ผู้เขียน หัวข้อ: The Village Album , ถ่ายภาพด้วยหัวใจแล้วบันทึกใส่ความทรงจำ  (อ่าน 1282 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



The Village Album , ถ่ายภาพด้วยหัวใจแล้วบันทึกใส่ความทรงจำ

...ผมทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง และ รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆ ที่เห็นพ่อไม่เคยใส่ใจในงานที่เรารัก หรือ ไม่เคยชื่นชมในสิ่งที่เราทำ เหมือนกับว่า พ่อไม่เคยยอมรับเรา

วันหนึ่งเคยถามพ่อตรงๆว่า เพราะอะไร ถึงไม่เคยชื่นชมลูก เหมือนที่คนอื่นๆเขาทำ ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในงานที่เราชอบบ้าง เพราะแม้ คนอื่นรอบข้างจะยอมรับ แต่ คนเป็นลูกก็ต้องการการยอมรับจากคนเป็นพ่อแม่ ที่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิต

ผมเองได้รู้ความจริงถัดมาว่า พ่อภูมิใจในตัวผมเสมอมาเวลาพ่อคุยกับใครต่อใครถึงงานและความสำเร็จของผม ในเวลาเดียวกันพ่อเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน เมื่อผมเองนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจให้ความสำคัญกับพ่อ ซึ่งผมเองนั้นไม่เคยรับรู้มาก่อนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อต้องการ

กลายเป็นว่า คนสองคน พ่อกับลูก ที่ยอมรับในกันและกัน กลับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกดีๆจากอีกฝ่าย แต่ เราสัมผัสได้แค่ ท่าที ของอีกฝ่ายแทน

และนั่น ทำให้ผมเข้าใจว่า ทาคาชิ คนลูก กับ เคนอิจิ ผู้พ่อ ก็คงประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน

...ทาคาชิ ถูกตามให้กลับบ้านต่างจังหวัด เพื่อช่วยงานพ่อ บันทึกภาพคนในหมู่บ้านของตัวเอง เป็นภาพถ่ายความทรงจำก่อนหมู่บ้านนี้จะถูกลบไปจากแผนที่เพราะถูกเขื่อนมาทดแทน

ทาคาชิ มาด้วยความหงุดหงิด แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่ ผมเองขอเดาว่า นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเขา




“ไม่กี่ปีก่อนตอนผมออกจากหมู่บ้านฮานาทานิเพื่อมาทำงานที่โตเกียว พ่อดูไม่สนใจใยดีผมเลยแม้แต่น้อย พ่อไม่ถาม ไม่มีให้กำลังใจ ไม่แม้กระทั่งบอกลา ท่าทีของพ่อที่มีต่อผม เหมือนอย่างที่พ่อทำกับพี่สาวคนโตที่หนีออกจากบ้านไปโตเกียวแล้วไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย

หลังจากผมย้ายมาโตเกียวซักพัก พ่อก็ดูเหมือนจะลืมๆผมไป ผมเข้าใจว่า พ่อคงโกรธที่ผมมาโตเกียวเหมือนพี่สาวที่ตีตัวออกห่างจากครอบครัว ผมเดาว่า การไปโตเกียวของผมคงเป็นสิ่งที่พ่อผิดหวังอย่างรุนแรง

พ่อคงอยากให้ผมหางานปักหลักอยู่ที่ฮานาทานิ มีครอบครัวอยู่ที่นี่ อยู่พร้อมกันพ่อลูก

แต่ผมไม่อยากอยู่บ้านนอก อยู่แค่ในจังหวัดเล็กๆ ผมอยากจะเป็นช่างกล้องมีชื่อเสียง อยากเข้าไปพบโลกกว้างในเมืองใหญ่

ผมแปลกใจที่ผมได้รับการติดต่อให้มาเป็นผู้ช่วยพ่อ ทำหน้าที่ถ่ายรูปคนในหมู่บ้าน เพื่อเป็นบันทึกความทรงจำ ผมสงสัยว่าทำไมพ่อถึงเลือกผม ทั้งที่ผ่านมา พ่อเองก็ดูเหมือนไม่เคยใส่ใจดูดำดูดีลูกอย่างผมแม้แต่น้อยนับตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านมา พ่อเห็นความสามารถในตัวผมด้วยหรือ

