ใต้ร่มธรรม

แสงธรรมนำใจ => ดอกบัวโพธิสัตว์ => ข้อความที่เริ่มโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 22, 2013, 03:04:54 pm

หัวข้อ: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 22, 2013, 03:04:54 pm


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/296776_295979057098614_445594522_n.jpg)

พุทธศาสนสุภาษิต

        คำสอนในพระพุทธศาสนามีองค์ 9 ประการ ที่เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และ เวทัลละ พุทธศาสนสุภาษิต ได้มาจากเนื้อหาที่ปรากฎอยู่ในคำสอนดังกล่าว ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นเนื้อความสั้น ๆ ที่ทรงคุณค่า ให้ข้อคิด ข้อเตือนใจ ให้ผู้ที่ได้ศึกษาแล้ว มีความรู้ความเข้าใจ และยึดถือเป็นหลักธรรมประจำใจ เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางที่ถูกที่ควร ตรงทาง อันจะนำไปสู่ความสุข ความเจริญงอกงามในชีวิตของตน แล้วยังเป็นการเสริมสร้างสันติสุข ในสังคมโลกอีกด้วย

       พุทธศาสนสุภาษิต คือ สุภาษิต ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรัสไว้ ซึ่งมีคุณค่าสูงส่ง สามารถใช้ได้ทั้งเป็นแนวทางดำเนินชีวิต เตือนใจ หาคำตอบที่ดีสำหรับปัญหาที่สงสัย หรือ แม้แต่เตือน สติ ให้เรา หู ตา สว่าง เกิดปัญญาเข้าใจ ได้อุบายที่ดีในการดำเนินชีวิต การแก้ปัญหา และพ้นจากเครื่องเศร้าหมองได้

       พุทธศาสนสุภาษิต เป็นที่นิยมของหมู่ชนทั้งหลาย ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนาต่างก็มีสุภาษิตในหมู่ของตน คำสุภาษิตนั้น เป็นคำสั้นๆ จำได้ ไม่ยากเย็น อีกทั้งไพเราะ และมีความหมาย ลึก กินใจ มีคุณค่า และประโยชน์ แก่ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ผู้ที่อยู่ในวัยเรียน วัยทำงาน วัยครองเรือน วัยสูงอายุ หากมีเวลา ให้แก่พระศาสนาบ้าง เพียงอ่าน และท่องจำวันละบท ศึกษาให้เข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จะบังเกิดประโยชน์แก่ตนเอง และ ผู้อื่นโดยทั่วไป

หมวดเบื้องต้น
หมวดบุคคล
หมวดการศึกษา
หมวดวาจา
หมวดอดทน

หมวดความเพียร
หมวดความโกรธ
หมวดการชนะ
หมวดความประมาท
หมวดความไม่ประมาท

หมวดตน- ฝึกตน
หมวดมิตร
หมวดคบหา
หมวดสร้างตัว
หมวดการปกครอง

หมวดสามัคคี
หมวดเกื้อกูลสังคม
หมวดพบสุข
หมวดทาน
หมวดศีล

หมวดจิต
หมวดปัญญา
หมวดศรัทธา
หมวดบุญ
หมวดความสุข

หมวดธรรม
หมวดกรรม
หมวดกิเลส
หมวดบาป-เวร
หมวดทุกข์-พ้นทุกข์

หมวดชีวิต-ความตาย
หมวดพิเศษ

หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 22, 2013, 03:07:51 pm


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1173713_672732772756572_345327033_n.jpg)

หมวดเบื้องต้น
ตนเป็นที่พึ่งของตน
ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์
คนขยัน ย่อมหาทรัพย์ได้
คนโง่ คนพาล ไม่ควรเป็นผู้นำ
ชนะตนนั่นแหละประเสริฐกว่า
พูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น
คำจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก
บัณฑิตย่อมฝึกตน
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

จงเตือนตน ด้วยตนเอง
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบไม่มี
บิดามารดา เป็นบูรพาจารย์ของบุตร
คนเห็นแก่ตัว เป็นคนสกปรก
ความมีสติป้องกันความเลวร้ายได้
คนโกรธย่อมฆ่าได้แม้มารดาของตน
ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา
เมื่อคบคนดีกว่าตน ตนเองก็ดีขึ้นมาทันที
อยู่ร่วมกับคนชั่ว ย่อมมีแต่ความทุกข์
คนเกียจคร้าน ย่อมไม่พบความสุข

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ความเป็นเพื่อนไม่มีในคนพาล
ผู้ฝึกตนได้เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์
พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
วาจาของคน ย่อมส่องเห็นน้ำใจ
ปราชญ์ว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐที่สุด
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้
ถ้าจะทำ ก็ควรทำให้จริง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ความชั่วเมื่อทำแล้ว ย่อมเดือนร้อนภายหลัง
คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร
คบคนดี ย่อมเจริญขึ้น
ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี
ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะย่อมนำสุขมาให้
การไม่คบคนชั่วเป็นมิตร เป็นมงคลอันอุดมยิ่ง
ความอดทน นำสุขมาให้

กินคนเดียว ย่อมไม่ได้ความสุข
เมตตา เป็นเครื่องค้ำจุนโลก (กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
พึ่งสละ ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และ ชีวิต เพื่อรักษาธรรม (ความถูกต้อง)

หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 22, 2013, 04:01:40 pm

หมวดบุคคล

คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก
ผู้มีความรู้ในทางที่ชั่ว เป็นผู้เสื่อม
ผู้มีความรู้ในทางที่ดี เป็นผู้เจริญ
พวกโจร เป็นเสนียดของโลก

ผู้เกลียดธรรม เป็นผู้เสื่อม
ผู้ชอบธรรม เป็นผู้เจริญ
สตรีเป็นมลทินของพรหมจรรย์
ผู้เคารพผู้อื่น ย่อมมีความเคารพตนเอง
ควรทำแต่ความเจริญ อย่าเบียดเบียนผู้อื่น

ความสัตย์นั่นแล ดีกว่ารสทั้งหลาย
คนย่อมเป็นที่เกลียดชัง เพราะขอมาก
ผู้ถึงพร้อมด้วยองคคุณ หาได้ยาก
คนเมื่อโกรธแล้ว มักพูดมาก
คนเมื่อรักแล้ว มักพูดมาก

พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง
วิญญูชนตำหนิ ดีกว่าคนพาลสรรเสริญ
บุรุษอาชาไนย หาได้ยาก
ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง
คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย

บรรพชิตผู้ไม่สำรวม ไม่ดี
พระราชา เป็นเครื่องปรากฏของแว่นแคว้น
สัตบุรุษ ไม่มีในชุมนุมใด ชุมนุมนั้นไม่ชื่อว่าสภา
กวีเป็นที่อาศัยแห่งคาถาทั้งหลาย
สัตบุรุษ ไม่ปราศรัยเพราะความได้กาม

ผู้ฟังมาก ต้องพิจารณาเป็นสำคัญ
มีบางคนในโลกที่ยับยั้งการกระทำด้วยความละอาย
คนจะประเสริฐ ก็เพราะการกระทำ และ ความประพฤติ
อ่อนไป ก็ถูกเขาหมิ่น แข็งไป ก็มีภัยเวร
คนได้เกียรติ เพราะความสัตย์

บัณฑิตย่อมรักษาอินทรีย์
พระมหากษัตริย์ทรงเครื่องรบ ย่อมสง่า
สมณะในศาสนานี้ ไม่เป็นข้าศึกในโลก
บัณฑิตย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง
ผู้ขอย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ถูกขอ

บุตรเป็นที่ตั้งของมนุษย์ทั้งหลาย
บัณฑิตมีความไม่เพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง
สมณะ พึงตั้งอยู่ในภาวะแห่งสมณะ
คนมีปัญญาทราม ย่อมพร่าประโยชน์เสีย
ไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา

ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
คนผู้มีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ
คนซื่อตรง ไม่พูดคลาดความจริง
ผู้มีปัญญาย่อมไม่ขอเลย
คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข

สามีเป็นเครื่องปรากฎของสตรี
ผู้ไหว้ ย่อมได้รับการไหว้ตอบ
ผู้ทำสักการะ ย่อมได้รับการสักการะ
ไม่ควรดูหมิ่นลาภของตน
คนมีสติ เป็นผู้ประเสริฐทุกวัน

คนอ่อนแอ ก็ถูกเขาดูหมิ่น
มีญาติมาก ๆ ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
สตรี เป็นสูงสุดแห่งสิ่งของทั้งหลาย
ผู้รักษา ควรมีสติรักษา
ได้สิ่งใด พึงพอใจในสิ่งนั้น

สมณะ พึงเป็นสมณะที่ดี
อสัตบุรุษ ย่อมไปนรก
ผู้บูชา ย่อมได้รับการบูชา
สติ เป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก
สติจำเป็นในที่ทั้งปวง

คนโง่ ไม่ควรเป็นผู้นำ
พระราชา เป็นประมุขของประชาชน
ผู้ใดไม่พูดเป็นธรรม ผู้นั้นไม่ใช่สัตบุรุษ
อสัตบุรุษ แม้นั่งอยู่ในที่นี้เองก็ไม่ปรากฎ เหมือนลูกศรที่ยิงไปกลางคืน
ฤษีทั้งหลาย มีสุภาษิตเป็นธงชัย

ผู้ประกอบด้วยทมะ และ สัจจะนั้นแล ควรครองผ้ากาสาวะ
พึงตามรักษาความสัตย์
สัตบุรุษมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
บรรดาภริยาทั้งหลาย ภริยาผู้เชื่อฟังเป็นผู้ประเสริฐ
ปราชญ์ มีกำลังบริหารหมู่ให้ประโยชน์สำเร็จได้

ความสันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นำสุขมาให้
คนมีปัญญาทราม ย่อมแนะนำในทางที่ไม่ควรแนะนำ
พูดอย่างใด พึงทำอย่างนั้น
ความสงัดของผู้สันโดษมีธรรมปรากฎ เห็นอยู่ นำสุขมาให้
สัตบุรุษยินดีในการเกื้อกูลสัตว์

ผู้สงบระงับ ย่อมอยู่เป็นสุข
มารดา บิดา ท่านว่าเป็นพรหมของบุตร
สัตบุรุษไม่ปราศรัยเพราะใคร่กาม
ผู้ถูกขอเมื่อไม่ให้สิ่งที่เขาขอ ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ขอ
คนมีปัญญา ย่อมไม่ประกอบในทางอันไม่ใช่ธุระ

บรรพชิตฆ่าผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นสมณะเลย
คนโง่ มีกำลังบริหารหมู่ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์
คนฉลาด ย่อมละบาป
พึงประพฤติให้พอเหมาะพอดี
ผู้มุ่งประโยชน์โดยไร้อุบาย ย่อมลำบากที่จะได้ประโยชน์นั้น

ชื่อว่าบัณฑิตย่อมทำประโยชน์ให้สำเร็จได้แล
คนมีปัญญาทราม ย่อมทำความประทุษร้าย
ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข
คนแข็งกระด้างก็มีเวร
กลิ่นของสัตบุรุษย่อมหวนทวนลมได้

ท่านผู้เป็นที่พึ่ง ย่อมประกอบด้วยกรุณายิ่งใหญ่
ภริยาผู้ฉลาด ย่อมนับถือสามี และ คนที่ควรเคารพทั้งปวง
มารดาบิดาท่านว่าเป็นบูรพาจารย์ (ของบุตร)
ปราชญ์ได้โภคทรัพย์แล้ว ย่อมสงเคราะห์ญาติ
สัตบุรุษได้ตั้งมั่นในความสัตย์ที่เป็นอรรถและเป็นธรรม

ผู้ปราศจากทมะ และ สัจจะ ไม่ควรครองผ้ากาสาวะ
อสัตบุรุษย่อมไปนรก
คนมีปัญญาทราม ย่อมประกอบการอันไม่ใช่ธุระ
ผู้มีความดีจงรักษาความดีของตนไว้
มารดาบิดาเป็นที่นับถือของบุตร

สาธุชนย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น
ผู้กินคนเดียว ไม่ได้ความสุข
สัตบุรุษ ยินดีในการเกื้อกูลสัตว์
สัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล เหมือนภูเขาหิมพานต์
สัตบุรุษ ย่อมขจรไปทั่วทุกทิศ

ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด
คนมีปัญญา ย่อมแนะนำในทางที่ควรแนะนำ
บรรดาบุตรทั้งหลาย บุตรผู้เชื่อฟังเป็นผู้ประเสริฐ
พระราชาจงรักษาประชาราษฎร์
พระมหากษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุด

๐คนโง่รู้สึกว่าตนโง่ จะเป็นผู้ฉลาดเพราะเหตุนั้นได้บ้าง
๐บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
๐บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองเหมือนไฟที่ส่องทางสว่าง
๐บุรุษจะเป็นบัณฑิตในทุกสถานก็หาไม่ สตรีคิดการได้ฉับไวก็เป็นบัณฑิต
๐ไม่พึงดูหมิ่นลาภของตน ไม่ควรเที่ยวปรารถนาลาภของผู้อื่น ภิกษุปรารถนาลาภของผู้อื่น ย่อมไม่บรรลุสมาธิ

๐ถ้าท่านกลัวทุกข์ ถ้าท่านไม่รักทุกข์ ก็อย่าทำบาปกรรมทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ
๐ผู้ใดเป็นผู้เยือกเย็น ไม่มีอุปธิ ไม่ติดในกาม ผู้นั้นเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ดับแล้ว อยู่เป็นสุขทุกเมื่อ
๐ชนเหล่าใดฉลาดในขนบธรรมเนียมโบราณ และประกอบด้วยจารีตประเพณีดี ชนเหล่านั้นย่อมไม่ไปสู่ทุคคติ
๐ผู้ใดจักไม่ทำตามโอวาทที่ผู้รู้ได้บอกแล้ว ผู้นั้นจักถึงความย่อยยับ เหมือนพ่อค้า ถึงความย่อยยับเพราะพวกโจรสลัดฉะนั้น
๐ผู้ใดรีบในกาลที่ควรช้า และ ช้าในกาลที่ควรรีบ ผู้นั้นเป็นคนเขลา ย่อมถึงทุกข์ เพราะการจัดทำโดยไม่แยบคาย

๐ผู้ใดทำกรรมชั่วแล้ว ละเสียได้ ด้วยกรรมดี ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น
๐ผู้ใดช้าในการที่ควรช้า และ รีบในการที่ควรรีบ ผู้นั้นเป็นผู้ฉลาด ย่อมถึงสุข เพราะการจัดทำโดยแยบคาย
๐ผู้บรรลุธรรมอย่างสูงสุดไม่มีความต้องการในโลกทั้งปวง ย่อมไม่เศร้าโศกในความตาย เหมือนผู้ออกพ้นจากเรือนที่ถูกไฟใหม้
๐ผู้ใดเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรม บัณฑิตย่อมสรรเสริญผู้นั้นในโลกนี้ เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์
๐ผู้ใดไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่ ถึงความหมดจด มีทิฏฐิสมบูรณ์ มีปัญญา พึงรู้ว่าผู้นั้นเป็นอริยะ

๐ใคร่ครวญติ คนฉลาดจะประพฤติไม่ขาด ตั้งมั่นด้วยปัญญาและศีล ประดุจแท่งทองชมพูนุท
๐ผู้ใดยกย่องตน และดูหมิ่นผู้อื่น เป็นคนเลว เพราะการถือตัวเอง พึงรู้ว่าผู้นั้นเป็นคนเลว
๐ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง และ ไม่มีเวรกับใคร ๆ
๐ผู้ไม่โกรธ ฝึกตนแล้ว เป็นอยู่อย่างสม่ำเสมอ หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ สงบระงับ และ คงที่ จะมีความโกรธมาแต่ไหน
๐มุนีเหล่าใด เป็นผู้ไม่เบียดเบียน สำรวมทางกายเป็นนิตย์ มุนีเหล่านั้น ย่อมไปสู่สถานไม่จุติ ที่ไปแล้วไม่ต้องเศร้าโศก

๐ผู้ใดตัดความข้องทั้งปวงแล้ว บรรเทาความกระวนกระวายใจได้, ผู้นั้นถึงความสงบใจ เป็นผู้สงบระงับ ย่อมอยู่เป็นสุข
๐ถ้าเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์ สงบและยินดีในทางสงบแล้ว จึงชื่อว่าชนะมาร พร้อมทั้งพาหนะ ทรงไว้ซึ่งกายอันมีในที่สุด
๐ผู้ที่มารดาบิดาเลี้ยงมาโดยยากอย่างนี้ ไม่บำรุงมารดาบิดา ประพฤติผิดในมารดาบิดาย่อมเข้าถึงนรก
๐ความโกรธเกิดขึ้นแก่คนโง่เขลาไม่รู้แจ้ง เพราะความแข่งดี เขาย่อมถูกความโกรธนั้นแลเผา
๐ผู้ไม่สันโดษด้วยภริยาของตน ย่อมซุกซนในหญิงแพศยา และประทุษร้ายภริยาของคนอื่น นั่นเป็นเหตุแห่งความเสื่อม

๐คนไม่มีโชค มีศิลป์หรือไม่มีศิลป์ก็ตาม ขวนขวายรวบรวมทรัพย์ใดไว้ได้เป็นอันมาก ส่วนคนมีโชค ย่อมบริโภคทรัพย์เหล่านั้น
๐ราคะโทสะ และอวิชชา อันผู้ใดหลุดพ้นแล้ว, ผู้นั้นเป็นผู้คงที่ มีสายล่ามขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูก ย่อมไม่ติดในที่นั้น
๐นรชนผู้กำหนัดในกาม ยินดีในกาม หมกมุ่นในกาม ทำบาปทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงทุคคติ
๐ผู้ใดมักโกรธ ผูกโกรธไว้ ลบหลู่เขาด้วยความชั่ว มีความเห็นวิบัติ มีมายา พึงรู้ว่าคนนั้นเป็นคนเลว
๐บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงผู้นิ่งทางกาย นิ่งทางวาจา นิ่งทางใจ ไม่มีอาสวะ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ผู้ละสิ่งทั้งปวงได้ ว่าเป็นมุนี

๐บุคคลไม่ควรนิยมการกล่าวคำเท็จ ไม่ควรทำความเสน่หาในรูปโฉม ควรกำหนดรู้มานะ และ ประพฤติงดเว้นจากความผลุนผลัน
๐บุรุษจะเป็นบัณฑิตในที่ทั้งปวงก็หาไม่, แม้สตรีก็เป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉียบแหลมในที่นั้น ๆ ได้เหมือนกัน
๐ผู้ตั้งใจประพฤติตนเป็นคนโสด เขารู้กันว่าเป็นบัณฑิต, ส่วนคนโง่ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง
๐คนเขลาคิดว่าเรามีบุตร เรามีทรัพย์ เขาจึงเดือนร้อน ที่แท้ตนของตนก็ไม่มี จะมีบุตร มีทรัพย์มาแต่ไหนเล่า
๐ผู้ใดไม่มีความอาลัย รู้แล้ว หาความสงสัยมิได้ เราเรียกผู้หยั่งลงสู่อมตะบรรลุประโยชน์แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์

๐คนเหล่าใดเขลา มีปัญญาทราม มีความคิดเลว ถูกความหลงปกคลุม, คนเช่นนั้น ย่อมติดเครื่องผูกอันมารทอดไว้นั้น
๐บัณฑิตกล่าวถึงผู้มีกายสะอาด มีวาจาสะอาด มีใจสะอาด ไม่มีอาสวะ ถึงพร้อมด้วยความสะอาดล้างบาปแล้ว ท่านว่าเป็นผู้สะอาด
๐ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามทางที่สร่างความเมา บรรเทาความโศก เปลื้องสงสาร เป็นที่สิ้นทุกข์ทั้งปวง โดยความเคารพ
๐ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น
๐ผู้เป็นคนขัดเคืองเหนียวแน่น ปรารถนาลามก ตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย และ ไม่เกรงกลัวบาป พึงรู้ว่าผู้นั้นเป็นคนเลว

๐บัณฑิตไม่ศึกษา เพราะอยากได้ลาภ, ไม่ขุ่นเคือง เพราะเสื่อมลาภ, ไม่ยินดียินร้ายเพราะตัณหา และ ไม่ติดในรสทั้งหลาย
๐เมื่อสัตบุรุษให้สิ่งที่ให้ยาก ทำกรรมที่ทำได้ยาก, อสัตบุรุษย่อมทำตามไม่ได้ เพราะธรรมของสัตบุรุษ ยากที่อสัตบุรุษจะประพฤติตาม
๐บุคคลเป็นคนเลวเพราะชาติก็หาไม่ เป็นผู้ประเสริฐเพราะชาติก็หาไม่ แต่เป็นคนเลวเพราะการกระทำ เป็นผู้ประเสริฐเพราะการกระทำ
๐คนเหล่าใด อันเทวทูตตักเตือนแล้วยังประมาทอยู่ คนเหล่านั้นเข้าถึงกายอันเลว ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน
๐บัณฑิตขัดขวางโจรผู้นำของไป, ส่วนสมณะนำไปย่อมเป็นที่รัก, บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับสมณะผู้มาบ่อย ๆ

๐ผู้มีปรีชาได้โภคะแล้ว ย่อมสงเคราะห์หมู่ญาติ, เพราะการสงเคราะห์นั้น เขาย่อมได้เกียรติ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์
๐สัตบุรุษย่อมปรากฎได้ในที่ไกล เหมือนภูเขาหิมพานต์ อสัตบุรุษถึงนั่งอยู่ในที่นี้ก็ไม่ปรากฎ เหมือนกับลูกศรที่ยิงไปกลางคืน
๐ผู้ถูกมานะหลอกลวง เศร้าหมองอยู่ในสังขาร ถูกลาภและความเสื่อมย่ำยี ย่อมไม่ลุถึงสมาธิ
๐ผู้ใดเห็นศีล ปัญญา และสุตะ ในตน, ผู้นั้นย่อมประพฤติประโยชน์ตน และผู้อื่นทั้ง ๒ ฝ่าย
๐ผู้ใดมีสติเฉพาะหน้า เจริญเมตตาไม่มีประมาณ, สังโยชน์ของผู้เห็นความสิ้นแห่งอุปธินั้นย่อมเบาบาง

