ใต้ร่มธรรม

ริมระเบียงรับลมโชย => รับสายลมเย็นหน้าระเบียง => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:32:48 am

หัวข้อ: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:32:48 am
.

รวมรวมเรื่องราวที่น่ารู้ เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"


------------------------------------------------------------------------

วันตรุษจีน 2557 ประวัติวันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/19792-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/01_57_1.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันตรุษจีน 2557 หรือ ตรุษจีน 2014 ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม วันตรุษจีน และวันนี้เรามี บทความวันตรุษจีน 2557 มาฝาก ทั้ง ประวัติวันตรุษจีน วันไหว้ตรุษจีน 2557 วันเที่ยวตรุษจีน และวันจ่าย2557 ตรงกับวันที่เท่าไหร่ มาดูกัน

          ตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เพราะชาวจีนถือว่า วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ดังนั้นชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองแตกต่างกันไป สำหรับปี 2557 นี้ วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 31 มกราคม

ประวัติวันตรุษจีน

          สำหรับที่มาของวันตรุษจีน นั้น เชื่อกันว่าประเพณีนี้มีมานานกว่าสี่พันปีแล้ว จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เดิมที่ไม่ได้เรียกว่าเทศกาลตรุษจีน แต่มีชื่อเรียกต่างกันตามยุคสมัย นั่นคือเมื่อ 2100 ปีก่อนคริสตศักราชจะเรียกว่า "ซุ่ย" ซึ่งมีความหมายถึงการโคจรครบหนึ่งรอบของดาวจูปิเตอร์ จนกระทั่งต่อมาในยุค 1000 กว่าปีก่อนคริสตศักราช เทศกาลตรุษจีนจะถูกเรียกว่า "เหนียน" หมายถึงการเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์นั่นเอง

          นอกจากนี้ วันตรุษจีน ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันชุงเจ๋" ซึ่งหมายถึงเทศกาลดูใบไม้ผลิ หรือขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ เพราะช่วงก่อนตรุษจีนนั้นตรงกับฤดูหนาว ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ชาวจีนจึงสามารถทำนา ทำสวน ได้อีกครั้งหลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวมานั่นเอง

          ส่วนการกำหนดวันตรุษจีนนั้น ตามประเพณีเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีน และถือว่าคืนวันที่ 30 เดือน 12 เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนวันที่ 1 เดือน 1 คือวันชิวอิก หมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ

          การเตรียมงานเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนั้น จะเริ่มขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) โดยผู้คนจะเริ่มซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้านเรือน และเตรียมทำความสะอาดครั้งใหญ่ ตั้งแต่ชั้นบนลงชั้นล่าง เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะเป็นการปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ภายในบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง จะประดับประดาไปด้วยสีแดง และกระดาษสีแดงที่มีคำอวยพรให้อายุยืน ร่ำรวย อยู่ดีมีสุข ฯลฯ

          จากนั้นครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารที่ล้วนแต่มีความหมายมงคลทั้งสิ้น เช่น กุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรืองและความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งความโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาหร่าย จะนำความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว ทุกคนในครอบครัวจะนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/001_5_4.jpg)

สัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน

          นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน คือ "อั่งเปา " ซึ่งมีความหมายว่า "กระเป๋าแดง" หรือจะใช้คำว่า "แต๊ะเอีย" ซึ่งมีความหมายว่า "ผูกเอว" จากที่คนสมัยก่อนชอบร้อยเงินเป็นพวงผูกไว้ที่เอว โดยการให้อั่งเปานี้ คู่แต่งงานจะให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว จะออกมาจากบ้านเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ในหมู่ญาติ และด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป)

วันตรุษจีน 2557

          สำหรับวันตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม 2557 นั่นเอง ซึ่งวันตรุษจีนไม่ถือเป็นวันหยุดราชการนะ แต่ตามบริษัทห้างร้านของคนจีนอาจจะอนุญาตให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ถือเป็นวันหยุดพักผ่อนพิเศษสำหรับคนจีน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบริษัทไหน หรือร้านไหนจะกำหนดให้หยุดได้กี่วัน

วันจ่ายตรุษจีน 2557 

          ตามธรรมเนียมของคนจีนแล้ว วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก จะเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปหาซื้ออาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ มาเตรียมพร้อมไว้ ก่อนที่ร้านค้าต่าง ๆ จะหยุดยาวในช่วงวันตรุษจีน ซึ่งจะตรงกับวันก่อนวันสิ้นปี โดยในปี 2557 นี้ วันจ่ายตรุษจีนคือวันพุธ ที่ 29 มกราคม   

  วันไหว้ตรุษจีน 2557

          วันไหว้ของเทศกาลตรุษจีนก็คือ "วันสิ้นปี" ซึ่งจะเป็นวันที่มีการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ด้วยอาหาร ผลไม้ เครื่องเซ่นไหว้ ฯลฯ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยในปี 2557 นี้ วันไหว้ตรุษจีน  คือ วันพฤหัสบดี ที่ 30 มกราคม

วันเที่ยวตรุษจีน 2557

          วันเที่ยวสำหรับชาวจีนก็คือ "วันปีใหม่" หรือ "วันตรุษจีน" ซึ่งวันเที่ยวตรุษจีน 2557 คือ วันศุกร์ที่ 31 มกราคม นั่นเอง และเป็น "วันถือ" ด้วย โดยในวันนี้ชาวจีนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม พากันออกไปท่องเที่ยว และไปไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เคารพรัก ชาวจีนจะถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งสิริมงคล และงดทำบาปทั้งปวง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.panyathai.or.th/-
- thai.cri.cn
- abhidhamonline.org
- thaigoogleearth.com

.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:34:51 am
วันตรุษจีน 2557 ต้อนรับวันตรุษจีน 2014 ด้วยเรื่องน่ารู้

-http://hilight.kapook.com/view/55824-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/other/64918312.gif)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันตรุษจีน 2014 หรือ วันตรุษจีน 2557 วันที่ 31 มกราคม วันนี้เรามีเรื่องน่ารู้ เรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำเนื่องในวันตรุษจีนมาฝาก เพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีนอย่างมีความสุข และได้สิริมงคล เนื่องในวันตรุษจีน 2557

          ว่าแต่เรื่องน่ารู้วันตรุษจีน มีเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ

           ดอกไม้ไฟ โคมลอย และคำโคลงประโยคคู่สีแดง เกี่ยวอะไรกับวันตรุษจีน

          ในคืนก่อนวันตรุษจีน ชาวจีนจะนั่งดูทีวี กินอาหาร พูดคุยหยอกล้อกันภายในครอบครัว โดยมีตำนานเก่าแก่เล่ากันว่า สมัยก่อนมีปิศาจตนหนึ่งชื่อว่า "เหนียน" (หรือคำว่า "ปี" ในภาษาไทย) อาศัยอยู่บนภูเขาออกอาละวาด จับมนุษย์ วัว และควายเป็นอาหาร ผู้คนจึงพยายามหาวิธีกำจัดเจ้าปิศาจจึงพบว่า เจ้าปิศาจตนนี้กลัว ไฟ เสียงปัง และกลัวสีแดง พวกมนุษย์จึงพากันจุดประทัดหรือติดโคมไฟหน้าบ้าน เพื่อขับไล่ให้ปิศาจออกไป และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีใครเชื่อเรื่องปิศาจกันแล้วก็ตาม ตำนานและเรื่องเล่าเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ชาวจีนยังคงแขวนโคมสีแดงไว้หน้าบ้าน นั่งดูโทรทัศน์กับครอบครัวเพื่อต้อนรับวันใหม่พร้อมกัน

          โดยปกติแล้วชาวจีนจะไม่จุดพลุหรือดอกไม้ไฟกันตอนกลางคืน เพราะจะเป็นการรบกวนผู้อื่น แต่จะจุดประทัดกันในช่วงกลางวันแทน เพราะไม่ถือเป็นการรบกวนผู้อื่นมากนัก

           อาหารในวันตรุษจีน

          ทางตอนเหนือของประเทศจีนนั้น นิยมจัดติ่มซำเป็นอาหารขึ้นโต๊ะสำหรับมื้อเย็น เพราะชาวจีนเชื่อว่าการกินติ่มซำในวันสิ้นปีนั้นจะนำพาโชคดีมาให้ อาหารที่มีชื่อว่า "หยวนเบา (yuan bao)" เป็นอาหารที่มีลักษณะคล้ายเรือสีทอง และมีรูปทรงเดียวกับเงินที่ใช้กันแต่โบราณ ซึ่งการทำอาหารชนิดนี้อาจดัดแปลงโดยการยัดใส่ด้วยผัก เนื้อสัตว์ ปลาและกุ้ง หรือบางครอบครัวอาจดัดแปลงโดยการใส่ถั่วเพื่มลงไปเป็นใส้ หรือใส่เหรียญลงไปสัก 1 เหรียญในใส้เพื่อคอยดูว่าใครจะได้เป็นผู้โชคดีที่สุดของปี

          ส่วนทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้น ผู้คนชอบทานข้าวกันมากกว่าข้าวสาลี หลายครอบครัวจะทานเค้กที่ทำจากข้าวเหนียวเป็นอาหารส่งท้ายปี ขนมเค้กที่ว่านั้น ชาวจีนเรียกกันว่า "เหนียน เกาว(ดีวัน ดีคืน)" ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของปีที่รุ่งเรือง นอกจากนั้น ต้นกระเทียม และปลา ยังเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

           การห่อเงินด้วยสีแดง

          ช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นวันที่โปรดปรานของเด็ก ๆ ทุกคน เพราะว่าเป็นวันที่จะได้รับอั่งเปาสีแดงจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่าและจากญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักร้อยหรือหลักพันก็ได้ อาจให้โดยกับมือหรือวางไว้ให้ข้างหมอนตอนเด็ก ๆ หลับก็ได้

           ห้ามตัดผม

          คนจีนหลาย ๆ คนที่เชื่อเรื่องโชคลาภมักจะไม่ตัดผมกันในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเชื่อว่าจะทำให้พี่ชายแม่เสียชีวิตลงได้ ดั่งเรื่องเล่าที่ว่า ช่างตัดผมคนหนึ่งอยากหาของขวัญให้คุณลุงของเขา แต่เพราะยากจนไม่มีเงินซื้อของขวัญอันแสนมีค่ามาให้ได้ เขาจึงตัดผมให้ลุงเป็นของขวัญแทน หลังจากที่ ลุงของเขาเสียชีวิตลง หลานชายของเขาร้องไห้เพราะคิดถึงทุกปี จนเป็นตำนานความเหมือนกันในความหมายของคำว่า "คิดถึงลุงของเขา (si jiu)" และคำว่า "การตายของลุง" ซึ่งในภาษาจีน สองคำนี้อ่านออกเสียงอย่างเดียวกัน

          เหล่านี้คือเรื่องเล่าขาน ตำนานแห่งวันตรุษจีน ส่วนโชคดีจะอยู่หรือไปนั้น อยู่ที่การกระทำของเราในวันนี้และพรุ่งนี้เช่นกัน ส่วนธรรมเนียมปฏิบัติและคุณค่าของวัฒนธรรมนั้นคงคุณค่าไว้เพื่อดำรงไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษากันต่อไป
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:41:15 am
ของไหว้ตรุษจีน 2557 อาหารไหว้ในแต่ละวัน

-http://hilight.kapook.com/view/19797-



(http://hilight.kapook.com/img_cms2/ChineseNewyearOffer.jpg)
ของไหว้ตรุษจีน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม ซึ่งก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนก็จะมีการไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษเนื่องในวันตรุษจีน ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2557 มีอะไรบ้าง ตามไปดูกัน

          ใกล้เทศกาลตรุษจีนกันมาแล้ว หลาย ๆ คนคงตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะนี่คงเป็นเทศกาลที่จะได้พบปะกับญาติมิตรที่ไม่ได้เจอกันมานาน และได้อั่งเปาจากญาติผู้ใหญ่ แต่ก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้น เราคงสังเกตเห็นว่า มีการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษก่อนที่จะเข้าวันตรุษจีน เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต วันนี้ เราจึงเสนอของเซ่นไหว้ถูกหลัก พร้อมทั้งความหมายของของไหว้แต่ละอย่าง มาฝากกันค่ะ

         เดิมนั้น คนจีนจะแบ่งวันไหว้ออกเป็น 2 วัน นับเป็น 2 เทศกาลคือ วันที่ 29 หรือ 30 เดือน 12 ของจีน และ วันชิวอก ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเริ่มมาจากฤดูใบไม้ผลิของคนจีน แต่คนไทยมักจะรวม 2 วันนี้เป็นวันเดียวกัน และไหว้พร้อมกันทีเดียว

         ของไหว้ในวันที่ 29 หรือ 30 ของเดือน 12

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/ChineseNewyear4.jpg)

อาหารไหว้ช่วงเช้า

         ช่วงเช้า  เวลาประมาณ 07.00 – 08.00 น. ตอนเช้าชาวจีนจะนิยมไหว้สิงศักดิ์สิทธิ์ในบ้าน และไหว้ปุ้งเท้า ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นที่คนทำมาค้าขายนิยมบูชา โดยจะไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3 อย่าง หรือ ซาแซ  เช่น

                  หมู  มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์
                  เป็ด  มีความหมายถึง ความสามารถอันหลากหลาย ความมั่งคั่ง ความมีมาก
                  ไก่   มีความหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยหงอนไก่ที่มีลักษณะเหมือนหมวกขุนนาง มีความหมายถึงความซื่อตรง
                  ขนมเข่ง  มีความหมายถึง การมีเพื่อนมาก


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/ChineseNewyear5.jpg)

อาหารไหว้ช่วงสาย


         ช่วงสาย เวลาประมาณ 09.00 น. ถึงก่อนเที่ยง จะเป็นการไหว้บรรพบุรุษและบรรพชน อาหารที่ไหว้มีดังนี้

         อาหารคาว อาหารคาวต่าง ๆ มีความหมาย ดังต่อไปนี้

                  ลูกชิ้นปลา  หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ ชีวิตราบรื่น
                  ผัดต้นกระเทียม  หมายถึง ความมั่งคั่ง มีเงินมีทองให้นับอยู่เสมอ
                  ผัดตับกับกุยช่าย  หมายถึง การมียศฐาบรรดาศักดิ์ ฐานะร่ำรวย
                  แกงจืด หมายถึง การให้ลูกหลานมีชีวิตราบรื่น
                  เป๋าฮื้อ หมายถึง ความเหลือกินเหลือใช้ มีไว้ให้ลูกหลาน
                  ผัดถั่วงอก หมายถึง ความงอกงาม เจริญรุ่งเรือง
                  เต้าหู้ หมายถึง การเจริญเติบโต บุญ ความสุข
                  สาหร่ายทะเล หมายถึง ความโชคดี ร่ำรวย

         อาหารหวาน มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

                  ซาลาเปา หมายถึง การห่อโชคลาภมาให้ลูกหลาน
                  ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเจริญงอกงาม
                  ขนมคัดท้อก้วย คือ ขนมไล้ถั่วต่าง ๆ ที่ทำเป็นลูกท้อ หมายถึง การอวยพรให้มีอายุยืนยาว
                  ขนมไข่ หมายถึง การเจริญเติบโต
                  ขนมอี๊ ทำจากแป้งกลม ๆ นวดแล้วเจือสีชมพู แล้วปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ต้มกับน้ำตาล จะทำให้ เคี้ยวง่าย ขนมอิ๊จึงหมายถึงความราบรื่น
                  ขนมเทียน หมายถึง ความสว่างรุ่งเรือง

         ขนมเข่ง
         ชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่
         ข้าวสวย พูนใส่ให้ครบตามจำนวนของบรรพบุรุษ
         น้ำชา
         ผลไม้ ผลไม้ต่าง ๆ ที่ไหว้ในวันตรุษจีนมีความหมายดังต่อไปนี้

                  ส้ม หมายถึง โชคลาภ วาสนา มีความหมายถึงโชคดี
                  กล้วย หมายถึง การมีลูกหลานมาก และเรียกโชคลาภเข้าบ้าน
                  แอปเปิ้ล หมายถึง การมีสุขภาพแข็งแรง และความสุขสงบ
                  สับปะรด หมายถึง การมองเห็นได้กว้างไกล
                  องุ่น หมายถึง ความมั่งคั่งและความแข็งแรง
                  สาลี่ หมายถึง เงินทองไหลมาเทมา

         เครื่องกระดาษ มีความหมายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

                  กระดาษเงินกระดาษทอง คนจีนเชื่อว่า เมื่อคนตายตายไปแล้ว ลูกหลานจะต้องส่งเงินทองไปให้เพื่อแสดงความกตัญญู และการเผากระดาษเงินกระดาษทอง ก็ยังหมายถึงสิริมงคลที่จะเกิดกับลูกหลานอีกด้วย
                  กอจี๊ หรือ จี๊จุ๊ย หมายถึง กระดาษทองชิ้นใหญ่มีกระดาษแดงตัดเป็นตัวอักษรว่า เผ่งอัน หมายถึง ความโชคดี
                  กิมจั๊ว หมายถึง กระดาษเงินกระดาษทองที่ลูกหลานนำมาทำเป็นชุด พับเป็นรูปดอกไม้ก่อนไหว้
                  กิมเต้า หมายถึง ถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เทพยดาฟ้าดิน
                  กิมเตี๊ยว หรือ แท่งทอง ใช้สำหรับไหว้คนตาย
                  อิมกังจัวยี่ หรือ แบงค์กงเต็ก ใช้สำหรับเบิกทางไปสู่สวรรค์ขอคนตาย


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/ChineseNewyear2.jpg)

อาหารไหว้ช่วงบ่าย


         ช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.00 – 15.00 น. จะเป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ โดยประกอบไปด้วยเครื่องไหว้ดังนี้

         อาหารคาว
         อาหารหวาน
         เครื่องกระดาษ


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/ChineseNewyear1.jpg)

อาหารไหว้วันตรุษจีน


         วันตรุษจีน เป็นการไหว้ในช่วงเช้าของวันที่ 1 ด้วยของเซ่นต่าง ๆ หลังจากนั้นจะให้ออกไปไหว้เจ้านอกบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ เสร็จแล้วจะเดินทางไปเยี่ยมพี่น้อง โดยเครื่องไหว้ต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้


         ส้ม หมายถึง โชคดี
         ของหวาน 5 อย่าง
         ขนมจันอับ หมายถึง ความเจริญงอกงามดุจดังเมล็ดพืช


         เราหวังว่า วันตรุษจีนนี้ คงเป็นอีกวันที่เทพยดาฟ้าดินที่เราไหว้ จะนำพาความสุขสงบร่มเย็น พร้อมด้วยโชคลาภเงินทอง มาสู่เราตลอดปีนะคะ

http://hilight.kapook.com/view/19797 (http://hilight.kapook.com/view/19797)
.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:43:18 am
วิธีการไหว้รับเทพเจ้าโชคลาภไฉ่ซิงเอี้ยประจำปีมะเมีย 2557

-http://www.sumnakcharang.com/angle1.php-


 ฤกษ์และหลักการไหว้เทพเจ้าโชคลาภ
ฤกษ์กลางคืนวันพฤหัสบดีที่    30    มกราคม    2557
เวลา 23.11 น.    ห้ามปี    วอก ชวด เถาะ    ขึ้นธูปคนแรก (ใช้ธูป 12 ดอก)
ถ้าจำเป็นต้องเื่ลื่อน  ไปใช้ฤกษ์เวลา 03.03 น. (ตีสาม สามนาที)

ตั้งโต๊ะหลักหันไปทาง ทิศใต้  ( S )
เพื่ออัญเชิญ  เทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าสิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร

ปีนี้ เทพเจ้าโชคลาภ มาทางทิศใต้  ( S )
เทพเจ้าสิริมงคล มาทางทิศใต ( S )
เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร  มาทางทิศตะวันออก ( E )

กรณีพื้นที่จำกัด ตั้งโต๊ะไหว้หันออกหน้าบ้าน
จุดธูปไหว้ไปทางทิศใต้ ( S ) เพื่ออัญเชิญเทพ ฯ
เปิดประตูหน้าบ้าน ปิดประตูหลังบ้าน ( ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้ )

ห้ามกวาดบ้านจนถึงวันเปิดงาน ( ถูบ้านได้)

ฤกษ์เปิดงาน ชิวสี่  วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557
เอาชุดไหว้เจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองสถาพร
การงานราบรื่น มั่งมี ศรีสุข โชคลาภวาสนาไม่ขาดสาย

 

เครื่องไหว้ในพิธี
1.    รูปปั้น หรือรูปภาพ องค์เทพ ไฉ่ซิ้งเอี๊ย
( ถ้าไม่มี ให้ไหว้ขึ้นธูปทางทิศใต้  ( S ) )
2.     แก้วใส่ข้าวสาร หรือกระถางธูป มีกิมฮวยปัก 1 คู่
ติดการดาษแดง หรืออั้งติ๋ว
3.    แจกันดอกไม้ 1 คู่
4.    เชิงเทียน พร้อมเทียนสีแดง 1 คู่
5.    น้ำชา 5 ถ้วย
6.    ถั่วเขียว 1จาน - ถั่วแดง 1จาน - ส้ม 8 ลูก(ใส่ถาด)
7.    เจไฉ่ 5 อย่าง - ผลไม้ 5 อย่าง
8.    สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม หรือ อี๊ 5ถ้วย
9.    น้ำใส่ยอดทับทิม 5 ยอด 1 ขัน หรือ 1 แก้ว (เพื่อใช้พรมตัวและบ้าน)
10.    หนังสืออัญเชิญ พร้อมคำอธิษฐานขอพร สีูแดง และเขียว
11.    ซองอั่งเปา
12.    อย่างอื่นเพิ่มเติมตามใจ เช่น ชุดเครื่องไหว้ เมื่อไหว้ธูปได้ครึ่งดอก
เอาเครื่องกระดาษไปเผา
13.    ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง ฮวดก้วย ขนมชั้น
14.    กระดาษทอง (ตั่วกิม) 13 แผ่น และ กระดาษไหว้เจ้า (หงิงเตี่ย) 13 คู่
15.    อย่างอื่นเพิ่มเติมตามใจ เช่น ชุดเครื่องไหว้ เวลาไหว้ กล่าวคำอธิษฐาน
บอกชื่อ(แซ่) นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ และที่อยู่ ของผู้ทำการไหว้
ขอพร หรือเขียนรายละเอียดบุคคลที่ขอพรใส่ในกระดาษให้เรียบร้อย
แล้ววางเอาไว้ในถาดเครื่องการดาษจะได้ไม่ตกหล่น สมาชิกทุกท่าน
ในครอบครัว เมื่อไหว้ธูปได้ครึ่งดอก เอาเครื่องกระดาษไปเผาเสร็จแล้ว
ส่วนของไหว้นำกลับเข้าบ้านไปกินเป็นสิริมงคล

 
ตำแหน่งเครื่องไหว้ในพิธี

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2299;image)


หมายเหตุ  =>   
ฯลฯ
   

ของอื่นเพิ่มเติม เช่น ขนม,เครื่องกระดาษ,มงคล 5 ประเภทตามกำลัง

 
วันชิวอิก         ไหว้พระ - เทพเจ้าขอพร ทานขนมไส้พุทรา เกาลัด
          ขนมเข่ง, บัวลอย
วันชิวหยี         ร่วมรับประทานอาหารในครอบครัว
วันชิวซา         ทำความสะอาดเอาขยะสิ่งปฏิกูลออกจากบ้าน   เพื่อต้อนรับ
          เพื่อต้อนรับ ความมั่งมีศรีสุขในวันเปิดงาน
วันชิวฉิก         วันเกิดมนุษย์ กินผัก 7 อย่าง งอกงามเพิ่มพูน

 

Update   8 - 12 - 2013  Webmaster


http://www.sumnakcharang.com/angle1.php (http://www.sumnakcharang.com/angle1.php)



.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:44:35 am
พิธีการบูชา ตี่จู้เอี๊ยะ

-http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644-

การบูชา ตี่จู๋เอี๊ยะ


ความสำคัญของตี่จู้เอี๊ยะ
    ในตำราจีนกล่าวไว้ว่า ตี่จู้เอี๊ยะ คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ท่านเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลปกปักษ์รักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน
    ดังนั้นการที่เจ้าของบ้านจัดสถานที่อยู่อาศัยให้กับเทพที่คุ้มครองเรา เป็นการจัดสถานที่อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ อันจะนำมาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ยิ่งกว่านั้นมีความเชื่อกันว่า ตี่จู้เอี๊ยะ มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านนั้นโดยตรง เพราะถ้ามีการวางตำแหน่ง ตี่จู้เอี๊ยะ ได้อย่างถูกต้อง ท่านจะช่วยส่งเสริมดวงชะตาของเจ้าของบ้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ บารมี สุขภาพ ร่างกาย และยังรวมไปถึงความผาสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน


การเลือกซื้อตี่จู้เอี๊ยะ


    การตั้งตี่จู้ต้องตั้งติดดิน เจ้าที่จึงจะมีพลัง ซึ่งในการตั้งตี่จู้ก็มีหลักการเดียวกับศาลพระภูมิของคนไทยคือตั้งได้เฉพาะชั้นล่าง เพราะจะทำให้ได้โชคลาภมาก ยิ่งติดพื้นยิ่งดีเพราะจะทำให้ตี่จู้รับพลังจากธาตุดินได้ดีกว่านั่นเอง
    ซึ่งผิดแผกไปจากศาลพระพรหมที่สามารถตั้งบนดาดฟ้าได้เลย โดยเราจะตั้งตี่จู้ไว้ทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวามือของตัวบ้านก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตำแหน่งที่ตั้งของตี่จู้ตามหลักการประกอบกันไปด้วย

ทิศรอบตี่จู้เอี๊ยะ
ด้านหลังตี่จู้ : ไม่ควรอยู่ชิดประตู รวมถึงบันได ห้องน้ำ และห้องครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรตรงกับเตาไฟ ควรวางพิงด้านใด ด้านหนึ่งไม่เคลื่อนย้าย
ด้านหน้าตี่จู้ : ควรเป็นเหม่งตึ๊ง(พื้นที่โล่ง) เพื่อรองรับโชคลาภบารมีที่จะเข้ามา มีแสงสว่างที่เพียงพอ
ด้านบนตี่จู้ : ไม่ควรวางใต้ขื่อคานหรือมีสิ่งใดไว้กดทับตี่จู้ จะเป็นการลดพลังของตี่จู้ได้ เช่น อ่างน้ำหรือตู้ปลาเป็นต้น
ด้านใต้ตี่จู้ : การใส่แผ่นเงิน แผ่นทอง หรือจำพวกเพชรนิลจินดาสามารถใส่ได้ เพราะถือเป็นธาตุดินช่วยเสริมกับพลังของตี่จู้ ทั้งนี้ควรตั้งติดพื้น ไม่ต้องมีฐานรอง

 

ของไหว้อื่นๆ

1. กระถางธูป หากเป็นกระถางธูปใหม่ จะใช้ โหง่วเจ่งจี้ หรือธัญพืช 5 อย่าง ซึ่งได้แก่ ข้าวเปลือก (เสริมความเจริญงอกงาม) หรือ ข้าวสาร (เสริมความ ร่ำรวย มั่งคั่ง) - ข้าวเหนียวแดง (เสริมความโชคดี) - เมล็ดถั่วเขียว(ลูกหลานมากมาย อุดมสมบรูณ์) - เมล็ดถั่วแดง(ความเป็นสิริมงคล ลาภยศ )- เม็ดสาคู (เสริมความสูข) ปนลงไปในผงธูปด้วย ที่ด้านข้างกระถางควรแปะอั่งติ้วเอาไว้ด้วย (อั่งติ้ว คือ ผ้าแดงสำหรับติดตรงกระถางธูป) ผงขี้เถ้าสำหรับกระถางธูป (ผงขี้เถ้า เสริมการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง)
2. ธูป 5 ดอก
3. เหรียญสิบ 5 เหรียญ (ควรใช้เหรียญใหม่ๆ) วางใส่ในกระถางธูปหรือใต้กระถางธูปก็ได้ (เสริม เงินทองไหลมาเทมา)
4. แจกันพร้อมดอกไม้สด 1 คู่
5. น้ำชา 5 ถ้วย
6. เหล้า 5 ถ้วย
7. ผลไม้ 5 อย่าง (อาทิเช่น ส้ม สับปะรด องุ่น)
8. ฮวกก้วย (คล้ายๆ ขนมถ้วยฟู) 1 ชิ้น
9. ขนมอี้ (สาคูแดง) 5 ถ้วย
10. ขนมจันอับ
11. ข้าวสวย 5 ถ้วย
12. เจฉ่าย
13. ซาแซ หรือ โหง่วแซ
    -ถ้าจัดใหญ่ นิยมเป็นตัวเลข 5 คือ มีของคาว 5 อย่าง เรียกว่า “โหงวแซ” ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรนั้นแพงและหาไม่ง่าย จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน
    ถ้าจัดเล็ก ก็เป็นชุดละ 3 อย่าง มีของคาว 3 อย่างเรียกว่า “ซาแซ” ของหวาน 3 อย่าง เรียกว่า “ซาเปี้ย” ผลไม้ 3 อย่าง เรียกว่า “ซาก้วย” หรือจะมีแค่อย่างเดียวก็ได้


ผลไม้มงคล

1 แอปเปิ้ล ( ความเจริญ รุ่งเรือง )

2 ลูกพลับ ( ความไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค,ขยัน )

3 สาลี่ ( เงินทองไหลมาเทมา )

4 ส้ม ( ความมีอำนาจ มั่งคั่ง )

5 องุ่น ( ความสมบรูณ์ พูนสูข )

6 ลูกท้อ ( ความยั่งยืน)

7 สับปะรด ( ความรอบรู้ กว้างไกล)

8 ลิ้นจี่ ( ความเป็นมงคล)

9 ลำใย ( ความมีอำนาจวาสนา เป็นผู้นำ )

10 กล้วย (ลูกหลาน บริวาร )

 
การไหว้ ตี่จู๋เอี้ยะ

จะมีการไหว้ 2 แบบคือ
    1.การไหว้ในทุกๆ วัน
    2.การไหว้ตามวันพระจีน ( ชิวอิก--1ค่ำ และ จับโหงว--15 ค่ำ )
     ซึ่งการไหว้ทั้ง 2 แบบจะต่างกันเพียงของไหว้เล็กน้อย และการไหว้ตามวันพระจีน จะมีการไหว้เดือนละ 2 ครั้งเท่านั้น
ทั้งนี้ ไม่รวมการไหว้ตามเทศกาลต่างๆอีก เช่ ตรุษจีน สารทจีน และการไหว้รับเทพ ซึ่งจะมีการจัดของไหว้ที่ต่างกันออกไป

    1.การไหว้ในทุกๆวัน
      ของไหว้ได้แก่   
1.น้ำชา  5 ถ้วย
2.น้ำเปล่า 3 ถ้วย
3.กระดาษไหว้ 1 ชุด
      วิธีการไหว้ คือ ให้จุดธูป 7 ดอก ไหว้เจ้าที่ภายในบ้านก่อน อธิษฐานเสร็จ ปักธูปที่กระถาง 5 ดอก อีก 2 ดอก ให้ปักที่ประตูหน้าบ้านซ้าย และขวา เป็นการไหว้เทพประจำประตูซ้าย-ขวา
       เสร็จแล้วก็ลากระดาษไปเผาหน้าบ้าน (ห้ามเขี่ยขี้เถ้าระหว่างเผา ปล่อยให้มอดไปเอง)
2.การไหว้ทุกวันพระ(ชิวอิกและจับโหงว )
      ของไหว้ได้แก่   
1.น้ำชา 5 ถ้วย
2.น้ำเปล่า 3 ถ้วย
3.ขนมกูไช่ สีแดง ( ถ่อก้วย หรืออั่งก้วย )
4.ส้ม  5 ลูก
5.กระดาษไหว้  1 ชุด
    วิธีการไหว้ เหมือนการไหว้ประจำวัน แต่หลังจากปักธูปหน้าบ้านเสร็จให้รอสักครู่ จึงลาของไหว้ และกระดาษ

ขั้นตอนการประกอบพิธี

    ผู้ทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ คือเจ้าของบ้านหรือผู้อาวุโสของบ้าน หรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของบ้านให้เป็นผู้ทำการแทน โดยกล่าวง่ายๆ ว่าข้าพเจ้า ขอมอบให้ ..... เป็นผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะเพื่อมาสถิตย์อยู่ในบ้านนี้แทนข้าพเจ้า สำหรับผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะจะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและแต่งตัว เรียบร้อย

พิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ

ผู้อัญเชิญ จุดเทียนและธูป 5 ดอก แล้วคุกเข่าที่โต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวเปล่งเสียงออกมาว่า.....
"วันนี้ เป็นวันที่ ..... ( สากลหรือจีนก็ได้ ) ซึ่งเป็นวันมงคลของข้าพเจ้า ..... เป็นเจ้าของบ้าน หรือผู้อาวุโสของบ้าน หรือ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ทำการเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะ ( ถ้าเชิญให้เจ้าของบ้านก็ระบุชื่อเจ้าของบ้าน ) บ้านเลขที่ .....
ขออัญเชิญองค์เทพยดาฟ้าดินมาเป็นสักขีและเป็นประธานในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ในวันนี้ ขอให้องค์เทพยดาฟ้าดินช่วยนำองค์ตี่จู้เอี๊ยะที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบารมีสูงส่ง เพื่อมาสถิตย์อยู่ ณ เคหสถานที่ได้ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อมาปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของบ้านและสมาชิกทุกคนในบ้านให้ มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุข มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีตลอดไป..."

