แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เดะ

หน้า: [1]
1
ลิงกับลา     
   
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา
วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง
เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป
ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ  คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย
หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น  ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว
อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ สักครู่หนึ่ง
หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

 
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลา
เพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ

 
ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง   ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เธอทั้งหลาย...
    เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย   
ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้าน
ที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้  เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว  เธอมองเห็นข้าวของเสียหาย
และมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ  แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย
เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือลิง  ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจ
ร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน   
     เหตุที่องค์กรต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"
ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริง
เพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
 
 
 
 

 
 
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง   
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวัง ว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา
 
เพื่อนทั่วไป อ่านแล้วทิ้ง เพื่อนแท้ จะส่งต่อๆ ไป
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย หากคุณได้รับคือ หมายถึง คุณได้ พบเพื่อนแท้ แล้ว

 

2
ปี 1961 สถานีโทรทัศน์ NHK ได้เริ่มต้นเสนอละครชุดช่วงเช้า ที่เรียกขานกันว่า Asadora drama (ปัจจุบันออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ ตั้งแต่ 8.15 น.-8.30 น. และเวียนซ้ำอีกรอบในวันเดียวกันตอน 12.45 น.-13.00 น.) ประเดิมด้วยเรื่อง Musume to Watashi
       
        4 เมษายน1983 ละครโทรทัศน์เรื่อง Oshin ซึ่งเป็น Asadora drama ลำดับที่ 31 ของ NHK ได้ออกอากาศวันแรก และจบลงโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1984 จำนวนทั้งสิ้น 297 ตอน ความยาวตอนละ 15 นาที (รวมแล้วน่าจะประมาณ 75 ชั่วโมง)
       
        ช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีดังกล่าว กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์-ปรากฎการณ์ครั้งสำคัญในวงการโทรทัศน์
       
        Oshin ประสบความสำเร็จท่วมท้น ยอดจำนวนคนดูสูงลิ่วเป็นสามเท่าตัวของรายการปกติที่ได้รับความนิยม (เฉลี่ยโดยรวมตกราว ๆ 52.6% ของผู้ชมทั้งหมด และเฉพาะเพียงแค่ตอนเดียวที่ฮิตสุด เรตติ้งพุ่งทะยานถึง 62.9 %)
       
        ความสำเร็จของ Oshin ยังคงเป็นสถิติสูงสุดของละครโทรทัศน์ในญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
       
        นับจนถึงปัจจุบัน Oshin ออกอากาศไปแล้ว 59 ประเทศ รวมทั้งไทย ซึ่งมีเรตติ้งความนิยมสูงเป็นอันดับสองในบรรดาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่นำละครชุดนี้ไปเผยแพร่ ส่วนอันดับหนึ่งคือ อิหร่าน และอันดับสามคือ อิรัก
       
        หากจะกล่าวว่า Oshin เป็นที่ชื่นชอบประทับใจสูงสุดในประเทศแถบตะวันออกกลาง ก็ไม่ผิดจากความจริงนัก ยิ่งไปกว่านั้นตัวเอกของเรื่องคือ โอชิน ได้กลายเป็นวีรสตรีประจำใจของผู้หญิงอิสลามจำนวนไม่น้อย รวมทั้งเป็นตัวละครที่ผู้ชมทุกเพศทุกวัยจากทั่วโลกพากันหลงรัก
       
        ความโด่งดังของละครโทรทัศน์ชุดนี้ ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกกันว่า The Oshin Effects เช่น ที่เมืองยามางาตะบ้านเกิดของโอชินตามท้องเรื่อง (เมืองเดียวกับที่ปรากฎเป็นฉากหลังในหนัง Swing Girls) “ข้าวปั้นโอชิน” และ “เหล้าสาเกโอชิน” กลายเป็นของที่ระลึกอันมีชื่อเสียงโด่งดัง, บริเวณท่าจอดเรือริมฝั่งแม่น้ำโมงามิ (บ้านเกิดของโอชินอยู่ตอนต้นแม่น้ำสายนี้) ซึ่งเคยมีชื่อเรียกกันว่า Basho Line ได้รับการขนานนามใหม่เป็น Oshin Line, เรื่องราวของโอชินได้รับการนำไปเผยแพร่ต่อยอดในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งหนังการ์ตูน หนังสือการ์ตูน ละครเวที รวมทั้งในบทเพลง, นักการเมืองหลายคน พูดถึงแนวความคิดทางเศรษฐกิจโดยอิงกับ “ปรัชญาวิธีคิดแบบโอชิน” รวมทั้ง “มาตรการประหยัดแบบโอชิน” (ซึ่งมีหลักการและรายละเอียดใกล้เคียงกับเศรษฐกิจแบบพอเพียง), นักกีฬาซูโม่ชื่อดังทากาโนซาโตะ ได้รับอิทธิพลแรงบันดาลใจถึงขั้นเปลี่ยนชื่อตนเองเสียใหม่เป็นโอชิน โยโกซุนา ฯลฯ
       