๐ความปรารถนาลามก ไม่ละอาย ไม่เอื้อเฟื้อ เพราะเหตุใด, เขาย่อมสร้างบาป เพราะเหตุนั้น เขาไปสู่อบายเพราะเหตุนั้น
๐ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ไปสู่แว้นแคว้น ตำบล หรือ เมืองหลวงใด ๆ ก็ตาม ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง
๐ผู้มีปัญญาเหล่าใด ประกอบด้วยศึล ยินดีในความสงบด้วยปัญญา ผู้มีปัญญาเหล่านั้น เว้นไกลจากความชั่วแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น
๐มารดาบิดา ท่านว่าเป็นพรหม เป็นบูรพาจารย์ เป็นที่นับถือของบุตร และเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร
๐ผู้ใดมีความสัตย์ มีธรรม มีความไม่เบียดเบียน มีความสำรวม และมีความข่มใจ ผู้นั้นแลชื่อว่าผู้มีปัญญา หมดมลทิน เขาเรียกท่านว่า เถระ

๐กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้ดังนี้แล้ว ไม่ใยดีในกามแม้เป็นทิพย์
๐ผู้ไม่ระเริงในอารมณ์ที่ชอบใจ ไม่ประกอบในความดูหมิ่น เป็นผู้ละเอียดเฉียบแหลม ย่อมไม่เชื่อง่าย ไม่หน่ายแหนง
๐สมณะภายนอกไม่มี, สังขารเที่ยงไม่มี, ความหวั่นไหวของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี, เหมือนรอยเท้าในอากาศ
๐ผู้มีสติย่อมหลีกออก ท่านไม่ยินดีในที่อยู่ ท่านย่อมละที่อยู่ได้ ดุจหงส์ละเปือกตมไปฉะนั้น
๐พระอรหันต์ทั้งหลาย อยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์

๐คนทรามปัญญาได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติแต่การอันไม่เกิดคุณค่าแก่ตน ปฏิบัติแต่ในทางที่เบียดเบียน ทั้งตน และ คนอื่น
๐เหตุอย่างหนึ่ง ทำให้คนหนึ่งได้รับการสรรเสริญ เหตุอย่างเดียวกันนั้น ทำให้อีกคนหนึ่งได้รับการนินทา
๐แผ่นดินนี้ ไม่อาจทำให้เรียบเสมอกันทั้งหมด ได้ฉันใด มนุษย์ทั้งหลายจะทำให้เหมือนกันหมดทุกคนก็ไม่ได้ฉันนั้น
๐ผู้ใด วิญญูชนพิจารณาดูอยู่ทุกวัน ๆ แล้วกล่าวสรรเสริญ ผู้นั้น ใครเล่าจะควรติเตียนเขาได้
๐คนที่ถูกนินทาอย่างเดียว หรือ ได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว ไม่เคยมีมา แล้วจักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ก็ไม่มี

๐คนจะชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ เพียงเพราะมีผมหงอกก็หาไม่ ถึงวัยของเขาจะหง่อม ก็เรียกว่าแก่เปล่า
๐สิ่งเดียวกันนั่นแหละดีสำหรับคนหนึ่ง แต่เสียสำหรับอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งใด ๆ มิใช่ว่าจะดีไปทั้งหมด และ ก็มิใช่จะเสียไปทั้งหมด
๐บุคคล รู้แจ้งธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว จากผู้ใด พึงนอบน้อมผู้นั้นโดยเคารพ เหมือนพราหมณ์นับถือการบูชาไฟ ฉะนั้น
๐ผู้มีปัญญาเหล่าใด ขวนขวายในฌาน ยินดีในความสงบ อันเกิดจากเนกขัมมะ เทวดาทั้งหลายก็พอใจ ต่อผู้มีปัญญา ผู้รู้ดีแล้ว และ ผู้มีสติเหล่านั้น
๐ผู้ประกอบตนในสิ่งที่ไม่ควรประกอบ และ ไม่ประกอบตนในสิ่งที่ควรประกอบ ละประโยชน์เสียถือตามชอบใจ ย่อมเป็นที่กระหยิ่มต่อผู้ประกอบตนเนือง ๆ

๐ผู้ใดทำ ราคะ โทสะ มานะ และ มักขะ ให้ตกไป เหมือนทำให้เมล็ดผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม, เราเรียกผู้นั้นว่าพราหมณ์
๐การบำเพ็ญประโยชน์โดยไม่ฉลาดในประโยชน์ จะนำความสุขมาให้ไม่ได้เลย ผู้มีปัญญาทราม ย่อมพร่าประโยชน์ ดุจลิงเฝ้าสวนฉะนั้น
๐บุคคลถึงความสำเร็จแล้ว (พระอรหันตผล) ไม่สะดุ้ง ปราศจากตัณหา ไม่มีกิเลศเครื่องยั่วยวน ตัดลูกศรอันจะนำไปสู่ภพได้แล้ว ร่างกายนี้จึงชื่อว่ามีในที่สุด
๐กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร จัณจาล และ คนงานชั้นต่ำทั้งปวง สงบเสงี่ยมแล้ว ฝึกตนแล้ว ก็ปรินิพพานเหมือนกันหมด
๐ผู้ดับกิเลสได้แล้วหมดความหวั่นไหวนั้นรู้ที่สุด ทั้ง แล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา, เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ผู้นั้นละตัณหา เครื่องเย็บร้อยใจในโลกนี้ได้แล้ว

๐ผู้ใดไม่มีความยึดถือว่าของเรา ในนามรูปโดยประการทั้งปวง และ ผู้ใดย่อมไม่เศร้าโศกเพราะนามรูปที่ไม่มีอยู่, ผู้นั้นแลท่านเรียกว่าภิกษุ
๐นรชนใดไม่เชื่อ (ตามเขาว่า) รู้จักพระนิพพาน อันอะไร ๆ ทำไม่ได้ ตัดเงื่อนต่อได้ มีโอกาสอันขจัดแล้ว และ คายความหวังแล้ว, ผู้นั้นแล เป็นบุรุษสูงสุด
๐ผู้ติดใจในการบริโภคกาม ยินดีหมกมุ่นในกามทั้งหลาย ย่อมไม่รู้สึกซึ่งความถลำตัว เหมือนปลาถลันเข้าลอบที่เขาดักไว้ไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น
๐ผู้ฉลาดหลักแหลม แสดงเหตุและไม่ใช้เหตุได้แจ่มแจ้ง และ คาดเห็นผลประจักษ์ ย่อมเปลี้องตน (จากทุกข์) ได้ฉับพลัน อย่ากลัวเลย เขาจักกลับมาได้
๐ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อยู่อย่างนี้ ความกลัว ความครั้นคร้าม ขนพองสยองเกล้าจักไม่มี

๐ผู้ใดละมานะ มีตนตั้งมั่นดีแล้ว มีใจดี หลุดพ้นในที่ทั้งปวง อยู่ในป่าคนเดียว เป็นผู้ไม่ประมาท, ผู้นั้นพึงข้ามฝั่งแห่งแดนมฤตยู
๐ผู้ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษ และ ของสัตบุรุษ ทั้งภายใน ทั้งภายนอก มีเทวดา และ มนุษย์บูชาในโลกทั้งปวง ผู้นั้นจึงล่วงข่ายคือเครื่องข้องได้ และ เป็นมุนี
๐ภิกษุไม่ควรหวั่นไหวเพราะนินทา ได้รับสรรเสริญ ก็ไม่ควรเหิมใจ พึงบรรเทาความโลภกับความตระหนี่ ความโกรธ และ ความส่อเสียดเสีย
๐คนบางจำพวกเหล่าใดไม่สำรวมในกาม ยังไม่ปราศจากราคะ เป็นผู้บริโภคกามในโลกนี้, คนเหล่านั้นถูกตัณหาครอบงำ ลอยไปตามกระแส (ตัณหา) ต้องเป็นผู้เข้าถึงชาติชราร่ำไป
๐โจรผู้มีความชั่ว ถูกเขาจับได้ซึ่งหน้า ย่อมเดือนร้อนเพราะกรรมของตนฉันใด ประชาชนผู้มีความชั่ว ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนในโลกหน้าฉันนั้น

๐บัณฑิตละราคะ โทสะ และ โมหะ ทำลายสังโยชน์ได้แล้ว ย่อมไม่หวาดเสียวในการสิ้นชีวิต, พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น
๐เพราะนักปราชญ์มีสติตั้งมั่นในธรรมวินัยนี้ ไม่เสพกามและบาป พึงละกามพร้อมทั้งทุกข์ได้ ท่านจึงกล่าวบุคคลนั้นว่า ผู้ไปทวนกระแส
๐บัณฑิต ย่อมไม่ประพฤติกรรมชั่ว เพราะเหตุแห่งสุขเพื่อตน, สัตบุรุษอันทุกข์ถูกต้องแม้พลาดพลั้งไป ก็ไม่ยอมละธรรม เพราะฉันทาคติ และ โทสาคติ
๐ผู้ฉลาดละเครื่องกั้นจิต ประการ กำจัดอุปกิเลสทั้งหมด ตัดรักและชังแล้ว อันตัณหา และทิฏฐิอาศัยไม่ได้ พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น
๐เราคิดค้นหาทุกทิศแล้ว ก็ไม่พบผู้อื่นซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหน ๆ , ถึงผู้อื่นก็มีตนเป็นที่รักมากอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น

๐ผู้ไม่ละโมภ ไม่อำพราง ไม่กระหาย ไม่ลบหลู่ ขจัดโมหะ ดุจน้ำฝาดแล้ว ไม่มีความมุ่งหวัง ครอบงำโลกทั้งหมด ควรเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด
๐ผู้ใดปราศจากการติดในกามทั้งปวง ล่วงฌานอื่นได้แล้ว อาศัยอากิญจัญญายตนฌาน น้อมใจไปในสัญญาวิโมกข์อันประเสริฐ ผู้นั้นจะพึงอยู่ในอากิญจัญญานตนฌานนั้น ไม่มีเสื่อม
๐เมื่อใดบัณฑิตรู้ว่าชรา และ มรณะเป็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ ซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งปุถุขน มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความยินดีที่ยิ่งกว่านั้น
๐คนใดมีท้องพร่อง ย่อมทนความหิวได้ ผู้ฝึกตน มีความเพียร กินดื่มพอประมาณ ไม่ทำบาป เพราะอาหาร ท่านเรียกคนนั้นแล ว่าสมณะในโลก
๐ผู้มีปัญญานั้น ย่อมเล็งเห็นกามคุณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นโรค, ผู้เห็นอย่างนี้ ย่อมละความพอใจในกาม อันเป็นทุกข์ เป็นภัยใหญ่ได้

๐บุคคลไม่ควรทำบาปซึ่งเป็นเครื่องกังวลในโลกทั้งปวง ด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจ มีสติสัมปชัญญะ ละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ควรเสพทุกข์อันประกอบด้วยสิ่งที่ไร้ประโยชน์
๐ผู้ใดพิจารณาเห็นความยิ่งและหย่อนในโลกแล้ว ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ไหน ๆ ในโลก, เรากล่าวว่า ผู้นั้นเป็นผู้สงบ ไม่มีกิเลสดุจควันไฟ ไม่มีทุกข์ ปราศจากตัณหา ข้ามชาติชราได้
๐ผู้ติดในสิ่งที่ยึดถือว่าของเรา ย่อมละความโศกเศร้า ความรำพัน และ ความตระหนี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น มุนีทั้งหลายผู้เห็นความปลอดภัย จึงละความยึดถือไปได้
๐ผู้ใด ระมัดระวังอินทรีย์เหล่านั้น รู้จักอินทรีย์ ตั้งอยู่ในธรรม ยินดีในความซื่อตรง และ ความอ่อนโยน ล่วงกิเลสเครื่องข้องเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมด เที่ยวไป, ผู้นั้น เป็นธีรชน ย่อมไม่ติดในสิ่งที่เห็นแล้ว และ ได้ฟังแล้ว
๐ผู้ปราศจากราคะ และกำจัดโทสะได้แล้วนั้น พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ ผู้นั้น งดอาชญาในสัตว์ทั้งปวงแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสถานอันประเสริฐ

๐คนผู้ตื่นขึ้นแล้ว ย่อมไม่เห็นอารมณ์ อันประจวบด้วยความฝันฉันใด คนผู้อยู่ ย่อมไม่เห็นชน อันตนรักทำกาละล่วงไปแล้วฉันนั้น
๐ผู้ใดมีจิตคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของพระชินเจ้า ผู้นั้นชื่อว่าให้อาสวะทั้งปวงสิ้นไป ทำให้แจ้งซึ่งอกุปปธรรม, บรรลุความสงบอย่างยิ่ง ไม่มีอาสวะ ย่อมดับสนิท
๐เมื่อเกิดเหตุร้ายแรง ย่อมต้องการคนกล้าหาญ เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้น ย่อมต้องการคนหนักแน่น เมื่อมีข้าวน้ำบริบูรณ์ ย่อมต้องการคนที่รัก เมื่อเกิดเรื่องราวลึกซึ้ง ย่อมต้องการบัณฑิต
๐ขุมกำลังของคนพาล คือการจ้องหาโทษของคนอื่น ขุมกำลังของบัณฑิต คือการไตร่ตรองโดยพินิจ
๐ผู้ครองเรือนขยัน ดีข้อหนึ่ง มีโภคทรัพย์แล้วแบ่งปัน ดีข้อสอง ถึงทีได้ผลสมหมาย ไม่มัวเมา ดีข้อสาม ถึงคราวสูญเสียประโยชน์ ไม่หมดกำลังใจ ดีครบสี่

๐คฤหัสถ์ชาวบ้าน เกียจคร้าน ไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวม ไม่ดี ผู้ครองแผ่นดินไม่ใคร่ครวญก่อนทำ ไม่ดี บัณฑิตมักโกรธ ไม่ดี
๐คนนั่งนิ่ง เขาก็นินทา คนพูดมาก เขาก็นินทา แม้แต่คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทา คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก
๐ผู้ใดใช้ทรัพย์จำนวนพันประกอบพิธีบูชาทุกเดือน สม่ำเสมอ ตลอดเวลาร้อยปี การบูชานั้นจะมีค่ามากมายอะไร
การยกบูชาบุคคลที่อบรมตนแล้ว คนหนึ่งแม้เพียงครู่เดียวประเสริฐกว่า
๐มิใช่การประพฤติตนเป็นชีเปลือย มิใช่การเกล้าผมทรงชฎา มิใช่การบำเพ็ญตบะ นอนในโคลนตม มิใช่การอดอาหาร มิใช่การนอนกับดิน มิใช่การเอาฝุ่นทาตัว มิใช่การตั้งท่านั่งดอก ที่จะทำคนให้บริสุทธิ์ได้ ในเมื่อความสงสัยยังไม่สิ้น
๐ส่วนผู้ใด ถึงจะตกแต่งกาย สวมใส่อาภรณ์ แต่หากประพฤติชอบ เป็นผู้สงบ ฝึกอบรมตนแน่วแน่ เป็นผู้ประพฤติธรรมอันประเสริฐ เลิกละการเบียดเบียนปวงสัตว์ทั้งหมดแล้ว ผู้นั้นแล จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ หรือ เป็นภิกษุ ก็ได้ทั้งสิ้น

*** คัดลอกมาจาก...
:หนังสือพุทธศาสนสุภาษิต ฉบับสมบูรณ์ โดยธรรมสภาจัดพิมพ์
:http://www.baanjomyut.com/pratripidok/proverb_buddha/02.html

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 22, 2013, 04:17:31 pm


หมวดการศึกษา

ความมีปัญญา ย่อมรู้ได้จากการสนทนา
บิดามารดาพึงให้บุตรเรียนศิลปวิทยา
สรรพวิทยา ควรเรียนรู้ให้หมด
ปัญญา ย่อมเกิดเพราะการฝึกฝน
ปัญญานั่นแหละ ประเสริฐกว่าทรัพย์
ผู้ตั้งใจศึกษา ย่อมได้ปัญญา
ปัญญา เปรียบเสมือนเครื่องประดับแห่งตน
ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก
คนโง่ มักตกอยู่ในอำนาจแห่งมาร
คนไม่พินิจพิจารณา เป็นคนไม่มีปัญญา

แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา นั้นไม่มี
คนย่อมเห็นแจ้งเนื้อความอย่างเด่นชัดด้วยปัญญา
คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา
คนไร้ปัญญา ไม่มีความพินิจพิจารณา
ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ดีทั้งนั้น
คนมีปัญญา เมื่อถึงคราวตกทุกข์ ก็ยังหาสุขได้
คนเรียนน้อย เจริญแต่เนื้อหนังมังสา
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ปราชญ์กล่าวว่าประเสริฐสุด
คนเรียนน้อย แก่เปล่า เหมือนโคถึก
คนเรียนน้อย ปัญญาย่อมไม่พัฒนา

ปัญญาเป็นเครื่องปกครองคน
พึงพินิจพิจารณาเรื่องราวโดยรอบคอบ
ผู้รู้จักประโยชน์แล้ว ย่อมนำสุขมาให้
คนมีปัญญาประเสริฐกว่า คนโง่ที่มียศ
ในหมู่มนุษย์ คนที่ประเสริฐ คือคนที่ฝึกแล้ว
ความไม่รู้ เป็นมลทินร้ายที่สุด
เมื่ออ่อนปัญญา ช่องทางวิบัติก็เกิดได้มหันต์
บัณฑิตไม่ศึกษา เพราะอยากได้ลาภ
คนไม่มีศิลปวิทยา เป็นอยู่ยาก
สักวันหนึ่ง ความรู้ที่เรียนมาจะให้ประโยชน์

คนมีปัญญา ถึงไร้ทรัพย์ ก็ยังดำรงอยู่ได้
ปราชญ์กล่าวว่าปัญญา ประเสริฐสุด
บรรดาความอิ่มทั้งหลาย อิ่มปัญญาประเสริฐสุด
ปัญญาเป็นเครื่องตรวจสอบสิ่งที่ได้เรียนมา
คนเกียจคร้าน ย่อมไม่พบทางแห่งปัญญา
สิ่งที่ควรศึกษา ก็พึงศึกษาเถิด
บรรดาสิ่งที่งอกงามขึ้นมา วิชาความรู้ประเสริฐสุด
ปัญญาช่วยให้รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์
ความรู้ที่เรียนมา เป็นเครื่องพัฒนาปัญญา
การใฝ่ใจศึกษา เป็นเครื่องพัฒนาความรู้

พึงเป็นคนชอบไตร่ถามเพื่อหาความรู้
บรรดาสิ่งที่โรยราร่วงหายทั้งหลาย ความไม่รู้หมดไปได้เป็นดีที่สุด
คนมีปัญญาย่อมงอกงาม ดังพืชในนาที่งอกงามด้วยน้ำฝน
อัสดร อาชาไนย สินธพ กุญชร และช้างหลวง ฝึกดีแล้ว ล้วนดีเลิศ แต่คนฝึกตนแล้ว ประเสริฐยิ่งกว่านั้น
ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ไม่ว่าอย่างไหนๆให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น

คนที่สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ เป็นผู้ประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา
เล่าเรียนสำเร็จวิทยา ก็ย่อมได้เกียรติ แต่ฝึกอบรมด้วยจริยธรรมแล้วต่างหาก จึงจะสบสันติสุข
คนเราถึงมีชาติกำเนิดต่ำ แต่หากขยันหมั่นเพียรมีปัญญา ประกอบด้วยอาจาระและศีล ก็รุ่งเรืองได้เหมือนไฟถึงอยู่ในคืนมืด ก็สว่างไสว
ความใฝ่เรียนสดับ เป็นเครื่องพัฒนาความรู้ ความรู้จากการเรียนสดับนั้น เป็นเครื่องพัฒนาปัญญา บุคคลที่อยู่ด้วยปัญญา ก็รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่รู้จักแล้วก็นำสุขมาให้
ถ้าไม่มีพุทธิปัญญา แลมิได้ศึกษาระเบียบวินัย คนทั้งหลายก็จะดำเนินชีวิต เหมือนดังกระบือบอดในกลางป่า

อันความรู้ ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าต่ำ สูง หรือปานกลาง ควรรู้ความหมาย เข้าใจทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่าง วันหนึ่งจะถึงเวลาที่ความรู้นั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์
คนมีปัญญา แม้มีปัญหา และถูกผูกมัดอยู่ พอพูดในเรื่องใดก็หลุดได้ในเรื่องนั้น

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:26:20 am


หมวดวาจา

วาจาเช่นเดียวกับใจ
ไม่ควรเปล่งวาจาที่ชั่วเลย
คนพาลที่ยังไม่ถูกผูกมัด แต่พอพูดในเรื่องใด ก็ถูกผูกมัดในเรื่องนั้น
คนกล่าววาจาชั่วย่อมเดือดร้อน
ควรกล่าวแต่วาจาที่น่าพอใจ

คนโกรธมีวาจาหยาบ
คำสัตย์แลเป็นวาจาที่ไม่ตาย
คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก
ควรเปล่งวาจางาม
ควรเปล่งวาจาไพเราะ ที่มีประโยชน์

พูดดี เป็นมงคลอย่างสูงสุด
พูดอย่างใด ควรทำอย่างนั้น
ควรกล่าวแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อน
ในกาลไหนๆ ก็ไม่ควรกล่าววาจาไม่น่าพอใจ
เปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ

ระมัดระวังวาจา เป็นความดี
ความบริสุทธิ์พึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ
วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ปฎิบัติ เหมือนดังดอกไม้งาม ที่มีทั้งสีสวย และกลิ่นอันหอม
คนเกิดมาชื่อว่ามีขวานเกิดติดปากมาด้วย สำหรับให้คนพาลใช้ฟันตนเอง ในเวลาพูดคำชั่ว
ไม่ควรพูดจนเกินกาล ไม่ควรนิ่งเสมอไป ควรกล่าววาจาที่ไม่ฟั่นเฝือ ควรกล่าวให้พอดีๆ เมื่อถึงเวลา

