ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ โพธิจรรยาวตาร ของ ศานติเทวะ ปริเฉทที่ ๓ การเขาถึงซึ่งโพธิจิต  (อ่าน 1107 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
หมวดหมู่: คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร

ตอนนี้ผมเรียบเรียง คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร เนื้อหาประกอบด้วย ๑๐ ปริเฉทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในจะมีเนื้อหา แบ่งเป็นในแต่ละปริเฉท ซึ่งจะมีบทปริวรรตภาษาสันสกฤตเป็นอักษรไทย 2 แบบ และมีเสียงประกอบให้อ่านตามได้ ส่วนล่างสุดจะเป็นบทแปลครับ เหมาะสำหรับผู้สนใจทั้งคัมภีร์ศาสนา, การออกเสียงภาษาสันสกฤต, และฉันทลักษณ์สันสกฤต

คัมภีร์โพธิจรรยาวตารเป็นบทประพันธ์อันมีชื่อเสียงของท่านศานติเทวะ ผู้เป็นพระอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนาลันทาเมื่อประมาณคริสตศตวรรษที่ 8 เนื้อหาประกอบด้วย ๑๐ ปริเฉท มีจํานวนโศลกทั้งสิ้น 913 โศลก ในการประพันธ์ได้ใช้ฉันทลักษณ์11 ชนิด

คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร เป็นคัมภีร์สําคัญของพระพุทธศาสนามหายานนิกายมาธยมิก ที่กล่าวถึงแนวทางปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้ หรือหลักการดําเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์ เป็นคัมภีร์ที่ประมวลไว้ซึ่งหลักคําสอนอันครอบคลุมแนวความคิดสําคัญทั้ง 3 ด้านของพระพุทธศาสนามหายานคือ แนวความคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ แนวความคิดเรื่องปรัชญาศูนยตาและแนวความคิด เรื่องพุทธภักติ อันมีเนื้อหาสาระส่วนใหญ่มุ่งอธิบายถึงหลักการปฏิบัติตนของพระโพธิสัตว์เป็นสําคัญ

ต้นฉบับภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครีจากโครงการ DSBC ปริวรรตเป็นไทยโดยโปรแกรมไทย-สันสคริปท์ เสียงจากโครงการ Bodhisvara ในส่วนคำแปลนั้น ได้รับอนุญาตจากผู้แปลคือ พระมหาวิชาญ กำเหนิดกลับ

เนื้อหาเพิ่มเติม http://blog.thai-sanscript.com/category/bodhicharyavatara/




โพธิจรรยาวตารของศานติเทวะ ปริเฉทที่ ๓ การเขาถึงซึ่งโพธิจิต

ในปริเฉทที่ ๓ ท่านศานติเทวะ อธิบาย การอธิษฐานเพื่อเข้าถึงโพธิจิต

ต้นฉบับจากโครงการ DSBC เสียงจากโครงการ Bodhisvara  แปลโดย พระมหาวิชาญ กำเหนิดกลับ ปริวรรตเป็นไทยโดยโปรแกรมไทย-สันสคริปท์

