แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - i mah'ta

หน้า: [1] 2 3 4 5
1

 
 
ในย่างก้าวสู่ปีใหม่พุทธศักราช ๒๕๕๔ จึงใคร่ขอให้สาธุชนใช้สติตามดู ตามรู้ ตามเห็น ไอ้ตัวโกรธ ไอ้ตัวขี้หงุดหงิด ไอ้ตัวอาฆาตพยาบาท หวังประทุษร้ายในผู้อื่นว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร !? หากหน้าตามันคล้ายกับเรา หรือเหมือนกับเรา ก็ขอให้รีบแก้ไขเสีย อย่าปล่อยปละละเลยให้มันครอบอยู่ เพราะเราจะเสียจิต ... ซึ่งจะทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปอย่างลำบาก ประสบแต่โทษทุกข์สืบต่อไปไม่หมดสิ้น ... ที่สำคัญคือ มันสามารถทำลายผู้อื่น ... ทำลายสังคมได้อย่างฉับพลัน แค่เพียงหนึ่งอารมณ์เดียวของความคิดที่มีโทสะ ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า โกธาภิภูโต กุสลํ ชหาติ แปลว่า ผู้ที่ถูกความโกรธครอบงำจิตแล้ว ย่อมสละกุศลเสีย หรือมองอีกนัยหนึ่ง คือ ความโกรธเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นย่อมสลัดความดีทิ้งได้ไม่ยาก ทั้งนี้เพราะคนเราเมื่อความโกรธเข้าครอบงำแล้ว ย่อมจะไม่คำนึงถึงความดี ศีลธรรมนั้นไม่ต้องยกมากล่าวอ้างกันอีกแล้ว กูไม่ฟัง ... กูไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้นแล้ว บาปบุญไม่มี .. ไม่ต้องมาพูดถึงกันอีกแล้ว ซึ่งเป็นภาวะจิตที่อันตรายมาก เรียกว่า ยอมเลว ยอมตาย ยอมตกนรกหมกไหม้ ดังที่มีบุคคลบางคนที่ผูกอาฆาตพยาบาท ชอบกล่าวว่า “แม้จะต้องลงนรก ก็ยอม...” ไม่กลัวอะไรแล้วทั้งนั้น !!! เรียกว่า ยอมวินาศ ฉิบหาย เพราะเห็นแก่ความโกรธ จึงปฏิเสธหลักศีลธรรม ไม่ยอมรับหลักอภัยทาน จองเวร จองกรรมกันไปจนกว่าตนหรือคนอื่นๆ จะต้องฉิบหายไปข้างหนึ่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว แม้บ้านเมือง สังคม ของตนเองจะต้องฉิบหายไปด้วย... นี่เป็นอันตรายของความโกรธประการหนึ่งที่เห็นได้ชัด และปรากฏเกิดขึ้นให้เห็นแจ้งประจักษ์ในสังคมไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา จนมีการเผาบ้านทำลายเมืองติดอาวุธฆ่าฟันกัน ดุจสงครามกลางเมือง ก็ด้วยฤทธิ์เดชของความโกรธ ดังพระบาลีที่ว่า หนฺติ กุทฺโธ สมาตรํ แปลว่า คนโกรธย่อมฆ่าได้ แม้กระทั่งมารดาของตน
 

 
หากสืบสาวเพื่อเข้าให้ถึงความจริงว่า “ความโกรธเกิดจากอะไร ... หรือความโกรธมาจากไหน!?” ก็คงตอบกันไม่ยาก เมื่อพิจารณาดูตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท ก็ให้พบว่า เหตุแห่งความโกรธ ก็คือ ตัณหา ด้วยตัณหาเป็นสมุทัยของความทุกข์ ซึ่งความโกรธนั้นนำไปสู่ความทุกข์อย่างยิ่ง ... โดยหากมองเข้าไปหาความหมายของตัณหา ก็คงจะสรุปให้ตรงกันว่า เป็นอำนาจความอยากที่เกิดขึ้นจากอวิชชาเป็นปัจจัย หรือเป็นความอยากที่เกิดขึ้นจากอวิชชาเป็นปัจจัย หรือเป็นความอยากด้วยอำนาจอวิชชาก็ว่าได้ ซึ่งหมายถึง ความอยากที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งความโง่ เช่น กามตัณหา แปลว่า ความอยากในทางกาม โดยเฉพาะการอยากเสพกาม ด้วยมีความต้องการหรือมีความรักที่สร้างขึ้นด้วยอำนาจกามตัณหา ทีนี้เมื่อได้ตามต้องการ ความโกรธก็เกิดขึ้น ดังนั้น หากไม่มีตัณหา มันก็ไม่ต้องการ ไม่ตั้งค่าความหวังใดๆ ก็ไม่ผิดหวังในเรื่องนั้นๆ ความโกรธก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีความรัก ความไม่ชอบใจไม่เกิดขึ้น ก็เพราะไม่มีความชอบใจ ... !! ดังที่เรียกว่า ภวตัณหา คือความอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ด้วยความยึดถือความเป็นตัวตน หรือวิภวตัณหา คือ ความไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเป็นอย่างนี้ ... ซึ่งเมื่อไม่ได้ตามประสงค์ ก็ให้มีความขัดใจ ขุ่นใจ และนำไปสู่ความโกรธ โดยสรุปของความโกรธก็มาจากอาการขัดใจ ไม่ได้ดังใจ ไม่สมประสงค์ ไม่สมปรารถนาตามที่ตั้งใจ อยากเสพ อยากได้ อยากมี อยากเป็น หรือไม่อยากมี ไม่อยากเป็น จึงเกิดไฟโทสะเผาไหม้ขึ้นภายในจิตใจ และหากพลุ่งพล่านออกมาภายนอก ก็ทำให้คนอื่นฉิบหายด้วย ดังพระบาลีที่ว่า นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โทสสโม กลิ แปลว่า ความโกรธนี้เป็นเคราะห์ภัย หรือเป็นกลีที่สุด ซึ่งแปลให้ชัดตรงเข้าไปเลยก็สรุปได้ว่า “ความโกรธเป็นกลีที่สุด หรือไม่มีความเลวร้ายชนิดไหนเทียบเท่ากับความโกรธ หรือ โทสะ ได้เลย ...
 

