ผู้เขียน หัวข้อ: โจอี้ บอย… ผู้ชายมาดร้ายกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ  (อ่าน 993 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



โจอี้ บอย… ผู้ชายมาดร้ายกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ

คงมีคนไม่มากนักที่รู้จักผู้ชายชื่อ “อภิสิทธิ์  โอภาสเอี่ยมลิขิต”

แต่หากเปลี่ยนมาเป็น “โจอี้ บอย” หลายคนคงร้องอ๋อ  เพราะเขาเป็นแร็พเปอร์คนแรกๆ ของประเทศ  ที่อัลบั้ม Fun Fun Fun ของเขามียอดขายเกินล้านชุด  นอกจากนั้นเขายังได้ทำในสิ่งที่คนจำนวนมากใฝ่ฝัน  อย่างการเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติ  หรือล่าสุดคือการเป็นโค้ชนักปั้นศิลปินในรายการ The Voice Thailandซึ่งผู้ชมทั่วประเทศต่างติดอกติดใจในความฮาปนห่ามและความกวนปนเก๋าสไตล์แบดบอยของเขา

หลังจากที่เขากดปุ่ม “I Want You”เลือกคนเข้าทีมมานักต่อนัก  คราวนี้ถึงเวลาที่ Secret จะ “กดปุ่ม” เลือกหนุ่มมาดกวนคนนี้มาพูดคุยส่งท้ายปีกันบ้าง  เรามาดูว่าภายใต้แว่นดำและเรียวหนวดกวน ๆ อันคุ้นตานั้น…เขาจะมีอะไรมาเซอร์ไพร้ส์ผู้อ่าน!
 

ในฐานะที่อยู่วงการเพลงมานานคุณมองเวทีการแข่งขันต่างๆที่เป็นโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างไรครับ

มองได้หลายแง่นะครับ  แง่หนึ่งต้องบอกว่าเส้นทางสู่ดวงดาวสั้นลง  แล้วก็ง่ายดายขึ้นมาก  แต่ในอีกแง่หนึ่ง  แต่ละคนก็ต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า  โดยรวมแล้วถือเป็นเรื่องดีนะครับ  ทำให้คุณภาพศิลปินรุ่นใหม่ดีขึ้นและเก่งขึ้นมาก  โดยที่ไม่ต้องลำบากเหมือนเราในสมัยก่อน  ที่ไปเล่นสเกตบอร์ดกันที่ไหนมีแต่คนไล่  แต่ปัจจุบันห้างร้านต่าง ๆแทบจะแย่งกันเป็นสปอนเซอร์ขอให้ช่วยมาเล่นตรงนี้หน่อยเถอะ  เพื่อสร้างจุดสนใจให้กับห้าง
 

ช่วยเล่าเรื่องราวของเด็กที่ชื่อ “โจ้”  ก่อนที่เขาจะมาเป็น “โจอี้บอย” สักเล็กน้อยสิครับ

ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กวัดครับ  แต่ไม่ได้อยู่วัดหรอกนะ แค่เรียนโรงเรียนวัดตั้งแต่ประถม  คือโรงเรียนวัดพลับพลาชัยกับโรงเรียนวัดราชาธิวาส  จึงได้รับการปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก  และทำให้ผมท่องบทสวดมนต์ได้เกือบหมด  จนถึงวันนี้ก็ยังท่องได้อยู่  การได้สวดมนต์และได้ฟังเสียงสวดมาเยอะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแร็พของผม  อย่างเช่นในส่วนของเมโลดี้การสวด  ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียกกันว่า Chantซึ่งทางยุโรปจะชอบวิธีการร้องแบบนี้กันมาก
 

แล้วเด็กโรงเรียนวัดเริ่มเข้าสู่แวดวงสเกตบอร์ดได้อย่างไรครับ

ผมเริ่มเล่นสเกตฯช่วงอายุประมาณ13 - 14 ปี  ก่อนหน้านั้นผมเล่นฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ทีมลีโอ  เป็นทีมชาติจูเนียร์ แต่หลังจากที่ตัวเริ่มโต  รองเท้าฮอกกี้เริ่มคับ  ผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่ไปซื้อรองเท้าใหม่ ซึ่งราคาแพงมาก  คู่ละเป็นหมื่น  ผมเลยผันตัวเองไปเล่นสเกตบอร์ดแทน
 

