“ท่านครับ ใครเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกครับ?”
“โยมว่าใครล่ะ?”
“ผมว่าพระนางสิริมหามายาครับ”
“ทำไมจึงเป็นพระนางสิริมหามายาล่ะ? “
“เพราะพระนางทรงเป็นพระราชมารดาของพระพุทธเจ้าน่ะครับ”
“เหตุผลแค่นี้หรือ?”
“ผมคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้วครับ เพราะถ้าไม่มีพระนางสิริมหามายา เราก็ไม่มีพระพุทธเจ้าน่ะสิครับ”
“ถ้าโยมมีเหตุผลเพียงนี้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่า พระนางสิริมหามายา เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก คนที่ไม่เลื่อมใสก็มีอยู่ คนเลื่อมใสแล้วก็มีอยู่ เมื่อฟังความเห็นของโยม อาจจะหมดศรัทธาก็ได้ เพราะคิดว่าโยมมีอคติในการยกย่องนี้”
“อ้าว.. หลวงพ่อทำไมพูดเช่นนี้ล่ะครับ เราเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ควรจะยกย่องพระนางสิริมหามายาสิครับ หลวงพ่อก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในโลกไม่ใช่หรือครับ?”
“โยม.. การยกย่องพระพุทธเจ้าเช่นนั้น เพราะว่าเราสามารถปฏิบัติตนให้ได้ผลตามคำสั่งสอนที่พระพุทธองค์ ทรงวางไว้เป็นหลักพุทธศาสนา สำนึกในความกตัญญูกตเวทีที่มีอยู่ในจิตใจของเรา อันเป็นผลจากการประพฤติตนตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทำให้เราเห็นพระมหากรุณาธิคุณอันแผ่ไพศาล สามารถสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในมวลหมู่มนุษยชาติ นี่เป็นพระคุณในส่วนพระพุทธองค์นะ โยมต้องแยกให้ถูก”
“แล้วทำไมหลวงพ่อจึงไม่ยอมรับว่าพระนางสิริมหามายา เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกล่ะครับ”
“การจะยกย่องใครนั้น จะต้องกอปรด้วยเหตุผลที่ควรแก่ความศรัทธาของผู้ได้ฟัง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเคารพยกย่องโดยไม่มีความขัดแย้งใดๆ ถ้าเพียงเท่าที่โยมกล่าวมา ก็ไม่สามารถทำให้คนฟังเกิดศรัทธาได้ โยมควรศึกษาพุทธประวัติให้ละเอียด จะทำให้ได้เหตุผลที่พอจูงใจผู้ฟังเกิดความศรัทธาคล้อยตามความเห็นของโยมได้”
“ถ้าเป็นหลวงพ่อ หลวงพ่อจะอธิบายว่าอย่างไรครับ?”
“ใจเย็นๆ โยม... อาตมายังไม่ได้แสดงความเห็นใดเลยนะ ที่พูดมานี้เพื่อจะแนะนำให้โยมได้ใช้วิจารณญาณ ตรึกตรองพุทธประวัติให้มากขึ้น จะได้มีเหตุผลสนับสนุน ความเห็นของโยมไงล่ะ”
“แล้วหลวงพ่อจะอธิบายอย่างไรล่ะครับ?”
