ผู้เขียน หัวข้อ: “ประตู ๓ บาน เพื่อการหลุดพ้น” ธรรมบรรยายโดย ท่าน ติช นัท ฮันห์  (อ่าน 1899 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
นี้เป็นบทความในนิกายเซ็นนะคะ
แต่ว่าพออ่านแล้วรู้สึกสามารถสัมผัสบางอย่างได้ในบทความนี้เลย

เป็นธรรมบรรยายโดยท่านติช นัท ฮันห์
“ประตู ๓ บาน เพื่อการหลุดพ้น”



ความว่าง/สุญญตา(emptiness)

เมื่อเธอมองเข้าไปในดอกไม้นี้ เธอเห็นว่าจักรวาลทั้งหมดรวมกันอยู่ในดอกไม้นี้ และเธอจะสัมผัสกับจักรวาลในดอกไม้นี้ได้ ดอกไม้เต็มไปด้วยจักรวาล เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง มีความว่างจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือว่างจากการที่มีตัวตนแยกออกมาเป็นอิสระ นั่นคือความหมายของคำว่าความว่างหรือสุญตา ความว่างในที่นี้หมายถึงเป็นความว่างที่เป็นอิสระจากการแยกตัวตนออกมาอย่างโดดเดี่ยว เป็นความว่างที่ไม่มีตัวตน ไร้อัตตา เมื่อเราชี้ให้เด็กๆ เห็นต้นข้าวโพด เราก็ชี้ให้เด็กๆเห็นเมล็ดข้าวโพดด้วย ให้เด็กๆเห็นว่าต้นข้าวโพดประกอบขึ้นมาได้ก็เพราะมีเมล็ดข้าวโพด ต้นข้าวโพดก็คือการสืบเนื่องจากเมล็ดข้าวโพด ถ้าลูกชายมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในร่างกายของเขา เขาจะตระหนักรู้ได้ว่าคุณพ่อก็อยู่ในตัวเขาด้วย ข้างซ้ายไม่อาจที่จะอยู่ตรงนั้นโดยปราศจากข้างขวา ดอกบัวไม่อาจที่จะอยู่ตรงนั้นโดยปราศจากโคลนตม ลูกชายก็ไม่อาจที่จะอยู่ตรงนั้นถ้าปราศจากคุณพ่อ และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ลูกชายทำเพื่อลดความทุกข์ให้น้อยลง ลูกชายไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ลูกชายกำลังทำเพื่อคุณพ่อด้วย

เรามักจะคิดอยู่เสมอว่าคุณพ่อเป็นสิ่งหนึ่ง ลูกก็เป็นสิ่งหนึ่ง ทั้งตัวคุณพ่อและลูกชายไม่มีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เราบอกเด็กๆว่าเมื่อเธอมองไปที่ต้นข้าวโพดน้อยๆ เธอจะเห็นเมล็ดข้าวโพดอยู่ในต้นข้าวโพด ต้นข้าวโพดไม่สามารถที่จะอยู่แยกออกมาจากเมล็ดข้าวโพด และเมล็ดข้าวโพดก็ไม่ได้แยกส่วนออกมาจากต้นข้าวโพด เพราะฉะนั้นเมื่อลูกชายมีความทุกข์ คุณพ่อที่อยู่ในตัวลูกชายก็มีความทุกข์ด้วยในเวลาเดียวกัน และเมื่อคุณพ่อมีความทุกข์ ลูกชายที่อยู่ในตัวคุณพ่อก็มีความทุกข์ด้วยในเวลาเดียวกัน เธอไม่สามารถที่จะถอดถอนคุณพ่อที่อยู่ในตัวเธอออกไป ความสุขของเธอก็คือความสุขของคุณพ่อ ความทุกข์ของเธอก็คือความทุกข์ของคุณพ่อ เพราะฉะนั้นคุณพ่อและลูกชายเป็นดั่งกันและกัน เชื่อมโยงสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อยู่ในกันและกัน

เมื่อหลวงปู่อายุ ๑๖ ปี ยังเป็นสามเณรอยู่ พระอาจารย์สอนการกราบพระพุทธเจ้าและสอนให้หลวงปู่ท่องจำกลอนคาถาบทหนึ่ง เมื่อกราบพระพุทธรูปจะต้องหายใจเข้า หายใจออก และกล่าวบทคาถานั้น การกล่าวบทกลอนนั้นก็จะนำมาซึ่งปัญญาแห่งการรู้แจ้งแห่งการเป็นดั่งกันและ ถ้าเราไม่มีปัญญารู้แจ้งแห่งการเป็นดั่งกันและกันนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะสัมผัสกับพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง
ผู้กราบและผู้รับกราบ มีธรรมชาติแห่งความว่างอย่างแท้จริง

ดังนั้นการสื่อสารระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นไปอย่างลึกซึ้ง หมายความว่าเรากล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธองค์ที่รัก ลูกรู้ดีว่าลูกประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เป็นตัวลูกเอง ธรรมชาติของลูกก็คือความว่าง พระพุทธเจ้าที่รัก พระองค์ก็ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบที่ไม่ใช่พระองค์ เราทั้งสองไม่ได้มีตัวตนที่แยกออกมาจากกันเลยทั้งผู้กราบและผู้รับกราบ ท่านอยู่ที่นั่นแต่ท่านก็อยู่ในตัวลูกด้วย ลูกอยู่ที่นี่แต่ลูกก็อยู่ในตัวท่านด้วย ลูกก็เป็นองค์ประกอบที่ไม่ใช่พระพุทธองค์ ลูกจึงอยู่ในตัวพระพุทธองค์ด้วย ด้วยการพิจารณาทำสมาธิเช่นนี้จะทำให้เราเห็นความว่างของทั้งสองฝ่าย เธอจะเห็นตัวเธออยู่ในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์อยู่ในตัวเธอ ปัญญารู้แจ้งเช่นนี้จะทำให้เราสามารถสื่อสารต่อกันได้ มิฉะนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็คงเป็นเพียงพระพุทธเจ้า ฉันก็เป็นฉัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีการสื่อสารกันอย่างแท้จริง ด้วยปัญญารู้แจ้งของความว่างหรือสุญตา สามารถที่จะถอดถอนเครื่องกีดขวางต่างๆที่มีอยู่ในตัวเราและทำให้เราเป็นอิสระ ในพุทธศาสนามหายาน มีคำสอนออกมามากมายที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของความว่างหรือสุญตา สอนเกี่ยวกับการทำสมาธิกับความว่าง