        Oshin เป็นผลงานการเขียนเรื่องและบทละครโทรทัศน์ของฮาชิดะ ซุงาโกะ (ชื่อจริงอิวาซากิ ซุงาโกะ) ว่ากันว่า เธอสร้างตัวละครโอชินขึ้นมาโดยอิงจากประวัติชีวิตมารดาของคาซุโอะ วาดะ (นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียง เจ้าของกิจการค้าปลีกและซูเปอร์มาเก็ต ที่มีสาขาแพร่หลายในญี่ปุ่นและเอเซีย ในนามของ “กลุ่มเยาฮัน”) และอีกส่วนหนึ่ง (ซึ่งยึดถือเป็นหลักในการลำดับเค้าโครงเรื่อง) มาจากการรวบรวมจดหมายนิรนามของผู้หญิงจำนวนมากในยุคเมอิจิ ซึ่งเขียนบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตอันทุกข์รันทดที่ยากจะบรรยาย ก่อนจบชีวิตตนเอง
       
        เรื่อง Oshin ครอบคลุมกินเวลายาวนาน ตั้งแต่ปี 1906 ซึ่งโอชินมีอายุหกขวบ และจบลงในปี 1983
       
        ฮาชิดะ ซุงาโกะ เริ่มต้นเรื่องที่เหตุการณ์ในปัจจุบัน บรรดาสมาชิกตระกูลทาโนคุระกำลังจะเปิดห้างสรรพสินค้าสาขาที่ 17 แต่แล้วโอชินซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของครอบครัว กลับหลบหนีหายไปโดยไม่บอกกล่าว ถัดจากนั้นหลายชายบุญธรรมก็อาศัยไหวพริบ ออกติดตามจนพบตัวคุณย่า ทั้งสองจึงเดินทางตระเวนไปตามเมืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องผูกพันกับชีวิตของหญิงชรา พร้อม ๆ กับคำบอกเล่าถึงทุกข์สุขต่าง ๆ ย้อนหลัง
       
        โอชินเกิดในครอบครัวชาวนาเช่าที่ดินทำกิน มีรายได้แทบเข้าขั้นติดลบ มิหนำซ้ำยังมีหลายปากท้องต้องเลี้ยงดู-กระทั่งต้องหุงข้าวปนหัวไช้เท้าทุกมื้อ-ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนได้อิ่มโดยทั่วถึง
       
        เมื่ออายุ 7 ขวบ เธอต้องพลัดพรากจากบ้าน ถูกขายให้ไปทำงานเลี้ยงเด็กในร้านค้าไม้เป็นเวลาหนึ่งปี (แลกกับข้าวสารหนึ่งกระสอบ) ผ่านการตรากตรำกรำงานหนักเกือบครบตามสัญญา ก็มีเหตุให้หนูน้อยตัดสินใจหลบหนีกลับบ้านตามลำพัง เนื่องจากโกรธและน้อยใจที่โดนกล่าวหาว่าขโมยเงิน
       
        โอชินเกือบพบจุดจบเมื่อล้มฟุบหมดสติท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บ แต่ก็มีชายหนุ่มหนีทหารชื่อชุนซากุที่หลบซ่อนตัวอยู่ในละแวกนั้นช่วยชีวิตไว้
       
        เมื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดและครอบครัวได้ไม่นาน ความอดอยากก็ส่งผลให้โอชินต้องประสบชะตากรรมเดิม ๆ ต้องออกไปทำงานกับครอบครัวร้านค้าข้าวสารในตำบลซาคาตะ แต่ครั้งนี้สถานการณ์พลิกผันเป็นบวก เมื่อคุณนายคุนิผู้มีเมตตาและเที่ยงธรรม คอยให้ความอุปการะช่วยเหลือ จนกระทั่งผ่านพ้นวัยเด็กอย่างมีความสุข
       
