ใต้ร่มธรรม

วิถีธรรม => กฏแห่งกรรม-ชาติภพ => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 06:25:47 am

หัวข้อ: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 06:25:47 am
กรรม   

-http://www.sdsweb.org/sdsweb/index.php/2010-09-04-06-22-40/2010-09-04-10-30-09/89-2010-09-05-09-38-11-

"ชนกกรรม กรรมที่นำให้เกิด, กรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ตามที่เป็นตัวแต่งสัตว์ให้เกิด คือชักนำให้ถือปฏิสนธิในภพใหม่ เมื่อสิ้นชีวิตจากภพนี้"

กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม)

กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ
๑. อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล
๒. กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล

กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคือทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ

๑. กายกรรม การกระทำทางกาย
๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา
๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ

กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผล พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ ๑๒ อย่างคือ
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่
๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อๆไป
๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล
หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือจำแนกการให้ผลตามหน้าที่ ได้แก่
๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด
๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือเข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม
๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลาเบาบางหรือสั้นเข้า
๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือกรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรม ๒ อย่างนั้นให้ขาดหรือหยุดไปทีเดียว
หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่
๙. ครุกกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน
๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองลงมา
๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มี ๒ ข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น
๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล

กรรมกิเลส กรรมเครื่องเศร้าหมอง, การกระทำที่เป็นเหตุให้เศร้าหมอง มี ๔ อย่างคือ
๑. ปาณาติบาต การทำชีวิตให้ตกล่วงคือ ฆ่าฟันสังหารกัน
๒. อทินนาทาน ถือเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้คือลักขโมย
๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาท พูดเท็จ

กุศลกรรมบถ ทางแห่งกรรมดี, ทางทำดี, ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล,
กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติมี ๑๐ อย่าง คือ
ก. กายกรรม ๓ ได้แก่
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำลายชีวิต
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของที่เข้ามิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจาร เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม
ข. วจีกรรม ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ
ค. มโนกรรม ๓ ได้แก่
๘. อนภิชฌา ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา
๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม

อกุศลกรรมบถ ทางแห่งกรรมชั่ว, ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล,
กรรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ทุคติ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. กายกรรม ๓ ได้แก่
๑. ปาณาติบาต การทำลายชีวิต
๒. อทินนาทาน ถือเอาของที่เขามิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม
ข. วจีกรรม ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาท พูดเท็จ
๕. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ
ค. มโนกรรม ๓ ได้แก่
๘. อภิชฌา ละโมบคอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. พยาบาท คิดร้ายเขา
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม;

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 06:26:01 am
กุศล

-http://www.sdsweb.org/sdsweb/index.php/2010-09-04-06-22-40/2010-09-04-10-30-09/88-2010-09-05-09-35-40-

กุศล บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี
กุศลกรรม กรรมดี, กรรมที่เป็นกุศล, การกระทำที่ดี คือเกิดจากกุศลมูล

กุศลกรรมบถ ทางแห่งกรรมดี, ทางทำดี, ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติมี ๑๐ อย่าง คือ
ก. กายกรรม ๓ ได้แก่
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำลายชีวิต
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาของที่เข้ามิได้ให้
๓. กาเมสุมิจฉาจาร เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม

 

ข. วจีกรรม ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ

๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ
ค. มโนกรรม ๓ ได้แก่
๘. อนภิชฌา ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา
๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา
๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม

กุศลบุญจริยา ความประพฤติที่เป็นบุญ เป็นกุศล, การทำความดีอย่างฉลาด
กุศลมูล รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ)
๒. อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา)
๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา)

กุศลวิตก ความตริตรึกที่เป็นกุศล, ความนึกคิดที่ดีงามมี ๓ คือ
๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตรึกปลอดจากพยาบาท
๓. อวิหิงสาวิตก ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 12:42:10 pm
บุญ ๑๐ วิธี
-http://www.kanlayanatam.com/sara/sara41.htm-

ตามหลักพุทธศาสนา มีการทำบุญด้วยกัน ๑๐ วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ) คือ

๑. ให้ทาน แบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ ไม่ว่าจะให้ใครก็เป็นบุญ (ทานมัย) การให้ทานเป็นการช่วยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ความคับแคน ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดยึดในวัตถุ นอกจากนี้สิ่งของที่เราแบ่งปันออกไปก็จะเป็นประโยชน์กับบุคคลหรือชุมชนโดยส่วนรวม

๒. รักษาศีล ก็เป็นบุญ (ศีลมัย) เป็นการฝึกฝนที่จะ ลด ละ เลิกความชั่ว ไม่ไปเบียดเบียนใคร มุ่งที่จะทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นเป็นการหล่อเลี้ยงบ่มเพาะให้เกิดความดีงามและพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่ให้ตกต่ำ

๓. เจริญภาวนา ก็เป็นบุญ (ภาวนามัย) การภาวนาเป็นการพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีเรื่องเศร้าหมอง เห็นคุณค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ผู้ที่ภาวนาอยู่เสมอย่อมเป็นหลักประกันว่า จิตจะมีความสงบ ชีวิตมีความสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น สูงขึ้น

๔. อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงออกในความมีเมตตาต่อผู้น้อย และต่างก็อ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรมรวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกันทั้งในความคิด ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของบุคคลและสังคมอื่น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ก็เป็นบุญ (อปจายนมัย)

๕. ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ช่วยเหลือสละแรงกาย เพื่องานส่วนรวม หรือช่วยงานเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็เป็นบุญ (ไวยาวัจจมัย)

๖. เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือในการทำงานก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมีส่วนร่วมทำ ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ก็เป็นบุญ (ปัตติทานมัย)

๗. ยอมรับและยินดีในการทำความดี หรือทำบุญของผู้อื่น การชื่นชมยินดีหรืออนุโมทนาไม่อิจฉาหรือระแวงสงสัยในการกระทำความดีของผู้อื่น ก็เป็นบุญ (ปัตตานุโมทนามัย)