หรือ พ่อเกิดเหงา
หรือ พ่อหาใครช่วยไม่ได้ก็เลยตามผมมา

ช่างมันเถอะ

วันที่มากลับมาเหยียบบ้านอีกครั้ง มันก็เป็นอย่างที่คิด พ่อเดินผ่านเหมือนมองไม่เห็นผม พ่อนั่งกินข้าวโดยเหมือนผมไม่มีตัวตน

ผมไม่เข้าใจว่าถ้ากลับมาบ้านแล้วเกิดบรรยากาศแบบนี้ จะตามผมกลับมาทำไม

ผมโกรธพ่อ อย่างน้อยพ่อน่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง
ผมน้อยใจ กับเหตุการณ์ที่ผ่านมากับการที่พ่อไม่เคยมีทีท่าเหมือนจะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของผม

เพราะสิ่งที่พ่อทำ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า พ่อยังรักผมอยู่หรือเปล่า”



...ทาคาชิ คงไม่อยากจะกลับมาบ้านเกิดเท่าไหร่นัก ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อ แต่ยังเพราะ ความจริงที่เขาได้เป็นแค่ผู้ช่วยที่เก็บของงกๆเงิ่นๆ ชีวิตที่ห่างไกลจากความฝันเป็นช่างภาพ เขาเองคงไม่กล้าที่จะกลับมาบอกพ่อ หรือ บอกคนในหมู่บ้าน ว่าเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ฝันไว้ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครพูดคุยถึง

การจากบ้านชนบทไปทำงานเมืองใหญ่ของทาคาชิ ก็เหมือนกับ คนต่างจังหวัดบ้านเรา ที่เฝ้าฝันว่า กรุงเทพคือเมืองสวรรค์ แล้วละทิ้ง บ้านเกิดไว้ข้างหลัง ก่อนจะพบว่า เราเองเป็นคนทิ้งสวรรค์มาแบบไม่รู้ตัว

ภาพลวงของเมืองหลวงทำให้คนต่างจังหวัดหลายชีวิตไม่เคยหยุดคิดที่จะวิ่งไล่ความฝัน น่าสงสารที่หลายคนนั้นวิ่งไล่ความฝันจนลืมหันหลังกลับไปมองบ้านที่เราจากมา

เราลืมหันไปมองว่า เราได้ทิ้งอะไรมาแล้วบ้างกับเวลาที่ผ่านไปไวโดยไม่รู้ตัว

...เราเคยเติบโตมากับต้นไม้ต้นที่ให้ความร่มเย็น ให้ผลไม้ได้เด็ดกินยามหิว ให้อากาศหายใจตั้งแต่เรายังเล็ก แต่เรากลับไม่มีโอกาสได้กลับไปนั่งใต้ร่มเงาต้นไม้นั้นเมื่อมันเติบใหญ่ เมื่อมันเริ่มร่วงโรย จนมันเหี่ยวเฉาและตายจาก ในขณะที่ เราเหมือนจะลืมต้นไม้ต้นนั้นไปเสียแล้ว

เพราะเมื่อเราโตขึ้น เราเรียนรู้ที่จะเข้าห้างเข้าตึกเวลาอากาศร้อนโดยไม่คิดจะไปนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นนั้นอีก เราสามารถหาอาหารสำเร็จรูปตามห้างสรรพสินค้าโดยไม่ต้องเด็ดผลไม้จากต้นนั้น เราไปหาอากาศหายใจจากต้นไม้ต้นใหม่ที่สีสันตื่นตาตื่นใจกว่า และ เรายังคงวิ่งไล่ล่าความฝันโดยไม่ทันสนใจสิ่งใดๆรอบตัว

พ่อแม่ของเรา ก็อาจเป็นดั่งต้นไม้เหล่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไปตามสัจธรรมของกาลเวลา ท่านอาจรอวันที่จะให้ร่มเงาเราอีกครั้งเหมือน ตอนที่เรายังเด็ก แต่ เรากลับไม่ทันคิดถึง เราลืมวันเก่าๆตอนที่เรายังต้องการพวกเขา ตอนที่เรายังอยากให้เขาช่วยดูแลเราตลอดเวลา