 
หากจะถามว่า ก็ในเมื่อความโกรธมีแต่ความเลวร้าย นำไปสู่ความฉิบหาย เป็นกลีที่สุดแล้ว ทำไมคนเราจึงไม่กลัวเกรง เพื่อยุติการกระทำ ก็ต้องตอบว่า “ก็เพราะความโกรธมันมีเสน่ห์...” แต่มันมีเสน่ห์สำหรับคนโง่ ... คนอับปัญญา !!! หรือมันเป็นของอร่อยสำหรับคนโง่ ดังภาษาบาลีที่ว่า โกโธ ทุมฺ เมธโคจโร แปลว่า ความโกรธเป็นโคจรของคนด้อยปัญญา
เราจึงเห็นคนที่อยู่ในระหว่างความโกรธเขาจะเพลิดเพลินในการแสดงบทบาทคุณ .. กล่าว หรือใช้กำลังเข้าประหัตประหารกันอย่างเมามัน... จนขาดจากความเป็นสัตว์ประเสริฐไป ให้ดูคล้ายๆ กับกิริยาท่าทางของสัตว์เดรัจฉาน มีการแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาถมึงทึง หน้ายักษ์ หน้ามาร... อย่างไม่รู้ตัวว่ามีความน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน ... เรียกว่า ไฟโกรธมันสำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มที่ ... ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางหน้าก็ไม่กลัวอีกแล้ว ตายเป็นตาย (แต่พอจะตายจริงๆ กลับกลัว...) ทั้งนี้ เพราะขณะที่ไฟโกรธแผดเผาอยู่นั้น คนโง่จะให้ความรู้สึกเพลิดเพลินเหมือนได้ดื่มกินน้ำตาลหวานอร่อย แต่ภายหลังโกรธเสร็จแล้ว กลายเป็นยาพิษให้ขมขื่นทีหลัง ดังพระบาลีที่ว่า ปจฺฉาโส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑโฒว ตปฺปติ แปลว่า ภายหลังเมื่อความโกรธหมดไปแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้
อาตมาขอน้อมนำเรื่อง ไฟแห่งความโกรธ พิษแห่งความโกรธ ความฉิบหายที่มาจากความโกรธ เพื่อเป็นอนุสติธรรมแด่สาธุชนชาวไทย จะได้เป็นเครื่องเตือนใจในการก้าวเดินต่อไปบนสะพานแห่งเวลาที่สืบเนื่องต่อไปในปีพุทธ
 
 
------------
โพสต์ทูเดย์
อนุสติธรรมปีใหม่ (๒๕๕๔)
รูปภาพประกอบกระทู้จากอินเตอร์เน็ต

2
อนุสติธรรมปีใหม่ (๒๕๕๔)
 
ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผู้ปรารถนาประกอบคุณความดี ผู้มุ่งหลีกหนีสรรพทุกข์ ยกย่างวันเวลาเข้าสู่ปีใหม่
 
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
 

 
ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผู้ปรารถนาประกอบคุณความดี ผู้มุ่งหลีกหนีสรรพทุกข์ ยกย่างวันเวลาเข้าสู่ปีใหม่ เป็นอีกนิมิตหนึ่งที่แสดงอายุกาลแห่งชีวิตว่า แก่เฒ่าเพิ่มไปอีกปีหนึ่ง หรือหากมองเข้าหามุมความจริง ก็จะพบว่า เวลาแห่งชีวิตได้ลดลงไปอีกแล้ว ดุจดังเทียนเล่มหนึ่งที่กำลังสว่างไสวอันน่าพึงใจสำหรับผู้พบเห็นประโยชน์จากความสว่างของเทียนเล่มนั้น ซึ่งแท้จริงของประโยชน์นั้น ก็เกิดจากความเป็นโทษภัยที่เทียนเล่มนั้นถูกเผาไหม้ไปด้วยไส้ ด้วยไขเทียนที่เป็นเชื้อเพลิงยังมีอยู่ ด้วยน้ำตาเทียนที่รินหลั่งไหลอย่างไม่ขาดสาย อันบ่งบอกถึงการถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ให้ผลเป็นแสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ เป็นประโยชน์กับผู้ใช้สอย ซึ่งประโยชน์นั้น แท้จริงเกิดจากการทำลายของตัวมันเองไปทุกขณะ จนกว่าจะมอดสิ้นไปในเทียนไขเล่มนั้น ซึ่งค่อยๆ เผาไหม้ตัวมันเองไปทีละน้อย ไปทีละมาก ผันแปรไปตามปัจจัยเกี่ยวเนื่อง อันมองให้เห็นความจริงอันหนึ่งที่ปรากฏมีอยู่ในความสืบเนื่อง (สันตติ) คือ ความเกิดขึ้น มีอยู่ แปรปรวน และสูญหาย ที่เรียกว่า “อนิจจัง”
เช่นเดียวกันกับการมีชีวิตสืบต่อไปเบื้องหน้าอย่างไม่สิ้นในขณะนี้ ก็ด้วยเชื้อไขแห่งชีวิตยังมีอยู่ ดุจเหมือนมีประโยชน์กับชีวิตนั้นๆ หากรู้กาลอันควร และรู้ฐานะที่ควรกระทำที่เป็นไปตามหลักธรรมอริยสัจ ซึ่งจะต้องรู้จักหนทางแห่งการกระทำที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เข้าถึงความจริงขั้นอริยสัจนั้น อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์ หรือพระนิพพาน
 

