ผู้เขียน หัวข้อ: ไปพ้นความเป็นพระ ( คอลัมน์ : ดูจิตจิต )  (อ่าน 1196 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ไปพ้นความเป็นพระ

คอลัมน์: ดูจิตจิต

เรื่อง: วิจักขณ์ พานิช

หากมองไปยังชีวิตพระด้วยสายตาอย่างกัลยาณมิตร ซึ่งความเป็นมิตรคือการพูดสิ่งที่ไม่อยากได้ยินและรู้จักตักเตือนในสิ่งที่เหมาะสม อาจกล่าวได้ว่าสถานะความเป็นพระทุกวันนี้ดูจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นปัญหา ชีวิตพระเป็นชีวิตที่สุขสบายเกินไป ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถาโถมปรนเปรอชีวิตทางธรรม จนบางครั้งส่งผลให้ทางธรรมสะดวกสบายยิ่งกว่าทางโลก

พระที่เติบโตมากับความเป็นพระตั้งแต่เด็กสามารถกลายเป็น ‘พระสปอยล์’ ได้ไม่ยาก ยิ่งหากคนรอบข้างพร้อมยกชูไปในทางปอปั้นและกราบกรานกันอย่างมืดบอดด้วยแล้ว พระก็ยากที่จะมีความเป็นพระ หรือหากเป็นพระก็เป็นพระที่ถูกจองจำไปตามบทบาทหน้าที่ ไม่มีอิสระที่จะเดินตาม passion ของความเป็นพระตามแบบที่ตนกำหนด

มิงเงอร์ รินโปเช เป็นตัวอย่างของพระที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น



ท่านเป็นตุลกุรูปงาม ลามะไฮโปรไฟล์ในสายธรรมาจารย์กลับชาติมาเกิด ลูกชายคนสุดท้องของ ตุลกุ อูเจิน ธรรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ผู้คนให้ความเคารพอย่างสูง เมื่ออายุได้เพียง 36 ปี มิงเงอร์ รินโปเช ประสบความเสร็จในทุกสิ่งที่ ‘พระดี’ รูปหนึ่งพึงปรารถนา การศึกษาขั้นสูง การยอมรับและยกย่องจากชุมชนทิเบตในอินเดีย เนปาล และทิเบต เขาก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมมากมายทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา หนังสือ Joy of Living ของเขาติดอันดับหนังสือธรรมะ bestseller ในโลกตะวันตก ท่านเป็นพระหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตา มีลูกศิษย์ลูกหาสาวกรวมถึง ‘แฟนคลับ’ ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก

ตั้งแต่เล็กจนโต รินโปเชถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ในโลกแห่งธรรมะท่านคือ ‘เจ้าชาย’ แห่งสายธรรมคากิว พระโพธิสัตว์แห่งความกรุณาผู้กลับมาดำเนินภารกิจในการปลดปล่อยเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์จากทะเลแห่งความทุกข์ อีกด้านหนึ่ง มิงเงอร์ รินโปเช ก็ใช้ชีวิตแสนสะดวกสบายในอารามใหญ่ รายรอบไปด้วยคนรับใช้จำนวนมาก ในฐานะธรรมาจารย์ ท่านเป็นที่รักของศิษย์และสาวก ชีวิตในแต่ละวันถูกรายรอบด้วยผู้คนจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว รินโปเชเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้คนชาวตะวันตกตื่นเต้นกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการภาวนา ซึ่งเป็นโปรเจ็คท์ที่ท่านมีส่วนร่วมนอกเหนือไปจากการศึกษาในปรัชญาพุทธศาสนาขั้นสูง