เพิ่มเติม http://blog.thai-sanscript.com/benefits_bodhicitta/



โพธิจรรยาวตารของศานติเทวะ

ปริเฉทที่ ๓ การเขาถึงซึ่งโพธิจิต

๑. สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ทำการหยุดยั้งความทุกข์ในอบายภูมิไว้ด้วยดีแล้ว ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยความบันเทิงยินดีปรีดายิ่งขอความทุกข์ทั้งหลายจงสำเร็จผลเป็นความสุขเถิด
๒. ข้าพเจ้าย่อมอนุโมทนาต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งขออนุโมทนาการตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ของสัตว์ผู้ได้รับการช่วยเหลือเหล่านั้น
๓. ข้าพเจ้าขออนุโมทนาต่อมหาสมุทร คือ จิตโตตปาท ต่อคุณอันเป็นเหตุนำสุขมาให้แก่ สรรพสัตว์ต่อการบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์และต่อพระผู้สอนทั้งหลาย
๔. ข้าพเจ้าขอน้อมอัญชลีอ้อนวอนขอร้องต่อพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศทั้งมวล ขอพระองค์ทั้งหลายโปรดสร้างธรรมประทีปให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ผู้ตกอยู่บนกองทุกข์ทั้งปวงเพราะความสับสนหลงตนอยู่
๕. ข้าพเจ้าขอประนมอัญชลีอ้อนวอนพระชินเจ้าผู้ใคร่จะบรรลุพระนิพพานทั้งหลาย ขอพระองค์ทั้งหลายจงดำรงคงมั่นอยู่ตลอดกาลกัลป์ชั่วนิรันดร์เถิด ขอโลกนี้อย่าเป็นโลกแห่งความมืดบอดเสีย
๖. เมื่อได้กระทำการทุกสิ่งสรรพเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงคุณงามความดีใด ขอความทุกข์ทั้งมวลของสัตว์ทั้งปวงพึงถูกคุณงามความดีนั้นทำลายให้สิ้นซากด้วยเถิด
๗. ข้าพเจ้าพึงเป็นยารักษาโรค ทั้งขอเป็นเภสัชกรและแพทย์ เป็นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้คนเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านั้นจนกระทั่งโรคไม่สามารถกำเริบเกิดขึ้นได้อีก
๘. ขอให้ข้าพเจ้าได้กำจัดความทุกข์ทรมานที่เกิดจากความหิวกระหายอยาก ด้วยเม็ดฝนที่รั่วรดตกเป็นข้าวและน้ำทั้งหลายขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นน้ำดื่มและโภชนาหาร ในเวลาระหว่างกัลป์อันเกิดทุพภิกขภัยขึ้น
๙. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่หมดสิ้นแก่เหล่าสัตว์ผู้ยากจนขัดสนทั้งหลาย และขอให้ข้าพเจ้าพึงดำรงคงอยู่ในที่ใกล้เคียง (พวกเขา) โดยประการที่สามารถจะทำการส่งเสริมช่วยเหลือต่างๆได้
๑๐. ข้าพเจ้านั้นขอสละชีวิตอุทิศกายตนโภคสมบัติและคุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมาตลอดทั้ง ๓ กาล เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ห่วงหาอาลัยอยาก
๑๑. การสลัดทิ้งสิ่งทั้งปวงนี้คือ พระนิพพาน ทั้งจิตของข้าพเจ้าเองก็แสวงหาต้องการพระนิพพานเช่นกัน ถ้าหากข้าพเจ้าพึงสละทิ้งสิ่งทั้งมวลไซร้ สรรพสิ่งทั้งหมดนั้นย่อมเป็นสิ่งประเสริฐที่ควรให้แก่สัตว์ทั้งหลาย
๑๒. เมื่อข้าพเจ้าได้มอบร่างกายนี้เพื่อความสุขแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว พวกเขาจะทุบตีหรือนินทาว่าร้าย ทั้งจะโปรยเกลี่ยเป็นเศษดินสิ่งไร้ค่าตลอดนิตย์นิรันดร์กาล (ก็ตามเถิด)
๑๓. ขอให้พวกเขาจงหยอกเล่นกับกายของข้าพเจ้า ทั้งขอให้ได้หัวเราะเยอะเย้ยและตลกขบขันข้าพเจ้าได้มอบกายถวายตนแก่พวกเขาแล้ว จะมีประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าที่จะต้องคิดถึงความทุกข์ทรมาน (อันเกิดจากการกระทำเช่นนั้น) อีกเล่า
๑๔. และขอให้พวกเขาจงกระทำกรรมทั้งหลายอันเป็นสิ่งนำความสุขมาให้แก่พวกเขา ขอความทุกข์ทรมานอย่าพึงมีแก่ใครๆเพราะได้อาศัยข้าพเจ้าในกาลบางคราวด้วยเถิด
๑๕. เมื่อได้พึ่งพาอาศัยข้าพเจ้าแล้ว ขออารมณ์ความรู้สึกนึกคิด คือความโกรธและความเลื่อมใส ศรัทธาพึงเกิดมีแก่พวกเขา และขอความรู้สึกนึกคิดนั้นพึงเป็นเหตุปัจจัยให้สำเร็จประโยชน์ แก่พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดตลอดกาลเป็นนิตย์เถิด
๑๖. ชนเหล่าใดย่อมประทุษร้ายข้าพเจ้า ทั้งพูดจาใส่ร้ายป้ายสีและประพฤติหัวเราะเยอะเย้ย ข้าพเจ้าขอให้เขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งการตรัสรู้ภูมิธรรมด้วยเถิด