 
ในวิถีพุทธ ซึ่งให้คติแห่งการดำรงชีวิตท่ามกลางความผันแปรไม่เที่ยงแท้ในสรรพธรรมทั้งหลายว่า “จงอย่าประมาท เพราะสังขารมีความเกิด มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมเถิด...” ในข้อนี้ คงเป็นธรรมที่ควรคิดอันยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นชั้นความจริงขั้นสูงสุด ซึ่งไม่มีใครๆ จะปฏิเสธได้ ดังความหมายที่ว่า “ทุกคนล้วนมีความแตกดับอยู่เบื้องหน้า” ดุจเทียนเล่มหนึ่งที่กล่าวมา ว่า ในความสว่างไสวนั้น แท้จริงเบื้องหน้า ก็คือ ความดับ ... อย่างนี้เป็นธรรมดา ไม่เป็นไปจากนี้ และไม่แปรเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ เพราะมันเป็นเช่นนี้เอง !!
หากลองมองย้อนกลับไปในกาลเวลาที่ผ่านมา เพ่งพินิจพิจารณาในหลากหลายเรื่องราวเหล่านั้น ก็คงจะพบประโยชน์ที่จะนำมาเป็นครูไว้สอนใจได้อย่างมากมาย ทั้งในเรื่องเกี่ยวเนื่องกับเราโดยตรง หรือเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม จึงไม่ควรให้เรื่องราวเหล่านั้นผ่านไปอย่างไร้ค่า แม้เป็นเรื่องที่ไม่มีคุณค่าความดีใดๆ เลย ก็คงเป็นประโยชน์อยู่บ้าง หากรู้จักคิดพิจารณา เพื่อสืบสาวหาเหตุปัจจัย เพื่อเข้าให้ถึงเค้าเงื่อนเหตุของปัญหา ซึ่งจะนำพาให้เราได้เข้าใจความจริงว่า “สิ่งนี้มี ... เพราะมีสิ่งนี้ หรือเมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี ...”
 

 
การรู้จักนึกคิดพิจารณาสืบสาวหาเหตุหาผลดังกล่าว จะทำให้เราเข้าใจ เข้าถึงความจริงในธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และเราจะพบว่า “สิ่งนี้ เราควรทำ สิ่งนี้ เราไม่น่ากระทำเลย ...” หรือเราอาจจะเข้าถึงขั้นของความสำนึกที่ว่า “เราไม่น่าจะกระทำอย่างนี้เลย...”
การรู้จักคิดพิจารณานั้น จะต้องใช้สติปัญญา โดยจะต้องรู้จักอบรมจิตให้อยู่ในขั้นของคุณภาพการใช้งานเพื่อทำให้เกิดปัญญาได้ หรือจะเรียกว่า จะต้องพัฒนาคุณภาพจิตให้มีความพร้อมที่สามารถจะนำไปใช้งานได้ ที่เรียกว่า สมาธิภาวนา จึงไม่เป็นไปกับบุคคลโดยทั่วไปที่ปล่อยตัว ปล่อยใจมาโดยตลอดว่า สามารถจะพัฒนาคุณภาพชีวิตไปตามวิถีพุทธได้
หากจะพูดเรื่องคุณภาพชีวิตตามวิถีพุทธ ก็คงจะนำไปเกี่ยวเนื่องกับการดำรงชีวิตอย่างรู้จักความพอเพียง... ความพอดี... และอยู่อย่างมีความพึงใจที่ได้กระทำความดีนั้นๆ ซึ่งหมายถึง จะดำรงชีวิตเพื่อลด ละ ปล่อยวางในโลภะ โทสะ โมหะ หรือทำโลภะ โทสะ โมหะ ให้ลดลงไป ให้เบาบางไปจากชีวิตของตน
 

 
ทั้ง ๓ อย่างนั้น เป็นอกุศลกิเลสที่ทำให้จิตเศร้าหมอง มุ่งไหลไปสู่ฝ่ายต่ำ คือให้จิตใจตกต่ำจากฐานะอันประเสริฐที่ได้มา โดยเฉพาะ กาลีโทสะ ที่แปลว่า ประทุษร้าย ซึ่งเป็นกลุ่มไวพจน์เกี่ยวกับโกธะ ที่แปลว่า โกรธ ก็ว่าได้ แต่โดยแท้จริงแล้ว โทสะเป็นส่วนแสดงผลออกไปจากความมีโกธะ หรือความโกรธ ซึ่งเมื่อโกรธแล้ว ก็นำไปสู่ความประทุษร้าย จึงเรียกฐานของความโกรธนี้ว่า “โทสะ” เพื่อแสดงให้เห็นอำนาจของความเป็นจริงที่เป็นโทษของความโกรธ หรือโกธะ
หากยังเก็บกดความโกรธอยู่ หรือเรียกว่า ผูกโกรธไว้นั้น ภาษาบาลีเรียกว่า “อุปนาหะ” จะแปลว่า ผูกอาฆาตไว้ก็ย่อมได้ และหากมีการแสดงความโกรธไม่ค่อยมากนัก อยู่ในขั้นหงุดหงิดใจ ขัดใจ จะเรียกว่า “ปฏิฆะ”
 
 

3
คุณเชื่อไหม เรื่องคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน
 
 

 
เค้าพูดถึง soul mate เอาไว้ว่า....
 
