ผู้เขียน หัวข้อ: บูชาไฟ นี่เกรียนจนหาความเจริญในธรรมไม่ได้นะครับ  (อ่าน 1564 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

น้องต๊ะเจ้าเก่า

  • บุคคลทั่วไป
ขรัวแก้มแดง ซึ่งเป็นอีกรูปหนึ่งในตำนานนั้นก็สัณนิฐานกันว่าท่านน่าจะเป็นหลวงปู่โอภาสี เพราะเหตุที่ว่าขรัวแก้มแดงนั้นท่านมีจรติทางเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะการหุงปรอทสำเร็จ ปรอทสำเร็จนี้ท่านว่าหากสำเร็จขั้นสูงสุดทำให้เป็นอมตะไม่ตายหรือมีอายุได้ ถึงหนึ่งกัปล์ มีอานุภาพอาจทำให้เหาะลอยไปที่ไหนๆ ไปฟ้าป่าหิมพานต์ก็ได้ ขรัวแก้มแดงท่านสำเร็จปรอทกายสิทธิ์อมไว้ด้านไหนแก้วด้านนั้นจะแดงเรื่อ เรื่องนี้มาพ้องกับหลวงปู่โอภาสี เพราะหลังจากที่ท่านรับนิสัยมาจากหลวงปู่กบ คือทำการเพ่งกสิณไฟ ตอนแรกท่านทำการบูชาไฟที่วัดบวรฯ จากนั้น ท่านก็เริ่มทำการหุงปรอท โดยหุงที่วัดบวรนั่นเอง ท่านจะหุงปรอทสำเร็จถึงขั้นไหนนั้นไม่อาจทราบได้ ทราบแต่เพียงว่าหลังจากนั้นท่านได้ลองฤทธิ์ โดยการไต่ขึ้นไปบนเจดีย์แล้วตะโกนดังๆว่าโอภาสีจะเหาะแล้ว จากนั้นท่านก็ประโดดลงมาเป็นที่ฮือฮามาก ปรากฏว่าท่านลอยลงมาอย่างสบายๆไม่ล้มขาแข้งไม่หัก ทำเอาผู้คนตกใจไปหมด หาก ให้สันณิฐานแล้วก็เชื่อว่าท่านน่าจะสำเร็จปรอทและสำเร็จชั้นสูงแล้ว เพราะคนธรรมดาหากกระโดลงมาจากยอดเจดีย์ต้องมีแข้งขาหักกันบ้างแล้ว ไม่มีทางเดินปร๋ออย่างหลวงพ่อโอภาสีอย่างแน่นอน
ที่ น่าสังเกตที่สุดอีกประการหนึ่งคือภายหลังที่ท่านหลวงพ่อโอภาสีเริ่มบูชาไฟ เล่นปรอท ปรากฏว่าแก้มของท่านด้านซ้ายเริ่มเป็นปานดำขึ้นมาจนทุกคนก็สามารถสังเกตเห็น ปานดำที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะอำนาจปรอทที่ท่านอมไว้ มันก็น่าเป็นไปได้ และดูเรื่องที่เกิดขึ้นก็พ้องกับตำนานของขรัวแก้มแดงเช่นกัน
รอย ต่อเรื่องขรัวแก้มแดง หลวงพ่อโอภาสี และปรอทสำเร็จ ยังคล้องจองพอดีกับเรื่องของหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อน เพราะในประวัติของท่านเล่าว่าเมื่อเด็กเล็กนั้น หลวงพ่อยีหรือเด็กชายยีได้ธุดงค์ไปกับพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่ง พระรูปนี้เป็นที่ศรัทธาของบิดามารดาท่านจึงยอมมอบท่านให้ติดตามพระรูปนี้ ท่านเล่าว่าพอพ้นหมู่บ้านที่ท่านอยู่ พระภิกษุรูปดังกล่าวหยิบเอาวัตถุบางอย่างมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆเข้าอมไว้ใน ปากฉับพลันร่างกายของพระผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพระหนุ่มขึ้นมาทันที เรื่องเม็ดกลมๆที่พระผู้เฒ่าอมเข้าไปในปากจะเป็นอื่นไปไม่ได้ วัตถุสิ่งนั้นย่อมต้องเป็น “ปรอทสำเร็จ” อย่างแน่นอน จากนั้นพระธุดงค์รูปดังกล่าวก็พาเด็กชายยีในวันนั้นเข้าป่าลึกเพื่อฝึกวิชา จนต่อมากลายเป็นหลวงพ่อยีผู้ทรงอภิญญาในเวลาต่อมา
เรื่อง ราวของหลวงปู่โลกอุดรนั้นเป็นที่สนใจ เป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน แม้ว่าหลายคนไม่เคยเห็นหลวงปู่โลกอุดรแต่ก็พยายามตั้งความหวังที่จะได้เห็น ท่านสักครั้งในชีวิต แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรก่อให้เกิดแรงใจในการปฏิบัติ กรรมฐานของพุทธศาสนาชนขึ้นมาจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรจึงเป็นเรื่องราวที่น่าสืบค้น และอย่างน้อยที่สุดเราก็เชื่อได้ว่า การแสวงหาหลวงปู่โลกอุดรนั้นแม้ว่าเราอาจไม่พบตัวตนจริงๆของท่าน แต่หากมีความเพียรในการปฏัติธรรมเราย่อมอาจพบ “โลกอุดร” ภายในใจของเราเอง ซึ่งเป็นโลกอุดรแท้อันทรงคุณค่าเป็นรางวัลแห่งการปฏิบัติอย่างแท้จริง
ผู้ที่พบความเป็นโลกอุดรภายในใจตนย่อมเสมือนว่าได้พบหลวงปู่ใหญ่ บรมครูโลกอุดรแล้ว
ดั่งคำที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต....นั่นแล
http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-307073.html



 :25: :25:

สันถวชาดก

 เรื่องราวเหมือนกับที่กล่าวไว้แล้วใน นังคุฏฐชาดก นั้นแล.
               ภิกษุทั้งหลายเห็นชฏิลเหล่านั้นบูชาไฟ จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชฏิลทั้งหลายประพฤติตบะผิดมีประการต่างๆ ความเจริญในการนี้มีอยู่หรือหนอ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความเจริญไรๆ ในการนี้เลย แม้โบราณบัณฑิตก็สำคัญว่ามีความเจริญ เพราะการบูชาไฟ จึงบูชาไฟเป็นเวลานาน ครั้นเห็นไม่มีความเจริญในกรรมนั้น จึงเอาน้ำดับไฟ เอากิ่งไม้เป็นต้นฟาด มิได้กลับมาดูอีกต่อไป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.