เมื่อกล่าวจบ ก็ปักธูปทั้งห้าดอก ลงในกระถางธูปที่ตั้งโต๊ะแล้วคอยเวลาจนกระทั่งธูปหมดไป ประมาณครึ่งดอก ก็เข้ามาในบ้านเพื่อจุดเทียนแดงและธูปห้าดอกที่ตี่จู้เอี๊ยะ แล้วถือธูปเดินออกมาคุกเข่าต่อหน้าโต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง บอกกล่าวด้วยการเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งว่า "
.....บัดนี้ได้ถึง เวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขออันเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะเข้าสู่เคหะสถานที่ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนในบ้านให้มีความสุขตลอดไป ฯลฯ ....." และก็นำธุปทั้งห้าดอกนั้นมาปักที่กระถางธูปของตี่จู้เอี๊ยะ และแนะนำสมาชิกทุกคนในบ้านด้วยการบอกชื่อและนามสกุล อายุ อาชีพ ฯลฯ และขอเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะมารับเครื่องสักการะบูชาอันมีอะไรบ้างก็กล่าวของ มาทุกอย่าง หลังการนั้นกลับออกมาคุกเข่า กราบขอบคุณเทพยดาฟ้าดินเป็นอันเสร็จพิธี

    หลังจากนี้ก็ไหว้ตามปกติ โดยมีแค่ของไหว้เล็กๆ น้อยๆ หากแต่เป็นเทศกาลก็ควรจะไหว้ชุดใหญ่ตามรายละเอียดด้านบน



http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644 (http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644)

.--------------------------------------------------------------------



ตี่จู้เอี๊ยะ เทพอารักษ์ประจำบ้าน ตามความเชื่อของชาวจีน

-http://hilight.kapook.com/view/96000-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/etc/%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B02.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ตี่จู้เอี๊ยะ เทพประจำบ้านผู้ปกปักอารักษ์คนในบ้าน ชาวจีนนิยมตั้งตี่จู้เอี๊ยะไว้ในบ้านเพื่อคุ้มครองและเสริมความสมบูรณ์พูนสุขแก่ผู้อาศัย การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ทำได้อย่างไร และควรไหว้ตี่จู้เอี๊ยะอย่างไร มาติดตามกันเลย

           ชาวจีนและเหล่าลูกหลานไทยเชื้อสายจีนมักจะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิต รวมทั้งเทพเจ้าผู้มีหน้าที่อารักษ์พิทักษ์มนุษย์กันมาเนิ่นนานตั้งแต่อดีต ดังที่เราจะเห็นได้จากสิ่งที่สะท้อนความเชื่อเหล่านี้ของชาวจีน ผ่านสิ่งของหรือเทศกาลต่าง ๆ ที่ชาวจีนนิยมทำ เช่น การไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบเห็นโดยทั่วไปในบ้านเรือนของลูกหลานชาวจีน ก็คือ ตี่จู้เอี๊ยะ หรือที่สถิตย์ของเทพอารักษ์ผู้ปกปักรักษาคนในบ้านเรือนนั้น ๆ นั่นเอง

           ตามความเชื่อของจีน ตี่จู้เอี๊ยะ คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ผู้ทำหน้าที่ดูแลปกปักรักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน ดังนั้นการที่เจ้าของบ้านจัดสถานที่อยู่อาศัยให้แก่เทพที่คุ้มครองเรา จึงนำมาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้วยว่าหากมีการวางตำแหน่งตี่จู้เอี๊ยะได้อย่างถูกต้อง เทพตี่จู้เอี๊ยะจะช่วยเสริมชะตาของเจ้าของบ้าน ทั้งในเรื่องโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมี สุขภาพร่างกาย รวมถึงความผาสุขของผู้อาศัยในบ้านด้วย

           การตั้งตี่จู้เอี๊ยะ

           สำหรับการตั้งตี่จู้เอี๊ยะนั้น มีหลักการเดียวกับการตั้งศาลพระภูมิของคนไทย คือตั้งได้เฉพาะชั้นล่าง เพื่อให้ได้โชคลาภมาก และยิ่งตั้งได้ติดพื้นจะยิ่งดีเพราะจะได้รับพลังจากธาตุดินได้ดีกว่า โดยตี่จู้เอี๊ยะนั้นสามารถตั้งไว้ในบริเวณใดของบ้านก็ได้ โดยมีหลักการตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ดังนี้

           ทิศด้านหลังตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ชิดประตู รวมถึงบันได ห้องน้ำ และห้องครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรตรงกับเตาไฟ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะพิงด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ควรเคลื่อนย้าย

           ทิศด้านหน้าตี่จู้เอี๊ยะ ควรเป็นพื้นที่โล่ง เพื่อรองรับโชคลาภบารมีที่จะเข้ามา และมีแสงสว่างที่เพียงพอ

           ทิศด้านบนตี่จู้เอี๊ยะ ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อคานหรือมีสิ่งใดวางทับ เพราะจะเป็นการลดพลังของตี่จู้ได้

           ทิศด้านใต้ตี่จู้เอี๊ยะ ควรวางตี่จู้เอี๊ยะตั้งติดดิน และสามารถนำแผ่นเงิน แผ่นทอง หรือเพชรนิลจินดา มาใส่ไว้ด้านใต้ได้ เพราะเป็นวัตถุธาตุดินช่วยเสริมพลังของเทพตี่จู้เอี๊ยะได้


           ของไหว้ตี่จู้เอี๊ยะ

           1. กระถางธูป หากเป็นกระถางธูปใหม่ จะใช้ โหง่วเจ่งจี้ หรือธัญพืช 5 อย่างปนลงไปในผงธูป ที่ด้านข้างกระถางควรแปะผ้าแดงที่เรียกว่า อั่งติ้ว เอาไว้ด้วย และมีผงขี้เถ้าสำหรับกระถางธูป เพื่อเสริมการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง

           สำหรับ โหง่วเจ่งจี้ ประกอบด้วย

           - ข้าวเปลือก ช่วยเสริมความเจริญงอกงาม หรือ ข้าวสาร ช่วยเสริมความร่ำรวย มั่งคั่ง
           - ข้าวเหนียวแดง ช่วยเสริมความโชคดี
           - เมล็ดถั่วเขียว ช่วยให้มีลูกหลานมากมาย อุดมสมบูรณ์
           - เมล็ดถั่วแดง เสริมความเป็นสิริมงคล ลาภยศ
           - เม็ดสาคู ช่วยเสริมความสุข

           2. ธูป 5 ดอก

           3. เหรียญสิบใหม่ ๆ 5 เหรียญ วางใส่ในกระถางธูปหรือใต้กระถางธูปก็ได้ เพื่อช่วยเสริมเงินทองให้ไหลมาเทมา

           4. แจกันพร้อมดอกไม้สด 1 คู่

           5. น้ำชา 5 ถ้วย

           6. เหล้า 5 ถ้วย

           7. ผลไม้ 5 อย่าง

           8. ฮวกก้วย 1 ชิ้น

           9. ขนมอี้ หรือสาคูแดง 5 ถ้วย

           10. ขนมจันอับ

           11. ข้าวสวย 5 ถ้วย

           12. เจฉ่าย

           13. ซาแซ หรือ โหง่วแซ

           ซาแซ คือของไหว้ชุดเล็ก ประกอบด้วย ของคาว 3 อย่าง โดยมี ซาเปี้ย และ ซาก้วย หรือของหวาน 3 อย่างกับผลไม้ 3 อย่าง ไหว้พร้อมกัน

           โหง่วแซ คือของไหว้ชุดใหญ่ เป็นของคาว 5 อย่าง ประกอบด้วย หมู ไก่ ตับ ปลา และกุ้งมังกร แต่เนื่องจากกุ้งมังกรมีราคาแพงและหาซื้อยาก จึงนิยมไหว้เป็ดหรือปลาหมึกแห้งแทน

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/etc/%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B0.jpg)



           การประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะ

           ผู้ที่จะทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น จะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และแต่งกายให้เรียบร้อย โดยผู้ที่สามารถทำพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้าบ้านได้ คือเจ้าของบ้านหรือผู้อาวุโสในบ้าน หรือเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของบ้านให้เป็นผู้ทำการแทน โดยการแต่งตั้งนั้นทำได้โดย ให้เจ้าของบ้านกล่าวว่า "ข้าพเจ้า ขอมอบให้ (ชื่อผู้ทำการแทน) เป็นผู้ทำการเชิญตี่จู้เอี๊ยะเพื่อมาสถิตย์อยู่ในบ้านนี้แทนข้าพเจ้า"

           สำหรับขั้นตอนในการประกอบพิธีเชิญตี่จู้เอี๊ยะนั้น เริ่มจากให้ผู้อัญเชิญ จุดเทียนและธูป 5 ดอก แล้วคุกเข่าที่โต๊ะบูชาเทพยาดาฟ้าดินที่อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวเปล่งเสียงว่า

           "วันนี้ เป็นวันที่... ซึ่งเป็นวันมงคลของข้าพเจ้า .... เป็นเจ้าของบ้าน/ผู้อาวุโสของบ้าน/ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ทำการเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะ บ้านเลขที่.... ขออัญเชิญองค์เทพยาดาฟ้าดินมาเป็นสักขีและเป็นประธานในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ยะ ในวันนี้ ขอให้องค์เทพยาดาฟ้าดินช่วยนำองค์ตี่จู้เอี๊ยะที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบารมีสูงส่งเพื่อมาสถิตย์อยู่ ณ เคหสถานที่ได้ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อมาปกปักรักษาคุ้มครองเจ้าของบ้านและสมาชิกทุกคนที่อยู่ในบ้าน ให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุข มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีตลอดไป"

           เมื่อกล่าวจบ ให้ผู้อัญเชิญปักธูปทั้ง 5 ดอกลงในกระถางธูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ รอกระทั่งธูปเหลือครึ่งดอก จึงเข้ามาในบ้านเพื่อจุดเทียนแดงและธูป 5 ดอกที่ตี่จู้เอี๊ยะ แล้วถือธูปเดินออกมาคุกเขาต่อหน้าโต๊ะบูชาเทพยดาฟ้าดินหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง บอกกล่าวด้วยการเปล่งเสียงอีกครั้งว่า

           "บัดนี้ได้ถึงเวลาอันเป็นมงคลแล้ว ขออัญเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะเข้าสู่เคหะสถานที่ตระเตรียมไว้นี้ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองทุกคนในบ้านให้มีความสุขตลอดไป"

           จากนั้นผู้อัญเชิญนำธูปทั้ง 5 ดอก มาปักที่กระถางธูปของตี่จู้เอี๊ยะ และแนะนำสมาชิกทุกคนในบ้าน ด้วยการบอกชื่อและนามสกุล อายุ อาชีพ ฯลฯ ก่อนเชิญองค์ตี่จู้เอี๊ยะมารับเครื่องสักการะบูชา โดยเอ่ยชื่อเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด แล้วกลับออกมาคุกเข่า กราบของคุณเทพยดาฟ้าดิน เป็นอันเสร็จพิธี


           (http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/natthida/icon/lxhdahongdenglong_org.gif)การไหว้ ตี่จู้เอี๊ยะ

           การไหว้ตี่จู้เอี๊ยะหลังจากได้เชิญตี่จู้เอี๊ยะเข้ามาสถิตย์ในบ้านแล้ว มี 2 แบบด้วยกัน คือการไหว้ทุกวัน กับการไหว้ตามวันพระจีน ซึ่งจะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดเล็ก ขณะที่การไหว้ในโอกาสเทศกกาลอื่น ๆ อย่างช่วง ตรุษจีน สารทจีน และการไหว้รับเทพ จะนิยมไหว้ด้วยของไหว้ชุดใหญ่

           1. การไหว้ทุกวัน มีของไหว้ประกอบด้วย

           น้ำชา 5 ถ้วย
           น้ำเปล่า 3 ถ้วย
           กระดาษไหว้ 1 ชุด

           วิธีการไหว้ให้จุดธูป 7 ดอก ไหว้เจ้าที่ภายในบ้านก่อน เมื่ออธิษฐานเสร็จให้ปักธูปที่กระถาง 5 ดอก ส่วนอีก 2 ดอกนำมาปักที่ประตูหน้าบ้านทั้งด้านซ้ายและขวา เมื่อเสร็จแล้วให้ลากระดาษไหว้ไปเผาหน้าบ้าน โดยห้ามเขี่ยขี้เถ้าระหว่างเผา ต้องปล่อยให้มอดไปเอง

           2. การไหว้ตามวันพระจีน (ชิวอิก 1 ค่ำ และ จับโหง่ว 15 ค่ำ) มีของไหว้ประกอบด้วย

           น้ำชา 5 ถ้วย
           น้ำเปล่า 3 ถ้วย
           ขนมกูไซ่ สีแดง (ถ่อก้วย หรืออั่งก้วย)
           ส้ม 5 ลูก
           กระดาษไหว้ 1 ชุด

           วิธีการไหว้ให้ไหว้เหมือนการไว้ประจำวัน แต่หลังจากไหว้หน้าบ้านเสร็จให้รอสักครู่ จึงค่อยลาของไหว้และลากระดาษมาเผาหน้าบ้าน


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
bjmarble.com
-http://www.bjmarble.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539420644-

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 09:48:53 am
ตรุษจีน 2557 แนะ 8 เรื่องควรทำ วันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/80636-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/rungtip/1/80622-new-635039.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


            ตรุษจีน 2557 หรือ ตรุษจีน 2014 ตรงกับวันศุกร์ ที่ 31 มกราคม วันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่ควรทำวันตรุษจีนมาฝาก

            รู้กันอยู่แล้วว่าเทศกาลตรุษจีนก็คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งหากเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่สากลอย่างช่วงวันที่ 1 มกราคม หลายคนก็จะพากันไปเดินทางท่องเที่ยว ไปทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ข้ามปี พบปะญาติมิตรพี่น้อง เลี้ยงฉลอง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง ไม่ต่างจากชาวจีน ที่พวกเขาเองก็มีการถือเคล็ดความเชื่อแบบนี้ในช่วงวันตรุษจีนเช่นกัน อยากรู้ไหมว่า มีสิ่งใดที่ชาวจีนควรปฏิบัติในช่วงเทศกาลตรุษจีนบ้าง เพื่อเป็นการต้อนรับ วันตรุษจีน 2557 ที่ใกล้จะมาถึงนี้ กระปุกดอทคอม ขอนำความรู้เรื่องสิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีนมาบอกกันค่ะ

 1. ไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ผีไม่มีญาติ

            คนจีนทุกบ้านจะต้องไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเป็นธรรมเนียมที่ลูกหลานชาวจีนสืบทอดต่อกันมานานแล้ว โดยเชื่อว่า การไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ จะนำความสุขมาสู่ครอบครัวนั้น โดยในช่วงเช้า ชาวจีนจะไหว้เจ้าที่ และบรรพบุรุษ จากนั้นในช่วงเที่ยงจะไหว้ผีไม่มีญาติ และจุดขี้ไต้ไว้ 2 ชิ้น เมื่อไหว้ผีไม่มีญาติเสร็จแล้ว จะจุดประทัด และโปรยข้าวสารผสมเกลือ เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งไม่ดีให้หมดไป

2. ทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย

            ไฉ่ซิ้งเอี้ย หรือ ไฉสิ่งเอี้ย คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ให้คุณทางด้านเงินทอง และทรัพย์สิน ถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดของชาวจีนก่อนเริ่มเข้าสู่นักษัตรปีใหม่ จะเห็นได้ว่าชาวจีนหลายคนนิยมไปกราบไหว้บูชาเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในช่วงตรุษจีนมากเป็นพิเศษ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เรียกโชคลาภเข้ามาสู่ชีวิต ขณะที่หลายบ้านก็จะทำพิธีรับไฉ่ซิ้งเอี้ย ในช่วงหลังเที่ยงคืนของวันซาจั๊บ จนถึงก่อนตี 1


3. ประดับตุ๊ยเลี้ยง (คำกลอนอวยพรปีใหม่) ในบ้าน

            หากได้ไปเยือนบ้านคนจีน เราคงจะเห็นกระดาษสีแดง ๆ เขียนอักษรภาษาจีนสีทอง หรือสีดำตัวใหญ่ ๆ แปะอยู่ในบ้าน และที่ประตูบ้าน สิ่งนั้นเรียกว่า "ตุ๊ยเลี้ยง" หรือ คำกลอนอวยพรปีใหม่ของคนจีน ซึ่งเป็นคำกลอนที่มีความหมายดี ๆ อวยพรให้ร่ำรวย มั่งมีเงินทอง มีความสุข มีโชคมีลาภ ค้าขายได้กำไร ส่วนแผ่นที่ติดตรงประตูนั้นจะเขียนคำว่า "ชุก ยิบ เผ่ง อัง" แปลว่า เข้า-ออกโดยปลอดภัย นอกจากนี้ ชาวจีนจะติดภาพเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย ที่เรียกว่า "หนี่อ่วย" ไว้ในบ้านด้วย เพราะถือว่าเป็นภาพมงคลของจีน

4. กินเจในมื้อแรกของวันตรุษจีน

            ในเช้าวันใหม่ของวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ (ปี 2557 ตรงกับวันที่ 31 มกราคม) ชาวจีนหลายบ้านจะรับประทานอาหารเจกันในมื้อแรกของปี งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับการกินเจตลอดปี

5. ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ สีสันสดใส

            มีธรรมเนียมของชาวจีนอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมานานแล้ว นั่นก็คือ ชาวจีนจะนิยมหยิบเสื้อผ้าสีสันสดใส สีสว่าง ๆ เช่น สีแดง สีทอง ซึ่งเป็นสีแห่งความสุข สีของความมงคลออกมาใส่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เพราะเชื่อว่าจะนำความสว่างสดใส และเจิดจ้ามาให้ผู้สวมใส่ รวมทั้งใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ด้วย ทั้งเด็กเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อเอาเคล็ดในวันปีใหม่ให้ชีวิตสดใสราบรื่นเบิกบานไปตลอดปี ส่วนเสื้อผ้าสีขาว สีดำ ถือเป็นสีต้องห้ามในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะเป็นสีไว้ทุกข์ แสดงถึงความโศกเศร้า

6. รวมญาติกินเกี๊ยว

            ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถือเป็นโอกาสหนึ่งที่หลาย ๆ ครอบครัวจะได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่ออวยพรวันปีใหม่ และพบปะสังสรรค์กัน จึงถือเป็น "วันรวมญาติ" อีกหนึ่งวัน ซึ่งในวันซาจั๊บ คนในครอบครัวจะมาร่วมโต๊ะรับประทานเกี๊ยวด้วยกันในมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ ซึ่ง "เกี๊ยว" นี้ จะต้องพับเป็นก้อนให้เหมือน "เงิน" ของจีน แทนความหมายว่า มั่งมีเงินทอง

 7. อวยพรผู้ใหญ่ ด้วยส้ม 4 ผล

            ตามประเพณีของชาวจีน ในวันชิวอิก ทุกคนจะนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ ซึ่งเจ้าของบ้านนั้นก็จะต้องรับส้มมา 2 ผล และนำส้มที่ตัวเองเตรียมไว้วางคืนลง 2 ผล พร้อมกับเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้ 1 พาน และสมอจีนไว้รับแขกที่มาอวยพรด้วย

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/rungtip/Inter/CROWMAGAZINE016_001_2.jpg)

8. รับอั่งเปา-แต๊ะเอีย

            ข้อนี้เด็ก ๆ คงยิ้มแก้มปริแน่นอน เพราะในวันตรุษจีนนี้ เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ เพื่ออวยพรให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตแข็งแรง มีโชคลาภ ส่วนคนทำงาน คนที่มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ก็จะต้องให้อั่งเปากับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าด้วยเช่นกัน หรือเจ้านายจะให้อั่งเปาลูกน้องก็ได้ อ่านเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "อั่งเปา" ต่อได้ที่นี่เลย "ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย"

           ยังมีความเชื่ออีกหลายข้อที่ขึ้นอยู่กับประเพณี และธรรมเนียมของแต่ละชุมชน ซึ่งแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัวก็จะปฏิบัติแตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจเชื่อเรื่องโชคลางมาก ก็อาจจะให้ซินแสช่วยหาฤกษ์ยามก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้านไปเยี่ยมเยียนญาติในวันปีใหม่ หรือหลายคนก็เชื่อว่า หากได้ยินเสียงนกนางแอ่นร้อง หรือเห็นนกสีแดงในวันปีใหม่ จะทำให้โชคดีไปตลอดปีก็มี

           อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อควรปฏิบัติในวันตรุษจีนแล้ว ก็ยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนด้วย ตามมาอ่านต่อได้ที่นี่เลยจ้า "12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน"

-----------------------------------------------------------------------------------

ตรุษจีน 2014 มาดู 12 ข้อห้าม ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/66365-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/annira/M_Info_009_2.jpg)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2014 มาถึงแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็น ข้อห้ามวันตรุษจีน ตามมาดูกันว่า วันตรุษจีน 2557 ห้ามทำอะไรบ้าง

          ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ ใกล้เทศกาลวันตรุษจีน 2557 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คงจะตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่จะได้พบกับญาติมิตรที่ไม่เจอหน้ากันมานาน และบางคนก็อาจได้รับอั่งเปาของขวัญจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือด้วย แต่ในเมื่อนี่คือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั้งที หลาย ๆ บ้านก็คงจะมีธรรมเนียมปฏิบัติและข้อห้ามที่สืบทอดต่อกันมา ซึ่งในวันนี้จะพาไปดูกันว่ามีข้อห้ามอะไรบ้างที่ไม่ควรทำในช่วงตรุษจีน

          1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน

          ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง

          2. ห้ามสระผมหรือตัดผม

          ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป

          3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง

          ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่้ยวข้องกับเลข 4

          4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์

          คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ

          5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน
 
          คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน

            6. ห้ามใส่ชุดขาวดำ

          เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาวดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้

            7. ห้ามให้ยืมเงิน

          คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น

            8. ห้ามทำของแตก

          คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า "luo di ka hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น

            9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่

          คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่า Hai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี

            10. ห้ามร้องไห้

          คนจีนเชื่อกันว่า หากร้องไห้ในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้พบกับเรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น แม้ในวันนี้เด็กเล็กจะดื้อขนาดไหน อากง อาม่า ก็อาจจะปล่อยให้วันหนึ่ง เพราะไม่อยากตีให้เด็กต้องร้องไห้ในวันนี้

            11. ห้ามใช้ของมีคม

          ของมีคมก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับวันนี้ ทั้งมีด กรรไกร และอย่างอื่นที่สามารถตัดสิ่งอื่นได้ นั่นเพราะชาวจีนเชื่อว่า การใช้ของมีคมตัดสิ่งของ จะเป็นการตัดโชคดีไปด้วย

            12. ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น

          รู้ไหม คนจีนหลายบ้านมีความเชื่อที่ว่า ในวันตรุษจีนนี้ ห้ามเข้าไปหาใครในห้องนอนด้วย ดังนั้น แม้เจ้าของบ้านป่วย นอนอยู่ในห้องนอน แต่เมื่อมีแขกมาเยี่ยมก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก อย่าให้แขกเข้ามาเยี่ยมในห้องนอนเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นโชคร้าย

          อ่านแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัตินะคะ เพื่อจะได้รับเอาโชคลาภ เงินทอง เข้ามาตั้งแต่วันตรุษจีนตลอดจนทั้งปีนี้เลยนะคะ

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:06:37 am
ประวัติ ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมมงคลสัญลักษณ์วันตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79721.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Music2/chinese-desert.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของสากลก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ไม่ได้รวมถึงวันขึ้นปีใหม่ของทุกชนชาติอื่น ๆ นะคะ อย่างของไทยเราก็จะเป็นช่วงเดือนเมษายนของทุกปี และส่วนของจีนก็จะเป็นวันตรุษจีน ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 นี้

           และพอพูดถึงวันตรุษจีน สิ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ ก็คงจะเป็นขนมเข่ง และขนมเทียน ที่จะมีขายตามท้องตลาดมากมายในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น และเนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึงวันตรุษจีนนี้ กระปุกดอทคอมก็เลยอยากจะนำเสนอประวัติความเป็นมาของขนมเข่ง และขนมเทียนกันสักหน่อย ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งในวันตรุษจีนให้ทุกคนได้เก็บไว้เป็นความรู้รอบตัวกันค่ะ

           ความเป็นมาของขนมเข่งที่เป็นที่ร่ำลือก็คือ ในยุคประวัติศาสตร์ของชาวจีนมีความเชื่อว่า บรรดาเทพเจ้าจีนที่คอยปกปักรักษามนุษย์ในโลก จะต้องขึ้นไปถวายรายงานความดีความชอบ และความชั่วที่มนุษย์ทุกคนได้กระทำกับองค์เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ ก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนประมาณ 4 วัน เหล่าบรรดาคนที่รู้ว่าตนเองไม่ได้ทำความดีกับเขาสักเท่าไร จึงคิดทำขนมเข่ง หรือที่ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกว่า ขนมเหนียนเกา (แปลว่าขนมที่ทำมาจากแป้ง) โดยใช้แป้งข้าวเหนียวมากวนกับน้ำตาลทราย และนำไปนึ่งจนมีลักษณะเป็นก้อนแป้งแข็ง ๆ และเหนียวหนืด จากนั้นก็นำขนมเข่งเหล่านี้ไปถวายให้บรรดาเทพเจ้าจีน เพื่อหวังให้ขนมแป้งเหนียว ๆ ช่วยปิดปากเทพเจ้าทั้งหลาย จนกล่าวรายงานความชั่วของตัวเองให้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ฟังไม่ได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าขนมเข่งก็กลายเป็นขนมไหว้เจ้าของชาวจีนไปโดยปริยาย

            แต่อีกประวัติศาสตร์หนึ่งกลับแย้งขึ้นมาว่า ขนมเข่งมีความสำคัญในพิธีตรุษจีนก็เพราะสืบเนื่องมาจากในยุคประวัติศาสตร์ที่ชาวจีนหมดหนทางทำมาหากินในประเทศของตัวเอง จนต้องอพยพหนีความยากลำบาก มาทำมาหากินในประเทศไทย ชาวจีนเหล่านี้ต้องการเสบียงที่มีอายุเก็บรักษาได้นาน เอาไว้ประทังชีวิตระหว่างเดินทางโดยเรือสำเภา และขนมเข่งที่เป็นแป้งกวนกับน้ำตาล ก็ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างพอดิบพอดี เลยได้กลายมาเป็นอาหารสำคัญสำหรับชาวจีนในยุคแร้นแค้น ต้องอพยพหนีความยากลำบากนั่นเอง

           ดังนั้นในช่วงต่อมาที่ชาวจีนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และถึงวันไหว้เจ้า คนจีนเลยถือเอาขนมเข่งที่เคยเป็นเสบียงสำคัญในช่วงยากลำบาก มาเซ่นไหว้เทพเจ้า เพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันที่ต้องปากกัดตีนถีบนั่นเอง อีกทั้งขนมเข่งยังมีความหมายสื่อถึงความหวานชื่น ราบรื่น และความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

           ส่วนขนมเทียนนั้น ก็ถือเป็นเป็นขนมไหว้เจ้าอีกชนิดหนึ่ง ก็มีต้นกำเนิดมาจากการดัดแปลงขนมเข่งเช่นกัน โดยใช้แป้งข้าวเหนียวมากวน และใส่ไส้ถั่วบด ผสมกับเครื่องปรุง กลายเป็นไส้เค็ม จากนั้นห่อด้วยใบตองเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็ก ๆ คล้ายทรงเจดีย์ แล้วนำไปนึ่งจนสุก

           นอกจากชื่อขนมเทียนแล้ว บางคนก็นิยมเรียกว่า ขนมนมสาว และชาวภาคเหนือก็นิยมเรียกว่า ขนมจ็อกอีกด้วย ซึ่งโดยส่วนมากแล้วขนมเทียนจะนิยมใช้เป็นขนมในงานบุญวันสงกรานต์ และชาวจีนก็นำไปใช้ในงานวันตรุษจีนด้วยเช่นกัน

           จะเห็นได้ว่า ขนมไหว้เจ้าในวันตรุษจีนจะเป็นขนมที่ทำจากแป้งกวนกับน้ำตาล แล้วนำไปนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งที่ต้องเป็นขนมแป้งนึ่งก็เนื่องจากว่า ทั้งขนมเทียนและขนมเข่ง ต่างก็มีความหมายเป็นมงคล สื่อถึงความหวานชื่น ความราบรื่น และความอุดมสมบูรณ์นั่นเองค่ะ


--------------------------------------------------------------------------------------


ขนมเทียนไส้เค็ม ขนมมงคลอร่อย ๆ ต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79912.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Cooking1/chinese%20new%20year%20dessert.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ขนมไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนในเมื่อมีขนมเข่งก็ต้องมีขนมเทียน เพราะเป็นขนมที่มักจะใช้ไหว้คู่กัน ซึ่งคนจีนมีความเชื่อว่า ขนมเทียนนั้นหมายถึง ความสว่างรุ่งเรืองดังแสงเทียน เหมือนชื่อขนมนั่นเอง และที่เราเห็นว่าขนมเทียนกับขนมเข่งมักจะอยู่ด้วยกันก็เพราะมีวิธีทำที่คล้ายกัน ใครอยากจะทำขนมเข่งไว้ไหว้เจ้าในวันตรุษจีนนี้ก็ลองมาดูสูตรกันเลยค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับทำแป้ง)

          แป้งข้าวเหนียวดำ 1 กิโลกรัม

          น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม

          ใบตองสำหรับห่อขนม


วิธีทำ

           1. ใส่น้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวให้น้ำตาลปี๊บพอละลาย ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

           2. นวดผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำตาลปี๊บที่ละลายไว้จนเข้ากันดี เตรียมไว้

           3. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้นห่อให้สวยงาม เรียงลงในชุดนึ่ง

           4. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 30 นาที จนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง พร้อมรับประทาน





สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับทำไส้เค็ม)

          ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 1 กิโลกรัม

          กระเทียม

          พริกไทย

          น้ำมันพืชสำหรับผัด

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำตาลทราย สำหรับปรุงรส


วิธีทำ

          1. ล้างถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

          2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ

          3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

          ตรุษจีนนี้ถ้าได้กินทั้งขนมเข่งขนมเทียนคงจะแฮปปี้น่าดูเลยล่ะ

---------------------------------------------------------------------------

ขนมเข่ง ขนมไหว้เจ้าชื่อมงคลต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79707.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Cooking1/chinese%20stick%20cake.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเรามักจะเห็นของไหว้เจ้าทั้งคาวหวานมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะไปหมด และแน่นอนว่ามีขนมอยู่หนึ่งชนิดที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ ขนมเข่ง ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นขนมมงคล มีความหมายในทางที่ดี เช่น ในภาษาจีนเรียกขนมเข่งว่า เหนียนเกา ซึ่งเป็นการออกเสียงเหมือนกับคำที่มีความหมายว่า ปีที่สูงขึ้น ยังมีอีกหนึ่งความหมายก็ว่า ขนมเข่งนี้เป็นขนมแห่งความหวานชื่น มีชีวิตที่ราบรื่น อุดมสมบูรณ์ เป็นต้น ส่วนใครที่อยากจะลองทำขนมเข่งไว้สำหรับไหว้เจ้าในช่วงตรุษจีนนี้ เราก็มีสูตรและวิธีทำมาฝากค่ะ


สิ่งที่ต้องเตรียม

          แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม

          น้ำ 1 ถ้วย

          น้ำตาลปี๊บ 1 กิโลกรัม

            มะพร้าวขูด 300 กรัม

          กระทงสำหรับใส่ขนม

          น้ำมันพืชสำหรับทากระทง


วิธีทำ

         1. ทากระทงด้วยน้ำมันพืชให้ทั่ว เตรียมไว้

         2. นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำจนแป้งนุ่ม จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บลงนวดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว

         3. ใส่มะพร้าวขูดลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่กระทง ประมาณ 3/4 ของกระทง

         4. วางขนมเรียงลงในชุดนึ่ง จากนั้นนำไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือด นานประมาณ 1/2 ชั่วโมง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ใช้กรรไกรตัดเจียนกระทงที่เกินออกให้พอดีกับขนม พร้อมรับประทาน

          เทคนิค : คนสมัยก่อนจะใช้วิธีการจุดธูปเพื่อจับเวลานึ่งขนม ใช้ธูปสำหรับไหว้พระ ขนาดยาว 1 ดอก พอธูปหมดแสดงว่าขนมเข่งสุกแล้ว


---------------------------------------------------------------------


ขนมปุยฝ้าย เสริมความเฟื่องฟูต้อนรับตรุษจีน

-http://cooking.kapook.com/view79919.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Cooking1/pui%20faii.jpg)



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          ขนมปุยฝ้ายเป็นขนมมงคลอีกหนึ่งชนิดที่เรามักจะเห็นวางร่วมโต๊ะกับของคาวของหวานสำหรับไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีน เป็นขนมที่เชื่อว่ามีความหมายดี หมายถึง ความเฟื่องฟู ความเจริญงอกงาม และความรุ่งเรือง เราก็มีสูตรขนมปุยฝ้าย จากนิตยสารแม่บ้านมาฝากสำหรับใครที่อยากจะลองทำเอง ก็ตามไปดูสูตร และวิธีทำได้เลย

สิ่งที่ต้องเตรียม

          แป้งเค้ก 500 กรัม

          น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วยตวง

          ไข่ไก่ 2 ฟอง

          เอสพี (S P) 2 ช้อนโต๊ะ

          นมข้นหวาน 3/4 ถ้วยตวง

          น้ำเปล่า 1 3/4 ถ้วยตวง

          น้ำหวานเข้มข้นกลิ่นสละ 1/4 ถ้วยตวง

          เชอร์รีเชื่อมสีแดงหั่นชิ้นเล็ก ๆ สำหรับโรยหน้าขนม

          น้ำมะนาว

          ไม้ปลายแหลม


วิธีทำ

          1. ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม เตรียมไว้

          2. ผสมน้ำเปล่ากับน้ำหวานเข้มข้นกลิ่นสละ คนให้เข้ากัน จากนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน พักไว้

          3. ตีไข่ไก่กับเอสพีด้วยหัวตีตะกร้อโดยใช้ความเร็วสูงสุดของเครื่อง พอขึ้นฟู ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายสลับกับส่วนผสมน้ำหวานในข้อที่ 2 (ส่วนแรก) จนหมด ตีต่อจนขึ้นฟู

          4. ใส่นมข้นหวานลงเป็นสายจนหมด ตีพอเข้ากันดี ลดความเร็วเครื่องลงเหลือต่ำสุด

          5. ค่อย ๆ เติม แป้งเค้กที่ร่อนไว้ สลับกับน้ำในข้อที่ 2 (ส่วนที่เหลือ) จนหมด ผสมจนเข้ากันดี

          6. ตักส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ถ้วยกระดาษจนเต็ม ใช้ไม้ปลายหลม จุ่มน้ำมะนาวแล้วกรีดที่หน้าขนมเป็นรูปกากบาท โรยหน้าด้วยเชอร์รี วางเรียงใส่ลังถึง นำขึ้นนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 12 นาที หรือจนสุก ยกลง นำออกจากพิมพ์ วางพักไว้บนตะแกรง

           แล้วเราก็ได้ขนมปุยฝ้ายกลิ่นหอม สีชมพูสดใส แถมอร่อยอีกด้วย ไว้ไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนนี้เพื่อเสริมมงคลให้กับชีวิต


หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:17:56 am
ของไหว้ตรุษจีน 2557 ของไหว้ตรุษจีนไหว้เจ้าที่ มีอะไรบ้าง

-http://health.kapook.com/view21160.html-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2305;image)

ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน ไหว้เจ้าที่ ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2557 เนื่องในวันตรุษจีน 2557 มีอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาฝาก

          "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 ซึ่งในวันที่ 30 มกราคม ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

          สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง

          ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิ้ล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/chinese5.jpg)
ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


          ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...


  ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

          - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

          - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

          - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

          - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

          - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

          - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

  ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

          - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์

          - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

          - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

          - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

          - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

          - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

          - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

          - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

          - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

          - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

          สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า




  ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน

          - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

          - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

          - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

          - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

          - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

           นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

          - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

กระดาษเงินกระดาษทอง

          นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองก็ทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

          - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

          - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

          -  กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

          -  ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

          - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

          -  อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

          -  เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

          - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เส้นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี


ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน
ของไหว้ตรุษจีน 2557 ไหว้วันตรุษจีน


          รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน

          โดยนายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวกับเราว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

          "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการในเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่ากล่าว

          ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2- 3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

          "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ใช้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

          ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

          ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

          "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั่นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

          ทีนี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อ แดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

          "ในส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรี่ในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

          นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

          อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

          ถึงแม้เทศกาลตรุษจีนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจสุขภาพของตนเองอยู่ทุกเวลา เพราะการมีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/20405-


.



หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:21:01 am
ตามไปดู เรื่องน่ารู้ของ อั่งเปา และ แต๊ะเอีย รับ วันตรุษจีน 2557

-http://hilight.kapook.com/view/66692-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2307;image)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ตรุษจีน 2557 มาถึงแล้ว ได้เวลารับแต๊ะเอีย หรืออั่งเปากันถ้วนหน้า ว่าแต่ แต๊ะเอีย กับ อั่งเปา ต่างกันอย่างไร อ่านไว้เป็นความรู้เนื่องใน วันตรุษจีน 2014 กันเลย

          เตรียมรับแต๊ะเอียในวันตรุษจีน 2557 กันหรือยังจ๊ะ? เพื่อน ๆ ที่มีเชื้อสายจีนคงแฮปปี้สุด ๆ เพราะนอกจากบรรดาญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันอวยพรปีใหม่แล้ว ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เด็ก ๆ จะได้รับซองสีแดง ๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่หลายบ้านเรียกว่า "อั่งเปา" กันด้วย เอ...แล้วจริง ๆ ต้องเรียก "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" กันล่ะ แล้วเขามอบให้กันเพื่ออะไร รู้กันไหมคะ

          จริง ๆ แล้วสิ่งมงคลที่เราได้รับจากญาติ ๆ จะเรียกว่า "อั่งเปา" หรือ "แต๊ะเอีย" ก็ได้ทั้งนั้นค่ะ แต่ก็มีความแตกต่างกันนิดหน่อย

  โดยคำว่า "อั่งเปา" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง ซองสีแดง คำว่า อั่ง แปลว่า แดง ส่วนเปา แปลว่า ซอง หรือ กระเป๋า (ภาษาจีนกลางจะเรียกซองแดงว่า "หงเปา") ซึ่งสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นมงคล ความมีชีวิตชีวา และความโชคดีของชาวจีนอยู่แล้ว ดังนั้น ชาวจีนมักจะใส่เงิน หรือธนบัตรลงในซองแดง เพื่อนำมามอบให้คนรู้จัก หรืออาจจะแลกเปลี่ยนกันเองในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้ โดยปกติแล้ว ชาวจีนจะนิยมมอบ "อั่งเปา" ให้ในวันตรุษจีน วันแต่งงาน หรือในโอกาสเปิดกิจการใหม่ เพื่อเป็นการอวยพร

          มาดู "แต๊ะเอีย" กันบ้าง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วเช่นกัน โดย "แต๊ะ" แปลว่า ทับ หรือ กด ส่วน "เอีย" แปลว่า เอว เมื่อรวมกัน "แต๊ะเอีย" ก็หมายถึง "ของที่มากดหรือทับเอว" หรือ "ผูกไว้ที่เอว" คำนี้มีที่มาจากคนจีนสมัยก่อนจะใช้เงินเหรียญที่มีรูอยู่ตรงกลาง หากจะพกไปไหนก็ต้องร้อยเหรียญเป็นพวงมาผูกไว้ที่เอว และในเทศกาลตรุษจีน ผู้ให้ก็จะนำเชือกสีแดงมาร้อยเหรียญไว้ แล้วมอบให้ผู้รับ ทีนี้ผู้รับก็จะนำพวงเหรียญนี้มาผูกไว้ที่เอว เรียกว่า "แต๊ะเอีย" นั่นเอง ส่วนในปัจจุบันไม่มีการใช้เงินเหรียญที่มีรูตรงกลางแล้ว "แต๊ะเอีย" จึงมีความหมายถึง "สิ่งของ" หรือ "เงิน" ที่ใส่ไว้ในซองสีแดง (ส่วนตัวซองจะเรียกว่า "อั่งเปา")


          เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" แล้วใช่ไหมคะ แล้วรู้ไหมว่า จริง ๆ แล้ว "แต๊ะเอีย" ก็มีวันหมดอายุนะ เพราะเมื่อเด็ก ๆ เติบโตขึ้น มีงานทำ มีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว ทีนี้จะไม่ได้รับ "แต๊ะเอีย" แล้วล่ะค่ะ แต่จะต้องเป็นคนให้เงิน "แต๊ะเอีย" กับเด็ก ๆ ในบ้านที่มีอายุน้อยกว่าต่อไป

          นอกจากนั้นแล้ว ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่ หรือเจ้านายที่จะให้ "แต๊ะเอีย" หรือ "อั่งเปา" กับเด็ก ๆ หรือลูกน้องได้เท่านั้น แต่ผู้น้อยก็ยังสามารถมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่าได้เช่นกัน โดยการมอบอั่งเปาให้ผู้อาวุโสกว่า หมายถึง การอวยพรให้ผู้ใหญ่มีสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว

          ส่วนการมอบอั่งเปาให้เด็ก ๆ หมายถึง การอวยพรให้เด็ก ๆ โชคดี มีโชคลาภ เจริญเติบโตแข็งแรง หรือหากผู้ใหญ่มอบอั่งเปาให้ลูกหลานที่ทำงานแล้ว ก็เป็นการอวยพรให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง และหากลูก ๆ ที่ทำงานแล้ว หรือแต่งงานไปแล้วมอบอั่งเปาให้พ่อแม่ ก็เป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวที อวยพรให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว ซึ่งการที่ลูก ๆ ให้อั่งเปาพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ให้อั่งเปาลูก ๆ ด้วย จะต้องเป็นเงินของใครของมันเท่านั้น หากลูกให้พ่อแม่แล้ว พ่อแม่นำกลับมาให้ลูกต่ออีกที แบบนี้ไม่ได้ค่ะ

  ทีนี้ หลายบ้านอาจจะสงสัยกันว่า ควรจะให้อั่งเปาเป็นเงินเท่าไหร่ดีนะ ถึงจะเป็นสิริมงคล ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ให้อั่งเปามักจะนิยมใส่จำนวนเงินเป็นเลขคู่ค่ะ เพราะคนจีนถือว่าเลขคู่เป็นเลขมงคล อีกทั้งหมายถึงทวีคูณ โชคสองต่อ โชคสองชั้น แต่จะให้จำนวนเงินเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ด้วยเหมือนกันนะ ถ้ารายได้ไม่มาก หรือให้เด็กเล็ก ๆ ก็อาจใส่ซองสัก 200 400 800 ถ้ารายได้มาก ให้ผู้ใหญ่ ก็อาจใส่จำนวนมากขึ้นตามแต่กำลังค่ะ

          แต่ถ้าพูดถึงจำนวนที่คนจีนนิยมให้ "แต๊ะเอีย" เลข 8 ดูน่าจะเป็นจำนวนยอดนิยมที่สุด เพราะในภาษาจีนเลข 8 อ่านออกเสียงคล้ายกับคำที่มีความหมายว่า ความร่ำรวย ความรุ่งโรจน์ ความรุ่งเรือง หรืออาจจะให้เป็นจำนวนเลข 2 ซึ่งหมายถึงคู่ก็ได้ ขณะที่บางบ้านก็เลือกให้จำนวนเลข 4 ซึ่งเรียกว่า "ซี่สี่" หมายถึง คู่สี่ เพราะถือเป็นสิริมงคล อย่างเช่นให้แต๊ะเอีย 400 ก็จะให้เป็นธนบัตร 100 บาท จำนวน 4 ใบ หรือจะให้เป็นสองเท่า หรือสามเท่าของ "ซี่สี่" ก็ได้ เช่น ให้ 800 หรือ 1,200 บาท ก็เป็นสิริมงคลเหมือนกันค่ะ

          อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนจะเหลือเงินแต๊ะเอียที่ได้รับมาบางส่วนเก็บไว้ในซอง เพราะถือว่า เงินแต๊ะเอียคือความเป็นสิริมงคล และเป็นเงินขวัญถุง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวันปีใหม่นั่นเอง

          เอ้า...เข้าใจเรื่อง "แต๊ะเอีย" กับ "อั่งเปา" กันแล้วนะ ยังไงตรุษจีนปีนี้ ก็ขอให้เพื่อน ๆ ได้แต๊ะเอีย ได้อั่งเปากันเต็มกระเป๋านะจ๊ะ..."ซินเจียหยู่อี้ ซินนี้ฮวดไช้ อั่งเปาตั่วตั่วไก๊"





หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:27:37 am
5 สารอันตราย ภัยร้ายที่แฝงในอาหารตรุษจีน

-http://health.kapook.com/view54218.html-

(http://img.kapook.com/image/Food/chinese%20dish.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          อาหารมากมายที่เราซื้อหามาประกอบพิธีเซ่นไหว้ในตรุษจีนนั้น ก็ต้องระวังไม่ต่างจากอาหารทั่วไปด้วยค่ะ โดยเฉพาะอาหารบางชนิดที่อาจมีสารอันตรายปะปนมากับความอร่อยของจานนั้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ทางสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ออกมาเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง 5 สารอันตรายที่อาจจะปนเปื้อนในอาหารซึ่งพบได้บ่อยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบด้วย

1.ฟอร์มาลิน

          เป็นสารเคมีมีพิษ มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน บ่อยครั้งถูกนำไปใช้แช่ผัก แช่ปลา แช่เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพื่อรักษาความสด แต่จริง ๆ แล้ว สารฟอร์มาลินนี้ หากแค่สัมผัสมากเกินไปก็เกิดพิษได้แล้ว ถ้าดม หรือหายใจเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระคายเคืองตา และระบบทางเดินหายใจ ทำให้คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง นอนไม่หลับ มีน้ำตาไหล เพลีย เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไปจะมีผลร้ายแรงมากขนาดไหน โดยมีข้อมูลระบุว่า หากรับประทานเข้าไปเกิน 60-90 ซีซี จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย เพราะจะมีอาการแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เกิดแผนในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ส่งผลต่อตับ ไต สมอง ฯลฯ

          ทั้งนี้ หากซื้อผักสด หรือเนื้อสัตว์มาแล้วสงสัยว่ามีการแช่ฟอร์มาลิน ให้ลองดมกลิ่นของสดนั้นดู และตรวจดูว่า ผักและเนื้อสัตว์มีลักษณะแข็งผิดปกติหรือไม่ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ควรล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร เพื่อล้างพิษสารฟอร์มาลิน

2.บอแรกซ์

          บอแรกซ์ หรือ น้ำประสานทอง สารนี้ได้ยินบ่อยว่าถูกผสมในอาหารจำพวกลูกชิ้น เพื่อให้ลูกชิ้นเด้งกรอบ แต่ในเทศกาลตรุษจีนนี้ อาหารที่เสี่ยงต่อการผสมบอแรกซ์ก็คือพวกขนมตรุษจีนทั้งหลาย เช่น ขนมฟักแห้ง ที่เคี้ยวแล้วกรุบกรอบ อาจเป็นเพราะผู้ผลิตบางรายผสมสารชนิดนี้ลงไปก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังพบการนำสารบอแรกซ์มาผสมน้ำ ใช้รดผัก หรืออาหารทะเล ก่อนวางจำหน่าย เพื่อนำให้อาหารดูสด น่าเลือกซื้ออีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม สารบอแรกซ์ ถือเป็นสารพิษอันตรายที่ถูกสั่งห้ามนำมาผสมในอาหาร โดยหากบริโภคเข้าไปเพียง 0.1-0.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม บริโภคเข้าไป 5-25 กรัม) ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แล้ว เพราะจะทำให้กรวยไตอักเสบ ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้ ตับถูกทำลาย จนถึงชัก หมดสติ

          วิธีเลี่ยงก็คือ ไม่ควรทานอาหารที่มีลักษณะหยุ่นกรอบนานผิดปกติ และควรล้างเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาให้สะอาดก่อนนำไปหั่น หรือสับ แต่หากรับประทานบอแรกซ์เข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปมาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์

(http://img.kapook.com/image/Food/chinese%20snack.jpg)

 3.สารกันรา

          สารกันรา หรือ สารกันบูด เรียกอีกชื่อว่า กรดซาลิซิลิค เป็นสารอาหารที่ อย. ห้ามใช้ แต่ก็มีผู้ลักลอบนำไปดองผักผลไม้ให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ หากบริโภคเข้าไปจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้เป็นแผล ทำให้ความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ โดยกรดซาลิซิลิคถ้าเข้าสู่ร่างกาย 25-35 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิตร จะทำให้อาเจียน หูอื้อ มีไข้ จนถึงแก่ชีวิตได้

          หากไม่อยากเผชิญกับสารกันราในอาหารต้องทำอย่างไร? แนะนำให้เลือกซื้ออาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ ไม่ควรบริโภคอาหารจำพวกหมักดอง หากจะบริโภคควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

4.สารฟอกขาว

          สารฟอกขาว หรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย และเป็นสารกันหืน ปกตินำไปใช้ฟอกแห อวน เครื่องหนัง กระดาษ แต่ก็มีแม่ค้าพ่อค้าบางคนนำมาฟอกอาหารให้มีสีขาว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พบได้ในอาหารอย่าง ถั่วงอก เต้าหู้ หน่อไม้จีน ขิงซอย กระท้อน และเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอาการอักเสบบริเวณอวัยวะที่ได้สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร แน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน และอาจเสียชีวิตได้ถ้าบริโภคเกิน 30 กรัม

          ทั้งนี้ หากใครกิน หรือกลืนสารฟอกขาวเข้าไป ขอให้รีบล้างปากด้วยน้ำ และนำไปส่งแพทย์โดยเร็ว หากสัมผัสถูกผิวหนัง หรือ ตา ให้ใช้น้ำสะอาดในปริมาณมาก ๆ ฉีดล้างทำความสะอาดทันที อย่างน้อย 15 นาที ถอดเสื้อผ้ารองเท้าที่เปรอะเปื้อนสารประเภทนี้ออกให้หมด แล้วรีบไปพบแพทย์

(http://img.kapook.com/u/patcharin/Food/Plate/chinese%20table.jpg)


5.ยาฆ่าแมลง

          เพื่อให้ผักผลไม้สวย ไร้แมลงไต่ตอม ทำให้ชาวสวนบางคนนำยาฆ่าแมลงมาฉีดพ่นพืชที่ปลูกไว้ แต่ยาฆ่าแมลงทุกชนิดถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยหากได้รับยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อสั่น ชักกระตุก หายใจขัด หมดสติ และอาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้

          เพื่อหลีกเลี่ยงยาฆ่าแมลงที่แฝงมาในผักผลไม้ ควรล้างผักให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำไปปรุงอาหาร โดยวิธีที่ดีที่สุดคือ ให้แช่ผักนาน 15 นาที ในกะละมังที่ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร และโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดสารพิษได้มากถึงร้อยละ 90-95 หรือถ้านำผักไปแช่ในน้ำ 2 ลิตร ผสมน้ำส้มสายชู 250 ซีซี แช่ไว้นาน 5 นาที ก็จะช่วยลดสารพิษได้เกือบหมด

          เห็นพิษร้ายของสารพิษทั้ง 5 ชนิดแล้ว ก่อนเลือกซื้ออาหารสด อาหารแห้ง ไปไหว้ตรุษจีนปีนี้ ก็อย่าลืมตรวจสอบให้ดี ๆ นะคะ จะได้รับประทานอาหารตรุษจีนได้ปลอดภัยไร้กังวล


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.doctor.or.th/article/detail/3244-
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-
-http://www.fda.moph.go.th/-
  , กรมอนามัย , คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:47:37 am
มาฟังประวัติ ขนมเต่า ที่นิยมใช้ใน ตรุษจีน 2557 กัน
-http://world.kapook.com/pin/52cd26c138217a2b16000004-

http://www.youtube.com/v/k91lriJTeS4?version=3&autohide=1 (http://www.youtube.com/v/k91lriJTeS4?version=3&autohide=1)

http://www.youtube.com/v/k91lriJTeS4?version=3&autohide=1 (http://www.youtube.com/v/k91lriJTeS4?version=3&autohide=1)
-http://www.youtube.com/v/k91lriJTeS4?version=3&autohide=1-


-------------------------------------------------------------------------------

มาฟังความน่าสนใจของ ขนมเต่าแดง ที่นิยมในประเพณี ตรุษจีน 2557
-http://world.kapook.com/pin/52cd2a0d38217aba17000006-

http://www.youtube.com/v/hrvkgStzgIo?version=3&autohide=1 (http://www.youtube.com/v/hrvkgStzgIo?version=3&autohide=1)

http://www.youtube.com/v/hrvkgStzgIo?version=3&autohide=1 (http://www.youtube.com/v/hrvkgStzgIo?version=3&autohide=1)
-http://www.youtube.com/v/hrvkgStzgIo?version=3&autohide=1-


--------------------------------------------------------------------------------------

มาดูหน้าตาของ ขนมเต่า ที่นิยม ในประเพณี ตรุษจีน 2557 กัน
-http://world.kapook.com/pin/52cd2b2b38217a6210000015-

http://www.youtube.com/v/F6bAuU5WiAM?autohide=1&version=3 (http://www.youtube.com/v/F6bAuU5WiAM?autohide=1&version=3)

http://www.youtube.com/v/F6bAuU5WiAM?autohide=1&version=3 (http://www.youtube.com/v/F6bAuU5WiAM?autohide=1&version=3)
-http://www.youtube.com/v/F6bAuU5WiAM?autohide=1&version=3-


------------------------------------------------------------------------------------------

ต้อนรับ เทศกาลตรุษจีน กับ เพลงพรชัยตรุษจีน

-http://world.kapook.com/pin/52cd0d5b38217a6278000009-

http://www.youtube.com/v/_t1xB4vJuBM?autohide=1&version=3 (http://www.youtube.com/v/_t1xB4vJuBM?autohide=1&version=3)

http://www.youtube.com/v/_t1xB4vJuBM?autohide=1&version=3 (http://www.youtube.com/v/_t1xB4vJuBM?autohide=1&version=3)
-http://www.youtube.com/v/_t1xB4vJuBM?autohide=1&version=3-

.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:58:02 am
วันธงไชย ปี 2557 ตามปฏิทินจีน

หลังจากที่เราเคยนำเสนอฤกษ์ต่างๆ ของไทยไปบ้างแล้ว คราวนี้มาดูฤกษ์ดีวันธงไชยตามปฏิทินจีนกันบ้าง แต่ก่อนที่เราจะไปทราบฤกษ์ดี วันมงคลเหล่านั้น เรามารู้ความหมายของวันธงไชย กันก่อนค่ะ

วันธงไชย

วันธงไชย คือ วันดีที่เป็นมงคล เหมาะแก่การจัดงานมงคลสมรส งานแต่งงาน เปิดกิจการห้างร้าน ขึ้นบ้านใหม่ เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ที่เป็นการสร้างสิ่งดีๆ ให้กับตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งคือวันแห่งโชคลาภ จะให้โชคให้ลาภหากมีการเสี่ยงโชคนั่นเอง

-http://horoscope.sanook.com/1396138/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2557-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/-

.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 10:59:11 am
วันธงไชย ปี 2557 ตามปฏิทินจีน

-http://horoscope.sanook.com/1396138/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2557-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/-

เพิ่มรูป

.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 19, 2014, 11:04:46 am
วันธงไชย ปี 2557 ตามปฏิทินจีน

หลังจากที่เราเคยนำเสนอฤกษ์ต่างๆ ของไทยไปบ้างแล้ว คราวนี้มาดูฤกษ์ดีวันธงไชยตามปฏิทินจีนกันบ้าง แต่ก่อนที่เราจะไปทราบฤกษ์ดี วันมงคลเหล่านั้น เรามารู้ความหมายของวันธงไชย กันก่อนค่ะ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2333;image)

วันธงไชย คือ วันดีที่เป็นมงคล เหมาะแก่การจัดงานมงคลสมรส งานแต่งงาน เปิดกิจการห้างร้าน ขึ้นบ้านใหม่ เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ที่เป็นการสร้างสิ่งดีๆ ให้กับตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งคือวันแห่งโชคลาภ จะให้โชคให้ลาภหากมีการเสี่ยงโชคนั่นเอง

-http://horoscope.sanook.com/1396138/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2557-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/-


วันธงไชย เดือนมกราคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 1, 6, 9, 11, 14, 19, 21, 23, 26

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2309;image)

วันธงไชย เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 4, 7, 8, 16, 20, 28

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2311;image)

วันธงไชย เดือนมีนาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 4, 8, 11, 14, 17, 19, 23, 29

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2313;image)

วันธงไชย เดือนเมษายน ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 4, 13, 16, 25

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2315;image)

วันธงไชย เดือนพฤษภาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 2, 8, 10, 14, 18, 20, 21, 23, 26, 30

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2317;image)

วันธงไชย เดือนมิถุนายน ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 1, 6, 8, 12, 14, 17, 24

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2319;image)

วันธงไชย เดือนกรกฏาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 2, 6, 7, 12, 13, 19, 20, 22, 27, 30, 31

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2321;image)

วันธงไชย เดือนสิงหาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 1, 5, 13, 15, 16, 24, 28, 30

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2323;image)

วันธงไชย เดือนกันยายน ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 5, 7, 10, 16, 18, 19, 21, 27, 28

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2325;image)

วันธงไชย เดือนตุลาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 1, 4, 11, 14, 22, 23, 26, 27, 31

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2327;image)

วันธงไชย เดือนพฤศจิกายน ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 3, 4, 7, 8, 9, 15, 16, 20, 27, 28, 29

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2329;image)

วันธงไชย เดือนธันวาคม ปี 2557 ได้แก่ วันที่ 2, 9, 10, 14, 15, 20, 22, 27

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9549.0;attach=2331;image)
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:02:00 am
วันตรุษจีน ปี 2557

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2337;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2339;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2345;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2347;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2349;image)

.

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:02:33 am
มังกรจีน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก)

-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-

มังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พินอิน: lóng; ฮกเกี้ยน:เล้ง) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง

เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด chiao หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย

มังกรจีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า ch’ih muh แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า po-shan ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้(ปัจจุบัน ประเทศทางตะวันตก ก็เพิ่งเจอ วัตถุลึกลับบางอย่างสามารถลอยในอากาศได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ) ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร


มังกรจีนโบราณในตำนาน

ตำนานมังกรจีนโบราณมีอายุยาวนานกว่า 4,000 ปี ซึ่งลักษณะรูปร่างของมังกรจีนนั้น สุดแล้วแต่นักวาดรูปจะจินตนาการเสริมแต่งออกมา การขายจินตนาการของนักวาดรูปจะเขียนมังกรออกมาโดยยึดลักษณะรูปแบบที่เล่าต่อ ๆ กันมาคือ มังกรจีนจะมีลักษณะลำตัวที่ยาวเหมือนงู มีเกล็ดสีเขียว นัยน์ตาสีแดง มีหนวดและเขาอย่างละคู่ มีขา 4 ขาและกงเล็บที่แข็งแรง มังกรจีนโบราณถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์เทพเจ้าซึ่งชาวจีนเคารพนับถือ เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์ มังกรจีนที่มีกงเล็บ 5 เล็บ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มังกรบางตัวจะถือไข่มุกเม็ดใหญ่อยู่ที่ขาหน้า ครั้งหนึ่งคนเคยคิดว่าไข่มุกคือไข่ของมังกร มังกรบางชนิดวางไข่ในน้ำไหล

มังกรจีนในตำนานนั้น สามารถที่จะทำตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาล คนเปอร์เซียโบราณก็เชื่อเช่นนี้ หรือมีขนาดเล็กเท่ากับหนอนไหมได้ แต่เวลา สู้กับหงอคง ก็ควรจะแปลงร่างให้เล็กแล้วเข้าไปกัดลำไส้หงอคง หรือแปลงร่างเพื่อเขมือบหงอคงให้เป็นวุ้น และในบรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ของจีน มังกรจีนถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า ได้รับความนับถือมากที่สุด มังกรจีนมีลักษณะนิสัยที่เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังมีความฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง มังกรจีนจึงเป็นที่ปรึกษาของผู้นำในด้านต่าง ๆ แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีน หรือเมื่อผู้คนไม่ให้เคารพความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำออกมาซึ่งจะนำพาพายุ และน้ำท่วมมาให้ ถ้าไปเป่าเมฆสีทองของหงอคงก็จะทำให้เมฆเปลื่ยนเป็นสีดำ และกลายเป็นฝน หงอคงก็จะเหินหาวไม่ได้ มังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องยุ่งยากเล็ก ๆ เช่นทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเกิดความเหนอะหนะ

มังกรจริง ๆ ในปัจจุบันก็คือซากของไดโนเสาร์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งกลายเป็นหิน ไข่ไดโนเสาร์ถูกค้นพบในหลายพื้นที่ในประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีไดโนเสาร์มากที่สุดในโลกในสมัยโบราณใช้ในการประกอบเป็นยาสมุนไพร เรียกกันว่า "ยากระดูกมังกร" ส่วนไข่ของมังกรจีนนั้นในสมัยเฉียนหลง ถือเอาไข่มังกรจีนเป็นเครื่องรางประจำราชสำนักภายในพระราชวังปักกิ่ง แต่ต่อมาเมื่อพระราชวังปักกิ่งแตก ไข่มังกรจีนก็ตกทอดมาจากประเทศจีนมาอยู่ที่ประเทศไทย

ซึ่งไข่มังกรที่ตกทอดมาอยู่ภายในประเทศไทยนั้น มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณว่า เมื่อคณะทูตหรือคณะผู้แทนจากประเทศจีนใช้เรือไฮจี่โดยการนำของ ยังชีขี มีผู้ติดตามมาด้วยจำนวน 449 คน มีทหารประจำเรือ 279 คน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อเวลาบ่ายโมงของวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 โดยมีพระยาบริบูรณโกษากรเข้าเฝ้าฯ และมอบหมายให้พระยาบริบูรณโกษากร หรือ ฮวด โชติกะพุกกณะ หรือเจ้าคุณกิมจึ๋ง เป็นผู้จัดการประสานงาน และเลี้ยงต้อนรับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

ตามลักษณะของไข่มังกรที่สืบทอดกันมาเป็นตำนานนั้น มีลักษณะคล้ายกับลูกแก้วหินผลึกคล้ายคลึงกับลูกแก้วของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดของประเทศไทยแต่ถูกตกแต่งด้วยการเลี่ยมและห่อหุ้มคล้ายกับห่อด้วยแก้วนั่นเอง ทำให้เรื่องของไข่มังกรจีนกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันพอสมควรในสมัยนั้น
กำเนิดมังกรจีน

ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง" ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย

เนื่องจากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น

ตามตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป

ตามตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) ประมาณ 6,500 ปีมาแล้ว ก่อนไคโรอิยิปต์ มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก เป็นพระเจ้าผู้สร้างหลักธรรมแห่ง หยิน-หยาง เป็นธรรมะอันแรกในโลก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น "โป๊ย-ก่วย" หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีกด้วย (ชาย1คน แต่งงานกับหญิง1คน)

ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้าสวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่งสัตว์ทั้งปวง

คนจีนกับความเชื่อเรื่องมังกร
ตามความเชื่อของคนจีน การได้ขี่หลังมังกรถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของมังกรในคนจีนโบราณ เป็นความเชื่อเก่าแก่ตั้งแต่มนุษย์เริ่มที่จะรู้จักกับสัตว์เลี้อยคลานขนาดยักษ์ และให้ความเคารพยำเกรงดุจเทพเจ้า ซึ่งความเชื่อเหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ทุกชนชาติทั่วทั้งโลกที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ เช่น ประวัติศาสตร์ของยุคอียิปต์ ประวัติศาสตร์ของยุคกรีก ประวัติศาสตร์ของยุคโรมัน ประวัติศาสตร์ของยุคอินเดีย และประวัติศาสตร์ของยุคจีนซึ่งความเชื่อนี้สืบทอดกันมาตั้งแต่ความเชื่อเรื่องงูขนาดใหญ่ ที่สืบเนื่องยาวนานคู่กับมนุษย์โลกโดยเฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่

คนจีนโบราณจะเชื่อกันว่าน้ำลายของมังกรนั้น จะก่อให้เกิดลูกแก้ววิเศษที่เรียกกันว่า "ไข่มุกแห่งดวงจันทร์" และ "ไข่มุกแห่งความสมบูรณ์" จะบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพรรณธัญญาหาร เพาะปลูกสิ่งใดก็จะเจริญงอกงาม และยังเชื่อกันอีกว่าเลือดของมังกรจีนนั้น เมื่อไหลออกจากตัวของมังกรจีนจะแทรกซึมเข้าไปในแผ่นดินจีนและจะกลายสภาพเป็นอำพัน เมื่อมังกรลอกคราบจะทำให้เขาของมังกรเรืองแสงได้ มีพลังในตัวเป็นอย่างมากและส่องแสงสว่างในความมืด คล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะของต้นโสม

คนจีนโบราณนับถือมังกรเป็นเทพเจ้า เชื่อกันว่ามังกรนั้นชอบนกนางแอ่นย่าง ดังนั้นก่อนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล จึงต้องมีการพลีของถวายให้แก่มังกรเพื่อเป็นการเอาใจและขอให้เดินทางโดยปลอดภัย ตามความเชื่อของนักเดินเรือในสมัยโบราณ ซึ่งว่ากันว่ามังกรนั้น หวาดกลัวใบสนไหม 5 สี ขี้ผึ้ง เหล็ก และตะขาบ สำหรับไหม 5 สี นี้เป็นความเชื่อมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ ในการออกเดิน เรือ ในทะเล คนจีนจะใช้ไหม 5 สี ผูกที่หัวเรือเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากมังกร ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นความเชื่อเกี่ยวกับ แม่ย่านาง แทน แม่ย่านางของนักเดินเรือชาวจีนคืออมนุษย์เทพเจ้าองค์เล็ก ประจำท้องถิ่นในแต่ละแห่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายของแม่ย่านาง การผูกไหม 5 สีที่หัวเรือนี้ เป็นการเคารพ แม่ย่านาง หรือ เจ้าแม่ทับทิม (เทพยดาหม่าโจว) คือเทพธิดาในลัทธิเต๋า ที่นักเดินเรือทั้งหลายให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับนายพลเรือเจิ้งเห่อ หรือแต้ฮั้ว ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์หมิง ในยุคสมัยขององค์จักรพรรดิหย่งเล่อ

มังกรจีนเป็นสัตว์เทพเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ตามความเชื่อของชาวจีน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของชนชาติจีน ชาวจีนทั่วโลกต่างหยิ่งทะนงในการที่พวกตนนั้น สืบสายเลือดมาจากมังกร (Lung Tik Chuan Ren) ชาวจีนเชื่อกันว่ามังกรนั้นเป็นเทพเจ้าในตำนานที่จะนำมาซึ่งอายุยืนยาว ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภวาสนา และจากสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ ตำนานมังกรของจีนได้ซึมซาบเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวจีนโบราณ และกลายมาเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนตราบจนถึงทุกวันนี้ มังกรจีนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความดีงาม และอำนาจบารมี

มังกรจีนหรือ หลง แสดงถึงพลังอำนาจและคุณงามความดี ความองอาจกล้าหาญ ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะพยายาม ความมีคุณธรรมอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ดุจดั่งเทพเจ้า มังกรจีนนั้นไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคขวากหนามใด ๆ จนกว่าจะทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ มีความขยันขันแข็ง เด็ดขาด เฉลียวฉลาด มองโลกในแง่ดี และมีความทะเยอทะยาน ซึ่งแตกต่างจากพลังด้านมืดของมังกรตะวันตก มังกรตะวันตกนั้นส่วนใหญ่ขี้หงุดหงิด มีปีก บินและพ่นไฟได้ แต่มังกรตะวันออกจะมีลักษณะสวยงาม เป็นมิตร และมีความเฉลียวฉลาด มังกรจีนถือเป็นเทพเจ้าแห่งทิศบูรพา แทนที่จะถูกเกลียดชังเช่นมังกรตะวันตก มังกรตะวันออกกลับได้รับความรักและเคารพสักการะ วัดและศาลเจ้าถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ความเคารพสักการบูชาในฐานะผู้ควบคุมฝนแม่น้ำทะเลและมหาสมุทร หลายเมืองในประเทศจีนจะมีเจดีย์ซึ่งชาวจีนจะมาเผาเครื่องหอมเพื่ออ้อนวอนต่อมังกร ศาลเจ้ามังกรดำซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงปักกิ่งถูกสงวนไว้เฉพาะมเหสีของจักรพรรดิเท่านั้น

ชาวจีนจะมีการบวงสรวงมังกรเป็นพิเศษที่นี่ทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน ศาลเจ้าและแท่นบูชามังกรยังคงปรากฏให้เห็นตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำในหลาย ๆ ส่วนของจีนและดินแดนตะวันออกไกล เพราะมังกรจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ โบสถ์กลางน้ำในประเทศญี่ปุ่นกลายมาเป็นแหล่งแวะพักที่ได้รับความนิยมของผู้แสวงบุญซึ่งสวดอ้อนวอนต่อมังกร ตำนานของชาวจีนตำนานหนึ่งบันทึกไว้ว่า มังกรจีนเพศผู้และเพศเมียเคยแต่งงานกับมนุษย์และลูกหลานของมังกรจีนก็กลายมาเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จักรพรรดิญี่ปุ่นที่ชื่อ ฮิโรฮิโตะ สืบสาวต้นตระกูลของตนเองย้อนหลังไปจนถึง 128 รุ่น ซึ่งก็คือ เจ้าหญิง Fruitful Jewel ลูกสาวของราชามังกรแห่งท้องทะเลลึก จักรพรรดิของหลายประเทศในเอเชียอ้างว่าตนเองก๋มีบรรพบุรุษเป็นมังกร ซึ่งก็ทำให้มีความคิดที่ว่าทุกสิ่งที่ใช้จะต้องประดับด้วยมังกรเช่น บัลลังก์มังกร เสื้อคลุมมังกร เตียงมังกร เรือมังกร การที่ชาวจีนถือว่าจักรพรรดิเป็นมังกรเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ชาวจีนมีความเชื่อว่าจักรพรรดินั้นสามารถทำให้ตนเองกลายเป็นมังกรได้

ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมังกรจีนล้วนให้ความสุขความเจริญ ในทุก 12 ปี จะมีปีมังกรซึ่งยังให้เกิดความโชคดี โชคลาภวาสนาโหรตะวันออกในปัจจุบันอ้างว่าเด็กที่เกิดระหว่างปีมังกรจะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เคยมีมังกรที่ชาญฉลาดมาเป็นที่ปรึกษาให้กษัตริย์ สามร้อยปีที่ผ่านมา กษัตริย์กัมพูชาใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่ในหอคอยทอง ที่ซึ่งเขาจะได้ขอความเห็นกับผู้ปกครองที่แท้จริงของแผ่นดินแห่งเก้ามังกร (Land of Nine-Headed Dragon) มังกรจีนนั้นเชื่อในความคิดของตนมาก ถึงแม้ว่าจะสุขุม รอบรู้ แต่มังกรจีนจะรู้สึกว่าถูกดูถูกถ้าหากผู้ปกครองไม่ทำตามคำแนะนำ หรือประชาชนไม่คิดว่ามังกรจีนสำคัญ มังกรจะหยุดสร้างฝนและทำให้แผ่นดินแห้งแล้ง หรือน้ำท่วม มังกรที่ตัวเล็กกว่าจะแกล้งทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ นานาอย่างเช่นหลังคารั่วหรือข้าวเหนียว ชาวจีนจะจุดประทัดและถือมังกรกระดาษขนาดใหญ่ในขบวนแห่ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ และจัดการแข่งขันเรือมังกรในลำน้ำเพื่อทำให้มังกรของพวกเขาพอใจ

มังกรกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของผู้คนชาวจีน ในรูปของเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ อย่างที่ชาวโลกได้รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Sheng Chi มังกรจีนคือผู้ที่ยอมสละชีวิตและพลังของตนออกมาในรูปของฤดูกาลของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ มังกรจีนเป็นผู้นำน้ำมาจากฝน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ สายลมจากทะเลและผืนดินจากโลก มังกรเป็นตัวแทนของพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ พลังอำนาจสูงสุดของโลก บางครั้งเราอาจพบมังกรจีนในรูปสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการปกป้องและคุ้มครอง พวกมันถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกมันมีสามารถอาศัยอยู่ในทะเล บินขึ้นไปถึงสวรรค์ และขดตัวบนพื้นดินในรูปของภูเขา ในหมู่ของสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายทั้งหลาย มังกรสามารถปัดเป่าวิญญาณที่ชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์และทำให้ผู้ที่ถือเครื่องหมายของพวกมันรอดพ้นจากพยันตรายต่างๆ นานาได้ มังกรจีนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความโชคดีสูงสุด

มังกรจีนกับปีนักษัตร

ความเชื่ออย่างแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมังกรของคนจีน คือการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้างหมูและม้า ซึ่งถือว่าสัตว์เหล่านี้เป็นเชื้อสายของมังกรเช่นกัน คนจีนใช้มังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนปีมะโรงซึ่งจะแตกต่างกับคนไทยที่ใช้พญานาค บางท่านกล่าวว่าปีนักษัตรเกิดสมัยพระพุทธเจ้า[ใครกล่าว?] จีนคือผู้ที่คิดค้นแรกเริ่มตั้งแต่ราว 2,700 ปีมาแล้ว หรือภายหลังราชวงศ์โจวตะวันออกเล็กน้อย หลักฐานที่ยืนยันการคิดริเริ่มของจีนปรากฏอยู่บนแจกันสำริด ที่จัดแสดงอย่างถาวรอยู่ในพิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติไทเป ประเทศไต้หวัน ภายในห้องแสดงสำริดโบราณ การผสมข้ามสายพันธุ์ของมังกรนั้น ลูกหลานของมังกรได้แก่ ม้ามังกรในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณีของไทยและเขมร ส่วนหมูและช้างนั้นภาคเหนือของประเทศไทยนั้น นับเป็นปีนักษัตรคือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ทางภาคเหนือใช้ช้างแทนสัตว์สัญลักษณ์ปีกุน ซึ่งไม่ใช่หมู

สำหรับลายนักษัตรนั้น จีนคือผู้ที่คิดค้นแรกเริ่มตั้งแต่ราว 2,700 ปีมาแล้ว หรือภายหลังราชวงศ์โจวตะวันออกเล็กน้อย หลักฐานที่ยืนยันการคิดริเริ่มของจีนปรากฏอยู่บนแจกันสำริด ที่จัดแสดงอย่างถาวรอยู่ในพิพิธภัณฑสถานพระราชวังแห่งชาติไทเป ประเทศไต้หวัน ภายในห้องแสดงสำริดโบราณ
วงจรชีวิตของมังกรจีน

มังกรจีนมีวงจรชีวิตการเกิด 4,000 ปี จึงจะเป็นมังกรตัวโตเต็มวัยไข่มังกรจะมีลักษณะเป็นไข่อัญมณี มังกรจีนจะวางไข่ไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำและฝังไว้ลึกจนไม่ถูกรบกวนโดยใครหรืออะไร ระยะเวลา 1,000 ปีต่อมาไข่มังกรจีนจะฟักออกมาเป็นตัว ในระหว่างช่วงเวลา 500 ปีต่อมา ลูกมังกรจีนจะเจริญเติบโตขึ้น และจะเรียกลูกมังกรจีนว่า ไคอาส (Kias ,มังกรมีเกล็ด) ลูกมังกรจีนมีลักษณะเหมือนกับงูน้ำและหัวของปลาคาร์พผสมกัน และจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ขั้นนี้เรียกว่า ไคโอะ (Kio)

ต่อมาเมื่อเวลา 1,000 ถัดไป ลูกมังกรจีนจะถูกรู้จักในฐานะของ หล่ง (lung ,มังกรตามมาตรฐาน) รยางค์และเกล็ดของมังกรเจริญขึ้นแล้ว ความยาวของลูกมังกรจะเพิ่มขึ้น และหน้าเริ่มมีหนวดเครา 500 ปีต่อมา เป็นเวลาที่ใช้ในการงอกงามของเขา ตอนนี้มังกรจีนสามารถได้ยินเสียงได้แล้ว และจะเป็นที่รู้จักในฐานะของ ไคโอ หล่ง (Kioh-Lung ,มีเขา) 1,000 ปีต่อมาใช้ในการเจริญของปีก ตอนนี้มังกรจีนจะถูกรู้จักในฐานะ ยิ่น หลง (มังกรมีปีก) และเจริญเติบโตเป็นมังกรเต็มวัย

นิ้วของมังกรจีนในแต่ละเท้าจะมี 4 หรือ 5 นิ้ว ถ้ามี 4 นิ้วเป็นมังกรทั่วไป แต่ถ้ามี 5 นิ้ว เป็นมังกรหลวง ซึ่งในสมัยก่อนจะมีเฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น ที่สามารถใช้สิ่งของที่มีรูปมังกรหลวงประดับอยู่ถ้ามีใครอื่นใช้จะถูกประหาร น้ำลายจากมังกรจีนจะทำให้เกิดลูกทรงกลมวิเศษซึ่งเรียกว่า ไข่มุกแห่งพลัง ดวงจันทร์ และ ไข่แห่งความอุดมสมบูรณ์ เมื่อเลือดของมังกรจีนซึมซาบเข้าไปในแผ่นดินจะเปลี่ยนกลายเป็นอำพัน เมื่อมังกรลอกคราบเป็นเหตุให้เขาเรืองแสงอย่างน่าขนลุกในความมืด

มังกรจีนชอบกินนกนางแอ่นย่าง จึงมีการถวายให้ก่อนเดินทางข้ามน้ำ เพื่อที่จะเอาใจมังกรและเพื่อให้การเดินทางปลอดภัย ว่ากันว่ามังกรจีนกลัวใบของต้น แว่ง (wang) ,ใบของต้น ลีน (lien) ,ด้ายไหม 5 สี ,สีผึ้ง ,เหล็ก และตะขาบ ว่ากันว่าบางครั้งในยุคโบราณ มังกรจีนเพศผู้จะแต่งงานกับสัตว์ชนิดอื่น มังกรจะเป็นพ่อของช้างเมื่อแต่งงานกับหมู และเมื่อแต่งงานกับม้าจะได้ลูกเป็นม้าแข่ง การที่มังกรจีนจะนำฝนตกลงสู่พื้นดิน ขึ้นอยู่กับบุคคลสง่างามแห่งหยก หรือจักรพรรดิหยก ผู้ซึ่งมังกรจะรับคำสั่งว่า จะส่งน้ำจากท้องฟ้าเท่าไร จากนั้นพวกมังกรจะต่อสู้กับตัวอื่นอย่างมุ่งร้ายในอากาศ ฝนจะตกลงมาในจังหวะที่มังกรม้วนตัว และชักดิ้นชักงอ

นอกจากนี้มังกรมีความสามารถที่จะอยู่ในทะเล บินขึ้นไปยังสวรรค์ และขดตัวบนพื้นในรูปของภูเขา มังกรจีนสามารถปัดเป่าวิญญาณพเนจรชั่วร้าย ปกป้องผู้บริสุทธิ์ และให้ความปลอดภัยกับทุกคนที่ถือสัญลักษณ์ของเขามังกรจีนเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจและคุณงามความดี ความองอาจและความกล้าหาญ ความเป็นวีรบุรุษและความอุตสาหะ และความสูงส่งและความศักดิ์สิทธิ์ และนอกจากนี้ มังกรจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความเป็นมงคล และความมั่งคั่งอีกด้วย


.
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:03:06 am
มังกรจีน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก)

-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-

ชนิดของมังกรจีน

มังกรจีน

คนจีนมีคติความเชื่อว่ามังกรของจีนแต่สมัยโบราณนั้นสามารถแบ่งแยกออกเป็น 9 ชนิด การแบ่งชนิดของมังกรนั้นในแต่ละตำราก็มีการแบ่งที่แตกต่างกันออกไป บางตำราบอกว่าแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ

    มังกรแท้ ชิวเล้ง เป็นมังกรขนาดใหญ่ มีเขาและปีก เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด เป็นใหญ่เหนือมังกรทั้งปวง อาศัยอยู่บนฟ้าหรือบนสวรรค์
    มังกร หลี่ หรือ ลี่ เป็นมังกรไม่มีเขา อาศัยอยู่ในมหาสมุทร
    มังกร เจี่ยว หรือ เฉียว เป็นพวกมังกรมีเกล็ด อาศัยตามลุ่มหนองหรือถ้ำตามภูเขา มีขนาดตัวเล็กกว่ามังกรที่อยู่บนท้องฟ้า มีหัวและลำคอเล็ก ไม่มีเขา หน้าอกเป็นสีเลือดหมูหรือสีน้ำตาลเข้ม ด้านข้างลำตัวและสันหลังมีลายแถบเป็นสีเขียวและสีเหลือง มี 4 ขา ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับงู มีลำตัวยาวประมาณ 13 ฟุต บางตำราบ่งบอกไว้ชัดเจนว่า หลง เป็นมังกรแห่งสวรรค์ หลี่ เป็นมังกรแห่งทะเล และเจี่ยว เป็นมังกรแห่งภูเขาและที่ลุ่ม

บางตำราได้เพิ่มลักษณะของมังกรจีนพื้นถิ่นเดิม ก่วย เป็นมังกรที่มีลักษณะทั่วไปคล้ายมังกรแท้ บุคลิกดูใจดี กล่าวกันว่ามันมีอำนาจที่เข้มแข็งในการต่อต้านกับความโลภและกิเลสทั้งปวง ชาวจีนนิยมนำมาเขียนเป็นลวดลายบนภาชนะสำริดยุคโบราณต่าง ๆ มังกรจีนทั้ง 9 ชนิดนั้นมีการผูกลายกันอย่างมากมายหลากหลายชนิด ตั้งแต่พระราชวังที่ประทับของฮ่องเต้ วัดและเคหสถานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตลอดไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ใช้ในงานมงคลต่าง ๆ มังกรจีนเป็นมังกรที่มีศักดิ์ศรี มีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างชัดเจน ได้แก่
มังกรสวนนิ

เป็นมังกรที่ใช้สลักบนบัลลังก์ขององค์พระประติมากรรม และใช้แทนฐานรูปสิงโต
มังกรเฉาฟง

เป็นมังกรที่ใช้สลักบนสถาปัตยกรรมชายคา โบสถ์
มังกรฟูเหลา

เป็นมังกรที่ใช้ประดับบนยอดระฆังและกลอง ซึ่งเป็นเครื่องเสียงที่ใช้สำหรับต่อสู้หรือใช้ในการประกอบพิธีการที่สำคัญ
มังกรไยสู

เป็นมังกรที่ใช้สลักบนฝักดาบ บนกระบังดาบ และบริเวณใบดาบ รวมทั้งใบง้าว
มังกรฉีเหวิน

เป็นมังกรที่ใช้ประดับบนชื่อสะพาน เพราะมังกรฉีเหวินเป็นมังกรน้ำและยังใช้สลักบนบริเวณหลังคาอาคารสถาปัตยกรรม เพื่อปัองกันไฟอีกด้วย แต่บางครั้งก็จะย่อให้เหลือแต่ส่วนหางเท่านั้น จึงกลายเป็นปลามังกร หางปลา
มังกรปาเซียน

