนไปกว่า 2,500 คนทั่วโลกเลยทีเดียว

9. พยาธิตัวตืด

          พาหะนำโรคพยาธิตัวตืด ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกมาไม่ต่ำกว่า 2,000 คนต่อปี

10. จระเข้

          สัตว์ดุร้ายที่เราเข้าใจกันมา จริง ๆ แล้วมีสถิติคร่าชีวิตมนุษย์เพียง 1,000 คนต่อปี ทิ้งห่างสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุงมาไกลโข

11. ฮิปโปโปเตมัส

          แม้จะเป็นสัตว์ที่เราเห็นในสวนสัตว์ แต่ฮิปโปโปเตมัสก็แฝงอันตรายมากพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้กว่า 500 คนต่อปี

12. ช้าง

          ด้วยความที่ช้างอยู่ในป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ สถิติทำร้ายมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตจึงอยู่ที่ 100 คนต่อปีเท่านั้น

13. สิงโต

          เหตุผลเดียวกันกับช้างป่า สิงโตก็ทำร้ายมนุษย์ปีละ 100 คนโดยเฉลี่ยเช่นกัน

14. หมาป่า

          สถิติความร้ายกาจของหมาป่าอยู่ที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปปีละ 10 คนโดยเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นเพราะหมาป่าไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวเรานัก

15. ฉลาม

          วายร้ายอย่างฉลามตามสถิติแล้วถูกจัดอันดับไว้ที่ 15 ด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ 10 คนต่อปี

          จะเห็นได้ชัดเลยว่า สัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ได้จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก อยู่ใกล้ ๆ หรือรอบตัวเรา ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราลืมระมัดระวังตัวเองจากวายร้ายเหล่านี้ิ จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
Z NEWS
Articles of Health Care
PLOS MEDICINE
Nature
CrocBITE

-http://healthy.moph.go.th/index.php/2012-03-26-04-30-53/118-2012-06-25-02-16-13-
-http://www.tm.mahidol.ac.th/hospital/hospital-dengue-th.php-
-http://www.crocodile-attack.info/-
-http://journals.plos.org/plosmedicine/article?id=10.1371/journal.pmed.0050218-
-http://www.nature.com/nature/journal/v436/n7053/full/436927a.html-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2016, 06:08:46 am
ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !
-http://health.kapook.com/view2522.html-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2016, 10:09:02 pm
กทม. เปิดพื้นที่ 10 เขต เสี่ยงไข้เลือดออกระบาดสูงมาก
-http://health.kapook.com/view139885.html-

กทม. เปิดพื้นที่ 10 เขต เสี่ยงไข้เลือดออกระบาดสูงมาก ชี้สถิติปี 2558 พบผู้ป่วยทั่วกรุง 28,177 ราย กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ลดความเสี่ยงการระบาด

              เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 แพทย์หญิงวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่กรุงเทพมหานครในปี 2558 พบว่า มีผู้ป่วย 28,177 ราย เสียชีวิต 5 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมีอาการป่วยมากที่สุด ได้แก่ อายุ 20-24 ปี รองลงมาคืออายุ 15-19 ปี และอายุ 10-14 ปี ซึ่งอัตราป่วยในพื้นที่กรุงเทพมหานครถือว่ามากเป็นอันดับที่ 5 จากทั้งประเทศที่มีผู้ป่วยรวม 142,925 ราย เสียชีวิต 141 ราย และถือเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับ 6 จังหวัดปริมณฑล

              อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสถิติการเกิดโรคไข้เลือดออกเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี มีการคาดการณ์ว่าในปี 2559 แนวโน้มการระบาดของโรคไข้เลือดออกจะมีความรุนแรงขึ้น โดยในกรุงเทพมหานครมีพื้นที่ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงสูงมาก 10 เขต ด้วยกัน คือ

             1. ลาดพร้าว
             2. จตุจักร
             3. ดินแดง
             4. วังทองหลาง
             5. บางกะปิ
             6. สวนหลวง
             7. ประเวศ
             8. วัฒนา
             9. บางพลัด
             10. ธนบุรี

พื้นที่ระดับความเสี่ยงสูง 12 เขต ได้แก่

             1. บางแค
             2. บางบอน
             3. จอมทอง
             4. บางกอกน้อย
             5. พญาไท
             6. ราชเทวี
             7. ห้วยขวาง
             8. บางซื่อ
             9. บางเขน
             10. สะพานสูง
             11. บึงกุ่ม
             12. พระโขนง

