แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เงาใจ

หน้า: [1] 2 3
1
ธรรมะเสวนา / Re: นิทานเซน
« เมื่อ: ตุลาคม 15, 2012, 04:58:15 am »
ขณะออกบิณฑบาตรในเช้าวันหนึ่ง
พระอาคันตุกะที่มาขอจำวัด สัเกตุเห็นใบไม้ใบหนึ่งตกลงในคูที่อยูุ่ข้างทางเดินเล็ก ๆ ที่กำลังเดินออกจากวัด  ใบไม้ไหลไปอย่างรวดเร็วตามกระแสน้ำ
พระอาคันตุกะพูดขึ้นว่า  หลวงพ่อครับ  เมื่อคืนฝนบนเขาคงตกแรงมากนะครับ  วันนี้น้ำในคูขึ้นสูง   ไหลแรงและไหลเร็วมากเลยนะครับ

หลวงพ่อตอบว่า  ผมไม่เห็นมีน้ำที่ไหน ?  เห็นแต่ใจของท่านนั่นแหละที่ไหลไป

 :05: :05: :05:

2
ธรรมะเสวนา / Re: วาทะธรรม
« เมื่อ: ตุลาคม 15, 2012, 04:45:24 am »
หลังฉันเสร็จแล้ว 
หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ถามพระอาคันตุกะที่มาขอจำวัดชั่วคราว  ว่า หลวงตา  บวชมากี่พรรษาแล้ว ?
หลวงตาตอบว่า  ครั้งนี้เพิ่งสามพรรษาครับ
อ้าว !  แล้วครั้งก่อนเล่า กี่พรรษา ?
ห้าพรรษาครับ  หลวงตาตอบ
แล้วก่อนหน้านั้นเล่า  ทำอะไร?   หลวงพ่อถาม
ก่อนหน้าก็ทุกข์สุขตามภาษาโลก ๆ ซิครับ  หลวงพ่อ
วัดที่หลวงตาจำพรรษาที่แล้วมีพระกี่รูป ?
มีผมกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสแค่สองรูปครับ
วัดที่อยู่เป็นยังไงบ้าง ?
ดีครับ  ดีมาก ๆ เลยครับ หลวงพ่อท่านไม่เหมือนพระทั่วไป ถึงท่านจะอายุเกือบ  60 กว่า พรรษากว่า 30 แล้ว ท่านไม่ถือตัวถือตนเลย  เป็นกันเองมาก  เรียบ ๆ ง่าย ๆ  อยู่แล้วสบายใจดี แต่ห้ามผิดพระธรรมวินัยนะครับ ท่านไม่ยอมจริง ๆ
พระที่พรรษามาก ๆ  ขนาดนี้  ไม่ถือตัวถือตนนี่หายากนะ  หลวงตา 
ครับ  ผมเคยถามท่านว่า  หลวงพ่อ  หลวงพ่ออายุขนาดนี้  พรรษาขนาดนี้  ทำไมหลวงพ่อไม่ถือตัวถือตนเลย ?
ท่านตอบว่า  ผมไม่มีตัวตนที่จะถือครับ  ถือบาตรถือกรดถือย่าม  ถ้ามันหนักเราก็วาง  มันง่าย  แต่ไอ้ตัวตนที่มองไม่เห็นนี่  ถ้าไปถือเข้าแล้วมันวางยากจริง ๆ นะหลวงตา  แบกกันจนตายนั่นแหละ
แล้วท่านหันมาถามหลวงตาว่า  หลวงตาไม่ลองหาตัวตนของหลวงตาดูหน่อยหรือ ?  ว่ามันอยู่ที่ไหน ?  จะได้ไม้ไปหลงแบกให้มันหนักเปล่า ๆ
หลวงตาตอบท่านไปว่า  ให้ไปหลงแบกของไม่มีนี่  มันฉลาดจริง ๆ เลยนะครับหลวงพ่อ
ท่านหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่

 :39: :39: :39:

3
ธรรมะเสวนา / Re: ธรรมชาติแท้แห่งจิต
« เมื่อ: ตุลาคม 15, 2012, 04:40:45 am »
ถนนมันว่างมาตั้งแต่มีถนนแล้ว  ว่างมาตลอด 
จำนวนรถยนต์ที่ควักไข่วไปมาต่างหาก  ที่ปิดบังจนมองไม่เห็นความว่างของถนน 
ความว่างของถนนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นลดลง แต่อย่างใด