มิงเงอร์ รินโปเช ยังใช้เวลารวมๆ แล้วกว่า 10 ปีในการเข้าฝึกภาวนาลำพัง สรุปแล้ว มิงเงอร์ รินโปเช คือพระเซเล็บชื่อดัง อีลีทชาวทิเบตผู้บรรลุความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบสำหรับภารกิจการเผยแผ่พระศาสนาอันสำคัญยิ่ง กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่ มิงเงอร์ รินโปเช ไม่เคยมีโอกาสได้ทำในชีวิตนี้เลย นั่นคือ ‘ท่านไม่เคยเป็นอิสระ’

อาจกล่าวได้ว่าตลอด 30 กว่าปีในชีวิต รินโปเชเป็นพระที่ไม่เคยบวช และการบวชในที่นี้คือการบวชจากความเป็นพระอีกทีหนึ่ง เพราะตั้งแต่จำความได้ มิงเงอร์ รินโปเช ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบทบาทความเป็นพระและอาจารย์ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด รู้ตัวอีกทีหัวใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาที่จะค้นพบความหมายที่ลึกซึ้งของการบวชที่แท้ การบวชอันหมายถึง ‘การสละสู่ป่า’ การออกเผชิญหน้ากับความไม่รู้ การเดินทางอันปราศจากจุดหมาย และการผละออกจากพื้นยืนแห่งความปลอดภัยและความเคยชินเดิมๆ

ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ความโด่งดังของรินโปเชกำลังพุ่งสูงถึงขีดสุด…เช้าวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ​. 2011 มิงเงอร์ รินโปเช หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยบนโต๊ะทำงาน มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งถูกเขียนทิ้งไว้

“ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉันมีความปรารถนาอันลึกซึ้งที่จะใช้ชีวิตเพื่อการภาวนาอย่างเข้มข้น เดินท่องไปจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งโดยไม่มีที่พำนักถาวร บัดนี้ ฉันได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ บนคำชี้แนะของเหล่าธรรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตและจากแรงปรารถนาส่วนลึกที่สุดในหัวใจของฉัน…

ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่นในสายธรรมกับแรงดลใจในการยังประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ฉันตัดสินใจที่จะออกร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมายเพียงลำพังในเทือกเขาสูงห่างไกลผู้คน…

แม้จะรู้ดีว่าไม่อาจเป็นได้อย่างครูบาอาจารย์ในอดีต ทว่าฉันขอเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้อันเป็นเหมือนภาพสะท้อนของครูบาอาจารย์เหล่านั้นเป็นการเลียนแบบอันซื่อตรงต่อตัวอย่างชีวิตอันยิ่งใหญ่ของท่านเหล่านั้น

ขอทุกคนโปรดอย่าได้ผิดหวังในการตัดสินใจครั้งนี้ของฉัน”


มิงเงอร์ รินโปเช จากไปโดยไม่เอาทรัพย์สินใดๆ ติดตัวไปด้วย ไม่มีเงิน ไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือสำหรับติดต่อ ไม่มีใครรู้ว่าท่านเดินทางไปที่ไหนและเป็นตายร้ายดีอย่างไร

การเดินทางเพียงลำพังอาจฟังดูแปลกและน่าตกใจสำหรับหลายคน ทำไมรินโปเชจึงตัดสินใจทำอะไรเช่นนั้น…ทว่าจริงๆ แล้วมันก็คือการเดินทางที่ชาวพุทธรู้จักกันดี เราเคยอ่าน เคยได้ยินกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อมันอยู่ในบริบทร่วมสมัย กับคนใกล้ชิด กับคนที่เรารู้จัก และกับคนที่เรารัก ความรู้สึกที่มีต่อการเดินทางแห่งจิตวิญญาณจึงสดใหม่ และ ‘จริง’ มาก



ดอกเตอร์โดนัลด์ โลเปซ ศาสตราจารย์ด้านศาสนศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า “ตั้งแต่การล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในทิเบต เมื่อ ค.ศ.​ 842  ลามะกลับชาติมาเกิดของทิเบตก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจากชนชั้นนำ เหล่าตุลกุการศึกษาสูงเติบโตมาแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายที่ถูกเลี้ยงมาในวัง มิงเงอร์ รินโปเช ทิ้งความสูงศักดิ์ทั้งหลายไว้เบื้องหลัง เหมือนกับที่เจ้าชายสิทธัตถะทำไว้ การตัดสินใจอันท้าทายครั้งนี้คือการย้อนกลับไปสู่รากแห่งวิถีสมณะ”