              ส่วนพื้นที่อื่น ๆ มีความเสี่ยงระดับปานกลาง และความเสี่ยงน้อย อย่างไรก็ตามถือว่าทุกพื้นที่และทุกคนมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไข้เลือดออกเช่นกัน โดยผู้ได้รับเชื้อ 100 คน จะมีเพียง 10 คนที่แสดงอาการ ส่วนอีก 90 คน จะไม่แสดงอาการและหายไปเองได้

               แพทย์หญิงวันทนีย์ ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจและให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชนทั่วพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามอาคารบ้านเรือน และที่สาธารณะต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นไข้เลือดออก นอกจากนี้กรุงเทพมหานครจะดำเนินการผ่านโรงเรียนในสังกัด โดยขอให้นักเรียนทุกคนกลับไปทำลายแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้านเรือนของตนเอง อีกทั้งขอความร่วมมือประชาชนเฝ้าระวังไข้เลือดออกในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการสอบถามข้อมูล หรือจัดกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ ในชุมชนเพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้ได้มากที่สุด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก กรมประชาสัมพันธ์
-http://thainews.prd.go.th/website_th/news/news_detail/WNSOC5901210010065-

หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 23, 2016, 06:39:30 pm
ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน ภัยอีกขั้นจากยุงลาย
-http://health.kapook.com/view139846.html-

ไวรัสซิกา อีกหนึ่งโรคอันตรายที่มียุงลายเป็นพาหะ ที่น่ากลัวคือยังไร้วัคซีนป้องกัน เป็นแล้วอาจร้ายแรงถึงขั้นสมองผิดปกติ

ถ้าว่ากันถึงภัยจากยุงลายที่เรารู้จักกันดีอย่างไข้เลือดออกแล้ว ยังมีอีกความอันตรายหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันนั้นก็คือ ไวรัสซิกา ซึ่งเป็นไวรัสที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ โดยช่วงปี 2558 มีการระบาดใน 14 ประเทศในแถบลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่การระบาดรุนแรงจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่เมื่อต้นปี 2559 เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน ของไต้หวัน ก็ตรวจพบชายไทยติดเชื้อนี้ ขณะกำลังเดินทางเข้าประเทศ จึงได้เวลาแล้วที่เราควรจะทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสซิกากันแบบจริงจัง แม้จะยังไม่ใช้่เรื่องใกล้ตัว แต่ก็ไม่ควรละเลยด้วยประการทั้งปวงค่ะ

ไวรัสซิกา คืออะไร ?

ไวรัสซิกา หรือไข้ซิกา เป็นเชื้อไวรัสในตระกูลเฟลวิไวรัส (flavivirus) มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้เลือดออก รวมทั้งไวรัสเวสต์ไนล์ที่เป็นสาเหตุของไข้สมองอักเสบ และเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบเจอีซึ่งทั้งหมดล้วนมียุงลายเป็นพาหะ เชื้อไวรัสซิกาถูกค้นพบครั้งแรกจากในน้ำเหลืองของลิงวอก ที่ถูกนำมาป่าซิกาในประเทศยูกันดา เพื่อศึกษาไข้เหลือง เมื่อปี พ.ศ. 2490 และพบในคนเมื่อปี พ.ศ. 2511 ในประเทศในจีเรีย เชื่อไวรัสซิกาพบได้ในประเทศแถบทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา ทวีปเอเชียใต้ และหมู่เกาะในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก

สถานการณ์ของไวรัสซิกาในประเทศไทยและต่างประเทศ

จากการรายงานของขององค์การอนามัยโลกพบว่าเชื้อไวรัสซิกาได้ระบาดในแถบทวีปอเมริกาใต้อย่างหนักมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 โดยเฉพาะในประเทศบราซิลและโคลอมเบีย ซึ่งประเทศบราซิลถือเป็นประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุดจนถึงขั้นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังพบเด็กทารกแรกเกิดติดเชื้อและมีความผิดปกติทางสมองเกือบ 4 พันราย ส่วนในประเทศโคลอมเบียมีการคาดการณ์ว่าการระบาดของไวรัสซิกาอาจทำให้มีผู้ป่วยถึง 600,000-700,000 คน ทางกระทรวงสาธารณสุขโคลอมเบียจึงออกประกาศแนะนำให้สตรีเลื่อนการตั้งครรภ์ออกไป 6-8 เดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ก็วิตกกังวลกับสถานการณ์การระบาดดังกล่าว จึงออกประกาศเตือนให้หญิงที่ตั้งครรภ์และบุคคลทั่วไปเลี่ยงการเดินทางไปยัง 14 ประเทศที่มีการระบาดของโรค ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ เฟรนช์เกียนา กัวเตมาลา เฮติ ฮอนดูรัส มาร์ตีนิก เม็กซิโก ปานามา ปารากวัย ซูรินาม เวเนซุเอลา และเปอร์โตริโก เพื่อความปลอดภัยค่ะ

ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 กองควบคุมโรคของไต้หวัน ได้ออกมาประกาศว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิกา 1 ราย เป็นชายไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานในไต้หวันผ่านทางสนามบินนานาชาติเถาหยวนเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 โดยได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสซิกาหลังจากเจ้าหน้าที่สนามบินพบว่าชายดังกล่าวมีไข้สูงผิดปกติจึงนำตัวไปตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด ส่วนผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันอีก 2 คน เมื่อตรวจแล้วก็ไม่พบเชื้อดังกล่าวแต่อย่างใด

สำหรับในประเทศไทย หลังจากพบการติดเชื้อของนักท่องเที่ยวหญิงจากประเทศแคนาดาเมื่อปี พ.ศ. 2556 ก็ยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่แต่อย่างใด แต่ยังคงมีการเฝ้าระวังการติดเชื้อจากกรมควบคุมโรคอยู่อย่างใกล้ชิด

ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน

ไวรัสซิกา ติดต่อได้อย่างไร

ไวรัสซิกาเป็นเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นการติดต่อจึงมาจากการถูกยุงที่มีเชื้อกัด และทั้งนี้ก็ยังไม่พบว่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้

ไวรัสซิกา อาการเป็นอย่างไร

องค์การอนามัยโลกระบุว่า มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 4 ที่จะแสดงอาการออกมาให้เห็นหลังได้รับเชื้อ ซึ่งจะปรากฏอาการคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้เลือดออก ได้แก่ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ไข้ขึ้นสูง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว และปวดหัว อาการเหล่านี้ทุเลาลงภายในเวลา 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

แต่ถ้าหากปล่อยไว้ อาการอาจจะรุนแรงจนถึงขั้นทำให้ระบบการทำงานของสมองผิดปกติได้ ทั้งนี้หากเป็นผู้ป่วยหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ ซึ่งจะทำให้ทารกมีความผิดปกติที่ศีรษะ โดยจะมีกะโหลกศีรษะและสมองที่เล็กกว่าปกติ


ไวรัสซิกา รักษาอย่างไร

แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่โรคไวรัสซิกา ก็ยังเป็นโรคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีการรักษาที่แน่ชัด ทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเช่นเดียวกับโรคไวรัสอื่น ๆ ที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นผู้ป่วยควรพักผ่อนมาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานยาตามแพทย์สั่ง นอกจากนี้ก็ยังควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ อีกด้วย

ไวรัสซิกา ป้องกันได้อย่างไร

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดของโรคไวรัสซิกา หรือไข้ซิกาก็คืออย่าพยายามให้ยุงกัด อีกทั้งยังควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้สิ้นซาก เพื่อเป็นการตัดวงจรการขยายพันธุ์และป้องกันโรคที่อาจมากับยุงลายนอกเหนือไวรัสซิกาได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง โรคไข้เวสต์ไนล์ และโรคชิคุนกุนยา นอกจากนี้ถ้าอยากทราบวิธีป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วยวิธีธรรมชาติละก็ลองตามไปอ่านที่นี่ได้เลย 12 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี

ได้รู้จักกันมาขึ้นแล้วกับโรคไวรัสซิกา คราวนี้ก็อยู่ที่ตัวของเราเองนี่ล่ะค่ะที่จะต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี ยิ่งถ้าหากใครที่ต้องเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดก็ควรใส่ใจสุขภาพให้มาก ไม่อยากเจ็บป่วยทีหลังก็อย่าชะล่าใจนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Taiwan Centers for Disease Control
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
-krobkruakao.com-
World Health Organization
-paho.org-



ภาพจาก paho.org

ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน ภัยอีกขั้นจากยุงลาย
-http://health.kapook.com/view139846.html-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2016, 08:37:24 pm
5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด
-http://health.sanook.com/2557/-



