แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Pattravadee

หน้า: [1]
1
ไม่ว่าจะคอกาแฟหรืออย่างไรก็ขอให้รักษาสุขภาพกันทุกๆคนเลยน่ะค่ะ

2
 นานาสาระน่ารู้ เพื่อชีวิตและสุขภาพ
สลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก

           1. ไม่จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

           2.ไม่รู้ใช่ไหม...กาแฟช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

           3.ต้องดื่มบ่อยๆ...สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

           4.กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร...เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพร และไวน์แดง ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

           5.ระวังไว้นิดก็ดี...องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

           6.ดีแคฟ...ไม่ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

          อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 


 

คะน้า เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และ โฟเลตนอกจากนี้ ยังมี"สารลูทีน" ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา ผลจากงานวิจัย พบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน 

         นอกจากนี้ การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

         ฉะนั้น ป้องกันโรคต้อกระจก ด้วยการหันมากินคะน้ากันแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก





คนหนุ่มสาว +++ทำงานยุคใหม่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะจากภาวะตึงเครียด ที่ส่งผลกระทบรุนแรงทำให้เกิดโรคต่างๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดตีบที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที


นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ๊บโซลูท เฮลท์ ซึ่งให้บริการตรวจรักษาในแนวทางการแพทย์แบบบูรณาการ กล่าวถึงโรคหลอดเลือดตีบว่า ปัจจุบันนักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 85% ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่เกิดจากคราบไขมันชนิดแข็ง จนทำให้หลอดเลือดตีบ แต่ส่วนใหญ่กลับพบว่าเกิดจากคราบไขมันชนิดไม่เสถียร ซึ่งไม่ได้ตีบตันหรือตีบตันไม่เกิน 50% ที่เรียกว่า vulnerable plaque โดยมีการอักเสบเกิดขึ้น และง่ายต่อการฉีกขาด ก่อให้เกิดลิ่มเลือดเข้าไปจุกอยู่ในเส้นเลือดในที่สุด

"หากเรามีอาการเจ็บหน้าอก จากหัวใจขาดเลือดแล้ว การฉีดสีสวนหัวใจไม่พบการตีบตัน เราก็ยังมีโอกาสเกิดหัวใจขาดเลือดได้อีก จาก vulnerable plaque แต่ทั้งหมดนี้แก้ไขได้ หากใช้วิธีรักษาแบบคีเลชั่น ในประเทศไทย คีเลชั่นถือเป็นศาสตร์การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แพทย์ที่มีสิทธิใช้คีเลชั่นในการรักษาผู้ป่วยจะเป็นแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมจากกองการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้ป่วยเป็นสำคัญ"

นายแพทย์ฉัตรชัยบอกว่า คนหนุ่มสาวยุคใหม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบ แต่ถ้ารู้จักดูแลตัวเองจะทำให้ห่างไกลโรคร้ายได้ โดยคำแนะนำเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพ เริ่มจาก

1. มองไปที่สิ่งที่เราเอาเข้าไปในร่างกาย อากาศ น้ำและอาหาร ต้องเลือกให้มากขึ้น

2.เอาพิษออก ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ตื่นเช้าเอามะนาว 2 ลูก บีบใส่น้ำ 1 เหยือก ดื่มไปเรื่อยๆ ทานแต่ผักผลไม้ที่มีกากใย กินโยเกิร์ตธรรมชาติ 3 แก้ว ปฏิบัติง่ายๆ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

3.ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

4.นั่งสมาธิหรือสวดมนต์เช้า 30 นาที ทำไปสักระยะ จิตจะนิ่ง ความเครียดจะหาย

เพียงเท่านี้ก็เลิกกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้เลย

ขอบคุณข้อมูลดีจาก
สนุกดอทคอม

3
อาหารป้องกันโรคนิ่วในไต นิ่วในไต

อาหารทำให้เกิดนิ่วในไตได้อย่างไร

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไตได้แก่ กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ปริมาณน้ำที่ดื่ม และอาหารที่เรารับประทาน ร่างกายเราใช้อาหารในการให้พลังงาน และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของเสียของอาหารที่ย่อยสลายจะถูกขับออกทางปัสสาวะ อาหารแต่ละประเภทจะให้ของเสียต่างกัน หากปริมาณของเสียมีมากขึ้นก็จะทำให้เกิดตกตะกอนเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ดังนั้นสำหรับผู้ที่เป็นนิ่วมาก่อนการป้องกันการเกิดนิ่วโดยการควบคุมอาหาร ร่วมกับการใช้ยาจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

