ผู้เขียน หัวข้อ: ทงเลนเพื่อการละอัตตา บทภาวนาทงเลน มูลนิธิพันดารา  (อ่าน 1263 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


มอบลมหายใจแห่งความรักและความสุขแด่ผู้อื่น แบ่งปันความทุกข์มาสู่ตัวเอง ด้วยการฝึกปฏิบัติที่มีพลานุภาพสูงที่จะยกระดับจิตใจของเรา ให้ผ่านพ้นความกลัว การยึดติดกับตัวตน ให้ได้บำบัดความเจ็บปวดของผู้ที่เรารักไปจนถึงผู้ที่เราไม่รู้จัก พร้อมเรียนรู้ปรัชญา เทคนิควิธี และข้อคิดในการประสานสมาธิทงเลนกับชีวิตประจำวัน การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และการช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะจากไป

การปฏิบัตินี้หากทำอย่างสม่ำเสมอด้วยจิตเปี่ยมไปด้วยความกรุณาอย่างจริงใจ นอกจากจะทำให้เราได้ช่วยผู้อื่นแล้ว กลับจะทำให้เราได้ช่วยตัวเองโดยเฉพาะในยามที่เราเจ็บป่วยหรือเผชิญวิกฤตต่างๆ


<a href="https://www.youtube.com/v/TohOhBImpKM" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/TohOhBImpKM</a>


<a href="https://www.youtube.com/v/ayR7swiNGo8" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/ayR7swiNGo8</a>


<a href="https://www.youtube.com/v/ixBRAgWtAZs" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/ixBRAgWtAZs</a>



3 วัน ระหว่างฉันกับทงเลน

ดังพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงเจริญโพธิจิต
ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในสามกาล
ข้าพเจ้าขอเจริญโพธิจิต
เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ

บทเจริญโพธิจิต บทสวดมนตร์แรกที่ผมได้สาธยายในการเข้าร่วมภาวนาทงเลนเพื่อการละอัตตาของมูลนิธิพันดาราในครั้งนี้ โพธิจิตหรือจิตที่ปรารถนาจะยังประโยชน์เพื่อสรรพสัตว์ ผมรู้สึกว่าเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่และไกลตัวจัง เราเป็นแค่ปุถุชนคนแสนธรรมดาจะมีได้เหรอ และถ้าไม่มีโพธิจิต ผมจะยังปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมได้หรือไม่

เพียงแค่คิดในใจนิดเดียว อาจารย์กฤษดาวรรณ คุรุทางธรรมของผม และท่านยังเป็นครูผู้นำภาวนา ก็เหมือนจะรู้ทุกอย่าง เพราะครูได้กล่าวต่อมาในทันทีว่า โพธิจิตเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่จะโตและงอกเงยขึ้นไป ถ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์แล้ว แม้ว่าดิน น้ำ หรืออากาศ จะพร้อมสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะปรากฏดอกผลออกมาได้ สรุปว่าถ้าไม่มีโพธิจิตแล้ว คงจะปฏิบัติธรรมไม่รุ่งเป็นแน่

เราทุกคนมีโพธิจิตอยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งอาจถูกบดบังด้วยกิเลสตัณหานานาชนิด จนเราไม่เคยเห็นจิตเดิมแท้ของตัวเองที่กระจ่างใส ครูกล่าวอย่างให้กำลังใจตามมา แต่ผมยังคงคิดว่าโพธิจิตของตัวเอง คงซุกซ่อนได้อย่างเงียบเชียบที่สุด ผมจึงแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่เงา

ครูเห็นท่าว่าผู้ร่วมภาวนาจะเริ่มถอดใจจากแค่การบำเพ็ญโพธิจิตในบทเรียนแรก จึงลองให้ทุกคนได้ทบทวนตนเองถึงวันเวลาที่ผ่านมา ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เราเคยได้ทำให้กับผู้อื่นด้วยใจจริง แล้วจึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จากกิจกรรมเพียงเท่านี้ได้ก่อร่างสร้างความปีติเล็กๆให้กับทุกคน เพราะต่างได้เรียนรู้ว่า มนุษย์เป็นผู้ที่มีความรัก เมตตา และกรุณา ซ่อนอยู่แล้วในจิตใจทั้งสิ้น และพร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนเสมอเมื่ออยู่ในวาระอันเหมาะสม คุณสมบัตินี้มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน รวมทั้งตัวของผมเองด้วย