...ทาคาชิ มาช่วยงานพ่ออย่างไม่เข้าใจว่า ทำไม เขาถึงกลายเป็นตัวเลือกที่พ่อต้องการ และ หากเป็นที่ต้องการจริง ทำไมเมื่อมาถึง พ่อจึงยังคงมีทีท่าไม่ใส่ใจ

งานของพ่อสร้างความสงสัยให้ ทาคาชิ เป็นทวีคูณ เพราะแทนที่พ่อจะนั่งรถเพื่อถ่ายภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว พ่อกลับเลือกเดินไปตามรายทางของบ้านแต่ละหลังแล้วค่อยๆเก็บรูปภาพของผู้คนแต่ละครอบครัว

วิธีการของพ่อ ยิ่งตอกย้ำ ความคิดที่เขาบอกคนรักว่า พ่อ ผู้ซึ่งในสายตาของเขา เป็นแค่ ช่างภาพกระจอกๆคนหนึ่ง ส่วนฮีโร่ในการถ่ายภาพของ ทาคาชิ เป็นศิลปินชื่อฝรั่งที่ดูโก้เก๋

ก่อนที่การเดินทางตามหลังพ่อครั้งนี้ เขาจะค่อยๆได้ซึมซับ บางสิ่งบางอย่าง ที่ ช่างภาพฝรั่งในอุดมคติของเขาไม่สามารถให้ได้ นั่นคือ การถ่ายภาพด้วยหัวใจ และ ความลับของความรักที่เขาไม่เคยรับรู้




...ภาพที่ถ่ายด้วยมือใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่ภาพที่ถ่ายด้วยหัวใจใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะภาพๆนั้นจะไม่ได้ใช้แค่มือกับสายตา แต่คนถ่ายต้องใช้ใจสัมผัสชีวิตที่อยู่ในเฟรมจึงจะถ่ายทอดความรู้สึกและจิตวิญญาณของคนที่เป็นแบบออกมาได้ ต่อให้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง หากผู้ถ่ายไม่สามารถเชื่อมความรู้สึกตัวเองกับคนอื่น หากผู้ถ่าย ไม่แคร์คนในรูป ก็ย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้สึกคนอื่นให้ออกมามีชีวิตบนภาพถ่าย

ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การถ่ายภาพยังสะท้อนการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วย เราจะเห็นพ่อที่เอาใจใส่คนในรูปทุกคน มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของพ่อที่เคารพให้ความสำคัญกับผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ ทาคาชิ ไม่เคยเอาใจใส่หรือแคร์คนรอบข้าง มัวแต่สนใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตัวเอง เช่น ในตอนยายที่เขามัวแต่สนกับโทรศัพท์มือถือ




ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจ ว่าเพราะอะไร ทาคาชิ จึงถึงกับต้องฉีกภาพถ่ายตัวเองทิ้งไป เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายของพ่อ เมื่อเขาได้เห็นว่า ภาพของเขานั้นขาดสิ่งสำคัญไปนั่นคือ ชีวิตจิตใจของผู้คนในภาพ และ ทำให้เขาได้รู้จักฮีโร่หรือต้นแบบตัวจริงที่ตัวเองอยากจะเป็นตลอดมา




...เราจะเห็นระยะห่างระหว่างคนสองคนที่เดินทิ้งช่วงไกลกัน ก่อนจะค่อยๆย่นระยะเข้ามาหากันตามระยะทางของหัวใจ ก่อนที่เราจะได้เห็นระยะห่างกลายเป็นศูนย์เมื่อลูกให้พ่อขี่คอขึ้นเขา ในตอนนั้น ก็คงเหมือนหัวใจของคนสองคนได้กลับมาหลอมรวมกันอีกครั้ง

...เสียงบางเสียงไม่ได้ยินออกจากปากตัวละคร แต่หนังถ่ายทอดให้ได้เห็นและได้ยิน เสียงในใจของพ่อลูกคู่นี้ ผ่านการแสดงออก

...หากย่อหน้าตอนต้นคือเสียงในใจของทาคาชิ คนลูก และ นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเคนอิจิผู้พ่อ