กระนั้น งักปะ เชอเกียม ลามะโยคีชาวอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตที่ต่างออกไปว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด เขาเชื่อว่า มิงเงอร์ รินโปเช จะได้รับการต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี “จะมีผู้คนที่เข้ามาช่วยเหลือและสนับสนุนเขาในทุกที่ที่ไป ปัญหาใหญ่อาจอยู่ตรงที่ จะมีคนที่เข้ามาหามากเกินไป และเขาอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการหลบหนีจากพ่อยกแม่ยกเหล่านั้น”

วิถีของพระแบบไม่ประจำวัด ผู้ใช้ชีวิตเดินท่องไปจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ถือเป็นทางเลือกที่รู้จักกันดีในอินเดีย ส่วนในทิเบตก็มีแบบอย่างของโยคีผู้ยิ่งใหญ่อย่าง มิลาเรปะ ทว่าในสังคมลามะชั้นสูงของทิเบต วิถีชีวิตเยี่ยงนั้นถูกทำให้กลายเป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น การหายตัวไปของ มิงเงอร์ รินโปเช ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ เนื่องด้วยทุกวันนี้ การเดินทางที่ลามะทิเบตใฝ่ฝันถึงมักเป็นการเดินทางข้ามวัฒนธรรมของพุทธศาสนาทิเบตสู่โลกตะวันตกเสียมากกว่า และนับวันมันก็ค่อยๆ กลายเป็นแฟชั่นอันเคยชินของการแสวงหาชื่อเสียง เสรีภาพ ความมั่งคั่ง หรือวิถีชีวิตเสรีนิยมแบบตะวันตก โดยมีธรรมาจารย์รุ่นก่อน อย่าง เชอเกียม ตรุงปะ หรือ โซกยัล รินโปเช เป็นไอดอล ทว่าพระหนุ่มอีกรุ่นอย่าง มิงเงอร์ รินโปเช กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป เขาเลือกที่จะละทิ้งชื่อเสียงเงินทอง และโอกาสมากมายที่มี สวนทางกับการเปิดเสรีสู่โลกสมัยใหม่ (ซึ่งเขามีประสบการณ์มาก่อนแล้ว) แล้วย้อนกลับไปค้นหาความดิบของ ‘จิตวิญญาณความเป็นพระ ตามแบบอย่างของธรรมาจารย์อีกกลุ่มที่ปฏิบัติตนในศีลของพระอย่างเคร่งครัด เช่น กาลู รินโปเช หรือองค์กรรมาปะ

“ในการเดินท่องไปนั้น เธอละทิ้งการยึดมั่น ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินหรือความสะดวกสบาย แต่ยังรวมถึงสิ่งที่ลึกลงไปยิ่งกว่านั้น เช่น ภาพลักษณ์หรือสถานะ หรือเป้าหมายที่แน่ชัดว่าจะไปที่ไหน ในวิถีของผู้เดินท่องไป เธอไปยังที่ที่สถานการณ์พาเธอไป เธอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และนั่นคืออิสรภาพจากเงื่อนไขทางโลกทั้งปวง ขณะเดียวกันก็สะท้อนการปล่อยวางอย่างลึกซึ้งจากการยึดมั่นทางโลกด้วย” อนาเบลลา พิตกินส์ ศาสตราจารย์ด้านศาสนศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้ศึกษาสายปฏิบัติของผู้สละสู่ป่าและโยคีผู้เดินท่องไป (renunciants/ wandering yogis) กล่าว