 
"soul mate" จะเป็นเพื่อน เป็นคนรัก หรือเป็นคนรู้จักก็ได้ มีคุณสมบัติ คือเป็น
 
1. ต้องเคยใช้ชีวิตชาติปางก่อนมาด้วยกัน
2. ครั้งแรกที่พบกันในชาตินี้ ต้องรู้สึกทันทีว่าคุ้นมากๆๆๆๆ
 
มีอะไรบางอย่างสื่อถึงกัน รู้สึกสบายใจและไว้วางใจในทันที
3. เมื่อมีปัญหาแตกร้าว ก็เข้าใจกัน แก้ไขได้ด้วยกันโดยง่าย
 
 
 
"soul mate" มิใช่ "เนื้อคู่" แต่เพียงอย่างเดียว มีถึง 3 แบบด้วยกัน
แบบที่ 1 เรียกว่า Companion Soul Mates
คือ
 
คนที่เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นเจ้านายก็ได้ เป็นใครสักคน
 
เป็นคนแปลกหน้าผ่านมาเวลารถเสียแล้วช่วยซ่อมให้ก็ได้
 
ไม่คิดตังค์ ไม่ล่อลวงไปข่มขืน
 
หรือเป็นคนที่ได้พบปะพูดคุยด้วยไม่กี่ครั้ง หรือเพียงครั้งเดียว
 
แต่เป็นแรงบันดาลใจส่งให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
 
เป็นคนที่เราจะได้พบในช่วงสั้นๆ ในชีวิต
 
เพราะชาติที่แล้วเราเคยช่วยเหลือกันมาก่อนในระยะเวลาจำกัด
 
แรงบันดาลใจ ฉันจะเป็นเหมือนเธอ จะทำให้ได้อย่างเธอ
 
อย่างงี้หละ!
 
 
 
แบบที่ 2 เรียกว่า Twin Soul Mates
 
คือคนที่เราเป็นเพื่อนกันมาหลายชาติแล้ว
พอชาตินี้มาเจอกัน! อีกก็ได้เป็นเพื่อนกันอีก
คล้ายๆ พวกที่1 แต่จะรู้สึกถึงมิตรภาพที่ผูกพันแนบแน่นกว่า
แบบว่าสื่อถึงกันได้ทางโทรจิต คล้ายว่าเป็นฝาแฝดกันน่ะ
พอได้รู้จักกันแล้วก็จะรับรู้ทุกข์สุขกันไปตลอดชีวิต
 
ร่วมทุกข์ร่วมสุขประมาณว่า ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนไหนในโลก
ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร จะเป็นคนที่ปลอบคุณเวลาที่คุณทำผิดพลาด
 
คอยเช็ดน้ำตาให้คุณเมื่อทุกใจ
 
เพื่อนตายก็ว่าได้เลย
 
 
 
แบบที่ 3 เรียกว่า A Twin Flame Soul Mates
 
แบบนี้มีคนเดียว หายาก และพบยาก จะพบกันก็เพราะความผูกพันธ์ที่ผูกคุณและเค้าไว้
 
ส่วนมากจะเป็นเพศตรงข้าม ทั้งชีวิตนี้จะมีได้แค่คนเดียว
เป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายชาติภพแล้ว เป็นจิตวิญญาณของกันและกัน
พอพบกันครั้งแรก จะเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นเข้าหากัน ดั่งเหมือนมีมนต์
 
 
 
 
จะรู้สึกถูกชะตา รู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ จะรู้อยู่ลึกๆ ทันทีว่านี่คือคู่ของเรา
 
ต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน จะรู้สึกแบบนี้กับคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น
 
เป็นคนที่ได้ยินชื่อ พบกัน หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกันเค้าแล้วคุณรู้สึกอย่างนี้ จะเป็นความรู้สึกที่แปลก
 
คุณจะรู้สึกได้( สำหรับคนที่เจอแล้วนะ)ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนใคร
 
แตกต่างจากคนที่เรารู้จัก หรือคนธรรมดาทั่วๆไปที่ได้พบ
 
 
 
 
ป.ล. แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ soul mateที่เกิดแต่ชาติปางก่อน นะจะ ห้ามมั่วนิ่ม!
 
1. พวกที่เอะอะปิ๊ง เห็นเค้าน่ารักดี ก็บอกว่าใช่
2. รู้สึกดีๆ กับเค้าเพราะเหมือนคนที่เรารู้จัก คนที่เรารัก หรือเป็นตัวแทนของใคร
3. เพราะได้ใกล้ชิดกัน กลายเป็นความผูกพันธ์ที่เกิดในชาตินี้
4. สงสาร(เธอจังมาจีบอยู่หลายปี)
 
 
 
 
 
** soul mate ที่จะพบกัน ไม่จำเป็นหรอกนะว่าจะเป็นคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน ขอแค่คุณให้ความรักกับคนรอบตัวคุณ คุณก็จะพบกับ soul mate ที่อยู่ในชาตินี้แล้วหละ ความผูกพันธ์อยู่ที่ตัวของคุณเองว่าจะสร้างมันขึ้นมายังไง**
 
คุณเจอเค้าหรือยัง? หาให้เจอนะ.. soul mate
 
 
 
----------------
http://variety.mwake.com/story/654/คุณเชื่อไหม-เรื่องคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน.html

4
รักษา “ใจ” ยาม “เจ็บ” “ยาธรรม” รพ.หัวเฉียว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 ตุลาคม 2553 09:21 น.




ใน ยามป่วยไข้ ร่างกายถูกโรครุมเร้า ร้อยทั้งร้อยคนไข้ทั้งหลายต่างก็อยากหวังพึ่งโรงพยาบาล ส่วนแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็มีภาระหน้าที่สำคัญในการรักษาพยาธิสภาพของร่างกายคนป่วยหาย แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้น คือ “สภาพจิตใจ” ของผู้ป่วย ที่ส่วนใหญ่ก็มักจะย่ำแย่สัมพันธ์กับสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ มากบ้างน้อยบ้างตามอาการของโรค

โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ต้องใช้เวลาหลายเดือนหลายปีในการรักษา หรือกระทั่งผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย คนเหล่านี้นอกจากจะต้องทุกข์ระทมด้วยอาการเจ็บไข้ของตัวเองแล้ว จิตในร่างกายอันโทรมทรุดก็ยังหวาดกลัว สับสน ว้าวุ่น และอ่อนแอเพราะการถูกบีบด้วยข้อจำกัดของร่างกายอมโรคนั้นด้วย



