ผู้เขียน หัวข้อ: แม้แต่ "พญานาค" ยังยอม สาธุ! บารมี"หลวงปู่ชอบ"ห้ามศึกพญานาค !!!  (อ่าน 1296 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เล่าเรื่อง "สงครามพญานาค"

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย ได้เล่าเรื่อง "สงครามพญานาค" โดยมี พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท เป็นผู้จดบันทิึกไว้ เมื่อวันที่ ๗ กุมพาภาพันธ์ ๒๕๓๕ โดยมีเรื่องพญานาคเรื่องหนึ่ง ที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เล่าให้ฟัง เป็นเรื่องพญานาคที่แปลกกว่าทุกเรื่อง ส่วนมากถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพญานาค หลวงปู่ท่านจะบอกพญานาคที่นั่นที่นี่มาขอฟังธรรมกับท่าน พญานาคจำแลงร่างเป็นมนุษย์มาใส่บาตรให้กับท่านหรือพญานาคอันธพาลมาแสดงเดชฤทธิ์กับท่านเป็นต้น แต่เรื่องพญานาคที่หลวงปู่เล่าให้ฟังตอนนี้เป็น เรื่องของพญานาคทำสงครามนาคายุทธกัน ซึ่งเป็นเรื่องพญานาคที่ประหลาดกว่าทุกเรื่องที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง..

ท่านบอกเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี  ๒๕๐๘... ซึ่งเป็นปีแรกที่หลวงปู่ชอบมาสร้าง "วัดป่าม่วงไข่" บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ท่านว่าสมัยสร้างวัดป่าม่วงไข่ใหม่ๆนั้น พระเณรเวลาสรงน้ำตักน้ำจะต้องพากันเดินลงเขาทางด้านหลังศาลาหลังเก่าของวัดป่าม่วงไข่ ทางลงไปจะลึกลาดชันเวลาขึ้นลงแต่ละครั้งพระเณรต้องอาศัยเกาะกิ่งไผ่ลงไป ถ้าเผอเรอเมื่อไหร่เป็นได้กลิ้งกะโค่โร่ลงไปข้างล่างทันที..

หลวงปู่ชอบเห็นถึงความลำบากของลูกศิษย์ เวลาลงไปตักน้ำท่านจึงบอกพ่อเชียงหมุนให้มาตัดต้นไผ่เพื่อทำทางลงไปสรงน้ำให้กับพระเณร ราวสองทุ่มคืนเดียวกันขณะหลวงปู่ชอบท่านกำลังจะไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่กุฏิ ท่านได้ยินเสียงคนพูดคุยกันผ่านกุฏิของท่านไปทางด้านหน้าวัด ท่านคิดในใจว่าค่ำมืดตืดตาป่านนี้แล้วยังจะมีโยมมาวัดอยู่อีกหรือ เสียงพูดกันก็ดังคึกคะนองแบบคนหนุ่ม ท่านจึงกำหนดดูถึงที่มาของต้นเสียง ท่านเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆหกคนเดินคุยกันไปทางหน้าวัดป่าม่วงไข่ ชายหกคนนี้คุยกันว่าจะไปเที่ยวเล่นจีบสาวนาคีที่เมืองเชียงคาน ท่านจึงรู้ว่าชายหนุ่มกลุ่มนี้เป็นลูกหลานของพญานาคภูผาหมานจำแลงร่างขึ้นมาเที่ยวเล่นจีบสาวนาคีแม่น้ำโขง ..

หลังจากนาคาหนุ่มกลุ่มนี้ไปแล้ว ท่านก็นั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่กุฏิ ขณะที่หลวงปู่ชอบท่านกำลังสวดมนต์บทเมตตายังกิญจิฯ อยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงคนไล่ตีกันดังลั่นมาจากทางหน้าวัด ท่านจึงหยุดสวดมนต์กำหนดดูเหตุการณ์ ท่านเห็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ไล่ตีชายหนุ่มหกคนที่ท่านเห็นเมื่อตอนหัวคืน ชายหนุ่มทั้งหกวิ่งผ่านกุฏิท่านไป แล้วกระโดดลงเขาหายเข้าไปในบ่อน้ำซับหลังศาลาเก่าของวัดป่าม่วงไข่ ฝ่ายชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ที่ไล่ตีกันมาพอเห็นหลวงปู่ชอบ พวกเขาจึงพากันหยุดไล่ร้องบอกกันว่า "พระ ๆ" ทุกอย่างที่พญานาคแสดงออกในขณะนั้น ท่านบอกเหมือนกันกับมนุษย์เราทุกอย่างเลย..