ใครๆ ก็รู้ถึงอันตรายของโรคนี้ดี โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อไรเราถึงจะเริ่มรู้ตัวว่าเราอาจกำลังเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด Sanook! Health มิวิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ มากฝากกันค่ะ

 

5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันได เดินขึ้นเนิน หรือออกกำลังกายเบาๆ ก็เหนือย

2. เวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม

3. ปวดศีรษะมาก เมื่อลุกขึ้นจากที่นอน หรือลุกนั่งเร็วๆ

4. ใจสั่น ใจเต้นเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็น

5. แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ

 

ลักษณะอาการโดยทั่วไปจะคล้ายๆ กับโรคหัวใจ ที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบ เพราะมีเลือดไหลเวียนในหัวใจไม่เพียงพอ เลือดจึงไม่สามารถสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ และทำให้เรามีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายนั่นเอง

 

ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน

2. ทานอาหารที่มีไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายเป็นจำนวนมากเกินไป และไม่ทานผัก

3. ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

4. อายุมาก และเพศชายมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง

5. ประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตีบ แตก หรือเบาหวาน ความดันไขมัน

6. สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

7. มีภาวะเครียดจากการทำงาน และเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยขยับร่างกายในแต่ละวัน

 

ปัจจัยไหนที่เราหลีกเลี่ยงได้ ขอให้ทำเป็นประจำนะคะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ควรลดไขมัน ทานผักให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ลดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส เท่านี้คุณก็ห่างไกลโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดแล้วล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2016, 09:52:50 am
สธ.แถลง "ไวรัสซิกา" ระบาดในไทย จับตาอาการ "ไข้-มีผื่น-ตาแดง-เมื่อย" เข้าข่าย!
-http://health.sanook.com/2581/-



กรมควบคุมโรคแถลงร่วม รพ.ภูมิพลฯ หลังข่าวคนหวั่นไวรัสซิการะบาดในไทย เหตุพบผู้ป่วยเพิ่มอีกราย ย้ำไม่ใช่โรคใหม่พบตั้งแต่ปี 2555 วอนอย่าแตกตื่น พร้อมออกประกาศเพิ่มเติม 2 ฉบับ จัด 4 กลุ่มเสี่ยงระวังพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญย้ำสังเกตอาการ “ไข้ – มีผื่น-ตาแดง-ปวดเมื่อย” อาจเข้าข่าย

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากข่าวพบคนไทยเดินทางไปไต้หวันติดเชื้อไวรัสซิกา และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่ไต้หวันนั้น ล่าสุดเกิดกระแสข่าวตื่นตระหนกว่า พบคนไทยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอีกเป็นรายที่ 2 ของประเทศไทย โดยรักษาตัวอยู่ที่รพ.ภูมิพลอดุลยเดช โดยที่กังวลคือ จะเกิดการระบาดในประเทศไทยหรือไม่ ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกยังประกาศให้โรคนี้เข้าข่ายสถานการณ์ฉุกเฉิน

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่กรมควบคุมโรค(คร.) ได้จัดแถลงข่าวด่วนภายหลังทราบข่าวประชาชนแตกตื่นเรื่องดังกล่าว โดยมี นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดี คร. นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและที่ปรึกษากรมควบคุมโรค และ พล.อ.ต.สันติ ศรีเสริมโภค เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เข้าร่วมแถลงข่าวครั้งนี้

พล.อ.ต.สันติ ศรีเสริมโภค เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กล่าวว่า กรณีนี้ ไม่ใช่ผู้ป่วยรายแรกของประเทศไทย แต่เป็นผู้ป่วยรายแรกของโรงพยาบาลภูมิพล เป็นชายไทยอายุประมาณ 20 กว่าปี เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาด้วยอาการไข้ มีผื่น ตาแดง เมื่อยตามเนื้อตัว จากการตรวจสอบยืนยันว่า เป็นไข้ซิกา ซึ่งให้การรักษาจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 26 มกราคม อย่างไรก็ตาม ไม่ถือว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นพาหะ เพราะการแพร่โรคจะเป็นไข้ แต่รายนี้ไม่มี ที่สำคัญรายนี้ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด อย่างไรก็ตาม ที่กังวลคือ ปัญหาทารกในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อ โดยที่ต้องระวังคือช่วงตั้งครรภ์แรกๆ ประมาณ 12 สัปดาห์ จึงทำให้เกิดข้อกังวล แต่จริงๆ หญิงตั้งครรภ์ต้องดูแลสุขภาพตัวเองอยู่แล้ว