เป็นมังกรที่ใช้สลักที่บริเวณส่วนล่างของสถาปัตยกรรม เชื่อกันว่ามังกรปาเซียนนั้นจะสามารถช่วยพยุงน้ำหนักได้ ซึ่งเหมือนกันคนไทยที่มักจะใช้ยักษ์และคนแคระ ในการช่วยพยุงน้ำหนัก หรือบางครั้งก็จะใช้สิงห์แบกแทน
มังกรฉิวนิว

เป็นมังกรที่ใช้สลักบนลูกปิดของ"ซอ"เพราะมังกรฉิวนิวนั้นชอบฟังเพลง
มังกรปิกัน

เป็นมังกรที่ใช้สำหรับสลักบนประตูคุก เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของเหล่านักโทษ มังกรปิกันเป็นมังกรที่รักในการใช้พละกำลัง เป็นการแสดงความดุร้าย ซึ่งนักเลงมักจะนิยมสักมังกรชนิดนี้ไว้ที่บริเวณแขน หน้าอกและบริเวณกลางหลัง บางคนก็สักไว้ที่หน้าขาและที่อื่น ๆ นักเลงพวกนี้มักจะสักมังกร "คุก" และเรียกขานกันว่า พวก ตั้วหลักเล้ง จะใช้เป็นสัญลักษณ์

พญามังกร

เป็นมังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก(ตัง) ,ใต้(น่ำ) ,ตะวันตก(ไซ) และเหนือ(ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก และโอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต
ลักษณะของมังกรจีน
ลักษณะของมังกรจีนที่เกิดจากจินตนาการ

คนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของ มังกรจีนในงานด้านจิตกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน คือ

    ลักษณะหัวของมังกร คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้
    ลักษณะหนวดของมังกร คล้ายกับหนวดของมนุษย์
    ลักษณะเขาของมังกร คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
    ลักษณะตาของมังกร คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต
    ลักษณะหูของมังกร คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น
    ลักษณะคอของมังกร คล้ายกับคองู
    ลักษณะท้องของมังกร คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์
    ลักษณะเกล็ดของมังกร คล้ายกับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆ
    ลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ
    ลักษณะฝ่าเท้าของมังกร คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ

ลักษณะของมังกรจีน สัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่จีนให้ความเคารพนับถือ ลักษณะของมังกรเกิดจากจินตนาการโดยการรวมเอาลักษณะของสัญลักษณ์เผ่าต่างๆมารวมกัน มีความแตกต่างกันตามคติความเชื่อถือและการประดิษฐ์ของช่าง มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้

    มังกรมีเขา หรือหลง เป็นลักษณะของมังกรที่มีเขาเหมือนกับกวางดาว ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุดสามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ซึ่งจะชำแหละเนื้อไว้กินและหนังจะส่งขายให้กับประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปทำเป็นซับในของเสื้อเกราะญี่ปุ่นซึ่งหนังกวางนั้นเป็นสินค้าส่งออกที่มีความสำคัญของไทยมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

    มังกรมีปีก หรือหว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรฝรั่งที่สามารถพ่นไฟ ได้ คนฝรั่งนิยมที่จะนำมังกรมีปีกนี้มาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัวแทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยข้าวต้ม

    มังกรสวรรค์ หรือเทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า คนจีนมีความเชื่อกันว่า มังกรเทียนหลงนี้เป็นมังกรที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย

    มังกรวิญญาณเฉียนหลง หรือหลีเฉี่ยวหลง เป็นมังกรที่บันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและมนุษยชาติของชาวจีน แต่โบราณ มังกรหลีเฉี่ยวหลงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย

    มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือฟูแซง เป็นมังกรบาดาล มังกรฟูแซงนี้น่าจะเป็นคติของอินตู้หรืออินเดียมากกว่าของจีน ซึ่งชาว กรีก โบราณเองก็มีความเชื่อกันในเรื่อง "มังกรบาดาล" เช่นกัน ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรบาดาลนี้เป็นความเชื่อและคติที่เก่าแก่มาก

    มังกรขด ไม่มีฝอย เป็นมังกร "หด" ธรรมดา

    มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน

    มังกรบ้าน หรือลี่หลง เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น

    พญามังกร คือมังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก (ตัง),ใต้ (น้ำ), ตะวันตก (ไซ) และเหนือ (ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก และโอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต

มีการบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า "มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ"



ลูกหลานของมังกรจีนทั้ง 9 ชนิด คือ เล้งแซเก้าจื้อ ตามตำนานได้บอกไว้ว่า มังกรได้ให้กำเนิดลูกหลานไว้ 9 ชนิด ซึ่งสัตว์ทั้ง 9 ชนิดนี้มีรูปร่างลักษณะที่พิเศษแตกต่างกันออกไป แต่เนื่องจากหลังฐานได้สูญหายไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวใดเป็นลูกของตัวใด ตัวใดเป็นตัวผู้หรือตัวใดเป็นตัวเมีย อย่างไรก็ตามต่อมาชาวจีนได้นำสัตว์ทั้ง 9 ชนิดมาวาดเป็นลวดลายไว้ในสิ่งของต่างๆเพื่อเสริมความเป็นมงคลตามลักษณะพิเศษของสัตว์ชนิดนั้นๆ ซึ่งลวดลายลูกหลานมังกรทั้ง 9 ชนิด คือ

    ลายรูปปู่เหลา ชาวจีนมักปั้นเป็นหูของระฆัง หรือทำเป็นลายสลักอยู่บนยอดสุดของฆ้องหรือระฆัง สื่อให้เห็นลักษณะที่ชอบร้องเสียงดังของมังกรจีน เวลาที่ถูกปลาวาฬจู่โจม อันเป็นศัตรูตัวสำคัญ
    ลายรูปจิวหนิว เป็นลายที่สลักอยู่บนก้านบิดของซอสำหรับทดสอบเสียง
    ลายรูปปาเซีย เป็นรูปสลักบนยอดหินจารึก แสดงถึงว่ามังกรจีนชนิดนี้ชอบในวรรณคดี เป็นเครื่องหมายแสดงแทนเต่าทั้งเพศผู้และเพศเมีย ซึ่งก้มหัวลงต่ำแสดงถึงความเศร้าโศก และยังถูกนำไปทำเป็นฐานของเสาหิน หรือรูปสลักสำหรับหลุมฝังศพ เป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ เป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความเข้มแข็งอดทน
    ลายรูปปู-เซีย เป็นรูปสลักที่อยู่ก้นของอนุสาวรีย์หิน มีความหมายถึงให้ช่วยแบกรับน้ำหนักที่มากไว้
    ลายรูปเจ้าเฟิง เป็นรูปลักษณะที่อยู่บนชายคาโบสถ์วิหาร เพื่อสะท้อนความที่มังกรจีนนั้นพอใจต่ออันตรายทั้งหลาย
    ลายรูปฉี-เหวิน เป็นลายรูปที่สลักอยู่บนคานสะพาน เนื่องจากเป็นมังกรที่ชอบน้ำ จึงถูกสลักไว้บนยอดจั่วของอาคารเพื่อป้องกันไฟ มังกรจีนชนิดนี้ชอบจ้องมองออกไปข้างนอก ดังนั้นสัญลักษณ์ของมังกรจึงเป็นรูปปลายกหางขึ้นฟ้า
    ลายรูปส้วน-นี่ เป็นลายรูปที่อยู่บนยอดอาสนะของพระพุทธรูป มีนิสัยชอบพักผ่อน ตำราบอกไว้ว่าเป็นพวกเดียวกับซีจู หรือสัญลักษณ์รูปสิงโต
    ลายรูปไย่จู เป็นรูปลายที่สลักอยู่บนด้ามดาบ เพราะเป็นมังกรที่ชอบการฆ่าฟัน
    ลายรูปปี๋-กัน เป็นลายรูปที่สลักอยู่ตามประตูคุก เพราะเป็นมังกรที่ชอบขึ้นศาลต่อสู้คดี ทะเลาะวิวาท มีพละกำลัง ความเข้มแข็ง และดุร้ายมาก เป็นสัตว์ที่มีเกล็ดและมีเขาหนึ่งเขา

มังกรจีนสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/1/15/Emperor_chinese_dragon.jpg/250px-Emperor_chinese_dragon.jpg)

(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Emperor_chinese_dragon.jpg)
มังกร 5 เล็บ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิประดับบนฉลองพระองค์ ภาพนี่เป็นรูปภาพของ จักรพรรดิเสียนเฟิง ซึ่งเป็นพระสวามีของ พระนางซูสีไทเฮา

มังกรจีนโดยเฉพาะมังกร 5 เล็บจะถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิหรือฮ่องเต้แห่งประเทศจีน โดยมีหงส์เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินี เนื่องมาจากตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า หงส์เป็นพาหนะของพระแม่ซิหวั่งหมู่ ซึ่งเป็นเจ้าแม่ผู้ปกครองภูเขาคุนหลุน ซึ่งถ้าเทียบตามศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เขาคุนหลุนก็คือเขาพระสุเมรุของไทย ตามนิทานแล้วเจ้าแม่ซิหวั่งหมู่เป็นผู้ปกครองสวรรค์ฝั่งตะวันตกคู่กับเง็กเซียนฮ่องเต้ที่ปกครองสวรรค์ฝั่งตะวันออก เหมือนกับที่องค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองแต่องค์ฮองเฮาเป็นผู้ปกครองวังหลัง คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ

มังกรเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีน แต่การใช้มังกรเป็นลวดลายประดับบนเสื้อนั้นเป็นการแสดงถึงความสูงต่ำของตำแหน่ง ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

    รูปมังกร 5 เล็บ เป็นมังกรหลวงที่ใช้กับสมเด็จพระจักรพรรดิและองค์ชายในลำดับที่ 1 และ 2 เท่านั้น
    รูปมังกร 4 เล็บ เป็นมังกรทั่วไปที่ใช้กับองค์ชายในลำดับที่ 3 และ 4 องค์ชายลำดับที่ 5 เป็นต้นไปรวมถึงข้าราชการชั้นธรรมดาใช้รูปคล้ายงูที่มีเล็บ 5 เล็บได้ บางตำราก็บอกว่าเป็นรูปมังกร 3 เล็บ

หลังปี ค.ศ. 1759 ได้มีการกำหนดสัญลักษณ์ไว้อย่างแน่ชัด คือ จักรพรรดิ ขุนนางชั้นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดี และราชบุตรเขยพระองค์แรก เจ้าชายพระองค์แรก รูปมังกรจะมี 4 เล็บ อัครมหาเสนาบดีที่โปรดปรานจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเล็บมังกรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามการกำหนดชั้นฐานะก็มีเรื่องของสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวด้วย สีของเสื้อที่จะใช้กับลายมังกรมีอยู่ 3 สีคือ

    สีแดง
    สีเหลือง
    สีน้ำเงิน

สีแดงนั้นใช้ในงานพิธีมีความหมายถึงความสุข สีเหลืองใช้เฉพาะจักรพรรดิและพระมเหสี (สีเหลืองเป็นสีของราชวงศ์ชิง แต่หลายความเห็บบอกว่าจีนน่าจะใช้สีเหลืองเป็นสีของพระเจ้าแผ่นดินมาตั้งแต่ยุคโบราณ เนื่องมาจากจีนมีความเกี่ยวข้องกับสีเหลืองมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็น ดินเหลือง แม่น้ำเหลือง ฯลฯ) สีน้ำเงินหมายถึงราชสมบัติและประเทศ

ฉลองพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินจีนตอนพิธีราชาภิเษก เป็นผ้าปักไหมสีสันต่าง ๆ เป็นรูปมังกร 5 เล็บอยู่ตรงกลางด้านหน้า ข้างบนตัวมังกรเป็นกลุ่มดาว 3 ดวงที่ฮ่องเต้ต้องบวงสรวง ข้างขวาของตัวมังกรเป็นอักษรคำว่า "ฮก" หมายถึงความสุข ข้างซ้ายของตัวมังกรเป็นรูปขวานโบราณหมายถึงอำนาจ ในความเป็นจริงแล้ว องค์จักรพรรดิของจีนนอกจากจะเป็นผู้นำของประเทศแล้ว ยังเป็นผู้นำในทางศาสนาอีกด้วย ดังจะเห็นจากที่พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นผู้นำในการทำพิธีต่าง ๆ ซึ่งตามคติโบราณที่ว่าแต่เดิมมังกรนั้นก็คือมนุษย์หรือเกิดมาจากมนุษย์(ดังที่กล่าวมาแล้วในเรื่องการกำเนิดมังกร) และรูปลักษณ์ของเทพเจ้าโบราณก็มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งมังกร มังกรจึงถูกนำมาเปรียบให้เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์จีนนั่นเอง

อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น

    杨静荣 (Yang Jirong); 刘志雄 (Liu Zhixiong) (2008), 龙之源 (The Origin of the Dragon), 中国书店, ISBN 7806635513

   คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับ:
Chinese dragons

A to Z Photo Dictionary of Japanese Buddhism, onmarkproductions.com

    Dragon Articles, Crystal Dragon of Taiwan, cdot.org
    Dragons in Ancient China, China the Beautiful, chinapage.com
    Eastern Dragon Overview, The Circle of the Dragon, blackdrago.com
    Forbidden City Dragon Wall panography, world-heritage-tour.org
    The Chinese Dragon, everythingdragons.com
    龙生九子, The Dragon's 9 Children (จีน), jsdj.com

Flag of the People's Republic of China.svg บทความเกี่ยวกับประเทศจีน ประวัติศาสตร์จีน หรือภาษาจีนนี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยเพิ่มข้อมูล สถานีย่อย:ประเทศจีน

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:03:40 am
สัตว์มงคลของจีน


สัตว์รูปคล้ายสิงโตที่เรียกว่า พีซิว มีตำนานเล่าขานในทางมงคลถึง พีซิว มากมายโดยเฉพาะเรื่องราวในยุคต้นราชวงศ์ “ ชิง” (ราชวงศ์แมนจู) เล่ากันว่า เมื่อยุคเฉียนหลงฮ่องเต้ ครั้งยังเป็นองค์ รัชทายาท เรียกกันว่า “องค์ชายสี่” มีนักพรตท่านหนึ่งนำ พีซิว มามอบให้ โดย กำชับให้หมั่นดูแลทะนุถนอม พีซิวจักคุ้มครอง ปกป้องภัย และส่งพลังให้ขึ้นสู่ราช บัลลังก์ ซึ่งองค์ชายสี่ก็ได้ทำตามนั้น จวบจนต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึง พระราชทานยศตำแหน่งแก่ พีซิว นาม “เทียนลู่” (บารมียศแห่งสวรรค์) และอยู่คู่ เฉียนหลงฮ่องเต้ตลอดรัชสมัย 60 ปีที่ครองราชย์ ซึ่งนับเป็นระยะเวลาแห่งการครอง ราชย์อันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ปัจจุบัน พีซิว ตัวดังกล่าว ตั้งอยู่ ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน

.: ปลา - สัตว์มงคลจีน
:. ปลาเป็นสัญลักษณ์มงคลอย่างหนึ่งของชาวจีน เพราะคำว่า หยู ที่หมายถึงปลา พ้อง เสียงกับคำว่า หยู ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ปลาจึงเป็นสัญลักษณ์ของความ มั่งคั่ง ภาพเด็กกับปลา มีความหมายว่า "ขอให้จงมีความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จากลูก ชายที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น" นอกจากอาหารอย่างอื่นแล้ว ชาวจีนนิยมใช้ปลาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าด้วย ใน ภาคกลางของจีนมีการใช้หัวปลา เพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ด้วย ความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นของความมั่งคั่ง และปลายังเป็นอาหารที่นิยมปรุงรับ ประทานในตอนปีใหม่สำหรับผู้คนทั่วไปด้วย IPB Image

(http://3.bp.blogspot.com/-qTGOGJt39sY/TzEPnJ1taSI/AAAAAAAAAXM/2XO3VVXSkFY/s320/koi1.jpg)

ปลาคาร์พ (หลี่)
ชาวจีนเรียกปลาคาร์พว่า หลี่ เนื่องจากคำนี้มีเสียงใกล้กับคำว่า ลี่ ที่หมายถึง ผลกำไร หรือประโยชน์ ปลาคาร์พจึงเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาจะได้ผลกำไรหรือ ประโยชน์จากการทำธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเพิ่มเติมว่าปลาชนิดนี้สามารถ กระโดดขึ้นไปทางตอนบนของแม่น้ำเหลือง (ที่ประตูมังกร) ได้ ความพยายามเช่นนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จใน การสอบเข้ารับราชการ การประสบความสำเร็จดังกล่าวนี้นับว่ายิ่งใหญ่ และต้องการ การเตรียมตัวที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้ปลาคาร์พจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและมั่น คง ส่วนหนวดปลานั้นเป็นเครื่องหมายของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และพลังวิเศษ ภาพ ชาวประมงกำลังขายปลาแก่หญิงและลูก แสดงความปรารถนาจะมีรายได้ที่ดี และมีความ ก้าวหน้าในสังคม ส่วนภาพหญิงสาวมีสาวใช้อีกคนยืนอยู่ริมน้ำ พร้อมถังบรรจุปลา คาร์พซึ่งพยายามกระโดดออก เป็นการอวยพรให้ผู้รับภาพนี้ได้มีอำนาจเหนือผู้คนทั่ว ไป และภาพเด็ก ปลาคาร์ม และดอกบัว หมายถึง "ของจงมีบางสิ่งอยู่ทุกปี)

(http://1.bp.blogspot.com/-4EzMl6I32ls/TzEP1uWiCVI/AAAAAAAAAXU/vsQ6IuWdNh0/s200/goldfish-main_Full.jpg)

ปลาทอง (จิน หยู)
คนจีนชอบปลาทองมาก และเลี้ยงไว้ในอ่างในบ้าน หรือในสระที่สวนของวัด คำว่าปลาทอง ในภาษาจีนมีเสียงพ้องกับคำที่หมายถึง "มีทองล้นหลาม" ปลาทองจึงมักจะเป็นของขวัญ สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่นิยมมอบให้กันในวันมงคลต่างๆ เมื่อวาดภาพปลาทองและดอกบัว ไว้ด้วยกัน จะหมายถึงทองคำและหยกอยู่ด้วยกัน ภาพปลาทองคู่เป็นสัญลักษณ์ของความ เติบโต แต่ปลาทองอาจใช้เป็นตัวแทนของคนรักของแม่ม่ายหรือผู้ชายแมงดา

ปลาไหล (ซ่าน)
มี ตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งน้ำท่วมโลก อำมาตย์คนหนึ่งผู้รับใช้จักรพรรดิกงกงใน ตำนานเทพ เป็นผู้พลิกแก้สถานการณ์น้ำท่วม และที่แท้เขาก็คือปลาไหล อีกตำนานซึ่ง เหลืออยู่เพียงบางส่วนในปัจจุบัน กล่าวว่า เทพเจ้าแห่งน้ำแยงชีใช้ปลาไหลอุดรู รั่วของเรือ นอกจากนี้ ชาวจีนเชื่อว่าการกินปลาไหล จะต้องกินส่วนอื่นๆ แล้วค่อย ตัดหัวปลา และหากนำหัวปลานี้ไปด้วย จะมีเงินทองไหลมาเทมา และยังจะชนะพนันทั้ง ปวงด้วย


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2351;image)
หงส์ - สัตว์มงคลจีน

:. หงส์ของจีน ถือเป็นสัตว์ในเทพนิยายที่มีลักษณะแปลกประหลาดมาก เป็นนกที่มี คุณลักษณะเหนือธรรมชาติ เพราะแม้จะมีรูปร่างเป็นนกแต่เป็นนกที่พิเศษสุด เนื่อง จากเอาลักษณะบางอย่างมาจาก นกเหยี่ยว นกอินทรี ไก่ฟ้า นกยูง นกตะกรุม นกกระสา นกกระยางขาวใหญ่ และนกอื่นๆ อันล้วนเป็นนักชั้นยอด เป็นนกวิเศษเหนือนกทั้งปวง เป็นราชาแห่งนก มีสีสันสวยงาม เป็นหนึ่งตามจินตนาการและความเชื่อของคนจีน หงส์เป็นสัตว์สิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์ที่คนจีนมีความปีติชื่นชอบมาก ที่สุดชนิดหนึ่ง มีรูปร่างสวยงาม สะโอดสะอง มีความอ่อนหวาน มีบุคลิกสีสันคล้าย ผู้หญิง มีความสุภาพเป็นผู้ดี ชาวจีนเรียกว่า "เฟิ่งหวง" หงส์เป็นดั่งเทพเจ้า สามารถหยั่งรู้ความสุข ความทุกข์ ความวุ่นวายในโลกมนุษย์ได้ หงส์จึงมักจะมา ปรากฏตัวต่อเมื่อบ้านเมืองสงบสุข แผ่นดินมีคนดีมาเกิด ตามความเชื่อเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำทิศของคนจีน หงส์เป็นสัตว์ที่มี หน้าที่ประจำอยู่ทิศใต้ เป็นสัญลักษณ์แห่งฤกษ์งามยามดีในวิถีชีวิตของคนจีน จึง กลายเป็นปกติสามัญที่จะได้พบรูปหงส์ในงานศิลปะจีนและในงานหัตถกรรมทั่วไป และมี คำกล่าวอวยพรที่ได้ยินอยู่เสมอ เช่น "ขอเทพเจ้ามังกรและเทพหงส์อำนวยพรให้ท่านจง โชคดี" IPB Imageตามหลักฮวงจุ้ย หงส์เป็นนกที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ 1 ใน 4 ชนิดที่ถูกกำหนดให้ดูแลรักษาทิศใหญ่ของโลก กล่าวคือ หงศ์สีแดงเข้มอยู่ประจำทิศ ใต้ มังกรสีฟ้าสดหรือสีน้ำเงินอยู่ประจำทิศตะวันออก เสือขาวอยู่ประจำทิศตะวันตก และเต่าดำหรืองูดำอยู่ประจำทิศเหนือ

คุณลักษณะของหงส์
กล่าวกันว่า หงส์ เป็นนกที่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมาจากนกที่มีความสำคัญหลาย ชนิดด้วยกัน คือ
หัว ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากไก่ฟ้า
หงอน ได้มากจากนกเป็ดหงส์
จงอยปาก ได้มาจากนกนางแอ่น
หลัง ได้มาจากเต่า
หาง ได้มาจากสัตว์จำพวกปลา

ซึ่ง นับว่าแปลกมากที่ได้แบบอย่างมาจากสัตว์น้ำด้วย มิใช่เอามาจากสัตว์ปีก เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม โดยมากเราก็จะเห็นหงส์มีส่วนประกอบของนกยูง และไก่ฟ้า หางยาวอยู่เป็นอันมาก ดังจะพบว่ามีจำนวนหลายสี และเป็นมันเลื่อมสวยงามตลอดทั้ง ตัว ขนส่วนหางมี 12 เส้น และขนหางแต่ละขนมี 5 สี คือ แดง ม่วง เขียว เหลือง และ ขาว บางตำราจึงได้แบ่งนกหงส์ออกเป็น 5 ชนิด คือ ชนิดขนแดง ขนสีม่วง ขนสีเขียว ขนสีเหลือ และขนสีขาว และชนิดสีขาวเรียกกันโดยทั่วไปว่า ห่านฟ้า ชาวจีนเรียกหงส์ว่าเฟิ่งหวง เป็นนกที่มีความสูงราว 5 ศอก หากดูด้านหน้าคล้ายกับ ห่านป่า มองด้านหลังคล้ายกับกิเลนหรือสัตว์ผสมลูกครึ่ง ส่วนคอดูคล้ายกับงูคือ กลมเรียวยาว มองหางคล้ายกับหางปลา ขนดูคล้ายเกล็ดมังกร ส่วนหลังดูคล้ายเสือ เหนียงคอดูคล้ายนกนางแอ่น ลำคอและจงอยปากคล้ายไก่ตัวผู้ หงส์ตามปกติจะหากินอยู่บนภูเขาในป่าไกลโพ้น เรียกกันว่า "เขาแดง" คล้ายในป่า หิมพานต์ไม่มีใครไปถึง เป็นนกที่ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกกินต้นไม้อ่อนที่ ยังเขียวสดอยู่ จะกินอาหารเพียงแต่เมล็ดดอกต้นไผ่เท่านั้น และกินน้ำหวานที่เกิด ขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ มีเสียงร้อยคล้ายกับเสียงสวรรค์อันแปลกประหลาด บ้างว่าคล้าย เสียงขลุ่ย ไม่อยู่เป็นกลุ่มหรือเป็นฝูง ไม่บินเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ อาศัยอยู่ แต่เพียงบนต้นไม้ซึ่งมีชื่อว่า ต้นหวู-ถุง ซึ่งแวดล้อมตกแต่งด้วยดอกไม้รูป คล้ายกระดิ่ง ใบใหญ่ ใบมันจะงอกแตกโตเร็วและร่วงในฤดูในไม้ร่วง ออกผลแพร่พันธุ์ ในช่วงทำขนมไหว้พระจันทร์ หรือเทศกลางกลางฤดูใบไม้ร่วงเดือน 8

หงส์ เป็นนกที่สามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกล่วงหน้า จนกระทั่งเมื่อยามใดบ้าน เมืองมีสันติสุขอย่างแท้จริง หงส์จึงจะออกมาปรากฏตัวให้เห็นในเส้นทางที่ไม่มี ใครรู้ร่องรอย และขณะเมื่อหงส์บินออกมานั้นจะมีบรรดานกต่างๆ บินตามมาเป็นขบวน เป็นฝูงใหญ่ยาวมาก หงส์มีความเมตตากรุณาคล้ายกิบกิเลน ไม่เคยเจ็บป่วยเป็น อันตรายใดๆ ยกเว้นแต่งูที่มีพิษอาจทำอันตรายได้

หงส์มีอายุยืนยาวประมาณ 500 ปี จากนั้นก็จะบินตรงไปยังดวงอาทิตย์เพื่อให้ความ ร้อนแผดเผาร่างกายเป็นเถ้าถ่าย เป็นการบูชายันต์ตนเอง หงส์หนุ่มสาวเมื่อเกิดมา ได้ 3 วัน มันก็จะบินจากไปอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นอิสระโดดเดี่ยว จนกว่าจะมีอายุ ได้ 500 ปี จึงสิ้นอายุขัย ด้วยเหตุนี้นกหงส์จึงถือว่าเป็นผลิตผลจากดวงอาทิตย์ และไฟ

ความหมายสิริมงคลของหงส์
หงส์ของจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งดวง อาทิตย์และความอบอุ่นสำหรับฤดูร้อนและฤดูเก็บ เกี่ยวพืชไร่ และเป็นเครื่องหมายที่คุณงามความดี ตามนิทานเล่าว่า หงส์มาปรากฏ ตัวในครั้งที่นักปราชญ์ขงจื๊อเกิดพอดี หงส์ได้กลายเป็นส่วนร่วมของการทำพิธี เคารพบูชาระหว่างสมัยราชวงศ์ฮั่น และการกล่าวอ้างการมาเยือนของหงส์เกิดขึ้น บ่อยๆ เพื่อการที่จะป่าวประกาศว่าการปกครองแผ่นดินในแต่ละรัชกาลนั้นประผลสำเร็จ ด้วยดี จึงมีคำกล่าวเกี่ยวกับหงส์หลายสำนวน เช่น หงส์สำแดงฤทธิ์เหมือนผู้นำมาซึ่งการเกิดอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ หงส์จะลงสู่พื้นดินเพียงแต่เมื่อมีบางสิ่งที่แวดล้อมอยู่นั้นมีค่าพอ หงส์นำมาซึ่งความมั่งคั่งโภคทรัพย์ เมื่อหงส์ปรากฏโลกจะยินดีต่อสันติภาพอันยิ่งใหญ่ และสะดวกสบาย สัญลักษณ์ลักทธิเต๋า คือ สัญลักษณ์หงส์เก้าตัวสำหรับทำลายล้างความสกปรก
สัญลักษณ์งานมงคลสมรสหงส์คู่มังกร

มี การจัดคู่สัตว์ที่แน่นอนตามรูปแบบสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลในวัฒนธรรม จีน ที่สำ คัญที่สุดกว่าอะไรทั้งหมด คือ คู่ของมังกรกับหงส์พร้อมด้วยไข่มุก ซึ่งจะเห็น บ่อยครั้งในบัตรเชิญแต่งงาน สิ่งสำคัญอย่างแท้จริงในสัญลักษณ์หงส์กับมังกรคือ " หงส์คู่มังกรขอให้มีโชคลาภสถาพร"

สาเหตุที่ใช้หงส์คู่มังกรในพิธี แต่งงานของชาวจีน คือ มังกรเป็นภาพสมมติให้เป็น สัญลักษณ์ของเพศชายผู้มีพลังอำนาจ ขณะที่หงส์เป็นตันแทนแห่งเพศหญิง อันถือเป็น การแสดงความเคารพต่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ในการจับคู่เปรียบเทียบที่ได้จากหงส์และ มังกรมี 5 ประการ คือ มังกร (ด้านซ้าย) หงส์ (ด้านขวา) ความรู้หรือความฉลาด ความงดงาม นิ่มนวล ประสบการณ์ เป็นธรรมชาติ การฝึกหัด มีเหตุผล ความสุขุม ความสามารถทางเสี่ยงโชค ความอดทน มีชีวิตอันควรเคารพ

ที่มา : -http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_15.html-

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:04:17 am
สัตว์มงคลของ จีน

-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=146312-

จากอดีตกาลจนถึงปัจจุบันร่วมนับพันปี ได้มีการใช้รูปปั้นสัตว์มงคล เพื่อเป็นการส่งเสริมพลังปราณชี่รุ่งเรือง และเพื่อต่อต้านพลังปราณชี่พิฆาต โดยการจัดตั้งรูปปั้นสัตว์มงคลไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น การตั้งรูปปั้นสิงโต ด้านหน้าสถานที่ราชการ เพื่อเป็นการเพิ่มบารมี บ้านตระกูลสูงศักดิ์ตั้งรูปปั้นกิเลน เพื่อเพิ่มความน่าเกรงขาม หรือบ้านที่อยู่อาศัยตั้งรูปปั้น คางคก 3 ขา เต่า กระเรียน เพื่อช่วยคุ้มครองความปลอดภัย และเพิ่มโชคลาภให้ผู้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

รูปปั้นสัตว์มงคลที่นิยมนำมาใช้ ได้แก่ มังกร(เล้ง) กิเลน(ลิ้ง) กวางสวรรค์(ผี่ซิ่ว) เต่า(กู) สิงโต(ไซ) ช้าง(เฉีย) ไก่(โกย) คางคก 3 ขา(เซี้ยมซู้ หรือ กัปป้อ) นกกระเรียน(เฮาะ) กวาง(เค็ก) เป็ดแมนดาริน(อวงเอีย) และปลาหลีฮื้อ(ลี้ฮื้อ)

สัตว์แต่ละชนิดก็มีคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรระมัดระวัง ในเรื่องของการจัดตั้งให้เหมาะสม เพราะถ้าเลือกใช้ผิดประเภท แทนที่จะเป็นการเพิ่มบารมี และทรัพย์สินเงินทอง กลับจะได้รับเคราะห์ภัย



- มังกร
ในสมัยโบราณฮ่องเต้ของชาวจีนนั้น เปรียบเสมือนกับมังกร ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สูงศักดิ์ มังกรกับคนมีความเกี่ยวพันกันมาก ชาวจีนโบราณเชื่อกันว่า มังกรสามารถควบคุมปริมาณน้ำของแผ่นดินได้ ดังนั้นในยามที่แห้งแล้งกันดาร หรือในยามที่ฝนตกหนัก ก็จะทำพิธีขอฝนกับมังกร หรือขอให้ฝนหยุดตก
เนื่องจากมังกรเป็นสัตว์ที่สูงศักดิ์ จึงมีความเชื่อกันว่ามังกรจะนำความสูงศักดิ์มาสู่ผู้คน

ถ้าจะกล่าวถึงมังกรในด้านของชัยภูมิ ตำแหน่งมังกรเขียว -บริเวณด้านซ้ายของบ้าน (หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน) เป็นตัวแทนของความดี ถ้าในตำแหน่งมังกรเขียวเสียหาย หรือด้อยกว่าตำแหน่งเสือขาว -บริเวณด้านขวาของบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านประสบกับอุปสรรคต่างๆนานา ได้รับความกดดันจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน

วิธีการแก้ไขก็คือการจัดตั้งรูปปั้นมังกรไว้ที่ตำแหน่งมังกรเขียวให้วางหันหน้าออกไป
ทางหน้าบ้าน เพื่อเป็นการส่งเสริมตำแหน่งมังกรเขียวให้ดีขึ้น ทั้งนี้รูปปั้นมังกรสามารถสลายพลังปราณชี่พิฆาตได้ด้วย เช่น ปราณชี่พิฆาตจากลม หรือของแหลมทิ่มแทง รวมทั้งสลายปราณหยิน เช่น สุสาน วัด โรงพัก เรือนจำ และโรงพยาบาล



- ไก่
เป็นสัตว์มงคล ที่สามารถนำมาใช้เพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาต ในลักษณะของหนอนพิฆาต เช่น บ้านที่สามารถมองเห็นเสาอากาศ ที่มีสายไฟระโยงระยาง เสาไฟฟ้าแรงสูง หรือเสาทีวีที่มีรูปทรงคล้ายหนอนหรือตะขาบ โดยมองจากทางหน้าต่างหรือประตูบ้าน

ซึ่งลักษณะของหนอนพิฆาตนี้จะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ พลังปราณชี่หนอนพิฆาตเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งรูปปั้นไก่ให้หันหน้าไปยังปราณชี่พิฆาตนั้นๆ แต่เนื่องจากว่าไก่เป็นนักษัตรที่ไม่ถูกกับคนปีเถาะ ดังนั้นบ้านที่มีคนปีเถาะอยู่ควรหลีกเลี่ยงการใช้



- กิเลน
เป็นสัตว์มงคลที่ล่ำลือกันมานาน เป็นสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ชอบส่งมอบความสุขให้กับผู้คน เล่ากันว่ากิเลนเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่ไม่เบียดเบียนชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลาย แม้กระทั่งเวลาเดินยังระมัดระวัง ไม่เหยียบย่ำสัตว์เล็ก
เล่ากันว่ากิเลนเคยปรากฎตัวบนโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ปรมาจารย์ขงจื้อกำเนิด กิเลนปรากฎ กำเนิดซึ่งนักปราชญ์ กิเลนได้นำความสุข ความมงคลมาสู่โลกมนุษย์

กิเลนประพฤติต่อมนุษย์ใน 2 ลักษณะ คือ ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจดี กิเลนจะสงสารและให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้าย กิเลนก็จะโต้ตอบ เหมือนดั่งศัตรู เนื่องจากคุณลักษณะดังกล่าวของกิเลน การจัดตั้งรูปปั้นกิเลนจึงต้องพิจารณาว่าตนเองเป็นบุคคลประเภทใด

การจัดวางรูปปั้นกิเลนสามารถสลายพลังปราณชี่พิฆาต และสามารถแก้ไขให้โชคชะตาดีขึ้นได้ ในกรณีที่มีพลังพิฆาตหน้าประตูบ้าน เช่น สุสาน วัด โรงฆ่าสัตว์ ทางน้ำพุ่งชน ถนนพุ่งชน โค้งตีจาก หรือ พลังลมพิฆาต วิธีการวางกิเลนหนึ่งคู่ไว้ที่ข้างประตูจะสามารถขจัดความเลวร้ายที่จะมาสู่บ้านได้

ในกรณีที่ตำแหน่งมังกรเขียวของบ้านอ่อนแอและตำแหน่งเสือขาวรุ่งเรือง ก็สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งวางกิเลนหยกหนึ่งตัว ไว้ที่ตำแหน่งเสือขาวโดยหันหน้าออกทางหน้าบ้าน



- เซี้ยมซู้
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า หนึ่งในศิษย์โปรดของท่านลื่อต่งปิง (เซียนท่านหนึ่งในบรรดาแปดเซียน) ซึ่งเป็นปรมาจารย์สำนักแชเซี้ยไผ่ ชื่อว่า เหล่าไหเซี้ยม ท่านเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้า ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน และสามารถปราบอสูรและสยบมารได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเหล่า ไหเซี้ยมได้ปราบมารตนหนึ่ง ที่แปลงกายมาจากคางคกสามขา สีทอง หลังจากที่คางคกสามขาถูกสยบแล้ว ก็ได้กลับตัวกลับใจ และขอติดตามรับใช้ท่านเหล่าไหเซี้ยม เนื่องจากท่านเหล่าไหเซี้ยม ชอบช่วยเหลือคนยากคนจน ด้วยการแจกเงินแจกทอง ประจวบกับที่คางคกสามขา มีความสามารถในการคายเงินคายทองออกจากปากได้ คางคกสามขาจึงได้ติดตามท่านเหล่าไหเซี้ยม ไปแจกเงินแจกทองและช่วยเหลือผู้คน
คางคกสามขานิยมใช้ในหมู่คนค้าขาย เพื่อเพิ่มพูนเงินทองให้กับเจ้าของกิจการ ควรจะใช้คางคกสามขาที่เป็นสีทอง หรืออาจจะเป็นคางคกสามขาที่ทำจากหยก เพราะหยกถือว่าเป็นสิ่งของที่มีค่า แต่อย่างไรก็ดีหยกก็เทียบค่าของทองไม่ได้

เนื่องจากคางคกสามขา สามารถคายเงินคายทองได้ จึงเหมาะที่จะตั้งไว้ในลิ้นชักเก็บเงิน หรือบนตู้เก็บเงิน การเปิดลิ้นชักหรือตู้เก็บเงินแต่ละครั้ง หมายถึงการคายเงินคายทองออกมาทุกครั้ง จุดที่ควรระวังคือ อย่าหันหน้าคางคกสามขาออกไปทางหน้าบ้าน หรือ หน้าร้าน เพราะว่าจะทำให้เงินทองรั่วไหล



- นกกระเรียน
จัดว่าเป็นสัตว์มงคลที่มีความหมายที่ดีอีกอย่างหนึ่ง การใช้นกกระเรียนจะช่วยส่งเสริมให้อายุยืน สุขภาพร่างกายแข็งแรง หน้าที่การงานราบรื่น และส่งเสริมการเรียนให้ดี ดังนั้นถ้าตั้งนกกระเรียนไว้ในบ้านก็จะส่งผลให้ คนสูงอายุในบ้านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หากมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะหายป่วย คนหนุ่มคนสาวจะมีหน้าที่การงานที่ดีและราบรื่นไม่มีอุปสรรค และเด็กเล็กมีการเรียนที่ดี



- กวาง
เป็นสัตว์มงคลอีกประเภทหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในทางฮวงจุ้ย เชื่อว่ากวางจะช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข หากบ้านไหนเกิดมีเรื่องคดีความ หรือคนอาศัยภายในบ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็สามารถใช้รูปปั้นกวางเพื่อช่วยทุเลาปัญหาลงได้

การจัดตั้งรูปปั้นกวาง ไม่ควรหันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน ควรจะหันหน้าเข้าในบ้าน เพราะกวางจะได้ช่วยนำสิ่งมงคลเข้าสู่บ้าน ทั้งนี้สามารถที่จะตั้งรูปปั้นกวางไว้ที่ตำแหน่งเดียวกันกับ ฮก ลก ซิ่วได้