หลวงปู่ถามพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้ว่า  "เพราะอะไรถึงต้องได้ไล่ทำร้ายกันเข้ามาในวัดซึ่งเป็นเขตธรณีอภัยทาน" 

พญานาคหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าบอกท่านว่า "พวกพญานาคกลุ่มที่นี่ไปเที่ยวเล่นที่บ้านเมืองของพวกตน แล้วมีเรื่องผิดใจกัน จึงต้องไล่ทำร้ายกันมาถึงที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวัดวาพระศาสนา แต่ไหนแต่ไรพวกข้าพเจ้าไปมาหาสู่กันก็ไม่เห็นว่าที่นี่เป็นวัดวาศาสนามาก่อนเลย .."

หลวงปู่จึงบอกพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้...ให้กลับไปบ้านเมืองของตนเองเสียอย่ามาเบียดเบียนกันที่ในวัดวาศาสนาเลย พวกพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้จึงพากันลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของตน ท่านว่าเวลาที่พญานาคหนุ่มกลุ่มนี้ลาจากไปพวกเขาพากันจมหายลงไปในธรณีทันที เหมือนกับว่าดินผาหน้าภูที่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการไปการมาของพวกเขาเลย..

ผู้บันทึกกับหมู่เพื่อนที่นั่งฟังหลวงปู่ชอบเล่าพากันแปลกประหลาดใจว่า ทำไมพญานาคซึ่งเป็นเทพเทวดาประเภทหนึ่งจึงมีประพฤติบางอย่างที่คล้ายกันกับมนุษย์เรา..

หลวงปู่ชอบท่านว่า... "พญานาคถึงจะเป็นภูมิเทพเทวดา เขาก็มาจากมนุษย์เรามีกิเลสรักโลภโกรธหลงเหมือนกันกบมนุษย์เรา ถ้าไม่พอใจกันขึ้นมาก็โกรธาเกรี้ยวกราดทำร้ายกันเหมือนกับมนุษย์เรา ต่างแต่พวกพญานาคเทพเทวดาเขาจะไม่ทำร้ายกันถึงขั้นหมายเอาชีวิตเหมือนกับมนุษย์เรา พวกพญานาคเทพเทวดาเขาจะสู้กันพอรู้ฤทธิ์แล้วก็เลิกรากันไป.."

การให้อภัยกันของภพภูมิเทพเทวดาเขาจะให้อภัยกันง่ายกว่ามนุษย์เรา เพราะพวกเขามีเทวธรรม "หิริโอตัปปะ" ความละอายแก่ใจ ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม ของเทพเทวดาเขาจะมีมากกว่ามนุษย์..

ถ้าจิตใจไม่มีเทวธรรมสองอย่างนี้เป็นเครื่องถือครองแล้ว บุคคลนั้นจะเกิดเป็นเทพเทวดาไม่ได้เลย ถึงแม้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่มีความบกพร่องในสติปัญญาและร่างกาย ..

ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้จากไปไม่นาน ท่านได้ยินเสียงดังโหวกเหวกอึงคะนึงไปทั่วบริเวณวัดป่าม่วงไข่ ท่านเห็นพญานาคพากันจัดเตรียมทัพมีช้างม้าไพร่พลถืออาวุธครบมือเหมือนกับทหารศึกในสมัยโบราณ ท่านว่าทุกอย่างเหมือนกับคนเราเวลาเตรียมทัพออกศึกไม่มีผิดเพี้ยนกันเลย..