นิ่วในไตมีกี่ชนิด

 

นิ่วในไตมีอยู่ 4 ชนิดได้แก่

1.นิ่วที่มี Calcium oxalate stones เป็นนิ่วที่พบบ่อยที่สุด เกิดในภาวะที่ปัสสาวะเป็นกรด ร่างกายได้ oxalate จากพวกผัก ผลไม้ และถั่ว ส่วนแคลเซี่ยมได้จากอาหารพวกกระดูก
2.นิ่วที่มี Calcium phosphate stones พบนิ่วชนิดนี้ไม่บ่อย มักจะเกิดในผู้ที่ปัสสาวะเป็นด่าง
3.นิ่วที่มี Uric acid stones นิ่วที่มีกรดยูริคเป็นส่วนประกอบสำคัญ อาหารที่มีกรดยูริคสูงได้แก่ เครื่องใน โปรตีนจากสัตว์
4.เป็นนิ่วที่เกิดจากการติดเชื้อ Struvite stones อาหารไม่มีส่วนต่อการเกิดนิ่ว
5.นิ่วที่มี Cystine stones เป็นส่วนประกอบเกิดจากพันธุกรรมพบไม่บ่อย
เราจะรู้ว่านิ่วเป็นชนิดไหน และมีประโยชน์อะไร

หากท่านปัสสาวะมีนิ่วออกมา เก็บเม็ดนิ่วให้แพทย์ส่งไปวิเคราะว่าเป็นนิ่วชนิดไหน การรู้ชนิดของนิ่วจะช่วยให้แพทย์แนะนำอาหารเพื่อป้องกันนิ่วได้อย่างถูกต้อง

จะต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะป้องกันนิ่วได้



 



ปริมาณน้ำที่จะดื่มขึ้นกับสภาพอากาศ และกิจกรรม ปกติจะแนะนำให้ผู้ที่เป็นนิ่วดื่มน้ำจนปัสสาวะประมาณวันละครึ่งแกลลอน ผู้ที่ทำงานมากและทำในที่ร้อนก็ให้ดื่มน้ำมากขึ้น การดื่มน้ำมากๆจะทำให้ปัสสาวะเจือจาง(สังเกตปัสสาวะจะใจหรือมีสีเหลืองจางๆ)

น้ำอะไรที่ป้องกันนิ่วได้

•น้ำเปล่าจะป้องกันนิ่วได้ดี
•น้ำส้มน้ำมะนาว วึ่งมีสาร citrate จะลดการเกิดนิ่วชนิด calcium oxalate stones และ uric acid แต่อาจจะทำให้นิ่วชนิด calcium phosphate stones. เป็นมากขึ้น
•ชาและกาแฟจะช่วยลดการเกิดนิ่ว แต่มีสาร oxalate มากควรระวังในผู้ป่วยที่มีนิ่วชนิด Calcium oxalate stones
น้ำชนิดไหนที่ควรจะหลีกเลี่ยง

•น้ำองุ่น และ Cola จะมีสาร oxalate มากจะทำให้เกิดนิ่วชนิดนี้ได้
•น้ำcranberry juice ที่ดื่มป้องกันการติดเชื้อ ก็มีสาร oxalate สูง
บทบาทของเกลือในการป้องกันการเกิดนิ่ว

เมื่อร่างกายได้รับเกลือมาก เกลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะมาก เกลือที่อยู่ในปัสสาวะมากจะทำให้เกิดการขับเกลือแคลเซี่ยมในปัสสาวะมาก ซึ่งจะทำให้เกิดนิ่วแคลเซี่ยมทั้ง oxalate หรือ phoshate วิธีการลดอาหารเค็มอ่านที่นี่

