(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/p480x480/1001893_489037831171244_1509252965_n.jpg)
12 บูชา ศาสตร์แท้
"อนึ่ง สุภูติ ! ณ ที่ใดที่ได้กล่าวพระสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท ควรรู้ว่า ณ สถานที่นี้ เหล่าเมพ มนุษย์ อสูรทั้งหลายในโลกนี้ล้วนจะกระทำสักการะดุจพระพุทธสถูปวิหาร จึงนับประสาอะไรกับการที่มีบุคคลล้วนสามารถรับสนองปฏิบัติสวดท่อง สุภูติ ! ควรรู้ว่าบุคคลนี้ได้ยังความสำเร็จแล้วในอนุตตรธรรมอันเป็นยอดสูงสุดที่หาได้โดยยาก หากว่าพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่ใด ที่นั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าและอัครสาวกพำนักอยู่
13 ดั่งธรรมวิธี ยึดถือปฏิบัติ
สมัยนั้นแล สุภูติได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! อันพระสูตรนี้ควรมีนามว่าอะไร ? ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงสนองปฏิบัติอย่างไร ?" พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระสูตรนี้มีนามว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อาศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! พระพุทธเจ้าตรัสว่าปรัชญาปารมิตา มิใช่ปรัชญาปารมิตา เป็นเพียงนามว่าปรัชญาปารมิตา สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตได้แสดงพระธรรมฤา ?" สุภูติทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมิได้แสดงพระธรรมอันใดเลย" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ฝุ่นละอองทั้งหมดในมหาตรีสหัสโลกธาตุ จำนวนถือว่ามากหรือไม่ ? " สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !" "สุภูติ ! ฝุ่นละอองทั้งหลายเหล่านี้ ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าฝุ่นละออง ตถาคตกล่าวว่าโลกธาตุ มิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?" "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้ เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า มหาปริสลักษณะ 32 มิใช่ลักษณะ เป็นเพียงนามว่ามหาปุริสลักษณะ 32" "สุภูติ ! หากมีกุลบุตร กุลธิดา ได้ใช้ชีวิตเปรียบเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน แต่หากไม่มีบุคคล รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงแค่โฉลก 4 บทมาประกาศสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาดังกล่าวจะมากมายยิ่งกว่านัก" !
14 ห่างลักษณ์ นิโรธ
ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสพระสูตรอันลึกซึ้งลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยสดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! หากได้มีบุคคลสดับพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็จะบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา" ข้าแต่พระสุคต ! อันว่าลักษณ์แท้ มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงจตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ ยังไม่นับว่ายาก แต่ในอนาคตกาลหลัง 500 ปี ได้มีเวไนยสัตว์ที่ได้สดับฟังพระสูตรฉบับนี้จนเกิดความกระจ่างและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับว่ายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหตุใด ? บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ ก็มิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด ? ห่างจากเหล่าลักษณะ จึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธะทั้งหลายแล" พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่าบุคคลนี้ หาได้ยากนักหนา เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม" "สุภูติ ! ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ เพราะเหตุใด ? ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาท สุภูติ ! หวนระลึกกลับไปเมื่อ 500 ชาติก่อน สมัยที่เราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ " "ด้วยเหตุนี้ สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ควรห่างจากลักษณะทั้งปวง และบังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง ก็คือมิใช่ดำรง ดังนั้น พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน สุภูติ ! พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์ พึงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้" "ตถาคตกล่าวว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะ และกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง มิใช่เวไนยสัตว์ สุภูติ ! ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา ภูตวาจา ตถาวาจา อวิตถาวาจา อนัญญถวาจา สุภูติ ! ธรรมที่ตถาคตได้รับ ธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยม ไร้การว่างสูญ" "สุภูติ ! หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในธรรมและบริจาคทาน ก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนที่มีดวงตาที่ยามแสงสุรีย์สาดส่อง ก็จะเห็นสรรพสีสันนานา สุภูติ ! ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคต ด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้ "