๘. ฟังธรรม บ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว ฟังธรรมะ ฟังเรื่องที่ดีมีประโยชน์ต่อสติปัญญา หรือมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ (ธรรมสวนมัย)

๙. แสดงธรรม ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น แสดงธรรมนำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงามก็เป็นบุญ (ธรรมเทศนามัย)

๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม มีการปรับทิฏฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม ให้เป็นสัมมาทัศนะอยู่เสมอ เป็นการพัฒนาปัญญาอย่างสำคัญ ถือเป็นบุญด้วยเช่นกัน (ทิฏฐุชุกรรม)

ทิฏฐุชุกรรมหรือสัมมาทัศนะ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำบุญทุกชนิดและทุกโอกาส จะต้องประกบและประกอบเข้ากับบุญกิริยาวัตถุข้ออื่นทุกข้อ เพื่อให้งานบุญข้อนั้น ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย พร้อมทั้งได้ผลถูกทาง

การทำบุญ ๑๐ ประการนี้ สามารถสรุปเป็นข้อความคล้องจองกันว่า

๑. แบ่งปันกันกิน             ๒. รักษาศีล คือ กาย วาจา

๓. เจริญสมาธิภาวนา       ๔. กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม

๕. ยอมตนรับใช้              ๖. แบ่งให้ความดี

๗. มีใจอนุโมทนา            ๘. ใฝ่หาฟังธรรม

๙. นำแสดงออกไม่ได้เว้น  ๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้อง


-------------------------------------------------------



บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ

บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ (http://www.youtube.com/watch?v=_Ch27L0FcM4#)
-http://www.youtube.com/watch?v=_Ch27L0FcM4-

.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 12:45:19 pm

บุญ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D-

บุญ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมัว ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจสงบทำให้เลือก คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร ที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดดี ทำดี ตามที่คิดนั้น

คนทั่วไปแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของบุญ หรือผลของบุญได้ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจชุ่มชื่นเป็นสุข

ในอรรถกถากล่าวถึงเผื่อแผ่บุญไว้ว่าสามารถเผื่อแผ่เพิ่มให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่มีประมาณ เปรียบได้กับการจุดเทียนส่งต่อไปเรื่อย ๆ คือผู้จุดก็มีความสว่างอยู่ตามเดิม และความสว่างยังเพิ่มไปอีกกว้างขวางได้[1]
วิธีทำบุญ

วิธีการทำบุญในพระพุทธศาสนาเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ในพระไตรปิฎกระบุไว้ 3 อย่าง ได้แก่

    [[ทานมัย คือการบริจาคทรัพย์สิ่งของแก่ผู้ที่ควรให้
    ศีล คือการสำรวมกาย วาจา ใจ ให้สงบเรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น
    ภาวนา คือการสวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ ฯลฯ

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย ขยายความเพิ่มอีก 7 ประการ ได้แก่

    อปจารยะ คือมีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม
    เวยยาวัจจะ คือการขวนขวายช่วยเหลือในกิจที่ชอบ
    ปัตติทานะ คือการอุทิศส่วนบุญต่อผู้อื่น
    ปัตตานุโมทนา คือการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ
    ธัมมัสสวนะ คือการฟังธรรม
    ธัมมเทสนา คือการแสดงธรรม
    ทิฏฐุชุกัมม์ คือการปรับปรุงความคิดเห็นของตนให้ถูกต้อง

จึงรวมเป็น บุญกิริยาวัตถุ 10
อ้างอิง

    อรรถกถาพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต อรรถกถาสูตรที่ ๕ ประวัติพระอนุรุทธเถระ . อรรถกถาพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก [1]. เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 1-7-52

แหล่งข้อมูลอื่น

    มงคลชีวิต 38 ประการ
    การทำบุญในวันเข้าพรรษา และออกพรรษา



หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 10:17:24 am
ผมขอรวบรวมเรื่องราวของ "กรรม"  ที่ผมสนใจ จะรวมเป็นลิงค์ เพื่อง่ายกับการติดตามอ่านครับ


บุพกรรมของพระพุทธองค์ (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,711.0.html-




บุพกรรมของพระอัครสาวก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html-




บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html-




บุพกรรมของพระสิวลี

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html-




บุพกรรมขององคุลีมาล

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html-




ระวัง....การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6654.0.html-




มุสาวาท

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9826.0.html-



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9646.0;attach=2846;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9646.0;attach=2846)



แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,708.0.html-




พิภพมัจจุราช (พญายมราชเจ้า)

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,709.0.html-




กฎแห่งกรรม ตอน ผู้ผ่านยมโลก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9790.0.html-




ความเชื่อเรื่องกรรมโดยพระธรรมปิฎก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,710.0.html-




กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5667.0.html-




-----------------------------------------------------------------------------


ความเห็นส่วนตัวผม สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ


กฎใดๆในโลกนี้  หากกฎที่ตั้งขึ้นโดย"คน"  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย  , กฎระเบียบใดๆของหน่วยงานต่างๆ  หรือ กฎของกู (กฎนี้มักเป็นกับคนที่มีอำนาจที่มักหลงระเริงกับอำนาจที่ตนเองมีอยู่ และนำอำนาจที่มีอยู่  ไปกระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ถูกต้องกับกฎแห่งกรรม) 

หากขัดกับ "กฎแห่งกรรม" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนเวนัยสัตว์โลก เพื่อให้พ้นทุกข์ 