กอบชัย ซอโสตถิกุล ประธาน กรรมการบริหารโรงพยาบาล หัวเฉียว ในฐานะลูกที่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีมารดาซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง รู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานของการมีผู้เป็นที่รัก ต้องได้รับความทุกข์จากอาการเจ็บป่วยทางกาย พร้อมกันนั้น ก็มีความป่วยทางใจเนื่องจากเป็นโรคที่รักษาได้ยาก เปิดประสบการณ์ว่า หากในขณะนี้ มีการจัดระบบ “การรักษาใจ” ด้วยธรรมะอย่างโครงการที่ทางโรงพยาบาลหัวเฉียวกำลังทำอยู่ในขณะนี้ ก็น่าจะทำให้ความทุกข์ในของมารดาและของลูกหลานที่เฝ้าพยาบาลด้วยความเป็น ห่วงอยู่นั้น คงจะเบาบางลงไปได้มาก

“โครงการธรรมรักษานี้ ระยะแรกเราจะเน้นไปในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อน เพราะผู้ป่วยที่รักษาไม่หายแล้วพวกนี้จะทุกข์ทรมานมาก จะกลัว ต้องค่อยๆ พูด เอาหลักธรรมะกับหลักจิตวิทยาเข้าไปดูแล เราใช้ทั้งวิธีนิมนต์พระมาบรรยาย แนะนำการนั่งสมาธิ ใช้วิธีเพื่อนช่วยเพื่อน เอาเพื่อนผู้ป่วยด้วยกันมาให้กำลังใจ รวมถึงจัดกิจกรรมอื่นๆ เช่น ระบายสี ทำการฝีมือ อย่าให้เขาว่าง จะได้ไม่จิตตก เพราะพวกนี้ถ้าว่างจะปรุงแต่งจิต แล้วก็จะเกิดความกลัว ความหม่นหมอง ซึ่งขณะนี้แพทย์และเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปดูแลคนไข้ชุดนี้เราอบรมเป็นพิเศษ ทั้งในแง่จิตวิทยาและธรรมะ และตอนนี้ก็ขยายผลไปยังแพทย์และบุคลากรทุกรายด้วย”



ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวถึงโครงการดีๆ ที่เป็นบริการสุดพิเศษฟรีๆ ที่โรงพยาบาลจัดทำขึ้นต่อไปอีกว่า นอกจากทีมแพทย์พิเศษแล้ว ทางโรงพยาบาลก็พยาบาลขยายผลให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนใช้หลักธรรมในการผสม ผสานไปกับการบริการคนไข้ด้วย

“ผมได้แรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เขียนเรื่องราวของพยาบาลที่อุทิศชีวิตเพื่อการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายมา 20 ปี เต็ม ก็เลยกลับมาคิดว่า เราในฐานะโรงพยาบาล น่าจะมีวิธีดีๆ ซึ่งการดูแล การอบรม การบริการ การจัดกิจกรรมของโครงการธรรมรักษานี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการบริการฟรี เหมือนฟีเจอร์เสริมของการรักษา คือ รักษากาย แล้วก็เผื่อไปถึงการรักษาใจให้คนป่วย รวมถึงญาติคนป่วยด้วย 10 ปีก่อนคุณแม่ผมก็ป่วย ถ้าตอนนั้นมีวิธีแบบนี้ ก็คงจะดี ผมก็เลยทำโครงการนี้ขึ้นมา เงินสนุบสนุนโครงการเราได้จากผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคครับ”

ด้านพระราชปฏิภาณมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุร วงศาวาสวรวิหาร ประธานโครงการฝ่ายสงฆ์ ได้แสดงธรรมในโอกาสการแถลงเปิดตัวโครงการธรรมรักษาว่า เพียงชื่อโครงการ ก็ถือเป็นชื่อที่มีมงคลแล้ว เพราะคำว่า “ธรรม” ไม่ว่าจะแปลความในบริบทใดก็แล้วแต่ แต่ความหมายของธรรมก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มงคลทั้งสิ้น ส่วนร่างกายของคนนั้น ในทางธรรมจะแบ่งออกเป็น “นาม” และ “รูป” ซึ่งก็คือกายและใจ ที่อาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่นั่นเอง

“พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ กายก็มีโรคภัยไข้เจ็บของกาย ส่วนใจก็มีโรคภัยของมันเหมือนกัน เรียกว่า “กิเลส” จริงๆ แล้วกายเป็นเครื่องมือของใจ พอกายป่วย ใจก็ไม่เป็นสุข ผู้ป่วยมักจะเกิดความไม่สมหวัง หงุดหงิด เศร้าซึม โครงการนี้จึงเป็นโครงการจากความกรุณาโดยแท้ อาตมาเองก็อยากจะบอกคุณหมอคุณพยาบาลว่า การที่คุณเอาธรรมเข้าไปหาผู้ป่วย นั่นคือเห็นความเจ็บป่วยเป็นนาบุญ ที่เราจะไปให้ความช่วยเหลือ แล้วธรรมะที่คุณหมอใช้ผสมผสานกับการรักษา ก็จะย้อนมาถึงคุณหมอและคุณพยาบาลด้วย”

พระราชปฏิภาณมุนีแสดงธรรรมต่อไปอีกว่า หาก ขยายผลจากการให้ “ยาธรรม” แก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย กว้างออกไปถึงกลุ่มคุณแม่ใกล้คลอด จะดีมาก เพราะปัจจุบันมีพ่อแม่มือใหม่หลายคนบำรุงครรภ์ของแม่ด้วยอาหารดีๆ อากาศดีๆ ลูกเกิดมาก็ไอคิวสูง แต่ปัญหาคืออีคิวไม่ได้สูงไปด้วย แต่หากแพทย์และพยาบาลให้ “ยาธรรม” ดูแลใจคุณแม่ใกล้คลอด เด็กจะออกมาดีทั้งไอคิวและอีคิวด้วย



http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000147335

6
รู้สึกดอกสีเหลือง ๆ จะเป็นจำปีนะตา 

เห็นเค้าว่าโบราณเค้าถือว่าถ้าบ้านไหนมีลูกสาว
ไม่ให้ปลูกจำปีไว้ในบ้านนี่นา  เค้าบอกว่า เดี๋ยวลูกสาวขึ้นคาน
((*-*))  แนะนำให้ย้ายไปปลูกไว้ข้างบ้านเหอะนะตานะ     :13:

 :06:อ่ะพี่แป้งรู้ลึกจัง เรื่องนี้...