“จริงอยู่ที่ว่า หากไม่มีวัด ก็ไม่มีพุทธศาสนา และไม่มีความต่อเนื่อง…แต่การที่จะทำให้พุทธะมีชีวิต สายธรรมจำเป็นต้องได้รับแรงบันดาลใจจากความเป็นไปได้ที่กว้างใหญ่กว่านั้น” ในความเห็นของพิตกินส์ โยคีผู้เดินท่องไปคือต้นธารแห่งการตื่นรู้ที่สัมพันธ์อยู่กับชีวิตและสถานการณ์ที่เป็นมนุษย์ ด้วย passion และความกล้าหาญของโยคีเหล่านี้ การเดินทางของพุทธธรรมจึงแตกแขนงออกไปในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด

ในขณะที่พระชาวทิเบตที่กำลังเผยแผ่พุทธธรรมในโลกตะวันตกมีแนวโน้มจะสลัดทิ้งความเป็นพระ เพื่อใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับผู้คน…มิงเงอร์ รินโปเช นำเสนออีกทางเลือกหนึ่งของการสลัดทิ้งความเป็นพระ เดินทางออกสู่ป่า เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ทว่าในรูปแบบที่ต่างออกไป

*********************

หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากข้อมูลในเว็บไซต์สังฆะ Tergar / learning.tergar.org

บทความ ‘Mingyur Rinpoche, the millionaire monk who renounced it all’ โดย แมรี ฟินนิแกน จาก theguardian.com

จาก http://waymagazine.org/vichakonline01/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ไปพ้นความเป็นพระ ( คอลัมน์ : ดูจิตจิต )
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 12:59:02 am »


ไปพ้นความเป็นพระ (2)

เมื่อฉันป่วยหนักขนาดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคลื่อนผ่านกำแพงของการยึดมั่นต่อร่างกาย ความสะดวกสบาย จีวรของฉัน หรือกระทั่งความคิดต่อชื่อ มิงเงอร์ รินโปเช ฉันค่อยๆ ปล่อยอย่างช้าๆ ทีละสิ่ง ทีละสิ่ง …ปล่อย ปล่อย ปล่อย และปล่อย สุดท้ายฉันก็ปล่อยกระทั่งตัวฉันเอง คิดในใจว่า “ถ้าฉันกำลังจะตาย โอเค…ถ้าหากฉันตายตรงนี้ ไม่มีปัญหา” ณ วินาทีนั้น ฉันไม่มีความกลัวหลงเหลือ…

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2015 ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบสี่ปีครึ่ง หลังจากวันที่ มิงเงอร์ รินโปเช หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีข่าวว่าธรรมาจารย์ชาวทิเบตท่านนี้กลับมาจาก wandering retreat แล้ว และนี่คือบทสนทนาแรกที่มีกับศิษย์ใกล้ชิดของเขา

รินโปเช อะไรดลใจให้ท่านเกิดความคิดที่จะเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนเหมือนเหล่าสาธุอินเดียและเข้าฝึกภาวนาตามถ้ำในเทือกเขาหิมาลัย

ในชีวิตของฉันที่เป็นพระ ฉันเคยเข้าฝึกรีทรีทสามปีมาแล้ว ทว่าตั้งแต่เด็ก ฉันมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะทำรีทรีทแบบเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ฉันชอบภูเขา ฉันชอบถ้ำ และฉันก็ได้รับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่จากผู้ฝึกปฏิบัติในอดีต และครูของฉัน อย่าง โนชุน เค็น รินโปเช ก็เคยทำรีทรีทในลักษณะนี้มาแล้ว