จิตเดิมว่างเปล่าเฉกเช่นถนนว่างเป่ลา 
ความคิดปรุงแต่ง เกิด-ดับ ควักไขว่ไปมาต่างหาก  ที่ปิดบังความว่างจนมองไม่เห็นจิตเดิม   
ความว่างไม่เคยเพิ่มหรือลดลงเลย 
 :35: :35: :35:

4
ธรรมะเสวนา / Re: ธรรมชาติแท้แห่งจิต
« เมื่อ: กันยายน 16, 2012, 02:51:03 am »
ใบสักสดเขียว เหี่ยวแห้ง แล้วโรยลา
กายาอ่อนเยาว์ สาวหนุ่ม แก่ชรา แล้วลาจาก
จิตปรุงแต่ง เกิดดับ ลาลับหาย
ธรรมชาติเดิมว่างเปล่าอย่างเคย

5
ธรรมะเสวนา / Re: วาทะธรรม
« เมื่อ: กันยายน 16, 2012, 02:49:33 am »

หลวงพ่อค่ะ     หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร  หนูรู้สึกเครียดจนนอนไม่หลับ  ไม่ทราบหลวงพ่อพอจะมีธรรมะอะไรช่วยได้บ้างค่ะ?       
หลวงพ่อถามว่า  ทำไมถึงเครียดละโยม ?
ก็มันคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย  ไม่รู้คิดอะไรหนักหนา  คิดจนนอนไม่หลับ
แล้วที่คิดนั่นนะมันดีไหมเล่า โยม ?  หลวงพ่อถาม
มันไม่ดีซิค่ะมันจึงเครียด  โยมว่า
ไม่ดีแล้วโยมไปคิดทำไมล่ะ ?
ก็มันบังคับความคิดไม่ได้ซีค่ะหลวงพ่อ
จะไปบังคับมันได้อย่างไรเล่า โยม ?   ก็เจ้าความคิดนี่มันไม่ใช่ของเรา
อ้าว !  หลวงพ่อ  ถ้าความคิดไม่ใช่ของเรา   แล้วมันจะเป็นของใครหรือ ค่ะ  ?
หลวงพ่อตอบว่า  มันเป็นของใจนะซี
เอ  หลวงพ่อนี่พูดแปลก ๆ  แล้วใจไม่ใช่ของเราหรือค่ะ  หลวงพ่อ   ?
ก็ไม่ใช่นะซิ  ถ้าใช่  โยมก็บอกให้ใจมันหยุดคิดได้นะซิ  จะได้ไม่ต้องมาเครียดอยู่อย่างนี้  จริงไหม ?
มันก็จริงอย่างหลวงพ่อว่า  แต่มันก็ฟังดูแปลก ๆ อยู่นั่นแหละ หลวงพ่อ
ไม่แปลกหรอกโยม  หลวงพ่อถามหน่อย  โยมรู้ใช่ไหม ? ว่าโยมมีกาย
ก็รู้ค่ะ  หลวงพ่อ
แล้วกายนี่  เป็นของโยมใช่ไหม ?
ก็ใช่ซีค่ะ  หลวงพ่อ
หลวงพ่อขอถามหน่อยว่า  แล้วใครเป็นคนบอกละว่า  กายเป็นของโยม ?
ก็หนูเป็นคนบอกอยู่นี่ไงค่ะ  หลวงพ่อ
ถ้าโยมมีแต่กาย  ใจไม่มีล่ะ  แล้วจะมีใครมาบอกหลวงพ่อได้ไหม ?
โยมเธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วบอกว่า  คงไม่ได้ค่ะ
แสดงว่าใจมันบอกใช่ไหม ?  โยม
น่าจะใช่ค่ะ  หลวงพ่อ
กายที่โยมบอกว่าเป็นของโยมนะ  ดูภายนอกทั่ว ๆไปก็จะเห็นว่า มันมี ผม  ขน  เล็บ  ฟัน  หนัง  มีตา  มีหู  มีจมูก  มีลิ้น  มีกาย  ภายในก็มีอวัยวะหลายอย่าง  เช่น  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  ม้าม  หัวใจ  ตับ  พังผืด  ไต  ปอด  ลำไส้เล็ก  ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ  ใช่ไหม ?
ใช่ค่ะ  หลวงพ่อ
หลวงพ่อขอถามหน่อยเถอะว่า  มันมีโยมอยู่ ใน ผม  ในขน  ในเล็บ  ในฟัน  ในหนัง  ในตา  ในหู  ในจมูก  ในลิ้น  ในกายไหม ?
ไม่มีค่ะ  หลวงพ่อ
แล้วมันบอกไหม ?ว่า  มันเป็นของโยม
ไม่ได้บอกค่ะ
แล้วภายใน  เนื้อ  เอ็น  กระดูก  ม้ามหัวใจ  ตับ ใต  ปอด ฯลฯ ล่ะ  มีโยมอยู่ในนั้นไหม ?
ก็ไม่มีค่ะ
