ใต้ร่มธรรม

คลังธรรมปัญญา => หนอนหนังสือ => หนังสือธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 02:49:05 pm

หัวข้อ: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 02:49:05 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-X_H_imSQsdI/Uut3Xw2Gq4I/AAAAAAAFlfA/v7cE_2lhbFQ/w333-h518/0AutumnArc.gif)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 1 การณ์เป็นไปเช่นนั้น

ความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนดิน ทำให้ต้นไม้ได้แผ่กิ่งก้าน ผลิใบบางต่อยอดต่อกิ่งของมันออกไป สายฝนที่โปรยปรายตามฤดูกาล ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ รากของต้นไม้เร่งทำหน้าที่ของมันดูดซับน้ำหล่อเลี้ยงลำต้น เมื่อมันเป็นวาระแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มาเยี่ยมเยือน ต้นไม้มันก็พร้อมแสดงศักยภาพในความงดงามของมันออกมา ปุ่มเล็กๆค่อยๆทแยงดันออก จากข้อต่อระหว่างใบไม้และเปลือกหุ้มลำต้น การเจริญเติบโตเป็นไปด้วยความเหมาะสมบนกาลเวลา เป็นความพร้อมที่จะผลิตดอกออกผลมา ความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ก็ทำให้เปลือก ที่เป็นปุ่มที่หุ้มเนื้อเยื่อมันปริออก เยื่อที่แผ่กลีบบางๆมีสีสันสวยงาม มันบานออกเพื่อความงามของมันตามรูปทรงแห่งธรรมชาติ มันคือดอกไม้ที่ธรรมชาติแห่งต้นแม่ได้รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้น นี่คือความเป็นของดอกไม้

                          (https://lh5.googleusercontent.com/-G4zESG-MlAg/UkB2JYnX3cI/AAAAAAAB4Vw/nVOQHxhiMM4/w533-h300/%D8%AA%D9%86%D8%B2%D9%8A%D9%84+%281%29.gif)

ไข่อ่อนของตัวหนอนไหมที่ถูกแม่ไข่ทิ้งไว้ มันสามารถเจริญเติบโตของมันเองตามธรรมชาติ สัญชาตญาณจะพาให้มันเลี้ยงดูหากินด้วยตัวมันเอง เมื่อมันเติบโตพอมันจึงหาอาหารกินใบไม้ เพื่อพ่นเส้นใยทำรังห่อหุ้มตัวของตัวเอง อวัยวะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพไปจากความเป็นหนอน หู ตา แขน ขา และปีก เริ่มแทงทะลุเหยียดออกมาจากลำตัว เมื่อความพร้อมมาเยือนสำหรับการเริ่มต้น ของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งของดักแด้นั้น การลอกคราบ เพื่อโบยบินกระพือปีกไป ในความเป็นอิสรเสรีบนโลกกว้าง ก็เริ่มขึ้น นี่คือความเป็นไปแห่งผีเสื้อ

                  (https://lh5.googleusercontent.com/-XMX4XUzffZM/Uof-H6Z-IeI/AAAAAAABYbU/t4PGvz4wPKo/w333-h203/29_Zbigniew+Kopania.jpg)

เมื่อดอกไม้และผีเสื้อ ยังคงปรากฏในความเป็นไปตามธรรมชาติอยู่เช่นนี้ ความสัมพันธ์ของสองสิ่ง ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยรูปลักษณ์ จึงเข้ามาเกี่ยวพันกันด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม ในความเป็นของมันเองทั้งสอง ดอกไม้ก็ชูช่อบานไสวท้าทายแดดลม อวดโฉมความงามของมันโดยไม่สนใจใคร ผีเสื้อก็โบกบินไปภายใต้ผืนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อดอกไม้ทำหน้าที่เบ่งบานออกมาในยามเช้าแห่งอรุณรุ่ง และผีเสื้อก็ปรากฏกาย ณ ที่นั้น ถึงแม้ทั้งสองจะไม่มีใจถวิลหาต้องการซึ่งกันและกัน แต่ความมีหน้าที่ต่อกันตามธรรมชาติจึงทำให้เป็นไปเช่นนั้นเอง ดอกไม้บานเพื่อแสดงให้เห็นละอองเกสรของมัน ผีเสื้อก็ก้มดูดกินน้ำหวานที่ซ่อนอยู่ในเกสรของดอกไม้นั้น มันดูดกินดอกแล้วดอกเล่า เป็นการผสมพันธุ์ให้ต้นไม้นั้นผลิเป็นผลดอกออกมา ธรรมชาติได้ดึงดูดให้สองสิ่งทำหน้าที่ต่อกันอย่างลงตัว ดอกไม้ไม่เคยเชื้อเชิญผีเสื้อสักครั้งเดียว และผีเสื้อก็ไม่มีความตั้งใจถวิลหาดอกไม้ แต่เมื่อเหตุและปัจจัยเป็นไปตามธรรมชาติ ดอกไม้จึงบานออก ผีเสื้อจึงบินมาวน การณ์จึงเป็นไปเช่นนั้น เป็นไปอยู่แบบนั้น

(https://lh3.googleusercontent.com/-pFxnc6BMUNc/UuUGqc5ATjI/AAAAAAABFJc/cO7md8LrsYI/w433-h299/26+01+2014+-+1)
: F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
26 มกราคม 2557

                          (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s403x403/66821_348713468597245_1246772253_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: กระตุกหางแมว ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:01:39 pm
อนุโมทนาครับพี่แป๋ม  :45: :13:
หัวข้อ: Re: บทที่ 2 เซนในสายเลือด
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:20:52 pm

                  (https://lh3.googleusercontent.com/-00jc0iMtfHw/UgHJLRj2LJI/AAAAAAAA45c/iOqGzbwrWoc/w533-h399/Early+Morning+@+Bandipur+by+Ravisanath.png)

บทที่ 2 เซนในสายเลือด
เมื่อครั้งที่ฉันยังปฏิบัติธรรมฝึกฝนตนเองอยู่ที่อินเดีย ท่านอาจารย์สอนให้ฉันรู้จักความเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉันเอง ได้รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ที่อยู่มากับตัวฉันเองโดยตลอดตั้งแต่ต้น อาจารย์ท่านได้มีความเมตตากรุณาถ่ายทอดธรรมชาตินั้น มาสู่เนื้อหาความเป็นธรรมชาติในความเป็นฉันเอง เพื่อให้ฉันได้ตระหนักว่าแท้จริงชีวิตซึ่งเป็นชีวิตจริงๆของฉันนั้นคืออะไร และควรดำเนินชีวิตนี้ไปในทางใดลักษณะใด

 หลังจากนั้นต่อมา ฉันจึงได้รู้อย่างแจ้งชัดแล้วว่า การเห็นธรรมชาติแห่งตนเองนั้นก็คือ เซน ความที่เป็นธรรมชาติแห่งการไม่เคยคิดถึงอะไรเลยก็คือ เซน ทุกสิ่งที่ฉันทำก็คือ เซน เพราะเซนก็คือความเป็นธรรมชาติที่ฉันเป็นอยู่นั่นเอง หน้าที่แห่งการชำระจิตใจอันแปดเปื้อนสกปรกโสมมของฉัน ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่หน้าที่แห่งการที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อไปนี้ ก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะพาฉันไป

ฉันมาสู่ประเทศจีน ก็ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว คือการทำหน้าที่เผยแผ่ถ่ายทอดธรรมอันบริสุทธิ์ ซึ่งคือธรรมชาตินี้ให้ไปสู่แก่ชนรุ่นหลัง ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะทำให้ความรู้ อันเป็นเหตุให้ได้ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งในธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มีการสืบทอดคงอยู่ตลอดไปแบบไม่ขาดสาย

                   (https://lh4.googleusercontent.com/-Bk7ImkhqzNM/UhzbqtRMV_I/AAAAAAAA8wM/sDmgtYaRxAg/w433-h268/1000x689_873_%D0%91%D1%80%D0%B8%D0%BB%D0%BB%D0%B8%D0%B0%D0%BD%D1%82%D1%8B_%D0%B4%D0%BB%D1%8F_%D0%97%D0%BE%D0%BB%D1%83%D1%88%D0%BA%D0%B8_nature_rain_cobweb_diamond_photo_photography_digital_art.jpg)

ความเป็นเนื้อนาบุญแห่งการรักษาจิตใจของตน ไม่ให้เศร้าหมองเพื่อกั้นจิตไม่ให้ตกไปสู่ภพภูมิที่ลำบากนั้น ฉันไม่ค่อยเป็นห่วง เหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายในรุ่นก่อนๆก่อนหน้าที่ฉันจะมาสู่ที่นี่ ก็ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้อย่างดีที่สุดแล้ว การบำเพ็ญบริจาคทานและการรักษาศีลในจีนนั้น เป็นไปด้วยความมีศรัทธาอย่างกว้างขวางในหมู่บรรพชิตนักบวช และอุบาสกอุบาสิกาผู้ที่มีความตั้งใจมั่นยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก และเป็นเหตุปัจจัยเดียวที่ทำให้ฉันมาเหยียบแผ่นดินนี้

 ก็คือความที่ไม่มีใครเลยสักคนเดียว ที่รู้จักคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของตถาคตเจ้าอันคือธรรมชาตินี้ ไม่มีใครสักคนที่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของตนเองเลย ทุกคนเอาแต่ใฝ่บุญ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุปัจจัยชั่วคราวแบบไม่ยั่งยืนแต่เพียงเท่านั้น แท้จริงแล้วความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าชีวิตและความตาย ที่มันยืนรอเราอยู่เบื้องหน้า ชีวิตที่ก่อเกิดเป็นอยู่และกำลังดำเนินไปอยู่นั้น มันเป็นชีวิตที่เสมือนแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย เมื่อเส้นด้ายซึ่งมีเพียงสภาพอันเปราะบางนั้นขาดลง ก็ทำให้เราพลัดตกลงไปสู่ภพภูมิต่างๆ ที่รอการเกิดใหม่อยู่เบื้องหน้าซึ่งเป็นหนทางที่ยากลำบาก

ความเป็นทุกข์เพราะการไปเกิดในสังสารวัฏอันนับไม่ถ้วนนั้น ทำให้ต้องเร่งรีบย้อนกลับมามองดูตนเองว่า เสี้ยวเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่อันน้อยนิดนั้น เราควรที่จะดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง ไม่ประมาทด้วยการใฝ่หาประโยชน์อันสูงสุด นำมาสู่ชีวิตอันมีค่าประเสริฐยิ่งของพวกเรา อันจะทำให้เราพ้นออกมาจากพงหนาม ที่เราได้เหยียบย่ำไปในที่รกชัฏแห่งวัฏสังสารการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลาของเราเอง

(https://lh3.googleusercontent.com/-8fJYPOqujbY/UfTNtGHdMoI/AAAAAAAAKrQ/pbvt4WtXcus/w433-h255/29.06.13+-+1.jpg)

เมื่อฉันมาที่นี่ผู้เดียว ฉันจึงเป็นอาจารย์แต่ผู้เดียวที่สามารถสั่งสอนพวกเธอได้ ฉันได้รับวิธีการใดมาจากอาจารย์ของฉัน ฉันก็จะสอนพวกเธอไปแบบนั้น คำเทศนาที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจแห่งพุทธะของฉัน ที่พวกเธอได้ตั้งใจฟังนั้น มันเป็นคำสอนที่ล้วนออกมาจากสายเลือดแห่งความเป็นเซนของฉันเอง มันเป็นเลือดทุกหยดซึ่งคือประสบการณ์ในชีวิตของฉันทั้งชีวิต และเลือดแห่งเซนนี้ ก็นำพาฉันมาที่นี่เพื่อมาเป็นครูสอนพวกเธอโดยเฉพาะ ก็ทั้งร่างกายและจิตใจของฉันทั้งหมดนี่แหละ คือเซน คือธรรมชาติแห่งเซน พวกเธอทั้งหลายล้วนอย่าได้มีความวิตกกังวลใดๆเลย จงโปรดมอบความไว้วางใจนั้นหยิบยื่นมาให้แก่ฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ผู้ชี้หนทางอันสว่างให้แก่พวกเธอ ธรรมชาติที่ฉันตั้งใจจะมาถ่ายทอดให้กับพวกเธอนี้ ล้วนเป็นธรรมชาติอันสืบทอดมาโดยตรงจากองค์พระศาสดา อันจะทำให้พวกเธอไม่มีวันได้หลงออกไปจากหนทางที่แท้จริงนี้ได้อีก และมันจะทำให้พวกเธอได้ทำหน้าที่ของพวกเธอเองได้อย่างถูกต้อง

 และด้วยภาระหน้าที่อันสาหัสสากรรจ์ ฉันก็จะใช้ความอดทนและรอคอย ต่อความเป็นไปใน "การนับหนึ่ง" เพื่อให้ถึงความสมบูรณ์พร้อมในวันข้างหน้า ฉันเป็นเพียงฐานะตัวแทนแห่งกลีบเดียวของดอกไม้ดอกนั้น กาลเวลาและเหตุปัจจัย ในการลงมาทำหน้าที่ของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่พวกเขาเหล่านี้ "ผูกใจไว้" ด้วยความศรัทธายิ่งต่อพระตถาคตเจ้า การสืบสายธรรมของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายนี้ ก็จะเป็นไปอย่างบริบูรณ์พรั่งพร้อมในวันข้างหน้า เมื่อกลีบดอกไม้รวมได้ครบหกกลีบ และดอกไม้นั้นได้ผลิบานออกมา มันจึงเป็นนิมิตหมายถึงเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะอันจำนวนมากมาย ที่สามารถแพร่กระจายเจริญเติบโต กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปทั่วดินแดนแห่งจีนนี้ อันสามารถเติบโตเป็นร่มเงาที่พึ่งให้แก่พุทธศาสนิกชน ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทั้งหลายในรุ่นหลังๆ ให้เข้ามาพึ่งพิงพักพิงตลอดสืบไป

(https://lh5.googleusercontent.com/-8EBj3cWofi8/UkLxU1cz_AI/AAAAAAAAFhw/zlU1cF8s270/w353-h332/556579_10151823324272860_1487069911_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
   : อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   28 มกราคม 2557
หัวข้อ: Re: บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 03:38:08 pm

                  (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p480x480/1601539_483952621714784_1621165783_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พุทธศักราช 440 ณ เมืองคันธารราช (Kanchi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของดินแดนปัลลวะ อันเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ท่านเกิดในวรรณะกษัตริย์ โดยเป็นราชโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าสิงหวรมัน ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นคันธารราช ก็ครั้งเมื่อพระองค์มีพระชนมายุวัยเยาว์ ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านมีความแตกฉานในคัมภีร์ไตรเภท ของศาสนาพราหมณ์ที่ท่านเคยนับถือมาแต่เดิม เพราะพระบิดาได้ส่งท่านไปเรียนในสำนักตักศิลา ในฐานะราชบุตรที่จะได้ขึ้นปกครองมีอำนาจสืบต่อความเป็นกษัตริย์ แทนพระบิดาท่านต่อไปในภายภาคหน้า

 แต่เมื่อท่านเติบโตเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ท่านได้มีความศรัทธาหันมานับถือพระพุทธศาสนา เหตุเพราะในครั้งนั้นพระบิดาของท่าน ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระ (Prajnatara) ซึ่งเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ผู้มีความแตกฉานในคัมภีร์ต่างๆและมีลูกศิษย์มากมาย และเป็นภิกษุที่อาศัยอยู่ในแคว้นมคธ ดินแดนแห่งพุทธธรรมที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ที่นั่นในเวลานั้น ให้ท่านเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองคันธารราช เพื่อที่จะให้คำสอนอันคือธรรมชาตินี้ ได้เผยแผ่ไปทั่วดินแดนแห่งปัลลวะของท่าน

ก็เพราะด้วยคำสอนที่ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาโดยเคร่งครัด ได้ละทิ้งทิฐิเดิมของตนหันหน้ามานับถือศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ด้วยความมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำสอนที่แท้จริงของตถาคตเจ้า ครั้งเมื่อพระบิดาของท่านได้เสด็จสิ้นพระชนม์ ก็เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างรัชทายาทเพื่อขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ ท่านโพธิธรรมหามีความปรารถนาต้องการ จะยื้อแย่งชิงมายาแห่งสมบัติเลือดนั้นไม่

 ท่านจึงตัดสินใจหลบหนีภยันตรายอันใหญ่หลวงนี้ ไปหลบลี้ภัยและฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาธรรมอย่างแท้จริง กับพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระบิดาท่าน และพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนี้เอง เป็นภิกษุผู้รับสืบทอดวิถีธรรมอันคือธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมอันแท้จริง มาจากสังฆปรินายกองค์ก่อนๆแห่งนิกายเซน ซึ่งเป็นการสืบทอดด้วยการถ่ายทอดธรรมแก่กันและกันเป็นรุ่นๆ สืบต่อกันมาตลอดโดยไม่ขาดสาย ซึ่งท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนั้น นับว่าท่านเป็นสังฆปรินายก องค์ที่ 27

ต่อมาเมื่อท่านโพธิธรรมได้บรรลุธรรมอันคือ ธรรมชาติ ที่มันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ด้วยอุบายการคุ้ยเขี่ยธรรมให้ตรงต่อความเป็นจริง ซึ่งเกิดจากการชี้แนะสั่งสอนของพระอาจารย์ปรัชญาตาระ เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เป็นการบวชที่ถึงพร้อมไปด้วยการตระหนักชัดแจ้ง และรู้แจ้งในความเป็นจริง และท่านก็ได้สำเร็จลุล่วงในความเป็นธรรมแห่งอภิญญา ตามบุญวาสนาของท่านในธรรมชาติแห่งฌานชั้นสูงนั่นเอง ท่านจึงเป็นพระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ และสำเร็จอภิญญามีฤทธิ์นานาประการ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านจะเดินทางมาสู่ประเทศจีนแล้ว

ด้วยเส้นทางบุญบารมีของท่านโพธิธรรม ที่ลงมาทำหน้าที่แห่งตนในฐานะโพธิสัตว์ ผู้ที่ผูกใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาของตนไว้ต่อตถาคตเจ้า และได้อธิษฐานต่อหน้าองค์พระพักตร์แห่งพระศาสดาเจ้า ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ ใต้ต้นสาละคู่นั้นแห่งเมืองกุสินารา ว่าตนจะลงมาทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมคำสั่งสอนอันแท้จริงนี้ ตามวาระกรรมแห่งบุญวาสนาที่เคยได้สั่งสมมาไว้

 เมื่อกิจคือหน้าที่ที่ตนต้องชำระความมัวหมองแห่งใจตน ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว พระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระจึงได้ทำการ "มอบบาตรและจีวรของตถาคตเจ้า" ที่ได้สืบทอดรับมอบต่อกันมาเป็นช่วงๆ มาตั้งแต่รุ่นที่หนึ่งคือ พระมหากัสสปะเถระ ที่ท่านได้รับมอบบาตรและจีวรนี้ "มาโดยตรง" จากองค์พระศาสดาตถาคต พระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงถูกนับเข้าเป็น พระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 แห่งนิกายเซน และท่านเองก็ได้รับหน้าที่ ให้เผยแผ่พระธรรมคำสอนที่แท้จริงตามธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่ต่อสืบไปอย่างไม่มีวันที่ขาดสายลงไปได้

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาเมืองจีนแล้ว ชาวจีนได้เรียกท่านด้วยความเคารพว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" และถึงแม้ว่าคำสอนของท่านยังไม่เป็นที่เข้าใจแพร่หลาย และท่านก็มีลูกศิษย์เป็นจำนวนน้อยมาก แต่การสืบทอดคำสอนของท่าน ก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยอยู่ภายใต้ "เงื่อนไข" ในกรรมวิสัย แห่งโพธิสัตว์รุ่นหลังทั้งหลาย ที่จะลงมาเกิดและเข้ามารับธรรม เพื่อสืบต่อไปเป็นรุ่นๆจนถึงรุ่นที่หก ก็ในคราวนั้นท่านเว่ยหล่างหรือฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ผู้ที่มีปัญญามากและมีบริวารมากเช่นเดียวกัน ก็จะลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่แห่งตน

 และในคราวนั้น คำสอนอันคือหลักธรรมชาติแห่งนิกายเซนนี้ จะถูกแพร่ขยายสืบต่อไปตามสายธารธรรมแห่งลูกศิษย์ท่าน และจะเป็นที่ยอมรับนับถือกันไปอย่างกว้างขวาง ทั่วทุกหนทุกแห่งในผืนแผ่นดินจีน และก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อกันไป จนเป็นศาสนาประจำชาติหยั่งรากลึกลงถึงอย่างมั่นคงในประเทศญี่ปุ่นสืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อคำสอนแห่งนิกายเซนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยบุญบารมีแห่งท่านเว่ยหล่าง จึงมีการจัดลำดับ "คณาจารย์" ผู้ที่ได้รับสืบทอดคำสอนที่แท้จริงอันคือธรรมชาตินี้ และได้รับบาตรและจีวรแห่งตถาคตเจ้าสืบมา โดยที่ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดเป็นองค์ที่ 28 และทางคณาจารย์ทั้งหลายแห่งเซนในประเทศจีน ได้ยกย่องให้ท่านเป็น สังฆปรินายก องค์ที่ 1 แห่งนิกายเซนประเทศจีน

(https://lh6.googleusercontent.com/-zv0mlrvM1j0/UvMQJCoqwHI/AAAAAAAEa5M/iEtSJsdmaN0/w233-h467/555+...+waterfall.gif)

การจัดลำดับคณาจารย์ ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดธรรมเพื่อสืบทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้อยู่ตลอดสายอย่างถาวรในความเป็นเซน จนกว่าจะสิ้นอายุแห่งบวรพระพุทธศาสนา เมื่อครบ 5,000 ปี นับแต่พระพุทธองค์ได้ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงมีดังนี้

พระพุทธเจ้า ได้ถ่ายทอดธรรมชาตินี้มาสู่
พระสังฆนายกที่ 1 พระอารยะ มหากัสสปะ
พระสังฆนายกที่ 2 พระอารยะ อานนท์
พระสังฆนายกที่ 3 พระอารยะ สันวสะ
พระสังฆนายกที่ 4 พระอารยะ อุปคุปต
พระสังฆนายกที่ 5 พระอารยะ ธริตกะ

พระสังฆนายกที่ 6 พระอารยะ มิฉกะ
พระสังฆนายกที่ 7 พระอารยะ วสุมิตร
พระสังฆนายกที่ 8 พระอารยะ พุทธนันทิ
พระสังฆนายกที่ 9 พระอารยะ พุทธมิตร
พระสังฆนายกที่ 10 พระอารยะ ปาสวะ

พระสังฆนายกที่ 11 พระอารยะ ปุนยยสัส
พระสังฆนายกที่ 12 พระโพธิสัตว์ อัศวโฆษ
พระสังฆนายกที่ 13 พระอารยะ กปิมละ
พระสังฆนายกที่ 14 พระโพธิสัตว์ นาคารชุน
พระสังฆนายกที่ 15 พระอารยะ คนเทว

พระสังฆนายกที่ 16 พระอารยะ ราหุลตะ
พระสังฆนายกที่ 17 พระอารยะ สังฆนันทิ
พระสังฆนายกที่ 18 พระอารยะ สังฆยสัส
พระสังฆนายกที่ 19 พระอารยะ กุมารตะ
พระสังฆนายกที่ 20 พระอารยะ ขยตะ

พระสังฆนายกที่ 21 พระอารยะ วสุพันธุ
พระสังฆนายกที่ 22 พระอารยะ มนูระ
พระสังฆนายกที่ 23 พระอารยะ อักเลนยสัส
พระสังฆนายกที่ 24 พระอารยะ สินหะ
พระสังฆนายกที่ 25 พระอารยะ วิสอสิต

พระสังฆนายกที่ 26 พระอารยะ ปุนยมิตร
พระสังฆนายกที่ 27 พระอารยะ ปรัชญาตาระ
พระสังฆนายกที่ 28 พระอารยะ โพธิธรรม (พระสังฆนายกองค์ที่ 1 ของจีน ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
พระสังฆนายกที่ 29 พระอาจารย์ เว่ยโห (พระสังฆนายกองค์ที่ 2 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 30 พระอาจารย์ ซังซาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 3 ของจีน)

พระสังฆนายกที่ 31 พระอาจารย์ ตูชุน (พระสังฆนายกองค์ที่ 4 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 32 พระอาจารย์ ฮวางยาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 5 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 33 พระอาจารย์เว่ยหล่าง (พระสังฆนายกองค์ที่ 6 ของจีน)

(https://lh3.googleusercontent.com/-rLNapWC9NG8/UkHg7YdwgLI/AAAAAAAAEFs/CLFDLJ2JsA8/s333/033b1b22d9d0834b4e8cd17647bcb7ea-ld.jpg)
>>> : F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
29 มกราคม 2527
หัวข้อ: Re: บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 07:40:59 pm

                    (https://lh3.googleusercontent.com/-oS85lTYHlzs/UtNDVinRJoI/AAAAAAAAxfw/H8i_G-pLfMo/w533-h523/12+-+1)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม

ด้วยอนาคตังสญาณแห่งปรัชญาตาระเถระ ที่ได้ล่วงรู้ด้วยอำนาจอภิญญาแห่งตนว่า ผืนแผ่นดินแห่งปัลลวะจะลุกเป็นไฟ เพราะการณ์ข้างหน้าจะเกิดเหตุมีศึกสงครามครั้งใหญ่ นับแต่ท่านจะได้ดับขันธ์ล่วงไปแล้ว 67 ปี เมื่อไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกรรรมวิบากแห่งสรรพสัตว์ ที่ต้องชดใช้ซึ่งกันและกันนี้ได้ เมื่อเกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ในการเผยแผ่ธรรมแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมหาปรัชญาตาระเถระจึงได้แนะนำให้ลูกศิษย์ของตน คือ ท่านโพธิธรรม ให้ตระเตรียมการไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อถ่ายทอดธรรมนี้ไปยังผู้ที่สมควร จะได้รับธรรมให้สืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ท่านโพธิธรรมจึงวางแผนส่งพระภิกษุสองรูป ผู้ซึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์และแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณ ให้เดินทางไปยังจีนล่วงหน้าก่อน เพื่อดูลาดเลาความเป็นไปในบ้านเมืองจีน

(https://lh3.googleusercontent.com/-glMXSyWkuDU/UtujkMs3GwI/AAAAAAAAysU/Au2potMDIvY/w433-h300/19+-+1)

แต่การเดินทางมาถึงของภิกษุสองรูป กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากชนชาวจีนแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะด้วยการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน แต่การเดินทางเพื่อมาสำรวจล่วงหน้าของภิกษุสองรูปนี้ ก็มิได้เป็นการเสียเวลาเปล่า ภิกษุสองรูปนี้ก็ยังได้ถ่ายทอดธรรมอันแท้จริง ให้แก่ภิกษุชาวจีนรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย และเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ภิกษุสองรูปได้เข้าพำนัก ซึ่งเป็นอารามที่อยู่บริเวณเทือกเขาหลู่ซัน ท่านพระอาจารย์รูปนี้มีนามว่า "ฮุ่ย เอวียน" ท่านฮุ่ย เอวียน เป็นพระที่เคร่งครัด ต่อการท่องสวดพระสูตรต่างๆในมหายาน เมื่อภิกษุสองรูปจากปัลลวะได้จาริกเดินทางมาถึงเขาหลู่ซัน และได้เข้าพำนักที่อารามแห่งนี้

 จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน พระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน จึงถามภิกษุสองรูปนี้ไปว่า พวกท่านมาเผยแผ่ธรรมที่จีนนี้ได้นำเอาธรรมชนิดไหนเข้ามา แล้วทำไมล่วงมาถึงป่านนี้ชาวจีนจึงยังไม่ศรัทธาพวกท่าน ภิกษุชาวปัลลวะทั้งสองจึงได้โต้ตอบออกไปทันควัน ด้วยภาษามือที่สื่อกันโดยไม่ต้องออกเสียง ด้วยการยื่นมือไปข้างหน้าแล้วดึงมือนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว และภิกษุทั้งสองก็ได้กล่าวว่า ไม่ว่าความเป็นพุทธะที่ท่านอาจารย์อยากจะรู้ มันมีสภาพไม่ต่างกันเลยจากความทุกข์ที่ท่านอาจารย์ยังคงแบกไว้ มันก็มีอาการเกิดขึ้นและดับไปรวดเร็ว เช่นเดียวกับมือของข้าพเจ้าที่ยื่นให้ท่านดู ด้วยการเกิดขึ้นแห่งมัน และชักกลับคืนมา ด้วยการดับไปแห่งมันเช่นกัน

(https://lh6.googleusercontent.com/-_ibHe_8Cy8E/UtumJdTxNmI/AAAAAAAAywc/hSL7EHYlao4/w438-h295-no/19+-+1)

 และสิ่งที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าด้วยความว่างเปล่าในอากาศ ด้วยความไม่มีอะไรของมันเองอยู่อย่างนั้น นั่นแหละคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่ข้าพเจ้าทั้งสองได้นำมาเผยแผ่ แต่หาคนรับธรรมนี้แทบไม่มีเลยสักคน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้ฟังได้เห็นดังนั้นแล้ว จึงมีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ความอยากรู้ในสภาพธรรมที่แท้จริงของตนเองนั้น ที่จริงมันก็คือตัณหาใน "ความอยากรู้" และมันก็คือภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้น และมันก็ไม่มีความแตกต่างจากความทุกข์เดิม ที่ตนเองมีก่อนอยู่แล้วและยังแบกมันอยู่ ด้วยภาวะแห่งการอยากแก้ไขทุกข์ของตน ด้วยการอยากรู้ธรรมอันแท้จริง กับภาวะทุกข์ที่ตนมีอยู่เดิม มันก็ล้วนเป็นความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

 ท่านจึงได้ตระหนักชัดรู้แจ้งในขณะนั้นเลยว่า แท้จริงธรรมชาติมันย่อมไม่มีอะไรอยู่แล้วโดยตัวมันเอง เหมือนอากาศที่มันว่างเปล่าที่อยู่ต่อหน้าท่าน ปราศจากมือที่ถูกชักกลับ แท้จริงธรรมชาติมันย่อมว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แท้จริงธรรมชาติมันย่อมคือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อยู่แล้วโดยตัวมันเองเช่นกัน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้รู้แจ้งสว่างในธรรมแล้ว ท่านจึงได้นิมนต์ให้ภิกษุสองรูปชาวปัลลวะ ซึ่งกลายเป็นอาจารย์สอนธรรมท่านไปแล้วภายในพริบตาเดียว ได้พำนักอาศัยอยู่กับท่านที่นี่ และก็เป็นการมาที่มิได้ไปไหนอีกเลย

(https://lh6.googleusercontent.com/--mgLBnPpA_M/UhSJK0ZMBOI/AAAAAAAE7fk/qkhdTs6N41o/w333-h329/tumblr_mi4d0umVNf1qdumuoo1_500.jpg)

 ภิกษุสองรูปนี้ได้พำนักอาศัยอยู่ที่นี่ ตราบจนได้ดับขันธ์ทิ้งร่างสรีระไว้กลายเป็นศพ ถูกฝัง ณ เชิงเขาหลู่ซัน หลุมศพของภิกษุทั้งสองรูปนี้ ก็ยังปรากฏหลักฐานมาตราบจนทุกวันนี้ การตายของภิกษุทั้งสอง เป็นการตายเพื่อรอคอยพระอาจารย์ของตน คือท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ มารับกลับไปเมืองปัลลวะที่อินเดีย เป็นการอยู่รอคอยถึงร้อยปี ณ หลุมฝังศพนั้น และภิกษุทั้งสองก็ได้เดินทางกลับปัลลวะพร้อมกับท่านโพธิธรรม เมื่อหลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตลงแล้วศพหายไป

เมื่อภิกษุสองรูปได้เสียชีวิตลง โดยมิได้มีการส่งข่าวกลับมายังเมืองปัลลวะเลย เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอยู่หลายปี ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจโดยสารเรือ เพื่อมายังเมืองจีนด้วยตัวท่านเอง โดยครั้งนั้นท่านได้ลงเรือโดยสารมาลำเดียว กับภิกษุที่ชื่อ มหาปัลลิปุรัม (Mahaballipurum) ด้วยการเดินออกมาทางชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย มายังช่องแคบทางหมู่เกาะสุมาตรา (ปลายเกาะประเทศมาเลเซีย) และลัดเลาะไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อไปขึ้นแผ่นดินจีนทางตอนใต้เมืองกวางโจว โดยท่านใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 3 ปี

(https://lh6.googleusercontent.com/-BNoSUC-kSlc/Ut5rbyBkH7I/AAAAAAAAzBE/zx9fStLMFts/w533-h354/21+-+1)

ก็ในสมัยนั้นประมาณพุทธศตวรรษที่สาม ประเทศจีนถูกแบ่งเป็นจีนสองราชวงศ์ คือราชวงศ์ไว่ และราชวงศ์ซ่ง โดยแบ่งเป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือและราชวงศ์ฝ่ายใต้ และก็ถูกแบ่งกันอย่างนี้มาเรื่อย ท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาจีนเมื่อเข้าปลายพุทธศตวรรษที่ห้า คือประมาณปี พ.ศ. 475 ในขณะนั้นพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามายังจีน ก่อนหน้านั้นนานแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 65 ในพุทธศตวรรษแรก ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำชูจากกษัตริย์ ผู้มีใจใฝ่บำรุงพระพุทธศาสนาในยุคนั้น และพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นหยังรากลึก ลงไปในดินแดนแห่งจีนนี้มาโดยตลอด

 จนกระทั่งจวบถึงวาระแห่งท่านโพธิธรรม ที่ได้นำคำสอนที่แท้จริงมาโปรยธรรมธาตุไว้ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดศึกษาธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่สืบต่อไป โดยในขณะนั้น จีนได้มีการก่อสร้างวัดวาอารามอย่างมากมายจนถึงหมื่นวัด ซึ่งเป็นจำนวนที่รวบรวมไว้แล้วทั้งจีนตอนเหนือและจีนตอนใต้ และนักบวชที่เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่รวมนักบวชลัทธิเต๋าและขงจื้อ มีจำนวนมากกว่าสองล้านรูป เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึงกวางโจวใหม่ๆ ท่านได้ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหนานไห่ และท่านก็ได้รับการนิมนต์ให้อยู่ที่ศูนย์พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน และในโอกาสนี้เองเมื่อได้พำนักอยู่ที่นี่ ท่านโพธิธรรมจึงได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้ภาษาจีน จนท่านมีความคล่องแคล่วสามารถสื่อสารภาษาจีนกับชนชาวจีน ได้สะดวกและมีความหมายที่ถูกต้อง

                    (https://lh4.googleusercontent.com/-TOaTZuFtIGQ/UtcbLTBzAkI/AAAAAAAAyGA/b7bH06JqMXc/w433-h335/15+-+1)

ต่อมาท่านได้ย้ายเข้าไปอยู่เมืองหลวงที่ชื่อว่า เฉียนกัง (Chienkang) ทั้งนี้เป็นกิจอันสำคัญยิ่งที่ท่านได้รับนิมนต์ ให้เข้าไปแสดงธรรมต่อหน้าองค์จักรพรรดิในเวลานั้น แต่ก็ไม่เกิดประสพความสำเร็จแต่อย่างใด เพราะจักรพรรดิหามีความเข้าใจธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง ที่ท่านโพธิธรรมได้เทศนาออกไปไม่ ท่านโพธิธรรมจึงเดินทางออกมาจากเมืองหลวง ด้วยไร้ซึ่งความหวัง เพราะถ้าหากองค์จักรพรรดิได้รู้แจ้งตระหนักชัดในธรรมที่ท่านได้เทศนา การเผยแผ่ธรรมในจีนโดยเฉพาะทางจีนตอนใต้ คงเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว เพราะอาจได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้ที่มีอำนาจปกครอง ซึ่งคือกษัตริย์ในยุคนั้น

ท่านจึงเดินทางลงมาและข้ามแม่น้ำที่เมืองแยงซี และได้เข้าไปพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองโลหยาง (Loyang) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโล และเป็นเมืองหลวงใหม่ที่พึ่งถูกย้ายมา และถูกสถาปนาความเป็นเมืองหลวงขึ้น ด้วยจักรพรรดิ เฉาเวน (Hsiao-wen) และหลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ให้ท่าน ต้องอยู่ใกล้ๆวัดเส้าหลิน และนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพงโดยไม่ไหวติงถึงเก้าปีเต็ม เป็นเวลายาวนานถึงเก้าปีแห่งการรอคอย เพื่อเพาะบ่มเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะเมล็ดหนึ่ง ที่ชื่อ เสินกวง(ฮุ่ยเค่อ)

(https://lh6.googleusercontent.com/-B-bS6aO32sg/UuyqwLq9OPI/AAAAAAAFIPE/Gt7ZUzPP53k/w433-h300/image.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   30 มกราคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 08:51:57 pm

                 (https://lh6.googleusercontent.com/-ZaeZYOkkmJg/UjdTyzGLULI/AAAAAAAFgGU/X66QAW3KyRw/w333-h503/1234544_687819334580252_666954702_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน

ท่านโพธิธรรมหรือที่ชาวจีนในยุคนั้นเรียกท่านว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ท่านเป็นพระภิกษุผู้มีดวงตากลมใหญ่ผิวสีดำคล้ำ และด้วยเอกลักษณ์ของท่านเวลาที่ท่านเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อถึงคราวต้องตากแดดที่มีสภาพร้อนจัด ท่านจึงมักจะเอาชายจีวรที่อยู่เบื้องล่างขึ้นมาคลุมศีรษะ เพราะฉะนั้นภาพวาดส่วนใหญ่ที่ศิลปินผู้มีเซนอยู่ในสายเลือด ได้วาดขึ้นเพื่อเป็นภาพประกอบโกอานไขปริศนาธรรม หรือวาดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ สื่อความหมายไปในทางธรรมนั้น ก็จะปรากฏเป็นภาพของปรมาจารย์ตั๊กม้อที่มีร่างกายสูงใหญ่ และมีหนวดเครารุงรัง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมีการวาดภาพโดยมีผ้าคลุมศีรษะ และอยู่ในท่านั่งสมาธิหันหน้าเข้ากำแพงเสียเป็นส่วนใหญ่

(https://lh5.googleusercontent.com/-tIHNqfx4At0/UupUDN0eKQI/AAAAAAAB5Dg/tN4l2fEagEs/w433-h233/4qQm4.jpg)

 เหตุที่ทำให้ท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ ได้นั่งอยู่ในฌานสมาธิถึงเก้าปีเต็มนั้น เป็นเพราะวาระกรรมได้แสดงถึง เนื้อหากรรม ให้เป็นไปในภาวะที่ยืดเยื้อ และเป็นไปในระหว่างบุคคลสองคนที่มีกรรมต่อกัน ทั้งในด้านกุศลและกรรมวิบาก และเป็นวาระกรรมที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการเริ่มต้นนับ "หนึ่ง" ซึ่งถือเป็นก้าวย่าง ที่ได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วอย่างแท้จริง สมดั่งเจตนารมณ์ในการที่ท่านโพธิธรรมได้มาเหยียบแผ่นดินจีนในครั้งนี้ เหตุเพราะท่านได้พบลูกศิษย์คนสำคัญของท่าน ซึ่งลูกศิษย์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวที่เข้าใจท่าน และสามารถรับการถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาติ เป็นทายาทที่แท้จริงในการสืบต่อธรรม ด้วยการผ่านสู่ "ใจต่อใจ" ระหว่างครูกับศิษย์ และเป็นเหตุให้ธรรมนั้นได้สืบต่อกันไปจนเป็นที่แพร่หลาย ยอมรับกันอย่างทั่วไปภายในแผ่นดินจีนตอนใต้หลังจากนั้น แต่ด้วยเหตุปัจจัยเป็นกุศลกรรมอันสำคัญยิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นจากกรรมวิบากนั้น

ก็หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เดินทางออกมาจากพระราชวัง ในคราวที่ท่านได้รับกิจนิมนต์เพื่อไปเทศนาธรรมให้องค์จักรพรรดิฟัง ท่านก็ออกเดินทางรอนแรมไปเรื่อย หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทให้กับลูกศิษย์เป็นพระรูปหนึ่งที่ชื่อ เชง ฟุ ท่านโพธิธรรมก็ได้พำนักพักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง เป็นระยะเวลานานนับสิบปี และภายในปี พ.ศ. 496 จักรพรรดิก็ได้รับสั่งให้สร้างวัด เพื่อถวายเป็นราชกุศลขึ้น เป็นการก่อสร้างที่อยู่ติดกับบริเวณภูเขาซ่งที่อยู่ทางเมืองโหหนาน ซึ่งเมืองนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองโลหยางซึ่งเป็นเมืองหลวง วัดนี้องค์จักรพรรดิสร้างขึ้นเพื่อให้นักบวชพระภิกษุสงฆ์ในนิกายเซน เข้ามาพักอาศัยเพื่อเป็นที่หลบลี้และได้ขัดเกลาจิตใจของตนเอง วัดแห่งนี้นี่เองที่ชื่อว่า "วัดเส้าหลิน" เป็นวัดซึ่งท่านโพธิธรรมได้มาสอนการฝึกออกกำลังกายแบบโยคะ ให้แก่ภิกษุในภายหลังที่ท่านได้ออกจากสมาบัติแล้ว

(https://lh4.googleusercontent.com/-0WMKL-Rwn0w/Ue-vbksjsNI/AAAAAAAAAXk/aLm-QR_7Wwo/w315-h500-no/DaMo_BodhidharmaFliesonaReedStalkPa.jpg)

เมื่อท่านโพธิธรรมได้ทราบข่าวว่าวัดเส้าหลินได้สร้างเสร็จแล้ว และเป็นวัดที่มีความสวยงามอยู่กลางหุบเขา และบริเวณเทือกเขาเหล่านั้นเป็นที่สงบวิเวก เหมาะสำหรับการปลีกตัวออกจากหมู่คณะเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญภาวนา ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางมายังบริเวณหุบเขาแห่งนี้ เพื่อหาที่สงบพักผ่อนใจให้กับตนเอง แต่ในระหว่างทางก่อนถึงแม่น้ำแยงซี เพื่อจะข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งหุบเขาเฉาฉือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาซ่ง ท่านก็ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมทายาทเพื่อสืบสายโลหิตแห่งเซน ภิกษุรูปนี้มีชื่อว่า "เสินกวง" ท่านเสินกวงเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ท่านโพธิธรรมได้แวะพักอาศัย ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจุดหมาย เสินกวงเป็นพระที่มีความจดจำพระสูตรได้แม่นยำ และเป็นนักเทศนาธรรมตัวยงในแถบนั้นโดยหามีใครเทียบไม่ ก็ในขณะนั้นเป็นวันที่ท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึง และท่านเสินกวงกำลังขึ้นเทศน์ธรรม ให้แก่สาธุชนผู้มีศรัทธาได้ฟังกันภายในหอประชุมบริเวณวัด

 ท่านเสินกวงถึงแม้จะมีสัญญาความจำได้หมายรู้อย่างยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ยังมิใช่เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง ท่านเสินกวงมีความสามารถอ่านอธิบายธรรมในพระสูตรได้ แต่ท่านเสินกวงกลับไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจตระหนักชัด ในธรรมที่ท่านกำลังสาธยายเลย เมื่อท่านเสินกวงได้เทศนาธรรมจบแล้วจึงเดินลงมาจากพระธรรมาสน์ เพื่อพูดคุยกับอาคันตุกะภิกษุแปลกหน้าผู้มาเยือนในเช้าของวันนั้น แต่การพูดคุยกลับกลายเป็นเหตุให้ท่านเสินกวง ได้ทำร้ายร่างกายพระอาคันตุกะซึ่งมาจากเมืองปัลลวะอินเดียรูปนี้ โดยการสนทนาธรรมนั้น ท่านโพธิธรรมได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า ท่านเสินกวงถึงแม้จะเป็นพระนักเทศน์ ที่สามารถเทศนาธรรมได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย

(http://uamulet.utdid.com/imgupload/q000254-11.jpg)(http://uamulet.utdid.com/imgupload/q000254-11.jpg)(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ3nou12lv_5ehhw5WwTtTsJRK7SDjA4HjYzgblGvrgNhTq8sNNHwmK0i_n)

 เพราะท่านโพธิธรรมได้นั่งฟังธรรมเทศนาอยู่ด้วย โดยท่านได้นั่งอยู่แถวหลังสุดและได้ฟังธรรมเทศนานั้น จนทำให้ท่านรู้ได้ด้วยเนื้อหาธรรมที่ถูกเทศน์ออกมาในขณะนั้นว่า ท่านเสินกวงยังไม่ได้ตระหนักชัดรู้แจ้งภายในธรรมชาติดั้งเดิมแท้เลย เมื่อท่านได้พูดออกไปแบบนี้อย่างตรงๆไม่อ้อมค้อม ก็เป็นเหตุให้ท่านเสินกวงเกิดโทสะ เอาสายลูกประคำเม็ดใหญ่ฟาดเข้าไปที่ปากของท่านโพธิธรรม จนเป็นเหตุให้เลือดไหลออกมากลบปาก และฟันด้านหน้าของท่านหักออกไปถึงสองซี่ เมื่อเหตุการณ์ซึ่งเป็นกรรมวิบากได้เกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ท่านโพธิธรรมจึงหันหลังออกไปจากที่นั่นไปโดยมิได้กล่าวลา