จุดเปลี่ยนเกิดจากเรื่องรองเท้าคับแค่นั้นเองหรือครับ

ใช่ครับ  แจ๋วไหมล่ะ (หัวเราะ)  แถมก่อนหน้านั้นก็ไม่มีความพิศวาสอยากเล่นสเกตฯเลยนะ  แต่ความที่บ้านผมอยู่ติดกับร้านขายสเกตบอร์ด  เดินผ่านทุกวันจนเกิดความรู้สึกว่า  อ่ะ  ไหน ๆ ก็เล่นฮอกกี้น้ำแข็งไม่ได้แล้ว  ก็ซื้อสเกตบอร์ดมาเล่นแล้วกันปรากฏว่าติดหนึบเลย  ผมเล่นสเกตบอร์ดด้วยความรักความพิศวาสอยู่เป็นสิบปี  เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วผมเข้าใจทันทีว่า  เวลาวัยรุ่นหาสิ่งที่ชอบเจอ เขาจะติดอยู่กับสิ่งนั้นมาก เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวของชีวิต แล้วจากนั้นจะค่อย ๆ พัฒนาไปถึงจุดที่อยากให้คนยอมรับในสิ่งที่เราชอบและพยายามต่อยอดไปถึงความสำเร็จให้ได้



คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนด้วยไหมครับ

คุณแม่จะตามใจและสนับสนุนผมตลอด  พยายามเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเสมอพยายามหาเงินส่งเราไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ  ส่วนคุณพ่อจะคอยดุแล้วก็ปรับเราให้อยู่กับร่องกับรอย  ผมจึงโตมาโดยการเลี้ยงดูที่มีทั้งสปอยล์และอยู่ในกรอบ

ครอบครัวคาดหวังจากลูกชายคนนี้มากไหมครับ

เขาก็คาดหวังกันนะครับ  เพราะผมเป็นหลานคนโตในตระกูลคนจีน  ตอนเด็ก ๆได้อยู่แต่ในอู่รถยนต์ซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านถูกใช้ให้ไปซื้อของ  บางทีพ่อก็ให้ลองล้างคาร์บูเรเตอร์  มืองี้ดำปี๋  ผมเลยไม่เคยชอบอะไรเกี่ยวกับรถเลย

แล้วคุณพ่อทราบไหมครับว่าลูกชายคงไม่รับช่วงกิจการต่อแน่นอน

เขารู้อยู่แล้วครับว่าผมไม่เอา  และคงเป็นห่วงอยู่บ้าง  เพราะผมเรียนไม่เก่งธุรกิจก็ไม่เอา  แต่พ่อแม่คงเห็นว่าผมน่าจะเอาตัวรอดได้  ก็เลยลองวัดใจกับเราดู  ท่านให้ผมลองทำหลายอย่าง  ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่ามาก อย่างแม่เขาทำธุรกิจอัญมณีเล็ก ๆเลยส่งผมไปฝึกงานออกแบบอัญมณีที่โรงงานญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ ม. 3  ปิดเทอมผมต้องฝึกงานที่ออฟฟิศทั้งวัน  ถามว่าชอบไหม  ก็ชอบกว่าล้างคาร์บูฯ  แต่ไม่ได้ชอบจริง ๆ  แค่ชอบที่ได้นั่งห้องแอร์สบาย ๆ เท่านั้น

ถึงผมจะเป็นแบบนี้  แต่ถามว่าผมเคยใจแตกหรือเสี่ยงกับการเสียอนาคตไหมตอบได้เลยว่าไม่เคย  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำพ่อแม่ก็อยู่ตรงนั้นเสมอ  เรื่องหนีออกจากบ้านนี่ไม่เคยมีอยู่ในหัว  ทะเลาะกับพ่อแม่ก็ไม่เคย  คือผมเชื่อเสมอว่ามีวิธีการที่ดีกว่านั้น  พอเห็นคนอื่นทำ  ผมยังคิดเลยว่าเขาจะทำอย่างนั้นทำไมวะ สำหรับผม  การทะเลาะกับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดที่สุดสองคนนี้คือสองคนสุดท้ายที่เราควรจะทะเลาะด้วยเลยนะโว้ย  ทำไมเด็กคนอื่นไม่รู้จักวิธีการดีลกับพ่อแม่เขาวะ  ถ้าเป็นผม  ผมจะคุยด้วยเหตุผล