“อาตมาจำได้ว่า เมื่อครั้งที่พระบรมโพธิสัตว์จุติเป็นสันตุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในรัตนวิมานสวรรค์ ชั้นดุสิตเทวโลก ในกาลที่ควรแก่การเสด็จลงมาจุติ ท้าวมหาพรหมและเหล่าเทวราชในสวรรค์ได้ไปกราบทูลอัญเชิญพระองค์ให้มาจุติยังมนุษยโลก เพื่อบำเพ็ญมหาบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย สันตุสิตเทวราชทรงพิจารณาถึงสิ่งสำคัญ ๕ ประการที่เรียกว่า ปัญจมหาวิโลกนะ ซึ่งได้แก่ ๑. กาลเวลา ๒. ทวีป ๓. ประเทศ ๔. ราชตระกูล ๕. พระมารดา
ในที่นี้จะกล่าวเพียงเรื่องพระมารดาเท่านั้น พระองค์ได้พิจารณาด้วยทิพยญาณอันบริสุทธิไปในมนุษยโลก พบว่า พระนางสิริมหามายา ผู้เป็นพระมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ กรุงกบิลพัสดุ์ มีศีลและบารมีธรรมที่ได้ทรงอบรมบ่มบำเพ็ญสั่งสมมาเป็นเวลา ๑ อสงไขย และนับแต่นี้จะมีพระชนม์ชีพเหลืออีกเพียง ๑๐ เดือนกับอีก ๗ วัน ซึ่งสมควรเป็นพระมารดาได้ ทั้งจะมีพระชนม์สืบไปจากเวลาที่พระโอรสประสูติเพียง ๗ วัน สัตว์อื่นไม่อาจอาศัยคัพโภทร(ครรภ์)บังเกิดได้อีก อีกทั้งพระนางสิริมหามายาเทวีก็เป็นผู้รักษาเบญจศีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์ พระองค์จึงทรงจุติมาในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา และทรงประสูติในวันวิสาขบูชาปีนั้นนั่นเอง นี่เป็นเหตุผลเบื้องต้นนะ”
“ยังมีอีกหรือครับเนี่ยะ”
“ในเวสสันดรชาดก มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงบุพกรรม ของพระนางสิริมหามายาไว้ว่า ในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๑ นับแต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ เขมมฤคทายวัน ในพันธุมดีนคร พระนางสิริมหามายาได้เกิดมาเป็นพระราชธิดาองค์โตของพระเจ้าพันธุมราช ผู้ครองพันธุมดีนคร พระนางได้นำแก่นจันทน์อันมีค่ามากที่ได้รับพระราชทานมาจากพระราชบิดามาบดจนละเอียดเป็นจุณและบรรจุในผอบทองคำ พระราชธิดาองค์เล็กทำมาลาปิดทรวงอกจากสุวรรณมาลาที่ได้รับพระราชทานมา แล้วนำไปทำการบูชาพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ณ พระวิหารที่ประทับ ทั้งทรงโปรยจุณแก่นจันทน์ที่เหลือในพระคันธกุฎี ทำให้มีกลิ่นหอมไปทั่วอาราม
เมื่อเสร็จกิจอันควรแก่การบูชาแล้ว พระนางได้นั่งพิจารณาพระวรกายของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ด้วยความสุขในพระหฤทัยอันเกิดจากบุญที่ทรงกระทำแล้ว พระนางเกิดพระดำริขึ้นในพระหฤทัยว่าหญิงผู้เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ต้องเป็นหญิงงามและได้ลักษณะเบญจกัลยาณี ยิ่งกว่าหญิงใดๆในโลก จึงทำให้มีบุญได้เป็นพระมารดาของบุคคลผู้เลิศเช่นพระพุทธเจ้า เมื่อดำริเช่นนั้น แม้จะไม่เคยเห็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าวิปัสสี มาก่อน ด้วยความเชื่อมั่นว่าพระพุทธมารดาต้องเป็นยอดแห่งอิตถีรัตนะ พระนางจึงตั้งความปรารถนาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าวิปัสสีว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยบุญที่หม่อมฉันได้บูชาพระองค์ด้วยจุณแห่งแก่นจันทน์นี้ ขอให้หม่อมฉันได้เป็นพุทธมารดา ผู้เช่นพระมารดาของพระองค์ ในอนาคตกาลด้วยเถิด”