นพ.อำนวย กล่าวว่า ประเทศไทยพบร่องรอยโรคนี้ตั้งแต่ปี 2506 แต่พบผู้ป่วยรายแรกในปี 2555 ซึ่งตั้งแต่ปี 2555-2558 เฉลี่ย 2-5 ราย และทุกครั้งที่พบผู้ป่วยแต่ละรายก็จะหายได้เอง ไม่มีการแพร่ระบาดวงกว้าง ทั้งนี้ ไม่ต้องกังวลว่าโรคนี้จะมาในลักษณะข้ามประเทศ หรือ Case Import เพราะในประเทศก็พบเจอได้ เพียงแต่ควบคุมได้ โดย คร.มีมาตรการต่างๆ ทั้งกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การกำจัดยุงลาย ซึ่งใน 1-2 สัปดาห์จะมีกิจกรรมรณรงค์ครั้งใหญ่ร่วมกับทุกหน่วยงานเกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะโรค 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) และซิกา นอกจากนี้ ก็มีคำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีข้อกังวลเรื่องหญิงตั้งครรภ์ที่หากรับเชื้อจะส่งผลต่อทารกให้ศีรษะลีบแบน นพ.อำนวย กล่าวว่า จริงๆ หญิงตั้งครรภ์จะต้องดูแลตัวเองในทุกด้านมากกว่าคนทั่วไป แต่ในเรื่องนี้ก็มีมาตรการเฝ้าระวัง โดยจัดกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม มี 1.หญิงตั้งครรภ์ 2.ผู้ป่วยไข้ออกผื่น ที่มาสถานพยาบาลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดต้องคัดกรองเป็นพิเศษ เพราะอาจเข้าข่ายอาการของซิกา 3. ทารกศีรษะเล็ก และ4. ผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบ โดยกลุ่มอาการเหล่านี้จะบ่งบอกว่าเข้าข่ายโรคซิกาได้ และในกรณีหญิงตั้งครรภ์หากมีอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกังวลว่า ยุงลายในประเทศไทยถือว่าเป็นพาหะนำโรคมากน้อยแค่ไหน นพ.อำนวยกล่าวว่า ได้มีการประสานภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในการติดตามเรื่องยุงว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ คร.ยังได้ออกประกาศเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ จากฉบับแรกที่เกี่ยวกับประกาศเรื่องโรคไข้ซิกา ในเรื่องอาการ การดูแล เฝ้าระวังต่างๆ โดยประกาศใหม่ คือ 1. ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อและอาการสำคัญ โดยระบุว่าอาการสำคัญ ได้แก่ มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย โดยทั่วไปจะมีอาการป่วยประมาณ 1 สัปดาห์ และ 2.ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ต้องแจ้งความ อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจได้กำชับสถานพยาบาลในสังกัดให้คัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 กลุ่มอย่างถี่ถ้วน ขณะเดียวกันได้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์กับนักระบาดวิทยาภาคสนามในระดับอาเซียนบวกสามด้วย

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ผู้ป่วยไวรัสซิกา อาการไม่ได้รุนแรงมาก เพราะปกติจะหายเองได้ภายใน 7 วัน ส่วนที่เกิดการระบาดจนองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเด็กที่คลอดออกมามีความพิการทางสมอง จึงต้องออกประกาศดังกล่าว โดยกำชับให้มีการดูแลหญิงตั้งครรภ์เป็นพิเศษ

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ได้มีการประสานไปยังราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ให้เฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีศีรษะเล็กว่า สัมพันธ์กับเชื้อซิกาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และยังประสานไปยังราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ในการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการปลายประสาทอักเสบว่า มาด้วยสาเหตุอะไรด้วย เพื่อให้ข้อมูลรอบด้าน ทั้งนี้ อาการของโรคนี้คล้ายไข้เลือดออก กับชิคุนกุนยา มีไข้ ผื่น ปวดข้อ แต่ที่ต้องระวังในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีรายงานในบราซิล เนื่องจากพบว่าทารกแรกเกิดมีศีรษะเล็กประมาณ 3,000 คน ซึ่งพบสูงขึ้นมากจากปกติอัตรา 0.5 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน พุ่งสูงขึ้นเป็นอัตรา 20 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน เมื่อศึกษาจึงพบว่าเกี่ยวพันกับเชื้อซิกา จึงมีการเฝ้าระวังกันมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า หญิงตั้งครรภ์หากไปเจาะเลือดตรวจจะทราบว่าเด็กมีภาวะป่วยด้วยหรือไม่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไม่สามารถตรวจหาเชื้อในทารกได้ เนื่องจากแอนติบอดีจะเหมือนกับไข้เด็งกี่ และไข้สมองอักเสบ จะต้องเจาะน้ำคร่ำจึงจะตรวจได้