 แต่หลังจากนั้นด้วยความสำนึกผิดของท่านเสินกวง ในการล่วงละเมิดประทุษร้ายพระอาคันตุกะผู้มีปัญญา และด้วยความที่ทราบต่อมาภายหลังว่าพระอินเดียรูปนั้น ก็คือท่านพระอาจารย์โพธิธรรมซึ่งเดินทางมาจากเมืองปัลลวะ เพื่อเข้ามาเผยแผ่ธรรมอันคือคำสอนตามธรรมชาติที่แท้จริง ให้แก่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ท่านเสินกวงจึงรู้สึกเสียใจในการกระทำของตน และท่านเสินกวงมีเจตนาที่จะกราบขอขมาลาโทษ และมีความตั้งใจจริงที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะดูแลรับใช้ท่านโพธิธรรม จนตราบที่ท่านโพธิธรรมจะหมดลมหายใจละจากโลกใบนี้ไป ท่านเสินกวงเมื่อรู้สึกตัวและมีความละอายใจ จึงรีบเดินทางออกตามหาท่านโพธิธรรม

                  (http://www.baanjomyut.com/library/takmo/takmo2.jpg)

 เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแยงซี แต่ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เรือข้ามฝากไปฝั่งโน้นก็หามีไม่ ท่านโพธิธรรมจึงได้หยิบต้นอ้อมากำหนึ่ง และเหยียบอ้อกำนั้นข้ามฝั่งไป ก็ด้วยน้ำหนักคนมีน้ำหนักมาก หากเหยียบไปบนต้นอ้อซึ่งมีน้ำหนักเบา ต้นอ้อก็ต้องจมน้ำไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาของท่านโพธิธรรม ท่านสามารถเหยียบขึ้นยืนบนต้นอ้อกำนั้นและไม่ตกจมลงไปในน้ำ ด้วยฤทธิ์แห่งอภิญญาที่ท่านสำเร็จ ก็ในขณะที่ท่านกำลังอยู่กลางแม่น้ำแยงซีด้วยอำนาจจิตที่ยิ่งใหญ่ ท่านเสินกวงจึงได้เดินทางมาถึงพอดี และท่านเสินกวงได้เห็นอภินิหารของท่านโพธิธรรมแล้ว จึงก้มหน้าร้องไห้ในความสำนึกผิดแห่งตน และท่านเสินกวงจึงหาทางข้างฝั่งแม่น้ำแยงซี ด้วยการมัดหญ้าคากำใหญ่และพยุงลอยตัวเอง จนข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย และเร่งรีบติดตามท่านโพธิธรรมไปอย่างไม่ลดละ

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาถึงเทือกเขาซ่ง แถวบริเวณหมู่บ้านลั่วหยางซึ่งอยู่ใกล้วัดเส้าหลิน ท่านโพธิธรรมจึงได้เข้าพักอาศัย ณ ถ้ำซึ่งมีความเป็นธรรมชาติแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถวบริเวณหลังวัด และท่านก็ตัดสินใจนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติ โดยนั่งหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ และตัดสินใจที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีกำหนดออกเลย ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเก้าปีโดยไม่ไหวติง มันเป็นระยะเวลานานมากจนกระทั่ง เงาร่างที่ถูกแสงแดดสาดส่องเข้ามาอยู่ตลอดเวลานั้น มันทาบลงไปบนฝาผนังและฝังรอยเป็นเงาอยู่อย่างนั้น ตราบจนสามารถเห็นได้จนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกมันว่า "ผนังเงาศิลา"
(http://www.igetweb.com/www/watkaokrailas/news/308544_120325015941.jpg)           
ท่านเสินกวงเมื่อได้ติดตามท่านโพธิธรรมมา และได้สอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น จึงได้รู้ว่าท่านโพธิธรรมได้หลบหนีผู้คนเข้าไปนั่งสมาธิในฌานแล้ว เมื่อเสินกวงตามไปพบและรอคอยท่านโพธิธรรม เพื่อให้ออกมาจากฌานสมาบัติ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างเนิ่นนานก็ไม่มีวี่แวว ว่าท่านโพธิธรรมจะลุกขึ้นมาจากจุดที่ท่านนั่ง เสินกวงจึงตัดสินใจที่จะรับใช้ดูแลท่านโพธิธรรม อยู่ ณ ภายในถ้ำนั้น โดยท่านเสินกวงมีหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดภายในบริเวณถ้ำ และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้ว ท่านเสินกวงก็จะออกมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าถ้ำ โดยท่านเสินกวงจะนั่งตั้งแต่เช้าไปจนจรดเย็นและค่ำมืด ท่านเสินกวงจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ทุกวัน เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษต่อท่านโพธิธรรม และเพื่อรอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนรู้ธรรมอันแท้จริงกับท่าน

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s350x350/1501763_475800675863312_1004943059_n.jpg)

 และแล้วความพยายามของท่านเสินกวงก็ประสพความสำเร็จ ด้วยระยะเวลาแห่งการรอคอยมันผ่านพ้นมานานถึงเก้าปีเต็มๆ ก็ช่วงสายในวันหนึ่งของวันที่ 29 ปีไท่เหอที่สิบ ในขณะที่ภิกษุเสินกวงได้ทำความสะอาดถ้ำและฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำ ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของกลางฤดูหนาว ที่มีหิมะโปรยปรายตกลงมาปกคลุมเต็มอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านเสินกวงก็นั่งอยู่ตรงหน้าถ้ำนั้นมิได้ลุกหนีไปไหน จนหิมะมันได้ท่วมขึ้นมาจนถึงหัวเข่า และแล้วตรงปากถ้ำก็ได้ปรากฏกายของท่านโพธิธรรม ผู้ซึ่งพึ่งออกจากฌานสมาบัติที่ตนได้นั่งเข้าสมาธิแบบลืมวันลืมปี เมื่อท่านโพธิธรรมได้เห็นท่านเสินกวง ผู้ซึ่งเคยทำร้ายร่างกายท่านจนฟันหักถึงสองซี่

 ท่านจึงเกิดความสงสารที่เห็นพระรูปนี้มานั่งตากหิมะอยู่หน้าถ้ำ ท่านจึงถามเสินกวงไปว่า "เธอมานั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยมีความต้องการอะไร" เมื่อท่านเสินกวงได้ยินเสียงท่านโพธิธรรมกล่าวดังนั้น ก็มีความปีติยินดีและได้ก้มกราบขอขมาลาโทษ ในการกระทำไม่ดีไม่ควรของตน และก็เอ่ยปากขอร้องให้ท่านโพธิธรรมรับตนเป็นศิษย์ ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นจึงได้พูดตอบท่านเสินกวงไป ด้วยความที่จะทดสอบความเด็ดเดี่ยว ในความตั้งมั่นแห่งศรัทธาที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ท่านจึงบอกภิกษุเสินกวงไปว่า "ให้นั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป จนกว่าหิมะที่อยู่ต่อหน้ากองนี้จะกลายจากสีขาวเป็นสีแดง" แต่การทดสอบความมีศรัทธาในหัวใจแห่งพุทธะของเสินกวง กลับไปกระตุ้นอนุสัยซึ่งเป็นเนื้อหาสะสมกรรมวิบากของเสินกวงในอดีตที่มีต่อท่านโพธิธรรมครั้งในอดีตชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ออกมาให้ได้ชดใช้กรรมกันในขณะนั้น

                 (http://image.ohozaa.com/i/53b/egw1S.jpg)

 โดยเมื่อเสินกวงได้ฟังท่านโพธิธรรมพูดออกมาดังนั้น กรรมวิบากจึงดลให้ท่านเสินกวงเกิดความหุนหันพลันแล่น คว้าไปหยิบมีดผ่าฟืนซึ่งมีความคมกริบนั้นขึ้นมา เฉือนมือข้างซ้ายของตนจนขาดวิ่น และท่านก็ได้หยิบแขนซ้ายของตนข้างนั้น ที่ตกลงอยู่กับพื้นส่งให้ท่านโพธิธรรม โดยท่านเสินกวงได้กล่าวขึ้นระคนไปด้วยความเจ็บปวดว่า "ท่านพระอาจารย์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย เพราะบัดนี้กองหิมะกองนี้มันได้กลายเป็นสีแดงหมดแล้ว" ก็เพราะด้วยการตัดแขนของเสินกวงซึ่งมีเจตนา จะทำให้เลือดของตนชะล้างความเป็นสีขาวของหิมะออกไปให้หมด เพราะความที่มันถูกกลบไปด้วยความเป็นสีแดงแห่งเลือดตน ที่หลั่งรินไหลออกมานองพื้นเป็นสีแดงฉานไปทั่วบริเวณนั้น

 มันเป็นเลือดแห่งความเป็นพุทธะ ที่มันพุ่งออกมาจากสายเลือดแห่งความใฝ่ดีของท่าน ที่บ่มเพาะตัวเองด้วยความมีขันติอย่างยิ่ง ในการรอคอยเพื่อก้าวข้ามไปสู่ประตูดินแดน "ธรรมชาติแห่งพุทธะ" ถึงเก้าปีเต็มๆ เป็นการรอคอยที่ใช้ความอดทนด้วยความสิ้นหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา เลือดทุกหยดนี้มันจึงเป็นเลือดทุกหยดแห่งเซน ที่มันจะทาบทาไปทั่วผืนแผ่นดินจีน ด้วยเหตุปัจจัยอันเกิดจากภิกษุเสินกวงรูปนี้นั่นเอง

 เมื่อท่านโพธิธรรมได้ยื่นมือรับแขนของเสินกวง และรับท่านเสินกวงเป็นศิษย์แล้ว ท่านจึงช่วยทำแผลห้ามเลือดให้ ในขณะที่กำลังทำแผลนั้นท่านเสินกวงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จึงร้องขึ้นมาอย่างดังว่า "พระอาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์มีความเจ็บปวดมาก ศิษย์จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว จงโปรดช่วยให้ศิษย์เกิดความสงบด้วย" ในขณะนั้นท่านโพธิธรรมจึงหยุดการทำแผล แล้วพูดกับท่านเสินกวงขึ้นมาว่า "เสินกวง เธอจงเอาจิตของเธอออกมาสิ จิตอันเจ็บปวดนั้น แล้วฉันจะทำให้มันสงบ" เสินกวงได้ฟังดังนั้นจึงได้บรรลุธรรมรู้แจ้งชัดในเวลานั้นเอง เพราะแท้จริงจิตมันไม่มีตัวตน และไม่สามารถเอาออกมาแสดงให้กับท่านโพธิธรรมได้

 หลังจากเสินกวงได้ทำแผลเสร็จ ท่านโพธิธรรมจึงได้ถ่ายทอดอธิบายธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง และในคืนนั้นเองด้วยวิถีแห่งความเป็นธรรมชาตินี้ จึงได้ถูกส่งตรงมายังภิกษุเสินกวง ด้วยความบริบูรณ์พรั่งพร้อมในธรรมชาติของมัน ด้วยโพธิปัญญาแห่งภิกษุเสินกวง คือความเป็นเซนในสายเลือด ที่มาพร้อมกับกรรมวิบากที่ต้องใช้คืน แขนซ้ายที่ขาดวิ่นพร้อมกับเลือดที่หลั่งริน คือ "บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน"

(https://lh5.googleusercontent.com/-5-jX_6IcbHk/UhcwNrvHTsI/AAAAAAAAFXk/9R-0mFLOle0/w433-h242/5733843611_c354ae62fe_o.gif)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   31 มกราคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
หัวข้อ: Re: บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 08:26:36 pm
                 (https://lh5.googleusercontent.com/-YKTMdgPXpRM/UYdzyywqHLI/AAAAAAAFasE/na-tbk_fb78/w533-h300/photo.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง

ด้วยกรรมที่เคยทำกันมา จึงได้ก่อให้เกิดธรรมธาตุ ที่ยังแสดงลักษณะไปในทิศทางของมันอยู่เสมอๆ ด้วยความที่ท่านโพธิธรรมเคยประกอบบุญกุศล ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากภยันตรายมานับไม่ถ้วน ครั้งเมื่ออดีตชาติที่ผ่านมาหลายภพหลายชาติ รูปแบบแห่งการกระทำกุศลกรรมแห่งการช่วยเหลือนั้น มันจึงตามมาแสดงผลแบบได้กระทำซ้ำอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยบุญชนิดหนึ่งที่ท่านโพธิธรรม ได้ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้พ้นภยันตรายด้วยความมีอิสระ อันเนื่องมาจากการทำอุบายด้วยการแกล้งตาย จึงทำให้ท่านโพธิธรรมได้รับกุศลผลกรรมในชาติสุดท้ายนี้ของท่านด้วย

                          (https://lh6.googleusercontent.com/-2_R0hQRukVA/Ucq7-WvGWAI/AAAAAAAAFCI/PyZwqQ935pw/w533-h302/monastero1.png)

 กล่าวคือครั้งเมื่อท่านโพธิธรรมพึ่งได้เดินทางมาเมืองจีน และในระหว่างทางแห่งการจาริกไป ท่านได้ไปเจอนกแก้วอยู่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นนกโพธิสัตว์ ที่กำลังได้รับความตกระกำลำบาก ต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้ และถูกกักขังอยู่ในกรงอย่างนี้มานานแสนนานแล้ว และด้วยผลบุญในครั้งเก่าก่อนที่นกแก้วโพธิสัตว์ตัวนี้ เคยมีต่อท่านโพธิธรรม เมื่อเส้นทางบุญได้นำพาท่านโพธิธรรมมาเจอะเจอกับมันอีกที่เมืองจีน เมื่อมันเห็นท่านโพธิธรรมเดินผ่านมา มันจึงพูดขึ้นในใจเป็นภาษานกว่า "ข้าแต่นายท่าน จงโปรดมีความเมตตาช่วยเหลือข้าที ข้าอยากมีความเป็นอิสระ ข้าถูกเจ้าของจับมาขังไว้อย่างนี้มานานแสนนานมากแล้ว"

                 (https://lh4.googleusercontent.com/-cqRm8okE9wo/UiSR-d4Y3rI/AAAAAAAGZww/DgWkwBb0ZLQ/w500/1185294_565755903477711_1237457889_n.jpg)

 ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นภิกษุผู้มีอภิญญาสูงส่ง สามารถฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง ท่านจึงกำหนดจิตบอกนกแก้วตัวนั้นไปว่า "สองขาเหยียดตรง สองตาปิดสนิท" แล้วท่านโพธิธรรมก็ได้เดินจากนกแก้วตัวนั้น ไปตามทางจาริกของท่าน นกแก้วตัวนั้นด้วยความที่เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ ลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรมแห่งตน เมื่อมันได้ฟังท่านโพธิธรรมได้บอกกล่าวเป็นความหมายนัยยะ มันจึงรู้แจ้งถึงอุบายในการเป็นอิสระแห่งมัน

ก็ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเองก่อนที่เจ้าของจะเอาอาหารมาให้มันที่กรง นกแก้วโพธิสัตว์อันเป็นผู้มีเชาว์ปัญญา มันจึงแกล้งเหยียดขาสองข้างของมันให้ตรงออก และแกล้งปิดตาทั้งสองข้างของมันให้หลับลงสนิท ประหนึ่งว่ามันได้นอนตายด้วยตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เมื่อเจ้าของเอาอาหารมาให้ และเห็นนกของตนเหยียดขานอนตายปิดตาลงด้วยตัวแข็งทื่อ ก็คิดว่านกของตนได้ตายแล้ว จึงเอามือล้วงหยิบมันออกมาจากกรงขังเพื่อที่จะนำร่างของมันไปฝัง เมื่อเจ้าของวางมันลงไว้กับพื้น นกแก้วตัวนั้นที่แกล้งตาย จึงบินหนีจากที่นั่นไป ด้วยความมีอิสรเสรีตามที่มันมุ่งหวัง และมันก็รู้สึกขอบคุณท่านโพธิธรรม ที่ได้โปรดช่วยชี้ทางอันคือความพ้นจากภยันตราย จากการโดนขังลืมในกรงอยู่เป็นเวลานาน

(http://media-cache-ec0.pinimg.com/236x/ca/fa/c3/cafac3f8f33bc7844c414be39bc52a05.jpg)

ด้วยผลบุญผลกรรมที่ท่านโพธิธรรม ได้ทำกุศลช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้เป็นอิสระ ด้วยการแกล้งทำเป็นตาย ผลบุญนั้นก็ทำให้ท่านโพธิธรรม ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วแผ่นดินจีน ในความเกี่ยวพัน "ในความตายของท่าน" ที่ท่านแกล้งตายและศพท่านได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความเป็นจริงก็ยังมีผู้คนจากจีนเดินทางไปอินเดีย หลังจากที่ท่านโพธิธรรมเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปี และไปพบเจอท่านโพธิธรรมอยู่ที่นั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ การตายของท่านโพธิธรรมจึงเป็นการแกล้งตาย ที่ทำให้ท่านโพธิธรรมเองมีชีวิตอยู่ อยู่ด้วยความเป็นอิสระในอมตธรรมแห่งนิพพานอยู่อย่างนั้น ตราบจนถึงทุกวันนี้

                 (https://lh6.googleusercontent.com/-z5Et7B16e4g/UdupgPhqrBI/AAAAAAAAt5w/zvW-ZzcSF60/w283-h399/photo.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   2 .2. 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:09:40 pm
(http://media-cache-ec0.pinimg.com/736x/35/ce/bd/35cebd40cc24671e49c75daaab441115.jpg)
หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 7 แต่งตั้งธรรมทายาท

ก่อนหน้าที่ท่านโพธิธรรมจะละทิ้งสังขารลาจากโลกนี้ไป ท่านได้เรียกประชุมบรรดาศิษยานุศิษย์ ผู้ที่มีความรู้ทางธรรมและอาจได้รับการสืบทอดให้เป็นทายาท ผู้สืบสานการเผยแผ่วิถีธรรมอันคือธรรมชาติ ให้คงดำรงอยู่ต่อสืบไปในภายภาคหน้า ท่านโพธิธรรมจึงได้ถามขึ้นกลางที่ประชุมว่า "ธรรมที่แท้จริงมันคืออะไร" หากพวกท่านตอบได้ เราจะมอบบาตรและจีวรของตถาคตเจ้านี้ให้ เพื่อเครื่องหมายแห่งการทำหน้าที่ ในวิถีธรรมต่อไปสืบไปในภายภาคหน้า

ภิกษุนาม "เต๋า หู" ได้ตอบว่า "การไม่ยึดติดในคัมภีร์หรือแม้แต่ตัวอักษร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความหมายที่แท้จริงในตัวอักษรนั้นเลย ธรรมชาติที่แท้จริงอยู่เหนือการยอมรับและอยู่นอกเหนือการปฏิเสธ" ท่านโพธิธรรมจึงได้พูดขึ้นว่า "เต๋า หู เธอได้หนังของฉันไป"

ต่อมาศิษย์ผู้มีอาวุโสเป็นคนที่สอง เป็นภิกษุณีรูปเดียวในที่ประชุมนี้ มีนามว่า "จิ้งที้" ได้กล่าวตอบว่า "ธรรมที่แท้จริง เหมือนดังพุทธะภาวะแห่งตถาคตเจ้า ที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวและจะเป็นการได้เห็นมันอยู่ตลอดไปเจ้าค่ะ" ท่านโพธิธรรมจึงได้พูดต่อภิกษุณีจิ้งที้ว่า "ที่เธอกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว เธอได้เนื้อของฉันไป"

ส่วนศิษย์คนที่สาม นามว่า "เต๋ายก" ได้ตอบว่า "ทุกสรรพสิ่งนี้ล้วนคือความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ขันธ์ธาตุนั้นเป็นของว่างเปล่ามาแต่เดิม ก็ในธรรมชาติที่มันว่างเปล่าไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้น นั่นแหละคือธรรม" ท่านโพธิธรรมได้พูดขึ้นมาว่า "เธอได้กระดูกของฉันไป"

(https://lh4.googleusercontent.com/-J7EcVwEAvWA/U5hwZlaKkZI/AAAAAAAEakc/reWkgrnXv5s/w502-h397-no/IMAG4328_BURST001-MOTION.gif)                                   

ส่วนศิษย์คนที่สี่ คือ เสินกวง เป็นผู้ซึ่งท่านโพธิธรรมได้เปลี่ยนชื่อให้ ตอนที่ท่านรับเป็นศิษย์ใหม่ๆว่า "ฮุ่ยเค่อ" เมื่อถึงลำดับที่ฮุ่ยเค่อจะต้องตอบคำถามว่าธรรมที่แท้จริงคืออะไร ฮุ่ยเค่อก็เอาแต่นิ่งหุบปากปิดปาก และเม้มปากของตนให้สนิทอยู่อย่างนั้น แล้วจ้องมาทางท่านโพธิธรรมโดยมิได้กล่าวอะไรออกมาเลย ท่านโพธิธรรมเมื่อเห็นฮุ่ยเค่อทำกริยาดังกล่าวและนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยมิได้กล่าวพูดอะไรออกมา ท่านโพธิธรรมจึงพยักหน้ารับและพูดขึ้นมาว่า "ฮุ่ยเค่อ เธอได้ไขกระดูกของฉันไป"

และในเวลานั้นเอง ท่านโพธิธรรมจึงได้ส่งมอบบาตรและจีวร ซึ่งเป็นของตถาคตเจ้าที่ตนได้รับสืบทอดมาและครอบครองไว้นั้น ส่งมอบต่อให้กับฮุ่ยเค่อต่อหน้าที่ประชุมของศิษยานุศิษย์ และท่านโพธิธรรมก็ได้กล่าวให้โอวาทแก่ที่ประชุมนั้น โดยกล่าวว่า ศิษย์ทุกคนของท่านล้วนแต่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาความรู้ ในที่นี้ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มืดบอดไร้ซึ่งปัญญาอันรู้แจ้งเลย พวกเธอทั้งหลายก็ล้วนแต่มีความเป็นบัณฑิตพร้อมด้วยกันทั้งสิ้น พวกเธอจงนำประสบการณ์ของพวกเธอเหล่านี้ที่ขึ้นตรงต่อธรรมชาติ

 จงออกโปรดบรรดาสรรพสัตว์ผู้ยากไร้ พวกเธอจงดำรงตนตั้งมั่นในความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ และจงช่วยกันถ่ายทอดธรรมชนิดนี้ให้ออกไปอย่างแพร่หลาย อย่าให้มันขาดสายสูญสลายหายไป ส่วนฮุ่ยเค่อเธอเป็นศิษย์ผู้ที่มีปฏิภาณในการตอบคำถามของฉัน และเธอก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง เป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุแห่งธรรมชาตินี้อย่างไม่เป็นที่สงสัย ก็ขอให้เธอจงทำหน้าที่ของเธอในการเป็นธรรมทายาทผู้สืบต่อจากฉัน การใดๆก็อย่าพึ่งเร่งรีบเพราะนับสืบต่อจากนี้ไป บ้านเมืองก็จะเกิดความวุ่นวาย ขอให้เธอจงเผยแผ่ธรรมในโอกาสที่เหมาะสม

ภายหลังต่อมาไม่นาน ท่านโพธิธรรมก็เสียชีวิตลง เพราะสาเหตุมาจากที่ท่านถูกผู้ไม่ประสงค์ดี ปองร้ายวางยาพิษในอาหารที่ท่านฉัน จนท่านล้มเจ็บป่วยลงและได้จากลาโลกนี้ไป เมื่อท่านมีอายุได้ 150 ปี
                       (https://lh3.googleusercontent.com/-hm11dl6FIcg/U0h2GRDFWaI/AAAAAAABC2E/fslzhbDfLFk/w333-h462/12+-+1)
   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   3 .2. 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

(https://lh3.googleusercontent.com/-mjjbk-KSDdQ/U0XD2fQA3BI/AAAAAAAAGE0/-Yt9iDeBPO8/w533-h799/1558402_811548622194171_1398463122_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 8 การจากไปด้วยรองเท้าข้างเดียว
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 06:30:56 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-Ykjc2Yq-rtY/Uu_mL83DS8I/AAAAAAAAIpY/GXZeM_v1PmA/w533-h354/%E7%91%9E%E9%BE%8D%E5%AF%BA%E3%80%80%E5%86%AC_000087_.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 8 การจากไปด้วยรองเท้าข้างเดียว

หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้ทิ้งสังขารแล้ว ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินจีน ว่าท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตเพราะถูกลอบวางยาพิษ ข่าวนี้ได้ดังไปถึงเมืองหลวง พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ซึ่งต่อมาภายหลัง ได้เกิดความศรัทธาอย่างมากต่อท่านโพธิธรรม จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์จารึกไว้ที่เจดีย์บรรจุศพ ณ เชิงเขาอู่ซัน เมืองอี๋หยาง มณฑลเหอหนาน และต่อมาภายหลังองค์จักรพรรดิถังไถ่จง ได้พระราชทานนามในสมณศักดิ์ให้แก่ท่านโพธิธรรม ณ หลุมฝังศพนั้นว่า "พระฌานาจารย์สัมมาสัมโพธิญาณ"

หลังจากที่ศพฝังไว้ในสุสานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นมาอีกหนึ่งเดือน มีเรื่องเล่ากันว่า มีขุนนางผู้หนึ่งได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทางตอนเหนือของประเทศจีน ขุนนางผู้นี้มีนามว่า "ช่งหวิน" เขาได้พบกับท่านโพธิธรรมพร้อมหมู่คณะภิกษุที่นั่น แต่ช่งหวินมาราชการเป็นเวลานานแล้ว และไม่รู้เลยว่าท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไปแล้ว ช่งหวินได้พบท่านโพธิธรรมเดินธุดงค์ผ่านมา ด้วยไม้เท้าที่แขวนด้วยรองเท้าข้างเดียวของท่าน ท่านช่งหวินคนนี้เป็นข้าราชการที่มีความสนิทสนม รู้จักท่านโพธิธรรมเป็นอย่างดี จึงร้องถามขึ้นว่า "ท่านพระอาจารย์จะไปไหน" ท่านโพธิธรรมจึงพูดขึ้นว่า "ฉันจะกลับไปอินเดียกลับไปปัลลวะบ้านเกิดของฉัน แต่ตอนนี้ให้เธอรีบกลับไปเมืองหลวงเถิด เพราะที่นั่นกำลังเกิดเหตุการณ์ใหญ่ เป็นเพราะฮ่องเต้องค์จักรพรรดิได้เสด็จสวรรคตแล้ว" ช่งหวินจึงถามท่านโพธิธรรมว่า "เมื่อท่านเร่งด่วนกลับไปปัลลวะแบบนี้ ใครจะเป็นผู้สืบต่อธรรมทายาทของท่านเล่า" ท่านโพธิธรรมจึงตอบไปว่า "ก็นับแต่นี้ไปอีกสี่สิบปีในวันข้างหน้าภิกษุรูปนั้นจักปรากฏตัว"

(http://cfile214.uf.daum.net/R320x0/0118AE3DF0E11C38982809)                   

เมื่อช่งหวินได้กลับไปยังเมืองหลวง ก็มีความตกตะลึง เมื่อทราบข่าวความจริงว่า ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตมาเกือบสามเดือนแล้ว แต่ช่งหวินไม่เชื่อเพราะตนพึ่งพบเจอท่านโพธิธรรมเมื่อสองเดือนที่แล้ว จึงนำความนี้เข้าไปบอกยังในพระราชสำนัก พวกขุนนางและชาวบ้านต่างก็ไม่เชื่อคำพูดของช่งหวิน จึงได้พากันมาขุดหลุมฝังศพในสุสานเพื่อเปิดโลงศพออกดู จึงปรากฏความเป็นจริงขึ้นมาว่า ภายในหลุมฝังศพนั้นมีแต่โลงเปล่าๆ ศพของท่านโพธิธรรมได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย คงเหลือแต่รองเท้าข้างเดียว ที่ท่านโพธิธรรมทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าในโลงนั้น

การจากไปด้วยรองเท้าเพียงข้างเดียว เพื่อกลับสู่ปัลลวะแห่งชมพูทวีป เป็นการจากไปสู่ความเป็นนิรันดร บนเส้นทางอมตธรรม เพราะหลังจากนั้นมาอีกเกือบสี่ร้อยปี การส่งมอบบาตรและจีวรก็ได้ผ่านมาถึงสี่ห้าชั่วคน นับแต่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไปแล้ว และด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาถึงสองร้อยกว่าปีแล้ว บาตรจีวรและความเป็นผู้นำในการเผยแผ่ธรรม ได้ตกทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่หกแห่งนิกายเซน ที่ชื่อ เว่ยหล่าง ในขณะที่ท่านเว่ยหล่างได้เข้าอุปสมบทเป็นพระ อยู่ทางใต้ของแผ่นดินจีนแล้ว และทำหน้าที่สังฆปรินายกอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในตำบลโซกาย แห่งเมืองชิวเจา ก็อยู่มาวันหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระชาวเสฉวนชื่อ "ฟองบิน" ได้เดินทางมากราบคาราวะท่านเว่ยหล่าง

                    (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/s403x403/995850_486404924802887_1343786068_n.jpg)

 เมื่อทั้งคู่ได้สนทนากันจึงทราบได้ว่า ท่านฟองบินนี้ก่อนที่ท่านจะได้เข้ามาอุปสมบทเป็นพระ ท่านเคยเป็นพ่อค้าและเดินทางไปค้าขาย ที่เมืองปัลลวะทางอินเดียตอนใต้ ท่านฟองบินกล่าวว่า ท่านเคยเจอภิกษุรูปหนึ่งชื่อท่านโพธิธรรม โดยท่านโพธิธรรมได้แนะนำให้ท่าน กลับมายังจีนบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อบวช และท่านยังแนะนำให้มาหาท่านเว่ยหล่างเพื่อศึกษาเล่าเรียน และมาปฏิบัติอยู่ด้วยกับท่านที่วัดนี้ โดยท่านโพธิธรรมได้กล่าวกับฟองบินว่า หัวใจแห่งธรรมอันถูกต้องพร้อมทั้งบาตรและจีวร อันท่านโพธิธรรมเองได้รับมอบต่อๆกันมาจากพระมหากัสสัปปะเถระนั้น บัดนี้ได้ถูกส่งมอบสืบทอดมาถึงท่านเว่ยหล่างแล้ว ท่านฟองบินจึงได้กล่าวกับท่านเว่ยหล่างว่า ขอให้ท่านได้เห็นบาตรจีวรและธรรมอันถูกต้องด้วยเถิด

(https://lh3.googleusercontent.com/-rmbFWbqwG8k/UuuFXXzyarI/AAAAAAAAQhw/tE1KASZ6RBo/w433-h374/2014+-+1)

ด้วยคำพูดของภิกษุฟองบิน ภิกษุชาวจีนแห่งเมืองเสฉวน ที่เคยค้าขายอยู่ที่เมืองปัลลวะและเจอท่านโพธิธรรมที่นั่น ความจริงก็คือความเป็นจริงอยู่อย่างนั้น นับแต่ที่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตไป เมื่อท่านโพธิธรรมพึ่งได้เสียชีวิตใหม่ๆ หลังจากนั้นสามเดือน ก็ยังมีคนเคยเห็นท่านเดินทางไปกับหมู่คณะ และท่านก็ถือไม้เท้าที่แขวนด้วยรองเท้าข้างเดียว และหลังจากนั้นมาอีกเกือบสามร้อยปี ภิกษุฟองบินก็ไปเจอท่านที่เมืองปัลลวะแห่งอินเดียตอนใต้ และท่านโพธิธรรมผู้ซึ่งตายไปนานแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังได้แนะนำให้ภิกษุฟองบินกลับมารับธรรม รับการถ่ายทอดวิถีธรรมอันคือธรรมชาติ จากท่านเว่ยหล่างผู้ซึ่งเป็นสังฆปรินายกในขณะนั้น

เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันจึงเป็นไปได้ กาลเวลาก็ทำหน้าที่เพียง เดินไปข้างหน้า โดยไม่รั้งรอใครอะไรทั้งนั้น แต่ความเป็นอมตธรรมนั้น มันอยู่นอกเหนือกาลเวลา ท่านโพธิธรรมมิได้จากไปไหน รองเท้าในโลงศพของท่านข้างนั้นมันยังอยู่ มันรอท่านโพธิธรรม เพื่อให้ท่านกลับมาใส่มัน ให้ครบทั้งสองข้าง ในกาลเวลาเหมาะสม ท่านโพธิธรรม ยังคงอยู่

(https://lh4.googleusercontent.com/-SXQI3koCmXQ/Uu_6mu3uhFI/AAAAAAAABuc/5PxAOjkegQ4/w433-h374/3+-+1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   4 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน
หัวข้อ: Re: บทที่ 9 พระมหากัสสปะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 02:30:47 pm

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p403x403/1620797_486869578089755_1144070903_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 9 พระมหากัสสปะ

ปิปผลิมาณพ เกิดในตระกูลกัสสปะเป็นบุตรชายของกปิลพราหมณ์ แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า "กัสสปะ" ตามวงศ์ตระกูลของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงามวัย 16 ปี นางเป็นกุลธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ แห่งเมืองสาคลนคร แคว้นมคธ ต่อมาทั้งคู่เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนใช้ชีวิตคู่ จึงพากันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติและบริวาร ทั้งคู่จึงพากันออกบวชตามทิฐิของตนเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อต่างคนต่างโกนผมและนุ่งห่มผ้าย้อมฝาดแล้วและตระเตรียมบริขาร จึงชวนพากันเดินออกจากหมู่บ้านไป

 เมื่อทั้งคู่มาถึงทางสามแพร่งจึงได้ตกลงแยกย้ายกันไป ปิปผลิไปทางขวาและนางภัททกาปิลานีไปทางซ้าย ในขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่ทรงอนุญาต ให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาได้ นางจึงไปขออยู่ในสำนักปริพาชก ต่อมาเมื่อพระนางปชาโคตมีได้บวชแล้ว นางจึงได้ตัดสินใจเข้ามาขอบรรพชาอุปสมบท ในสำนักขององค์พระศาสดา ภายหลังจากนั้นนางได้ศึกษาธรรมกรรมฐานและเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุเป็นอรหัตผล

(http://thummada.com/php_upload3/Bua-Toom_Bua-Baan.jpg)

ส่วนปิปผลิเดินทางไปจนได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร ในหนทางระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา เมื่อปิปผลิได้เห็นพระพุทธองค์จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธองค์จึงได้แสดงธรรมสั่งสอน และเรียกปิปผลิเข้ามาอุปสมบทไปในคราวเดียวกัน ด้วยทรงพระราชทาน "โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา" 3 ข้อ

ข้อ 1 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอควรตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ ในภิกษุทั้งที่เป็นพระเถระ พระผู้มีพรรษาปานกลาง และพระนวกะผู้บวชใหม่
ข้อ 2 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอควรตั้งใจฟังธรรมบทใดบทหนึ่งด้วยความเคารพ และพิจารณาจดจำทำความเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมบทนั้น
ข้อ 3 กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เธอจะไม่ละสติไปในกาย

เมื่อท่านกัสสปะได้รับโอวาท และบวชเป็นพระภิกษุต่อหน้าพระพุทธองค์แล้ว จึงได้หลีกเร้นทำความเพียร ก็ด้วยกุศลกรรมอันคือจริตของภิกษุกัสสปะ ที่เคยสั่งสมมาในการพิจารณาถึง ความไม่เที่ยงแห่งกาย ความไม่ยั่งยืนอยู่แห่งความเป็นขันธ์ธาตุ แม้กระทั่งในชาติสุดท้ายนี้เอง ท่านก็มีความเบื่อหน่ายในกายในสังขารของท่าน ก็เป็นเหตุให้ท่านได้ทิ้งการครองเรือนเพื่อมาบวช เพราะท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตคู่ จนถึงกับทำให้ท่านนอนหันหลังให้กับภรรยาของตนทุกคืน ไม่เคยมีความยุ่งเกี่ยวจับเนื้อต้องตัวภรรยาในฐานะที่ตนเองเป็นสามีเลย ด้วยจริตนี้ พระพุทธองค์จึงทรงให้โอวาทเป็นธรรม เพื่อให้ภิกษุกัสสปะนำมาพิจารณา คือ ให้พึงมีสติไปในกาย

ก็อันว่าด้วยกายนี้ เป็นเพียงการประกอบเข้าแห่งขันธ์ธาตุ คือ ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุกัสสปะ พึงมีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้อยู่อย่างนั้นว่า แท้จริงความเป็นขันธ์ทั้งห้า มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว ขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้นย่อมตั้งมั่นเป็นตัวเป็นตนอยู่ได้ไม่นาน มันย่อมแปรปรวนไป มันย่อมมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในความที่เข้าไปยึดเป็นตัวเป็นตน แท้จริงขันธ์ทั้งห้านี้ย่อมไม่มีตัวตน ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริง มันย่อมไม่เคยมีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้นมาก่อน ธรรมชาติมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

                         (https://lh3.googleusercontent.com/-APi4dr9YpVo/Uhc5byvTpGI/AAAAAAAAFY0/jHOpzYigXUg/w533-h355/931283_458147857593575_1167079415_n.jpg)

เมื่อภิกษุกัสสปะได้น้อมนำธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน และได้เห็นตามความเป็นจริงเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า แท้จริงกายนี้ก็ได้แต่เพียงอาศัยเพื่อดำรงชีวิตอยู่ แท้จริงการที่เรายังเห็นว่า กายนี้คือเรา เพราะเราหลงไปเห็นว่ามันมีความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ธาตุทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดว่า นี่คือเรา นี่คือกายเรา นี่คือความเป็นเรา เมื่อภิกษุกัสสปะเข้าใจตรงต่อความเป็นจริงแล้วว่า มันเป็นเพียงปรากฏการณ์เกิดขึ้นแห่งกายที่หลงเข้าไปยึด แท้จริงขันธ์ทั้งห้าหามีความเป็นตัวตนไม่ แท้จริงขันธ์ทั้งห้าย่อมเป็นความว่างเปล่า ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น แท้จริงธรรมชาติมันคงมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อภิกษุกัสสปะได้ตระหนักอย่างชัดแจ้ง และได้รู้แจ้งในธรรมชาติแล้ว ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันที่แปด นับแต่ท่านได้เข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา

เมื่อภิกษุกัสสปะได้บรรลุธรรมแล้ว จึงได้มีความขวนขวายสั่งสอนธรรมแก่ภิกษุและพุทธบริษัทอื่นๆ จนกระทั่งท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ เข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยเป็นจำนวนมาก และภิกษุกัสสปะนี้ท่านมีศรัทธา ที่จะรักษาประพฤติข้อวัตรแห่งธุดงค์ ท่านจึงตั้งใจสมาทานไว้ 3 ประการอย่างเคร่งครัด คือ

1. การถือเอาการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นข้อวัตร
2. การถือเอาการบิณฑบาตเป็นข้อวัตร
3. การถือเอาการอยู่ป่าเป็นข้อวัตร

การถือข้อวัตรเหล่านี้ด้วยความเคร่งครัด เพื่อที่จะให้เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุรุ่นหลังๆ ตามเจตนารมณ์ของภิกษุกัสสปะท่าน พระพุทธองค์จึงตรัสสรรเสริญและยกย่องท่าน ให้เป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางเป็นภิกษุผู้ทรงธุดงควัตร และต่อมาพุทธบริษัททั้งหลายได้เรียกชื่อท่านว่า "พระมหากัสสปะ"

ครั้งหนึ่งพระมหากัสสปะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และพระองค์มีความประสงค์ที่จะทรงทอดพระวรกาย เพื่อบรรทมในท่าสีหไสยาสน์ พระมหากัสสปะจึงได้ถอดผ้าจีวรสังฆาฏิของตนออก แล้วพับเป็นสี่ชั้นเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงสีหไสยาสน์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทอดพระวรกายแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า "กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอมีความนุ่มดี" พระมหากัสสปะจึงพูดว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงโปรดเอาไปใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า" พระพุทธองค์จึงทรงถวายผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ประทานให้แก่พระมหากัสสปะไว้ใช้สอยเช่นกัน ก็ผ้าสังฆาฏิผืนนี้พระมหากัสสปะได้เอามาใช้สอย และไม่เคยเปลี่ยนสังฆาฏิอีกเลย ครั้งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน บริขารทั้งหลายของพระพุทธองค์นั้น ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยพระเถระ มีผู้กล่าวกันต่อมาว่า พระมหากัสสปะได้เอาบาตรของพระพุทธองค์มาเก็บเอาไว้ด้วย

ต่อมาพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน และหลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านพระมหากัสสปะได้ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อเป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป

                 (http://www.larnbuddhism.com/atatakka/pratera/Bud80.jpg)

สาระสำคัญของปฐมสังคายนา
1. พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย 2. พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย
3. พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร
4. กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
5. พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภก
6. กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ

พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
ในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้ว ทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่าน แล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท
แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้งสามลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูเขาทั้งสามลูกนั้น มีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น
ท่านยังอธิษฐานขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย
ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้น ประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่าน บนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น

หลังจากที่พระมหากัสสปะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว สังฆาฏิและบาตรของพระพุทธองค์ที่พระมหากัสสปะได้เก็บไว้นั้น ก็ได้ถูกส่งต่อสืบทอดกันมาในหมู่คณาจารย์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะท่าน การครอบครองบาตรและจีวร เป็นการได้ครองด้วยการสืบทอดธรรมอันเป็นธรรมชาติ ด้วยการชี้ตรงผ่านสู่ใจต่อใจ เป็นการถ่ายทอดธรรมให้แก่กันเป็นรุ่นๆ มิให้ขาดสายไป

(https://lh3.googleusercontent.com/-aVky_JHGYcE/Uu0lJKVlyKI/AAAAAAAIzjc/pIJF0VGlWcA/w333-h510/4b35399248c36daae309c0ca07187843.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   5 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

(https://lh4.googleusercontent.com/-Xi1LB145TzI/UvDNL8JI2wI/AAAAAAAAAqU/kuuvYluNNHI/w433-h294/cat+eye.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 10 เข้าสู่กระแสธรรมอันคือ ธรรมชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 03:22:09 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-PBEX7W6JTkk/UvCVvXd9HDI/AAAAAAAGHgc/V_gBDuUY8gY/w370-h538-no/a_splash_of_color_by_akuinnen24-d3babhd.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 10 เข้าสู่กระแสธรรมอันคือ ธรรมชาติ

ธรรมที่ตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้ เพื่อเป็นเครื่องชำระล้างจิตใจที่แปดเปื้อน ไปด้วยมลทิน ตัณหา อุปาทานต่างๆนั้น เป็นธรรมอันคือหนทางไปสู่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ นั่นคือ อริยมรรค หรือ หนทางอันยิ่งใหญ่นั่นเอง มรรคหรือหนทางที่นำพาเราออกจากทุกข์ได้ ก็คือ มรรคหนทางเดียวกันกับ "มรรคหนทางที่ทำให้เราได้ซึมซาบ กลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั่นเอง" มันเป็นธรรมชาติแห่งทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่รวมกัน ด้วยความเสมอภาคในเนื้อหาอันเดียวกัน คือความว่างเปล่าไร้ตัวตนอยู่อย่างนั้น

ก็ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ไม่เข้าใจในธรรมชาติแห่งตน มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาความเป็นตัวตนของตนเองเป็นที่ตั้ง ในการดำเนินชีวิตไปบนเส้นทางแห่งความประมาท เหตุและปัจจัยที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นรูปกายของมนุษย์ มนุษย์ก็หลงผิดล้วนแต่จับฉวยจับกุมเข้าไปยึดสิ่งต่างๆเหล่านี้ ที่เข้ามาแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกต่างๆ จนกลายเป็นความคิดไปในทาง ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมนุษย์ผู้นั้น ก็เพราะ ตัณหา อุปาทาน ความอยาก ที่มนุษย์ผู้หันหลังให้กับธรรมชาติ ยึดเอาเป็นสรณะว่า "นี่คือตนนี่คือของตน" อยู่ตลอดเวลา ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนแต่นำมาปรนเปรอ ความเป็นตัวตนของตนเองอยู่ร่ำไป

(https://lh4.googleusercontent.com/-P-zZH2JxLxg/UvCXKrK-RBI/AAAAAAAI1Oo/rUoi6UeiHRs/w333-h509/14_by_x_pyre12-d4syqqf.jpg)