อาหารเนื้อสัตว์จะมีผลต่อการเกิดนิ่วในไตหรือไม่

เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ ดดยเฉพาะเครื่องในเมื่อย่อยสลายแล้วจะมีกรดยูริกในปัสสาวะมาก ดังนั้นผู้ที่มีนิ่วหรือโรคเกาต์ควรจะลดการรับประทานอาหารดังกล่าว

ผู้ที่มีนิ่วในไตรับประทานแคลเซี่ยมได้หรือไม่

การรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมไม่ได้ทำให้เกิดนิ่วชนิด calcium oxalate เนื่องจากแคลเวี่ยมในอาหารจะจับกับ oxalate ในอาหารและขับออกจากร่างกายทางอุจาระ ดังนั้นผู้ที่มีนิ่วชนิด calcium oxalate ควรจะได้รับแคลเซี่ยมวันละ 800 มิลิกรับ(นมพร่องมันเนย 1 แก้วมีแคลเซี่ยม 300 มิลิกรัม)เพื่อป้องกันนิ่วและเสริมสร้างกระดูก ข้อควรระวังการรับประทานแคลเซี่ยมเสริมอาจจะทำให้เกิดนิ่วชนิด calcium oxalate เพิ่มขึ้นจึงแนะนำให้รับประทานแคลเซี่ยมพร้อมอาหาร

สุราจะทำให้เกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้นหรือไม่

การดื่มสุราทำให้กรดยูริกเพิ่มขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่าสุราไม่มีผลต่อการเกิดนิ่วชนิดกรดยุริก อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ดื่มสุราเกินสองหน่วยสุราต่อวัน

การรับวิตามินจะทำให้เกิดโรคนิ่วในไตหรือไม่

การรับวิตามิน ซี และดี จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้ เพราะร่างกายจะเปลี่ยนวิตามิน ซีเป็น oxalate ขับออกทางปัสสาวะ แนะนำว่าไม่ควรจะรับเกินวันละ 500 มิลิกรับต่อวัน สำหรับแคลเผซี่ยมควรจะรับพร้อมอาหาร

คนอ้วนจะเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วเพิ่มขึ้นหรือไม่

จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินจะมีโอกาสเป็นนิ่วในไตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ ดังนั้นควรจะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


4
การรักษา

 

โชคดีที่นิ่วส่วนใหญ่สามารถขับถ่ายได้เองโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการดื่มน้ำเป็นปริมาณมาก และรับประทานยาแก้ปวด เมื่อนิ่วขับออกมาให้นำนิ่วไปพบแพทย์

การรักษานิ่วด้วยยา

1.ยาที่ใช้รักษานิ่วที่เกิดจากเกลือแคลเซียม
•ยาขับปัสสาวะได้แก่ hydrochlorothiazide chlorothiazide ซึ่งสามารถลดการขับแคลเซียมแต่ต้องให้โปแตสเซียมเสริมด้วยเนื่องจากยาขับปัสสาวะ จะทำให้โปแตสเซียมในเลือดต่ำซึ่งส่งผลให้ citrate ต่ำเกิดนิ่วได้ง่าย
•Cellulose phosphate ยาตัวนี้จะจับกับแคลเซียมในลำไส้ใช้ในกรณีที่ปัสสาวะมีแคลเซียมสูงและเกิดนิ่วซ้ำ
•Potassium magnesium citrate จากรายงานสามารถลดการเกิดนิ่วได้ร้อยละ85ควรระวังยาที่เพิ่มโปแตสเซียมในเลือดและผู้ป่วยที่ไตวาย
2.ยาที่ใช้รักษานิ่วที่เกิดจาก oxalates
•ให้รับประทานอาหารที่มีวิตามิน B6 เช่นกล้วย ถั่ว แตงโม ถั่วเหลือง ธัญพืชหรือรับประทานวิตามิน B6
•Cholestyramine เป็นยาที่ใช้รักษาไขมันในเลือดสูงแต่สามารถนำมาใช้รักษานิ่วได้
3.ยาที่ใช้รักษานิ่วที่เกิดจากกรดยูริก
•เนื่องจากกรดยูริกจะตะกอนเป็นนิ่วในภาวะกรดดังนั้นต้องได้รับด่าง sodium bicarbonate แต่ควรระวังในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
•ยาที่ลดกรดยูริกได้แก่ allopurinol และยาที่ลดกรดยูริกในปัสสาวะได้แก่ Potassium citrate
4.ยาที่ใช้รักษานิ่ว Struvite Stones
•ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียต้องให้นาน 10-14 วัน
•Acetohydroxamic Acid ยานี้จะลดการเกิดนิ่วแม้ว่าในปัสสาวะยังมีเชื้อแบคทีเรีย
•Aluminum Hydroxide Gel เพื่อจับกับ phosphate ในลำไส้
5.ยาที่ใช้รักษา Cystine Stones
•sodium bicarbonate เพื่อเพิ่มความเป็นด่างให้แกปัสสาวะ
การรักษา