คนใดเมื่อถูกอ้างเป็นพยาน เบิกความเท็จ เพราะตนก็ดี เพราะผู้อื่นก็ดี เพราะทรัพย์ก็ดี พึงรู้ว่าผู้นั้นเป็นคนเลว
พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน
คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย นั่นเป็นธรรมเก่า สัตบุรุษ ทั้งหลายเป็นผู้ตั้งมั่นในคำสัตย์ที่เป็นอรรถ และเป็นธรรม
ไม่ควรพูดจนเกินกาล ไม่ควรนิ่งเสมอไป เมื่อถึงเวลาควรพูดพอประมาณ ไม่ฟั่นเฝือ
คนเขลา เมื่อกล่าวในเรื่องใดไม่ถูกผูก ก็ติดในเรื่องนั่น คนฉลาด เมื่อกล่าวในเรื่องใด แม้ถูกผูก ก็หลุดในเรื่องนั่น

ผู้ใดไม่โกรธ ไม่สะดุ้ง ไม่โอ้อวด ไม่รำคาญ พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นมุนี มีวาจาสำรวมแล้ว
ควรกล่าววาจาที่น่ารักอันผู้ฟังยินดีเท่านั้น เพราะคนดีไม่นำพาคำชั่วของผู้อื่น คนดีจะกล่าวแต่คำไพเราะ
บุคคลพึงกล่าววาจา ที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแล เป็นสุภาษิต
ถ้ามีวาจาที่ประกอบด้วยข้อความแม้ตั้งพัน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แล้ว ข้อความที่เป็นประโยชน์เพียงบทเดียว ที่ฟังแล้วสงบระงับได้ ย่อมประเสริฐกว่า
จะทำสิ่งใดพึงพูดสิ่งนั้น สิ่งใดไม่ทำไม่พึงพูดถึง บัณฑิตย่อมจะหมายเอาได้ว่า คนไม่ทำดีแต่พูด

บุคคลทำสิ่งใดควรพูดสิ่งนั้น ไม่ทำสิ่งใดไม่ควรพูดสิ่งนั้น บัณฑิตย่อมกำหนดรู้คนที่ไม่ทำ ได้แต่พูด
พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด ย่อมเป็นคำปลอดภัย เพื่อบรรลุพระนิพพาน และเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแล เป็นสูงสุดแห่งวาจาทั้งหลาย
ผู้ใดสรรเสริญคนควรติ หรือติคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นย่อมเก็บโทษของตนไว้ด้วยปาก เขาไม่ได้สุขเพราะโทษแห่งปากนั้น
ผู้มีภูมิปัญญาย่อมไม่พูดพล่อยๆ เพราะเหตุแห่งคนอื่นหรือตนเอง ผู้นั้นย่อมมีผู้บูชา ในท่ามกลางชุมชน ภายหลังเขาย่อมไปสู่สุคติ
ผู้ใด พึงกล่าวถ้อยคำอันไม่เป็นเหตุให้ใครๆ ขัดใจ ไม่หยาบคาย เป็นเครื่องให้รู้ความได้และเป็นคำจริง เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:30:41 am


หมวดอดทน

ความอดทน เป็นตปะ (ตบะ) ของผู้พากเพียร
ความอดทน นำมาซึ่งประโยชน์สุข
ความอดทน เป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
ขันติคือความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง
ความอดทน เป็นกำลังของนักพรต

ความอดทน ห้ามไว้ได้ซึ่งความผลุนผลัน
สมณพราหมณ์ มีความอดทนเป็นกำลัง
ผู้มีความอดทน ย่อมเป็นที่ชอบใจของบุคคลอื่น
ความอดทน ย่อมตัดแห่งบาปทั้งสิ้น ผู้มีขันติชื่อว่า ย่อมขุดรากแห่งความติเตียนและการทะเลาะกันได้ เป็นต้น
ผู้มีความอดทนนับว่ามีเมตตา มีลาภ มียศ และมีสุขเสมอ ผู้มีความอดทน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ผู้มีความอดทน ชื่อว่านำประโยชน์มาให้ทั้งแก่ตนแก่ผู้อื่น, ผู้มีความอดทน ชื่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางไปสวรรค์และไปนิพพาน
ผู้มีความอดทน ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระศาสดา, และ ผู้มีความอดทน ชื่อว่าบูชาพระชินเจ้าด้วยการบูชาอันยิ่งใหญ่
ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์ ความอดทนเป็นตบะของผู้พากเพียร ความอดทนเป็นกำลังของนักพรต ความอดทนนำประโยชน์สุขมาให้
ความอดทนเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณ คือศีล และ สมาธิ, กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจริญ เพราะความอดทนเท่านั้น

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:40:32 am


หมวดความเพียร

อย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์
คนไม่ประมาท ไม่มีวันตายในกาลอันไม่ควรตาย
คนที่ผลัดวันประกันพรุ่งนี้ ย่อมเสื่อม ยิ่งผลัดวันมะรืนนี้ ก็ยิ่งเสื่อม
ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตายในกาลยังควรไม่ตาย
คนไม่เกียจคร้าน ย่อมพบแต่ความสุข

คนขยัน พึงไม่ให้ประโยชน์ที่มาถึงแล้วผ่านไปโดยเปล่า
จงมีความพยายามในหน้าที่ของตน
ประโยชน์ย่อมไม่สำเร็จโดยชอบแก่ผู้ทำโดยเบื่อหน่าย
คนประมาท เปรียบเสมือนคนตายแล้ว
ที่ควรช้า จงช้า ที่ควรเร่ง จงเร่ง

ทำงานไม่คั่งค้าง เป็นอุดมมงคล
ค่อย ๆ ตั้งตัว เหมือนค่อย ๆ ก่อไฟจากกองน้อย
คนผลัดวันประกันพรุ่ง มีแต่จะเกิดความเสื่อม
คนพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร
ค่อย ๆ เก็บรวบรวมทรัพย์ ดังปลวกก่อจอมปลวก

การงานใด ๆ ที่ย่อหย่อน ย่อมไม่มีผลมาก
พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง
ไม่พึงหาทรัพย์ด้วยการคดโกง
จงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค
ประโยชน์งามตรงที่ความพยายามสำเร็จ

ไม่พึงวิตกกังวลถึงอนาคต
พึงระแวงสงสัยสิ่งที่ควรระแวงสงสัย
ฤกษ์ยามและดวงดาว จักช่วยอะไรได้
ความคืนผ่านไป ๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
พึงบากบั่นทำการให้มั่นคง

อย่ารำพึงถึงความหลัง อย่ามัวหวังถึงอนาคต
คนขยัน ได้ความสงบใจ
อย่ามัวประมาทอยู่เลย
ไม่ควรให้แต่ละวันผ่านไปเปล่า
รีบทำความเพียรเสียแต่วันนี้

ถ้าจะทำ ก็ควรทำให้จริง
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
บัณฑิต ไม่ควรท้อแท้
โภคทรัพย์ มิใช่มีมาได้ด้วยเพียงคิดเอา
ไม่พึงหวนคำนึงถึงอดีต

พึงแสวงหาทรัพย์โดยทางชอบธรรม
ใครเล่ารู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง
คนที่พากเพียรไม่หยุด เทวดาก็กีดกันไม่ได้
เกิดเป็นคน ควรพยายามเรื่อยไป
คนประมาท เสมือนคนตายแล้ว

คนขยัน ย่อมหาทรัพย์ได้
ประโยชน์ เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง
เกิดเป็นคน ควรมีความหวังเรื่อยไป
เมื่อต้องการความสุข ไม่พึงสิ้นความหวัง
จงเตรียมการให้พร้อม สำหรับอนาคต

ประโยชน์ย่อมสำเร็จโดยชอบแก่ผู้ทำโดยไม่เบื่อหน่าย
ผู้ไม่ประมาท ควรทำความเพียรให้แน่วแน่
คนมีกิจธุระ ตั้งใจทำการงานให้เหมาะเจาะ ย่อมหาทรัพย์ได้
ไม่พึงขวนขวายในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ ประเสริฐกว่า

เมื่อทำหน้าที่ของลูกผู้ชายแล้ว จังไม่ต้องเดือนร้อนใจในภายหลัง
คนขยันทั้งคืนทั้งวัน จักไม่ซึมเซา เรียกว่าแต่ละวันมีแต่นำโชค
เป็นคนควรพยายามเรื่อยไป จนกว่าผลที่ปรารถนาจะสำเร็จ
รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ชีวิตตน ก็ควรรีบลงมือทำ
พึงประกอบการค้าที่ชอบธรรม

ผู้ปรารถนาประโยชน์ด้วยวิธีการอันผิด จะต้องเดือดร้อน
ทำเรื่อยไป ไม่ท้อถอย ผลที่ประสงค์จะสำเร็จสมหมาย
ประโยชน์คือตัวฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้
ถ้ามัวล่าช้า ทำกิจล้าหลัง จะจมลงในห้วงอันตราย
จงทำประโยชน์ให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท

อันความหวังในผล ย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่ใจเร็วด่วนได้
คนฉลาดไม่ถูกเรื่อง ถึงจะพยายามทำประโยชน์ ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลให้เกิดสุข
การงานที่ทำโดยผลีผลาม ทำให้คนอ่อนปัญญาต้องเดือนร้อนภายหลัง
ประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี เช้าดี รุ่งอรุณดี
เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จะน้อยหรือมาก ก็ให้ได้ประโยชน์อะไรบ้าง

เมื่อความบากบั่นมีอยู่ บัณฑิตพึงเว้นบาปในโลกนี้เสีย เหมือนคนมีจักษุ เว้นเดินทางอันไม่สะดวกเรียบร้อย
ผู้ไม่สำคัญความหนาว และ ความร้อนให้ยิ่งไปกว่าหญ้าบุรุษเมื่อทำกิจ ย่อมไม่เสื่อมจากความสุข
ผู้ใดเกียจคร้าน มีความเพียรเลว พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี แต่ผู้ปรารถนาความเพียรมั่นคง มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่าผู้นั้น
ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียรเอง ตถาคตเป็นแต่ผู้บอก ผู้มีปกติเพ่งพินิจดำเนินไปแล้วจักพ้นจากเครื่องผูกของมาร
อริยมรรคย่อมบริสุทธิ์ เมื่อขับไล่ความหลับ ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความไม่ยินดี และ ความเมาอาหารนั้นได้ด้วยความเพียร

ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการงาน เลี้ยงชีวิตพอสมควร จึงรักษาทรัพย์ที่หามาได้
คนมีปัญญา ถึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ ก็ไม่ยอมสิ้นหวังที่จะได้ประสบความสุข
ผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ ด้วยต้นทุนแม้น้อย เหมือนคนก่อไฟน้อยขึ้นฉะนั้น
ควรทำวันคืนไม่ให้เปล่าจากประโยชน์น้อยหรือมาก เพราะวันคืนผ่านบุคคลใดไป ชีวิตของบุคคลนั้น ย่อมพร่องจากประโยชน์นั้น
เตรียมกิจสำหรับอนาคตให้พร้อมไว้ก่อน อย่าให้กิจนั้นบีบคั้นตัว เมื่อถึงเวลาต้องทำเฉพาะหน้า

-เมื่อได้เพียรพยายามแล้ว ถึงจะตาย ก็ชื่อว่าตายอย่างไม่มีใครติเตียน ไม่ว่าในหมู่ญาติ หมู่เทวดา หรือว่าพระพรหมทั้งหลาย
-สิ่งใดเป็นหน้าที่ กลับทอดทิ้งเสีย ไพล่ไปทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ คนเหล่านั้นมัวประมาทอยู่ ความหมักหมมภายในตัวเขา ก็พอกพูนยิ่งขึ้น
-เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราเห็นประจักษ์มากับตนเอง เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น
-ผู้ที่ทำการงานลวก ๆ โดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญให้ดี เอาแต่รีบร้อนพรวดพราดจะให้เสร็จ การงานเหล่านั้น ก็จะก่อความเดือนร้อนให้ เหมือนตักอาหารที่ยังร้อนใส่ปาก
-ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล มีปัญญา มีใจมั่นคงดีแล้วปรารภความเพียร ตั้งตนไว้ในธรรม ในกาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามได้ยาก
-คนที่ไม่รู้จักประโยชน์ตนว่า อะไรควรทำวันนี้ อะไรควรพรุ่งนี้ ใครตักเตือนก็โกรธ เย่อหยิ่ง ถือดีว่า ฉันเก่ง ฉันดี คนอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของกาฬกิณี

-ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านว่าเป็นภัย และ เห็นการปรารภความเพียรว่าปลอดภัย แล้วปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นพุทธานุศาสนี
-คนใดไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน มีลมแดด เหลือบยุงก็ไม่หรั่น ทนหิวทนกระหายได้ทั้งนั้น ทำงานต่อเนื่องไปไม่ขาด ทั้งคืนวัน -สิ่งที่เป็นประโยชน์มาถึงตามกาล ก็ไม่ปล่อยให้สูญเสียไป คนนั้นย่อมเป็นที่ชอบใจของสิริโชค สิริโชคจะพักพึงอยู่กับเขา
-มัวรำพึงถึงความหลัง ก็มีแต่จะหดหาย มัวหวังวันข้างหน้า ก็มีแต่จะละลาย อันใดยังไม่มาถึง อันนั้นก็ยังไม่มี รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า
-ผู้ใดทำการโดยรู้ประมาณ ทราบชัดถึงกำลังของตน แล้วคิดการเตรียมไว้รอบคอบ ทั้งโดยแบบแผนทางตำรา ทั้งโดยการปรึกษาหารือ และโดยถ้อยคำที่ใช้พูดอย่างดี ผู้นั้นย่อมทำการสำเร็จ มีชัยอย่างไพบูลย์

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดความโกรธ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:45:28 am


หมวดความโกรธ

ผู้โกรธ ย่อมไม่เห็นธรรม
พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมไม่มีที่พำนักสักนิดเดียว (เพราะความโกรธได้เข้าพำนักหมดสิ้นแล้ว)
ความโกรธย่อมทำจิตให้กำเริบ

ผู้โกรธ ย่อมไม่รู้อรรถ
ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนมีปัญญาทราม
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข
พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา
ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมละกุศลเสีย

ผู้ถูกความโกรธครอบงำ ย่อมถึงความเสื่อมทรัพย์
ผู้เกิดความโกรธแล้ว เป็นผู้ฉิบหาย
คนมักโกรธ ย่อมมีผิวพรรณเศร้าหมอง
ผู้มืนเมาด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์
ความโกรธครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดมนย่อมเกิดมีขึ้นเมื่อนั้น

ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย
ความโกรธก่อความพินาศ
ฆ่าความโกรธได้ ไม่โศกเศร้า
คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
โทสะมีความโกรธเป็นสมุฏฐาน

ความโกรธน้อยแล้วมาก มักเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น
ความผิดเสมอด้วยโทสะไม่มี
ความโกรธไม่ดีเลย
อย่าลุแก่อำนาจความโกรธ
ผู้โกรธ ย่อมฆ่ามารดาของตนได้

ญาติมิตรและสหาย ย่อมหลีกเลี่ยงคนมักโกรธ
ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้
คนมักโกรธถือเอาประโยชน์แล้ว กลับประพฤติไม่เป็นประโยชน์

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดการชนะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:48:37 am


หมวดการชนะ

การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรมะ ย่อมชนะรสทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง
พึงชนะคนพูดปดด้วยคำจริง
พึงชนะคนตระหนึ่ด้วยการให้

ผู้ชนะย่อมก่อเวร
พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ
ความชนะใด ที่ชนะแล้ว ไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นดี
ความยินดีในธรรมะ ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความชนะใด ที่ชนะแล้ว กลับแพ้ได้ ความชนะนั้นไม่ดี

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดความประมาท
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:52:41 am


หมวดความประมาท

ความประมาท เป็นทางแห่ง ความตาย
ความประมาท บัณฑิต ติเตียนทุกเมื่อ
ความประมาท เป็นมลทินของผู้รักษา
ผู้ประมาท เหมือนคนตายแล้ว
ไม่ควรสมคบด้วยความประมาท

อย่ามัวประกอบความประมาท
คนมีปัญญาทราม ย่อมประกอบแต่ความประมาท
คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน
ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย, มันทำสมองของเขาให้เขว, ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย
ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มั่นคง พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่า

เมื่อก่อนประมาท ภายหลังไม่ประมาท เขาชื่อว่ายังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น
คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ ไปทำกิจที่ไม่ควรทำ เมื่อเขาถือตัวมัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ
หากกล่าวพุทธพจน์ได้มาก แต่เป็นคนประมาท ไม่ทำตามพุทธพจน์นั้น ก็ไม่มีส่วนแห่งสามัญญผล เหมือนคนเลี้ยงโค คอยนับโคให้ผู้อื่นฉะนั้น
ไม่ควรเปล่งวาจาที่ดี ให้เกินควรแก่กาล

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดความไม่ประมาท
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 11:57:08 am

หมวดความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย
ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาท
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
บัณฑิตย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท

บัณฑิตย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท
บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมได้รับประโยชน์ทั้งสอง
ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์
ปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์ประเสริฐสุด
คนมีปัญญา พึงสร้างเกาะที่น้ำหลากมาให้ท่วมไม่ได้ ด้วยความหมั่น ความไม่ประมาท ความสำรวม และความข่มใจ

ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท ย่อมเผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป เหมือนไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไปฉะนั้น
ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อม ชื่อว่าอยู่ใกล้พระนิพพานทีเดียว
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลดีงาม ตั้งความดำริไว้ให้ดี คอยรักษาจิตใจของตน
คนมีปัญญาดีไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท มักตื่นในเมื่อผู้อื่นหลับ ย่อมละทิ้งผู้ประมาท (คนโง่) เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว ทิ้งม้าไม่มีกำลังไปฉะนั้น
ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท คอยรักษาจิตของตน จงถอนตนขึ้นจากหล่ม เหมือนช้างที่ตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น

ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท ละความนับถือมั่นว่าของเราได้แล้วเที่ยวไป เป็นผู้รู้ พึงละชาติ ชรา โสกะ ปริเทวะ และทุกข์ ในโลกนี้ได้
ยศย่อมเจริญแก่ผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดตน- ฝึกตน
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 12:12:10 pm

หมวดตน- ฝึกตน

บุคคลไม่ควรลืมตน
ตนนั่นแหละเป็นที่รักยิ่ง
ผู้ประพฤติดี ย่อมฝึกตนอยู่เป็นนิจ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
ชนะตนนั่นแหละ เป็นดี

ตระเตรียมตนให้ดีเสียก่อนแล้ว ต่อไปจะได้สิ่งอันเป็นที่รัก
รู้ตนว่าเป็นคนเช่นใด เหล่าเทพไท้ก็รู้เช่นนั้น
ผู้ฝึกตนได้ เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์
ไม่ควรพร่าประโยชน์แห่งตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้จะมีมาก
แน่ะ บุรุษ จริงหรือเท็จ ตัวท่านเองย่อมรู้

ฝึกตนได้แล้วจึงควรฝึกคนอื่น
จงถอนตนขึ้นจากหล่ม เหมือนช้างตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น
ติตนเองเพราะเหตุใด ไม่ควรทำเหตุนั้น
ได้ยินมาว่า ตัวเราฝึกได้ยาก
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว

ควรรักษาตนนั้นไว้ให้ดี
ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว
จงเป็นผู้ตามรักษาตน อย่าให้เดือดร้อน
อย่าฆ่าตัวเองเสียเลย
บัณฑิตพึงทำตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิต

เป็นที่รู้กันว่า ตนนี่แหละ ฝึกได้ยาก
ความผิดของตน มองเห็นได้ยาก
ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง
ไฉนจึงดูถูกตัวเองเล่า
ทุกท่านสามารถทำดีได้

พึงขวนขวายในเป้าหมายของตน
ตนมีทางไป เป็นของตน
ติตนด้วยข้อใด อย่าทำข้อนั้นเสียเอง
บัณฑิต ย่อมฝึกตน
บุรุษไม่พึงให้ซึ่งตนเอง

รักอื่นเสมอด้วยรักตน นั้นไม่มี
ไม่พึงอาศัยผู้อื่นยังชีพ
คนชั่วฆ่าตัวเองก่อน ภายหลังจึงฆ่าคนอื่น
ความผิดของผู้อื่นเห็นได้ง่าย
จงเตือนตนด้วย ตนเอง
บุรุษ ไม่พึงสละเสียซึ่งตัวเอง

ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นความโชติช่วงแห่งคน
ตนแล เป็นคติของตน
ความรักอื่น เสมอด้วยความรักตนเองไม่มี
คนอื่นจะทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้
จงพิจารณาตนด้วยตนเอง

ไม่ควรเอาตัวไปพัวพันกับความชั่ว
คนมิได้เป็นโจรเพราะคำของคนอื่น มิได้เป็นมุนีเพราะคำของคนอื่น
ตนไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง
ผู้มีตน ฝึกตนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งได้ยาก
ชื่อว่าที่ลับ ไม่มีในโลก

บัณฑิตไม่ควรขุดโค่นความดีของตนเสีย พึงรักษาตนไว้ให้ได้ทุกเมื่อ
กำหนดประโยชน์ที่หมายของตนให้แน่ชัด แล้วพึงขวนขวายแน่วในจุดหมายของตนนั้น
ผู้ใดรักษาตนได้ ภายนอกของผู้นั้นก็เป็นอันได้รับการรักษาด้วย
ท่านเอ๋ย ท่านก็สามารถทำดีได้ ไยจึงมาดูหมิ่นตัวเองเสีย
การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ถึงจะมากก็ไม่ควรให้เป็นเหตุ ทำลายประโยชน์ที่เป็นจุดหมายของตน

จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจ อย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง
ตนทำชั่ว ตัวก็เศร้าหมองเอง ตนไม่ทำชั่ว ตัวก็บริสุทธิ์เอง
มัวพะวงอยู่ว่า นี่ของเราชอบ นี่ของเรารัก แล้วปล่อยปละละเลยตนเองเสีย คนอย่างนี้จะไม่ได้ประสบสิ่งที่ชอบสิ่งที่รักเลย
โทษคนอื่นเที่ยวกระจาย เหมือนโปรยแกลบ แต่โทษตนปิดไว้ เหมือนพรานนกเจ้าเล่ห์แฝงตัวบังกิ่งไม้
โทษคนอื่น เห็นง่าย แต่โทษตนเองเห็นยาก

ผู้ใดมีความไร้ศีลธรรมครอบคลุม เหมือนย่านทรายคลุมไม้สาละ ผู้นั้นชื่อว่าทำตนเหมือนถูกผู้ร้ายคุมตัว
บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วจึงสอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง
ชัยชนะใดกลับแพ้ได้ ชัยชนะนั้นไม่ดี ชัยชนะใดไม่กลับแพ้ ชัยชนะนั้นแลเป็นชัยชนะที่ดี
ถ้าสอนผู้อื่นฉันใด พึ่งทำตนฉันนั้น ผู้ฝึกตนดีแล้ว ควรฝึกผู้อื่น ได้ยินว่าตนแลฝึกยาก
สิ่งที่รักอื่นเสมอด้วยตนไม่มี ทรัพย์อื่นเสมอด้วยข้าวเปลือกไม่มี แสงสว่างอื่นเสมอด้วยปัญญาไม่มี ฝนแลเป็นสระที่ใหญ่

กรรมไม่ดี และไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย ส่วนกรรมใดดีและเป็นประโยชน์ กรรมนั้นแลทำได้ยากอย่างยิ่ง
ถึงผู้ใดจะชนะเหล่าชนได้พันคนพันครั้งในสงคราม ก็หาชื่อว่าผู้ชนะยอดเยี่ยมไม่ ส่วนผู้ใดชนะตนคนเดียว ผู้นั้นแลชื่อว่าผู้ชนะยอดเยี่ยมในสงคราม
ไม่ควรใส่ใจคำแสลงหูของผู้อื่น ไม่ควรแส่มองธุระที่เขาทำและยังไม่ทำ ควรตั้งใจตรวจตราหน้าที่ของตนนี่แหละ ทั้งที่ทำแล้วและยังไม่กระทำ
ตนเองนี่แหละสำคัญกว่า สำคัญกว่าเป็นไหนๆ ตระเตรียมตนไว้ให้ดีก่อนแล้ว ต่อไปก็จะได้สิ่งที่รัก

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดมิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 12:23:47 pm

หมวดมิตร

มีมิตรเลวมีเพื่อนเลว ย่อมมีมารยาทเลวและที่เที่ยวเลว
เมื่อความต้องการเกิดขึ้น สหายเป็นผู้นำสุขมาให้
ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง
ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล
มารดาเป็นมิตรในเรือนตน

มารดาบิดา ท่านเรียกว่าเป็นพรหม
คนคุ้นเคย ไว้ใจกันได้ เป็นญาติอย่างยิ่ง
หมู่เกวียน เป็นมิตรของคนเดินทาง
ถ้าได้สหายเป็นผู้รอบคอบ พึงพอใจและมีสติเที่ยวไปกับเขา
สหายเป็นมิตรของคนผู้มีความต้องการเกิดขึ้นเนืองๆ

ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้
ภริยาเป็นเพื่อนสนิท
ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง
ถ้าไม่ได้สหายผู้รอบคอบ พึงเที่ยวไปคนเดียวและไม่พึงทำความชั่ว
ความดีที่ทำไว้เอง เป็นมิตรตามตัวไปเบื้องหน้า

ประโยชน์ที่มุ่งหมายทุกอย่างของผู้มีมิตรพรั่งพร้อม ย่อมจะสัมฤทธิ์ผลเหมือนโชคช่วย
ลูกที่ไม่เลี้ยงพ่อแม่เมื่อแก่เฒ่า ไม่นับว่าเป็นลูก
มารดาบิดา เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร
บุตร คือฐานรองรับของมวลมนุษย์
มารดาบิดา ท่านเรียกว่าเป็นบูรพาจารย์ (ครูคนแรกของบุตร)

-ความเคารพรักบำรุงมารดา นำมาซึ่งความสุขในโลก
-มิตร เมื่อระลึกถึงธรรมแล้ว ไม่ยอมทอดทิ้งมิตร ในยามมีทุกข์ภัยถึงชีวิต ข้อนี้เป็นธรรมของสัตบุรุษโดยแท้
-เดินร่วมกัน ก้าว ก็นับว่าเป็นมิตร เดินร่วมกัน ก้าว ก็นับว่าเป็นสหาย อยู่ร่วมกันสักเดือนหรือ กึ่งเดือน ก็นับว่าเป็นญาติ ถ้านานเกินกว่านั้นไป ก็เหมือนกับเป็นตัวเอง แล้วเช่นนี้ จะให้เราละทิ้งนายกาฬกัณณีที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว เพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวได้อย่างไร
-มีญาติพวกพ้องมาก ย่อมเป็นการดี เช่นเดียวกับต้นไม้ในป่าที่มีจำนวนมาก ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยว ถึงจะงอกงามใหญ่โตสักเท่าใด ลมก็พัดให้โค่นลงได้
-บัณฑิตย่อมปราถนาบุตรที่เป็นอภิชาต หรืออนุชาต ย่อมไม่ปราถนาอวชาตบุตร ซึ่งเป็นผู้ทำลายตระกูล

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดคบหา
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 12:39:40 pm

หมวดคบหา

คบคนเช่นใด ย่อมเป็นคนเช่นนั้น
ควรคบมิตรที่ดี
แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้ใจ
อยู่ร่วมกันนานเกินไป ที่เคยรักก็มักหน่าย
เป็นเพื่อนเพียงเพื่อดื่มเหล้าก็มี

ผู้คบคนเลว ย่อมพลอยเลวไปด้วย
เมื่อเขาไม่มีเยื่อใย ป่วยการอยู่กินด้วย
อย่าสมาคมกับคนพาลซึ่งเป็นดังศัตรูทุกเมื่อ
โจรพาลอยู่ในที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่ในที่นั้น
ผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลว

คบคนดี ก็พลอยมีส่วนดีด้วย
ควรระแวงในศัตรู
ปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ
เมื่อคบคนที่ดีกว่า ตัวเองก็ดีขึ้นมาฉับพลัน
ผู้เที่ยวสมาคมกับคนพาล ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน

คนเป็นมิตรแต่ปากก็มี
นักปราชญ์มีการอยู่ร่วมกันย่อมเป็นสุข
ไม่ควรไว้ใจคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
มิตรชั่วไม่ควรคบ
ไม่ควรไว้ใจคนที่แสร้งทำสงบเสงี่ยม

ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง
ผู้ไม่คบหาคนชั่ว ย่อมได้รับสุขแต่ส่วนเดียว
อยู่ในพวกข้าศึกศัตรูเพียงคืนเดียวหรือสองคืน ก็เป็นทุกข์
คนที่ทำดีแต่ภายนอก ภายในมักไม่บริสุทธิ์
มีศัตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรเป็นคนพาล

ไม่ควรไว้ใจคนพูดพล่อยๆ
ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย แม้ในคนคุ้นเคยก็ไม่ควรไว้ใจ
คนพาล คบเป็นเพื่อนไม่ได้
ไม่ควรสนิทสนมกับคนชั่ว
ไม่ควรไว้ใจคนทำบาป

เมื่อคบหาคนพาล ย่อมมีแต่ความฉิบหาย
เพียงเห็นกันชั่วครู่ชั่วยาม ไม่พึงไว้วางใจ
สมาคมกับสัตบุรุษย่อมนำสุขมาให้
คบคนเช่นใด ก็เป็นคนเช่นนั้น
สมาคมกับคนพาลย่อมนำทุกข์มาให้

เพราะความไว้ใจภัยจึงตามมา
ศัตรูจำนวนมาก คบหาแฝงมาในรูปมิตร
สมาคมกับคนชั่ว ไม่ดีเลย
ถึงคนคุ้นเคย ก็ไม่ควรวางใจ
เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้น สหายช่วยให้เกิดสุข

การอยู่ร่วมกับคนชั่ว เป็นทุกข์
คบคนดี มีแต่ความเจริญ
ไม่ควรทำความสนิทสนมกับคนชั่ว
ไม่ควรไว้ใจ ในคนไม่คุ้นเคย
ควรระแวงในศัตรู แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้ใจ

ไม่ควรคบคนเลวทราม นอกจากเพื่อให้ความช่วยเหลือ
คนเป็นเพื่อนแต่เวลาดื่มเหล้า ก็มี เป็นเพื่อนแต่ปากว่า ก็มี
อยู่ร่วมกับปราชญ์นำสุขมาให้ เหมือนสมาคมกับญาติ
ส่วนผู้ใดเป็นสหายในเมื่อเกิดเรื่องต้องการ ผู้นั้นแล คือเพื่อนแท้
คนพาล ถึงอยู่ใกล้บัณฑิต จนตลอดชีวิต ก็ไม่รู้แจ้งธรรม เสมือนทัพพี ที่ไม่รู้รสแกง

การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นทุกข์ เหมือนอยู่ร่วมกับศัตรูตลอดเวลา
คนจำพวกที่งามแต่ภายนอก ภายในไม่สะอาด มีบริวารกำบังตัวไว้ ก็ยังแสดงบทบาทอยู่ในโลก
ถ้าไม่ได้สหายที่มีปัญญาปกครองตน พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำความชั่ว
ถ้าได้สหายผู้มีปัญญาปกครองตน พึงพอใจมีสติเที่ยวไปกับเขา
คนห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ก็หอมไปด้วยฉันใด การคบกับนักปราชญ์ก็หอมไปด้วยฉันนั้น

ภิกษุผู้ฟุ้งซ่าน คลอนแคลน อาศัยมิตรชั่ว ถูกคลื่นท่วมทับ (อดทนต่อคำสั่งสอนไม่ได้) ย่อมจมลงในห้วงน้ำใหญ่
บัณฑิตไม่พึงคบอสัตบุรุษ พึงคบแต่สัตบุรุษ เพราะอสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมนำไปสู่สุคติ
ควรคบกับคนที่คบตน ไม่ควรคบคนที่ไม่คบตน ผู้ใดไม่คบคนที่คบตน ผู้นั้นชื่อว่าไม่มีธรรมของสัตบุรุษ
ผู้คบคนชั่ว ย่อมถึงความสุขโดยส่วนเดียวไม่ได้ เขาย่อมยังตนให้ประสบโทษ เหมือนกิ้งก่าเข้าฝูงเหี้ยฉะนั้น
ผู้ปรารถนาความสุขที่มั่นคง พึงเว้นมิตรชั่วเสีย คบแต่บุคคลสูงสุด และพึงตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน

ปราชญ์มีการอยู่ร่วมเป็นสุข เหมือนสมาคมแห่งชาติ
พึงสมาคมกับสัตบุรุษ พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ ผู้นั้นรู้ทั่วถึงสัทธรรมของสัตบุรุษแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
บุคคลควรคบผู้เลื่อมใสเท่านั้น ควรเว้นผู้ไม่เลื่อมใส ควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้เลื่อมใส เหมือนผู้ต้องการน้ำเข้าไปหาห้วงน้ำฉะนั้น
คบคนเช่นใดเป็นมิตร เขาก็เป็นคนเช่นนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันย่อมเป็นเช่นนั้น
พึงเป็นผู้ใคร่ธรรม ทรงไว้ซึ่งสุตะเป็นผู้สอบถาม เข้าไปนั่งใกล้ท่านผู้มีศีล และเป็นพหุสูตโดยเคารพ

-จิตจอดอยู่กับใคร ถึงไกลกัน ก็เหมือนอยู่ชิดใกล้ ใจหมางเมินใคร ถึงใกล้กัน ก็เหมือนอยู่แสนไกล
-วิญญูชน หากเข้าใกล้บัณฑิตแม้เพียงครู่เดียว ก็รู้ธรรมได้ฉับพลัน เสมือนลิ้นที่รู้รสแกง
-คนห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้หญ้าคาก็พลอยเหม็นเน่าไปด้วยฉันใด การคบกับคนพาลก็เป็นคนพาลฉันนั้น
-ไม่ควรไว้ใจคนที่ทำชั่วมาแล้ว ไม่ควรไว้ใจคนที่พูดพล่อยๆ ไม่ควรไว้ใจคนที่เห็นแก่ตัว (คนที่มีปัญญาแต่เพื่อประโยชน์ของตัว) ถึงคนที่ทำสงบเสงี่ยมเกินไป ก็ไม่ควรไว้ใจ
-พึงแนะนำตักเตือนเถิด พึงพร่ำสอนเถิด พึงห้ามปรามจากความชั่วเถิด คนที่ทำเช่นนั้น ย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษ และไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษ

-ผู้ใด แม้หากมิได้กระทำความชั่ว แต่คบหาเกลือกกลั้วกับผู้กระทำบาป ผู้นั้นย่อมพลอยถูกระแวงในกรรมชั่ว อีกทั้งเสียงเสื่อมเสียย่อมเกิดขึ้นแก่เขา
-พึงมองเห็นคนมีปัญญาที่ชอบชี้โทษ พูดจาข่มขี่ เสมือนเป็นผู้บอกขุมทรัพย์ พึงคบคนที่เป็นบัณฑิตเช่นนั้นแหละ เมื่อคบคนเช่นนั้นย่อมมีแต่ดี ไม่มีเสียเลย
-ในกาลไหนๆผู้คบคนเลว ย่อมเลว คบคนเสมอกันไม่พึงเสื่อม คบหาคนประเสริฐย่อมพลันเด่นขึ้น เหตุนั้นควรคบคนที่สูงกว่าตน
-บัณฑิตพึงทำความเป็นเพื่อนกับคนมีศรัทธา มีศีลเป็นที่รัก มีปัญญาและเป็นพหุสูต เพราะการสมาคมกับคนดีเป็นความเจริญ
-บัณฑิตไม่ควรทำความเป็นเพื่อนกับคนส่อเสียด คนมักโกรธ คนตระหนี่ และคนเพลิดเพลินในสมบัติ เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความเลวทราม

-ปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ไม่ชวนทำสิ่งที่มิใช่ธุระ การแนะนำดี เป็นความดีของปราชญ์ ปราชญ์ถูกกล่าวว่าโดยชอบก็ไม่โกรธ ปราชญ์ย่อมรู้วินัย การสมาคมกับปราชญ์จึงเป็นการดี
-ถ้าใจรักแล้ว ถึงอยู่ห่างคนละฝั่งฟากสมุทร ก็เหมือนอยู่สุดแสนใกล้ ถ้าใจชังแล้ว ถึงอยู่สุดแสนใกล้ ก็เหมือนอยู่ไกลคนละฟากมหาสมุทร

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดสร้างตัว
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 23, 2013, 12:46:25 pm

หมวดสร้างตัว

บุคคลตั้งตัวให้ได้ เหมือนก่อไฟจากกองน้อย
บุคคลพึงหาเลี้ยงชีพ โดยทางชอบธรรม
บุคคลพึงประกอบการค้าที่ชอบธรรม
บุคคลไม่พึงหาทรัพย์ด้วยการคดโกง
จงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค

จงเก็บรวบรวมทรัพย์สิน เหมือนผึ้งเที่ยวรวมน้ำหวานสร้างรัง
ถึงไม่ได้ แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม
ขยัน เอาธุระ ทำเหมาะจังหวะ ย่อมหาทรัพย์ได้
ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้ เหมือนดังก่อจอมปลวก
การงานไม่คั่งค้างสับสน เป็นมงคลอย่างสูงสุด

โภคะของใคร ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ ที่จะสำเร็จเพียงด้วยคิดเอา ย่อมไม่มี
ความอุบัติแห่งผล ย่อมมีได้ด้วยการกระทำของตน
ชีวิตจะอยู่ได้ที่ไหน พึงไปที่นั้น ไม่พีงให้ที่อยู่ฆ่าตนเสีย
คนที่ขยันในหน้าที่ ไม่ประมาท เอาใจใส่สอดส่อง ตรวจตรา จัดการงานให้เรียบร้อย เป็นอันดี จึงควรเข้ารับราชการ
ขยันงาน ไม่ประมาท ฉลาดในวิธีจัดการ เลี้ยงชีวิตแต่พอดี ย่อมรักษาทรัพย์สมบัติ ให้คงอยู่ และเพิ่มทวี

การได้ยศ การได้ลาภ การเลี้ยงชีพ ด้วยการยอมลดคุณค่าของชีวิต หรือด้วยการประพฤติอธรรม เป็นสิ่งน่ารังเกียจ
ผลประโยชน์ทั้งปวง ตั้งอยู่ที่หลัก ประการ คือการได้สิ่งที่ยังไม่ได้ และการรักษาสิ่งที่ได้แล้ว
คนมีปัญญา ประกอบด้วยความรู้ ฉลาดในวิธีจัดงาน รู้จักกาล รู้จักสมัย จึงควรเข้ารับราชการ
คนใดชอบนอน ชอบมั่วสุม ไม่เอางาน เกียจคร้าน เอาแต่โกรธ งุ่นง่าน นั้นคือปากทางของความเสื่อม

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดการปกครอง
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:15:55 am

                 (https://lh6.googleusercontent.com/-xeNqCnHjP3Q/Udl5qIL8KNI/AAAAAAAAS30/8odmQ3Oxjj0/w426-h568/photo.jpg)

หมวดการปกครอง

ผู้มีภาระปกครองรัฐ จงอย่าได้ประมาทเลย
ถ้าผู้ปกครองทรงธรรม ประเทศชาติก็เป็นสุข
การอยู่ในอำนาจของผู้อื่น เป็นทุกข์ทั้งสิ้น
พึงระแวง สิ่งที่ควรระแวง
ผู้ปกครองชอบธรรมจึงจะดี

ผู้บริหารโง่ ถึงจะเข้มแข็ง ก็ไม่ดี
พึงยกย่องคนที่ควรยกย่อง
เมื่อมีความประมาท ก็เกิดความเสื่อม
เมื่อมีความเสื่อม ก็เกิดโทษประดัง
สักการะฆ่าคนชั่วได้

พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง
อิสรภาพ เป็นสุขทั้งสิ้น
คนพาล เป็นผู้นำไม่ได้
เมื่อมีความมัวเมา ก็เกิดความประมาท
ยกย่องผู้ควรยกย่องเป็นอุดมมงคล

ผู้บริหารฉลาดและเข้มแข็ง จึงจะดี
พึงข่มคนที่ควรข่ม
ผู้ปกครองที่ฉลาด พึงแสวงสุขเพื่อประชาชน
ผู้ถือความถูกต้องเป็นใหญ ได้ชื่อว่าผู้เที่ยงธรรม
ผู้เป็นใหญ่ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ย่อมตกจากอำนาจ

โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง
ถึงจะเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา ก็ควรมีความถ่อมตน
ท่านผู้ครองแผ่นดิน ทั้งหลาย การที่ทำโดยผลีผลามจะแผดเผาตัวได้
อย่าสำคัญตนว่า เรามีอำนาจยิ่งใหญ่ แล้วทำให้ประชาชนพลอยพินาศ
คนที่เป็นใหญ่ จะต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน จึงลงโทษ

อำนาจเป็นใหญ่ในโลก
ถึงมีกำลังพลน้อย แต่มีความคิด ก็เอาชนะกองทัพใหญ่ที่ไร้ความคิดได้
ราชา เป็นสง่าแห่งแคว้น
ผู้บริหารหมู่ชน เป็นปราชญ์ และมีกำลังเข้มแข็งจึงจะเป็นผลดี
ผู้บริหารหมู่คณะ ถึงจะมีกำลังอำนาจ แต่เป็นคนพาลย่อม ไม่เป็นผลดี

ผู้ปกครองต้องทราบรายได้รายจ่ายด้วยตนเอง ต้องทราบกิจการที่ทำแล้ว และยังมิได้ทำด้วยตนเอง
ในแว่นแคว้นของราชาผู้มีเมตตา มีธรรมมั่นคง ประชาชนจะนอนเป็นสุข เหมือนนอนอยู่ในบ้านของตัว ในร่มเงาอันเย็นสบาย
ผู้ครองแผ่นดินที่เจ้าสำราญ แส่หาแต่กามารมณ์ โภคทรัพย์จะพินาศหมด นี่แลที่เรียกว่าทุกข์ภัยของผู้ครองแผ่นดิน
เมื่อผู้ครองแผ่นดินประมาท โภคทรัพย์ในรัฐทั้งหมดย่อมพินาศ นี่แลเรียกว่าทุกข์ภัยของผู้ครองแผ่นดิน
ผู้ใดไม่รู้เท่าทันเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้โดยพลัน ผู้นั้นจะหลงเข้าไปในอำนาจของศัตรู และจะเดือดร้อนภายหลัง

-เมื่ออนารชนก่อกรรมชั่ว อารชนใช้อาชญาหักห้าม การกระทำนั้น เป็นการสั่งสอน หาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายเข้าใจกันอย่างนี้
-ดูเถิดมหาราช พระองค์จงเสด็จเที่ยวสดับ ดูความเป็นอยู่ ความเป็นไปในแว่นแคว้นแดนชนบท ครั้นได้เห็นได้ฟังแล้ว จึงปฎิบัติราชกิจนั้นๆ
-เริ่มแรก แก้ไขข้อที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนให้เสร็จ ระงับความโกรธกริ้วและความบันเทิงไว้ก่อน จากนั้นจึงสั่งงาน ข้อนี้นักปราชญ์กล่าวว่าเป็นวัตร(ระเบียบปฎิบัติ) ของผู้ปกครอง
-ชาวชนบทไม่ได้รับการพิทักษ์รักษา ถูกกดขี่ด้วยค่าธรรมเนียมโดยไม่ชอบธรรม กลางคืนโจรปล้น กลางวันข้าราชการข่มเหง ในแว่นแคว้นผู้ปกครองชั่วร้าย ย่อมมีคนอาธรรม์มากมาย

-เมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟากอยู่ ถ้านำโคฝูงไปตรง โคทั้งหมดย่อมว่ายตรงไปตาม ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้ใดได้รับแต่งตั้งเป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤติธรรม ประชาชนที่เหลือก็เป็นอันไม่ต้องกล่าวถึง ถ้าราชาตั้งอยู่ในธรรม รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นสุข
-เมื่อฝูงโคว่ายข้ามฟากอยู่ ถ้านำฝูงไปคด โคทั้งหมดก็ว่ายคดไปตาม ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้ใดได้รับแต่งตั้งเป็นใหญ่ ถ้าประพฤติอธรรม จะป่วยกล่าวไปไยถึงประชาชนที่เหลือ ถ้าราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นทุกข์
-ผู้ใดทำความชั่วด้วยสำคัญตัวว่า เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ครั้นทำแล้ว ก็ไม่หวั่นเกรงต่อคนทั้งหลาย ผู้นั้นจะดำรงชีพอยู่ยืนยาวด้วยความชั่วนั้นก็หาไม่ แม้เทพทั้งหลาย ก็มองดูเขาด้วยนัยน์ตาอันเหยียดหยาม

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดสามัคคี
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:25:25 am

หมวดสามัคคี

สามัคคีของหมู่ทำให้เกิดสุข
จงสามัคคีมีน้ำใจต่อกัน
ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข
สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสือโคร่งได้ เพราะใจรวมเป็นอันเดียว
ความพร้อมเพรียงของปวงชนผู้เป็นหมู่ ยังความเจริญให้สำเร็จ

-พึงศึกษาความสามัคคี ความสามัคคีนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย สรรญเสริญแล้ว ผู้ยินดีในสามัคคี ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
-ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว เป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุศาสนี
-ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ ตนเองกลับหาทางเชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นคนเอาภาระ เป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม
-ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงละเมิด ผู้ใดย่อมรับรู้โทษ ที่เขามาสารภาพ คนทั้งสองนี้ย่อมพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น มิตรภาพของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย

-ถ้าแม้สัตบุรุษวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนภาชนะดิน เขาย่อมไม่ได้ความสงบเวรกันเลย

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดเกื้อกูลสังคม
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 02, 2013, 02:59:45 pm

หมวดเกื้อกูลสังคม

พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต เพื่อรักษาความถูกต้อง
ผู้ฉลาดควรสละสุขเล็กน้อย เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดพบสุข
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 02, 2013, 03:07:13 pm

หมวดพบสุข

ผู้ไม่มีอะไรให้กังวล ย่อมมีแต่ความสุข
ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเบียดเบียน
ท่านผู้ไกลกิเลส มีความสุขจริงหนอ
คนมีห่วงกังวล ย่อมวุ่นวายอยู่
ตราบใดยังมีชิ้นเนื้อคาบไว้นิดหน่อย ตราบนั้นก็ยังถูกกลุ้มรุมยื้อแย่ง

-พวกมนุษย์ผู้อ่อนปัญญา ไม่เห็นอริยธรรม สนทนาถกเถียงกันทั้งวันทั้งคืน แต่ในเรื่องที่ว่า เงินของเรา ทองของเรา
-ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส
-ผู้ที่มัวเพลินประมาทอยู่กับสิ่งที่ชอบใจ สิ่งที่รัก และสิ่งที่เป็นสุข จะถูกสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่รักและความทุกข์ เข้าครอบงำ
มัวเศร้าโศกอยู่ก็ซูบผอมลง อาหารก็ไม่อยากรับประทาน ศัตรูก็พลอยดึใจ ในเมื่อเขาถูกลูกศรแห่งความโศกเสียบแทงย่ำแย่อยู่
-ชนทั้งหลายผู้ยังอ่อนปัญญา เฝ้าแต่เพ้อฝัน สิ่งที่ยังไม่มาถึง และหวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงไปแล้วจึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนขึ้น ทิ้งไว้ในกลางแดด

-ผู้ใดพอใครถามถึงทุกข์ของตน ก็บอกเขาเรื่อยไป ทั้งที่มิใช้กาลอันควร ผู้นั้นจะมีแต่มิตรชนิดเจ้าสำราญ ส่วนผู้หวังดีต่อเขาก็มีแต่ทุกข์
-ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข และ ทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์ไม่มีความเที่ยงแม้แน่นอน อย่าเศร้าโศกเลย ท่านจะโศกเศร้าไปทำไม
-คนฉลาด พึงรู้จักกาลอันสมควร กำหนดเอาคนที่มีความคิด ที่ร่วมใจกันได้แล้ว จึงบอกทุกข์ร้อน โดยกล่าววาจาสละสลวย ได้ถ้อยได้ความ
-เราเดินทางไปในแดนสัตว์ร้าย ก็ไม่หวาดหวั่น ถึงจะนอนหลับในที่เช่นนั้น ก็ไม่กลัวเกรง คืนวันผ่านไปไม่มีอะไรให้เราเดือดร้อน เรามองไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะเสีย ณ ที่ไหน ในโลก เพราะฉะนั้น เราจึงนอนสบาย ใจก็คิดแต่จะช่วยเหลือปวงสัตว์
ดอกบัว เกิดและเจริญงอกงามในน้ำแต่ไม่ติดน้ำ ทั้งส่งกลิ่นหอม ชื่นชูใจให้รื่นรมย์ฉันใด พระพุทธเจ้าทรงเกิดในโลก และอยู่ในโลก แต่ไม่ติดโลก เหมือนบัวไม่ติดน้ำฉันนั้น

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดทาน
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 02, 2013, 03:48:22 pm

หมวดทาน

ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก
ของที่ให้แล้ว ชื่อว่านำออกไปอย่างดีแล้ว
ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก
การเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญ
เป็นคนควรให้ปันบ้าง ไม่มากก็น้อย

คนฉลาด พลอยยินดีการให้ทาน
คนดี บำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงชน
คนดี ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
คนใจการุณ ช่วยแก้ไขคนให้หายโศกเศร้า
เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาทานชื่อว่าน้อย ย่อมไม่มี

ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข
ผู้บูชา ย่อมได้บูชาตอบ
ผู้ใดสั่งสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย
จงช่วยเหลือคนเดือนร้อน ด้วยความตั้งใจ
ให้ของดี ย่อมได้ของดี

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา
คนพาลเท่านั้น ย่อมไม่สรรเสริญทาน
คนดีจัดการโภคทรัพย์ ทำประโยชน์แก่คนจำนวนมาก
ท่านว่า ทานและการรบ เสมอกัน
คนควรให้ของที่ควรให้

ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ
เมื่อให้ บุญก็เพิ่มขึ้น
กินคนเดียว ไม่ได้ ความสุข
ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ
ในโลกนี้ เวรระงับด้วยเวร ไม่เคยมี

ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้
ไม่พึงบริโภคของอร่อยแต่ผู้เดียว
คนมีปัญญาอยู่ครองเรือน ก็เป็นประโยชน์แก่คนจำนวนมาก
นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่
ของที่ให้แล้ว ชื่อว่าออกผลเป็นความสุขแล้ว ส่วนของที่ยังไม่ได้ให้ ยังไม่มีผลเช่นนั้น

-พึงนำสมบัติออกด้วยการให้, วัตถุที่ให้แล้วย่อมเป็นอันนำออกดีแล้ว, วัตถุที่ให้แล้วย่อมมีผลเป็นสุข, ส่วนวัตถุที่ยังไม่ได้ให้ก็ไม่เป็นอย่างนั้น
คนใด มั่งมีทรัพย์สินเงินทอง มีของกินของใช้มาก แต่บริโภคของอร่อยคนเดียว นั้นเป็นปากทางแห่งความเสื่อม
คนใด มารดาบิดาแก่เฒ่า ล้วงพ้นวัยหนุ่มวัยสาวไปแล้ว ตนเองสามารถก็ไม่เลี้ยงดู นั้นคือปากทางแห่งความเสื่อม
บัณฑิตสามารถปัดเป่าความเศร้าโศกของคนอื่นได้ จึงจัดว่าเป็นที่พึ่งยอดเยี่ยมของคนทั้งหลาย
การให้ทานนั้นปราชญ์สรรเสริญกันโดยมากอย่างแน่นอน แต่ กระนั้น บทธรรมก็ยังประเสริฐกว่าทาน

ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังสาครให้เต็มได้ฉันใด, ทานที่ให้แต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่ผู้ละไปแล้วฉันนั้น
ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ให้สิ่งที่ดี ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศในภพที่ตนเกิด
ผู้ให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหณะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ
ผู้ใดไม่ให้ทานในคนที่ไม่ควรให้ ให้ทานในคนที่ควรให้ เมื่อผู้นั้นประสบความเสื่อมเพราะอันตราย ย่อมได้สหาย
ผู้ใดให้ที่พักอาศัย ผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งทั้งปวง ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้อมตะ

เมื่อให้ทานในวัตถุอันเลิศ บุญอันเลิศ อายุ วรรณะ ยศ เกียรต สุข และกำลังอันเลิศ ก็เจริญ
ให้ทานเป็นเบื้องต้นก่อน จึงได้สุขบัดนี้ เหมือนรดน้ำที่โคนให้ผลที่ปลาย
ผู้ใดให้ทานในบุคคลที่ไม่ควรให้ ไม่ให้ทานในคนที่ควรให้ เมื่อผู้นั้นถึงความเสื่อมเพราะอันตราย ย่อมไม่ได้สหาย
ชนเหล่าใด สร้างสวน ปลูกป่า ให้โรงประปา บ่อน้ำ และ ที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้นย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ ทั้งคืนทั้งวัน

-ตรวจดูด้วยจิต ทั่วทุกทิศแล้ว ไม่พบใครที่ไหน เป็นที่รักยิ่งกว่าตนเลย คนอื่นก็รักตนมากเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ผู้รักตน จึงไม่ควรเบียดเบียนคนอื่น
-ผู้ให้อาหาร ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้านุ่งห่ม ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสะดวก ผู้ใดให้ที่พำนักอาศัย ผู้นั้นชื่อว่าให้ทั้งหมด
-ผู้ให้ของชอบใจ ย่อมได้ของชอบใจ ผู้ให้ของเลิศ ย่อมได้ของเลิศ ผู้ให้ของดี ย่อมได้ของดี ผู้ให้ของประเสริฐ ย่อมถึงฐานะอันประเสริฐ
-นกชนิดหนึ่งเที่ยวบินอยู่ตามช่องเขา และ ไหล่เขา มีชื่อว่านกมัยหกะ มันบินไปสู่ต้นเลียบอันมีผลสุก แล้วร้องว่า *ของข้า ๆ* เมื่อนกมัยหกะร้องอยู่อย่างนั้นฝูงนกทั้งหลายก็พากันบินมาจิกกินผลเลียบ แล้วก็พากันบินไป นกมัยหกะก็ยังพร่ำอยู่อย่างเดิมนั้นเอง คนบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น เก็บทรัพย์สะสมไว้มากมายแล้ว ตนเองก็ไม่ได้ใช้
-สัตว์ทั้งปวง ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา สัตว์ทั้งปวงย่อมกลัวความตาย สัตว์ทั้งปวง ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ชีวิตเป็นที่รักของทุกคน เราฉันใด สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้น สัตว์เหล่านี้ฉันใด เราก็ฉันนั้น นึกถึงเขา เอาตัวเราเข้าเทียบแล้ว ไม่ควรเข่นฆ่า ไม่ควรให้สังหารกัน

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดศีล
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 02, 2013, 03:58:52 pm

หมวดศีล

ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
ศีลพึงรู้ได้เมื่ออยู่ร่วมกัน
ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จตราบเท่าชรา
นักปราชญ์พึงรักษาศีล
เมื่อคอยระวังอยู่ เวรย่อมไม่ก่อขึ้น

ความสำรวมในที่ทั้งปวง เป็นดี ท่านว่าศีล เป็นความดี
ผู้ไม่มีศีล ไม่มั่นคง ถึงจะเป็นอยู่ตั้งร้อยปี, ส่วนผู้มีศีล เพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า
-เวทมนต์ ชาติกำเนิด พวกพ้อง นำสุขมาให้ในสัมปรายภพไม่ได้, ส่วนศีลของตนที่บริสุทธิ์ดีแล้ว จึงนำสุขมาให้ในสัมปรายภพได้
-เมื่อภิกษุมีมานะ ประมาทแล้ว มีความหวังในภายนอก, ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์
-ผู้มีปรีชา มั่นคงดีแล้วในศีล ย่อมได้รับชื่อเสียงในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมดีใจในสวรรค์ ชื่อว่าย่อมดีใจในที่ทั้งปวง

ถ้าเป็นพหุสูต มั่นคงดีในศีล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขา ด้วยคุณ ประการ คือ ด้วยศีล และ ด้วยสุตะ
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
-คนเขลา ไม่มั่นคงในศีล ถูกติเตียนในโลกนี้ และ ละไปแล้วย่อมเสียใจในอบายชื่อว่าย่อมเสียใจในที่ทั้งปวง
-คนผู้ทุศีลย่อมได้รับความติเตียน และ ความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีลธรรม ได้รับชื่อเสียง และ ความยกย่องสรรเสริญทุกเมื่อ
มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบช่องทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์ ผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้นแล้ว เพราะความรู้ชอบของท่าน
-ผู้มีศีลย่อมได้มิตรมาก ด้วยความสำรวม ส่วนผู้ไม่มีศีล ประพฤติชั่ว ย่อมแตกจากมิตร

ศีลนั้นเทียวเป็นเลิศในโลกนี้ ส่วนผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด ความชนะในหมู่มนุษย์และเทวดา ย่อมมีเพราะศีลและปัญญา
พึงรักษาศีลในโลกนี้ เพราะศีลที่รักษาดีแล้ว เสพแล้วในโลกนี้ ย่อมน้อมนำมาซึ่งสมบัติทั้งปวง
ศีลเป็นกำลัง ไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริญสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-ศีลเป็นสะพานอันมีศักดิ์ใหญ่ ศีลเป็นกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นอื่นยิ่งกว่า ศีลเป็นเครื่องลูบไล้อันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องขจรไปทั่วทุกทิศ
-ผู้มีปัญญา เมื่อปรารถนาสุข ๓ อย่าง คือ ความสรรเสริญ ความได้ทรัพย์ และ ความละไปบันเทิงในสวรรค์ ก็พึงรักษาศีล

-ศีลเป็นคุณรวมกำลังอย่างเลิศ ศีลเป็นเสบียงทางอย่างสูงสุด ศีลเป็นผู้นำทาง อย่างประเสริฐสุด เพราะศีล มีกลิ่นขจรไปทั่วทุกทิศ
-ความพร้อมเพรียงของหมู่เป็นสุข และ การสนับสนุนคนผู้พร้อมเพรียงกันก็เป็นสุข, ผู้ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
-ผู้ใดในโลกนี้ สำรวมทางกาย วาจา และ ใจ ไม่ทำบาปอะไร และ ไม่พูดพล่อย เพราะเหตุแห่งตน , ท่านเรียกคนอย่างนั้นว่า ผู้มีศีล

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดจิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 02, 2013, 04:08:29 pm

หมวดจิต

ธรรมทั้งหลาย มีจิตนำหน้า
การฝึกจิตเป็นความดี
จิตที่คุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้
พึงรักษาจิตของตน เหมือนคนประคองบาตรเต็มด้วยน้ำมัน
ผู้ประพฤติตามอำนาจของจิต ย่อมลำบาก

เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้
ก็บาปเกิดจากอารมณ์ใด ๆ พึงห้ามใจจากอารมณ์นั้น ๆ
โลกอันจิตย่อมนำไป
จิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้
จงตามรักษาจิตของตน

คนฉลาด ทำจิตของตนให้ซื่อตรง
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
พึงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนจิตของตน
จิตของเรามีธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก
จิตนั้นเห็นได้แสนยาก ละเอียดอ่อนยิ่งนัก มักตกไปหาอารมณ์ที่ใคร่

ผู้รู้จักควบคุมจิตใจ จะพ้นไปได้จากบ่วงของมาร
สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ประเสริฐอบรมบริบูรณ์ดีแล้ว, ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีฉันใด, ราคะย่อมรั่วรดจิตที่ไม่ได้อบรมฉันนั้น
จิตของท่านย่อมเดือนร้อน เพราะเข้าใจผิด, ท่านจงเว้นเครื่องหมายที่สวยงามประกอบด้วยความรัก
สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ใดไม่อบรมให้บริบูรณ์, ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว

ผู้ใดมักหวาดสะดุ้งต่อเสียง เหมือนเนื้อทรายในป่า ท่านเรียกผู้นั้นว่ามีจิตเบา, พรตของเขาย่อมไม่สำเร็จ
ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ มีใจอันโทสะไม่กระทบแล้ว มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัย
จิตเกื้อกูลที่อบรมบริบูรณ์ดีแล้ว เป็นจิตหาประมาณมิได้, กรรมใดที่ทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลือในจิตนั้น
เมื่อมีจิตไม่มั่นคง ไม่รู้พระสัทธรรม มีความเลื่อมใสเลื่อนลอย ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์
จิตนี้ถูกยกขึ้นจากอาลัย คือกามคุณ เพื่อละที่ตั้งแห่งมาร ย่อมดิ้นรน เหมือนปลาถูกจับขึ้นจากน้ำโยนไปบนบกฉะนั้น

ความบริสุทธิ์ก็ดี ผู้ที่ประเสริฐล้วนก็ดี ขันติ และ โสรัจจะ ก็ดี จะเป็นผู้สนิทก็ดี ย่อมไม่มีเพราะการชำระล้างด้วยน้ำ
โลกถูกจิตนำไป ถูกจิตชักไป, สัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิตอย่างเดียว
การฝึกจิตที่ข่มยาก ที่เบา มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ เป็นความดี, เพราะว่าจิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้
โจรกับโจร หรือ ไพรีกับไพรี พึงทำความพินาศให้แก่กัน, ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำให้เสียหายยิ่งกว่านั้น
ภูเขาหินแท่งทึบ ไม่สั่นสะเทือนเพราะลมฉันใด, บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวในนินทาและสรรเสริญฉันนั้น

คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศร ทำลูกศรให้ตรงได้ฉะนั้น
ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยากนัก ละเอียดนัก มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่, เพราะว่าจิตที่คุ้มครองแล้วนำสุขมาให้
ผู้ใดจักสำรวมจิตที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีกายเป็นที่อาศัย, ผู้นั้นจักพ้นจากเครื่องผูกมารได้
จิตที่ตั้งไว้ถูกต้อง ทำคนให้ประเสริฐ ประสบผลดี ยิ่งกว่าที่มารดาบิดา หรือ ญาติทั้งหลายใด ๆ จะทำให้ได้
คนใดมีจิตไม่ท้อถอย มีใจไม่หดหู่ บำเพ็ญกุศลธรรมเพื่อบรรลุที่เกษมจากโยคะ พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงได้

-ภิกษุเพ่งพินิจ มีจิตหลุดพ้น รู้ความเกิด และความเสื่อมแห่งโลกแล้ว มีใจดี ไม่ถูกกิเลศอาศัย มีธรรมนั้นเป็นอานิสงส์ พึงหวังความบริสุทธิ์แห่งใจได้
-ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์พี่น้อง พ่อแม่ ผู้นั้นมีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่บูชาเขา
-ผู้ถูกตัณหาครอบงำ ถูกศีลพรตผูกมัด ประพฤติตบะ อันเศร้าหมองตั้งร้อยปี จิตของเขาก็หลุดพ้นด้วยดีไม่ได้ เขามีตนเลวจะถึงฝั่งไม่ได้
-เสนาแม้หมู่ใหญ่ พร้อมด้วยพระราชา รบอยู่ ไม่พึงได้ประโยชน์ที่สัตบุรุษผู้มีขันติพึงได้, เพราะว่าเวรทั้งหลายของผู้มีขันติเป็นกำลัง ย่อมสงบระงับ
-บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อ กั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนี้แล้ว พึงรบมารด้วยอาวุธ คือปัญญา และพึงรักษาแนวที่ชนะไว้ ไม่พึงยับยั้งอยู่

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: Pasit882 ที่ กันยายน 13, 2013, 10:25:59 am
ขอบคุณคร้าบผม
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 01:17:06 pm

หมวดปัญญา

ผู้มีปัญญา พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา
ปัญญาย่อมเกิดเพราะความประกอบด้วยหลายประการ
ปัญญาเป็นรัตนะแห่งนรชน
ผู้ไม่ประมาท พินิจพิจารณา ตั้งใจฟัง ย่อมได้ปัญญา
ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจพิจารณา

คนเราจะมองเห็นอรรถชัดแจ้งได้ด้วยปัญญา
ผู้มีปัญญาอยู่ครองเรือน เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนมาก
ปัญญาเป็นเครื่องปกครองตัว
รู้จักฟัง ย่อมได้ปัญญา
พึงวิจัยเรื่องราวตลอดสายให้ถึงต้นตอ

ความสิ้นปัญญาย่อมเกิดเพราะความไม่ประกอบ
คนเกียจคร้านย่อมไม่พบทางด้วยปัญญา
ปัญญา ย่อมเกิดเพราะใช้การ
ไม่พึงละเลยการใช้ปัญญา
ปราชญ์ว่า ชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา ประเสริฐสุด

คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา
ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ได้เล่าเรียน
ปัญญาแล ประเสริฐกว่าทรัพย์
ปัญญา เป็นดวงแก้วของคน
ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก

คนมีปัญญา ถึงแม้ตกทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ
ความพินิจ ไม่มีแก่คนไร้ปัญญา
คนฉลาดกล่าวว่า ปัญญาแลประเสริฐสูงสุด
คนย่อมเห็นเนื้อความด้วยปัญญา
เมื่อขาดปัญญา ถึงจะมีทรัพย์ ก็เป็นอยู่ไม่ได้

ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์
ปัญญาย่อมปกครองบุรุษนั้น
ผู้มีปัญญา รู้เนื้อความแห่งภาษิตคนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า
ปัญญาย่อมเจริญด้วยประการใด ควรตั้งตนไว้ด้วยประการนั้น
ราคะ โทสะ ความมัวเมา และ โมหะ เข้าที่ไหน ปัญญาย่อมเข้าไม่ถึงที่นั้น