อ่านเรื่องเกี่ยวกับไวรัสซิกาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ภาพประกอบจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, istockphoto

เนื้อหาโดย : นสพ.มติชน

-----------------------------------


พบในไทย! ไวรัส Zika ติดต่อทางยุง อาการคล้ายไข้เลือดออก
-http://health.sanook.com/2353/-

เฟซบุ๊คเพจ “ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว” โพสอธิบายถึงเชื้อไวรัส Zika ที่พบการติดเชื้อในประเทศเปอร์โตริโก้ว่า สามารถติดต่อได้ผ่านยุงลาย คล้ายไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิกุนกุนยา) ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการ เช่น มีไข้ มีผื่นขึ้นตามตัว ตาแดง ปวดข้อ

ความรุนแรงของโรคนี้ ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต แต่หลังพบการระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ในบราซิล พบว่าเด็กที่เกิดขึ้นมาภายหลังศีรษะมีขนาดเล็กลงจำนวนมาก จึงสงสัยกันว่าเชื้อไวรัสตัวนี้อาจมีผลต่อเด็กในครรภ์ หากมารดาเป็นผู้ติดเชื้อ

นอกจากนี้ เมื่อปี 2557 พบนักท่องเที่ยวที่มาติดเชื้อนี้จากไทยไปคนหนึ่ง ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าเชื้อไวรัสนี้สามารถพบในไทยได้ จังหวัดที่เคยพบผู้ติดเชื้อ Zika คือ ลำพูน เพชรบูรณ์ ศรีษะเกศ ราชบุรี สมุทรสาคร กระบี่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ

แต่ถึงกระนั้น สามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้ง่ายๆ เพียงระวังไม่ให้โดนยุงกัดค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟศบุ๊ต ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว
ภาพประกอบจาก -medicalservices.nph.org-
หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 12, 2016, 10:56:02 pm
เตือนภัย! ระวังโรคที่มาพร้อมกับน้ำที่ไม่สะอาด ช่วงสงกรานต์
-http://health.sanook.com/3133/-


อหิวาตกโรคช่วงสงกรานต์นี้หลายคนอาจวางแผนไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ หรืออาจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แต่กิจกรรมที่บางครั้งเรามักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเราจะอยากด้วยหรือไม่ก็ตาม คือการเล่นสาดน้ำกันนั่นเอง ถ้าน้ำที่ใช้เล่นกันมาจากก๊อกที่บ้านก็ดีไป แต่ถ้ามาจากแม่น้ำลำคลอง หรือแหล่งอื่นๆ ที่ไม่น่าไว้ใจ อาจทำให้เราเป็นโรคต่างๆ ได้ ดังนี้

 

1. โรคตาแดง

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสที่มาจากมือ ผ้าเช็ด ผ้าเช็ดตัวที่ใช้ร่วมกับผู้ป่วย หรือความไม่สะอาดของการดูแลรักษาตาจากน้ำไม่สะอาด หรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ไม่ได้มาตรฐาน

อาการ : คันตา มีขี้ตามากผิดปกติ ร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาในตอนเช้า ตาขาวเป็นสีชมพู/แดง ปวดตา ตามัว เป็นต้น

 

2. โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง

สาเหตุ : หากผิวหนังเปื่อยจากการสัมผัสน้ำนานจนลอกเปื่อย จะเป็นจุดที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น

อาการ : ผิวหนังแห้ง ลอก เป็นสะเก็ด หรือเปื่อยยุ่ย เป็นหลุมเล็กๆ หรือเป็นปื้นๆ แห้งๆ และมีกลิ่นเหม็น

 

3. โรคฉี่หนู (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของโรคฉี่หนู ที่นี่)

สาเหตุ : ติดเชื้อแบคทีเรีย leptospira จากมูลของสัตว์ต่างๆ เช่น หนู สุนัข โค กระบือ หมู แพะ แกะ ที่ไหลปนกับน้ำตามพื้น ตามท่อ แล้วเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลในร่างกายของเราระหว่างสัมผัสน้ำ