กฎนั้นๆ  ต้องเป็นโมฆะ  ผู้ที่กระทำผิดในเรื่อง "กฎแห่งกรรม"  ต้องได้รับผลของกรรม

ส่วนคนที่มีอำนาจ ที่มีกฎของกูเป็นที่ตั้ง  มักจะไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม  ดังนั้น  ผมพยายามให้คนเหล่านี้  ปรามาส "ผู้มีธรรม"  ซึ่งทำให้คนเหล่านี้  มีกรรมเพิ่่มขึ้นไปอีกนอกเหนือจากกรรมที่ได้กระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชา  จะได้ไปอยู่ในนรก ให้นานแสนนาน  จะได้เรียนรู้ว่า "กฎของกู"  ไม่ได้อยู่เหนือ "กฎแห่งกรรม"

ส่วนหนทางไปนรก  ไม่ต้องดู  เพราะจะมีท่านผู้ที่มีหน้าที่ นำพาคนเหล่านี้  ไปนรกเอง


"กรรม" เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก  มีเรื่องราวมากกว่าที่ผมนำมาโพสให้อ่านกันอีกมากมายมหาศาล  จึงควรระมัดระวังในการกระทำของตนเองให้มากที่สุด


โมทนา
sithiphong





















หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 09:56:33 am
ผู้ที่ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม 

มันผู้นั้น เป็นผู้ที่ด่า(ทางอ้อม)องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระอรหันต์ , พระมหาโพธิสัตว์ หรือ พระโพธิสัตว์ และ พระภิกษุผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ ว่า ธรรมะที่สอนกับเวไนสัตว์โลกทั้งหลาย ว่า โกหก

.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:28:56 am
รูปนี้ ผมทำขึ้นจากรูปที่ผมไปกราบพระตามวัดต่างๆ  ผมนำเรื่อง บุญกริยาวัตถุ 10 นำมาลงไว้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:30:19 am
รูปนี้ ผมทำขึ้นจากรูปที่ผมไปกราบพระตามวัดต่างๆ  ผมนำเรื่อง บุญกริยาวัตถุ 10 นำมาลงไว้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:30:43 am
รูปนี้ ผมทำขึ้นจากรูปที่ผมไปกราบพระตามวัดต่างๆ  ผมนำเรื่อง บุญกริยาวัตถุ 10 นำมาลงไว้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:31:10 am
รูปนี้ ผมทำขึ้นจากรูปที่ผมไปกราบพระตามวัดต่างๆ  ผมนำเรื่อง บุญกริยาวัตถุ 10 นำมาลงไว้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:32:40 am
รูปหลังจากนี้ เป็นธรรมะ ที่ผมนำลงไว้ครับ

หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:33:18 am
.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2014, 10:33:49 am
.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 09:08:19 am
พยานบุญ-พยานบาปที่สำนักท่านพระยายมราช

     "..วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2531 เวลา 10.30 น. ทำกรรมฐานเรื่อยมาแต่ตอนเช้า คิดจะไหว้พระจึงออกจากร่าง พบท่านย่า(แม่) และท่านพรรณวดี คุยกับท่านเล็กน้อย ท่านลุงพุฒิ(พระยายมราช)มา นุ่งโสร่งมีผ้าขาวม้าคาดพุง ท่านบอกว่า "เวลาพอมีไปที่สำนักงานท่านก่อนดีกว่า" จึงหันไปชวนท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 และเทวดาบริวารของท่าน จากนั้นท่านลุงนำหน้าพวกเราเดินตาม เมื่อเข้าเขตสำนักงานพระยายมราช เห็นคนยืนเป็นกลุ่ม ๆ รูปไม่สวย ผิวดำ หน้าไม่สบาย มีด้วยกัน 11 หมู่ แต่ละหมู่มีจำนวนมากนับเป็นพัน ๆ หมู่หนึ่ง ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่รูปร่างใหญ่กว่าพวกนั้นมาก สูงกว่ามาก ยืนถืออาวุธคุมอยู่หมู่ละ 1 คน จึงเฉียดเข้าไปดูถามท่านลุงว่า "พวกนี้เป็นใคร" ท่านบอกว่า "พวกนี้รอการสอบสวน ถ้านึกถึงบุญได้ก็ไปสวรรค์ นึกถึงบุญไม่ได้ก็ไปนรก แต่ละกลุ่มมีบาปไม่เหมือนกัน มีกรรมบถ 10 เป็นหลัก" ดังนี้คือ

       1) กลุ่มนี้หนักในทางละเมิดศีลข้อที่ 1 ฆ่าสัตว์
       2) กลุ่มนี้หนักในทางลักทรัพย์
       3) กลุ่มนี้หนักในทางเจ้าชู้
       4) กลุ่มนี้หนักในทางมุสาวาท
       5) กลุ่มนี้หนักในทางดื่มสุราเมรัย
       6) กลุ่มนี้หนักในทางกล่าวคำหยาบ
       7) กลุ่มนี้หนักในทางนินทา
       8) กลุ่มนี้หนักในทางขาดสติพูด พูดไร้ประโยชน์
       9) กลุ่มนี้หนักในทางคิดอยากได้ทรัพย์คนอื่น (อยากโกง)
     10) กลุ่มนี้หนักในทางอยากทำร้ายผู้อื่น
     11) กลุ่มนี้ไม่เชื่อพระธรรมวินัย ไร้เหตุผล

     พวกนี้ทั้ง 11 กลุ่มมีหวังลงนรก ยากที่จะเป็นอิสระ เพราะพยานมาคอยพร้อมแล้ว

พยานบาป

     ท่านลุงชวนเดินไปผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก มองเห็นไก่ เป็ด หมู วัว ควายและสัตว์ต่าง ๆ ที่มนุษย์กิน อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ มีไก่นับเป็นแสน เป็ดนับเป็นแสนเหมือนกัน หมู วัว ควาย ก็เป็นแสนเหมือนกัน ถามว่า "มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้" พวกนั้นตอบว่า "มาเป็นพยานให้พระยายมราช เมืิ่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน พวกนี้ก็จะเข้าไปรายงานว่าคนนี้ฆ่า จับให้เชือดหรือสั่งฆ่า เป็นต้น"