ขาดตาปัญญาเสียแล้ว ก็เหมือนคนตาบอด เหยียบลงไปได้ แม้กระทั่งไฟที่ส่องทาง
คนมีปัญญา ถึงสิ้นทรัพย์ ก็ยังเป็นอยู่ได้
คนมีปัญญาประเสริฐกว่า คนโง่ถึงจะมียศก็หาประเสริฐไม่
คนที่อิ่มด้วยปัญญา ตัณหาจะครอบงำเอาไว้ในอำนาจไม่ได้
ปราชญ์กล่าวชีวิตของผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา ว่า ประเสริฐสุด

-คนมีปัญญาทราม ได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น
-ถึงสิ้นทรัพย์ ผู้มีปัญญาก็เป็นอยู่ได้, แต่อับปัญญา แม้มีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้
-ผู้มีปัญญา ถึงพร้อมด้วยความรู้ ฉลาดในวิธีจัดการงาน รู้กาลและรู้สมัย เขาพึงอยู่ในราชการได้
-ถ้าพึงเห็นสุขอันไพบูลย์ เพราะยอมเสียสละสุขส่วนน้อย ผู้มีปัญญาเล็งเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็ควรสละสุขส่วนน้อยเสีย
-ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยสิ่งที่ฟังแล้ว ปัญญาเป็นเครื่องเพิ่มพูนเกียรติ และชื่อเสียง คนผู้ประกอบด้วยปัญญาในโลกนี้ แม้ในความทุกข์ก็หาความสุขได้

-บรรดาความอิ่มทั้งหลาย ความอิ่มด้วยปัญญาประเสริฐ, ผู้อิ่มด้วยปัญญานั้นย่อมไม่เดือนร้อนด้วยกาม, ตัณหาครอบงำ ผู้อิ่มด้วยปัญญาไว้ในอำนาจไม่ได้
-คนผู้สดับน้อยนี้ ย่อมแก่ไป เหมือนวัวแก่ อ้วนแต่เนื้อ แต่ปัญญาไม่เจริญ
-คนฉลาดกล่าวว่า ปัญญาประเสริฐ เหมือนพระจันทร์ ประเสริฐกว่าดาวทั้งหลาย แม้ศีลสิริและธรรมของสัตบุรุษย่อมไปตามผู้มีปัญญา
-ผู้รู้ย่อมสรรเสริญคนมีปัญญา พูดจริง ตั้งมั่นในศีล ประกอบความสงบใจนั่นแล
-คนโง่ถึงมียศ ก็กลายเป็นทาสของคนมีปัญญา เมื่อมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้น บัณฑิตจัดการเรื่องใดอันเป็นเรื่องละเอียดก่อน คนโง่ย่อมถึงความหลงใหลในเรื่องนั้น

-ในเวลาที่ควรลุกขึ้นทำงาน ไม่ลุกขึ้นทำ ทั้งที่ยังหนุ่มแน่น มีกำลัง กลับเฉื่อยชา ปล่อยความคิดให้จมปลัก เกียจคร้าน มัวซึมเซาอยู่ ย่อมไม่ประสบทางแห่งปัญญา
-เมื่อน้ำใส กระจ่างแจ๋ว ย่อมมองเห็นหอยกาบ หอยโข่ง กรวด ทราย และ ฝูงปลาได้ ฉันใด เมื่อจิตไม่ขุ่นมัว ย่อมมองเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น
-คนโง่เขลามาประชุมกันแม้ตั้งกว่าพันคน พวกเขาไม่มีปญญา ถึงจะพร่ำคร่ำครวญอยู่ตลอดร้อยปี ก็หามีประโยชน์ไม่ คนมีปัญญารู้เนื้อความแห่งภาษิต คนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า

-สัตบุรุษสรรเสริญปัญญาแน่แท้ คนทั้งหลายชอบทรัพย์สมบัติ จึงใคร่ได้สิริ (ยศ) ก็ความรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลายชั่งไม่ได้ ทรัพย์จึงเกินกว่าปัญญาไปไม่ได้ ไม่ว่ากาลไหน ๆ
-คนเขลามียศศักดิ์ ก็เป็นทาสของคนมีปัญญา, เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้น คนฉลาดจัดการข้อได้แนบเนียน คนเขลาถึงความงมงายในข้อนั้น
-ผู้ขบคิดปัญหาอันลึกซึ้งด้วยใจ ไม่ทำกรรมชั่วอันไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเลย, ไม่ละทางแห่งประโยชน์ที่มาถึงตามเวลา, บัณฑิตทั้งหลายเรียกคนอย่างนั้นว่า ผู้มีปัญญา

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 01:20:21 pm

หมวดศรัทธา

ศรัทธาเป็นทรัพย์ ประเสริฐของคนในโลกนี้
ศรัทธารวบรวมไว้ซึ่งเสบียงคือกุศล
ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
ศรัทธาเป็นเพื่อนของคน
ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว นำสุขมาให้

-ผู้มีศรัทธาประกอบด้วยศีล เพียบพร้อมด้วยศและโภคะ จะไปสู่ถิ่นใด ๆ ก็มีคนบูชาในถิ่นนั้น ๆ
-ผู้ใดใคร่เห็นผู้มีศีล ปรารถนาฟังพระสัทธรรม กำจัดมลทิลคือความตระหนี่ได้, ผู้นั้นแลท่านเรียกว่าผู้มีศรัทธา
-คนใดมีใจผ่องใส ให้ข้าวด้วยศรัทธา, คนนั้นย่อมได้ข้าว ทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้าเหมือนกัน
-ผู้มีศรัทธา มีปัญญา ตั้งในธรรม ถึงพร้อมด้วยศีล แม้คนเดียว ย่อมเป็นประโยชน์แก่ญาติ และ พวกพ้องผู้ไม่มีศรัทธา

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 01:24:16 pm

หมวดบุญ

บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต
บุญ โจรนำไปไม่ได้
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ ในโลกหน้า
คนสั่งสมบุญ นำสุขมาให้
ควรทำบุญอันนำสุขมาให้

-ถ้าบุรุษจะพึงทำบุญ ควรทำบุญนั้นบ่อย ๆ ควรทำความพอใจในบุญนั้น การสั่งสมบุญนำความสุขมาให้
-สหายเป็นมิตรของคนผู้มีความต้องการเกิดขึ้นบ่อย ๆ , บุญทั้งหลายที่ตนทำเอง บุญนั้นจะเป็นมิตรในสัมปรายภพ
-ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมยินดีในโลกนี้ ตายแล้ว ย่อมยินดี ชื่อว่าย่อมยินดีในโลกทั้งสอง, เขาย่อมยินดีว่าเราทำบุญไปแล้ว ไปสู่สุคติ ย่อมยินดียิ่งขึ้น
-ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิง ชื่อว่าย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง, เขาเห็นความบริสุทธิ์ แห่งกรรมของตนแล้ว ย่อมบันเทิงปราโมทย์
-ไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่ามีประมาณน้อย จักไม่มาถึง, แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกลง ฉันใด, ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญแม้ทีละน้อย ๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญฉันนั้น

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 01:29:50 pm

หมวดความสุข

ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้ทั้งหลาย นำสุขมาให้
ผู้เจริญเมตตาดีแล้ว หลับและตื่นย่อมเป็นสุข
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี
ความไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก
การแสดงสัทธรรม นำความสุขมาให้

ความสงบระงับแห่งสังขารนั้น เป็นสุข
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
จะพึงมีความสุขเป็นนิตย์ ก็เพราะไม่พบเห็นคนพาล
ละเหตุทุกข์ได้ เป็นสุขในที่ทั้งปวง
การประพฤติประโยชน์กับคนไม่ฉลาดในประโยชน์ ไม่นำสุขมาให้เลย

ความดี โจรลักไม่ได้
คนเรานี้ ถ้ามีอันทำชั่วลงไป ก็อย่าพึงทำความชั่วนั้นซ้ำเข้าอีก
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
ความชั่ว ไม่ทำเสียเลย จะดีกว่า
ความดี ทำไว้แล จะดีกว่า

อย่าดูหมิ่นความชั่วว่าเล็กน้อย คงจักไม่มีผลมาถึงตัว
สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม
ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว
ธรรมนั่นแหละ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว นำมาซึ่งความสุข

ผู้อิ่มในธรรม ย่อมนอนเป็นสุข
เกียรติไม่ทิ้งผู้ตั้งอยู่ในธรรม
ผู้ประพฤติธรรม ย่อมนอนเป็นสุข
กรรมไม่ดี ย่อมเผาผลาญในภายหลัง
การสร้างสมความดี นำสุขมาให้

ไม่ควรทำบาป แม้เพราะเห็นแก่กิน
การที่ไม่ดี และไม่เป็นประโยชน์แก่ตนนั้นทำง่าย
ความดี คนชั่ว ทำยาก
ความดี คนดี ทำง่าย
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย คำว่า บุญ นี้เป็นชื่อของความสุข

ถึงคราวจะสิ้นชีพ บุญก็ช่วยให้เป็นสุข
การไม่ทำความชั่ว ย่อมก่อให้เกิดความสุข
ความชั่ว คนชั่ว ทำง่าย
เพราะน้ำหยดทีละน้อย หม้อน้ำก็ยังเต็มได้
ความดีที่ทำไว้เองนี้แหละ เป็นทรัพย์ส่วนของตัวโดยเฉพาะ

ตายเพราะชอบธรรมดีกว่า อยู่อย่างไม่ชอบธรรม จะมีค่าอะไร
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ คือ ให้ทราม และประณีต
ความดีที่ทำไว้เองเป็นมิตรตามตัวไปเบื้องหน้า
ทำกรรมใดแล้ว ไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลดี
อย่าพึงสร้างความพอใจในความชั่วนั้น การสั่งสมความชั่ว เป็นการก่อความทุกข์

ทำกรรมใดแล้ว ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลไม่ดี
ไม่พึงปรารถนาความสำเร็จแก่ตน โดยทางไม่ชอบธรรม
ธีรชนสร้างความดีทีละน้อย ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความดี
การใดเป็นประโยชน์ด้วย ดีด้วย การนั้นแลทำได้ยากยิ่ง
พาลชนสร้างสมความชั่วทีละน้อย ก็เต็มเพียบไปด้วยความชั่ว

-การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม การชำระจิตของตนให้ผ่องใส สามนี้ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
-คนมีความชั่วย่อมเดือนร้อน เพราะกรรมของตน
-ไม่ได้แต่ชอบธรรมดีกว่า ถึงได้แต่ไม่ชอบธรรมจะดีอะไร
-บัณฑิตไม่ประกอบความชั่ว เพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว
-บัณฑิตนั้น ถึงถูกทุกข์กระทบ ถึงพลาดพลั้งลงก็คงสงบอยู่ได้ และ ไม่ละทิ้งธรรมเพราะชอบหรือชัง

-ช่างดอกไม้ ร้อยพวงมาลัยได้มากมาย จากดอกไม้กองหนึ่ง ฉันใด คนเรา เกิดมาแล้วก็ควร สร้างความดีงามให้มาก ฉันนั้น
-บุคคลใดเคยทำกรรมชั่วไว้ แล้วกลับตัวได้ หันมาทำดีปิดกั้น บุคคลนั้นย่อมทำโลกให้แจ่มใส เหมือนดังดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอก
-บุคคลใดในกาลก่อนเคยผิดพลาด ครั้นภายหลังเขากลับตัวได้ไม่ประมาท บุคคลนั้น ย่อมทำโลกให้แจ่มใส เหมือนดังดวงจันทร์ อันพ้นจากเมฆหมอก
-พึงสละทรัพย์ เพื่อเห็นแก่อวัยวะ พึงสละอวัยวะ ในเมื่อจะรักษาชีวิต พึงสละได้หมด ทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และ ชีวิต ในเมื่อคำนึงถึงธรรม

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 02:01:16 pm

หมวดธรรม

ธรรม เหมือนห้วงน้ำไม่มีตม
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
ธรรมของสัตบุรุษ ไม่เข้าถึงความคร่ำคร่า
ผู้ประพฤติธรรม ไม่ไปสู่ทุคติ
ธรรมแล เป็นธงชัยของพวกฤษี

ธรรมของสัตบุรุษ รู้ได้ยาก
พึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติให้ทุจริต
สัจจะ เป็นรสดียิ่งกว่าประดารสทั้งหลาย
บัณฑิตควรเจริญธรรมขาว
ศีล เป็นเกราะอย่างอัศจรรย์

บัณฑิตควรละธรรมดำเสีย
เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง มีหวังไปสุคติ
ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิต
การระมัดระวังกาย เป็นความดี
การระมัดระวังใจ เป็นความดี

ผู้แพ้ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ปราชญ์ พึงรักษาศีล
คนไม่มีที่พึ่ง อยู่เป็นทุกข์
ทำได้แล้วค่อยพูด
ถึงพูดดี ก็ไม่ควรพูดเกินเวลา

โลก ถูกจิตนำไป
การฝึกจิต เป็นการดี
เมื่อจิตเศร้าหมอง มีหวังไปทุคติ
ศีล ยอดเยี่ยมในโลก
พูดอย่างใด ทำอย่างนั้น

ความกตัญญูกตเวที เป็นพื้นฐานของคนดี
ศีล พึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
ผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งจิต ย่อมเดือดร้อน
ธรรมะ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ธรรมของสัตบุรุษ อันสัตบุรุษควรรักษา

ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว นำสุขมาให้
ควรเคารพสัทธรรม
ทุกข์ ย่อมไม่ตกถึงผู้หมดกังวล
ทำไม่ได้ อย่าพูด
ศรัทธา เป็นเพื่อนแท้ของคน

ความสะอาด รู้ได้ด้วยคำพูด
คนมีสติ เท่ากับมีสิ่งนำโชคอยู่ตลอดเวลา
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี
พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่ทำบาป

ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ
ผู้มีปิติในธรรม อยู่เป็นสุข
ผู้ประพฤติธรรม อยู่เป็นสุข
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า
ผู้ตั้งมั่นอยู่ในสัทธรรม เป็นผู้เกื้อกูลแก่คนทั้งปวง

เกียรติ ย่อมไม่ละผู้ตั้งอยู่ในธรรม
คนมีสติ ย่อมดีขึ้นทุกวัน
สติ คือความตื่นในโลก
ผู้มีจิตใจตั้งมั่น ย่อมไม่เบียดเบียนคนอื่น และ แม้ตนเอง
-ศีลเป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้งอาศัย เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย เป็นประมุขของธรรมทั่วไป ฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์

-ผู้ไม่คดโกง ไม่พูดเพ้อ มีปรีชา ไม่หยิ่ง มีใจมั่นคงนั้นแล ย่อมงดงามในธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
-สัจจะ ธรรมะ อหิงสะ สัญญมะ และ ทมะ มีอยู่ในผู้ใด อารยชนย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็นธรรมอันไม่ตายในโลก
-ผู้ฉลาดนั้นเป็นผู้เพ่งพินิจ มีเพียรติดต่อ บากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ ย่อมถูกต้องพระนิพพาน อันปลอดจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
-ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง รู้ข้อนั้นตามเป็นจริงแล้ว ดับเสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง
-ชนเหล่าใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว ชนเหล่านั้น จักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก

-ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจารี, ผู้นั้นย่อมห่างจากพระสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น
-ผู้มีจิตสงบ มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มีสติ เป็นผู้เพ่งพินิจ ไม่เยื่อใยในกาม ย่อมเห็นธรรมโดยชอบ
-โสรัจจะ และ อวิหิงสานั้น เป็นช้างเท้าหลัง สติ และ สัมปชัญญะนั้น เป็นช้างเท้าหน้า
-ผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมัปปธาน มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ ดารดาษด้วยดอกไม้คือวิมุติติ หาอาสวะมิได้ จักปรินิพพาน
-ผู้มีปัญญาทราม มีจิตใจกระด้าง ถึงฟังคำสอนของพระชินเจ้า ก็ยังห่างไกลจากพระสัทธรรม เหมือนดินกับฟ้า

-ผู้ใดสอนธรรมแก่คนที่ปฏิบัติไม่ถูก ถ้าเขาทำตามคำของผู้นั้น จะไม่ไปสู่ทุคติ
-เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ทำความสว่างเกิดขึ้นในโลก, พระองค์ย่อมประกาศธรรมสำหรับดับทุกข์นี้
-นามและรูปย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ปัญญา สติ และนามรูปนี้ย่อมดับในที่นั้น เพราะวิญญาณดับ
-กษัตริย์ไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรม คนสามัญไม่อาศัยธรรม ชนทั้งนั้น ละโลกแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ
-ผู้ใดประกอบในธรรมวินัยของพระทศพล มีความขวนขวายน้อย พากเพียรละ ความเกิดความตาย ผู้นั้นย่อมบรรลุพระนิพพาน

-กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณฑาล และ คนงานชั้นต่ำ ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์
-พึงเป็นผู้พอใจ และ ประทับใจ ในพระนิพพานที่บอกไม่ได้ ผู้มีจิตไม่ติดกาม ท่านเรียกว่า ผู้มีกระแสอยู่เบื้องบน
-คนมีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยวอยู่ช้านาน ไม่ล่วงพ้นสงสารที่กลับกลอกไปได้
-ท่านผู้มีทางไกลอันถึงแล้ว หายโศก หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ละกิเลสเครื่องรัดทั้งปวงแล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน
-ผู้ถูกราคะย้อม ถูกกองมืด (อวิชชา) ห่อหุ้มแล้ว ย่อมไม่เห็นธรรม สำหรับฝืนใจอันละเอียดลออ ลึกซึ้ง ซึ่งเห็นได้ยาก

-บุคคลควรเตือนกัน ควรสอนกัน และ ป้องกันจากคนไม่ดี เพราะเขาย่อมเป็นที่รักของคนดี แต่ไม่เป็นที่รักของคนไม่ดี
-ไม่ควรเสพธรรมที่เลว ไม่ควรอยู่กับความประมาท ไม่ควรเสพมิจฉาทิฏฐิ ไม่ควรเป็นคนรกโลก
-พึงนั่งใกล้ผู้เป็นพหูสูต และ ไม่พึงทำสุตะให้เสื่อม สุตะเป็นรากแห่งพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นควรเป็นผู้ทรงธรรม
-ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
-เราตถาคต ไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา ความเพียร ความระวังตัว และ การสละสิ่งทั้งปวง

-พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ไม่มีโศก ปราศจากธุลี เกษม เป็นที่ดับทุกข์ เป็นสุขดีหนอ
-มหาราช ธรรมเป็นทาง (ควรดำเนินตาม) ส่วนอธรรม นอกลู่นอกทาง (ไม่ควรดำเนินตาม) อธรรมนำไปนรก ธรรมให้ถึงสุคติ
-เบญจขันธ์ที่กำหนดรู้แล้ว มีรากขาดตั้งอยู่ ถึงความสิ้นทุกข์แล้ว ก็ไม่มีภพต่อไปอีก
-ภิกษุผู้เห็นโทษในกาม มีความประพฤติประเสริฐ ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ พิจารณาแล้ว ดับกิเลสแล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหว
-กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกันกระแสเหล่านั้น เรากล่าวว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแส กระแสเหล่านั้นอันบุคคลปิดกั้นได้ด้วยปัญญา

-ผู้ละปัญจธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ยินดีในธรรม ที่ไม่มีสิ่งทำให้เนิ่นช้า ผู้นั้นก็บรรลุพระนิพพาน อันปลอดจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
-ผู้ใดฟังธรรมแม้น้อย ย่อมเห็นธรรมด้วยกาย ผู้ใดไม่ประมาทธรรม ผู้นั้นแล ชื่อว่าผู้ทรงธรรม
-ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศ สุข อันเป็นทิพย์, ผู้นั้นพึงงดเว้นบาปทั้งหลาย แล้วประพฤติสุจริตธรรม 3 อย่าง
-บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ ด้วยพรหมจรรย์อย่างเลว, ถึงความเป็นเทวดา ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง, ย่อมบริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูง
-บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ 8 ประเสริฐสุด บรรดาสัจจะทั้งหลาย บททั้ง ๔ (อริยสัจ) ประเสริฐสุด, บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคธรรม ประเสริฐสุด, และ บรรดาสัตว์ 2 เท้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุ ประเสริฐสุด

-ราชรถอันงดงามย่อมคร่ำคร่า แม้ร่างกายก็เข้าถึงชรา ส่วนธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่เข้าถึงชรา สัตบุรุษ กับสัตบุรุษเท่านั้นย่อมรู้กันได้
-จงเด็ดเยื่อใยของตนเองเสีย เหมือนเอาฝ่ามือเด็ดบัวในฤดูแล้ง จงเพิ่มพูนทางสงบ (ให้ถึง) พระนิพพานที่พระสุคตแสดงแล้ว
-พึงขจัดปัญหาที่เป็นเหตุถือมั่นทั้งปวง ทั้งเบื้องสูง เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ท่ามกลาง, เพราะเขาถือมั่นสิ่งใด ๆ ในโลกไว้ มารย่อมติดตามเขาไป เพราะสิ่งนั้น ๆ

-สมณพราหมณ์บางเหล่ากล่าวธรรมของตนว่าบริบูรณ์, แต่กล่าวธรรมของผู้อื่นว่าเลว (บกพร่อง), เขาย่อมทะเลาะวิวาทกัน แม้ด้วยเหตุนี้ เพราะต่างก็กล่าวข้อสมมุติของตน ๆ ว่าเป็นจริง
-เขากล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน และ ฝั่งทะเลก็ไกลกัน แต่ธรรมของสัตบุรุษ กับของอสัตบุรุษไกลกันยิ่งกว่านั้น
-ท่านผู้ดับไป (คือปรินิพพาน) แล้ว ไม่มีประมาณ, จะพึงกล่าวถึงท่านนั้นด้วยเหตุใด เหตุนั้นของท่านก็ไม่มี, เมื่อธรรมทั้งปวง (มีขันธ์เป็นต้น) ถูกเพิกถอนแล้ว แม้คลองแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึง ก็เป็นอันถูกเพิกถอนเสียทั้งหมด