แล้วมันบอกหรือเปล่าล่ะ ? ว่า  มันเป็นของโยม
ก็ไม่ได้บอกค่ะ
ตกลงมีโยมอยู่ในกายไหม ? หลวงพ่อถาม
ไม่มีค่ะหลวงพ่อ
แล้วไอ้สิ่งที่มารวมตัวกันอยู่นี่มันบอกหรือเปล่าว่า  มันเป็นโยม  เป็นของโยม ? 
ก็ไม่ได้บอกค่ะ
ตกลงแล้ว  กายมันเป็นโยม  เป็นของโยม  ได้จริง ๆ  ไหมล่ะ
ไม่ได้ค่ะ  หลวงพ่อ
แล้วใครเป็นคนบอกล่ะ?   ว่ากายเป็นของโยม
ใจค่ะหลวงพ่อ
เธอโดนใจมันหลอกเข้าแล้วเห็นไหม ?ล่ะ
อึม !  มันก็จริงอย่างหลวงพ่อว่า  แล้วใจมันมาจากไหน ล่ะค่ะหลวงพ่อ ?
ใจมันมาจากเหตุซี โยม  ถ้ามีเหตุให้เกิด ใจก็เกิด  ถ้าเหตุหมดใจก็ดับ  ใจมันจึงเกิด ๆ ดับ ๆ ตามเหตุนะโยมนะ
ใจมันเกิดตามเหตุยังไงหรือค่ะหลวงพ่อ ?
เมื่อมีอะไรมากระทบทางตา  ตัวความรู้สึก นึก คิด รับรู้ก็เกิดปรุงแต่งให้เรื่องราวต่าง ๆเกิดขึ้นทางตา ไอ้ตัวความรู้สึก นึกคิด รับรู้นี้นี่แหละคือ ใจ
ขณะที่ใจมันกำลังปรุงแต่งเรื่องราวต่าง ๆทางตาอยู่  เกิดมีเสียงดังขึ้นทางหู  ตัวความรู้สึก นึกคิดรับรู้มันก็เกิดการปรุงแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ทางหูขึ้นมาแทน  เรื่องราวต่าง ๆ ทางตาก็ดับลง  เมื่อมีการกระทบทางอื่นเกิดขึ้นทางใดทางหนึ่งเกิดขึ้นใหม่  เรื่องราวใหม่ก็เกิดขึ้น  เรื่องเก่าก็ดับไป  สลับไปมาทางตาบ้าง  หูบ้าง  จมูกบ้าง  ลิ้นบ้าง  กายบ้าง ทีละทางไม่รู้จบรู้สิ้น
แม้แต่ขณะเข้านอน  อุตส่าห์ดับไฟมองอะไรก็ไม่เห็น  อยู่ในห้องกระจกกั้นเสียงอย่างดี  มันยังมีเรื่องเก่าที่เก็บไว้ในใจโผล่ขึ้นมาให้รู้สึกนึก คิด รับรู้ทางใจอีกไม่จบสิ้น แล้วไปหลงว่ามันเป็นจริงเป็นจัง  จึงเครียดจนนอนไม่หลับ  จริงไหม ? โยม
จริงค่ะหลวงพ่อ  จริงอย่างหลวงพ่อว่าเลยค่ะ  แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่เครียดไปกับมันเล่าค่ะ  หลวงพ่อ ?
อ้าวโยม  ก็โยมรู้แล้วว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุ   เกิดแล้วมันก็ดับไป  เรื่องที่มันดับไปแล้ว  มันมีจริงไหม ล่ะ โยม  ?
มีไม่จริงค่ะ  หลวงพ่อ
แล้วของมีไม่จริงโยมจะยึดไว้ได้ไหมล่ะ ?
ยึดไม่ได้ค่ะ
ยึดไม่ได้ก็ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราวของมันซิ  จะให้มันหลอกอยู่ให้โง่ทำไมเล่าโยม  ?
อึม ! จริงของหลวงพ่อ  แต่หนูยังสงสัยอยู่ว่าเวลารู้สึก นึก คิด ทำไมรู้สึกว่ามีเราเป็นคนรู้ตลอดเลยค่ะ ?
ก็มันหลงผิดซิ โยม  ก็ไอ้ตัวรู้นะ  มันจับต้องไม่ได้  มองก็ไม่เห็น  ตัวมันยังไม่มีเลย  แถมมันยังเกิด ๆ  ดับ ๆ เสียอีก    แล้วจะไปมีโยมไปอยู่ในรู้ได้ไหมล่ะ ?
ก็ไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ
เมื่อตัวโยมไม่มีเสียแล้ว  ความเครียดมันก็ไม่ใช่ของโยม  มันเกิดแล้วก็ดับหายไป  แล้วจะไปยุ่งกับมันทำไม ?
จริงค่ะ จริงของหลวงพ่อ หลงเครียดอยู่ได้  เรื่องมีไม่จริงแท้ ๆ  โง่จริง ๆ เลยค่ะ
ใครโง่อีกล่ะโยม ?
ฮิฮิ  ใจค่ะ  ใจค่ะ หลวงพ่อ