อาการ : เป็นไข้ ปวดศีรษะ  ปวดเกร็งตามขา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องเสีย ตาแดง และอาจไปถึงเยื่อบุสมองอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ

 

4. โรคอหิวาตกโรค

สาเหตุ : หากน้ำที่ใช้ไม่สะอาด มาจากแหล่งน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรคที่ปนเปื้อนมาจากอุจจาระของผู้ป่วย และเข้าสู่ร่างกายจากการปนเปื้อนในน้ำดื่ม อาหาร หรือหากเผลอเข้าปาก หรือดื่ม อาจทำให้ติดโรคได้

อาการ : ปวดท้องบิด ท้องเสีย อุจจาระสีขาวเหมือนน้ำซาวข้าว กลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา กระหายน้ำ คอแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ และอาจถึงขั้นเสียชีวิต

 

5. โรคไข้หวัด

สาเหตุ : ติดเชื้อไวรัสจากคนสู่คน หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ บวกกับสัมผัสน้ำเย็น และอากาศร้อนๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นไข้หวัดได้

อาการ : เป็นไข้ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ฯลฯ

 

ดังนั้น ช่วงสงกรานต์นี้ หากเล่นสาดน้ำ ควรใช้น้ำที่สะอาดเพียงพอ ไม่ใช้น้ำจากคลองที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่ควรเล่นสาดน้ำนานเกินไป และหลังจากเล่นแล้วควรรีบอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายค่ะ


ภาพประกอบจาก istockphoto

เนื้อหาโดย : Sanook!


หัวข้อ: Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2016, 02:30:43 pm
4 โรคอันตราย ที่มาพร้อม “แดด” และ “อากาศร้อนอบอ้าว”
-http://health.sanook.com/2989/-



ถึงแม้ชาวไทยจะคุ้นแคยกับ 3 ฤดูในบ้านเรากันเป็นอย่างดีแล้ว (ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนสุดๆ) แต่ยังไงเราก็ยังคงต้องระวังรักษาตัวเองจากแดดแรงๆ นี่กันอยู่ดี จะปล่อยให้ตัวเองถูกแดดเผา จนเป็นลมเป็นแล้ง หรือเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ ถึงขั้นลมหมอนนอนเสื่อ หรือต้องพบแพทย์ก็คงไม่ดี

Sanook! Health จึงนำข้อมูลดีๆ จาก กระทรวงสาธารณสุข มาเตือนชาวสนุก! ให้ระวัง 4 โรคที่มาพร้อมกับแดดแรงๆ อากาศร้อนอบอ้าวนี่กันค่ะ

 

1. ลมแดด (ฮีทสโตรก)

หลายคนเริ่มคุ้นหูกับคำว่าฮีทสโตรกมากขึ้นกันแล้วใช่ไหมคะ ฮีทสโตรกเป็นชื่อภาษาอังกฤษของโรคลมแดด หรืออาการที่เป็รนลมจากอากาศร้อนจัด ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน ร่างกายอุณหภูมิสูงขึ้น บวกกับอาการขาดน้ำที่จะมาช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย และช่วยลดอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ นอกจากนี้เป็นเพราะเราสูญเสียน้ำจากร่างกายออกไปทางเหงื่อจำนวนมาก แล้วไม่ได้ดื่มน้ำเข้าสู่ร่างกายเพื่อทดแทนเหงื่อที่เสียไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายช็อคจากการขาดน้ำได้เหมือนกัน

 

2. เพลียแดด

เพลียแดดมีอาการคล้ายลมแดด แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีอาการชัก หรือเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรอาการเพลียแดดก็อันตรายไม่แพ้ลมแดดเท่าไรหรอกค่ะ เพราะอาการเพลียแดด สามารถเป็นได้ตั้งแต่ปวดศีรษะ มึนหัว บานหมุน หน้ามืด อ่อนเพลีย หมดแรง คลื่นไส้ ถึงจะยังไม่หมดสติ แต่การขาดสติสัมปชัญญะไปบางส่วน อาจเกิดอันตรายระหว่างทำงาน หรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอยู่ได้ เช่น เพลียแดดระหว่างทำงานกับเครื่องจักรกล หรือเพลียแดดระหว่างขับรถ น่ากลัวใช่ไหมล่ะ

 