        ย่างเข้าสู่วัยรุ่น โอชินอำลาจากครอบครัวนายจ้าง เพราะเกิดปัญหาหัวใจ (โอชินกับคาโยะหลานสาวของคุณนาย ซึ่งสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง ต่างตกหลุมรักชายหนุ่มชื่อโคตะ) เธอหวนกลับคืนสู่บ้านเกิด จากนั้นก็มุ่งหน้าไปเผชิญโชคผจญภัยในโตเกียว ได้พบรักแต่งงานกับลูกเศรษฐีชื่อริวโซ ท่ามกลางการคัดค้านไม่เห็นด้วยจากแม่ของฝ่ายชาย
       
        หลังแต่งงาน โอชินต้องเอาชนะใจสมาชิกครอบครัวของสามี พร้อม ๆ กับกอบกู้ธุรกิจร้านขายผ้า ซึ่งกำลังประสบภาวะย่ำแย่ จนกระทั่งเหตุวิกฤติทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เธอคลอดลูกเป็นชาย กิจการที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นตัดเย็บเสื้อผ้าเด็กกำลังก้าวหน้า ตระเตรียมเปิดโรงงานขนาดใหญ่ แต่แล้วทุกอย่างก็พังพินาศในชั่วพริบตา เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโตเกียว เมื่อเดือนกันยายน ปี 1923 (มีผู้เสียชีวิตราว ๆ สามแสนคน อีกประมาณสองล้านสูญเสียบ้านกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย)
       
        โอชินต้องโยกย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามี เผชิญความขัดแย้งระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ และลงเอยด้วยการที่ลูกสาวเพิ่งคลอดเสียชีวิต
       
        โอชินหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่เปิดร้านอาหาร จากนั้นก็โยกย้ายมาเป็นแม่ค้าขายปลาที่เมืองอิเสะ พลัดพรากกับสามีนานหลายปี กว่าจะมีโอกาสหวนคืนกลับมาเป็นครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาดังเดิม
       
        ทว่าผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ลูกชายที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารเสียชีวิต สามีฆ่าตัวตาย ธุรกิจที่กำลังเติบโตพังทลายไปต่อหน้าต่อตา
       
        โอชินเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวยาวนาน จากช่วงวัยกลางคนย่างสู่วัยชรา ผลักดันจนร้านขายปลาเล็ก ๆ กลายเป็นซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ และค่อย ๆ ขยับขยายสาขาออกไปอีกหลายแห่ง พร้อม กับความเติบโตของบรรดาสมาชิกครอบครัว
       
        เรื่องจบลงเมื่อตระกูลทาโนคุระในปี 1983 กำลังเผชิญกับหายนะครั้งสำคัญที่อาจส่งผลถึงขั้นล้มละลาย แต่ก็ทำให้ทุกคนได้รับบทเรียนถึงคุณค่าของความเป็นครอบครัว การยืนหยัดเคียงข้างในยามทุกข์ และจิตใจมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
       
        มีหลายเหตุผลที่ทำให้ Oshin เป็นละครโทรทัศน์ที่ “จับใจ” ผู้คน
       
        อันดับแรกคือ ชั้นเชิงทางด้านการเขียนบท กำหนดวางบุคลิก ซึ่งทำให้ผู้ชมผูกพันเอาใจช่วยตัวละคร จากนั้นก็สร้างเหตุการณ์ผันผวนยอกย้อน “ดีสลับร้าย” ต่างๆ อยู่เป็นระยะ ๆ จนทำให้ละครชุดนี้ ดูสนุกเข้มข้นชวนติดตาม และสามารถสะกดตรึงไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
       
        ถัดมาคือ ละครชุด Oshin นำพาคนดูเข้าสู่การผจญภัยที่ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาสาหัสในชีวิต และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ด้วยการปลุกปลอบสร้างกำลังใจ ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเรื่องทุกข์อุปสรรคทั้งหลายของตนเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กน้อย เมื่อเทียบกับชะตาโดยรวมของตัวละคร
       
        ฝีมือการเขียนบทของฮาชิดะ ซุงาโกะแยบยลตรงนี้เอง กล่าวคือ แท้จริงแล้วชีวิตของโอชินไม่ได้เลวร้ายย่ำแย่ไปเสียทั้งหมด มีด้านบวกด้านลบทุกข์สุขปะปนอยู่ใกล้เคียงกัน และแทรกสลับไปมาอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่โดยกลวิธีการนำเสนอ มักเลือกเน้นรายละเอียดในช่วงยากลำบากของตัวละครอย่างถี่ถ้วน และบอกเล่าช่วงที่มีความสุขให้รวบรัดตัดข้ามผ่านไปโดยเร็ว
       