6
ธรรมะเสวนา / Re: นิทานเซน
« เมื่อ: กันยายน 16, 2012, 02:43:58 am »

นึกว่าเรื่องอะไร  ที่แท้ก็แค่เรื่องหลอก ๆ
 :25: :25: :25:
[/quote]

ถ้ารู้ว่ามันหลอก  ก็ไม่โดนหลอกให้ทุกข์กับเรื่องหลอก ๆ
เพราะไม่รู้ว่ามันหลอก   จึงโดนหลอกให้ทุกข์กับเรื่องหลอก ๆ

7
ธรรมะเสวนา / Re: วาทะธรรม
« เมื่อ: กันยายน 16, 2012, 02:40:12 am »


ก่อนเกิดใครเป็นเรา
เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร
[/quote]


ก่อนเกิดใครเป็นเรา  ไม่มีครับ
เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร  ไม่รู้ครับ

เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร  พ่อแม่เลยตั้งชื่อให้เป็นนายนั่น  นายนี่  เลยหลงว่านายนี่  นายนั่นเป็นตัวเรา  เลยมีเราเป็นผู้ทุกข์ครับ
เพราะไม่รู้ว่าเป้นใคร  พระพุทธองค์จึงตั้งชื่อให้เป็น  รูป-นาม  หรือ ขันธ์ 5  ทุกข์จึงเป็นของขันธ์ 5  จึงไม่มีเราไปทุกข์ครับ

8
อ้อ !  พูดไม่ได้  เป็นใบ้หรือครับคุณเมล็ดเกลือ ?  โอ้  น่าสงสาร

ขอบคุณที่ทายทัก  ยินดีที่รู้จัก  เจริญในธรรมนะครับ

9
ธรรมะเสวนา / Re: วาทะธรรม
« เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 04:47:47 am »

ฝนตกฟ้าก็ร้อง
พอฝนหยุดฟ้ากลับสดใส
ใจหลงไม่หยุดเลย
[/quote]


ใจของใครหรือครับ ?

10
ธรรมะเสวนา / Re: นิทานเซน
« เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 04:43:28 am »

 :37: :37: :37:

หลวงพ่อเล่าว่า  วันหนึ่งมีโยมมาสนทนากับหลวงพ่อเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อถามว่า  โยมปฏิบัติเพื่ออะไรหรือ ?
โยมตอบว่า  เพื่อออกจากทุกข์ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อถามว่า  ปฏิบัติอย่างไรหรือโยม ?
โยมบอกว่า  โดยหลักแล้วอุปาทานขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ครับหลวงพ่อ  จะออกจากทุกข์ต้องละอุปาทานขันธ์ห้าครับ
หลวงพ่อ  แล้วทำอย่างไร ? จึงจะละอุปาทานขันธ์ห้าได้เล่าโยม ?
โยม  ต้องเจริญสติปัฏฐานสี่ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ   แล้วโยมเจริญสติปัฏฐานสี่อย่างไร ? หรือโยม
โยม  ผมนั่งภาวนาโดยการพิจรนาลมหายใจเข้าออกทุกคืน   คืนละ 1-2 ช,ม ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ นั่งภาวนาเพื่ออะไร หรือโยม ?
โยม  เพื่อให้จิตมันสงบจากนิวรณ์ 5 ครับ
หลวงพ่อ  แล้วมันสงบไหมล่ะ ? โยม
โยม  มันเอาแน่ไม่ได้ครับหลวงพ่อ  บางทีมันก็สงบ  บางทีก็คิดนั้นคิดนี่ไปเรื่อย
หลวงพ่อ  แล้วยังไงต่อ
โยม  ถ้าคืนไหน ?  จิตมันสงบดี  ผมก็พิจรนากายบ้าง  เวทนาบ้าง  พิจรนาจิตบ้าง  ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ  พิจรนาเพื่ออะไรหรือโยม ?
โยม  เพื่อให้เห็นว่ามันเป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  มันใช่ตัวไม่ใช่ตน  ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา  ยึดไว้ไม่ได้ครับ
หลวงพ่อ  ก็ถูกแล้วนี่  ว่าแต่ว่าโยมปฏิบัติมานานเท่าไรแล้ว ? ล่ะ
โยม  สิบกว่าปีเห็นจะได้ครับ 
หลวงพ่อ  แล้วมันออกจากทุกข์ได้หรือเปล่าเล่าโยม ?
โยม   ตอบตามตรงนะครับหลวงพ่อ  มันไม่ทุกข์ตอนมันนั่งนิ่งสงบ  และตอนพิจรนาครับ   แต่ตอนใช้ชีวิตประจำวันนี่มันยังมีเรื่องให้ทุกข์เหมือนเดิมครับ  ผมจึงอยากถามหลวงพ่อว่า  ทำไมมันจึงยังทุกข์ไม่เลิก ?  แล้วผมจะทำยังไงดีครับ ?
หลวงพ่อ  ถ้าทุกข์ไม่ใช่ของโยมๆจะทุกข์ไหม ?
โยม  คงไม่ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ  ทุกข์ที่ว่านั่นน่ะมันเกิดที่ไหนหรือโยม ? 
โยม  เกิดที่จิตครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ   ถ้าโยมไม่นึกไม่คิดเลยมันจะทุกข์ไหม ?
โยม  ไม่ทุกข์ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ  เอ้า  แล้วโยมคิดทำไม ?  ทำไม่หยุดคิดเสียล่ะโยม  จะได้ไม่ทุกข์
โยม  ห้ามไม่ได้ครับหลวงพ่อ  ยิ่งห้ามมันยิ่งยาวเลยครับ
หลวงพ่อ  ก็นั่นนะซี  มันห้ามไม่ได้หรอก  เพราะความคิดมันไม่ใช่โยม  ไม่ใช่ของโยม   ถ้ามันเป็นโยม  เป็นของโยม  โยมก็ต้องห้ามมันได้นะซี   จริงไหม ?
เออ  คงจริงครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ  ความคิดมันเป็นสังขารขันธ์ ของขันธ์ 5 เขา  มันเกิดชั่วขณะแล้วดับไป  มันมีไม่จริงหรอกโยม  ยึดไว้ก็ไม่ได้   แล้วไอ้ขันธ์ 5 นี่มันเป็นโยมหรือเปล่าล่ะ ?

โยม  ไม่ใช่ครับ
หลวงพ่อ   แล้วความทุกข์มันเป็นของโยมหรือของขันธ์ 5 เขาล่ะ ?
โยม   ของขันธ์ 5 ครับ
หลวงพ่อ  เอ้า!  แล้วโยมไปทุกข์กับมันทำไม เล่า ?
โยม  หลวงพ่อพูดได้น่าคิด นะครับ ?
หลวงพ่อ  คิดอีกก็ถูกหลอกอีกนั่นแหละโยม  เรื่องมีไม่จริงทั้งนั้นโยม
โยม  อืม !  แล้วหัวเราะ ฮึฮึ   

หน้า: [1] 2 3