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 15, 2013, 02:08:03 pm

หมวดกรรม

ทำดี ได้ดี
ทำชั่ว ได้ชั่ว
ความดี อันคนดีทำง่าย
ความดี อันคนชั่วทำยาก
ความชั่ว ย่อมเผาผลาญในภายหลัง

ควรทำตามถ้อยคำของผู้เอ็นดู
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ ดีกว่า
คนเราจะเลวเพราะการกระทำ
ไม่พึงทำประโยชน์แก่ผู้มุ่งความพินาศ
คนเราจะดีเพราะการกระทำ

สิ่งที่ทำแล้ว ทำคืนไม่ได้
ถ้าจะทำ ก็พึงทำการนั้น (จริง ๆ)
กรรมชั่วของตน นำตนไปสู่ทุคติ
พึงทำกิจแก่ผู้ช่วยทำกิจ
กรรมที่เป็นประโยชน์และดี ทำได้ยากยิ่ง

กรรมจำแนกสัตว์ให้ดีเลวแตกต่างกัน
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คนชั่ว ย่อมเดือนร้อนเพราะกรรมชั่วของตน
พึงประกอบธุระให้เหมาะแก่กาลเทียว
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม

สุขไม่เป็นผลอันคนทำชั่วจะได้ง่ายเลย
การที่ไม่ดี และไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย
อย่ามาถึงกรรมอันมีโทษเลย
การงานอะไร ๆ ที่ย่อหย่อน ย่อมไม่มีผลมาก
พึงรักษาความดีของคนไว้ ดังเกลือรักษาความเค็ม

รู้ว่าการใดเป็นประโยชน์แก่ตน พึงรีบทำการนั้นเทียว
คนทำกรรมใดไว้ ย่อมเห็นกรรมนั้นในตนเอง
ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำแล้วนั้นไม่ดี
บัณฑิตไม่ทำชั่ว เพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว
-ถ้าคนพึงทำบาป ก็ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อย ๆ ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้

ผู้หมั่นในการงาน ไม่ประมาท เป็นผู้รอบคอบ จัดการงานเรียบร้อย, จึงควรอยู่ในราชการ
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก เขาเดือนร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้
ประโยชน์ทั้งหลาย ย่อมล่วงเลยคนผู้ทอดทิ้งการงาน ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก เย็นเสียแล้ว
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
ถ้าประสบสุขทุกข์ เพราะบุญบาปที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ ชื่อว่าเปลื้องบาปเก่าที่ทำไว้ ดุจเปลื้องหนี้ฉะนั้น

-ผู้ใด อันผู้อื่นทำความดี ทำประโยชน์ให้ในกาลก่อนย่อมสำนึก (คุณของเขา) ได้ ประโยชน์ที่ผู้นั้นปรารถนาย่อมเจริญ
-ผู้ใด อันผู้อื่นทำความดี ทำประโยชน์ให้ในกาลก่อนแต่ไม่รู้สึก (คุณของเขา) ประโยชน์ที่ผู้นั้นปรารถนาย่อมฉิบหาย
-สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน ไม่เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข
-สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมไม่ได้สุข
-ผู้ใดปรารถนาทำกิจที่ควรทำก่อนในภายหลัง ผู้นั้นย่อมเดือนร้อนในภายหลัง ดุจมานพ (ผู้ประมาทแล้วรีบ) หักไม้กุ่มฉะนั้น

-อย่าถามถึงชาติกำเนิด จงถามถึงความประพฤติ
-คนพาลทรามปัญญา ย่อมดำเนินชีวิตโดยมีตนเองนั้นแหละเป็นศัตรู
-กรรมใด ทำไว้ ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือ ด้วยใจ กรรมนั้นแหละเป็นสมบัติของเขา ซึ่งเขาจะพาเอาไป
-การงาน วิชา ธรรม ศีล ชีวิตอันอุดม คนบริสุทธิ์ด้วยสิ่งทั้ง นี้ หาใช่ด้วยตระกูลหรือ ด้วยทรัพย์ไม่
-ธัญญาหาร ทรัพย์สิน เงินทอง หรือสมบัติที่ครอบครอง ไม่ว่าอย่างใดที่มีอยู่ คนรับใช้ คนงาน คนอาศัยทั้งหลาย ทุกอย่างล้วนพาเอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ทั้งหมด

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดกิเลส
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กันยายน 25, 2013, 11:12:07 am

หมวดกิเลส

คนทั้งหลาย อันถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้
ความอยาก ละได้ยากในโลก
กรรมทั้งหลายที่เที่ยง ไม่มีในมนุษย์
ความอยาก มีอารมณ์หาที่สุดมิได้เลย
ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี
แม่น้ำเสมอด้วยตัณหา ไม่มี

ทุกข์อื่นยิ่งกว่ากาม ย่อมไม่มี
ผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งขึ้นไป
โกรธแล้ว ย่อมมองไม่เห็นธรรม
ความอิ่มด้วยกามทั้งหลาย ไม่มีในโลก
ความกำหนัดเพราะดำริ เป็นกามของคน
คนโกรธฆ่าได้ แม้แต่มารดาของตน

คนมักโกรธย่อมมีผิวพรรณไม่งาม
กามทั้งหลายที่ทำให้อิ่มได้ ไม่มีในโลก
ฆ่าความโกรธได้ ย่อมนอนเป็นสุข
ความอยาก ย่อมชักพาคนไปต่าง ๆ
ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มี เพราะฝนคือ กหาปณะ (คือกามไม่มีที่สิ้นสุด)
ภายหลัง เมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือนร้อน เหมือนถูกไฟใหม้

-คนโกรธจะผลาญสิ่งใด แม้สิ่งนั้นทำยาก ก็เหมือนทำง่าย
-ผู้บริโภคกามเป็นอันมาก ไม่สิ้นทะเยอทะยาน เป็นผู้พร่อง อยู่เทียว
ละร่างกายไปแท้ (ตายไปทั้งที่หื่นกระหายกาม)
-ความหมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นทางดับทุกข์ทั้งหลาย
-คนโลภไม่รู้ทันว่าความโลภนั้น เป็นภัยที่เกิดขึ้นภายในตัวเอง
-ท่านที่ตัดความอยากเสียได้ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้
-ความโลภเป็นอันตรายแห่งธรรมทั้งหลาย

ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่านไป สัตว์ยังท่องเที่ยวไป จึงยังมีกรรมนำหน้า
โลภเข้าแล้ว มองไม่เห็นธรรม เมื่อความโลภเข้าครอบงำคน เวลานั้นมีแต่ความมืดตื้อ
ผู้ไม่โกรธตอบคนโกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
ทุคติในโลกนี้และโลกหน้า ล้วนมีอวิชชาเป็นราก มีอิจฉาและโลภเป็นลำต้น
ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่านไป สัตว์ยังท่องเที่ยวไป จึงไม่พ้นจากทุกข์
ภิกษุผู้ถอนภวตัณหาได้แล้ว มีจิตสงบแล้ว สิ้นความเวียนเกิดแล้ว ย่อมไม่มีภพอีก

-โลกถูกตัณหาก่อขึ้น ถูกชราล้อมไว้ ถูกมฤตยูปิดไว้ จึงตั้งอยู่ในทุกข์
-ความอยากย่อมชักลากนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก, สัตว์เป็นอันมาก ถูกความอยากผูกมัดไว้ ดุจนางนกถูกบ่วงรัดไว้ฉะนั้น
-โลกถูกความอยากผูกมัดไว้ จะหลุดได้ เพราะกำจัดความอยาก, เพราะละความอยากเสียได้ จึงชื่อว่าตัดเครื่องผูกทั้งปวงได้
-ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์ยังท่องเที่ยวไป จึงมีทุกข์เป็นภัยใหญ่
-โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนผู้มีใจชั่ว ดุจขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น
-คนที่เห็นแต่โทษผู้อื่น คอยแต่เพ่งโทษนั้น อาสวะก็เพิ่มพูน เขายังไกลจากความสิ้นอาสวะ

-ไม่พึงเพลิดเพลินของเก่า ไม่พึงทำความพอใจในของใหม่ เมื่อสิ่งนั้นเสื่อมไป ก็ไม่พึงเศร้าโศก ไม่พึงอาศัยตัณหา
-หมู่สัตว์นี้ประกอบด้วยมานะ มีมานะเป็นเครื่องร้อยรัด ถูกมานะมัดไว้ ทำความแข่งดีเพราะทิฏฐิ ย่อมล่วงสงสารไปไม่ได้
-สัตว์โลกถูกมฤตยูขจัดแล้ว ถูกชราปิดล้อมไว้ ถูกลูกศรคือตัณหาเสียบแล้ว ถูกอิจฉาคุกรุ่นแล้วทุกเมื่อ
-ผู้หลงย่อมไม่รู้อรรถ ผู้หลงย่อมไม่เห็นธรรม ความหลงครอบงำคนใดเมื่อใด ความมืดมิดย่อมมีเมื่อนั้น
-โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูก มีวิตกเป็นเครื่องเที่ยวไป เพราะละตัณหาเสียได้ จึงชื่อว่าตัดเครื่องผูกได้ทั้งหมด

-กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อน เหมือนงูพิษ กามทั้งหลายเป็นที่คนโง่หมกมุ่น เขาต้องแออัดทุกข์ยากอยู่ในนรกตลอดกาล
-ผู้วางเฉยมีสติทุกเมื่อ ไม่สำคัญตนว่าเสมอเขา ไม่สำคัญตนว่าดีกว่าเขา ไม่สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขาในโลก, ผู้นั้นชื่อว่าไม่มีกิเลศเครื่องฟูขึ้น
-ผู้โลภย่อมไม่รู้อรรถ ผู้โลภย่อมไม่เห็นธรรม, ความโลภ เข้าครอบงำคนใดเมื่อใด ความมืดมิดย่อมมีเมื่อนั้น
-คนหลอกลวง เย่อหยิ่ง เพ้อเจ้อ ขี้โอ่ อวดดี และไม่ตั้งมั่น ย่อมไม่งอกงาม ในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
-บุคคลถูกลูกศรใดแทงแล้วย่อมแล่นไปทั่วทิศ ถอนลูกศรนั้นแล้ว ย่อมไม่แล่นและไม่จม

-เมื่อใด พราหมณ์เป็นผู้ถึงฝั่นในธรรม อย่าง เมื่อนั้นกิเลศเครื่องตรึงทั้งปวงของพราหณ์ผู้รู้นั้น ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้
-ผู้ใดไม่มีกังวลว่านี้ของเรา นี้ของผู้อื่น ผู้นั้นเมื่อไม่ถือว่าเป็นของเรา จึงไม่เศร้าโศกว่าของเราไม่มี ดังนี้
-ภิกษุรู้โทษอย่างนี้ว่า ตัณหาเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์แล้ว พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น และมีสติอยู่ทุกอิริยาบถเถิด
-กามทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั้งยืน มีทุกข์มาก มีพิษมาก ดังก้อนเหล็กที่ร้อนจัด เป็นต้นเค้าแห่งความคับแค้น มีทุกข์เป็นผล
-ผู้ใดข้ามพ้นกามในโลก และเครื่องข้องที่ข้ามได้ยากในโลก, ผู้นั้นตัดกระแสตัณหาได้แล้ว ไม่มีเครื่องผูก, ชื่อว่าไม่เศร้าโศก ไม่ยินดี

-คนที่นึกถึงพระนิพพาน พึงครอบงำ ความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้, ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พึงตั้งอยู่ในความทะนงตัว
-เมื่อผู้อื่นทำความดีให้ ทำประโยชน์ให้ก่อน แต่เราไม่สำนึกบุญคุณ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นภายหลัง จะหาผู้ช่วยทำไม่ได้
-พราหมณ์ .. พระอริยเจ้าย่อมสรรเสริญผู้ฆ่าความโกรธ ซึ่งมีโคนเป็นพิษ ปลายหวาน, เพราะคนตัดความโกรธนั้นได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก
-ท่านทั้งหลายจงตัดป่า (กิเลศ) อย่าตัดต้นไม้ ภัยย่อมเกิดจากป่า ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านจงตัดป่าและสิ่งที่ตั้งอยู่ในป่าแล้ว เป็นผู้ไม่มีป่า เถิด
-ผู้มีปัญญาทราม ย่อมฆ่าตนเองเหมือนฆ่าผู้อื่น เพราะอยากได้โภคทรัพย์

-โลกถูกอวิชชาปิดบังแล้ว ไม่ปรากฏ เพราะความตระหนี่ (และความประมาท) เรากล่าวความอยากว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก เป็นทุกข์ภัยใหญ่ของโลกนั้น
-สัตว์ทั้งปวง หวาดต่ออาญา ล้วนกลัวต่อความตาย ควรทำตนให้เป็นอุปมาล้าไม่ฆ่าเขาเอง ไม่พึงให้ผู้อื่นฆ่า
-ผู้ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว, ผู้เห็นความสงัดในผัสสะทั้งหลาย ย่อมไม่ถูกชักนำไปในทิฏฐิทั้งหลาย
-ผู้ใดไม่รู้ ย่อมก่ออุปธิ ผู้นั้นเป็นคนเขลา เข้าถึงทุกข์บ่อย ๆ เพราะฉะนั้น ผู้รู้เห็นแดนเกิดแห่งทุกข์ จึงไม่ควรก่ออุปธิ
-กามทั้งหลาย ตระการหวานชื่นใจ ย่อมย่ำยีจิตโดยรูปร่างต่าง ๆ กัน บุคคลพึงเห็นโทษในกามคุณแล้วเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด

-บุคคลพึงละความโกรธ พึงเลิกถือตัว พึงก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง, เพราะทุกข์ทั้งหลาย ย่อมไม่ติดตาม ผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ไม่มีกังวลนั้น
-บุคคลพึงละความโกรธ พึงเลิกถือตัว พึงก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง, เพราะเครื่องข้องทั้งหลาย ย่อมไม่ติดตาม ผู้ไม่ข้องในนามรูป ไม่มีกังวลนั้น
-ผู้มีความเพียรไม่พึงนอนมาก พึงเสพธรรมเครื่องตื่น พึงละความเกียจคร้าน มายา ความร่าเริง การเล่น และ เมถุนพร้อมทั้งเครื่องประดับเสีย

มีต่อค่ะ
:http://www.baanjomyut.com/pratripidok/proverb_buddha/28.html
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดบาป-เวร
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ ตุลาคม 14, 2013, 12:00:41 pm

หมวดบาป-เวร

บาปธรรมเป็นมลทินแท้ ทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกอื่น
คนมักทำบาปเพราะความหลง
บาปไม่มี แก่ผู้ไม่ทำ
คนมีสันดานชั่ว ย่อมลำบากเพราะกรรมของตน
พึงละเว้นบาปทั้งหลาย

การไม่ทำบาป นำสุขมาให้
ความสั่งสมบาป นำทุกข์มาให้
คนพูดเท็จ จะไม่พึงทำบาป ย่อมไม่มี
คนสะอาด ไม่ยินดีในความชั่ว
ไม่ควรทำบาป เพราะเห็นแก่กิน

-สาธุชนย่อมละบาปกรรมด้วยตปะ (ตบะ)
-เมื่อเรากล่าวธรรมอยู่ บาปย่อมไม่แปดเปื้อน
-แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำฉันใด, คนเขลาสั่งสมบาปแม้ทีละน้อย ๆ ก็เต็มด้วบบาปฉันนั้น
-ผู้ใดระงับบาปน้อยใหญ่ได้โดยประการทั้งปวง ท่านเรียกผู้นั้นว่าสมณะ เพราะเป็นผู้ระงับบาปทั้งหลายได้
-คนพูดเท็จ ล่วงสัตยธรรมเสียอย่างหนึ่ง ไม่คำนึงถึงโลกหน้า จะไม่พึงทำบาปเป็นอันไม่มี

-ถ้าฝ่ามือไม่มีแผล ก็พึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้ ยาพิษซึมเข้าฝ่ามือไม่มีแผลไม่ได้ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำฉันนั้น
-ควรงดเว้นบาปเสีย เหมือนพ่อค้ามีพวกน้อย มีทรัพย์มาก เว้นหนทางที่มีภัย และ เหมือนผู้รักชีวิตเว้นยาพิษเสียฉะนั้น
-บาปกรรม ที่ทำแล้วย่อมไม่มีเปลี่ยนแปลง เหมือนนมสดที่รีดในวันนั้น, บาปย่อมตามเผาคนเขลา เหมือนไฟที่เถ้ากลบไว้
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
-เวรของผู้จองเวร ย่อมไม่ระงับ

-ในกาลไหน ๆ เวรในโลกนี้ย่อมระงับด้วยเวรไม่ได้เลย
-ผู้ทำบาป ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง, เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือนร้อน

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดทุกข์-พ้นทุกข์
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ ตุลาคม 14, 2013, 01:52:43 pm

หมวดทุกข์-พ้นทุกข์

การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก่อให้เกิดทุกข์
การพบเห็นสิ่งที่ไม่รัก ทำให้เกิดทุกข์
สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ความจน เป็นทุกข์ในโลก
ทุกเสมอด้วยขันธ์ ไม่มี

เหย้าเรือนที่ปกครองไม่ดี นำทุกข์มาให้
คนไม่มีที่พึ่ง.. อยู่เป็นทุกข์
ผู้แพ้.. ย่อมอยู่เป็นทุกข์
การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก
ทุกข์.. ย่อมไม่ตกถึงผู้หมดกังวล

นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
ผู้ดื่มธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข
การสะสมบุญ นำสุขมาให้
เมื่อหมดกังวล ทุกข์ก็ไม่มี
ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข

ปฏิบัติชอบต่อมารดา เป็นความสุขในโลก
ปฏิบัติชอบต่อบิดา เป็นสุขเช่นกัน
การแสดงธรรม ทำให้เกิดสุข
ผู้ไม่มีอะไรให้กัลวล สุขจริงหนอ
ครองเรื่อนไม่ดี ก็เป็นทุกข์

ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ย่อมเป็นสุข
ท่านผู้ไกลกิเลส ช่างสุขจริงหนอ
ศีลก่อให้เกิดสุขตราบเท่าชรา
ทุกข์ เท่านั้นเกิด
ศรัทธาที่มั่นคง ทำให้เกิดสุข

โลกตั้งอยู่บนฐานแห่งความทุกข์
คนมีตัณหาเป็นทุกข์บ่อยและนาน
ละทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นความสุข
เป็นคน พึงทำทุกข์ให้หมดไปได้
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

การได้ปัญญา ทำให้เกิดสุข
การสะสมบาป เป็นทุกข์
การอยู่ร่วมกับคนไม่เสมอกันก็เป็นทุกข์
ไม่พบคนที่รักก็เป็นทุกข์
พอใจเท่าที่มี เป็นความสุข

ผู้ฉลาด พึงละทุกข์ในโลกนี้ให้ได้
การไม่เบียดเบียนกัน เป็นทุกข์ในโลก
คนโง่ ย่อมได้รักทุกข์บ่อย ๆ
กามมีความคับแค้นเป็นราก มีทุกข์เป็นผล
ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้

สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี
บุญให้ความสุขเมื่อถึงคราวตาย
การไม่พบคนชั่วเลย มีความสุขทุกเมื่อ
ทุกข์ เสมอด้วยขันธ์ไม่มี
ผู้แพ้ ย่อมนอนเป็นทุกข์

พบคนไม่รัก ก็เป็นทุกข์
การไม่ทำชั่ว ทำให้เกิดสุข
ความทุกข์ เกิดขึ้นบ่อย ๆ
การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์
ความจนเป็นทุกข์ในโลก

กามทั้งหลายมีสุขน้อย ทุกข์มาก
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดสุข
ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป
อยากได้สุข เมื่อปฏิบัติถูกทาง ก็ย่อมได้สุข

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด
ทุกข์เป็นภัยใหญ่หลวงของโลก

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดชีวิต-ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ ตุลาคม 14, 2013, 02:31:05 pm

หมวดชีวิต-ความตาย

ชีวิตนี้วิปริตผันแปร ไม่แน่นอน
วัย หมดไปตามลำดับแห่งวัย
หนุ่มก็ตาย แก่ก็ตาย
ชีวิต ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย
ถ้าอยู่เลยร้อยปี ก็ต้องตายเพราะความแก่เป็นแน่แท้

คนโง่ก็ตาย คนฉลาดก็ตาย
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนก้าวเดินไปสู่ความตาย
คนถึงคราวตาย หมู่ญาติก็ช่วยไม่ได้
ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก
วันและคืนย่อมผ่านไป

เมื่อมีชีวิต วัยแห่งชีวิตก็ร่นเข้ามา
เกิด ก็เป็นทุกข์
จะตาย ก็ตายไปคนเดียว
กาลเวลาล่วงไป ราตรีก็ผ่านไป
ตาย ก็เป็นทุกข์

แก่ ก็เป็นทุกข์
สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น
จะวิ่งหนีก็ไม่ทัน (ความตายไม่มีใครหนีได้)
สัตว์โลก ถูกชราปิดล้อม
เจ็บ ก็เป็นทุกข์

จะเกิด ก็เกิดมาคนเดียว
ชีวิตนี้คับแค้น และสั้นนิดเดียว
ชีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรเกื้อกูลกัน
เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน

เมื่อคนจะตาย ยังแถมประกอบด้วยทุกข์อีก
คนที่ร้องให้ถึงคนตาย เขาก็จะต้องตายด้วย
ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก
เห็นอยู่เมื่อเช้า สายก็ตาย
ที่ตายแล้วก็แล้วไป ไม่ควรเศร้าโศกถึง

ปราชญ์ทั้งหลาย บอกแล้วว่าชีวิตนี้น้อยนัก
โลกถูกความตายครอบเอาไว้
เมื่อความตายมาถึงตัว ก็ไม่มีใครป้องกันได้
เมื่อคนตายแล้วสมบัติสักนิดก็ไม่ติดไป
ทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วจะต้องแตกสลายในที่สุด