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

1.ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะหลุดออกเอง
2.ก้อนนิ่วมีขนาดโตขึ้น
3.ก้อนนิ่วอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ
4.ก้อนนิ่วทำให้เกิดการติดเชื้อ


 



วิธีการผ่าตัด

1.Extracorporeal shock wave lithotripsy (ESWL) ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งพลังผ่านผิวหนังไปสู่ก้อนนิ่วทำให้ก้อนนิ่วแตกออกเป็นก้อนเล็กๆ สลายนิ่วโดยขนาดของนิ่วต้องไม่เกิน 2.5 ซม.ก้อนนิ่วอยู่เหนือท้องน้อยใช้ได้ดีกับนิ่วชนิดstruvite stones ใช้ไม่ได้ผลกับcystine stones อัตราความสำเร็จร้อยละ70-90หลังทำผู้ป่วยสามารถไปทำได้ได้ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือเลือกออกทางเดินปัสสาวะผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงยา aspirin ก่อนทำ 2 สัปดาห์ ข้อห้ามทำคือ คนท้อง มีภาวะเลือดออกผิดปกติ อ้วนมาก มีการอุดทางเดินปัสสาวะ How extracorporeal shock wave lithotripsy is used to treat kidney stones
2.Ureteroscopy โดยการสวนส่องกล้องแล้วใช้ตะกร้าคล้องเอานิ่วในท่อไตออกโดยเฉพาะที่มีขนาดน้อยกว่า5 mmและอยู่ต่ำกว่ากระดูกสะโพก
3.Open nephrostomy ไม่ค่อยนิยมทำกันแล้ว
4.Percutaneous nephrolithotomy คือการเจาะเข้าไปยังกรวยไตและนำนิ่วออกมาในกรณีที่ใช้ESWLแล้วไม่ได้ผลหรือเป็นนิ่วชนิดcystine stonesหรือนิ่วขนาดใหญ่
การใช้คลื่นเสียงสลายนิ่ว
 
การเจาะเอานิ่วออกผ่านทางผิวหนัง
 
การส่องกล้องเพื่อเอานิ่วออก
   


 การป้องกัน :47:

 

•อาหารป้องกันโรคนิ่ว
•ให้ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้วหรือให้ปัสสาวะออกมากกว่าวันละ 2.5ลิตร
•ให้ดื่มน้ำชา กาแฟ เบียร์หรือไวน์จะป้องกันการเกิดนิ่ว
•การดื่มน้ำมะนาววันละแก้วจะเพิ่มระดับ citrate ซึ่งป้องกันนิ่วที่เกิดจากเกลือแคลเซียม
•การรับประทานแอบเปิลและน้ำองุ่นและ น้ำcranberry juiceทุกวันจะทำให้เกิดนิ่วได้
•ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม Cola เนื่องจากไปลด citrate
•ผู้ป่วยที่มีนิ่วเป็นชนิดแคลเซี่ยมควรลดอาหารเค็มเพราะเกลือโซเดียม เนื่องจากโซเดียมไปเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
•ผู้ป่วยที่มีนิ่วเป็นเกลือแคลเซียมควรจะรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างพอเพียง เนื่องจากแคลเซียมในอาหารจะไปจับกับ oxalate ในอาหาร