หลวงปู่ถามพญานาคผู้เป็นแม่ทัพนายกองว่า "จะพากันไปออกศึกออกเสือที่ไหนถึงได้แต่งทัพใหญ่โตมโหฬารถึงปานนี้"

แม่ทัพใหญ่พญานาคบอกท่านว่า "พวกข้าพเจ้าจะไปรบกับพวกพญานาคแม่น้ำโขง พญานาคพวกนี้มาหยามหมิ่นรังแกลูกหลานของพวกข้าพเจ้า.."

หลวงปู่ท่านบอก "อย่าไปเบียดเบียนกันเลยมันจะเป็นบาปเวรต่อกัน"

แต่พญานาคใหญ่ผู้เป็นแม่ทัพนายกองไม่ฟังคำที่ท่านทัดทาน เขายืนกรานที่จะออกรบตามมานะศักดิ์ศรีที่เขาถือ เมื่อพญานาคผู้เป็นใหญ่ไม่เอาคำท่านจึงบอกเขาว่า "ถ้าจะไปรบกันแล้วอาตมาขอให้โยมทำทางลงไปสรงน้ำให้พระเณรได้ไหม จะเป็นการถวายความสะดวกให้กับพระเณรผู้ที่ท่านพักอาศัยอยู่ในอาวาสนี้ อาตมาอยากให้ท่านแสดงฤทธิ์ไว้เป็นหลักฐานให้พระเณรผู้ไม่รู้ได้เห็นว่าที่นี่มีพญานาคอาศัยอยู่ .."

พอท่านบอกพญานาคใหญ่ผู้เป็นหัวหน้า ให้เขาทำทางลงไปตักน้ำให้พระเณร ท่านว่า พญานาคเจ้าจอมทัพดันภูเขาทีเดียวดินที่อยู่บนภูเขาไหลลงไปเป็นร่องทันที ต้นไม้ต้นไผ่พังทลายลงไปกองอยู่ใต้ภูเขายิ่งกว่าใช้รถเกรดรถไถดันลงไป หลวงปู่ท่านว่าพวกพญานาคนี้มีฤทธิ์แรงมากเกินประมาณได้ การกระทำด้วยฤทธิ์เดชของเขาจึงง่ายดายไม่ต่างอะไรกับคนเราพลิกฝ่ามือ..

เมื่อพญานาคใหญ่ภูผาหมาน...พังภูเขาทำทางลงไปตักน้ำให้พระเณรแล้ว เขาก็ลาท่านไปรบกบ "อิสโรนาคราช" ราชันย์นาคาแม่น้ำโขงเมืองเชียงคานที่มีวิมานเมืองบาดาลอยู่ห่างจากปาก "แม่น้ำเลย" ไหลลงตกแม่น้ำโขงที่ "บ้านคกมาด" สี่ร้อยเมตร..

หลวงปู่ชอบดูเหตุการณ์พญานาคทำนาคายุทธกันจนถึงตีสองทุกอย่างจึงยุติศึก ท่านเห็นไพร่พลทหารพญานาคภูผาหมานแตกทัพหนีเข้ามาทางวัดป่าม่วงไข่อย่างอลหม่าน พอมาถึงบ่อน้ำซับหลังศาลาวัดป่าม่วงไข่ทหารพญานาคพากันหายลงไปในบ่อน้ำซับแห่งนี้ทันที พวกทหารพญานาคอีกฝ่ายหนึ่งก็ไล่ตามกันมา ผู้ที่เป็นหัวหน้าแม่ทัพใหญ่ "อิสโรนาคราช" เห็นหลวงปู่ชอบอยู่ที่นี่เขาจึงบอกไพร่พลให้หยุดทัพ..

ท่านถาม "อิสโรนาคราช" เพราะเหตุอะไรพวกท่านถึงต้องมารบทัพจับศึกกัน

อิสโรนาคราชพญานาคแม่น้ำโขงเมืองเชียงคานบอกท่านว่า "พวกลูกหลานพญานาคเมืองนี้ ไปมีเหตุวิวาทกับลูกหลานของพวกข้าพเจ้า เจ้าเมืองพญานาคที่นี่ไม่พอใจจึงยกทัพไปท้ารบประลองฤทธิ์กับพวกข้าพเจ้าถึงบ้านเมือง.."

หลวงปู่ชอบท่านถามพญานาคอิสโรว่า "พญานาคเขามีการรบทัพจับศึกเหมือนกันกับมนุษย์หรือ?"