“ในใจของคนเป็นพ่อ ใครบ้างที่จะไม่รวดร้าวเมื่อต้องเห็นลูกจากไป พ่อคนไหนบ้างที่อยากจะให้ลูกลืมเรา พ่อคนไหนบ้างที่ไม่อยากจะเห็นลูกมีอนาคตมีความสุขในชีวิต

ภรรยาอันเป็นที่รักจากผมไป เมื่อ เจ็ดปีก่อน

ลูกสาวคนโต ทิ้งครอบครัวของเราที่มีกันอยู่แค่พ่อลูก ไปอยู่กับคนรักที่โตเกียวซึ่งไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะจริงจังแถมยังทิ้งลูกไว้ให้รับผิดชอบ

ไม่กี่ปีก่อน ทาคาชิ ลูกชายคนโตของผมก็ออกจากเมืองนี้ ไปโตเกียว

การจากไปของทาคาชิ แม้จะรวดร้าว แต่ ผมก็ภูมิใจ

การจากไปของทาคาชิ คือ ความภาคภูมิใจที่ผมยินดีและเที่ยวบอกใครต่อใครในหมู่บ้านเวลามีคนถามถึง ผมภูมิใจที่มันสามารถทำในสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ มันสามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงและสานฝันของผมที่ทำไม่สำเร็จในโตเกียว

วันนี้ ผมรู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่า ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานโดยไม่ต้องมีหมอที่ไหนมาบอก ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหมู่บ้านนี้กำลังจะถูกทำลายทิ้งไป ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะรับงานถ่ายรูปหมู่บ้านนี้เก็บไว้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้ตอบแทนหมู่บ้านที่มอบเวลาที่ดีที่สุดและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตผม นั่นคือ ชีวิตครอบครัวกับภรรยาและลูกๆที่ถือกำเนิดจากที่นี่

ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านว่า ผมต้องการตัวลูกชายกลับมาเป็นผู้ช่วย เพราะ อยากมีเวลาในชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่กับมัน

ผมไม่รู้ว่ามันยังต้องการผมหรือไม่ เพราะผมรู้ดีว่า เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกทุกคนก็มีโลก มีชีวิตของมันเอง และ ไม่แน่ มันอาจจะลืมพ่อไปแล้วก็เป็นได้

ผมอยากจะเห็นหน้าลูกทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากให้มันกลับมาสัมผัสหมู่บ้าน อยากฝากให้มันได้รับรู้ว่าหมู่บ้านที่มันเติบโตมานี้ ไม่ใช่แค่แผ่นดินที่มีที่ไว้ให้ยืน

หมู่บ้านแห่งนี้คือ ความรักอันบริสุทธิ์ที่ผู้คนมีให้ต่อกัน ผมอยากพามันไปพบกับคุณยายที่รอคอยอย่างเดียวดายแต่ก็สุขใจที่ได้รอ เพื่อนร่วมงานที่รักสมัครสมานและอุ่นไอในมิตรภาพ เด็กๆที่วิ่งเล่นกันอย่างใสซื่อสนุกสนานเหมือนมันกับพี่น้องตอนเด็กๆ ดั่งเช่นภาพที่ผมถ่ายแล้วเก็บไว้ตลอดมา

รวมไปถึง ความรักที่ผมและภรรยามีให้แก่กัน และ ความรักที่เราสองคนนั้นมีกับลูกทุกคน

ถ้าไม่ใช่เพราะรัก ผมเองก็คงไม่ทิ้งโตเกียวกับอนาคตมาที่นี่ และ ถ้าไม่ใช่เพราะรัก เราก็คงไม่คิดจะมีลูกถึงสามคนทั้งที่สุขภาพของภรรยาผมก็ย่ำแย่

แต่เราทั้งคู่ก็ยินดี เพราะรู้ว่า ด้วยความรักที่มี ที่หมู่บ้านนี้ ความรักของเราจะเติบโตในตัวลูกๆต่อไป

ผมอยากให้มันกลับมาเก็บภาพความทรงจำของความรักนี้ไว้ในใจไม่ใช่แค่จำได้เวลาคนพูดถึง

ผมอยากให้เสียงดนตรีเวลาห้าโมงเย็นดังก้องอยู๋ในหัวใจก่อนที่จะไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป

ผมอยากส่งต่อความรักของพ่อกับแม่ไว้ให้มันเก็บรักษาไว้ยามที่ผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว และ มันจะสามารถส่งต่อความรักนี้ไปให้น้องสาว หรือ กับครอบครัวของมันต่อๆไป

แน่นอน ผมรักลูกทุกคน ไม่ว่าลูกจะเป็นเช่นไร”




...ยังมีอีกหลายความลับ ยังมีอีกหลายความรู้สึก ที่คนในครอบครัวเดียวกันไม่ได้พูดกัน และ หลายๆครั้งที่ การไม่พูด ทำให้เรากับพ่อ เรากับแม่ เรากับพี่ เรากับน้อง ต้องพลาดโอกาสที่จะเข้าใจ และ พลาดโอกาสที่จะรับรู้ความรู้สึกดีๆที่อีกฝ่ายมีให้

ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงของพฤติกรรมที่แสดงออก ถูกบิดเบือนด้วยคำพูดที่มีอารมณ์อื่นๆมาเบี่ยงเบน

มิหนำซ้ำหลายครั้งที่เราแปล การไม่พูด ผิดไปเป็นใน ทางตรงกันข้าม




และมันทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า พ่อแม่อยู่กับเราไมได้ตลอดไปจริงๆ วันที่ท่านจากเราไป ภาพสุดท้ายที่เราถ่ายเก็บไว้ด้วยสายตาของเราเป็นภาพไหน เป็นภาพของความขัดแย้ง หรือ เป็นภาพของคนสองคนที่ไม่พูดคุยกัน หรือ เป็นภาพตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฯลฯ

เราอาจต้องรู้สึกเสียใจที่ ทำไมวันนั้น เราถึงไม่เก็บความทรงจำที่แสนงดงามเมื่อโอกาสยังมี ทำไมภาพสุดท้ายของพ่อแม่ที่เราบันทึกไว้ในใจเป็นภาพที่ลางเลือนเมื่อหลายปีก่อนไม่ใช่ภาพของเมื่อวาน หรือเป็นเพราะ เมื่อวานเรายังมัวแต่สนุกสนานกับเพื่อนพ้องคนรักหรืองานจนลืมพ่อแม่ของเรา

เราจะได้มีโอกาสถ่ายภาพครอบครัวภาพสุดท้ายอย่าง ทาคาชิ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ เราเองที่จะเป็นคนตัดสินใจในฐานะช่างกล้องชีวิต ว่าจะเลือกกดชัดเตอร์และเลือกเก็บภาพใดไว้ในความทรงจำ

…The Village Album ได้รับการโฆษณาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์ว่า ผู้ที่ประทับใจหนังเรื่อง Always ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้ จนอาจทำให้หลายคนคาดหวังว่า หนังญี่ปุ่นเล็กๆเรื่องนี้ จะ มีอะไร เหมือนที่ Always มี

...ในความเห็นผม กลับมองว่า หนังสองเรื่องนี้ถ้าไม่นับว่าเป็นหนังญี่ปุ่นเหมือนกันแล้ว ทั้งคู่ต่างกันหลายอย่างนัก ทั้งประเด็นที่เน้นหนัก ทั้งการเล่าเรื่องและการบิวท์อารมณ์คนดู สำหรับผมเองนั้นทั้งคู่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทาบทับกันได้อย่างพอดี

นั้นคือ หนังสองเรื่องนี้ เป็น หนังเพียงสองเรื่องของปี ที่ทำให้น้ำตาไหลปริ่มด้วยความอิ่มเอมใจ

หนังบางเรื่องทำให้เราร้องไห้เพราะเสียใจไปกับตัวละคร เพราะรันทดกับชะตากรรมในหนัง เพราะเสียดายตังค์ ค่าตั๋ว ฯลฯ แต่ The Village Album และ Always ทำให้เราร้องไห้เพราะความอิ่มอุ่นอิ่มอกอิ่มใจ

....ไม่อยากให้ตั้งความคาดหวังหรือคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเหมือน Always เพราะคุณอาจ ไม่ได้อะไร ในสิ่งที่ Always เคยให้ และ คุณอาจได้บางอย่างที่ Always ไม่มี และ หากเปรียบเทียบก็อาจรู้สึกว่ามันไม่เท่ากัน