- เป็ดแมนดาริน
จัดเป็นอุปกรณ์ฮวงจุ้ยอีกชนิดหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและการครองคู่ ถ้าวางรูปปั้นหรือติดภาพวาดเป็ดแมนดารินไว้ในบ้าน ก็จะช่วยส่งเสริมความรักของคู่สามีภรรยา และให้ครองชีวิตคู่กันตลอดไป ข้อสำคัญของการใช้เป็ดแมนดารินคือ จะต้องวางเป็นคู่ หรือถ้าเป็นภาพวาด จะต้องเป็นภาพของเป็ดคู่



- ปลาหลีฮื้อ
ก็จัดว่าเป็นสัตว์มงคลที่นำมาเป็นอุปกรณ์ฮวงจุ้ย เป็นที่นิยมในหมู่คนค้าขาย เพื่อช่วยเพิ่มโชคลาภ ทำให้ค้าขายดี ถึงแม้ว่าจะเป็นคนทำงานเงินเดือนประจำก็สามารถวางปลาหลีฮื้อไว้ที่บ้านเพื่อให้มีโชค
มีลาภได้เช่นกัน
การวางปลาหลีฮื้อสามารถช่วยผ่อนปัญหาความทุกข์ยาก คดีความ หรืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ควรจะวางปลาหลีฮื้อให้หันหัวเข้าในบ้าน จะได้นำความโชคดีและความเป็นศิริมงคลเข้ามาสู่บ้านด้วย



- เต่า
ที่ประเทศจีน ในอดีตเมื่อหลายพันปี มีการค้นพบแผนผังลั่วซูบนหลังเต่าที่ขึ้นมาจากแม่น้ำลั่วหยาง และแผนผังนี้ก็ได้นำมาเป็นแผนผังโป่ยข่วย หรือ แผนผังแปดทิศ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
เนื่องจากเต่าเป็นสัตว์มงคลที่มีความเกี่ยวพันกับเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการนำรูปปั้นเต่ามาใช้เพื่อส่งเสริมความเป็นมงคลให้กับชีวิต และเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ภัยต่างๆ จึงนับได้ว่ารูปปั้นเต่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับฮวงจุ้ย
เต่าเป็นสัตว์ที่อายุยืน ดังนั้นการวางรูปปั้นเต่าไว้ในบ้านจึงช่วยส่งเสริมให้คนสูงอายุในบ้านมีอายุยืน คนเจ็บคนไข้หายเจ็บป่วย คนหนุ่มคนสาวจะมีโชคมีลาภ และเด็กเล็กเจริญเติบโต ในขณะเดียวกันยังสามารถใช้เต่าเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตได้ด้วย โดยการตั้งเต่าให้หันหน้าไปยังทิศที่มีปราณชี่พิฆาตต่างๆ


- สิงโต
เป็นสัตว์มงคลที่มีลักษณะแห่งความเป็นเจ้า โดยสามารถใช้สิงโตเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตต่างๆ และช่วยเรียกโชคลาภได้ แต่เนื่องจากสิงโตมีพลังมากจึงไม่เหมาะที่จะใช้กับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป แต่เหมาะที่จะใช้สำหรับห้างร้าน บริษัท หรือสถานที่ราชการ
ตามตำนานโบราณเล่าว่า สิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งเสือขาว (หันหน้าออกด้านขวามือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น "เส้าเป่า" เป็นสิงโตเพศเมีย มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ให้กับเจ้าชายของราชวงศ์ และสิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งมังกรเขียว (หันหน้าออกทางซ้ายมือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น "ไท่ซือ" เป็นสิงโตเพศผู้ มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ของกษัตริย์ หรือ ฮ่องเต้ ดังนั้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ หรือ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องให้ความเกรงใจและเกรงกลัว
การวางรูปปั้นสิงโตจะต้องวางเป็นคู่ โดยวางสิงโตเพศผู้ไว้ทางซ้าย และเพศเมียไว้ทางขวาที่บริเวณหน้าประตูของสถานที่นั้นๆ ให้หันหน้าออกไปทางด้านหน้า วิธีสังเกตุเพศของสิงโตคือ สิงโตเพศผู้ เท้าหน้าจะเหยียบลูกบอล และสิงโตเพศเมีย เท้าหน้าจะเหยียบลูก



- ช้าง
เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มีนิสัยที่เป็นมิตรและไม่ดุร้าย เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารจึงไม่คุกคามชีวิตสัตว์โลกอื่นๆ ในทางด้านของฮวงจุ้ยนำช้างมาใช้ในเรื่องของความสูงใหญ่ เปรียบเป็นภูเขาสูงใหญ่ที่มั่นคง
ตามหลักของฮวงจุ้ย โต๊ะทำงานของผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการควรอิงผนังทึบและเรียบ เพื่อให้เกิดความมั่นคง แต่ถ้าเกิดว่าสถานที่ทำงานนั้นไม่เอื้ออำนวยจำเป็นต้องนั่งอิงด้านที่เป็นหน้าต่างกระจก ควรจะปิดผ้าม่านให้ทึบและวางรูปปั้นช้างไว้ที่ด้านหลังที่นั่ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ช้างเพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตได้ด้วย เช่นห้องทำงานที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม บังคับให้ต้องนั่งอิงมุมสามเหลี่ยมซึ่งหมายถึงความไม่มั่นคง และมุมแหลมทิ่มแทงเป็นปราณชี่พิฆาต ในกรณีนี้ก็สามารถนำรูปปั้นช้างมาใช้ได้เช่นกัน



- ผี่อิว (สำเนียงจีนแต้จิ๋ว) หรือ ผีซิว (สำเนียงจีนกลาง)
เป็นสัตว์ป่าที่มีรูปร่างคล้ายกับหมี มีลักษณะห้าวหาญ เปิดเผย ตรงไปตรงมา และดุดัน จึงมีการเปรียบเปรยกันว่า ผี่ฮิวคือ ทหารหาญที่ห้าวหาญ สามารถขจัดอสูรร้ายต่างๆได้
ด้วยลักษณะของผี่ฮิว จึงนิยมตั้งรูปปั้นผี่ฮิวเพื่อสลายพลังปราณหยิน และอสูรร้ายต่างๆ (รวมทั้งให้โชคให้ลาภ) ผี่ฮิวจะมีข้อแตกต่างกับกิเลนตรงที่ ผี่ฮิวไม่สนใจว่าคนไหนจะดีหรือร้าย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าที่ทำกิจการ การค้าที่ถูกกฎหมาย หรือร้านค้าสถานบันเทิงเริงรมย์ บ่อนการพนัน ไนท์คลับ ก็สามารถตั้งรูปปั้นผี่ฮิวเพื่อให้โชคให้ลาภได้เช่นกัน



- กระจกเงา
การส่งเสริม หรือสลายพลังปราณชี่นั้นมีวิธีต่างๆ หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การติดตั้งกระจกเงา เพื่อดึงดูด ผลักสลาย หรือกดทับ พลังปราณชี่ กระจกเงาที่ใช้ในการแก้ไขฮวงจุ้ยนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ



1. กระจกเงานูน

มีคุณสมบัติในการสลายพลังปราณชี่พิฆาต จะนิยมใช้ในกรณีที่บ้านตั้งอยู่บริเวณทางสามแพร่ง หรือมีลูกศรแหลมพุ่งแทงเข้าหน้าประตูบ้าน ลักษณะดังกล่าวทำให้มีพลังปราณชี่พิฆาตพุ่งตรงเข้าบ้าน ความแรงของพลังปราณชี่พิฆาตจะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยมีเรื่องเดือดร้อน บาดเจ็บ หรือประสบอุบัติเหตุ วิธีแก้ไขให้ติดกระจกนูนเหนือประตูบ้าน



2. กระจกเงาเว้า

มีคุณสมบัติในการดึงพลังปราณชี่มากดทับ จะนิยมใช้ในกรณีที่บริเวณข้างเคียงมีตึกสูงใหญ่มากกว่าตัวบ้าน ตั้งตระหง่านอยู่ บ้านที่เข้าลักษณะดังกล่าวจะถูกพลังของตึกสูงใหญ่ข่มทับ ส่งผลให้บุคคลภายในบ้านเจ็บป่วย การงานและโชคลาภจะติดขัด วิธีใช้ให้นำกระจกเว้ามาติดที่ผนังดาดฟ้า หันหน้ากระจกไปทางตึกใหญ่ ภาพที่ปรากฏในกระจกเว้าจะเป็นภาพตึกสูงใหญ่ตีลังกา



3. กระจกเงาเรียบ

มีคุณสมบัติดึงดูดพลังปราณชี่รุ่งเรืองเข้ามาเก็บ จะนิยมใช้ในกรณีที่ต้องการดึงพลังปราณชี่รุ่งเรืองเข้ามาเก็บไว้ เช่นในตำแหน่งที่ต้องการน้ำ แล้วบังเอิญมีธารน้ำไหลเข้าบ้านก็ให้ติดกระจกเรียบในตำแหน่งที่ต้องการน้ำ แล้วดึงภาพธารน้ำเข้ามาไว้ในบ้าน เท่ากับว่าบ้านมีดาวน้ำเคลื่อนไหว เป็นการกระตุ้นโชคลาภ ควรระวังอย่าติดกระจกเรียบดึงพลังที่ไม่ดีเข้าบ้าน



หมายเหตุ : ควรจะเลือกใช้กระจกที่มีขอบเป็นสีเหลือง เนื่องจากสีเหลืองเป็นสีของธาตุดินและกระจกเงาเป็นธาตุทอง ตามหลักแล้วธาตุดินเป็นธาตุที่ให้กำเนิดธาตุทอง ถ้าใช้สีของธาตุดินควบคู่กับธาตุทองจะทำให้กระจกมีพลังมากขึ้น

โดย นานาจิตตัง
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:04:54 am
สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน

-http://teen.mthai.com/variety/55861.html-


ในช่วงเทศการสำคัญ วันตรุษจีน นี้ ขออวยพรให้ เพื่อนมิตรรักสหายทุกท่าน “ว่านซื่อหยูอี้ ??????สมความปรารถนา” ในทุกเรื่องที่หวัง ขอให้เอนติด คะแนนโอเน็ต โอเค สอบ Get pat ผ่านทำไค้ๆ (หรือได้ทำหว่า ^^) ซึ่งวันนี้เพื่อให้เข้าธีม วันตรุษจีน teen.mthai.com ก็มี สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน?มานำเสนอ ไม่ถึงกับบู๊ล้างผลาญ แค่รักษาลมปราณ ประวัติ สัตว์ในตำนาน กับ เทพเจ้า ของจีน !!

ข้อมูล teen.mthai.com อ้างอิงจาก : หนังสือ 108 ลัญลักษณ์จีน,postjung.com,

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2352;image)

?” กิเลน “

ถ้าเป็นตัวผู้เรียกว่า ” กิ ” ถ้าเป็นตัวเมียเรียกว่า ” เลน ” หรือ “กิเลน” กิเลน ตามตำนานจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง?แต่มีเขาเดียว หางเหมือนวัว หัวเป็นมังกร ตีนมีกีบเหมือนม้า?(บางตำราว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นเนื้อสมัน) เกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ ผสมกัน

    เชื่อว่า กิเลน?มีอายุอยู่ได้ถึงพันปี
    ถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
    เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี
    ปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั้น
    กิเลน เป็นหนึ่งใน สี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วย?หงส์ เต่า มังกร และ กิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)

ตามความเชื่อเรื่อง การสร้างโลกของจีนในยุคฟูซี ( ?? )

ยุคฟูซี?เป็นผู้ปกครองชนเผ่าคนแรกของมนุษย์ ได้สังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ?จนสามารถพึ่งตัวเองได้ วันหนึ่งมี กิเลน ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากแม่น้ำหวงโฮ?บนหลัง กิเลน มีสัญลักษณ์ปรากฏที่ถูกเรียกในภายหลังว่า “ แผนที่เหอ ” ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็นตัวอักษร?หลังจากนั้นองค์ความรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ก็บังเกิดและเจริญสืบต่อเรื่อยมา

ตามตำนาน กิเลน ของไทย

คนไทยคงรู้จัก กิเลน ของจีนมานานแล้ว ในสมุดภาพ สัตว์ป่าหิมพานต์ที่ช่างโบราณได้ร่างแบบสำหรับผูกหุ่นเข้า กระบวนแห่พระบรมศพครั้งรัชกาลที่ 3ก็มีรูป กิเลนจีน ทำหนวดยาว ๆ ส่วนภาพ กิเลนแบบไทย มีกระหนกและ เครื่องประดับเป็นแบบไทยๆ?การจัดลายประกอบผิดไปจากใน สมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์โบราณ นั้นบ้าง ที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ?กิเลนไทยมีสองเขา ของจีนแท้ ๆ มีเขาเดียว ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของกวีเอกสุนทรภู่?ก็มี?สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกิเลนนี้ในเรื่องด้วย คือ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเอง

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9502.0;attach=2354;image)

สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน
มังกร

ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่า มังกร คือสัตว์ที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง

    พบมังกรได้ที่่?แม่น้ำและทะเลสาบ
    มังกรชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน
    มังกร?ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ เสริมสร้างความมั่นใจ และ ความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง
    กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และ บรรทมบนเตียงมังกร
    มังกรจีน จะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้
    โหนกที่อยู่บนหัว เรียกว่า เชด เม่อ (ch?ih muh)
    แต่ถ้า มังกรจีน ตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้?

ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และ มังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และ เพศชาย

ตามตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป

ตามตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น “โป๊ย-ก่วย” หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีกด้วย

(http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/02/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%996teen.mthai_.com_.jpg)

สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน
” เต่ามังกร “?

เต่ามังกร สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง อายุยืน สุขภาพดี ตั้งใจ มุมานะ นำไปสู่ความก้าวหน้า?ความสำเร็จ อย่างมั่นคง ยืนยาว และรวมถึงความเพิ่มพูนด้านทรัพย์สินเงินทอง และป้องกันคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย

    เต่า?เป็นตัวแทนของความยั่งยืน แข็งแรง อดทน มีเกราะป้องกันอันตราย
    มังกร คือ ความยิ่งใหญ่ ความดีงาม ความกล้าหาญ วาสนาบารมีสูงส่ง จึงถือเป็นมงคลสูงสุด
    เมื่อสัตว์มงคลทั้งสองชนิดมารวมกัน (เต่ามังกร)?ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชาวจีนในอดีต และเป็นที่เชื่อถือมาจนถึงปัจจุบัน

เต่ามังกร?เป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนาจ เป็นที่ศรัทธาสูงสุดของราชวงศ์ถัง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังได้สร้างรูปปั้นเต่ามังกรไว้หน้าพระราชวัง และเป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของชาวจีน?เพราะมีความเชื่อว่า เต่ามังกร เป็นลูกตัวที่ ๙ ของ พญามังกร ซึ่งออกมาเป็นเต่าหัวเป็นมังกร??

(http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/02/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%9911teen.mthai_.com_.jpg)

สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน
สัตว์เทพประจำทิศใต้ในคติจีน “?หงส์ “

หงส์ เป็น เจ้าแห่งปักษา และเป็นสัตว์มงคลชนิดหนึ่งของจีนมาแต่โบราณ มีรูปลักษณ์เดิมมาจากนกหลากหลายชนิด อาทิ ไก่ฟ้า ห่านฟ้า นกกระจอก เหยี่ยวนกกระจอก นกนางแอ่นฯลฯ มีความหมายที่ดี 5 ประการ คือมีคุณธรรม, ความยุติธรรม, ศีลธรรม, มนุษยธรรม, สัจธรรม?ในตำนานกล่าวว่า

    หงส์ มีรูปคล้ายไก่ฟ้า
    มีสีขนสลับลายเป็นประกาย มีนิสัยรักสะอาด ช่างเลือก (มีความละเอียดอ่อนประณีต)
    เนื่องจากรูปลักษณ์เป็นนก ประจำทิศใต้ ธาตุไฟ สีแดง จึงได้ชื่อว่า หงส์แดง
    หงส์ ชาวจีนเรียกว่า หง มีความหมายว่า ความสวย ความสง่างามเพศหญิง
    หงส์ มีหัวสีแดง จะเป็นหงส์ตัวเมีย
    หงส์ หัวสีเขียวหรือสีน้ำเงิน จะเป็นหงส์ตัวผู้

โดยนำเอานก 5 ชนิดมาผสมกันเป็น?หงส์

    หัว มาจาก ไก่ฟ้า
    ปาก มาจาก นกแก้ว
    ตัว มาจาก เป็ดแมนดาริน
    ขา มาจาก นกกระสา
    หาง มาจาก นกยูง

บางตำราจึงได้แบ่งนกหงส์ออกเป็น 5 ชนิด คือ ชนิดขนแดง ขนสีม่วง ขนสีเขียว ขนสีเหลือ และขนสีขาว และชนิดสีขาวเรียกกันโดยทั่วไปว่า ห่านฟ้า?ภายหลังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อลัทธิเต๋า จากสัตว์เทพค่อยวิวัฒนาการเป็นรูปลักษณ์ของครึ่งคนครึ่งสัตว์ จากนั้นกลายเป็นเทพที่มีรูปเป็นหญิง

(http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/02/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%991teen.mthai_.com_.jpg)

สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน
” สิงโตมงคล คู่บารมี?”?

สิงโตเป็นสัตว์มงคล ที่มีลักษณะแห่งความเป็นเจ้า โดยสามารถใช้ สิงโตมงคล?เพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาตต่างๆ และช่วยเรียกโชคลาภได้ แต่เนื่องจาก สิงโต มีพลังมากจึงไม่เหมาะที่จะใช้กับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป แต่เหมาะที่จะใช้สำหรับห้างร้าน บริษัท หรือสถานที่ราชการ

    สิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งเสือขาว (หันหน้าออกด้านขวามือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น “เส้าเป่า”?เป็นสิงโตเพศเมีย มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ให้กับเจ้าชายของราชวงศ์?
    สิงโตตัวที่อยู่ตำแหน่งมังกรเขียว (หันหน้าออกทางซ้ายมือ) มีบรรดาศักดิ์เป็น “ไท่ซือ” เป็นสิงโตเพศผู้?มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ของกษัตริย์ หรือ ฮ่องเต้ ดังนั้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ หรือ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องให้ความเกรงใจและเกรงกลัว
    รูปปั้น?สิงโตมงคล?จะต้องวางเป็นคู่ โดยวางสิงโตเพศผู้ไว้ทางซ้าย และ เพศเมียไว้ทางขวาที่บริเวณหน้าประตูของสถานที่นั้นๆ?ให้หันหน้าออกไปทางด้านหน้า?
    วิธีสังเกตุเพศของ สิงโตมงคล?คือ สิงโตเพศผู้ เท้าหน้าจะเหยียบลูกบอล และ สิงโตเพศเมีย เท้าหน้าจะเหยียบลูก
    คนจีนเรียกสิงโตว่า “ซือจือ” คำแรกในชื่อของสิงโตนี้?
    ปรากฏว่าไปพ้องเสียงกับคำว่า “ซือ” ที่ประกอบอยู่ในคำว่า “ไทซือ” อันแปลว่า มหาเสนาบดี?

ในสมัยราชวงศ์โจ้วนั้น “ตำแหน่งไทซือ” เป็นตำแหน่งที่ขุนนางชั้นสูงสุด เมื่อคนจีนจะอวยพรกันให้เป็นใหญ่เป็นโต หรือได้ดีในทางราชการ จึงนำ?สิงโตมาใช้เป็นสัญลักษณ์ คำอวยพรหนึ่งที่ชอบกันมาก คือ ไท่ซือเส้าซือ แปลว่า ขอให้เป็นใหญ่ทั้งบิดา และ บุตร?

นอกจากนี้ สิงโต จะเป็นเครื่องหมายของความรุ่งเรืองและความมียศถาบรรดาศักดิ์ ยังมีอำนาจขจัดปีศาจและสิ่งชั่วร้าย ทั้งยังช่วยให้มีฐานะ?และชื่อเสียง สิงห์คู่ช่วยป้องกันสิ่งเลวร้ายที่เข้ามาสู่ภายในบ้าน จะช่วยคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากการรบกวนของภูตผีปีศาจ?คุณไสยมนต์ดำและคนพาล และจะช่วยหนุนส่งวาสนาให้รุ่งเรืองขึ้นด้วย เพิ่มพลังอำนาจให้แก่บ้าน?

(http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/02/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%994teen.mthai_.com_.jpg)

สัตว์เทพเจ้าในตำนานของจีน
ปี่เซี๊ยะ ( เทพร่ำรวย )

ปี่เซี๊ยะ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์?ปี่เซียะ ปี่ คือตัวผู้ ส่วนเซียะคือตัวเมีย สองเขาจะเรียกว่าปี่เซียะ ส่วนเขาเดียวจะเรียกว่าเทียนลก ทางเหนือของจีนจะเรียกว่า ปี่เซียะ ส่วนทางใต้จะเรียกว่า เทียนลก ถ้าเป็นตัวเดียวจะเป็นตัวเสี่ยงโชค แต่ถ้าเป็นคู่สำหรับวัตุถุมงคล สำหรับขจัดสิ่งชั่วร้ายคนจีนสมัยก่อนจึงมักเขียนภาพ หรือตั้งปติมากรรม รูป ปี่เซี๊ยะ ไว้ตามประตูบ้าน และสุสานทั่วไป บางทีก็ประดับไว้บนหลังคาพระราชวังต่าง ๆ เพื่อให้มันช่วยขจัดสิ่งอัปมงคลทั้งหลายนั้นเอง ว่ากันว่ามีพลังในการกำราบสิ่งชั่วร้าย

    สำเนียงจีนกลาง เรียก?ปี่เซี๊ยะ
    สำเนียงแต้จิ๋ว เรียก ผี่ชิว
    สำเนียกกวางตุ้ง เรียก เพเย้า
    หรืออาจเรียกในชื่ออื่น ๆ เช่น เถาปก หรือ ฝูปอ?นี้เป็นคำเรียกรวม ๆ ของ สิ่งซิ้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
    คำว่าปี่ หรือ ผี่ นั้น แปลว่า ปิด เร้นลับหลบซ่อน
    คำว่า ปี่เซี๊ยะ หรือ ชิว คือ อาถรรพณ์ สิ่งไม่ดี คุณไสย ภูติปีศาจ
    คำว่าปี่เซี๊ยะ หรือ ผี่ชิว จึงแปลได้ว่า ขจัดอาถรรพณ์

(http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/02/530614-topic-ix-4.jpg)

ปัจจุบัน พีซิว ตัวดังกล่าว ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน

ปี่เซี๊ยะ คือ เทพลก กวางสวรรค์มี 1 เขา มีปากไม่มีทวาร เชื่อกันว่าทรัพย์มีแต่เข้าไม่มีออก ร้านค้าหรือธนาคารนิยมมีไว้ บูชาเพื่อเก็บกักเงินทองไม่ให้รั่วไหลขจัดสิ่งอัปมงคล ว่าเทพเซียนปี่เซี๊ยะจะลงมาคุ้มครองและให้โชคลาภนับแต่นี้ไปอีก 20 ปี

    ตระกูลหนึ่งใน จดหมายเหตุฮั่นชุ ในภาคที่ว่าด้วย ดินแดนทางประจิมทิศ มีข้อความระบุไว้ว่า?“ในแคว้นหลีแถบเขาอูเกอซาน นั้นมีสัตว์ตระกูลนี้ปรากฏอยู่ลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย นั้นคือ เทียจนลก เทียนหลู่ ตัวคล้ายกวาง หางยาว มีเขาเดียว “

มีตำนานเล่าขานในทางมงคลถึง พีซิว มากมายโดยเฉพาะเรื่องราวในยุคต้นราชวงศ์ ?ชิง? (ราชวงศ์แมนจู) เล่ากันว่า เมื่อยุคเฉียนหลงฮ่องเต้ ครั้งยังเป็นองค์รัชทายาท เรียกกันว่า ?องค์ชายสี่? มีนักพรตท่านหนึ่งนำ พีซิว มามอบให้ โดยกำชับให้หมั่นดูแลทะนุถนอม พีซิวจักคุ้มครอง ปกป้องภัย และส่งพลังให้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ ซึ่งองค์ชายสี่ก็ได้ทำตามนั้น จวบจนต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงพระราชทานยศตำแหน่งแก่ พีซิว นาม ?เทียนลู่? (บารมียศแห่งสวรรค์) และอยู่คู่เฉียนหลงฮ่องเต้ตลอดรัชสมัย 60 ปีที่ครองราชย์ ซึ่งนับเป็นระยะเวลาแห่งการครองราชย์อันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน



หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:05:30 am
 สุดยอด 28 มงคลในตำนานจีนโบราณ

-http://thaigoodview.com/node/12252-


สัญลักษณ์ที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ มีเรื่องน่าสนใจ และสามารถบันดาลความสุข ความสมหวังให้จริงหรือ นั่นคือภูมิปัญญาและกุศโลบายของบรรพบุรุษจีนที่ได้คิดขึ้น และได้สืบทอด ใช้เป็นข้อกำหนด เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับสังคมชาวจีน มาช้านานในทุกผืนแผ่นดิน เกือบค่อนโลก เนื่องจากชาวจีนมุ่งมั่น เดินตามความหมาย และคำอวยพรที่เป็นสิริมงคล ของสัญลักษณ์มงคลจีนเหล่านั้น เช่น ต้องการให้ทุกคนมีโชคลาภ (ฮก) มียศถาบรรดาศักดิ์ (ลก) และมีชีวิตที่ยั่งยืนยาว (ซิ่ว) เมื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อแต่ในสิ่งที่เป็นมงคลแล้ว การค้นหาสิ่งที่ดีงาม ไว้เป็นมงคลแก่ตนเองนั้นจึงเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิต ที่มีหลักของสัจธรรม เป็นแนวทางปฎิบัติ ทำให้เข้าใจในธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งย่อมทำให้มองเห็นคุณค่า ของการมีชีวิต อยู่บนโลกเดียวกันมากขึ้น เพราะความหมายของมงคลจีนโบราณนั้นคือ คุณค่าของการเข้าใจธรรมชาติ เพื่อให้อยู่อย่างมีความสุข และสมปรารถนาทุกประการ

ชาวจีนนิยมสร้างสิ่งเป็นมงคลแก่ตัวเอง โดยมีทั้งตัวอักษร รูปภาพลวดลาย และสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษ ผลไม้ ดอกไม้ สัตว์ ของใช้ มาเกี่ยวพันมากมาย และจะปรากฏอยู่รอบตัวเสมอ หากจะให้บอกว่ามีจำนวนเท่าไร คงไม่ได้ เพราะมากมายเหลือเกิน ณ ที่นี้ขอนำเสนอเพียง 28 สิ่งอันเป็นมงคลที่เราพบเห็นกันบ่อย และเป็นที่ได้รับความเชื่อถือ อย่างมากทั้งชาวจีน และไทยมาช้านาน


พระยิ้ม

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00012_icon.jpg)

สัญลักษณ์ของความรวย ความสุข และความอุดมสมบูรณ์
เป็นพระอ้วนกลมยิ้มแย้ม พุงพลุ้ย มีลักษณะท่าทางหลายแบบ แต่ละท่าล้วนแล้วแต่มีของมงคลที่สื่อถึงความมั่งมี ศรีสุข ประกอบอยู่ด้วย เชื่อว่า ผู้ใดบูชาพระยิ้ม จะได้รับมงคลที่มุ่งถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร และความสุข เพราะท่านเป็นพระที่ร่ำรวย บางท่านมีความเชื่อว่า ให้อธิษฐานลูบท้องพระวันละครั้งจะทำให้เกิดโชคดี สมปรารถนา และมีลูกหลานเป็นบัณฑิต

ฮก ลก ซิ่ว ลาภ รวย อายุ

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00011_icon_0.jpg)

ฮก แปลว่า โชคลาภ ความสุขที่เกิดจากการได้สมหวังดังใจ
เทพฮก เป็นชายโหงวเฮ้งดี มีสง่าราศี แต่งกายภูมิฐาน มือหนึ่งประคองคทายู่อี่ ยอดทำด้วยหยก (คทา
สมปรารถนา) เป็นของวิเศษ ใครอธิษฐานสิ่งใดก็ให้สมปรารถนา หรือได้โชคลาภตามคำขอ
ลก แปลว่า รวย หรือความมั่งคั่ง
เทพลก เป็นอัครอภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง มือหนึ่งถือบัญชีทรัพย์สินรายชื่อลูกหนี้ม้วนใหญ่ เพราะร่ำรวยล้นฟ้ามีสมบัติมหาศาล จึงมีลูกหนี้มากมาย อีกมืออุ้มลูกชาย ในมือลูกชายถือเงินทอง และอาจมีลูกสาวตัวน้อยเกาะขาอยู่ ในอ้อมแขนลูกสาวมีเครื่องประดับ ดอกไม้ ขนม แสดงถึงความมีกินมีใช้ ตามความเชื่อโบราณ ลก ที่สมบูรณ์จะต้องมีลูกชาย เพราะคนจีนถือเรื่องสืบต่อวงศ์ตระกูล ถ้ารวยอย่างเดียวโดยไม่มีลูกชายสืบสกุล ก็ไร้ประโยชน์
ซิ่ว แปลว่า อายุยืน
เทพซิ่ว เป็นชายแก่ศรีษะล้าน หน้าผากนูน เคราสีขาวยาว มือหนึ่งถือผลท้อ ซึ่งเป็นผลไม้สวรรค์ ใครได้ทานจะมีอายุยืนยาว อีกมือถือไม้เท้าหัวมังกรสัตว์ในตำนานที่มีอายุยืนถึงหมื่นปี ที่คอไม้เท้าห้อยน้ำเต้า ภายในน้ำเต้าบรรจุยาอายุวัฒนะ เหนือน้ำเต้ามี "เซียนจือ" ผูกติดอยู่ เซียนจือคือตำรายาเทวดา หรือตำรายาอายุวัฒนะ ซิ่ว มีนกกระเรียนเป็นสัตว์เทพพาหนะ
ฮก ลก ซิ่ว มีฮกเป็นหัวหน้า ส่วนลก และซิ่ว เป็นบริวาร ถือว่าต้องมีลก กับซิ่วจึงจะมีฮก นั่นคือต้องมีอายุมั่นขวัญยืน และมั่งมี จึงจะศรีสุขได้ การตั้งฮก ลก ซิ่วที่ถูกหลัก ต้องตั้งฮกไว้ตรงกลาง

กวนอู

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00001_icon.jpg)

เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ กตัญญู เป็นที่ยำเกรงของภูตผีปีศาจ
กวนอู เดิมชื่อ หนเตี๋ยง ชาวเมืองฮอตั่งไก่ สูง ๖ ศอก ปากแดง หน้าแดง คิ้วตัวไหม ดวงตาการเวก
มีง้าวเป็นอาวุธ เป็นคนดีมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณคน
เล่ากันว่า ผู้ใดคิดไม่ซื่อหวังทุจริต เมื่อได้พบเห็น หรือสบตากับเทพกวนอู จะเกิดความละอายใจ ไม่กล้าคิดคด จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีบริวารอยู่ใต้ปกครอง ควรบูชาไว้เพื่อเป็นสิริมงคล

ไชซิ้งเอี้ย

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00007_icon.jpg)

เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าเงินตรา
เป็นที่นิยมนับถือของผู้ประกอบการค้าชาวจีนมาช้านาน เนื่องจากมีอานุภาพในด้านการอำนวยโชค
ลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย มั่นคง ให้แก่ผู้บูชา
ไชซิ้งเอี้ย เป็นเทพเจ้าใส่หน้ากากงิ้ว ถ้าปั้นเป็นเทพ ๒ องค์ คือปั้นแบบครบชุดจะมีบู๊ และบุ๋น องค์บู๊จะหน้าดุ บางครั้งประทับบนหลังเสือ หรือเหยียบเสืออยู่ ที่หัตถ์ถือกระบอง ส่วนองค์บุ๋นหน้าตาดี มีหนวด เชื่อกันว่า องค์บู๊ ให้คุณเรื่องหนี้สินด้วย คือช่วยทวงหนี้ให้ผู้บูชา ลูกหนี้ไม่กล้าเบี้ยว

จี้กงอ๊วกฮุด

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00003_icon.jpg)

อรหันต์ที่ชอบประทานความช่วยเหลือ
เป็นพระที่มีชีวิตชีวา หน้าตาขี้เล่นเบิกบาน ไม่ถือศีลกินเจ แต่ชอบร่ำสุรา รูปของท่านจึงมักมีจอกสุรา
อยู่ด้วย และมือหนึ่งจะถือพัดอั้งโล้ว ที่ใช้พัดเตาไฟทำด้วยใบลาน บางทีก็หิ้วรองเท้าข้างหนึ่ง แล้วใส่อยู่ข้างหนึ่ง เล่ากันว่า ท่านชอบช่วยเหลือคนที่มีความสามารถ ในรูปแบบแปลกๆที่คาดไม่ถึง

จงขุย หรือเจ็งคุ้ย

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00005_icon.jpg)

เทพปราบมาร เป็นเทพแห่งปีศาจทั้งปวง
ตำนานเล่าว่า เป็นผู้ขจัดภูตผีปีศาจที่พระเจ้าถังเสวียนฝันถึง และให้อู๋เต๋าจือ จิตรกรวาดภาพตามคำ
บอกในฝัน ที่มาบอกถึงพระเจ้าถังเกาจง (พระราชบิดาของพระเจ้าถังเสวียน) ได้เมตตาประทานชุดสีน้ำเงิน และจัดงานศพของตน ที่ตกบันไดตาย เนื่องจากเสียใจสอบจอหงวนไม่ได้ จึงตั้งใจจะขจัดภูตผีปีศาจและสิ่งเลวร้ายให้ ดังนั้นในวันที่ ๕ ของเดือน ๕ เป็นวันปล่อยผี (ตวนอู่เจี่ย) จึงพากันแขวนเทพจงขุยไว้ที่ผนังบ้าน
เชื่อกันว่า ใครที่กลัวจะถูกทำของใส่ หรือถูกคุณไสยเล่นเอา ต้องมีจงขุยคุ้มครองอยู่ในบ้าน หรือกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือคนป่วยไปพักฟื้นที่ไหน สถานที่เหล่านั้นถือว่า มันสกปรก คือมีคนตายมาก ต้องมีผีอยู่ ให้เอาเทพปราบมารองค์นี้ไปด้วย แล้วจะปลอดภัยหายเป็นปกติกลับบ้านได้

หยิน-หยาง (ไท้เก๊กโต๊ว)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00039_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์วงกลมครึ่งขาวครึ่งดำ ในดำมีจุดขาว ในขาวมีจุดดำ เหมือนตาปลา ทำให้ดูเป็น
ปลาขาวดำสองตัวกลับหัวกัน
ความหมายให้สีดำเป็น หยิน - ผู้หญิง ความมืดดำ โลก ดวงจันทร์ ความอ่อนแอ (สวยงาม) และความสันโดษ สีขาวเป็นหยาง - ผู้ชาย ความขาวสว่าง ท้องฟ้า (สวรรค์) ดวงอาทิตย์ ความเข้มแข็ง (พละกำลัง) และความเป็นคู่หยินหยางนี้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่มีสองด้านเสมอ จึงถูกนำมาใช้เพื่อเป็นพลังมงคลในการเสริม และปรับฮวงจุ้ยได้อย่างดี

น้ำเต้า (หลู หรือ หู)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00009_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์ของหมอเทพหรือหมอยา
ชาวจีนมักใช้แขวนในห้องเด็ก หรือผู้สูงอายุ เพราะเชื่อว่าหมอเทพได้มาอยู่ในห้อง ทำให้มีสุขภาพ
แข็งแรง เด็กๆไม่งอแง และไม่มีภูตผีมารบกวน นอกจากนี้ผลน้ำเต้ายังเป็นพืชพันธุ์ที่มีเมล็ดมาก มีเครือยาว และออกผลไม่จบสิ้น เปรียบเท่ากับหมื่นชั่วคน ใช้แสดงถึงความเป็นมงคลให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

ระฆัง (เจง หรือเจ่ง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00055_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์มงคลทางศาสนา หมายถึงการตื่น และการรู้
เสียงระฆังทำให้ตื่นจากการหลงในกิเลสตัณหา ให้รู้สึกตื่น และรู้สัจธรรมที่แท้จริง ยังมีความเชื่ออีกว่า
เสียงระฆังจะนำแต่ข่าวดีและเรื่องมงคลต่างๆมาให้เท่านั้น อีกทั้งยังจะทำให้รู้เท่าทันศัตรูคู่แข่งอีกด้วย

เหรียญจีนโบราณ

(http://thaigoodview.com/files/u1313/praduct00052_icon.jpg)

สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงินทองมากมาย
ชาวจีนโบราณถือว่าเป็นหนึ่งในมงคลแห่งสมบัติโบราณ เป็นสิ่งนำโชคลาภมาให้ จึงมักสลักคำสิริมงคล
ไว้บนเหรียญ ซึ่งแปลว่า ให้มีสิริมงคล สมปรารถนา หรือให้มีเงินทองเต็มบ้าน หรือเหรียญตราแห่งความเจริญรุ่งเรือง

คทามงคล (ยู่อี่)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00035_icon.jpg)

สัญลักษณ์แห่งความสมปรารถนา
เป็นเครื่องยศชั้นสูง สำหรับจักรพรรดิ ขุนนางชั้นสูง และพระจีนชั้นผู้ใหญ่ไว้ใช้ทำพิธีกรรม ส่วนหัวของ
คทาเป็นรูปทรงแป้น งอๆ ซึ่งมาจากรูปลักษณ์ตรงส่วนหัวของเห็ดหลินจือ ที่ชาวจีนโบราณเชื่อว่า มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ใครได้กินจะเป็นอมตะ และจัดเป็นพืชมงคลอย่างหนึ่ง
คทายู่อี่อาจทำด้วยงาช้าง หยก หิน ไม้ไผ่ และโลหะ ถ้าทำด้วยหยกเรียกว่า "เง็กยู่อี่" เง็ก คือหยก ยู่อี่ แปลว่าสมปรารถนา คทายู่อี่ยังเป็นของวิเศษที่พระโพธิสัตว์ และเทพฮก (ฮก ลก ซิ่ว) ถืออยู่ด้วย เพราะฮก คือความสุข สุขที่เกิดจากการได้สมปรารถนาในทุกเรื่อง จึงเชื่อว่าสัญลักษณ์ยู่อี่นี้ จะนำความสมปรารถนามาให้




หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:05:59 am
สุดยอด 28 มงคลในตำนานจีนโบราณ