        น้ำหนักอารมณ์ของเรื่องของ Oshin จึงโน้มเอียงมาทางโศกสะเทือนอารมณ์อย่างเด่นชัด (และใช้ช่วงที่ตัวละครมีความสุขเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา)
       
        ความน่าสนใจอีกประการได้แก่ การเล่าเรื่องที่กินเวลายาวนาน ส่งผลให้ Oshin สะท้อนรายละเอียดต่าง ๆ ที่มีคุณค่าเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง เศรษฐกิจ รายละเอียดเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณ๊ ตลอดจนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน (Oshin แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนของญี่ปุ่น จากประเทศที่ยากไร้ขาดแคลน บทบาทของทหารที่ขึ้นมามีอำนาจครอบงำสังคม กระทั่งเป็นชนวนให้เข้าสู่สงครามกับรัสเซีย และจีน ปิดท้ายด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งกลายเป็นผู้แพ้ ถูกอเมริกายึดครอง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูครั้งใหญ่ จนเติบโตก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ)
       
        อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่ลึกซึ้งกินใจมากสุดใน Oshin คือ แก่นเรื่องที่แสดงผ่านบุคลิกของโอชิน ซึ่งประกอบไปด้วยจิตใจมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ไม่เกรงกลัวความล้มเหลว (โอชินเชื่อว่า ไม่ว่าจะเสียหายพังพินาศเพียงไร ทุกสิ่งสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ) การก้าวเติบโตไปข้างหน้า ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง การแสวงหาความสุขจากความสงบ สมถะ และสันโดษในชีวิต
       
        ที่สำคัญคือ ตลอดทั้งเรื่อง Oshin ได้สรุปตอกย้ำให้เห็นอยู่บ่อยครั้งว่า ความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่เราจะต้องเสาะหาให้พบ ในท่ามกลางความทุกข์ยาก อันเป็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่แกนหลัก
       
        มีฉากเรียกน้ำตาใน Oshin อยู่มากมาย แต่มันไม่ได้เกิดจากบริเวณเรื่องเศร้าสลดหดหู่หม่นหมอง ตรงกันข้าม เกือบทุกครั้งที่ผู้ชมเสียน้ำตา ส่วนใหญ่มักจะมาจากฉากหยิบยื่นแสดงน้ำใจทำความดีต่อกันระหว่างตัวละคร ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

http://images.hunsa.com/Movie/news_072007/oshin_animated/oshin_001.jpg

3
คนสวยขยันโพสจริง เดียวเลี้ยงไอติม คิคิ

4
สองควรได้สีเเระ อยากได้สีรัยบอกมาเดียวจัดให้ คิคิ
 นายเดะ

5
มหาเศรษฐีไทยใจบุญ เปิดรพ.รักษาฟรี - บอกต่อด้วย

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2551 รายการเจาะใจ ได้เชิญ บุคคลที่น่าทึ่งท่านหนึ่งมาสัมภาษณ์

เค้าคือ คุณ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ

เรื่องย่อ......

ออกจากมหาลัยตอนเรียนได้แค่ 9 หน่วยกิจ มาทำธุรกิจติดต่อกับญี่ปุ่นครั้งแรก ตอนนั้นไม่มีตังค์ซักเท่าไหร่ เมื่อวันที่นักธุรกิจญี่ปุ่นคนแรกที่ดิวด้วยจะต้องกลับประเทศ ก็ดันตกเครื่อง เค้าโดนขอตังค์ค่าเครื่องบินใบใหม่แต่ไม่มีให้ จึงนำรถปิกอัพตนเองไปขาย

วันรุ่งเค้านั่งแท๊กซี่ ไปรับนักธุรกิจคนเดิมที่โรงแรมเพื่อไปสนามบิน พร้อมตั๋วเครื่องบินใบใหม่ นักธุรกิจญี่ปุ่นถึงกับพูดไม่ออกเมื่อทราบวิธีได้เงินมาซื้อตั๋วให้ แถมเค้ายังให้ตังค์ไปอีก 1 หมื่นบาทติดตัว ตังค์ก็ไม่มีแต่ช่วยคนกันแบบโคตรจริงใจสุดตัว

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ภรรยาของนักธุรกิจญี่ปุ่นคนเดิม โทรมาถามบัญชีธนาคาร เค้าได้รับเงินโอนมา 1 ล้านบาท ย้ำว่า 1,000,000 บาทเข้าบัญชี

เค้านำเงินไปซื้อรถบรรทุกคันใหม่ แล้วชีวิตการทำธุรกิจจากการช่วยเหลือเพื่อน นักธุรกิจคนนั้นก็เกิดขึ้น

