ผู้เขียน หัวข้อ: PK หนังอินเดียทีข้ามเส้นหนังอินเดีย…กับการตั้งคำถามต่อพระเจ้า  (อ่าน 1013 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


   อินเดียสร้างประเทศให้คงอยู่ บนความแตกต่างทาง ศาสนา พระเจ้า วรรณะ ภาษา และเชื้อชาติ มาได้อย่างไร
       
       ห่างหายไปสักพักใหญ่กับเรื่องของภาพยนตร์ดีๆ ที่จะมาเขียนแนะนำกันนะครับ วันนี้เลยต้องขอหยิบยกหนังดีๆสนุกๆเรื่องหนึ่งมาแนะนำให้ท่านผู้อ่านไปหาดูกันครับ งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้พี่จีน และพี่อภินันท์ สองนักดูหนังและนักวิจารณ์หนังของเว็บผู้จัดการออนไลน์และช่องซุปเปอร์บันเทิงด้วยครับ เสียงเชียร์ดังอยู่ราวสองสามสัปดาห์ จนไม่นานนี้ผมควานหาหนังเรื่องนี้มาดูจนได้ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น จริงไหมครับ อินเตอร์เน็ทพีงพาได้ ช่วยได้เสมอ นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง
       
       หนังเรื่องนั้น มีชื่อสั้นๆว่า PK เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ 1,700 ล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ของอินเดีย หนังยังสร้างสถิติใหม่ในฮอลลิวู้ด ด้วยการเป็นหนังอินเดียที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ สัปดาห์แรกก็เข้าถึง Top Ten บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศที่อเมริกา ก่อนที่จะทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยรายได้กว่า 3,200 ล้านบาท ทุบสถิติเป็นหนังอินเดียทำรายได้สูงสุดในสหรัฐอเมริกา ฉายพร้อมกันทั่วโลกเมื่อ 19 ธันวาคม ปี 2014 ในเมืองไทยฉายแบบจำกัดโรงใน เครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
       
       ผมเชื่อว่าหลายๆคนเมื่อพูดถึงหนังอินเดียรวมถึงตัวผมเองด้วย จะนึกถึงเพลงแขก วิ่งหลบหลังต้นไม้จีบกันเป็นนานหลายสิบนาที พร้อมท่าเต้นระบำโชว์หน้าท้องหลายๆรอบ อะไรพวกนั้น PKเป็นหนังจากทีมผู้สร้าง 3Idiots แสดงนำ โดย อาเมียร์ ข่าน (Aamir Khan ) ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของดาราหนังบอลลิวูด เขาคือพระเอกจากหนังดังเรื่อง 3Idiots และ Dhoom: 3 นั่นแหละครับ
       
       ผิดคาดครับ หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังอินเดียในมโนของคนทั่วไป ดูPK แล้วแทบลืมหนังอินเดียเก่าๆไปได้เลย เพราะเป็นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลกแบบตัวเปล่า(ไม่สวมเสื้อผ้า) สิ่งที่ติดตัวมามีอย่างเดียวคือสร้อยคอหน้าตาคล้ายพลอยหรืออัญมณีสีน้ำเงิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นรีโมทคอนโทรล เพื่อเรียกยานอวกาศของเจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวนี้ให้มารับ ซึ่งดันถูกขโมยไปซะอย่างงั้น แถมดันมาทำหายในอินเดียซะอีก
       
       PKมนุษย์ต่างดาวต้องเที่ยวตามหารีโมท เพื่อเรียกยานอวกาศมารับกลับดวงดาวของเขา มนุษย์ที่เขาไปถามหาทุกคนบอกให้ไปไปถามพระเจ้า เรื่องราวมันเริ่มจากภารกิจตรงนี้ละครับ แล้วการเดินทางการผจญภัยก็เริ่มขึ้นอย่างสนุก เสียดสี ปล่อยมุขขำเป็นระยะตลอดเรื่อง
       
       ผมขอเล่าบางมุขให้ฟังเป็นการเรียกน้ำย่อยแล้วกันครับ เขาเข้ามาตามหาพระเจ้าในกรุงเดลีทั้งในวัดของฮินดู โบสถ์ของศาสนาคริสต์ สุเหร่าของมุสลิม วัดของสาสนาพุทธ แต่ก็ไม่พบพระเจ้า หยอดเงินในกล่องบริจาคของวัดขอให้สมหวัง พระเจ้าก็ไม่ช่วย พยายามจะงัดตู้บริจาคขอเงินคืน เพราะคิดว่าพระเจ้าหลอกลวง บริจาคไปแล้วไม่เห็นช่วยเลย
       