15 บุญกุศลของการถือสูตร
"สุภูติ ! หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา
ยามเช้า ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน
ยามเที่ยง ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน
ยามเย็น ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจากทาน และได้กระทำเช่นนี้นับร้อยพันหมื่น กระทั่งร้อยล้านกัลป์ จนไม่อาจประมาณได้ แต่หากได้มีบุคคลรับสดับพระสูตรนี้ จนบังเกิดจิตศรัทธาไม่คัดค้าน บุญที่ได้ยังเหนือยิ่งกว่าบุญแรก จึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงได้มีการคัดเขียนและถือปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่บุคคลอื่นเลย สุภูติ ! โดยสรุปความสำคัญแล้ว พระสูตรนี้เป็นบุญกุศลอันไร้ขอบเขตและมิอาจคาดคะเนได้ ซึ่งตถาคตจะกล่าวแก่ผู้มุ่งในมหายาน และจะกล่าวแก่ผู้มุ่งต่ออนุตตรยาน และหากมีบุคคลที่รับสนองปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่ผู้คนอย่างกว้างขวาง ตถาคตล้วนรู้บุคคลนี้ ล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างได้ประสพความสำเร็จในบุญกุศลที่มิอาจคะเน มิอาจประมาณ ไร้ขอบเขตและมิอาจจินตนาการ บุคคลดังนี้เป็นต้น ก็จะเป็นผู้แบกรับอนุตตรสัมมาสัมโพธิของพระตถาคต เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! หากบุคคลใดเป็นผู้ยินดีในธรรมวิธีอันคับแคบยึดติดในอาตมะทัศนะ บุคคละทัศนะ สัตวะทัศนะ ชีวะทัศนะ ก็จะมิอาจจะสนองรับสดับสวดท่องในพระสูตรนี้ เหล่าเทพมนุษย์อสสูรในโลก ล้วนต้องบูชาสักการะ ควรรู้ว่าสถานที่นี้ ก็คือสถูปเจดีย์ ล้วนควรเคารพนบไหว้ กระทำประทักษิณ และนำบุปผชาตินานาพรรณมาเกลี่ยบูชา"
16 สามารถบริสุทธิ์ผลกรรม
อนึ่ง สุภูติ ! หากมีกุลบุตร กุลธิดา รับสนองปฏิบัติสวดสาธยายพระสูตรนี้ และยังได้ถูกบุคคลอื่นหมิ่นประมาท อันบาปกรรมบุคคลนี้แต่อดีตชาติ ควรต้องตกสู่ทุคติภูมิ แต่ด้วยเหตุที่ถูกดูหมิ่นย่ำยีจากผู้คนในชาตินี้ อันบาปกรรมในอดีตชาติ ก็จะดับสูญไป และจะได้รับอนุตตรสัมมาสัมโธิ" "สุภูติ ! เราได้ย้อนระลึกไปในอดีตนับด้วยอสงไขยกัปอันจักประมาณมิได้ ที่เป็นกาลก่อนสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า เราได้เฝ้าปฏิบัติบูชาต่อจำนวนพระพุทธเจ้านับแปดร้อยสี่พันร้อยล้านโกฏิอายุตะองค์โดยมิเคยละเลยว่างเว้น แต่หากมีบุคคลอื่น ในยุคปลายแห่งอนาคต ที่สามารถรับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ จักมากมายยิ่งกว่าบุญกุศลที่เราได้บูชาพระพุทธเจ้า แม้เป็นหนึ่งในร้อยก็มิอาจได้ หรือกระทั่งหนึ่งในพันหมื่นร้อยล้านก็ยังมิอาจเทียม จนกระทั่งเป็นสิ่งที่จำนวนตัวเลขมิอาจกล่าวบรรยายได้เลย" "สุภูติ ! หากมีกลุบุตร กุลธิดาในยุคปลายแห่งอนาคต ได้มีการสดับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ หากเราจะกล่าวให้ชัดเจน และมีบุคคลใดที่ได้รับฟัง ก็จะเกิดความวุ่นวายแก่จิต มีวิจิกิจฉาไม่เชื่อถือเลย สุภูติ ! ควรรู้ความหมายของพระสูตรนี้มิอาจจินตนาการ ผลานิสงส์ก็มิอาจจินตนาการด้วยเช่นกัน"
17 ที่สุดคือไร้อาตมะ
โดยสมัยนั้นแล สุภูติได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! กุลบุตร กุลธิดา เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงจิตอย่างไร ? และควรสยบจิตอย่างไร ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก้สุภูติว่า "กุลบุตร กุลธิดา เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ควรบังเกิดจิตใจดั่งนี้ว่า เราจะขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวง เมื่อได้ขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวงเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีเวไนยสัตว์แม้นเพียงหนึ่งที่ได้รับการขจัดฉุดช่วย เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์มีอาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ ก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตเลย" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นใด ? ตถาคตประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิฤา ?" "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจในความหมายแห่งธรรมอรรถของพระพุทธองค์ ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย " พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! หากมีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้วไซร์ พระทีปังกรพุทธเจ้าก็จะไม่ทรงประทานจุดแก่เรา และตรัสพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาล จักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี ก็เพราะว่าไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ฉะนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงได้ประทานจุดแก่เรา และพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาลจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี เพราะเหตุใด ? อันว่าตถาคตนั้น ก็คือสหธรรมทั้งปวงดั่งความหมายแห่งตถตา หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! อนุตตรสัมมาสัมโพธิที่ตถาคตได้รับ ในความจริงไร้ความเต็มเปี่ยม ไร้ความว่างสูญ ด้วยเช่นนี้ ธรรมทั้งปวงที่ตถาคตกล่าว ล้วนเป็นพุทธธรรม สุภูติ ! ธรรมทั้งปวงที่ได้กล่าวมิใช่ธรรมทั้งปวงเป็นเพียงนามว่าธรรมทั้งปวงเท่านั้น"
สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ก็ควรเป็นเช่นนี้ หากกล่าวกันเช่นนี้ว่า เราจักขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์อันไม่อาจคะเนนี้ได้ ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! แท้จริงไม่มีธรรมเรียกพระโพธิสัตว์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งปวง ไร้อาตมะ ไร้บุคคละ ไร้สัตวะ ไร้ชีวะ" สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์มีวาทะกล่าวเช่นนี้ว่า เราจักตบแต่งอลังการพุทธเกษร ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่า ตบแต่งอลังการพุทธเกษร มิใช่อลังการ เป็นเพียงนามว่าอลังการเท่านั้น สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์แจ่มแจ้งแทงตลอดในธรรมอันไร้อาตมะแล้ว ตถาคตจึงจะกล่าวว่า เป็นนามพระโพธิสัตว์จริง"
18 กายเดียวร่วมทัศนะ
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีมังสจักษุฤา ?" "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีมังสจักษุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีทิพยจักษุฤา ? " "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีทิพย์จักษุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ตถาคตมีปัญญาจุกษุฤา ?" "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีปัญญาจักษุ" "สุภูติ ! ในความหมายน้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีธรรมจักษุฤา ?" "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีธรรมจักษุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีพุทธจักษุฤา ?" "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีพุทธจักษุ"
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาดั่งเม็ดทรายทั้งหมดในคงคานที ตถาคตกล่าวว่าคือทรายฤา ?" "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตตรัสว่าเป็นทราย " "สุภูติิ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาให้เม็ดทรายทั้งหมดในหนึ่งสายคงคานที เปรียบให้เป็นคงคานทีอีก และให้จำนวนเม็ดทรายในคงคานทีเหล่านี้ คือะพุทธโลกธาตุ ด้วยจำนวนนี้ถือว่ามากหรือไม่ ? " "มากยิ่งนักข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "ในอาณาดินแดนของเธอ ปวงเวไนยสัตว์ทั้งหลายมีใจในประเทศต่าง ๆ กันตถาคตล้วนแจ่มแจ้งภายในใจต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่าใจเหล่านี้ล้วนมิใช่ใจ เป็นเพียงนามว่าใจ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด ? "สุภูติ ! ใจอดีตไม่ควรมีใจปัจจุบันไม่ควรมี ใจอนาคตไม่ควรมี "
19 แจ้งในความแปรแห่งธรรมชาติ "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? หากมีบุคคลนำสัปตรัตนะที่มีปริมาณเปี่ยมมหาตรีสหัสโลกธาตุมาบริจาดทาน บุคคลนี้ ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ ได้รับผลบุญมากมายหรือไม่ ?" "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! บุคลนี้ด้วยเหตุปัจจับเช่นนี้ ได้รับบุญมากมายยิ่ง " "สุภูติ ! หากบุญวาสนามีจริงตถาคตจะไม่กล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย แต่เนื่องด้วยบุญวาสนาไม่มี ตถาคตจึงกล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย"
20 ห่างรูป ห่างลักษณ์