เอิ่บ..!! อำป่ะเนี๊ยะ แป้ง  อิอิ
แต่ตารอดไป เพราะต้นเนี๊ยะ บ้านพี่สาวอ่ะ
ตาชอบไปเก็บมาไหว้พ่อแม่ในช่วงเวลาที่มะลิที่บ้านไม่ออกดอก
เค็มจนไม่ยอมซื้อดอกไม้อ่ะคิดดู
อ่ะ ไม่ใช่ๆ ตามีความรู้สึกพ่อแม่จะชอบแบบนี้มากกว่า

อึ๋ยย !! พี่แป้งอำมากกว่าอ่ะบอล..ฮ่าๆ  :06:

7
ธรรมจากหลวงพ่อว่าด้วย กรรม สมาธิ-กรรมฐาน และเมตตา
 
พระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ)

 
 
 
 

 
ธรรมว่าด้วยกรรม
 
 
- การที่เราทั้งหลายได้มานับถือพระพุทธศาสนาในทุกวันนี้นั้น เพราะด้วยเหตุของกรรมอันเราได้ทำไว้ดีแล้ว แต่ชาติปางก่อน
- อันบุคคลใดจะได้พบ ได้ถึงพระพุทธศาสนาสืบต่อไปอีก ก็เป็นด้วยมีเจตนาสร้างศรัทธาให้เกิดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในภพนี้ชาตินี้
 
ธรรมว่าด้วยสมาธิ - กรรมฐาน
 
- ความรู้ความสำนึกในคุณแห่งพระพุทธ คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระสงฆ์ จะเกิดมีแก่เราได้ก็ด้วยการบำเพ็ญเพียร ให้มีสมาธิเกิดขึ้นในจิตใจ เพราะเมื่อจิตมีสมาธิแล้ว ก็จะเกิดมีปัญญาขึ้นได้
- ศิษย์ทั้งหลายมาถึงวัดแล้ว จงไหว้พระ สวดมนต์ สมาทานศีล และกระทำกรรมฐาน หากำไรให้แก่ชีวิตนี้ ทำชีวิตให้มีคุณค่า
- หากเราทั้งหลาย สำนึกในคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์กันมากๆ ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาแน่นหนา เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายสืบไป
- จะใช้กสิณดิน เป็นองค์กรรมฐาน หรือจะใช้บริกรรม ภวานาคำว่า พุทโธ สองประการนี้ หลวงพ่อกล่าวถึงเสมอ และให้การสนับสนุนทั้งสองวิธี
- บูชาพระแล้ว สวดมนต์ให้มาก ก่อนปฎิบัติกรรมฐาน จะทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย
 
ธรรมว่าด้วยเมตตา
 
- จะปฎิบัติกรรมฐาน ทำสมาธิ ให้แผ่เมตตาเสียก่อน เพราะการทำสมาธิกรรมฐาน เป็นการประกอบคุณความดี ซึ่งมักจะมีเทพมิจฉาทิฐิคอยขัดขวางมิให้กระทำได้โดยสะดวก เมื่อเราแผ่เมตตา เป็นการสร้างมิตร จะได้รับการคุ้มครองปกป้องสนับสนุนให้การปฎิบัติมีผลดี
- เมตตาพาให้เกิดสามัคคี และเกิดสุขในหมู่คณะ
- คุณแห่งความเมตตามีมาก แม้แต่พระพุทธศาสนา ก็ถือกำเนิดขึ้นมาได้ ด้วยเมตตาธรรมนี้
 
 
 
 

ที่มา : หนังสือ อุตตมะ 84 ปี
 
 
-----------------
ขอบคุณที่มา::
http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=149

8
[youtube]http://www.youtube.com/v/d6F7RDQfm8U?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/qjen_TlF3Xc?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/GgrqxTfYgBA?fs=1&hl=en_US[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/v/YFNGH7k-pH4?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/K5u35MmglWY?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/0MnVl-LbSlw?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/m53c__2Cfv8?fs=1&hl=en_US[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/v/euI37lpwp6E?fs=1&hl=en_US[/youtube]




9
“โรงเรียนพระดาบส” บทพระราชนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
 

 
 
บทพระราชนิพนธ์ใน

 
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

 
 
ไม่ว่าจะประทับอยู่ ณ ที่แห่งใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมี พระราชกรณียกิจ นานาประการเสมอมามิได้ขาดทั้งในด้านพระราชพิธี และพระราชกรณียกิจอื่นๆ ที่ต้องอาศัยพระราชวินิจฉัย ดังเราจะได้เห็นแนวพระบรมราโชบายในบางส่วนจากพระราชดำรัสที่พระราชทานในโอกาสต่างๆเช่น ในงานพระราชทานพระปริญญาบัตร หรือในพิธีพระราชทานธงประจำรุ่นลูกเสือชาวบ้านเป็นต้น