     เป็นอันว่าวันนี้เป็นวันที่ 26 สิงหาคม 2531 เป็นวันไหว้สาร์ทของชาวจีนพอดี เลยทำให้คิดว่าสาร์ทจีนทั่วโลกต้องฆ่าสัตว์นับล้านตัว

พยานบุญ

     เมื่อเดินเลยไปอีก ก็มีคน มีสัตว์อีกจำนวนมาก แต่ไม่มากเท่าพยานบาป พวกนี้มาเป็นพยานบุญที่เขาเคยช่วยเหลือไว้ เมื่อพระยายมราชถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก พวกนี้ก็จะเข้าไปรายงานว่าเขาเคยช่วยชีวิตไว้ เมื่อท่านพระยายมราชรับฟังแล้ว ก็จะให้ไปสวรรค์ก่อน ชมมาถึงแค่นี้ใกล้เวลาจะเพลจึงกลับ

     ดังนั้นขอให้ระลึกไว้เสมอว่า จะทำดีหรือทำชั่ว มีพยานคอยเราอยู่แล้วที่สำนักท่านพระยายมราช.."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 76 หน้า 182 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2018, 08:32:39 am
องค์พยามัจจุราชเจ้า
ท่านเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตัดสิน "กรรมดี" และ "กรรมชั่ว" ของผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
.
ท่านมีผู้ช่วยก็คือ "ท่านนิริยบาล" ซึ่งมีทั้งหมด 8 ท่าน (เราๆท่านๆ น่าจะรู้จักกันในชื่อ ท่านสุวาน และ ท่านสุวรรณ ในภาพยนต์พยามัจจุราช)
และท่านยังมีบริวารที่เป็นผู้ที่ทำงานในหน้าที่ต่างๆ ก็คือ "ท่านยมทูต"
.
ผมเองเคยนำไปขอให้ครูบาอาจารย์ อัญเชิญองค์พยามัจจุราชเจ้า มาอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลชุดนี้ และได้แจกให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายๆคนไปเยอะแล้ว
.
และที่สำคัญ ท่านบอกว่า ของๆท่าน กันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้ และหากมีวัตถุมงคลในชุดนี้ เหมือนกับเป็นสื่อถึงท่านโดยตรง และมีท่านยมทูตมาอยู่ด้วยครับ
.
โดยส่วนตัวผมเอง ผมไหว้ท่านด้วยน้ำ(เปล่า)เย็นและใส่น้ำแข็ง ในทุกวันอาทิตย์ ยกเว้นในวันอาทิตย์ไหนที่ผมติดภาระกิจอยู่ต่างจังหวัด ก็จะไม่ได้ไหว
.
ปกติในวันที่ผมไปทำงาน ผมห้อยคอไปด้วยเสมอ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมไปทำบุญ ผมอัญเชิญท่านไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน
.
องค์พยามัจจุราชทั้งสององค์ (ที่ผมอัญเชิญห้อยไปทำงาน และที่ผมอัญเชิญไปด้วยในเวลาที่ผมไปทำบุญนั้น) ผมได้บรรจุก้อนดิน และเมล็ดข้าวสาร(ที่ผมเคยนำไปขอให้พระภิกษุรูปหนึ่ง อาราธนาพระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ อธิษฐานจิต และก้อนดิน กับ เมล็ดข้าวสาร ก็เป็นสื่อถึง พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ ได้โดยตรงเช่นกัน ) บรรจุไว้ใต้ฐานองค์พยามัจจุราชด้วย ครับ
ระมัดระวังในการสร้างกรรม
.
เพราะ กรรมนั้น ยุติธรรม และเที่ยงตรงเสมอ
.
ไม่มีเรื่องไหน ยุติธรรมเท่านี้อีกแล้วในโลกนี้
.
**********ไม่ว่ามีอำนาจหรือใหญ่แค่ไหน ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด ไม่มีใครหนีกรรมพ้น**********
.
&&&&& แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังหนีกรรมไม่พ้น &&&&&
.
.----------------------------------------------------------
.
.
.
.
๑๑๕. บุพกรรมของพระพุทธเจ้า
https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w (https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w)
.
.
.
กรรมไม่ดีต่างๆที่ทำไว้ในอดีตยังส่งผลแม้เป็นพระพุทธเจ้า (พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก)
https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w (https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk (https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 2 (จบ)
https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY (https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk (https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง มหานรก 7 ขุม
https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM (https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องนรกขุมที่ 8 อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM (https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง นรกต้นงิ้ว(สิมพลีนรก)
https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE (https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE)
.
.
.
ประวัติ " พญายมราช "
https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18 (https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18)
.
.
.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 24, 2019, 08:25:51 pm
สวัสดียามเย็น วันพุธสุขใจ
.
พอมาถึงบ้าน ผมคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อสนอง (วัดนครไทยวราราม จ.พิษณุโลก)
.
ผมเคยถามหลวงพ่อฯ แล้วหลวงพ่อท่านตอบมาให้ผมทราบ ก็เลยจะนำมาเล่าสู่กันฟัง
.
จะได้เป็นอุทาหรณ์ในการเตือนใจของท่านผู้อ่าน
.
ผมจะยกตัวอย่างโดยเล่าเป็นเรื่องให้ฟัง
.
ว่ากันต่อเลยครับ
.
นายหนุ่ม เหลือน้อย ได้มีเจตนาฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง และการกระทำนั้น เป็นการฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จนเสียชีวิต
.
นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องรับผลที่ได้กระทำลงไป 2 เรื่อง
.
1.ได้รับผลกรรม ทางกฎหมาย ซึ่งโทษอาจจะเป็นโทษจำคุก หรือ ประหารชีวิต
.
2.ผลกรรมตามกฎแห่งกรรม แบ่งได้เป็น 2 เรื่อง
.
2.1 กรรมที่เป็นผลจากกรรมผูกพันธ์กันมา นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง เคยผลักกันฆ่า กันมา หลายภพ หลายชาติ
.
2.2 กรรมที่เป็นกรรมในการฆ่าสัตว์(คน)
.