ตถาคตเจ้าจึงตรัสว่า แท้จริงมันเป็นเพียงสักกายทิฐิ หรือความเห็นอย่างมืดมัว ในความเป็นตัวเป็นตนของตนเองอยู่ตลอดเวลา แท้จริงสิ่งเหล่านี้หามีไม่ มันเป็นเพียงมายามาหลอกล่อ ให้เราติดกับดักในความเป็นตัณหาอุปาทานแห่ง "ความเป็นเรา" พาเราทั้งหลายไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จบรู้สิ้น มันเป็นเพียงเหตุและปัจจัยที่ทำให้เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เป็นความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มันเป็นเพียง "จิต" เท่านั้นที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ในความเป็นจริงจิตต่างๆที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมันหามีไม่ แท้จริงความเป็นเราก็ไม่มีแม้แต่น้อย ตถาคตจึงย่อยสลายความเป็นตัวเป็นตนของมนุษย์ "ความเป็นเรา" เหลือเป็นเพียงส่วนประกอบที่ประกอบเข้ากันเป็นมนุษย์ขึ้น แบ่งออกเป็นห้าส่วน คือ ขันธ์ทั้งห้า กล่าวคือ ย่อยเหลือเพียง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้น ก็เพราะขันธ์ทั้งห้านี่เองที่ทำให้มนุษย์หลงเข้าไปยึด ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นตนเองขึ้นมา และในความเป็นจริงขันธ์ทั้งห้าก็หามีไม่ แท้ที่จริงธรรมชาติมันคือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น มันไม่เคยมีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้นมาก่อนเลย

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p480x480/1782086_406263439517961_1188764114_n.jpg)

ก็เมื่อพวกเธอเข้าใจแล้วว่า แท้จริงทุกๆสิ่งในความคิดที่พวกเธอผลิตออกมา มันล้วนแต่เป็นเพียงจิตที่ถูกปรุงแต่งขึ้นไปในความหมายว่า นี่คือความเป็นตัวตนของพวกเธอเอง และแท้ที่จริงจิตนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งที่พวกเธอเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ทั้งห้า จนก่อให้เกิดตัณหา อุปาทาน และกลายเป็น "จิต" และเมื่อพวกเธอเข้าใจในความเป็นจริงตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ที่มันเป็นธรรมชาติของมันในความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ซึ่งหมายความว่า มันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า เป็นความว่างเปล่าโดยที่มันไม่เคยมีขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นมาก่อนเลย อันจะทำให้พวกเธอเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้ ก็ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของมันนั่นเอง ที่พวกเธอเข้าใจอย่างชัดแจ้งหมดซึ่งความลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวง

(https://lh5.googleusercontent.com/-zPMkOHvImb0/UvD9gVJH6_I/AAAAAAAI1fI/DrT0FSk0Zo0/w533-h362/beginning_of_the_universe_by_glo_he-d4euan2.jpg)

 ซึ่งความลังเลสงสัยนั้น มันอาจจะทำให้พวกเธอหันเหไปสู่ข้อวัตรอื่นๆ ที่พวกเธอผลิตขึ้นมาเอง หรือเป็นข้อวัตรที่พวกเธอจดจำมาจากสำนักอื่นหรือศาสดาอื่นๆ ซึ่งพวกเธอเข้าใจผิดว่ามันจะเป็นข้อวัตร อันทำให้พวกเธอพ้นจากความทุกข์ได้ ความเข้าใจอย่างชัดแจ้งหมดจดไร้ความเป็นตำหนิ ในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ อย่างที่ไม่มีความคลอนแคลนไปในทางหนทางอื่นที่ว่านี้ มันเป็นความ "ตระหนักชัด" อย่างชัดแจ้ง ในเนื้อหาธรรมชาติ เป็นความตระหนักชัดอันนำพาพวกเธอเข้าถึงกระแสธรรม ในธรรมชาติดั้งเดิมแท้ได้นี่เอง คือหลักธรรมเดียวอันเป็นหลักธรรมสำคัญยิ่ง ที่ตถาคตเจ้าได้ประกาศธรรมชนิดนี้ล่วงมาเป็นเวลา 2,500 กว่าปีแล้ว ก็ขอให้พวกเธอเข้าใจธรรมอันคือธรรมชาติตามนี้

(https://lh4.googleusercontent.com/-_qY8ertnNkI/UvJJ70S2yoI/AAAAAAAI2lc/TaW0Fzvv9VY/w433-h327/1483437_458195550947304_1912854131_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   6 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p403x403/1939681_650892398301362_1498127162_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: 時々होशདང一རພຊຍ๛ ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 06:43:31 pm
(https://lh4.googleusercontent.com/-tNU3wZH2img/UuzGw-t5nMI/AAAAAAAAA5g/STiQ4Zkkp78/w649-h539-no/1-I - MG_0018-MOTION.gif)



:46: :46: :46:

ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ครับ พี แป๋ม :46:

ผมมัวแต่ไปทำเว็บ ฯ ของตัวเอง ครับ ไม่มีใคร POST



http://www.youtube.com/v/jhGI0X6jhSQ?version=3&hl=th_TH
หัวข้อ: Re: บทที่ 11 ความทุกข์ยาก คือ เมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 08:09:40 pm

(http://files.myopera.com/BaoTranart/blog/013.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 11 ความทุกข์ยาก คือ เมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ

ผ่านมาเป็นกัปเป็นกัลป์โดยนับไม่ถ้วนแห่งอสงไขยเวลา ที่กาลเวลาเหล่านั้นได้พาเราเองไปเวียนว่ายตายเกิดบนโลกใบนี้ ความที่ต้องทนถูกบีบคั้นกับภาวะต่างๆในชีวิตประจำวัน ในแต่ละภพแต่ละชาติที่ผ่านมาทุกภพทุกชาติไป มันเหมือนประสบการณ์ที่เป็นครูสอนเรา ให้ได้เรียนรู้กับชีวิตที่เดินไปบนหนทางอันมืดมน และไม่มีจุดจบบนเส้นทางนี้ ใจเมื่อหากหวังสิ่งใด หากได้มามันก็อยู่กับเราไม่นาน ยึดในสิ่งที่คิดว่าสมหวัง ท้ายที่สุดก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลังว่า "มันจากไปแล้ว" มันจากไปด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ซึ่งคือความหมายแห่งความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นการพลัดพรากจากไปเป็นของธรรมดาตามแบบสามัญทั่วไป แห่งการไม่มีสิ่งสิ่งนั้นอยู่แล้วโดยความหมายโดยสภาพในตัวมันเอง หรือใจเมื่อหากหวังสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้นมา ก็เป็นความทุกข์ใจแบบซึ่งหน้า ณ เดี๋ยวนั้นอยู่แล้วนั่นเอง

(https://lh3.googleusercontent.com/-mRlh2dlo6e0/UvQFLOYm7EI/AAAAAAAA0nY/IzduXWDZKUs/w333-h447/1601403_639267322777443_980825330_n.jpg)

ชีวิตของมนุษย์ ผู้ที่มีความต้องการอยู่ในกมลสันดานอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ที่แสดงกรรมของตนเองต่อสิ่งรอบข้าง และต้องจำยอมรับผลกรรมนั้นอยู่ตลอดไป ด้วยอำนาจแห่งกรรมวิสัยนั้น ก็ในความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมกับสังคมมนุษย์ด้วยกัน เป็นสังคมที่ดำเนินไปในทางความมีความเป็นแต่ถ่ายเดียว มนุษย์จึงมีความระมัดระวังในการแสดงออกต่อกัน ได้กระทำถูกบ้างกระทำผิดบ้าง มีความสุขใจบ้างมีความทุกข์ใจบ้าง แต่โดยเนื้อหาแล้วภาวะที่เข้ามาและแบกรับไว้ มันล้วนกลั่นกรองออกมาแสดงเป็นผลแห่งความทุกข์ที่เข้ามาบีบคั้น ให้ใจมนุษย์ต้องทนรับผลของมันอยู่ตลอดไป บางครั้งความทุกข์ยากที่ได้ก่อตัวขึ้น มันมากเสียจนกระทั่งให้หัวใจอ่อนๆของมนุษย์ ผู้ที่ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาของตนเองได้ถูกวิธี ได้ผุพังกลายเป็นหัวใจที่แตกสลายยับเยิน ไม่อาจทนยินดีรับความทุกข์นั้นไว้ได้ ขาดความเป็นจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ตามที่มันควรจะเป็นไป

                    (https://lh3.googleusercontent.com/-HMn3dCjZxLo/UvNQXx5wRSI/AAAAAAAAUs0/f3y_kWVcnvg/w333-h492/14+-+1)

แต่ด้วยผลบุญซึ่งคือสภาพที่เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายได้สร้างสมไขว่คว้าเอาไว้ ด้วยอำนาจแห่งบุญนั้น ก็ทำให้บัณฑิตทั้งหลายได้เรียนรู้ว่า สิ่งต่างๆทั้งหลายที่เข้ามาบีบคั้นและต้องทนแบกรับไว้ แท้ที่จริงมันคือ "ทุกข์" มันเป็นสภาพแห่งความทุกข์ และทุกข์นี้เองมันทำให้บัณฑิตเหล่านี้ ได้พึงพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นเหตุที่ทำให้ต้องหาทางออกจากมัน ถึงแม้ว่าทุกข์นั้นมันจะเป็นโทษ แต่ทุกข์นั้นโดยสภาพมันเอง มันก็คือ เมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ ที่มันทำหน้าที่เป็นเหตุและปัจจัย "อย่างแท้จริง" ที่ทำให้เราได้มีสติมีกำลังใจกระตุ้นเตือนตนเองว่า เราควรหนีห่างออกจากมันโดยฉับพลัน นี่คือ "ความทุกข์" แห่งพุทธะ

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/s403x403/1613844_487661158010597_1239425643_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   7 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

(https://lh6.googleusercontent.com/-LuJ20p8RIs0/UvS3HXlMc9I/AAAAAAABauI/WNvuXibjOF4/w533-h400/07.02.14+-+1)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: noppaknam ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2014, 05:29:20 am
 :45: :45: :45: :  13:
หัวข้อ: Re: บทที่ 12 ความเงียบบนเส้นทางนั้น
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2014, 04:55:31 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-DZxfLw43PV0/UvsNHFSmTKI/AAAAAAAA2cY/-EtGqEJajbE/w333-h478/11+-+1)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 12 ความเงียบบนเส้นทางนั้น

พวกเราต่างก็ถูกปกคลุมให้อยู่ในฐานะ เป็นบรรดาสรรพสัตว์ที่เกิดมาแล้วต้องตาย ตายแล้วก็ต้องเกิด หมุนเวียนเปลี่ยนถ่ายภพชาติกันไปแบบไม่มีวันจบสิ้น แถมยังล้วนแต่เป็นสรรพสัตว์ที่โง่เขลาอ่อนด้อยทางปัญญา มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำจิตใจเราอยู่ตลอดเวลา ความหลงผิดดังกล่าวทำให้เรามีแต่ความยินดียินร้าย เมื่อมีเหตุและปัจจัยเข้ามากระตุ้น ให้เข้าไปยึดในความมีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น ตามโมหะแห่งสรรพสัตว์เราทั้งหลาย

(https://lh4.googleusercontent.com/-_Vgj_meTfzo/UvgSazjI_xI/AAAAAAAA190/4Xo7thjIM-I/w333-h640/9+-+1)

ก็ขอให้พึงสำเหนียกเอาไว้เลยว่า ความสุขและทุกข์ที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลานั้น มันล้วนเกิดจากอวิชชาความไม่รู้ของเราเอง พาเข้าไปมองเห็นแบบเข้าใจผิดว่า "มีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น" และอวิชชาความไม่รู้อีกเช่นกัน ก็พาเข้าไปยึดขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้นนั้น คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนปรุงแต่งกลายมาเป็น "จิต" เป็นจิตที่มีแต่เนื้อหายินดียินร้ายไปในทางสรรพสิ่งแห่งมายาของตน ซึ่งเป็นผลพวงจากที่ตนเองเข้าใจผิดต่อความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ก็ทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่งไปตามเหตุและปัจจัย ที่เข้ามาเพียงเท่านั้น

 แท้จริงแล้วเหตุปัจจัยที่เข้ามา "มันก็หามีไม่" "ความมี" แห่งเหตุและปัจจัยนั้นมันก็หาคงตัวคงที่ถาวรไม่ มันย่อมแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะโดยสภาพตามธรรมชาติของมันแห่งเหตุและปัจจัยที่เข้ามานั้น โดยตัวมันเองมันก็ย่อมไม่มีย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่แล้ว เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติอันคือคุณลักษณะของมัน มันก็ย่อม "หมดเหตุ" ในเหตุและปัจจัยนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงควร ไม่ต้องเข้าไปรู้สึกดีใจหรือเสียใจในสิ่งที่เข้ามา ก็ในเมื่อสิ่งที่เราคิดและอาจประสบพบเจอ มันอาจเป็นเพียงความสำเร็จหรือความล้มเหลว แต่ทั้งสองทางมันก็ล้วนเกิดจาก "จิตที่เราปรุงแต่งขึ้น"

(https://lh3.googleusercontent.com/-jRTMM1ktl58/UvoPnaPv0cI/AAAAAAAAU3Q/tItLUaLtqWU/w333-h442/%D9%85%D9%8A%D9%84%D8%A9.jpg)

 เมื่อมันล้วนแต่เป็นเพียงมายาแห่งการปรุงแต่ง สรรพสัตว์ผู้ที่เข้าใจในธรรมชาติแห่งทุกสรรพสิ่งว่า แท้ที่จริงหามีสิ่งใดไม่ ธรรมชาติมันคงปรากฏแต่เนื้อหา แห่งความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีอันหาจุดเริ่มต้นของมันไม่ได้ และไม่มีวันที่จะมีจุดจบสลายหายไป มันเป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่าแบบคงตัวถาวร ตลอดสายถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุ ตามเนื้อหาตามสภาพของมันแบบธรรมชาติอยู่อย่างนั้น สรรพสัตว์ผู้ที่มีความตระหนักชัดในความหมายแห่งธรรมชาตินี้ และสามารถซึมซาบกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกับมัน "ได้แบบมั่นคง" หามีความหวั่นไหวไปตามมายาอันคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ก็ขึ้นชื่อได้ว่าสรรพสัตว์ผู้นั้นกำลังได้ปฏิบัติธรรม และกำลังเดินไปบนเส้นทางอริยมรรค อันคือหนทางไปสู่ความหลุดพ้น แบบเงียบๆอยู่คนเดียว ในท่ามกลางการใช้ชีวิตประจำวันของตน ต่อสังคมรอบข้างได้อย่างเหมาะสมลงตัว

(https://lh3.googleusercontent.com/-MRgkgf54S8M/UvsIcX-Ka6I/AAAAAAAA2Z0/G5GnrtL9oOw/w533-h355/11+-+1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   8 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

(https://lh4.googleusercontent.com/-sUPuN05VjZA/UvqWoHKh2rI/AAAAAAABOis/Ri-vPBLUMx4/w533-h434/5107671d5b163188466784b1a0703dcc.jpg)

.
หัวข้อ: Re: บทที่ 13 วิถีที่เรียบง่าย
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2014, 06:29:23 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-FLY8sdF4ogg/UvmvHFWcleI/AAAAAAABnss/KZBTsU0J3Uo/w533-h800/57+-+1)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 13 วิถีที่เรียบง่าย

โลกตามความเป็นจริง มิได้หมายถึงผืนแผ่นดินที่มีรูปทรงกลมและมีมหาสมุทรโดยรอบ แต่โลกตามความหมายแห่งตถาคตเจ้า คือโลกที่ถูกรับรู้ด้วยอายตนะและขันธ์ธาตุอันประกอบเป็นร่างกายขึ้น คือโลกในความเป็นมโนภาพในโครงสร้างแห่งความเข้าใจ แห่งมนุษย์ทั้งหลายตามความรับรู้แห่งตน ก็โดยสรรพสัตว์ทั่วไปย่อมใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ดำรงชีวิตไปตามที่ใจของตนปรารถนา จึงเป็นความปกติที่พื้นฐานของชีวิตมนุษย์ทุกตัวตน ย่อมดิ้นรนแสวงหาความสุขมาปรนเปรอบำเรอให้กับชีวิตของตน ตามที่ตนเองตั้งความหวังเท่าที่ตนจะหวังได้อยู่ร่ำไป

(https://lh3.googleusercontent.com/-6pvFbfzZSfU/UvcHLoOATmI/AAAAAAAA12Y/9UUBhybUXwk/w367-h538-no/8+-+1)

 แต่ด้วยลักษณะกรรมที่ตนเองเคยประกอบทำไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา ด้วยความมืดมัวแต่เก่าก่อนที่เคยทำไปแบบผสมปนเป เป็นเนื้อหากรรมที่เป็นไปในทางความสุขบ้างความทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไปตามอำนาจแห่งความมืดแห่งหัวใจตน ก็ด้วยการเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้มันเป็นการใช้กรรมและการสร้างกรรม ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะประสบแต่ความสุขแต่ฝ่ายเดียว ความสุขที่ได้เสพนั้น เมื่อวาระแห่งกาลเวลาที่ต้องใช้กรรมชนิดนี้หมดไป ด้วยเหตุผลที่ว่ามีกรรมชนิดใหม่ๆต้องเข้ามาแทนที่ ตามหน้าที่แห่งความเป็นไปตามระบบกรรมวิสัยนั้น และอีกทั้งโดยสภาพตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ ย่อมไม่มีสิ่งใดๆที่จะตั้งอยู่ในสภาพนั้นๆในความรู้สึกนั้น แบบคงที่ถาวรได้ตลอดไป เพราะธรรมชาติคือความว่างเปล่า ไม่อาจมีรูปทรงใดๆหรือสิ่งไหนตั้งอยู่ในสภาพของมัน ได้อยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปในความว่างเปล่าได้เลย

(https://lh6.googleusercontent.com/-HI8OkOC020Q/UvcHBeYR5ZI/AAAAAAAA12E/1iVD3LUAVuo/w533-h429/8+-+1)

 เมื่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มิใช่ปรากฏการณ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงตามธรรมชาติ ปรากฏการณจึงย่อมมิใช่ปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์ทั้งหลายนั้นจึงย่อมเป็นมายา เสมือนเป็นพยับแดดที่ระเหือดระเหยหายไป ในชั่วพริบตาแห่งความรู้สึก ความสุขที่ไขว่คว้าจึงมิได้มีความจีรังยั่งยืนแต่อย่างใด แต่เมื่อเหตุและผลตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาตินี้ ถูกกลบไปด้วยความรู้สึกที่ยึดมั่นบนพื้นฐานแห่งความไม่เข้าใจ สรรพสัตว์ในคราบมนุษย์ทั้งหลาย จึงดำเนินชีวิตของตนไปในบรรดาความรู้สึกต่างๆที่ตนเองเคยชิน เป็นความเคยชินในความชอบที่หมกอยู่ในกมลสันดานแห่งจิตตน ความเคยชินที่เป็นความสั่งสมแบบแนบแน่น ชนิดที่เรียกว่า เราคือมัน มันคือเรา ก็จะพาให้เรากลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกแห่งมายาในสามภพ คือ มนุษย์ สวรรค์ นรก ความแนบแน่นดังกล่าวก็จะดลบันดาลด้วยอำนาจแห่งมัน พาเราไปเวียนว่ายตายเกิดในภพในเรือนทั้งสามนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s403x403/1496666_452941178161013_621453739_n.jpg)

แท้จริงความเป็นเราย่อมไม่มี แท้จริงความเป็นขันธ์ธาตุย่อมไม่มี ขันธ์ธาตุนั้นโดยตัวมันเองย่อมเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่จะเข้าไปยึดถือจนก่อให้เกิดความเป็นตัวตนได้ ความเป็นจริงไม่เคยมีขันธ์ธาตุเกิดขึ้นมาก่อน หากกล่าวว่ามีขันธ์ธาตุเกิดขึ้น มันก็เป็นการเกิดขึ้นแห่งขันธ์ธาตุด้วยความมีโมหะแห่งเราเอง จึงปรากฏความเป็นขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นในความรับรู้ และยึดเอาขันธ์ธาตุนั้นคือเรา มีความหมายในความเป็นตัวเป็นตนแห่งเรา เพราะความเข้าไปยึดด้วยเหตุแห่งอวิชชาความไม่รู้ แต่ด้วยความเป็นจริงขันธ์ธาตุที่เราเข้าไปอาศัยและยึดมั่นถือมั่นมัน มันมีความเสื่อมโทรมมีความแก่ชรา มีความแปรเปลี่ยนไปในรูปทรงของมัน แปรเปลี่ยนไปในลักษณะที่จะพลัดพรากจากไป ด้วยความคงตัวรูปทรงเดิมของมันเอาไว้ไม่ได้ ขันธ์ธาตุหรือกายนี้ จึงเปรียบประดุจเรือนที่เราได้พักพิงอาศัยชั่วคราว ความแปรปรวนของมันเปรียบเสมือนเรือนที่กำลังถูกไฟไหม้ ให้สูญสลายมอดหายไปในทุกกาลเวลานาที

                  (https://lh6.googleusercontent.com/-kLrdGoPu0lE/Uu-PtvkwkNI/AAAAAAAA04M/jXNWwWf1ZpE/w433-h255/3+-+1)

 เมื่อถึงเวลาที่ต้องอำลาจากกันไป ขันธ์ธาตุที่มาประชุมกันเป็นรูปกายเราเป็นอวัยวะต่างๆ มันก็พร้อมทำหน้าที่แห่งมัน เป็นหน้าที่ที่ต้องแยกย้ายสลายออกจากกัน ไปสู่ความเป็นธาตุเดิมของมัน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้กระทั่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ย่อมสลายหายไปอีกเช่นกันหามีตัวตนไม่ จึงเป็นการจากไปเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดั้งเดิมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง เป็นธรรมชาติที่คงปรากฏการณ์ "ความว่างเปล่า" ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน อยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว เมื่อความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้ สรรพสัตว์มนุษย์ผู้มืดบอดและไม่ยอมเข้าใจในกฎธรรมชาตินั้น จึงเอาความเคยชินซึ่งเป็นความทะยานอยากแห่งตน วิ่งไล่จับคว้าเงาของตนเองในความมืดอยู่อย่างนั้น เมื่อทุกสรรพสิ่งย่อมไม่มีตัวตนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว การได้มาหรือการจากไป บนพื้นฐานความรู้สึกนั้นๆในความยึดมั่น จึงย่อมเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่าและหาสาระอะไรไม่ได้เลย

เพราะธรรมชาติคือความเป็นจริงที่ไม่ซับซ้อน เป็นความเรียบง่ายในวิถีแห่งมัน ในความว่างเปล่าไร้ตัวตน สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงละทิ้งความซับซ้อนยุ่งเหยิงและความเหนื่อยหน่าย แห่งความมีความเป็นที่นำพาชีวิตของสรรพสัตว์ ให้โลดแล่นไปตามความทะยานอยากทั้งหลายเสีย แล้วหันหน้ามาทำความเข้าใจกับความจริงให้ตรงต่อความเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นเหตุและผล แบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนในความเป็นจริงแห่งตัวมันเอง แล้วธรรมชาตินั้น ก็จะพาท่านดำรงชีวิตไปบนวิถีที่เรียบง่ายแห่งมัน แต่ความเรียบง่ายนี้กลับเป็นความสุขที่ยืนยาวอย่างแท้จริง ตราบชั่วนิจนิรันดรในอมตธรรมนั้น

   (https://lh6.googleusercontent.com/-qLKS3kQhR-A/UvDkP-jWaeI/AAAAAAAA1I0/Q6oHb2tVHgY/w533-h330/4+-+1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   9 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh3.googleusercontent.com/-iv08lRxX-4E/UusHWG6DDDI/AAAAAAAABwM/TEmEVEzyWMA/s333/%DB%B1%DB%B0+%D9%87%E2%80%8D.%D8%B4.+-+1)
หัวข้อ: Re: บทที่ 14 "ตถตา" มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:17:30 pm

(https://lh4.googleusercontent.com/-5N2eEKTXG0Y/Uv3N1y7_Y-I/AAAAAAADM4U/OxYdYWHcdKY/w533-h799/1036.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 14 "ตถตา" มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น

เมื่อพวกเธอตัดสินใจเดินบนเส้นทางธรรมชาติ ด้วยความมั่นใจของพวกเธอเองที่คือความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาตินั้นอันจะทำให้พวกเธอไม่หันหลังกลับไปในหนทางที่มืดมัวอีก ซึ่งจะพาให้พวกเธอหลงทางไปในทิฐิอื่นๆที่ไม่ใช่สัมมาทิฐิ ศรัทธาที่ออกมาจากหัวใจอันแกร่งกล้าเด็ดเดี่ยวของพวกเธอ ซึ่งทำให้พวกเธอร้องอุทานออกมาว่า "นี่ใช่หนทางอันแท้จริงแล้ว" แล้วรีบก้าวเดินรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง กำลังใจทั้งมวลที่ออกมาจากใจของพวกเธอนั้น คือพลังแห่งธรรมธาตุต่างๆซึ่งมันอยู่ในฐานะเป็นอินทรีย์แห่งธรรม ที่ช่วยผลักดันให้พวกเธอได้ทำความเข้าใจตระหนักชัด ในเนื้อหาธรรมชาติได้อย่างชัดแจ้ง

 และมันจะช่วยผลักดันให้พวกเธอได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แบบกลมกลืนกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นด้วยการ "ซึมซาบ" ซึ่งหมายถึง ความเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งหมายถึง ความเป็นเนื้อหาเดียวกัน ชนิดที่ไม่อาจแบ่งแยกออกได้เป็นสองสิ่ง หรือ หลายๆสิ่งมากกว่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ว่า นี่คือ พวกเธอ นี่คือ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ในเนื้อหานั้น แต่มันทำให้ซึมซาบแบบกลมกลืนไปในทาง ไม่มีความแตกต่างใดๆเลยอย่างเด็ดขาด ในเนื้อหาธรรมชาติดั้งเดิมแท้ เพราะว่ามันก็เป็นของมันเช่นนั้นเองอยู่อย่างนั้น เป็นการซึมซาบที่ไม่อาจจะใช้ "เหตุและผลใดๆทั้งปวง" เข้ามาวิเคราะห์เพื่อรองรับเนื้อหาการซึมซาบในธรรมชาตินี้ได้อีก เมื่อสามารถซึมซาบกับมันแล้วด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นตามธรรมชาติของมัน ตามที่มันจะเป็นไปตามเนื้อหาของมันเอง มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว

(https://lh5.googleusercontent.com/-mKvvHF02t2I/Uv3CloI1XZI/AAAAAAAAOTE/sVb5116seIY/w333-h460/%DB%B2%DB%B4+%D9%87%E2%80%8D.%D8%B4.+-+1)

ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มันเป็นธรรมชาติที่แสดงเนื้อหาแห่ง "ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน" มาก่อนอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งมัน มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แบบนั้น ความเป็นธรรมชาติของมัน ซึ่งมีความหมายถึง มันมิได้เป็นเนื้อหาที่เกิดจากอะไรกับอะไร หรือเกิดจากที่มีใครอะไรที่ไหนสักคนที่มีความสามารถมาทำให้มันเกิด แต่มันเป็นธรรมชาติที่มีเนื้อหาสมบูรณ์แบบอยู่แล้วของมันมาตั้งแต่ต้น มันสมบูรณ์แบบขนาดที่ว่า ไม่ต้องมีใครมาเสริมเติมแต่งในเนื้อหาของมันอีก มันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตน "แบบเสร็จสรรพเด็ดขาด" ในเนื้อหาของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีของมันเอง

 มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวตน "แบบตลอดสาย" ถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุอยู่แล้วโดยตัวมันเอง โดยไม่ต้องมีใครเอามือส่วนที่เกินแห่งตน มาพยายามทำความปะติดปะต่อให้กับความว่าง ให้มันว่างไปตลอดสายถ้วนทั่วสมดั่งที่ใจของเขาคนนั้นปรารถนา มันเป็นความว่างแบบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วโดยไม่มีความพร่อง ดังนี้มันจึงไม่ต้องการให้ใครมาเติมเต็มอะไรให้มันเต็มจนล้นออกมาอีก ดังนี้ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรถ้าจะก่อให้เกิดความพยายามใดๆ และความพยายามนั้นมันจะก่อให้เกิดไปในทางความหมายอื่น ซึ่งมันเป็นความพยายามที่จะทำให้ ความหมายของธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น มันปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในความเข้าใจผิด และตามความต้องการของพวกเธอเอง "ความพยายาม" เหล่านี้ที่พวกเธอพยายามผลิตออกมา ล้วนเป็น "จิตปรุงแต่ง" ของพวกเธอทั้งสิ้น มันเป็นความพยายามที่เข้ามา "บดบัง" ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้เสียแต่เพียงเท่านั้น ก็ด้วยธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันบริบูรณ์สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว โดยเนื้อหามันเองอยู่อย่างนั้น มันจึงปราศจากทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับมัน ในทุกทางและทุกแง่ทุกมุม

(https://lh3.googleusercontent.com/-MJNqPUceNPg/Uv3PLPdNScI/AAAAAAAAS-0/H7w6dcimlsk/w533-h357/0_4e2b7_17cc1852_XL.jpg)

เมื่อพวกเธอมีความเข้าใจตระหนักชัด ในธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวตน ก็เพียงแค่พวกเธอปล่อยให้ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ มันทำหน้าที่ของมันเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการที่เธอ "ได้ซึมซาบและกลมกลืน" กับมันแล้ว ธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มันก็จะทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ไม่มีความตกบกพร่องเลย มันก็จะปรากฏเนื้อหาของมันตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น "ไม่เป็นอื่น" มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน แบบเสร็จเด็ดขาดอยู่อย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น "อยู่แล้ว" นี่คือ ตถตา ซึ่งคือ ธรรมชาติแห่งความหลุดพ้นจากภาวะการปรุงแต่งทั้งปวง ได้อย่างอิสระเด็ดขาดโดยเนื้อหาตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

                   (https://lh6.googleusercontent.com/-ENV4NDC0S7Y/Uv2kBxA1gGI/AAAAAAAApA8/Lrz7UvjbPtw/w433-h614/4AqRY.jpg)

เมื่อพวกเธอตระหนักชัดและสามารถซึมซาบ กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ได้อย่างกลมกลืน ก็เท่ากับว่าพวกเธอทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของพวกเธอเอง ในความที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พวกเธอได้ทำหน้าที่ "มนุษย์" ได้สมความภาคภูมิอย่างไม่มีที่ตำหนิ หลังต่อจากนี้ไป สิ่งใดๆที่พวกเธอจะหายใจและมีชีวิตอยู่ ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่แบบไม่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน ทนแบกความทุกข์ระทมอีกต่อไป ลมหายใจนั้นก็กลายเป็นลมหายใจแบบอุ่นๆกรุ่นละมุน ที่มันถูกฟอกออกมาจาก "หัวใจแห่งพุทธะ" อันบริสุทธิ์ของพวกเธอเอง ขาสองข้างของพวกเธอที่ยืนเหยียบบนโลกใบนี้ มันก็จะกลายเป็นการยืนได้อย่างมั่นใจ ในการที่พวกเธอจะดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แบบถูกทิศถูกทาง "เหมาะสมลงตัว" ตามที่มันควรจะเป็นไป ในฐานะที่พวกเธอเป็น "มนุษย์" ผู้มีใจสูงและประเสริฐ

   (https://lh3.googleusercontent.com/-phNsmdcHN_A/UvvssMtPY0I/AAAAAAAAy4Y/R0_jxXL69pY/w533-h354/_DSC3283.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   10 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh3.googleusercontent.com/-frlJnYg3gK8/Uv3avwr-3dI/AAAAAAAI7x4/pFGNk1TxDl8/w433-h299/15787.o.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 15 วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:55:55 pm

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p350x350/1779982_489464584496921_1969716713_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 15 วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ

ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์ ในราตรีแห่งการตรัสรู้คืนนั้น เพื่อไปสู่ฐานะความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก่อนใครอื่นในห้วงเวลานี้ตามวาระกรรมแห่งตน ท่านสิทธัตถะได้ละทิ้งหนทางอันทำให้ท่านหลงผิดไป ในความเข้าใจว่าการกระทำของท่าน ณ เวลานั้น มันคือหนทางอันจะทำให้ท่านพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ก็ด้วยบุญกุศลที่เป็นเหตุปัจจัยเดียวอันสูงสุดที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า กำลังจะแสดงเนื้อหากรรมแห่งมัน ซึ่งเป็นบุญกุศลที่สั่งสมถึงพร้อมแล้ว อันเนื่องมาจากความตั้งใจมั่นอย่างยิ่งยวด ในความประพฤติดำรงตนของตนเองในฐานะมนุษย์ ผู้ที่ได้ชื่อว่า "บรมมหาโพธิสัตว์" ในเส้นทางแห่งความดีนั้น เพื่อมาช่วยรื้อขนหมู่สัตว์ข้ามฝั่งห้วงโอฆะในกลุ่มกรรมวิสัยของท่าน เหตุในบุญกุศลเหล่านี้จึงช่วยดลบันดาลให้ท่านสิทธัตถะ ละทิ้งวิธีทรมานตนอันเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งเป็นที่ยอมรับนำมาปฏิบัติทั่วไปในยุคนั้น มาสู่หนทางความเป็นจริงตามที่มันควรจะเป็นไปในเส้นทางสัมมาทิฐิ

 ก็หลังจากที่ท่านได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพื่อละทิ้งข้อวัตรอันเป็นไปด้วยความงมงายเหล่านั้นไปเสีย ท่านจึงได้หันมาพิจารณาถึงสภาพทุกข์ที่แท้จริง และวิเคราะห์ถึงสาเหตุแห่งการเกิดความทุกข์นั้นอย่างตรงไปตรงมา ท่านสิทธัตถะจึงรู้ว่าปัญหาทั้งปวง เกิดจากความไม่รู้ของท่านเองที่เข้าไปยึดความเป็นขันธ์ทั้งหลาย จนก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน ปรุงแต่งเป็นตัวตนของท่าน และปรากฏเป็นสิ่งอื่นๆในความคิดที่ปรุงขึ้นนั้น การจดจำและการบันทึกเรื่องราวที่ปรุงแต่งเกิดขึ้น และได้แสดงกระทำออกมาในทุกๆภพ ทุกๆชาตินั้น เป็นความยึดมั่นถือมั่นบนพื้นฐานแห่งอุปนิสัยของท่านเอง ในความชอบ ความชัง ที่สั่งสม อุปนิสัยที่สั่งสมมาจนเป็นสัญลักษณ์ในเชิง "อัตวิสัย" ว่าท่านเป็นคนคนนี้ เป็นคนแบบนี้ อนุสัยที่หมักดองมานานในกมลดวงจิต ในการกระทำซ้ำตามความชอบความชังแห่งตน ก็ได้กลายเป็นอวิชชาที่หนาแน่น พาท่านไปเวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วนแห่งอนันตอสงไขยเวลา

(https://lh6.googleusercontent.com/-z9PID6ZcNAk/UvOraJqOuKI/AAAAAAAAKIA/e164FzdMul0/w433-h374/2014+-+1)

และด้วยปัญญาแห่งพุทธวิสัยของท่านที่สั่งสมมาเนิ่นนาน ซึ่งเป็นปัญญาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างลุล่วงตามความเป็นจริง จึงทำให้ท่านสิทธัตถะมองเห็นว่า แท้จริงก็เพราะความไม่รู้ของท่านเองที่ยังมองเห็นว่า มีขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นอยู่ การเกิดขึ้นแห่งขันธ์ด้วยความไม่รู้นี่เอง เป็นการเกิดขึ้นที่พร้อมจะเป็นเหตุปัจจัยเป็นสายทอดยาว เพื่อไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์เหล่านี้ จนก่อให้เกิดการปรุงแต่งและกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา ท่านจึงได้พิจารณาเล็งเห็นด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ณ เวลานั้นว่า แท้จริงโดยธรรมชาติมันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ย่อมไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะก่อเกิดขึ้นในธรรมชาตินี้ได้เลย มันย่อมไม่มีแม้กระทั่งความเป็นขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น เพื่อจะเข้าไปยึดให้เป็นตัวเป็นตนเป็นท่านขึ้นมาได้อีก

 เพราะท่านได้เข้าใจในความหมายแห่งธรรมชาติอย่างแท้จริงว่า ธรรมชาตินั้นมันได้ทำหน้าที่ของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเป็นมันไปเป็นอย่างอื่น ความมีความเป็นตัวตนที่ก่อเกิดในความหลงว่ามีขันธ์ทั้งห้าเกิดขึ้น มันเป็นความหลงในอวิชชาของสัตว์ผู้มืดบอด อย่างท่านเองแต่ผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งความมืดบอดของท่านมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ที่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เมื่อท่านได้ตระหนักชัดและซึมซาบ กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันแบบกลมกลืนในธรรมชาตินั้น การรู้อย่างแท้จริงในการแก้ไขปัญหา และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหมดจด ในวิถีธรรมชาติซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุทั้งหลาย ก็ทำให้ท่านสิทธัตถะได้อยู่ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า นาม "พุทธโคดม" ผู้ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในธรรมธาตุแห่งธรรมชาตินั้นก่อนใครอื่น

               (https://lh3.googleusercontent.com/-xQelokncBgQ/Uvac4CLovYI/AAAAAAAA46o/BlxI7FnFk8A/w333-h415/dead_lake_premade_2_by_i_am_jenius-d4ddqdn+%281%29.jpg)

จึงเป็นเรื่องปกติในความเป็นไปแบบนั้นอยู่แล้ว เมื่อพระพุทธองค์ทรงออกประกาศธรรม และทรงอบรมสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ท่านทรงเลือกที่จะชี้ตรงไปยังธรรม อันคือความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแต่ถ่ายเดียว ซึ่งเป็นหนทางอันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงอย่างแท้จริง ในพระสูตรทุกๆพระสูตร ที่ปรากฏมาในพระไตรปิฎกที่พระองค์ทรงตรัสสอนไว้ และทำให้เหล่าพราหมณ์นักบวชนอกศาสนาทั้งหลายในยุคนั้น ได้มองเห็นแสงสว่างแห่งธรรมธาตุอันบริสุทธิ์ ก็ล้วนแต่มีเนื้อหาไปในทางเดียวกัน ในความที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแต่เพียงเฉพาะ ธรรมอันคือเนื้อหาธรรมชาติเท่านั้น ท่านทรงตรัสเพียง ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น หามีตัวตนไม่ หาใช่ตัวใช่ตนไม่ ความอนิจจังไม่เที่ยงแห่งขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ มีความหมายไปในทางที่ว่า มันไม่เคยมีขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน

 ซึ่งหมายความถึง มันไม่เคยมีความปรากฏแห่งขันธ์เกิดขึ้น เพื่อเป็นเหตุปัจจัยอันอาจจะทำให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่น จนกลายเป็น ตัณหา อุปาทาน ขึ้นมาได้ ซึ่งหมายความถึง ความไม่ปรากฏอะไรเลยสักสิ่งเดียว มันคงไว้แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมัน ที่มันทำหน้าที่แสดงเนื้อหาของมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึง ธรรมชาตินั้นมันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความเป็นตัวเป็นตนแบบเสร็จสรรพเด็ดขาดถ้วนทั่ว โดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกเริ่ม มันเป็นธรรมชาติที่มีความอิสระเด็ดขาด ไม่อยู่ภายใต้การดำริริเริ่ม หรือ ความครอบครองครอบคลุม ของภาวะใดๆแม้สักอณูธรรมธาตุเดียว มันเป็นความเกลี้ยงเกลาในความว่างเปล่าปราศจากความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่แบบนั้นโดยความเป็นธรรมชาติ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหมู่เวไนยสัตว์แต่เพียงเท่านี้

(https://lh6.googleusercontent.com/-eaTUpBtBgBA/UufCXDmW6fI/AAAAAAAAmtg/tOUtTGf5J8M/w433-h408/14+-+1)             

 การสอนเพื่อชี้ทางมุ่งไปสู่วิถีธรรมชาติที่มันมีอยู่แล้วนั้น มันเป็นเพียงการทำความเข้าใจในปัญหาแห่งตนเอง และลุกหนีออกจากสภาพปัญหาไปสู่ความเป็นธรรมชาติแต่เพียงเท่านั้น วิถีธรรมชาตินี้จึงไม่ใช่รูปแบบที่จะต้องประกอบขึ้นด้วยอะไรกับอะไร มันจึงไม่ต้องมีอะไรตระเตรียมกับสิ่งใด เพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้น การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง มันจึงเป็นเพียงการทำความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง จนหมดความลังเลสงสัยในธรรมทุกภาวะธรรม ซึ่งเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดในทุกอณูธรรมธาตุ เพื่อคลายตัวเองออกจากภาวะการปรุงแต่งทั้งปวง ได้อย่างแนบเนียนตามวิถีธรรมชาตินั้น เป็นการคลายเพื่อความเป็นไปในธรรมชาตินั้นๆอย่างกลมกลืน ไม่มีส่วนต่างที่อาจจะแบ่งแยกออกมาเป็นสิ่งๆตามความไม่รู้ได้อีก

ด้วยวิถีธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงชี้สอน เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ผู้มืดบอดได้เดินไปในหนทางธรรมชาตินั้น มันจึงเป็นความหมายแห่ง วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ มันจึงเป็นความหมายแห่ง วิถีพุทธะสู่ความเป็นพุทธะ มันจึงเป็นความหมายแห่ง วิถีแห่งจิตสู่จิต เป็นวิถีจิตสู่จิตที่เหล่าคณาจารย์แห่งเซนทั้งหลายในอดีต ได้กล่าวเรียกขานในวิถีธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่คณาจารย์ได้หยิบยกขึ้นมา เพื่อคุ้ยเขี่ยธรรมให้แก่ลูกศิษย์ของตน มายาวนานตราบจนถึงทุกวันนี้

   (https://lh3.googleusercontent.com/-e3L2wnzsrnY/Uvkn4GDRglI/AAAAAAAA6XU/4R1EEVV0m6I/w533-h355/DSC_0918-1.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   11 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh5.googleusercontent.com/-A6Ks09nWJ9Y/Uv3QT3UYaoI/AAAAAAAAJgs/y05fFAmNGdI/w508-h323/SW_0491.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 16 เข้ามาได้เลย
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 09:54:19 pm

(https://scontent-a.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/l/t1/p350x350/1902825_489833181126728_801006933_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 16 เข้ามาได้เลย

ครั้งเมื่อพระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้เดินทางมาเมืองจีนตามคำพยากรณ์ของตถาคต สิ่งที่เป็นอุปสรรคและรุงรังขวางกั้นการเผยแผ่ธรรมของท่าน ก็คือพวกนักบวชของประเทศจีนในยุคนั้น ไม่รู้จักธรรมซึ่งเป็นคำสอนอันแท้จริงของตถาคตเจ้าเลย นักบวชส่วนใหญ่ล้วนแต่ศึกษาในคัมภีร์ซึ่งแต่งไว้เป็นพระสูตร แต่การศึกษานั้นมิได้เป็นไปในความเข้าใจข้ออรรถข้อธรรมในพระสูตรได้อย่างลึกซึ้งถูกต้องตรงตามธรรมธาตุแต่อย่างใด และที่แย่ไปกว่านั้น นักบวชเหล่านี้ได้เอาแต่นั่งอยู่ต่อหน้ารูปปั้นพระพุทธองค์ และนั่งสวดอ้อนวอนเพื่อหวังผลให้ได้ไปเกิด ในดินแดนที่มีความเป็นพระพุทธเจ้าปรากฏอยู่อย่างนั้น นักบวชและอุบาสกอุบาสิกา ผู้ที่มุ่งมั่นในการฝึกปฏิบัติ ยังมีความคิดและกระทำไปในทางที่ว่า การที่ตนเองได้หมั่นทำบุญ บริจาคทาน และก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา การกระทำเหล่านี้มันเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้พวกตน ได้บรรลุธรรมอันคือความหลุดพ้นได้ในภายภาคหน้า

(http://www.thienviendaidang.net/thienviendaidang/images/photoalbum/album_5/144.jpg)

แต่ความเป็นจริงตามธรรมธาตุ พุทธะก็คือพุทธะที่มันเป็นจริงตามเนื้อหาของมัน พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ หมายความว่า เป็นการรู้ตามความเป็นจริง ตามสัจธรรมที่มันปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เป็นการรู้ชนิดที่เรียกว่าไม่ทำให้เราเป็นคนโง่หลงงมงาย หลงทางไปในข้อวัตรปฏิบัติอันเป็นความเข้าใจผิด และเสียเวลาไปกับมันเป็นกัปเป็นกัลป์ โดยไม่มีประโยชน์สูงสุดที่แท้จริงเกิดขึ้นแต่อย่างใด เป็นการรู้ที่ทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติอันคือความเป็นจริง ที่มันดำรงเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นมานานแสนนาน อันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจในสภาพความรู้ที่เป็นความจริงแท้ ตรงแน่วอยู่ในเนื้อหาแห่งธรรมชาติอันเป็นพุทธะนั้น โดยหามีความคลอนแคลนลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ไปในทางความหมายอื่นแม้แต่น้อย เป็นการรู้ชนิดที่ทำให้เราปักใจและเต็มใจ ที่จะอยู่กับความรู้ชนิดนี้ตลอดไปตราบชั่วกัลปาวสาน มันเป็นการรู้ที่เป็นเนื้อหาพิเศษด้วยคุณสมบัติเฉพาะของมัน เป็นคุณสมบัติที่หากใครได้เข้ามารู้แล้ว จะทำให้ผู้นั้นสลัดทิ้งเสียทั้งหมด ซึ่งความรู้ในเนื้อหาชนิดอื่นๆอันทำให้เดินไปในหนทางอื่น

                     (https://lh4.googleusercontent.com/-LnbaBTKDFfw/UUnlPaMpgKI/AAAAAAAABmU/Kq-MJYzZn0M/w464-h373-p-o/72355_444552818946207_1275522849_n.jpg) 