ในปีหนึ่งๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปในภาคต่างๆ ของประเทศเป็นเวลานาน พระราชกรณียกิจขณะที่ประทับอยู่แต่ละแห่ง นอกจากจะเป็นการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรและตำรวจ ทหารในท้องถิ่นและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ยังได้ทรงมีพระราชดำริในอันที่จะปรับปรุงอาชีพของราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเกษตรกร โครงการพระราชดำริต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ทรงเตรียมการและไตร่ตรอง ใคร่ครวญแล้วเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเสด็จราชดำเนินไป ณ ท้องถิ่นใดก็จะต้องทรงศึกษาลักษณะพื้นที่ สภาพของแหล่งน้ำและสันเขาจากพื้นที่ สภาพอากาศจากแผนที่และข่าวอากาศซึ่งทรงได้รับเป็นประจำ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงท้องที่นั้น ทรงได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการไต่ถามราษฎรที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้เห็นสภาพดิน ภูมิประเทศได้ประชุมปรึกษากับข้าราชการหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในเรื่องรายละเอียด แล้วจึงทรงเล่าเรื่องการปฏิบัติงานให้แก่ราษฎรที่มารับเสด็จด้วย ในงานพัฒนาและโครงการในพระราชดำรินี้ ทรงถือว่าพระภิกษุสงฆ์ เป็นบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งยวด เช่นเดียวกัน สังคมไทยวัดเป็นศูนย์กลาง พระภิกษุนอกจากจะเป็นผู้สั่งสอนธรรมะแล้วยังมักเป็นที่ปรึกษาทั่วๆไปในการประกอบอาชีพของชาวบ้านด้วย ดังนั้น วัดบางครั้งก็มีสภาพเป็นศูนย์พัฒนาเป็นที่รวบรวมข้อมูลข้อคิดเห็นของราษฎร เป็นที่สาธิตของโครงการที่ทรงแนะนำด้วย

เป็นที่แน่ชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในวิชาความรู้หลายแขนง ทรงเป็นนักคิดนักค้นคว้า และยังทรงอธิบายถ่ายทอดให้บุคคลอื่นได้ทราบและส่งเสริมการค้นคว้าความรู้ กล่าวคือทรงเป็นครูที่ดี เมือเสด็จออกเยี่ยมราษฎรมักจะทรงแนะนำผู้ที่มาเฝ้ารอรับเสด็จถึงเรื่องต่างๆ เช่นการรักษาต้นน้ำลำธาร การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ตัวอย่างของความเป็นครูของท่านที่เป็นประสบการณ์คือ ในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานโดยทางรถยนต์ เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ประมาณ 7-8 ปี และได้โดยเสด็จในรถด้วย ก็ทักจะทรงสอนข้าพเจ้าและพี่ๆ ให้รู้จักวิธีการคำนวณเวลาจากระยะทางและความเร็วสภาพภูมิประเทศที่เห็น ถ้าเป็นเวลากลางคืนก็จะทรงสอนให้รู้จักดาวต่างๆในท้องฟ้า

วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าแกล้งถามคนที่อยู่ด้วยว่า ข้าวในกระสอบหนึ่งมีกี่เม็ด ไม่มีใครตอบ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯให้ไปเอาข้าวสารมาลิตรหนึ่ง ทรงให้ข้าพเจ้าตกลงใจยอมรับว่า ค่าที่ได้จะเป็นค่าโดยประมาณ และให้เอาถ้วยตะไลเล็กๆ ตักตวงข้าวดูว่าข้างลิตรหนึ่ง เป็นกี่ถ้วยตะไลแล้วนับเมล็ดข้าวในถ้วยตะไลนั้นแล้วเอาจำนวนเม็ดคูนด้วยจำนวนถ้วยได้เป็นจำนวนเม็ดข้าวในลิตร แล้วคูณขึ้นไปก็เป็นจำนวนลิตรในถัง จำนวนถังในกระสอบ ก็จะได้จำนวนเม็ดข้าวในกระสอบ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักจำนวนโดยประมาณ

เมื่อโตขึ้นต้องเรียนเลขและทำโจทย์ในหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งตัวโจทย์ที่ตั้งขึ้นคล้ายๆกันไปหมด ข้าพเจ้าจึงมักยกเอาความเบื่อเป็นเหตุผลของความขี้เกียจเรียนวิชานี้โดยอ้างว่าไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขความขี้เกียจนี้ โดยเวลาที่ปิดภาคเรียนใหญ่เกือบ 3 เดือนได้ทรงตั้งโจทย์เลขให้ทำเพียง 2 ข้อ ข้อหนึ่งเกี่ยวกับถังน้ำ ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักดี เพราะอำเภอหัวหินที่เราอยู่นั้นค่อนข้างแห้งแล้ง ถังน้ำเป็นของจำเป็น เมื่อหน่วยแพทย์พระราชทานออกไปพัฒนาในหมู่บ้านใกล้ๆ พวกเราจะรวบรวมเงินกันแล้วซื้อถังน้ำให้แก่หมู่บ้านต่างๆ ถังน้ำในเรื่องนี้สมมุติว่าเป็นถังหนึ่งที่ข้าราชบริพารช่วยกันบริจาคข้าพเจ้าต้องคำนวณดูว่าวันๆหนึ่งมีน้ำเท่าไร คนใช้ไปเท่าไร ฝนตกเท่าไร และแถมถังน้ำเจ้ากรรมยังรั่วอีกด้วย โจทย์นี้คิดเท่าไรก็ไม่มีวันเสร็จ

ส่วนโจทย์อีกข้อหนึ่ง เกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของครอบครัวหนึ่งซึ่งมีฐานะค่อนข้างยากจนแม้ว่าจะมีลูกเป็นนักเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้รับพระราชทานเงินช่วยค่าครองชีพ ก็ยังไม่ค่อยพอเมื่อเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ทำงานไม่ได้ แถมวันหนึ่งเกิดพายุอย่างรุนแรง หลังคาบ้านชำรุดเสียหาย ต้องเสียค่าสังกะสีมาซ่อมแซม จึงต้องไปกู้เงินเขามาพร้อมเสียดอกเบี้ย โจทย์ข้อนี้ก็ไม่มีวันจบเหมือนกันและมีประโยชน์ดีทำให้รู้ราคาของแห้งของสด ของใช้ ซึ่งต้องสืบสวนหาตัวเลขจริง ไม่ได้แต่งเอาเอง

ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าบ่นขี้เกียจเรียนเลขอีกเลย

เมื่อเรียนภูมิศาสตร์ แทนการท่องหนังสืออย่างเดียว ก็ทรงส่งเสริมให้ดูสภาพต่างๆ จากของจริง เทียบกับแผนที่ แม้แต่เมฆก็ไม่ได้ให้ท่องแต่เพียงชื่อในหนังสือเท่านั้น ทรงสอนให้ดูเมฆจริงๆทีเดียว วิธีการสอนอย่างนี้ไม่ได้ทรงทำเฉพาะกับลูกเท่านั้นทรงตั้งพระราชหฤทัยให้คนไทยทุกคนมีโอกาสได้ศึกษาวิชาความรู้พระราชปณิธานนี้ จะได้เห็น ชัดจากโครงการหนึ่ง ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนักและหลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจเมื่อใครกล่าวถึง โรงเรียนพระดาบส”

เนื่องด้วยมีบุคคลเป็นจำนวนมากที่มีความรักวิชาการ อยากหาความรู้ใส่ตน แต่ไม่สามารถหาที่เรียนได้ โดยขาดแคลนทุนทรัพย์ บางคนก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าศึกษาตามโรงเรียนทั่วๆไปได้ บางครั้งโรงเรียนในระบบก็มีข้อขัดข้องบางประการทำให้ครูไม่สามารถให้ความรู้แก่นักเรียนได้เต็มที่ จึงมีพระราชดำริที่จะจัดการศึกษานอกระบบขึ้น มีลักษณะเดียวกับการศึกษาในโบราณกาล (เช่นเดียวกับที่มีในหนังสือเก่าๆ เช่น นิทานชาดก เป็นต้น) ผู้ที่ต้องการหาความรู้ มักจะดั้นด้นไปหา “พระอาจารย์” ซึ่งมักจะเป็น “พระดาบส” ตั้งสำนักอยู่ในป่าแล้วฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระอาจารย์เห็นว่าบุคคลนั้นมีความตั้งใจจริงก็รับไว้ และถ่ายทอดวิชาให้โดยไม่ปิดบัง พร้อมกันนั้นก็อบรมสั่งสอนศีลธรรมจรรยาด้วย ลูกศิษย์ก็จะตอบแทนคุณพระอาจารย์โดยการปรนนิบัติรับใช้ เช่นหาผลไม้ ตักน้ำ ทำความสะอาดอาศรมกุฎีจนกระทั้งเมื่อมีความรู้พอก็จะลาพระอาจารย์กลับสู่บ้านเมือง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานสถานที่เป็นอาศรมของ พระดาบส อาหารและเครื่องยังชีพของพระดาบส และศิษย์ในสมัยโบราณนั้นย่อมได้จากป่า (ผลไม้ หน่อไม้ ฯลฯ) ในกรณีนี้จะต้องมี ป่าสังเคราะห์ กล่าวคือ เงินทุนพระราชทานเป็นค่ากินยู่ และค่าใช่จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งมีหลักคือการดำเนินการของ โรงเรียนพระดาบส นี้จะต้องเป็นการดำเนินกิจการสาธารณประโยชน์และจะไม่จัดเป็นรูปงานธุรกิจโดยเด็ดขาด

วิชาที่ พระดาบส” สมัยใหม่เปิดสอนในระยะทดลอง เป็นวิชาช่างไฟฟ้า วิทยุ ใช้สถานที่ของสำนักพระราชวัง ณ บ้านเลขที่ 384-386 ถนน สามเสน ผู้ที่จะเข้าเรียนไม่จำกัด เพศวัย และวุฒิความรู้ หรือ ฐานะ หลายคนมาจากครอบครัวที่ยากจนและมีปัญหาในชีวิตประจำวัน บ้างเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือน ผ่านศึกทุพพลภาพ ส่วนครูเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอาสาสมัครสอน โดยมีศรัทธาที่จะเสียสละให้ความรู้ลุกศิษย์ เป็นวิทยาทานโดยมิได้หวังค่าตอบแทน ผู้ดำเนินการคือองคมนตรีและผู้ทรงคุณวุฒิอื่นเท่าที่ได้เปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2519 (เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว) โดยมีนักเรียนรุ่นแรก 6 คน นับว่าได้ผลดีมาก กล่าวคือ เดิมกำหนดไว้ว่านักเรียนจะมีความรู้ในการสร้างซ่อมแซมเครื่องรับวิทยุได้ในเวลา 1 ปี เมื่อปฏิบัติจริงๆ แล้วใช้เวลาเพียง 9 เดือน และทางโรงเรียนจึงได้เปิดรับงานซ่อมเครื่องไฟฟ้า วิทยุ ติดตั้งไฟ ไฟอาคาร โดยขยายเปิดสอนความรู้ที่สูงขึ้น รวมทั้งเปิดรับนักเรียนใหม่ในขั้นต้น และเปิดวิชาอื่น คือ ช่างเคลื่อนยนต์และช่างประปา

เท่าที่แล้วมานั้น นักเรียนทุกคนรักเชื่อฟังอาจารย์ มีน้ำใจในการปรนนิบัติรับใช้ และมีศีลธรรมเป็นพลเมืองดีของชาติ สำหรับค่าใช่จ่ายในโครงการนั้นนอกจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานแล้ว บริษัทห้างร้านและเอกชนได้บริจาคสิ่งของเครื่องมือ เครื่องใช้และแรงงานโดยเสด็จฯ มากมาย ตามพระราชดำริอันมีแต่แรกนั้น ดาบส ที่ชำนาญในวิชาแขนงอื่นๆ เช่น วิชาศิลปะ วิชาภาษาต่างประเทศ วิชาประวัติศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งจะเปิดสอนตามความเหมาะสม

ถ้าโครงการ โรงเรียนพระดาบส นี้ได้เจริญรุดหน้าไปด้วยดีในอนาคตไทยเราอาจมีระบบการศึกษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ได้

-----------

ที่มา: สำนักข่าวเจ้าพระยา
“โรงเรียนพระดาบส” บทพระราชนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

หน้า: [1] 2 3 4 5