ทุกชีวิตจะต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก
ไม่มีใครผัดเพี้ยนกับความตาย ซึ่งมีอำนาจมากได้
สถานที่ที่ได้ชื่อว่าไม่มีคนตาย ไม่มีในโลก
ทุกคนควรทำหน้าที่ของตนและไม่ควรประมาท
ทั้งหนุ่มและแก่ ล้วนร่างกายแตกดับไปทุกคน

สัตว์โลกถูกมฤตยูห้ำหั่น ถูกชราปิดล้อม
เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ไม่มีผู้ป้องกัน
ความผัดเพี้ยนกับมฤตยูอันมีกองทัพใหญ่นั้น ไม่ได้เลย
กี่วันผ่านไป ชีวิตก็ยิ่งใกล้ความตาย
คนทุกคนต้องตาย

วัยสิ้นไปตามคืนและวัน
การตายโดยชอบธรรม ดีกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่ชอบธรรม
อายุของคนย่อมหมดสิ้นไป
ความตายย่อมมีแก่ผู้เกิด
วันคืนเคลื่อนคล้อย อายุก็เหลือน้อยเข้าทุกที

สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป
สายเห็นกันอยู่ รุ่งเช้าอีกวันก็ตาย
มีชีวิตอยู่อย่างไม่ถูกต้อง หาประเสริฐไม่
เงิน ก็ซื้ออายุให้ยืนยาวไม่ได้
สัตว์ทั้งปวง จัดทอดทิ้งร่างไว้ในโลก

ตั้งอยู่ในธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวปรโลก
วัยย่อมเสื่อมลงเรื่อยไป ทุกหลับตา ทุกลืมตา
เมื่อตาย ทรัพย์สักนิดเดียวจะติดตัวไปก็ไม่มี
ตายเพื่อความถูกต้องประเสริฐกว่า
ถึงคราวตาย บุตรทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้

ถึงคราวตาย บิดา ญาติพี่น้องก็ช่วยไม่ได้
รวยก็ตาย จนก็ตาย
ทรัพย์สมบัติ ก็ซื้อความแก่ไม่ได้
สักวันหนึ่ง ก็จะพรากจากกันไป
วันคืน ไม่ผ่านไปเปล่า

มฤตยู พยาธิ ชรา ทั้งสามนี้ดุจไฟลามลุกไหม้
ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่าจะกลัวความตาย
ผู้ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
วันคืนผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมจะเหลือน้อยลง
อายุย่อมหมดไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา

คนจะมีชีวิตอยู่ได้ก็เพียงร้อยปี หรือจะเกินก็เพียงเล็กน้อย
แม้ชีวิตอยู่ร้อยปี ก็ไม่พ้นความตายไปได้ มวลมนุษย์ล้วนมีความตายรออยู่ข้างหน้า
ชีวิตของเราเป็นของน้อย ชราและพยาธิก็คอยย่ำยี
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกันไปกับตัวมันเอง
คนใดร้องให้บ่นเพ้อถึงคนที่ตายไปแล้ว แม้คนที่ร้องนั้นก็ต้องตายเหมือนกัน

เมื่อมาเกิด ก็ไม่มีใครอ้อนวอนมาเกิด เมื่อตายจากโลกนี้ ก็ไม่มีใครอนุญาตให้ไป
วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไป จากประโยชน์ที่จะทำ
ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด
ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย

อายุสังขาร ใช่จะประมาทไปตามสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือ เดินอยู่ก็หาไม่
สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ย่อมกลัวโทษและกลัวความตาย จงทำตนเป็นอุปมา แล้วไม่พึงฆ่าหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่ และไม่พึงประมาท
ร่างกายนี้ ไม่นานนัก เมื่อวิญญาณจากไปแล้ว หมู่ญาติก็เกลียดกลัว เอาไปทิ้งในป่าช้าเหมือนท่อนไม้
เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยมรณะสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิต

กาลเวลาล่วงไป วันคืนผ่านพ้นไป วัยก็หมดไปที่ละตอน ๆ ตามลำดับ
อายุของคนนี้น้อยนัก จะต้องจากโลกนี้ไป จึงควรทำกุศล และประพฤติพรหมจรรย์
น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของคน ก็ย่อมไม่เวียนไปสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
ชีวิตนี้เป็นสิ่งคับข้อง เป็นสิ่งเล็กน้อย ประกอบด้วยทุกข์ ใครเล่ายังจะอาศัยชีวิตนี้ ไปสร้างเวรกับผู้อื่น
ชีวิตนี้น้อยนัก ไม่ถึงร้อยปีก็ตายกันแล้ว ถ้าจะอยู่เกินไป ก็ต้องตายเพราะความแก่

วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตย่อมหมดเข้าไป อายุของสัตว์ ย่อมสิ่นไป เหมือนน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ๆ ฉะนั้น
ชนเหล่าใดกำหนดรู้รูปธาตุ ไม่ตั้งอยู่ในอรูปธาตุ ย่อมหลุดพ้นไปได้ในในนิโรธธาตุ, ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ละมัจจุได้
อายุของมนุษย์มีน้อย คนดีพึงดูถูกอายุนั้นเสีย พึงประพฤติดุจคนมีศรีษะถูกไฟใหม้ มฤตยู (ความตาย) จะไม่มาถึง ย่อมไม่มี
ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
ความตายย่อมครอบงำคนเก็บดอกไม้ (กามคุณ) ที่มีใจข้องในอารมณ์ต่าง ๆ ไม่อิ่มในกาม ไว้ในอำนาจ

-ภัยของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมี เพราะต้องตายแน่นอน เหมือนภัยของผลไม้สุก ย่อมมี เพราะต้องหล่นในเวลาเช้าฉะนั้น
-ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้ว ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น
-ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากินด้วยพลอง ฉันใด, ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปเช่นกัน ฉันนั้น
-การร้องให้ ความโศกเศร้า หรือ การคร่ำครวญร่ำไรใด ๆ ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้ที่ตายแล้วก็คงอยู่อย่างเดิมนั้นเอง
-เมื่อถูกพญามัจจุราชครอบงำ ไม่ว่าบุตร ไม่ว่าบิดา ไม่ว่าญาติพวกพ้อง มีไว้ก็ช่วยต้านทานไม่ได้ จะหาที่ปกป้องในหมู่ญาติ เป็นอันไม่มี

-ข้าพเจ้าไม่มีความชั่ว ซึ่งทำไว้ ณ ที่ไหน ๆ เลย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นเกรงความตายที่จะมาถึง
-การร้องให้หรือโศกเศร้า จะช่วยให้จิตใจสงบ สบาย ก็หาไม่ ทุกข์ยิ่งเกิดเพิ่มพูนทับทวี ทั้งร่ายกายก็พลอยทรุดโทรม
-คนที่รักใคร่ ตายจากไปแล้ว ย่อมไม่ได้พบเห็นอีกเหมือนคนตื่นขึ้นไม่ได้เห็นสิ่งที่ได้พบในฝัน
-จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว ความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพียงแค่ได้มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง
-คนที่สละความเศร้าโศกไม่ได้ มัวทอดถอนถึงคนที่จากไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจของความโศก ย่อมประสบความทุกข์หนักยิ่งขึ้น

-ตอนเช้ายังเห็นกันอยู่มากคน พอตกเย็นบางคนก็ไม่เห็น เมื่อเย็น ยังเห็นกันอยู่มากคน ตกถึงเช้า บางคนก็ไม่เห็น
-ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่แก่ตน (เช่นผู้ที่ตายไปแล้ว เป็นต้น) ไซร้ ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเอง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา
-แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น
-ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งคนมี ทั้งคนจน ล้วนเดินหน้าไปหาความตายทั้งหมด
-ผลไม้สุกแล้ว ก็หวั่นแต่จะต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลา ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็หวั่นแต่จะตายอยู่ตลอดเวลา ฉันนั้น

-อายุของคนน้อยนัก คนดีไม่ควรลืมอายุ ควรระลึกถึงอายุดุจคนถูกไฟไหม้ศรีษะ เพราะการที่ความตายจะไม่มาถึงนั้น ไม่มีเลย
-ถ้าจะเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเองด้วย ที่ตกอยู่ในอำนาจของความตายตลอดเวลา
-ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด, สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น
-เพราะฉะนั้น สาธุชน สดับคำสอน ของท่านผู้ไกลกิเลสแล้ว พึงกำจัดความร่ำไรรำพันเสีย เห็นคนล่วงลับจากไป ก็ทำใจให้ได้ว่า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราจะขอให้เป็นอยู่อีกย่อมไม่ได้
-ดูซิ.. ถึงคนอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมตัว เดินทางไปตามยถากรรม ที่นี่สัตว์ทั้งหลายเผชิญกับอำนาจ ของพญามัจจุราชเข้าแล้ว กำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น

-เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัดพรากจากกัน ก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรเมตตา เอื้อเอ็นดูกัน ไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว
-วันคืนล่วงไปเท่าไรชีวิตก็พร่องลงไปเท่านั้น เวลาแห่งความตายรุกไล่เข้าไปทุกอิริยาบท ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทเวลา
-จะอยู่ในอากาศ อยู่กลางมหาสมุทร เข้าไปสู่หลืบเขา ก็ไม่พ้นจากมฤตยูได้ ประเทศคือดินแดนที่มฤตยูจะไม่รุกรานผู้อยู่ ไม่มี
-กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้
-เมื่อเศร้าโศกไป ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง ร่างกายจะผ่ายผอม ผิวพรรณจะซูบซีดหม่นหมอง ส่วนผู้ที่ตายไปแล้ว ก็จะเอาความโศกเศร้านั้นของเรา ไปช่วยอะไรตัวเขาไม่ได้ ความร่ำไรรำพัน ย่อมไร้ประโยชน์

-ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กร้องให้ เหมือนกับขอพระจันทร์ที่โคจรไปในอากาศ คนตายถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศก เขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา


มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พุทธศาสนสุภาษิต :หมวดพิเศษสำหรับบุคคลทั่วไป
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ ตุลาคม 19, 2013, 09:01:31 am

หมวดพิเศษสำหรับบุคคลทั่วไป

ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
สังขารที่ยั่งยืน ไม่มี
ภาวะของหญิง รู้ได้ยาก
พึงเพิ่มพูนความสละออกให้มากไว้

ศรี เป็นที่อาศัยแห่งโภคทรัพย์
ความหิว เป็นโรคอย่างยิ่ง
ไม่ควรอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่
เมตตา เป็นเครื่องค้ำจุนโลก
พึงศึกษาความสงบนั้นแล

ความประพฤติชั่วเป็นมลทินของหญิง
ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้ เป็นการยาก
ความเป็นอยู่ของสัตว์ เป็นการยาก
ความได้เป็นมนุษย์ เป็นการยาก
การได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ เป็นการยาก

วัยย่อมผ่านพ้นไปทุกขณะทีเดียว
มนต์มีการไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน
เหย้าเรือนมีความไม่หมั่น เป็นมลทิน
กำลังใจ พึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย
ได้ยศแล้ว ไม่ควรเมา

ผู้อื่นพึงให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้
โภคทรัพย์ย่อมฆ่าคนมีปัญญาทราม
ความถึงพร้อมแห่งขณะ หาได้ยาก
สิ่งใดไม่ผิด พึงถือเอาสิ่งนั้น
เมื่อยังไม่ถึง ไม่ควรพูดอวด

ผู้เพ่งสันติ พึงละอามิสในโลกเสีย
ในเวลามีข้าวน้ำ ย่อมต้องการคนที่รัก
อำนาจ เป็นใหญ่ในโลก
ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
พรตของผู้บริสุทธิ์ มีการงานสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ

ถึงให้แผ่นดินทั้งหมด ก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้
กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนหนุ่ม ผู้ทอดทิ้งการงาน
ท่านทั้งหลายจงมีที่พึ่งอยู่เถิด อย่าไม่มีที่พึ่งอยู่เลย
ความผิดของผู้อื่นเห็นง่าย ฝ่ายของตนเห็นยาก

ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์ มีเฉพาะตัว
สัตบุรุษ ไม่มีในชุมนุมใด ชุมนุมนั้นไม่ชื่อว่าสภา
สิ่งใดที่เข้าไปยึดถืออยู่จะพึงหาโทษมิได้ สิ่งนั้นไม่มีในโลก
สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมเป็นไปตามปัจจัย
ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่ ผู้มัวถือฤกษ์อยู่

พึงปรารถนาความไม่มีโรค ซึ่งเป็นลาภอย่างยิ่ง
การเห็นพระพุทธเจ้าเนือง ๆ เป็นการหาได้ยาก
ในบรรดาที่ปรึกษา ย่อมต้องการคนไม่พูดพล่าม
หิริและโอตตัปปะ ย่อมรักษาโลกไว้เป็นอันดี
ต่อหน้าประพฤติเช่นใด ถึงลับหลังก็ให้ประพฤติเช่นนั้น

ความเป็นไปของคนไร้ศิลปะ ย่อมฝืดเคือง
ความริษยา เป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย
ขณะเวลา อย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
ในเมื่อเรื่องราวเกิดขึ้น ย่อมต้องการบัณฑิต
ความเกียจคร้าน เป็นมลทินแห่งผิวพรรณ

สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
สักการะ ย่อมฆ่าคนชั่วเสีย
ในเวลาคับขัน ย่อมต้องการคนกล้า
ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
บรรดาทางทั้งหลาย ทางที่มีองค์ (มรรค) เป็นทางเกษมให้ถึงอมตธรรม

ความหมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นทางดับจากทุกข์
โภคทรัพย์ของผู้ครองเรือนดี ย่อมถึงความพอกพูน เหมือนจอมปลวกกำลังก่อขึ้น
ชื่อว่าที่ลับของผู้ทำบาปกรรม ไม่มีในโลก
รูปโฉม พอลวงคนโง่ให้หลงได้ แต่ลวงคนแสวงหาพระนิพพานไม่ได้เลย
ความรู้จักประมาณ ยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ

ร่างกายของสัตว์ย่อยยับได้ แต่ชื่อและสกุลไม่ย่อยยับ
ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้เช่นใดเช่นหนึ่ง ก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้
อัชฌาสัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณา เป็นลักษณะของมหาบุรุษ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
บุคคลไม่เพลินเวทนา ทั้งภายในทั้งภายนอก มีสติดำเนินอยู่อย่างนี้ วิญญาณย่อมดับ

พระจันทร์ พระอาทิตย์ สมณพราหมณ์ และ ฝั่งทะเล ต่างก็มีกำลัง, แต่สตรีมีกำลังยิ่งกว่ากำลัง (เหล่านั้น)
ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจักทำอะไรได้
กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก ทุกข์อันยิ่งกว่ากามไม่มี ผู้ใดส้องเสพกาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก
พระตถาคตเจ้าย่อมเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก คือเพื่อสตรี และ บุรุษผู้ทำตามคำสอน
ภิกษุรื่นรมย์ยินดีในธรรม ใคร่ครวญธรรม และระลึกถึงธรรมอยู่เนือง ๆ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม

-ผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน ไม่พึงลุอำนาจของโลภะ พึงกำจัดใจที่ละโมภเสีย
-โลกถูกมฤตยูกำจัด ถูกชราล้อมไว้ไม่มีผู้ต้านทาน ย่อมเดือนร้อยเป็นนิตย์ ดุจคนต้องโทษ ต้องทำตามอาชญาฉะนั้น
-กามคุณ ในโลก มีใจเป็นที่ อันท่านชี้แจงไว้แล้ว, บุคคลคลายความพอใจในกามคุณนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ได้อย่างนี้
-ผู้เข้าใจสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ เขามีความดำริผิดเป็นโคจร จึงไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ
-ผู้ใด ต้องการสุขเพื่อตน ด้วยการก่อทุกข์แก่ผู้อื่น, ผู้นั้นชื่อว่าพัวพันไปด้วยเวร ย่อมไม่พ้นจากเวร

-พึงศึกษาวิเวก ซึ่งเป็นคุณอันสูงสุดของพระอริยะทั้งหลาย, ไม่ถือตัวว่าเป็นผู้ประเสริฐเพราะวิเวกนั้น ผู้นั้นแล ชื่อว่าปฏิบัติใกล้พระนิพพาน
-สัตว์โลกหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และ ธรรมารมณ์นั้น ล้วนเป็นโลกามิสอันร้ายกาจ
-คนรู้จักขนบธรรมเนียม ย่อมยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ ในชาตินี้ก็มีผู้สรรเสริญ ชาติหน้าก็ไปดี
-สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ ย่อมมีได้, สิ่งที่คิดไว้ ก็เสียหายได้, โภคะของสตรีหรือบุรุษ ที่สำเร็จได้ด้วยนึกเอาไม่มีเลย
-คนใด จักทำตามโอวาทที่ผู้รู้แสดงแล้ว คนนั้นจักถึงฝั่งที่สวัสดี เหมือนพ่อค้าถึงฝั่งที่สวัสดีเพราะม้าวลาหก

ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลาผู้มัวถือฤกษ์อยู่, ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจักทำอะไรได้
ชื่อว่าที่ลับของผู้ทำความชั่วไม่มีในโลก, คนทั้งหลายเห็นเป็นป่า แต่คนเขลาสำคัญที่นั้นว่าเป็นที่ลับ
พระราชาดี ที่ทรงยินดีในธรรม, คนดี ที่มีปัญญา, เพื่อนดีที่ไม่ประทุษร้ายมิตร, สุข อยู่ที่ไม่ทำบาป
ควรระแวงภัยที่ควรระแวง พึงระวังภัยที่ยังไม่มาถึง ผู้ฉลาดย่อมมองดูโลกทั้ง เพราะกลัวต่ออนาคต
เมื่อพ้นเพราะรู้ชอบ สงบคงที่แล้ว ใจคอของเขาก็สงบ คำพูดและการกระทำก็สงบ

-ผู้ใดไม่มีกามอยู่ ผู้ใดไม่มีตัณหา และผู้ใดข้ามความสงสัยได้, ผู้นั้นย่อมมีความพ้น ที่ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่นอีก
-ผู้ใดผูกอาฆาตว่า เขาได้ด่าเรา เขาได้ฆ่าเรา เขาได้ชนะเรา เขาได้ลักของของเรา ดังนี้ เวรของผู้นั้นย่อมไม่ระงับ
-คนใดเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา และนักเลงการพนัน ย่อมล้างผลาญทรัพย์ที่ตนได้แล้ว ๆ , ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งผู้ฉิบหาย
-ถ้าสัตว์พึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติภพนี้เป็นทุกข์ สัตว์ก็ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะผู้ฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศก
-ผู้เห็นความประมาทเป็นภัย และเห็นควมไม่ประมาทเป็นความปลอดภัยแล้ว พึงเจริญมรรคมีองค์ นี้เป็นพุทธาศาสนี

-พึงเป็นคนไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) และพึงกล่าวแต่คำสัตย์อย่างนี้ ละไปจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก
-แม้มีปัญญารุ่งโรจน์อย่างไฟ เมื่ออยู่ในต่างประเทศ ก็ควรอดทนคำขู่เข็ญแม้ของทาส
-ผู้สงบ เว้นบาป ฉลาดพูด ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมขจัดบาปธรรมเสียได้ เหมือนลมกำจัดใบไม้ฉะนั้น
-คนทำกรรมใดด้วยทาน ด้วยความประพฤติสม่ำเสมอ ด้วยความสำรวม และ ด้วยการฝึกตน ย่อมมีความสุข เพราะกรรมนั้นย่อมไม่ตามเผาผลาญในภายหลัง
-คนใดมักหลับ มักคุย และไม่ขยัน เกียจคร้าน มีความมุทะลุ ข้อนั้น เป็นเหตุของผู้ฉิบหาย

-การไม่เห็นสิ่งที่รักเป็นทุกข์ และการเห็นสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ เหตุนั้น จึงไม่ควรทำอะไรให้เป็นที่รัก เพราะความพรากจากสิ่งที่รัก เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย
-ธงเป็นเครื่องปรากฎของรถ ควันเป็นเครื่องปรากฎของไฟ พระราชาเป็นเครื่องปรากฎของแว้นแคว้น สามีเป็นเครื่องปรากฎของสตรี
-ไม่ควรฟังคำก้าวร้าวของคนอื่น ไม่ควรมองดูการงานของคนอื่น ที่เขาทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ, ควรพิจารณาดู แต่การงาน ของตนที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำเท่านั้น
-คนเขลา มีกำลัง หาทรัพย์อย่างผลุนผลัน ไม่ดี, นายนิรยบาล ย่อมฉุดคนโง่มีปัญญาทราม ผู้คร่ำครวญอยู่ ไปสู่นรกอันร้ายกาจ
-เมื่อมีจิตใจไม่หนักแน่น เห็นคนใจเบา มักประทุษร้ายมิตร ผู้มีความประพฤติกลับกลอกเป็นนิตย์ ย่อมไม่มีความสุข

-บุคคลไม่ความเศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ใฝ่หาถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง, ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนั้น ผิวพรรณย่อมผ่องใส
-บุคคลได้สิ่งใด ไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น, ปรารถนาสิ่งใด ดูหมิ่นสิ่งที่ได้แล้วนั้น, เพราะความต้องการไม่มีที่สุด, พวกเราจงทำความนอบน้อมผู้ปราศจากความต้องการเถิด
-ในโลกนี้ พวกที่ชอบถือตัว ย่อมไม่มีการฝึกตน, คนมีใจไม่มั่นคง ย่อมไม่มีความรู้, ผู้ประมาทแม้อยู่ในป่าคนเดียว ก็ข้ามฝั่งแห่งแดนมฤตยูไม่ได้
-ชีวิตคืออายุอันน้อยนี้ ถูกชรานำเข้าไป เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีเครื่องต้านทาน ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น มุ่งความสงบ พึงละโลกามิสเสีย

*** คัดลอกมาจาก...
:หนังสือพุทธศาสนสุภาษิต ฉบับสมบูรณ์ โดยธรรมสภาจัดพิมพ์
:http://www.baanjomyut.com/pratripidok/proverb_buddha/32.html
(+บาลี) >>> :http://www.doisaengdham.org/พุทธศาสนสุภาษิต