       เมื่อมีนักบวชฮินดูที่ชาวบ้านนับถือ นำรีโมทอัญมณีมาแอบอ้างว่า พระศิวะประทานให้เขาที่หุบเขาหิมาลัย พระเจ้ายังสั่งให้สร้างวิหารสำหรับอัญมณีเพื่อให้ชาวฮินดูได้บูชา ชาวบ้านจำนวนมากพากันทำบุญในกล่องบริจาค การเปิดโปงนักบวชที่หลอกลวง สร้างพระเจ้าปลอมจึงเกิดขึ้น เพื่อทวงคืนรีโมท
       
       สังคมอินเดีย ในยุคโซเชียลมีเดีย เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของอินเดียพัฒนาก้าวไกลไปมาก แต่ทุกกิจกรรมในชีวิตคนอินเดียมีพระเจ้าและนักบวชเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเสียดสีสังคมสองด้านไว้ในหลายตอน เศรษฐีซื้อขายหุ้นก็ต้องมีรูปปั้นพระลักษมีวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขณะออกกำลังกายยบนเครื่องวิ่งก็ยังวางรูปปั้นหนุมาณไว้บนเครื่อง ถ้าไม่อยากถูกทำร้ายทุบตีมนุษย์ต่างดาวก็เอารูปสติกเกอร์พระเจ้าติดไว้ที่แก้ม ก็จะปลอดภัยไม่มีใครกล้าตบหน้า
       
       ในทัศนะของมนุษย์ต่างดาว ศาสนาเหมือนบริษัทธุรกิจ มีการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้รายได้จำนวนมากอย่างรวดเร็ว เป็นธุกิจจากความกลัวและความศรัทธา วิธีสร้างศาสนาด้วยการเล่นกับความกลัวของคน แค่การวางหินตั้งขึ้นทาสีแดงลงไปหน่อยมีเงินวางไว้อีกนิดนึง ไม่เกิน 15 นาทีมีคนมากราบไหว้วางเงินบริจาคให้มากมาย
       
       เมื่อหิวก็จะไปยืนฉี่ข้างกำแพงวัดต่อหน้าตำรวจให้ตำรวจจับ จะได้กินข้าวฟรีในคุก ประเดี๋ยวตำรวจก็ต้องปล่อยตัวเพราะข้อหานี้มันเล็กน้อยมาก ผู้คนมหาศาลมีกิจกรรมพิธีกรรมที่วัดกันอย่างเนืองแน่น มีรองเท้ากองพะเนินถูกถอดวางเกะกะไร้ระเบียบก่อนเดินเข้าวัด ถ้าใครออกมาหารองเท้าตัวเองไม่เจอ ก็ไม่เดือดร้อน สวมรองเท้าคนอื่นไปแทนก็สิ้นเรื่อง สะท้อนชีวิตแบบอินเดียได้สะใจไหมล่ะครับ มนุษย์ต่างดาวกลัวรองเท้าหาย ถึงขนาดต้องเอาโซ่ล็อคจักรยานไปล็อครองเท้าแตะไว้กับรั้ววัดกันหาย
       
       หนังมีมุขตลกเสียดสีตลอดทั้งเรื่อง ได้เจ็บๆแสบๆคันๆได้น่ารักปนตลก ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดกับความจริงที่หนังเอามาจิกกัด อมยิ้ม หัวเราะไปกับมัน แล้วก็นึกในใจ "เออ จริงของมันวะ"
       
       ผ่านเปลือกนอกของหนังเฮฮา แต่เนื้อในของหนังเรื่องนี้มีธีมหลักอยู่ที่การตั้งคำถามและตามหาพระเจ้าผ่านตัวเอกของเรื่อง มนุษย์ต่างดาวที่ไม่รู้ไม่เข้าใจมนุษย์โลก ไม่รู้ภาษา ไม่รู้วัฒนธรรม ไม่เข้าใจสัญลักษณ์ ความแตกต่างสีผิวเพศชั้นวรรณะ ศาสนาความเชื่อพิธีกรรมและพระเจ้าที่แตกต่างหลากหลายในอินเดีย
       
       นับเป็นแก่นเนื้อในที่เหมือนหย่อนระเบิดลงไปในดินแดนอินเดีย ประเทศที่มีเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา แตกต่างกันมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก อินเดียแบ่งชั้นวรรณะอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่อารยธรรมโบราณจนทุกวันนี้ ปัจจุบันอินเดียมีประชากรมากถึง 1,252 ล้านคน(ข้อมูลปี 2557)เป็นอันดับสองของโลก รองจากจีนที่มีประชากร 1.300 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
       