ทำไมท่านไม่บอกใครเลยว่ามีแผนที่จะทำอะไรแบบนี้

พ่อของฉัน ตุลกุ อูเจ็น รินโปเช เคยบอกว่า ท่านเองก็เคยอยากทำรีทรีทแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อใดที่พยายามทำก็จะมีศิษย์ขอร้องให้ท่านกลับมา อีกทั้งครูของท่านก็จะขอให้ท่านอยู่ทำหน้าที่ที่วัด พ่อบอกฉันว่า ถ้าอยากทำอะไรแบบนั้นจริงๆ ก็ให้ทำเลยโดยไม่ต้องบอกใคร “อย่าบอกใครว่าจะไปทำอะไร จนกว่าเจ้าจะกลับมา”

แล้วเป็นอย่างไรบ้าง กับการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากธรรมาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ผู้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายในอารามใหญ่ ไปสู่ความเป็นสมณะเร่ร่อน สาธุจรจัดที่ไม่มีใครรู้จักบนท้องถนนในอินเดีย

ฉันมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะใช้ชีวิตบนท้องถนน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นออกจะเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาอยู่ไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้ในทันที ฉันต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานเลยทีเดียว การสละตัวตนความเป็นพระนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าคือการละทิ้งความปรารถนาต่อความสะดวกสบาย อาหาร หรือปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ กระทั่งความปรารถนาที่จะได้รับความปลอดภัย มันถือเป็นหนทางที่ดีในการฝึกกับการปล่อยวาง

อยากให้ท่านเล่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเดินทางครั้งนี้

จริงๆ แล้วมันคือประสบการณ์ใกล้ตาย ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่ฉันเริ่มต้นรีทรีทได้ไม่นานนัก ตอนนั้นฉันอยู่ที่เมืองกุสินารา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ฉันป่วยมาก มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียอย่างรุนแรง วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ย่ำแย่มากๆ และฉันค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองกำลังจะตาย

เมื่อฉันป่วยหนักขนาดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคลื่อนผ่านกำแพงของการยึดมั่นต่อร่างกาย ความสะดวกสบาย จีวรของฉัน หรือกระทั่งความคิดต่อชื่อ มิงเงอร์ รินโปเช ฉันค่อยๆ ปล่อยอย่างช้าๆ ทีละสิ่ง ทีละสิ่ง …ปล่อย ปล่อย ปล่อย และปล่อย สุดท้ายฉันก็ปล่อยกระทั่งตัวฉันเอง คิดในใจว่า “ถ้าฉันกำลังจะตาย โอเค…ถ้าหากฉันตายตรงนี้ ไม่มีปัญหา” ณ วินาทีนั้น ฉันไม่มีความกลัวหลงเหลือ…

ตอนนั้นฉันรู้สึกได้ถึงภาวะการสลายของขันธ์ 5 ดังที่เขียนไว้ในคัมภีร์ และเริ่มหมดความรู้สึกต่อร่างกายในเชิงกายภาพ จากนั้นก็มีประสบการณ์ที่มหัศจรรย์เกิดขึ้น ไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ ไม่มีหลักการ ไม่มีรูปนาม จิตกระจ่างใสและตื่น เหมือนท้องฟ้าสีคราม ที่มีพระอาทิตย์ส่องสว่าง กระจ่างใสและแผ่ซ่าน มันเป็นประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

จากนั้นถึงจุดหนึ่ง ฉันก็เกิดความคิดขึ้นว่า “โอเค นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ฉันจะตาย” ซึ่งสำหรับฉันมันดูจะเกี่ยวข้องกับกรุณาจิต แล้วฉันก็รู้สึกถึงร่างกายได้อีกครั้ง ฉันจึงลืมตา จากนั้นก็ทรงตัวขึ้นเพื่อไปดื่มน้ำ ทันใดนั้นฉันก็หมดสติและล้มลง ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในคลินิกหมอแห่งหนึ่งในเมืองนั้น พร้อมสายน้ำเกลือ วันต่อมาฉันก็รู้สึกดีขึ้น จึงออกจากคลินิกแห่งนั้น