 



•ผู้ที่มีนิ่วควรรับประทานอาหารที่มีใยมาก
•ให้ลดอาหารโปรตีนเนื่องจากอาหารโปรตีนจะเพิ่มการขับเกลือแคลเซียม ยูริก และoxalate ในปัสสาวะทำให้เกิดนิ่วได้ง่าย
•ผู้ที่เป็นนิ่วชนิดกรดยูริกควรลดอาหารที่ให้สาร purine สูงเช่นเครื่องใน สัตว์ปีก เบียร์ ถั่ว
•ให้ลดอาหารที่มี oxalate สูงเช่น ถั่ว, chocolate, strawberries, plums, cranberries, raspberries, Apples, asparagus, beer, beets, berries (various, e.g., cranberries, strawberries), black pepper, broccoli, cheese, chocolate, cocoa, coffee, cola drinks, collards, figs, grapes, ice cream, milk, oranges, parsley, peanut butter, pineapples, spinach, Swiss chard, rhubarb, tea, turnips, yogurt และ Ascorbic acid (vitamin C) ถ้ายังมี oxalateในปัสสาวะสูงก็ให้วิตามิน B6



5
ดิฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนนึงที่ค่อนข้างแคร์และเอาใจใส่ต่อสุขภาพของผู้ใหญ่ใกล้ตัวทุกๆท่านที่ได้รู้จักและผูกพันธ์ หากรู้หรือเห็นคนแก่หรือคนชราที่เจ็บป่วยรู้สึกอยากช่วยเหลือ เพราะนึกถึงญาติหรือตา ยาย ปู่ ย่า รวมถึงพ่อ แม่ ของเราเอง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลทุกครั้งที่เห็น คนเหล่านั้นเขาต้องการ การดูแล เอาใจใส่ และที่สำคัญคือความรู้เกี่ยวกับโรคที่เขาเป็น การดูแลตัวเองอย่างไรให้เราไม่เจ็บป่วยและทุกข์จากโรคที่เป็น พวกเขาน่าสงสารน่ะค่ะ จึงอยากแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยเพผื่อมีใครมาอ่านเจอกระทู้ดิฉันมันอาจจะช่วยเขาได้บ้าง เล็กน้อยก็รู้สึกดีแล้วค่ะ
มีผู้ใหญ่ท่านนึง ท่านเคยเป็นอดีตพ่อแฟนเก่าดิฉัน ...ท่านป่วยเป็นโรคลิ่มเลือดและเป็นนิ่วด้วย ดิฉันรู้สึกเป็นห่วงท่านแต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปดูแลท่านได้โดยตรง ได้แต่เอาใจช่วย ส่งใจไปช่วยทุกครั้งที่รู้ว่าท่านป่วยหนัก แต่ก็ไม่กล้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวเขามาก จึงไม่รู้จะทำยังงัย เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ท่านเป็น และก็ได้แตาภาวนาให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เพราะดิฉันไม่อยากให้ครอบครัวคนที่เรารักต้องเกิดเหตุการณืที่ต้องเสียใจหากเกิดอะไรขึ้นโดยที่เราไม่พยายามให้ถึงที่สุด เพราะดิฉันเคยเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่เรารักมากคนนึงไปแล้วจึงรู้ว่ามันเสียใจและทุกข์มากในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะเพื่อให้จิตใจสงบขึ้น
 :13:  รู้จักโรคลิ่มเลือดกัน :13:
"•ศ.ดร.สมหวัง พิริยานุวัฒน์ ผอ.สถาบันประเมินคุณภาพการศึกษา สวน.
•นพ.ระพินทร์ กุกเรยา อายุรแพทย์ ทางด้านโรคหัวใจ
คุณช่อผกา : เคยมีคนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ยิ่งประเทศชาติเจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ ประชาชนในชาติยิ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตตัวเองน้อยลงเท่านั้น เพราะว่ายุคสมัยนี้คนต้องทำงานๆ มาก คนจำนวนมากจึงทำงานแบบเสมือนห้ามป่วย ห้ามตาย แขกรับเชิญของเรา เป็นบุคคลที่ทำงานจนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็ได้ของแถมคือ ป่วยเป็นโรคลิ่มเลือดหัวใจค่ะ อาจารย์เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ป่วยโรคหัวใจมากี่ปีแล้วค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : 2 ปีครับ