พุทธะ แปลว่า ผู้ตื่น หมายความถึงเป็นการตื่นออกจากภวังค์แห่งความมืดหลง ในอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่ถูกมันครอบงำพาเท้าทั้งสองข้างของเรา เดินไปในหนทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดในสามโลกมาเป็นเวลานาน เป็นการตื่นขึ้นเพื่อพบแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณในยามเช้าของชีวิตใหม่ เป็นชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นด้วยคุณงามความดีถูกต้อง ตรงต่อความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่แท้จริง และมันเป็นแสงสว่างในยามเช้ารุ่ง ที่สาดส่องออกมาได้อย่างเจิดจ้าไม่มีวันอ่อนแสง เป็นแสงแห่งพุทธิปัญญาที่ส่องทางนำพาชีวิตเรา ให้เดินไปบนมรรคาแห่งธรรมชาติโดยไม่มีวันเดินถอยหลังกลับ เป็นการตื่นเพื่อลืมตามาดูธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันปรากฏอยู่ต่อหน้า และเป็นการตื่นโดยที่ไม่มีวันจะได้หลับใหลอีกแล้ว เป็นการตื่นเพื่อเป็นสภาพเดียวกันกับความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นโดยไม่มีความแตกต่างไปในทางความหมายอื่น เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนไปตามปกติอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมแต่อย่างใด เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนไปตามหน้าที่ของตนเอง เท่าที่ตนเองพึงมีและเต็มใจทำ เป็นการตื่นเพื่อดำรงชีวิตของตนเองไปตามเหตุปัจจัย ที่เคยประกอบมาและตนยังต้องรับกรรมนั้นอยู่

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/483428_142468882599025_779072286_n.jpg)

พุทธะ แปลว่า ผู้เบิกบาน หมายความถึงเป็นผู้ที่มีความโชคดีอย่างมาก เป็นผู้ที่มีบุญมีวาสนาอย่างแท้จริง ที่สามารถนำพาชีวิตของตนเองก้าวพ้นออกมา จากห้วงแห่งความทุกข์ระทมได้ เป็นความเบิกบานต่อความสุขที่ยั่งยืน ในความที่ธรรมชาติแห่งพุทธะได้หยิบยื่นให้กับเรามา เป็นความเบิกบานต่อธรรมธาตุแห่งพุทธะ ที่มันมีแต่ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ซึ่งมันหมดเชื้อหมดเหตุหมดปัจจัย อันจะทำให้เข้าไปยึดมั่นปรุงแต่งขึ้นมาเป็นความทุกข์ได้อีก เป็นความเบิกบานที่ได้กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ที่สามารถดำรงชีวิตของตนได้อย่างอิสรเสรี ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาสของใจตน ที่คอยดิ้นรนไปในทางไขว่คว้าทะยานอยาก เป็นความเบิกบานซึ่งเป็นความสุขในทุกก้าวย่าง ที่เรากำลังดำเนินชีวิตก้าวไปข้างหน้า

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1501802_468223926620987_1323761433_n.jpg)               

เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถทำความเข้าใจตระหนักได้แล้วว่า พุทธะที่แท้จริงนั้น ก็คือธรรมชาติที่มันเป็นสิ่งเดียวกันกับเรามาตั้งแต่ต้น เราก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือเรา ก็ในเมื่อธรรมชาติคือความเป็นพุทธะ ความเป็นพุทธะก็คือความเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเราก็คือความเป็นพุทธะมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง การค้นหาพุทธะก็คือการค้นหาความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง การดิ้นรนไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งเป็นความคิดผิดอย่างใหญ่หลวง การดิ้นรนแสวงหาค้นหาความเป็นพุทธะจากภายนอกนั้น จึงเป็นเพียงการปรุงแต่งไปในการค้นหาความเป็นพุทธะแต่เพียงเท่านั้น มันจึงเป็นเพียงการใช้จิตแสวงหาจิต มันเป็นเพียงการใช้จิตอันคือความคิดของตน แสวงหาจิตอันปรุงแต่งความเป็นพุทธะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจิตของตนอีกเช่นกัน มันจึงเป็นได้แค่เพียงเกลียวเชือกที่ยิ่งพันเข้าหาตนเอง แน่นหนามากขึ้นกว่าเดิม มันเป็นพันธนาการที่เกิดจากความไม่เข้าใจ และความมิได้ตั้งใจของนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่หลงผูกปมปัญหาให้มันมากขึ้นกว่าเดิมด้วยความไม่จำเป็น เนื้อหาแห่งความเป็นพุทธะที่แท้จริง จึงเป็นอะไรที่ผู้ด้อยปัญญาคาดไม่ถึง เพียงแค่หยุดแสวงหามันในหนทางอื่น แล้วกลับมาทำความเข้าใจต่อเนื้อหาสภาพของมัน ตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ มันไม่ใช่และไม่มีวิธีใดๆที่เราต้องแสวงหา และไม่ใช่วิธีอะไรเลยที่เราต้องทำให้ปรากฏ หรือประกอบทำสิ่งต่างๆเพื่อให้มันเกิดขึ้น

(http://cfile217.uf.daum.net/original/264B853D6CD98366056F13)

ความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติ ซึ่งเป็นความดั้งเดิมแท้ของมันนั้น ความเข้าใจดังกล่าวนี้มันจะนำพาท่าน มายืนอยู่ตรงปากประตูแห่งธรรมชาตินี้ และก็ไม่มีวิธีใดๆอีกเช่นกัน ความเข้าใจอันหมดจดไม่มีตำหนิไร้ความสงสัย อันเป็นความลังเลใจที่จะพาให้ไปในหนทางอื่น ความเข้าใจนี้ก็จะพาเอามือของท่านผลักประตูธรรมชาตินั้น ให้เปิดออกมา มันมีแต่วิธีนี้เท่านั้น "วิธีผลักประตูธรรมชาติออก" เมื่อผลักประตูเปิดออกแล้ว ก็เอาขาของตนก้าวข้ามมาสิ ก้าวข้ามมาได้เลย มันไม่มีวิธีอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก เมื่อเดินมาถึงประตูก็เปิดเข้ามาได้เลย เข้ามาอยู่กับความเป็นพุทธะตามธรรมชาติที่แท้จริง แล้วอย่าลืมหันหลังไปปิดประตูบานนั้นให้สนิท แล้วจงลืมเรื่องการก้าวข้ามประตูและลืมเรื่องประตูนี้เสีย ก็ขอให้ท่านดำเนินชีวิตไปเหมือนว่า ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของท่านมาก่อน มันเสมือนเป็นการใช้ชีวิตในความเป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มาตั้งแต่ต้น มันเป็นมาตั้งแต่ต้นนานแล้วอย่าไปจำอะไรกับมันเลย เพราะมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก็เท่านั้น

   (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s403x403/1622125_488472054596174_464500571_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   12 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh4.googleusercontent.com/-p3C-khmPDO0/UuAzdetlNoI/AAAAAAABNd0/UBU9oX_8K-Q/w285-h388-no/1520793_784997264862494_429582071_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 01:15:04 pm

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p526x296/1510603_490193487757364_1887090240_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 17 โลกแห่งความสมบูรณ์

การปรากฏแห่งภาวะ มันจะต้องเป็นไปในทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ เพราะภาวะทุกภาวะแห่งการปรากฏขึ้น มันล้วนคือการปรุงแต่งที่เป็นผลมาจากการยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นความยึดมั่นที่ออกมาจากอุปนิสัยความเคยชิน ที่หมักหมมจนกลายเป็นอนุสัยแห่งกมลสันดาน ตามความชอบความชังของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่แสดงออกมาทางด้านหนึ่ง ก็ต้องแสดงออกไปในอีกทางด้านหนึ่งเสมอ ทั้งนี้เป็นเพราะอวิชชาความไม่รู้ผู้เป็นนายเรา มันสามารถเข้ามาแทรกซึมสิงสู่บังคับบัญชาใจของเรา ให้เป็นไปในทางอำนาจแห่งเนื้อหาของมันได้อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน นายซึ่งมีเราเป็นทาสที่คอยก้มหัวให้มันอยู่ตลอดเวลา

(https://lh6.googleusercontent.com/-AihW0_zFNEI/UvU04dGzWxI/AAAAAAABvKo/TiKa-GQUQyE/w333-h602/Mysterious+Forest%2C+Taiwan+by+Hung+Bo-Wen.jpg)

 ทั้งนี้เพราะความหอมหวานในมายา แห่งความเป็นตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก ซึ่งมันบังคับให้เราเดินไปตามทางแห่งมันทุกฝีก้าวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเหรียญซึ่งมีอยู่สองด้าน เมื่อคุณกลับเหรียญด้านแห่งความรัก ความเกลียดชังก็จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างทันทีทันใด มันคือโลกแห่งปรากฏการณ์ความเป็นมายา เป็นโลกแห่งการเกิดขึ้นของทวิภาวะหรือภาวะแห่งความเป็นของคู่ มีความแปรเปลี่ยนจากภาวะหนึ่งสู่ความเป็นภาวะหนึ่งอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยอาศัยเหตุปัจจัยในเหตุปัจจัยหนึ่ง เมื่อหมดในเหตุปัจจัยนั้นๆแล้ว เหตุปัจจัยใหม่จึงเข้ามาแทนที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ มันเป็นภาวะที่มาแล้วต้องจากไป

(https://lh4.googleusercontent.com/-0eR_x9Phd78/UWNp4VejmCI/AAAAAAAASEg/5cNJVzxtYU4/w433-h325/photo.jpg)

 มันไม่เคยมีความคงทนไม่เคยมีความสมบูรณ์แบบ ที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป โลกแห่งปรากฏการณ์จึงเป็นโลกที่มีแต่ความพร่องอยู่เป็นนิจ และในความพร่องนี้เองที่ทำให้มนุษย์ปุถุชนผู้มีความมืดบอด พยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาเติมเต็มในความพร่องนั้น ด้วยความไม่รู้และความอยากแห่งตน ซึ่งแท้จริงมันก็ไม่มีวันที่จะทำความพร่องซึ่งอยู่ในสภาพถาวรนี้ ให้เต็มเปี่ยมขึ้นมาได้ มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ก็โดยรูปลักษณ์ของตัวมันเองในทวิภาวะ หรือความเป็นภาวะแห่งความเป็นคู่ ไม่ว่าจะเป็น ดีหรือชั่ว มืดหรือสว่าง สมหวังหรือผิดหวัง สะอาดหรือสกปรก ความร้อนหรือความเย็น ปฏิบัติหรือไม่ได้ปฏิบัติ รู้แจ้งหรือมืดมัว บรรลุหรือไม่บรรลุ มันย่อมไม่สามารถคงความเป็นสภาพของมันให้อยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป เพราะโดยแท้จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมายาหามีตัวมีตนไม่ เมื่อหมดเหตุปัจจัยที่ทำให้มันได้แสดงปรากฏการณ์ของมันออกมา มันก็หยุดการทำหน้าที่ของมันโดยสภาพของมันเองอยู่แล้ว มันจึงเป็นความพร่องที่พร่องอยู่เป็นนิจโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น ก็โดยเนื้อหามันมันจึงไม่มีทางที่จะกลายเป็นอื่นไปได้

(https://lh4.googleusercontent.com/-4PiOavF1H24/Uv7cEmMDlBI/AAAAAAAAFMU/5nwLlYHtWFo/w533-h333/14+-+1)

หากเราหยั่งลึกลงไปให้ถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่มันมีแต่เนื้อหาตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้นในทางด้านเดียว และไม่มีวันที่จะเป็นไปในทางด้านอื่น ธรรมชาติมันจึงมิใช่ปรากฏการณ์ ธรรมชาติไม่ใช่เป็นอะไรที่มันหมายถึงความเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง และสิ่งสิ่งนั้นเราสามารถที่จะมีความรู้สึกกับมัน และจับฉวยมันเอามาเป็นส่วนส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ตามความต้องการและความปรารถนาของเราได้ ธรรมชาติมิใช่เป็นสิ่งที่เราต้องมีความต้องการ และมิใช่เป็นสิ่งที่จะต้องได้มันมา ธรรมชาติมันเป็นเนื้อหาที่เป็นความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น โดยมิใช่ความเป็นเนื้อหาที่ต้องอาศัยเหตุและปัจจัยใดๆ จึงจะมีความเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ธรรมชาตินั่นแหละคือธรรมชาติ

(https://lh3.googleusercontent.com/-_N1RDADAI4c/Uvio3HN6mzI/AAAAAAAAFgc/s_xP32FFH6E/w533-h372/969648_570820986313448_8292419_nkk.jpg)

มันเป็นแต่เพียงเท่านี้ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้เช่นเดียวกัน เมื่อมันมิได้อาศัยอะไร มิได้อาศัยเหตุปัจจัยใดๆ มันจึงมิได้เกิดจากอะไรกับอะไร มันจึงไม่มีรูปลักษณ์เกิดขึ้นที่จะสามารถเรียกมันได้ว่า "ธรรมชาติ" ตามมโนภาพแห่งความเข้าใจของใครคนใดคนหนึ่ง ธรรมชาติมันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้น ธรรมชาติมันจึงเป็นเนื้อหาเดียวกับมันเองมาโดยตลอด โดยไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้ โดยไม่สามารถหาความเป็นที่สิ้นสุดแห่งความเป็นเนื้อหานี้ไปได้เช่นกัน เมื่อมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีความแปรผันเป็นอย่างอื่น มันจึงเป็นความสมบูรณ์พร้อมโดยตัวมันเองแต่ถ่ายเดียว มันเปรียบเสมือนเป็นเหรียญที่ไม่ว่าจะพลิกไปทางไหน ก็จะเจอแต่เหรียญด้านที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นเหรียญที่ทุกด้านล้วนแต่มีความเสมอภาคกัน มีความเหมือนกันไม่แตกต่างในเนื้อหาในคุณลักษณะของมันเอง ธรรมชาติจึงเป็นโลกแห่งความสมบูรณ์พร้อม เป็นความสมบูรณ์ในความเสมอต้นเสมอปลาย ในความเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้น เป็นโลกแห่งธรรมชาติที่มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายผู้ที่มีความสามารถและมีสติปัญญาอันรู้แจ้ง ได้สถิตอยู่ในทุกอณูธรรมธาตุ แห่งผืนแผ่นดินในความเป็นพุทธะนั้น

   (https://lh4.googleusercontent.com/-DBQadu5Pjs8/Ui8SLzFhnNI/AAAAAAAALt4/-XgaB_8eto4/w533-h298/os.gif)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   13 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh4.googleusercontent.com/-_wiCeK5rA1c/UvDBhUelsyI/AAAAAAAD00M/kR4fg2NtvqA/w433-h255/3rKlfBS0fEA.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 06:35:17 pm

(https://lh4.googleusercontent.com/-fW7N47IywDo/UfHlJvFAiLI/AAAAAAAAh_M/olIIup5wJsc/w433-h698/photo.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 18 ความบริบูรณ์แห่งมรรค

ด้วยความที่มรรค ซึ่งแปลว่าหนทาง อาจจะเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพียงอัตตาตัวตนแห่งมรรคเกิดขึ้น หากเราไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงแห่งมัน ความไม่เข้าใจของเราดังกล่าว อาจทำให้เรานึกมโนภาพขึ้นมาอย่างชัดเจน แห่งหนทางที่จะไปสู่ความหลุดพ้นนั้น เป็นภาพแห่งระยะทางที่เสมือนว่ามีความห่างไกลกัน ระหว่างจุดที่คุณกำลังยืนอยู่ในความมืดมัวนี้ กับจุดที่พวกคุณมุ่งหวังว่ามันเป็นที่ที่ทำให้พวกคุณ พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวงอันเป็นจุดแสงสว่างที่มันรอคุณอยู่ แต่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียง ระยะทางที่ห่างไกลอันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น

(https://lh5.googleusercontent.com/-r7tUarbYUb4/Ua0pySM7c3I/AAAAAAAAD_U/rRMKCwZ6Yk8/w333-h545/431909_607380875939812_23269848_n.png)

 และความเป็นตัวตนแห่งระยะทาง มันก็พลอยทำให้พวกคุณเกิดความคิดขึ้นมาในทันทีทันใดว่า พวกคุณจะต้องปฏิบัติและลงมือลงแรงอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกคุณได้เข้าไปใกล้จุดหมายปลายทาง อันเป็นเส้นชัยที่คุณได้ตั้งใจไว้ และหวังต่อไปอีกว่าสักวันพวกคุณจะไปยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้ ด้วยความสามารถและความมั่นใจของพวกคุณเอง แล้วความคิดผิดดังกล่าวนี้มันจะเร่งรีบให้พวกคุณ หยิบฉวยวิธีอะไรสักอย่างขึ้นมา ซึ่งมันไม่ตรงต่อความเป็นจริง แต่พวกคุณกลับคิดไปแบบจริงจัง และตกลงใจกับมันว่า "ใช่วิธี" นี้แล้ว แล้วพวกคุณก็ใช้ความพยายาม ซึ่งมันไม่ใช่เป็นความเพียรอย่างแท้จริง แต่มันเป็นเพียง "การดันทุรัง" ลงมือทำในสิ่งที่ขัดต่อความเป็นจริงอันคือธรรมชาติ

(https://lh5.googleusercontent.com/-AoINJ8XCMHg/UaNPJnaXhkI/AAAAAAAAe5M/2uDJKrf2i0s/w533-h355/photo.jpg)

แต่มรรค ซึ่งแปลว่า หนทางตามความเป็นจริงนั้น มันมิใช่หนทางที่จะต้องเอาการปรุงแต่ง ซึ่งมันคือความเป็นตัวเป็นตนของพวกคุณก้าวเดินไป แต่มันเป็นเพียงการปรับมุมมองปรับความรู้ความเข้าใจของพวกคุณเอง มันเป็นเพียงปรับความคิดเห็น ซึ่งเป็นความเห็นผิดของพวกคุณเองมาตั้งแต่ต้น เป็นความคิดความเห็นที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ตามความเป็นไปของธรรมชาติ ที่พวกคุณเคยได้สั่งสมเป็นอนุสัยมาตั้งแต่ชาติปางไหน เมื่อพวกคุณเข้าใจในความเป็นจริงแล้วว่า แท้ที่จริงธรรมชาตินั้น มันมีแต่ความว่างเปล่าหาความมีตัวมีตนไม่ แท้ที่จริง "จิต" ที่พวกคุณปรุงแต่งเรื่องมรรคหรือหนทาง ที่พวกคุณได้ผลิตขึ้นมา มันหาใช่ตัวใช่ตนไม่ มันคงมีแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น โดยที่ธรรมชาติมันไม่เคยมี "จิตที่พวกคุณปรุงแต่งเรื่องมรรคหรือหนทางขึ้น" เกิดขึ้นมาก่อนเลย

                        (https://lh3.googleusercontent.com/-S4Ljs0dHUdM/UvMxWd0DKXI/AAAAAAAAfLk/dqxgDf50Igg/w433-h512/38.jpg)

 แท้ที่จริง "ขันธ์ทั้งห้า" ที่พวกคุณมองเห็นว่ามันมีและมันเกิดขึ้น อันอาจจะทำให้พวกคุณเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นจิตชนิดนี้ขึ้นมา ขันธ์ทั้งห้าเหล่านี้ความจริงมันหาใช่ตัวใช่ตนไม่ ความเป็นจริงมันคงมีแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น โดยที่ธรรมชาติมันไม่เคยมี "ขันธ์ทั้งห้า" เกิดขึ้นมาก่อนเลย ธรรมชาติมันก็ทำหน้าที่ของมันในความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น อย่างแท้จริงแล้วโดยตัวของธรรมชาติเอง ความเข้าใจและถูกต้องในความเป็นจริง ซึ่งตรงต่อความเป็นธรรมชาติเหล่านี้ ด้วยธรรมธาตุแห่งความเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว โดยหมดความลังเลสงสัยของพวกคุณนั้น มันก็จะทำให้พวกคุณละทิ้งข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลาย อันเป็นการประพฤติปฏิบัติด้วยความงมงาย ไปในการปรุงแต่งเส้นทางแห่งมรรคของคุณ

(https://lh6.googleusercontent.com/-kLcoI8IYSsg/Uv64DCBH0CI/AAAAAAAADDg/5APR5_lI_CI/w533-h375/arvores+com+neblina.jpg)

 มาสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างไม่ผิดเพี้ยน ความเข้าใจในธรรมชาตินี้ก็จะทำให้พวกคุณทำลายทิฐิต่างๆ ที่ไปในทางเห็นผิดไปต่อความเป็นธรรมชาติ(มิจฉาทิฐิ) ซึ่งมันเป็นทิฐิที่ทำให้ พวกคุณเข้าไปยึดถือในความเป็นตัวเป็นตนของพวกคุณเอง ทำให้พวกคุณเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งหลายอย่างเหนียวแน่น โดยไม่มีวันที่จะเห็นไปในทางความหมายอื่นๆได้เลยสักนิดเดียว ว่าขันธ์ทั้งห้านี้มันคือความเป็นตัวเป็นตนของพวกคุณ ด้วยความแนบแน่นอยู่อย่างนั้น(สักกายทิฐิ) เมื่อคุณได้ปรับมุมมองความเข้าใจและปรับทิฐิความคิดเห็น มาในทางที่ชอบที่ควร ในฐานะที่พวกคุณได้เป็นมนุษย์ผู้มีใจประเสริฐแท้จริง เมื่อพวกคุณเข้าใจอย่างแท้จริงหมดความลังเลสงสัยในทุกทาง โดยไม่มีความคลอนแคลนไปในหนทางที่ผิดอีก ธรรมธาตุแห่งความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง ที่เกิดด้วยความศรัทธาในความเป็นพุทธะของพวกคุณเองนี้ มันจะทำให้พวกคุณมีความดำริตัดสินใจหันหลังออกมา จากจุดที่มืดมัวที่คุณยืนอยู่นั้นทันที และพาพวกคุณหันหน้ามาเผชิญกับความเป็นจริงแท้ ที่มันกำลังปรากฏแสดงเนื้อหามันอยู่ต่อหน้าพวกคุณนั่นเอง

(https://lh4.googleusercontent.com/-Kd-x6qvWD5I/UvrsNPBZmtI/AAAAAAAChyk/uttUFnI_zPM/w533-h467/1238769_679596295398625_1838597571_n.jpg)

ก็ด้วยทิฐิซึ่งเป็นความเข้าใจอย่างถูกต้องอันคือธรรมชาตินี้ มันเป็นปฐมบททำให้พวกคุณสามารถตะเกียกตะกายขึ้นมา จากบ่อโคลนตมแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งมันเป็นความหนาแน่นไปด้วยความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น และกลับมามีสติระลึกได้ตามธรรมชาติอย่างแท้จริงว่า แท้จริงแล้วธรรมชาติมันย่อมปรากฏเนื้อหาแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น และด้วยธรรมชาติแห่งความระลึกได้อยู่ทุกขณะเรื่อยไป ในความตระหนักอย่างชัดแจ้งในความเข้าใจในทิฐิที่ถูกต้อง มันก็ทำให้พวกคุณได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้น แต่แล้วในบางขณะ ก็ด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาในความเป็นตัวตนของพวกคุณเอง มานานมากแล้ว ความเคยชินที่ชอบปรุงแต่งจิตไปในเรื่องราวต่างๆ ด้วยอวิชชาที่อาจยังคงมีอยู่ มันก็อาจทำให้พวกคุณมองเห็นไปตามสภาพความเคยชินเดิมๆ และก็อาจจะเผลอเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นจิตต่างๆขึ้นมาอีก

                 (http://lh4.ggpht.com/-2XATKFom3RQ/UWhhHvLBpaI/AAAAAAAAC-Y/MxDkG1vQonU/sabedoria_thumb%25255B1%25255D.png%3Fimgmax%3D800)

ก็ขอให้พวกคุณอย่าท้อใจถอยใจ ก็ขอให้พวกคุณได้เร่งความเพียรพยายาม ที่จะซึมซาบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้นให้ได้ เป็นความเพียรพยายามไปในทาง "ความเป็นธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่เสมอ" ว่า แท้จริงธรรมชาตินั้น มันคงมีแต่เพียงความว่างเปล่า ไร้ความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น หามี "จิต" ที่พวกคุณพึ่งปรุงแต่งขึ้นมาไม่ (มีความหมายว่า จิตที่พึ่งปรุงแต่งขึ้นมานั้น เสมือนว่ามันไม่เคยถูกปรุงแต่งขึ้นมาก่อนเลย) ก็ด้วยทิฐิความคิดเห็นที่พวกคุณปักใจมั่นว่า จะดำเนินไปในทิฐิแห่งธรรมชาติ อันคือสัมมาทิฐินี้แต่ถ่ายเดียวแล้วนั้น มุมมองความเข้าใจที่ไม่อาจจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น ตามศรัทธาแห่งหัวใจพวกคุณ

(https://lh3.googleusercontent.com/-C-65OexfRb4/Uvhnsar9vjI/AAAAAAAAJaw/JAVFZDNrjqs/w433-h255/DSC01931.jpg)

 มันจะกลายเป็นเส้นทางที่เอื้อให้พวกคุณ ได้เดินไปตามทางอันคือความเป็นเนื้อหาแห่งธรรมชาตินั้น ด้วยความซึมซาบไปในความ "ไม่มีความแตกต่าง" ในความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน "อยู่อย่างนั้น" และเมื่อคุณได้ตระหนักอย่างชัดแจ้ง จนเป็นความรู้แจ้งแทงตลอดถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุว่า แท้จริงธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน มันก็คือความว่างเปล่าแบบเสร็จสรรพเด็ดขาดโดยธรรมชาติของมันเองมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติที่ย่อมไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ในความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ในธรรมชาตินี้ได้เลย "อยู่แล้ว"

(https://lh5.googleusercontent.com/-ZXxcAg4lT4o/Uv7zDbYtMUI/AAAAAAABYOI/6o_dVkLOFdE/w633-h844/2014+-+1)

 มันเป็นธรรมชาติที่เป็นความว่างเปล่า แบบถ้วนทั่วอยู่อย่างนั้นทุกอณูธรรมธาตุ เป็นความว่างแบบตลอด ไม่ขาดสายของมันอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ด้วยความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้งเช่นนี้ มันจึงเป็นเหตุผลเดียวที่เข้ามาตัดเหตุและปัจจัย อันเป็นเชื้อที่จะทำให้พวกคุณกลับไปปรุงแต่งขึ้นมาเป็นจิตต่างๆได้อีก มันจึงเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้คุณสามารถ ซึมซาบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความเป็นธรรมชาติของมัน ได้อย่าง"แนบเนียนในความเป็นธรรมชาตินั้น" นี่คือมรรคที่เป็นความบริบูรณ์ถึงพร้อม ในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นมรรคที่เป็นธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่อย่างนั้นแบบบริบูรณ์ เป็นธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อขณะว่า...

 ธรรมชาติมันคงทำหน้าที่แห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น เป็นมรรคที่เป็นเนื้อหาแห่งความรู้ความเข้าใจ อย่างถูกต้องชัดแจ้งอยู่อย่างนั้น เป็นมรรคที่นำพาชีวิตเราดำเนินไปบนเส้นทางตามความเป็นจริง แห่งความเป็นธรรมชาตินั้นโดยไม่เป็นอื่น เป็นมรรคที่ทำให้เราซึมซาบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติ ได้อย่างมั่นคงไม่มีความแปรผันผิดเพี้ยน ไปจากเนื้อหาแห่งความเป็นธรรมชาตินั้นได้เลย เป็นมรรคที่เป็นความสำเร็จสมดั่งตั้งใจ ที่ทำให้เราได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน กับความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น ตามความศรัทธาแห่งการดำริริเริ่มของเราตั้งแต่แรก

             (http://zensiam.com/images/thumbnails/images/remote/http--i0110.com-zen-feature-zenliterature-02-0202001-250x313.jpg)

 เป็นมรรคที่ทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นตนเอง ได้อย่างตรงและถูกต้อง และทำให้เรามีมุมมองมีความเข้าใจ ในความเป็นไปอย่างแท้จริง ต่อสรรพสิ่งทั้งมวลที่อยู่รอบข้าง เป็นมรรคที่ทำให้เรามีทิฐิความคิดเห็น ได้ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ ซึ่งความคิดเห็นอันตรงแน่วในสัจธรรมนั้น มันส่งผลทำให้คำพูดคำจาและการกระทำของเรา เป็นไปในทางที่ที่ควรจะเป็น ในฐานะที่เราได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริงแล้วว่า ตนได้ทำหน้าที่ในความที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบแท้จริงแล้วโดยไม่มีที่ติ และสัมมาทิฐิซึ่งมันได้เข้าไปซึมซาบในหัวใจของเราแบบแนบแน่นนี้ ทำให้เราไม่หันกลับไปในทิฐิเดิมที่เป็นความเห็นผิด

(http://cs405527.vk.me/v405527954/81a6/MI9SEQCLPT4.jpg)

 ซึ่งเป็นเชื้อเป็นเหตุเป็นปัจจัย ซึ่งอาจจะทำให้เราก่อกรรมเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้อีก การดำเนินชีวิตไปด้วยมุมมองความเข้าใจ ตามอำนาจแห่งธรรมชาติ ทิฐิที่ถูกต้องแท้จริงนี้ก็ทำให้เรา ซึ่งมีความเป็นบัณฑิตทั้งหลาย มีความระมัดระวังตน ในการดำรงชีวิตของเราเองในสังคมแห่งความเป็นมนุษย์นี้ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมลงตัว เป็นการดำรงชีวิตประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนและครอบครัว ไปในทางสุจริตไม่เบียดเบียนใคร

   (https://lh3.googleusercontent.com/-Wi4_Oox0B4E/Uf2ZTFRlgfI/AAAAAAAAiX8/XWohqj9lENE/w533-h355/photo.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   14 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh5.googleusercontent.com/-w030qprHVGE/UvubBXPcMVI/AAAAAAAACu8/-RVBNdRHlFs/w333-h458/1374732_574971749218910_1183483298_n.png)
หัวข้อ: Re: บทที่ 19 จิต
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 10:41:05 pm

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p526x296/1888746_491232890986757_1734395099_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 19 จิต

จิตก็คือความคิดที่เป็นการปรุงแต่งขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงเนื้อหารายละเอียดอันสามารถบ่งบอกได้ ถึงทัศนคติโดยรวมแห่งความเป็นอัตตาตัวตนแห่งเรา จิตต่างๆเกิดจากการปรุงแต่งในความที่เห็นว่า ขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้นนั้นคือเรา เป็นการปรุงแต่งเพื่อความเป็นไปแห่งความเป็นตัวตน ของตนเองอยู่อย่างนั้น เป็นการปรุงแต่งในความเป็นตัวตนของตนเองต่อสิ่งรอบข้าง ที่เรายังมองเห็นอยู่ว่าสิ่งสิ่งนั้น "มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่เช่นกัน" ก็ด้วยอวิชชาความไม่รู้ที่พาเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ย่อมทำให้เรามีทิฐิเห็นว่ากายนี้คือเรา ย่อมทำให้เห็นว่าส่วนประกอบที่เป็นส่วนๆและเข้ามาประชุมกัน อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น มันคือความเป็นเราอย่างเหนียวแน่น

 แต่ในความเป็นจริงธรรมชาติย่อมว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ย่อมไม่เคยมีอะไรเลยสักสิ่งหนึ่งหรือทุกๆสิ่งเลย ที่สามารถเกิดขึ้นตั้งอยู่แสดงความเป็นตัวตนของมันปรากฏขึ้นมาได้ ตถาคตเจ้าจึงตรัสว่า จิตต่างๆที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทุกชนิด ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะแท้จริงสิ่งต่างๆซึ่งเป็นจิตเหล่านี้ย่อมไม่มีตัวตนอยู่แล้ว เพราะแท้จริงธรรมชาติอันแท้จริงมันย่อมว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ตามเนื้อหาตามสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น เมื่อนักปฏิบัติเผลอเข้าไปยึดปรุงแต่งเป็นจิตเกิดขึ้น เพราะความขาดไป ซึ่ง "ธรรมชาติแห่งการระลึกได้ในทิฐิที่ถูกต้อง" ในขณะนั้น ก็ขอให้นักปฏิบัติทำความเข้าใจ ให้ตรงต่อความเป็นจริงในขณะนั้นเลยว่า มันไม่เคยมี "จิต" ชนิดนี้(ที่พึ่งปรุงแต่งขึ้น)เกิดขึ้นมาก่อนเลย

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p403x403/1157604_452220698233061_584656689_n.jpg)
Kinkakuji Temple, Kyoto.

 และก็ขอให้นักปฏิบัติทั้งหลายทำความเข้าใจด้วยความตระหนักชัด ในขณะนั้นเช่นกันว่า แท้จริงธรรมชาติมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ซึ่งเป็นความดั้งเดิมแท้ แห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือจิตใดๆปรุงแต่งเกิดขึ้นไม่ มันจึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตรงเป็นการปฏิบัติชอบ ด้วยธรรมชาติแห่งการระลึกได้ตามทิฐิความเห็นที่ถูกต้องได้ ในขณะนั้นอยู่แล้วนั้นเอง เป็นการปฏิบัติเพื่อความเห็นชัดตามความเป็นจริง โดยปล่อยให้ธรรมชาติมันทำหน้าที่ตามสภาพเดิมๆของมันอยู่อย่างนั้น นั่นแหละการปฏิบัติตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ตรงตามพุทธประสงค์ เป็นการปฏิบัติเพื่อความเป็นไปในการตระหนักชัดและซึมซาบ กลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้อยู่อย่างนั้น

                  (https://lh3.googleusercontent.com/-j5wiEWUQZSE/UvRcT6of41I/AAAAAAABP5I/3VG-8RBaT9Y/w533-h797/2014+-+1)

แต่ก็ด้วยอนุสัยความเคยชินเดิมๆของนักปฏิบัติทั้งหลาย และด้วยเพราะเหตุที่ยังไม่สามารถเข้าใจตระหนักอย่างชัดแจ้ง ในความเป็นไปในธรรมชาตินั้นได้อย่างแท้จริง จึงอาจมีความพลั้งเผลอทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย เผลอขาดสติหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา ตามอนุสัยความเคยชินตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน จึงกลายเป็นจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาอยู่เนืองๆ

            (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s403x403/1393978_436606703116043_1807049018_n.jpg)

ก็ด้วยความที่พึ่งจะทำความเข้าใจในเนื้อหาธรรมชาติ และยังไม่สามารถมีความเข้าใจอย่างถึงที่สุดในความตระหนักชัดแจ้งและยังไม่สามารถกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันได้อย่างแนบสนิทในความเป็นธรรมชาตินั้น นักปฏิบัติทั้งหลายจึงอาจมีความพลั้งเผลอขาดสติ หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา ตามสภาพที่กำลังดำเนินไปในเส้นทางธรรมชาติ ที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งเส้นทาง โดยยังมีอวิชชาความหลงเข้าไปยึดปรุงแต่งเป็นจิตต่างๆนานา ขึ้นมา "อย่างมากมาย" ในชั่วขณะหนึ่ง ด้วยความที่ยังไม่สามารถตั้งมั่นในความซึมซาบ เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้นได้ จึงกลายเป็น จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ เกิดขึ้นมาได้อย่างเนืองๆ

(https://lh4.googleusercontent.com/-eCuqqZxASCw/Uv31pGVqUlI/AAAAAAAABUo/earkaDxweUY/w383-h179/heart.gif)

ก็ด้วยแท้จริงความเป็นธรรมชาติ มันคงเนื้อหาแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน อยู่อย่างนั้นของมันเองอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติในความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น ในความว่างที่มันว่างตลอดแบบไม่ขาดสายของมันอยู่อย่างนั้น เป็นความบริบูรณ์พรั่งพร้อมโดยสภาพแห่งมันอยู่แล้ว มันเป็นความสมบูรณ์แบบโดยไม่จำเป็นต้องให้ใคร เข้ามาเสริมเติมแต่งแก้ไขในความเป็นมัน ในสภาพธรรมชาติที่เต็มบริบูรณ์ของมันอยู่อย่างนี้เองอยู่แล้ว ดังนั้นความเป็นธรรมชาติ มันจึงไม่ต้องการให้ภาวะหรือความเป็นปรากฏการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น มาเป็นเครื่องยืนยันถึงฐานะแห่งความสมบูรณ์ของความเป็นเนื้อหา หรือสภาพสมบูรณ์ของความว่างเปล่าของมันอีกเลย

              (https://lh4.googleusercontent.com/-caRkICHcirw/Urd8SrUZIaI/AAAAAAAAs2Y/7yMC68ooek0/w300-h429-no/22+-+1)

 เพราะฉะนั้นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนตามธรรมชาติ จึงมิใช่ภาพแห่งความที่จะต้องมีความชัดเจน ที่นักปฏิบัติทั้งหลายจะเข้าไปกระทำจัดแจง ให้ความว่างเปล่าเกิดขึ้น "ตามความรู้สึก" อันเกิดจากความเข้าใจผิดไปเองแต่ฝ่ายเดียวของนักปฏิบัติ ว่าความว่างเปล่านั้น ต้องเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ต้องเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น ต้องมีการแก้ไขตรงโน้น ต้องเข้าไปทำเพิ่มตรงนี้ และก็ด้วยความเข้าใจผิดเหล่านี้ ก็อาจทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย เข้าไปรื้อค้นตรวจสอบและเข้าไปกระทำการใดๆ เพื่อให้ความว่างเปล่า ซึ่งมันมีสภาพที่แท้จริงตามธรรมชาติของมันอยู่แล้วนั้น ให้มัน "มีภาพออกมา" ตรงกับความรู้สึกความเข้าใจของนักปฏิบัติเอง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดๆต่อเนื้อหา ความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่านั้น

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s526x296/1620394_490735601036486_165435606_n.jpg)

 ด้วยความเป็นไปดังกล่าวนี้ จึงอาจทำให้นักปฏิบัติเผลอเข้าไปปรุงแต่งจิตของตนขึ้นมา เพื่อเข้าไปรื้อค้นและเพื่อยืนยันฐานะการปฏิบัติธรรมแห่งตน จนกลายเป็น การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากราคะ การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากโทสะ การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตปราศจากโมหะ การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตเป็นสมาธิ การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตไม่เป็นสมาธิ การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตไม่หลุดพ้น การปรุงแต่งเพื่อตรวจสอบว่าจิตหลุดพ้น เกิดขึ้นมาได้อย่างเนืองๆ

(https://lh3.googleusercontent.com/-5XiYBbPwoOM/Uv867MrPtpI/AAAAAAAA8ME/-ZzMGgUL8wQ/w533-h333/15.02.14%2B-%2B1)

ก็เมื่อเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่ "จิต" ที่เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาแต่เพียงเท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นจิตที่ชื่อว่าอะไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะเป็นจิตที่ปรุงแต่งไปในทางความหมายใดๆก็ตาม มันก็ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่หามีความเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นไม่ มันก็ล้วนเป็นเพียงจิตที่ไม่เคยมีความเกิดขึ้นมาก่อนเลยในวินาทีนี้ คือวินาทีแห่งความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้งแห่งเรา ว่าในความเป็นธรรมชาตินั้น มันก็ล้วนแต่เป็นเพียงความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนแบบเสร็จสรรพเด็ดขาด ตามสภาพธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งความเป็นมัน อันคือการหาจุดเริ่มต้นในสภาพแห่งความเป็นมันนั้นไม่ได้ และอันหาจุดสิ้นสุดในสภาพความเป็นมันนั้นก็มิได้เช่นกัน ซึ่งเป็นความแรกเริ่มของมันมาอยู่แบบนั้นมานานแสนนานแล้ว

   (https://lh4.googleusercontent.com/-zS_fxIiZrYc/Uv1IMeUFH9I/AAAAAAAAIX8/J1TPfOG7Ja4/w533-h349/rising.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   15 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh6.googleusercontent.com/-dsJZ24hUDSk/Uv8Hy3L_YbI/AAAAAAAAH5Y/z9b3P4TY5vw/w383-h229/1618501_673634456008241_1742712400_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 04:59:43 pm

(https://lh3.googleusercontent.com/-9iMEDq9uorg/UvDsb_0fZYI/AAAAAAAAmgk/JziUdU4HiVM/w533-h355/DSC_0537-Edit-Edit-Edit-Edit-Edit-Edit.JPG)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 20 การเกิดขึ้นแห่งธรรม

ธรรมอันไม่ใช่สัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดจากความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้า แล้วก่อให้เกิดเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกลายเป็นจิตซึ่งเป็นทิฐิความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็โดยตัวมันเองแล้วแห่งการที่เราเข้าไปยึด มันก็ล้วนแต่เป็นการเข้าไปจับฉวยจับกุมในเนื้อหาธรรมนั้นๆ ให้เกิดขึ้นในความรู้สึกในความเข้าใจของเรา ไปในทางความหมาย แห่งความเป็นตัวเป็นตนของธรรมนั้นๆอยู่ตลอดเวลา การที่เราตกไปสู่ห้วงลึกแห่งการถูกครอบงำอยู่ตลอดเวลา ในทิฐิความเห็นซึ่งไม่ตรงต่อเนื้อหาความเป็นธรรมชาตินั้น มันก็กลายเป็นการเกิดขึ้นแห่งธรรม (เป็นตัวตนแห่งธรรมขึ้นมา) อันอยู่บนพื้นฐานแห่งทิฐินั้นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

(https://lh6.googleusercontent.com/-Xd7eH4UcZCw/UvITbf0i3YI/AAAAAAAAbNk/4ZtLWb77Zb8/w333-h155/57+-+1)

ก็มาในบัดนี้ เมื่อเราเกิดมีความศรัทธาที่จะก้าวเดินเข้ามาสู่เส้นทางสัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นความเห็นที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ ตถาคตเจ้าจึงได้ทรงตรัสชี้ทางอันเป็นหนทางที่แท้จริงถูกต้อง โดยท่านทรงชี้ให้ "พิจารณาเห็น" ถึง สภาพธรรมอันคือธรรมชาติ ที่มันดำรงเนื้อหาของมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว เป็นการพิจารณาในเนื้อหาธรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ้งชัด โดยไม่มีอะไรเป็นความลังเลสงสัยให้เหลือแม้แต่นิดเดียว อันจะทำให้เราพลัดหลงไปในเส้นทางอื่นอันเป็นความหลงผิดได้อีก เมื่อเราได้พิจารณาและมีความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง ในความเข้าใจในธรรมอย่างชัดเจนแล้ว ก็โดยเนื้อหาแห่งความเป็นจริง การพิจารณาธรรม "จนเกิดภาพในความเป็นรูปลักษณ์แห่งธรรมนั้นๆ" จนทำให้เราเข้าใจในความเป็นไปในลักษณะหน้าตาแห่งมัน มันจึงเป็นการ "เข้าไปยึดมั่นถือมั่น" ในสภาพธรรมนั้นๆขึ้นมา

            (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s480x480/1604756_762514640432989_1643334479_n.jpg)

 มันจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์ แห่งการเกิดขึ้นของธรรมนั้นๆที่เป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตน เพื่อมารองรับความเข้าใจแห่งเราในการที่ได้พิจารณาไป ก็การพิจารณาธรรม ซึ่งเนื้อหามันก็เป็นการเกิดขึ้นในความเป็นตัวเป็นตนแห่งธรรมนี้ มันจึงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจแห่งการเข้าไป ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าที่เกิดขึ้น ในการปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรม มันเป็นความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนแห่งการเข้าไปพิจารณานั้น การพิจารณาธรรมก็เป็นไปเพียงแค่ประโยชน์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมอย่างถ้วนทั่ว ในความเป็นจริงแห่งเนื้อหาของมันแต่เพียงเท่านั้น แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งธรรมอันแท้จริง มันคือความเป็นไปในเนื้อหาของมันเอง "ตามธรรมชาติ" อยู่อย่างนั้นแต่เพียงเท่านั้น ธรรมชาติมันเป็นความนอกเหนือทุกสรรพสิ่ง ด้วยความหมายแห่งตัวมันเอง มันเป็นความหมายที่อยู่นอกเหนือความเป็นเหตุและผลทั้งปวง มันเป็นความหมายที่อยู่นอกเหนือการพิจารณาใดๆทั้งปวงเช่นกัน

(https://lh5.googleusercontent.com/-5KR-_lrqqIY/UvzwKvti0OI/AAAAAAAAMls/gECps0D2B3Q/w433-h437/14+-+1)

เพราะฉะนั้นการปรุงแต่งเพื่อพิจารณาธรรมสัมมาทิฐิ อันคือปรากฏการณ์การที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งๆ เป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตนแห่งธรรมในสัมมาทิฐิทั้งหลายนั้น มันเป็นเพียงมายาแห่งจิตที่กระทำขึ้น การเกิดขึ้นเช่นนี้มันจึงหาใช่ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ตามความเป็นจริงตามธรรมชาติไม่ เพราะธรรมชาติมันคงเนื้อหาแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น จึงถือว่ามันไม่เคยมีการเกิดขึ้นแห่งธรรมซึ่งเป็นอัตตาตัวตนต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาก่อนเลย มันคงมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นของมันเอง ตามสภาพธรรมชาติอยู่อย่างนั้น