อย่าเปรียบเทียบเลย ไปด้วยใจสบายๆ แล้วคุณจะพบว่า คุณให้โอกาสกับหัวใจ ได้รับ ความอิ่มเอม ที่เราหาไม่ค่อยได้จากหนังโรงยุคปัจจุบัน ซึ่งมีแต่ผี แอคชั่น โหด รันทด กดดัน ขวัญผวา ฯลฯ

แล้วคุณยังอาจพบว่า ความงามจากภาพบนจอที่ก่อตัวในจิตใจคนดู เป็นเหตุให้เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูจบแต่ยังไม่อยากลุกจากโรงเพราะอยากเก็บบันทึกภาพในหนังจนหมด end credit

สิ่งที่ชอบ

1.ความอิ่มใจ ... ความรู้สึกอิ่มเอม และ อิ่มใจ เกิดขึ้นอีกครั้งของปีนี้ และ เป็นครั้งที่สองของปี ที่น้ำตาไหลปริ่ม ไม่ใช่เพราะ อินไปกับเหตุการณ์รันทด หรือ เศร้าใจ แต่เป็นครั้งที่สองของปี ที่น้ำตามีที่มาจากความประทับใจ

2.ภาพในหนัง ...วิวทิวทัศน์ชนบทในหนังแสนร่มเย็นเป็นสุขน่าพักอาศัยเป็นยิ่งนัก ภาพชนบทในหนังให้ความรู้สึกงดงาม เหมือนตอนที่ได้ดูภาพฤดูฝนในหนัง Be with you หลายฉากชวนให้ใครมาจากต่างจังหวัดน่าจะยิ่งอินกับบรรยากาศต่างจังหวัดซึ่งไม่ใช่แค่วิวทิวทัศน์ แต่รวมไปถึง มิตรภาพน้ำใจ ของ ผู้คน ภาพถ่ายในหนังที่ปรากฎบนจอให้ความรู้สึกมีชีวิตจิตใจจริงๆ นั่นทำให้ คนดูส่วนใหญ่ไม่อาจละสายตาไปแม้หนังจะจบลง เพราะยังเฝ้าดูภาพถ่ายที่เหลือระหว่าง end credit ขึ้น

3.ความสัมพันธ์ของผู้คน ... ระหว่างพ่อ-ลูก / ยายกับพ่อ / ผู้คนในหมู่บ้าน ดูอ่อนโยน จริงใจ และ อบอุ่น เป็นอีกเรื่องที่ใครมีปมพ่อ-ลูก ได้มาดูเรื่องนี้ต้องอินเป็นพิเศษ

4.สองความคิดที่เกิดขึ้นหลังดูจบ ... นอกจากความอิ่ม ยังมีอีกความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นตามความคิดที่ได้นั่นคือ ความคิดที่อยากจะกลับบ้านอันเป็นความสุขที่แท้จริง และ ความคิดที่อยากกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ให้บ่อยเท่าที่จะทำได้


สิ่งที่ไม่ชอบ

1.การแสดงของคนที่รับบทลูก(ทาคาชิ) ... ดูโดดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ และ ยิ่งชัดมากเมื่อต้องประกบรุ่นเก๋าอย่างทัตสุยะ ฟูจิ คนพ่อที่ถ้าไม่บอกคงจะจำไม่ได้จริงๆว่าเขาคือพระเอกจาก In the Realm of Senses

สรุป ... ถ้าให้เลือกระหว่าง หนังดีมากในแง่บท การแสดง การตัดต่อ ฯลฯ แต่ไม่ให้อะไรกลับมากับคนดู กับ หนังที่ไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ดูจบแล้วมันสามารถเข้าไปถึงใจ ดูจบแล้วเกิดความรู้สึกๆดีๆ มีบางสิ่งกระทบใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มีแรงบันดาลใจในชีวิต ผมรักหนังในกลุ่มหลังมากกว่า และ ปีนี้ The Village album เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยินดีและอยากจะแนะนำให้ใครต่อใครได้ไปดูกัน นักวิจารณ์อาจให้เกรดที่แตกต่างกันในแง่ของความเป็นหนัง แต่ คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธความงดงามที่เกิดขึ้นในใจหลังดูจบ

 :06: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=11-2006&date=29&group=1&gblog=173
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...