คุณช่อผกา : เกิดอะไรขึ้นค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : ตอนนั้นไปประชุมที่ญี่ปุ่น ก็รู้สึกว่ามันหมดแรง ไม่รู้มาก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่เคยป่วยเป็นอะไรเลย หิ้วกระเป๋าเบาๆ ก็หิ้วไม่ได้ ทีแรกนึกว่าหิวข้าว พอทานข้าวเสร็จ เดินมาหน่อยก็เป็นอีก เดินก็ไม่มีแรง ต้องนั่งอะไรแบบนี้ ทีแรกนึกว่าเป็นโรคกระเพาะ หรือท้องอืดอะไรทำนองนั้นครับ

นพ.ระพินทร์ : จริงๆ อาการของอาจารย์สมหวัง ไม่ใช่เป็นอาการแบบที่เรียกว่า ชัดเจน ก็คือ อาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก อึดอัด เหงื่อแตก บางครั้งก็รู้สึกว่า ร้าวไปที่ไหล่ ที่แขน จุกขึ้นมาถึงคอ อันนั้นคือ อาการที่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนอาการที่เรียกว่า ไม่ชัดเจนก็คือ อาการคล้ายๆ กับอาการของอาจารย์เนี่ยครับ อาจารย์เป็นคนช่างสังเกต อาจารย์รู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะว่าท้องอืดนิดหน่อย หรือหิวข้าว ทำไมถึงหมดแรง แค่กระเป๋าเอกสารเล็กๆ หิ้วไม่ขึ้น เดินไม่ได้ ขาอ่อน พวกนี้จริงๆ ก็เป็นอาการแสดงอีกอันหนึ่ง
ศ.ดร.สมหวัง : ก็ไปหาหมอ หมอตรวจก็ฟันไป 85% กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน อยู่ได้ 5 ชั่วโมง ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะตาย

คุณช่อผกา : วินาทีที่คุณหมอบอกว่า มีเวลาในชีวิตเหลืออยู่ 5 ชั่วโมง ถ้าไม่ทำอะไร อาจารย์สมหวังต้องตัดสินใจแล้วว่า จะทำยังไง ตัดสินใจยังค่ะตอนนั้น
ศ.ดร.สมหวัง : ตอนแรกถ้าจะตายอยากตายเมืองไทยมากกว่า ก็ขอกลับ แต่หมอบอกว่ากลับไม่ได้ เพราะโดยจรรยาแพทย์จะต้องรักษา คุณหมอให้ทำ balloon ครับ

คุณช่อผกา : คุณหมอช่วยขยายความเรื่องการทำ balloon หน่อยค่ะ
นพ.ระพินทร์ : การทำ balloon คือ การทำให้เส้นเลือดซึ่งอุดตันอยู่เปิด เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ วิธีทำก็คือ ใช้สายสวนเส้นเล็กๆ ใส่เข้าไปทางหลอดเลือดแดง จะเป็นที่มือก็ได้ ที่ขาก็ได้ เวลาเราใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดแดงเข้าไป ที่ปลายสายจะมีลักษณะคล้ายลูกโป่งเล็กๆ ซึ่งปกติมันจะแฟบติดกับสาย พอไปถึงตำแหน่งที่เราเห็นเส้นเลือดตีบอยู่ จะเป็นลิ่มเลือด หรือเป็นปื้นไขมัน ซึ่งเกาะคล้ายสันดอนปากแม่น้ำอย่างนั้นนะครับ เราก็อัดลมเข้าไป ลูกโป่งนั้นก็พองลมออก ก็จะค่อยๆ กดปื้นไขมันหรือลิ่มเลือดให้มันราบไปกับผนังเส้นเลือด เส้นเลือดก็จะเปิด เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ หรือใกล้เคียงปกติ