   (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p480x480/1959314_491655494277830_1423779852_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   16 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh6.googleusercontent.com/-ONaULQf7eKU/UvKIe3Hc4TI/AAAAAAAARZI/J8oXGOcpNVM/w283-h402/14+-+1)
หัวข้อ: Re: บทที่ 21 ธรรมชาติยังคงอยู่
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 07:47:11 pm

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p403x403/1535019_824633040885260_2111054076_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 21 ธรรมชาติยังคงอยู่

สรรพสัตว์ทั้งหลาย การมาสู่ด้วยความยินดีของท่านในภพชาติ แท้ที่จริงมันเป็นการมาเพื่อที่จะต้องจากไปอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นการมาที่ถูกตรึงไปด้วย "เหตุและผล" เหตุและผลแห่งการที่จะต้องมาๆไปๆ ไปๆมาๆ บนเส้นทางที่ไม่มีจุดจบแห่งการถูกบังคับพาไป ในเนื้อหาแห่งการ "ต้องเกิด" ด้วยอำนาจแห่งอวิชชาแต่เพียงเท่านั้น การดำรงอยู่ด้วยความเกี่ยวพันอยู่ตลอดเวลาแห่งความมีความเป็น มันจึงถูกบรรจุซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติความรู้สึกต่างๆ ในความเป็นไปแห่งการดำรงชีวิต ที่เรียกมันว่า "ประสบการณ์" ความทุกข์ที่ได้รับก็ล้วนแต่ไม่เคยมีใครสักคน เข็ดหลาบในรสชาติความร้อนรนแห่งมัน

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1044245_394832487293465_615026496_n.jpg)

 เพราะด้วยความทะยานอยากอย่างมากมายในใจแห่งมนุษย์เป็นที่ตั้ง ความมุ่งหวังเหล่านี้จึงกลบหน้าตาอันแท้จริงของธรรมชาติไป ความทุกข์จึงเป็นครูสอนปุถุชนผู้มืดบอดได้แต่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ทุกชีวิตล้วนแต่มีความตายรออยู่เบื้องหน้า อันเป็นจุดสุดท้ายในภพนั้นๆอยู่เสมอ เมื่อกระบอกม่านตาจะต้องปิดลงเป็นครั้งสุดท้าย ในปลายทางเส้นชัยแห่งความตายนั่นเอง ความมืดมิดในดวงตาของท่าน มันทำให้ไม่รู้ความจริงเลยว่า ในความตายที่กำลังจะมาเยือน ในความหมายของชีวิตที่กำลังจะถูกพลัดพรากไป แท้ที่จริงแล้ว ในความตาย "ชีวิตที่แท้จริง" ก็ยังคงอยู่

(https://lh4.googleusercontent.com/-Pjq6qAXrbKE/Uu2Yq-Mdj5I/AAAAAAAAfZQ/xzt4HWtJUY8/w478-h284-no/d824f89a-0802-42c5-8c0d-dfeb433a8d42)

ในบางครั้งในบางขณะ การได้ถอนหายใจแรงๆให้กับตนเองสักเฮือกหนึ่ง เพื่อหาพื้นที่แห่งเสี้ยวเวลา ปลดปล่อยใจตนเองออกจากความรู้สึกตรงนั้น มันบ่งบอกได้ว่าชีวิตนี้ได้ตกระกำลำบากมามากแล้วเพียงไหน ความถูกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ถูกบีบคั้น ที่มีสาเหตุมาจากมุมมองในชีวิตแห่งตน ได้มองผิดไปจากความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ อสัจธรรมซึ่งคือธรรมอันไม่ใช่ความจริงทั้งหลาย ที่เราหลงเป็นเนื้อหาเดียวกับมันอย่างไม่ตั้งใจ "ความไม่จริง" ที่เรามองว่ามันเป็นความจริงแท้ จึงทำให้เราหลงติดกับดัก เข้าไปยื้อแย่งความจริงอันเป็นสิ่งลวงนั้นมาเป็นของเราอยู่อย่างนั้น

               (https://lh4.googleusercontent.com/-tKWOedZFL6g/UwAoDyXE7bI/AAAAAAAA3-M/k_nNSxdxgD4/w433-h228/tumblr_mua2mslLB01rsdpaso1_500.gif)

 ก็ในความที่มันหามีตัวมีตนไม่ ซึ่งมันตกอยู่ในสภาพที่จะต้องพลัดพรากจากเราไปอยู่เสมอๆ ความเหนื่อยล้าที่จับฉวยคว้าเอาสิ่งที่ไม่เคยมีตัวมีตนอย่างแท้จริง ซึ่งมันไม่มีวันที่จะอยู่กับเราไปได้ตลอดเลย ความพยายามในความล้มเหลวที่รออยู่ในผลของมันเองอยู่แล้วนั้น ก็อาจทำให้เราหมดกำลังใจในการที่จะใช้ชีวิตต่อไป ด้วยความท้อแท้ที่จะพยายามเติมเต็มชีวิตของตนให้ได้ตามที่มุ่งหวัง ก็อยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในความปรากฏแห่งอสัจนั้น สัจจะความเป็นจริงก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หนีหายจากเราไปไหนเลย

(https://lh3.googleusercontent.com/-lyV-fDRhibA/Uu6YYV8bUFI/AAAAAAACBMY/PuiALyE1U8g/w233-h497/155fabfbc5e6293ca4b21e531c13f8cb.jpg)

ในความมืด อันดำดิ่งจมลึกลงไปในห้วงแห่ง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยาก ที่เราไม่รู้และเลือกเอามาเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของเรา การก้าวเดินไปแต่ละก้าว จึงเป็นการก้าวเดินที่ปราศจากความมุ่งหมายในทุกทิศทาง เมื่อมืดจนมองไม่เห็น มันจึงเป็นการก้าวไปที่อาจจะทำให้เรา ก้าวไปเพื่อกลับมาสู่จุดจุดเดิม ที่เราพึ่งก้าวออกมาจากมัน เป็นจุดต้องทนอยู่ด้วยความทุกข์ใจด้วยความโง่เขลา ขาดความมีปัญญาเข้าไปแก้ไขให้กับชีวิตของตนเองอย่างแท้จริง การวนเวียนที่พาให้เรากลับมาสู่ความรู้สึกเดิมๆแบบซ้ำๆอยู่อย่างนั้น

               (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p235x350/1236149_420172794759434_1620650591_n.jpg)

 มันจึงเป็นความเบื่อหน่ายที่ต้องทนรับความรู้สึกนั้นไว้ และโยนมันออกไปจากใจเราก็ไม่ได้ ก็จงอย่าพึ่งท้อแท้ใจ เพราะความเป็นจริงตามธรรมชาติ ในความมืดมิดแห่งหัวใจ ก็ยังคงมีแสงสว่างแห่งปัญญา ที่ยังฉายแสงเจิดจ้าของมันอยู่อย่างนั้น มันรอเพียงให้เราหยิบไขว่คว้ามันมา เป็นกระบอกไฟฉายที่สามารถส่องทิศทาง ให้เราก้าวเดินไปในหนทางที่ถูกต้อง และเป็นจุดหมายปลายทางอันแท้จริง ที่มนุษย์ทุกคนต้องทำหน้าที่แห่งตน ก้าวไปยังจุดนั้นอยู่แล้ว

   (https://lh4.googleusercontent.com/-MwrCceofusQ/Uuvrg7RJ5CI/AAAAAAAAqAo/_YXoNgMEAUc/w333-h500/1236923_211740398987718_489140737_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   17 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s350x350/1618603_577781322299432_1800328059_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 03:46:50 pm

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p403x403/1743684_492422430867803_876887966_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 22 ความเพียรพยายาม

ด้วยความมีดำริไปในทางที่ชอบแห่งตน ที่จะหนีห่างจากสภาพความทุกข์ หนีห่างจากสภาพการปรุงแต่งทั้งหลาย อันเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทั้งปวง อันเป็นเหตุให้เราเข้ามาศึกษาทำความเข้าใจในความเป็นตัวเอง แห่งสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้น การปรับมุมมองความเข้าใจให้ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นทิฐิโดยชอบนั้น ด้วยการศึกษาจนเกิดความเข้าใจอย่างแจ้งชัดนั้น มันเป็นความสว่างไสวแห่งปัญญาที่มันเจิดจ้าอยู่อย่างนั้นไม่มีที่ติ มันเป็นแสงสว่างแห่งความเข้าใจถ้วนทั่ว ครบถ้วนตามกระบวนความ ในการเข้าใจปัญหาและในการแก้ไขปัญหาเป็นได้อย่างถูกต้อง และตรงต่อหนทาง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่นำพาเรา ไปสู่ความเป็นกลางที่แท้จริงของธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติที่ปราศจาก ความเคลื่อนไหวใดๆแห่งจิตในลักษณะทั้งปวง แต่การที่นำพาตนเองมาสู่ความเป็นสัมมาทิฐิอย่างเต็มตัวได้นี้ ยังถือว่าไม่ใช่เป็นความเพียรพยายาม แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งเส้นทาง ที่จะนำไปสู่ความเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติได้แต่เพียงเท่านั้น มันจึงเป็นเพียงแต่การดำริชอบ

แต่ด้วยการที่ไม่เข้าใจในความเป็นสัมมาทิฐิที่แท้จริง ว่าแท้จริงมันเป็นทิฐิมุมมองความเห็นที่ตรงต่อความเป็นธรรมชาติ ด้วยความเข้าใจที่ว่า ความเป็นธรรมชาตินั้นมันคือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วอยู่อย่างนั้น แบบถ้วนทั่วเสร็จสรรพเด็ดขาด มันไม่เคยมีแม้กระทั่งขันธ์ธาตุหรือความเป็นขันธ์ทั้งห้า เกิดขึ้นได้เลยในความเป็นธรรมชาตินี้ มันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าที่บริบูรณ์เต็มพร้อม มันเป็นความว่างเปล่าที่สมบูรณ์แบบโดยตัวมันเอง โดยเนื้อหามันเองอยู่แล้ว เมื่อยังไม่มีความเข้าใจในความหมายอันแท้จริง ก็ด้วยอวิชชายังปิดบังครอบงำ

ให้เรามองเห็นความหมายที่แท้จริงนี้ ไปในทางความหมายอื่นซึ่งมันไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็ด้วยความเข้าใจแบบผิดๆนั้น จึงทำให้นักปฏิบัติทั้งหลายเร่งรีบขวนขวาย นำมาซึ่งวิธีปฏิบัติ ซึ่งมันสามารถจูงใจทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย คล้อยตามมันไปในวิธีดังกล่าว ก็ในเมื่อความเป็นจริง ความเป็นธรรมชาติอันคือสัมมาทิฐินั้น มันเป็นธรรมชาติโดยสภาพเนื้อหาของมันเองอยู่แล้วอยู่อย่างนั้น ความเป็นธรรมชาติโดยสภาพของมันเอง มันจึง "ไม่ใช่วิธี" แต่เมื่อนักปฏิบัติทั้งหลายหลงไปว่ามันควรมีวิธีปฏิบัติ ที่ทำให้ผลแห่งการปฏิบัติ (ซึ่งแท้ที่จริงมันคือความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น)

 มันเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงการลงมือไป ในความเพียรพยายามของนักปฏิบัติเองนั้น การเข้าใจผิดในความหมายแห่งธรรมชาติ และการมุ่งทะยานไปข้างหน้า ที่หาเส้นชัยจุดหมายปลายทางไม่เจอ เพราะวิธีต่างๆที่นักปฏิบัติเข้าใจและน้อมนำมาเป็นทิศทางให้กับตนนั้น มันไม่ใช่การปฏิบัติที่แท้จริงตามวิถีหนทางแห่งธรรมชาติ แต่มันล้วนคือ ความหมายแห่งการปรุงแต่งของนักปฏิบัติเอง มันเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาเป็นจิต เป็นจิตที่ปรุงแต่งไปในการปฏิบัติที่ผิดวิธีอยู่อย่างนั้น การปฏิบัติไปโดยไร้เป้าหมายทิศทาง และออกนอกเส้นทางธรรมชาตินี้ มันจึงเป็นเพียงการปรุงแต่งเป็นจิต ที่พัวพันนำพาให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่ง แห่งการก่อปัญหาขึ้นมาใหม่ต่างหากจากความทุกข์เดิมของตน ด้วยความโง่เขลาแห่งตนเองด้วยอย่างหนึ่ง การปฏิบัติด้วย "การมีวิธี" นี้ มันจึงไม่ใช่ความหมายของความเพียรพยายามแต่อย่างใดเลย

ก็ด้วยความเป็นเราแห่งธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มันเป็นธรรมชาติแห่ง "ความเป็นจริง" ของมันอยู่แล้ว มันเป็น "ความเป็นจริง" ที่ไม่ต้องอาศัยเหตุและผลใดๆ มาสนับสนุนในความเป็นจริงของมันได้อีกเลย และมันเป็น "ความเป็นจริง" ที่คงสภาพมันอยู่อย่างนั้น มันเป็น "ความเป็นจริง" ที่ไม่ได้แสดงเนื้อหาของมัน เพื่อรองรับเหตุผลของใครคนใดคนไหน ว่า "ความเป็นจริงตามธรรมชาตินี้" คือการรู้แจ้ง คือการหลุดพ้น ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติของเขาคนนั้นเอง ความเพียรพยายามที่พยายามอธิบายให้กับตนเองว่า "ความเป็นจริงตามธรรมชาตินี้" คือภาวะแห่งการรู้แจ้งการหลุดพ้นของตน ซึ่งตนได้มองเห็นธรรมชาตินี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งถ้วนถี่แล้ว

 แต่การเข้าใจอย่างไม่มีที่สงสัยแห่งตน อันเกิดจากความเพียรพยายาม และภาพแห่งความชัดเจนหมดจดที่ตนเองเรียกว่า นี่คือการรู้แจ้งและหลุดพ้นแล้วนั้น มันจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่ง "อัตตาตัวตนในความเป็นธรรมชาติ" ที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับ "การที่ตนมีความเข้าใจแล้ว" ในเนื้อหาธรรมชาติ ที่มันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้น มันเป็นเพียงการปรุงแต่งชนิดที่เรียกว่าเส้นผมบังภูเขา มันไม่ใช่ความเพียรพยายามที่แท้จริง

แต่ความเพียรพยายามที่จะทำความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง และ "สามารถ" ซึมซาบกลมกลืน กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ที่มันว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน แบบเสร็จสรรพเด็ดขาดโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น เมื่อธรรมชาติดั้งเดิมแท้มันสามารถทำหน้าที่แห่งมัน ได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด เมื่อเราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับมันได้แล้ว และสามารถดำรงชีวิตของตนเองได้อย่างมีอิสรภาพอย่างแท้จริง ไม่ตกอยู่ภายใต้ความมืดมิดใดๆอีก เป็นความสะดวกในการไปและการมา ในท่ามกลางอิริยาบถทั้งสี่ สามารถดำรงตนเองในสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และไม่เบียดเบียนใคร มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สำหรับผู้ที่อยู่รอบข้างและเขายังมีความขาดแคลน
ก็ด้วยชีวิตที่ประกอบไปด้วยความเมตตากรุณาแห่งคุณธรรม อันเป็นธรรมชาติในความเป็นตนเองนั้น ที่นำพาชีวิตของตนได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนาได้สืบไป นี่คือความเพียรพยายามที่แท้จริงอย่างยิ่งยวด

   (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p280x280/1013302_491803757596337_519287774_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   17 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1534315_570338349710396_446899339_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 04:32:28 pm

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/p180x540/1970780_492883480821698_469639676_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 23 การเข้าถึง

การถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ มันเป็นเพียงการสื่อด้วยความเข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงเป็นหลัก การสื่อด้วยภาษาพุทธะนี้หรือไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ล้วนแต่มีความหมายไปในทางที่ทำให้เรา สามารถมีความซึมซาบกลมกลืนในความเป็นธรรมชาติ ของมันได้อยู่อย่างนั้นด้วยความแนบเนียนเป็นหนึ่งเดียว ในความเป็นเนื้อหาเดียวกันในธรรมชาตินั้น โดยไม่มีความรู้สึกถึงความแตกต่างและการแบ่งแยกออกเป็นสิ่งๆได้เลย ความเป็นหนึ่งเดียวแห่งทุกสรรพสิ่งในความเป็นธรรมชาตินั้น ก็คือความหมายแห่งการที่ "ธรรมชาติมันก็คงเป็นของมันอยู่อย่างนั้น"

 ซึ่งหมายความว่ามันเป็นของมันแบบนี้มานานแสนนานแล้ว และก็จะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดไปตราบที่ไม่มีวันสิ้นสุด การอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และ "ความเข้าใจแล้ว" ในเนื้อหาธรรมชาตินี้ มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่นำเราไปสู่ ปากประตูแห่งธรรมชาติเท่านั้น มันเป็นปากประตูที่ยังอยู่ไกลแสนไกลนอกขอบวงพุทธะ ถึงแม้ความเข้าใจดังกล่าวมันจะเป็นเหตุผลให้เรา "เข้าถึง" ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นได้ แต่โดยสภาพเนื้อหาแห่ง "การเข้าถึง" ซึ่งเป็นเหตุผลให้เราได้อิงแอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจแก่ตัวเราเองว่า นี่คือธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่เราสามารถทำความเข้าใจและได้พบเจอะเจอมันแล้ว

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p280x280/1912247_762931847067843_1842910420_n.jpg)

 สภาพแห่งการเข้าถึงดังกล่าวมันจึงยังเป็นเพียง "ความฝัน" ที่คุณได้นอนหลับตาลง และความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น มันก็ได้ตามมาหลอกหลอนคุณ ให้คุณฝันถึง "สภาพของมัน" อย่างเป็นตุเป็นตะ ก็ถ้าเมื่อคุณตื่นและลืมตาขึ้น ก็เพียงแค่คุณลืมตาตื่นต่อความเป็นจริง และก็เมื่อคุณได้ก้าวข้ามประตูแห่งความสงสัยนั้น เข้ามาเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ได้แล้ว ซึ่งมันทำให้คุณไม่มีความแตกต่างอะไรเลย ในระหว่างความเป็นคุณเองกับความเป็นพุทธะนั้น มันจึงเป็นความเหมือนกันแบบถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุ แห่งอาณาจักรพุทธะซึ่งมันมีความกว้างใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ รวมเขตแดนได้ถึงความเป็นอนันต์แห่งล้านโกฏิจักรวาล

มันเป็นความหนึ่งเดียวกันที่ไม่เคยมีทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต มันเป็นความหนึ่งเดียวกัน "โดยไม่สามารถนำพาตัวเราเองออกไปจากมันได้" มันจึงไม่มีการออก ไม่มีการเข้า และไม่มีการเข้าถึง มันเป็นหนึ่งเดียวของมันอยู่อย่างนั้น

   (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1964830_614971035266517_143200398_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   19 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s403x403/400636_633706156715356_1467167204_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2014, 07:41:55 pm

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1899953_493702140739832_1123126562_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 24 อิสรภาพที่แท้จริง

ด้วยเหตุและปัจจัยที่ทำให้เรา ได้หมั่นประกอบกุศลกรรมมุ่งทำความดีให้กับตนเองและคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้น โดยตนเองได้ตั้งสัจจะวาจาได้อธิษฐานตั้งมั่นอย่างเด็ดขาดว่า จะเลิกการกระทำที่นำพาซึ่งความเบียดเบียนแก่ตนเองและผู้อื่น ในทุกรูปแบบได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็ด้วยเหตุและปัจจัยนี้ มันก็ทำให้เราได้มีความเป็นอิสรภาพแห่งใจในระดับหนึ่งแล้ว ในความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกแห่งความมีความเป็น ที่ต้องการให้ชีวิตของตนเองประสบแต่ความสุขสมหวังในชีวิต

และด้วยเหตุปัจจัย ที่ทำให้เรามีความดำริเห็นชอบที่จะนำพาตนเอง เดินออกมาจากความทุกข์มาสู่ความเป็นจริงตามธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือความสุขและความทุกข์ทั้งปวง ก็ด้วยเหตุและปัจจัยนี้ ทำให้เราได้มีความเป็นอิสรภาพนำมาสู่ชีวิตตนเองได้ ในระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน

และด้วยเหตุปัจจัย ที่ทำให้เราได้มีความเข้าใจตระหนักอย่างชัดแจ้งแล้ว ในเนื้อหาธรรมชาติซึ่งมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ด้วยเหตุและปัจจัยนี้ ก็ทำให้เราได้มีความเป็นอิสรภาพในสัมมาทิฐินั้น ในระดับหนึ่งแล้วอีกเช่นกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง

และการที่ธรรมชาติมันคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น ในเนื้อหาความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน แบบเสร็จสรรพเด็ดขาดโดยตัวมันเอง "อยู่อย่างนั้น" การที่ธรรมชาติมันคงความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงอยู่อย่างนั้น โดยที่ธรรมชาติแห่งความเป็นเรา ก็เป็นเนื้อหาเดียวกันไม่มีความแตกต่างใดๆเลย ในความเป็นธรรมชาตินั้น ก็ธรรมชาติมันเป็นของมันเองอยู่แล้ว ก็ธรรมชาติมันเป็น "ความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว" มันจึงเป็นธรรมชาติของมันเองที่มิได้อาศัยเหตุและปัจจัยใดๆ และก็ด้วยความไม่ต้องมีเหตุและปัจจัยอะไรเกิดขึ้น และธรรมชาติมันก็คงทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น การไม่มีเหตุและปัจจัยซึ่งในความเป็นไปแห่งธรรมชาตินั้น การไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆในการทำหน้าที่ของธรรมชาติมันเอง มันจึงเป็นการมีอิสรภาพอย่างแท้จริง มันเป็นอิสรภาพซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ

   (https://lh5.googleusercontent.com/-8XyGXooEGg8/UwYAjUBRW4I/AAAAAAAAM70/LizXjcOOJ7o/w183-h400/57%2B-%2B1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   21 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh4.googleusercontent.com/-SauxnZ8TYXg/UvcH_1Nh63I/AAAAAAAA14A/6LA2NhWv7Dk/w433-h703/8+-+1)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 12:06:56 pm

(https://lh6.googleusercontent.com/-jFpSKHfgbac/Umzm-qMjk9I/AAAAAAAAw28/Vi9xXuC7FYc/w433-h649/13+-+1+%283%29.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 25 ทางสายกลาง

ทางหรือแนวทาง ที่เป็นความหมายแห่งสภาพทิฐิทั้งหลาย
มันก็เป็นเนื้อหาที่สามารถบ่งบอกถึง ลักษณะความหมายแห่งธรรมชนิดนั้น
ที่เราได้ยึดเหนี่ยวเอามาเป็น "ความเป็นไป" ของตนเอง
ตถาคตเจ้าจึงได้แบ่งทิฐิออกเป็นสองประเภท โดยท่านได้ทรง..
แบ่งแยกทิฐิออก ตาม คุณลักษณะ.. ความเป็น ธรรมธาตุ แห่งทิฐินั้นๆ

ก็โดยทั่วไปแห่งความหมายของมิจฉาทิฐิโดยรวม ตถาคตเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่าเป็นทิฐิหรือความคิดเห็น ที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ เป็นทิฐิที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆโดยยึดเข้ามาเป็นความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของตนเองอยู่อย่างนั้น ก็ในคืนราตรีแห่งการตรัสรู้ ตถาคตเจ้าท่านทรงได้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุ แห่งความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ และด้วยความตระหนักอย่างชัดแจ้งในความจริง ของธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งทั้งปวงนี้ ท่านจึงทรงตรัสเรียก "ความเข้าใจอย่างถูกต้อง" นี้ว่า "สัมมาทิฐิ" ซึ่งเป็นทิฐิความเห็นที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ว่าธรรมชาตินั้นโดยสภาพแห่งมัน มันย่อมมีแต่ความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น

ก็ด้วยความเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหลาย มันจึงเป็นความหลงผิดที่เกิดขึ้น เป็นความคิดเห็นที่เข้าใจผิดต่อความเป็นจริงไปต่างๆนานา มันจึงเป็น "ทาง" ที่มีความหลากหลายในการก้าวพลาดไป ในเส้นทางแห่งความหลงผิดนั้น และด้วยความจริงที่ปรากฏตามธรรมชาติว่า หนทางหลากหลายในมิจฉาทิฐิเหล่านี้ ซึ่งล้วนแต่เป็น "ความมีและความเป็นตัวตน" เกิดขึ้น มันมิใช่หนทางอันจะทำให้ท่านทรงพ้นทุกข์ได้ เมื่อท่านได้ค้นพบหนทางที่สว่าง ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ ท่านจึงตรัสเรียกหนทางอันคือ อริยมรรค นี้ว่า "ทางสายกลาง" มันเป็น "ทางสายกลาง" ที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดำเนินไปบนความนอกเหนือแห่งความมีความเป็นในทุกชนิดทุกรูปแบบ มันจึงเป็นทางสายกลางที่เป็นกลางโดยไม่มีความยุ่งเกี่ยว กับ "ความยุ่งเหยิงแห่งทิฐิที่มีความหลงผิดทั้งหลาย"

 ซึ่งมันเป็นความยุ่งเหยิงในความเกี่ยวพันแบบแนบแน่น ในความเห็นที่เป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้นแต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้นทางสายกลาง มันจึงมีความเป็นกลาง "โดยสภาพธรรมชาติของมันเอง" เป็นสภาพที่เป็นเนื้อหาเดียวกันตลอดอยู่อย่างนั้น ในความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น มันมิใช่ความเป็นกลางเพื่อเป็น "ภาวะ" ต่างหาก จากความมีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันมิใช่ความเป็นกลางเพื่อเป็น "ภาวะ" ต่างหาก จากความไม่มีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในความเป็นกลางอย่างแท้จริงตามธรรมชาติแห่งสัมมาทิฐิ มันเป็นกลางที่เป็นความว่างเปล่าปราศจาก "ความมีหรือความไม่มี" ความว่างเปล่าตามธรรมชาตินั้น มันมิได้หมายถึง การยืนยันว่า "ไม่มี" สิ่งใดอยู่ แต่ความว่างเปล่าตามธรรมชาตินั้น มันก็ "ทำหน้าที่" ในความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมัน "อยู่อย่างนั้น" มันว่างเปล่าโดยตัวมันเอง มิได้ว่างเปล่าเพราะความมีหรือความไม่มีสิ่งใด มันจึงเป็นเพียงความว่างเปล่าของมัน ตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นเองแต่เพียงเท่านั้น

เพราะฉะนั้น "ความเป็นกลาง" ในทางสายกลาง
มันจึงเป็น "ความเป็นกลาง"
ตามธรรมชาติแห่งสภาพมันอยู่อย่างนั้น แต่ความหมายเดียว

   (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1459316_725564840794636_1539916165_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   23 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh6.googleusercontent.com/-LGwy04M9E8c/UdUyxQ77j-I/AAAAAAACOHQ/gwyMd-qS-UQ/w406-h575-o/photo.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 12:31:46 pm

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/p350x350/1800428_495008440609202_1029118278_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 26 นาข้าวแห่งพุทธโคดม

เมื่อลมหนาวของต้นฤดู ได้พัดผ่านมาทางท้ายหมู่บ้าน ซึ่งบริเวณนั้นมีท้องทุ่งนาแปลงหนึ่ง เป็นนาที่อยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ภายในนาข้าวแปลงนั้นมีต้นข้าวที่ท้องแก่รวงใหญ่ ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่อย่างระลานตา และที่นั่นมีชาวนาที่ชื่อ "สมณพุทธโคดม" ท่านกำลังทรงใช้เคียวเก็บเกี่ยวข้าวในนาแปลงของตนอยู่ นาข้าวแปลงนี้อยู่ ณ บริเวณหมู่บ้านนิคม "อุรุเวลา" เป็นหมู่บ้านซึ่งมีความสงบเงียบ เป็นสถานที่ที่ร่มรื่นเป็นรมณียสถาน สะดวกด้วยโคจรคามในการเดินทางไปมา มีป่าชัฏเยือกเย็น แม่น้ำใสเย็นจืดสนิท และมีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ยืนต้น ตั้งตระหง่านอยู่อย่างเห็นได้อย่างเด่นชัด ภายใต้ควงโพธิ์ต้นนี้ ชาวนาคนนั้นได้ใช้เป็นที่พักอาศัยแห่งตน เพื่อหลบแดดหลบฝน

ต่อมาในเวลาตะวันบ่ายคล้อยของวันนั้น มีพราหมณ์คนหนึ่งเดินผ่านมา และเห็นรวงข้าวในท้องนา จึงได้เอ่ยปากกล่าวชมข้าวในนาของพระองค์ท่าน ว่าพระองค์ท่านเป็นชาวนาที่เยี่ยมยอด มีความดูแลเอาใจใส่เพาะปลูกข้าวในนาได้เป็นอย่างดี พราหมณ์จึงถามต่อพระองค์ท่านว่า มีวิธีดูแลอย่างไร จึงได้ผลผลิตเป็นข้าวรวงทองสีเหลืองงามอร่าม พระพุทธองค์จึงทรงตรัสให้ฟังว่า เหตุที่ข้าวในนาของพระองค์ท่าน ทรงมีความอุดมสมบูรณ์ ข้าวมีรวงใหญ่ เมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์ไม่เล็กลีบเรียว เพราะเมื่อ "ฤดูฝนแห่งการได้ตรัสรู้" ที่พึ่งได้ผ่านมาถึง ท่านทรงได้ใช้ศาสตร์แห่งการเป็นกสิกรชาวนา ที่ท่านทรงได้อบรมตนเองมาตลอดระยะเวลานานเป็นอสงไขย ลงมือเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ชื่อ "เมล็ดพันธุ์ข้าวแห่งพุทธะ" ลงในแปลงนาของท่าน โดยท่านทรงกล่าวว่า ในการทำนาเมื่อต้นฤดูฝนที่ผ่านมานั้น ท่านลงมือหว่านไถโดย

"ใช้ศรัทธาของเราเป็นพืช ใช้ความเพียรของเราเป็นฝน ใช้ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ ใช้หิริของเราเป็นงอนไถ ใช้ใจของเราเป็นเชือก ใช้สติของเราเป็นผาลและปฏัก ชาวนาอย่างเราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือ การกล่าวให้พลาดด้วยสัจจะ ความสงบเสงี่ยมของเรา เป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส ความเพียรของเรานำธุระไป เพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่หวนกลับมา ย่อมถึงสถานที่ที่บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก การหว่านและไถนานั้น เราหว่านไถแล้วอย่างนี้ การหว่านและไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

   (https://lh6.googleusercontent.com/-fRalB9yTOrs/UEkOKAGwvaI/AAAAAAAABIg/af4JEpNJKYY/w392-h383-p-no/wave+heart.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   24 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh6.googleusercontent.com/-291nSum66S8/UdB1JGHttMI/AAAAAAAA148/Pr0ZihNeyKA/w506-h316-o/photo.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 27 พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้แสดงธรรมอะไรเลย
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2014, 09:16:10 pm

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p180x540/1896782_495403253903054_53807944_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 27 พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้แสดงธรรมอะไรเลย

ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏมาในพระไตรปิฎก ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น สามารถแบ่งแยกแยะออกเป็นชนิดแห่งธรรมได้สองประเภท คือ ธรรมที่มีคุณลักษณะเป็นสังขตธาตุ ซึ่งคือธรรมธาตุที่มีลักษณะปรุงแต่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปโดยตัวมันเอง และธรรมที่มีคุณลักษณะเป็นอสังขตธาตุ ซึ่งคือธรรมธาตุที่มีลักษณะ ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันเองอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยความที่พระพุทธองค์มาตรัสรู้และประกาศธรรมใน "กลียุค" เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในยุคนี้ ล้วนเป็นผู้มืดบอดไร้ซึ่งความมีปัญญาอันแท้จริง จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระพุทธองค์ต้องตรัสธรรมอันเป็นสังขตธาตุ คือ ธรรมว่าด้วยความมีความเป็น ความเป็นตัวเป็นตน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง

 ถึงแม้ธรรมเหล่านี้จะไม่ใช่ธรรมที่เป็นเหตุให้พ้นจากกองทุกข์ได้ แต่ด้วยการที่พระพุทธองค์ทรงมีความเมตตากรุณา แก่หมู่สัตว์น้อยใหญ่ ผู้ที่ยังต้องจมปลักอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งตน และจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ โดยไม่อาจมีเหตุปัจจัยที่จะหลุดพ้นในยุคที่ พระพุทธองค์กำลังประกาศศาสนาได้เลย พระพุทธองค์จึงจำเป็น ต้องตรัสธรรมอันคือสังขตธาตุไว้ในทุกลักษณะ เพื่อความเหมาะสมแก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เข้ามารับธรรมนั้น

พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่อง การกระทำกรรมและการรับผลแห่งกรรม เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังไม่มีปัญญามากพอ ที่จะเรียนรู้ศึกษาถึงธรรมซึ่งคือความเป็นจริงตามธรรมชาติได้ รับธรรมเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อให้เห็นคุณและโทษ แห่งการที่ตนได้ยึดมั่นถือมั่นและได้กระทำกรรมต่างๆเหล่านั้นออกไป

พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเรื่องการรักษาศีล เพื่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พอจะมีปัญญา แยกแยะถึงเหตุและผลได้พิจารณาถึงสภาพจิตใจของตน และให้ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยเหล่านี้ ได้ปรับปรุงสภาพจิตใจของตนเอง ด้วยศรัทธาที่จะงดเว้นการปรุงแต่งจิตของตน ไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแห่งใจตน และเพื่อความสงบสุขในสังคมที่ตนเองได้ดำรงชีวิตอยู่

พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเรื่องการเจริญกรรมฐาน ก็เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่พอจะมีปัญญาและความเพียรที่จะพัฒนาตนเอง ให้ไปสู่หนทางหลุดพ้นได้อย่างแท้จริงในกาลข้างหน้า ท่านจึงทรงแนะนำบัณฑิตเหล่านี้ ให้รู้จักอุบายเพื่อทำจิตใจของตนให้สงบไม่ซัดส่ายไปในทิศทางอื่น ก็ด้วยความสงบซึ่งเกิดจากการทำกรรมฐานนี้ เป็นภาวะที่ปราศจากสิ่งที่เป็นอุปสรรคของใจ ซึ่งมันเป็นธรรมที่เข้ามาทำให้จิตใจขุ่นมัวไป ในภาวะสับสนต่างๆตามเหตุตามปัจจัยแห่งมัน เมื่อจิตมีความสงบชั่วคราว มันก็จะเป็นบาทฐานที่จะทำให้สามารถพิจารณาธรรมต่างๆ ได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้นกว่าเดิม

พระพุทธองค์ตรัสเรื่องธรรมอันคือธรรมชาติ ก็เพื่อให้เหล่าบัณฑิตที่มีปัญญามากพอแล้ว และมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้หลุดพ้นในชาตินี้หรือชาติต่อๆไปได้ เข้ามาทำความเข้าใจธรรมที่แท้จริง ซึ่งมันเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติที่นอกเหนือไปจากเหตุปัจจัย ที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องทนทุกข์ ไปเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้จบสิ้น

ก็ด้วยธรรมต่างๆเหล่านี้ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสมา และถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หาใช่ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสขึ้นมาเองก็หาไม่ และเป็นความจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งพระพุทธองค์ด้วยนั้น "ล้วนมิได้แสดงธรรมอะไรเลย" ท่านเพียงแต่ได้ตรัสสิ่งที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ โดยเนื้อหาของมันเองแห่งธรรมชาตินั้นอยู่อย่างนั้น ธรรมบางอย่างก็มีเหตุและปัจจัยด้วยอาศัย "การที่มีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้อยู่" เช่นนั้นเป็นแดนเกิดแห่งธรรมนั้นๆ ธรรมบางอย่างก็เป็นธรรมที่เป็นสภาพอยู่นอกเหนือเหตุและปัจจัย ด้วยการที่มันเป็นเนื้อหาของมันเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น โดยมิต้องอาศัยเหตุและปัจจัยใดๆเป็นแดนเกิดแห่งธรรมนั้น การตรัสธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงเป็นเพียงการหยิบยกธรรมซึ่งมีเหตุปัจจัย ให้ท่านได้ตรัสในขณะนั้นขึ้นมากล่าว ตามสภาพแห่งธรรมในขณะนั้น ตามความเป็นจริงตามเหตุตามปัจจัยแห่งมัน

ก็ด้วยความเป็นพุทธวิสัยแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมาโปรดบรรดาสรรพสัตว์โดยรอบบารมีแห่งตน ในเส้นทางแห่งการสั่งสมบารมีของความเป็นพุทธะ ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานนับไม่ถ้วนแห่งอสงไขย ตามธรรมธาตุแห่งคุณลักษณะในความเป็น พุทธะ ของแต่ละองค์นั้น การกระทำกุศลกรรมในทุกภพทุกชาตินั้น จึงเป็นไปในลักษณะ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้การกระทำดังกล่าวนั้น เป็นผลกรรมเพื่อมาแสดงเป็นกรรม "ตามวาระ" และให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ตรัสถึงกรรมและธรรมนั้น และเนื้อหากรรมทั้งหมดทุกภพทุกชาติที่ผ่านมา มันจะถูกกรองด้วยระบบกรรมวิสัยโดยตัวมันเอง

 เพื่อให้พระพุทธเจ้าองค์นั้นๆได้ตรัสเรื่องกรรมและธรรมต่างๆนั้น ได้ครบทั้งหมดในความเป็นธรรมธาตุแห่งธรรมนั้นๆโดยถ้วนทั่ว เพราะฉะนั้นในรอบบารมีแห่งการที่จะมีพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งลงมาตรัสแสดงธรรม เพื่อทำหน้าที่โปรดบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในรอบบารมีแห่งตน จึงเป็นการลงมาด้วยบารมีที่เป็นความเต็มพร้อมครบถ้วน แห่งเหตุและปัจจัยในทุกด้าน แห่งเนื้อหาลักษณะกรรมและลักษณะธรรมอย่างลงตัวไม่ขาดเกิน เพราะฉะนั้นเหตุและปัจจัยที่ทำไว้อย่างพร้อมเพรียง จึงเป็นเหตุและปัจจัยในทุกย่างก้าวที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ได้ทรงเสด็จดำเนินไปบนเส้นทางที่บริบูรณ์พร้อม เป็นความพร้อมอย่างลงตัวที่จะทำให้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้หยิบยกเหตุปัจจัยในกรรมและธรรมเหล่านี้ขึ้นมาตรัส จนครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง แห่งเนื้อหาในการโปรดบรรดาสรรพสัตว์ในรอบของตน เพราะฉะนั้นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสนั้น มันจึงเป็นเหตุปัจจัยที่พร้อมเพรียงและเรียงหน้ากันเข้ามา เพื่อเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ได้ทรงหยิบยกขึ้นมาตรัส จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายที่ทรงเสด็จปรินิพพานจากโลกนี้ไป

ธรรมมันจึงเป็นความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีหน้าที่เพียงเข้าไปหยิบธรรมเหล่านี้ ขึ้นมาตรัสสอนด้วยความรอบรู้แห่งตน เพื่อโปรดบรรดาสรรพสัตว์ตามเหตุและปัจจัยนั้นๆแต่เพียงเท่านั้น
   (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s526x296/1896856_495644553878924_491708500_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   25 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s350x350/12170_495009570609089_1094781227_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 28 ไม่มีอริยสัจ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 06:38:38 pm

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/p350x350/1979645_496003353843044_1771810560_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 28 ไม่มีอริยสัจ

ธรรมที่เป็นสภาพในความเป็นมันอันแท้จริงนั้น มันก็คือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนโดยตัวมันเอง ซึ่งหมายความถึงมันเป็นความว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น โดยสภาพตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นไปตามความหมายที่ตถาคตเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ซึ่งมีความหมายถึง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ธรรมทั้งหลายย่อมคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า โดยสภาพตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แต่การอธิบายธรรมให้แก่ปุถุชนผู้มืดบอด เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธรรมอันคือธรรมชาตินี้อย่างแท้จริง จึงเป็นการอธิบายเป็นไปในทางซึ่งการหักล้าง กับทิฐิเดิมของผู้ที่มืดบอดที่พวกเขาเหล่านั้นได้ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ ว่าทำไมธรรมซึ่งเป็นทิฐิเหล่านั้นจึงไม่ใช่ธรรมอันแท้จริง

 และเป็นการอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ตรงต่อสภาพธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง การอธิบายจึงเป็นไปในกระบวนการทำความกระจ่างชัดให้เกิดขึ้นว่า อะไรคือปัญหาที่คุณกำลังเผชิญหน้าอยู่ และสาเหตุแห่งปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด และอะไรคือหนทางแห่งการแก้ไขปัญหานั้น และท้ายที่สุด อะไรคือการแก้ไขปัญหาได้ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ การอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างตระหนักชัดแจ้ง ในกระบวนการทั้งหมด "ของความเข้าใจ" เพื่อมุ่งไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั้น มันคือความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ในหนทางที่จะพาพวกคุณ ไปสู่เส้นทางธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งมันเป็นเนื้อหาธรรมตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันเป็นไปตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว

 ธรรมอันคือเนื้อหาธรรมเพื่อทำความเข้าใจ และเพื่อให้เกิดความตระหนักอย่างชัดแจ้งรู้แจ้งนี้ ตถาคตเจ้าทรงตรัสเรียกว่า "ธรรมอันคืออริยสัจ" ซึ่งเป็นธรรมที่มีเนื้อหาอยู่ 4 อย่าง คือ ธรรมอันคือ ทุกข์ ธรรมอันคือ สมุทัย เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมอันคือ นิโรธ ความดับไปแห่งธรรมทั้งหลาย อันคือสภาพธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งหมายถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งคือความทุกข์ได้อย่างหมดจด ซึ่งเป็นการแก้ไขได้ด้วยความเป็นจริงที่มันเป็นไป ตามสภาพธรรมนั้นๆเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ ธรรมอันคือ มรรค หนทางที่เป็นความพ้นทุกข์ และดำเนินไปสู่ความเป็นเนื้อหาเดียวกัน ของธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง แต่ด้วยธรรมอันคืออริยสัจนี้ เป็นธรรมชาติที่จะต้องนำมา "พิจารณา" เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงและถูกต้อง เพื่อที่จะได้ดำเนินไปในทางนั้น ก็ด้วยการเข้าไปพิจารณาในธรรมเหล่านี้

 ที่ว่าด้วยอะไรเป็นอะไรตามเหตุปัจจัยของธรรมนั้น อันเป็น "เหตุผล" ที่ทำให้เราเชื่อและเข้าใจในเนื้อหานั้น ได้ตรงต่อความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง การพิจารณาดังกล่าวมันจึงเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาเป็น "จิต" เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะการเข้าไปพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านั้น เป็นจิตที่เกิดขึ้นในความเป็นไปแห่งการแสดงภาพลักษณ์ แห่งความเข้าใจในธรรมอันแท้จริงของตน ขึ้นมาอย่างชัดแจ้งในมโนภาพ ดังนั้นธรรมอริยสัจมันจึงเป็น "ปรากฏการณ์" ในการเกิดขึ้นในความเป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาแห่งธรรมอันคืออริยสัจทุกครั้ง ที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในการพิจารณาธรรมนี้

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็โดยสภาพแห่งธรรมอันคืออริยสัจ ที่เราได้พิจารณาและเกิดความเข้าใจในธรรมดังกล่าว มันจึงเป็นเพียงธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่งไปในการพิจารณา มันจึงยังไม่ใช่สภาพธรรมอันคือธรรมชาติอันแท้จริง ซึ่งมันคงมีแต่ความว่างเปล่าเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น เมื่อกล่าวตามสภาพความเป็นจริง ธรรมอันคืออริยสัจที่เกิดขึ้น มันจึงหาใช่ความหมายในความเป็นตัวเป็นตนไม่ ธรรมชาติแห่งธรรมที่แท้จริงมันย่อมมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมัน ตามสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จึงหามี "ธรรมอันคืออริยสัจ" นี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงไม่ จึงเสมือนว่า มันไม่เคยมีความปรุงแต่งธรรมอันคืออริยสัจนี้ เกิดขึ้นมาก่อนเลย มันคงมีแต่ธรรมชาติอันแท้จริง คงทำหน้าที่ ใน "ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่อย่างนั้น"

นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวตามความเป็นจริง ที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้ตอบคำถามต่อจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ ที่ได้ถามปัญหาธรรมต่อท่าน ในคราวที่ท่านได้เดินทางมาสู่แผ่นดินจีนที่เมืองกวางโจวใหม่ๆ และท่านได้รับการนิมนต์เข้าไปยังเมืองหลวง ก็จักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้องค์นี้ มีความศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก แต่ท่านก็ได้เอาแต่ทำบุญก่อสร้างวัดวาอาราม โดยมิได้ใส่ใจในการศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง ก็ในคราวนั้นจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ได้ถามปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า ธรรมอันคือ "อริยสัจ" คืออะไร ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อได้ตอบไปว่า "ไม่มี" คำตอบอันเป็นความจริงโดยสภาพแห่งธรรมมันเอง กลับทำให้จักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้เกิดความขุ่นเคืองพระทัย ก็ความเป็นจริงโดยสภาพแห่งธรรมอันคือธรรมชาติอันแท้จริงนั้น มันย่อมไม่มีความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ตามธรรมชาตินั้นมันย่อมเป็น ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น