กำไรครั้งละ 30 ล้านบาทต่อการขนลงเรือ 1 ครั้ง วันนึงหลายลำ ทำมาหลายปี จนน่าจะถูกเรียกว่า รวย

( ด้วยการซื้อขาย รถมอไซค์เก่าจาก ญี่ปุ่นจากการเพื่อนนักธุรกิจญี่ปุ่นคนเดิม เพื่อนำๆไปขายให้คนจน ที่ไม่มีโอกาสขับรถใหม่ ทั้งในไทยลาวเขมรเวียตนาม ในราคาถูกสุดๆเพียง คันละ 600 บาท ไปขายต่อในราคา 16,000 บาท / คัน กำไรหลังหัก คชจ. เหลือ 11,000 บาท ทั้งหมด 3,000 คันต่อลงเรือ 1 ลำ ขายมาตั้งแต่เรียนราม)

ปัจจุบัน อายุมากแล้ว เลิกทำทุกอย่าง รับค่าเช่าจากธุรกิจเพียงเท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ ต้องการหันหน้ามาทำบุญอย่างจริงจัง ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้

จึงได้เริ่มจากการบริจาคที่ดิน ซอยสุขุมวิท 24 จำนวน 3 ไร่ 130 ตรว. ( มูลค่าที่คนมาขอซื้อ 700,000 บาท ต่อ ตรว. หรือ 6,000 ล้านบาท ) เพื่อตั้ง บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด เพื่อดำเนินการโรงพยาบาล เพื่อคนจน มารักษาผ่าตัดตา และฟอกไต ฟรี!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ใครจขอซื้อที่แปลงนี้ก็ไม่ขาย จะให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน อึ้ง!!!!!

เค้ารักในหลวงมาก อยากให้คนจนสุขภาพดี ทุกวันนี้ ทำเพราะอยากได้บุญ (ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องรึเปล่านะ) แต่ก็ช่วยคนจนคนป่วยให้หายจากการเจ็บป่วยมามากมายหลายปีแล้ว

ลอง search ชื่อเค้าดู น่าทึ่งและเลื่อมใสมาก มีคำนึง เค้าตอบคำถามพิธีกร จากคำถามว่า ถ้ามีตังค์น้อย เราจะช่วยอะไรใครได้บ้าง เค้าบอกว่า คนจนช่วยเหลือกันได้มากกว่า คนรวย เพราะคนจนลงแรง แต่คนรวยเอาเงินซื้ออำนาจ การช่วยเหลือเลยไปไม่ถึงคนเดือดร้อนตัวจริง ลงแรงซะก่อนคือสิ่งที่ต้องทำแล้วค่อยลงทุน.



ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ทาสของแผ่นดิน

ผู้ถวายไม้จันทร์หอมสร้างพระโกศพระพี่นางฯ

เปิดใจครั้งแรก กับ...ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ผู้ถวายท่อนไม้จันทน์หอม สร้างพระโกศสมเด็จย่า และสมเด็จพระพี่นางฯ พร้อมเจริญรอยตามในหลวง ด้วยการเปิดบริษัท ทาสของแผ่นดิน รักษาต้อกระจกฟรีให้กับคนจน

ความจงรักภักดี แปลว่า " ความยอมสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน " คือถึงแม้ว่าตนจะต้องได้รับความเดือดร้อนรำคาญ ตกระกำลำบากหรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด ก็ยอมได้ทั้งสิ้น เพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้มีแก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ .... ความจงรักภักดีแท้จริงนี้เอง คือความรักชาติซึ่งคนไทยสมัยใหม่พอใจพูดอยู่จนติดปาก แต่จะมีสักกี่คนที่จะทำได้อย่างแท้จริง …

วันนี้ WhO? จะพาไปรู้จัก ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ประธานกรรมการบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด ผู้ประกาศความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และหวังที่จะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง

เข้าเฝ้าในหลวง คือที่สุดในชีวิต

จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตของคนธรรมดาสามัญ ที่จะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับคุณธานินทร์นั้นไม่เพียงการได้เข้าเฝ้าที่สร้างความประทับใจ แต่พระราชดำรัส " ขอบใจ " ยิ่งทำให้เขามีความสุขจนไม่อาจลืม...สีหน้าและแววตาแห่งความปลื้มปีติปรากฏบนใบหน้าชายวัย 51 ปี ขณะเดียวกันเขาพลางชี้ไปยังจดหมายที่ใส่กรอบอย่างดีซึ่งติดบนผนังห้องทำงานอันมีใจความว่า " ตามหมายแจ้ง ความประสงค์ถวายท่อนไม้จันทน์หอม เพื่อใช้ในงานพระราชพิธี ถวายพระเพลิงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สำนักพระราชวังได้นำถวาย ความกราบบังคมทูล พระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงขอบใจ หจก.เอ็ม.เอ.ที. อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต …"