จากนั้นเกิดอะไรขึ้น

หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น จิตของฉันรู้สึกสดชื่นมาก และฉันรู้สึกว่าการภาวนาของฉันพัฒนาขึ้น ฉันสามารถชื่นชมพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ แรงต่อต้านขัดขืนทั้งหลายหายไป และฉันรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งรอบๆ ตัว ฉันสามารถไปเดินบนท้องถนนและรื่นรมย์กับทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นฉันก็ไม่ประสบกับปัญหาใหญ่อะไรอีกเลย

แล้วหลายปีต่อมาท่านทำอะไรบ้าง

ในช่วงฤดูร้อน ฉันจะเดินเท้าไปยังแถบเทือกเขาหิมาลัย ไปยังสถานที่จาริกของชาวพุทธ อย่าง โซ เพม่า และลาดัก ส่วนในช่วงฤดูหนาว ฉันก็เดินลงมายังแถบที่ราบ และใช้เวลาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธและชาวฮินดู ทั้งในอินเดีย และบริเวณใกล้ชายแดนเนปาล

สิ่งที่ดีที่สุดคือฉันสามารถเดินทางอย่างอิสระ โดยไม่ต้องมีคำมั่นสัญญาหรือตารางใดๆ มันเป็นความรู้สึกของอิสรภาพโดยสมบูรณ์ เหมือนนกที่โผบินบนท้องฟ้า แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างปราศจากความกลัวเสียเลยทีเดียว ฉันไร้บ้าน และหลายครั้งที่เงินติดตัวเริ่มร่อยหรอ ฉันต้องออกเดินขอทาน บ้างก็มีคนให้เศษเงินหรืออาหารแก่ฉัน บ้างก็ไล่ตะเพิดฉันให้ไปพ้นๆ

ฉันรักษาการฝึกภาวนาให้เรียบง่ายที่สุด ไม่มีพิธีกรรมอะไรที่ซับซ้อน ฉันถือคัมภีร์ติดตัวไปแค่เล่มสองเล่มเท่านั้น ในถ้ำที่ฉันเข้าฝึก ไม่มีแท่นบูชาหรือพระพุทธรูป มันเรียบง่ายมากๆ


ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว ประสบการณ์ช่วงสี่ปีนี้จะเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารธรรมะของท่านอย่างไรบ้าง

ฉันอยากสอนแบบสื่อถึงประสบการณ์ตรงให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การฝึกจิตหรือเทคนิคการภาวนา แต่รวมถึงการใช้ชีวิตและศีลด้วย ฉันมองว่าสำคัญมากที่ ศีล สมาธิ และปัญญา จำเป็นต้องไปด้วยกัน แต่ก่อนฉันอาจมุ่งเน้นแต่เรื่องของปัญญาและสมาธิ ทว่าตอนนี้ฉันอยากจะเน้นย้ำถึงหนทางที่สมาธิภาวนาแปรเปลี่ยนไปสู่กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ปัญญา หัวใจ และการประพฤติตน สามอย่างต้องไปด้วยกัน

การฝึกรีทรีทแบบเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมายครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันฝึกภาวนามาหลายปี และแน่นอน ฉันยังเป็นครูสอนภาวนาอีกด้วย ทว่าฉันยังคงมีความทะนงตนอยู่ลึกๆ เป็นตัวตนที่ลึกลงไป และจากประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันรู้สึกเป็นอิสระเหมือนกับนกที่สยายปีกโผบินขึ้นไปในท้องฟ้า

ฉันรู้สึกเป็นอิสระและสามารถบินไปได้ทุกที่
ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ฉันบินได้จริงๆ หรอกนะ (หัวเราะ) อย่ามโนว่าอาจารย์ของเธอภาวนากระทั่งเหาะได้ โอเคไหม


แปลและเรียบเรียงจาก:
‘Mingyur Rinpoche reveals what happened during his four years as a wandering yogi‘ ในวารสาร Lion’s Roar มกราคม 2016

จาก http://waymagazine.org/vichak02/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...