ผลที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้รับผลตามข้อที่ 1 ผมขอพูดนิดเดียวก็คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย (ตำรวจ , ทนาย , อัยการ และ ผู้พิพากษา) ถึงแม้จะปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย แต่หากผิดหลักกฎแห่งกรรม ผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทุกคน ต้องไปรับผลแห่งกรรมที่ตนเองได้กระทำแน่นอน
.
เรามาว่ากันในข้อที่ 2 กัน
.
ในข้อที่ 2.1 ในกรณีที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ไม่อโหสิกรรมให้ ในชาติต่อไป นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะกลับมาฆ่านายหนุ่ม เหลือน้อย และนายหนุ่ม เหลือน้อย ไม่อโหสิกรรมให้ เรื่องนี้จะวนเวียนไปไม่มีวันสิ้นสุด
.
ข้อที่ 2.2 เป็นจุดสำคัญที่อยากจะบอก ก็คือ ถึงแม้ว่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง อโหสิกรรมกับนายหนุ่ม เหลือน้อย (ที่ได้ฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง) กรรมที่มีกันระหว้าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จบกันลงไป
.
ถึงแม้ว่า กรรมระหว่าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะจบกันไปแล้ว แต่กรรมที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้ฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ยังไม่จบ นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องไปรับผลกรรมที่ฆ่า นายโบ๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง แน่นอน และไม่ทราบว่า ผลกรรมที่ได้รับ ได้รับเป็นอย่างไร จนปัญญา ครับ
.
อยากจะมาเล่าให้ฟัง เพื่อเตือนสติในการใช้ชีวิต ให้ดำเนินการไปอย่างถูกตามทำนองคลองธรรม และดำเนินชีวิตตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
กราบขอบพระคุณหลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ครับ
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
#เพียงแค่คิดไม่ดีก็ผิดแล้วตามหลักธรรม
.
#หลวงพ่อสนองอตฺตทโม
#วัดนครไทยวราราม
#นายหนุ่มเหลือน้อย
#นายโน๊ตตี้ลูกพี่โบ๊ตซัง
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2020, 08:30:20 am
.
โพสโดย พุทธวจน (เปิดธรรมที่ถูกปิด)
.
24 ก.พ. เวลา 12:32
.
"ภพของเปรตวิสัย"
.
-บาลี มหาวิ. วิ. ๑/๒๑๐/๒๙๕.
.
๑. อัฏฐิสังขลิกเปรต
.
ท่านพระโมคคัลลานะกล่าวว่า :-
อาวุโส ! ผมลงจากคิชฌกูฏบรรพต เขตพระนครราชคฤห์นี้ ได้เห็นอัฏฐิสังขลิกเปรต มีแต่ร่างกระดูก ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่งตามช่องซี่โครง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง.
อาวุโส ! ผมนั้นได้คิดเช่นนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ น่าประหลาดจริงหนอ ที่สัตว์แม้เห็นปานนี้ ยักษ์แม้เห็นปานนี้ เปรตแม้เห็นปานนี้ การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ ก็มีอยู่.
ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ท่านพระโมคคัลลานะอวดอุตริมนุสธรรม.
.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลายย่อมเป็นผู้มีจักษุอยู่ ย่อมเป็นผู้มีญาณอยู่ เพราะสาวกได้รู้ได้เห็น หรือได้ทำสัตว์เช่นนี้ให้เป็นพยานแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อกาลก่อนเราก็ได้เห็นสัตว์นั้น แต่เราไม่ได้พยากรณ์ ถ้าเราพยากรณ์สัตว์นั้นและคนอื่นไม่เชื่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เขาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
ภิกษุทั้งหลาย ! สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี่เอง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นแหละที่ยังเป็นส่วนเหลืออยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ! โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะไม่ต้องอาบัติ.
... ... ... ...
.
๒. มังสเปสิเปรต
.
...ได้เห็นมังสเปสิเปรต มีแต่ชิ้นเนื้อลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุมพากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าโค อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๓. มังสปิณฑเปรต
.
...ได้เห็นมังสปิณฑเปรต มีแต่ก้อนเนื้อ ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุมพากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่านกอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๔. นิจฉวิเปรต
.
...ได้เห็นนิจฉวิเปรตชาย ไม่มีผิวหนัง ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุมพากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าแกะอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๕. อสิโลมเปรต
.
...ได้เห็นอสิโลมเปรตชาย มีขนเป็นดาบ ลอยไปในเวหาส์ ดาบเหล่านั้นของมันหลุดลอยขึ้นไปแล้วตกลงที่กายของมันเอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .`
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าสุกรอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๖. สัตติโลมเปรต
.
...ได้เห็นสัตติโลมเปรตชาย มีขนเป็นหอกลอยไปในเวหาส์ หอกเหล่านั้นของมัน หลุดลอยขึ้นไปแล้ว ตกลงที่กายของมันเอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าเนื้ออยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๗. อุสุโลมเปรต
.
...ได้เห็นอุสุโลมเปรตชาย มีขนเป็นลูกศรลอยไปในเวหาส์ ลูกศรนั้นของมัน หลุดลอยขึ้นไปแล้ว ตกลงที่กายของมันเอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นเพชฌฆาตอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๘. สูจิโลมเปรต
.
...ได้เห็นสูจิโลมเปรตชาย มีขนเป็นเข็มลอยไปในเวหาส์ เข็มเหล่านั้นของมัน หลุดลอยขึ้นไปแล้ว ตกลงที่กายของมันเอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนฝึกม้าอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๙ สูจกเปรต
.