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตสามารถเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะลักษณะที่พร้อมมูลหรือไม่ ?" "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตไม่ควรเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะที่พร้อมมูล เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า เหล่าลักษณะพร้อมมูล มิใช่เหล่าลักษณะพร้อมมูล เป็นเพียงนามว่าเหล่าลักษณะพร้อมมูล
21 มิได้กล่าวในสิ่งที่กล่าว
"สุภูติ ! เธออย่ากล่าวว่า ตถาคตได้มนสิการว่า เราได้มีการแสดงธรรม อย่าได้นมสิการเช่นนั้น เพราะเหตุใด ? หากมีคนกล่าวว่าตถาคตได้มีการแสดงธรรม ก็จะเป็นการกล่าวหาพระพุทธเจ้า เพราะเขาผู้นั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจในพระวจนะของเรา สุภูติ ! อันว่าแสดงธรรมนั้น ไม่มีธรรมที่จะแสดง เป็นเพียงนามว่าแสดงธรรมเท่านั้น" ก็โดยสมัยนั้นแล สุภูติผู้มีปัญญาชีพได้ทูลถามพระสุคตว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ยังจักจะมีเวไนยสัตว์ในอนาคตกาลที่ได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้วบังเกิดศรัทธาจิตหรือไม่ ?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! ที่กล่าวนั้นไม่ใช่เวไนยสัตว์ มิไม่ใช่เวไนยสัตว์ เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! อันว่าเวไนยสัตว์นั้นตถาคตกล่าวว่ามิใช่เวไนยสัตว์ เป็นเพียงนามว่าเวไนยสัตว์"
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/p480x480/1003500_489038807837813_2107482276_n.jpg)
22 ไร้ธรรมที่จะรับได้
สุภูติได้ทูลถามพระพุทธโลกนาถว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นการไร้การได้อย่างนั้นหรือ ?" พระพุทธองค์ตรัสว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! สำหรับเราในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แม้ธรรมเพียงน้อยนิดก็ไม่มีได้ เป็นเพียงนามว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิ"
23 ชำระใจ ปฏิบัติความดี
"อนึ่ง สุภูติ ! ธรรมนั้นเสมอภาค ไม่มีสูงต่ำ จึงจะนามว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ เนื่องด้วยไร้อาตมะ ไร้บุคคละ ไร้สัตวะ ไร้ชีวะมาบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง ก็จะได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! กุศลธรรมที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่กุศลธรรม เป็นเพียงนามว่ากุศลธรรม"
24 บุญปัญญา มิอาจเปรียบ
"สุภูติ ! ถ้ามีบุคคลนำเอากองแห่งสัปตรัตนะสูงเท่าเหล่าขุนเขาพระสุเมรุในมหาตรีสหัสโลกธาตุ มาบริจาคทาน แต่หากมีบุคคลอาศัยปรัชญาปารมิตาสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท มารับสนองปฏิบัติสวดท่อง และกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาแรกเมื่อเทียบกับบุญหลังจะไม่ถึงแม้นหนึ่งส่วนร้อย ไม่ถึงแม้นหนึ่งในร้อยพันแสนโกฏิส่วน กระทั่งมิอาจใช้ตัวเลขอุปมาเปรียบเทียบได้"
25 แปร ไร้สิ่งที่ได้แปร
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เธอทั้งหลายอย่าได้คิดว่าตถาคตมนสิการว่า เราเป็นผู้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ สุภูติ ! อย่าได้เข้าใจเช่นนั้น เพราะเหตุใด ? ความจริงไม่มีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตฉุดช่วย หากมีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตได้ฉุดช่วย ตถาคตก็จะมีอาตมะ บุคคละ สัตวะ ชีวะลักษณะ" "สุภูติ ! ตถาคตมักกล่าวว่า มีเรา ! มีเรา ! แท้จริงมิใช่มีเรา แต่ปุถุชนกลับคิดว่ามีเรา สุภูติ ! อันปุถุชนนั้น ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ปุถุชน เป็นเพียงนามว่าปุถุชน""
26 ธรรมกาย มิใช่ลักษณะ
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?" สุถูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือพระตถาคตซิ" สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย" โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า
หากอาศัยรูปเห็นเรา อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม ไม่อาจเห็นตถาคตได้
27 ไร้การตัด ไร้การดับ
"สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ว่า ตถาคตไม่อาศัยลักษณะพร้อมมูลเป็นเหตุ ให้ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ก็จักกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงขาดสูญ อย่าได้คิดเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด ? ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมจักไม่คิดว่ามีลักษณะแห่งการขาดสูญ"
28 ไม่เวทนา (ไม่รับ) ไม่โลภ
"สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์ได้นำสัปตรัตนะปูเต็มทั่วจำนวนโลกธาตุที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานที เพื่อบริจาคทาน หากแต่ได้มีบุคคลแจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวงว่าไร้อััตตา จนได้สำเร็จในขันติ พระโพธิสัตว์องค์นี้จะได้รับบุญกุศลมากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์องค์แรก เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! นั่นเป็นเพราะปวงพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนานั่นเอง" สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! เหตุไฉนพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา ?" "สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ไม่ควรมีความโลภยึดต่อบุญวาสนาที่ได้สร้าง ดังนั้นจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา"
29 อิริยาบทสง่า เงียบสงบ
"สุภูติ ! หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตบ้างมาบ้างไป บ้างนั่งบ้างนอน บุคคลนี้คือผู้ที่ไม่เข้าใจในความหมายของเรากล่าว เพราะเหตุใด ? อันตถาคตนั้นคือ ไร้การมา ทั้งไร้การไป จึงจะนามว่าตถาคต"
30 หลักการเอกฆนลักษณะ
"สุภูติ ! หากกุลบุตร กุลธิดา นำมหาตรีสหัสโลกธาตุมาป่นเป็นฝุ่นละออง ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าฝุ่นละอองนี้นับว่ามากมายหรือไม่ ? " สุภูติกราบทูลว่า "มากยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! เพราะเหตุใด ? หากเหล่าฝุ่นละอองนี้มีอยู่จริง พระสุคตจักไม่ตรัสว่า คือเหล่าฝุ่นละออง ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? พระสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เหล่าฝุ่นละออง มิใช่เหล่าฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าเหล่าฝุ่นละออง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! มหาตรีสหัสโลกธาตุที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใด ? หากโลกธาตุมีอยู่จริง ก็คือเอกฆนลักษณะ มิใช่เอกฆนลักษณะเป็นเพียงนามว่าเอกฆนลักษณะ"
"สุภูติ ! เอกฆนลักษณะนั้น คือสิ่งที่มิอาจกล่าว แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนมักโลภยึดในเรื่องราวดังกล่าว"
31 รู้เห็น ไม่เกิด
"สุภูติ ! หากมีบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวอาตมะทัศนะ บุคคละทัศนะ สัตวะทัศนะ ชีวะทัศนะ สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? บุคคลนี้ถือว่าเข้าใจในความหมายที่เรากล่าวหรือไม่ ?" "ไม่แล ! ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! บุคคลนี้ถือว่าไม่เข้าใจในความหมายที่พระตถาคตตรัส เพราะเหตุใด ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาตมะทัศนะ บุคคลทัศนะ สัตวะทัศนะชีวะทัศนะ มิใช่ อาตมะทัศนะ บุคคลทัศนะ สัตวะทัศนะ ชีวะทัศนะ" "สุภูติ ! ผู้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมทั้งปวง ควรที่จะรู้เช่นนี้ ควรที่จะเห็นเช่นนี้ ด้วยการเชื่อมั่นเข้าใจเช่นนี้ ก็จะไม่บังเกิดธรรมะลักษณะ สุภูติ ! ธรรมลักษณะที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่ธรรมลักษณะ เป็นเพียงนามว่าธรรมลักษณะ"
(https://lh4.googleusercontent.com/-NO-OR-fkWlY/UfuTSmwaYVI/AAAAAAABVFk/h-AlbRFVQy0/w426-h559/photo.jpg)
32 สนองแปลง มิใช่จริง
"สุภูติ ! หากมีบุคคลได้นำสัปตรัตนะมาเติมเต็มอสงไขยโลกธาตุอันไร้จำกัด ใช้ในการบริจาคทาน แต่หากมีกุลบุตร กุลธิดาได้บังเกิดในโพธิจิต ปฏิบัติในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาท มารับสนองปฏิบัติสวดท่องกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญนี้ยังจะมากยิ่งกว่าอย่างแรก แต่ควรกล่าวสาธยายแก่บุคคลอื่นอย่างไร ? ไม่ยึดในลักษณะ ตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพโดยไม่หวั่นไหวเพราะเหตุใด ?
สังขธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงา
ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้
เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบ ผู้อาวุโสสุภูติ รวมทั้งเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนปวงเทพ มนุษย์ อสูรในโลกทั้งหลาย ได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นี้แล้ว ก็พากันอนุโมทนาชื่นชมยินดี มีความศรัทธาน้อมรับไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล
จบพระสูตร
(https://lh4.googleusercontent.com/-V876ErWjI4w/UfJhVfjBiKI/AAAAAAAAunc/gL12xjioyh0/w426-h643/lotus_flower_.gif)