คุณช่อผกา : มาดูถึงสาเหตุของการป่วยนิดหนึ่งค่ะ เพราะเมื้อกี้อ.สมหวังพูดน่าสนใจนะคะว่า เป็นคนร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยอะไร อยู่ดีๆ ก็เป็นโรคหัวใจเลย อาจารย์มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตยังไงค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : เนื่องจากเคยทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนมากจะทำโปรเจ็คพิเศษกันในวันเสาร์ ผมก็ใช้วิธีการอันนี้ เพราะฉะนั้นทำวิจัย เขียนหนังสือ หรืออะไรต่อมิอะไรทั้งหลายในวันเสาร์ 30 ปี ชีวิตผมเป็นอย่างนั้นมาตลอด ก็รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส แล้วพอเป็น ผอ.ศมส. ก็กลายเป็น 7 วัน 7 คืน

นพ.ระพินทร์ : ที่จริงอย่างอาจารย์ เขาเรียกว่า ทำงานอาทิตย์ละ 8 วันครับ ไม่ใช่ 7 วัน เพราะว่ามันเกิน 8 ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว คนที่ทำงานอาทิตย์ละ 8 วัน มีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนอื่น เพราะว่าภาวะเครียดทางอารมณ์ เครียดกับการงาน ขาดการพักผ่อน ไม่ได้ออกกำลังกายเลย อยู่ดึกก็กินกาแฟเยอะๆ พวกนี้จะเป็นตัวเร่ง ทำให้อาการแสดงของโรคหัวใจ เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น และในบางกรณีก็รุนแรงขึ้น
ศ.ดร.สมหวัง : ก็อาจจะเป็นความเครียดลึกๆ ที่เราไม่รู้ตัว แต่ผมมีความสุขนะครับ
นพ.ระพินทร์ : การทำงานจะต้องจัดเวลาให้ตัวเอง มีเวลาพักบ้าง ทำงานแล้วไม่เอาการบ้านไปทำต่อที่บ้าน

คุณช่อผกา : นี่เป็นปัญหาของชีวิต คนที่ต้องทำงานทุกคน
นพ.ระพินทร์ : สาเหตุที่ผมอยากจะพูดถึงมาก คือ สาเหตุที่เราแก้ไขได้ เช่น เลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนการ ควบคุมระดับไขมัน งดการสูบบุหรี่ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ตรวจเช็คร่างกาย ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น มีความดันเลือดสูง มีเบาหวานรีบรักษาเสีย พวกนี้เราแก้ไขได้
ศ.ดร.สมหวัง : ผมคิดว่าประเด็นเหตุครั้งนี้เป็นเรื่องอาหารการกิน เพราะผมทานอาหารมัน เผ็ด อะไรแบบนี้ครับ อาหารรสจัด และทานไม่เป็นเวลา

คุณช่อผกา : และเรื่องสำคัญก็คือ การทำงานอาทิตย์ละ 8 วัน อาจารย์จะจัดเวลากับตัวเองได้ยังไงค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : ตอนนี้ตัดใจแล้วครับ จริงๆ แล้วโลกนี้ไม่ใช่เราต้องแบกอยู่คนเดียว เราก็ทำให้ดีที่สุด ชีวิตมันน่าจะต้องมีคุณภาพที่ดีขึ้น และคิดว่าจะส่งผลให้งานใช้เวลาน้อย แต่คุณภาพจะดีกว่าด้วย แบบที่คุณหมอพูดไว้ชัดเจนว่า แบ่งว่างานคืองาน บ้านคือชีวิต ผมได้เห็นต้นไม้ที่บ้านงดงาม ได้ยินเสียงนกร้อง ผมบอกผมอยู่บ้านมาตั้งหลายปี ทำไมไม่เคยได้ยินเลย