อย่างตอนจบ ม. 6 เพื่อนสนิทผมที่อยู่ฮ่องกง  เขาชวนไปเล่นสเกตบอร์ดที่นั่นผมอยากไปมาก  ทำไงดีวะ  ก็คิดโครงการไปเสนอพ่อว่าจะไปซื้อเสื้อมาขาย  วางแผนเป็นเรื่องเป็นราวว่าต้องขายกี่ตัวถึงจะได้ค่าตั๋วเครื่องบิน  คิดเรียบร้อยแล้วถึงส่งแผนให้พ่อดู  แม่ก็มาช่วยเชียร์  ปรากฏว่าโอเค  ผ่าน…ได้ไป

ผมดีลกับพ่อแม่แบบนี้มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต  รวมถึงกรณีที่ผมขอเลิกเรียนเพื่อไปเป็นนักร้องด้วย  คือเราต้องสร้างความมั่นใจให้เขาเสียก่อนว่าเราทำได้  แล้วหลังจากนั้นการจะคิดอ่านทำอะไร  ท่านก็จะเชื่อมั่นและสนับสนุนเรา  ตอนนี้นอกจากดูแลพ่อแม่แล้ว  การทำให้พ่อแม่มั่นใจและแฮ็ปปี้ในตัวเราก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตผมมาตลอด  ไม่ว่าจะทำอะไร  ผมจะคิดก่อนเลยว่า  ถ้าพ่อกับแม่รู้แล้วเขาจะแฮ็ปปี้หรือเปล่า  ถ้าไม่แฮ็ปปี้  ผมไม่ทำ  ซึ่งเท่าที่สังเกตดู  เขาก็แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนะครับ  อาจจะไม่แฮ็ปปี้อยู่เรื่องเดียวคือยังไม่แต่งงานสักที (หัวเราะ)  เพราะตอนนี้น้องสาวผมก็แต่งงานมีลูกไปแล้ว



ทุกวันนี้คุณมองผู้ชายที่ชื่อ “โจอี้ บอย” อย่างไรบ้าง

โจอี้  บอย ถือเป็นพาร์ตหนึ่งของชีวิตผม  เป็นอาชีพของผม  แล้วผมก็ยังคงสนุกสนานกับอาชีพที่เป็นโจอี้  บอย  ทุกวันนี้การทำเพลงไม่ใช่งานสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว  แต่เป็นเหมือนความสนุกสำหรับผมกับแฟนเพลงมากกว่า

ต้องยอมรับว่าชื่อโจอี้  บอย ส่งผลให้เราได้ทำหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การร้องเพลงอีกต่อไป  ไม่ว่าจะเป็นทำค่ายเพลง  โปรดิวเซอร์  พระเอกหนัง  ผู้กำกับภาพยนตร์  หรือว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติ ผมคิดมาตลอดว่า  เรามีโอกาสได้มายืนตรงนี้และมีคนคอยเฝ้าดู  ฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี  เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตไปจนถึงทุกสิ่งที่ทำ  ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเห็นว่า  คนเราทำได้ทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน  ซึ่งผมพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วว่า ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ  ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้  ถ้าปีที่หนึ่งยังไม่เห็นผล  ก็ขอให้ตั้งใจต่อในปีที่สอง  ปีที่สาม  หรือปีที่สี่  มันต้องเห็นผลแน่นอน
 

คุณมีคติประจำใจไหมครับ

คติที่ผมใช้มาตลอดคือ “ขึ้นให้สุดลงให้สุด”  เพราะสำหรับผม  คนเราเกิดมาครั้งเดียว  ตายครั้งเดียว  ดังนั้นถ้าอยากทำอะไรก็จงทำซะ  ทำให้เต็มที่      แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ 
 

Secret Box

คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน

โจอี้  บอย

 

เรื่อง พีรภัทร  โพธิสารัตนะ www.facebook.com/peerapat.secret
ภาพปกและภาพประกอบ วรวุฒิ  วิชาธร  ผู้ช่วยช่างภาพ สรยุทธ์  พุ่มภักดี,  จรัส  มณีล้อมรัตน์ 
สไตลิสต์ รุจิกร  ธงชัยขาวสอาด  ผู้ช่วยสไตลิสต์ วรัญญา  อิสระโคตร,  ภัสสร  สุขสม



จาก http://www.secret-thai.com/article/2954/17112558-2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...