 หามีธรรมใดๆหรือสิ่งใดๆจะเกิดขึ้นในความว่างเปล่าตามธรรมชาตินี้ ก็หาได้มีไม่ เพราะฉะนั้นการที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้ตอบจักรพรรดิเหลียงบู๊ตี้ไปว่า "ธรรมอริยสัจ" นั้น "ไม่มี" จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นความถูกต้องตามธรรมชาติว่า จะหาความมีตัวตนในธรรมอริยสัจนี้ไม่ได้แม้แต่น้อยเลย ธรรมอริยสัจนี้มันจึงเป็นความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ของมันอยู่อย่างนั้น หาเคยมีมันเกิดขึ้นไม่

   (http://cs307903.vk.me/v307903242/668b/Ne9uK90QZkQ.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   27 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://cs411517.vk.me/v411517607/44a1/eu3Lb7GwFgQ.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 29 เคลื่อนไหวดั่งสายลม
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 07:00:24 pm

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t1/p403x403/1234601_496354270474619_731664103_n.jpg?oh=de3a188d11005a65647eb399edbd1db7&oe=536D9F14&__gda__=1399863867_aee3be14c419bbe95df9c985805d3fbd)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 29 เคลื่อนไหวดั่งสายลม

ด้วยการที่เราสามารถทำความเข้าใจ ในความเป็นเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ในความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่อย่างนั้นได้อย่างตระหนักชัดแจ้ง โดยเป็นความเข้าใจอย่างถ้วนถี่ไม่มีความลังเลสงสัยอันใดเหลืออยู่ และสามารถซึมซาบกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน กับความเป็นธรรมชาตินั้นได้อย่างแนบสนิท ชนิดที่เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นธรรมชาติ โดยไม่อาจแยกเราและความเป็นธรรมชาติ ให้มีความแตกต่างออกเป็นสองสิ่งได้เลย ความเป็นเนื้อหาเดียวกันในความเป็นไปตามสภาพธรรมชาตินั้น มันจึงเป็น "ธรรมชาติ" ในความเป็นเช่นนั้นเองของมันอยู่อย่างนั้น อย่างคงที่ในสภาพแห่งธรรมชาตินั้น โดยไม่มีวันที่จะแปรผันไปเป็นอย่างอื่นในความหมายอื่นได้เลย

 การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันอยู่อย่างนั้นระหว่างเรากับธรรมชาตินั้น มันจึงเป็นความตั้งมั่นในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นความตั้งมั่นที่มีความหมายถึง มันทำให้เราได้กลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติโดยไม่มีความแตกต่าง ก็ธรรมชาติแห่งการตั้งมั่นอันคือธรรมชาติแห่งความกลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันแบบไม่มีความแตกต่าง อันทำให้เรา คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ เรา ชนิดที่เรียกว่าแยกกันไม่ออก เป็นไปในความแนบเนียนอยู่ในความกลมกลืนอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยขันธ์ทั้งห้าที่ถูกอุปมาไปแบบนั้นว่า นี่คือ กายเรา อันเป็นไปแห่งธาตุขันธ์ที่เราได้อาศัยอยู่อย่างนี้ และยังมีลมหายใจ ที่ขยันหายใจเข้าหายใจออกอยู่แบบนี้ อันว่านี่คือเรา คือชีวิตเรา และมันยังมีความเคลื่อนไหว สามารถกะพริบตา กระดุกกระดิกไปมาได้ ในท่ามกลางอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน นั่ง เดิน นอน

เมื่อเรายังต้องมีการไปและการมา ด้วยการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันด้วยขันธ์ธาตุเหล่านี้ ก็ด้วยความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นธรรมชาติที่มีความสงบนิ่ง สงบตามธรรมชาติของมันที่อยู่ภายในความเป็นไป อันปราศจากความเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆของมันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวไปมา มันก็เป็นเพียงการเคลื่อนไหวไปมาอยู่อย่างนั้น หามีผลหรือส่งผลกระทบอันจะทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ธรรมชาติอันคือสภาพความสงบนิ่งที่แท้จริง ซึ่งปราศจากความเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆ มันจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของมันตามธรรมชาตินั้นไปเป็นอย่างอื่น เพราะความเป็นธรรมชาติมันก็คือ สภาพความเป็นของมัน อยู่อย่างนั้นเองอยู่แล้ว ไม่สามารถมีใครหรือสิ่งใดๆเข้ามาทำ ให้ความเป็นธรรมชาติแห่งสภาพตัวมันเอง เปลี่ยนไปเป็นอื่นๆได้เลย

ด้วยเหตุผลความเป็นจริงเหล่านี้ การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะ และต้องเคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆนี้ มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวไปในความสงบอย่างแท้จริง เป็นความสงบ ซึ่งปราศจากการเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆภายในธรรมชาติ มันจึงเป็นความสงบนิ่งอย่างแท้จริง มันเป็นความสงบนิ่ง แต่เคลื่อนไหวได้ เคลื่อนไหวไปดุจดั่ง "สายลม" ที่พลิ้วไหวและแผ่ซ่าน ด้วยความสงบนิ่งแผ่วเบา ในทั่วทุกหนแห่ง

   (http://media-cache-ec0.pinimg.com/736x/2d/cb/cb/2dcbcbf809def4120e226662cd460c37.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   28 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://media-cache-ec0.pinimg.com/originals/ea/d3/e1/ead3e1c9694a7db69c284844b5379a82.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 30 ธรรมชาติจำลอง
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 07:12:40 pm

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p417x417/1660318_496530407123672_745415238_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 30 ธรรมชาติจำลอง

ก็ด้วยที่มันเป็นธรรมชาติ ที่ปราศจากความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันเองอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติของมันเองอยู่แล้ว มันจึงมิใช่เป็นธรรมชาติที่มีความหมายถึง ความเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง เมื่อพวกคุณไม่เข้าใจในความหมายของธรรมชาติ ตามความเป็นจริงโดยสภาพของมันเอง ด้วยอวิชชาความไม่รู้ของพวกคุณเอง อาจพาคุณคิดไปว่า ธรรมชาตินี้มันต้องเป็นสิ่งสิ่งหนึ่งหรือภาวะหนึ่ง ที่มันประกอบไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ อันทำให้ธรรมชาตินี้มีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น ด้วยความเข้าใจผิดว่า ธรรมชาติมันคือสิ่งสิ่งหนึ่งภาวะหนึ่ง และด้วยความคาดคะเนเข้าใจผิดของคุณเอง

 พวกคุณจึงเอามืออันอยู่ไม่สุขของพวกคุณเอง เข้าไปยุ่งย่ามเข้าไปเป็นส่วนเกิน ในความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ด้วยการฆาตกรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ ให้ตายสูญหายสูญสลายไป จากธรรมธาตุแห่งความเข้าใจในความเป็นจริง ที่อาจจะมีอยู่ในความเป็นตัวเป็นตนของพวกคุณเอง พวกคุณได้กระทำตนเป็นฆาตกร ลงมือฆ่าความเป็นจริงของพวกคุณเองด้วยความเข้าใจหลงผิด และพวกคุณก็ได้ฆาตกรรมธรรมชาติ ด้วยวิธีการลงมือผ่ามันออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาความเป็นไปในสภาพมัน ตามความเข้าใจผิดของพวกคุณ

 ด้วยที่พวกคุณคิดว่า มันจะต้องมีหลายๆสิ่งอันคือธรรมทั้งหลาย เข้ามาประกอบกันเพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้ธรรมชาตินี้มันเกิดขึ้น ก็ด้วยกำลังหรือจำนวนปริมาณแห่งธรรมอันประกอบเข้ากันนี่เอง ที่มันจะต้องมีจำนวนมากพอจนเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ธรรมชาตินี้ มันเป็นธรรมชาติที่เด่นชัดเจนยิ่งขึ้นจนถึงขนาดที่พวกคุณ มีความพึงพอใจแล้วว่า การเกิดขึ้นแห่งธรรมชาติตามวิธีการที่พวกคุณเข้าใจนี้ มันคือ "ธรรมชาติที่แท้จริง" แต่ด้วยความเป็นจริงตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็คือธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมธาตุแห่งคุณลักษณะ ในความเป็นของมันเองมาอยู่อย่างนั้น "อยู่แล้ว" มันคือความเป็น "อยู่แล้ว" โดยไม่สามารถหาจุดเริ่มต้นและจุดจบแห่งมันได้ และมันก็มิใช่ภาวะที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เพราะธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่แบบนั้น "ในความเป็นธรรมชาติมันเอง" มันจึงมิใช่ภาวะโดยที่ใครจะสามารถ เอาความเป็นตัวตนของตัวเองเข้าไปอยู่ปะปนกับมันได้

เพราะในความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงนั้น มันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าที่แท้จริง ไม่สามารถมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือภาวะใดภาวะหนึ่ง แทรกตัวเข้าไปอยู่รวมกับธรรมชาตินี้ได้เลย มันจึงไม่มีอะไรกับอะไรทั้งนั้น มันจึงไม่ใช่อะไรกับอะไรทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติของมันแบบสมบูรณ์พร้อมโดยตัวมันเองอยู่แล้ว มันจึงมิใช่เกิดจากสิ่งใดๆเข้ามารวมกัน และเป็นเหตุปัจจัยทำให้ความเป็นธรรมชาตินี้เกิดขึ้นมาได้

เมื่อมันเป็นธรรมชาติแบบนี้ของมันมาเองตั้งแต่ต้น ความเข้าใจผิดของพวกคุณและการปรุงแต่งไป ในการศึกษาพิจารณาเพื่อแยกแยะว่า อะไรเป็นอะไร ตามความเข้าใจผิดของคุณ มันจึงเป็นการจำลองธรรมชาติขึ้นมา มันจึงเป็นเพียงการทำให้ธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว กลายเป็นธรรมชาติที่เป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมา มันจึงหาใช่ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ มันจึงเป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งไป ในความที่จะทำให้ธรรมชาติมันเกิดขึ้น เป็นภาวะตามความต้องการ ซึ่งเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ของพวกคุณเองแต่เพียงเท่านั้น

   (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p403x403/1796540_496360753807304_1378983221_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   28 กุมภาพันธ์ 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s526x395/1511007_496356673807712_1057100289_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 31 ต้นธาตุต้นธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 01, 2014, 10:51:30 pm

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p403x403/1656433_496969670413079_588484783_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 31 ต้นธาตุต้นธรรม

ก็ด้วยธรรมธาตุซึ่งมีลักษณะปรุงแต่งนั้น โดยความหมายแห่งความเป็นสังขตธาตุหรือธรรมธาตุปรุงแต่ง มันคือปรากฏการณ์แห่งภาวะธรรมทั้งหลาย ที่มัน "เกิดขึ้น" และ "ตั้งอยู่" ในความเป็นตัวเป็นตน ก็ด้วยความเป็นจริงในการทำความเข้าใจ เพื่อศึกษาธรรมทั้งหลายเพื่อเป็นไปในความหลุดพ้นนั้น มันอาจเกิดสภาพการปรุงแต่งได้ในสามลักษณะ คือ ลักษณะปรุงแต่งไปด้วยสภาพความเป็นเนื้อหา แห่งการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยแห่งการสั่งสมอนุสัย ซึ่งเป็นการปรุงแต่งออกมาจากใจที่ยังถูกหุ้มไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตามนิสัยสันดานเดิมๆแห่งตนนั้น คือการปรุงแต่งไปในความเป็นทุกข์ ที่ตนยังมีอยู่อย่างเต็มหัวใจอยู่อย่างนั้น

(https://lh3.googleusercontent.com/-tTT1ThhRG5o/UxEgRIERmGI/AAAAAAAA5kE/Oa3xZBLh4LM/w533-h354/28+-+1)

คือ ลักษณะปรุงแต่งไปในการพิจารณาธรรมต่างๆว่า
อะไรเป็นอะไร อะไรคืออะไร
ในกระบวนการ แก้ไขปัญหา ให้กับตนเอง
และลักษณะการปรุงแต่งไป
ในการยึด จับ ฉวย ความหมายในธรรมเหล่านั้น
ซึ่งมันเป็นภาวะธรรมที่ทำให้เราเข้าใจ
ในเหตุปัจจัยแห่งกระบวนการมัน ในการแก้ไขปัญหานั้น
จึงเป็นการ ปรุงแต่งไปในภาวะ ให้เกิดขึ้น

(https://lh4.googleusercontent.com/-wcPrSqxp1vg/UxETQzVLmNI/AAAAAAAA5hM/X9fu0NYKKNQ/w233-h230/28+-+1)

คือ ลักษณะปรุงแต่งไป ในการเข้าไปตรวจสอบวินิจฉัยในภาวะธรรมต่างๆ ซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจ ในความหมายแห่งธรรมชาติตามความเป็นจริง ว่าแท้จริงธรรมชาติคือความว่างเปล่า แบบเสร็จสรรพอยู่แล้วโดยสภาพมันเองตามธรรมชาติของมัน เมื่อไม่เข้าใจ จึงทำให้นักปฏิบัติทั้งหลายเกิดพฤติกรรมทางจิต เข้าไปตรวจสอบภาวะจิตใจของตนว่า จิตของตนอยู่ในลักษณะไหนแล้วในขั้นตอนแห่งการปฏิบัติ และจะได้ทำการแก้ไขตนเองต่อไป แต่ในความเป็นจริงตามธรรมชาติของมัน มันคือความเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันเป็นเนื้อหาความเป็นจริงที่อยู่นอกเหนือภาวะ แห่งปรากฏการณ์ความใช่หรือไม่ใช่ ความถูกหรือความผิด การตั้งเป้าหมายในการปฏิบัติ การเข้าไปตรวจสอบจิตของตน ซึ่งคิดว่าตรงนั้นคือผลของการปฏิบัติ มันจึงล้วนเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาด้วยเหตุและปัจจัยนี้ในลักษณะหนึ่ง

 แท้ที่จริงแล้วด้วยธรรมชาติอันแท้จริง ซึ่งคือธรรมชาติตามความเป็นจริงของมันนั้น มันเป็นธรรมที่เป็นความเป็นจริงถูกต้องโดยเนื้อหาของมัน มาตั้งแต่แรกเริ่ม แรกเริ่มในความเป็นต้นธาตุต้นธรรม ตามสภาพของมันมาแบบนี้อยู่แล้ว ด้วยตัวมันเองสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น นี่คือธรรมที่เป็นความจริง และเป็นธรรมชาติที่ดำรงเนื้อหาของมันตามธรรมชาติอยู่แบบนี้เรื่อยมา จึงกล่าวได้ว่าความเป็นเราเองนี่แหละก็คือความเป็นธรรมชาตินั้น เราเองเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นธรรมชาตินั้นมาตั้งแต่ต้น กล่าวได้ว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ทุกสรรพสิ่งแห่งอนันตจักรวาลอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ทุกๆสรรพสิ่งแม้แต่ความเป็นอณูธรรมธาตุเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนแต่มีความหมาย แห่งความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันจึงเป็นความจริงที่ว่า ทุกสรรพสิ่งทั้งมวลก็คือความเป็นต้นธาตุต้นธรรม คือความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงนั่นเอง เราไม่อาจแยกตัวออกมาจากความเป็นธรรมชาตินี้ได้เลย แม้แต่เพียงขณะหนึ่ง

(https://lh6.googleusercontent.com/-spiTLGiV6yk/Uv9kMtBMr3I/AAAAAAAA3Sw/aupWWqp5ai4/w533-h297/15+-+1)

ตถาคตเจ้าจึงทรงตรัสว่า ให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเป็นผู้มืดบอดด้วยอนุสัยแห่งตน และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังมืดบอดไม่เข้าใจในความเป็นจริง แห่งธรรมชาติที่แท้จริง และยังมีความโง่เขลาที่จะเข้าไปปฏิบัติ เพื่อให้สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ให้เป็นภาวะธรรมเกิดขึ้น ตามความต้องการตามความไม่เข้าใจแห่งตน ให้สลัดทิ้งซึ่ง "ภาวะ" ธรรมอันคือการปรุงแต่งเหล่านี้ไปเสีย โดยตถาคตทรงตรัสชี้ถึง "ความมีอยู่" ของธรรมชาติอันแท้จริงนี้ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติแห่งตัวมันเอง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติแบบนี้ของมันมาตั้งแต่ต้น ซึ่งมันเป็นความดั้งเดิมแท้ของมันเองมาก่อนอยู่แล้ว อันคือต้นธาตุต้นธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่มีเนื้อหาตามความเป็นจริงของมัน ตามธรรมชาติอยู่แล้ว และทรงตรัสให้เราทั้งหลาย จงลืมตาตื่นขึ้นต่อความเป็นจริงที่มีอยู่แล้วของธรรมชาตินี้ เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจตระหนักอย่างชัดแจ้ง ในความเป็นธรรมชาตินั้น ของมันที่มีอยู่ก่อนแล้วอยู่อย่างนั้น และกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้นได้

   (https://lh3.googleusercontent.com/-C6iyIRjBoaQ/UxHORcWQQHI/AAAAAAAA5w0/dqIZ531zm98/w333-h520/1%2B-%2B1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   1 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh5.googleusercontent.com/-eAInLAHqBRc/UxHOH1OUHPI/AAAAAAAA5wc/QfIx13lG8L4/w533-h377/1+-+1)
หัวข้อ: Re: บทที่ 32 จิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 03, 2014, 08:52:35 pm

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s526x395/1662679_497487367027976_1523214216_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 32 จิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนนี้ มันเป็นความว่างเปล่าตามธรรมชาติของมันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าพวกคุณไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของธรรมชาติเหล่านี้ และพวกคุณมีความพยายามดิ้นรนจะหลุดออกจากทิฐิเดิมของคุณ แต่พวกคุณกลับไม่เข้าใจทิฐิตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ อันคือสัมมาทิฐินี้ ด้วยความไม่รู้ต่อความเป็นจริง และด้วย "ความดิ้นรน" ที่โดยเนื้อหามันเอง ก็คือ ตัณหา อุปาทาน ความอยากที่จะเป็นพุทธะขึ้นมาตามที่คุณต้องการ ด้วยความไม่รู้นั้นมันจึงพาให้คุณแสวงหาพุทธะในหนทางอื่นๆ อันเป็นหนทางที่มิใช่ทางธรรมชาติ

 แต่ความพยายามดิ้นรนด้วยวิธีที่พวกคุณเห็นว่ามันน่าจะใช่ และพวกคุณก็ได้ปักใจไปแล้วว่านี่คือหนทางอันคือวิธีที่แท้จริง ที่จะทำให้ความเป็นพุทธะมันเกิดขึ้นตามที่คุณคิดคาดหวัง คุณจึงได้รีบลงมือปฏิบัติ และเรียกมันอย่างสวยหรูว่า "ความเพียรพยายาม" อย่างแรงกล้า ด้วยหัวใจแห่งพุทธะอันจอมปลอมของคุณเอง และพวกคุณก็เฝ้าติดตามผลแห่งการที่คุณได้ปฏิบัติธรรมไป ว่าสิ่งที่คุณลงแรงไปนั้นมันให้ผลกลับมามากน้อยแค่ไหน ก็ด้วยการปฏิบัติธรรมที่คุณเห็นว่า "มันมีสิ่งสิ่งนี้อยู่" และสิ่งที่คุณเห็นว่ามีนั้น "ความมีนั้นมันไม่เที่ยงดับไป" และความดับไปสิ้นไปในแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่คุณทำได้นั้นปฏิบัติได้นั้น มันกลายเป็นความว่างเปล่าขึ้นมาตามที่คุณรู้สึกได้ หรือตามที่คุณคาดการณ์ไป

 ด้วยการที่พวกคุณได้ชั่งความมีความเป็นแห่งมันในใจแล้วว่า คุณได้ปฏิบัติโดยเอาความมีความเป็นแห่งมันออกไปเรื่อยๆ ตามที่คุณได้ทำความเพียรไป และด้วยผลแห่งการปฏิบัติที่พวกคุณคิดว่าใช่ และมันเป็นผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริงที่ทำให้ ความมีตัวมีตนของพวกคุณเบาบางลงไป โดยที่พวกคุณได้ตรึงผลแห่งการปฏิบัติของคุณ ไว้กับความว่างเปล่า ตามที่คุณได้ชั่งมันไว้อยู่ทุกขณะ และคุณก็ภูมิใจในความว่างเปล่านั้น

แต่ความเป็นจริงตามธรรมชาติ ความว่างเปล่าอันแท้จริง มันเกิดจากความเข้าใจในความหมายแห่งธรรมชาติ ว่าแท้ที่จริงธรรมชาติมันคือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ความว่างเปล่าที่พวกคุณภาคภูมิใจว่า มันคือการปฏิบัติธรรมของพวกคุณเอง แท้ที่จริงมันคือความว่างเปล่าจากการคาดคะเนของพวกคุณเองเท่านั้น มันเป็นความว่างเปล่าตามจิตนาการของพวกคุณเองแต่เพียงเท่านั้น มันมิใช่ความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ตามสภาพที่แท้จริงของมันแต่อย่างใด มันจึงเป็นเพียง "ความว่างเปล่าตามความรู้สึก" มันเป็นเพียงความว่างเปล่าที่เป็นภาวะปรุงแต่งเกิดเป็นจิตขึ้นมา มันเป็นจิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า มันมิใช่ความว่างเปล่าตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นความว่างเปล่าที่แท้จริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แต่อย่างใดเลย

   (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/s851x315/1898188_488736601232709_2128182480_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   2 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p526x296/1620590_498417396931296_1987417261_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 33 ค้นหาตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 03, 2014, 09:21:06 pm

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p526x296/1656273_497362103707169_1050155802_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 33 ค้นหาตัวเอง

ทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏเป็นภาวะในสามภพ และรวมทั้งความเป็นสามภพของตัวมันเองนั้นด้วย ล้วนเกิดจากต้นตอแห่งจิต แต่แท้จริงแล้วจิตย่อมไม่มี ทุกสรรพสิ่งนั้นคือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น ดังนั้นพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายย่อมสอนธรรมด้วย "จิตสู่จิต" ด้วยความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงปราศจากรูปแบบและวิธีใดๆ

"ถ้าไม่ใช่รูปแบบตายตัวแล้ว ความเป็นพระพุทธเจ้าเหล่านั้นจะใช้จิตด้วยวิธีใดๆ" "ก็สิ่งที่ท่านถามมานั่นเอง นั่นแหละคือจิตของท่าน" "และสิ่งที่ฉันตอบท่านไปก็คือจิตของฉัน" "ถ้าฉันไม่คิดแล้วฉันจะตอบได้อย่างไร" "ถ้าท่านไม่คิดแล้วท่านจะถามได้อย่างไร" "สิ่งที่ท่านถามก็คือความคิด ก็คือจิตของท่าน" อันเป็นความจริงตามธรรมชาติแล้ว จิตย่อมไม่ใช่จิต จิตท่านย่อมหาความเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงของมันนั้นหามีไม่

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นกัปเป็นกัลป์ ท่านจะทำสิ่งใดก็ตามจะอยู่ในภพไหนก็ตาม สิ่งนั้นก็คือจิตของท่าน และจิตนั้นก็ไม่แตกต่างไปเลยจากความเป็นพุทธะ ท่านกล่าวไว้ว่า ก็นอกเหนือจากจิตของท่านนี้แล้ว ท่านจะค้นพบพระพุทธเจ้าจากที่อื่นไม่มีเลย จิตของท่านนั่นเองคือความเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อท่านรู้ว่าจิตมันย่อมไม่ใช่จิต เมื่อท่านรู้ว่าจิตแท้จริงมันคือธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า การแสวงหาโพธินอกไปจากธรรมชาตินี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ การไม่ปรากฏขึ้นด้วยความเป็นจิตตามความเป็นจริงแห่งท่าน มันก็คือธรรมชาติในความเป็นท่านเอง เป็นธรรมชาติแห่งความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างท่านกับธรรมชาตินั้น ในความหมายแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความเป็นธรรมชาตินั้นมันมีอยู่แล้วเองในจิตของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะไม่สามารถค้นพบความเป็นพุทธะ จากที่อื่นได้เลยนอกจากจิตของท่าน (จิตที่ไม่ใช่จิตและจิตนี้คือความเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว)

การพยายามค้นหาพุทธะภาวะให้แก่ตนเอง หรือการพยายามหาทางเพื่อบรรลุธรรม มันก็เหมือนพยายามจับฉวยเอาอากาศนั้น ให้มันเกิดเป็นสิ่งสิ่งหนึ่งขึ้นและยึดฉวยมันเอาเข้ามาไว้ในมือได้แล้ว แต่สภาพความเป็นจริง อากาศก็คือความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น ท่านไม่สามารถจับฉวยเอาอะไรขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนได้เลย ก็มันเป็นอากาศที่มันว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จะต้องดำริริเริ่มเพื่อให้มันเกิดอะไรขึ้นมาอีก ก็พระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติของท่าน แล้วท่านจะค้นหาความเป็นพระพุทธเจ้าจากที่อื่นทำไม

 ก็ท่านนั่นแหละคือพุทธะ พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต ล้วนกล่าวถึงความเป็นธรรมชาตินี้เท่านั้น ดังนั้นธรรมชาติก็คือพุทธะ พุทธะก็คือธรรมชาตินั่นเอง นอกเหนือจากธรรมชาตินี้แล้วย่อมไม่ใช่พุทธะ และพุทธะนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากธรรมชาติ ถ้าท่านคิดว่าพุทธะมีอยู่ที่อื่นนอกเหนือธรรมชาตินี้แล้ว พระพุทธเจ้าที่แท้จริงอยู่ที่ไหนกัน ดังนั้นจึงไม่มีพระพุทธเจ้านอกไปจากธรรมชาติที่แท้จริงนี้ได้เลย ทำไมเมื่อพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าเรานี้แล้วทำไมไม่มองท่าน จ้องมองดูสิเมื่อกล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่อยู่ต่อหน้าทุกขณะ

 ตราบใดที่ยังหลอกตัวเองด้วยการหันหลังให้กับความจริง ด้วยการสอดส่องสายตาจ้องไปที่อื่น ท่านก็จะไม่รู้จักความเป็นพุทธะ ซึ่งมันคือความเป็นท่านเองตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ตราบใดที่ท่านยังหลงเพลิดเพลินไปกับการปรากฏแห่งรูป ซึ่งความเป็นจริงมันย่อมไร้ความมีชีวิต ท่านก็ยังไม่มีความเป็นอิสระ เพราะความยึดมั่นถือมั่นในปรากฏการณ์แห่งรูปที่เกิดขึ้นนั้น เมื่อท่านได้ตระหนักชัดอย่างแท้จริงว่า มันไม่เคยมีรูปเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างแท้จริงเลย และรูปมันก็เป็นรูปที่มีความหมายถึงความเป็นธรรมชาติของท่านเอง ท่านก็เป็นอิสระแล้วเดี๋ยวนั้น ถ้าหากท่านใช้จิตซึ่งคือปรากฏการณ์แห่งภาวะใช้มันหาพุทธะ ท่านก็จะไม่เห็นพุทธะเลย แต่ถ้าท่านเข้าใจแล้วว่า จิตไม่ใช่จิต แล้วจิตนี้คือพุทธะ ท่านก็คือพุทธะนั้นแล้วโดยไม่ต้องหา

อย่าใช้ความเป็นท่านอันคือธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้าเลย เมื่อท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งย่อมรู้จักความเป็นตัวท่านดี ในความเป็นธรรมชาตินั้น ธรรมชาติก็ย่อมทำให้ท่านไม่หลงเข้าไปยึดบูชาสิ่งอื่นใดได้อีกเลย แม้แต่สิ่งสิ่งนั้นคือรูปปั้นของพระพุทธเจ้า อย่าใช้จิตซึ่งเป็นภาวะแห่งตนปลุกความเป็นพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้น ตามความต้องการของท่านเลย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ถึงพร้อม ย่อมไม่มานั่งสวดมนต์

 พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความเป็นปกติในจิตอันคือพุทธะนั้น ความเป็นปกตินั้นทำให้ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาศีล เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกตนเองดีแล้ว เป็นธรรมชาติแห่งการดำรงชีวิตอยู่ตามกรอบศีลธรรมอันดี ความมีวินัยแห่งตนเองมานานแล้วนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ต้องรักษาวินัยใดๆให้เคร่งครัด และเมื่อไม่ต้องรักษาจึงไม่มีการละเมิดวินัยแต่อย่างใดอีกด้วย ความเป็นพระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติแห่งตัวเราเองนั้น มันคือธรรมชาติที่มีความเป็นกลางปราศจากภาวะแห่งความชั่ว ไม่เคลื่อนไหวไปตามจิตลักษณะต่างๆ เพราะฉะนั้นความเป็นพระพุทธเจ้าของคุณเอง จึงไม่ต้องมุ่งที่จะกระทำความดีหรือไต่ไปตามเส้นทางแห่งความชั่ว

การค้นหาพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการค้นหาที่แท้จริงนั้น คือการทำความรู้จักและทำความเข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติของตนเองแต่เพียงเท่านั้น ใครก็ตามที่สามารถเห็นตนเองได้ตามความเป็นจริงตามธรรมชาติแล้ว บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นพุทธะที่แท้จริงแล้วเช่นกัน ถ้ายังไม่เห็นตนเอง ถ้ายังไม่เห็นความเป็นธรรมชาติ และมัวแต่หันไปท่องพระสูตร การบำเพ็ญทานและการรักษาศีล ด้วยจุดประสงค์ว่าสิ่งเหล่านี้ คือส่วนประกอบที่สำคัญแห่งความเป็นพุทธะ การคิดได้เพียงเท่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไร้สาระ การกระทำในสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการปลุกภาวะจิตของตนให้เกิดขึ้นมา มันเป็นเพียงกุศลกรรมที่อยู่นอกขอบวงแห่งพุทธะที่แท้จริง

 การท่องจำพระสูตรมันมีผลเพียงแค่ทำให้เรามีความจำดีขึ้น การรักษาศีลเป็นเพียงเรื่องศิลปะในการปรุงแต่ง ให้จิตดำเนินไปบนพื้นฐานแห่งความรู้สึกที่เป็นสุขแต่เพียงเท่านั้น และมันก็จะพาให้เราไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น การบำเพ็ญทานก็มีผลให้เรามีความสุข ในการที่เราได้กระทำการบริจาคไปแบบนั้น แต่สิ่งทั้งหลายนี้ไม่ส่งผลต่อความเป็นพุทธะเลย แต่สิ่งทั้งหลายนี้ล้วนมิใช่ความเป็นพุทธะเลย ถ้าท่านไม่มีปัญญาที่จะทำความเข้าใจในคำสอนอันเป็นธรรมชาตินี้ ท่านก็ต้องเสาะแสวงหาบัณฑิตซึ่งเขาคนนั้น สามารถชี้ทางให้คุณเดินไปยังหนทางอันคือธรรมชาตินั้นได้

 บัณฑิตเหล่านี้ล้วนรู้จักความหมายแห่งคำว่าชีวิตและความตายที่แท้จริง เพราะเขาเหล่านี้ล้วนมีความเข้าใจ ในความหมายแห่งธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง มีความรู้แจ้งแทงตลอดในความเป็นธรรมธาตุต่างๆ ผู้ที่ไม่เห็นธรรมชาติแห่งตนย่อมเป็นครูสอนคนอื่นไม่ได้ ถึงแม้ว่าครูคนนั้นอาจเป็นครูบาอาจารย์ที่เก่ง สามารถท่องพระสูตรและจดจำเนื้อหาธรรมในพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่เข้าใจความหมาย และไม่รู้จริงเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติเลย พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างไปจากท่าน

 ซึ่งเขาเหล่านี้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสามภพ และยังไม่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ออกจากตัวเขาเองได้เลย ก็นานมาแล้วมีพระอาจารย์รูปหนึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในจีนตอนใต้นี้ ท่านสามารถท่องจดจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แต่ท่านก็ท่องจำเพื่อเป็นเหตุให้ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดแค่เพียงเท่านั้น เพราะการท่องมิได้ทำให้เราเข้าใจ ในความหมายแห่งธรรมชาติที่แท้จริงของตนได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความหลงงมงายโดยเชื่อกันว่า การท่องจำได้ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้ตนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และการท่องจำนั้นตนเองก็เหมารวมไปว่า เป็นการท่องเพื่อเรียนรู้ธรรมะ ความจริงการท่องพระสูตรมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการทำความเข้าใจอย่างแท้จริงในธรรมอันคือธรรมชาตินั้นเลย

การค้นพบพระพุทธเจ้า คือ การค้นพบตนเอง เพราะธรรมชาติแห่งตนเองนี่แหละคือธรรมชาติแห่งพุทธะ การค้นหาตัวเองเจอจึงมิได้มีความเกี่ยวพันกับพิธีกรรมใดๆ ธรรมชาติโดยความเป็นจริงโดยเนื้อหามันแล้ว เป็นธรรมชาติแห่งความเป็นอิสระทั้งปวง มันเป็นอิสระนอกเหนือจากเหตุปัจจัยใดๆ รวมทั้งเหตุปัจจัยแห่งพิธีกรรมนั้นด้วย ที่พวกคุณคิดว่ามันเป็นเหตุที่ทำให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้น

ถ้าท่านยังไม่มองตนเองและไม่รู้เลยว่า ตนเองนั่นแหละคือธรรมชาติแห่งพุทธะ และยังตั้งจิตเป็นภาวะสัดส่ายมองหาแต่สิ่งภายนอก ก็ในเมื่อสัจธรรมมีอยู่แล้วในตัวพวกท่านเอง พวกท่านไม่เคยมีความห่างออกไปจากสัจธรรมนี้ แม้แต่เพียงชั่วครู่ขณะหนึ่งได้เลย การมองหาในหนทางอื่นจึงเป็นวิธีที่ผิดและหลงทางไป ก็ในเมื่อท่านคือความเป็นธรรมชาตินั้น การค้นหาจึงไม่จำเป็น แต่การจะเข้าถึงธรรมชาตินั้นให้ได้ ก็เป็นเพียงแต่ท่านต้องใช้ปัญญา อันคือการพิจารณาเพื่อให้เข้าถึง ความหมายที่แท้จริงของความเป็นธรรมชาตินั้น

 มันจึงเป็นความเพียรพยายามที่จะทำให้ท่านได้เข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้นแต่อย่างเดียว โดยไม่หันเหไปในทางความหมายอื่น ก็ในเมื่อชีวิตและความตายที่รอท่านอยู่เบื้องหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่ท่านดำรงอยู่กับความเป็นชีวิตนั้น และกำลังดำเนินไปบนเส้นทางแห่งกาลเวลา ที่จำกัดให้ท่านได้ใช้ขันธ์ธาตุแต่เพียงเท่าที่ท่านได้ทำกรรมมา ก็ในเมื่อความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้ ท่านก็อย่าได้ทำแต่เรื่องไร้สาระอันคือความทุกข์นั้นอีกเลย การหลอกลวงตนเองไปวันๆ มันไม่ได้ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเลย

 ความก้าวหน้านี้หมายถึง การที่ท่านได้ใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาตินั้น ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง ความสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนาของท่าน มันจึงเป็นเพียงความฝันหรือภาพลวงตา ที่ท่านเองพยายามสร้างมันขึ้นมา แต่ถ้าท่านไหวตัวทันและได้พบกับความเป็นจริงที่แท้จริงแล้ว ท่านก็จะพบกับหนทางที่สว่างไสว และก็ขอให้ท่านรีบเดินไปตามเส้นทางนั้นอย่ารั้งรอ ถ้าไม่สามารถเรียนรู้ความเป็นตนเองในธรรมชาตินั้น ก็ขอให้ท่านรีบแสวงหาบัณฑิต ซึ่งเขาสามารถเป็นครูสอนท่านในทางธรรมชาติได้อย่างแท้จริง ก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสอนตนเองได้โดยไม่อาศัยคนอื่น หากบุคคลคนนั้นเข้าใจว่าธรรมชาตินั้น คือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน แบบเสร็จสรรพเด็ดขาดอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น ก็ถือได้ว่าบุคคลเช่นนี้มีบุญบารมีมาตั้งแต่เกิด เมื่อสามารถเรียนรู้สิ่งใดก็สามารถเข้าใจ เหตุและปัจจัยของสิ่งสิ่งนั้นได้อย่างทั่วถึงและลึกซึ้ง บุคคลเหล่านี้เป็นผู้มีบุญปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย

ส่วนคนที่ไม่เข้าใจธรรมอย่างถ่องแท้ และกลับคิดไปเองแต่ฝ่ายเดียวว่า ตนเองมีความเข้าใจดีแล้ว โดยปราศจากการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง และปราศจากการปฏิบัติตามธรรมชาติที่ถูกต้อง คนหลงทางไปเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถแยกแยะเหตุปัจจัยได้ตามความเป็นจริง พวกเขาเหล่านี้ย่อมไม่สามารถแยกแยะออกได้ระหว่างดำกับขาว เขาย่อมมองเห็น อสัจธรรมเป็นสัจธรรม เขาย่อมเข้าใจความเป็นพุทธะแบบผิดๆและกล่าวออกมาเช่นนั้น จึงเป็นการดูหมิ่นดูแคลนความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง และเป็นการลบล้างความหมายอันเป็นความจริงแห่งธรรมนั้นไป

ความเป็นจริงพวกเขาเหล่านี้เป็นมาร พวกเขามองเห็นว่าพุทธะมิใช่พุทธะ ธรรมชาติมิได้สอนอะไรพวกเขาเลย ครูของเขาคือพญามารที่เข้ามาครอบงำจิตใจให้เขา มองไม่เห็นความเป็นธรรมชาติ และพาพวกเขาไปเส้นทางอื่นซึ่งเป็นวิธีการแบบผิดๆ ที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นวิธีการอันเหมาะสม ที่จะทำให้ธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้ พวกเขาเหล่านี้รวมทั้งคนอื่นๆที่หลงงมงายปฏิบัติตามคำสอน ย่อมพากันไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาเหล่านี้จะเรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธได้อย่างไรกัน เมื่อพวกเขายังหลอกตนเองและคนอื่น ให้ก้าวไปสู่ภพภูมิแห่งมารอันคือพุทธะที่ทำให้ต้องไปเกิด

ก็ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ก็หมายความถึงผู้ที่สามารถเข้าใจ ในความเป็นธรรมอันคือธรรมชาติได้อย่างแท้จริง หมดแล้วซึ่งความลังเลสงสัยในความหมายแห่งธรรมนั้นๆ และเมื่อสามารถดำรงอยู่กับความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง ได้อย่างมีความสุข ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าได้เห็นความเป็นพระพุทธเจ้าแห่งตนเองแล้ว ถ้าท่านยังมีความเห็นว่ายังมีความแตกต่าง ระหว่างความเป็นพุทธะกับความเป็นปุถุชน การค้นหาพุทธะด้วยเหตุปัจจัยในความเข้าใจแบบนี้ มันจะไม่สามารถทำให้ท่านได้รู้เห็นพุทธะที่แท้จริงได้เลย เพราะความเป็นปุถุชนก็มิได้มีอะไรแตกต่างจากความเป็นพุทธะ ความเป็นปุถุชนของเรานั้น แท้จริงมันก็คือความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ เพราะความเป็นจริงทุกสรรพสิ่งย่อมมีเนื้อหาเป็นหนึ่งเดียวกันหมด

เมื่อไม่เคยปรากฏความเป็นปุถุชนภาวะที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินี้ได้เลย ก็เช่นเดียวกัน มันจึงย่อมไม่เคยปรากฏความเป็นพุทธะภาวะในธรรมชาตินี้ได้เช่นกัน ธรรมชาติแห่งพุทธะมันเป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น ธรรมชาติมันย่อมปราศจากภาวะใดๆ แม้กระทั่งภาวะแห่งความเป็นพุทธะ ความเป็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งมิใช่พุทธะตามภาวะ มันย่อมอยู่ในความเป็นธรรมชาตินั้นแล้ว ไม่มีพุทธะที่นอกเหนือจากธรรมชาติ และไม่มีธรรมชาติอื่นนอกจากความเป็นพุทธะอยู่อย่างนั้น

   (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p403x403/1395969_233255723496606_1019803406_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   2 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t31/s403x403/1553392_502319766541059_2138398901_o.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 03, 2014, 09:52:45 pm

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p526x296/1897945_497720477004665_100717977_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ

"ฉันมีข้อสงสัยอยากจะถามว่า หากฉันยังไม่สามารถเห็นธรรมชาติแห่งพุทธะ
ของฉันได้ มันจะไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอที่จะทำให้ฉันได้บรรลุธรรม หากฉัน..
..ตั้งใจที่จะประกอบกุศลผลบุญหมั่นรักษาศีล"
"ถ้าท่านทำเช่นนั้น ถึงท่านตั้งใจทำความดีมันก็บรรลุธรรมไม่ได้"
"ทำไมถึงบรรลุธรรมไม่ได้"

"การที่ท่านตั้งใจเพื่อให้เข้าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับชีวิตท่าน แต่มันก็เป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้ท่านก่อกรรมชนิดกุศลกรรม และกรรมดีนี้ก็ส่งผลให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป แต่การบรรลุธรรมมันเป็นเพียง การที่ท่านได้เข้าใจและได้เป็นธรรมชาติในความเป็นท่าน ซึ่งคือธรรมชาติที่ปราศจากภาวะปรุงแต่งทั้งปวง แม้กระทั่งการปรุงแต่งถึงความดีงามมากมายมหาศาล ที่ท่านได้ตั้งใจและมุ่งหวังกระทำมันขึ้น มันก็เป็นเพียง "จิต" ที่ดีเท่านั้นที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้น คือความเป็นธรรมชาติที่มีความอิสระนอกเหนือจากกรรมทั้งปวง นอกเหนือจากการสร้างเหตุและปัจจัยทั้งปวง การที่กล่าวว่าตนได้หมั่นประกอบคุณงามความดี แล้วตนจะได้บรรลุธรรม จึงเป็นการดูหมิ่นพระพุทธเจ้า คนที่เป็นทาสต่อความต้องการของตนเอง ในการที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความทะยานอยาก คนที่ไม่เข้าใจอะไรให้ตรงกับความเป็นจริงเช่นนี้ จะบรรลุธรรมอะไรได้"

ความเป็นพระพุทธเจ้า มิใช่ความมีความเป็นในเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น มีความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน เป็นสัจธรรมอันคือพื้นฐานแห่งความเป็นไปในธรรมชาตินั้น ธรรมชาติแห่งพุทธะจึงคือธรรมชาติที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกพัวพันห่อหุ้มไปด้วยอวิชชาแห่งการปฏิบัติและการรู้แจ้ง และเป็นอิสระจากเหตุและปัจจัย

ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นย่อมไม่ต้องสมาทานศีล เพราะธรรมชาตินั้นคือความเป็นปกติอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติที่เป็นจิตแห่งพุทธะไม่มีความแปรเปลี่ยนไป ในด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะจึงไม่ต้องทำชั่วอีก เพราะความเป็นพุทธะนั้นคือธรรมชาติ มันจึงเป็นธรรมชาติที่มันเป็นเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้ความระมัดระวังอะไรเพื่ออะไร และมันเป็นธรรมชาติซึ่งมิใช่จิต(ภาวะปรุงแต่ง) มันจึงไม่ต้องเข้าไประวังจิต

เพราะฉะนั้นถ้ามีคนมากล่าวว่า เขาปฏิบัติธรรมด้วยการทำจิตให้ว่างอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องผิด เพราะธรรมชาติคือธรรมชาติ ธรรมชาติจึงมิใช่การปฏิบัติ ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มิใช่เกิดจากการปฏิบัติ แต่ถ้าการปฏิบัตินั้นเป็นการทำความเข้าใจ และเห็นในธรรมชาติแห่งพุทธะของตนเอง ผู้นั้นก็ขึ้นชื่อได้ว่าได้ปฏิบัติแบบถูกวิธี คือได้ปฏิบัติตามความเป็นไปแห่งความเป็นธรรมชาติแล้ว การบรรลุธรรมแท้จริงโดยไม่เห็นความเป็นธรรมชาติแห่งตน ย่อมเป็นไปไม่ได้ และถ้ายังทำกรรมชั่วอยู่ แล้วอ้างว่ากรรมนั้นไม่สามารถให้ผลได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง มันจึงเป็นความเข้าใจผิดต่อความที่ตนเองได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์ผู้มีใจประเสริฐ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้ด้วยคุณงามความดีแห่งใจ จึงเรียกตนเองว่ามนุษย์ หากท่านเป็นผู้มีปัญญาจงตั้งใจประพฤติตนเอง ให้เป็นไปตามความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะเถิด อย่าได้ก้าวล่วงไปสู่การกระทำที่ตกต่ำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานอีกเลย

"แล้วถ้าทุกสิ่งล้วนมาจากจิต เมื่อจิตดับไปขันธ์ธาตุแตกสลาย
ทำไมเราจึงไม่รู้และต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก"
"ก็จิตมันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ ทำไมท่านถึงไม่ดูจิตเลย"