ต่อมาจึงเข้าสู่การเรียนรู้เรื่องภาวนาทงเลน คำว่า “ทงเลน” เป็นภาษาทิเบต มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า “ทง” แปลว่าส่ง ซึ่งหมายถึง การส่งความรัก การให้ด้วยความรัก ไม่ใช่การให้ที่เป็นแบบให้ไปงั้นๆหรือให้แบบไม่เต็มใจ น่าจะประมาณคำว่าเมตตาที่เรารู้จักกันดี (แต่ทำกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง) ส่วนคำว่า “เลน” แปลว่าเอามา คือการเอาความทุกข์ของผู้อื่นเข้ามา เอาความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลายของสรรพสัตว์น้อมเข้ามาใส่ตัวเราเอง โห! ฟังแล้วอึ้งเลย การให้ว่ายากแล้ว แต่ที่จะเอาเข้ามานี่สิ ยากซะยิ่งกว่า แค่ให้อย่างเดียวยังไม่พอเหรอ ไม่เอาได้มั้ย ยังคิดไม่ทันจบ ครูผู้รู้ความคิดของผม (อีกแล้ว) ได้กล่าวต่ออย่างทันควันว่า เราทุกคนจะมีความสุขไม่ได้เลย ถ้ายังมีความทุกข์อยู่ในตัว ดังนั้น ถ้าเราไม่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของเขาออกมา จะให้เท่าไรก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขามีความสุขได้ ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ชาวพุทธเรียกกันว่า กรุณา ฟังแล้วก็เข้าใจนะครับ แต่จะทำได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับครู

หลังการเรียนรู้ภาคทฤษฎีผ่านพ้นไปก็มาถึงเวลาแห่งการปฏิบัติ การฝึกขัดเกลาจิตใจของเราให้มีความรัก เมตตา และกรุณา เพื่อให้เข้าถึงการละตัวตนในที่สุด ครูให้เริ่มคิดถึงคนที่เรารักก่อน หายใจเข้า น้อมนำความทุกข์และเหตุแห่งทุกข์เข้ามาใส่ตัว หายใจออก นำความสุขและสาเหตุแห่งสุขมาให้ ผมเริ่มต้นจากการคิดถึงแม่เป็นคนแรก ผมสามารถทำได้อย่างสนิทใจเลยที่จะมอบความสุขทั้งปวงบนโลกใบนี้ให้แม่ และพร้อมที่ยอมรับความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นเข้ามาใส่ตัว จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไปคิดถึงคนอื่นๆที่เรารัก ผมคิดว่าโพธิจิตของผมน่าจะเริ่มแสดงตนออกมาบ้างแล้ว

ต่อมาครูให้คิดถึงคนที่เรามีความขัดแย้ง หายใจออก นำความสุขและสาเหตุแห่งสุขมาให้ ผมรู้สึกว่าลมหายใจไม่ค่อยราบเรียบเหมือนเดิม หายใจเข้า น้อมนำความทุกข์และเหตุแห่งทุกข์เข้ามาใส่ตัว ผมหายใจเข้ามาครึ่งลมหายใจแล้ว ทันใดนั้นลมหายใจก็ชะงักลงอย่างทันที ผมตกใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เอ๊ะ นี่ใจของผมแคบขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โพธิจิตเมื่อกี้นี้หายไปไหนกันหมด

ตลอด 3 วันที่เรียนรู้ ภาวนา และฝึกสมาธิทงเลน ผมได้รู้จักจิตใจของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ได้เรียนรู้ถึงความคับแคบและความไพศาลของจิตไปพร้อมๆกัน ได้รู้ว่าความรักและความเห็นแก่ตัวของผมเองนั้นมันมากซะเหลือเกิน ส่วนความรักที่มีต่อผู้อื่นทำไมถึงน้อยนิดเช่นนี้ แถมบางครั้งยังงงด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องรักสรรพสัตว์ที่ไม่เคยรู้จักด้วย