การไร้เครื่องหมาย ไร้สัญลักษณ์ (signlessness)

จะช่วยให้เราถอดถอนความกลัว ความโกรธ ความสิ้นหวังต่างๆ คำสอนนี้จะช่วยให้เราถอดถอนความเศร้าโศกของการสูญเสีย ถ้าเรามีคนที่เรารักที่เพิ่งสูญเสียไป ไร้เครื่องหมาย ไร้สัญลักษณ์คืออนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย เราทราบว่าก้อนเมฆไม่อาจตายได้ ก้อนเมฆเพียงแต่แปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฝน กลายเป็นหิมะ ฉะนั้นเมื่อเธอไม่เห็นก้อนเมฆอยู่บนท้องฟ้า โปรดอย่าร้องไห้ อย่าคิดว่าก้อนเมฆนั้นสูญหายไป ก้อนเมฆนั้นแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฝน เธอจะเห็นการปรากฏขึ้นใหม่ของก้อนเมฆในสายฝนนั้นได้ ในระหว่างที่เธอกำลังร้องไห้ที่ก้อนเมฆหายไปจากท้องฟ้า ก้อนเมฆก็กำลังเรียกเธอ ทักทายเธอว่า “ที่รัก ที่รัก เธอไม่เห็นฉันหรือ ฉันแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่แล้ว ฉันเป็นสายฝนแล้ว” ก้อนเมฆอยู่ในสายฝน เมื่อเธอดื่มน้ำชาอย่างมีสติ เธอก็จะเห็นว่าก้อนเมฆนั้นอยู่ใกล้เธอมาก ก้อนเมฆอยู่ในน้ำชา เราจึงควรทำสมาธิเพื่อที่จะไม่ยึดติดในรูปร่าง ในเครื่องหมาย ในสัญลักษณ์ ในรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อเราฝึกปฏิบัติทำสมาธิกับการไม่ยึดติดอยู่ในรูปร่าง รูปลักษณ์เหล่านี้ เราจะไม่กลัวต่อการสูญเสีย ต่อความตาย เพราะเราเป็นอิสระจากการยึดติดอยู่ในรูปลักษณ์ต่างๆ

การทำสมาธิกับการไร้เครื่องหมาย รูปลักษณ์ เมื่อเราทำสมาธิ มองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในตัวลูกชายลูกสาวของเรา เราจะเห็นว่าเราก็อยู่ในตัวลูกชายลูกสาวของเรา เราเห็นบรรพบุรุษที่ยังอยู่ในตัวลูกชายลูกสาวของเรา บรรพบุรุษของเราไม่เคยตายจากไปไหนเลย ท่านสืบเนื่องอยู่เสมอในตัวเราและในรูปแบบอื่นๆ เพราะฉะนั้นการทำสมาธิกับการไร้รูปหมายสัญลักษณ์นี้จะทำให้เราเป็นอิสระจากกิเลสที่เกี่ยวข้องกับความสิ้นหวัง การสูญเสีย ความกลัว และการฝึกทำสมาธิกับการไร้จุดมุ่งหวัง จะช่วยทำให้เรามีความสุขได้ในทันทีทันใด เราไม่ต้องวิ่งหาความสุขในอดีต เราจะมีความสุขอยู่กับปัจจุบันขณะ



การไร้จุดมุ่งหวัง(aimlessness)

ดอกกุหลาบนั้นสวยอยู่แล้ว เป็นสุขอยู่แล้ว กุหลาบไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้กลายเป็นดอกบัวหรือดอกเบญจมาศ เพื่อจะสวยยิ่งขึ้น เธอไม่จำเป็นต้องเป็นใครอีกคนเพื่อจะมีความสุข เธอไม่จำเป็นที่จะต้องกลายเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะเป็นอิสระและมีความสุข เธอมีเมล็ดพันธุ์แห่งการตรัสรู้ การตื่นรู้ ความรัก ความเมตตากรุณาอยู่ในตัว ถ้าเธอหมั่นรดน้ำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ยอมให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นได้รับการรดน้ำ เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็จะเบ่งบาน เธอจะตื่นรู้และมีความสุขได้ในทันทีทันใด ณ ที่นี่และในขณะนี้ เมื่อเรามีปัญญารู้แจ้งกับการทำสมาธิโดยไร้จุดมุ่งหวังเช่นนี้ เราก็จะหยุดวิ่งตามความอยาก เราจะกลับมามีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมในปัจจุบันขณะ

ติช นัท ฮันห์

จากธรรมบรรยาย ภาวนาครอบครัว: เราคือหนึ่งเดียว
๑๗ เมษายน ๒๕๕๖

http://www.thaiplumvillage.org/index.php?option=com_content&view=article&id=256:2013-07-25-06-44-19&catid=8:2011-01-18-05-20-02&Itemid=13

https://dhammaway.wordpress.com/2013/10/19/zen-thich-nhat-hanh/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...