"ก็ธรรมชาติแห่งพุทธะคือจิตนี้ มันอยู่กับท่านเป็นกัปเป็นกัลป์แล้ว มันเป็นอย่างนี้ของมันมาตั้งแต่ต้น โดยที่ไม่มีการเริ่มต้นและหาจุดจบแห่งมันไม่ได้ มันไม่เคยอยู่ในสถานะที่ต้อง "อยู่" และไม่เคยตาย มันเป็นธรรมชาติแห่งการไม่ปรากฏขึ้นและไม่หายไป มันเป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ โดยที่มันไม่มีความสะอาดหรือความสกปรก มันเป็นกลางตามธรรมชาติมิใช่ภาวะแห่งความดีหรือความชั่ว มันมิใช่ทั้งอดีต อนาคต และไม่ใช่ทั้งปัจจุบัน แต่มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว และจะเป็นแบบนี้เรื่อยไปมิได้อยู่กับ "กาลเวลา" มันเป็นธรรมชาติของมันเองโดยมิใช่ความถูกหรือความผิด และมันเป็นธรรมชาติโดยลักษณะมันเอง มิใช่เป็นเพื่อยืนยันความถูกหรือความผิด

 มันเป็นความเพียรเพื่อไปสู่ความเป็นพุทธะอย่างแท้จริง โดยเป็นความเพียรเพื่อมิได้ทำให้ตนเองรู้แจ้ง มันเป็นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น โดยไม่สามารถมีใครเป็นเจ้าของมันได้ หรือไม่อาจมีใครทำลายล้างมันลงไปได้ และมันไม่สามารถมีใครเข้าไปควบคุม บังคับความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของพุทธะนี้ไปได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ถูก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำ จึงถูกดึงเข้าไปในกระแสธรรม แห่งการไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่พวกเขาพยายามออกจากกระแส ด้วยวิธีอันไม่ฉลาดของเขาเอง ก็ยิ่งพาพวกเขาจมดิ่งไปสู่ความลึกแห่งห้วงอวิชชา ทั้งนี้เป็นเพราะพวกคนเหล่านี้ไม่รู้ความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง ถ้าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ถูกครอบงำ ก็แสดงว่าพวกเขาเข้าใจความเป็นธรรมชาติ ที่อยู่กับพวกเขาเองมาตลอดอยู่แล้ว

เพราะด้วยความเป็นไปของจิต อันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนี้มันไร้ขอบเขต การแสดงตัวมันเองออกมาตามความเป็นธรรมชาติ มันจึงเป็นการปรากฏตัวตามที่มันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น

ในพระสูตรกล่าวว่า รูปกายของตถาคตไม่มีที่สิ้นสุด การแสดงออกในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของพระพุทธองค์ ความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ที่มีผลอันเนื่องมาจากจิต อันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่สามารถแยกแยะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดำเนินการเคลื่อนไหวไปแห่งความเป็นพุทธลีลา จึงเป็นการเคลื่อนไหวด้วยธรรมชาติแห่งการรู้สึกตัวทั่วพร้อม อันคือธรรมชาติแห่งการรู้สึกในความมีสัมมาสตินั่นเอง

ในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า "บุคคลควรรู้จักความเป็นตัวเองในธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วและเป็นส่วนหนึ่งแห่งมัน"
 ดังนี้ธรรมชาติแห่งพุทธะของเราก็คือจิต จิตก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะของเรา และธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ ก็คือจิตของความเป็นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่พระพุทธองค์ได้ถ่ายทอดจิตชนิดนี้มาสู่เรา นอกจากจิตอันคือความเป็นพุทธะนี้แล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าที่ไหนอีกเลย

แต่ผู้ที่มืดบอดไปด้วยอวิชชา ย่อมไม่รู้ว่าจิตของตนเองนั้นคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ จึงทำให้เขาแสวงหาพุทธะจากภายนอกจากที่อื่น และเฝ้าถามกับตนเองอยู่เสมอๆว่า พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเพียงจิตนาการแห่งพุทธะ ที่ท่านคิดถึงมันแต่เพียงเท่านั้น ก็จิตของท่านนั่นแหละคือพุทธะ แล้วทำไมต้องไปหาจากที่อื่นอีก การที่ท่านเฝ้าแสวงหามัน ก็เป็นพุทธะภาวะที่เกิดขึ้นตามจินตนาการของท่าน มันเป็นจินตนาการที่เป็นการเกิดขึ้นแห่งรูปซึ่งล้วนแต่เป็นมายา บุคคลผู้ยึดถือเอาความเป็นพุทธะตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาย่อมทำตัวเองให้พ้นทางไปจากอริยมรรคอันสมบูรณ์

ก็เท่าที่กล่าวมานี้ ฉันเพียงชี้ให้ท่านเห็นความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ ที่มันเป็นตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ฉันเกรงว่าท่านจะไม่รู้สึกตัว เพราะการที่จิตของท่านมีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว เป็นความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มันจึงไม่จำเป็นต้องไปหาความบริสุทธิ์จากที่อื่นอีกเลย จงรักษาความบริสุทธิ์ด้วยการเป็นไปตามธรรมชาติของมันอยู่เสมอ มันเป็นธรรมชาติที่มีความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองเป็นพื้นฐานอยู่เสมอ เมื่อท่านได้อยู่กับความเป็นธรรมชาติแห่งตนแล้ว อย่าได้มีความกลัวใดๆอีกเลย ความกลัวอันมีต่อสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในการเกิดขึ้นแห่งรูป สิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นมายา หาความมีตัวมีตนที่แท้จริงก็หาได้ไม่ มันย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอยู่อย่างนั้น ขอให้ท่านจงโปรดอยู่กับความสงบตามธรรมชาติของมันเองเถิด มันสงบแล้วอย่าทำอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีก

   (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/523585_121994374623612_1027252784_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   3 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/s526x296/1535499_475781349194901_1772550490_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 35 มายา
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 04, 2014, 06:57:20 pm

(https://lh4.googleusercontent.com/-uKdKfgjLL9A/UxWjDUWp-AI/AAAAAAABPsM/HHk6xNIRuv4/w533-h355/image.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 35 มายา

ในพระสูตรกล่าวไว้ว่า "ปรากฏการณ์ทั้งปวงเป็นมายาภาพ ซึ่งเป็นภพที่ไม่แน่นอน มันไม่มีรูปที่ถาวร มันเป็นสภาพที่ไม่เที่ยงแท้โดยตัวมันเอง อย่ายึดมั่นถือมั่นในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นพุทธะนั้น"

ธรรมชาติแห่งพุทธะมันเป็นสิ่งซึ่งมีความเป็นอิสระจากรูปทั้งปวง แท้จริงรูปทั้งปวงก็หามีความเป็นจริงไม่ มันเป็นเพียงการเกิดขึ้นที่สามารถตั้งอยู่ได้ชั่วคราว เมื่อมันหมดเหตุปัจจัยแล้วโดยตัวมันเอง ก็มีสภาพแปรปรวนไม่อาจตั้งอยู่ ในสถานะเดิมแห่งความเป็นตัวเป็นตนได้ แท้ที่จริงมันมิใช่ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนเลย สภาพแปรปรวนแห่งมันนั้นแท้จริงมันเป็นมายา เปรียบเสมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์มาก่อนเลย ตามความเป็นจริงหาใช่ตัวตนไม่ มันคือความว่างเปล่าตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเราต้องสร้างความเป็นพุทธะความเป็นโพธิสัตว์ ให้เกิดขึ้นมาตามจินตนาการของเราอีกด้วยเล่า ก็ในเมื่อความเป็นพุทธะที่แท้จริงมันก็คือเรานั่นเอง หาใช่สิ่งที่เป็นมายาเหล่านี้ไม่

เมื่อจิตของเราคือพุทธะ พุทธะก็คือมรรค มรรคและพุทธะก็คือเซน แม้ท่านจะสามารถท่องพระสูตรได้เป็นพัน อันจะทำให้ท่านเห็นธรรมชาติตามความเข้าใจของท่านเอง มันจึงเป็นการเห็นธรรมชาติที่มีความเป็นอัตตาอยู่ เป็นธรรมชาติที่มิใช่ธรรมชาติ มันเป็นมายาแห่งธรรมชาติที่พวกคุณแสวงหาและสร้างมันขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นคำสอนอันมีความเป็นธรรมชาติเป็นพื้นฐานอยู่อย่างนั้น

คนที่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตนได้แล้ว ย่อมพบหนทางแห่งอริยมรรค คนที่เห็นธรรมในตนเองซึ่งมีมันมาตั้งแต่ต้นก็คือพุทธะ และมันก็เป็นพุทธะที่มีความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองอยู่แล้วอย่างแท้จริง เมื่อพุทธะมันเป็นธรรมชาติของมันเองแบบนี้มาตั้งแต่ต้น มันจึงไม่มีอะไรให้พวกคุณค้นหามันอีก ก็เพียงแค่พบมันแล้วก็กลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งมัน ก็เพียงแต่เท่านี้ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความเป็นธรรมชาตินี้มันก็คือมรรคหรือหนทางที่บริบูรณ์แล้ว ที่ไม่ต้องการอะไรมาเพิ่มเติมให้แก่มันอีก มรรคจึงเป็นหนทางที่พวกคุณจะต้องเดินไป ด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรมชาติ ที่มันบริบูรณ์พร้อมของมันอยู่อย่างนั้น การนึกคิดและการปรุงแต่งวิธีขึ้นมา ตามความเข้าใจผิดของพวกท่านเอง มันจึงเป็นเพียงมายาแห่งมรรค

ในความเป็นธรรมชาติและอริยมรรค มันจึงเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรู้แจ้ง ส่วนปุถุชนมิอาจรู้และเข้าใจมันได้ เพราะยังขาดธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ ก็ตราบใดที่พวกเขายังยึดมั่นถือมั่นต่อปรากฏการณ์ เขาก็มิอาจรู้ได้เลยว่า จิตของพวกเขาเองนั่นแหละคือธรรมชาติแห่งพุทธะ ถ้าท่านเพียงแต่รู้ว่าทุกสิ่งมันล้วนไหลเทออกมาจากจิต ซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ท่านก็อย่ายึดมั่นถือมั่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันย่อมมิใช่ตัวใช่ตนอยู่แล้ว มันก็ล้วนคือความว่างเปล่าตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น พระสูตรต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงอักษร ที่พยายามอธิบายให้เราเข้าใจในความหมาย ของความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงแต่เพียงเท่านั้น

                   (https://lh6.googleusercontent.com/-u3Pf-ty0xJA/UwW-lvhuRQI/AAAAAAAA4Dg/uWwHlSZJu6E/w333-h598/20+-+1)   

 เมื่อเกิดความเข้าใจแล้วจงอย่ายึดติดกับตัวเรา ให้ทำความเข้าใจและมุ่งไปสู่ความเป็นธรรมชาตินั้น หากเรายึดคัมภีร์หรือตัวเรามากเกินไปโดยไม่ยอมปล่อยวาง พระสูตรเหล่านี้มันจึงเป็นเพียงมายาแห่งพระสูตรแต่เพียงเท่านั้น ความเป็นจริงตามธรรมชาติมันย่อมอยู่เหนือคำพูด และมันก็ไม่ใช่ภาวะที่คุณสามารถจินตนาการถึงมันได้อีกต่อไป คำสอนมันจึงเป็นเพียงคำพูด คำพูดที่มันเป็นเพียงมายาแห่งภาพ มันจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งความเป็นตัวตน ในความเป็นรูปร่างหน้าตาแห่งพุทธะของผู้ไม่รู้จริงแต่เพียงเท่านั้น ท่านอย่าหลงติดไปกับมายาแห่งความฝันของท่าน เพราะจะทำให้ท่านหลงติดไปสู่ความเป็นภพใหม่ๆ

จงทำตามธรรมชาติซึ่งมันคือความเป็นตัวคุณอยู่แล้ว และก็อย่าทำตามความคิด ซึ่งความคิดนั้นอาจจะเป็นความคิดที่ปรากฏ "ภาพแห่งความเป็นธรรมชาติ" ได้อย่างใกล้เคียง ตามความเป็นจริงของธรรมชาตินั้น แต่มันก็เป็นเพียง "ความคิดที่ได้คิดถึงความเป็นธรรมชาติ" มันหาใช่ธรรมชาติที่แท้จริงตามสภาพของมันเองอยู่แล้วไม่ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะตกไปสู่ห้วงเหวลึก ในความเป็นมายาแห่งธรรมชาติไป

พระพุทธเจ้าคือบุคคลผู้ค้นพบความเป็นอิสระที่แท้จริง เป็นความอิสระที่อยู่นอกเหนือโลกธรรมและความชั่วทั้งหลาย ท่านเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมธาตุอย่างลึกซึ้ง แต่ความเป็นปุถุชนผู้มืดบอดไม่อาจหยั่งรู้เข้าไป ถึงความเป็นจริงในความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นได้ หากท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้จักความเป็นตนเอง ก็อย่าพึ่งทำอะไรเพื่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนในวิธีปฏิบัติ เพราะแท้จริงแล้วธรรมชาติคือการไม่กระทำ การเข้าใจความเป็นพุทธะนั้น เป็นการเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของความเป็น "ธรรมชาติ" ที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มิใช่ธรรมชาติที่เกิดจากการกระทำของใคร การกระทำโดยมุ่งหวังให้ธรรมชาติเกิดขึ้น มันเป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งเกี่ยวกับธรรมชาติเท่านั้น มันมิใช่ธรรมชาติที่แท้จริง

เมื่อท่านรู้จักและเข้าใจธรรมชาติ มันก็กลายเป็นการปฏิบัติตามอริยมรรคที่แท้จริงแล้ว แต่บางทีท่านอาจยังไม่เข้าใจว่า ธรรมชาตินั้นมันมีเพียงแต่ความเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆ มันจึงเป็นธรรมชาติที่แท้จริงแบบเสร็จสรรพเด็ดขาด ในความหมายของมันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจดีพอ และท่านได้ก้าวเข้ามาในมรรคแล้ว แต่ยังไม่เป็นมรรคที่มีความบริบูรณ์ถึงพร้อม ก็ขอให้ท่านพยายามทำความเข้าใจในความหมายของธรรมชาติ ให้ถึงความเป็นจริงแห่งมันอยู่แต่เพียงเท่านั้น แล้ว ตัณหา อุปาทาน ทุกอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตท่าน ก็จะคลายออกไป

 เมื่อมิได้หันเหไปในทางอื่นเลย ด้วยการเข้าใจในความเป็นไปในธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เมื่อเกิดการรู้แจ้งแทงตลอดในความหมายแห่งธรรมชาติ โดยที่ไม่มีส่วนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ด้วยการตระหนักชัดในความเป็นธรรมชาตินั้น ความเป็นสัจธรรมแห่งความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ก็จะปรากฏแสดงตัวมันเองขึ้นมาตามที่มันอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม มันปรากฏตัวขึ้นเพราะการที่เรามองเห็นมัน ด้วยความเข้าใจในความเป็นมัน ที่มันอยู่กับเราแบบนี้มานานแสนนานแล้ว และเป็นการปรากฏตัวของมันเพียงครั้งเดียว และมันก็จะไม่มีวันหนีหายไปจากเราได้อีกเลย

(https://lh3.googleusercontent.com/-4rvCGKzQU5s/UwhW-_2vBkI/AAAAAAAA4eI/H-WdJOYPAv8/w233-h445/21+-+1)

หากท่านกำลังค้นหาความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ท่านอาจเจอสิ่งหลายๆสิ่งที่เข้ามาเป็นรูป เป็นภาวะที่เกิดขึ้น เป็นแสงสว่างในนิมิตแห่งสมาธิจากการนั่ง ท่านก็อย่าได้หลงจับฉวยเอามาเป็นส่วนหนึ่ง แห่งความหมายของการเกิดขึ้นของธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปาทานที่ยังคงหลงเหลือตกค้าง มันมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นธรรมชาตินั้น มันเป็นเพียงอุปาทานที่ยังเข้าใจอยู่ว่า ธรรมชาติมันอาจเกิดขึ้นได้จากการลงมือปฏิบัติของท่านแต่เพียงเท่านั้น ธรรมชาติอันแท้จริงมันอยู่นอกเหนือภาวะแห่งจิตใจของท่าน ที่ท่านอยากเห็นอยากพบมัน ถ้าท่านเห็นอะไรซึ่งเป็นนิมิตขึ้นมา การเห็นนิมิตนั้นก็มิได้มีความแตกต่าง กับการที่ท่านเปิดประตูออกมาในยามเช้า และเห็นแสงอาทิตย์ได้สาดส่อง เห็นนกกำลังบินผ่านไป มันก็เป็นการเห็นตามปกติ เป็นการเห็นตามธรรมชาติที่มันไม่ได้เป็นการก่อรูปก่อภาวะ ให้เกิดปรากฏการณ์จากการเห็นนั้น ธรรมชาติเป็นธรรมอันปราศจากภาวะการปรุงแต่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นธรรมชาติที่แท้จริง จึงเป็นธรรมชาติที่ปราศจากการคิดปรุงแต่ง ว่าคุณกำลังเห็นอะไร

การเห็นซึ่งเป็นภาวะหรือปรากฏการณ์ อาจเป็นการเห็นด้วยการที่คุณยังไม่เข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติที่แท้จริง มันอาจเป็นการมองเห็นที่เกิดจากการวิตกกังวล ในการพยายามที่จะทำให้ถึงความเป็นธรรมชาตินั้น จิตจึงเกิดอุปาทานด้วยการไขว่คว้าเอาธรรมชาติตามความหมายอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นการเข้าใจผิดมาแสดงเป็นจิต ให้คุณได้มองเห็นได้มองดูมันในมโนภาพแห่งความเข้าใจของคุณ มันจึงเป็นเพียงภาพเบลอๆที่มิได้มีความหมายอันใดอย่างแท้จริง มันเป็นสิ่งที่เป็นเพียงมายาแห่งภาพ ที่มันมาหลอกหลอนคุณแต่เพียงเท่านั้น ท่านต้องมีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ว่า สิ่งเหล่านี้หาใช่ความเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงไม่ มันมิใช่ตัวตนเลย มันมีแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น

 ด้วยความเป็นจริงตามธรรมชาติก็ถือได้ว่า มันไม่เคยปรากฏเกิดขึ้นในความเป็นภาพที่เห็นมาก่อนเลย ก็ถ้าหากท่านเป็นผู้ที่เห็นและเข้าใจ ความเป็นตัวท่านเองได้อย่างดีแล้ว ความเป็นธรรมชาติแห่งท่านจึงไม่จำเป็นต้องอ่านจดจำพระสูตรอะไรเลย ความเป็นผู้คงแก่เรียนในลักษณะผู้ที่สามารถจดจำพระสูตรได้ มันทำให้ถูกบดบังความเป็นจริงแห่งความเป็นธรรมชาตินั้นไป ธรรมทั้งหลายที่เป็นคำอธิบาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจตามธรรมชาติที่แท้จริงนั้น มันเป็นเพียงปรากฏการณ์หรือภาวะ เพื่อยืนยันถึงเนื้อหาตามความเป็นจริงแต่เพียงเท่านี้ แต่ธรรมอันคือคำอธิบายความจริงเหล่านี้ โดยตัวมันเองมันเป็นเพียงการปรุงแต่งที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ โดยลักษณะมันเองหาใช่ความเป็นจริงตามธรรมชาติไม่ ธรรมชาติมันก็เป็นธรรมชาติ ที่แสดงเนื้อหาแบบสมบูรณ์เพียบพร้อมอยู่อย่างนั้น เป็นความไม่ขาดตกบกพร่อง และมันก็ไม่ต้องการให้ใครมาอธิบายหรือเพิ่มเติมอะไรให้กับมันได้อีก ธรรมชาติมันอยู่นอกเหนือคำอธิบาย เพื่อเข้าถึงความเป็นจริงแห่งมัน เมื่อท่านเข้าใจความเป็นธรรมชาติแห่งตนเองดีแล้ว แล้วทำไมต้องเข้าไปสนใจในคำสอนในพระสูตรนั้นอีกเล่า

การก้าวออกจากจุดที่ทำให้ท่านมืดบอด มาสู่ความสว่างตามธรรมชาติแห่งตน ทำให้ท่านได้พ้นจากพงหนามแห่งกรรมที่จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิด จงอยู่กับความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของท่าน ด้วยความสุขตราบชั่วนิจนิรันดรเถิด และหัดเรียนรู้ยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ด้วยการที่ท่านเป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาตินั้นได้อย่างแท้จริง การหลอกลวงตัวเองด้วยความเข้าใจธรรมชาติไปในทางอื่นแบบผิดๆ มันจะกลายเป็นอุปสรรคเข้ามาขัดขวางมิให้ท่าน ได้เดินไปในหนทางมรรคที่แท้จริง เมื่อท่านตั้งใจเดินบนหนทางแห่งมรรคนี้ ด้วยการก้าวย่างไปด้วยความเป็นธรรมชาติ ก็จะทำให้ท่านพ้นจากการหลงก้าวเดินไป ในขวากหนามแห่งหนทางอันเป็นมายานั้น เมื่อท่านตั้งใจเดินด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรมชาตินั้นแล้ว อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่ยังเหลืออยู่ ก็จะหมดไปเองจะคลายออกไปเองด้วยความเข้าใจในธรรมชาตินั้น มันเป็นความเข้าใจที่เป็นธรรมชาติแห่งตัวท่าน มันจึงเป็นธรรมชาติแห่งความเข้าใจที่ปราศจากความพยายามใดๆ

พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ก็ล้วนแต่ตรัสถึงธรรมอันคือธรรมชาตินี้เท่านั้น ท่านมิได้ตรัสธรรมอื่นใดเลย คนที่เห็นธรรมโดยอ้างว่าตนเองได้ปฏิบัติธรรม ด้วยความเข้าใจอันดีแล้วแห่งตน จึงเป็นเพียงคนโกหกมุสา และเป็นคนที่ไม่รู้ความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง คนเหล่านี้ได้หลับหูหลับตาเดินหลงไปในทางที่มืดมน แล้วได้เอาแต่หลอกตัวเองด้วยการปลอบใจตนว่า นี่คือพุทธะที่แท้จริง แต่การก้าวเดินไปในหนทางปฏิบัติอันคือมายานั้น ทำให้ท่านอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงแห่งธรรมชาติไปทุกๆขณะ มันจึงเป็นทิฐิหรือความคิดเห็นที่ผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติ มิจฉาทิฐิแห่งการปฏิบัตินี้เป็นการกล่าวตู่ในความเป็นพุทธะ มันก็ทำให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะทิฐิเห็นผิดต่อธรรมชาติของท่านนั่นเอง

   (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p235x350/1947659_497986676978045_544806165_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   4 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh5.googleusercontent.com/-5MAdWFJfgRg/UwoJe7i_zII/AAAAAAAA44E/SEw9lOUDdIE/w333-h484/23+-+1)
หัวข้อ: Re: บทที่ 36 พุทธะคือหน้าที่
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 06, 2014, 12:20:53 pm

(http://thebuddhafultao.files.wordpress.com/2012/06/dharma.jpg?w=585)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 36 พุทธะคือหน้าที่

คนที่ไม่มีศรัทธาที่จะมาในทางธรรมชาติแห่งพุทธะ เป็นคนที่ยึดอยู่ในมิจฉาทิฐิ เปรียบเหมือนคนตาบอดที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นแสงสว่างที่แท้จริงเลย ถึงท่านจะอธิบายเรื่องความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะให้เขาฟัง แต่เมื่อเขาเหล่านี้ขาดศรัทธาแล้ว เขาจึงเปรียบเสมือนคนตาบอด ที่จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเห็นแสงนั้นได้ ถึงจะอธิบายก็ไม่มีใจที่จะยอมรับฟังเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงนี้ พวกเขาเหมือนคนมีกรรมที่มีเหตุและปัจจัย มาทำให้พวกเขาหันหลังให้กับธรรมชาติอันคือความจริงได้อย่างถาวร พวกเขาเหล่านี้จะต้องทนก้มหน้ารับกรรมที่พวกเขาได้กระทำไป อันเกิดจากทิฐิที่ผิดๆของพวกเขาทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้ย่อมใช้ชีวิตไปด้วยความเป็นทาสแก่การกระทำของตนเอง หาความมีอิสระที่แท้จริงไม่ ความมีอิสระที่แท้จริงย่อมปรากฏแก่ ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั่นเอง แต่เขาเหล่านี้ได้ทำเหตุและปัจจัยอันทำให้พวกเขา ไม่มีวันได้พบหนทางที่จะนำพาพวกเขาไปสู่สถานที่ที่มีแสงสว่างได้เลย เมื่อขาดศรัทธาเขาเหล่านี้จึงเป็นเพียงคนตาบอด ที่บอดอย่างถาวรแล้วเท่านั้น

 แต่บุคคลที่เห็นธรรมชาติของตนเองด้วยความมีศรัทธาเชื่อมั่น ต่อความจริงในความเป็นพุทธะ บุคคลพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปโกนหัวห่มผ้าเหลือง พวกเขาไม่ว่าจะอยู่ฐานะไหนประกอบอาชีพอะไร ก็ในเมื่อใจของพวกเขาเป็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว เมื่อเขาคือพุทธะ พุทธะก็คือพวกเขา เขาอยู่ที่ไหนพุทธะก็อยู่ที่นั่น แต่คนที่ยังไม่เห็นความจริงของธรรมชาติ แล้วไปโกนหัวนุ่งห่มผ้าเหลือง พวกนี้เป็นเพียงพวกที่คลั่งไคล้หลงใหลความเป็นพุทธะ ในรูปแบบความเป็นอยู่ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก ความเป็นพุทธะที่แท้จริงมิได้ต้องอาศัยอะไรกับอะไรเลย แต่ความเข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ นั่นก็คือพุทธะแล้ว

                      (http://www.buddhachannel.tv/portail/local/cache-vignettes/L300xH196/Bodhidharma_300_x_196_-b6116.gif)

เป็นเพียงเพราะเราเข้าไปยึดการปรากฏขึ้นแห่งภาวะ เป็นการเข้าไปยึดติดในรูปกาย จึงเกิดภาวะเคลื่อนไหวไปในทางทวิภาวะแห่งความเป็นคู่ เช่น ร้อนเย็น หิวกระหายและอิ่ม จึงเกิดเป็นมลทินแห่งตัณหา อุปาทาน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งพุทธะ ธรรมชาตินั้นมันบริสุทธิ์โดยตัวมันเอง มันเป็นความบริสุทธิ์โดยพื้นฐานแห่งความเป็นไปตามธรรมธาตุ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจมีใครเข้ามาทำให้มันเศร้าหมองลงไปได้เลย มันเป็นความบริสุทธิ์มาแต่เดิมของมัน มันเป็นธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์ที่ปราศจากการเคลื่อนไหว ไปในทิศทางใดแห่งความมีตัวมีตนทั้งสิ้น ธรรมชาติมันจึงไม่หิวไม่อิ่ม ไม่อุ่นไม่เย็น ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่รักไม่ชัง ไม่ดีไม่ชั่ว ไม่สุขไม่ทุกข์ จริงๆแล้วธรรมชาติมันไม่มีอะไรเลย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

 เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนตามธรรมชาติ เราจึงเรียกความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยของมันว่า "ความบริสุทธิ์" คือความที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ปราศจากสิ่งอื่นเข้ามาเจือปนปะปนกับมันได้ นี่คือความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติแห่งพุทธะ เมื่อท่านเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว ท่านปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามหน้าที่ของมัน ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ของมันตามความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ท่านก็จะพ้นจากการเกิดและการตาย ท่านก็จะเป็นอิสระเป็นนายเหนือความต้องการของตนเอง ซึ่งธรรมชาติแห่งพุทธะที่ท่านได้พบนี้ มันคือธรรมชาติแห่งความสงบสุขในทุกหนทุกแห่ง เป็นชีวิตที่มีความสุขอิสระอย่างแท้จริง จงปล่อยให้ธรรมชาติมันทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น นั่นแหละท่านคือพุทธะแล้ว

   (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s851x315/1897994_498296290280417_179797309_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   5 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://thebuddhafultao.files.wordpress.com/2012/03/cat-and-mouse.jpg?w=435)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 06, 2014, 02:15:41 pm

(http://www.tricycle.com/files/images/key_images/zazen-moon-negative.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 37 จิตสู่จิต

ตราบใดที่ท่านยังไม่เข้าใจพุทธะที่แท้จริง หนทางที่ท่านเดินมันก็ยังคงเป็นหนทางที่ ได้สร้างกรรมให้กับตนเองอยู่ร่ำไป หนทางนี้จะพาให้ท่านต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เต็มใจก็ตามที แต่เมื่อท่านได้ประจักษ์ในความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว ธรรมชาตินี้ก็จะพาท่านหยุดสร้างกรรม และก็ไม่ต้องไปตายไปเกิด

ท่านอาจารย์ของฉัน คือ ท่านมหาปรัชญาตาระ ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 27 ท่านได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดรอยประทับจิตซึ่งเป็นการถ่ายทอดจิตสู่จิต เป็นการถ่ายความเข้าใจคือความเป็นจริงในธรรมชาติ มาสู่ความเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นจิตของฉันเอง ดังนั้นการที่ฉันมาสู่ประเทศจีน ก็ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียวก็คือ การถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้แก่ชนชาวจีนได้สืบทอดธรรมเหล่านี้ต่อไป

ก็ "จิต" ที่พูดถึงนี่เองคือพุทธะ มันมิใช่จิตที่เป็นภาวะแห่งการเคลื่อนไหวไปในปรากฏการณ์ต่างๆ แต่มันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง จิตสู่จิต ก็คือความชี้ตรงถึงความเป็นธรรมชาติ สู่ความเป็นธรรมชาติของพวกท่านเอง เมื่อจิตนี้คือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ มันจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มิได้เกี่ยวกับการถือศีล การให้ทาน หรือการเคร่งครัดในข้อวัตรแบบฤาษี เป็นการทานข้าววันละมื้อ การเข้าฌาน การบำเพ็ญเหล่านี้เป็นความคลั่งไคล้ ซึ่งคุณเอาจิตของคุณเองเข้าไปยึดติดโดยความชอบ และคิดว่ามันคือสิ่งที่จะทำให้ความเป็นพุทธะเกิดขึ้นได้ ความคลั่งไคล้เหล่านี้เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งความเป็นภาพพจน์แห่งพุทธะ ให้เกิดขึ้นตามจินตนาการของเขา ที่ออกนอกเส้นทางความเป็นธรรมชาติไป เมื่อท่านได้หยุดพฤติกรรมการจินตนาการถึงพุทธะเหล่านี้ทิ้งไปเสีย แล้วหันหน้าเผชิญกับความเป็นจริง ตามที่ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว จิตอันคือการรู้แจ้งแห่งธรรมชาติเหล่านี้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับจิตของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคต ล้วนแต่กล่าวถึงการถ่ายถอดเรื่องจิต พระพุทธองค์ไม่สอนธรรมชนิดอื่นเลย ท่านสอนแต่ความเป็นจริงตามธรรมชาติเท่านั้น และถ้าหากผู้ใดเข้าใจและเข้าถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้อะไรเลย และไม่สามารถอ่านหนังสือออกได้ แต่ความเป็นจริงที่พวกเขาได้ตระหนักชัด ที่ทำให้เขาเป็นพุทธะที่แท้จริงได้คนหนึ่ง แต่ถ้าท่านไม่พบความเห็นแจ้งอันคือธรรมชาติแห่งตน ไม่เห็นธรรมชาติแห่งการตื่นออกมาจากการหลับใหลมืดมิด ท่านก็จะไม่พบพระพุทธเจ้าเลย และไม่มีวันที่จะได้รู้จักความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้เลย ต่อให้ท่านต้องปฏิบัติอย่างหนักหน่วง จนทำลายตัวเองให้เป็นผุยผงย่อยยับไปเลยก็ตาม

                        (http://www.buddhachannel.tv/portail/local/cache-vignettes/L400xH300/sutras_1-4deed.gif)

ความเป็นพระพุทธเจ้าคือธรรมชาติอันเป็นจิตดั้งเดิมของท่านนี้ มันเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่ไม่ใช่จิต มันเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ประกอบไปด้วยเหตุและผล มันเป็นความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตน โดยที่ไม่อาจจับต้องมันได้ หรือไม่อาจเอาความรู้สึกของเรา ไปจินตนาการถึงความเป็นรูปร่างลักษณะแห่งมัน มันเป็นธรรมชาติที่เป็นความว่างเปล่าของจิต ที่รู้แจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ มันจึงมิใช่เป็นจิตชนิดที่ปรุงแต่งขึ้นในเนื้อหาแห่งความเป็นพุทธะ มันเป็นจิตที่เป็นพุทธะของมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว นอกจากความเป็นพระพุทธเจ้าและบัณฑิตทั้งหลาย ที่รู้แจ้งในธรรมชาติแห่งพุทธะนี้แล้ว ปุถุชนผู้มืดบอดไปด้วย ตัณหา อุปาทาน ความต้องการแห่งตน ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเกิดเป็นสิ่งนั้นตามที่ใจตนเองปรารถนา ก็จะไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความจริงตรงนี้ได้เลย เพราะอำนาจแห่งอวิชชาพาหลงไปในทิศทางอื่น

แต่สิ่งนี้ก็เป็นธรรมชาติที่อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีแห่งมันแห่งเรา รูปกายและธาตุทั้งสี่มันเป็นเพียง การได้อยู่อาศัยกับสิ่งเหล่านี้เพียงชั่วคราว และมันก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นธรรมชาติเลย แต่ถ้าเราปราศจากมันก็มิอาจเคลื่อนไหวไปไหนได้เลย ถ้ารูปกายนี้ไม่มีจิตมันจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร จิตอันคือธรรมชาตินี้ชื่อว่าทำให้กายนี้เคลื่อนไหวไปได้ การเคลื่อนไหวทั้งปวงล้วนเป็นการเคลื่อนไหวแห่งจิต การเคลื่อนไหวไปจึงเป็นหน้าที่ของจิต ปราศจากการเคลื่อนไหวก็ไม่มีจิต แต่การเคลื่อนไหวไปในทางความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนนั้น มิใช่เป็นการเคลื่อนไหวแห่งจิต และธรรมชาติแห่งจิตก็มิใช่การเคลื่อนไหวไป ในทางความหมายแห่งความมีอัตตาตัวตนดังกล่าว

เพราะฉะนั้นแล้วการเคลื่อนไหวไป ก็คือการเคลื่อนไหวไปแบบนั้นตามธรรมชาติ จิตจึงมิใช่การเคลื่อนไหวที่เป็นตัวเป็นตน เพราะแท้จริงแล้วธรรมชาติแห่งจิตอันคือพุทธะนี้ คือความว่างเปล่าแบบเสร็จสรรพเด็ดขาดในความมีอิสรภาพเหนืออื่นใด มันมิใช่เป็นการเคลื่อนไหวไปในความเป็นทาสแห่งความอยาก ที่ปรุงแต่งเป็นจิตที่เป็นภาวะอัตตาตัวตนปรากฏขึ้น จิตนี้มันจึงเป็นจิตตามธรรมชาติแห่งตนที่แท้จริง มันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ มันจึงเป็นจิตและเป็นการเคลื่อนไหวไปแห่งรูปกายขันธ์ธาตุ ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

   (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/s350x350/1932466_498573743586005_1955629128_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   6 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://2.bp.blogspot.com/-0JNkw51nlEQ/TpEwdGH-6JI/AAAAAAAAAFc/sFv2HhyiINU/s600/iffy%2B-%2B100-1.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 38 ปลดปล่อยตนเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 07, 2014, 04:38:41 pm

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/p526x296/1964890_498982440211802_1414181280_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 38 ปลดปล่อยตนเอง

มรรคหมายถึงการปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ จากสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งปวง มรรคก็คือวิถีที่นำเราไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว กับความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น มรรคก็คือการที่เราได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง ตามธรรมชาติที่มันเป็นของเราอยู่อย่างนั้น โดยสามารถปลดปล่อยตนเองออกจากปรากฏการณ์ แห่ง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่มันเป็นอัตตาตัวตนเกิดขึ้น

ธรรมชาติแห่งพุทธะ คือธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่ทุกขณะ ตามความเป็นธรรมชาติของมันว่า ธรรมชาตินี้มันคือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น มรรคก็คือการที่ระลึกรู้ได้ตามธรรมชาติว่า ธรรมชาติมันยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้นตามปกติ เมื่อท่านเป็นปุถุชนคนหนึ่ง แต่สามารถเข้าใจและมีธรรมชาติแห่งการระลึกได้ตามธรรมชาตินั้น ก็ถือได้ว่าท่านได้เดินบนหนทางแห่งมรรคนั้นแล้ว แท้จริงแล้วปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ปรากฏการณ์อันเป็นตัวตนได้อย่างแท้จริง เพราะการเกิดขึ้นดังกล่าวมันไม่สามารถดำรงฐานะแห่ง "ความเป็นมัน" ได้อย่างมั่นคงถาวรได้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เพราะธรรมชาติมันย่อมแปรปรวน มันจึงเป็นเพียง "มายา" แห่งปรากฏการณ์ เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญาอันเข้าใจได้ตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทุกสรรพสิ่งย่อมมีความเสมอภาคเป็นเนื้อหาเดียวกัน อันคือความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้เดินไปบนเส้นทางแห่งธรรมชาติอันคือมรรคนั้นแล้ว ผู้นั้นย่อมสามารถถอนความเป็นตนเองออกจากภพทั้งสามได้

ภพทั้งสามอันคือ โลภ โกรธ หลง การออกจากสามภพคือการหันหลังถอยออกมา จากเส้นทางแห่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนทั้งหลาย มาสู่เส้นทางมรรคซึ่งเป็นเส้นทางในความเป็นธรรมชาติแห่งตนเอง เป็นการเดินบนมรรคอันประกอบไปด้วย การมีศีลตามธรรมชาติ การมีธรรมชาติแห่งสมาธิอันคือความตั้งมั่นในธรรมชาตินั้น การมีปัญญาอันคือความเข้าใจในธรรมชาติทั้งปวง แท้ที่จริงความโลภโกรธหลงก็มิใช่สิ่งใดๆที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้ มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่มิใช่ปรากฏการณ์ หากท่านเข้าใจความเป็นธรรมชาติแห่งมันได้

ในพระสูตรกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะอาศัยอยู่กับอสรพิษทั้งสาม และรักษาบำรุงเองด้วยธรรมอันไม่บริสุทธิ์เหล่านี้" ก็เพราะปรากฏการณ์ทั้งหลายที่แสดงฐานะแห่งมัน ปรากฏเป็นความทุกข์เกิดขึ้นอันได้แก่อสรพิษคือ ความโลภ โกรธ หลง พระพุทธเจ้าได้ใช้ธรรมอันไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ มารักษาใจของพระพุทธองค์เอง ด้วยการพิจารณาด้วยพุทธิปัญญาของพระพุทธองค์ ถึงความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ ว่าแท้จริงธรรมชาติเหล่านี้มันหามีความเป็นตัวเป็นตน ปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริงไม่ พระพุทธองค์จึงใช้ความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งอสรพิษเหล่านี้ มารักษาใจของพระองค์เองจนกลายเป็นใจแห่งพระพุทธเจ้า ที่มีความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติที่แท้จริงอยู่อย่างนั้น

ในพระสูตรกล่าวอีกว่า "ไม่มียานใดเลย เป็นยานของพระพุทธเจ้า" ใครก็ตามรู้แจ้งชัดว่า อายตนะทั้งหก ไม่ใช่ของจริง ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาพลวงตา แท้ที่จริงธรรมชาติไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์มาก่อน เพราะแท้ที่จริงแล้วธรรมชาติย่อมมีแต่ความว่างเปล่า ของมันตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้ใดเข้าใจความเป็นจริงดังนี้ได้แล้ว ถือว่าผู้นั้นเข้าใจภาษาของพระพุทธเจ้า และได้ยานแห่งธรรมชาตินั้นพาไปสู่ความเป็นอิสรภาพชั่วนิจนิรันดร

จิตที่เป็นธรรมชาติแห่งการไม่ปรุงแต่งใดๆ ถือว่าเป็นเซน ทุกๆครั้งและตลอดไปที่ท่านได้มีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้ ในทุกๆขณะท่ามกลางอิริยาบถทั้งสี่ว่า ธรรมชาตินี้มีแต่ความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น นี่ก็ถือว่าเป็นเซน การรู้ว่าธรรมชาติแห่งจิตนี้คือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น ก็ถือว่าเป็น เซน การรู้ว่าแท้จริง ไม่มีจิต ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆได้เลย การเห็นว่าแท้จริงแล้วไม่เคยมีจิตเกิดขึ้นเลย นี่ก็เป็นการเห็นธรรมชาติแห่งพุทธะ และนี่ก็เป็นเซน

(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/p480x480/1962618_507555976021115_1579927105_n.jpg)

การสลัดทิ้งซึ่งปรากฏการณ์แห่งอัตตาตัวตน โดยที่ไม่มีความเสียใจใดๆ เป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การไปอย่างมีอิสระเหนือความเคลื่อนไหวและเหนือความนิ่ง เป็นธรรมชาติที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่แปรผันไปเป็นอย่างอื่น เป็นกรรมฐานที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ปุถุชนยังเคลื่อนไหวไปพร้อมกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย แต่พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นย่อมหยุดนิ่ง เป็นการหยุดนิ่งที่สามารถเคลื่อนไหวไปได้ด้วยการไร้ปรากฏการณ์ ก็เมื่อบุคคลทั้งหลายมีความเข้าใจ ถึงความเป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมเห็นธรรมชาติที่สามารถปลดปล่อยตนเองออกมา จากปรากฏการณ์ทั้งปวงได้ โดยปราศจากปรากฏการณ์แห่งความพยายาม ที่จะเป็นธรรมชาติตามที่ใจตนต้องการ

การใช้จิตเฝ้าดูจิต แท้ที่จริงเป็นความหลงผิด การเฝ้าดู "บางสิ่งบางอย่าง" ก็เป็นปรากฏการณ์แห่งการปรุงแต่งเป็นจิตขึ้นเพื่อเฝ้าดูสิ่งสิ่งนั้น เมื่อมันเป็นจิตที่เกิดขึ้นแล้ว มันจึงเป็นการเอาการปรุงแต่งของเราไปเฝ้าระมัดระวังสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่มันอาจจะปรุงแต่งหรือมันปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว มันจึงเป็นการเอาการปรุงแต่งไปเฝ้าระมัดระวังการปรุงแต่ง มันจึงเป็นการเอาอัตตาเฝ้าระมัดระวังอัตตา เมื่อแท้จริงจิตก็เป็นความมืดมนมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะเอาความมืดมนชนิดที่เรียกว่า "จิต" นี้ มาเฝ้าระมัดระวังอะไรอีก เราจึงไม่ควรใช้จิตค้นหาความเป็นจริง แต่เราควรใช้สติปัญญาค้นหาความเป็นจริงตามธรรมชาติ การปลดปล่อยตนเองจากการค้นหาเฝ้าระวัง คือความเป็นอิสรภาพอันแท้จริงแห่งตน การดำรงจิตให้มันเป็นไปตามธรรมชาติแห่งมัน คือการเดินไปบนหนทางแห่งความเป็นจริง โดยสภาพของมันตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น

การไม่เป็นทุกข์กับการมาและการไป เป็นการเข้าถึงมรรค การรู้จักธรรมชาติและการไม่สร้างความหลงขึ้นมาอีก คือ โพธิ การดำรงชีวิตบนพื้นฐานความเป็นจริงตามธรรมชาติ โดยไม่เกี่ยวข้องกับอวิชชาคือญาณปัญญา การพ้นจากความทุกข์ยาก คือ พระนิพพาน การหลุดพ้นจากจิตทั้งหลายอันคือมายา คือการเข้าถึงฝั่งแห่งวิมุตติ เมื่อยังถูกอวิชชาครอบงำ ท่านก็อยู่ฝั่งนี้ ฝั่งที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เมื่อท่านรู้แจ้งในธรรมชาติท่านก็มิได้อยู่ฝั่งนี้ ปุถุชนทั้งหลายผู้หลงอยู่ในความมืดบอด ก็ยังต้องอยู่ฝั่งนี้ แต่บุคคลผู้เดินไปตามมรรคที่มันเป็นความบริบูรณ์พร้อม ก็มิได้อยู่ฝั่งทางนี้หรือฝั่งทางไหน บุคคลผู้มีความสว่าง สามารถมองและรู้ด้วยใจของตนเองว่าอะไรเป็นอะไร บุคคลเหล่านี้ย่อมสามารถก้าวข้ามฝั่งทั้งสองนี้ไป ย่อมทิ้งฝั่งทั้งสองไปได้ บุคคลผู้ยังเห็นความแตกต่างระหว่างฝั่งนี้และฝั่งโน้น บุคคลเหล่านี้ชื่อว่ายังไม่เข้าใจธรรมชาติและยังไม่ใช่เซน

