ผู้เขียน หัวข้อ: ตรวจสอบว่ากำลังเดินถูกทางหรือไม่ จาก“การรับรู้ทางธรรมสามระดับ” ของเตชุง ริมโปเช  (อ่าน 960 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


จากหนังสือเรื่อง “การรับรู้ทางธรรมสามระดับ” ของเตชุง ริมโปเช:

__

พวกเรามีโชคดีเป็นอันมากที่ได้มีโอกาสรับฟังคำสอนอันนำไปสู่การหลุดพ้น เราไม่ควรหลอกตัวเองเกี่ยวกับสถานะในปัจจุบันของเรา แม้ว่าเราจะได้เกิดมาในเวลาและสถานที่ที่มีคำสอนอยู่ เรามีความสามารถเข้าใจคำสอนนั้น มีโอกาสได้พบพระอาจารย์ที่เต็มใจสอนเรา และมีเวลาพอที่จะปฏิบัติ แต่หากเราถือเอาโอกาสอันดียิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของเราอยู่ตั้งแต่ต้นโดยไม่คิดว่าโอกาสเหล่านี้มีค่าและหาได้ยากยิ่งเพียงใด และยิ่งหากเราละเลยไม่ใส่ใจต่อการปฏิบัติ เราก็เรียกได้ว่ากำลังหลอกตัวเอง ไม่ว่าโอกาสปัจจุบันจะดีเพียงใด แต่หากเราไม่ใช้ประโยชน์ก็ไม่มีความหมายอะไร

สมเด็จดาไลลามะเคยตรัสไว้ว่า “การรับฟังพระธรรมแต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ เราต้องลงมือปฏิบัติเองด้วย” หากเราหยุดคิดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของเรา ว่าไม่มั่นคงเพียงใด เราก็จะมองเห็นความโง่เขลาของการเรียนรู้แต่เพียงทฤษฎีและปฏิบัติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นความผิดพลาดที่ทำกันมาก และเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง หากเราปรารถนาจะเป็นมากกว่าเพียงชาวพุทธแต่ในนาม เราต้องเพียรฝึกฝนจิตด้วยความวิริยะอุตสาหะ

เมื่อเราปฏิบัติอย่างจริงจังบนเส้นทางสู่การตรัสรู้ เราก็น่าจะพบกับกระแสประสบการณ์สามอย่าง อย่างแรกได้แก่ว่าเราควรจะมีความเชื่อมโยงต่อเนื่องกับความทุกข์ของผู้อื่น รวมทั้งกับเหตุแห่งความทุกข์ ความใหญ่หลวงของความทุกข์ และความไม่มีวันจบสิ้นของความทุกข์นั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็จะเกิดความโศกเศร้าสงสารผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นนั้นและจะต้องทนทุกข์ต่อไปอีกในอนาคต จากความโศกเศร้านี้ที่มีแก่สรรพสัตว์และแก่โลก ก็จะเกิดความรู้สึกละวางจากโลก อันเป็นความเต็มใจที่จะสลัดการยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆที่ไม่สำคัญทิ้งไป และหันเหจิตให้เข้าหาสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง

อย่างที่สอง เมื่อเรามีความรู้สึกที่จะละวางจากสังสารวัฏแล้ว เราก็จะเกิดแรงปณิธานที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อสรรพสัตว์ขึ้นมาในจิตของเราโดยธรรมชาติ เมื่อเราปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน หรือเมื่อเราปฏิบัติกรรมอันเป็นกุศลอื่นๆหรือปฏิบัติกิจทางพระศาสนา (เช่นช่วยเหลือสรรพสัตว์อย่างถูกต้อง หรือปฏิบัติเพื่อให้สามารถช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้นได้) เราก็จะเกิดโพธิจิตขึ้นในใจ อันได้แก่ปณิธานที่จะให้ได้มาซึ่งประโยชน์อันสูงสุดแก่สรรพสัตว์ทั้งมวล

อย่างที่สาม เมื่อเราเกิดแรงปณิธานที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกแล้ว ก็จะเกิดสัมมาทิฐิเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆขึ้นมาเองจากความกรุณาอันนี้ เราเกิดความเข้าใจพระธรรมอย่างชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมาย เป็นที่เข้าใจได้ ไม่เพียงแต่ในทฤษฎีเท่านั้น แต่จากมุมมองจากภายในและเป็นมุมมองในเชิงปฏิบัติด้วย เราเข้าใจธรรมชาติของจิต จุดหมายในชีวิตของสัตว์โลกทั้งมวล และวิธีการที่ดีที่สุดที่จะยังประโยชน์ในแก่สัตว์โลกนั้นๆ นี่เรียกว่าการเกิดขึ้นของสัมมาทิฐิหรือความเห็นที่ถูกต้อง

ผู้ปฏิบัติธรรมมหายานที่แท้จริงทุกคนจะต้องผ่านประสบการณ์ทั้งสามนี้ อันได้แก่ (1) การละวางจากสังสารวัฏ (2) ปณิธานที่จะทำงานเพื่อยังประโยชน์อันสูงสุดให้แก่สรรพสัตว์ และ (3) สัมมาทิฐิ หากเราสงสัยว่าเรากำลังก้าวหน้าไปในการปฏิบัติของเราหรือไม่ เราก็เพียงแต่ถามว่าเรามองเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้หรือไม่ สามอย่างนี้มีบทบาทต่อกระแสความคิด กระแสจิตใจของเราอย่างไรบ้างหรือไม่? หากเราสามารถมองเห็นการพัฒนาของประสบการณ์สามอย่างนี้ในจิตใจ ก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเรากำลังก้าวหน้ามาถูกทางแล้ว

จาก https://soraj.wordpress.com
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...