3. ตะคริวแดด

ใครที่เป็นนักวิ่ง หรือชอบวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิ่งตอนเช้า กลาววัน หรือเย็น ช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนจัดแบบนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องวิ่งกลางแดดอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคุณอาจกำลังเสี่ยงต่ออาการ “ตะคริวแดด” ได้ค่ะ ซึ่งลักษณะอาการก็เหมือนกับตะคริวธรรมดาๆ กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง และรู้สึกปวด เจ็บในบริเวณที่เป็นตะคริวเป็นอย่างมากจนวิ่งต่อไปไม่ไหว อาการตะคริวที่พบมักเป็นช่วงขา แขน และหลัง หากมีอาการตะคริวแดดให่รีบหยุดวิ่ง อยู่นิ่งๆ แล้วค่อยๆ ดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำผลไม้ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย และชดเชยน้ำ และเกลือแร่ที่เสียไป หากอาการตะคริวไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที- 2 ชั่วโมง ควรหยุดวิ่งไปเลย 1-2 วันค่ะ

 

4. ผิวหนังไหม้เกรียมแดด

สาวๆ คงไม่ปล่อยให้ตัวเองผิวหนังไหม้เกรียมง่ายๆ หรอก แต่ก็ไม่แน่ใจหากสาวๆ มีแพลนจะไปลัลล้าที่ชายทะเล บางครั้งความสวยของทะเล ความสนุกของกิจกรรมต่างๆ ที่ทะเล อาจทำให้เราลืมดูแลผิว หรือลืมไปว่ากลัวผิวคล้ำดำเสีย จนไม่ได้ทาครีมกันแดด ซึ่งต่อมาก็จะเป็นสาเหตุของผิวหนังไหม้เกรียมแดด ตอนผิวลอกบางคนก็แสบ บางคนก็ไม่แสบ แต่หากใครผิวแสบก็จะโชคร้ายหน่อย เพราะนอกจากผิวจะแดดจัด ผิวบางลงจากผิวลอกแล้ว ยังต้องวุ่นวายกับการหาครีมแก้ผิวไหม้มาทากันอีก ใครที่มีผิวแสบไหม้จากแดด นอกจากเจลเย็นๆ แก้ผิวไหม้ที่มีขายตามร้านต่างๆ แล้ว ว่านหางจระเข้ก็ช่วยทำให้ผิวดีขึ้นได้นะคะ ยิ่งว่านหางจระเข้แช่เย็นด้วย ยิ่งฟินเลยขอบอก

อากาศร้อนจัด เป็นสาเหตุของลมแดด เพลียแดด ตะคริวแดด และผิวหนังไหม้แดด

ทั้ง 4 โรค 4 อาการนี้ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมล่ะ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงโรคที่มากับแดดร้อนจัดแบบนี้ คือ

-          ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี โปร่งสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป

-          หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าหนาๆ หรือสีเข้ม

-          หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดนานๆ

-          ปกป้องร่างกายจากแดดด้วยการใส่หมวก กางร่ม สวมแว่นกันแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 15 สามารถทาทับเพิ่มเติมได้หากเหงื่อออก หรือว่ายน้ำ

-          อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน่ำให้มากๆ ดื่มเรื่อยๆ เมื่อกระหายน้ำ

-          อย่าอยู่บริเวณที่มีอากาศร้อนอบอ้าว และอากาศไม่ถ่ายเทเป็นเวลานาน เช่น ตามบ้านไม้มุงหลังคาสังกะสี ในรถที่ตากแดดนานๆ

-          อย่าอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ใช้เวลาสัมผัสแสงแดดให้น้อยที่สุด หรือหากต้องทำงานกลางแสงแดดร้องเปรี้ยงจริงๆ ควรพักเข้ามาหลบอยู่ในที่ร่มบ้าง หรือทุกๆ ชั่วโมง

 

ร้อนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือใครที่วางแผนอยากไปเที่ยวทะเล เที่ยวภูเขา หรือสถานที่ต่างๆ อย่าลืมดูแลตัวเอง และคนรอบข้างให้ดีๆด้วยนะคะ สิ่งสำคัญมีแค่ 2 อย่าง คือระบายความร้อนจากร่างกายให้เร็วที่สุด และดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เท่านี้จะร้อนแค่ไหน เราก็รอดปลอดภัยแน่นอน

 

ภาพประกอบจาก istockphoto

เนื้อหาโดย : Sanook!