...ได้เห็นสูจกโลมเปรตชาย มีขนเป็นเข็ม ลอยไปในเวหาส์ เข็มเหล่านั้นของมันทิ่มเข้าไปในศีรษะ แล้วออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปาก แล้วออกทางอก เข็มออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอก แล้วออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปาก แล้วออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอก แล้วออกทางท้อง ทิ่มเข้าไปในท้อง แล้วออกทางขาทั้งสอง ทิ่มเข้าไปในขาทั้งสอง แล้วออกทางแข้งทั้งสอง ทิ่มเข้าไปในแข้งทั้งสอง แล้วออกทางเท้าทั้งสอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นคนชอบพูดจาส่อเสียด อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๑๐. กุมภัณฑเปรต
.
...ได้เห็นกุมภัณฑเปรตชาย มีอัณฑะโตเท่าหม้อ ลอยไปในเวหาส์ เปรตนั้นแม้เมื่อเดินไปย่อมยกอัณฑะเหล่านั้นแหละขึ้นพาดบ่าเดินไป แม้เมื่อนั่งก็ย่อมนั่งบนอัณฑะเหล่านั้นแหละ ฝูงแร้งเหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีไม่เป็นธรรม อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๑๑. คูถนิมุคคเปรต
.
...ได้เห็นคูถนิมุคคเปรตชาย ผู้จมอยู่ในหลุมคูถท่วมศีรษะ ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๑๒. คูถขาทิเปรต
.
...ได้เห็นคูถขาทิเปรตชาย ผู้จมอยู่ในหลุมคูถท่วมศีรษะ กำลังเอามือทั้งสองกอบคูถกินอยู่ ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นพราหมณ์ผู้ชั่วช้า อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์นั้นนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ด้วยภัตตาหารแล้ว เทคูถลงในรางจนเต็ม สั่งคนให้ไปบอกภัตตกาล แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า “ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! จงฉันอาหารและนำไปให้พอแก่ความต้องการจากสถานที่นี้” ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เขาหมกไหม้ในนรก หลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นแหละซึ่งยังเป็นส่วนเหลืออยู่ ... .
... ... ... ...
.
๑๓. นิจฉวิตถีเปรต
.
...ได้เห็นนิจฉวิตถีเปรตหญิง ไม่มีผิวหนัง ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตหญิงนั้นอยู่ไปมา เปรตหญิงนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... เปรตหญิงนั้นเคยเป็นหญิงประพฤตินอกใจสามี อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นแหละที่ยังเป็นส่วนเหลืออยู่. .
... ... ... ...
.
๑๔. มังคุลิตถีเปรต
.
...ได้เห็นมังคุลิตถีเปรตหญิง มีรูปร่างน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็น ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตหญิงนั้นอยู่ไปมา เปรตหญิงนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... เปรตหญิงนั้นเคยเป็นหญิงหมอดู (อิกฺขณิกา) อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๑๕. โอกิลินีเปรต
.
...ได้เห็นโอกิลินีเปรตหญิง มีร่างกายถูกไฟลวก มีหยาดเหงื่อไหลหยด มีถ่านเพลิงโปรยลง ลอยไปในเวหาส์ เปรตหญิงนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... เปรตหญิงนั้นเคยเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากาลิงคะ นางเป็นคนขี้หึง ได้เอากระทะเต็มด้วยถ่านเพลิงคลอกสตรีร่วมพระสวามี ... .
... ... ... ...
.
๑๖. อสีสกพันธเปรต
.
...ได้เห็นอสีสกพันธเปรต มีศีรษะขาดลอยไปในเวหาส์ ตาและปากของมันอยู่ที่อก ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สัตว์นั้นเคยเป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร ชื่อทามริกะ อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ... .
... ... ... ...
.
๑๗. ภิกษุเปรต
.
...ได้เห็นภิกษุเปรต ลอยไปในเวหาส์ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมันถูกไฟติดลุกโชน เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... ภิกษุเปรตนั้นเคยเป็นภิกษุผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ... .
... ... ... ...
.
๑๘. ภิกษุณีเปรต
.
...ได้เห็นภิกษุณีเปรต ลอยไปในเวหาส์ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมันถูกไฟติดลุกโชน เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... ภิกษุณีเปรตนั้นเคยเป็นภิกษุณีผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ... .
... ... ... ...
.
๑๙. สิกขมานาเปรต
.
...ได้เห็นสิกขมานาเปรต ลอยไปในเวหาส์ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมันถูกไฟติดลุกโชนเปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สิกขมานาเปรตนั้นเคยเป็นสิกขมานาผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ... .
... ... ... ...
.
๒๐. สามเณรเปรต
.
...ได้เห็นสามเณรเปรต ลอยไปในเวหาส์ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมันถูกไฟติดลุกโชน เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สามเณรเปรตนั้น เคยเป็นสามเณรผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ... .
... ... ... ...
.
๒๑. สามเณรีเปรต
.
...ได้เห็นสามเณรีเปรตลอยไปในเวหาส์ สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมันถูกไฟติดลุกโชน เปรตนั้นร้องครวญคราง ... .
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! ... สามเณรีเปรตนั้น เคยเป็นสามเณรีผู้ชั่วช้า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ... .
(ในสูตรอื่นก็มีตรัสถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่มีต่างกันตรงที่ในบาลีไม่มีคำว่า เปโต (เปรต) นิทาน. สํ.๑๖/๒๙๘/๖๓๗.)
.
.
.
อ้างอิงจาก : พุทธวจนหมวดธรรม เล่มที่ ๑๑
พุทธวจน ภพภูมิ
หน้าที่ ๑๓๖ - ๑๔๘
พุทธวจน (ธรรมะจากพระโอษฐ์)