คุณธานินทร์ เล่าถึงที่มาของไม้จันทร์หอมดังกล่าวว่า เกิดจากเมื่อครั้งไปทำธุรกิจในประเทพม่า จึงได้ซื้อท่อนไม้จันทน์นี้กลับมาเพื่อน้อมเกล้า ถวายในหลวง จนเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จสวรรคต เขาจึงน้อมเกล้าฯ ถวายท่อนไม้จันทน์หอมอีกครั้ง พร้อมเป็นผู้อัญเชิญท่อน ไม้จันทน์หอมมาสร้าง พระโกศถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ดังใจความในจดหมายอีกฉบับที่สร้างความภาคภูมิใจให้เจ้าตัวไม่น้อย

ตามที่จังหวัดประจวบ ได้มอบหมายให้อ.กุยบุรีรับผิดชอบดำเนินการนำ ไม้จันทน์หอม จากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี นำส่งสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร วันจันทร์ 11 ก.พ. 51 เพื่อนำไปสร้างพระโกศในพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ การทำพิธีสักการะไม้จันทน์หอม เพื่อนำไปใช้สร้างพระโกศในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ

ตามหนังสือที่อ้างถึง บ.ทาสของแผ่นดิน ได้เสนอเรื่องการนำช้าง 12 เชือก เป็นพระราชพาหนะในเคลื่อนพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ไปเพื่อสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาคณะกรรมการฝ่ายจัดการ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. มีมติเห็นสมควรให้ดำเนินการจัดงานพระราชพิธี โดยอัญเชิญพระศพสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามแบบโบราณราชประเพณี

" แค่ผมได้หนังสือของพระองค์ท่านที่ทรงขอบใจมา กระดาษ 1 แผ่นนี้ ผมว่ายิ่งกว่าได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นกระดาษที่มีคุณค่ามากกว่าเงินตราเสียอีก ถึงมีเงินเป็นแสน เป็นล้านก็ไม่สามารถมีหนังสือฉบับนี้ได้ แล้วก็เป็นหนังสือที่ประทับอยู่ในหัวใจ ในชีวิตของ ผมจะปิดทองใต้ฐานองค์พระปฏิมา แม้คนอื่นจะมองไม่เห็นก็ตาม เพียงแค่ให้พระองค์ท่าน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ก็พอแล้ว " รางวัลชีวิตอันยิ่งใหญ่ของคุณธานินทร์ที่น้อยคนนักจะได้รู้

ธานินทร์ ทาสของแผ่นดิน

แม้เจ้าตัวจะไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวแห่งความดีที่เคยทำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หลายคนควรรู้ โดยเฉพาะช่วงชีวิตกว่าจะเป็นธานินทร์ ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ทาสของแผ่นดิน และผู้ก่อตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรีแก่ประชาชนในเวลานี้

คุณธานินทร์ เรียนจบจาก ปวช.พาณิชย์วิทยาลัย สีลม จากนั้นได้เข้าไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะรัฐศาสตร์ แต่เรียนได้เพียง 9 หน่วยกิตก็เลิกเรียน เพราะรู้สึกว่าการเรียนก็ได้แค่เรียนรู้เท่านั้น สู้ทำงานเองจะดีกว่า เขาจึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจกับเพื่อน จำหน่ายสินค้าประเภทรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ หนังสัตว์ กระดูกสัตว์ เสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่างๆ กับต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น อเมริกา ลาว เขมร เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในนาม หจก.เอ็ม.เอ.ที อิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ต

จวบจน กระทั่งได้มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา บริษัท เพรสซิเดนท์ ปาร์ค ( President Park ) พร้อมกับเป็นผู้ควบคุมดูแลอาคารทั้งหมด จากนั้นจึงก่อตั้งบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เพื่อจัดตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อแก่ประชาชน โดยเขาเล่าถึงที่มาของชื่อบริษัทว่า ต้องการให้เห็นอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่จะแก้ไขในสิ่งผิด