อิสโรนาคราชตอบท่านว่า "พญานาคก็เหมือนกันกับมนุษย์ เมื่อมีเรื่องราวเจรจาความกันไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังต่อสู้กันเพื่อให้รู้แพ้ชนะ แต่ไม่ถึงขั้นทำลายล้างกันเหมือนกับพวกมนุษย์ พวกข้าพเจ้าจะต่อสู้กันพอรู้แพ้ชนะเท่านั้นจะไม่ทำอะไรเกินเลยให้กันมากไปกว่านี้.."

หลวงปู่ชอบบอก "เมื่อรู้แพ้รู้ชนะกันแล้วก็ไม่ต้องมาต่อสู้อะไรกันอีก "พวกท่านเป็นเทวะฤทธิ์มีเดชมาก การต่อสู้ของพวกท่านจะทำให้มนุษย์และสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะได้รับอันตรายเดือดร้อนจากการสู้รบของพวกท่านได้ อาตมาขอให้ท่านทั้งสองจงเว้นปล่อยวางในเรื่องนี้เสีย"

อิสโรนาคราชพญานาคแม่น้ำโขงโอนอ่อนยอมในคำขอขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ จึงถอนทัพลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของเขา..

รุ่งเช้าก่อนที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ จะออกไปบิณฑบาตที่บ้านม่วงไข่ ท่านเดินไปดูทางพญานาคดันภูเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่านเห็นทางที่พญานาคดันเขาพังดินลงไปเป็นทางกว้างประมาณหนึ่งวา ต้นไม้ต้นไผ่ตามสายทางพังระนาวกราวรูดไม่ต่างอะไรกับเอารถไถวิ่งดันลงไป เมื่อสำรวจตรวจดูสถานที่โดยทั่วแล้ว องค์ท่านจึงเดินมาศาลาเพื่อพาพระเณรออกไปบิณฑบาตที่บ้านม่วงไข่..

(บันทึกต่อท้าย) ผู้บันทึกเรียนถาม "หลวงปู่คำผอง กุสลธโร" เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ผาแด่น ตำบลสันป่ายาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ท่านอยู่ปฏิบัติ กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่บ้านม่วงไข่ในตอนนั้น..

หลวงปู่คำผองบอกว่าหลวงปู่ชอบบอก  "ท่านคำผองต่อไปนี้พวกท่านลงไปตักน้ำสบายขึ้นกว่าเก่าแล้ว พญานาคทำทางให้พวกท่านแล้ว เมื่อคืนพวกพญานาคที่นี่ไปออกสงครามกับพวกพญานาคแม่น้ำโขงเชียงคาน หลวงปู่ชอบท่านบอกผมกับทิดม่อยบ้านวังม่วงไปดูทางที่พญานาคพังดินลงจากภูเขา พวกผมได้อาศัยทางพญานาคนี่แหละลงไปตักน้ำ พระเณรอยู่นั่นลงไปตักน้ำสบายขึ้น เพราะทางสงครามพญานาค เรื่องแบบนี้ตาบอดอย่างพวกเรามองไม่เห็นเหมือนท่านหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจิตท่านเป็นทิพย์พิสุทธิ์ จึงมองเห็นทั้งหมดทุกเรื่อง หลวงปู่ท่านให้พญานาคทำทางเพราะท่านอยากให้พระเณรได้เห็น เป็นหลักฐานของเรื่องนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รู้ที่มาของเรื่องนี้เลย.."

หลวงปู่คำผองท่านเล่าต่อถึงเรื่องที่ท่านไปอยู่ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านบอกครูบาอาจารย์แต่ละองค์ก็มีบารมีภายนอกภายในแตกต่างกัน แต่กับ "หลวงปู่ชอบ" ท่านบอกบารมีภายในเรื่องลึกลับที่เกี่ยวกับ "เทพเทวดาพญานาคและฤทธิ์อภิญญา" หลวงปู่ชอบท่าน จะเด่นมากในเรื่องแบบนี้..

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/199489/

และ http://dhammawijja.blogspot.com/2016/02/blog-post_11.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...