นพ.ระพินทร์ : อีกอันหนึ่งต้องตระหนักว่า โรคที่เป็นอยู่นี้
1. ไม่ใช่เป็นโรคที่จะทำให้ชีวิตหมดคุณภาพ หรือด้อยคุณภาพลง
2. โรคนี้เป็นแล้ว ที่บอกว่ารักษาแล้ว หายขาดแล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรกันอีก อันนี้ไม่ถูกครับ
ศ.ดร.สมหวัง : ตอนนั้นก็กังวลมาก กลัวมาก กลัวตาย กลัวจะทำงานไม่ได้ คือ เราจะไปประชุม เราจะไปเป็นประธานประชุม ทำไมมันเกิดเรื่องแบบนี้

นพ.ระพินทร์ : เพราะฉะนั้นต้องตระหนักว่า โรคนี้อยู่กับเรา แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคนี้อย่างไรไม่ให้โรคชนะเรา
ศ.ดร.สมหวัง : เลยได้เรียนรู้เรื่องนั่งสมาธิ เรื่องของการทำจิตให้สงบ เรื่องของการทิ้งของ ฝรั่งเขามีวันทิ้งของครับ

คุณช่อผกา : คืออะไรค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : คือ คิดว่าอะไรในรอบปีก็เอามาทิ้ง ให้คนอื่นเอาไปใช้ มันก็คือบ้านเราสะอาดขึ้น ก็ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเยอะ เพราะว่าการอยู่ว่างๆ โดยที่ไม่ทำอะไร เครียดมากเลยครับ เครียดแบบสติแตก ต้องมาทิ้งของ มานั่งเขียนอะไร ทำอะไรที่เรารัก และมีความสุข แต่ขบวนการแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และทำให้เราได้เข้าใจถึงชีวิตมากเลย และดีมากๆ
นพ.ระพินทร์ : นั่นก็คือเราต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ลดความเสี่ยงให้ตัวเอง ความเครียดอะไรต่างๆ ที่อาจารย์ได้พูดมาอย่างเมื่อกี้ อย่างที่สอง ต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน หมั่นเช็ค หมั่นตรวจ ดูว่าเรามีปัจจัยอะไรอย่างอื่นอยู่ไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือ การป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการรักษาครับ

คุณช่อผกา : ถ้าเป็นแล้วต้องระวังอย่าให้เป็นซ้ำ สุดท้ายค่ะ อาจารย์สมหวัง จะฝากเตือนอะไรไปยังคนที่ทำงานอาทิตย์ละ 8 วัน แบบอาจารย์บ้างค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : ความจริงการเป็นโรคหัวใจคราวนี้ผมดีใจนะครับ

คุณช่อผกา : ดีใจเหรอค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : เพราะว่ามันทำให้ผมเปลี่ยน คุณภาพชีวิตผมดีขึ้นเยอะมาก คือ ถ้าไม่เป็นสงสัยก็คงยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ท่านที่ทำงานทั้งหลาย ผมคิดว่าสุขภาพคงจะมาเป็นเบอร์ 1, ครอบครัวเบอร์ 2, งานน่าจะเป็นเบอร์ 3 ซึ่งตอนนี้ผมก็ปฏิบัติอย่างนั้นครับ แล้วชีวิตดีขึ้น 100 เท่าเลยครับ

คุณช่อผกา : ยืนยันว่าทำได้จริงๆ ใช่ไหมค่ะ
ศ.ดร.สมหวัง : ได้ครับ

คุณช่อผกา : วันนี้ต้องขอบพระคุณทั้งอาจารย์และคุณหมอมากเลยนะคะ ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ ฝรั่งเขาพูดกันว่า you are what you eat กินอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องวันนี้ขอเสริมอีกคำ ดิฉันคิดเอง you are what you be ค่ะ คุณทำอะไร คุณก็จะได้อย่างนั้น พอคุณตั้งใจทำงาน คุณก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจดูแลสุขภาพของคุณเอง คุณก็จะเป็นผู้ป่วยนะคะ"



หน้า: [1]