" ในอดีตชาติหรือปัจจุบันเราทำผิดมาก็มากทำถูกมาก็มาก อยากให้มองว่าระหว่างที่ เรามีชีวิตอยู่ไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือแบ่งเชื้อชาติศาสนา แต่ให้ยึดมั่นในองค์ พระมหากษัตริย์ ประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็นแผ่นดินที่ร่มเย็นมาก

" พ่อแม่ผมอยู่ในประเทศไทย แล้วผมก็เกิดในแผ่นดินนี้ ทุกคนอาจเห็นผมตัวดำ สีผิวผมที่ดำนี้คือสีดิน แล้วถ้าตัวผมไม่ดำผมจะเป็นทาสของแผ่นดินได้ยังไง เคยมีอุทาหรณ์สอนใจผมว่า ผมน่าจะเกิดเป็นลูกของคุณทักษิณ เพราะผมจะได้เป็นคนรวย มีเงินเยอะๆ ผมจะเดินทางไปหาประชาชน เดินตามรอยพระยุคลบาทของในหลวง พ่อผมจะเป็นอะไรก็เป็นไปไม่เกี่ยวกับผม แต่ผมจะเดินออกไปหาคนจนในถิ่นทุรกันดาร คิดว่าน่าจะเป็นความสุขใจในชีวิต วันนี้ผมจึงกล่าวขานขนานนามต่างๆในชีวิตของผมว่า ขอถวายชีวิตเป็นราชพลีแด่พระองค์วงศ์จักรี ธานินทร์ทาสของแผ่นดิน "

ศูนย์ผ่าตัดต้อเกิดจากลมหายใจสุดท้าย

ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก-ต้อเนื้อ ฟรี ดังกล่าว เกิดขึ้นจากพลังแห่งศรัทธา ในบุญและบาป โดยครั้งหนึ่งคุณธานินทร์เคยถูกลอบยิงเกือบเอาชีวิตไม่รอด สาเหตุเกิดจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในแวดวงสังคม เอาภาพถ่ายของตัวเองขณะยืนอยู่หน้าทัชมาฮาลวางติดไว้ด้านบนผนังด้านบนและเอารูปเจ้าแม่อุมาเทวีวัดแขกไว้ด้านล่าง เมื่อคุณธานินทร์เห็นเข้าจึงรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่สมควร พร้อมกับเขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของตัวเองเพื่อบอให้ประชาชนได้รับรู้

ประเด็นนี้เองอาจสร้างความโกรธแค้นและกลายเป็นชนวนลอบสังหาร โดยเขาถูกมือปืนยิงบริเวณหน้าบ้านย่านสีลม ลูกปืนเข้าที่ศรีษะทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ ร.พ.กรุงเทพคริสเตียน ในห้องไอซีย ู นานถึง 45 วัน และต้องทำการผ่าตัดถึง 6 ครั้ง " เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นคนเสียชีวิตมากมายมหาศาล สัจธรรมเกิดขึ้นมาทันทีว่า ภาพที่เห็นคนตาย คิดในทาบวกถือเป็นความสุข เพราะไม่ได้นอนกับคนที่รักเราอย่างเดียว แต่ได้นอนกับคนที่ต้องตายทุกวัน คิดว่าน้อยคนนักที่จะได้มานอนกับคนตายแบบนี้ ระหว่างที่อยู่ไอซียูยังได้ยินเสียงทุกคนพูดตรงกัน คงอยู่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ครึ่งชั่วโมงนั้นทำให้รอดตายมาได้ นับว่าโชคดีและเป็นบุญอย่างหนึ่ง ถามว่าสะทกสะท้าน กับความตายไหม บอกได้เลยว่าไม่มี เลยได้คารมเด็ดๆในชีวิตว่า ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายเวลาถ้าสิ้นไป เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว "

เหตุนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงขอแทนคุณแผ่นดินด้วยการตั้งศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกขึ้น เพื่อรักษาผู้ยากไร้ " วันนั้นคิดว่า ถ้าผมกลับมาได้จะตอบแทนบุญคุณให้กับ แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ได้ยังไง ถ้าไปกิน-นอนอยู่กับใครสักคนโดยไม่ทำอะไรให้ แต่อยู่อย่างสุขสบายไม่ช่วยเหลือและเกื้อกูล ไม่ทำอะไรให้เลย เขาจะเรียกว่าเนรคุณไหม และถ้าผมอยู่ในแผ่นดินนี้ ไม่ช่วยเหลือแล้ว ยังกอบโกยโกงกินผืนแผ่นดิน เขาจะเรียกผมว่าทรราชของแผ่นดินหรือเปล่า " ชีวิตเฉียด ตายทำให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์และบุญคุณที่ต้องทดแทนแผ่นดิน