พระพุทธเจ้าวิปัสสีทรงทำการอนุโมทนาแก่พระนางว่า “เธอทั้งสองได้ประดิษฐานการบูชาอันใดแก่เราในภพนี้ วิบากแห่งการบูชานั้น จงสำเร็จแก่เธอทั้งสองตามความปรารถนาที่ตั้งไว้อย่างดีแล้วเถิด” ราชธิดาทั้งสองได้ฟังพุทธพยากรณ์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติท่วมท้น ต่างตั้งใจสั่งสมบุญอย่างเต็มที่เรื่อยมา ครั้นเคลื่อนจากมนุษยโลกได้ไปบังเกิดในเทวโลก พระราชธิดาองค์โตเมื่อหมดกำลังบุญในเทวโลก ก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลกพร้อมกับสร้างบารมี เพื่อเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าตามที่ตั้งปรารถนาไว้ พระนางท่องเที่ยวอยู่ในสองภพภูมิเป็นเวลายาวนาน มาภพชาตินี้พระนางได้เป็นพุทธมารดา มีพระนามว่า พระนางสิริมหามายา สมดังความปรารถนาทุกประการ นี่คือเหตุผลที่สำคัญของการเป็นพุทธมารดานะ”
“แล้วหลวงพ่อยอมรับว่าพระนางสิริมหามายา เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกได้หรือยังครับ”
“โยม.. แม่ของผู้เป็นศาสดาในแต่ละลัทธิศาสนา ก็มีความสำคัญต่อศาสนิกชนเหมือนกับที่โยมคิดนะ โยมไม่คิดบ้างหรือว่า พระแม่มารีอา พระมารดาของพระเยซู ก็เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกได้”
“ผมไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยครับ”
“นี่ไง.. ที่อาตมาพูดว่าโยมจะถูกว่าเป็นคนมีอคติ ลำเอียงเพราะรักใคร่ ชอบเป็นการเฉพาะได้”
“หลวงพ่อมีเหตุผลอะไรมาแย้งผมอีกล่ะครับ”
“ไม่ได้แย้งหรอก เพียงแต่ชวนให้โยมได้คิดกว้างขวาง ออกไป คนที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้าก็อาจจะกล่าวว่า พระนางสิริมหามายาสวรรคตไปตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุได้ ๗ วัน ไม่ได้มีส่วนในการถวายอภิบาลเจ้าชายเลย พระนางมหาปชาบดี พระน้านางต่างหากที่เป็นผู้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเจ้าชายมา จนสามารถบำเพ็ญบารมีได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สู้พระแม่มารีอาไม่ได้ ที่ได้อบรมเลี้ยงดูพระเยซูจนเติบใหญ่ สามารถศึกษาธรรมจนมีผู้เลื่อมใสนับถือเป็นศาสดา พระแม่มารีอาได้เห็นการเกิดและการตายของพระเยซู ได้ทำหน้าที่มารดามากกว่าพระนางสิริมหามายาเสียอีก โยมจะตอบเขาว่าอย่างไรล่ะ?”
“ไม่เกี่ยวกันครับหลวงพ่อ เขาว่าพระแม่มารีอา เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ก็ช่างเขา ผมก็ยืนยันว่า พระนางสิริมหามายา เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกเหมือนเดิม”
“โยม..พระนางสิริมหามายา พุทธมารดา ผู้สวรรคตเมื่อพระโอรสอายุได้ ๗ วัน, พระแม่มารีอา มารดาแห่งพระเยซู ผู้อยู่ดูแลจนพระเยซูสิ้นพระชนม์, พระแม่อะมีนะฮฺ มารดาของท่านนบีมูฮัมหมัด ผู้ถึงแก่กรรมเมื่อบุตรอายุได้ ๖ ปี, หรือมารดาของคุรุทั้ง ๑๐ ของซิกข์ ใครเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก?”
“อ้าว..หลวงพ่อถามอย่างนี้ ผมจะตอบอย่างไรล่ะครับ”
“แล้วโยมรู้หรือยังว่าใครเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก?”
“ยังครับ.. หลวงพ่อทำผมสับสนไปหมดแล้วครับ”
“ที่อาตมายกมารดาของศาสดาในแต่ละศาสนามากล่าว ก็เพื่อบอกให้รู้ว่า แม่ของเราเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุด ในโลก โยมจะเถียงไหม?”
“ทำไมกล่าวอย่างนี้ล่ะครับ”
“โยมคิดดูเถิดว่า ที่โยมได้มานั่งคุยกับอาตมานี้ได้ เพราะใครเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมา”
“แม่ผมครับ”
“แล้วตอนนี้โยมจะบอกได้หรือยังว่าใครเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก?”
“ได้แล้วครับ ผมไม่กล้าแย้งหลวงพ่อเลย แม่ผมก็ต้องเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก แม่ของหลวงพ่อก็เป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก? บอกใครๆในโลก ก็ไม่มีใครแย้งหรอกครับ เขากลับจะยกย่องอีกว่าเป็นคนมีกตัญญูกตเวที”
“เมื่อรู้ว่าแม่ของตนเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกโยมเคยทำคุณตอบแทนท่านบ้างไหม?”