-http://thaigoodview.com/node/12252-


มังกร (หลง หรือ เล้ง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00042_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์แห่ง พลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ เพศชาย จักรพรรดิ ประเทศชาติ
มังกรถือเป็นสัตว์สำคัญที่สุดของจีน และเป็นสัตว์เทพที่ศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากลักษณะของสัตว์ ๕ ชนิด มี
เขากวาง หัววัว ตัวงู เกล็ดปลา เท้าเหยี่ยว แต่บางตำราว่า มังกรมีที่มาจากส่วนของสัตว์ ๙ ชนิด คือ เขากวาง หัวอูฐ ตาปีศาจ คองู ท้องหอยแครงยักษ์ เกล็ดปลาตะเพียน หรือปลากะโห้ เล็บอินทรีย์ หรือเหยี่ยว ฝ่าเท้าเสือ หูวัว ที่สำคัญมีหนวดเครางอกยื่นออกนิดเดียว ใช้เวลา ๕๐๐ ปี หากอายุ ๑๐๐๐ ปี จะมีปีกงอกออกบินได้อีก ในปากมังกรจีนมีมุกอัคนี ซึ่งเป็นมุกวิเศษที่ขยายให้เล็ก-ใหญ่ มืด-สว่างได้ ใช้เรียกลม ฝน และปราบภูตผีปีศาจ ใช้แสดงพลังอำนาจ และความยิ่งใหญ่ มังกรเป็นสัตว์เทพ จึงเหาะเหินเดินอากาศได้ แหวกน้ำดำดินได้
การนำสัญลักษณ์มังกรมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้น หรือประดับตามข้าวของเครื่องใช้ หากเป็นของจักรพรรดิ มังกรจะมี ๕ เล็บ ของขุนนางจะมี ๔ เล็บ ถ้าสามัญชนจะมี ๓ เล็บเท่านั้น
ตามตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลสูงสุด เป็นราชาแห่งสัตว์มีเกล็ดทั้งมวล เป็นตัวแทนแห่งความแข็งแกร่ง ความดีงาม ความตั้งใจ ความอุตสาหะพยายาม ความกล้าหาญ และความอดทน ชาวจีนจึงถือว่า
มังกรคือ จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลง และฟื้นฟูให้ดีขึ้น และมังกรยังเป็นผู้นำฝนแห่งชีวิตมาให้
ภาพลักษณ์ของมังกร จะเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เกิดปีไก่ (ระกา) ซึ่งเชื่อกันว่าแปลงร่างมาเป็นนกโฟนิกซ์ ที่เป็นเพื่อนสนิทกับมังกร

หงส์ (เพิ่งหวง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00025_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินี ความงาม เพศหญิง และการเริ่มต้น หรือการมีชีวิตใหม่ที่ดี
หงส์ เป็นสัตว์ในตำนานเหมือนมังกร และกิเลน มีลักษณะของนกมงคล ๕ ชนิดประกอบกัน คือ
หัวไก่ฟ้า ปากนกแก้ว ตัวเป็ดแมนดาริน ขนนกกระสา และหางนกยูง หงส์เป็นใหญ่ในสัตว์ปีกทั้งหมด มี ๕ ประเภทคือ ประเภทขนสีแดง ขนสีม่วง ขนสีเหลือง และขนสีขาว (หรือห่านฟ้า) หงส์ตัวเมียมีหัวสีแดง ตัวผู้หัวสีเขียวหรือน้ำเงิน เสียงร้องเหมือนขลุ่ย ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกต้นไม้ที่เขียวสด ไม่บินเร่ร่อน เมื่อบินไปไหนจะมีนกอื่นบินตาม นกนี้สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ณืบนโลกได้ จะปรากฏในสถานที่มีความสงบเท่านั้น จึงใช้เป็นสื่อแสดงถึงความงาม และความดี ๕ ประการ คือ คุณธรรม ความยุติธรรม ศีลธรรม มนุษยธรรม และสัจธรรม รวมถึงทางศาสตร์ฮวงจุ้ยจะใช้หงส์ ในความหมายของการตั้งต้นใหม่ที่ดี

กิเลน (ฉีหลิน)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00024_icon.jpg)

สัญลักษณ์ของวาสนา ความมั่นคง และป้องกันสิ่งอัปมงคล
กิเลน เป็นสัตว์มงคลตามตำนาน บางครั้งชาวจีนเรียกว่า "ม้ามังกร" เหมือนเรื่องพระอภัยมณีของคน
ไทย มีลักษณะของสัตว์มงคล ๕ ชนิดรวมกัน คือ หัวมังกร เขายูนิคอร์น ตัวเป็นกวาง มีเกล็ดเหมือนปลา หางวัว ถือเป็นสัตว์มงคลซึ่งเมื่อปรากฏขึ้นที่ไหน หมายถึงกำลังจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้น หรือจะมีแต่โชคดี ไม่มีเรื่องร้าย และยังเชื่อกันว่า การจัดตั้งกิเลนไว้จะช่วยกรองและขจัดสิ่งอัปมงคลต่างๆ ให้พ้นไป แต่จะนำเอาความโชคดี ข่าวดีมาให้

สิงห์ (ไซ หรือจอหงวนไซ)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00017_icon.jpg)

เป็นสัตว์มงคลที่มีอำนาจในภาคพื้นดิน ให้คุณทางด้านแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง
บางตำนานเล่าว่า สิงห์ไม่ใช่สัตว์พื้นบ้านของจีน แต่มีในถิ่นแอฟริกา มีนักเดินทางชาวจีนไปเห็น ก็
ชอบมาก แต่ไม่สามารถนำกลับประเทศได้ จึงจดจำกลับมาสร้างภาพตามจินตนาการ มีความสง่างามกำยำล่ำสัน เสียงร้องก้องกังวาน ถือเป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่าทั้งปวง สิงห์จึงเป็นที่ชื่นชม เคารพบูชาตั้งแต่กษัตริย์ จนถึงขุนนาง และนิยมจัดตั้งสิงห์คู่ไว้หน้าสถานที่สำคัญ เช่นหน้าพระราชวัง โบสถ์ วัด
ยังมีบางตำนานกล่าวอีกว่า สิงห์ตัวผู้ และตัวเมียหยอกล้อเล่นกัน ขนของมันที่หลุดออกจากตัวเกาะกันเป็นลูกกลมๆ และต่อมาก็มีสิงห์ตัวเล็กออกจากก้อนกลมนั้น เราจึงเห็นรูปปั้นสิงห์ตัวผู้ (หวงไซจื้อ) จะเหยียบลูกโลก หรือลูกบอล ตัวเมีย (ฉือไซจื้อ) เหยียบลูกไว้
ชาวจีนเชื่อว่า การจัดตั้งสิงห์ไว้หน้าประตู หรือปลายหัวเสา แสดงถึงอำนาจ น่าเกรงขาม เพราะสิงห์เป็นสัตว์เทพมงคล โดยเฉพาะสิงห์สีเขียวเป็นสัตว์เทพพาหนะของ มัญชุศรีมหา-โพธิสัตว์ (บุ่งชู้ผ่อสัก) ในพุทธมหายาน ดังนั้นสิงห์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มภัย และมีอำนาจขจัดภูตผีปีศาจ ให้กับสถานที่นั้นๆอย่างยอดเยี่ยม

คางคกสามขาคาบเหรียญ (เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือฉางฉุ)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00021_icon_0.jpg)

มีอีกชื่อว่าคางคกฟ้า เป็นสัตว์นำโชค มีมงคลหมายถึงโชคลาภ เงินทอง อายุยืน
ลักษณะเหมือนคางคก แต่มีสามขา ปากคาบเหรียญทอง ตามตำนานเล่าว่า เนื้อเซียมซู้เป็นยา
อายุวัฒนะ กินแล้วช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นอมตะ ตัวเซียมซู้จึงถูกจับกิน จนต้องอพยพทิ้งถิ่นไปอยู่บนดวงจันทร์ มีชายคนหนึ่งชื่อเหล่าไฮ้ เป็นผู้โชคดีได้พบตัวเซียมซู้ แล้วเก็บมาเลี้ยงอย่างดี จึงบันดาลให้เกิดโชคมากมาย ที่เคยยากจนก็กลับร่ำรวยขึ้นมา
ชาวจีนเชื่อว่า เซียมซู้ เป็นสัตว์มงคล ที่นำความร่ำรวย มีโชคลาภ และอายุยืนมาให้

กวาง (หลู้ หรือลก)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00026_icon.jpg)

เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าลก ในฮก ลก ซิ่ว ซึ่งหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ ความร่ำรวย
รุ่งเรือง มั่งคั่ง อายุยืนยาว
กวาง เป็นสัตว์อายุยืนมาก กวางสีเทามีอายุ ๑,๐๐๐ ปี กวางสีดำมีอายุ ๑,๕๐๐ -๒๐๐๐ ปี และพบว่ากวางถูกใช้ในพิธีบูชายัญ เพื่อความเป็นอมตะ ดังนั้นชาวจีนจึงเชื่อว่า ภาพหรือรูปปั้นกวาง นำสิ่งมงคลถึงความยืนยาว ทั้งด้านยศศักดิ์ ความก้าวหน้า ความร่ำรวย และสุขภาพดี มาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เต่ามังกร

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00020_icon_0.jpg)

สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง อายุยืน สุขภาพดี ตั้งใจ มุมานะ นำไปสู่ความก้าวหน้า
ความสำเร็จ อย่างมั่นคง ยืนยาว และรวมถึงความเพิ่มพูนด้านทรัพย์สินเงินทอง และป้องกันคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย
เต่ามังกร เป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนาจ เป็นที่ศรัทธาสูงสุดของราชวงศ์ถัง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังได้สร้างรูปปั้นเต่ามังกรไว้หน้าพระราชวัง และเป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของชาวจีน เพราะมีความเชื่อว่า เต่ามังกร เป็นลูกตัวที่ ๙ ของพญามังกร ซึ่งออกมาเป็นเต่าหัวเป็นมังกร ตามความหมายแล้ว เต่า เป็นตัวแทนของความยั่งยืน แข็งแรง อดทน มีเกราะป้องกันอันตราย ส่วนมังกร คือ ความยิ่งใหญ่ ความดีงาม ความกล้าหาญ วาสนาบารมีสูงส่ง จึงถือเป็นมงคลสูงสุด เมื่อสัตว์มงคลทั้งสองชนิดมารวมกันไว้ ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชาวจีนในอดีต และเป็นที่เชื่อถือมาจนถึงปัจจุบัน

ปลา (ฮื้อ หรือ อวี๋)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00049_icon.jpg)

สัญลักษณ์ของการมีมากมายล้นเหลือ ได้กำไร ได้ประโยชน์
ภาษาจีนแต้จิ๋ว ฮื้อ เป็นคำพ้องเสียงแปลว่ามากมายล้นเหลือ ใช้แสดงถึงความหมายมงคล ให้มีสิ่งที่
ต้องการมากมาย มีเหลือกินเหลือใช้ ไม่ขาด และโชคดี
หากเป็นปลาทอง จะหมายถึงทองและหยกเต็มบ้าน
หากเป็นปลาหลี่ฮื้อ หรือหลี่อวี๋ หมายถึง ความสำเร็จ โดยมีตำนานว่า ปลาหลี่ฮื้อตัวใดสามารถว่ายมาถึงประตูมังกรที่ปากทางสวรรค์ แล้วกระโดดข้ามไปได้ จะกลายเป็น "ปลามังกร" ซึ่งเป็นคติสอนใจชาวจีนว่า คนจนก็มีสิทธิ์รวยได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายามเหมือนปลาหลี่ฮื้อ ที่เพียรว่ายน้ำมาจนถึงปากทางสวรรค์ และใช้แรงพยายามสุดชีวิตเพื่อให้เข้าประตูมังกรได้สำเร็จ ซึ่งจะได้เปลี่ยนเป็นปลาที่มีเกียรติยศสง่างาม ถ้าปลาตัวใดกระโดดข้ามไม่ได้ก็ยังคงเป็นปลาหลี่ฮื้อตามเดิม จึงนิยมใช้ปลาหลี่ฮื้อแทนคำอวยพรที่ว่า ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต และให้มีเพียงพอ

เป็ดแมนดาริน (อวงเอียง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00030_icon.jpg)

สัญลักษณ์ของการมีชีวิตคู่ที่มีความสุข การแต่งงาน
ตามธรรมชาติของเป็ดแมนดาริน จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่เสมอ จึงใช้อวยพรคู่บ่าวสาวให้มีชีวิตคู่เปี่ยมสุข
และซื่อสัตย์ต่อกัน จึงมีความเชื่อว่า การใช้สัญลักษณ์เป็ดคู่ จะเป็นมงคลสูงสุดในเรื่องของความสมหวังใน
ความรัก

ม้า (หม่า)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00023_icon_0.jpg)

สัญลักษณ์แทนความว่องไว รวดเร็ว ทันที แข็งแรง ไม่หยุดอยู่กับที่ การเดินทาง เลื่อนตำแหน่ง
ชาวจีนเชื่อกันว่า การจัดวางม้าสามตัวจะสามารถแก้การแตกแยกได้ หรือใช้ภาพม้าแปดตัว แปด
อิริยาบถ เพื่อเสริมความก้าวหน้ารุ่งเรืองในทางธุรกิจการค้า สำเร็จรวดเร็ว ม้า ยังเป็นสัญลักษณ์แทนคำอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย

หมู (จู)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00019_icon_1.jpg)

สัญลักษณ์ของการสอบได้ ทุกเรื่องง่าย สมบูรณ์พร้อม กินอิ่มนอนหลับ
ชาวจีนเชื่อกันว่า การอวยพรโดยใช้รูปหมู หมายถึงการให้สอบได้ ส่วนคำว่า "ฮวน"ที่แปลว่าหมูป่าจะ
หมายถึงความสนุกสนาน ใช้แทนความหมายดีใจอย่างยิ่ง บางตำราเชื่อว่า หมูเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พร้อม ในเรื่องของการมีกินมีใช้ตลอด กินอิ่มนอนหลับ สบายใจ เพราะทุกเรื่องที่ยากจะกลับเป็นเรื่องง่ายๆ

ปี่เซียะ / ผี่ชิว หรือเผ่เย่า

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00018_icon_0.jpg)

สัญลักษณ์ของสัตว์มงคลนำโชค ป้องกันและกำจัดสิ่งอัปมงคล
มีลักษณะรูปร่างคล้ายกวาง มีเขี้ยว ตาโปน ปากกว้าง มีเขา หางยาว ปีกสั้น แต่บางตัวก็ไม่มีปีก
มีอุปนิสัยกล้าหาญ เปิดเผย จงรักภักดี ซื่อสัตย์กับเจ้าของ ซึ่งรูปลักษณะของปี่เซียะเป็นการรวมสัตว์มงคล ๕ ชนิด ๕ ธาตุไว้ด้วยกัน คือ มีสี่เท้าของสิงโตอันทรงพลัง (ธาตุทอง) มีเขาและลำตัวเป็นกวาง (ธาตุน้ำ) มีปีกของพญานกอันแข็งแกร่ง (ธาตุไฟ) มีศรีษะของมังกรอันทรงพลัง (ธาตุไม้) มีหางแมวอันศักดิ์สิทธิ์ (ธาตุดิน)
จึงเป็นความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณะว่า เท้าตะปบเงิน ยกหัวข่มศัตรูคู่แข่ง อ้าปากกว้างรับทรัพย์ ลิ้นตวัดเกี่ยวเงินทอง หางยาวกวักโชคลาภ ไม่มีรูทวารเงินทองจึงไม่รั่วไหล
เล่ากันว่า ปี่เซียะเป็นราชบุตรองค์ที่ ๙ ของพญามังกรสวรรค์ ที่เรียกกันหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับสถานที่พบเห็น บ้างก็ว่า "เผ่เย่า"อยู่บนสวรรค์ "ผี่ชิว"อยู่บนโลกมนุษย์ "พีแคน"อยู่ในมหาสมุทร แต่ทั้งหมดจัดเป็นสัตว์เทพ ที่นำโชคลาภและขจัดสิ่งอัปมงคล ป้องกันอันตราย รวมทั้งยังช่วยนำพาลาภลอยมาให้ โดยเฉพาะโชคลาภที่เกี่ยวข้องกับการงาน หรืออาชีพที่ต้องเสี่ยง
เชื่อว่า ปี่เซียะ มีพลังแรงมากในเรื่องการนำโชค หากยิ่งได้นำไปตั้งคู่กับ "กิเลน"ด้วยแล้ว จะยิ่งมีพลังแรงมากขึ้นไปอีก ผู้ที่จัดตั้งปี่เซียะนั้นควรเป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม จึงจะประสบผล แต่หากมีนิสัยคดโกง ประพฤติผิดศีลธรรม ไม่มีคุณธรรมแล้ว ก็จะได้รับผลในทางตรงกันข้าม

แพะ (เหยียงหรือเอี๊ย)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00027_icon.jpg)

สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความรุ่งเรือง และความสำเร็จ
คนจีนโบราณยกย่องให้แพะเป็นสัตว์มงคล หมายถึงโชคดี และความรุ่งเรือง มีการวาดหรือปั้นลวดลาย
แพะสามตัว พ่อแม่ลูกกับดวงอาทิตย์ (ซาเอี๊ยไคไข่) ลายแพะสามตัวเปิดประตู (ซาเอี๊ยคุยมึ้ง) ถือเป็นมงคลและเป็นการอวยพร หมายถึงความรุ่งเรือง ความสำเร็จได้กลับมา อุปมาเหมือนเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ความสดชื่นเขียวชอุ่มสวยงามก็กลับมา

กระต่าย (ทู่จื่อ หรือ โท้วบุ๊ง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00028_icon.jpg)

สัญลักษณ์ให้มีอำนาจ ความสามารถ ความกล้าหาญ และยุติธรรม
ตามความเชื่อของชาวจีนสมัยโบราณเชื่อว่า ฝูงกระต่ายสีขาวบนดวงจันทร์ มีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ
จึงวาดลวดลายมงคลเป็นกระต่าย ๓ ตัววิ่งไล่กันเป็นวงกลม โดยให้หูข้างเดียวของกระต่ายแต่ละตัวอยู่ตรงกลางเป็นสามเหลี่ยม เมื่อดูทีละตัวจึงจะเห็นกระต่ายแต่ละตัวมีหูสองข้าง ใช้แสดงมงคลถึงการให้มีอำนาจ กล้าหาญ และยุติธรรม
หากใช้สัญลักษณ์ "กระต่ายป่า" จะหมายถึงความมีอายุยืนเหมือนกวาง

กุ้ง (เซีย)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00031_icon.jpg)

สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ผ่านพ้นอุปสรรค
เชื่อกันว่าลักษณะตัวงอของกุ้ง ทำให้ตัวเองมีแรงกระโดดได้ไกล ไม่มีอุปสรรคทั้งทางโค้งทางลัด จึง
หมายถึงการทำสิ่งใดได้ผลตามที่ปรารถนา สามารถผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายได้ และโชคดีในทุกเรื่อง

ถั่วลิสง (หลัวฮวาเชิง)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00034_icon_0.jpg)

ถือเป็นผลไม้มงคลอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับขนานนามว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน
ถั่วลิสง สามารถเจริญเติบโตได้ดีเมื่ออยู่ใต้ดิน มีเมล็ดเป็นพวงคล้ายองุ่น เก็บไว้ได้นานไม่เน่าเปื่อย
มีรสชาติอร่อย หอมและมีคุณค่าต่อร่างกาย จึงใช้ถั่วลิสงเป็นสัญลักษณ์มงคล แสดงถึงความงอกเงย งอกงามและความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

ต้นไผ่ (จู๋)

(http://thaigoodview.com/files/u1313/mk00033_icon.jpg)

สัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้า การยืดหยุ่น มั่นคง ทนทาน อายุยืน
ดังสุภาษิตที่ว่า ต้นไผ่สูงขึ้นร้อยเมตร ชีวิตต้องก้าวหน้าไปหนึ่งก้าว ( แป๊ะเชี๊ยะกอเท้า เก๊งจิ๊งเจ๊กโป่ว)
ไผ่ คือต้นไม้มงคล ตามลักษณะของไผ่ เป็นไม้ที่มีประโยชน์มาก ปลูกง่ายโตเร็ว แตกกอเร็ว และให้ใบ
สีเขียวตลอดปี ในฤดูหนาวต้นไผ่จะไม่แห้งตาย และลู่ตามกระแสลม โดยเฉพาะเสียงแตกของไม้ไผ่ในกองไฟนั้น ใช้ขับไล่ภูตผีปีศาจได้ (เป็นต้นกำเนิดเสียงประทัด) และทำให้เกิดความสงบร่มเย็น ภาษาจีน คำว่า "จู๋"
แปลว่า อวยพร ดังนั้น ต้นไผ่จึงเป็นสุดยอดไม้มงคลของการอวยพร ตามความหมายให้ก้าวหน้า รุ่งเรืองอย่างมั่นคงตลอดกาล

 

สัญลักษณ์มงคลจีนโบราณ ยังมีอีกมาก และมีความหมายมงคลในทางที่ดีแตกต่างกันไปแล้วแต่
เลือกใช้ อาทิ

เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพแห่งความเอื้ออารี ช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ จะประทานพรให้ตามคำอธิษฐาน

ฮัวฮะ เซียนคู่ องค์หนึ่งมีของวิเศษเป็นใบบัว อีกองค์ถือตลับกลม เป็นมงคลให้รักใคร่ปรองดองกัน บ้านไหนพี่น้องชอบตีกัน สามีภรรยาวิวาทกัน หรือที่ทำงานพนักงานไม่ลงรอยกัน ตั้งฮัวฮะไว้ จะอยู่เย็นเป็นสุข

ดอกโบตั๋น ความมั่งคั่ง มีเกียรติ ความสง่างาม

ช้าง เป็นสัตว์ที่มีอำนาจ พละกำลัง และฉลาด ถือสัตว์มงคลที่ช่วยนำความสำเร็จมาให้

เสือ เป็นสัตว์เทพที่มีอำนาจ ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจ และคุ้มครองชีวิต

ไก่ หงอนที่หัวหมายถึง ความมีสติปัญญาทางหนังสือ เดือยที่เท้าหมายถึง ความองอาจกล้าหาญ สัญชาตญาณการปกป้องตัวเมีย แสดงถึงความเมตตากรุณา คนจีนใช้เป็นมงคลในเรื่องของตำแหน่งทางการงาน และใช้เพื่อป้องกันไฟ

เต่า อายุยืน แข็งแกร่ง อดทน

ลิง ได้ยศศักดิ์ตำแหน่งสูงทุกชั่วคน

สุนัข ปกป้องทรัพย์สิน

เรือใบ ความสะดวกปราศจากอันตราย และนำเงินทองเข้ามา

ผลท้อ ขจัดภูตผีปีศาจ และป้องกันโรคภัย อายุยืน

ค้างคาว โชคลาภ ความสุข อายุยืน ค้างคาวสองตัวหมายถึง โชคดีเป็นสองเท่า

ค้างคาวห้าตัวหมายถึงพรห้าประการ คือ อายุยืน ร่ำรวย แข็งแรง ทรงคุณธรรม
และตายตามธรรมชาติ หรือตายดี

ง่วนป้อ ความมั่งคั่ง รองรับโชคลาภ เงินทอง

ชาวประมงตกปลา ให้ได้กำไร มากมาย

จักจั่น อมตะ การฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของความสุข และหนุ่มสาวตลอดกาล เพราะจักจั่นเป็นแมลงชนิดเดียวที่มีอายุยืนยาวถึงสิบเจ็ดปี และยังเป็นมงคลแทนการสอบได้ เรียนเก่ง ความสำเร็จ

ยันต์แปดทิศ (โป๊ยก่วย) ใช้แก้ฮวงจุ้ยที่เสียให้ดีขึ้น และป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆ
ใบไม้ ความสุขสันติ ปัดเป่าความชั่วร้าย
...ฯลฯ...
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 11:11:24 am
ต้อนรับตรุษจีน ด้วย 8 ซุปมงคลรสเลิศ
ASTVผู้จัดการออนไลน์     23 มกราคม 2557 23:49 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008258-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855801.JPEG)

ตรุษจีนนับเป็นวันสำคัญของชาวเชื้อชาติจีนทั้งหลาย เนื่องด้วยเป็นวันขึ้นปีใหม่ที่เป็นจุดเริ่มต้นสิ่งดีๆ ของชีวิตไปตลอดทั้งปี ดังนั้นในวันนี้จึงมีเคล็ดความเชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งการ ความประพฤติ กิริยามารยาท ไปจนถึงอาหารการกิน ที่ต่างต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษแตกต่างไปจากทุกวัน
       
       โดยอาจารย์วิศิษฎ์ เตชะเกษม กูรูด้านโชคลาง ฮวงจุ้ย ซินแสชื่อดัง ได้เล่าว่า “คนจีนถือว่า ปีใหม่ หมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ และมีปรารถนามงคลชีวิต 5 ประการ คือ 1. ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง 2. ขอให้บุตรหลานเป็นคนดี 3. ขอให้มีกิจการงานที่มั่นคง 4. ได้สร้างคุณความดีให้กับชีวิต 5.จากไปอย่างสงบสุข ดังนั้นการจะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ ต้องเริ่มจากปีเก่าด้วยการทำความสะอาดบ้านเรือนที่พักอาศัย และเริ่มต้นปีใหม่ด้วย

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855802.JPEG)

       การรับประทานอาหารดีๆ ที่เป็นมงคลอุดมสมบูรณ์มีคุณค่า พูดจาเป็นมงคล ยิ้มแย้มกับชีวิตใหม่ คนจีนบอกว่า เมื่อทำชีวิตให้ดีแล้วจะร่ำรวย ซึ่งความร่ำรวยที่ยิ่งใหญ่เหนืออื่นใดก็คือการมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งเริ่มต้นจากการรับประทานอาหารที่ดีเป็นมงคล หากสังเกตจะรู้ว่า โต๊ะเซ่นไหว้ รวมทั้งโต๊ะอาหาร มักมีซุปหรืออาหารชามน้ำเข้ามาเสริมอยู่เสมอ เพราะซุปหมายถึงความราบรื่นเป็นสุข นั่นเอง”
       
       ดังนั้นตรุษจีนปีนี้ ทางคนอร์จึงได้จับมือกับอาจารย์วิศิษฎ์ และกูรูด้านอาหาร เชฟตั๊ก นภัสกร มิตรเอม นำความชำนาญของทั้ง 2 ท่านมารวมกันสร้างรรค์ 8 เมนูซุปมงคลที่คัดสรรเอาความอร่อยมาผสมผสานกับวัตถุดิบความหมายดี ออกมาเป็นเมนูชั้นเลิศ อย่าง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855803.JPEG)
ซุปมั่งมี - ขาหมูตุ๋นยาจีนเห็ดหอม
       1.ซุปมั่งมี - ขาหมูตุ๋นเห็ดหอมยาจีน
       
       ความมั่งมีนั้นมาจากส่วนประกอบของ หมู หมายถึงความอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้ ผสานด้วยคุณค่า ขาหมูกับมัน บำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงเส้นเอ็น เมื่อต้มให้สุกและตุ๋นต่อนาน คอเลสเตอรอลจะลดลง เก๋ากี้ช่วยบำรุงสายตา บำรุงไต เพิ่มวิตามินเอ เห็ดหอม มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคมะเร็ง และเห็ดหอมยังหมายถึงชื่อเสียงขจรไกลอีกด้วย
       
       วิธีปรุง: นำขาหมูย่างไฟหรือทอดสุกใส่ลงหม้อเติมน้ำให้ท่วมขาหมูแล้ว ใส่เครื่องยาจีน ใสน้ำตาลกรวด น้ำตาลปีบ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรส รากผักชี กระเทียม พริกไทย เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ และเม็ดเก๋ากี้ จากนั้นเคี่ยวขาหมูไฟแรงปล่อยให้เดือดประมาณ 15 นาที แล้หรี่ไฟเหลือปานกลางค่อนข้างอ่อน ใส่คนอร์ซุปหมูก้อน เคี่ยวต่อประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วเคี่ยวไฟอ่อนอีก 2 ชั่วโมง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855804.JPEG)
ซุปอายุยืน - ต้มจืดวุ่นเส้นเห็ดหอมดอกไม้จีน
       2.ซุปอายุยืน - วุ้นเส้นเห็ดหอมดอกไม้จีน
       
       อายุยืนจากความหมายของ วุ้นเส้น หมายถึง อายุยืนยาว ความยั่งยืน วุ้นเส้นทำจากถั่วเขียว ให้พลังงานและโปรตีนสูงมาก จั๊มฉ่าย หรือดอกไม้จีนมีกลิ่นหอม มีคุณสมบัติบำรุงสมองบำรุงประสาท เห็ดหอม หมายถึงความเฟื่องฟู มีสารต้านอนุมูลอิสระ เคล็ดลับการปรุงและรับประทานวุ้นเส้นทั้งเส้น ไม่ให้หั่นหรือตัด เพื่อต่ออายุให้ยืนยาว
       
       วิธีปรุง: ผสมหมูสับกับคนอร์อร่อยชัวร์แล้วพักไว้ ต้มน้ำในหม้อให้เดือดแล้วใส่เห็ดหอม เก๋ากี้ และดอกไม้จีนแล้วใส่คนอร์ซุปหมูก้อนคนให้ละลาย ปั้นหมูที่หมักไว้ใส่ลงในหม้อน้ำซุป ช้อนฟองทิ้งเพื่อให้น้ำซุปใส ต้มจนหมูสุกเร่งไฟแรงขึ้น ใส่วุ้นเส้นลงไป พอสุกปิดไฟ ตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยผักชีและต้นหอม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855805.JPEG)
ซุปสุขสันต์ - ต้มจับฉ่ายเต้าหู้
       3.ซุปสุขสันต์ - ต้มจับฉ่ายเต้าหู้
       
       คนจีนถือว่า การกินผักเป็นการล้างพิษในร่างกาย คำว่า “ฉ่าย” หมายถึง โชคลาภ เต้าหู้ หมายถึงความเฟื่องฟูร่ำรวยมีความสุข และยังให้โปรตีนที่สมบูรณ์ ต้มจับฉ่ายเต้าหู้ มักเป็นอาหารขึ้นโต๊ะของคนจีน และนิยมทำเป็นอาหารเจ เนื่องจากทำง่าย อร่อยมีคุณค่าเพื่อสุขภาพ และเป็นมงคล
       
       วิธีปรุง: ล้างผักให้สะอาด ตั้งหม้อต้มน้ำ นำรากผักชีและพริกไทยเม็ดที่ตำให้เข้ากันมาผัดกับน้ำมันให้หอม เมื่อน้ำเดือดนำส่วนผสมที่ผัดลงไปต้ม ลดไฟเหลือไฟปานกลาง ใส่ผัก เห็ดหอม และเต้าหู้ลงไปต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เกลือ น้ำตาล และคนอร์ซุปเห็ดหอมก้อน เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที หรือต้มจนผักสุกนุ่ม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855806.JPEG)
ซุปเฮงเฮง - ต้มจับฉ่ายเป็ดพะโล้
       4.ซุปเฮงเฮง - จับฉ่ายเป็ดพะโล้
       
       เสริมความเฮงสองเท่าด้วย เป็ด คือ ความสามารถอันหลากหลาย ความรักอันบริสุทธิ์ ความจริงใจต่อกัน เป็ดบำรุงเลือด ป้องกันท้องผูกได้ดี คำว่า “ฉ่าย” ในภาษาจีน หมายถึง โชคลาภ จั๊บ แปลว่า มากมาย
       
       วิธีปรุง: ล้างผักให้สะอาด ต้มน้ำให้เดือด นำรากผักชีและพริกไทยเม็ดที่ตำให้เข้ากันมาผัดให้หอม จากนั้นใส่เป็ดพะโล้ที่หั่นไว้ผัดให้เข้ากัน พอน้ำเดือดนำส่วนผสมที่ผัดลงไปต้ม ลดไฟเหลือไฟปานกลาง ใส่ผักลงไปต้ม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เกลือ น้ำตาล และคนอร์ซุปไก่ก้อน จากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที หรือจนผักสุกนุ่ม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855807.JPEG)
ซุปเฟื่องฟู - ต้มจืดกวางตุ้งลูกชิ้นกุ้งทอด
       5.ซุปเฟื่องฟู - ต้มจืดกวางตุ้งลูกชิ้นกุ้งทอด
       
       ผักกวางตุ้ง หมายถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูจากโชคลาภช่วยบำรุงเส้นประสาท ป้องกันการเป็นลมชัก กุ้ง หมายถึงบารมี เนื้อกุ้งมีโปรตีนและไอโอดีน ป้องกันคอหอยพอก
       
       วิธีปรุง: ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลาง พอร้อนใส่ลูกชิ้นกุ้งลงไปทอดจนสุกเหลือง ตักพักไว้ จากนั้นต้มน้ำไฟกลางให้เดือด ใส่คนอร์ซุปหมูก้อนลงไป คนให้ละลาย ใส่แครอทและเห็ดหอมลงต้มประมาณ 10 นาที ด้วยไฟอ่อน ช้อนฟองออกให้น้ำซุปใส

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855808.JPEG)
ซุปมั่นคง - กะหล่ำปลีตุ๋นแบบเจ
       6.ซุปมั่นคง - กะหล่ำปลีตุ๋น
       
       ด้วยลักษณะของ กะหล่ำปลี ที่เป็นปึกเป็นก้อน จึงหมายได้ถึง ความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เป็นผักที่ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายเพราะมีกากใยเยอะ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนฟองเต้าหู้ทอด เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี
       
       วิธีปรุง: ล้างกะหล่ำปลีแล้วผ่า หากเป็นหัวใหญ่ผ่า 4 ซีก หรือหัวเล็กผ่าครึ่ง นำเม็ดเก๋ากี้ล้างให้สะอาดแล้วพักไว้ ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟปานกลาง ใส่กะหล่ำปลีลงทอดจนเหลืองเล็กน้อย ตักพักไว้ ตักน้ำมันออกให้เหลือ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่เห็ดหอมลงไปผัด เติมน้ำและใส่คนอร์ซุปเห็ดหอมก้อนลงไปคนให้ละลาย ใส่กะหล่ำปลีที่ทอดไว้ ใส่เม็ดเก๋ากี้ ฟองเต้าหู้และซีอิ๊วขาว ใช้ไฟอ่อนเคี่ยว 30 นาทีหรือจนกะหล่ำปลีสุกนุ่มและน้ำซุปงวดลง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855809.JPEG)
ซุปก้าวหน้า - ซุปไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัว
       7.ซุปก้าวหน้า - ไก่ตุ๋นเกาลัดเม็ดบัว
       
       ไก่ โดยรูปลักษณ์สื่อถึงยศถาบรรดาศักดิ์ความสง่างาม ซุปไก่จึงสื่อถึง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไก่ตัวผู้ บำรุงพลังหยาง ไก่ตัวเมีย บำรุงพลังหยิน อาจารย์วิศิษฎ์แนะนำว่า ผู้ชายควรกินไก่ตัวเมียเพื่อรักษาสมดุล หรือกินไก่ตัวผู้เพื่อให้พลังงาน ส่วนผู้หญิงควรกินไก่ตัวผู้เสริมสมดุล และกินไก่ตัวเมียเพื่อบำรุงเลือด เกาลัด ช่วยบำรุงเส้นประสาท แก้ไอ ส่วน เม็ดบัว ช่วยบำรุงประสาท บำรุงสมอง ลูกบัว ความหมายของคนจีนคือ ความมั่งคั่ง ความมั่งมี ลูกหลานมากมาย นอกจากนี้ ยังมี พริกไท เป็นตัวที่จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อและความร้อน และขับกลิ่นหอมของส่วนผสมต่างๆ ในชามซุป ให้หอม ซึ่งเป็นเทคนิคการปรุงอาหารของจีน โดยสามส่วนประกอบหลักจึงหมายรวมถึงความก้าวหน้าในธุรกิจ หน้าที่การงานนั่นเอง
       
       วิธีปรุง: นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟพอเดือด ใส่ไก่ รากผักชี กระเทียม พริกไทยเม็ดเก๋ากี้ ฮ่วยซัว ลำไยแห้ง และเกาลัด จากนั้นใส่คนอร์ซุปไก่ก้อน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซอสปรุงรสตามชอบ ตั้งไฟอ่อนๆ คนให้ส่วนผสมเข้ากัน หมั่นเปิดดูช้อนฟองออก จนกระทั่งไก่สุกนุ่มประมาณ 30-40 นาที จากนั้นชิมรสอีกครั้ง เมื่อได้รสชาติที่ต้องการแล้วตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกไทยป่นและใบผักชี

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855810.JPEG)
ซุปเลื่องชื่อ - ต้มจืดกระดูกหมูแปะก๊วยเห็ดหอม
       8.ซุปเลื่องชื่อ - กระดูกหมูแปะก๊วยเห็ดหอม
       
       เห็ดหอม หมายถึง ความมีชื่อเสียง แปะก๊วย ช่วยบำรุงสมองบำรุงประสาท ช่วยด้านการจำ คนจีนถือว่า แปะก๊วย เป็นยาอายุวัฒนะ ผักในชามคือ แปะฉ่าย หรือ บ๊อกฉ่อย เรียกว่า โชคลาภร้อยประการ กระดูกหมูบำรุงกล้ามเนื้อ เวลาต้มกระดูกหมู ไขจากกระดูกหมูจะช่วยบำรุงเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
       
       วิธีปรุง: ตั้งหม้อต้มน้ำบนไฟกลาง พอเดือดใส่คนอร์ซุปหมูก้อน คนให้ละลายแล้วใส่กระดูกหมูที่เตรียมไว้ใส่ลงในหม้อ หมั่นช้อนฟองออกให้น้ำซุปใส ต้มประมาณ 15 นาทีแล้วจึงใช้ไฟอ่อน จากนั้นให้ใส่เห็ดหอม แปะก๊วยที่เอาไส้ใสออกแล้วต้มสักครู่โดยใช้ไฟแรง ใส่บ๊อกฉ่อยลงไป ต้มจนสุกปิดไฟ ตักใส่ชาม โรยพริกไทย กระเทียมเจียว


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000000855811.JPEG)

       ตรุษจีนปีนี้ นอกจากคุณจะมีเมนูมงคลไว้สำหรับไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษแล้ว มื้ออาหารสำหรับครอบครัวรวมกันพร้อมหน้าพร้อมตากันรับประทานหลังการไหว้ ทุกคนยังจะได้รับประทานซุปอร่อยๆ ที่ทั้งรสชาติดี และยังเสริมสิริมงคลให้ปี 2557 นี้กลายเป็นปีดีๆ แสนเฮงไปตลอดทั้งปีอีกด้วย



http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008258 (http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000008258)
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2014, 05:41:30 pm
ความหมายมงคลสำหรับของไหว้วันตรุษจีน

-http://horoscope.sanook.com/1395293/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/-



"วันตรุษจีน" สิ่งสำคัญคือ ของไหว้วันตรุษจีน นั่นเอง แต่คุณๆ ทราบหรือไม่ว่าของไหว้แต่ละอันมีความหมายอย่างไรบ้าง....Sanook! Horoscope รวบรวมมาให้ทราบกันแล้วค่ะ

(http://horoscope.sanook.com/1395292/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-2557/)

ความหมายของอาหารไหว้ ซาแซ-โหงวแซ

ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ขุนนาง ยศ และ ความขยันขันแข็ง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
เป็ด หมายถึง สิ่งที่บริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย
ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์
หมู หมายถึง ความอุดมสมบรูณ์ มีกินมีใช้
ปลาหมึก หมายถึง เหลือกินเหลือใช้(เหมือนปลา)
ตับ เพื่อให้ก้าวหน้าในงานเพราะคนจีนแต้จิ๋วเรียกตับว่า "กัว"
ปลาหมึกแห้ง เพื่อให้มีหมึก หรือความรู้ เป็นการอวยพรให้เป็นบัณฑิต หรือผู้มีความรู้
ซาลาเปา หมายถึง "เปาไช้" แปลว่า "ห่อโชค"

