ประตูธรรม-สุญญตา เรือท้องโหว่พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์รอนแรมมาจนบรรลุถึงภูมิประเทศ อันร่มรื่นมีไม้ดอกเป็นพุ่มพวง ส่งกลิ่นหอมระรื่นหมู่บ้านทุกหมู่บ้านที่ผ่านไปล้วนแต่มีคนถือศีลกินเจ (นิรามิสสุข-สุขที่ไม่ต้องอาศัยกามคุณเป็นเครื่องล่อ) และอีกครู่เดียวเห้งเจียก็ยกมือชี้ไปที่ยอดภูเขาที่มีปราสาทสลับซับซ้อน พร้อมทั้งบอกพระถังซัมจั๋งว่าที่นั่นคือสำนักวัดลุยอิมยี่ เขาเล่งซัวที่ประทับของพระยูไล ศิษย์และอาจารย์ต่างปลื้มปิติยกมือประณมไหว้
พลันเทพบุตรกิมเต็งไต้เซียน (กระหม่อมทอง) ได้รับคำสั่งของพระกวนอิมโพธิสัตว์ ให้มารอพระถังซัมจั๋งอยู่นานนับสิบปี เมื่อเห็น พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินมาแต่ไกลก็ลุกออกมาร้องเชื้อเชิญจูงมือไปสรงน้ำ ประพรมสุหร่ายของหอม แล้วให้เปลี่ยนสบงจีวรพร้อมทั้งเลี้ยงน้ำชาอย่างดี กิมเต็งไต้เซียนชมพระถังซัมจั๋งว่า
“เมื่อก่อนนี้ท่านดูโสมมเปรอะเปื้อน วันนี้สะอาดเอี่ยมน่าภาคภูมิใจนัก สมเป็นบุตรพระตถาคตแท้” ครั้นสนทนากันแล้ว กิมเต็งไต้เซียนก็จูงมือพระถังซัมจั๋งออกมา ชี้ประตูธรรมให้โดยกำหนดหมายภูเขาสูงเทียมฟ้า ที่มีรัศมีโชติช่วงสว่างไสว เห็นเป็นชั้นลดหลั่นนับเป็นพันๆชั้นที่นั่นคือ เขาเล่งซัว
อาจารย์และสานุศิษย์ หมายตาปราสาทของพระยูไลบนเขาเล่งซัว ไว้เป็นสำคัญมุ่งตรงไปทางประตูธรรม จนบรรลุถึงลำน้ำลิ้งหุ้นโต้ซึ่ง กระแสน้ำเชี่ยวกรากแต่ดูเงียบสงัดไร้ผู้คน ขณะนั้นมีคนแจวเรืออยู่ริมน้ำ และร้องตะโกนให้พระถังซัมจั๋งลงเรือ เห้งเจียเห็นก็จำได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เตี๊ยบจิ้นโจ๊ซือจำแลงมาช่วยส่งข้ามฟาก เมื่อพระถังซัมจั๋งเห็นเรือที่ไม่มีท้อง (สุญญตา) ให้บังเกิดความสงสัยว่าจะข้ามไปได้อย่างไร
คนแจวเรือจึงตะโกนว่า “เรือของข้าพเจ้ามีอยู่ตั้งแต่เริ่มมีฟ้าดิน จนบัดนี้ก็ยังใช้ข้ามฟากอยู่ แม้มีคลื่นลมแรงเรือก็หาโคลงเคลงไม่ ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง (ไม่มีหัว ไม่มีท้าย) สม่ำเสมอดี ไม่เสพด้วยอายตนะภายนอก ประสานกลมกลืนกันมาหมื่นกัปแสนกัปสะดวกสบายดี เรือไม่มีท้องเท่านั้น ที่อาจพาข้ามมหาสมุทรส่งสู่ฟากตรงกันข้ามมามากแล้วตั้งแต่โบราณกาล ตราบปัจจุบันก็เช่นนั้น”