๑๗. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นที่พึ่งแก่คนอนาถาขาดแหล่งพึ่งพิงทั้งหลาย และเป็นสารถีผู้ชี้ทางแก่นักเดินทางทั้งหลายทั้งขอให้เป็นเรือเป็นสะพานและเป็นทางผ่านแก่คนผู้ปรารถนาจะข้ามฝั่ง(คือพระนิพพาน) ตลอดไป
๑๘. สำหรับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นประทีปแก่ผู้ปรารถนาแสงสว่างสาดส่องเป็นเตียงตั่งแก่ผู้ปรารถนาจะนั่งนอนและเป็นทาสาบ่าวรับใช้แก่ผู้ปรารถนาทาสรับใช้
๑๙. ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นแก้วจินดามณีสีสวยสด เป็นหม้อประเสริฐเลิศวิเศษ เป็นเวทมนตร์ทรงพลังอันศักดิ์สิทธ์ และเป็นยาสากลคงความยิ่งใหญ่ ขอให้เป็นต้นกัลปพฤกษ์และแม่โคนมคงความอุดมสมบูรณ์แก่สัตว์ทั้งหลาย
๒๐. เช่นเดียวกับธาตุทั้งหลายมีปฐวีธาตุเป็นต้นได้บังเกิดเป็นเครื่องบริโภคใช้สอยชนิดต่าง ๆของเหล่าสัตว์อันหาประมาณมิได้ที่อาศัยอยู่ในสากลจักรวาลทั้งสิ้น
๒๑. ดังนั้น ขอให้ข้าพเจ้าพึงเป็นอุปกรณ์เครื่องค้ำจุนสนับสนุนหมู่สัตว์ผู้ดำรงชีพอาศัยอยู่ในอากาศธาตุทั้งมวลตราบจนสรรพสัตว์ทั้งหลายจะไม่พึงไว้เนื้อเชื่อใจ (ข้าพเจ้า)
๒๒. เหมือนดั่งที่พระสุคตเจ้าในกาลเก่าก่อนทั้งหลาย ได้ทรงยึดมั่นถือเอาซึ่งโพธิจิตไว้แล้ว ในขณะเดียวกัน ขอให้สัตว์เหล่านั้นพึงยึดมั่นปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระโพธิสัตว์โดยสม่ำเสมอเถิด
๒๓. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าย่อมต้องเสริมสร้างโพธิจิตให้เกิดขึ้นเพื่อความสงบสุขของสัตว์โลกและด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าควรจะศึกษาปฏิบัติซึ่งหลักคำสอนเหล่านั้น ตามคำพร่ำสอนอย่างสมบูรณ์
๒๔. เมื่อยึดมั่นโพธิจิตอยู่อย่างนี้แล้ว ผู้มีปัญญาพึงศรัทธาเลื่อมใสเพื่อประโยชน์แห่งความสุขความเจริญเขาพึงยินดีมีความคิดอย่างนี้อีกว่า
๒๕. วันนี้ การถือกำเนิดเกิดเป็นคนขึ้นของข้าพเจ้า ย่อมมีผลสมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ของข้าพเจ้าก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมประเสริฐล้ำ ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดในสกุลวงศ์ของพระพุทธเจ้าแล้วข้าพเจ้าชื่อว่าเป็นพุทธบุตรอย่างแท้จริง
๒๖. นับแต่นี้ไป ข้าพเจ้าพึงประพฤติตัวตามกฎธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับวงศ์ตระกูลของตน ให้เป็นดุจเดียวกับที่ความเศร้าหมองด่างพร้อยไม่พึงเกิดมีแก่สกุลวงศ์อันปราศจากมลทินฉะนั้น
๒๗. โพธิจิตนี้ได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับคนตาบอดพึงได้รับแก้วมณีจากกองหยากเยื่อฉะนั้น
๒๘. ยา (คือโพธิจิต) นี้ได้เกิดขึ้นแล้วเพื่อทำลายมฤตยูแห่งสัตว์โลกให้พินาศไป เป็นขุมทรัพย์อันไม่เสื่อมสลายที่สามารถบรรเทาเบาบางความยากจนขัดสนของสัตว์โลกให้หมดไป
๒๙. โพธิจิตนี้เป็นเภสัชอันประเสริฐเลิศล้ำ ที่สามารถขจัดความเจ็บปวดรวดร้าวของสัตว์โลกให้ลดน้อยลง เป็นพฤกษาสำหรับพักผ่อนหย่อนจิตของสัตว์โลกที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จากการเดินทางตามมรรถวิถีชีวิตตน
๓๐. เพราะได้ผ่านข้ามพ้นความทนทุกข์ยากแสนลำบาก โพธิจิตนี้จึงเป็นสะพานสากลแห่งคนเดินทางทั้งปวง เป็นพระจันทร์อันส่องสว่างขึ้นกลางดวงจิต ซึ่งสามารถบรรเทาลดละสรรพกิเลสอันเร่าร้อนของสัตว์โลก
๓๑. เป็นพระอาทิตย์ดวงยิ่งใหญ่ที่กำจัดความมืดมิดคิดชั่วมั่วอวิชชาแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นเนยเหลวอันใหม่สดที่กระเพื่อมขึ้นจากการปั่นบดน้ำนมคือพระสัทธรรม
๓๒. สมาคมแห่งความสุขนี้ ที่ได้สร้างความพอใจใคร่อยากแก่เหล่าสัตว์ผู้มาถึงทั้งปวง ได้จัดตั้งตระเตรียมไว้แล้วแก่ผู้ปรารถนาต้องการสุขและโภคสมบัติ หรือแก่ปวงชนคนสัญจรที่ท่องเที่ยวไปตามมรรควิถีชีวิตตน
๓๓. วันนี้ ข้าพเจ้าขอร้องเชื้อเชิญสัตว์โลกทั้งหลาย ให้บรรลุถึงซึ่งความเป็นพระสุคตเจ้าและซึ่งความสุขสำราญ อนึ่ง ขอให้เทวดาและอสูรทั้งหลายจงได้เพลิดเพลินยินดีปรีดา ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้ทรงคุ้ม
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...