       อินเดียมีภาษาที่ถิ่นแตกต่างกันนับร้อยภาษา ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษใช้ในวงราชการ การศึกษา และธุรกิจ มีภาษาถิ่นที่ใช้มากถึง 14 ภาษา เช่น อูรดู เบงกาลี ทมิฬ ปัญจาบี ฯลฯ
       
       อินเดียเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยปรัชญาและศาสนา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูมากที่สุดร้อยละ 81.3 เป็นมุสลิมร้อยละ 12 นอกนั้นเป็นคริสต์รร้อยละ 2.3 ซิกข์ร้อยละ 1.9 พุทธและเชนอีกร้อยละ 2.5
       
       เฉพาะศาสนาฮินดูซึ่งนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เป็นศาสนาที่มีพระเจ้ามากที่สุดในโลก แถมพระเจ้ายังอวตารแบ่งภาคได้อีกมากมาย นับตั้งตั้งแต่พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ พระลักษมี พระพิฆเณศวร์ ฯลฯ การตั้งคำถามเกี่ยวกับพระเจ้ากับคนอินเดียที่มีความเชื่อความศรัทธาลงรากลึกมายาวนาน วิถีชีวิตพิธีกรรมและกิจกรรมทุกอย่างของชีวิตทุกขณะจิตติดยึดกับความเชื่อศาสนาและเทพเจ้า จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
       
       การตามหา พระเจ้า และตั้งคำถามถึงความจริงแท้ของพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ หรือพระเจ้าจอมปลอมที่มนุษย์สร้างขึ้น จึงเป็นเรื่องท้าทายในสังคมอินเดีย แม้หนังจะได้รับการตอบรับสูงทั้งในอินเดีย และในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ซึ่งมีคนอินเดียอพยพไปอยู่จำนวนมาก แต่ก็มีการต่อต้านจากกลุ่มคนเคร่งศาสนาภายในอินเดีย มีการชุมนุมคัดค้านโจมตีการฉายหนังและเผาโปสเตอร์หนัง รายการโทรทัศน์ในอินเดียเปิดเวทีให้ดีเบตกันระหว่างกลุ่มคนที่เห็นต่างกันอย่างครึกโครม
       
       ความสามารถพิเศษของหนัง PK ที่เซนสิทีฟ หรือ อ่อนไหวทางศาสนาอย่างเรื่องนี้ คือ การเดินเรื่องด้วยมุขตลก น่าขัน การนำเสนอประเด็นโดยไม่ข้ามเส้น หรือข้ามบางเส้นแต่ไม่ข้ามทุกเส้น ระหว่างพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์และจักรวาล ในฐานะที่พึ่งของคนที่ศัทธาและมีความหวัง กับพระเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการหลอกลวงหาประโยชน์ความมั่งคั่งร่ำรวยจากความกลัวของชาวบ้าน
       
       สำหรับมนุษย์ในโลกโซเชียลมีเดีย ความแตกต่างระหว่างการติดต่อกับพระเจ้าแท้จริง หรือพระเจ้าจอมปลอม มันถูกทำให้ง่ายเหมือนการต่อโทรศัพท์ถูกเบอร์หรือผิดเบอร์ตามความเห็นของมนุษย์ต่างดาว นี่แหละครับความมหัศจรรย์ของอินเดียที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
       
       ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ผมอยากแนะนำให้ลองไปหาชมกันดูครับรับรองว่าสนุกมากจริงๆครับ ถ้าคุณอยากลองหนังอินเดียเจ๋งๆก็ต้องลองเรื่องนี้เลยครับ และถ้าคุณยังติดภาพเก่าๆของหนังแขก รับรองเรื่องนี้แตกต่างครับ
       
       ในยุคที่ต้องมองโลกมองตัวเราเอง การก้าวสู่เออีซี.ในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มีประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน และอินเดีย ขนาบข้างทางขวาและซ้าย คนไทยต้องเรียนรู้และเข้าใจประเทศคู่ค้าที่มีประชากรมากอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก
       
       ผมว่าคนไทยดูหนังจีนเรียนรู้จีน มากกว่าดูหนังอินเดียเรียนรู้อินเดีย ถึงเวลาที่เราต้องสนใจอินเดียเข้าใจอินเดียมากขึ้นแล้วหละครับ

 :19: http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9580000106962


<a href="https://www.youtube.com/v/82ZEDGPCkT8" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/82ZEDGPCkT8</a>
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...