ความหลงเดินไปในหนทางที่มืดมิด เป็นคุณสมบัติของปุถุชน ธรรมชาติแห่งการระลึกรู้เป็นคุณสมบัติของผู้รู้ตื่นพุทธะ ทั้งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะความเสมอภาคแห่งทุกสรรพสิ่ง ทำให้ปุถุชนไม่มีความแตกต่างไปจากผู้รู้ตื่น ในพระสูตรกล่าวว่า "อมตธรรม เป็นสิ่งที่ปุถุชนเข้าถึงไม่ได้ และนักปราชญ์ก็ไม่ได้ปฏิบัติ แต่อมฤตธรรม ถูกปฏิบัติโดยโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้าแต่เพียงเท่านั้น" การเฝ้าดูจิตเฉยๆว่านี่คือชีวิตเสมือนต่างจากความตาย การเฝ้าดูความเคลื่อนไหวเสมือนต่างจากความนิ่ง นั่นเป็นการแบ่งแยก

การไม่แบ่งแยกหมายถึง ทุกข์กับนิพพานไม่มีความแตกต่างกัน หากเห็นว่ามีความแตกต่างกัน นิพพานที่เห็นก็เป็นเพียงนิพพานแห่งภาวะ ที่คุณปรุงแต่งถึงความเป็นหน้าตาแห่งมันขึ้น เพราะทุกข์กับนิพพานแท้จริงมีความเสมอภาคกัน ในความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น หากเห็นว่ายังแตกต่าง การเข้าถึงที่สุดแห่งความทุกข์และการเข้าสู่นิพพาน ก็เป็นเพียงภาพแห่งความคิดของเราแต่เพียงเท่านั้น เป็นการติดกับดักในความเป็นปรากฏการณ์แห่งนิพพานที่เกิดขึ้น นิพพานชนิดนี้มันย่อมตั้งอยู่ในสภาพแห่งมันได้ไม่นาน ภาวะแห่งนิพพานนี้ มันต้องดับไปในความเป็นตัวเป็นตนแห่งนิพพานอยู่อย่างนั้น แท้จริงหามีภาวะแห่งนิพพานปรากฏเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้นไม่ มันคงมีแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่รู้แจ้งย่อมรู้ชัดว่าความทุกข์ โดยสาระตามความเป็นจริง มันคือความว่างตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น การตระหนักอย่างชัดแจ้งและกลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งความว่าง มันก็คือนิพพานโดยเนื้อหาของมันอยู่อย่างนั้น ในความเสมอภาคแห่งทุกสรรพสิ่งโดยไม่มีความแตกต่างใดๆ

   (https://lh5.googleusercontent.com/-c_vhYlBr4rA/Uw3_nQ1-WGI/AAAAAAAAkGY/2l0f3CFRRlA/w333-h599/2014+-+1)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   7 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh5.googleusercontent.com/-k9lKM781Zqk/UwqirB0OoGI/AAAAAAAUrds/EAycAPtBRxg/w333-h460/1014422_483457125110727_454872482_n.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 09, 2014, 05:55:45 pm

(http://media-cache-ak0.pinimg.com/736x/35/a2/d3/35a2d371e3faee65b58408edf239b018.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 39 นิพพาน

นิพพานหมายถึงความไม่เกิดและไม่ตาย มันเป็นธรรมชาติที่อยู่นอกเหนือ การต้องไปเกิดและการที่จำพรากจากไปด้วยความตาย และมันอยู่นอกเหนือการปรากฏการณ์แห่งภาวะนิพพานที่เกิดขึ้น เพราะการเข้าไปยึดภาวะแห่งการหลุดพ้น เมื่อจิตหยุดการเคลื่อนไหวไป ในทิศทางแห่งความหมายที่เป็นตัวเป็นตนแห่งจิต จิตนั้นก็กลายเป็นธรรมชาติแห่งจิตที่มีแต่ความว่างเปล่า นิพพานก็คือธรรมชาติแห่งจิตนี้ โมหะไม่ได้อยู่ที่ใด พระพุทธเจ้าก็เข้าสู่นิพพานที่จิตอันเป็นธรรมชาติของท่าน ความทุกข์โดยสภาพของมันไม่มีที่ตั้ง ถึงพยายามจะตั้งให้มันเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น โดยธรรมชาติแล้วมันก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ เมื่อความทุกข์โดยธรรมชาติแล้วตั้งอยู่ไม่ได้ มันคงเป็นเพียงแต่ธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า พระโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้ธรรมรู้แจ้งชัดในความตั้งอยู่ไม่ได้ ณ ที่นั้น

สถานที่ที่ไม่น่าอยู่มีความอึดอัดคับแคบ คือสถานที่แห่งภพทั้งสาม ในความโลภ โกรธ หลง เมื่อมีความปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็เข้าไปอยู่ในภพทั้งสาม เมื่อรู้แจ้งและเข้าถึงธรรมอันเป็นธรรมชาติ ก็สามารถออกมาจากภพทั้งสามได้ การเริ่มหรือการอยู่กับภพทั้งสามก็ขึ้นอยู่กับจิต จิตนี้ย่อมเข้าถึงได้ทุกสรรพสิ่ง ใครก็ตามที่รู้ว่า จิตมันเป็นเพียงมายาแห่งภาวะที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆ จึงเป็นผู้รู้ว่าจิตนี้คือธรรมชาติแห่งความว่าง แต่ปุถุชนผู้ปกคลุมไปด้วยจิตของตนที่เป็นภาวะแห่งการปรุงแต่ง จึงชอบอ้างว่า "จิตมีอยู่" แต่โพธิสัตว์ทั้งหลายและพระพุทธเจ้า รู้แจ้งชัดถึงการไม่ปรุงแต่งและการปรุงแต่งเป็นจิต ซึ่งหมายถึงมิใช่การไม่มีอยู่ของจิตหรือการมีอยู่ของจิต มันมิใช่ความหมายทั้งสองนี้ในเรื่องการมีหรือไม่มี แต่มันเป็นเพียงธรรมชาติแห่งความว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องของจิต และมันไม่ใช่การเป็นเรื่องความมีหรือไม่มีจิต แต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นทางสายกลางอย่างแท้จริง มันเป็นกลางนอกเหนือความมีอยู่หรือไม่มีอยู่

ถ้าท่านศึกษาความเป็นจริงแห่งธรรมชาติอันคือสัจจะ โดยไม่ใช้จิตมาเกี่ยวข้อง ท่านก็สามารถเข้าถึงความเป็นจริงอันคือสัจจะ และความเป็นจริงแห่งจิตได้ บุคคลผู้มืดบอดไม่มีปัญญาอันแท้จริงย่อมไม่เข้าใจสัมมาทิฐิ บุคคลผู้มีปัญญาอันแจ้งชัดย่อมเข้าใจในสัมมาทิฐิ บุคคลที่รู้ว่าธรรมชาติและจิตเป็นสิ่งเดียวกันมาตั้งแต่ต้น รู้ว่าแท้จริงจิตคือธรรมชาติที่มันว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น ก็คือบุคคลที่ได้ปัญญาแห่งความเป็นพุทธะแล้ว คนเหล่านี้ย่อมอยู่เหนือภาวะแห่ง การมีอยู่แห่งปัญญาญาณและการไม่มีอยู่แห่งปัญญาญาณ นั่นคือความเป็นสายกลางแห่งสัมมาทิฐิ

เมื่อได้ดำเนินไปในทางสายกลาง รูปจึงมิใช่รูป เพราะรูปมีความเสมอภาคกับธรรมชาติแห่งจิต จิตและรูปเป็นเพียงเหตุได้อาศัยซึ่งกันและกัน มันจึงมิใช่ความหมายแห่งการมีรูปและมีจิต มันจึงมิใช่เป็นการเกิดขึ้นแห่งการมีอยู่ของการที่รูปกับจิตได้อาศัยกัน ทางสายกลางจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มิได้เกี่ยวกับอะไรและอะไรระหว่างรูปกับจิต

ก็ด้วยความเป็นจริงตามธรรมชาติซึ่งเป็นสัจจะนี้ มันเป็นเพียงธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น มิได้เกี่ยวกับจะต้องมีสิ่งใดเห็นและจะต้องมีสิ่งใดถูกเห็น ธรรมชาติมิใช่การได้เห็นและต้องเห็นภาวะที่เกิดขึ้น ธรรมชาติมันย่อมแจ่มแจ้งไปโดยรอบ โดยความเป็นตัวมันเองแห่งธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้ความมุ่งเน้นในการดูการเห็น เพราะการดูการเห็นโดยมุ่งเน้นนี้ มันทำให้เกิดภาวะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการได้เห็นได้ดูได้ทัศนาแห่งปุถุชนภาวะแต่เพียงเท่านั้น มันมิใช่การเห็น "ตามความเป็นจริง" แต่อย่างใด

จิตและโลกมันอยู่ตรงข้ามกันเสมอ การรู้เห็นด้วยความเป็น"จิต" ที่ทำให้ความหมายแห่งความเป็นโลกเกิดขึ้น เป็นการรู้เห็นเกิดจากการพบเห็นโดยใช้จิตเพ่งมองดู แต่เมื่อโลกและจิตทั้งสองมีความเสมอภาคแจ่มแจ้งเท่ากัน จึงเป็นการใช้จิตตามธรรมชาติมองดูโลกนี้ตามความเป็นจริง จึงเป็นการเห็นแบบสัมมาทิฐิ การมองไม่เห็นสิ่งใดๆ คือการเข้าใจมรรค การไม่เข้าใจสิ่งใดๆเลย คือการเข้าใจธรรมะ เพราะการเห็นที่แท้จริงมิใช่การมองเห็นหรือการมองไม่เห็น และการเข้าใจที่แท้จริงมิใช่การเข้าใจแล้วหรือยังมิได้เข้าใจ การเข้าใจโดยที่มิต้องอาศัยการเข้าใจ การเข้าใจจึงเป็นการเข้าใจตามความเป็นจริง การเห็นตามความเป็นจริงมิใช่เป็นการเห็นแต่เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นการเห็นตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นโดยมิต้องใช้วิธีดู และสัมมาทิฐิมันมิใช่เป็นการเห็นด้วยสติปัญญาแต่เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นการเห็นตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อท่านได้เป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมชาตินั้นแล้ว จึงมิใช่เป็นเรื่องของความเข้าใจและความไม่เข้าใจ ความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติมันมิใช่ความเข้าใจในภาวะที่เกิดขึ้น

เมื่อท่านเข้าใจความเป็นจริงตามธรรมชาติ ความจริงนั้นก็อาศัยท่าน เมื่อท่านยังไม่เข้าใจในความเป็นจริง ท่านก็อาศัยความเป็นจริงนั้น เมื่อความเป็นจริงอาศัยท่านด้วยความไม่มีอะไรแตกต่าง ระหว่างท่านกับความจริงนั้น สิ่งที่ไม่จริงนั้นก็กลายเป็นจริงตามธรรมชาติ แต่เมื่อท่านต้องอาศัยความเป็นจริง สิ่งที่จริงตามธรรมชาติของมันก็กลายเป็นเท็จในสายตาท่าน ทุกสรรพสิ่งก็เป็นจริงตามเนื้อหาของมัน ที่เป็นอยู่อย่างนั้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ดังนั้นผู้รู้ทั้งหลายจึงไม่ใช้จิตของตนค้นหาสัจธรรม เพราะจิตนั้นโดยความเป็น "จิต" ของมันเอง มันคือภาวะแห่งการเคลื่อนไหวไป โดยมิได้ทำให้เกิดความจริงขึ้นมาแต่อย่างใด และความจริงซึ่งคือธรรมชาติก็มิได้ทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งการเกิดขึ้นแห่งจิต ดังนั้นผู้รู้ทั้งหลายจึงใช้สัจธรรมค้นหาสัจธรรม ใครก็ตามที่รู้ว่าแท้จริงตามธรรมชาติ ย่อมไม่มีอะไรกับอะไรอาศัยซึ่งกันได้ ผู้นั้นย่อมเข้าถึงมรรค ใครก็ตามที่รู้ว่า "จิต" นี้ย่อมเป็นจิตอยู่อย่างนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับความเป็นอะไร เขาผู้นั้นย่อมพบเส้นทางแห่งการรู้ชัดแจ้งในธรรมชาติอยู่เสมอ

เมื่อท่านไม่เข้าใจ ท่านก็ผิด ผิดไปจากความเป็นจริง เมื่อท่านเข้าใจท่านก็ไม่ผิด เป็นความเข้าใจตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เพราะความผิดทั้งหลายมันเป็นของว่างเปล่า เสมอกันในบรรดาแห่งความผิดเหล่านั้น เมื่อท่านไม่เข้าใจ ต่อให้ท่านใช้ความพยายามอีกสักเท่าใด ความที่มันถูกอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน ก็กลับกลายมาเป็นผิดตามความไม่เข้าใจของท่าน และเมื่อท่านเข้าใจมันแล้วความผิดก็มิใช่ความผิดอีกต่อไป มันก็คงมีแต่ความถูกตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่ท่านเข้าใจมันอยู่อย่างนั้น ก็เพราะด้วยความเป็นจริง "ความผิด" ย่อมไม่มีอยู่จริง

พระสูตรกล่าวว่า "ไม่มีธรรมชาติที่เป็นตัวของมันเองได้เลย มันคงมีแต่ธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ในความเป็นจริงแห่งความว่างเปล่า" เมื่อท่านยังหลงไปในความเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อายตนะทั้งหกและขันธ์ทั้งห้าย่อมสร้างความทุกข์ และการเกิดการตายให้แก่ท่านได้อยู่ทุกเมื่อ แต่เมื่อท่านได้มีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้อยู่เสมอ อายตนะทั้งหกและขันธ์ทั้งห้าก็เป็นเพียงเหตุปัจจัย ที่ท่านได้อาศัยเพื่อความเป็นเสมอภาคในธรรมชาติ ที่คงอยู่กับท่านอยู่อย่างนั้น คนที่พบมรรคเดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง ย่อมรู้ว่าธรรมชาติแห่งจิตตนนั้นคือมรรค เมื่อเขาพบกับจิตชนิดนี้เขากลับไม่พบอะไรในความเป็นจริงนั้น เมื่อเขาได้เดินไปบนหนทางแห่งความไม่มีอะไรในมรรคนั้น เขากลับพบความเป็นจริงในทุกย่างก้าวที่ได้ก้าวไป ถ้าท่านยังคิดว่ามรรคนั้นเกิดจากการใช้จิตค้นหา ท่านก็ยังดำเนินไปในทางที่ผิดอยู่ เพราะมรรคนั้นเป็นการทำความเข้าใจ ในความเป็นจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

 เพราะฉะนั้นมรรคจึงไม่ใช่การค้นหาและต้องใช้อะไรค้นหา ถึงท่านจะหลงทางไป แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นยังคงอยู่ เมื่อท่านมีธรรมชาติแห่งการระลึกรู้ได้ ถึงความที่ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ความหลงก็จะหายไป ความเป็นมรรคที่แท้จริงก็จะปรากฏอยู่ต่อหน้า ต่อให้ท่านใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะค้นหามรรค จนลมหายใจท่านหยุดและร่างกายแตกดับ แต่เมื่อท่านหยุดการดิ้นรนค้นหา ในมายาแห่งมรรคนั้น มรรคนั้นก็จะกลับมาเป็นมรรคตามความเป็นจริงแห่งมัน จงปลดเปลื้องความคิดทุกความคิด อันเกี่ยวกับมรรคและธรรมทุกชนิดออกเสีย แล้วหันหน้ามาเผชิญต่อความเป็นจริงแล้ว ตามที่มันเป็นอยู่ของมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว

การเห็นรูปแต่ธรรมชาติแห่งจิตไม่เศร้าหมองเพราะรูปนั้น การได้ยินด้วยธรรมชาติแห่งจิตนั้น ชื่อว่าเป็นการดำรงชีวิตอยู่ด้วยจิตหลุดพ้น อันคือความเป็นไปในความเป็นธรรมชาติของจิตนั้นนั่นเอง ตา ที่มองเห็นด้วยความเป็นธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่า เซน หู ที่ได้ยินด้วยความเป็นธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่า เซน เช่นกัน กล่าวโดยสรุปบุคคลที่ยอมรับว่าชีวิตตนคือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น ชื่อว่า จิตอันหลุดพ้นเพราะความเป็นธรรมชาตินั้น เมื่อท่านมองดูรูปด้วยความเป็นธรรมชาติของจิต รูปก็ไม่ขึ้นต่อจิต และจิตก็ไม่ขึ้นต่อรูป ทั้งรูปและจิตนี้ต่างก็บริสุทธิ์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

เมื่อปราศจากโมหะ จิตก็คือธรรมชาติแห่งพุทธะ เมื่อโมหะมี จิตก็คือจิตแห่งการยึดมั่นถือมั่น อวิชชาสร้างความหลงและให้จิตสร้างภพชาติให้เกิดขึ้น ปุถุชนจึงหลงไปเกิดในดินแดนแห่งการเกิดการตายนับไม่ถ้วน พระโพธิสัตว์ได้รู้แจ้งแทงตลอดถ้วนทั่วทุกอณูธรรมธาตุ ท่านจึงเลือกที่จะอยู่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น
ถ้าท่านไม่ใช้จิตปรุงแต่ง จิตโดยธรรมชาติมันนั้นมันคือธรรมชาติแห่งความหยุดนิ่ง ปราศจากความเคลื่อนไหวปรุงแต่งใดๆกลายเป็นจิตต่างๆนานา จิตมันเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น มันจึงชื่อได้ว่า ธรรมชาติแห่งการหยุดนิ่งภายใน เมื่อท่านหลงไปปรุงแต่งจนเกิดเป็นภาวะแห่งจิต ท่านก็จะหลงไปทำกรรมดีกรรมชั่ว ต้องไปเกิดในนรก ในสวรรค์

กายไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่หรือไม่มีอยู่ แต่กายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความเสมอภาค ในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น อัตตาเป็นทรัพย์ของปุถุชน อนัตตาเป็นอริยทรัพย์ของบัณฑิต เมื่อท่านได้ทำความเข้าใจรู้จักความเป็นธรรมชาติ ความเป็นอนัตตาคือธรรมชาติแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นญาณที่ดีที่ทำให้ท่านเข้าถึงความเป็นธรรมชาตินั้นๆ โดยไม่ต้องทำอะไรลงไปอีกเลย เมื่อจิตเข้าถึงนิพพานอันคือธรรมชาติที่แท้จริงแห่งจิต ท่านก็จะไม่เห็นนิพพานในลักษณะเป็นภาวะนิพพานที่มันเกิดขึ้น แต่ถ้าท่านเห็นนิพพานด้วยความเป็นจิตแห่งภาวะที่เกิดขึ้น ท่านก็กำลังหลงตัวเอง

ความทุกข์ยากคือเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ ความทุกข์เป็นสัจธรรมความเป็นจริง ที่เข้ามากระตุ้นให้ปุถุชนใช้ปัญญาพิจารณา ถึงธรรมชาติแห่งทุกข์นั้น
แต่ท่านอาจคิดไปว่า ทุกข์ทำให้พุทธะภาวะเกิดขึ้น แต่ไม่อาจกล่าวว่าทุกข์เป็นพุทธะภาวะ แต่ความเป็นจริงตามธรรมชาติ ทุกข์และพุทธะต่างก็เป็นเพียงเหตุและปัจจัย อาศัยซึ่งกันและกันแต่เพียงเท่านั้น ทุกข์และพุทธะต่างก็มีความเสมอภาคกัน ด้วยความเป็นเนื้อหาเดียวกันในความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้น กายและจิตของท่านเปรียบเสมือนดั่งท้องทุ่งนา ทุกข์คือเมล็ดพืช ปัญญาคือต้นกล้า พุทธะคือเมล็ดข้าว อุปมาอีกอย่างหนึ่ง จิตอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นเปรียบเสมือนกลิ่นหอมในไม้ พุทธะเกิดจากธรรมชาติแห่งจิตที่มีความเป็นอิสระอยู่อย่างนั้น มันเป็นเหตุให้อาศัยซึ่งกันและกันในความเป็นธรรมชาตินั้น ถ้ามีกลิ่นหอมโดยปราศจากไม้ ก็เป็นกลิ่นหอมที่ประหลาด ถ้าเป็นพุทธะโดยปราศจากธรรมชาติแห่งจิต ก็เป็นพุทธะที่ประหลาดเช่นกัน

   (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/p403x403/1970580_499528820157164_2123699316_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   7 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://media-cache-ak0.pinimg.com/736x/9f/95/06/9f95067f245ebd7d931b898f19a29a44.jpg)
หัวข้อ: Re: "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 09, 2014, 06:34:25 pm

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1544512_499959393447440_1298605075_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 40 ความเป็นพุทธะ

ถ้าอสรพิษทั้งสามอยู่ในจิตท่าน ท่านก็อยู่ในดินแดนแห่งความสกปรก เมื่อธรรมชาติแห่งจิตมันคือความว่างเปล่า ปราศจากอสรพิษทั้งสามแล้ว ท่านก็อยู่ในดินแดนแห่งธรรมชาติ ที่มีความสะอาดบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น พระสูตรได้กล่าวว่า "ถ้าท่านอยู่ในดินแดนแห่งความสกปรก พุทธะภาวะก็ไม่ปรากฏ เพราะความเศร้าหมองและความสกปรกทั้งหลาย หมายถึงความหลงและกิเลส อันเป็นอสรพิษร้าย พุทธะหมายถึงธรรมชาติแห่งความสว่าง สะอาด สงบ"

ไม่มีภาษาคำพูดใดๆ ที่ไม่ใช่ธรรมะเลย ถ้าพูดได้ทั้งวันโดยไม่ได้พูดถึงสิ่งใดเลย อันหมายถึงมิได้พูดเพื่อให้เกิดเป็นภาวะของสิ่งนั้น นี่คือ มรรคอันเป็นธรรมชาติ การนั่งเงียบทั้งวันแต่ยังมีการพูดถึงบางสิ่ง ที่มันกลายเป็นภาวะที่เกิดขึ้น ย่อมไม่เป็นมรรค และมันเป็นหนทางออกนอกเส้นทางธรรมชาติ ดังนั้นวาจาของตถาคตเจ้านั่นคือสุรเสียงอันคือธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่มิได้อาศัยความเงียบแต่อย่างใด ดังนั้นบัณฑิตผู้เข้าใจวาจาและความเงียบ คือบุคคลที่อยู่ในความเป็นธรรมชาตินั้น อย่างมิได้แปรผันไปเป็นอย่างอื่น มันเป็นธรรมชาติแห่งสมาธิอยู่อย่างนั้น ถ้ารู้หรือพูดออกมา คำพูดด้วยวาจานั้นคือความเป็นอิสระ ถ้าไม่รู้แล้วเงียบ ความเงียบก็คือความกังวล อันคือภาวะแห่งจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาแบบเงียบๆเช่นกัน ถ้าไม่ยึดติดกับปรากฏการณ์ภายนอกเลย นั่นก็คือความเป็นอิสระ ถ้าความเงียบได้ติดอยู่กับปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ความเงียบมันก็คือภาวะแห่งความกังวลอันมิใช่ธรรมชาติแห่งพุทธะภาษาโดยเนื้อหาตามธรรมชาติมันคือความเป็นอิสระ และโดยความเป็นธรรมชาตินั้นแห่งการพูดด้วยวาจาต่างๆ มันไม่มีอะไรต้องทำด้วยการยึดมั่นถือมั่น และการยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มีอะไรต้องทำด้วยภาษา ความจริงตามธรรมชาติไม่มีสูงไม่มีต่ำ ถ้าท่านพูดออกมา ด้วยความมีค่าแห่งความสูงส่งและความด้อยค่าแห่งความต่ำต้อย มันก็มิใช่ธรรมชาติที่แท้จริง

ไม่มีจิตก็ไม่มีพุทธะ ปราศจากพุทธะก็ไม่มีจิต ใครก็ตามที่พูดถึงการปลดเปลื้องแห่งจิต เขาผู้นั้นก็ย่อมอยู่ห่างจากจิตอันแท้จริง เพราะจิตอันคือธรรมชาติแห่งความเป็นจริงอยู่อย่างนั้น มันเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้วไม่มีอะไรให้ปลดเปลื้อง เพราะฉะนั้นจงอย่ายึดมั่นในปรากฏการณ์แห่งจิต และจะต้องเข้าไปปลดเปลื้องจิตอันคือปรากฏการณ์นั้นๆ ในพระสูตรกล่าวว่า "เมื่อท่านได้เห็นปรากฏการณ์แห่งจิต ท่านก็เห็นพุทธะ" ซึ่งหมายความถึง เมื่อท่านเข้าใจได้ตามความเป็นจริงแล้วว่า แท้จริงมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถยึดมันให้เป็นตัวเป็นตน ตามความปรารถนาของท่านได้ตลอดไป มันเป็นเพียงความว่างเปล่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว หาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ เมื่อปรากฏการณ์ย่อมมิใช่ปรากฏการณ์ด้วยความเป็นจริงตามธรรมชาติ ท่านก็ได้เห็นธรรมชาติแห่งพุทธะแล้ว

"ปราศจากจิตก็ไม่มีพุทธะ" หมายความว่า พุทธะมาจากจิต จิตอันคือธรรมชาตินั้นให้กำเนิดพุทธะ ถึงแม้พุทธะมาจากจิต แต่จิตก็ไม่ได้มาจากพุทธะ อุปมาเหมือนปลามาจากน้ำอยู่อาศัยในน้ำ แต่น้ำมิได้เกิดจากปลา ใครต้องการเห็นปลาก็ต้องมาดูที่น้ำซึ่งปลาได้อาศัยอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ใครต้องการพบเจอพุทธะ ก็ต้องมาดูมาทำความเข้าใจในความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเสียก่อน เขาจึงจะเป็นพุทธะได้ เมื่อท่านเห็นปลาแล้ว ท่านก็ได้มองดูปลาว่าคือปลา โดยไม่สนใจกับน้ำที่ปลาได้อาศัยอยู่ เมื่อท่านพบพุทธะแล้ว พุทธะนั้นก็จะทำให้ท่านเข้าใจว่า พุทธะก็คือพุทธะ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับจิตอีกต่อไป

ปุถุชนกับความเป็นพุทธะ เปรียบเสมือนน้ำกับความเย็น การที่ชีวิตมีแต่ความทุกข์โศกเป็นปุถุชนภาวะ การที่เห็นธรรมชาติแห่งจิตตนเรียกว่าพุทธะ ความเป็นธรรมชาติที่อาศัยเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน น้ำแข็งก็ย่อมมาจากน้ำธรรมดา ธรรมชาติของน้ำแข็งก็คือความเป็นน้ำนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นปุถุชนภาวะก็คือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั่นเอง ภาวะทั้งสองแห่งความเป็นปุถุชนกับความเป็นพุทธะ มันอยู่ในความเป็นธรรมชาติเดียวกัน มันเป็นเพียงความแตกต่างแต่ชื่อ แต่ความเป็นเนื้อหานั้น มันเท่าเทียมกันในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น

เมื่องูกลายเป็นมังกรมันก็ไม่ได้เปลี่ยนเกล็ด เมื่อปุถุชนเปลี่ยนมาเป็นบัณฑิต เขาก็ยังเป็นเขาคนเดิมมิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่ใจเขาได้ปรับเปลี่ยนไปเป็นพุทธะแต่เพียงเท่านั้น กิเลสปลดปล่อยพุทธะและพุทธะก็ปลดปล่อยกิเลส ความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสนั้น ทำให้เกิดความสำนึกในความเป็นธรรมชาติแห่งมนุษย์ และความรู้สึกสำนึกในความเป็นธรรมชาตินั้น มันก็ช่วยให้เราเป็นอิสระอยู่นอกเหนือความทุกข์ยากนั้น ถ้าไม่มีความทุกข์ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ยาก ก็ไม่มีเหตุปัจจัยสำนึกในความเป็นเราขึ้นมา และถ้าไม่มีความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะอันเกิดจากการสำนึก ก็ไม่มีอะไรที่จะลบล้างความทุกข์ได้เช่นกัน พุทธะแท้จริงมันก็คือความเป็นพุทธะตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นใดเลย เพียงแต่ความทุกข์เป็นเหตุและปัจจัยเดียว ที่ทำให้เราก้าวเดินมาสู่ความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้

เมื่อเรายังถูก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำ ท่านก็ยังอยู่ฝั่งทางนี้ เมื่อท่านมีธรรมชาติแห่งการระลึกได้อยู่ทุกขณะว่า แท้จริงนี้คือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่อย่างนั้น ท่านก็อยู่ฝั่งทางโน้น และเมื่อใดจิตของท่านได้เป็นจิตอันคือธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที โดยเป็นธรรมชาติแห่งความมีอิสระ ไม่ยึดติดไม่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ภายนอก ท่านก็อยู่เหนืออำนาจแห่งความหลง ใน อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ท่านอยู่เหนือความรู้แจ้งอันทำให้ท่านเป็นอิสระ โดยที่ท่านเป็นอิสระต่อการจะต้องอยู่ฝั่งทางนี้หรือฝั่งทางโน้น พระตถาคตเจ้าก็มิได้อยู่ฝั่งทางนี้หรือฝั่งทางโน้น

   (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/p350x350/1661772_499949110115135_67904926_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   8 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (http://cdnimg.visualizeus.com/thumbs/d9/55/d955b0587b07c64ddaf7c5b44922b92c_i.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 41 กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 13, 2014, 11:41:16 pm

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s403x403/1488058_499976340112412_864025478_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 41 กรรม

อวิชชา ตัณหา อุปาทาน แห่งตนย่อมพาสร้างกรรม แต่กรรมมิได้เป็นผู้สร้างคน เพราะคนคือธรรมชาติที่เป็นมาอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะเขาพากันก่อกรรมต่างๆ และต้องรับผลแห่งกรรมนั้นไปบนหนทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความเป็นคนไม่เคยพ้นเส้นทางกรรม มีแต่คนที่รู้จักตนเองในความเป็นธรรมชาติแห่งตนที่ได้เกิดมา คนเหล่านี้ได้เดินไปบนมรรคแห่งความเป็นธรรมชาติแล้ว ย่อมไม่สร้างกรรมในชีวิตนี้และไม่ต้องรับผลกรรม บุคคลผู้เดินอยู่บนมรรคอันบริบูรณ์ถึงพร้อมนี้ อาจสร้างกรรมด้วยการกระทำแสดงออก แต่บุคคลเหล่านี้ก็มิได้สร้างความเป็นตัวเอง ในความเป็นตัวตนในการกระทำนั้น ปุถุชนผู้ชอบทำกรรมและยืนยันอย่างผิดๆต่อความเป็นจริงว่า "กรรมที่ทำย่อมไม่มีผลตอบสนอง" ก็ในเมื่อพวกเขาคิดเช่นนี้ หากกรรมเหล่านั้นให้ผลตอบสนอง พวกเขาจะทนทุกข์ได้หรือไม่

 เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจิตปัจจุบันของเขาเองได้สั่งสมกรรมอะไรมา สภาพจิตที่เกิดขึ้นด้วยการยึดมั่นถือมั่น ด้วยเหตุและปัจจัยในกาลข้างหน้า ก็ย่อม "เก็บเกี่ยวผล" มีความเกี่ยวข้องกับผลกรรมนั้นอีกต่อไป และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับกรรมเหล่านี้ เพราะพวกเขายังไม่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงตามธรรมชาติ พวกเขาจะหลบหลีกผลกรรมนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าความเป็นจริง พวกเขาได้รู้จักความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะของตน และเป็นอิสระอยู่นอกเหนือกรรม จิตอันเป็นปัจจุบันของพวกเขา ก็เป็นจิตที่เป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ แล้วสภาวะจิตของพวกเขาในวันข้างหน้า ก็คงเป็นจิตที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม จึงเป็นจิตที่ไม่สามารถสั่งสมกรรมได้อีกต่อไป

ในพระสูตรกล่าวว่า แม้ชาวพุทธจะมีความเลื่อมใสในความเป็นพระพุทธเจ้า แต่ชาวพุทธเหล่านี้ก็มองความเป็นพระพุทธเจ้าไปแบบผิดๆ พวกเขาเข้าใจว่ามีเพียงความเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และยังคิดเลยเถิดไปไกลอีกว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้บันดาลให้เกิดโชคลาภ พวกนี้ไม่อาจเข้าใจในความหมาย แห่งความเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้ พวกนี้เป็นมิจฉาทิฐิไม่อาจเชื่อถือได้ คนที่เข้าใจคำสอนแท้จริงของบัณฑิต ก็สามารถกลายเป็นบัณฑิตได้ คนที่เข้าใจคำสอนของปุถุชนและถูกครอบงำให้ปฏิบัติตาม เขาก็เป็นปุถุชน บุคคลผู้มีความเป็นบัณฑิตย่อมมองหาคนที่รู้ถึงความเป็นจริง และสามารถสั่งสอนเขาได้

ในพระสูตรกล่าวว่า "อย่าสอนธรรมอันแท้จริงให้แก่คนที่ไม่เข้าใจ" และยังมีข้อความอีกว่า "ใจซึ่งคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนั้น คือ คำสอน" คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติเขาย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นในทิฐิของเขา และเมื่อพวกเขาปฏิเสธความจริงอันคือธรรมชาตินี้ การปฏิเสธจะทำให้พวกเขาหันหลังให้กับความจริง ด้วยทิฐิที่พวกเขาพยายามก้าวเดินไปในหนทางอื่นอันหลงทาง ไม่อาจหวนกลับมาสู่ความจริงได้ เมื่อเขายังไม่เข้าใจเราก็ยังไม่ควรสอนเขา การสอนโดยขาดความศรัทธาความเชื่อในความเป็นจริงตามธรรมชาติ ย่อมก่อให้เกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย คนพาลผู้ขาดปัญญาเหล่านี้ ย่อมชอบหาความรู้ไกลความเป็นจริงแห่งตัวเองออกไป และเป็นการหาความรู้ที่ไม่ก่อประโยชน์อันใด เช่น ใฝ่หาเอากับพระพุทธรูป ธูปเทียนและแสงสีเป็นต้น พวกเขายอมให้จิตของเขาถูกกดขี่ไปด้วยอำนาจอวิชชา แห่งการสวดมนต์อย่างหลงใหล และยอมเสียความเป็นธรรมชาติแห่งจิตของตนเอง ไปกับสิ่งเหลวไหลไร้สาระ

พระสูตรกล่าวว่า "เมื่อท่านเห็นปรากฏการณ์ทั้งปวงไม่เป็นปรากฏการณ์ ท่านย่อมเห็นตถาคตเจ้า" ประตูที่นำไปสู่สัจจะความเป็นจริงนั้นเป็นหมื่นเป็นแสน ทุกๆประตูเหล่านี้ก็สงบออกมาจากจิต เมื่อปรากฏการณ์แห่งจิตก็มิใช่จิตที่แท้จริง มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่มิได้เกิดขึ้นเป็นตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด มันย่อมเลือนหายไปเหมือนมิได้ปรากฏขึ้นมาก่อนเลย มันจึงเป็นปรากฏการณ์ที่มิใช่ปรากฏการณ์ เมื่อปุถุชนมีชีวิตอยู่ เขาย่อมกังวลถึงความตาย และเมื่อพวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข พวกเขาก็กังวลถึงความหิว ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาใช้ชีวิต ด้วยความอยากแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อยู่ตลอดเวลา ผู้รู้แจ้งย่อมมีชีวิตอยู่เพื่อรอสัจธรรมแห่งชีวิตคือความตาย ผู้รู้แจ้งเมื่อชีวิตเขามีความสุข พวกเขาก็มีความสุขที่แท้จริงแห่งสัจธรรมตามธรรมชาติ เขาย่อมไม่มีความกังวลใดๆ เมื่อหิวเขาก็ย่อมกิน เมื่อง่วงเขาก็ย่อมนอน

ชีวิตของปุถุชนคือชีวิตที่แปรผันไปตามเหตุและปัจจัยอยู่เสมอ แต่ชีวิตของบัณฑิตผู้ที่เดินบนมรรค ย่อมไม่กังวลถึงอดีต และไม่คิดถึงอนาคต และไม่ยึดติดอยู่กับความเป็นปัจจุบัน จิตอันคือธรรมชาติของบัณฑิตเหล่านี้ย่อมเป็นอิสระอย่างแท้จริง ย่อมอยู่นอกเหนือการไปการมาแห่งทุกห้วงของกาลเวลา ถ้าท่านเป็นผู้มืดบอดหลงอยู่ในวังวนแห่งชีวิตตนเอง ก็ขอให้ท่านรีบตื่นออกมาจากความหลับใหล แล้วหันหน้ามาเผชิญต่อความเป็นจริง อย่าหมกมุ่นอยู่กับชีวิตอันขาดสติของตนอีกต่อไป

   (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1782091_501526206624092_267913316_n.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   12 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh6.googleusercontent.com/-aP7MqMBukEc/Ut4lVlO5LRI/AAAAAAAAB2s/kI7YJ0Fe6_Y/w533-h594/1098530_175237085997712_161361891_n.jpg)
หัวข้อ: Re: บทที่ 42 ปฏิบัติตามธรรมชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ มีนาคม 14, 2014, 12:28:06 am

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/s403x403/1796564_501527483290631_667171784_n.jpg)

หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร

บทที่ 42 ปฏิบัติตามธรรมชาติ

"ผู้ที่มีความตั้งใจที่จะเข้าถึงความหลุดพ้น จาก
กรรมวิบากความทุกข์ทั้งปวง เขาจะต้องปฏิบัติอย่างไร"
วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติไปตามความเป็นจริงตามธรรมชาติแห่งจิต เพราะแท้จริงแล้วจิตเป็นรากเหง้าแห่งความเป็นธรรมชาติ ของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันเป็นความเจริญเติบโตของสิ่งทั้งปวง ที่ล้วนออกมาจากความเป็นจิตที่แท้จริง ดังนั้นถ้าท่านเข้าใจในความเป็นจิต ทุกๆสิ่งก็ถูกรวมไว้ในจิตนี้หมดแล้วเช่นกัน จิตอันคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ มันเสมือนเป็นรากของต้นไม้ เพราะผลดอกกิ่งก้านสาขาและใบ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของความเป็นต้นไม้ทั้งหมด ล้วนอาศัยรากของมัน รากเป็นส่วนที่หาอาหารมาหล่อเลี้ยงลำต้น เพื่อให้ดอกใบเจริญเติบโตงอกงาม ถ้าบำรุงที่รากของมัน ต้นไม้ก็มีความเจริญเติบโตด้วยความอุดมสมบูรณ์ ถ้าท่านตัดราก ต้นไม้ก็ตาย

คนที่เข้าใจจิตของตนว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมออกมาจากจิตของตน และทุกๆสรรพสิ่งกับจิตนี้ ย่อมมีความเสมอภาคมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกัน ในความเป็นธรรมชาติของมันมาตั้งแต่แรกเริ่ม คือความว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น เมื่อเข้าใจว่าจิตเป็นธรรมชาติแบบนี้แล้ว คนคนนั้นก็สามารถบรรลุธรรม โดยใช้ความเพียรพยายามในการทำความเข้าใจในธรรมชาติ และกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับมันด้วยเหตุแห่งความเข้าใจนั้น โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ส่วนคนที่ไม่ปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจจิตใจของตนเอง ปฏิบัติธรรมไปก็ไร้ประโยชน์ ความดีหรือความเลวล้วนออกมาจากจิตของท่านเอง การค้นหาสิ่งภายนอกนอกจากจิตอันคือธรรมชาตินี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้

"การเข้าใจความเป็นจิตของตนอย่างไร จึงจะถือว่า
เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง"
เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดว่า ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้า แท้ที่จริงมันหามีตัวตนแห่งขันธ์ธาตุทั้งหลายไม่ โดยธรรมชาติมันย่อมเป็นความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวตนอยู่อย่างนั้น และรู้แจ้งชัดว่าจิตนี้โดยธรรมชาติ มันคือความบริสุทธิ์โดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าหากปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์แห่งจิตต่างๆที่เกิดขึ้น จิตเหล่านี้ก็เป็นความไม่บริสุทธิ์โดยเนื้อหามันเองอีกเช่นกัน จิตที่บริสุทธิ์พอใจในการกระทำความดี โดยทำไปแบบนั้นตามธรรมชาติของจิต

 แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์ก็ถูกปรุงแต่งขึ้น ตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แห่งการทำความดีและการทำชั่ว บุคคลที่มิได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งจิตชั่ว คือผู้ที่เป็นอิสระแล้วในความเป็นธรรมชาติแห่งเขาเหล่านั้น บุคคลเหล่านี้ย่อมอยู่ในความทุกข์และในสุขอันยั่งยืน โดยปราศจากความแปรผันด้วยความหมดเหตุปัจจัยในการปรุงแต่ง เป็นความสุขในความเป็นธรรมชาติแห่งการหลุดพ้นนั้น ส่วนปุถุชนผู้มืดบอดย่อมถูกบีบคั้นด้วยจิตสกปรก และยุ่งเหยิงซับซ้อนด้วยกรรมต่างๆนานาแห่งตน เพราะจิตสกปรกแปดเปื้อนมลทิน ไปด้วยการปรุงแต่งในลักษณะหลากหลาย ย่อมปิดบังธรรมชาติที่แท้จริงแห่งความเป็นเขาเหล่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการปรุงแต่งจึงพาเขาต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพทั้งสามอยู่อย่างนั้น

ในพระสูตรได้กล่าวว่า "ในความเป็นปุถุชน ก็มีความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะที่ไม่อาจทำลายมันลงไปได้ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่แสงของมันได้สาดส่องไปทั่ว แต่เมื่อใดมันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกอันหนาทึบ ด้วยเงาของขันธ์ทั้งห้า มันก็เหมือนแสงที่อ่อนแสงด้วยการถูกบดบังนั้น"

และในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า "ปุถุชนย่อมมีธรรมชาติแห่งพุทธะ แต่มันถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจมืดแห่งอวิชชา ความเป็นพุทธะก็คือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ที่มันว่างเปล่าโดยความเป็นมันเองอยู่อย่างนั้น การรู้ชัดแจ้งในความเป็นธรรมชาตินี้ คือความหลุดพ้น" การประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมชาติแห่งจิตตน จึงเป็นรากฐานอันคือรากของต้นไม้ที่หาอาหารเลี้ยงบำรุงลำต้น จึงก่อให้เกิดต้นไม้แห่งธรรมและผลิตผลออกมาเป็นนิพพาน การเข้าใจจิตของตน ด้วยความหมายแห่งความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะนี้ จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อันคือ สัมมาทิฐินั่นเอง

"ก็ในเมื่อธรรมชาติแห่งพุทธะ มีธรรมชาติแห่ง..
..การระลึกรู้ได้อยู่ทุกขณะ(สัมมาสติ)เป็นรากเหง้า
แล้วอะไรเล่าเป็นรากเหง้าแห่งอวิชชา"

จิตอันมิใช่ธรรมชาติแต่เป็นจิตที่หลงผิดไปในอวิชชา ย่อมประสบแต่ความทุกข์ ซึ่งเป็นความทะยานอยากไปในความชั่วร้ายอันไม่รู้จักจบจักสิ้น อวิชชาได้หยั่งรากลึกตัวมันเองลงไปในกิเลสทั้งหลาย คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ในเมื่อจิตซึ่งมีอวิชชาเป็นรากเหง้า มันก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยกิเลสต่างๆ มันย่อมเอาความชั่วนานัปการรวมเข้าไว้ด้วยกัน กิเลสทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นจากอายตนะทั้งหกของเรานี่เอง กิเลสคือพวกโจรทั้งหลายมันผ่านเข้าออกตามทวารของรูปกาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และด้วยความทะยานอยากไปในตัณหา อุปาทาน อันไม่มีประมาณด้วยอำนาจแห่งมัน โจรเหล่านี้มันก็ทำให้เราหมกมุ่นอยู่ในความชั่วร้าย และมันสามารถปกปิดความเป็นธรรมชาติแห่งจิต อันคือจิตที่แท้จริงของเราได้ มันจึงทำให้เราต้องเร่ร่อนไปในภพทั้งหลาย และประสบแต่ทุกข์ภัยต่างๆอันหาประมาณมิได้เช่นกัน


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t31/s403x403/1911968_501562813287098_982757301_o.jpg)

วางแผงจำหน่ายแล้ว...หนังสือธรรมะเซน
ที่ดีที่สุดในเมืองไทย
หนังสือ "คำสอนเซน
ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
เขียนโดย ครูสอนเซนชื่อดังในยุคนี้
อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
ราคาเล่มละ 239 บาท ความหนาจำนวน 340 หน้า
เริ่มวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปสิ้นเดือนนี้

   (https://lh4.googleusercontent.com/-WPgPTOD99U0/UyHDVuAQtgI/AAAAAAAA3vQ/N5FGZgt1Hxc/w533-h355/_DSC2915.jpg)

   หนังสือ "คำสอนเซน
   ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"

   ครูสอนเซน: อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
   13 มีนาคม 2557
   >>> F/B นิกายเซน หนังสือใจต่อใจในการฝึกตน

                      (https://lh4.googleusercontent.com/-h-8wpILY6vA/UyFZNKyeG0I/AAAAAAADbDY/uxMVU3E1Sq0/w333-h597/8daeb3b29909aab78128636f25ae7e67.jpg)