วันเวลาผ่านไป พร้อมความเข้าใจที่ผ่านเข้ามา ผมได้รู้แล้วว่าเพราะโพธิจิตนี่เอง ที่อยู่เบื้องหลังและเป็นพลังทั้งหมดของการทำทงเลน เพราะโพธิจิต จึงทำให้เรามีความรักความเมตตาที่ปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง เพราะโพธิจิต จึงทำให้เรากรุณามากพอที่จะยอมแบกรับความทุกข์ทั้งปวงด้วยใจที่กล้าหาญ และเพราะโพธิจิต จึงทำให้เรามีปณิธานที่แน่วแน่ในการที่จะยังประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างไม่สั่นคลอน

การมอบความสุขหรือการน้อมนำความทุกข์เข้ามาใส่ตัวนั้น ผมว่าจะง่ายขึ้นมากเมื่อเรามีความรักเป็นตัวเชื่อม และความรักนั้นจะบังเกิดขึ้นได้ จากการที่เราสำนึกได้ว่าเราทั้งหมดล้วนแต่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน เขาอาจจะเคยเป็นแม่ของเราในชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ แม่ในชาตินี้รักเราอย่างไร แม่ในทุกๆชาติก็รักเราอย่างนั้น และเรารักแม่ในชาตินี้อย่างไร เราก็รักแม่ในทุกๆชาติอย่างนั้น เราและสรรพสัตว์ทั้งปวงต่างเคยเกิดมาเป็นแม่ลูกกัน ต่างเคยรักกันมาก่อน หากเรารักแม่ในชาตินี้มาก จะเป็นไปได้มั้ยที่เราจะเผื่อแผ่ความรักนั้นไปให้กับแม่ในชาติก่อนๆบ้าง ผมคงไม่ต้องหาเหตุผลแล้วว่าทำไมเราต้องรักสรรพสัตว์ที่ไม่เคยรู้จักด้วย เพราะตอนนี้ผมเริ่มรักพวกเขาเข้าแล้ว

ชั่วโมงท้ายของการภาวนา การใช้ลมหายใจเพื่อผู้อื่น เริ่มจากบุคคลที่เรารัก สรรพสัตว์ และผู้ที่เรามีความขัดแย้ง ครั้งนี้ลมหายใจของผมมีแต่ความเบิกบาน พร้อมที่จะมอบความรักและน้อมรับความทุกข์จากสรรพชีวิต รวมถึงผู้ที่ครั้งหนึ่งผมเคยรู้สึกว่าเขาเป็นศัตรู แวบหนึ่งที่ผมแอบคิดว่าเขาจะได้รับความสุขมากมายที่ผมส่งมาให้มั้ยนะ และความทุกข์ของเขาจะบางเบาลงจนหมดสิ้นไปหรือยัง แวบนั้น จิตใจของผมเองต่างหากที่ได้รับความสุขและจางคลายจากความทุกข์ทั้งปวง ใจของผมได้รับการเยียวยาจนไม่เหลือความเกลียดชังอีกแล้ว ผมเข้าใจอย่างแท้จริงเลยว่า โพธิจิต ทงเลน หรือการทำเพื่อผู้อื่นนั้น มีพลานุภาพที่จะนำศานติมาสู่โลกได้อย่างมากมายเพียงใด และผมยังได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งในคำสอนของครูที่ว่า ให้ทำเพื่อผู้อื่นจนไม่คิดถึงตนเอง เพราะวันใดที่ไม่มีตัวเอง วันนั้นคือการบรรลุธรรม

ด้วยสภาวะแห่งพระรัตนตรัยและความเป็นธรรมดา

ไม่ว่าสรรพสัตว์จะทุกข์สุขเพียงไร
ขอให้ข้าพเจ้าได้ร่วมทุกข์และสุขนั้น

ภิญโญ ศรีวีระชัย.

จาก https://krisadawan.wordpress.com
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...