ถึงแม้ว่าคนแจวเรือจ้างจะบอกเช่นนั้น พระถังซัมจั๋งยังไม่กล้านั่ง เห้งเจียเห็นเช่นนั้นเข้ากระโดดผลักพระถังซัมจั๋งหล่นลงไปในน้ำ คนแจว เรือจ้างเข้าฉุดแขนพระถังซัมจั๋งขึ้นเรือ แล้วให้นั่งลงกลางลำเรือ เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ม้าขาว และบรรดาห่อของถูกฉุดลงเรือหมด ฝ่ายคนแจวเรือ จ้างค้ำเรือไม่มีท้องออกสู่กลางลำน้ำฝ่าคลื่นไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นมาถึงกลางลำน้ำ พระถังซัมจั๋งได้เห็นซากศพลอยอยู่กลางน้ำ พระถังซัมจั๋งให้ยิ่งนึกกลัวยิ่งนัก เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้นว่า “นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน (ตตฺตร ตวํ อาสิ)”
โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ได้ยินลุกขึ้นตบมือ แล้วต่างร้องตะโกนว่า
“นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน”
คนแจวเรือจ้าง ร้องตะโกนขึ้นว่า “ควรรื่นเริงบันเทิงใจ เพราะ นั่นคือท่าน”
ทุกคนในเรือต่างร้องสรรเสริญกันขึ้น “นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน” จนกระทั่งเรือถึงฝั่ง ครั้นแล้วพระถังซัมจั๋งประจักษ์ว่าว่างจากขันธ์ทั้งหลาย ตัณหาจะดับสิ้นเชิง และเรือกับคนแจวหายวับไปทันที
พระถังซัมจั๋งเอ่ยปากชมเชยเห้งเจีย เห้งเจียห้ามเสียแล้วกล่าวว่า ทุกคนต่างอาศัยกันและกันมาโดยตลอดจึงสำเร็จการได้ ท่านอาจารย์กับศิษย์ รู้สึกบันเทิงใจเป็นที่สุด ต่างเดินชมนกชมไม้ที่ออกดอกออกช่องดงาม ทุกคนเห็นแล้วสรรเสริญในความงาม ส่วนบรรดาผู้ที่อยู่ ณ สำนักเขาเล่งซัว ร้องทักทายพระถังซัมจั๋งกันทั่วหน้าดุจญาติสนิท
(ลำน้ำที่เชี่ยวกรากแต่เรือที่ใช้ข้ามกลับเป็นเรือท้องโหว่ ความจริงแล้วหมายความว่าการอยู่ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของกิเลส และ ตัณหานั้น หากเรามีความสงบนิ่งว่างเปล่าจากความยึดมั่นถือมั่น สุญญตา เข้าใจในความเป็นไปของธรรมชาติ จะสามารถผ่านอุปสรรคทั้งปวงได้ ดุจดังเรือท้องโหว่วิ่งผ่านคลื่นไปได้
การได้เห็นซากศพลอยน้ำมาต่างร้องว่า นั่นคือท่าน นั่นคือท่าน หมายความว่า ทุกคนย่อมกลายเป็นซากศพ ทุกคนย่อมต้องเป็นไปตามธรรมชาติ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเป็นธรรมชาติกับตัวตนของท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ หากสามารถบรรลุถึงธรรมข้อนี้แล้วก็บรรลุอรหัตผล - ความเป็นพระอรหันต์ คือ ผู้ที่สามารถละสังโยชน์ได้ทั้งหมด นับว่าเป็นผู้สำเร็จธรรมสูงสุด หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้ไกลห่างจากกิเลส ไม่อยู่ในกระแสแห่งกิเลสอีกแล้ว - กิเลสหมดสิ้น)จาก
http://www.khuncharn.com/skills?start=35อีกอัน ไซอิ๋ว ฉบับ อาจารย์ เขมานันทะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=maekai&month=10-07-2008&group=15&gblog=1