(http://horoscope.sanook.com/1395292/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-2557/)


ความหมายของ ผลไม้ไหว้

กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
แอปเปิ้ล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ
สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง ( ควรระวัง ไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ )
ส้มสีทอง หมายถึง มหามงคล
องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

(http://horoscope.sanook.com/1395292/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-2557/)

ความหมายของขนมไหว้

ขนมเข่ง หมายถึง ความหวานชื่น ชีวิตมีความราบรื่น รูปลักษณ์มีความหมายของชะลอมที่เก็บของ เมื่อรวมกันกับความหวานชื่น จึงหมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์
ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู
สาลี่(ขนม) หมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู (เหมือนขนมถ้วยฟู)
ขนมไข่ หมายถึง เพื่อให้เจริญเติบโต
ขนมเทียน หมายถึง เพื่อให้สว่างรุ่งเรือง ขนมเทียน ปกติ ขนมเทียนไม่ใช่ขนมของชาวจีนดั้งเดิม แต่เป็นขนมที่ถูกปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินโดยดัดแปลงจากขนมท้องถิ่น(ของไทย) จากขนมใส่ไส้ เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน ความหมายของขนมเทียนจึงใช้ความหมายเดียวกับขนมเข่ง คือความหวานชื่น ราบรื่น ส่วนรูปลักษณ์ที่เป็นสามเหลี่ยมกรวยแหลม มีลักษณะมงคลในทางศาสนา คือ เจดีย์
จันอับ (จั๋งอั๊บ)หมาย ถึง " ปิ่นโต" ( "จั๊ง" หมายถึงชั้น, "อั๊บ" หมายถึงกล่อง) ความหมายรวมของ "จั๋งอั๊บ" คือ จึงหมายถึง ความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป

ความหมายของมงคลอื่นๆ

เม็ดบัว ความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
เกาลัด มีความหมายถึง เงิน
ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน
สาหร่ายดำ  คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง  คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
หน่อไม้  คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข


ขอบคุณข้อมูลจาก www.foodietaste.com (http://www.foodietaste.com)

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 28, 2014, 10:46:23 pm
กรมอนามัย เตือน 3 สารอันตรายจากควันธูป สูดดมสะสมเสี่ยงมะเร็ง

-http://club.sanook.com/21428/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-3-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95-



กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข  เตือนอันตรายจากการสูดดมควันธูปสะสมนาน ๆ อาจเสี่ยงได้รับสารเบนซีน (Benzene),   1,3 บิวทาไดอีน (1,3-Butadiene)  และ เบนโซเอไพรีน (Benzo(a)pyrene) ที่เป็นสารก่อมะเร็ง แนะนำให้จุดธูปในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และดับให้สนิทเพื่อป้องกันไฟไหม้ พร้อมย้ำ เด็กเล็กป่วยโรคภูมิแพ้เลี่ยงสูดดม

 

ดร.นพ.พรเทพ  ศิริวนารังสรรค์  อธิบดีกรมอนามัย  เปิดเผยว่า การจุดธูปจำนวนมาก ๆ แต่ละครั้ง ธูปที่เผาไหม้จะปล่อยฝุ่นละอองและสารมลพิษออกมามากมาย ซึ่งมีสารบางชนิดที่อาจเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสารเบนซีน (Benzene),   1,3 บิวทาไดอีน (1,3-Butadiene)  และ เบนโซเอไพรีน (Benzo(a)pyrene) เป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการเผาไหม้ของกาว  ขี้เลื่อยและน้ำหอมในธูป  สารดังกล่าวสามารถก่อมะเร็งได้หลายชนิด เช่น  มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือด  มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ  นอกจากนี้ในควันธูปยังมีสารมลพิษอีกหลายชนิดที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  เป็นต้น  ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ เช่น ตาแห้ง แสบตา น้ำตาไหล ระคายเคืองจมูก จาม ไอ ระคายคอ หายใจลำบาก และยังทำให้ปวดศีรษะ  เหนื่อยล้า  ง่วงนอน และ หมดสติได้หากสูดดมระยะเวลายาวนาน

 

ดร.นพ.พรเทพ  กล่าวต่อไปว่า การป้องกันตนเองและบุคคลรอบข้างเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ จึงควรหลีกเลี่ยงการจุดธูปในบริเวณที่อากาศไม่ถ่ายเทหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ห้องแอร์  ห้องที่ไม่มีประตูหน้าต่าง  ใช้ธูปขนาดสั้นแทนธูปขนาดยาวเพื่อให้เกิดควันในระยะเวลาที่สั้นกว่า สำหรับศาลเจ้า ควรตั้งกระถางธูปไว้นอกอาคารหรือในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกและเมื่อเสร็จพิธีการควรดับหรือเก็บธูปให้เร็วขึ้น เพื่อป้องกันอันตรายและเสี่ยงเกิด      ไฟไหม้ที่มีสาเหตุจากความประมาทได้ ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศาสนสถาน ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันธูปเป็นระยะเวลานานและต่อเนื่อง และหลังการสัมผัสควันธูปควรล้างมือ ล้างหน้าล้างตาให้บ่อยขึ้น

 

“ทั้งนี้ กลุ่มเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หอบหืด ภูมิแพ้ ถุงลมปอด นับเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก เนื่องจากโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก    ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น อับทึบ ชื้น มีเชื้อรา หรือฝุ่นละออง  ซึ่งเป็นสารกระตุ้นให้เด็กเกิดอาการแพ้ จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือสูดดมควันธูป หากไม่สามารถเลี่ยงได้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัย ปิดปากและจมูก รวมทั้งหลีกเลี่ยงการพักผ่อนหรือนอนหลับบริเวณที่มีการจุดธูป และหมั่นทำความสะอาดบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองจากควันธูปที่อาจตกค้างได้”  อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

 

Credit : กรมอนามัย
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 29, 2014, 09:16:43 pm

เทศกาลสำคัญ วันตรุษจีน

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D_%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/-


   ตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน ตรุษจีนถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชาวจีน และยังแผ่อิทธิพลไปถึงการฉลองปีใหม่ของชนชาติที่อยู่รายรอบ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ม้ง มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล และภูฐาน สำหรับชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป

ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีน
มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง 

        ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน  การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

ทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง 

             เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน


ที่มาข้อมูล : tcbl-thai.net
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 29, 2014, 09:26:02 pm
“ส้ม” ของขวัญในเทศกาลตรุษจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 มกราคม 2557 14:26 น.

-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010505-


เทศกาลตรุษจีน ถือว่าเป็นวันหยุดตามประเพณีของชาวจีนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของจีน
       
       และนอกจากจะเป็นช่วงที่มีงานเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ช่วงตรุษจีนนั้นชาวจีน และผู้คนที่มีเชื้อสายจีนจะกลับบ้านมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัว ร่วมกันกินอาหารที่มีความหมายเป็นมงคล มีการอวยพรในสิ่งที่เป็นมงคลให้แก่กัน และมอบของขวัญที่เป็นมงคลแก่กัน
       
       ของขวัญอย่างหนึ่งที่นิยมมอบให้แก่ผู้ใหญ่ก็คือ “ส้ม” โดยชามจีนถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานว่า ในวันเที่ยว หรือวันขึ้นปีใหม่นี้ (วันที่หนึ่งในเดือนหนึ่งของปี) จะไปไหว้ขอพรจากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และไปอวยพรให้แก่ท่าน โดนจะนำส้มสีทองไปมอบให้
       
       เหตุที่เลือกส้มสีทอง ก็เพราะว่า “ส้ม” ออกเสียงตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า “กิก” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าความสุข หรือโชคลาภ ส่วนในสำเนียงฮกเกี้ยน และกวางตุ้ง เรียกส้มว่า “ก้าม” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าทอง ฉะนั้น การมอบส้มให้แก่ผู้ใหญ่จึงเหมือนการนำความสุขหรือโชคลาภไปให้นั่นเอง
       
       แต่นอกจากจะมีความหมายที่เป็นมงคลแล้ว “ส้ม” ก็ยังมีประโยชน์ในตัวมากมาย เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ อาทิ วิตามินซี วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) วิตามินบี วิตามินดี แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส คอลลาเจน และยังมีใยอาหารที่ช่วยในเรื่องระบบการขับถ่ายอีกด้วย
       
       จากสารอาหารที่มีอยู่ในส้มนั้น จึงมีส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ส้มมีวิตามินซีช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย ส้มช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่แห้งกร้าน ช่วยบำรุงสายตา และหากว่ากินส้ม หรือดื่มน้ำส้มเข้าไป ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า และแก้กระหาย
       
       “ส้ม” จึงเป็นทั้งของขวัญที่เป็นมงคล และเป็นของขวัญที่มีประโยชน์แก่ผู้รับ เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ หากจะเลือกมาเป็นของขวัญในช่วงตรุษจีนนี้

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 30, 2014, 06:00:47 am
ตำนานการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน



ในวันตรุษจีนของทุกๆ ปี รวมไปถึงวันตรุษจีน2557 นี้ หลายคนมักจะเห็นการแสดง "เชิดสิงโต" ซึ่งเป็นเหมือนประเพณีที่ทำกันเป็นประจำ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้เกิดความเป็นสิริมงคลในวันตรุษจีนหรือวันปีใหม่จีนนั้นเอง แต่ชาวสนุก!ดูดวงทราบไหมคะว่า ทำไมต้องมีการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน? มาหาคำตอบได้ที่นี่กับเรื่องราว "ตำนานการเชิดสิงโตในวันตรุษจีน" ค่ะ

(http://p4.isanook.com/ho/0/ud/279/1396409/b6.jpg)

คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า "สิงโต" เป็นบุตรของมังกร ซึ่งมีอำนาจและทรงพลังมากที่สุดในบรรดาบุตรทั้งหมด ได้รับมอบหมายจากสวรรค์ในฐานะผู้พิทักษ์ สิงโตจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความกล้าหาญ และความจงรักภักดี นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากันว่าสิงโตเป็นสัตว์เทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้เพียงเสียงคำรามก็สามารถปัดเป่าวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายได้

ด้วยเหตุนี้เองชาวจีนจึงนิยมสร้างรูปสลักสิงโตไว้ตรงหน้าพระราชวัง ตามหน้าบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นองครักษ์ผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยจะสร้างสิงโตไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าเป็นคู่ สิงโตตัวผู้จะอยู่ทางด้านขวามือ(ของผู้ที่เดินเข้า)และสิงโตตัวเมียจะอยู่ทางด้านซ้าย

http://horoscope.sanook.com/ (http://horoscope.sanook.com/)

จริงๆ แล้วตำนานที่มาของการเชิดสิงโตมีหลากหลายแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ในที่นี้ขอยกตัวอย่างมาแค่บางส่วนที่เป็นที่เล่ากันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

มีตำนานหนึ่งกล่าวว่าในประเทศจีนสมัยห้าราชวงศ์ในวันตรุษจีน (หรือบางที่ก็ว่าวันไหว้พระจันทร์) จะปรากฏสัตว์ร้ายชื่อว่า เหนียน Nien (ตัวเหนียนนั้นมีตัวยาวแปดฟุต ศีรษะใหญ่ มีฟันแหลมคม ตาเหมือนระฆังทองแดง มีใบหน้าสีเขียว มีเขาบนศีรษะ) ซึ่งจะคอยทำร้ายผู้คน สัตว์เลี้ยงและทำลายพืชผลไร่นาเสียหาย ผู้คนจึงต้องบวงสรวงต่อเทพเจ้าบนสวรรค์ เทพเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งเทพสิงโตมาขับไล่เจ้าตัวเหนียนไป

(http://p4.isanook.com/ho/0/ud/279/1396409/b7.jpg)

ในวันตรุษจีนปีต่อมา เจ้าตัวเหนียนก็กลับมาสร้างความเดือดร้อนอีก แต่คราวนี้เทพสิงโตไม่ลงมาช่วยอีกแล้ว ผู้คนจึงต้องร่วมใจกันแต่งตัวทำเลียนแบบสิงโต จึงสามารถขับไล่ตัวเหนียนไปได้และเกิดเป็นประเพณีเชิดสิงโตขึ้นในวันตรุษจีนปีต่อๆ มา

บางตำนานเล่าว่า พระยูไลได้เสร็จมาปราบพยศตัวเหนียนจนเชื่องและพากลับไปชาวบ้านจึงเฉลิมฉลองและจัดทำการแต่งตัวเลียนแบบท่าทางตัวเหนียนเพื่อบูชาพระยูไล จึงเกิดเป็นการเชิดสิงโต

อีกหนึ่งตำนานเล่าว่าการเชิดสิงโตเริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ้อง แม่ทัพจงอวี่ (Zhong Yue) ยกทัพออกรบที่ดินแดนหลินหยี (Lin Yi) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถวๆ ประเทศลาว และพม่า ข้าศึกชาวพื้นเมืองได้ใช้กองทัพช้างในการสู้รบ ทำให้แม่ทัพจงอวี่ต้องรับศึกหนัก จึงใช้อุบายให้ทหารกองหน้าแต่งตัวเป็นสิงโต กองทัพช้างของข้าศึกเห็นจึงแตกตื่นและแตกพ่ายไป ประเทศจีนจึงมีประเพณีเชิดสิงโตเพื่อฉลองชัยชนะ

นอกจากนี้ประเพณีการเชิดสิงโตยังแบ่งออกเป็นแบบเหนือ(ปักกิ่ง)ซึ่งเลียนแบบท่าทางของสุนัข แต่ถ้าเป็นการเชิดสิงโตแบบใต้จะเลียนแบบท่าทางของแมว ซึ่งยังแบ่งเป็นแบบกวางตุ้ง ฮกเกี้ยนอีกด้วย และการเชิดสิงโตแบบใต้นี้ยังมีการแบ่งประเภทตามสีของหน้าสิงโต ได้แก่ สีเหลืองจะหมายถึงเล่าปี่ สีแดงจะหมายถึงกวนอู และสีดำจะหมายถึงเตียวหุย ที่สำคัญลักษณะของขนและพู่ยังต่างกันออกไปอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail, http://blog.th.88db.com/ (http://blog.th.88db.com/)
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com



หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 06:01:54 am
เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   6 กุมภาพันธ์ 2556 08:21 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000014754-

By Lady Manager


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548187)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548188)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548189)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548190)

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2548191)


     อุบ๊ะ เทศกาลตรุษจีนหมูเห็ดเป็ดไก่จัดมาเต็ม แถมขนมเข่งขนมไข่ ฯลฯ สารพัดขนมของโปรดสาวเราอีกตรึม! ล้วนเป็น อาหารคาวหวานเมนูมงคล สำหรับไหว้และต้องกินเอาเคล็ดทั้งนั้น
       
       แต่ทำไงดี! กลัวอ้วน เกรงเบาหวานความดันโลหิตขึ้น!!
       
       เรามีเคล็ดลับการตะลุยกินตรุษจีนจากคุณหมออายุรวัฒน์ นพ.กฤษดา ศิรามพุช มาบอกต่อค่ะ
       
       จัดซาแซ เสียบกุ้งปลาแทนหมูเป็ด


       ปกติไหว้ของคาว 3 อย่าง เรียกว่า ชุดซาแซ ประกอบด้วย หมู เป็ด ไก่ แต่ถ้าไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า ชุดโหงวแซ ประกอบด้วยหมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา ซึ่งแนะนำให้ไหว้เพียงชุดซาแซ จัดของคาวสัก 3 อย่างพอ เอาเงินไปเน้นซื้อผลไม้ดีกว่านะคะ
       
       “ตัดเป็ดออกเลยครับ เพราะเป็ดมีไขมันมากกว่าไก่” หมอกฤษดาจัดให้
       
       “เอาปลากับกุ้งแทนเป็ดกับหมู”
       
       เพราะปลาหมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเป็นกุ้งมังกร หัวใหญ่มีก้าม ส่งเสริมให้มีอำนาจวาสนา
       
       “เป็นลูกชิ้นปลาก็ได้นะครับ” ให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนา
       
       ถ้าเป็นลูกชิ้นปลา ตามภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ ได้มงคลสองเด้ง เหลือกินเหลือใช้กับกลมๆ ซึ่งคนจีนตีความว่า เป็นความราบรื่น ทำกิจการงานใดก็ไม่สะดุด
       
       ปลิงทะเล หัวหมู บาทาไก่ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด ดูดซึมคอลลาเจนได้ดี


       อย่ายี้ค่ะ ถ้าเราจะแนะให้คุณสาวๆ กินตีนไก่ หรือหัวหมู หรือบ้านไหนร่ำรวยจัดปลิงทะเลไหว้เจ้า และนำมาทำเมนูเด็ด ไม่ว่าปลิงทะเลตุ๋นหม้อดิน หรือปลิงทะเลน้ำแดง เพื่อนสาวห้ามพลาดเลยนะคะ
       
       “คนมักคิดว่าหัวหมูตัวอ้วน แต่จริงๆ แล้ว มันคือ แหล่งคอลลาเจน คนฝรั่งเศสถึงขนาดเอาหัวหมูไปเคี่ยวและทำเยลลีหัวหมู” คุณหมอกฤษดา เผยต่อ
       
       “ปลิงทะเล บาทาไก่ ก็มีคอลลาเจนเยอะ รวมทั้งอาหารทะเลต่างๆ กุ้งหอยปูปลา แต่วิธีกินให้ได้ผลดูดซึมคอลลาเจนได้ดีคือ ต้องกินร่วมกับวิตามินซี
       
       การกินร่วมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่บีบมะนาวเป็นวิธีดีที่สุดครับ หรือกินเสร็จกินส้มล้างปากด้วยก็ได้ครับ”
       
       โห ถูกใจมากเลยค่ะ เนื่องจากสาวส่วนใหญ่ชอบรสเปรี้ยวต้องจิ้มแก้เลี่ยนอยู่แล้ว
       
       เน้นขนมไหว้ที่ประกอบไปด้วยธัญพืช แกล้มน้ำชาน้ำสมุนไพร

เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
       หากดูรายชื่อขนมไหว้ อุ้ย มากมายหลากหลายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมเทียน ขนมเข่ง ขนมไข่ ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปา เป็นต้น
       
       “ขนมพวกนี้หนักแป้ง และออกหวานด้วย” คุณหมอกฤษดา แนะ
       
       “ควรเน้นขนมที่มีถั่ว มีธัญพืช อย่าง ขนมจันอับที่มีงาถั่วธัญพืช ขนมคอเป็ดที่เป็นงา ขนมตุ๊บตั๊บที่ใส่ถั่ว หรือเม่งทึ้งที่ทำจากงาดำ จำง่ายๆ ขนมที่ต้องเคี้ยวเยอะๆ เพราะว่ามันมักจะมีใยอาหารเยอะด้วยครับ และอาหารพวกนี้จะช่วยดักน้ำตาลครับ และดักคราบไขมันทั้งหลายด้วยครับ”
       
       และหากกินขนมเหล่านี้ พร้อมจิบชาด้วย ยิ่งเพิ่มคุณประโยชน์แก่สุขภาพ
       
       “สังเกต คนจีนจะกินขนม เขาจะเจียะเต๊ด้วย เออมันตัดรสหวานดีนะ แต่จริงๆ แล้ว มีเหตุผลมากกว่านั้น ตัวน้ำชามีสารแทนนิน (Tannin) เป็นตัวช่วยลดการอักเสบ และมีกลุ่มของโพลีฟีนอล (Pholyphenols) คือ ตัวที่ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดไขมันด้วยครับผม”
       
       คุณหมอยังบอกด้วยว่า นอกจากชาจีน จะเป็นชาเขียว หรือชาสมุนไพรอื่นๆ อาทิ ชาตะไคร้ ชามะตูม หรือแม้กระทั่งเก๊กฮวยก็ได้
       
       “พวกนี้ช่วยลดความดันลดไขมันด้วยครับ”
       
       กินเลี้ยงตรุษจีนเสร็จขยับกาย จัดวันล้างพิษ


       หลังกินเลี้ยงตรุษจีนแล้ว คุณหมอกฤษดาแนะว่า ควรขยับร่างกายออกไปเดินย่อยอาหารบ้าง
       
       สาวๆ อาจไปเดินช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า เพื่อลดอันตรายจากไขมันและส่วนเกินจากอาหารมื้อมงคล
       
       “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อถัดไป ควรลดพวกที่เราหนักไปมื้อแรก เช่น มื้อแรกกินไก่ต้ม มื้อถัดไปอาจจะไปหนักที่ผลไม้ เพราะในชุดไหว้ก็มีผลไม้ อย่างส้ม เป็นผลไม้มงคลด้วยและช่วยล้างพิษไขมันด้วย” ที่สำคัญ คุณหมอกฤษดา แนะให้จัดวันล้างพิษทันทีหนึ่งวัน
       
       “คือ ในวันนี้ไม่กินเนื้อแดงเลย หลีกเลี้ยงพวกแป้งได้เลยยิ่งดี เน้นทานผักผลไม้ หรือกินแอปเปิ้ลอย่างเดียว หรือส้มอย่างเดียว หรือสัปปะรดอย่างเดียว ล้างพิษไปเลยหนึ่งวัน”
       
       ไอเดียเริ่ด! จัดเต็มกินผลไม้มงคลปิดท้าย แอปเปิ้ล แปลว่า โชคดีราบรื่น ส้มสีทองเป็นมหามงคล สับปะรดก็นำโชคลาภเข้ามาหา แถมเสริมวิตามินได้สุขภาพ
       
       ขอเพียงรู้จักเลือก รู้จักตัดใจ และรู้จักบังคับตัวเอง
       
       ตรุษจีนปีนี้ รับรองคุณสาวๆ เฮง เฮง รวย รวย และสวย สวย สุขภาพแข็งแรงทุกคนค่ะ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

เคล็ดวิธีปรับเมนูของไหว้ตรุษจีน กินปลอดไขมันในเลือดสูง
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   29 มกราคม 2557 09:54 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010598-

By Lady Manager
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่คนในครอบครัวมาเจอกันพร้อมหน้า เพื่อไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นก็จะร่วมกินอาหารไหว้อย่างมีความสุข
       
       สุขปาก ทว่าอาจจะไม่สุขกายสุขใจถ้ายึดกินแต่เป็ด ไก่ หมูสามชั้น ฯลฯ ปัญหาไขมันในเลือดขึ้นสูง จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่สูงวัย หรือแม้แต่คุณๆ วัยทำงานเอง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098001.JPEG)

       “ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่กินกันจนอิ่มเกินพอดี เนื่องจากการกินอาหารหลายมื้อ ประกอบด้วยอาหารหลากหลายที่ส่วนใหญ่ไขมันสูง ยิ่งกินกับลูกหลานยิ่งสนุกจนทำให้กินเพลินจนเกินจำเป็น และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันสูงอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไขมันในเลือดสูงยิ่งขึ้น”
       
       นฤมล วัฒนาโสภณ นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท (แผนกผู้สูงอายุ) กล่าวว่า โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากการกิน
       
       “การเข้าครัวทำอาหารไหว้ หรือซื้อของกินของไหว้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของไขมันสูง จะสามารถช่วยลดปริมาณไขมันที่ผู้สูงอายุรับประทานลงได้มาก”
       
       ของไหว้ขาประจำ คอเลสเตอรอลนำโด่ง แป้งหวานมาเด่น

   
(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098002.JPEG)

       เริ่มจากการจัดมื้อไหว้เทพเจ้า (ไป๊เล่าเอี๊ย) ซึ่งจะไหว้กันตอนเช้ามืดช่วงเวลา 07.00-08.00 น.มักจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะสามหรือห้าอย่าง ซึ่งนิยมไหว้กันด้วย หมูสามชั้นต้ม (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่และเป็ดทั้งตัวไม่ตัดขา (คอเลสเตอรอลสูงจากหนังและเครื่องใน), ปลาทั้งตัวไม่ตัดครีบ และหาง, ปลาหมึกแห้ง และตับ (คอเลสเตอรอลสูง) และขนมเข่ง (คอเลสเตอรอลสูงจากน้ำมัน) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
       
       อีกมื้อคือ การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป๊บ๊อ) ไหว้กันในช่วง 09.00 น.ถึงก่อนเที่ยง ซึ่งนิยมไหว้กันที่บ้านของพ่อแม่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มักจะไหว้กันด้วยอาหารที่บรรพบุรุษชอบ
       
       นอกจากนี้ยังมีไก่ทั้งตัวต้ม (หนังมีคอเลสเตอรอลสูง), ขาหมูตุ๋น (คอเลสเตอรอลสูง), เส้นหมี่สดเส้นยาวต่อเนื่องผัด (ไขมันสูงจากน้ำมัน), แกงจืด, ผัดผักนิยมใช้ถั่วงอก, มันแกว และขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง, ขนมถ้วยฟู และน้ำชา ฯลฯ
       
       ส่วนมื้อที่สามที่จะไหว้กันในช่วงบ่าย เป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) ซึ่งนิยมไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3-5 อย่าง (ซาแซ หรือโหงวแซ) เช่น หมู (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่ และเป็ด (คอเลสเตอรอลสูง) และประกอบด้วยของหวาน เช่น ซาลาเปา, ขนมถ้วยฟู, ขนมสาลี่, ขนมไข่, เผือกเชื่อมน้ำตาล (น้ำตาล และแป้ง) และผลไม้ 5 อย่างคือส้มสีเหลืองทอง, องุ่น, กล้วย, สัปปะรด, สาลี่ ฯลฯ
       
       และถ้าจะให้ครบยิ่งขึ้นก็จะมีการไหว้ครั้งที่ 4 คือ การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี๊ย) นิยมไหว้ด้วยขนมอี๊ (สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม ), ผลไม้ 5 อย่าง, ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง, ขนมฮวดก๊วย, ขนมชั้น ฯลฯ
       
       ปรับเมนูไหว้ เลี่ยงเป็ด-เครื่องใน เน้นปลา-ไก่บ้าน
       
       "อาหารตรุษจีนที่เป็นเนื้อสัตว์สามหรือห้าอย่าง ควรเลือกทำจานปลาเป็นจานหลัก เช่น ปลานึ่งกับน้ำจิ้ม ส่วนไก่ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเป็นไก่บ้าน เพราะไขมันน้อยกว่า และควรให้ท่านรับประทานส่วนเนื้ออกที่ลอดหนังออกเพราะเนื้อส่วนอกมีไขมันน้อย” นักโภชนาการนฤมล ให้ไอเดียปรับเมนูไหว้ เพื่อสุขภาพที่ดีและลดเสี่ยงโรคไขมันในหลอดเลือดในช่วงตรุษจีน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098003.JPEG)

       "ถ้าเป็นไปได้ควรให้ท่านเลี่ยงการรับประทานเป็ด (เป็ดมีไขมันมากกว่าไก่หลายเท่า) แต่ถ้าท่านชอบเนื้อเป็ดควรใช้วิธีการลดมันด้วยการย่างเป็ดแบบรีดน้ำมัน และลอกหนังออก รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องในทุกชนิดเพราะมีคอเลสเตอรอลสูง
       
       หมูสามชั้นก็ควรลอกหนังและชั้นไขมันออกก่อนทำอาหารให้ท่านทานเพราะไขมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัว”
       
       นำหมี่มาคลุกน้ำมันแทนการผัด เลือกขนมหวานไม่ใส่มะพร้าว
       
       "จานหลักอีกมื้อคือหมี่ผัด ควรเลี่ยงจากการผัดมาเป็นการคลุกด้วยน้ำมันรำข้าวเพราะการคลุกสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ดีกว่าการผัด และน้ำมันรำข้าวยังดีต่อผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันเพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดปริมาณไขมันเลว (แอลดีแอล) และเพิ่มไขมันชนิดดี (เอชดีแอล)
       
       ควรใส่ผักเยอะๆ จะได้เป็นการลดปริมาณเส้นที่ท่านอาจทานมากเกินไป เพราะเส้นจากแป้งจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจะไปสะสมในเส้นเลือด”


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098004.JPEG)

       สำหรับขนมหวานชนิดต่างๆ โดยเฉพาะขนมเทียน ขนมเข่ง นฤมลแนะนำว่า
       
       "ควรเลือกขนมเข่งแบบไม่มีมะพร้าวเป็นส่วนผสม เพราะในมะเพร้าวก็มีไขมัน และควรทำหรือซื้อที่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อควบคุมการทานของท่าน ควรดูแลไม่ให้ท่านทานมากเกินไป ส่วนขนมสาลี่ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปาก็เช่นเดียวกัน ควรเลือกซื้อแบบขนาดเล็ก เพราะแป้งก็จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในเส้นเลือดได้เช่นเดียวกัน”
       
       เคล็ดวิธีกินให้ปลอดภัย กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
       
       "วิธีในการควบคุมปริมาณการกินที่ได้ผล คือแบ่งอาหารออกมาแค่บางส่วนแค่พอดีรับประทานในแต่ละมื้อจากของไหว้ทั้งหมด ถ้าไหว้ในปริมาณมากสามารถใช้เทคนิคการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้รับประทานในวันอื่นๆ ก็ได้ หรือถ้าคิดว่ารับประทานไม่หมดควรแบ่งให้เพื่อนบ้านเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลมงคล เป็นเทศกาลของครอบครัวที่ทุกคนมาเจอกันอยู่ร่วมกัน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การเลือกหรือเตรียมอาหารของไหว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน" เธอฝากปิดท้าย


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001098005.JPEG)
       *คนไทยมีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน*
       
       ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2556) พบมากในผู้ชายที่อายุ 55 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
       
       ไขมันสูงที่เราชอบพูดถึงกันนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะไขมันตัวร้าย (แอลดีแอล) จะไปฝังตัวในผนังหลอดเลือดซึ่งยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังหลอดเลือดหนา ตีบ หรือตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ได้หรือไม่เพียงพอ
       
       ยิ่งไปเกิดในบริเวณที่เป็นอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หรือหัวใจ ก็อาจทำให้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรือตัน และถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
       
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 06:16:55 am
ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2557 เทพเจ้าแห่งโชคลาภ รับวันตรุษจีน

-http://hilight.kapook.com/view/97134-

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/user/kanokwan/EVENT/%E0%B9%84%E0%B8%89%E0%B9%88%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2.jpg)

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ วันตรุษจีน 2557 มาดูฤกษ์ ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2557 วิธีการไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2557 พร้อมของไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2557 กันเลย

          วันตรุษจีน ถือเป็นวันมหามงคลที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนต่างก็พากันประกอบพิธีกราบไหว้บูชาฟ้าดิน บูชาเทพเจ้า กราบไหว้บรรพบุรุษ โดยมีความเชื่อว่าการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิต หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้ามีความเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ทั้งแก่ตนเอง คนในครอบครัว และบริวาร โดยในวันตรุษจีน เทพเจ้าที่ชาวจีนจะไหว้เป็นเทพองค์แรกของปี ก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง

          สำหรับ ไฉ่ซิงเอี้ย (财神 หรือ Cai Shen, God of wealth, God of fortune) เทพเจ้าแห่งโชคลาภ นับเป็นเทพเจ้าที่ลูกหลานชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด ในการเริ่มเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ ในช่วงตรุษจีน และจะได้รับการกราบไหว้เป็นเทพองค์แรก โดยเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี้ย จะช่วยดลบันดาลความมั่งมีศรีสุข ร่ำรวยโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา เปี่ยมล้นด้วยความสุขสถาพรแก่ตนและคนในครอบครัวไปตลอดทั้งปี ชาวจีนเชื่อว่า องค์ไฉ่ซิงเอี้ย จะเสด็จมายังโลกมนุษย์เพียงปีละครั้ง คือ ในวันตรุษจีน ดังนั้นตั้งแต่โบราณ เมื่อเข้าสู่วันตรุษจีนชาวจีนจะทำการตั้งโต๊ะบูชาไฉ่ซิงเอี้ย โดยการหันหน้าไปทิศต่าง ๆ ที่เชื่อว่าไฉ่ซิงเอี้ยจะเสด็จลงมา ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี

           สำหรับ วันตรุษจีน 2557 ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 เทพไฉ่ซิงเอี้ย จะเสด็จลงมาทางทิศใต้ เทพเจ้าสิริมงคลเสด็จมาทางทิศใต้ เทพเจ้าอุปถัมภ์เสด็จมาทางทิศตะวันออก และมีฤกษ์ ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2557 ในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557 เวลา 01.19-02.59 น. และให้ตั้งโต๊ะไหว้หน้าบ้านไปทางทิศใต้ เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าสิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ มาประทานพร

ของไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย

          1. รูปภาพหรือรูปปั้น เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย
          2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
          3. เทียนแดง 1 คู่
          4. กระถางธูป 1 ใบ
          5. ธูป 3 ดอก ต่อหนึ่งคน
          6. ผลไม้ 5 อย่าง (เช่น องุ่น แอปเปิ้ล กล้วย สาลี่ และส้ม)
          7. สาคูแดงต้มสุก 5 ถ้วย
          8. น้ำชา 5 ถ้วย
          9. ข้าวสวย 5 ถ้วย
          10. ขนมจันอับ 1 จาน
          11. เจไฉ่ 5 อย่าง (เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู ดอกไม้จีน วุ้นเส้น และฟองเต้าหู้)
          12. หงิ่งเตี๋ย 12 ชุด
          13. กิมหงิ่งเต้า 1 คู่
          14. เทียงเถ้าจี๊ 1 ชุด
          15. กระดาษสีเขียว 1 แผ่น (เทียบเชิญสีเขียว)
          16. เทียบเชิญแดง 1 แผ่น

          โดยปกติ ชุดไหว้องค์ไฉ่ซิงเอี้ย จะมีขายตามศาลเจ้าจีนทั่วไป หรือร้านขายพวกของมงคลของจีน ซึ่งอาจจะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีของครบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาชุดไหว้ทั้งหมด ก็คือเทียบเชิญสีแดง และสีเขียว เพื่อใช้เขียนชื่อที่อยู่ของผู้ไหว้ และเขียนเชิญไฉ่ซิงเอี้ยนั่นเอง

การประกอบพิธีไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย

          1. ตั้งโต๊ะบูชาพร้อมจัดเครื่องเซ่นไหว้ก่อนเวลาที่เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยจะเสด็จลงมาเล็กน้อย โดยหันไปทางทิศใต้ และผู้ไหว้หันหน้าไปทางทิศใต้เช่นกัน

          2. เมื่อได้เวลา ผู้นำพิธีจุดธูปไหว้ 3 ดอก กล่าวอัญเชิญ ขอพรและโชคลาภจากไฉ่ซิงเอี้ย โดยกล่าวว่า "วันนี้ข้าพเจ้า..(ชื่อผู้ขอพร).. ขอเรียนเชิญองค์ไฉ่ซิงเอี้ย มารับเครื่องสักการะบูชา ซึ่งมี (กล่าวถึงสิ่งที่ท่านได้จัดเตรียมและนำมาถวาย) และหลังจากองค์ท่านได้รับเครื่องสักการะเหล่านี้แล้ว จงประทานพรให้ครอบครัวของข้าพเจ้าทุกคน จงประสบแต่โชคลาภความสุข และความสำเร็จ สมดังที่มุ่งหวังทุกประการ

          3. ผู้ร่วมพิธีและคนที่ชงในปีนี้จุดธูปและไหว้ขอพร

          4. ผู้นำพิธี นำขอไหว้ที่เป็นกระดาษทั้งหมด เผารวมกับเทียบเชิญแดงและสีเขียว

          5. ผู้นำพิธีอัญเชิญไฉ่ซิงเอี้ย กระถางธูป เทียนแดง เข้าไปในบ้าน และปิดประตูบ้าน เพื่อเชิญเทพเข้าบ้าน

          สำหรับของไหว้ที่เป็นอาหาร ผลไม้ และขนม สามารถรับประทานได้ทันทีหรือเก็บไว้ก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งไปเพราะถือเป็นของมงคล ทั้งนี้ หากไม่สะดวก หรือไม่มีเวลาจัดเตรียมของไหว้ สามารถใช้เพียงธูปเทียน จุดธูปกล่าวอัญเชิญท่าน ตามฤกษ์และทิศทางที่ท่านจะเสด็จมา และกล่าวคำสักการะขอพรจากเทพเจ้าแห่งโชคลาภ จากนั้นปักธูปลงในกระถาง แล้วกล่าวอัญเชิญท่าน เข้ามาทางประตูบ้าน

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 09:31:13 pm
รู้จักประเพณีต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มกราคม 2557 16:02 น.

-http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012128-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253201.JPEG)

    astvผู้จัดการออนไลน์--เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ที่เรียกว่า ชุนเจี๋ย (春节) หรือ ตรุษจีน ถือเป็นประเพณีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของชนชาวฮั่น และยังถือเป็นการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกด้วย โดยกำหนดให้วันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ในอดีตช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง จะเริ่มตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า จนถึงเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคม (แรม 15 ค่ำเดือนอ้าย) โดยแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน บางส่วนยังคงสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ขณะที่บางส่วนได้เลือนหายไป หรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253202.JPEG)
ตัวอักษร ฝูกลับหัว (福倒) โชคความสุขได้มาถึงบ้านแล้ว

       ติด “ฝูกลับหัว” (福倒) โชคมงคลได้มาถึงบ้านแล้ว
       ระหว่างเทศกาลตรุษจีน ชาวจีนนอกจากนิยมตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษแดง ภาพวาด และภาพกระดาษตัดสีสันสดใส สร้างบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง และเพื่อเป็นการต้อนรับความสุขและขอโชคขอพร ก็ยังนำอักษรมงคล เช่นตัว ‘福’ (ฝู) หรือตัว 春 (ชุน) มาติดที่บานประตูหน้าบ้าน ตามกำแพง หรือบริเวณเหนือกรอบบนของประตู
       
       การติดอักษรมงคลที่แพร่หลายที่สุด คือ 福 เป็นประเพณีมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยซ่ง และมักติดกลับหัวซึ่งในภาาษจีนกลางเรียก 福倒 (ฝูเต้า)ที่มีความหมายว่า สิริมงคลหรือโชคดีได้มาถึงบ้านแล้ว
       
       เรื่องการกลับหัวตัวอักษรนี้มีเหตุที่มาเมื่อครั้งอดีตกาล ซึ่งเล่าสืบกันมาในหมู่สามัญชนว่า
       
       “สมัยจักรพรรดิหมิงไท่จู่จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิง ได้ใช้อักษร ‘ฝู’ เป็นเครื่องหมายลับในการสังหารคน หม่าฮองเฮาทราบเรื่องจึงคิดอุบายเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าวไม่ให้เกิดแก่ราษฎร ด้วยมีพระราชเสาวนีย์ให้ทุกบ้านติดตัวฝูที่หน้าประตูเพื่อลวงให้ฮ่องเต้สับสน
       
       “รุ่งขึ้นชาวเมืองต่างนำตัวอักษรฝูมาติดที่หน้าประตูตามนั้น ทว่ามีบ้านหนึ่งไม่รู้หนังสือจึงติดตัวฝูกลับหัวด้วยความไม่ตั้งใจ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงกริ้ว รับสั่งให้ประหารคนในบ้านทั้งหมด หม่าฮองเฮาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทูลยับยั้งไว้ว่า ‘บ้านนี้ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงตั้งใจติดตัวฝูกลับหัว ( 福倒-ฝูเต้า) เพื่อแสดงความปิติยินดีต่อการเสด็จเยือนของพระองค์ ราวกับว่าความสุขสวัสดีและโชคลาภได้มาถึงที่บ้าน’ ได้ยินดังนี้แล้วจูหยวนจางจึงไว้ชีวิตชาวบ้านผู้นั้น การติดตัวฝูกลับหัวสืบต่อมานอกจากเพื่อขอโชคสิริมงคลตามความหมายของตัวอักษรแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงคุณความดีของหม่าฮองเฮาในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย”

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253203.JPEG)
       เชิญเทพผู้พิทักษ์ประตู

       ในวันส่งท้ายปีเก่าหรือที่เรียกว่า ฉูซี (除夕) ชาวจีนมีธรรมเนียมในการติด ‘เหมินเสิน (门神)’ หรือ ภาพเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตู
       
       ‘เหมินเสิน’ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ในอดีตกาลจะถือตัวประตูเป็นเทพเจ้าโดยตรง จนกระทั่งหลังสมัยราชวงศ์ฮั่น (202 B.C.- ค.ศ.220) จึงได้ปรากฏการใช้ภาพคนมาเป็นตัวแทนเทพเจ้า แรกเริ่มเดิมทีใช้ภาพนักรบผู้กล้านามว่า ‘เฉิงชิ่ง (成庆)’ ต่อมาเปลี่ยนเป็นภาพวาดของ ‘จิงเคอ (荆轲)’ จอมยุทธ์ชื่อดังสมัยจ้านกั๋ว (475 - 221 B.C.)
       