เมื่อแนวคิดในการเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจกทำท่าว่าจะเป็นจริง คุณธานินทร์ จึงปรึกษากับ นพ.วิทิต อรรณเวชกุล ผอ.โรงพยาบาลบ้านแพ้วในขณะนั้นทันที แม้คุณหมอจะถามย้ำถึงความเชื่อมั่นว่าทำแน่หรือ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่เขากลับมั่นใจว่าต้องทำได้

" เมื่อปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงสั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตา จากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท โดยเงินทั้งหมดในการซื้อ อุปกรณ์เป็นเงินส่วนตัวของผมที่ได้เก็บสะสมตลอดทั้งชีวิต ผมต้องการช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยาก ไร้คนไทยในแผ่นดินด้วยกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "

จากนั้นเขาได้จัดทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ลงพื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยครั้งนั้นมีผู้ป่วยถึง 200 ราย หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก และสามารถมองเห็น อีกครั้ง ทุกคนต่างร้องไห้ดีใจ วิ่งเข้ามากอดเขาด้วยความซาบซึ้ง

ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ศูนย์แห่งนี้สามารถทำให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ประมาณ 600,000 ราย และในปี 2549 พบผู้ป่วยตกค้างสะสมกว่า 100,000 ราย ณ วันนี้หากถามว่าเหนื่อยไหม คุณธานินทร์ ตอบกลับทันทีว่า " ไม่เหนื่อยเลย " เพราะแม้กำลังกายจะสู้คนอื่นไม่ได้ หรือกำลังเงินอาจสู้ประชาชนคนรวยไม่พอ แต่เขาเชื่อว่ากำลังใจของเขาใหญ่กว่าคนรวยในแผ่นดินไทยมากมายมหาศาล

" ผมมาช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะผมแบกความจนเอาไว้ การแบกความจนจะทำให้รู้ว่า เกิดเป็นคนอย่าลืมตัว เกิดเป็นวัวอย่าลืมตีน ดังนั้น ถ้าเราแบกความจนเอาไว้จะไม่ลืมความจนเลย วันนี้เราแบกความจนเอาไว้ก็จะพาประชาชนพ้นทุกข์ได้ และหากเราแบกความรวยเอาไว้เมื่อไร เราจะกลายเป็นคนลืมตัว ถ้าตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนยากจนอยู่ในแผ่นนี้ ขอกลับลงมาเกิดในแผ่นนี้ดีกว่า ผมไม่ได้คิดที่จะเปิดศูนย์นี้เท่านั้น แต่มีความตั้งใจจะสร้าง ร.ร.อนุบาลเรารักในหลวง เพื่อต้องการปลูกรากแก้วให้กับเด็กๆ " เขาเล่าถึงสิ่งที่ได้ช่วยเหลือชาว บ้านให้หมดทุกข์ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเช่นเดิม

ชีวิตที่เหลืออยู่ของ ธานินทร์ พันธ์ประภากิต เขาขอเดินรอยตามพระยุคลบาทองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แบกไว้ ไม่ใช่ความรวย ไม่ใช่ความดี แต่คือ " ความจน " ที่เขาจะแบกไปตลอดชีวิต...

ผู้ที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี! ติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่ 98 ซอยสุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขต คลองเตย กทม. 10110 สอบถามรายระเอียดได้ที่ 02-2629454-5,02-2618213-7 เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 08.00-17.00 น. ( ติดตามเรื่องราวดี ๆ ใน WhO? Magazine ฮู แมกกาซีน ได้ทุกวันอังคารของเดือนครับ )

++ รักษาตาฟรี !! ผ่าตัดต้อกระจก , ต้อเนื้อ นำมาบอกต่อ ++

รักษาตา ฟรี! ถวายในหลวง

( บอกต่อ ๆ กันไปเผื่อจะได้ช่วยคนที่เค้าเดือดร้อนค่ะ)

โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ

ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ

ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ( องค์การมหาชน)
สาขาสุขุมวิท ซอย 24 ติดต่อได้ที่

บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด
(02-2629454-5, 02-2618213-7)
เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น.

เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24 ( เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล สมาธิ ปัญญา
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา

6
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=TfjWC1x46aQ[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=yCyzKTuRn_s[/youtube]


เพลงจากชีวิต จิงๆๆ
ส่งสองเพลงเข้าปากวด
  นาย เดะ

หน้า: [1]