เว็บไซต์ข้อมูลเพิ่มเติม : watnapp
ศึกษาดูพระสูตรเพิ่มเติม : etipitaka
ฟังเสียงธรรมะพระสูตรเพิ่มเติม : m.soundcloud
.
.
.
ที่มา blockdit
.
.-----------------------------------------------------
.
เรื่องนี้ ผมอยากบอกว่า
.
แม้กระทำตามหน้าที่ในทางโลก ที่ตนเองรับผิดชอบ
.
ถึงแม้ว่า กระทำถูกต้องตามกฎหมาย
.
แต่การกระทำนั้นๆ #ผิดหลักกฎแห่งกรรม
.
ต้องไปชดใช้กรรมเสมอ
.
.
.
นรก ยังมีพื้นที่ว่างอีกมากมาย ที่รองรับคนกระทำชั่วได้อีกเยอะแยะ
.
.
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน #ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด #ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
.
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
.
#บุพกรรมพระพุทธเจ้า
.
หัวข้อ: Re: กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 17, 2021, 07:23:13 pm
.
เรื่องที่ลงนี้  เป็นผลของการกรรมที่ทำให้ต้องมาประสบกับผลพร้อมๆกัน
.
บุคคลที่กระทำกรรมด้วยกันทั้งหมด  เมื่อถึงเวลา ก็ต้องรับผลกรรมนั้น
.
หากพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ได้เดินทางไปด้วย  ผลกรรมนี้ก็ยังไม่แสดงผล
.
รวมทั้งคุณหญิงท่านหนึ่งเช่นกัน  หากคุณหญิงไม่ได้เดินทางไปพร้อมกับพระภิกษุทั้ง 5 รูป
.
ผลกรรมก็ยังไม่แสดงผลเช่นกัน
.
และ ผลกรรมที่ยังไม่แสดงผล  นั่นก็คือ พระภิกษุทั้ง 5 รูป ก็ไม่สามารถนิพพานได้
.
พระภิกษุทั้ง 5 รูป  และ คุณหญิง  จึงต้องรับผลกรรมนั้น เพื่อนิพพาน
.
ลองไปอ่านกันดู ครับ
.
.
.****************************.
.
.
เรื่องที่ ๒๖๘ อย่ายินดีในความชั่วของผู้อื่น
.
หลวงปู่หลุย จันทสาโร เมตตาเล่าถึงบุพกรรมที่ทำให้พระอริยเจ้าทั้ง 5 องค์ ต้องเครื่องบินตก
.
ในอดีตชาติที่นานเนมาแล้ว ท่านทั้ง 5 (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม และพระอาจารย์สุพัฒ สุขกาโร) เกิดในสกุลชาวนาที่ยากจน ต้องขวนขวายหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ทั้งห้าคนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมา
.
เมื่อยังเด็กได้จูงควายออกไปเลี้ยงพร้อมกัน ผูกควายกัน แล้วก็พากันเล่นและออกหากบเขียดไปเป็นอาหารประสาจน
.
ทีนี้ 1 ใน 5 เกิดไปเห็นรังนกเข้า ก็ช่วยกันหาไม้เขี่ยรังนกให้ตกลงมา เพื่อหวังเอาไข่นกไปกิน แต่เมื่อรังนกตกลงมากลับกลายเป็นลูกนก 3 ตัว แล้วตายสิ้น ไม่ใช่ไข่นกดังที่เข้าใจ
.
ด้วยวิบากกรรมอันนี้ส่งผลให้ท่านทั้ง 5 ต้องตกจากที่สูงมามรณภาพ
.
ในเครื่องบินลำนั้นมีคุณหญิงท่านหนึ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์จวนมาด้วย ท่านเลยมาสิ้นชีวิตพร้อมกัน
.
ในอดีต ขณะที่เด็กชายทั้ง 5 กำลังเขี่ยรังนกอยู่นั้น เด็กหญิงลูกชาวนา ผู้เป็นน้องสาวของ 1 ใน 5 คน ก็มายืนเชียร์อยู่ข้าง ๆ
.
“จะหล่นแล้ว...จะหล่นแล้ว”
.
โดยเธอไม่ได้ลงมือทำ
.
เด็กหญิงในภพนั้นคือคุณหญิงในภพนี้
.
ก็เพียงมีจิตคิดยินดีในการประกอบอกุศลกรรมของผู้อื่น วิบากนั้น ยังส่งผลมาให้เกิดในภพชาติเดียวกัน บันดาลให้ไปตกเครื่องบินพร้อมกัน
.
แล้วถ้าทำเองเล่า
.
ถึงตรงนี้ หลวงปู่หลุยก็สั่งว่า อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย
.
แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตนและของคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว
.
ขอให้เจริญในธรรม
.
รายละเอียดของข่าว:
.
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ เดือนเมษายน พระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้รับอาราธนาจากทางสำนักพระราชวัง กรุงเทพฯ ทั้งหมดจำนวน ๕ รูปด้วยกัน คือ หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม, หลวงพ่อวัน อุตฺตโม, พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม
.
พระคณาจารย์พระป่ากัมมัฏฐานทั้งหมดท่านจึงได้ไปรวมกันที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน TG ๒๓๑ อุดรธานี-กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเครื่องบิน ๒ ใบพัด รุ่น HS-๗๔๘ รหัส HS-THB บินออกจากท่าอากาศยานอุดรธานี จะไปลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพราะลูกศิษย์ลูกหาต้องการถวายความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๓
.
ครั้นเมื่อเครื่องบินมาถึงท้องนาทุ่งรังสิต เขตหมู่ที่ ๔ ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เหลือระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเศษ เครื่องบินได้ตั้งลำและลดเพดานบินเพื่อเตรียมลงสู่สนาม
.
แต่เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบพายุหมุนประกอบกับมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก มีลมกระโชกแรง เกินที่นักบินจะควบคุมเครื่องให้ลงจอดได้ อย่างปลอดภัย
.
สุดท้ายจึงเสียการควบคุมตกลงมากระแทกกับพื้นดินบนท้องนาทุ่งรังสิต ทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องจำนวน ๕๓ คน เสียชีวิต ๔๐ คน
.
อุบัติเหตุเครื่องบินตกในครั้งนั้นเป็นเหตุทำให้ พระคณาจารย์ทั้ง ๕ รูป ได้ถึงแก่มรณภาพลงพร้อมกัน เมื่อเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ นาฬิกา
.
โมทนาที่มา  dhammajak
ที่มา กฎแห่งกรรม Laws of Karma
.
.**************************.
.
พระคณาจารย์ 5 รูป เครื่องบินตก
.
โพสโดย ศิษย์วัดป่าหินฮาวสังฆมณีศรีธันดร
15 มกราคม 2563
.
เหตุการณ์วันเครื่องบินตก 27 เมษายน 2523
.
เรื่องนี้เมื่อหลวงปู่เล่ามาตอนไหนหลวงปู่ท่านจะน้ำตาไหลออกมาทุกที
.
หลวงปู่กล่าวว่า  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นมาต่างก็สลดใจอยู่ไม่น้อยที่พระสายกรรมฐานได้สูญเสียพระคณาจารย์ในครั้งนั้น  นี้หนอกรรม  วันที่ 22 หลวงตามหาบัวท่านได้มีกิจนิมนต์ไปที่พระราชวัง โดยได้อาราธนานิมนต์พระหลายรูป อาทิ