       ‘เหมินเสิน’ ในราชวงศ์ใต้และเหนือ (ค.ศ.420 - 589) จะเป็นภาพคู่เทพเจ้าสองพี่น้อง ‘เสินถู (神荼)’ ‘ยูไล (郁垒)’ ตลอดจนสองขุนพลเอกในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 - 907) ที่มีชื่อว่า ‘ฉินซูเป่า (秦叔宝) และอี้ว์ฉือจิ้งเต๋อ (尉迟敬德)’แต่ต่อมากษัตริย์ถังไท่จงหลี่ซื่อหมินรู้สึกเห็นใจว่าสองขุนพลจะลำบากเกินไป จึงได้สั่งให้จิตรกรหลวงวาดภาพสองขุนพลขึ้นมา แล้วใช้ติดไว้ที่ประตูทั้งสองข้างแทน จึงได้กลายเป็นภาพ ‘เหมินเสิน’ ในเวลาต่อมาเมื่อถึงยุค 5 ราชวงศ์ (ค.ศ.907-960) ได้เริ่มนำภาพของ จงขุย (钟馗) เทพผู้ปราบภูตผีปีศาจ มาติดเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย
       
       หลังราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960 - 1127) ‘เหมินเสิน’ ยังมีรูปแบบเหมือนก่อนหน้านั้น แต่เพิ่มการประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามขึ้น ในห้องรับแขกและห้องนอนจะมีการติดภาพเทพเจ้า 3 องค์ (三星) ที่เราคุ้นหูกันดีว่า ‘ฮก ลก ซิ่ว (福 - 禄 - 寿)’ นอกจากนั้น ยังมีภาพชุมนุมเทพเจ้า (万神图) ตามอย่างลัทธิเต๋า และภาพพระพุทธเจ้า 3 ปาง ซันเป่าฝอ (三宝佛) ฯลฯ ด้วย
       
       ว่ากันว่า การติดภาพ ‘เหมินเสิน’ ก็เพื่อป้องกันขับไล่สิ่งชั่วร้าย หรือเป็นเสมือนเทพผู้คอยปกปักษ์รักษานั่นเอง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253204.JPEG)
สัตว์ประหลาดในคติปรัมปราจีน ที่มาทำร้ายผู้คนในคืนส่งท้ายปีเก่า

       คืนส่งท้ายปีเก่า
       ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ “ฉูซีเยี่ย (除夕夜)” หรือ คืนส่งท้ายปีเก่าว่า ในยุคโบราณสมัยที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “เหนียน (年)” ทุกปีในคืนวันส่งท้ายปี จะขึ้นจากทะเลมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและทำลายเรือกสวนไร่นา ในวันนั้นของทุกปีชาวบ้านจึงมักจะหลบกันอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา และไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าระวัง รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเปิดประตูออกมา และกล่าวคำยินดีแก่เพื่อนบ้านที่โชคดีไม่ถูก “เหนียน” ทำร้าย
       
       ในคืนส่งท้ายปีของปีหนึ่ง “เหนียน” ได้เข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กินชาวบ้านจนเรียบ ยกเว้นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน เนื่องจากสวมชุดสีแดงจึงปลอดภัย และเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นประทัดอยู่กลางถนน ซึ่งเสียงดังจนทำให้ “เหนียน” ตกใจกลัวหนีไป ชาวบ้านจึงรู้จุดอ่อนของ “เหนียน”
       
       ดังนั้น เมื่อถึงคืนส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านจึงพากันสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง นำสิ่งของที่มีสีแดงมาประดับตกแต่งบ้านเรือน และจุดประทัด ทำให้ “เหนียน” สัตว์ประหลาดตัวร้ายไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสงบสุข จากนั้นมาจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ในคืนส่งท้ายปีจะไม่ยอมนอนเพื่อ “เฝ้าปี” หรือเรียกในภาษาจีนว่า โส่วซุ่ย(守岁) เฝ้าดูปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา
       
       ในคืน “เฝ้าปี” สมาชิกในบ้านมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย ทั้งด้านการกินและดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป เกี๊ยว เหนียนเกา (ขนมเข่ง) เหล้า เบียร์ เมล็ดแตง ของว่าง การเล่นเกม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เล่นกันในห้องรับแขก เช่นผู้ใหญ่ก็เล่นหมากล้อม หมากฮอร์ส ไพ่กระดาษ ไพ่นกกระจอก ส่วนเด็กๆ ก็มีเกมแบบเด็กๆ เช่น ขี่ม้าไม้ไผ่ วิ่งไล่จับ ซ่อนแอบ
       
       กระทั่งใกล้เวลาเที่ยงคืน ผู้อาวุโสในบ้านก็จะเริ่มตั้งโต๊ะเพื่อจัดเรียงธูปเทียนไหว้บรรพบุรุษ และต้อนรับเทพแห่งโชคลาภ นอกจากนั้นก็ยังมีการจุดประทัด จุดโคมไฟ ซึ่งเมื่อใกล้เวลาเที่ยงคืนเท่าไหร่ เสียงประทัดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรุ่งอรุณแรกของปี ก็จะสวัสดีปีใหม่กัน กินเกี๊ยว เพื่อความเป็นสิริมงคล

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253205.JPEG)
       เซ่นไหว้บรรพบุรุษ

       ประเพณีการเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษในช่วงเทศกาลตรุษจีน ถือกำเนิดขึ้นจากรากฐานแห่งคุณธรรมความกตัญญูกตเวที ที่ชาวจีนยึดมั่นและให้ความสำคัญยิ่ง
       
       ตามประเพณีแบบดั้งเดิม แต่ละบ้านจะนำบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลหรือที่เรียกว่า ‘เจียพู่’ ( 家谱) หรือรูปภาพของบรรพบุรุษหรือแผ่นป้ายที่สลักชื่อบรรพบุรุษ เป็นต้น มาวางไว้ที่โต๊ะเซ่นไหว้ ที่มีกระถางธูปและอาหารเซ่นไหว้
       
       ในประเทศจีน บางแห่งจะทำพิธีสักการะเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือไฉเสิน (财神) หรือที่ไฉ่สิ่งเอี๊ย ในภาษาแต้จิ๋ว พร้อมๆกับเซ่นไหว้บรรพบุรุษ โดยอาหารที่นำมาใช้ถวายเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามความนิยมของชาวจีนทางเหนือ โดยมากประกอบด้วย เนื้อแพะ อาหารคาว 5 อย่าง ของหวาน 5 อย่าง ข้าว 5 ชาม ขนมที่ทำจากแป้งสาลีไส้พุทรา 2 ลูก ( คล้ายกับขนมถ้วยฟูในบ้านเรา) และหมั่นโถวขนาดใหญ่ 1 ลูก
       
       แท้จริงแล้วการสักการะบูชาเทพเจ้าและไหว้บรรพบุรุษนั้น ก็คือการกล่าวอวยพรปีใหม่กับเทพและบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เพื่อให้ลูกหลานได้รำลึกถึงบรรพชน หลังจากทำพิธีไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษแล้ว ลูกหลานจะช่วยกันเผากระดาษเงิน กระดาษทอง
       
       สำหรับช่วงเวลาในการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษนั้น จะแตกต่างกันออกไป กล่าวคือบางบ้านจะเซ่นไหว้ก่อนการรับประทาน ‘เหนียนเย่ฟั่น’ หรืออาหารมื้อแรกของปีใหม่ ขณะที่บางบ้านนิยมเซ่นไหว้ก่อนหรือหลังคืนส่งท้ายปีเก่าหรือ ที่เรียกว่า ‘ฉุ่เย่’ บางบ้านก็นิยมประกอบพิธีในช่วงเช้าของในวันที่ 1 เดือน 1 หรือ ชูอี ( 初一)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253206.JPEG)
       มื้อส่งท้ายปีเก่า

       ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน (年夜饭)’ หมายถึงอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญก่อนขึ้นปีใหม่ ที่ชาวจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมักไหว้บรรพบุรุษ และจุดประทัดกันก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหารมื้อพิเศษนี้
       
       ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ มีความพิเศษ ตรงที่เป็นมื้อใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยและทุกเพศจะพร้อมหน้าพร้อมตาล้อมวงร่วมรับประทานอาหารกัน สมาชิกที่แยกไปอยู่ที่อื่นจะพยายามกลับมาให้ทันวันส่งท้ายปี แต่หากกลับมาไม่ได้จริงๆ ครอบครัวจะเว้นที่ว่างพร้อมวางชามและตะเกียบไว้เสมือนหนึ่งว่ามากันครบ หลังจากทาน ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ เสร็จแล้ว ผู้ใหญ่จะให้ ‘ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)’ หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ‘อั่งเปา’ แก่เด็กๆ
       
       ความพิเศษของ ‘เหนียนเยี่ยฟ่าน’ ยังอยู่ที่อาหารหลากหลาย ให้สมาชิกที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งปี ได้ผ่อนคลายร่วมทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัวในคืนสุดท้ายของปี
       
       ขณะที่ชื่อของอาหารที่นำมาตั้งโต๊ะยังแฝงไว้ด้วยความหมายที่เป็นสิริมงคล จานบังคับที่ทุกโต๊ะต้องมีคือ ‘จี’ (鸡 ไก่) และ ‘อี๋ว์’(鱼 ปลา) แทนความหมาย ‘จี๋เสียงหยูอี้ (吉祥如意 เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา)’ และ ‘เหนียนเหนียนโหยวอี๋ว์ (年年有余 มีเงินทองเหลือใช้ทุกปี)’

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253207.JPEG)
       กิน “เกี๊ยวข้ามปี” โชคดีตลอดไป

       ประเพณีการกินเจี่ยวจือ 饺子หรือเกี๊ยวต้มจีนในวันตรุษจีนเริ่มเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368-1644) โดยคนในครอบครัวจะต้องห่อเจี่ยวจือให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนของวันสิ้นปี รอจนยามที่เรียกว่า 子时 -จื่อสือ ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 23 - 1 นาฬิกาของวันถัดมาก็จะเริ่มรับประทานกัน และเป็นเวลาเริ่มต้นวันใหม่ของปีใหม่พอดี การทานเจี่ยวจือจึงมีความหมายว่า ‘เปลี่ยนปีเชื่อมเวลา更岁交子'เพราะคำเรียกอาหารชนิดนี้饺-เจี่ยวก็ออกเสียงคล้าย交-เจียวซึ่งมีความหมายว่าเชื่อมต่อกัน และ子-จื่อก็คือ子时 -จื่อสือนั่นเอง
       
       นอกจากนั้น การรับประทานอาหารชนิดนี้ยังมีความหมายสำคัญของการรวมตัวของคนในครอบครัวอีกด้วย เมื่อแป้งที่ห่อไส้เรียกว่า和面-เหอเมี่ยน คำว่า 和พ้องเสียงกับคำว่า 合 -เหอ ที่แปลว่าร่วมกัน และ饺 - เจี่ยวก็ออกเสียงคล้ายกับคำว่า 交 ที่มีอีกความหมายว่า มีความสัมพันธ์ต่อกันด้วย
       
       การที่เกี๊ยวเป็นอาหารสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในวันตรุษจีน ยังมีเหตุผลมาจากรูปลักษณ์ของเจี่ยวจือ ที่เป็นรูปทรงคล้ายเงินในสมัยโบราณ การรับประทานเจี่ยวจือ จึงเหมือนการนำเงินทองเข้ามาสู่ตัว
       
       นอกจากนั้น ไส้ในเจี่ยวจือก็ยังสะดวกต่อการบรรจุสิ่งที่เป็นมงคลลงไปให้เป็นความหวังต่อคนที่รับประทานด้วย เช่น ลูกกวาด ถั่วลิสง พุทราแดง เม็ดเกาลัด เหรียญเงิน โดยคนที่กัดเจอลูกกวาด ชีวิตในปีใหม่ก็จะยิ่งหอมหวาน ในขณะที่ถั่วลิสงมีความหมายว่าแข็งแรงและอายุยืนนาน ส่วนพุทราแดงและเกาลัด ก็จะมีบุตรภายในปีนั้น และหากกัดเจอเหรียญเงินก็จะยิ่งร่ำรวยเงินทอง

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253208.JPEG)
       อาหารรับขวัญวันปีใหม่

       การตระเตรียมอาหารการกินในเทศกาลตรุษจีน นับเป็นงานช้างแห่งปีทีเดียว โดยราวสิบวันก่อนวันปีใหม่ชาวจีนจะเริ่มสาละวนกับการซื้อหาข้าวของ อาทิ เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ ชา เหล้า ซอส วัตถุดิบเครื่องปรุงสำหรับอาหารผัดทอด ขนมนานาชนิด และผลไม้
       
       อาหารการกินในวันตรุษจีน ยังโปรยประดับด้วยคำที่เป็นสิริมงคล ชาสำหรับคารวะแขก ในวันปีใหม่ของคนเจียงหนันยังใส่ลูกสมอ 2 ลูกไว้ในจานรองถ้วยชาหรือถาดชุดชา เพื่อสื่อความหมายว่า ‘ชาเงิน’ และในสำรับอาหารจะต้องมีผัดผักกาดรวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นเคล็ดว่า กินแล้วจะบันดาล ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ เนื่องจาก ‘ผัดผักกาด’ ในภาษาจีนคือ เฉ่าชิงไช่ (炒青菜) ซึ่งมีเสียงใกล้เคียงกับ ชินชินเย่อเย่อ (亲亲热热) ที่แปลว่า ‘ความสนิทสนมอบอุ่น’ และอาหารสำคัญอีกอย่างคือ ผัดถั่วงอก เนื่องจากถั่วงอกเหลืองมีรูปร่างคล้ายกับ ‘หยกหยูอี้’ ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า หยูอี้ (如意) ที่แปลว่า สมปรารถนา
       
       นอกจากนี้ ตามประเพณีการกินอาหารปีใหม่จะต้องกินหัวปลา แต่อย่าสวาปามจนเกลี้ยงจนแมวร้องไห้ ธรรมเนียมการกินปลาให้เหลือนี้เพื่อเป็นเคล็ดว่า ‘เหลือกินเหลือใช้’ ซึ่งในภาษาจีน มีคำว่า ชือเซิ่งโหย่วอี๋ว์ (吃剩有鱼) คำว่า ‘鱼-อี๋ว์’ ที่แปลว่าปลานั้น พ้องเสียงกับ ‘余 -อี๋ว์’ ที่แปลว่า เหลือ จึงเป็นเคล็ดว่า ขอให้ชีวิตมั่งมีเหลือกินเหลือใช้
       
       สำรับทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงามของวันรุ่งอรุณแห่งปี
       
       หลังจากรับประทานอาหารมื้อแรกของวันตรุษแล้ว ชาวจีนนิยมไปศาลบรรพบุรุษบูชาบรรพบุรุษ และยังมีวิถีปฏิบัติเพื่อขอพรและขอความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่อื่นๆ ได้แก่ จุดโคมไฟ จุดประทัด ถวายเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้า ไปวัด ออกจากบ้านไปทัศนาจร รวมถึงการไปเก็บต้นงา เพราะเชื่อว่าชีวิตจะเจริญยิ่งๆขึ้นไปเหมือนต้นงาที่งอกขึ้นเป็นข้อๆ ชั้นๆ

หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2014, 09:31:59 pm
รู้จักประเพณีต่างๆ ในเทศกาลตรุษจีน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มกราคม 2557 16:02 น.

-http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012128-

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253209.JPEG)
       กินขนมเข่ง (年糕) อำนวยพรชีวิตเจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ

       อาหารที่ขาดไม่ได้ในวันตรุษจีนอีกอย่างคือ ขนมเข่ง ขนมที่ชาวจีนเรียก เหนียนเกา (年糕) นิยมทำกินในหมู่ชาวจีนทางใต้ ประเพณีกินเหนียนเกาในวันตรุษมีมา 7,000 กว่าปีแล้ว เดิมทีทำขึ้นเพื่อเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ ภายหลังกลายเป็นอาหารนิยมในช่วงตรุษจีน มีความหมายอำนวยพรให้ชีวิต ‘เจริญยิ่งๆขึ้นทุกปีๆ ’ (生活年年提高)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253210.JPEG)
       จุดประทัดรับปีใหม่

       นอกจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าและวันที่ 5 เดือน 1 ที่จะมีการจุดประทัดกันแล้ว ประเพณีการจุดประทัดในเช้าวันแรกของปีใหม่ก่อนออกจากบ้าน ก็เป็นความเชื่อของชาวจีนว่า จะเป็นการเริ่มต้นปีด้วยความคึกคักหรือที่เรียกว่า 开门炮 (ไคเหมินเพ่า) เพื่อต้อนรับวันแรกของปี
       
       ประทัดของจีนมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เดิมทีใช้ปล้องไม้ไผ่ตั้งไฟเผาให้ระเบิดจนเกิดเสียงดัง ใช้ในการขับไล่ภูตผีป้องกันเสนียดจัญไร ต่อมาใช้ในพิธีไสยศาสตร์ของพ่อมดหมอผีและการเสี่ยงทาย จนในที่สุดกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการอธิษฐานขอความสงบร่มเย็น

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253211.JPEG)
       เดินสายอวยพรตรุษจีน

       กิจกรรมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ช่วงตรุษจีน คือ “ไป้เหนียน (拜年)” หรือ การอวยพรตรุษจีน หากกล่าวว่า “จี้จู่ (祭祖)” เป็นการเซ่นไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ “ไป้เหนียน” ก็จะเป็นการสังสรรค์กับญาติสนิทที่ยังมีชีวิตอยู่ในวันขึ้นปีใหม่ กิจกรรมทั้ง 2 อย่างต่างเป็นการแสดงออกถึงการสื่อสัมพันธ์กับญาติที่ใกล้ชิด
       
       ในอดีตหากญาติสนิทมิตรสหายมีมาก แวะไปเยี่ยมเยียนได้ไม่ทั่วถึง พวกชนชั้นสูงมักจะส่งคนรับใช้นำบัตรอวยพร หรือ “ฝูเต้า (福倒)” (ความสุขมาถึงแล้ว) ไปให้แทน ฝ่ายที่รับการ “ไป้เหนียน” ที่เป็นผู้สูงอายุมักจะให้ “ยาซุ่ยเฉียน (压岁钱)” แก่เด็กๆ ที่มาไหว้เยี่ยมเยียน
       
       ส่วนการ “ไป้เหนียน” ของชาวบ้านทั่วไปก็มีอิทธิพลต่อชนชั้นสูงเช่นกัน ซึ่งราชสำนักในสมัยหมิงชิงนิยมจัดงาน “ถวนไป้ (团拜)” หรืองานที่ชุมนุมญาติๆ ไว้ด้วยกัน ให้ทำการ “ไป้เหนียน” ซึ่งกันและกันในคราเดียว มาถึงปัจจุบันยังนิยมจัดงานเช่นนี้อยู่ ซึ่งคล้ายกับเป็นงานฉลองปีใหม่กับหมู่ญาติสนิทมิตรสหายไปในตัว
       
       สำหรับการ “ไป้เหนียน” ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคไฮเทค นอกจากการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านแล้ว ยังนิยมส่งบัตรอวยพร โทรศัพท์ อีเมล์ หรือส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อส่งความสุขซึ่งกันและกัน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253212.JPEG)
กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่

       กลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่
       หลังจากวันแรกของปีใหม่ผ่านพ้นไป บรรดาหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วจะกลับไปอวยพรตรุษจีนพ่อแม่และญาติพี่น้อง พร้อมกับสามีและลูกๆ ที่ชาวจีนเรียกกันว่าการกลับบ้านแม่ หรือ ‘หุยเหนียงเจีย (回娘家)’ ซึ่งถือเป็นโอกาสพาเด็กๆ ไปเยี่ยมคารวะคุณตา คุณยาย คนเฒ่าคนแก่ และรับอั่งเปามาเป็นเงินก้นถุง
       
       ส่วนใหญ่จะไม่กลับบ้านแม่มือเปล่า แต่จะนำขนมคุกกี้ ลูกอม ไปฝากญาติพี่น้องและบ้านใกล้เรือนเคียง ตลอดจนพกอั่งเปาไปแจกหลานๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงออกซึ่งความห่วงหาอาทรต่อบ้านเกิดของหญิงที่ออกเรือนไปแล้ว แต่การกลับไปบ้านแม่นี้ จะแค่กินข้าวเที่ยง ไม่มีการนอนค้าง
       
       ตามธรรมเนียมเดิม ก่อนกลับคุณตาคุณยายจะแต้มสีแดงที่หน้าผากหลาน เพื่อให้เป็นสิริมงคล และป้องกันภูติผีปีศาจมารังควาญ ด้วยหวังให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ปราศจากโรคภัย
       
       กิจกรรมที่สำคัญอีกอย่างในวันนั้นก็คือ การเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยแต่ละบ้านจะทำการติดภาพเชิญเทพเจ้าโชคลาภเข้ามายังบ้านของตน

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253213.JPEG)



       เรื่องต้องห้ามก่อนวันที่ 5 ‘พ่ออู่ (破五)’
       ตรุษจีนเป็นเทศกาลแห่งความสุขสนุกสนาน และยังเป็นเทศกาลที่คงธรรมเนียมประเพณีดั่งเดิมไว้ ซึ่งในช่วงนี้จะมี ‘คำพูดหรือการกระทำต้องห้าม’ เช่น ในวันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่ ผู้หญิงห้ามออกจากบ้านไปอวยพรปีใหม่และห้ามกลับไปบ้านแม่ เด็กน้อยห้ามร้องไห้กระจองอแง ทุกคนห้ามพูดเรื่องอัปมงคล เพื่อนบ้านห้ามทะเลาะเบาะแว้ง รวมทั้งห้ามทำอุปกรณ์เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์แตกเสียหาย ตลอดจนห้ามเชิญหมอมาที่บ้าน
       
       ตั้งแต่ชิวอิก หรือ ชูอี (初一) จนถึงชูซื่อ (初四) หรือวันที่ 1-4 ของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ ห้ามคนในบ้านทำสิ่งที่ไม่เป็นสิริมงคลทั้งหลายตั้งแต่ใช้เข็มเย็บผ้า กรรไกร กวาดบ้าน และยังห้ามกินข้าวต้มในวันที่ 1 ด้วย เพราะข้าวต้มจัดเป็นอาหารของขอทานคนยากจน
       
       เมื่อเข้าวันที่ 5 หรือชูอู่ (初五) จึงจะเริ่มผ่อนคลายกฎต้องห้ามต่างๆ และเข้าสู่ภาวะปกติ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘พ่ออู่ (破五)’ ซึ่งหมายถึง ทำให้แตก หรือยกเลิกข้อห้ามในวันที่ 5 โดยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ หุงหาอาหารได้ตามเดิม ส่วนอาหารยอดนิยมในวันนี้จะเป็นเกี๊ยวจีน (饺子) ที่ในสมัยก่อนเรียกว่า ‘เนียอู่ (捏五)’ โดยแทนการห่อเงินห่อทอง นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย
       
       นอกจากนั้น นับตั้งแต่วันที่ 5 ผู้คนจะสามารถนำขยะไปทิ้งข้างนอกได้ อย่างที่ชาวจีนเรียกว่า ‘เต้าฉานถู่ (倒残土)’ และยังถือวันที่ 5 นี้ เป็นวันเกิดของเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองที่ประจำทั้ง 5 ทิศ ซึ่งตามร้านค้าต่างๆ จะประกอบพิธีไหว้ เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยเปิดกิจการรับปีใหม่ด้วย

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253214.JPEG)
       อั่งเปา

       การแจกอั่งเปา (红包ซองแดง) หรือ *แต๊ะเอีย (กด/ทับเอว) สำหรับเด็กสมัยใหม่ต่างคาดหวังหรือหลงระเริงไปกับตัวเงินในซอง แต่หารู้ไม่ว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่ซองแดงต่างหาก
       
       ชาวจีนนิยมชมชอบ “สีแดง” เป็นที่สุด อย่างที่มีคนเคยพูดว่า “จะถูกจะแพง ก็ขอให้แดงไว้ก่อน” เพราะว่า ตามความเชื่ออย่างจีน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวา ความสุข และโชคดี
       
       เรามอบอั่งเปาให้แก่บุตรหลาน หรือญาติผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการมอบโชคลาภและพรอันประเสริฐต่างๆ ให้แก่พวกเขา เงินในซองแดงแค่เพียงต้องการให้เด็กๆ ดีใจ แต่ตัวเอกของประเพณีนี้อยู่ที่ซองแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโชคดี ดังนั้น การเปิดซองอั่งเปาต่อหน้าผู้ให้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพเช่นกัน
       
       อั่งเปาสามารถมอบให้ในระหว่างไหว้ตรุษจีนในหมู่ญาติพี่น้อง หรือวางไว้ข้างหมอนเวลาที่ลูกๆ หลับในคืนวันสิ้นปีก็ได้
       
       ประเพณีการให้แต๊ะเอียได้สืบทอดสู่ชาวจีนรุ่นต่อรุ่น ทั้งในประเทศจีนและจีนโพ้นทะเล ครอบครัวจีนส่วนใหญ่ถือว่า ลูกหลานที่ทำงานแล้ว จะไม่ได้แต๊ะเอีย แต่จะกลายเป็นผู้ให้แทน การให้อั่งเปา ว่าเป็นวิธีการกระชับสัมพันธ์ในหมู่ญาติอีกแบบหนึ่ง
       
       นอกจากนี้ ยังมีตำนานโบร่ำโบราณเกี่ยวกับเรื่องอั่งเปาอีกว่า เมื่อครั้งโบราณกาลมีปีศาจเขาเดียวนามว่า “ซุ่ย” (祟) อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ทุกคืนวันส่งท้ายปีมันจะขึ้นฝั่งมาทำร้ายเด็กๆ โดยซุ่ยจะใช้มือลูบศีรษะเหยื่อ หลังจากนั้นเด็กจะจับไข้ จากเด็กฉลาดเฉลียวจะกลายเป็นเด็กที่สมองเชื่องช้า
       
       ชาวบ้านเกรงว่า ปีศาจซุ่ยจะมาทำร้ายลูกหลาน เมื่อถึงคืนวันสุดท้ายของปี ก็จะจุดไฟเฝ้ายาม ไม่หลับไม่นอนตลอดทั้งคืน เรียกว่า “โส่วซุ่ย” (守祟 หรือ เฝ้าตัวซุ่ย) ต่อมาแผลงเป็น “โส่วซุ่ย” (守岁) ประเพณี“เฝ้าปี” ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติกันในค่ำคืนก่อนผัดเปลี่ยนสู่ปีใหม่แทน
       
       ในคืนนั้นเองมีเรื่องเล่าว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งแซ่ กวน นำเงินเหรียญออกมาเล่นกับลูก ครั้นลูกน้อยเหนื่อยล้าหลับไป จึงได้นำเงินเหรียญห่อใส่กระดาษแดงแล้ววางไว้ข้างหมอนลูก เมื่อปีศาจซุ่ยบุกเข้าบ้านสกุลกวนหวังทำร้ายเด็ก แต่เพราะแสงทองจากเหรียญโลหะข้างหมอนกระทบเข้าตา ทำให้ซุ่ยตกใจและหนีไป
       
       เรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านอื่นๆ ต่างพากันลอกเลียนแบบ โดยทุกวันสิ้นปีผู้อาวุโสจะมอบเงินห่อกระดาษแดงแก่ลูกหลาน “ซุ่ย” จะได้ไม่กล้ามาทำร้าย นับแต่นั้นมาจึงเรียกเงินที่ให้นี้ว่า “ยาซุ่ยเฉียน” (压祟钱หรือ เงินทับตัวซุ่ย)ต่อมาแผลงเป็น “เงินทับซุ่ย (ปี)” แทน
       
       * ที่มาของคำว่า “แต๊ะเอีย” มาจากสมัยก่อนเงินตราที่ชาวจีนโบราณใช้กันเป็นโลหะ ขณะนั้นยังไม่มีชุดเสื้อผ้าที่มีกระเป๋า จึงได้นำเงินใส่ถึงและผูกรอบเอว เงินยิ่งมากน้ำหนักยิ่งกดทับที่เอวมากตาม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001253215.JPEG)
       กินบัวลอยแล้วออกไปชมโคมไฟ ในคืน ‘หยวนเซียว’

       เทศกาลหยวนเซียว(元宵节) คือวันที่ 15 เดือนอ้ายในปฏิทินจันทรคติ คำว่า 元หยวน มีความหมายว่า แรก ส่วน宵เซียว แปลว่า กลางคืน จึงใช้เรียกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน สำหรับคืนนี้ มีประเพณีว่า ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนำมาประดับประดากันอย่างสวยงาม ดังนั้น จึงมีการเรียกเทศกาลนี้อีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ (灯节)
       
       ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่ถึงค่ำคืนเทศกาลหยวนเซียว ผู้คนก็จะหลั่งไหลไปตามท้องถนนเพื่อชมโคมไฟที่มีรูปทรงต่างๆ ทายปัญหาเชาวน์ที่ซ่อนอยู่ในโคมไฟ เล่นดอกไม้ไฟ จุดประทัด แห่สิงโต ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมบันเทิงใจ
       
       นอกจากการชมโคมไฟแล้ว สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือการรับประทานบัวลอยที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า ภายในมีไส้ทั้งไส้หวานและไส้เค็ม ปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วนำไปต้มหรือนำไปทอด ในยุคแรก ชาวจีนเรียกขนมชนิดนี้ว่า浮圆子ฝูหยวนจื่อ (,浮-ลอย 圆子-ลูกกลมๆ) ต่อมาก็เรียกว่า 汤团ทังถวน(汤-น้ำแกง团-ลูกกลมๆ ) หรือ 汤圆ทังหยวน โดยมีความหมายเหมือนกัน ทั้งออกเสียงใกล้เคียงกัน และ 团圆เมื่อรวมกันแล้ว ก็ได้ความหมายถึงการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว


http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012128 (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012128)
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 09:31:11 am

แปรรูปขนมเข่ง เป็นของกินเล่นแสนอร่อย


-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%87_%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-

เทศกาลตรุษจีน ผ่านไป ของไหว้ก็มีมากมายกินไม่หมดจะทิ้งก็เสียดาย จะทำยังไงดีละ วันนี้เลยเอาสูตรเด้ด แปลงโฉมขนมเข่งเหนียวๆ ให้เป็นของกินเล่นสุดอร่อยที่คุณสามารถทำได้เองง่ายๆที่บ้านมาให้คุณได้ลองทำกันดูค่ะ

วัตถุดิบ
1. ขนมเข่ง (แช่ตู้เย็นไว้ซัก1-2 คืน จะดีกว่าแบบตากแดดเพราะเนื้อขนมเข่งเวลาทอดจะไม่นุ่ม)
2. แป้งโกกิ
3. ไข่ไก่
4. เกลือ (นิดหน่อย)

วิธีทำ
1. หั่นขนมเข่งเป็นชิ้น ไม่หนา ไม่บาง หรือแล้วแต่ชอบ
2. ตอกไข่ใส่ชาม ตีจนฟู เหมือนทำไข่เจียวนั้นละค่ะ
3. ใส่แป้งโกกิลงไปในไข่ที่ตีแล้ว ตีให้เข้ากัน อย่าให้แป้งจับตัวกันเป็นก้อน
4. เมื่อแป้งเข้ากับไข่เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ใส่เกลือนิดหน่อย
5. นำขนมเข่งที่หั่นแล้ว นำลงไปชุบในแป้งที่ผสมเสร็จแล้ว


เรียบเรียงโดย : sanook.com
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 10:19:35 am

ขนมเทียนแก้ว ขนมไทยประยุกต์เหนียวนุ่มอร่อย

-http://cooking.kapook.com/view81258.html-

(http://img.kapook.com/u/pirawan/Cooking1/Stuffed-dough-pyramid-dessert.jpg)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักกับขนมเทียนที่ใช้ไหว้เจ้าในช่วงตรุษจีน แต่ถ้าพูดถึงขนมเทียนแก้วหลายคนอาจจะไม่รู้จัก ขนมเทียนแก้วนี้ดัดแปลงมาจากขนมเทียนที่เปลี่ยนจากแป้งข้าวเหนียวมาใช้แป้งถั่วเขียวแทน ทำให้เนื้อขนมใส มองเห็นไส้ด้านใน มีเนื้อที่เหนียวนุ่มกว่า และไม่เหนียวติดมือ ซึ่งในสมัยนี้อาจจะหาซื้อกินยากไปสักนิด ถ้าอย่างนั้นเราลองมาทำกินเองกันดีกว่า

สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับตัวแป้ง)

           แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย

           น้ำลอยดอกมะลิ (หรือน้ำผสมน้ำหอมกลิ่นมะลิ) 5 ถ้วย

           ใบตอง สำหรับห่อขนม


วิธีทำ

           1. ใส่น้ำตาลทรายและน้ำลอยดอกมะลิลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อม ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น

           2. ผสมแป้งถั่วเขียวและน้ำลอยดอกมะลิให้เข้ากัน กรองด้วยตะแกรง จากนั้นเทใส่กระทะทองเหลือง ใส่น้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน กวนจนส่วนผสมแป้งสุกและใส ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนอุ่น

           3. ตักส่วนผสมแป้งลงในกรวยใบตอง ตามด้วยไส้ ห่อเป็นทรงสามเหลี่ยมให้สวยงาม






สิ่งที่ต้องเตรียม (สำหรับทำไส้ขนม)

          ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 1 กิโลกรัม

          หอมแดง

          พริกไทย

          น้ำมันพืชสำหรับผัด

          เกลือป่น สำหรับปรุงรส

          น้ำตาลทราย สำหรับปรุงรส


วิธีทำ

          1. ล้างถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท

          2. โขลกหอมแดงกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ

          3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

          วิธีทำก็คล้าย ๆ กับการทำขนมเทียนเลย แค่เปลี่ยนชนิดแป้งเท่านั้น แต่หน้าตาดูน่ากินกว่า เพราะใสแจ๋วมองเห็นไส้ใน ฝึกปรือฝีมือกันสักหน่อย รับรองทำขายได้สบาย ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ประวัติ และเรื่องราวน่ารู้ ที่เกี่ยวกับ "วันตรุษจีน"
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 08:43:57 am
.

เจาะลึกเรื่อง “มังกร” ต้อนรับตรุษจีน
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000016169-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
7 กุมภาพันธ์ 2556 17:29 น.

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2551707)
มังกรที่นิยมนำมาเชิดในงานเทศกาล

       อีกไม่กี่วันก็จะเข้าเทศกาลตรุษจีนแล้ว บรรยากาศหลายๆ แห่งเต็มไปด้วยการประดับประดาอาคารบ้านเรือนให้เข้ากับเทศกาล หลายคนหาซื้อของเข้าบ้านเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่นำโชคและเคารพนับถือ อย่างเช่น “มังกร”
       
       น่าสนใจว่า "มังกร" นั้น แท้จริงแล้วมาจากจากไหน บ้างว่า "มังกร" เป็นสัตว์ในตำนานหรือเทพนิยาย มังกรในโลกตะวันตกมีหน้าตาแบบหนึ่ง มังกรในโลกตะวันออกก็มีหน้าตาต่างออกไป แล้วมังกรเป็นสัญลักษณ์ด้านธรรมะหรืออธรรมกันแน่ จริงๆ แล้วมังกรมีลักษณะอย่างไร แต่ละชนชาตินับถือมังกรอย่างไร หลายคำถามที่เราจะไปหาคำตอบกัน

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2551706)
มังกรจีน

       “มังกรจีน” เป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือ คนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของมังกรจีนในงานด้านจิตรกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน ได้แก่
       
       - หัว คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้
       หนวด คล้ายกับหนวดของมนุษย์
       - เขา คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
       - ตา คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต
       - หู คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น
       - คอ คล้ายกับคองู
       - ท้อง คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์
       - เกล็ด คล้ายกับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ
       - ฝ่าเท้า คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ


(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2551708)
มังกรที่นิยมนำมาเชิดในงานเทศกาล

       แต่ทว่ามังกรแต่ละตัวนั้น ก็มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้
       - มังกรมีเขา หรือหลง มีเขาเหมือนกับกวางดาว คนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุด สามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ใช้ในเป็นสินค้าทางธุรกิจส่งออก
       - มังกรมีปีก หรือหว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรแบบตะวันตกที่สามารถพ่นไฟ ได้ ชาวตะวันตกนิยมที่จะนำมาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัวแทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยอาหาร

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2551709)
มังกร สัญลักษณ์ด้านมืด


       - มังกรสวรรค์ หรือเทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า และคอยปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย
       - มังกรวิญญาณเฉียนหลง หรือหลีเฉี่ยวหลง สามารถบันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตร และเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย
       -มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือฟูแซง เป็นมังกรบาดาล เป็นคติที่เก่าแก่มาก ซึ่งเป็นตามคติอินเดียและกรีกโบราณมากกว่าของจีน
       - มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน
       - มังกรบ้าน หรือลี่หลง จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น

       และมีอีกนามนึงที่จะลืมเอ่ยไม่ได้เลย คือ พญามังกร ขึ้นชื่อว่าเป็นพญา ต้องเป็นที่สุดแห่งมังกรสี่ตัว ที่คอยปกครองทะเลทั้งสี่ทิศ คือเหนือ(ปัก), ใต้(น้ำ), ตะวันตก(ไซ), ตะวันออก(ตัง) อาศัยอยู่ในปราสาทใต้มหาสมุทร กินไข่มุกเจียงตูและโอปอล เป็นอาหาร มีแผงคอเป็นไฟ และยาวถึง 900 ฟุต
       
       มีการบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า "มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักษณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ”
       
       ที่มา:ชมรมส่งเสริมกีฬาเชิดสิงโต มังกรประเทศไทย

.