“ทำครับ ผมทำตามหน้าที่ที่บุตรพึงต่อพ่อแม่ครับ เอาตามทิศ ๖ เลยครับ ที่ว่า ๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ ๒. ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน ๓. ดำรงวงศ์สกุล ๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ทำทุกวันเลยครับ”
“โยมโชคดีมากนะที่ได้อุปถัมภ์พ่อแม่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้าท่านต้องใช้พุทธานุภาพเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ พระสารีบุตร ต้องใช้เวลาสุดท้ายของชีวิตไปโปรดมารดาให้มีความคิดเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม พระโมคคัลลานะต้องไปโปรดมารดาในนรก และยังอีกหลายองค์นะ คิดดูซิโยม ทุกท่านนั้นต้องบำเพ็ญบารมีมากเพียงใดจึงสามารถแทน คุณมารดาบิดาได้ปานนั้น”
“จริงครับหลวงพ่อ ลมหายใจช่วงสุดท้ายบั้นปลายชีวิตของพ่อแม่ผม ผมต้องทำให้ท่านสุขสราญใจไปตลอด จนถึงที่สุดครับ”
“ดีแล้วโยม แม่ที่ทำหน้าที่แม่อย่างสมบูรณ์ ก็ควรได้รับผลของการทำหน้าที่แม่ตอบแทนจากบุตรผู้ประเสริฐ แม่ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แม่ ยามแก่เฒ่าชราลงก็ต้องรับวิบากกรรมชั่วของตนให้อยู่แบบลำบาก เต็มไปด้วยทุกข์สารพัด ลูกที่ได้บุญคุณจากแม่ แต่ไม่เหลียวแลตอบแทนคุณท่าน ก็ได้รับวิบากกรรมชั่วมากกว่าหลายเท่า ทั้งได้รับการรังเกียจจากสังคม ได้รับการไม่แทนคุณของลูกตน ก็ต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน นี่ล่ะกรรมของคน ที่ไม่มีใครแก้ไขได้เลย”
“ขอบพระคุณหลวงพ่อมากนะครับ ที่ช่วยให้ผมได้ตระหนักว่า แม่ของผมเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลก”
“โยมมีสิ่งที่ประเสริฐอยู่ในบ้าน ต้องหมั่นดูแลกราบไหว้อยู่เสมอนะ ก่อนจะมากราบไหว้อาตมาหรือพระที่วัด ควรจะกราบไหว้พระอรหันต์เจ้าชีวิตที่บ้านก่อนทุกเช้าค่ำ ดูแลปรนนิบัติท่านตามกำลังสามารถ อย่าให้ท่านมีความ ทุกข์ตรอมตรมใจเลย ครานี้ไปวัดไหนไหว้พระพุทธหรือ พระสงฆ์ ก็จะมีความรู้สึกมั่นคง มีอานิสงส์มาก หน้าตาก็ผ่องใส มีความสุข เป็นมหานิยมของสังคมได้เลย”
“จริงหรือครับหลวงพ่อ”
“จริงซิ ถ้าโยมทำได้อย่างที่อาตมาพูดนี่ โยมได้รับผลอานิสงส์หมดเลย”
“เพราะอะไรครับ?”
“เพราะทุกคนที่รู้จักกับโยม ล้วนต้องรู้ถึงคุณงามความดีที่เกิดจากความกตัญญูกตเวทีของโยม ทุกคนก็ยอมรับโดยสนิทใจว่าโยมเป็นลูกที่ดีของแม่พ่อ โยมต้องไม่ทำความชั่วให้ท่านทุกข์ใจ โยมต้องทำแต่ความดีให้ท่านสุขใจ พ่อแม่ของโยมจึงผ่องใสแช่มชื่นได้ตลอดเวลา ทุกคนต่างยอมรับโยมว่าเป็นคนดีของสังคม สมดังคำที่ว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี นะ”
“ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับ ได้เวลาต้องลากลับไปทำกิจของตนแล้วครับ ขอกราบลาก่อนนะครับ”
“ขออนุโมทนากับโยมด้วยนะ ที่มีแม่เป็นคนที่ประเสริฐที่สุดในโลก เจริญพร”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 117 สิงหาคม 2553 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)