1.หลวงตามหาบัว

2.พระอาจารย์บุญมา

3.พระอาจารย์จวน

4.พระอาจารย์วัน

5.พระอาจารย์สิงห์ทอง

6.พระอาจารย์บุญศรี

7.พระอาจารย์สุพัฒน์

.
ก่อนวันเกิดเหตุ  วันที่ 26 พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหมดมารวมตัวกันที่วัดป่าบ้านตาด และจะแยกย้ายเดินทางกันเดินทางจาก จ.อุดรธานี โดย หลวงตามหาบัว จะนั่งรถตู้ไป พระอาจารย์วัน พระอาจารย์จวน พระอาจารย์บุญมา พระอาจารย์สิงห์ทอง และ พระอาจารย์สุพัฒน์ จะไปนั่งเครื่องบิน ก่อนขึ้นรถแยกย้ายกัน
.
หลวงปู่บุญศรีท่านอยากจะไปนั่งเครื่องบินกับพ่อแม่ครูอาจารย์ท่าน 5 รูป  ก็เลยให้พระที่วัดเอาบาตรขึ้นรถที่จะไปสนามบิน
.
ทันใดนั้นหลวงตามหาบัวก็เลยเรียกหลวงปู่บุญศรีว่า  เฒ่าศรี มาขึ้นรถนำผม(อาตมา)นิ เฮาไปรถตู้ เฮาสิฮอดก่อนเขาอยู่ดอก  ถ้าเฮาบ่ไปงานสิแล้วติ มาๆปล่อยเขาไปนำกัน
.
หลวงปู่ยอมรับเลยนะว่า เสียความรู้สึกนิดๆนะตอนนั้น แล้วก็คิดอยู่ในใจว่า เขานั่งเครื่องบินนะแต่รถตู้จะไปถึงก่อนได้ไง
หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ไปเอาบาตรลงจากรถ แล้วมาขึ้นรถตู้กลับหลวงตามหาบัว พอพูดถึงตรงนี้หลวงปู่ก็น้ำตาไหล แล้วกล่าวว่า
.
“ทั้งสงสารเพื่อน ทั้งทราบซึ้งในความเมตตาของหลวงตามหาบัว ถ้าหากไม่ได้หลวงตาบัวบอกให้เปลี่ยนรถในวันนั้นหลวงปู่คงตายไปแล้ว แต่ก็ยังสงสารเพื่อนอยู่ดี”
.
หลวงปู่ท่านเล่าเป็นกลอนว่า
สิงห์ทอง เอ่ย(เอ๋ย) เฮาได้ไปพากันดั่น เดินดงพงวิเวก ส่างมาบาปโพดฮ้าย ตายแล้วบ่มีสูญแท้น้อ นึกเถิงคราวเดินดงเข้าทางถ้ำสหาย 4 องค์ เดินไปทุกข์ปานใด๋บ่เคยยั้น ปาดมักหุ่งป้อมซ้ายขวาเป็น 4 ส่วน พอกินแล้วมุ่งหน้าเดินดง
(เดินไปทุกข์ขนาดไหนไม่เคยกลัว ผ่ามะละกอแบ่งเป็น 4 ส่วน)
.
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างหลวงปู่บุญศรีและพระอาจารย์สิงห์ทอง นั้นถือว่ารักกันมาเพราะท่านทั้งสอง ต่างก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันในสมัยที่ออกวิเวกด้วยกัน
.
พอรถหลวงตามหาบัว ไปถึงรังสิต ก็ได้ทราบข่าวว่าเครื่องบินตก ซึ่งมีพระคณาจารย์ ทั้ง 5 รูปรวมอยู่ด้วย  คำแรกที่หลวงตามหาบัวได้พูดกับหลวงปู่ว่า นี้แหละกรรมของเขา เฒ่าศรียังสิไปยุ่งกับกรรมเขาอยู่
.
หลวงปู่นึกในใจ ก็คนไม่(บ่)เคยขึ้นเครื่องบินเนาะ มางานในวังทั้งที(ทั้งเถื่อ)ก็อยากนั่งเครื่องบินให้มันโก้ๆหน่อย(แหน่จักหน่อย)
.
หลังจากนั้นหลวงตามหาบัวก็สั่งคนขับรถไปที่บริเวณที่เกิดเหตุ
.
“ที่พูดมาก็เพราะนึกถึงเพื่อนรักอีกคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน เห็นไหมละว่ากรรม กรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งปวง แม้แต่พระพุทธเจ้ายังต้องรับกรรมจวบจนสุดท้ายปลายแดนของชีวิต  หากเรายังคงมีชีวิตอยู่ก็ควรสร้างคุณงามความดีเข้าไปเราไม่รู้หรอกนะว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ถึงรู้ก็หนีมันไปไม่ได้เพราะความตายไม่มีใครหนีพ้น ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรที่จะสะสมคุณงามความดีไว้ให้มากๆนะ”
.
หลวงปู่บุญศรี ปรารภธรรม 15 มกราคม 2564
.